LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1102 (LAW 1002) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายอัครเดชเดินทางไปท่องเที่ยวที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในระหว่างที่นายอัครเดชกําลังเดินชมเมืองอยู่นั้น นายปอมเปได้เข้ามาขายพวงกุญแจที่ระลึกให้กับนายอัครเดชในราคา 3 ยูโร นายอัครเดช ตกลงซื้อพวงกุญแจอันหนึ่งแล้ว แต่ระหว่างนั้นไกด์ได้เรียกให้นายอัครเดชรีบขึ้นรถ นายอัครเดช จึงรีบเดินไปที่รถ นายปอมเปจึงตะโกนขึ้นบอกกับนายอัครเดชว่า “Pacta Sunt Servanda !!!” หลังจากนั้น นายอัครเดชได้มาปรึกษานักศึกษาว่า คําพูดที่นายปอมเปพูดมีความหมายว่าอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับมาตราใดของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้นักศึกษาอธิบาย ความหมายและรายละเอียดของมาตราดังกล่าวมาโดยละเอียด

ธงคําตอบ

การที่นายปอมเปตะโกนขึ้นบอกกับนายอัครเดชว่า “Pacta Sunt Servanda” นั้น มีความหมายว่า “สัญญาต้องเป็นสัญญา” ซึ่งคําพูดนี้มีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 4 วรรคสอง ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในส่วนของการเป็นหลักกฎหมายทั่วไป โดยมาตรา 4 วรรคสอง ได้บัญญัติว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมาย เช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่อง ดังกล่าวไว้ (ซึ่งถือเป็นช่องว่างแห่งกฎหมาย) ให้ศาลวินิจฉัยตามลําดับ ดังนี้

1 ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์ อักษรที่จะนํามาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนําเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษร เพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนํามาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษร นั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น

2 ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มี จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนํามาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตร จากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนําเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น

3 ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้าย หมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร ไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นําเอาหลักกฎหมาย ทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของ กฎหมายหรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้อง เป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนํามาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2 ในวันที่ 8 ธันวาคม 2564 นายจอนนี่เดินทางไปรัฐเคนทักกี้ สหรัฐอเมริกา เพื่อเอาของขวัญ ปีใหม่ไปมอบให้นายหลุยส์เพื่อนสนิทที่ได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564 ระหว่างที่นายจอนนี่และนายหลุยส์ขับรถชมวิวอยู่ในรัฐนั้นได้เกิดพายุทอร์นาโดหลายลูก ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง แล่นผ่านบริเวณที่นายจอนนี่และนายหลุยส์ขับรถชมวิวอยู่ พายุนี้ ส่งผลให้รถที่นายจอนนี่และนายหลุยส์ขับอยู่ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ พังพินาศ หลังพายุสงบเจ้าหน้าที่จึงเริ่มออกค้นหาผู้บาดเจ็บและผู้รอดชีวิตในใต้ซากปรักหักพักที่กองทับกันขนาดใหญ่

ส่วนนายจอนนี่และนายหลุยส์ได้หายไปไม่มีใครพบศพของคนทั้งสอง ต่อมาในวันที่ 2 มกราคม 2565 นายนิกกี้พบนายหลุยส์ที่ประเทศแคนนาดากําลังฉลองอยู่ในงานเลี้ยงปีใหม่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายหลุยส์ส์อีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า การหายไปของนายจอนนี่และนายหลุยส์นั้นเป็นการสาบสูญหรือไม่ เมื่อใดที่นางแอนนี่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจอนนี่ และนางบีน่าภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหลุยส์ จะสามารถไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้สามีเป็นคนสาบสูญได้ เพราะเหตุใด

จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกําหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็น ผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของนายจอนนี่

ระหว่างที่นายจอนนี่และนายหลุยส์ได้ขับรถชมวิวอยู่นั้น ได้เกิดพายุทอร์นาโดหลายลูก ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมงแล่นผ่านบริเวณที่นายจอนนี่และนายหลุยส์ขับรถชมวิวอยู่ ส่งผลให้รถที่นายจอนนี่และนายหลุยส์ขับอยู่ ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ พังพินาศ หลังพายุสงบนายจอนนี่และนายหลุยส์หายไปไม่มีใครพบศพของคน ทั้งสองนั้น กรณีของนายจอนนี่ย่อมถือว่านายจอนนี่ได้สูญหายไปกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) โดย ถือว่าเริ่มหายไปนับตั้งแต่วันที่ยานพาหนะที่นายจอนนี่เดินทางได้สูญหายไปหรือถูกทําลาย คือวันที่ 11 ธันวาคม 2564 และจะครบกําหนด 2 ปี ในวันที่ 11 ธันวาคม 2566 ดังนั้น นางแอนนี่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายจอนนี่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมสามารถไปใช้สิทธิทางศาลโดยการยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายจอนนี่ เป็นคนสาบสูญได้ โดยสามารถเริ่มใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป

กรณีของนายหลุยส์

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 2 มกราคม 2555 นายนิกกี้ได้พบนายหลุยส์ที่ประเทศแคนนาดา กําลังฉลองอยู่ในงานเลี้ยงปีใหม่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายหลุยส์อีกเลย กรณีของนายหลุยส์จึง ถือว่าเป็นการหายไปในกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง และถือว่าจะครบกําหนด 5 ปี (โดยเริ่มนับตั้งแต่ วันที่ได้ข่าวหรือพบเห็นนายหลุยส์ครั้งสุดท้าย) ในวันที่ 2 มกราคม 2570 ดังนั้น นางบีน่าภรรยาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของนายหลุยส์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงสามารถไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อร้องขอให้ศาลสั่งให้นายหลุยส์ เป็นคนสาบสูญได้ โดยสามารถเริ่มใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2570 เป็นต้นไป

