LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

 คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน

ข้อ 1.  สมชายกู้ยืมเงินจากสมบัติ 1,000,000 บาท โดยมอบ น.ส. 3 ก. ให้สมบัติยึดไว้เป็นหลักประกัน หลังจากนั้น สมบัติได้ซื้อรถยนต์จากสมชาย โดยตกลงหักกลบลบหนี้กันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่สมบัติยังไม่ยอมคืน น.ส. 3 ก. ให้สมชาย และยังถูกสมบัติมีหนังสือทวงหนี้อีกหลายครั้ง ดังนี้ สมชายจะยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า สมชายและสมบัติมิได้มีหนี้สินใดๆ ต่อกันและขอให้บังคับให้สมบัติส่งคืนเอกสาร น.ส. 3 ก. ที่สมบัติยึดไว้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

            วินิจฉัย

            ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใดๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำคดีเสนอต่อศาลได้จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติ มาตรา 55 แล้วได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

1.         กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง ก็ให้เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาล ตามมาตรา 55 และมาตรา 172

2.         กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล เพราะเหตุว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้นจาก ซึ่งกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลได้ ให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาล ตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1)

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า สมชายจะยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าสมชายและสมบัติมิได้มีหนี้สินใดๆต่อกันได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า หนี้สินระหว่างสมชายและสมบัติได้ระงับไปแล้ว กรณีเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่สมชายชอบที่จะหยิบยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เมื่อสมบัติฟ้องสมชายเป็นคดีขึ้นในอนาคต มิใช่เป็นเรื่องที่สมชายจะยื่นฟ้องสมบัติต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าสมชายมิได้มีหนี้สินต่อกันมาก่อนแต่อย่างใด กรณีนี้จึงไม่ต้องด้วย มาตรา 55 อันจะถือว่าเป็นเรื่องถูกโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ หรือจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลแต่ประการใด (ฎ. 3061/2522)

            ส่วนประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า สมชายจะยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ศาลบังคับสมบัติให้ส่งคืน น.ส. 3 ก. ที่สมบัติยึดถือไว้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายสมบัติยึดถือ น.ส. 3 ก. ของนายสมชายไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินต่อมาได้ความว่า สมบัติซื้อรถยนต์จากสมชายโดยตกลงหักกลบลบหนี้กันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่สมบัติยังไม่คืน น.ส. 3 ก. ให้แก่สมชาย ดังนี้ถือเป็นกรณีที่สมชายจะใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์ (น.ส. 3 ก.) จากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 และเมื่อสมบัติไม่ยอมคืนให้ก็ถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิของสมชาย ตามมาตรา 55 แล้ว กรณีเช่นนี้ สมชายจึงสามารถยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ศาลบังคับสมบัติให้ส่งคืน น.ส. 3 ก. ได้

            สรุป สมชายจะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาสมชายและสมบัติไม่มีหนี้สินใดๆ ต่อกันไม่ได้ แต่ฟ้องขอให้บังคับสมบัติคืน น.ส. 3 ก. ที่ยึดถือไว้ได้

 

ข้อ 2. โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งโดยอ้างว่า โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของกึ่งหนึ่ง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสมปองมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวร่วมกับจำเลยดังนี้ ในระหว่างพิจารณาคดีโจทก์กับจำเลย นายสมปองประสงค์จะรักษาสิทธิ์ของตน นายสมปองจะร้องสอดเข้ามาในคดีได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)       ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ นายสมปองจะร้องสอดเข้ามาในคดีได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนด โดยอ้างว่าโจทก์ก็มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกึ่งหนึ่ง แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงได้ความว่า นายสมปองก็ได้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวร่วมกับจำเลยด้วย จึงเป็นกรณีที่นายสมปองเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับการรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ กรณีเช่นนี้ นายสมปองจึงมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในภายหลังได้โดยการยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 57(1)

            สรุป นายสมปองมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง

 

ข้อ 3. นายธนพลมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดอุบลราชธานี ได้กู้ยืมเงินจากนายณัฐพลที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายเกียรติ์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดลำปาง นำที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่ง ตั้งอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษมาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้รายนี้ ต่อมานายธนพลผิดนัดชำระหนี้ ดังนี้ นายณัฐพลจะฟ้องนายธนพลให้ชำระหนี้ ฟ้องบังคับจำนองจากนายเกียรติ์ จะฟ้องได้ที่ศาลใด และจะฟ้องทั้งสองยังศาลเดียวกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)       คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

มาตรา 4 ทวิ คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

            มาตรา 5 คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อหาก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้

วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า นายณัฐพลจะฟ้องนายธนพลให้ชำระหนี้ได้ที่ศาลใด เห็นว่า ถ้านายณัฐพลประสงค์จะเรียกเงินกู้ยืมคืน โดยการฟ้องนายธนพล นายณัฐพลสามารถเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นศาลที่นายธนพลมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีอันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นประการในเขตศาล ตามมาตรา 4(1)

            ส่วนประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า นายณัฐพลจะฟ้องบังคับจำนองจากนายเกียรติ์ได้ที่ศาลใด เห็นว่า การฟ้องบังคับจำนองของนายณัฐพล ถือเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เพราะต้องมีการบังคับแก่ตัวทรัพย์นั้น (ฎ. 3530/2542) กรณีเช่นนี้ โจทก์จึงต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล คือ ศาลจังหวัดศรีสะเกษ หรือศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล คือ ศาลจังหวัดลำปาง ตามมาตรา 4 ทวิ

            และหากนายณัฐพลประสงค์จะฟ้องนายธนพลและนายเกียรติ์ยังศาลเดียวกันศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้น ก็สามารถฟ้องได้ ตามมาตรา 5 เพราะถือว่าคำฟ้องมีหลายข้อหาอันมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน (ฎ. 792/2541)

            สรุป ถ้านายณัฐพลจะฟ้องนายธนพลให้ชำระหนี้ ต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานีหรือศาลจังหวัดกาญจนบุรี

            ถ้าฟ้องบังคับจำนองจากนายเกียรติ์ ต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดศรีสะเกษหรือศาลจังหวัดลำปาง

            และถ้านายณัฐพลจะฟ้องทั้งนายธนพลและนายเกียรติ์ยังศาลเดียวกัน ก็สามารถฟ้องได้ยังศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้น

 

ข้อ 4. จำเลยเช่าบ้านจากโจทก์ สัญญาเช่ามีกำหนดเวลา 3 ปี ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาเช่า ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินที่เช่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วคดีมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายจึงพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินที่เช่าโดยไม่มีการสืบพยาน ดังนี้ คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

            หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 198 ทวิ วรรคแรกและวรรคสอง ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาขนก็ได้

            เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้ แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลสิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

            วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันเป็นเรื่องที่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยานเพราะมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ศาลต้องอยู่ในบังคับให้ต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง แต่อย่างใด กรณีเช่นนี้ เมื่อศาลเห็นว่าคดีมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายจึงมีอำนาจพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคแรก ดังนั้น คำพิพากษาของศาลจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

            สรุป คำพิพากษาของศาลจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

            หมายเหตุ คดีฟ้องขับไล่ตามสัญญาเช่าไม่ถือว่าเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ ในอสังหาริมทรัพย์ เพราะการให้เช่าผู้ให้เช่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เช่า เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่า และไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงไม่มีข้อพิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา2550

การสอบไล่ภาค  1 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

 คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน

ข้อ 1. เจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยขอให้ชำระหนี้ จำเลยให้การปฏิเสธโดยมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้พร้อมกับคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกผู้ค้ำประกันเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลหมายเรียกผู้ค้ำประกันเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลย จำเลยร่วมได้ยื่นคำให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โจทก์แถลงคัดค้านว่าจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การนอกเหนือจากคำให้การของจำเลยเดิมไม่ได้เพราะเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ดังนี้คำแถลงคัดค้านของโจทก์ฟังขึ้นหรือไม่ หากฟังไม่ขึ้นศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์ขาดอายุความคำพิพากษาของศาลจะมีผลไปถึงจำเลยด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

            หลักกฎหมาย            ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(3) ด้วยถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี (ก) ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี…

มาตรา 58 วรรคแรก ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แห่งมาตราก่อนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผู้ร้องสอดอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง คัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด อาจอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และอาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม

            มาตรา 59 บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี แต่ห้ามมิให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ หรือได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ ดังนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกันเพียงเท่าที่จะกล่าวต่อไปนี้

(1)       บรรดากระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดย หรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่งนั้นให้ถือว่าได้ทำโดยหรือทำต่อ คู่ความร่วมคนอื่นๆ ด้วย เว้นแต่กระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่นๆ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การนอกเหนือจากคำให้การเดิมได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มิได้ฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยโดยตรง หากแต่ศาลได้หมายเรียกผู้ค้ำประกันเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลย ตามมาตรา 57(3)(ก) กรณีเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นจำเลยร่วมมีสิทธิเสมือนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ตามมาตรา 58 วรรคแรกอันทำให้จำเลยร่วมมีสิทธิยื่นคำให้การโดยการยกอายุความขึ้นต่อสู้คดีได้ ดังนั้น คำคัดค้านของโจทก์ในกรณีนี้จึงฟังไม่ขึ้น (ฎ. 22527/2525)

ส่วนประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เมื่อจำเลยร่วมยื่นคำให้การโดยยกอายุความเป็นข้อต่อสู้

และศาลพิจารณาแล้วว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เช่นนี้จะมีผลไปถึงจำเลยลูกหนี้ด้วยหรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ได้ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยต่อศาลขอให้ชำระหนี้และผู้ค้ำประกันก็ได้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีดังกล่าว ซึ่งต้องรับผิดเมื่อจำเลยลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ จึงเป็นกรณีที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเป็นคู่ความในคดีเดียวกัน เมื่อได้ความว่าจำเลยร่วมได้ยื่นคำให้การต่อสู้ในเรื่องของอายุความไว้ กรณีเช่นนี้ถือว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งได้กระทำโดยจำเลยร่วมให้ถือว่าได้กระทำโดยจำเลยด้วย ตามมาตรา 59(1) เพราะมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ทั้งนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก็ตาม ดังนั้น การที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้มีผลถึงลูกหนี้ด้วย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว (ฎ. 6246/2540ฎ. 839/2535)

สรุป คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมาย

 

 

ข้อ 2. พอลคนอังกฤษสมรสกับระรินคนไทย และมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ต่อมาพอลได้พาระรินไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ พอลได้ตกลงซื้อคอนโดมิเนียมตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษจากจิมมี่คนอังกฤษโดยทำสัญญาจะซื้อจะขายกันที่ประเทศอังกฤษในวันทำสัญญาจะซื้อขาย พอลได้วางเงินมัดจำไว้ 1 ล้านบาท ถึงกำหนดวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม จิมมี่ผิดนัดไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมให้พอล พอลและระรินได้กลับมาเที่ยวในประเทศไทยพบจิมมี่ขับเรือยอร์ช มาจอดอยู่ที่ท่าเรือจังหวัดภูเก็ตประเทศไทย พอลประสงค์จะฟ้องเรียกมัดจำคืนจากจิมมี่ตามสัญญาจะซื้อขายคอนโดมิเนียมยังศาลไทยจะฟ้องได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

            หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)       คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

มาตรา 4 ทวิ คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

มาตรา 4 ตรี คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรให้เสนอต่อศาลแพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

            คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้

            วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พอลจะฟ้องจิมมี่เรียกเงินมัดจำคืนตามสัญญาจะซื้อจะขายคอนโดมิเนียม การฟ้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นการฟ้องให้บังคับตัวจำเลย อันถือเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ คือ คอนโดมิเนียม จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 4 ทวิ (ฎ. 683/2534) กรณีเช่นนี้ จึงต้องบังคับตามมาตรา 4(1) ที่ว่า คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้วได้ความว่า จิมมี่มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีก็มิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 4(1) เช่นเกี่ยวกัน

