LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายเอกใช้อาวุธปืนไม่มีทะเบียนยิงนายโทถึงแก่ความตาย  ระหว่างที่พนักงานสอบสวนคดีนี้  นางทิพย์ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโทยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเอกฐานฆ่านายโท  คดีอยู่ระหว่างศาลไต่สวนมูลฟ้อง

เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น  พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกฐานฆ่านายโทและฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน  ส่วนนางทิพย์เมื่อทราบว่าพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกแล้ว  จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง  ศาลอนุญาต

นายเทพบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายโททราบเรื่อง  จึงยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายเทพว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  36  วรรคแรก  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาอีกหาได้ไม่ …

วินิจฉัย

ผู้ที่จะขอเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้นั้น  จะต้องเป็นผู้เสียหาย  ตามนัยมาตรา  2(4)  ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง  หรืออาจเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายก็ได้  และในกรณีที่ผู้เสียหายคนเดียวมีผู้จัดการแทน  ตามมาตรา  5  หลายคน  ผู้จัดการแทนผู้เสียหายบางคนได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป  ผู้จัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้

ศาลจะสั่งคำร้องของนายเทพอย่างไร  เห็นว่า  ในกรณีมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง  ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนนั้น  ในฐานความผิดดังกล่าว  ถือเป็นความผิดอาญาต่อรัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายเอกชนไม่สามารถเป็นผู้เสียหายได้  ดังนั้น  ทั้งนายโทและนายเทพ  ต่างไม่ใช่ผู้เสียหายในฐานความผิดดังกล่าว  จึงขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการไม่ได้ตามมาตรา  30  (ฎ. 1231/2533)

ส่วนความผิดฐานฆ่านายโทนั้น  เห็นว่า  แม้ว่านายเทพจะเป็นบุพการีที่มีอำนาจจัดการแทนนายโทตามมาตรา  5(2)  ก็ตาม  แต่เมื่อได้ความว่า  นางทิพย์ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโท  ได้ใช้สิทธิจัดการแทนนายโทไปแล้ว  ด้วยการฟ้องคดีและถอนฟ้องไป  ซึ่งผลของการถอนฟ้องดังกล่าว  ทำให้ไม่สามารถนำคดีมาฟ้องใหม่ได้อีกตามมาตรา  36  วรรคแรก  

ผลในทางกฎหมายที่เกิดขึ้นมีผลถึงนายเทพด้วย  เมื่อได้ความว่านายเทพไม่สามารถยื่นฟ้องได้  ก็ทำให้นายเทพขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการไม่ได้เช่นเดียวกัน  (ฎ. 1790/2492)

สรุป  ศาลต้องสั่งยกคำร้องนายเทพ

 

ข้อ  2  นายหนึ่งขับรถยนต์ประมาทชนท้ายรถยนต์ของนายสอง  ทำให้นายดำและนายขาวซึ่งนั่งโดยสารมาในรถยนต์ของนายสองได้รับบาดเจ็บ  โดยนายดำขาขวาหัก  ส่วนนายขาวแขนซ้ายหัก  นายดำจึงเป็นโจทก์ฟ้องนายหนึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายดำรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  ศาลพิพากษาลงโทษนายหนึ่งตามฟ้องคดีถึงที่สุด  จากนั้นต่อมานายขาวจึงเป็นโจทก์ฟ้องนายหนึ่งเป็นจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายขาวรับอันตรายสาหัสตาม  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  เช่นกัน  ดังนี้   ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายขาวเช่นไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง

วินิจฉัย

ศาลจะวินิจฉัยคดีที่นายขาวยื่นฟ้องอย่างไรนั้น  เห็นว่า  การกระทำโดยประมาทของนายหนึ่งที่เป็นเหตุให้นายดำและนายขาวได้รับอันตรายสาหัส  ได้เกิดจากการกระทำในครั้งเดียวกันที่นายหนึ่งได้ขับรถยนต์โดยประมาทชนท้ายรถยนต์ของนายสอง  ถือเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน  แต่มีผู้เสียหายหลายคน  เมื่อได้ความว่า  นายดำเป็นโจทก์ฟ้องนายหนึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายดำได้รับอันตรายสาหัสตาม  ป.อ.  มาตรา  300  จนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วนั้นส่งผลให้สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับตามมาตรา  39(4)  นายขาวจึงไม่มีสิทธินำคดีอาญามาฟ้องนายหนึ่งในการกระทำกรรมเดียวกันนี้ได้อีก  เพราะจะเป็นการฟ้องซ้ำ  ศาลจึงต้องจำหน่ายคดีของนายขาวออกจากสารบบความ  (ฎ. 1853/2530)

สรุป  ศาลจึงต้องจำหน่ายคดีของนายขาวออกจากสารบบความ

 

ข้อ  3  ในคดีอาญาพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวก  ร่วมกันปล้นทรัพย์  และขอให้ศาลสั่งจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์  40,000 บาท  แก่ผู้เสียหาย  ตามที่ผู้เสียหายได้แจ้งไว้ในการสอบสวนด้วยผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการและศาลอนุญาต  ต่อมาผู้เสียหายเห็นว่าราคาทรัพย์ที่แจ้งไว้นั้นต่ำไป  ความจริงเมื่อคำนวณราคาใหม่แล้วเป็นเงิน  140,000  บาท  ก่อนเริ่มสืบพยาน  ผู้เสียหายจึงได้ดำเนินการในทางศาล  2  วิธี  คือ

(1) ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของพนักงานอัยการ  เพื่อให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์  140,000  บาท

(2) ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้น  ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  โดยให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ตนเป็นเงิน  140,000  บาท

ทั้งสองกรณีนี้  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะรับคำร้องของผู้เสียหายไว้พิจารณาพิพากษาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  43  คดีลักทรัพย์  วิ่งราวทรัพย์  ชิงทรัพย์  ปล้นทรัพย์  โจรสลัด  กรรโชก  ฉ้อโกง  ยักยอก  หรือรับของโจร  ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดคืนเมื่อพนักงานยื่นฟ้องคดีอาญาก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย

มาตรา  44/1  วรรคท้าย  คำร้องตามวรรคหนึ่งจะมีคำขอประการอื่นที่มิใช่คำขอบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญามิได้  และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับคำฟ้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดำเนินการตามความในมาตรา  43  แล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้

วินิจฉัย

(1) ในกรณีที่ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการตามมาตรา  30  ต้องถือเอาคำฟ้องของพนักงานอัยการเป็นสำคัญ  ผู้เสียหายจะขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องให้นอกเหนือไปจากฟ้องของพนักงานอัยการไม่ได้  ผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของพนักงานอัยการเพื่อให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์  140,000  บาท  (ฎ. 3833/2525)

(2) เมื่อพนักงานอัยการได้ดำเนินการขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์  40,000  บาท  แก่ผู้เสียหาย  อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา  43  แล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินเป็นการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอีกไม่ได้  แม้ว่าราคาทรัพย์สินตามความจริงเป็นเงิน  140,000  บาทก็ตาม  ก็จะยื่นคำร้องเรียกอีกไม่ได้  เพราะเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์  ตามมาตรา  44/1  วรรคท้าย

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะมีคำสั่งไม่รับ  โดยยกคำร้องทั้งสองกรณีของผู้เสียหาย

 

ข้อ  4  เมื่อวันที่  1  สิงหาคม  2549  ร.ต.อ. ชิษณุ  นำหมายจับของศาลอาญาไปจับนายวุฒิไกรผู้ต้องหาฐานฆ่านายไตรจักรโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  โดยในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  ร.ต.อ. ชิษณุ  ได้แจ้งแก่นายวุฒิไกรว่าต้องถูกจับและได้แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งแสดงหมายจับต่อนายวุฒิไกรและแจ้งให้นายวุฒิไกรทราบว่านายวุฒิไกรมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้  ถ้อยคำของนายวุฒิไกรนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้  และนายวุฒิไกรมีสิทธิพบและปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความ  แต่มิได้แจ้งให้นายวุฒิไกรทราบถึงสิทธิในการแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งนายวุฒิไกรไว้วางใจทราบถึงการที่นายวุฒิไกรถูกจับกุม  เมื่อดำเนินการดังกล่าวแล้ว  ร.ต.อ. ชิษณุได้ถามนายวุฒิไกร  ในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  ว่าจะให้การอย่างไรหรือไม่  นายวุฒิไกรให้การภาคเสธว่าขณะที่นายไตรจักรถูกฆ่า  นายวุฒิไกรอยู่ในที่เกิดเหตุแต่มิได้เป็นคนฆ่านายไตรจักร  หลังจากนายวุฒิไกรให้การดังกล่าวแล้ว  ร.ต.อ. ชิษณุ  จึงสั่งให้นายวุฒิไกรไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับพร้อมกับ  ร.ต.อ. ชิษณุ  นายวุฒิไกรยอมไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนแต่โดยดีในการนี้  ร.ต.อ. ชิษณุได้บันทึกการจับกุมไว้ด้วย  และเมื่อไปถึงยังที่ทำการของพนักงานสอบสวน  ร.ต.อ. ชิษณุ  และตำรวจของที่ทำการของพนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  84  ครบถ้วนทุกประการ

ดังนี้  ถ้อยคำที่นายวุฒิไกรให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ.ชิษณุ  ในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  จะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายวุฒิไกรได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในการจับนั้นเจ้าของพนักงานราษฎรซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ  แล้วสั่งให้ผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับพร้อมด้วยผู้จับ  เว้นแต่สามารถนำไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้ในขณะนั้น ให้นำไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดังกล่าว  แต่ถ้าจำเป็นก็ให้จับตัวไป

ในกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับ  ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบ  หากมีหมายจับให้แสดงต่อผู้ถูกจับ  พร้อมทั้งแจ้งด้วยว่าผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้และถ้อยคำของผู้ถูกจับนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้และผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความถ้าผู้ถูกจับประสงค์จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุมที่สามารถดำเนินการได้โดยสะดวกและไม่เป็นการขัดขวางการจับหรือการควบคุมผู้ถูกจับหรือทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง  ก็ให้เจ้าพนักงานอนุญาตให้ผู้ถูกจับดำเนินการได้ตามสมควรแก่กรณี  ในการนี้ให้เจ้าพนักงานผู้จับนั้นบันทึกการจับดังกล่าวไว้ด้วย

ถ้าบุคคลซึ่งจะถูกจับขัดขวางหรือจะขัดขวางการจับหรือหลบหนีหรือพยายามจะหลบหนี  ผู้ทำการจับมีอำนาจใช้วิธีหรือการป้องกันทั้งหลายเท่าที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่องในการจับนั้น

มาตรา  84  เจ้าพนักงานหรือราษฎรผู้ทำการจับต้องเอาตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามมาตรา  83  โดยทันทีและเมื่อถึงที่นั้นแล้ว  ให้ส่งตัวผู้ถูกจับให้แก่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจของที่ทำการของพนักงานสอบสวนดังกล่าว  เพื่อดำเนินการดังต่อไปนี้

(1) ในกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับให้เจ้าพนักงานผู้จับนั้นแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุแห่งการจับให้ผู้ถูกจับทราบ  ถ้ามีหมายจับให้แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบและอ่านให้ฟังและมอบสำเนาบันทึกการจับแก่ผู้ถูกจับนั้น…

เมื่อได้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งแล้วให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  ซึ่งมีผู้นำผู้ถูกจับมาส่งแจ้งให้ผู้ถูกจับทราบถึงสิทธิตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  7/1  รวมทั้งจัดให้ผู้ถูกจับสามารถติดต่อกับญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจเพื่อแจ้งให้ทราบถึงการจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมได้ในโอกาสแรกเมื่อผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามวรรคหนึ่ง  หรือถ้ากรณีผู้ถูกจับร้องขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้แจ้งก็ให้จัดการตามคำร้องขอนั้นโดยเร็ว  และให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจบันทึกไว้ในการนี้มิให้เรียกค่าใช้จ่ายใดๆ  จากผู้ถูกจับ…

ถ้อยคำใดๆ  ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในชั้นจับกุมหรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ  ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน  แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่น  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือมาตรา  83  วรรคสองแก่ผู้ถูกจับแล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ร.ต.อ. ชิษณุ  นำหมายจับของศาลอาญาไปจับนายวุฒิไกร  ผู้ต้องหาฐานฆ่านายไตรจักรโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  โดยในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องปฏิบัติตามที่มาตรา  83  บัญญัติไว้คือ

1       ต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ

2       สั่งให้ผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับพร้อมผู้จับ  เว้นแต่สามารถนำไปที่ทำการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในขณะนั้น

3       ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบ

4       หากมีหมายจับให้แสดงต่อผู้ถูกจับ

ตามข้อเท็จจริงนั้น  ร.ต.อ. ชิษณุ  ได้ปฏิบัติครบถ้วนทั้ง  4  ประการข้างต้นแล้ว

5       แจ้งสิทธิแก่ผู้ถูกจับ  3  ประการ

(1) ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้

(2) หากมีการให้ถ้อยคำ  ถ้อยคำนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(3) ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความหรือผู้ที่จะเป็นทนายความ

โดยการแจ้งสิทธิแก่ผู้ถูกจับ  3  ประการดังกล่าวนี้  หากเจ้าพนักงานผู้ทำการจับไม่แจ้งหรือแจ้งไม่ครบทั้ง  3  ข้อ  ถ้อยคำที่ผู้ถูกจับให้แก่เจ้าพนักงานในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ทำการจับ)  กรณีที่เป็นถ้อยคำอื่น  (ที่ไม่ใช่ถ้อยคำรับสารภาพ)  จะไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้