สรุป

การหายไปของนายจอนนี่ถือเป็นการหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) ซึ่งนางแอนนี่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจอนนี่สามารถไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้สามี เป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป

ส่วนการหายไปของนายหลุยส์ ถือเป็นการหายไปในกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง ซึ่งนางบีน่าภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหลุยส์สามารถไปใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้สามี เป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2570 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3 บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ ทํานิติกรรมจะเกิดผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1) หนึ่ง อายุย่างเข้าสิบห้าปี ได้รับอนุญาตจากนายสองผู้แทนโดยชอบธรรม ให้ทําพินัยกรรมขึ้นหนึ่งฉบับ กําหนดว่าเมื่อหนึ่งถึงแก่ความตายให้ยกเงินของหนึ่งซึ่งฝากไว้ในธนาคารให้แก่นางดําซึ่งเป็นยายของตนเป็นจํานวนหนึ่งล้านบาท

(2) นายสาม คนไร้ความสามารถ ได้รับอนุญาตจากนางสี่ผู้อนุบาล ให้ไปซื้ออาหารญี่ปุ่นร้านดัง ชุดละ 2,000 บาท จํานวน 1 ชุด

(3) นายห้า คนวิกลจริต ไปซื้อรถยนต์ใช้แล้วจากนายหกในขณะกําลังวิกลจริต แต่นายหกไม่ทราบว่านายห้ากําลังวิกลจริตกําลังคุ้มร้ายในราคาห้าแสนบาท

(4) นายเจ็ด คนเสมือนไร้ความสามารถ ให้นายแปดเพื่อนรักยืมนาฬิกาหรูมูลค่าสามสิบล้านบาท ไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยนายแดงผู้พิทักษ์ไม่ได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใด

การทําพินัยกรรมของหนึ่ง การไปซื้ออาหารญี่ปุ่นของนายสาม การไปซื้อรถยนต์ของนายห้า และการให้เพื่อนยืมนาฬิกาของนายเจ็ด มีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อม ยกหลักกฎหมายประกอบคําอธิบายโดยครบถ้วน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทําพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทําขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

(1) ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทําพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปี บริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทําพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการ ทําพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

กรณีตามปัญหา การที่หนึ่ง อายุย่าง 15 ปี ได้ทําพินัยกรรมขึ้นหนึ่งฉบับ กําหนดว่าเมื่อหนึ่ง ถึงแก่ความตายให้ยกเงินของหนึ่งซึ่งฝากไว้ในธนาคารให้แก่นางดําซึ่งเป็นยายของตนเป็นจํานวน 1 ล้านบาทนั้น แม้หนึ่งจะได้ทําพินัยกรรมโดยได้รับอนุญาตจากนายสองผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม แต่เมื่อหนึ่งผู้เยาว์ได้ทําพินัยกรรมในขณะที่มีอายุไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ ถือเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้น พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

(2) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ (นิติกรรมที่เกี่ยวกับคนไร้ความสามารถต้องให้ผู้อนุบาลทําแทน)

กรณีตามปัญหา การที่นายสามคนไร้ความสามารถได้ทํานิติกรรมโดยไปซื้ออาหารญี่ปุ่น ร้านดัง ชุดละ 2,000 บาท จํานวน 1 ชุด แม้การทํานิติกรรมดังกล่าวของนายสามจะได้รับความยินยอมจากนางสี่ ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(3) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

กรณีตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์ใช้แล้วจากนายหกในขณะที่กําลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายหกไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

(4) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์ อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามปัญหา การที่นายเจ็ดคนเสมือนไร้ความสามารถให้นายแปดเพื่อนรักยืมนาฬิกาหรู มูลค่า 30 ล้านบาท ไปเป็นเวลา 1 เดือน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายแดงผู้พิทักษ์นั้น เมื่อการให้ยืมนาฬิกา ดังกล่าวแม้จะมีมูลค่า 30 ล้านบาท ไม่ใช่เป็นการให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (เพราะมิใช่สังหาริมทรัพย์ที่ เมื่อมีการจําหน่ายจ่ายโอนกันจะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) จึงเป็นนิติกรรมที่ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3) ดังนั้น นิติกรรมการให้เพื่อนยืมนาฬิกาของนายเจ็ด คนเสมือนไร้ความสามารถดังกล่าว จึงมีผลสมบูรณ์

สรุป

(1) การทําพินัยกรรมของหนึ่งมีผลเป็นโมฆะ

(2) การไปซื้ออาหารญี่ปุ่นของนายสามเป็นโมฆียะ

(3) การไปซื้อรถยนต์ของนายห้ามีผลสมบูรณ์

(4) การให้เพื่อนยืมนาฬิกาของนายเจ็ดมีผลสมบูรณ์

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1102 (LAW 1002) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งต้องทําอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนํามาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้ กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนํามาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทําให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้น ก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่อง ดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลําดับ ดังนี้

1 ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์ อักษรที่จะนํามาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนําเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษร เพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็น เวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนํามาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น

2 ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มี จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนํามาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้ หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับภากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนําเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น

3 ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้าย หมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์ อักษร ไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นําเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือ สุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร ที่จะนํามาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2 นายเดวิทและนางเด็บบี้ สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หลังแต่งงานได้ไป ฮันนีมูนที่ประเทศฟินแลนด์ ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2560 ถึงวันที่ 12 กันยายน 2564 ปรากฏ ว่าเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 ทั้งสองคนได้ขับรถไปดูแสงเหนือช่วงกลางดึก ปรากฏว่าเจอพายุ หิมะพัดรถพลิกคว่ำปลิวหายไป หลังจากนั้นไม่มีใครพบนายเดวิทและนางเด็บบี้อีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า