            และแม้จะได้ความว่า จิมมี่มีเรือยอร์ชอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต อันถือเป็นทรัพย์ที่อาจถูกบังคับคดีได้ กรณีเช่นนี้พอลก็ไม่สามารถเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ได้เช่นกันเนื่องจากพอลมิได้มีสัญชาติได้และภูมิลำเนาก็มิได้อยู่ในประเทศไทย กรณีจึงบังคับตามมาตรา 4 ตรี วรรคแรก ไม่ได้ และเมื่อบังคับตามมาตรา 4 ตรี วรรคแรกไม่ได้ แม้จิมมี่จะมีทรัพย์ที่อาจถูกบังคับคดีอยู่ในราชอาณาจักร ก็ไม่อาจจะเสนอคำฟ้องต่อศาลตามมาตรา 4 ตรี วรรคสองได้

            ดังนั้น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบหลักกฎหมายข้างต้น พอลจึงไม่สามารถฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจิมมี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อศาลไทยได้เลย

            สรุป พอลจะฟ้องจิมมี่ยังศาลไทยไม่ได้

 

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับฝากสินค้าปุ๋ยของโจทก์ไว้ในคลังสินค้าของจำเลย จำเลยหาได้ใช้ความระมัดระวังและฝีมือเพื่อสงวนรักษาปุ๋ยของโจทก์เหมือนเช่นวิญญูชนพึงปฏิบัติเป็นเหตุให้ปุ๋ยของโจทก์ถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าได้ใช้ความระมัดระวังดูแลแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งว่า โจทก์จำนำสินค้าที่ฝากไว้กับจำเลยแต่โจทก์ไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ดังนี้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

            หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 177 วรรคสาม จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก

            มาตรา 179 วรรคท้าย แต่ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายใดเสนอคำฟ้องใดต่อศาล ไม่ว่าโดยวิธีฟ้องเพิ่มเติมหรือฟ้องแย้ง ภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องเดิมต่อศาลแล้ว เว้นแต่คำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังนี้จะเกี่ยวข้องกัน

            วินิจฉัย

            ในการพิจารณาว่าเป็นฟ้องแย้งหรือไม่ จะต้องพิจารณาว่าคำฟ้องดังกล่าวประกอบด้วยหลักเกณฑ์สำคัญ 3 ประการดังต่อไปนี้หรือไม่

1.         ต้องมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่

2.         ต้องมีฟ้องเดิม

3.         ฟ้องแย้งนั้นเกี่ยวกับฟ้องเดิม

กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับฝากสินค้าปุ๋ยของโจทก์ไว้ในคลังสินค้าของจำเลยแล้วไม่สงวนรักษาเช่นวิญญูชนจนปุ๋ยเสียหายขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จึงถือว่าฟ้องเดิมเป็นเรื่องความรับผิดของผู้รับฝากทรัพย์ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องโจทก์ผิดสัญญาจำนำ แม้จะได้ความว่าทรัพย์ที่รับฝากและทรัพย์ที่จำนำและเป็นทรัพย์รายเดียวกันก็ตามแต่เมื่อมูลเหตุอันเป็นรากฐานในการก่อให้เกิดการโต้แย้งสิทธิหรือมูลเหตุให้ใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อให้รับผิดตามฟ้องและฟ้องแย้งนั้น ต่างอาศัยมูลเหตุของสัญญาต่างกัน กรณีเช่นนี้ จึงถือว่าฟ้องแย้งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ทั้งฟ้องแย้งเกี่ยวกับจำนำเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังการฝากทรัพย์แล้วจึงไม่เกี่ยวพันกัน อันพอที่จะรวมการพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้ ตามมาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคท้าย ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา (ฎ. 2864/2541)

            สรุป ศาลชั้นต้นชอบจะสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย

 

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยพร้อมรื้อสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยปลูกสร้างในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลยกฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีอ้างว่าที่ดินที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องให้โจทก์และจำเลยอาศัยทำประโยชน์ ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่โจทก์และจำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ แต่โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องขอให้ศาลพิพากษาและชี้ขาดให้ผู้ร้องชนะคดี โดยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิเคราะห์คำร้องสอดของผู้ร้องแล้วมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงสั่งให้ผู้ร้องนำพยานเข้าสืบโดยกำหนดวันนัดสืบพยานพร้อมกันทุกคดีถึงวันสืบพยานโจทก์จำเลยและผู้ร้องสอดไม่มาศาล ศาลสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ  ดังนี้คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

            หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง วรรคสี่และวรรคห้า เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้ แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

            ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานตามมาตรานี้ มิให้ถือว่าจำเลยนั้นขาดนัดพิจารณา

            ถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบตามความในมาตรานี้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล และให้ศาลยกฟ้องของโจทก์

            มาตรา 200 วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา 198 ทวิและมาตรา 198 ตรี ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยานและไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา

            มาตรา 201 ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

            วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีโดยอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 57(1) ในฐานะโจทก์ โจทก์และจำเลย (เดิม) จึงตกเป็นจำเลยในคดีร้องสอด ซึ่งต้องยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ปรากฏข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลย (เดิม) ยื่นคำให้การ ส่วนโจทก์ (เดิม) ขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดได้ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิเคราะห์คำร้องสอดแล้วเห็นว่ามีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงให้ผู้ร้องนำพยานเข้าสืบ เนื่องจากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง

            ในวันสืบพยานโจทก์ จำเลย และผู้ร้องสอดไม่มาศาล กรณีเช่นนี้ คำสั่งศาลที่สั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น แยกพิจารณาดังนี้

            ในคดีเดิมระหว่างโจทก์และจำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 201 ประกอบมาตรา 200 วรรคแรก เพราะเป็นกรณีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา และคดีระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย (เดิม) ที่ยื่นคำให้การก็ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 201 ประกอบมาตรา 200 วรรคแรก เช่นกัน

            ส่วนคดีระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์เดิม (เดิม) ซึ่งเป็นจำเลยในคดีร้องสอดนั้น เมื่อได้ความว่า โจทก์ (ผู้ร้องสอด) ไม่มาศาลในวันสืบพยาน กรณีเช่นนี้ ถือว่าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลต้องยกฟ้องโจทก์ ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคห้า ทั้งการที่โจทก์ (เดิม) ซึ่งเป็นจำเลยในคดีร้องสอดขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานก็จะถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสี่ ที่ว่า ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานตามมาตรานี้ มิให้ถือว่าจำเลยนั้นขาดนัดพิจารณา ดังนั้น การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีในส่วนนี้ ตามมารตรา 201 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิใช่กรณีที่คู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา

            สรุป คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมาย เฉพาะคดีเดิมระหว่างโจทก์และจำเลยและคดีระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย

            ส่วนคดีผู้ร้องสอดกับโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน

ข้อ 1. เด็ดดวงเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่แสวงจำเลยให้ออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย โดยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาท แสวงจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เด็ดดวงเป็นโจทก์ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ ก่อนสืบพยาน วงษ์ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นบิดาของแสวงจำเลย ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท ผู้ร้องได้แสวงจำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงขอเข้ามาเป็นจำเลย เพื่อสงวนสิทธิของผู้ร้องโดยจะยื่นคำให้การต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เด็ดดวงโจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า วงษ์ผู้ร้องจะใช้สิทธิในทางที่ขัดกับสิทธิที่แสวงจำเลยเดิมมีอยู่ไม่ได้ เมื่อจำเลยเดิมขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้อง ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้น จะสั่งคำร้องของวงษ์อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)          ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

มาตรา 58 วรรคแรก ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แห่งมาตราก่อนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผู้ร้องสอดอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง คัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด อาจอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และอาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องวงษ์ว่าอย่างไร เห็นว่า การที่วงษ์ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นของผู้ร้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับการรับรอง คุ้มครอง หรือ บังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ จึงเป็นเรื่องที่วงษ์ร้องสอดตั้งข้อพิพาทเข้ามาเพื่อต่อสู้คดีกับเด็ดดวงโจทก์ อันถือได้ว่าเป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ตามมาตรา 57(1) วงษ์ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนถูกฟ้องตามมาตรา 58 วรรคแรก ข้อห้ามตามมาตรา 58 วรรคสองจึงนำมาใช้บังคับกับวงษ์ผู้ร้องไม่ได้ ดังนั้นแม้แสวงจะขาดนัดยื่นคำให้การวงษ์ผู้ร้องสอดก็มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความและมีสิทธิยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ (ฎ. 797/2515) เพราะกฎหมายให้สิทธิผู้ร้องสอดสามารถใช้สิทธินอกเหนือจากสิทธิของจำเลยได้ ในกรณีนี้ หากข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องของวงษ์ผู้ร้อง คำแถลงคัดค้านของเด็ดดวงฟังไม่ขึ้น

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องของวงษ์ผู้ร้อง คำแถลงคัดค้านของเด็ดดวงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. ขาวมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัทรถไทย จำกัด ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขาวได้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อที่จังหวัดลพบุรี โดยมีแดงซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของขาว จากนั้น บริษัทรถไทย จำกัด ได้ส่งสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไปให้ผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทลงนามที่สำนักงานใหญ่ ต่อมาขาวผิดสัญญาเช่าซื้อไม่ชำระค่างวดตามกำหนด บริษัทรถไทย จำกัด จะฟ้องขาวและแดงที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)          คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

มาตรา 5 คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดีถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันโจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้

วินิจฉัย

ในกรณีสัญญาเช่าซื้อซึ่งต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 572 วรรคสอง ถ้าผู้เช่าซื้อและผู้ให้เช่าซื้อลงชื่อในสัญญาไม่พร้อมกันและต่างสถานที่กัน กรณีเช่นนี้ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อได้ทำขึ้นสองแห่ง มูลคดีสัญญาเช่าซื้อเกิดขึ้นทั้งสถานที่ที่ผู้เช่าซื้อและผู้ให้เช่าซื้อลงชื่อในสัญญา

กรณีตามอุทาหรณ์ บริษัทรถไทย จำกัด จะฟ้องขาวและแดงที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้หรือไม่ เห็นว่าตามข้อเท็จจริงดังกล่าว แม้ขาวจะลงลายมือชื่อในฐานผู้เช่าซื้อที่จังหวัดลพบุรีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 572 วรรคสอง เมื่อได้ความว่า มีการส่งสัญญาเช่าซื้อไปให้ผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทรถไทย จำกัด ลงลายมือชื่อในสัญญาในนามผู้ให้เช่าซื้อที่สำนักงานใหญ่ เพื่อให้สัญญาเช่าซื้อสมบูรณ์ กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า สำนักงานใหญ่ของบริษัทรถไทย จำกัดเป็นสถานที่มูลคดีเกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งด้วย ดังนั้น เมื่อสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในเขตศาลของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ บริษัทรถไทย จำกัด จึงสามารถฟ้องขาวที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้ ตามมาตรา 4(1)

สำหรับนายแดงผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดเมื่อขาวลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ อันถือว่าเป็นกรณีที่มีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน บริษัทรถไทย จำกัด จึงฟ้องแดงที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้เช่นเดียวกัน ตามมาตรา 5 (ฎ. 2586/2540)

สรุป บริษัทรถไทย จำกัด จึงฟ้องขาวและแดงที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้

หมายเหตุ ในกรณีนี้ถ้าแดงลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วบริษัทรถไทย จำกัด ประสงค์จะฟ้องแดงผู้ค้ำประกันให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเท่านั้น ไม่ได้ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อ บริษัทฯ ต้องฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพราะมูลคดีตามสัญญาค้ำประกันเกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จะฟ้องคดีต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ไม่ได้ (ฎ. 6936/2539)

 

ข้อ 3. ในคดีแพ่งสามัญคดีหนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 4 ไม่ได้ยื่นคำให้การ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความทั้งหมดมาศาล จำเลยที่ 4 แถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ศาลจึงได้จดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาและจำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าว ศาลได้สืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสาม โดยเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าของจำเลยทั้งสาม และถือว่ารายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นคำให้การของจำเลยที่ 4 จึงได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง ท่านเห็นว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของจำเลยที่ 4 ชอบด้วยหลักกฎหมายในเรื่องขาดนัดหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 48 วรรคแรก ในคดีทุกเรื่อง ให้เป็นหน้าที่ของศาลต้องจดแจ้งรายงานการนั่งพิจารณาหรือกระบวนพิจารณาอื่นๆของศาลไว้ทุกครั้ง…