ส่วนสิทธิในการแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งถูกจับไว้วางใจทราบถึงการถูกจับกุม  เจ้าพนักงานผู้จับยังไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งในขณะจับกุม  หากแต่เป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  ซึ่งรับมอบตัวผู้ถูกจับเป็นผู้แจ้งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  7/1  วรรคสองและมาตรา  84  วรรคสอง  แต่ผู้ถูกจับร้องในขณะถูกจับกุมว่ามีความประสงค์ที่จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจทราบถึงการจับกุม  ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยสะดวกและการแจ้งนั้นไม่เป็นการขัดขวางการจับกุมหรือการควบคุมตัวหรือจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดเจ้าพนักงานผู้จับจะอนุญาตให้ผู้ถูกจับดำเนินการได้ตามมาตรา  83  วรรคสอง

สำหรับกรณีตามปัญหาในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  ร.ต.อ. ชิษณุ  ได้ถามนายวุฒิไกรว่าจะให้การอย่างไรหรือไม่  นายวุฒิไกรให้การภาคเสธว่าขณะที่นายไตรจักรถูกฆ่านายวุฒิไกรอยู่ในที่เกิดเหตุ  แต่มิได้เป็นคนฆ่านายไตรจักร  ดังนี้ถ้อยคำของนายวุฒิไกรถือเป็นถ้อยคำอื่น  (ที่ไม่ใช่ถ้อยคำรับสารภาพ)  ที่จะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อ  ร.ต.อ. ชิษณุได้ทำการแจ้งสิทธิแก่นายวุฒิไกรครบถ้วนทั้ง  3  ประการ  ตามข้อ  5(1)  (3)

โดยตามปัญหา  ร.ต.อ. ชิษณุได้แจ้งสิทธิครบถ้วนทั้ง  3  ประการ  ส่วนสิทธิในการแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจทราบถึงการถูกจับกุม  ร.ต.อ. ชิษณุผู้จับยังไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งในขณะจับกุม  และนายวุฒิไกรผู้ถูกจับก็มิได้ร้องขอในขณะถูกจับกุม  ให้  ร.ต.อ. ชิษณุอนุญาตให้นายวุฒิไกรแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุมแต่อย่างใด  การกระทำของ ร.ต.อ. ชิษณุจึงชอบด้วยกฎหมายทุกประการตามมาตรา  83  และถ้อยคำที่นายวุฒิไกรให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. ชิษณุ  ในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายวุฒิไกรได้

สรุป  ถ้อยคำที่นายวุฒิไกรให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. ชิษณุ  ในชั้นจับกุม  (ณ  ที่ซึ่งทำการจับ)  จะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายวุฒิไกรได้

LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนนายสองถึงแก่ความตาย  เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี  นางสมรภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการศาลอนุญาต

ระหว่างการสืบพยานโจทก์  นางสมรยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการระบุเหตุผลว่ามีความคิดเห็นหลายเรื่องไม่ตรงกันกับพนักงานอัยการ  หากดำเนินการร่วมกันต่อไปเกรงว่าจะ

เป็นผลเสียแก่คดี  ศาลอนุญาต  ในวันเดียวกันนั้นนายสักบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองทราบเรื่อง  จึงยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการแทนนางสมรทันที ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายสักว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  36  วรรคแรก  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาอีกหาได้ไม่ …

วินิจฉัย

ในกรณีที่ผู้เสียหายคนเดียวมีผู้จัดการแทน  ตามมาตรา  5  หลายคน  ผู้จัดการแทนผู้เสียหายบางคนได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป  ผู้จัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้

เมื่อได้ความว่านายสองได้ถูกนายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตายนั้น  ถือว่านายสองเป็นผู้เสียหายโดยตรง  จากการที่นายหนึ่งได้ขับรถยนต์โดยประมาท  ตามมาตรา  2(4)  และเมื่อนายสองได้ถึงแก่ความตาย  เห็นว่า  นางสมรภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองและนายสักบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองต่างก็เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนนายสองได้  ตามมาตรา 5(2)  แต่เมื่อได้ความว่านางสมรได้ใช้สิทธิจัดการแทนนายสองไปแล้วด้วยการยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการดังกล่าว  

ซึ่งผลของการถอนคำร้องนั้นมีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้อง  (ฎ. 892/2514)  เมื่อศาลอนุญาตย่อมเกิดผลในทางกฎหมายทำให้ไม่สามารถนำคดีมาฟ้องใหม่ได้อีก  ตามมาตรา  36  ผลในทางกฎหมายที่เกิดขึ้นมีผลถึงนายสักบิดานายสองด้วย  เมื่อได้ความว่านายสักไม่สามารถฟ้องคดีได้  ก็ทำให้ไม่สามารถขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานด้วยเช่นเดียวกัน  (ฎ. 1790/2492)

สรุป  ศาลต้องสั่งยกคำร้องนายสัก

 

ข้อ  2  นายเย็นเป็นโจทก์ฟ้องนายร้อนเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกาย  จากการที่นายร้อนใช้ขวดเบียร์ตีทำร้ายนายเย็นขณะนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน  นายร้อนรับสารภาพ  ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกนายร้อน  1  เดือน  นายร้อนอุทธรณ์ขอให้ศาลรอการลงโทษ ต่อมานายเย็นได้ฟ้องนายร้อนให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นคดีแพ่งอีกคดีหนึ่ง  แต่ก่อนการพิจารณาในคดีแพ่ง  นายร้อนตายในระหว่างอุทธรณ์ในคดีอาญา  ดังกล่าว  และนายอุ่นผู้จัดการมรดกของนายร้อนเข้ามารับมรดกความในคดีแพ่ง  นายเย็นจึงอ้างคำพิพากษาในคดีอาญาเพื่อให้ศาลในคดีแพ่งบังคับเอากับกองมรดกของนายร้อน  ดังนี้  ศาลในคดีแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป

(1) โดยความตายของผู้กระทำความผิด

มาตรา  46  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

วินิจฉัย

คำพิพากษาคดีอาญาที่จะมีผลผูกพันให้คดีส่วนแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้นต้องเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วเท่านั้น

ศาลในคดีแพ่งจะถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายร้อนได้ถึงแก่ความตายในระหว่างอุทธรณ์  ย่อมมีผลทำให้คดีอาญาระงับไป  ตามมาตรา  39(1)  เมื่อได้ความว่า  คดีอาญาได้ระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด  ย่อมส่งผลให้คำพิพากษาคดีอาญาของศาลล่างนั้นระงับไป  ไม่มีผลบังคับแก่คู่ความอีกต่อไป  ศาลในคดีแพ่งจะนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาซึ่งยังไม่ถึงที่สุดมารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้  ในกรีดังกล่าวไม่ต้องด้วย  มาตรา  46  แต่อย่างใด  ศาลจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่ 

(ฎ. 1104  1105/2501 ,  623/2529)

สรุป  ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่  ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

 

ข้อ  3  ในคดีอาญาฐานลักทรัพย์เรื่องหนึ่ง  เมื่อทางตำรวจจับตัวผู้ต้องหาได้แล้ว  นำส่งพนักงานสอบสวน  ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะถามคำให้การของผู้ต้องหา  ได้แจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้โดยไม่ได้แจ้งอย่างอื่นใดอีก  ซึ่งผู้ต้องหารับทราบและผู้ต้องหาขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงด้วยความเต็มใจ  รายละเอียดการกระทำผิดเกี่ยวกับการรับสารภาพนั้น  พนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้  และให้ผู้ต้องหาลงชื่อในบันทึกนั้นรวมไว้ในสำนวนการสอบสวน  ต่อมาพนักงานอัยการได้นำสิบส่งบันทึกคำรับสารภาพของผู้ต้องหานั้นต่อศาล  ทางศาลได้รับไว้

เช่นนี้  ถ้าท่านเป็นศาล  จะรับฟังคำรับสารภาพนั้นเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้เพียงใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  134/4  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การ  ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา  134/1  มาตรา  134/2  และมาตรา  134/3  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้

วินิจฉัย

ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ 

หากได้ความว่าพนักงานสอบสวนแจ้งสิทธิดังกล่าวข้างต้นไม่ครบ  ถ้อยคำของผู้ต้องหาที่ได้ให้ไว้ย่อมไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานของผู้ต้องหาได้  ตามมาตรา  134(1)(2)  ประกอบวรรคท้าย

เมื่อได้ความว่า  ทางตำรวจจับผู้ต้องหาได้แล้ว  ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะถามคำให้การผู้ต้องหา  ได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายต่อผู้ต้องหา  เฉพาะตาม  (1)  เท่านั้น  ไม่ได้แจ้งสิทธิในข้อ  (2)  ให้ผู้ต้องหาทราบแต่อย่างใด  ส่งผลให้ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาได้ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนในกรณีดังกล่าว  ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้  เนื่องจากพนักงานสอบสวนแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย  ตามมาตรา  134(1)(2)  ประกอบวรรคท้าย

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาล  จะไม่รับฟังบันทึกคำรับสารภาพของผู้ต้องหาเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั้น  แม้ผู้ต้องหาจะให้การสารภาพด้วยความเต็มใจก็ตาม

 

ข้อ  4  นายกลางถูกจับและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวน  โดยมีนายภาวิตใช้ตำแหน่ง  ข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายกลาง  หลังจากนายกลางได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวได้สามวัน  นายภาวิตพบว่านายกลางกำลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด  และนายภาวิตเห็น  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์อยู่ในบริเวณนั้นจึงขอให้  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์ทำการจับนายกลาง  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์  จึงทำการจับนายกลางทันทีโดยไม่มีหมายจับ

ดังนี้  การจับของ  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราว  ตามมาตรา  117

มาตรา  117  เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยหนีหรือจะหลบหนีให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่พบการกระทำดังกล่าวมีอำนาจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นได้  แต่ในกรณีที่บุคคลซึ่งทำสัญญาประกันหรือเป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นการกระทำดังกล่าว  อาจขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือจำเลยได้…

วินิจฉัย

นายภาวิต  ใช้ตำแหน่งข้าราชการหลักประกันให้แก่นายกลางผู้ต้องหาซึ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างสอบสวน  ต่อมานายภาวิตพบว่านายกลางกำลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด  และนายภาวิตเห็น  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์  อยู่ในบริเวณนั้นจึงขอให้  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์  ทำการจับนายกลาง  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์จึงทำการจับนายกลางทันทีโดยไม่มีหมายจับ  ดังนี้  ร.ต.อ. เศรษฐพงฐ์  มีอำนาจในการจับนายกลางได้แม้ว่าจะไม่มีหมายจับก็ตาม  เนื่องจากเป็นกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นผู้ต้องหาหรือจำเลยหนีหรือจะหลบหนี  บุคคลผู้เป็นหลักประกันสามารถขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือจำเลยได้  การจับของ  ร.ต.อ.เศรษฐพงษ์  จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  78(4)  ประกอบมาตรา  117

สรุป  การจับของ  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางพลอยอยู่กินกับสามีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรสาวชื่อนางสาวไพลิน  อายุ  19  ปี  นางสาวไพลินกำลังศึกษาอยู่ที่คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ชั้นปีที่  4  นายเสือบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์นาฬิกาของนางสาวไพลิน  ที่นางสาวไพลินซื้อมาด้วยเงินรายได้จากการทำงานในวันหยุด  ดังนี้

(ก)  นางสาวไพลินร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ  ให้ดำเนินคดีนายเสือฐานบุกรุกและลักทรัพย์  โดยนางพลอยไม่อนุญาต  ถ้าท่านเป็นพนักงานสอบสวน  ท่านจะดำเนินการอย่างไร

(ข)  นางสาวไพลินยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ดำเนินคดีนายเสือฐานบุกรุกและลักทรัพย์  โดยนางพลอยอนุญาตและยินยอม  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

วินิจฉัย

(ก)  นางสาวไพลินมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  หรือไม่  เห็นว่านางสาวไพลิน  อายุ  19  ปี  จึงมีสถานภาพเป็นผู้เยาว์  ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นผู้เสียหายที่แท้จริงนั้น  ตามกฎหมายได้กำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการแทนผู้เยาว์ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(1)  แต่ในเรื่องการร้องทุกข์  ผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงสามารถร้องทุกข์เองได้แม้จะไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม  (ฎ. 1982/2494)

ดังนั้น  เมื่อได้ความว่า  นางสาวไพลิน  ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหาย  ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  ให้ดำเนินคดีกับนายเสือฐานบุกรุกและลักทรัพย์  พนักงานสอบสวนต้องรับคำร้องทุกข์ของนางสาวไพลินและทำการสอบสวนคดีนี้ต่อไป

(ข)  นางสาวไพลินจะยื่นฟ้องต่อศาลได้หรือไม่  เห็นว่า  นางสาวไพลินอายุ  19  ปี  จึงมีสถานภาพเป็นผู้เยาว์  ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นผู้เสียหายที่แท้จริงนั้น  ตามกฎหมายได้กำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการแทนผู้เยาว์  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(1)

ดังนั้น  ในกรณีที่ผู้เยาว์จะฟ้องคดีอาญาต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องคดีแทน  ตามมาตรา  2(4)  5(1)  และมาตรา  28(2)  เนื่องจากผู้เยาว์ไม่สามารถฟ้องคดีอาญาด้วยตนเอง  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม  นางสาวไพลินจึงไม่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้  (ฎ. 563/2517,  ฎ. 631/2538)

สรุป

(ก)  พนักงานสอบสวนต้องรับคำร้องทุกข์ของนางสาวไพลิน  และทำการสอบสวนคดีนี้ต่อไป

(ข)  ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

 

ข้อ  2  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องเจี๊ยบเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายตาม  พ.ร.บ. จราจรทางบก  จากกรณีที่เจี๊ยบขับรถประมาทชนท้ายรถของเจ๋งได้รับความเสียหาย  ศาลพิพากษาลงโทษเจี๊ยบตามฟ้อง  คดีถึงที่สุด  ต่อมาเจ๋งเป็นโจทก์ฟ้องเจี๊ยบเป็นจำเลยที่  1  บริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ซึ่งรับประกันภัยรถยนต์ของเจี๊ยบเป็นจำเลยที่  2  ในคดีแพ่งโดยเจ๋งได้อ้างคำพิพากษาในคดีอาญาข้างต้นเพื่อให้เจี๊ยบและบริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ๋ง