(1) นายเดฟบิดาของนายเดวิท จะไปร้องขอให้นายเดวิทเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ และหากได้จะ ไปใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

(2) นางสาวบานาน่า เจ้าหนี้ของนางเด็บบี้ จะไปร้องขอให้นางเด็บบี้เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ และหากได้จะไปใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไป ในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่และได้หายไปจนครบกําหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเดวิทและนางเด็บบี้ สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตาม กฎหมายได้ไปฮันนีมูนที่ประเทศฟินแลนด์ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 12 กันยายน 2564 และ ปรากฏว่าในวันที่ 5 กันยายน 2564 ทั้งสองคนได้ขับรถไปดูแสงเหนือช่วงกลางดึก และปรากฏว่าเจอพายุหิมะ พัดรถพลิกคว่ำปลิวหายไป หลังจากนั้นไม่มีใครพบนายเดวิทและนางเด็บบี้อีกเลยนั้น ถือเป็นการสูญหายไปใน กรณีพิเศษ ตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) และเมื่อปรากฏว่าทั้งสองได้หายไปตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2564 จําหนดระยะเวลา 2 ปี จึงครบกําหนดในวันที่ 5 กันยายน 2566 และถ้าผู้มีส่วนได้เสียจะไปร้องขอต่อศาล เพื่อให้ทั้งสองเป็นคนสาบสูญก็สามารถที่จะใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 เป็นต้นไป

ส่วนการที่นายเดฟบิดาของนายเดวิท และนางสาวบานาน่าเจ้าหนี้ของนางเด็บบี้ จะไปร้องขอให้ นายเดวิทและนางเด็บบี้เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) เมื่อนายเดฟเป็นบิดาของนายเดวิท ย่อมถือว่านายเดฟเป็นผู้มีส่วนได้เสียของนายเดวิท เพราะนายเดฟเป็นผู้มีสิทธิหรือได้รับสิทธิต่าง ๆ หากศาลได้สั่งให้นายเดวิทเป็นคนสาบสูญ ดังนั้น นายเดฟ จึงสามารถไปร้องขอเพื่อให้ศาลสั่งให้นายเดวิทเป็นคนสาบสูญได้ โดยสามารถไปใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 เป็นต้นไป

(2) เมื่อนางสาวบานาน่าเป็นเพียงเจ้าหนี้ของนางเด็บบี้ จึงไม่ถือว่านางสาวบานาน่าเป็นผู้มีส่วน ได้เสียของนางเด็บบี้ เนื่องจากการเป็นเจ้าหนี้นั้นเป็นเพียงผู้มีส่วนได้เสียในประโยชน์ของลูกหนี้ในระหว่างที่ลูกหนี้ ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในประโยชน์อันเกิดจากความตายของผู้เป็นลูกหนี้ ดังนั้น นางสาวบานาน่าจึงไม่สามารถที่จะไปร้องขอให้นางเด็บบี้เป็นคนสาบสูญได้

สรุป

(1) นายเดฟบิดาของนายเดวิทสามารถไปร้องขอให้นายเดวิทเป็นคนสาบสูญได้ โดยสามารถ ใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2566 เป็นต้นไป

(2) นางสาวบานาน่าจะไปร้องขอให้นางเด็บบี้เป็นคนสาบสูญไม่ได้

 

ข้อ 3 บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทํานิติกรรมโดยลําพัง จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1) นายแว่นคนเสมือนไร้ความสามารถ ให้เพื่อนยืมช้างซึ่งมีมูลค่า 1 ล้านบาท ไปลากซุง โดยไม่ได้ขออนุญาตจากใคร

(2) เด็กชายพาวเวอร์ไปซื้อจักรยานมือสองเพื่อขี่ไปโรงเรียนในราคา 500 บาท โดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ปกครอง

(3) นายโยโย่คนวิกลจริตไปซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์จากร้านนายโกโก้ในขณะวิกลจริต แต่นายโกโก้ไม่ทราบว่านายโยโย่วิกลจริต

(4) นายโอริโอ้คนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนางโอเล่ผู้อนุบาลให้ไปซื้อทีวีดูช่วงกักตัว ในราคา 9,999 บาท จากนายอมยิ้ม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอัน จําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริต กลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อน แล้วจึงจะ ทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้คือ

(1) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์ อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามปัญหา การที่นายแว่นคนเสมือนไร้ความสามารถได้ให้เพื่อนยืมช้างไปลากซุงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น เมื่อการให้ยืมช้างดังกล่าว ถือเป็นกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจําหน่ายจ่ายโอนกันจะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) และเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3) ดังนั้น เมื่อนายแว่นให้เพื่อนยืมช้างไปลากซุงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ นิติกรรมการให้เพื่อนยืมช้างไปลากซุงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะ

(2) โดยหลัก ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทําขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกําหนดให้ ผู้เยาว์สามารถทําเองได้โดยลําพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่ จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใด อันหนึ่ง เป็นต้น

กรณีตามปัญหา การที่เด็ การที่เด็กชายพาวเวอร์ไปซื้อจักรยานมือสองเพื่อไปโรงเรียนในราคา 500 บาท โดยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ปกครองนั้น เป็นกรณีที่เด็กชายพาวเวอร์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ทํานิติกรรมตาม มาตรา 24 คือเป็นนิติกรรมซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร ของผู้เยาว์ ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 21 ที่ผู้เยาว์สามารถทําได้โดยลําพังตนเองโดยไม่ต้องขอความยินยอม จากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายของเด็กชายพาวเวอร์จึงมีผลสมบูรณ์

(3) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

กรณีตามปัญหา การที่นายโยโย่คนวิกลจริตได้ไปซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์จากร้านนายโกโก้ในขณะที่ กําลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายโกโก้ไม่ทราบว่านายโยโย่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์จึง มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