มาตรา 67 วรรคแรก เมื่อประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นบัญญัติว่า เอกสารใดจะต้องส่งให้แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง (เช่น คำคู่ความที่ทำโดยคำฟ้องคำให้การหรือคำร้องหรือคำขอโดยทำเป็นคำร้อง หมายเรียกหรือหมายอื่นๆ สำเนาคำแถลงการณ์ หรือสำเนาพยานเอกสาร ฯลฯ) เอกสารนั้นต้องทำขึ้นให้ปรากฏข้อความแน่ชัดถึงตัวบุคคล…

มาตรา 198 วรรคแรก และวรรคสอง ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้โจทก์มีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด

ถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ รายงานกระบวนพิจารณาเป็นเอกสารที่ศาลจดบันทึกข้อความเกี่ยวด้วยเรื่องที่ได้กระทำในการนั่งพิจารณาหรือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นของศาล ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 48 ส่วนคำให้การเป็นคู่ความซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งใน มาตรา 67 ว่าให้คู่ความทำเป็นหนังสือโดยใช้แบบพิมพ์ของศาลและมีรายการต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้บันทึกคำแถลงของจำเลยที่ 4 ที่ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ก็ถือไม่ได้ว่ารายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวเป็นคำให้การของจำเลยที่ 4

เมื่อจำเลยที่ 4 มิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด กรณีจึงถือว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องมีคำขอต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ตามมาตรา 198 วรรคแรก แม้จำเลยทั้งสี่จะแถลงยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง และศาลชั้นต้นสามารถพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องทำการสืบพยานอีกต่อไป ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องมีคำขอตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความได้ ตามมาตรา 198 วรรคสอง

ดังนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในส่วนของจำเลยที่ 4 จึงไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายว่าด้วยการขาดนัดยื่นคำให้การ (ฎ. 911/2548)

สรุป การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในส่วนของจำเลยที่ 4 ไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายว่าด้วยการขาดนัดยื่นคำให้การ

 

ข้อ 4. นายเงินซื้อสินค้าจากนายทองราคา 500,000 บาท ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 ตกลงแบ่งชำระราคาเป็น 10 งวด ๆ ละ 50,000 บาท ทุกวันที่ 1 ของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 จนกว่าจะครบ ต่อมานายเงินผิดนัด ไม่ชำระราคางวดที่ 4 และ 5 นายทองจึงยื่นฟ้องแล้วนายเงินได้ชำระราคาสินค้างวดที่ 6 และ 7 ต่อจากนั้น นายเงินก็ไม่ชำระราคาที่เหลือ ระหว่างพิจารณาคดีแรกนายทองได้ยื่นฟ้องนายเงินเป็นคดีที่สอง เพื่อเรียกราคาสินค้าสำหรับงวดที่ 8 ถึง 10 ก่อนวันชี้สองสถาน 10 วัน โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเปลี่ยนชื่อนายเงิน จำเลย เป็นบริษัทเงิน จำกัด โดยอ้างว่า บริษัทเงิน จำกัด เป็นชื่อในทางการค้าหรือนามแฝงหรือฉายาของนายเงิน นายเงินให้การต่อสู้ว่า ฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรก และคัดค้านการขอแก้คำฟ้องของนายทองท่านเห็นว่าคำให้การของนายเงินฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 173 วรรคสอง นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้

(1)          ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่น

มาตรา 179 วรรคแรก โจทก์หรือจำเลยจะแก้ไขข้อหา ข้อต่อสู้ ข้ออ้าง หรือข้อเถียงกันกล่าวไว้ในคำฟ้องหรือคำให้การที่เสนอต่อศาลแต่แรกก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรกหรือไม่ เห็นว่า แม้ฟ้องคดีก่อนและฟ้องคดีนี้ ต่างอ้างว่านายเงินผิดสัญญาซื้อขายฉบับเดียวกันก็ตามแต่จำนวนหนี้ที่นายทองฟ้องขอให้บังคับนายเงินชำระตามคำฟ้องทั้งสองคดีเป็นคนละจำนวนกัน กล่าวคือ ฟ้องคดีก่อนนายทองขอบังคับให้จำเลยชำระค่าสินค้ารวม 100,000 บาท ที่นายเงินต้องผ่อนในงวดที่ 4 และงวดที่ 5 ส่วนฟ้องคดีนี้นายทองขอให้บังคับนายเงินชำระสินค้าที่ต้องผ่อน งวดที่ 8 ถึง 10 อีกทั้ง ราคาสินค้างวดที่ 8 ถึงงวดที่ 10 ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระในขณะที่นายทองฟ้องคดีแรก ฟ้องคดีหลังของนายทองจึงไม่ใช่ฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีแรก จึงไม่ใช่ฟ้องซ้อน ตามมาตรา 173(1) คำให้การของนายเงินในกรณีจึงฟังไม่ขึ้น (ฎ. 5867/2544)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า โจทก์จะยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่าโดยหลักแล้ว การแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ตามาตรา 179 ต้องเป็นการแก้ไขข้อหาหรือข้ออ้างที่มีต่อจำเลย โดยการเพิ่มหรือการลดทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิมหรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนตัวจำเลยหรือเพิ่มตัวจำเลย ซึ่งเป็นตัวบุคคลที่จะต้องระบุไว้แน่ชัดตามมาตรา 67 ตามข้อเท็จจริงได้ความว่า นายทองฟ้องนายเงินเป็นจำเลย ในคดีนี้มาตั้งแต่แรกโดยบรรยายฟ้องว่า นายเงินเป็นบุคคลธรรมดา แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า นายทองไม่ได้ฟ้องนิติบุคคลเป็นจำเลย การที่นายทองโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอแก้ชื่อนายเงินจากบุคคลธรรมดาเป็นบริษัทเงิน จำกัดนั้น ซึ่งเป็นนิติบุคคลอันเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งต่างหากจากกัน จึงมิใช่เป็นเรื่องที่จะขอแก้ไขคำฟ้องได้ตามมาตรา 179 กรณีเช่นนี้ ศาลต้องสั่งยกคำร้องของนายทอง คำคัดค้านของนายเงินฟังขึ้น (ฎ. 3844/2535)

สรุป คำให้การของนายเงินฟังไม่ขึ้น ส่วนคำคัดค้านของนายเงินฟังขึ้น

LW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน

ข้อ 1.  นายธนพลได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่งจากนายธนทรัพย์ ในระหว่างสัญญาปรากฏข่าวลือว่าทางการจะตัดถนนผ่านที่ดินในบริเวณดังกล่าวทำให้ราคาที่ดินขยับสูงขึ้นหลายเท่าตัว ธนพลจึงมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นทนายความว่าตนต้องการจะฟ้องให้นายธนทรัพย์ปฏิบัติตามสัญญาโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับตนและรับเงินส่วนที่เหลือไปหรือมิฉะนั้นก็ขอให้ศาลมีคำสั่ง แสดงว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ดังนี้ ท่านจะแนะนำนายธนพลอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

วินิจฉัย

ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใดๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำเสนอคดีต่อศาลได้จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติ มาตรา 55 แล้วได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

1.    กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็ให้เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาล ตามมาตรา 55 และมาตรา 172

2.    กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล เพราะเหตุว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้น ซึ่งกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลได้ ให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาล ตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1)

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะแนะนำนายธนพลว่า นายธนพลยังไม่อาจฟ้องนายธนทรัพย์ต่อศาลได้ เพราะยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่านายธนทรัพย์ได้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดอันถือเป็นการโต้แย้งสิทธิของนายธนพล กล่าวคือ นายธนทรัพย์ผู้จะขายยังมิได้ผิดสัญญาจะซื้อขายจดทะเบียนโอนที่ดินให้บุคคลอื่นไป อีกทั้งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายสารบัญญัติแล้วก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นายธนพลจะใช้สิทธิทางศาลได้แต่อย่างใด เพราะสัญญาจะซื้อขายที่ดินย่อมมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อคู่สัญญาทำสัญญาตกลงกัน และมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือวางมัดจำ หรือมีการชำระหนี้บางส่วน หาจำต้องให้ศาลมีคำสั่งว่าสัญญาจะซื้อขายมีผลบังคับตามกฎหมายอีกไม่ ดังนั้นในกรณีนี้นายธนพลจึงไม่อาจฟ้องนายธนทรัพย์ต่อศาลเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขาย และไม่อาจใช้สิทธิทางศาลให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวได้ ตามมาตรา 55


สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนำนายธนพลว่า นายธนพลยังไม่อาจฟ้องนายธนทรัพย์ต่อศาลหรือใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวได้

ข้อ 2. คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยต่อศาลขอให้ชำระหนี้ จำเลยยื่นคำให้การ แต่มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ จำเลยยื่นคำร้องพร้อมคำให้การขอให้ศาลหมายเรียกผู้ค้ำประกันเข้ามาเป็นจำเลยร่วม  ศาลได้หมายเรียกผู้ค้ำประกันเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องขอของจำเลย ผู้ค้ำประกันให้การต่อสู้ว่า  ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง โจทก์แถลงคัดค้านว่าผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การไม่ได้ เพราะเป็นการใช้สิทธินอกจากสิทธิที่จำเลยเดิมมีอยู่ ศาลไม่ฟังคำคัดค้านของโจทก์ พิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้มีผลไปถึงลูกหนี้ด้วย ดังนี้ คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด(3) ด้วยถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี (ก) ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี…มาตรา 58 วรรคแรก ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แห่งมาตราก่อนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผู้ร้องสอดอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง คัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด อาจอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และอาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมมาตรา 59 บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี แต่ห้ามมิให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ หรือได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ ดังนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกันเพียงเท่าที่จะกล่าวต่อไปนี้(1)    บรรดากระบวนพิจารณาซึ่งทำได้โดย หรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่งนั้นให้ถือว่าได้ทำโดยหรือทำต่อ คู่ความร่วมคนอื่นๆด้วย เว้นแต่กระบวนพิจารณาที่คู่ความร่วมคนหนึ่งกระทำไปเป็นที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่นๆ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การนอกเหนือจากคำให้การเดิมได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มิได้ฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยโดยตรง หากแต่ศาลได้หมายเรียกผู้ค้ำประกันเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลย ตามมาตรา 57(3) (ก) กรณีเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นจำเลยร่วมมีสิทธิเสมือนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ตามมาตรา 58 วรรคแรก อันทำให้จำเลยร่วมมีสิทธิยื่นคำให้การโดยยกอายุความขึ้นต่อสู้คดีได้ ดังนั้น คำคัดค้านของโจทก์ในกรณีนี้จึงฟังไม่ขึ้น (ฎ. 2527/2525)

ส่วนประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า เมื่อจำเลยร่วมยื่นคำให้การยกอายุความเป็นข้อต่อสู้ และศาลพิจารณาแล้วว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เช่นนี้จะมีผลไปถึงจำเลยลูกหนี้ด้วยหรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์ได้ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยต่อศาลขอให้ชำระหนี้และผู้ค้ำประกันก็ได้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีดังกล่าว ซึ่งต้องรับผิดเมื่อจำเลยลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ จึงเป็นกรณีที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเป็นคู่ความในคดีเดียวกัน เมื่อได้ความจำเลยร่วมได้ยื่นคำให้การต่อสู้ในเรื่องของอายุความไว้ กรณีเช่นนี้ถือว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งได้กระทำโดยจำเลยร่วมให้ถือว่าได้กระทำโดยจำเลยด้วย ตามมาตรา  59(1) เพราะมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ทั้งนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก็ตาม ดังนั้น การที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้มีผลถึงลูกหนี้ด้วย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว (ฎ. 6246/2540, ฎ. 839/2535)