ดังนี้  หากท่านเป็นศาลในคดีแพ่ง  จะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา  เนื่องจากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติถึงที่สุดแล้วว่าเจี๊ยบขับรถประมาทชนกับรถของเจ๋งเสียหาย  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  46  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริง  ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

วินิจฉัย

การที่จะถือเอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา  มาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้นั้น  จะต้องเป็นคดีที่มีมูลกรณีเดียวกัน  และเป็นคู่ความเดียวกัน  ซึ่งในคดีอาญาที่พนักงานเป็นโจทก์  คู่ความในคดีส่วนแพ่งก็จะต้องเป็นผู้เสียหายในคดีนั้นด้วย

พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องเจี๊ยบในความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบกซึ่งเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย  เจ๋งไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดดังกล่าว  จึงไม่อาจถือได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาแทนเจ๋ง  ผลในคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันเจ๋ง  ส่วนบริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ก็ไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา  จึงนำผลในคำพิพากษาคดีอาญามาผูกพันบริษัท  จิ๋วประกันภัย  จำกัด  ไม่ได้  ดังนั้นศาลในคดีแพ่งจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริง  ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา  ในกรณีนี้  ไม่ต้องด้วย  มาตรา  46  แต่อย่างใด  (ฎ. 1927 1928/2533)

สรุป  ศาลในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่  ไม่จำต้องถือข้อเท็จตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา

 

ข้อ  3  นายแดงกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี  ขณะที่นายแดงกระทำความผิดนั้นมีอายุ  17  ปีพอดี  มีนายดำอายุ  14  ปีพอดีเหมือนกันเห็นเหตุการณ์  ต่อมาอีก  11  เดือน  ตำรวจจับนายแดงได้  นำส่งพนักงานสอบสวน  พนักงานสอบสวนจึงดำเนินการดังนี้

(ก)  ทำการสอบสวนนายแดงในวันที่รับตัวนายแดงนั้น  โดยจัดหาทนายความให้  และได้สอบต่อหน้าทนายความ  โดยไม่มีบุคคลอื่นใดเข้าร่วมในการสอบปากคำนั้นเลย  นายแดงให้การรับสารภาพซึ่งพนักงานสอบสวนได้บันทึกถ้อยคำนั้นไว้

(ข)  ต่อมาหลังจากที่จับกุมนายแดงได้อีก  3  เดือน  พนักงานสอบสวนจึงเรียกนายดำพยานมาให้ถ้อยคำและให้ชี้ตัวนายแดง  นายดำได้ให้การยืนยันว่าเห็นนายแดงทำผิดและชี้ตัวได้ถูกต้อง  และพนักงานสอบสวนได้บันทึกปากคำไว้  ทั้งนี้เพียงแต่มีบุคคลที่เด็กร้องขอเข้าร่วมในการถามปากคำและร่วมในการชี้ตัวด้วยเท่านั้น

การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนทั้งสองกรณีนั้น  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  133  ทวิ  ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายอันมิใช่ความผิดที่เกิดจากการชุลมุนต่อสู้  ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ  ความผิดฐานกรรโชก  ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี  ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก  ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการหรือคดีความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุกซึ่งผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำเป็นสัดส่วนในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก  และให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์  บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยในการถามปากคำเด็กนั้น  และในกรณีที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่าการถามปากคำเด็กคนใดหรือคำถามใด  อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง  ให้พนักงานสอบสวนถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เป็นการเฉพาะตามประเด็นคำถามของพนักงานสอบสวนโดยมิให้เด็กได้ยินคำถามของพนักงานสอบสวนและห้ามมิให้ถามเด็กซ้ำซ้อนหลายครั้งโดยไม่มีหตุอันสมควร

มาตรา  133  ตรี  ในกรณีที่พนักงานสอบสวนมีความจำเป็นต้องจัดให้ผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีชี้ตัวบุคคลใดให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการชี้ตัวบุคคลในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กและสามารถป้องกันมิให้บุคคลซึ่งจะถูกชี้ตัวนั้น  เห็นตัวเด็ก  โดยให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์  บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วย  ในการชี้ตัวบุคคลนั้น  เว้นแต่มีเหตุจำเป็นไม่อาจหาหรือรอบุคคลหนึ่งได้และเด็กไม่ประสงค์จะให้มีหรือรอบุคคลดังกล่าวต่อไป  ทั้งนี้  ให้พนักงานสอบสวนบันทึกเหตุดังกล่าวไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย

มาตรา  134/2  ให้นำบทบัญญัติในมาตรา  133  ทวิ  มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี

วินิจฉัย

(ก)  ขณะเกิดเหตุนายแดงมีอายุ  17  ปีพอดี  ต่อมาอีก  11  เดือน  จึงจับได้และทำการสอบปากคำในวันจับได้นั้น  แสดงว่านายแดงเป็นผู้ต้องหาในขณะนั้นมีอายุยังไม่เกิน  18  ปี  และในคดีลักทรัพย์มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน  3  ปี  ฝนการสอบสวนปากคำผู้ต้องหาจึงต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการเข้าร่วมในการถามปากคำนั้นด้วยตาม  มาตรา  133  ทวิประกอบมาตรา  134/2

(ข)  นายดำเป็นพยานขณะเกิดเหตุมีอายุ  17  ปี  ต่อมาอีก  11  เดือน  จับนายแดงได้และอีก  3  เดือนต่อมา  พนักงานสอบสวนจึงเรียกมาให้ถ้อยคำและได้ชี้ตัวนายแดง  แสดงว่าขณะที่พนักงานสอบสวนถามปากคำและให้ชี้ตัวนั้น  นายดำมีอายุเกินกว่า  18  ปีแล้ว

เช่นนี้จึงไม่ต้องมีบุคคลอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  133  ทวิ  และมาตรา  133  ตรี  เข้าร่วมในการสอบปากคำและชี้ตัวด้วย  ทั้งนี้การถามปากคำหรือชี้ตัวของพยานเด็กอายุไม่เกิน  18  ปีนั้น  ต้องถืออายุในขณะถามปากคำและชี้ตัวเป็นสำคัญ  เมื่อขณะถามปากคำและชี้ตัวนั้น  นายดำมีอายุเกิน  18  ปีแล้ว  จึงไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา  133  ทวิและมาตรา  133  ตรี  แม้จะมีบุคคลที่เด็กร้องขอฟังอยู่ด้วยก็ไม่มีกฎหมายห้าม  การสอบปากคำและชี้ตัวของนายดำ  จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก)  การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข)  การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  พ.ต.ต. สิทธิชัยขับรถออกตรวจท้องที่เวลาห้าทุ่ม  เห็นนายสุเมธยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายปริญญาซึ่งทั้งนายสุเมธและนายปริญญาอยู่ภายในบ้านของนางปุ้ย  พ.ต.ต.สิทธิชัยจึงเข้าไปทำการจับกุมนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยทันทีโดยที่ไม่มีหมายจับและหมายค้น

ดังนี้การที่  พ.ต.ต.สิทธิชัยเข้าไปจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา  80

มาตรา  80  วรรคแรก  ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น  ได้แก่  ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยได้เลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ

มาตรา  81  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน

มาตรา  92  ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล  เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(2)  เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน

มาตรา  96  การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก  มีข้อยกเว้นดังนี้

(2) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งหรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ  จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้

วินิจฉัย

การจับของ  พ.ต.ต.  สิทธิชัยเป็นการจับในที่รโหฐานในเวลากลางคืน  (เนื่องจากตามข้อเท็จจริงการกระทำความผิดเกิดเวลาห้ามทุ่ม)  ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอำนาจในการจับโดยมีหมายจับ  หรืออำนาจที่กฎหมายให้ทำการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน  คือ  มีอำนาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอำนาจที่กฎหมายให้ทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย  รวมถึงจะต้องมีอำนาจที่จะเข้าไปทำการค้นในที่รโหฐานในเวลากลางคืน

การที่  พ.ต.ต. สิทธิชัย  เห็นนายสุเมธยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายปริญญา  การกระทำของนายสุเมธเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายปริญญา  ตาม  ป.อ.  มาตรา  288  ประกอบมาตรา  80  เมื่อ  พ.ต.ต.  สิทธิชัย  เห็นการกระทำดังกล่าวจึงมีอำนาจในการจับเนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า  ประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงกรณีเห็นบุคคลกำลังกระทำความผิดตามมาตรา  78  ประกอบมาตรา  80  วรรคแรก  และตามปัญหาเป็นกรณีนายสุเมธกระทำความผิดซึ่งหน้า  (พ.ต.ต. สิทธิชัย)  ในบ้านของนางปุ้ยซึ่งเป็นที่รโหฐาน  จึงถือว่า  พ.ต.ต. สิทธิชัย  ได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานคือมีอำนาจในการค้นแล้วตามมาตรา  92(2) ประกอบมาตรา  81  ถือเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งซึ่งจะทำการค้นในที่รโหฐานเวลากลางคืนก็ได้ตามมาตรา  96(2)  เนื่องจากหาก  พ.ต.ต. สิทธิชัยไม่เข้าไปขณะนั้น  (เวลาห้าทุ่ม)  นายปริญญาอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้  พ.ต.ต. สิทธิชัยจึงสามารถเข้าไปทำการจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยได้

สรุป  การที่  พ.ต.ต. สิทธิชัยเข้าไปจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยชอบด้วยกฎหมาย 

LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางพิมมีบุตรนอกสมรส  2  คน  คือ  นายชาย  อายุ  21  ปี  และนางสาวหญิง  อายุ  20  ปี  นางสาวหญิงถูกนายข่มขืนกระทำชำเรา  นางสาวหญิงอับอายจึงปกปิดเรื่องนี้ไว้และไปเรียนหนังสือตามปกติในวันรุ่งขึ้น  ดังนี้

(ก)  นางพิมจะยื่นฟ้องนายโป้งฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาวหญิง  โดยที่นางสาวหญิงไม่ยินยอมและไม่ได้มอบอำนาจให้นางพิมดำเนินการ  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายชายจะยื่นฟ้องนายโป้งฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาวหญิง  โดยที่นางสาวหญิงยินยอมและมอบอำนาจให้นายชายดำเนินการ  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

วินิจฉัย

(ก)  นางพิมจะยื่นฟ้องนายโป้งฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาวหญิงได้หรือไม่  เห็นว่า  นางสาวหญิง  อายุ  20  ปี  ถือว่าได้บรรลุนิติภาวะแล้ว  พ้นสภาพความเป็นผู้เยาว์  ดังนั้น  นางพิมแม้จะเป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวหญิงก็ตาม  ก็ไม่สามารถจัดการแทนนางสาวหญิง  ตามมาตรา  5(1)

และแม้นางพิมจะเป็นมารดาตามความเป็นจริง  มีฐานะเป็นผู้บุพการีของนางสาวหญิง  แต่ก็ไม่สามารถจัดการแทนโดยอาศัย  มาตรา  5(2) ได้เพราะนางสาวหญิงถูกนายโป้งข่มขืนกระทำชำเราแล้ว  ยังสามารถไปเรียนหนังสือได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น  จึงถือว่านางสาวหญิงยังสามารถจัดการเองได้

ดังนั้น  เมื่อนางสาวหญิงผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ยินยอมและไม่ได้มอบอำนาจให้นางพิมดำเนินการฟ้องคดีได้  นางพิมจึงยื่นฟ้องนายโป้งไม่ได้

(ข)  นายชายจะยื่นฟ้องนายโป้งฐานข่มขืนกระทำชำเรานางสาวหญิงได้หรือไม่  เห็นว่า  นายชายมีฐานะเป็นพี่ชายของนางสาวหญิง  นายชายจึงไม่ใช่ผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5(1) , 5(2)  แต่อย่างใด  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อได้ความว่าคดีอาญาสามารถมอบอำนาจให้ฟ้องแทนกันได้  (ฎ. 890/2503 (ประชุมใหญ่))  ดังนั้นเมื่อนางสาวหญิงบรรลุนิติภาวะสามารถฟ้องคดีอาญาได้เอง  ตามมาตรา  28(2)  จึงสามารถมอบอำนาจให้นายชายดำเนินการฟ้องคดีอาญาแทนตนเองได้เช่นกัน

สรุป

(ก)  นางพิมยื่นฟ้องนายโป้งไม่ได้

(ข)  นายชายยื่นฟ้องนายโป้งได้

 

ข้อ  2  นางแหม่มหมั่นไส้นางเจ๋งจึงผลักนางเจ๋งตกเวทีประกวดนางงาม  พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนางแหม่มในข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายหรือจิตใจ  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  391  โดยนางแหม่มชดใช้ค่าเสียหายให้นางเจ๋งเป็นเงิน  50,000  บาท  แต่ในวันรุ่งขึ้นปรากฏว่านางเจ๋งปวดศีรษะอย่างรุนแรง  แพทย์ตรวจรักษาแล้วพบว่ามีเลือดคั่งในสมองเนื่องจากศีรษะถูกกระทบกระเทือนหนักจากการที่ถูกนางแหม่มผลักตกเวที  นางเจ๋งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา  1  เดือน  และได้เรียกให้นางแหม่มชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นเงิน  200,000  บาท  แต่นางแหม่มไม่ยอมจ่ายและบอกว่าที่จ่ายไปก็มากพอแล้ว  นางเจ๋งจึงเป็นโจทก์ฟ้องนางแหม่มเป็นจำเลนในคดีอาญาในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  297  นางแหม่มต่อสู้ว่าพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนางแหม่มในการกระทำผิดที่นางเจ๋งได้ฟ้องไปแล้ว  นางเจ๋งไม่มีสิทธิฟ้องนางแหม่มได้อีก

ดังนี้  นางเจ๋งสามารถฟ้องนางแหม่มได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  37  คดีอาญาเลิกกันได้  ดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ  หรือคดีอื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งมีโทษปรับอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  เมื่อผู้ต้องหาชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว

(3) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ  หรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท  ซึ่งเกิดในกรุงเทพมหานคร  เมื่อผู้ต้องหาชำระค่าปรับตามที่นายตำรวจประจำท้องที่ตั้งแต่ตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป  หรือนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรผู้ทำการในตำแหน่งนั้นๆได้เปรียบเทียบแล้ว

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป  ดังต่อไปนี้

(3) เมื่อคดีเลิกกัน  ตามมาตรา  37

วินิจฉัย

ในการเปรียบเทียบของพนักงานสอบสวนนั้น  หากพนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาที่ไม่มีอำนาจแล้ว  การเปรียบเทียบปรับของพนักงานสอบสวนดังกล่าว  ไม่มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแต่อย่างใด

นางเจ๋งจะฟ้องนางแหม่มได้หรือไม่  เห็นว่า  นางเจ๋งได้รับอันตรายสาหัสจากการที่ถูกนางแหม่มทำร้าย  การกระทำของนางแหม่มจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ตาม  ป.อ.  มาตรา  297  การที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนางแหม่มในข้อหาใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ  ตาม  ป.อ. มาตรา  391  จึงไม่ชอบคดีอาญาไม่เลิกกัน  ตามมาตรา  37  สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องจึงไม่ระงับ  ตามมาตรา  39(3)  นางเจ๋งจึงฟ้องนางแหม่มในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ตาม  ป.อ. มาตรา  297  ได้

สรุป  นางเจ๋งสามารถฟ้องนางแหม่มได้

 

ข้อ  3  นายเขียวได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่งแล้วได้ลักเอาทีวี  1  เครื่องของนายขาว  และเอาวิทยุ  1  เครื่องของนายแดง  ซึ่งอยู่ในบ้านหลังนั้นไปพร้อมกัน  ทางพนักงานสอบสวนได้แยกสำนวนการสอบสวนเป็น  2  สำนวน  คือ  นายขาวเป็นผู้เสียหายสำนวนหนึ่ง  และนายแดงเป็นผู้เสียหายอีกสำนวนหนึ่ง  โดยต้องการให้มีการลงโทษหนักทั้งๆที่มีพยานหลักฐานทำนองเดียวกัน  แต่เมื่อทางพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนการสอบสวนของนายขาวเป็นผู้เสียหายไปยังพนักงานอัยการ  ทางพนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง  เพราะเห็นว่าคดีขาดพยานหลักฐาน  พนักงานสอบสวนจึงส่งสำนวนการสอบสวนของนายแดงเป็นผู้เสียหายไปยังพนักงานอัยการอีก  โดยเห็นว่าพยานหลักฐานมีเพียงพอฟ้องได้

ดังนี้  หากท่านเป็นพนักงานอัยการ  และเห็นว่าคดีมีมูล  จะสั่งคดีหลังนี้ว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  147  เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว  ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก  เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี  ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้

วินิจฉัย

พนักงานอัยการจะสั่งคดีหลังนี้ว่าอย่างไร  เห็นว่า  การที่นายเขียวลักเอาทีวีของนายขาวและวิทยุของนายแดงไปพร้อมกัน  ถือว่าเป็นคดีเรื่องเดียวกัน  เมื่อได้ความว่าคดีที่นายขาวเป็นผู้เสียหายพนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องไปแล้ว  พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนนายเขียวกรณีที่นายแดงเป็นผู้เสียหายอันเป็นคดีในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้  ตามมาตรา  147

ดังนั้น  พนักงานอัยการจึงต้องมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีหลังนี้แม้คดีจะมีมูลก็ตาม  เพราะเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้พยานหลักฐานใหม่  อันสำคัญแก่คดีซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษู้ต้องหานั้นได้

สรุป  พนักงานอัยการต้องมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีหลังนี้

 

ข้อ  4  เมื่อวันที่  11  กุมภาพันธ์  2551  ร.ต.อ. ทรงกิต  ทำการจับกุมนายเชาว์ผู้ต้องหาฐานชิงทรัพย์โดยไม่มีหมายจับ  จากนั้นนำตัวนายเชาว์ไปส่ง  ณ  ที่ทำการของพนักงานสอบสวนและ  พ.ต.ต. วิฑูรย์พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวนาวเชาว์  ณ  ที่ทำการของพนักงานสอบสวน  เมื่อใกล้ครบ  48  ชั่วโมง  พ.ต.ต. วิฑูรย์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอฝากขังนายเชาว์  ศาลมีคำสั่งอนุญาต  ระหว่างฝากขังนายวาทีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเชาว์ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่าการจับกุมนายเชาว์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ทำให้การคุมขังนายเชาว์ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลอาญาไม่มีอำนาจคุมขังนายเชาว์  ขอให้มีคำสั่งปล่อยตัวนายเชาว์  ศาลมีคำสั่งรับคำร้องนัดไต่สวนโดยด่วนสำเนาให้พนักงานสอบสวนก่อนวันไต่สวนคำร้องของนายวาที  พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเชาว์ต่อศาลอาญาในความผิดฐานชิงทรัพย์  ศาลมีคำสั่งประทับฟ้อง  สำเนาให้นายเชาว์  นัดสอบถามคำให้การนายเชาว์

ดังนี้  ศาลอาญาจะสั่งคำร้องขอให้ปล่อยตัวนายเชาว์อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  90  เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดต้องถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  บุคคลเหล่านี้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลท้องที่ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาขอให้ปล่อย  คือ

(5) สามี  ภริยาหรือญาติของผู้นั้นหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง

เมื่อได้รับคำร้องดั่งนั้น  ให้ศาลดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวโดยด่วน  ถ้าศาลเห็นว่าคำร้องนั้นมีมูล  ศาลมีอำนาจสั่งผู้คุมขังให้นำตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลโดยพลันและถ้าผู้คุมขังแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลไม่ได้ว่าการคุมขังเป็นการชอบด้วยกฎหมาย  ให้ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไปทันที

วินิจฉัย

ศาลอาญาจะสั่งคำร้องขอให้ปล่อยตัวนายเชาว์อย่างไร  เห็นว่าแม้นายวาที  ซึ่งเป็นบิดาของนายเชาว์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาสั่งปล่อยตัวนายเชาว์จากการควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมายได้ตาม  มาตรา  90(5)  แต่สิทธิในการยื่นคำร้องดังกล่าวจะมีอยู่เพียงชั่วระยะเวลาที่นายเชาว์ยังถูกควบคุมหรือขังไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น  เมื่อได้ความว่าพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเชาว์และศาลมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว  การควบคุมตัวนายเชาว์ในระหว่างการพิจารณาของศาลย่อมเป็นอำนาจโดยเฉพาะของศาลซึ่งเป็นการดำเนินการคนละขั้นตอนกับการคุมขังในระหว่างการขอฝากขังของพนักงานสอบสวน  เมื่อการคุมขังตามคำร้องของพนักงานสอบสวนสิ้นสุดไปแล้ว  จึงเป็นกรณีที่ศาลไม่สามารถจะสั่งปล่อยตัวนายเชาว์ตามคำร้องของนายวาทีได้  ศาลอาญาต้องสั่งยกคำร้องดังกล่าว  (ฎ. 6935/2544 ฎ. 9752/2544)

สรุป  ศาลอาญาจะสั่งยกคำร้องขอให้ปล่อยตัวนายเชาว์

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางสายเดี่ยวอยู่กินกับนายสายลมโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรชื่อนางสาวเอวลอย  อายุ  17  ปี  นางสาวเอวลอยถูกนายเบี้ยวข่มขืนกระทำชำเรา  แต่นางสาวเอวลอยก็ยังไปเรียนหนังสือได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น

ในแต่ละกรณีดังต่อไปนี้  ถ้าท่านเป็นพนักงานสอบสวน  ท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อไป 

(ก)  นางสายเดี่ยวร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีนายเบี้ยวข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานางสาวเอวลอยในขณะที่นางสาวเอวลอยคัดค้านและไม่ยินยอมให้นางสายเดี่ยวร้องทุกข์  เพราะเกรงว่าตนเองและครอบครัวจะได้รับความอับอาย

(ข)  นางสาวเอวลอยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีนายเบี้ยวข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา  ต่อมานางสายเดี่ยวขอถอนคำร้องทุกข์เพราะเกรงว่าตนเองและครอบครัวจะได้รับความอับอาย  ในขณะที่นางสาวเอวลอย  คัดค้านและไม่ยินยอมให้นางสายเดี่ยวถอนคำร้องทุกข์

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

วินิจฉัย

(ก)  นางสาวเอวลอย  อายุ  17  ปี  บุตรนอกสมรสของนางสายเดี่ยวถูกนายเบี้ยวข่มขืนกระทำชำเรา  นางสาวเอวลอยซึ่งเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา  จึงถือได้ว่า  นางสาวเอวลอยเป็นผู้เสียหายโดยตรง  ตามมาตรา  2(4)

การที่นางสายเดี่ยวร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายเบี้ยวข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานางสาวเอวลอยนั้น  เห็นว่า  นางสายเดี่ยวมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแทนนางสาวเอวลอยได้  เพราะเหตุว่า  เด็กที่เกิดจากหญิงที่ไม่ได้สมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้นตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1546  บุตรผู้เยาว์จึงอยู่ในอำนาจปกครองของมารดา  นางสาวสายเดี่ยวจึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายเบี้ยวในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานางสาวเอวลอย  บุตรของตนที่เป็นผู้เยาว์ได้  ตามมาตรา  5(1)  แม้นางสาวเอวลอยจะคัดค้านและไม่ยินยอมก็ตาม

(ข)  โดยหลัก  ผู้เยาว์ไม่สามารถฟ้องคดีอาญาด้วยตัวเองได้  (ฎ. 563/2517)  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม  แต่ผู้เยาว์ชอบที่จะร้องทุกข์เองได้ (ฎ. 1892/2498)

การที่นางสาวเอวลอยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายเบี้ยวในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานั้น  เห็นว่า  นางสาวเอวลอยมีอำนาจที่จะกระทำได้  เพราะเหตุว่า  การที่ผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายย่อมมีอำนาจร้องทุกข์ด้วยตัวเองได้  ตามมาตรา  2(7)

และนางสายเดี่ยว  ไม่มีอำนาจขอถอนคำร้องทุกข์ดังกล่าว  เพราะเหตุว่า  เมื่อผู้เยาว์ได้ร้องทุกข์ตามความประสงค์แล้ว  นางสายเดี่ยวเป็นมารดาของนางสาวเอวลอยก็ไม่สามารถถอนคำร้องทุกข์ซึ่งเป็นการขัดขืนฝืนความประสงค์ของผู้เยาว์ได้  (ฎ. 214/2549)  ดังนั้น  นางสายเดี่ยวจึงไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์ดังกล่าว

สรุป

(ก)  นางสายเดี่ยวมีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้

(ข)  นาวสาวเอวลอยมีอำนาจในการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน  และนางสายเดี่ยวไม่มีอำนาจถอนคำร้องทุกข์

 

ข้อ  2  นายหนึ่งออกเช็คชำระหนี้ให้นางสอง  100,000  บาท  นายสองนำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารเมื่อเช็คถึงกำหนด  ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีนายหนึ่งไม่พอจ่าย  นายสองนำเช็คไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า  ผู้แจ้งเกรงว่าคดีจะขาดอายุความ  จึงขอแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน 

เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้ว  พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลให้ลงโทษนายหนึ่งทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี  นายสองยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีของพนักงานอัยการและคำร้องของนายสองว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  120  ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล  โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

นายสองเป็นผู้ทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  นายสองจึงเป็นผู้เสียหายทางอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  ตามมาตรา  2(4)  แต่การที่นายสองนำเช็คไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า  ผู้แจ้งเกรงว่าคดีจะขาดอายุความ  จึงขอแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน  ถือว่านายสองยังไม่มีเจตนาให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  (ฎ. 62/2521)  ถ้อยคำที่แจ้งจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์  ตามมาตรา  2(7)

ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดต่อส่วนตัว  เมื่อไม่มีคำร้องทุกข์พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตามมาตรา  121  วรรคสอง  ทำให้การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา  120  ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการแล้ว  จึงไม่มีคำฟ้องอยู่ในศาล  นายสองแม้จะเป็นผู้เสียหายก็ไม่สามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา  30  ศาลจึงต้องสั่งยกคำร้องของนายสองเช่นเดียวกัน 

(ฎ. 228/2544)

สรุป  ศาลต้องพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการและต้องสั่งยกคำร้องของนายสองเช่นเดียวกัน

 

ข้อ  3  อัยการประจำศาลแขวงใต้ฟ้องนายแดงฐานขับรถยนต์โดยประมาทชนนายดำบาดเจ็บสาหัสต่อศาลแขวง  ระหว่างพิจารณา  นายดำได้ถึงแก่ความตายเนื่องจากการขับรถโดยประมาทตามที่ได้ฟ้องทำให้คดีไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้  อัยการประจำศาลแขวงจึงได้ขอถอนฟ้องเพื่อส่งสำนวนไปให้อัยการประจำศาลจังหวัด  ด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นเหตุให้คนตายอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดที่จะพิจารณาพิพากษาได้  และต่อมาอัยการประจำศาลจังหวัดได้ยื่นฟ้องนายแดงฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้นายดำถึงแก่ความตายต่อศาลจังหวัด

เช่นนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจังหวัดจะรับฟ้องของอัยการดังกล่าวไว้พิจารณาหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  36  วรรคแรก  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาอีกหาได้ไม่  เว้นแต่จะเข้าอยู่ในข้อยกเว้นต่อไปนี้

(1) ถ้าพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีอาญาซึ่งไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นไป  การถอนนี้ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่

(2) ถ้าพนักงานอัยการถอนคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไป  โดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย  การถอนนั้นไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่