(4) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ (นิติกรรมที่เกี่ยวกับคนไร้ความสามารถต้องให้ผู้อนุบาลทําแทน)

กรณีตามปัญหา การที่นายโอริโอ้คนไร้ความสามารถได้ทํานิติกรรมโดยไปซื้อทีวีราคา 9,999 บาทจากนายอมยิ้มนั้น แม้การทํานิติกรรมดังกล่าวของนายโอริโอ้จะได้รับความยินยอมจากนางโอเล่ ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

(1) การที่นายแว่นคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมช้างไปลากซุง มีผลเป็นโมฆียะ

(2) การที่เด็กชายพาวเวอร์ไปซื้อจักรยานมือสองเพื่อไปโรงเรียน มีผลสมบูรณ์

(3) การที่นายโยโย่คนวิกลจริตไปซื้อนาฬิกาโรเล็กซ์ มีผลสมบูรณ์

(4) การที่นายโอริโอ้คนไร้ความสามารถไปซื้อทีวี มีผลเป็นโมฆียะ

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1102 (LAW 1002)หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 การตีความกฎหมายคืออะไร เพราะเหตุใดจึงต้องมีการตีความกฎหมาย และการตีความกฎหมายแพ่งมีความแตกต่างกับการตีความกฎหมายอาญาอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

“การตีความกฎหมาย” คือ การหยั่งทราบว่าถ้อยคําของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร และเหตุที่ต้องมีการตีความกฎหมายก็เพราะว่า ถ้อยคําของตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้มีความไม่ชัดเจนแน่นอน คือมีถ้อยคําที่กํากวมหรือมีความหมายได้หลายทาง จึงมีความจําเป็นต้องมีการตีความเพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคําของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร และเมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นําเอากฎหมายนั้นไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่ต้องการวินิจฉัยได้ต่อไป

การตีความกฎหมายแพ่งและการตีความกฎหมายอาญา มีความแตกต่างกันดังนี้คือ

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของ บทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของ กฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

1 การตีความตามตัวอักษร ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดา ทั่วไป เช่น คําว่า บุตร บิดามารดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คําที่อยู่ ในตํารากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ

2 การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตําแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคําของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย คําปรารภของกฎหมาย รวมถึงหลักการและเหตุผลในการเสนอ ร่างกฎหมายที่มีการบันทึกไว้ท้ายกฎหมายนั้น ๆ ด้วย ๆ

“หลักในการตีความกฎหมายอาญา” เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่บัญญัติว่า การกระทําหรืองดเว้นการกระทําใดเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ ต้องตีความเฉพาะการกระทําหรืองดเว้นการกระทําเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้น จึงจะเป็นความผิด ศาลจะตีความกฎหมายอาญาในทางขยายความไปเอาผิดกับการกระทําซึ่งไม่เป็นความผิดมาลงโทษไม่ได้ หรือจะตีความย้อนหลังไปลงโทษการกระทําซึ่งในขณะกระทําไม่เป็นความผิดมาลงโทษไม่ได้ และขณะเดียวกันศาลก็จะตีความไปเพิ่มโทษผู้กระทําความผิดให้รับโทษหนักขึ้นก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2 นายเกล้าออกเดินทางจากบ้านที่จังหวัดราชบุรีไปติดต่องานที่ประเทศดูไบ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2560 เข้าเมืองประทับตราวีซ่าในพาสปอร์ตลงวันที่ 3 ตุลาคม 2560 และได้เข้าไปติดต่องานกับบริษัทแห่งหนึ่งในวันที่ 10 ตุลาคม 2560 และได้เกิดเหตุโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายทําให้ตึกที่นายเกล้าไปติดต่องานเกิดถล่มลงมาในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 หลังจากนั้นไม่มีใครพบนายเกล้า อีกเลย จนกระทั่งนางวี (ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย) ได้มาปรึกษาท่านซึ่งเป็นนักกฎหมายว่า จะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายเกล้าเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเกล้าถึงแก่ความตายเมื่อใด และนางวีจะมีสิทธิไปใช้สิทธิทางศาลได้ หรือไม่ เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

มาตรา 62 “บุคคลซึ่งศาลได้มีคําสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกําหนด ระยะเวลาดังที่ระบุไว้ในมาตรา 61

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกําหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็น ผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเกล้าออกเดินทางจากบ้านที่จังหวัดราชบุรีไปติดต่องานที่ประเทศดูไบ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560 เข้าเมืองประทับตราวีซ่าในพาสปอร์ตลงวันที่ 3 ตุลาคม 2560 และได้เข้าไปติดต่องาน กับบริษัทแห่งหนึ่งในวันที่ 10 ตุลาคม 2560 และได้เกิดเหตุโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายทําให้ตึกที่นายเกล้า ไปติดต่องานเกิดถล่มลงมาในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 หลังจากนั้นไม่มีใครพบนายเกล้าอีกเลยนั้น ถือว่านายเกล้า ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครรู้แน่ว่านายเกล้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3) เพราะหายไปเนื่องจากตกอยู่ในเหตุอันตรายแก่ชีวิต ดังนั้นระยะเวลาที่ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะสามารถร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายเกล้าเป็นคนสาบสูญจึงต้องนับระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่เหตุ อันตรายแก่ชีวิตคือตึกถล่มได้ผ่านพ้นไปแล้ว คือวันที่ 11 ตุลาคม 2560 และจะครบกําหนด 2 ปี คือวันที่ 11 ตุลาคม 2562 ดังนั้นถ้าผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายเกล้าเป็นคนสาบสูญ ก็สามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป

สําหรับนางวีนั้น เมื่อนางวีเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเกล้า นางวีจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายเกล้าเป็นคนสาบสูญได้ โดยนางวีสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่ วันที่ 12 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และเมื่อศาลสั่งให้นายเกล้าเป็นคนสาบสูญแล้ว ถือว่านายเกล้าได้ถึงแก่ความตาย ในวันที่ 11 ตุลาคม 2562 คือเมื่อครบกําหนด 2 ปี ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 61 มาตรา 62)

สรุป นางวีสามารถไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายเกล้าเป็นคนสาบสูญได้ โดยสามารถไปใช้สิทธิทางศาล ได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และถือว่านายเกล้าถึงแก่ความตายในวันที่ 11 ตุลาคม 2562

 

ข้อ 3 บุคคลดังกล่าวต่อไปนี้ทํานิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1) นายไก่อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ทําพินัยกรรมขึ้นหนึ่งฉบับกําหนดไว้ว่า เมื่อตนถึงแก่ความตาย ให้ยกเงินจํานวนหนึ่งล้านบาทในบัญชีส่วนตัว ซึ่งตนฝากไว้ที่ธนาคารเอ จํากัด ให้แก่มูลนิธิช่วยเหลือผู้เยาว์ที่ขาดทุนทรัพย์ในการศึกษาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

(2) นายเป็ดคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนายห่านผู้อนุบาล ให้ไปซื้อเครื่องออกกําลังกายจากร้านนายดํามูลค่าหนึ่งแสนบาท

(3) นายนกคนวิกลจริตไปเช่าบ้านนายหนูในขณะกําลังวิกลจริต และนายหนูทราบดีว่านายนกเป็นคนวิกลจริตในราคาเดือนละห้าพันบาท

(4) นายแมวคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมอูฐมูลค่าตัวละแปดแสนบาทสองตัวไปบริการ นักท่องเที่ยวที่โรงแรมของนายแดงเพื่อนรักโดยไม่ได้รับความยินยามจากผู้พิทักษ์

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทําพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า….

การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) โดยหลัก ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทําขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกําหนดให้ ผู้เยาว์สามารถทําเองได้โดยลําพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ หรือพินัยกรรมซึ่งผู้เยาว์ได้ทําขึ้นในขณะที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายไก่ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ทําพินัยกรรมขึ้นหนึ่งฉบับกําหนดไว้ว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินจํานวนหนึ่งล้านบาทในบัญชีส่วนตัวซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารเอ จํากัด ให้แก่มูลนิธิช่วยเหลือผู้เยาว์ ที่ขาดทุนทรัพย์ในการศึกษานั้น เมื่อนายไก่ได้ทําพินัยกรรมในขณะที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว พินัยกรรม ดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 25 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

(2) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายเป็ดคนไร้ความสามารถได้ทํานิติกรรมโดยไปซื้อเครื่องออกกําลังกายมูลค่าหนึ่งแสนบาทจากร้านนายดํานั้น แม้การทํานิติกรรมดังกล่าวของนายเป็ดจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอม จากนายห่านผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(3) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายนกคนวิกลจริตไปเช่าบ้านนายหนูในราคาเดือนละ 5,000 บาท ในขณะที่ กําลังวิกลจริตนั้น เมื่อนายหนูทราบดีว่านายนกเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการเช่าบ้านดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆยะตามมาตรา 30

(4) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์ อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายแมวคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมอูฐมูลค่าตัวละแปดแสนบาท 2 ตัว ไปให้บริการนักท่องเที่ยวที่โรงแรมของนายแดงเพื่อนรักนั้น เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น (เพราะอูฐนั้นไม่ใช่สัตว์พาหนะ) จึงไม่ใช่กรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจําหน่ายจ่ายโอนจะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็น นิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3) ดังนั้นแม้นายแมวจะให้เพื่อนยืมอูฐ 2 ตัว โดยลําพัง กล่าวคือโดยผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด สัญญาการให้เพื่อนยืมอูฐ 2 ตัว ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

(1) พินัยกรรมที่นายไก่ได้ทําขึ้นมีผลสมบูรณ์

(2) สัญญาซื้อขายเครื่องออกกําลังกายระหว่างนายเป็ดกับนายดําเป็นโมฆียะ

(3) สัญญาเช่าบ้านระหว่างนายนกกับนายหนูเป็นโมฆียะ

(4) การให้เพื่อนยืมอูฐ 2 ตัวของนายแมวมีผลสมบูรณ์

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 (LA 102) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 กฎหมายต้องมีคุณลักษณะเช่นไร และกฎหมายตามเนื้อความ และกฎหมายตามแบบพิธีหมายความว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กร ทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่ นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สําหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง สําหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้

1 กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอํานาจสูงสุดของรัฐ หรือของประเทศในการตรากฎหมาย

2 กฎหมายต้องเป็นคําสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้วย่อมมี ผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ อย่างเสมอภาค ไม่จํากัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น

3 กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดย บทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยายเมื่อกฎหมายเก่า ขัดกับกฎหมายใหม่

4 กฎหมายนั้นประชาชนจําต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทําการ หรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทําการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษในทางแพ่ง

5 กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและในทางแพ่ง

สภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายกําหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่ 1 ประหารชีวิต 2 จําคุก 3 กักขัง 4 ปรับ และ 5 ริบทรัพย์สิน

สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ รวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย

ซึ่งกฎหมายที่มีลักษณะครบองค์ประกอบทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวข้างต้นนั้น จัดเป็นกฎหมายประเภท ที่เรียกกันว่า “กฎหมายตามเนื้อความ”