สรุป คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายไทยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้เดินทางไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พบกับนายจอห์นสัญชาติอเมริกัน มีภูมิลำเนาอยู่ที่นิวยอร์ก และได้ตกลงเช่าซื้ออาคารชุดของนายจอห์น ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย โดยทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาเมื่อนายไทยได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว จึงขอให้นายจอห์นจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดดังกล่าวให้กับนายไทย แต่นายจอห์นไม่ดำเนินการ ดังนี้ นายไทยประสงค์จะฟ้องต่อศาลไทย ขอให้บังคับนายจอห์นจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดดังกล่าวแก่นายไทย จะฟ้องต่อเขตศาลใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 ทวิ คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

วินิจฉัย

ตามมาตรา 4 ทวิ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า เมื่อเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ในการเสนอคำฟ้องต่อศาลอาจเสนอโดย

1.)    ศาลที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตศาล กรณีเช่นนี้ ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรหรือไม่ก็ตาม หรือ
2.)    ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาล

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไทยประสงค์จะฟ้องต่อศาลไทยขอให้บังคับนายจอห์นจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดดังกล่าวให้แก่นายไทย ถือว่าเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ (ฎ, 1115/2523) จึงอยู่ในบังคับมาตรา 4 ทวิ กรณีเช่นนี้นายไทยจึงสามารถฟ้องนายจอห์นต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ อันถือว่าศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ทั้งนี้ โดยไม่คำนึงว่าจอห์นจะมีสัญชาติใดก็ตาม

สรุป นายไทยสามารถฟ้องนายจอห์นให้โอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดดังกล่าวแก่นายไทยต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมแหวนเพชร 1 วง ราคา 5,000,000 บาท ของโจทก์ไปแล้วไม่ส่งคืน ขอบังคับให้จำเลยคืนแหวนเพชรแก่โจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายบัญญัติ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่ามีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยให้จำเลยคืนแหวนเพชรให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาชั้นต้นดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะทรัพย์ที่พิพาทมีราคาสูงศาลยังไม่ได้สืบพยานหลักฐานโจทก์ก่อนวินิจฉัยชี้ขาดคดี ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                มาตรา 198 ทวิ วรรคแรกและวรรคสอง ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้

                เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้ แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลสิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

                วินิจฉัย

                กรณีตามอุทาหรณ์ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยยืมแหวนเพชรแล้วไม่ส่งคืน ขอบังคับให้จำเลยคืนแหวนเพชรให้แก่โจทก์ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ถือเป็นเรื่องที่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีได้โดยไม่สืบพยานเพราะคำฟ้องดังกล่าวมิใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัว หรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ที่ศาลต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง แต่อย่างใด กรณีเช่นนี้ เมื่อศาลเห็นว่าคดีมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายศาลจึงมีอำนาจพิพากษาหรือมีคำสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีได้โดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ ตามมาตรา  198 ทวิ วรรคแรก ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะทรัพย์ที่พิพาทมีราคาสูงศาลยังไม่ได้สืบพยานหลักฐานโจทก์ก่อนวินิจฉัยชี้ขาด จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 ซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3005 (LA 305),(LW 306) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ 

ข้อ 1.       โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1  และจำเลยที่ 2  ให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทในทางการที่จ้างชนโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีระหว่างพิจารณาคดีโจทก์กับจำเลยที่ 2  จำเลยที่ 2  ยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยที่ 1  เข้าเป็นคู่ความร่วมตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57 (3) (ก) โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 หากการพิจารณาให้จำเลยที่ 2 แพ้คดี จำเลยที่ 2 มีสิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้  ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะออกหมายเรียกจำเลยที่ 1  เข้าเป็นคู่ความตามคำร้องขอของจำเลยที่ 2 หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย   ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57

วินิจฉัย   

ตามปัญหาจำเลยที่ 2 ร้องขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นการ    ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความด้วยถูกหมายเรียกตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57 (3) (ก) แต่ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความจะต้องเป็นบุคคลภายนอกที่มิใช่โจทก์จำเลยในคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57 เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นจำเลย จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นคู่ความ แม้จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 1 ยังมีฐานะเป็นคู่ความอยู่เพราะศาลยังต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะไม่ออกหมายเรียกจำเลยที่ 1 เข้าเป็นคู่ความตามคำร้องขอของจำเลยที่ 2

 

ข้อ 2.       วรเดชตกลงซื้อที่ดินตั้งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีจากปัญญามีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอยุธยาเพื่อก่อสร้างโรงงานโดยในสัญญาจะซื้อขายมีข้อตกลงกันว่าวรเดชได้ว่าจ้างปัญญาก่อสร้างโรงงานและจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อการก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา  ปัญญาผิดสัญญาวรเดชบอกเลิกสัญญาและประสงค์จะฟ้องปัญญาให้คืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหาย  วรเดชจะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย   ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) และ 4 ทวิ

วินิจฉัย  

ตามปัญหาวรเดชผู้ซื้อที่ดินอ้างว่าปัญหาผู้ขายที่ดินผิดสัญญาไม่ก่อสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา วรเดชจึงบอกเลิกสัญญาและประสงค์จะฟ้องเรียกค่ามัดจำคืน และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ทวิ ต้องบังคับตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) วรเดชชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล

ดังนั้น วรเดชต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จังหวัดอยุธยา อันเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

 

ข้อ 3.       เอกเป็นโจทก์ฟ้องยอดเป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดินขอให้จำเลยรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่ซื้อให้แก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่าโจทก์ยังค้างชำระราคาที่ดินจำเลย การที่จำเลยให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อเกิดจากการฉ้อฉลและสำคัญผิดเป็นโมฆะขอให้เพิกถอนโจทก์จากผู้ถือกรรมสิทธิ์และริบมัดจำ คดีอยู่ระหว่างพิจารณา  ยอดได้เป็นโจทก์ฟ้องเอกเป็นจำเลย อ้างว่าจำเลยตกลงซื้อที่ดิน โจทก์ชำระเงินวันทำสัญญาบางส่วน โจทก์ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อแล้วจะชำระราคาส่วนที่เหลือให้โจทก์แต่จำเลยไม่ชำระราคาที่ดิน      ที่ค้างแก่โจทก์  ขอศาลบังคับให้จำเลยชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ  ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำฟ้องของโจทก์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย   ป.วิ.แพ่ง มาตรา 1 (3) และ 173 วรรคสอง (1)

วินิจฉัย   

ตามปัญหา เอกเป็นโจทก์ฟ้องยอดเป็นจำเลยขอให้รังวัดแบ่งแยกที่ดินที่เอกซื้อจากยอด ยอดให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่าโจทก์ยังค้างชำระราคาที่ดินที่จำเลยให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินที่ซื้อเกิดจากการฉ้อฉลและสำคัญผิดเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนโจทก์จากผู้ถือกรรมสิทธิ์และริบมัดจำ คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ยอดได้เป็นโจทก์ฟ้องเอกเป็นจำเลย อ้างว่าเอกซื้อที่ดินจากยอดแล้วไม่ชำระราคาที่ค้าง ขอศาลบังคับให้จำเลยชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ     คดีที่ยอดเป็นโจทก์ฟ้องเอกเป็นจำเลยในคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกับคดีที่เอกเป็นโจทก์ฟ้องยอดเป็นจำเลยและอยู่ในระหว่างพิจารณา ยอดเป็นโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยในคดีก่อนและฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 1(3) จำเลยฟ้องแย้งได้กลับฐานะเป็นโจทก์ เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับฟ้องแย้งในคดีก่อนและโจทก์เป็นคนเดียวกัน ข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เพราะเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)

ดังนั้น ศาลจะสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์เพราะเป็นฟ้องซ้อน

 

ข้อ 4.       โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยไม่สุจริต  ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด  จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 2 ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1  มิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง ศาลพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์มีมูลไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงมีคำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1  โดยไม่มีการสืบพยาน  ส่วนโจทก์กับจำเลยที่ 2  ศาลแจ้งกำหนดวันนัดสืบพยานให้ทราบแล้วโดยชอบ  ถึงกำหนดวันนัดสืบพยาน โจทก์และทนายไม่มาศาลมาแต่จำเลย  จำเลยขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ  ดังนี้ คำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยที่ 1  ขาดนัด และคำสั่งจำหน่ายคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย   ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง, มาตรา 200 และมาตรา 202

วินิจฉัย  

 ตามปัญหา เมื่อจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การแล้วการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต้องอยู่ในบังคับ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรค 1 และวรรคสอง เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าฟ้องโจทก์มีมูลไม่ขัดต่อกฎหมาย ก่อนศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีศาลต้องสั่งให้โจทก์นำพยานเข้าสืบเพราะคดีนี้เป็นการพิพาทกันเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ โดยโจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินจำเลยมาปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ หากศาลพิพากษาชี้ขาดไปโดยไม่มีการสืบพยานจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2    ยื่นคำให้การต้องพิจารณาคดีไปอย่างธรรมดา เมื่อโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม    ป.วิ.แพ่ง มาตรา 200 และเมื่อจำเลยขอให้ศาลยกฟ้องหมายถึงจำเลยประสงค์ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป     แต่ศาลได้สั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงไม่ชอบตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 202

สรุป   คำพิพากษาศาลที่ชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3005 (LA 305),(LW 306) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ 

ข้อ 1.        เมืองต้องการยกที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 50 ไร่ แก่บุตรสองคน คือ หนึ่ง และ สอง จึงไปทำสัญญาให้และ จดทะเบียนโอนที่สำนักงานที่ดิน และเมืองได้ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่ง เนื้อที่ 5 ไร่จากไม้ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถของโรงแรมที่เมืองดำเนินกิจการอยู่  ปรากฏต่อมาว่า

ก.  ในโฉนดที่ดินมีการจดทะเบียนว่าผู้ได้รับการให้ที่ดินแปลงแรกสามคนคือ หนึ่ง และ บุตรของหนึ่งอีกสองคน  เพราะสองถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว  ซึ่งเมืองเห็นว่าไม่ตรงตามความประสงค์ของตน และต้องการได้ที่ดินคืน โดยการยื่นคำร้องอย่างคดีไม่มีข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้สัญญาให้เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156

ข.  เอก โท และตรี เจ้าของตึกแถวซึ่งอยู่ข้างที่ดินที่เช่าได้ติดตั้งหลังคากันสาดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่เช่า  ทำให้เมืองไม่สามารถปรับปรุงที่ดินที่เช่าและสร้างหลังคาโรงรถได้ เมืองจึงจะฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เอก โท    และตรี รื้อถอนกันสาดออกไปจากที่ดินที่เช่า

   ท่านเห็นว่าเมืองจะยื่นคำร้องขอตามข้อ ก. และฟ้องคดีตามข้อ ข. ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

ข้อเท็จจริงในคำถามเกี่ยวกับสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55

ก.  การที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 และ 188 (1) ต้องพิจารณาจากกฎหมายสารบัญญัติ กล่าวคือ จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำขอในกรณีนั้น ๆ ได้ เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองว่าหากผู้ทำนิติกรรมยกที่ดินให้ผู้ใดไปแล้ว ให้ผู้นั้นใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้ดังกล่าวเป็นโมฆะได้ แม้ ป.พ.พ.มาตรา 156 ที่ให้ใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมเป็นโมฆะได้ก็เป็นเพียงหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่จะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะเท่านั้น หาได้รับรองให้เมืองใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้นั้นเป็นโมฆะแต่อย่างใด เมืองจึงไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4530/2541)

ข.  เอก โท และตรี ได้ติดตั้งหลังคากันสาดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่เมืองเช่า เมืองจึงไม่สามารถใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวได้ ทำให้เมืองได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร คิดหรือคาดหมายในการใช้ที่ดิน แม้เมืองเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน แต่การเช่าดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ในกิจการโรงแรมของเมือง เมื่อเมืองเป็นเจ้าของโรงแรมอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษจากการกระทำของเอก โท และตรี จึงย่อมมีอำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 421 และมาตรา 1337 แม้เอก โท และตรีจะติดตั้งหลังคากันสาดตึกแถวก่อนที่เมืองจะทำสัญญาเช่าที่ดินก็หาเป็นเหตุให้เมืองต้องเสียสิทธิดังกล่าวไปไม่ โจทก์มีสิทธิฟ้องเอก โท และตรีเป็นจำเลยให้รื้อถอนหลังคาที่ต่อเติมและกีดขวางการใช้ประโยชน์ของเมืองได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 877/2546)