วินิจฉัย

ศาลจังหวัดจะรับฟ้องของพนักงานอัยการไว้พิจารณาหรือไม่นั้น  เห็นว่า  ในความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้นายดำได้รับบาดเจ็บสาหัสและความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้นายดำถึงแก่ความตายนั้น  ถือได้ว่าเป็นคดีเดียวกันเพราะในสองฐานความผิดดังกล่าวได้เกิดจากรถยนต์นั้นชนเช่นเดียวกัน  เมื่อได้ความว่าคดีดังกล่าวพนักงานอัยการได้ฟ้องต่อศาลแขวงแล้ว  และต่อมาได้ขอถอนฟ้องไป  ซึ่งผลของการถอนฟ้องดังกล่าว  ทำให้ไม่สามารถนำคดีอาญามาฟ้องใหม่ได้อีก  ตามมาตรา  36  วรรคแรก  แม้ได้ความว่าจะฟ้องต่อศาลจังหวัดก็ตาม  และในกรณีนี้ก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้น  ตามมาตรา  36(1)(2)  ที่จะสามารถฟ้องใหม่ได้แต่อย่างใด

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจังหวัดก็จะไม่รับฟ้องของอัยการไว้พิจารณา

 

ข้อ  4  พ.ต.ต. สิทธิชัยขับรถออกตรวจท้องที่เวลาห้าทุ่ม  เห็นนายสุเมธยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายปริญญาซึ่งทั้งนายสุเมธและนายปริญญาอยู่ภายในบ้านของนางปุ้ย  พ.ต.ต.สิทธิชัยจึงเข้าไปทำการจับกุมนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยทันทีโดยที่ไม่มีหมายจับและหมายค้น

ดังนี้การที่  พ.ต.ต.สิทธิชัยเข้าไปจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา  80

มาตรา  80  วรรคแรก  ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น  ได้แก่  ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยได้เลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ

มาตรา  81  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน

มาตรา  92  ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล  เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(2)  เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน

มาตรา  96  การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก  มีข้อยกเว้นดังนี้

(2) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งหรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ  จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้

วินิจฉัย

การจับของ  พ.ต.ต.  สิทธิชัยเป็นการจับในที่รโหฐานในเวลากลางคืน  (เนื่องจากตามข้อเท็จจริงการกระทำความผิดเกิดเวลาห้ามทุ่ม)  ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอำนาจในการจับโดยมีหมายจับ  หรืออำนาจที่กฎหมายให้ทำการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน  คือ  มีอำนาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอำนาจที่กฎหมายให้ทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย  รวมถึงจะต้องมีอำนาจที่จะเข้าไปทำการค้นในที่รโหฐานในเวลากลางคืน

การที่  พ.ต.ต. สิทธิชัย  เห็นนายสุเมธยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายปริญญา  การกระทำของนายสุเมธเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายปริญญา  ตาม  ป.อ.  มาตรา  288  ประกอบมาตรา  80  เมื่อ  พ.ต.ต.  สิทธิชัย  เห็นการกระทำดังกล่าวจึงมีอำนาจในการจับเนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า  ประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงกรณีเห็นบุคคลกำลังกระทำความผิดตามมาตรา  78  ประกอบมาตรา  80  วรรคแรก  และตามปัญหาเป็นกรณีนายสุเมธกระทำความผิดซึ่งหน้า  (พ.ต.ต. สิทธิชัย)  ในบ้านของนางปุ้ยซึ่งเป็นที่รโหฐาน  จึงถือว่า  พ.ต.ต. สิทธิชัย  ได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานคือมีอำนาจในการค้นแล้วตามมาตรา  92(2) ประกอบมาตรา  81  ถือเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งซึ่งจะทำการค้นในที่รโหฐานเวลากลางคืนก็ได้ตามมาตรา  96(2)  เนื่องจากหาก  พ.ต.ต. สิทธิชัยไม่เข้าไปขณะนั้น  (เวลาห้าทุ่ม)  นายปริญญาอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้  พ.ต.ต. สิทธิชัยจึงสามารถเข้าไปทำการจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยได้

สรุป  การที่  พ.ต.ต. สิทธิชัยเข้าไปจับนายสุเมธในบ้านของนางปุ้ยชอบด้วยกฎหมาย 

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 ซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551
 
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 
 
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ
ข้อ 1. นางพิมมีบุตร 1 คน ชื่อนายเพชร อายุ 25 ปี  นางพิมยังได้จดทะเบียนรับนางสาวพลอย อายุ 16 ปี เป็นบุตรบุญธรรมอีกหนึ่งคน  นางสาวพลอยถูกนายเข้มขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตาย
 
นางพิมยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเข้มฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางสาวพลอยถึงแก่ความตาย  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูล  ประทับฟ้อง  คดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์  ปรากฏว่านางพิมป่วยถึงแก่ความตายไปเสียก่อน
 
นายเพชรเป็นทายาทที่มีเพียงคนเดียวและได้รับมรดกทั้งหมดของนางพิม ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับมรดกความทางอาญาเข้ามาดำเนินคดีนายเข้มแทนนางพิมต่อไป ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายเพชรว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด
 
ธงคำตอบ
 
หลักกฎหมาย          ป.วิ.อาญา มาตรา  2 (4),  5 (1),  28, 29
 
วินิจฉัย   การที่นางสาวพลอยอายุ 16 ปี  ถูกนายเข้มขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตาย นางสาวพลอยเป็นบุตรบุญธรรมของนางพิม  นางพิมจึงมีอำนาจจัดการแทนด้วยการฟ้องคดีอาญา  ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4), 5 (1), 28
เมื่อนางพิมยื่นฟ้องคดีแล้วตายลง  นายเพชรอายุ 25 ปี บุตรของนางพิม แม้จะเป็นผู้สืบสันดานที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่สามารถเข้ามารับมรดกความทางอาญาดำเนินคดีนายเข้มแทนนางพิม  เพราะการรับมรดกความทางอาญา ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 29  ต้องเป็นกรณีผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องแล้วตาย    แต่กรณีนี้ นางพิมที่ยื่นฟ้องแล้วตายนั้นไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง  เป็นเพียงผู้มีอำนาจจัดการแทน ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1)  เท่านั้น
 
ดังนั้น  ศาลต้องยกคำร้องของนายเพชร
 
ข้อ 2.  พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนกรณีนายศิรพงษ์ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฆ่านายประสงค์   แต่เมื่อพนักงานอัยการพิจารณาพยานหลักฐานจากการสอบสวนแล้ว เห็นว่าคดีมีหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายศิรพงษ์ ต่อมานายกมลบิดาของนายประสงค์ได้ดำเนินการฟ้องนายศิรพงษ์ในความผิดฐานฆ่านายประสงค์ ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น นายศิรพงษ์ได้ทำการตกลงกับนายกมลโจทก์ยอมชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่นายกมลจนเป็นที่พอใจ โดยนายกมลตกลงจะช่วยเหลือนายศิรพงษ์ด้วยการดำเนินคดีไปในทางที่ให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง พนักงานอัยการได้ทราบถึงเรื่องดังกล่าวจึงยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายกมล แต่นายศิรพงษ์คัดค้านว่าพนักงานอัยการไม่มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์เพราะพนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องตนมาแล้ว ดังนี้พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ได้หรือไม่
 
ธงคำตอบ
 
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 31 คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้ว พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้
 
                มาตรา 32 เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหาย โดยกระทำหรือละเว้นกระทำลงใดๆ ในกระบวนพิจารณา พนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้นๆได้
 
 มาตรา 34 คำสั่งไม่ฟ้องคดี หาตัดสิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีโดยตนเองไม่
 
                มาตรา 39 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดั่งต่อไปนี้…
 
                มาตรา 147 เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีกเว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้
 
                วินิจฉัย
 
การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องเป็นเพียงกรณีที่พนักงานอัยการพิจารณาเห็นว่า ในขณะนั้นยังไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาในศาลเพื่อความยุติธรรม จึงต้องมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาไปก่อน แต่คำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องของพนักงานอัยการไม่ทำให้สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากในโอกาสต่อไปได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดีที่น่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็สามารถสอบสวนและฟ้องผู้ต้องหาในเรื่องเดียวกันเพื่อพิสูจน์ความผิดและเพื่อให้ศาลพิจารณาลงโทษได้อีกภายในอายุความ ตามมาตรา 147
 
                คดีนี้แม้พนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายศิรพงษ์แล้ว แต่เมื่อพนักงานอัยการเห็นว่านาย
 
กมลจะดำเนินคดีไปในทางที่ทำให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่การดำเนินคดีของรัฐ พนักงานอัยการก็สามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีที่นายกมลเป็นโจทก์ฟ้องนายศิรพงษ์เรื่องเดียวกันตามมาตรา 31 เพื่อดำเนินการมิให้นายกมลกระทำเสียหายแก่คดีตามมาตรา 32 ได้
 
ดังนั้นพนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ได้
 
ข้อ 3.       ร.ต.ต.โกสินทร์ขับรถออกตรวจท้องที่เวลาสามทุ่ม เห็นนายโสภณยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายพนมซึ่งทั้ง     นายโสภณและนายพนมอยู่ภายในบ้านของนางมะลิ  ร.ต.ต.โกสินทร์จึงเข้าไปทำการจับนายโสภณในบ้านของนางมะลิทันทีโดยที่ไม่มีหมายจับและหมายค้น
 
ดังนี้การที่ ร.ต.ต.โกสินทร์เข้าไปจับนายโสภณในบ้านของนางมะลิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด
 
ธงคำตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่
(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80
 
มาตรา 80 วรรคแรก ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยได้เลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ
 
มาตรา 81 ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะ
 
ได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน
 
มาตรา 92 ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาล เว้นแต่
 
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้
 
                (2) เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำลงในที่รโหฐาน
 
                มาตรา 96 การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก มีข้อยกเว้นดังนี้
 
                (2) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งหรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้
 
วินิจฉัย
 
การจับของ ร.ต.ต.โกสินทร์เป็นการจับในที่รโหฐานในเวลากลางคืน(เนื่องจากตามปัญหาการกระทำความผิดเกิดเวลาสามทุ่ม) ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอำนาจในการจับโดยมีหมายจับหรืออำนาจที่กฎหมายให้ทำการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานคือมีอำนาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอำนาจที่กฎหมายให้ทำการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย รวมถึงจะต้องมีอำนาจที่จะเข้าไปทำการค้นในที่รโหฐานในเวลากลางคืน
 
                การที่ ร.ต.ต.โกสินทร์ เห็นนายโสภณยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายพนม การกระทำของนายโสภณเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายพนม (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80)  เมื่อ ร.ต.ต.โกสินทร์เห็นการทำดังกล่าวจึงมีอำนาจในการจับเนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า(ประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงกรณีเห็นบุคคลกำลังกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 80) และตามปัญหาเป็นกรณีนายโสภณกระทำความผิดซึ่งหน้า(ร.ต.ต.โกสินทร์)ในบ้านของนางมะลิซึ่งเป็นที่รโหฐาน จึง
 
ถือว่า ร.ต.ต.โกสินทร์ได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานคือมีอำนาจในการค้นแล้ว (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 92 (2)) และตามปัญหาถือเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งซึ่ง จะทำการค้นในที่รโหฐานเวลากลางคืนก็ได้ เนื่องจากหาก ร.ต.ต.โกสินทร์ไม่เข้าไปขณะนั้น (เวลาสามทุ่ม) นายพนมอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้ ร.ต.ต.โกสินทร์จึงสามารถเข้าไปทำการจับ   นายโสภณในบ้านของนางมะลิได้
 
                ดังนั้นการที่ ร.ต.ต.โกสินทร์เข้าไปจับนายโสภณในบ้านของนางมะลิชอบด้วยกฎหมาย
 
ข้อ 4.       นายฤทธิไกรอายุ 35 ปี ยืมรถจักรยานยนต์ของนายศรัณยูไปทำธุระแล้วยักยอกไปขายให้แก่นายสันติ นายศรัณยูทราบเรื่องจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อ
 
พ.ต.ต.สมยศพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว เพื่อให้ดำเนินคดีแก่นายฤทธิไกรข้อหายักยอก ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายฤทธิไกรได้ตามหมายจับ โดยในการจับเจ้าพนักงานผู้ทำการจับได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการจับกุมแล้วนำตัวนายฤทธิไกรไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวน พ.ต.ต.สมยศแจ้งข้อหาแก่นายฤทธิไกรว่ายักยอกรถจักรยานยนต์ของนายศรัณยู แล้วได้ทำการสอบสวน (โดยก่อนเริ่มถามคำให้การพนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134/1-134/4 ครบถ้วนทุกประการ) หลังการสอบสวนเสร็จข้อเท็จจริงได้ความตามทางสอบสวนว่า นายฤทธิไกรยักยอกรถจักรยานยนต์ของนายศรัณยูไปนอกจากนี้นายฤทธิไกรยังช่วยเหลือนายโอฬารนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายศรัณยูซึ่งถูกนายโอฬารลักมาไปขายที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งอีกด้วย  พ.ต.ต.สมยศจึงสรุปสำนวนเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องนายฤทธิไกรข้อหายักยอกรถจักรยานยนต์ของนายศรัณยูและข้อหารับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายศรัณยูอีกหนึ่งข้อหา
 
ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าพนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องนายฤทธิไกรในข้อหารับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ    นายศรัณยู หรือไม่ เพราะเหตุใด
 
ธงคำตอบ
 
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน
 
มาตรา 134 เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียกหรือส่งตัวมาหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเองหรือปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหา… แจ้งข้อหาให้ทราบ
 