ส่วนกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง แม้จะผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายตามปกติ แต่ก็มีลักษณะไม่ครบองค์ประกอบที่เป็นกฎหมายตามเนื้อความ เช่น ไม่มีบทบัญญัติกําหนดความประพฤติของมนุษย์ซึ่งหาก ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ กฎหมายจําพวกนี้มักจะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การตรา พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการ แผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ เรียกว่า “กฎหมายตามแบบพิธี”

 

ข้อ 2 นายแดนและนายโดม เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยโรงเรียนมัธยม นัดกันไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดตราด ขณะโดยสารเรือจะข้ามไปเกาะช้างเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2561 เกิดพายุทําให้เรือล่มมีนักท่องเที่ยว ตายและสูญหายไปเป็นจํานวนมาก รวมทั้งนายแดนและนายโดมด้วย ต่อมาในวันที่ 30 กันยายน 2561 นายโดมได้โทรศัพท์มาบอกนางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนว่าได้พบศพ นายแดนแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวหรือพบเห็นนายโดมอีกเลย

อยากทราบว่า นางดารา ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนและนางดวงดาวภริยาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของนายโดม จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายแดนและนายโดมเป็นคนสาบสูญ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากมีสิทธิจะเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้นต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกําหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็น ผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนและนางดวงดาวภริยา โดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายแดนและนายโดมเป็นคนสาบสูญ ได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายโดม

การที่นายแดนและนายโดม ได้นัดกันไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดตราด ขณะโดยสารเรือจะข้ามไป เกาะช้างเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2561 ได้เกิดพายุทําให้เรือล่ม มีนักท่องเที่ยวตายและสูญหายไปจํานวนมาก รวมทั้งนายแดนและนายโดมด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 30 กันยายน 2561 นั้นเอง นายโดมได้โทรศัพท์มาบอกนางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนว่าได้พบศพนายแดนแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใคร ได้ข่าวหรือพบเห็นนายโดมอีกเลยนั้น กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่านายโดมได้สูญหายไปเนื่องจากเรืออับปาง ซึ่งเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) แต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่นายโดมได้หายไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จึงถือว่าเป็นกรณีของการสูญหายธรรมดา ตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนางดวงดาวเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จึงถือว่านางดวงดาวเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิที่จะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายโดมเป็นคนสาบสูญได้ และสามารถไปร้องขอต่อศาลได้ เมื่อครบกําหนด 5 ปีนับแต่วันที่ 30 กันยายน 2561 กล่าวคือจะครบกําหนด 5 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2566 ดังนั้น นางดวงดาวจะไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

กรณีของนายแดน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการพบศพนายแดนแล้ว ย่อมถือว่านายแดนได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้นางดาราจะเป็นภริยาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของนายแดน แต่นางดาราก็ไม่สามารถที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดนเป็นคนสาบสูญได้เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 61

สรุป นางดวงดาวสามารถไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายโดมเป็นคนสาบสูญได้โดยสามารถไปใช้ สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป แต่นางดาราไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดน เป็นคนสาบสูญได้ เพราะนายแดนได้เสียชีวิตแล้ว

 

ข้อ 3 บุคคลดังกล่าวต่อไปนี้ทํานิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคําอธิบาย

(1) เด็กชายหนึ่ง อายุ 10 ขวบ ไปซื้อหนังสือประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตร์จากร้านศึกษาภัณฑ์ราชดําเนินในราคา 90 บาท โดยลําพัง

(2) นายสองคนไร้ความสามารถไปซื้อข้าวผัดปูจากร้านนายสามในราคาจานละ 99 บาท

(3) นายสี่คนวิกลจริตไปซื้อรถยนต์ใช้แล้วจากนายห้าในราคา 9 แสนบาทในขณะกําลังวิกลจริตแต่นายห้าไม่ทราบว่านายสี่วิกลจริต

(4) นายหกคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกช้าง 2 ตัว ไปแสดงโชว์ในงานวันเด็กให้นักเรียนดู โดยผู้พิทักษ์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัย ได้ดังนี้ คือ

(1) โดยหลัก ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทําขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกําหนดให้ ผู้เยาว์สามารถทําเองได้โดยลําพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่ จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใด อันหนึ่ง เป็นต้น

ตามปัญหา การที่เด็กชายหนึ่งอายุ 10 ขวบ ไปซื้อหนังสือประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จากร้านศึกษาภัณฑ์ราชดําเนินในราคา 20 บาทโดยลําพังนั้น เป็นกรณีที่เด็กชายหนึ่งซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ทํานิติกรรม ตามมาตรา 24 คือเป็นนิติกรรมซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร ของผู้เยาว์ ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 21 ที่ผู้เยาว์สามารถทําได้โดยลําพังตนเองโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายของเด็กชายหนึ่งจึงมีผลสมบูรณ์

(2) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายสองคนไร้ความสามารถไปซื้อข้าวผัดปูจากร้านของนายสามในราคาจานละ 99 บาทนั้น แม้จะเป็นนิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพก็ตาม แต่นายสองก็ไม่สามารถที่จะกระทําได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 29 (ซึ่งตามกฎหมายต้องให้ผู้อนุบาลทําแทน) ดังนั้น เมื่อนายสองได้ไปทํานิติกรรมดังกล่าวนิติกรรมจึงมีผลเป็นโมฆียะ

(3) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรม ใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายสี่คนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์ใช้แล้วจากนายห้าในขณะที่กําลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายห้าไม่ทราบว่านายสี่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าว จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

(4) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์ อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายหกคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกช้าง 2 ตัว ไปแสดงโชว์ ในงานวันเด็กให้นักเรียนดูนั้น เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น (เพราะลูกช้างไม่ใช่สัตว์พาหนะ) จึงไม่ใช่กรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจําหน่ายจ่ายโอน จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3) ดังนั้นแม้นายหกจะให้เพื่อนยืมลูกช้าง 2 ตัวโดยลําพัง กล่าวคือโดยผู้พิทักษ์มิได้รู้ เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด สัญญาการให้เพื่อนยืมลูกช้าง 2 ตัวดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายหนังสือประกอบการเรียนของเด็กชายหนึ่งมีผลสมบูรณ์