 

ข้อ 2.       นายสรศักดิ์คนไทยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสงขลา นายสรศักดิ์ได้ขับรถยนต์ไปเติมน้ำมันในประเทศมาเลเซีย เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว นายสรศักดิ์ขับรถยนต์ออกจากปั๊มน้ำมัน ได้ถูกรถยนต์ที่นายอับดุลซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดปัตตานีคนขับรถยนต์ของนายเดวิดนายจ้างชาวมาเลเซียมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศมาเลเซียขับชนได้รับความเสียหาย  นายสรศักดิ์กลับเข้ามาในประเทศไทย ทราบว่านายเดวิดมีคอนโดมีเนียมอยู่ที่จังหวัดกระบี่  นายสรศักดิ์ประสงค์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่นายอับดุลกระทำละเมิดจากนายอับดุล และนายเดวิดต่อศาลไทย จะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดได้บ้าง และจะฟ้องทั้งสองยังศาลเดียวกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1), 4 ตรีและมาตรา 5

วินิจฉัย  ตามปัญหาเป็นเรื่องกระทำละเมิดโดยมูลคดีเกิดนอกราชอาณาจักร นายสรศักดิ์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายอับดุลที่กระทำละเมิดต่อนายสรศักดิ์ได้ต่อศาลที่จังหวัดปัตตานีอันเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) และฟ้องนายเดวิด นายจ้าง ต่อศาลแพ่ง หรือศาลที่จังหวัดสงขลาอันเป็นศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ตรี นายสรศักดิ์ฟ้องนายอับดุลและนายเดวิด ยังศาลเดียวกันได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5

 

ข้อ 3.       ฟ้องซ้ำและการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

                คดีแรก   โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินมรดกคืนจากจำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ใช่สามีของเจ้ามรดกผู้ตาย คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดก  ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีหลังเรียกที่ดินมรดกในคดีแรกคืนจากจำเลย  อ้างว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นการปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์มรดกเพื่อมิให้โจทก์ได้รับมรดกจากเจ้ามรดก  จำเลยให้การต่อสู้ว่าการฟ้องคดีหลังของโจทก์ไม่ชอบเพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแรก  ท่านเห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยถูกต้องหรือไม่ และศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างไร

ธงคำตอบ

การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำบัญญัติในมาตรา 144 ส่วนการฟ้องซ้ำบัญญัติในมาตรา 148 ซึ่งมีข้อแตกต่างกันดังนี้

1.  หากคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแห่งคดียังไม่ถึงที่สุดต้องพิจารณาตามมาตรา 144 ไม่ใช่มาตรา 148

2.  หากคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแห่งคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าคดีที่วินิจฉัยภายหลัง

                ก.  มีลักษณะเป็นคำฟ้องต้องพิจารณาหลักเกณฑ์เรื่องฟ้องซ้ำตามมาตรา 148

                ข.  ไม่มีลักษณะเป็นคำฟ้องต้องพิจารณาหลักเกณฑ์เรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144

3.  ถ้าเป็นการกล่าวอ้างในคดีเดิมต้องพิจารณาหลักเกณฑ์เรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 เพราะการฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 ต้องเป็นคนละคดี

กรณีตามปัญหา คดีแรกมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไม่ใช่กรณีของการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำแต่ต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของฟ้องซ้ำ คดีแรกประเด็นแห่งคดีมีว่าจำเลยเป็นทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่ ส่วนคดีหลังประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยได้กระทำการอันเป็นการปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์มรดกอันจะถูกจำกัดไม่ให้รับมรดกหรือไม่ จึงเป็นคนละประเด็นกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ ศาลจึงสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2530)

 

ข้อ 4.       โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท โดยโจทก์อ้างว่าที่ดินและบ้านเป็นของโจทก์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดได้ยื่นคำร้องอ้างว่าที่ดินพิพาทผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านไม่ใช่ของโจทก์ และขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง  โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด  ศาลพิเคราะห์คำฟ้องแล้วมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย  ศาลสั่งให้ผู้ร้องสอดนำพยานเข้าสืบดังนี้

                ก.  ในวันสืบพยานผู้ร้องสอดโจทก์จำเลยคดีร้องสอดไม่มาศาล  ศาลถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา จึงสั่งให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว

                ข.  ในวันสืบพยานผู้ร้องสอด  ผู้ร้องสอดไม่มาศาล  ศาลสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

                ทั้ง ข้อ ก. และ ข้อ ข.  คำสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสี่ และวรรคห้า, และ 200

วินิจฉัย  ตามปัญหาผู้ร้องสอดได้ยื่นคำร้องเข้ามาในคดีอ้างว่าที่ดินและบ้านที่พิพาท ผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ขอให้ศาลสั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง ผู้ร้องได้เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในฐานะโจทก์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57 (1) โจทก์เดิมเป็นจำเลยในคดีร้องสอดต้องยื่นคำให้การเมื่อโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดขอให้ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีได้ ศาลตรวจคำฟ้องแล้วมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายจึงสั่งให้โจทก์นำพยานเข้าสืบในวันสืบพยานโจทก์ (ผู้ร้องสอด) โจทก์ (จำเลยคดีร้องสอด) ไม่มาศาล ไม่ถือว่าจำเลยขาดนัดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสี่ ศาลจะถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 204 ไม่ได้ ส่วนโจทก์ (ผู้ร้องสอด) ไม่มาศาลในวันสืบพยานก็ไม่ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 200 และ 202 แต่ถือว่าโจทก์ไม่นำพยานเข้าสืบคดี โจทก์ไม่มีมูลให้ศาลพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคห้า

ดังนั้น คำสั่งศาลตาม ข้อ ก. และ ข้อ ข. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (ข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แก้วเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทพัฒนาไทย จำกัด และดำ เป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามลำดับ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า หนี้ตามสัญญากู้ระงับแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้องระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น

ก.      นายดำ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การไม่เข้ามาต่อสู้คดีทั้งที่หนี้ระงับแล้ว ทำให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายในทรัพย์สินแลหนี้สินของจำเลยที่ 1 ขอสอดเข้ามาต่อสู้คดีแทนจำเลยที่ 1

ข.      นายแดงกับนายเหลืองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีเนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 มีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิผู้ร้องมีอยู่ในบริษัทจำเลยที่ 1 จึงร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย

ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องของนายดำ และนายแดงกับนายเหลืองอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)   ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

วินิจฉัย

ก.      ตามมาตรา 57 วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความ” อาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอดตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่า การร้องสอดเข้ามาในคดีนั้นไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจ หรือด้วยถูกหมายเรียกเข้ามาในคดี ผู้ร้องสอดจะต้องเป็นบุคคลภายนอกคดีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องของนายดำอย่างไร เห็นว่า คดีนี้แก้วเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทพัฒนาไทยจำกัด และนายดำเป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามลำดับ นายดำจึงอยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีอยู่แล้ว โดยถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ดังนั้นนายดำจึงไม่ใช่บุคคลภายนอกคดี ไม่อาจร้องสอดเข้ามาในคดีแทนจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 57 ได้ (ฎ. 7709/2544)

ข.      กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องของนายแดงและนายเหลืองอย่างไร เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ เพียงแต่ขอให้บริษัทพัฒนาไทย จำกัด จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญากู้อันเป็นการฟ้องบังคับเอาแก่นิติบุคคล ต่างหากจากนายแดงและนายเหลือง ผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้น สิทธิของผู้ร้องทั้งสองมีต่อจำเลยที่ 1 อยู่อย่างไร ก็คงมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีเหตุจำเป็นเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ดังนั้นผู้ร้องทั้งสองจึงไม่อาจขอเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอด ตามมาตรา 57(1) (ฎ. 631/2545)

สรุป ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายดำจำเลยที่ 2 และของนายแดงกับนายเหลือง

 

ข้อ 2. ไก่ มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็ดมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2552 ไก่และเป็ดเดินทางไปเที่ยวประเทศออสเตรเลีย โดยเดินทางไปและกลับด้วยเครื่องบินของสายการบินไทย ขณะที่ทั้งสองอยู่บนเครื่องบิน ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไก่ได้ทำสัญญากู้เงินเป็ดจำนวน 100,000บาท โดยสัญญาว่าจะชำระคืนเมื่อเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว ขากลับระหว่างที่เครื่องบินจอดอยู่ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็ดมีเรื่องทะเลาวิวาทและชกต่อยกับทอม คนสัญชาติออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งบนเครื่องบิน เมื่อไก่และเป็ดกลับถึงประเทศไทย หากไก่ไม่ชำระหนี้คืนเป็ด และเป็ดไม่ชำระค่ารักษาพยาบาลแก่ทอม

ก.      เป็ดจะฟ้องไก่ได้ที่ศาลใด

ข.      ทอมจะฟ้องเป็ดได้ที่ศาลใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 3 เพื่อประโยชน์ในการเสนอคำฟ้อง

(1)   ในกรณีที่มูลคดีเกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทยที่อยู่นอกราชอาณาจักร ให้ศาลแพ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ

มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)   คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

วินิจฉัย

“มูลคดี” หมายถึง เหตุอันก่อให้เกิดการฟ้องร้องกันขึ้นหรือต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง (ฎ. 2437/2540) ถ้าเป็นการฟ้องให้รับผิดในมูลละเมิด เหตุละเมิดเกิดขึ้นในเขตศาลใด ถือว่ามูลคดีเกิดในเขตศาลนั้น ถ้าเป็นการฟ้องให้รับผิดตามสัญญา ศาลที่มูลคดีเกิด ได้แก่ ที่ทำสัญญา และที่ประพฤติผิดสัญญา

สำหรับการเสนอคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนี้

1.                 มูลคดีที่เกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทยที่อยู่นอกราชอาณาจักร กล่าวคือถ้าเหตุอันก่อให้เกิดการฟ้องร้องกันเกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทยที่อยู่นอกราชอาณาจักร ก็ให้ถือว่ามูลคดีได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร โดยให้ศาลแพ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเพียงศาลเดียว ตามมาตรา 3(1) เว้นแต่ ในกรณีที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร กรณีนี้ก็สามารถเสนอคำฟ้องได้ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ได้อีกศาลหนึ่งตามมาตรา 4(1)

2.                 มูลคดีเกิดขึ้นในราชอาณาจักรโดยตรง กล่าวคือ ถ้ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลใดก็เสนอคำฟ้องยังศาลนั้นได้ ตามมาตรา 4(1)

ก.      กรณีตามอุทาหรณ์ เป็ดจะฟ้องไก่ได้ที่ศาลใด เห็นว่า แม้ได้ความว่าสัญญากู้ระหว่างเป็ดและไก่จะทำกันบนเครื่องบินของการบินไทย ซึ่งเป็นอากาศยานไทยก็ตาม แต่ในขณะทำสัญญากันนั้นเครื่องบินจอดอยู่ที่ท่าอากาศสุวรรณภูมิในประเทศไทย กรณีนี้มูลคดีมิได้เกิดในอากาศยานไทยที่อยู่นอกราชอาณาจักรจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 3(1) แต่เป็นกรณีที่มูลคดีเกิดขึ้นในราชอาณาจักรโดยตรง ตามมาตรา 4(1) กรณีเช่นนี้ เป็ดต้องฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือศาลจังหวัดสมุทรปราการ อันเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล

ข.      กรณีตามอุทาหรณ์ ทอมจะฟ้องเป็ดได้ที่ศาลใด เห็นว่า ในขณะที่เครื่องบินจอดอยู่ที่เมืองซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย เป็ดได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทชกต่อยกับทอม ซึ่งเป็นผู้โดยสารในเครื่องบิน กรณีนี้ถือว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดขึ้นอากาศยานไทยที่จอดอยู่นอกราชอาณาจักร ตามมาตรา 3(1) ทอมจึงสามารถฟ้องเป็ดได้ที่ศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจและทอมสามารถฟ้องเป็ดได้ที่ศาลจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้อีกแห่งหนึ่ง ตามมาตรา 4(1)