วินิจฉัย
 
เมื่อ พ.ต.ต.สมยศแจ้งข้อหาแก่นายฤทธิไกรแต่เพียงว่ายักยอกรถจักรยานยนต์ของนายศรัณยูซึ่งไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำของนายฤทธิไกรที่ช่วยเหลือนายโอฬารนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายศรัณยูที่ถูกนายโอฬารลักมาไปขายอันเป็นความผิดฐานรับของโจร การที่ พ.ต.ต.สมยศสอบสวนและสรุปสำนวนเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องนายฤทธิไกรข้อหารับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกหนึ่งข้อหาหนึ่งแก่นายฤทธิไกร โดยไม่ได้แจ้งข้อหาดังกล่าวแก่นายฤทธิไกร จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องนายฤทธิไกรในข้อหาดังกล่าวตามมาตรา 120 (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2521 ประชุมใหญ่)
 
ดังนั้นพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องนายฤทธิไกรในข้อหารับของโจรโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายศรัณยู

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ           

ข้อ 1.       นายหนึ่งขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ทั้งยังขับรถยนต์ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ชนนายสองถึงแก่ความตาย ระหว่างพนักงานสอบสวนสอบสวนคดีนี้ นางสายภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสองถึงแก่ความตาย คดีอยู่ระหว่างศาลไต่สวนมูลฟ้อง

ต่อมาเมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งข้อหาขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสองถึงแก่ความตาย ส่วนนางสายเมื่อทราบว่าพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายหนึ่งแล้ว จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องต่อศาล ศาลอนุญาต

นายสักบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองทราบเรื่อง จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายสักว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย          ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4),  5 (2),  30, 36                  

วินิจฉัย

ข้อหาขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์

                ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30   ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจะต้องเป็นผู้เสียหาย  ซึ่งความผิดข้อหาขับขี่รถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์เป็นความผิดอาญาต่อรัฐ  รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย  ทั้งนายสองและนายสัก ต่างไม่ใช่ผู้เสียหาย  นายสักจึงขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในความผิดข้อหานี้ไม่ได้ 

                ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสองถึงแก่ความตาย

                แม้ว่านายสักถือได้ว่าเป็นผู้บุพการี มีอำนาจจัดการแทนนายสอง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2)  แต่เมื่อนางสายภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสอง  ได้จัดการฟ้องคดีแทนนายสองและได้ถอนฟ้องแล้ว  ซึ่งผลของการถอนฟ้องทำให้ไม่สามารถนำคดีมาฟ้องใหม่  ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36  ผลทางกฎหมายที่เกิดขึ้นนี้มีผลกระทบถึงนายสักด้วยเมื่อนายสักฟ้องคดีนี้ไม่ได้  ก็ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการไม่ได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น  ศาลต้องมีคำสั่งให้ยกคำร้องของนายสัก

 

ข้อ 2.       นายแดงกับพวกอีก 5 คน ได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ในทะเลหลวงที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ซึ่งต้องรับโทษในราชอาณาจักร ต่อมานายแดงได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย โดยเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่อยู่ในเขตอำนาจจับได้ และนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรดังกล่าว ทำการสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนพยานไปได้ 3 ปาก ได้รวมสำนวนไว้ และได้แจ้งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อสั่งการ ต่อมาอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งมอบหมายให้อัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนคดีนี้แทน ทางอัยการจังหวัดดังกล่าว จึงรับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนดังกล่าวมาทำการสอบสวนต่อไป และสอบพยานได้อีก 6 ปาก โดยไม่มีพนักงานสอบสวนดังกล่าวเข้าร่วมสอบสวนด้วย แล้วได้รวบรวมสำนวนการสอบสวนพร้อมทำความเห็นส่งไปยังอัยการสูงสุด  เช่นนี้ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายเพียงใด หรือไม่

ธงคำตอบ

อ้าง วิ.อาญา มาตรา 20

กรณีที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ทำการสอบสวนพยาน 3 ปาก   ถือว่าเป็นกรณีจำเป็นระหว่างรอคำสั่งของอัยการสูงสุด  เพราะเป็นพนักงานสอบสวนซึ่งนายแดงผู้ต้องหาถูกจับอยู่ในเขตอำนาจ  ตามมาตรา 20 วรรคห้า  จึงเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย

สำหรับกรณีที่อัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทำการสอบสวนพยานอีก 6 ปาก ก็เนื่องจากอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้รับผิดชอบทำการสอบสวนแทนอัยการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงเป็นพนักงานอัยการที่สามารถรับผิดชอบทำการสอบสวนได้ตามลำพังโดยไม่ต้องมีพนักงานสอบสวนดังกล่าวร่วมสอบสวนด้วย  การสอบสวนของอัยการจังหวัดดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย และเมื่ออัยการจังหวัดดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนย่อมสามารถรวบรวมการสอบสวนและทำความเห็นส่งไปยังอัยการสูงสุดได้ตามมาตรา 20 วรรคแรก,  วรรคสาม  และวรรคท้าย

ดังนั้น  การสอบสวนของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการชอบด้วยกฎหมายแล้ว

 

ข้อ 3.       นางกุ๊กนำขนมใส่กล่องไปให้นางไก่เป็นสินน้ำใจเพื่อให้อำนวยความสะดวกในศาล นางไก่ปฏิเสธไม่ยอมรับและส่งมอบกล่องขนมคืนพร้อมกับบอกว่าเป็นการให้สินบนเจ้าพนักงาน นางกุ๊กโมโหหาว่านางไก่ดูถูกและกล่าวหากัน จึงเอากล่องขนมฟาดไปที่ศีรษะนางไก่จนแตกเย็บ 5 เข็ม นางกุ๊กจึงถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลที่ก่อความวุ่นวายและทำร้ายร่างกายผู้อื่นในบริเวณศาล ต่อมานางไก่ได้ฟ้องนางกุ๊กต่อศาลเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายและอ้างคำพิพากษาของศาลที่ลงโทษนางกุ๊กดังกล่าว นางกุ๊กปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายร่างกายและทำให้ศีรษะนางไก่แตกตามที่ถูกฟ้อง

ดังนี้ ศาลในคดีแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาของศาลที่นางไก่อ้าง หรือต้องให้มีการสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่นางกุ๊กปฏิเสธ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย          ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 46

แม้นางกุ๊กได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล  แต่คำพิพากษาของศาลดังกล่าวก็วินิจฉัยกรณีที่นางกุ๊กกระทำละเมิดอำนาจศาลเท่านั้น  มิใช่เป็นคำพิพากษาคดีอาญาที่ศาลในคดีแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตาม  เมื่อนางกุ๊กปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายร่างกาย และทำให้ศีรษะของนางไก่แตก  ศาลในคดีแพ่งจึงต้องให้มีการสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงคดีแพ่งใหม่  ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาของศาลที่นางไก่อ้างได้

 

ข้อ 4.       พ.ต.อ.สถบดีและนายพร้อมมิตร ได้รับเชิญจากนายวุฒิศักดิ์เจ้าของบ้านให้ไปร่วมงานเลี้ยงในเวลากลางวันที่บ้านของนายวุฒิศักดิ์ ขณะอยู่ในบ้านของนายวุฒิศักดิ์ พ.ต.อ.สถบดีจำได้ว่านายพร้อมมิตรเป็นคนร้ายที่ศาลได้ออกหมายจับไว้และ พ.ต.อ.สถบดีได้พกหมายจับนายพร้อมมิตรมาด้วย พ.ต.อ.สถบดีจึงเข้าจับกุมนายพร้อมมิตรโดยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการจับกุม แล้วนำตัวนายพร้อมมิตรไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ

ดังนี้ การที่ พ.ต.อ.สถบดีจับนายพร้อมมิตรในบ้านของนายวุฒิศักดิ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ  

หลักกฎหมาย          ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 57 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 78 มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94  แห่งประมวลกฎหมายนี้จะจับ  ขัง  จำคุก  หรือค้น ในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาลสำหรับการนั้น

มาตรา 81   ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน

วินิจฉัย  การที่ พ.ต.อ.สถบดีจับนายพร้อมมิตรนั้น เป็นการจับตามหมายจับ  แม้เป็นการจับในที่รโหฐานก็ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา 81  ที่บัญญัติว่าไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน เพราะการเข้าไปอันถือเสมือนเป็นการค้นในที่รโหฐานนั้นเป็นการเข้าไปโดยชอบ  เนื่องจากนายวุฒิศักดิ์เจ้าของผู้ครอบครองที่รโหฐานเชื้อเชิญให้เข้าไป  พ.ต.อ.สถบดีไม่ต้องขอหมายค้นของศาลเพื่อเข้าไปค้นบ้านที่ตนอยู่ในบ้านโดยชอบแล้ว การจับนายพร้อมมิตรเป็นการชอบ

ดังนั้น การที่ พ.ต.อ.สถบดี จับนายพร้อมมิตรในบ้านของนายวุฒิศักดิ์ จึงชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายหนึ่งออกเช็คชำระหนี้ให้นายสอง  100,000  บาท  นายสองโอนเช็คดังกล่าวชำระหนี้ให้นายสาม  นายสามนำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร  เมื่อเช็คถึงกำหนด  ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีนายหนึ่งไม่พอจ่าย  นายสามนำเช็คมาคืนนายสองและได้รับเงินสด  100,000  บาทจากนายสองไปแล้ว  วันรุ่งขึ้นนายสองนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินที่ธนาคารอีกครั้งหนึ่ง  ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินด้วยเหตุผลเดิมนายสองจึงนำเช็คไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนขอให้ดำเนินคดีอาญานายหนึ่ง  ตาม  พ.ร.บ.  เช็คฯ  เมื่อพนักงานสอบสวนเสร็จแล้ว  พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งตาม  พ.ร.บ.  เช็คฯ  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี  นายสองยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยของพนักงานอัยการ  และคำร้องของนายสองว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  120  ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล  โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ผู้เสียหายในความผิดตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  คือ  ผู้ทรงเช็คฯ  ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  (ฎ. 1035/2529)  ส่วนผู้รับโอนเช็คภายหลังจากการที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหาใช่ผู้เสียหายไม่

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ศาลจะวินิจฉัยคดีของพนักงานอัยการว่าอย่างไร  เห็นว่า  การที่นายสองได้รับเช็คคืนมาจากนายสามซึ่งได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินที่ธนาคารและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว  กรณีเช่นนี้  แม้ได้ความว่าภายหลังจากที่นายสองได้รับเช็คคืนมาแล้วได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารอีก  ก็หาทำให้นายสองกลายเป็นผู้เสียหายแต่อย่างใด  เพราะการออกเช็คแต่ละฉบับนั้น  ถ้าเป็นความผิดก็คงเป็นความผิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  นายสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  ตามมาตรา  2(4)  (ฎ. 2703/2523)

สำหรับการร้องทุกข์นั้น  โดยหลักแล้ว  บุคคลใดจะร้องทุกข์ได้ต้องเป็นผู้เสียหายในความผิดที่ร้องทุกข์  เมื่อได้ความว่านายสองไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตาม  พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯการแจ้งความของนายสองจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์  ตามมาตรา  2(7)  และเมื่อความผิดตาม  พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  เป้นความผิดส่วนตัว  เมื่อไม่มีคำร้องทุกข์  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตามมาตรา  121  วรรคสอง  การสอบสวนที่ดำเนินไปจึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง  ตามมาตรา  120  ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง 

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายสองว่าอย่างไร  เห็นว่าเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการแล้ว  จึงไม่มีคำฟ้องอยู่ในศาล  นายสองจึงเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ได้  อีกทั้งกรณีนี้นายสองก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย  จึงไม่มีอำนาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ตามมาตรา  30  (ฎ. 1583/2513)

สรุป  ศาลต้องพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ  และยกคำร้องของนายสอง

 

ข้อ  2  นายแดงขับรถประมาทชนท้ายรถของนายเขียวเสียหาย  พนักงานอัยการจึงเป็นโจทก์ฟ้องและขอให้ศาลลงโทษนายแดงในฐานความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  นายแดงรับสารภาพ  ศาลพิพากษาลงโทษนายแดงตามฟ้องคดีถึงที่สุด  นายเหลืองซึ่งโดยสารมาในรถของนายเขียวและได้รับบาดเจ็บกระดูกคอเคลื่อน  ต้องรักษาเป็นเวลาถึงสามเดือน  เห็นว่าพนักงานอัยการยังไม่ได้ฟ้องนายแดงในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายเหลืองรับอันตรายสาหัส  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  300  นายเหลืองจึงเป็นโจทก์ฟ้องและขอให้ศาลลงโทษนายแดงในความผิด  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  ดังกล่าว  นายแดงต่อสู้ว่าได้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษ  คดีถึงที่สุดไปแล้ว  นายเหลืองจึงไม่อาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้  นายเหลืองแถลงว่า  เป็นคนละคดีกันและนายแดงยังไม่เคยถูกฟ้องและถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดซึ่งได้ฟ้องนี้  ดังนี้  ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายเหลืองในประเด็นดังกล่าวนี้เช่นไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง

วินิจฉัย

ในกรณีที่สิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับ  เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       จำเลยในคดีแรกและคดีที่นำมาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2       การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเดียวกัน

3       ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

ศาลจะวินิจฉัยคดีของนายเหลืองในประเด็นดังกล่าวนี้เช่นไร  เห็นว่า  ในคดีก่อนพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ศาลลงโทษนายแดงในฐานความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  ส่วนคดีนี้นายเหลืองได้เป็นโจทก์ฟ้องและขอให้ศาลลงโทษนายแดงเช่นกัน  จึงเป็นกรณีที่จำเลยในคดีแรกและคดีที่นำมาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน  ตามหลักเกณฑ์ข้อที่  1

การกระทำโดยประมาทของนายแดงที่ปรากฏเหตุให้เป็นความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบกและเป็นเหตุให้นายเหลืองได้รับอันตรายสาหัสได้เกิดจากการกระทำของนายแดงครั้งเดียวกัน  ที่นายแดงได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถยนต์ของนายสองเสียหาย  อันถือเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน  ตามหลักเกณฑ์ข้อที่  2

และเมื่อได้ความว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงขอให้ศาลลงโทษนายแดงในฐานความผิดตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  จนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว  จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว  ตามหลักเกณฑ์ข้อที่  3