(2) สัญญาซื้อขายข้าวผัดปูของนายสองเป็นโมฆียะ

(3) สัญญาซื้อขายรถยนต์ของนายสี่มีผลสมบูรณ์

(4) สัญญาให้เพื่อนยืมลูกช้าง 2 ตัวของนายหกมีผลสมบูรณ์

 

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 กฎหมายต้องมีคุณลักษณะเช่นไร และกฎหมายตามเนื้อความ และกฎหมายตามแบบพิธีหมายความว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กร ทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่ นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สําหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง

สําหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้

1 กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอํานาจสูงสุดของรัฐ หรือของประเทศในการตรากฎหมาย

2 กฎหมายต้องเป็นคําสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้วย่อมมี ผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ อย่างเสมอภาค ไม่จํากัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น

3 กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดย บทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยายเมื่อกฎหมายเก่า ขัดกับกฎหมายใหม่

4 กฎหมายนั้นประชาชนจําต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทําการ หรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทําการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษ

5 กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมิได้ทั้งในทางอาญาและสภาพบังคับในทางอาญาและในทางแพ่ง

สภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายกําหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่

1 ประหารชีวิต

2 จําคุก

3 กักขัง

4 ปรับ และ

5 ริบทรัพย์สิน

สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ รวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย ซึ่งกฎหมายที่มีลักษณะครบองค์ประกอบทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวข้างต้นนั้น จัดเป็นกฎหมายประเภท ที่เรียกกันว่า “กฎหมายตามเนื้อความ”

ส่วนกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง แม้จะผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายตามปกติ แต่ก็มีลักษณะไม่ครบองค์ประกอบที่เป็นกฎหมายตามเนื้อความ เช่น ไม่มีบทบัญญัติกําหนดความประพฤติของมนุษย์ซึ่งหาก ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ กฎหมายจําพวกนี้มักจะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการ แผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ เรียกว่า “กฎหมายตามแบบพิธี”

 

ข้อ 2 ให้ท่านอธิบายหลักเกณฑ์ในการนับอายุของบุคคลโดยละเอียดพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 16 “การนับอายุของบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิด ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิด ให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใด ให้นับอายุบุคคลนั้น ตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด”

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 16 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการนับอายุของบุคคลซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1 ในกรณีที่รู้ว่าบุคคลนั้นเกิดวัน เดือน และปีใด ให้นับอายุของบุคคลนั้นตั้งแต่วันเกิด

2 ในกรณีที่ไม่รู้ว่าบุคคลนั้นเกิดวันใด แต่รู้เดือนและปีที่เกิด ให้นับวันที่หนึ่งของเดือนนั้น เป็นวันเกิด เช่น รู้ว่าเกิดเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 แต่ไม่รู้ว่าเป็นวันที่เท่าไร ให้ถือว่าบุคคลนั้นเกิดวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2550

3 ในกรณีที่ไม่รู้ว่าบุคคลนั้นเกิดวันและเดือนใด แต่รู้ปีที่เกิด ให้ถือว่าบุคคลนั้นเกิดตั้งแต่วันต้นปี ซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด เช่น รู้ว่าเกิดปี พ.ศ. 2550 แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันที่เท่าไรและเดือนอะไร ให้ถือว่าบุคคลนั้นเกิดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550

4 ในกรณีที่ไม่รู้ว่าบุคลนั้นเกิดวันที่เท่าไร เดือน และปีอะไร ให้คาดเดาจากการวินิจฉัยของแพทย์ หรือสอบถามจากเพื่อนบ้าน หรือใช้บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง เป็นเกณฑ์กําหนดอายุของบุคคลนั้น

 

ข้อ 3 นายเมฆคนไร้ความสามารถมีนายหมอกเป็นผู้อนุบาล นายเมฆนําเงินจํานวน 3,500 บาท ไปซื้อจักรยานโดยได้รับความยินยอมจากนายหมอกผู้อนุบาลแล้ว

ดังนี้ สัญญาซื้อขายจักรยานที่นายเมฆได้กระทําลงมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น (ต้องให้ ผู้อนุบาลทําแทน) ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายเมฆคนไร้ความสามารถได้นําเงิน 3,500 บาท ไปทํานิติกรรมโดยไปซื้อจักรยานนั้น แม้การทํานิติกรรมดังกล่าวของนายเมฆจะได้รับความยินยอมจากนายหมอกผู้อนุบาลแล้วก็ตาม นิติกรรมในรูปของสัญญาซื้อขายดังกล่าวก็มีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 29

สรุป สัญญาซื้อขายจักรยานที่นายเมฆคนไร้ความสามารถได้กระทําลงมีผลเป็นโมฆียะ

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 กฎหมายต้องมีคุณลักษณะเช่นไร และกฎหมายตามเนื้อความ และกฎหมายตามแบบพิธีหมายความว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กร ทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่ นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สําหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง สําหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้

1 กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอํานาจสูงสุดของรัฐ หรือของประเทศในการตรากฎหมาย

2 กฎหมายต้องเป็นคําสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้วย่อมมี ผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ อย่างเสมอภาค ไม่จํากัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น

3 กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดย บทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยายเมื่อกฎหมายเก่า ขัดกับกฎหมายใหม่

4 กฎหมายนั้นประชาชนจําต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทําการ หรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทําการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษในทางแพ่ง