สรุป (ก) เป็ดจะฟ้องไก่ได้ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ หรือศาลจังหวัดสมุทรปราการ

(ข) ทอมจะฟ้องเป็ดได้ที่ศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดลำปาง

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้นัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 9 มีนาคม 2552 เวลา 9.00 นาฬิกา ในวันนัดจำเลยและทนายจำเลยไม่สามารถเดินทางไปศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ทันเวลานัด เนื่องจากรถยนต์เกิดเหตุขัดข้องอยู่ที่จังหวัดลำปางไม่อาจซ่อมได้ทัน ทนายจำเลยจึงไปยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีที่ศาลจังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 9.30 นาฬิกา ศาลจังหวัดลำปางได้สั่งในคำร้องของทนายจำเลยว่า “จัดการให้” ปรากฎว่าศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเมื่อเวลา 10.00 นาฬิกา และได้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2552 ฝ่ายจำเลยมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ตรวจสำนวนคดีจึงได้ทราบคำพิพากษาของศาลจังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 16 มีนาคม 2552 ทนายจำเลยจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลจังหวัดเชียงใหม่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 10 ถ้าไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัย คู่ความฝ่ายที่เสียหายหรืออาจเสียหายเพราะการนั้น จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งตนมีภูมิลำเนาหรืออยู่ในเขตศาลในขณะนั้นก็ได้ และให้ศาลนั้นมีอำนาจทำคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งยุติธรรม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลจังหวัดเชียงใหม่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับคดีนี้ว่าอย่างไร เห็นว่า ตามคำร้องของทนายจำเลยที่อ้างว่าไม่สามารถไปศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ทันกำหนดเวลานัด เพราะเหตุรถยนต์เกิดขัดข้องซ่อมไม่ทัน จึงได้ยื่นคำร้องดังกล่าวที่ศาลจังหวัดลำปาง เป็นกรณีที่ฝ่ายจำเลยไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่มีเหตุอำนาจเหนือคดีได้โดยเหตุสุดวิสัย กรณีเช่นนี้ ฝ่ายจำเลยสามารถยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดลำปางอันเป็นศาลที่ฝ่ายจำเลยอยู่ในเขตอำนาจได้ ตามมาตรา 10 และเป็นอำนาจของศาลจังหวัดลำปางที่จะพิจารณาสั่งคำร้องของทนายจำเลยว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทนายจำเลยได้ยื่นร้องขอเลื่อนคดีที่ศาลจังหวัดลำปาง และศาลจังหวัดลำปางได้สั่งในคำร้องว่า “จัดการให้”  กรณีเช่นนี้ แม้คำสั่งศาลจังหวัดลำปางจะไม่ชัดแจ้งว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี แต่การที่ศาลจังหวัดลำปางมีคำสั่งว่า “จัดการให้” ก็ถือได้ว่าเป็นคำสั่งที่อนุญาตให้เลื่อนคดีได้โดยปริยายแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เลื่อนคดีก่อนลงมือสืบพยานแล้ว เพราะปรากฏว่าศาลจังหวัดเชียงใหม่สั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณาภายหลังที่ศาลจังหวัดลำปางอนุญาตให้เลื่อนคดี กรณีจึงไม่ถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา (ฎ. 1644/2519(ประชุมใหญ่))

การที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิจารณาให้จำเลยแพ้คดี จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลจังหวัดเชียงใหม่จึงต้องสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 27

สรุป ศาลจังหวัดเชียงใหม่จึงต้องสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่

 

ข้อ 4. เอกมีที่ดินติดกับโท เอกมีทางเดินออกสู่สาธารณะโดยต้องเดินผ่านที่ดินของโท เอกเคยฟ้องโทเป็นคดีเกี่ยวกับทางเดินนั้นและได้มีคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าวให้ทางเดินในที่ดินของโท ตกเป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแก่ที่ดินของเอก โดยจะไม่เรียกค่าใช้ทางจากเอกหรือผู้อยู่อาศัยในที่ดินของเอกอีก ต่อมาเอกได้ขายที่ดินของตนให้แก่ตรี และตรีได้ใช้ทางจำเป็นในที่ของโทตลอดมา ต่อมาโทถึงแก่ความตาย โทมีทายาทสองคน คือใหญ่และจิ๋ว ใหญ่ได้ขายที่ดินทั้งหมดของโทแก่จัตวา หากปรากฏว่า

ก.      จิ๋วฟ้องใหญ่ว่าสัญญาระหว่างใหญ่ และจัตวาไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างใหญ่และจัตวา

ข.      จิ๋วฟ้องตรีขอให้ตรีชำระค่าใช้ทางจำเป็นในที่ดินของโท ซึ่งตกทอดเป็นมรดกแก่จิ๋ว เพราะเห็นว่าตรีใช้ทางจำเป็นโดยไม่ได้จ่ายค่าใช้ทางจำเป็น

ท่านคิดว่าศาลจะพิพากษาคดีทั้งสองอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 145  ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกาและการพิจารณาใหม่ คำพิพากษาหรือคำสั่งใดๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี

ถึงแม้ศาลจะได้กล่าวไว้โดยทั่วไปว่าให้ใช้คำพิพากษาบังคับแก่บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลด้วยก็ดี คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก…

วินิจฉัย

ก.      โดยหลักแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความเท่านั้น กรณีใดหากปรากฏว่าถ้าศาลพิพากษาคดีให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์จะทำให้กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกแล้วย่อมต้องห้าม ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลจะพิพากษาคดีว่าอย่างไร เห็นว่า การที่จิ๋วฟ้องใหญ่ว่า สัญญาระหว่างใหญ่และจัตวาไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอนการโอนระหว่างใหญ่กับจัตวานั้น กรณีเช่นนี้ หากศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างใหญ่กับจัตวาแล้ว ก็ย่อมเป็นการพิพากษาที่กระทบต่อสิทธิของจัตวาบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดี เมื่อคำฟ้องของจิ๋วจะมีผลกระทบถึงจัตวาซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ซึ่งจิ๋วไม่ได้ฟ้องจัตวาเป็นจำเลยในคดีนี้โดยตรง กรณีจึงต้องห้ามตามมาตรา 145 (ฎ. 7182/2539) ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้

ข.      ศาลจะพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร เห็นว่า ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายและเป็นทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทางจำเป็นจึงเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินและสามารถใช้ยันแก่บุคคลทั่วไปได้

ทางจำเป็นรายพิพาทนี้เจ้าของเดิมในที่ดิน มีสิทธิใช้ผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยมีคำพิพากษาตามยอมให้ทางเดินในที่ของโทตกเป็นทางจำเป็นตามกฎหมายแก่ที่ดินของเอก โดยจะไม่เรียกค่าใช้ทางจำเป็นจากเอกหรือผู้อยู่อาศัยในที่ดินของเอกอีก กรณีเช่นนี้ตรีผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ย่อมได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิทางจำเป็น จึงรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่จากเจ้าของที่ดินเดิม แม้ตรีจะไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่เมื่อตรีได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาจากเอก ตรีจึงมิใช่บุคคลภายนอก จิ๋วซึ่งเป็นทายาทของโทและตรีจึงต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยกัน จิ๋วจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าใช้ทางจำเป็นจากตรีอีก ศาลต้องยกฟ้องจิ๋ว (ฎ. 4416/2541)

สรุป ก. ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องจิ๋วข. ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องจิ๋ว

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน    ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (ข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสายฟ้าได้ครอบครองที่ดินของนายละเลย โดยสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ นายสายฟ้าประสงค์จะเสนอคดีต่อศาล เพื่อให้ศาลบังคับให้นายละเลยโอนที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนหรือขอให้ศาลแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตกเป็นของตนแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์จะได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 55 เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 188 ในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ให้ใช้ข้อบังคับต่อไปนี้

(1)   ให้เริ่มคดีโดยยื่นคำร้องขอต่อศาล

วินิจฉัย

ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใดๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำคดีเสนอต่อศาลได้จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 55 แล้วได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

1.      กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็ให้เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาล ตามมาตรา 55 และมาตรา 172

2.      กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล ในกรณีเป็นเรื่องที่ต้องใช้สิทธิทางศาลเพราะเหตุว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้นจากกฎหมายบัญญัติไว้ตามกฎหมายสารบัญญัติ ให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสายฟ้าครอบครองที่ดินของนายละเลยโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปี นายสายฟ้าย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดของนายละเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามป.พ.พ. 1382 แต่กรณีเช่นนี้ นายสายฟ้าจะเสนอคดีต่อศาลเพื่อให้ศาลบังคับให้นายละเลยโอนที่ดินให้เป็นกรรสิทธิ์ของตนไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่า นายละเลยได้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด อันจะถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของนายสายฟ้าเลย ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบังคับให้เจ้าของที่ดินมีหน้าที่ทางนิติกรรมต้องไปจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้ครอบครองปรปักษ์แต่อย่างใด (ฎ. 549/2535) แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้นายสายฟ้าสามารถขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตกเป็นของตนแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ได้ เพราะกรณีถือว่านายสายฟ้ามีความจำเป็นเกิดขึ้นจากกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลได้ (ป.พ.พ. มาตรา 1382) โดยต้องเสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาล ตามมาตรา 55 ประกอบมาตรา 188(1)

สรุป นายสายฟ้า จะเสนอคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้นายละเลยโอนที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนไม่ได้ แต่ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตกเป็นของตนแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ได้

หมายเหตุ ถ้าที่ดินของนายละเลยเป็นที่ดินไม่มีโฉนด เป็นเพียงที่ดินที่มีสิทธิครอบครอง เช่น น.ส.3, ส.ค.1 ฯลฯ นายสายฟ้าจะอ้างครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ไม่ได้ จึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าตนมีสิทธิครอบครอง ตามมาตรา 55 ไมได้เช่นกัน เพราะกรณีดังกล่าวไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้ (ฎ. 5389/2549)

 

ข้อ 2. คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทน ในระหว่างพิจารณาคดีผู้ร้องได้ยื่นคำร้องสอดต่อศาลว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและได้ขอให้ศาลยึดที่ดินที่พิพาทไว้แล้ว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) และให้ผู้ร้องยื่นคำให้การแก้ฟ้องภายใน 15วัน ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของผู้ร้องอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)   ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บุคคลใดจะร้องสอดเข้ามาในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องสอดเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ซึ่งจะต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องสอดเกี่ยวข้องกับคดีนั้น กล่าวคือ ข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้องในคดีเดิมเป็นการกระทบสิทธิของผู้ร้องสอดซึ่งสมควรที่จะว่ากล่าวให้เสร็จไปคราวเดียวกันกับคดีเดิม แต่ถ้าการพิพาทกันในระหว่างคู่ความในคดีเดิมมิได้กระทบกระเทือนสิทธิของผู้ใดแล้ว ผู้นั้นก็จะร้องสอดเข้ามาให้ว่ากล่าวในคราวเดียวกันไม่ได้

ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดต่อศาลว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและได้ขอให้ศาลยึดที่ดินไว้แล้ว จึงขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม กรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ร้องมีแต่เพียงสิทธิที่จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินทั้งหลายในส่วนของลูกหนี้ เพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น หาได้มีสิทธิที่จะบังคับเอากับที่ดินพิพาทหรือทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยตรงไม่ สิทธิของผู้ร้องจึงยังมิได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ หรือมิได้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งคดีนี้โดยตรง เพราะผู้ร้องสามารถดำเนินการบังคับคดีของตนต่อไปได้ จึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่ผู้ร้องจะร้องสอดเข้ามาในคดี ตามมาตรา 57(1) ศาลจึงต้องมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องสอด

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง

 

ข้อ 3. ฟ้าใสชาวไทยได้ไปประกอบอาชีพขายอาหารไทยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นเวลา 5 ปีแล้ว โทนี่ชาวไทยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียเช่นกัน โทนี่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรีจากฟ้าใส โดยทำสัญญากันที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โทนี่ได้แจ้งให้ฟ้าใสไปดำเนินการจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญา แต่ฟ้าใสปฏิเสธ โทนี่ประสงค์จะฟ้องเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาของฟ้าใสต่อศาลไทย โทนี่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)   คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