ดังนั้น  นายเหลืองจึงไม่มีสิทธินำคดีอาญามาฟ้องนายแดงในการกระทำกรรมเดียวกันอีก  เพราะสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้ว  ตามมาตรา  39(4)  ศาลจึงต้องสั่งจำหน่ายคดีของนายเหลืองจากสารบบความ

สรุป  ศาลจึงต้องสั่งจำหน่ายคดีของนายเหลืองจากสารบบความ

 

ข้อ  3  นายมีและนายมาเป็นเจ้าของทรัพย์ม้า  1  ตัวร่วมกัน  โดยลงทุนออกเงินร่วมกันซื้อม้าตัวนี้มาใช้สำหรับวิ่งแข่งขันในสนามม้า  ปรากฏว่านายสอนได้ลักมาตัวนั้นไปขาย  เอาเงินมาใช้จนหมดไปแล้ว  นายมีจึงฟ้องนายสอนต่อศาลว่าลักทรัพย์ไป  แต่บรรยายฟ้องผิดวันเวลาและสถานที่  จึงขอถอนฟ้องแล้วบรรยายฟ้องใหม่ให้ถูกต้อง  ยื่นฟ้องต่อศาลอีก  ในขณะเดียวกันนายมาเห็นว่านายมียังทำผิดพลาดในการบรรยายฟ้องอีก  นายมาจึงได้บรรยายฟ้องนายสอนฐานลักทรัพย์ให้ถูกต้อง  แล้วยื่นฟ้องต่อศาลเดียวกันนั้นอีก

เช่นนั้น  นายมีและนายมาจะยื่นฟ้องนายสอนอีกได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  36  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว  จะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่…

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในความผิดที่มีผู้เสียหายหลายคน  เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องไว้แล้วขอถอนฟ้องไป  ย่อมตัดสิทธิเฉพาะผู้เสียหายคนนั้นไม่ให้ฟ้องใหม่  ส่วนผู้เสียหายคนอื่นยังมีสิทธิฟ้องได้อีกไม่ถูกตัดสิทธิแต่อย่างใด 

(ฎ. 5934  5935/2533)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายมีจะยื่นฟ้องนายสอนได้อีกหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อได้ความว่านายมีได้ยื่นฟ้องไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นไปจากศาล  กรณีเช่นนี้  แม้คำฟ้องนั้นจะไม่ถูกต้อง  นายมีก็ไม่อาจนำคดีฐานลักทรัพย์มาฟ้องอีกได้ต้องห้ามตามมาตรา  36  ที่ว่า  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว  จะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่…  นายมีจึงไม่อาจยื่นฟ้องนายสอนอีกได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  นายมาจะยื่นฟ้องนายสอนอีกได้หรือไม่  เห็นว่า  นายมาเป็นเจ้าของทรัพย์  คือ ม้า  1  ตัว  ร่วมกับนายมี  กรณีเช่นนี้  ถือว่านายมาเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ด้วยการที่นายมีเจ้าของร่วมได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป  ย่อมตัดสิทธิเฉพาะนายมีเท่านั้นที่จะฟ้องอีกไม่ได้  แต่หาได้ตัดสิทธิผู้เสียหายอื่นที่จะฟ้องแต่อย่างใด  เพราะสิทธิในการดำเนินคดีอาญาที่ตนเป็นผู้เสียหายย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน  อีกทั้งมาตรา  36  ก็มิได้กำหนดให้ตัดสิทธิผู้เสียหายแต่ละคนในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคนไว้โดยชัดแจ้ง  นายมาจึงยื่นฟ้องนายสอนได้

สรุป  นายมีไม่อาจฟ้องนายสอนอีกได้  แต่นายมาสามารถยื่นฟ้องนายสอนได้

 

ข้อ  4  ร.ต.ต. อาณัติ  นายสุธีและนางสาววิไล  ได้รับเชิญจากนายศิริเจ้าของบ้านให้ไปร่วมงานเลี้ยงในเวลากลางวันที่บ้านของนายศิริซึ่งอยู่ติดกับบ้านของนายสุธี  ขณะอยู่ในบ้านของนายศิริ  นางสาววิไลจำได้ว่านายสุธีเป็นคนร้ายที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราตนเมื่อสัปดาห์ก่อน  นางสาววิไลจึงชี้ให้  ร.ต.ต.อาณัติจับนายสุธีโดยแจ้งว่าได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว  ร.ต.ต.อาณัติจึงเข้าจับกุมนายสุธี  โดยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการจับกุม  แล้วนำตัวนายสุธีไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ 

ดังนี้  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติ  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  

ธงคำตอบ

มาตรา  66  เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้

(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี  หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน  หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร  ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา  66(2)  แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้

มาตรา  81  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การจับในที่รโหฐาน  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  จะต้องมีอำนาจในการจับกุม  กล่าวคือ  ต้องมีหมายจับ หรือมีอำนาจในการจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานด้วย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติเป็นการจับในที่รโหฐาน  (บ้านนายศิริ)  แม้การจับจะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้  อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน  เนื่องจากนายศิริเจ้าของบ้านผู้ครอบครองที่รโหฐานเชื้อเชิญให้เข้าไปในที่รโหฐานนั้น  แต่  ร.ต.ต. อาณัติ  ก็ไม่มีอำนาจในการจับเนื่องจาก  ตามมาตรา  78(3)  ประกอบมาตรา  66(2)  เจ้าพนักงานตำรวจจะจับนายสุธีได้โดยไม่มีหมายจับต่อเมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่านายสุธีน่าจะได้กระทำผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่านายสุธีจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุร้ายประการอื่นและมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับนายสุธีได้  ซึ่งตามข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสุธีมีท่าทีจะหลบหนี  ประกอบกับนายสุธีก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  66  วรรคท้าย  ดังนั้น  ร.ต.ต. อาณัติจะจับนายสุธีโดยไม่มีหมายจับของศาลไม่ได้  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  การจับของ  ร.ต.ต. อาณัติ  ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางชนิกามีบุตร  1  คน  ชื่อนายประกอบ อายุ  22  ปี  นางชนิกายังได้จดทะเบียนรับนางสาวสุพรอายุ  16  ปี  เป็นบุตรบุญธรรมอีกคนหนึ่ง  นางสาวสุพรถูกนายวิชัยขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตาย  นางชนิกายื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายวิชัยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางสาวสุพรถึงแก่ความตาย  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูล  ประทับฟ้องคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ปรากฏว่านางชนิกาป่วยถึงแก่ความตายไปเสียก่อน

นายประกอบเป็นทายาทที่มีเพียงคนเดียวและได้รับมรดกทั้งหมดของนางชนิกาได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับมรดกความอาญาเข้ามาดำเนินคดีนายวิชัยแทนนางชนิกาต่อไป ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายประกอบว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

มาตรา  29  เมื่อผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง  ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้

ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์  ผู้วิกลจริต  หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมผู้อนุบาลหรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้วผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้

วินิจฉัย

การที่นางสาวสุพรอายุ  16  ปี  ถูกนายวิชัยขับรถยนต์โดยประมาทถึงแก่ความตายกรณีนี้ถือว่านางสาวสุพรเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  อันถือว่านางสาวสุพรเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง  ตามมาตรา  2(4)

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  นางสาวสุพรผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมของนางชนิกา  กรณีย่อมถือว่านางชนิกาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจจัดการแทนนางสาวสุพรผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดที่กระทำต่อนางสาวสุพรได้ด้วยการฟ้องคดีโดยอาศัยมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(1)  และมาตรา  28  มิใช่การฟ้องคดีตามมาตรา  5(2)  เพราะนางชนิกาและนางสาวสุพรไม่ได้เป็นผู้บุพกรรีและผู้สืบสันดานซึ่งกันและกัน  เนื่องจากผู้บุพการีและผู้สืบสันดานนั้นต้องถือตามความเป็นจริง (ฎ. 1384/2516 (ประชุมใหญ่))

อนึ่งเมื่อนางชนิกาซึ่งเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5(1)  ได้ฟ้องคดีแล้วตายลง  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในกรณีนี้จึงมีว่า  นายประกอบอายุ  22  ปี  ซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวและได้รับมรดกทั้งหมดของนางชนิกาจะยื่นคำร้องขอเข้ารับมรดกความทางอาญาเพื่อดำเนินคดีกับนายวิชัยแทนนางชนิกาต่อไปได้หรือไม่  เห็นว่าการรับมรดกตามมาตรา  29  วรรคแรกนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วตายลงเท่านั้นที่ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาของผู้นั้นจึงจะเข้ามารับมรดกความทางอาญาได้  (ฎ. 1187/2543,  ฎ.  2231/2521)  เมื่อนางชนิกาผู้ตายยื่นฟ้องต่อศาลในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม  เป็นเพียงผู้มีอำนาจจัดการแทนนางสาวสุพรผู้เยาว์  ตามมาตรา  5(1)  เท่านั้น    มิใช่ผู้เสียหายที่แท้จริงแต่ประการใด  ดังนั้นนายประกอบแม้จะเป็นผู้สืบสันดานตามความเป็นจริงของนางชนิกาและบรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม  ก็ไม่อาจเข้ารับมรดกความทางอาญาต่อจากนางชนิกาได้  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  29  ศาลต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายประกอบ

สรุป  ศาลต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายประกอบ

 

ข้อ  2  นายนิมิตขับรถยนต์มาด้วยความประมาทชนรถยนต์ของนายสรพงษ์เป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตาย  นางธิดารัตน์ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสรพงษ์จึงเป็นโจทก์ฟ้องนายนิมิตในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตาย  ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา

ต่อมานางธิดารัตน์ประสบเหตุขาหัก  นายชุมพลซึ่งเป็นบิดาของนายสรพงษ์เกรงว่านางธิดารัตน์จะไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้  จึงยื่นฟ้องนายนิมิตในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตายเช่นกัน

ดังนี้  นายชุมพลจะดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  173  วรรคสอง  นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว  คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา  และผลแห่งการนี้

(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน  หรือต่อศาลอื่น…

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายชุมพลจะดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปได้หรือไม่  เห็นว่านายสรพงษ์ถูกนายนิมิตขับรถยนต์มาด้วยความประมาทชนรถยนต์ของนายสรพงษ์เป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตาย  กรณีถือว่านายสรพงษ์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  อันถือว่านายสรพงษ์เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง  ตามมาตรา  2(4) 

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  นางธิดารัตน์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสรพงษ์  กรณีย่อมถือว่านางธิดารัตน์เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายซึ่งถูกทำร้ายถึงแก่ความตายด้วยการฟ้องคดี  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  และมาตรา  28  เมื่อนางธิดารัตน์ยื่นฟ้องนายนิมิตต่อศาลในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ศาลไต่สวนมูลฟ้องและประทับฟ้องไว้แล้ว  กรณีเช่นนี้ย่อมถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาและมีผลทำให้ผู้มีอำนาจจัดการแทนนายสรพงษ์คนอื่นจะมาฟ้องนายนิมิตจำเลยในความผิดเดียวกันนี้อีกไม่ได้

ดังนั้นการที่นายชุมพลซึ่งเป็นบิดาของนายสรพงษ์เกรงว่านางธิดารัตน์จะไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้  เนื่องจากนางธิดารัตน์ประสบอุบัติเหตุ  นายชุมพลจึงได้ยื่นฟ้องนายนิมิตในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ซึ่งเป็นความผิดฐานเดียวกันกับที่นางธิดารัตน์ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว  จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีเดิมซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณา  และคดีเดิมกับคดีหลังเป็นเรื่องเดียวกัน (ประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย)  อันเป็นการฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  173  วรรคสอง  (1)  ประกอบมาตรา  15  ดังนี้  นายชุมพลจึงไม่อาจดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปได้

สรุป  นายชุมพลจึงดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปไม่ได้

 

ข้อ  3  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์  นายพรเทพผู้เสียหายยื่นคำร้องขอต่อศาลขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ศาลอนุญาต

ในระหว่างการสืบพยานโจทก์  นายพรเทพยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  โดยระบุเหตุผลว่ามีความคิดเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับพนักงานอัยการ  หากดำเนินคดีร่วมกันต่อไปเกรงว่าจะเกิดความเสียหายแก่คดี  ศาลอนุญาต

ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเพียง  1  วัน  นายพรเทพยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกครั้งหนึ่ง  โดยระบุเหตุผลว่าเพื่อต้องการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไปในกรณีที่พนักงานอัยการไม่อุทธรณ์ฎีกา

ดังนี้  ศาลจะอนุญาตให้นายพระเทพเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  36  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่…

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว  เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์  ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ศาลจะอนุญาตให้นายพรเทพเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกได้หรือไม่  เห็นว่า  นายพรเทพเป็นผู้เสียหาย  ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาตามมาตรา  30  แต่เมื่อนายพรเทพได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการด้วยเหตุผลว่ามีความคิดเห็นไม่ตรงกับพนักงานอัยการ  หากดำเนินคดีร่วมกันต่อไป  อาจจะเกิดความเสียหายแก่คดี  การขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการของนายพรเทพผู้เสียหายเช่นนี้  เมื่อศาลอนุญาต  จึงมีผลเท่ากับเป็นการที่นายพรเทพผู้เสียหายถอนฟ้อง  (คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่  892/2514)  แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์  เป้นความผิดอาญาแผ่นดินคดีอาญายังไม่ระงับ  ไม่ต้องด้วยมาตรา  39(2)  พนักงานอัยการยังดำเนินคดีต่อไปได้

เมื่อนายพรเทพถอนฟ้องแล้ว  ย่อมเกิดผลทางกฎหมาย  ตามมาตรา  36  คือ  นายพรเทพผู้เสียหายจะนำคดีมาฟ้องใหม่ไม่ได้  เมื่อได้ความว่าฟ้องไม่ได้  การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน  แม้จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาก็ตาม

สรุป  ศาลจึงอนุญาตให้นายพรเทพผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกไม่ได้

 

ข้อ  4  เมื่อวันที่  1  กรกฎาคม  2551  นายสังคม  อายุ  17  ปี  11  เดือน  ต่อยหน้านายทวี  อายุ  22  ปี  ทำให้นายทวีได้รับอันตรายสาหัส  วันรุ่งขึ้นนางป่านภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายทวีเข้าร้องทุกข์ต่อ  ร.ต.อ. วินัย  พนักงานสอบสวน  ต่อมา  ร.ต.อ. วินัย  ดำเนินการขอหมายจับนายสังคมจากศาล  ศาลออกหมายจับให้แก่  ร.ต.อ. วินัย  เมื่อวันที่  1  กันยายน  2551  ร.ต.อ. วินัย  นำหมายจับไปจับนายสังคมเมื่อวันที่  2  กันยายน  2551  (ในชั้นจับกุมและชั้นรับมอบตัวผู้ถูกจับ  ร.ต.อ. วินัยได้ปฏิบัติตามมาตรา  83  และมาตรา  84  ครบถ้วนทุกประการ)  และเริ่มทำการสอบสวนสังคมในวันที่จับนายสังคมได้ตามหมายจับ  ก่อนเริ่มถามคำให้การ  ร.ต.อ. วินัย  ถามนายสังคมในวันที่จับนายสังคมได้ตามหมายจับ  ก่อนเริ่มถามคำให้การ  ร.ต.อ. วินัย  ถามนายสังคมว่ามีทนายความหรือไม่  นายสังคมตอบว่าไม่มีแต่ไม่ต้องการทนายความเพราะสำนึกผิดในการกระทำ  ร.ต.อ. วินัย  จึงแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตา  134/4  วรรคหนึ่ง  ให้ทราบก่อนถามคำให้การหลังจากที่นายสังคมได้ฟังการแจ้งสิทธิดังกล่าว  นายสังคมก็ยังยืนยันต่อ  ร.ต.อ. วินัยว่าไม่ต้องการทนายความ  ร.ต.อ. วินัยจึงถามคำให้การนายสังคมโดยไม่มีทนายความและนายสังคมยอมให้การโดยเต็มใจ  ร.ต.อ.  วินัยจึงจดคำให้การไว้

ดังนี้  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัยสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี  อันตรายสาหัสคือ…   

ธงคำตอบ

มาตรา  134/1  วรรคแรกและวรรคสอง  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  ก่อนเริ่มถามคำให้การพนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้

มาตรา  134/2  ให้นำบทบัญญัติในมาตรา  133  ทวิ  มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี

มาตรา  134/3  ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

มาตรา  134/4  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การ  ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคำให้การไว้  ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้

ถ้อยคำใดๆ  ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา  134/1  มาตรา  134/2  และมาตรา  134/3  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน  18  ปี  ในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  (ไม่คำนึงว่าในขณะกระทำความผิดจะมีอายุเท่าใดก็ตาม)  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้  กรณีนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาดหากผู้ต้องหาไม่มีทนายความและแม้จะไม่ต้องการก็ต้องจัดหาทนายความให้เสมอ  (มาตา  134/1  วรรคแรก)

ในส่วนคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  (ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน  18  ปี)  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้  แต่ถ้าหากผู้ต้องหาไม่ต้องการ  ก็ไม่จำต้องจัดหาให้แต่ประการใด  (มาตรา  134/1  วรรคสอง)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัยสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้ในขณะที่นายสังคมทำร้ายร่างกายนายทวีได้รับอันตรายสาหัส  นายสังคมจะมีอายุ  17  ปี  11  เดือนก็ตาม  แต่เมื่อในวันที่  ร.ต.อ. วินัยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่นายสังคม  นายสังคมมีอายุเกิน  18  ปีแล้ว  ดังนี้  ก่อนเริ่มถามคำให้การ  ร.ต.อ. วินัยจึงมีหน้าที่ต้องถามนายสังคมว่า  มีทนายความหรือไม่  หากไม่มีและนายสังคมต้องการทนายความจึงจะจัดหาทนายความให้  ตามมาตรา 134/1  วรรคสอง  (กรณีมิใช่มาตรา  134/1  วรรคแรก  เพราะนายสังคมมีอายุเกิน  18  ปีแล้ว  ในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและไม่ใช่กรณีมาตรา  134/2  เนื่องจากนายสังคมมีอายุเกิน  18  ปีในวันทำการสอบสวน)  นอกจากนี้  ร.ต.อ. วินัยยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา  134/3  และมาตรา  134/4  ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า  ร.ต.อ.  ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวครบถ้วนทุกประการ  เมื่อนายสังคมให้การด้วยความเต็มใจและ  ร.ต.อ. วินัย  ได้จดคำให้การไว้  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัยจึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้

สรุป  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัย  จะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้ 

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายคมถูกพนักงานสอบสวนจับกุมสอบสวนในข้อหาฉ้อโกง  นายหนึ่งและนายสอง  และทำร้ายร่างกายนายสองได้รับอันตรายสาหัส  ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายคมในข้อหาฉ้อโกงแต่มีคำสั่งฟ้องนายคมในข้อหาทำร้ายร่างกายนายสองได้รับอันตรายสาหัส  แล้วยื่นฟ้องนายคม  ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนายคมตามฟ้อง  นายคมอุทธรณ์

ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์  นายสองได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ส่วนคดีข้อหาฉ้อโกง  นายหนึ่งได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีเอง  ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น  นายสองได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายหนึ่ง  ให้วินิจฉัยว่า

 (ก)  นายสองมีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  เป็นเหตุให้นายสองได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่  เพราะเหตุใด

 (ข)  นายสองมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายหนึ่งในความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  31  คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว  ซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้ว  พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้

 (ก)   วินิจฉัย

กำหนดระยะเวลาการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการนั้นตามมาตรา  30  ได้กำหนดให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้น  กรณีตามอุทาหรณ์  ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษนายคมตามฟ้องแล้ว  ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์  นายสองได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 30  ดังนั้น  นายสองจึงไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ (ฎ. 392/2512)

(ข)  วินิจฉัย

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา  30  และ  31  จะเห็นว่ากฎหมายประสงค์ให้มีการร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  และกรณีที่พนักงานอัยการร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายสำหรับคดีที่มิใช่วามผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น  สิทธิในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญานอกจาก  2  กรณีดังกล่าวนี้แล้วย่อมไม่อาจมีได้

ดังนั้นกรณีนี้  เมื่อปรากฏว่านายหนึ่งได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาแล้ว  นายสองจึงต้องร้องเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ไม่ได้  เนื่องจาก  กรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายด้วยกันไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้นั่นเอง 

สรุป

(ก)  นายสองไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

(ข)  นายสองยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับนายหนึ่งไม่ได้

 

ข้อ  2  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยคดีอาญา  ฐานขับรถประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหายและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตาม  พ.ร.บ.  จราจรทางบก  พ.ศ. 2522  มาตรา  43157  และประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  จากเหตุที่นางเจ๋งขับรถประมาทชนรถของนางจิ๋มเสียหาย  และนางแจ๋วซึ่งนั่งโดยสารมาในรถของนางจิ๋มได้รับอันตรายสาหัสขาหัก  ศาลอาญาพิพากษาลงโทษนางเจ๋ง  ตามฟ้อง  คดีถึงที่สุด  แต่นางเจ๋งไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางจิ๋มและนางแจ๋ว  นางจิ๋มและนางแจ่วจึงต่างเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยในคดีแพ่ง  ฐานละเมิดและเรียกค่าเสียหายโดยนางจิ๋มและนางแจ๋วต่างก็อ้างคำพิพากษาคดีอาญาที่พิพากษาลงโทษนางเจ๋งดังกล่าว ดังนี้  ศาลในคดีแพ่งจะวินิจฉัยคดีของนางจิ๋มและคดีของนางแจ๋วอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  46  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การที่จะถือเอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้นั้น  จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาซึ่งศาลได้วินิจฉัยไว้โดยแจ้ง  และคำพิพากษาคดีอาญาต้องถึงที่สุดแล้ว  ประการสำคัญคือ  ผู้ที่จะถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันในคดีแพ่ง  จะต้องเป็นคู่ความในคดีอาญาเท่านั้น

คดีของนางจิ๋ม  เนื่องจากนางจิ๋มมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยในฐานความผิดต่อ  พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ  จากเหตุที่นางเจ๋งขับรถประมาทชนรถของนางจิ๋มเสียหายตามมาตรา  2(4)  เพราะความผิดต่อ  พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ  เป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ  รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องคดี  นางจิ๋มย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญา  จึงถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาแทนนางจิ๋ม  คำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่ผูกพันนางเจ๋ง  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา  ศาลในคดีแพ่งที่นางจิ๋มเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งจึงต้องพิจารณาและฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่  (ฎ. 1927/2514 , ฎ. 1997/2524 , ฎ. 778/2532)

คดีของนางแจ๋ว  นางแจ๋วเป็นผู้เสียหายโดยตรงตามมาตรา  2(4)  ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋งเป็นจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา  300  พนักงานอัยการจึงอยู่ในฐานะฟ้องคดีอาญาแทนนางแจ๋ว  คำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงผูกพันนางเจ๋ง  และนางแจ๋ว  ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่านางเจ๋งกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางแจ๋วได้รับอันตรายสาหัส  จะฟังข้อเท็จจริงใหม่ให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนั้นไม่ได้  (ฎ. 6598/2539)

สรุป  ศาลในคดีแพ่งที่นางจิ๋มเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋ง  ต้องพิจารณาและฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่

ส่วนในคดีแพ่งที่นางแจ๋วเป็นโจทก์ฟ้องนางเจ๋ง  ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่านางเจ๋งกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางแจ๋วได้รับอันตรายสาหัส

 

ข้อ  3  นายแดงซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน  เมื่อพนักงานสอบสวนได้ถามชื่อ  ที่อยู่แล้ว  ก็ได้แจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิด  หลังจากนั้นก็แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นให้ทราบ  เมื่อผู้ต้องหาได้ทราบข้อหาแล้วจึงให้การสารภาพพนักงานสอบสวนจึงรีบบันทึกถ้อยคำรายละเอียดแห่งการรับสารภาพนั้น  เพราะกลัวจะบันทึกไม่ทันรายละเอียดแห่งคำรับสารภาพของผู้ต้องหา  หลังจากนั้นจึงได้บันทึกเกี่ยวกับการถามเรื่องทนายความ  และแจ้งให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้อยคำที่ให้การไปแล้วนั้นใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้  และผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการถามปากคำตนได้  ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องคดีนี้ต่อศาลและอ้างคำรับสารภาพของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นศาล

เช่นนี้  คำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนนั้นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั้นได้เพียงใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  134/4  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา  134/1  มาตรา  134/2  และมาตา  134/3  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้

วินิจฉัย

เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

หากได้ความว่าพนักงานสอบสวนไม่แจ้งสิทธิดังกล่าวหรือแจ้งสิทธิดังกล่าวไม่ครบ  ถ้อยคำของผู้ต้องหาที่ได้ให้ไว้  ย่อมไม่อาจรับฟังเป้นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้ตามมาตรา  134/4  วรรคแรก  (1) (2)  ประกอบวรรคท้าย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำสารภาพของนายแดงในชั้นสอบสวนนั้น  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายแดงนั้นได้พียงใดหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อนายแดงผู้ต้องหาเข้ามอบตัว  ก่อนถามคำให้การพนักงานสอบสวนได้ถามเพียงชื่อ  ที่อยู่  และแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นให้นายแดงทราบเท่านั้น  แต่ไม่ได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายให้นายแดงผู้ต้องหาทราบก่อนถามคำให้การ  ดังนั้นถ้อยคำรับสารภาพและรายละเอียดแห่งคำรับสารภาพที่นายแดงให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนนั้น  จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายแดงได้  ต้องห้ามตามมาตรา 134/4  วรรคท้าย  (ฎ. 769/2482 ฎ. 57/2498)

สรุป  คำรับสารภาพของนายแดงผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนนั้นจะรับเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดไม่ได้

 

ข้อ  4  พ.ต.ท. ปวัน  และ  ร.ต.อ มานเมตต์  พบนายรังสี  กำลังรอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิ  พ.ต.อ. ปวัน  บอก ร.ต.อ. มานเมตต์ว่า  เมื่อสองวันมาแล้วนายรังสีหลบหนีการควบคุมหลังจากการจับกุมของตนตามหมายจับในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส  ร.ต.อ. มานเมตต์ได้เดินเข้าไปหานายรังสีแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแจ้งว่าต้องถูกจับ  ทั้งแจ้งข้อหาดังกล่าวกับแจ้งสิทธิตามกฎหมาย  จากนั้นได้จับนายรังสีนำส่งพนักงานสอบสวน

ดังนี้  การจับของ  ร.ต.อ.  มานเมตต์  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  66  เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้

(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน  หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

มาตรา  68  หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้  เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความหรือศาลซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา  66(2) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การจับของ  ร.ต.อ. มานเมตต์  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  แม้ ร.ต.อ. มานเมตต์ไม่ใช่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายจับ  และหมายจับใช้ไม่ได้เพราะจับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับได้แล้วตามมาตรา  68  ก็ตาม  แต่  ร.ต.อ. มานเมตต์ก็มีอำนาจจับผู้ต้องหาได้เนื่องจากมีหลักฐานตามสมควรว่านายรังสีผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดอาญาจนมีการออกหมายจับแล้วและมีเหตุอันควรเชื่อว่าน่าจะหลบหนี  เพราะเคยหลบหนีแล้ว  ประกอบกับมีความจำเป็นเร่งด่วนไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับนายรังสีได้  เพราะนายรังสีกำลังรอขึ้นเครื่องบิน  ดังนั้น  การจับของ  ร.ต.อ. มานเมตต์จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  78(3)  ประกอบมาตรา  66(2)

สรุป  การจับของ  ร.ต.อ. มานเมตต์ชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!