มาตรา 4 ทวิ คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

มาตรา 4 ตรี คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรให้เสนอต่อศาลแพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าเป็นการชั่วคราวหรือถาวร โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โทนี่ประสงค์จะฟ้องเรียกค่ามัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายจากการผิดสัญญาของฟ้าใสต่อศาลไทย การฟ้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นการฟ้องบังคับตัวจำเลย อันถือว่าเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ คือ ที่ดิน จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 4 ทวิ (ฎ. 683/2534) กรณีเช่นนี้ จึงต้องบังคับ ตามมาตรา 4(1) ที่ว่า “คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่” ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โทนี่มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีก็มิได้เกิดในราชอาณาจักร กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 4(1) เช่นเดียวกัน

แต่อย่างไรก็ดี คำฟ้องดังกล่าวของโทนี่ถือเป็นคำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4ทวิ และฟ้าใสจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรแต่โทนี่โจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย โทนี่จึงชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลไทยได้ที่ศาลแพ่งเพียงศาลเดียว ตามมาตรา 4 ตรีวรรคแรก

สรุป โทนี่สามารถเสนอคำฟ้องต่อศาลไทยได้ที่ศาลแพ่งเพียงศาลเดียว

 

ข้อ 4. สมชายมีที่ดินตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม สมศักดิ์ตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวโดยทำเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ต่อมาสมชายผิดสัญญาไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้สมศักดิ์ สมศักดิ์เป็นโจทก์ฟ้องต่อศาล ขอให้บังคับสมชายจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่สมศักดิ์ สมชายขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลตรวจคำฟ้องแล้วมีมูลไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาชี้ขาดให้สมศักดิ์ชนะคดีตามคำขอของสมศักดิ์โดยไม่มีการสืบพยาน

ดังนี้ คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 198 ทวิ วรรคแรกและวรรคสอง ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้

เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลสิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่สมศักดิ์ฟ้องต่อศาลขอให้บังคับสมชายจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่สมศักดิ์ เป็นคดีที่พิพาทโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิความเป็นเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์ อันถือเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี กรณีเช่นนี้ ศาลต้องอยู่ในบังคับมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง ตอนท้าย ที่ต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว จึงจะมีคำพิพากษาไปได้แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงได้ความว่า สมชายจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลได้พิเคราะห์แต่เพียงว่าคดีมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายจึงพิพากษาชี้ขาดให้สมศักดิ์ชนะคดีตามคำขอของสมศักดิ์ โดยไม่มีการสืบพยาน คำพิพากษาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คำพิพากษาของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3005 กฎหมายวีธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมืองต้องการยกที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 50 ไร่ แก่บุตรสองคน คือ หนึ่งและสอง จึงไปทำสัญญาให้และจดทะเบียนโอนที่สำนักงานที่ดิน และเมืองได้ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 5 ไร่ จากไม้เพื่อใช้เป็นที่จอดรถของโรงแรมที่เมืองดำเนินกิจการอยู่ ปรากฏต่อมาว่า

ก.      ในโฉนดที่ดินมีการจดทะเบียนว่าผู้ได้รับการให้ที่ดินแปลงแรกสามคนคือ หนึ่ง และบุตรของหนึ่งอีกสองคน เพราะสองถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว ซึ่งเมื่อเห็นว่าไม่ตรงตามความประสงค์ของตน และต้องการได้ที่ดินคืน โดยการยื่นคำร้องอย่างคดีไม่มีข้อพิพาท ขอให้ศาลมีคำสั่งให้สัญญาให้เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 156

ข.       เอก โท และตรี เจ้าของตึกแถวซึ่งอยู่ข้างที่ดินที่เช่าได้ติดตั้งหลังคากันสาดรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่เช่า ทำให้เมืองไม่สามารถปรับปรุงที่ดินที่เช่าและสร้างหลังคาโรงรถได้ เมืองจึงจะฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ เอก โท และตรี รื้อถอนกันสาดออกไปจากที่ดินที่เช่า ทำให้เมืองไม่สามารถปรับปรุงที่ดินที่เช่าและสร้างหลังคาโรงรถได้ เมืองจึงจะฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เอก โท และตรี รื้อถอนกันสาดออกไปจากที่ดินทีเช่า

ท่านเห็นว่าเมืองจะยื่นคำร้องขอตามข้อ ก. และฟ้องคดีตามข้อ ข. ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

        มาตรา 188 “ในคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ให้ใช้ข้อบังคับต่อไปนี้

(1)   ให้เริ่มคดีโดยยื่นคำร้องขอต่อศาล

วินิจฉัย

ก.      การที่บุคคลใดต้องใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีที่ไม่มีข้อพิพาท  โดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1) ต้องพิจารณาจากกฎหมายสารบัญญัติ กล่าวคือ จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอในกรณีนั้นๆได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมืองจะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้สัญญาให้เป็นโมฆะเพราะตนได้กระทำไปโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติแล้วไม่มีบทบัญญัติมาตราใดรับรองว่าหากผู้ทำนิติกรรมยกที่ดินให้ผู้ใดไปแล้วให้ผู้นั้นใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้ดังกล่าวเป็นโมฆะได้ แม้ ป.พ.พ. มาตรา 156 ที่ให้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมเป็นโมฆะได้ แต่ก็เป็นเพียงหลักเกณฑ์ของกฎหมายที่จะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะเท่านั้น หาได้รับรองให้เมืองใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมยกให้นั้นเป็นโมฆะแต่อย่างใด กรณีเช่นนี้ เมืองจึงไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้ (ฎ. 4530/2541) ต้องฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาล

ข.       กรณีตามอุทาหรณ์ เมืองจะยื่นฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้เอก โท และตรี รื้อถอนกันสาดออกไปจากที่ดินที่เช่าได้หรือไม่ เห็นว่า เอก โท และตรี ได้ติดตั้งหลังคากันสาดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่เมืองเช่าเมืองจึงไม่สามารถใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวได้ ทำให้เมืองได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนควรคิดหรือคาดหมายในการใช้ที่ดิน แม้ได้ความว่าเมืองเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน แต่การเช่าดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ในกิจการโรงแรมของเมือง กรณีเช่นนี้เมื่อเมืองเป็นเจ้าของโรงแรมอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษจากการกระทำของเอก โท และ ตรี อันถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของเมืองโจทก์ตามมาตรา 55 แล้ว เมืองจึงมีอำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421และมาตรา 1337 ทั้งนี้แม้เอก โท และตรีจะติดตั้งหลังคากันสาดตึกแถวก่อนที่เมืองจะทำสัญญาเช่าที่ดินก็หาเป็นเหตุให้เมืองต้องเสียสิทธิดังกล่าวไปไม่ ดังนั้นเมืองโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเอก โท และตรี เป็นจำเลยให้รื้อถอนหลังคาที่ต่อเติมและกีดขวางการใช้ประโยชน์ของเมืองได้ (ฎ. 877/2546)

สรุป ก. เมืองไม่สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้สัญญาเป็นโมฆะได้

      ข.  เมืองมีสิทธิฟ้อง เอก โท และตรี ให้รื้อถอนกันสาดออกไปจากที่ดินที่เช่าได้

 

ข้อ 2. นายสันติคนไทยไปมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสวีเดน นายเจสันชาวอังกฤษมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศสวีเดนเช่นกัน นายเจสันได้ซื้อสินค้าจากนายสันติที่ประเทศสวีเดนและค้างชำระราคา นายสันติทวงถามหลายครั้งนายเจสันไม่ยอมชำระ นายสันติกลับมาเยี่ยมญาติในประเทศไทย ทราบว่านายเจสันมีคอนโดมิเนียมอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสันติประสงค์จะฟ้องนายเจสันให้ชำระหนี้ต่อศาลไทย จะฟ้องต่อศาลใดได้บ้าง

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 4 ตรี คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลแพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

        คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้

        วินิจฉัย

        กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องการเสนอคำฟ้องในคดีที่จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร แต่โจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย หรือโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 4 ตรี วรรคแรก ให้โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องดังกล่าวนี้ได้ต่อศาลแพ่ง หรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล และตามมาตรา 4 9รีวรรคสอง ยังบัญญัติไว้อีกว่าถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร ให้โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินของจำเลยนั้นอยู่ในเขตศาลได้อีก

        ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อนายเจสันชาวอังกฤษจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีที่เกิดขึ้นก็มิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร แต่นายสันติโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย ดังนั้นนายสันติจึงต้องฟ้องนายเจสันต่อศาลแพ่งตามมาตรา 4 ตรี วรรคแรก และเมื่อปรากฏว่านายเจสันมีคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสันติจึงมีสิทธิเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลได้อีกศาลหนึ่งตามมาตรา 4 ตรี วรรคสอง

สรุป นายสันติจะฟ้องนายเจสันต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

ข้อ 3. เด็ดดวงเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่แสวงจำเลยให้ออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาท พร้อมกับเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาท แสวงจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เด็ดดวงโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้โจทก์นำพยานเข้าสืบก่อนสืบพยาน วงษ์ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นบิดาของแสวงจำเลย ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท ผู้ร้องได้ให้แสวงจำเลยเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและตึกแถวพิพาท จึงขอเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อสงวนสิทธิของผู้ร้องโดยจะยื่นคำให้การต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเด็ดดวงโจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า วงษ์ผู้ร้องจะใช้สิทธิในทางที่ขัดกับสิทธิที่แสวงจำเลยเดิมมีอยู่ไม่ได้ เมื่อจำเลยเดิมขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้อง ดังนี้ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งคำร้องของวงษ์อย่างไร

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)   ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

มาตรา 58 วรรคแรก ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แห่งมาตราก่อนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผู้ร้องสอดอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง คัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด อาจอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และ อาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม

        วินิจฉัย

        กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วงษ์ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นของผู้ร้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับการรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ จึงเป็นเรื่องที่วงษ์ร้องสอดตั้งข้อพิพาทเข้ามาเพื่อต่อสู้คดีกับเด็ดดวงโจทก์ อันถือได้ว่าเป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 57(1) วงษ์ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนถูกฟ้องตามมาตรา 58 วรรคแรก ข้อห้ามตามมาตรา 58 วรรคสอง จึงนำมาใช้บังคับกับวงษ์ผู้ร้องไม่ได้ ดังนั้นแม้แสวงจะขาดนัดยื่นคำให้การวงษ์ผู้ร้องสอดก็มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความและมีสิทธิยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ (ฎ. 797/2515) เพราะกฎหมายให้สิทธิผู้ร้องสอดสามารถใช้สิทธินอกเหนือจากสิทธิของจำเลยได้ ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องของวงษ์ผู้ร้อง คำแถลงคัดค้านของเด็ดดวงโจทก์ฟังไม่ขึ้น

                สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องของวงษ์ผู้ร้อง คำแถลงคัดค้านของเด็ดดวงโจทก์ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. คดีแพ่งเรื่องหนึ่งโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยไม่สุจริต ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วมีมูล และไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่มีการสืบพยาน ดังนี้ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 198 วรรคแรก  ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้โจทก์มีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด

        มาตรา 198 ทวิ วรรคแรก และวรรคสอง ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้

        เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้ แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

        วินิจฉัย

                        กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดนั้น เป็นการดำเนินการตามมาตรา 198 วรรคแรก และถ้าศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายศาลอาจมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็น ฝ่ายชนะคดีก็ได้ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคแรก

        แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสองมาปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จึงเป็นคดีที่พิพาทโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิความเป็นเจ้าของที่ดิน อันถือว่าเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตามมาตรา 198 วรรคแรกนั้น กรณีดังกล่าวจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง คือ ศาลจะต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วจึงจะมีคำพิพากษา แต่ตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าเมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิเคราะห์แต่เพียงว่าคดีมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายแล้วพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดี โดยไม่มีการสืบพยาน คำพิพากษาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

                สรุป การดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.  โชติกู้ยืมเงินจากสิทธิเป็นจำนวน 1 ล้านบาท โชติมีบ้านและที่ดินที่อยู่อาศัยเท่านั้น ทรัพย์สินอื่นไม่มีต่อมาโชติโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านให้เพ็ญศรี โดยเพ็ญศรีทราบดีว่าโชติเป็นหนี้กู้ยืมสิทธิอยู่ สิทธิทราบว่าโชติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านให้เพ็ญศรี สิทธิเป็นโจทก์ฟ้องโชติและเพ็ญศรีเป็นจำเลยขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างโชติกับเพ็ญศรี สิทธิทิ้งฟ้องระหว่างสิทธิกับโชติศาลได้สั่งจำหน่ายคดีโชติออกจากสารบบความ ดังนี้ ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 55”เมื่อมีข้อแย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

        มาตรา 176 “การทิ้งคำฟ้องหรือถอนคำฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่นๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้อง และกระทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย แต่คำว่าฟ้องใดๆ ที่ได้ทิ้งหรือถอนแล้ว อาจยื่นใหม่ได้ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

        วินิจฉัย

        ตามปัญหา การที่สิทธิเป็นโจทก์ฟ้องโชติและเพ็ญศรีเป็นจำเลยขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมระหว่างโชติกับเพ็ญศรี แต่ต่อมาสิทธิได้ทิ้งฟ้องระหว่างสิทธิกับโชติและศาลได้สั่งจำหน่ายคดีโชติออกจากสารบบความนั้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 176 ให้ถือว่าการทิ้งฟ้องของสิทธิดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น และมีผลทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย ดังนั้นกรณีนี้จึงถือว่าโจทก์ฟ้องเฉพาะเพ็ญศรีเป็นจำเลยเท่านั้น แต่มิได้ฟ้องโชติเข้ามาในคดีด้วยเลย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างโชติกับเพ็ญศรีได้ เพราะการฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลนั้น โจทก์จะต้องฟ้องลูกหนี้และบุคคลผู้ได้ลาภงอกทั้งสองคนเป็นจำเลย โจทก์จะฟ้องเฉพาะผู้รับโอนเพียงผู้เดียวไม่ได้แต่เมื่อตามปัญหาโจทก์ได้ฟ้องเฉพาะผู้รับโอนแต่ไม่ได้ฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย จึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55

                สรุป ศาลจะพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวไม่ได้ เพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

 

ข้อ 2. นายเอมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแขวงธนบุรี ได้ส่งใบคำขอสมัครบัตรเครดิตไปยังธนาคารสยาม จำกัด ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเขตศาลพระนครเหนือเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ธนาคารสยาม จำกัดอนุมัติและออกบัตรเครดิตให้แก่นายเอที่สำนักงานใหญ่ แล้วธนาคารสยาม จำกัด ส่งบัตรเครดิตไปทางไปรษณีย์ที่ภูมิลำเนาของนายเอ เมื่อนายเอได้รับบัตรเครดิตแล้วก็นำบัตรเครดิตออกใช้หลังจากนั้นธนาคารสยาม จำกัด ส่งใบเรียกเก็บเงินไปยังภูมิลำเนาของนายเอ นายเอผิดนัดไม่ชำระเงินจำนวน 50,000 บาท ต่อมานายเอได้ไปทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่สำนักงานสาขาของธนาคารสยาม จำกัด ซึ่งอยู่ในเขตศาลแขวงพระนครใต้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ธนาคารสยาม จำกัด จะฟ้องนายเอได้ที่ศาลใดได้บ้าง

ธงคำตอบ

                หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 4 “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)   คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนายู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) ในการฟ้องเรียกหนี้เหนือบุคคลนั้น ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น

และคำว่า มูลคดี” หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันทำให้เกิดอำนาจฟ้องนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้การอนุมัติและการออกบัตรเครดิตจะดำเนินการที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารสยาม จำกัด ซึ่งอยู่ในเขตศาลแขวงพระนครเหนือ แต่มูลคดีมิได้เกิดในเขตศาลแขวงพระนครเหนือ เพราะการดำเนินการดังกล่าวก็เป็นเพียงขั้นตอนปฏิบัติของธนาคารสยาม จำกัด เท่านั้น สัญญาใช้บัตรเครดิตยังไม่เกิด เพราะสัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางนั้น ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้น แต่เมืองคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ กล่าวคือ สัญญาเกิดขึ้นเมื่อส่งบัตรเครดิตไปถึงภูมิลำเนาของนายเอ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่นายเอจะนำบัตรเครดิตไปใช้ จนเป็นเหตุพิพาทซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิและมูลหนี้ตามฟ้อง หากปราศจากเหตุและขั้นตอนสุดท้ายดังกล่าวเสียแล้ว ธนาคารสยาม จำกัด และนายเอย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับบัตรเครดิตต่อกัน เช่นนี้มูลคดีจึงเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงธนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ส่งบัตรเครดิตไปถึงนายเอ

                และเนื่องจากในคดีหนึ่งมูลคดีอาจเกิดขึ้นได้หลายแห่ง ดังนั้นกรณีนี้นอกจากมูลคดีจะเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงธนบุรีแล้ว เมื่อนายเอไปทำหนังสือรับสารภาพหนี้ที่สำนักงานสาขาธนาคารสยาม จำกัด ซึ่งอยู่ในเขตศาลแขวงพระนครใต้ แม้จะไม่ทำให้หนี้เดิมระงับแต่หนังสือรับสารภาพหนี้ก็เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งที่บังคับได้สถานที่ทำหนังสือรับสารภาพหนี้จึงเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดขึ้น จึงถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นในศาลแขวงพระนครใต้อีกแห่งหนึ่ง

                ดังนั้น ธนาคารสยาม จำกัด จึงฟ้องนายเอได้ที่ศาลแขวงธนบุรี เพราะเป็นศาลที่นายเอมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลและเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล กับฟ้องนายเอได้ที่ศาลแขวงพระนครใต้ เพราะเป็นศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลอีกแห่งหนึ่ง (ฎ. 2841/2547,ฎ. 6508/2547)

สรุป ธนาคารสยาม จำกัด ฟ้องนายเอได้ที่ศาลแขวงธนบุรีและศาลแขวงพระนครใต้

 

ข้อ 3. โจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อขายเครื่องจักรเป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาทต่อศาลแพ่ง แต่ศาลแพ่งเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรี จึงให้โจทก์ถอนฟ้องและให้ยืนฟ้องใหม่ ในเขตศาลที่มีอำนาจหลังจากที่ศาลแพ่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้ว โจทก์ได้ยื่นฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อขายเครื่องจักรเป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาทต่อศาลแพ่งธนบุรี จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าภายหลังจากซื้อสินค้าจากโจทก์แล้ว โจทก์ได้มาซื้อสินค้าจากจำเลย เมื่อหักหนี้กันแล้วโจทก์ก็ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่ 50,000บาท ขอให้โจทก์ชำระหนี้จำนวน 50,000บาทให้จำเลย ต่อมาหลังจากที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีได้ 15วัน จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลแพ่งที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำเลยไม่ฎีกา คดีถึงที่สุด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ศาลแพ่งธนบุรีมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลย และจำเลยฟ้องแย้งโจทก์ต่อศาลแพ่งธนบุรีได้หรือไม่

ธงคำตอบ

                หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                มาตรา 173 วรรคสอง นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาและผลแห่งการนี้

(1)   ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นและ…

มาตรา 176 “การทิ้งคำฟ้องหรือถอนคำฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่นๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้อง และกระทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย แต่ว่าคำฟ้องใดๆ ที่ได้ทิ้งหรือถอนแล้ว อาจยื่นใหม่ได้ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

มาตรา 177 วรรคสาม จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก

มาตรา 179 วรรคท้าย “ แต่ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายใดเสนอคำฟ้องใดต่อศาล ไม่ว่าโดยวิธีฟ้องเพิ่มเติมหรือฟ้องแย้ง ภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องเดิมต่อศาลแล้ว เว้นแต่คำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังนี้จะเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

วินิจฉัย

        กรณีตามอุทาหรณ์ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี ก่อนที่จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องก็ตาม แต่การถอนฟ้องที่มีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องและทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งว่ามิได้ยื่นฟ้องตามมาตรา 176นั้น หมายถึง การถอนคำฟ้องนั้นได้ถึงที่สุดแล้วไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดศาลหนึ่ง ดังนี้ เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลแพ่งที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ จึงถือว่าคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันอีกต่อศาลแพ่งธนบุรี ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามมาตรา 173 วรรคสอง(1) ทั้งนี้แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งศาลแพ่งที่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องจนคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม ก็หาทำให้ฟ้องคดีซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น กลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยขึ้นมาใหม่ ศาลแพ่งธนบุรีจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลย

        ส่วนกรณีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์นั้น แม้จำเลยจะฟ้องมาในคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจะเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามมาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคท้ายก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะเป็นฟ้องซ้อนแล้ว จึงไม่มีฟ้องของโจทก์และตัวโจทก์ที่เป็นจำเลยในส่วนฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่มีคู่ความครบถ้วนที่ศาลจะดินเนินคดีต่อไปได้ ศาลแพ่งธนบุรีจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์เช่นกัน (ฎ. 3133/2549, ฎ. 3688/2547)

                สรุป ศาลแพ่งธนบุรีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลย และคดีที่จำเลยฟ้องแย้ง

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้รายนี้ จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ จำเลยที่ 1  ขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือปลอม โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้วมีมูล และไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลสั่งให้โจทก์ส่งเอกสารสัญญากู้ต่อศาลแทนการสืบพยานแล้วรอการพิพากษาชี้ขาดคดี ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ศาลสั่งให้สืบพยานโจทก์จำเลยในวันสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่มีผู้ใดมาศาล มาแต่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2แถลงต่อศาลขอให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้น จะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งคดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 198 ทวิ วรรคห้า ถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบตามความในมาตรานี้ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล และให้ศาลยกฟ้องของโจทก์

        มาตรา 198 ตรี วรรคแรก ในคดีที่จำเลยบางคนขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การนั้นไปก่อนและดำเนินการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ยื่นคำให้การต่อไป แต่ถ้ามูลความแห่งคดีนั้นเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ให้ศาลรอการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การไว้ก่อน เมื่อศาลดำเนินการพิจารณาสำหรับจำเลยที่ยื่นคำให้การเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีไปตามรูปคดีสำหรับจำเลยทุกคน

        มาตรา 200 วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา 198 ทวิ และมาตรา 198 ตรี ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา

        มาตรา 202 “ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความเว้นแต่จำเลยจะได้แจ้งต่อศาลในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปก็ให้ศาลพิจารณา และชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว

        วินิจฉัย

        กรณีตามอุทาหรณ์ โจทก์ฟ้องผู้กู้เป็นจำเลยที่ 1 และผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยที่ 2 ให้ร่วมกันรับผิดในหนี้กู้ยืม มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและศาลได้พิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 โดยสั่งให้โจทก์ส่งเอกสารสัญญากู้ต่อศาลแทนการสืบพยานแล้วรอการพิพากษาชี้ขาด ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 198 วรรคแรก

        สำหรับคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยื่นคำให้การ ศาลสั่งสืบพยานโจทก์จำเลยครั้นถึงวันสืบพยานโจทก์ก็ไม่มาศาลและไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี กรณีนี้ให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 200 วรรคแรก และจำเลยที่ 2 ไปฝ่ายเดียวตามมาตรา 202 แล้วจึงมีคำพิพากษารวมทั้งสองคดีในคำพิพากษาเดียวกันตามมาตรา 198 ตรี วรรคแรก หรือแยกคำพิพากษาก็ได้ โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ไม่มาศาล ถือว่าโจทก์ไม่ส่งเอกสารคดีโจทก์ไม่มีมูล ให้ศาลพิพากษายกฟ้องตามมาตรา 198 ทวิ วรรคห้า และพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตามที่ศาลได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด

                สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่กล่าวข้างต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!