5 กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมิได้ทั้งในทางอาญาและสภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง

ซึ่งตามกฎหมายกําหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่

1 ประหารชีวิต

2 จําคุก

3 กักขัง

4 ปรับ และ

5 ริบทรัพย์สิน

สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ รวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย

ซึ่งกฎหมายที่มีลักษณะครบองค์ประกอบทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวข้างต้นนั้น จัดเป็นกฎหมายประเภท ที่เรียกกันว่า “กฎหมายตามเนื้อความ”

ส่วนกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง แม้จะผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายตามปกติ แต่ก็มีลักษณะ ไม่ครบองค์ประกอบที่เป็นกฎหมายตามเนื้อความ เช่น ไม่มีบทบัญญัติกําหนดความประพฤติของมนุษย์ซึ่งหาก ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ กฎหมายจําพวกนี้มักจะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการ แผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ เรียกว่า “กฎหมายตามแบบพิธี

 

ข้อ 2 นางสาวชมพู่และนางสาวพลอยนัดกันไปเที่ยวน้ําตกแห่งหนึ่งที่จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ในขณะที่ทั้งสองกําลังเล่นน้ำตกกันอยู่ ได้เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดคนทั้งสองและนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ไปกับกระแสน้ำ

ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 ได้มีผู้พบศพนางสาวชมพู่แต่หลังจากวันเกิดเหตุไม่มีใครพบหรือ ได้ข่าวของนางสาวพลอยอีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า นายสมบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวชมพู่และนายสอนบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ของนางสาวพลอยจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยการร้องขอให้ศาลสั่งให้บุตรีของตนเป็นคนสาบสูญได้ หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากได้จะไปร้องขอได้ตั้งแต่เมื่อไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกําหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียด้วย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวพลอยได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น ถือเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายสอน เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวพลอย จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้บุตรีของตนเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลทําให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้ เมื่อครบ 2 ปี นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนางสาวพลอยได้สูญหายไปในวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 จึงครบกําหนด 2 ปีในวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 ดังนั้น นายสอนจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไปตามมาตรา 61 วรรคสอง (3) ส่วนกรณีของนายสมบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวชมพู่นั้น ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้บุตรีของตนเป็นคนสาบสูญได้ เพราะเมื่อมีการพบศพนางสาวชมพู่ย่อมถือว่านางสาวชมพู่ ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง

สรุป นายสอนมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้บุตรีของตนเป็นคนสาบสูญได้ โดยจะเริ่มไปใช้สิทธิ ทางศาลได้ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ส่วนนายสมไม่มีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้บุตรีของตน เป็นคนสาบสูญได้

 

ข้อ 3 บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทํานิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(1) นายหนึ่งอายุ 18 ปีบริบูรณ์ได้ถอนเงินจากบัญชีส่วนตัว 10 ล้านบาทไปซื้อรถยนต์หรู 1 คัน จากบริษัท เอบีซี จํากัด โดยผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด

(2) นายสองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเงินห้าร้อยบาทโดยมิได้รับความยินยอมจาก ผู้พิทักษ์

(3) นายสามคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ราคา 8 แสนบาทจากร้านนายไก่

(4) นายห้าคนวิกลจริตไปซื้อโทรทัศน์ใช้แล้วจากร้านนายหกในขณะวิกลจริต แต่นายหกไม่ทราบว่า นายห้าวิกลจริตในราคา 2 หมื่นบาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆยะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการ อันจําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะ ทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) โดยหลัก ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทําขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกําหนดให้ ผู้เยาว์สามารถทําเองได้โดยลําพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใด อันหนึ่ง เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ถอนเงินจากบัญชีส่วนตัว 10 ล้านบาท ไปซื้อรถยนต์หรู 1 คัน จากบริษัท เอบีซี จํากัด นั้น ไม่ถือว่าเป็นการทํานิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพ ของผู้เยาว์ตามมาตรา 24 หรือเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว หรือเป็นนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไป ซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทําได้เองโดยลําพัง แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการที่นายหนึ่งได้ไปซื้อรถยนต์จากบริษัทฯ ดังกล่าวนั้น ไม่ได้รับความยินยอมจาก ผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมการซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 21

(2) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถ จะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายสองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเงินเป็นจํานวน 500 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

(3) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น (ต้องให้ผู้อนุบาลทําแทน) ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาล หรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายสามคนไร้ความสามารถได้ทํานิติกรรมโดยการไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ราคา 8 แสนบาทจากร้านนายไก่นั้น ถึงแม้ว่าการทํานิติกรรมดังกล่าวของนายสามจะได้รับอนุญาต คือ ได้รับ ความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อโทรทัศน์ใช้แล้วจากร้านนายหกราคา 2 หมื่นบาท ในขณะที่กําลังวิกลจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหกไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างนายห้าและนายหกจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายหนึ่งกับบริษัท เอบีซี จํากัด เป็นโมฆียะ

(2) การให้เพื่อนยืมเงินของนายสองเป็นโมฆียะ

(3) สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์ระหว่างนายสามกับนายไก่เป็นโมฆียะ

(4) สัญญาซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างนายห้ากับนายหกมีผลสมบูรณ์

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายว่ากฎหมายเอกชนคืออะไร และมีความสําคัญอย่างไร

ธงคําตอบ

กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กร นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่

มนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วย ความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สําหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง

สําหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้

1 กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอํานาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศในการตรากฎหมาย

2 กฎหมายต้องเป็นคําสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้ว ย่อมมีผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ อย่างเสมอภาค ไม่จํากัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น

3 กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใด แล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการ ยกเลิกโดยบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยาย เมื่อกฎหมายเก่าขัดกับกฎหมายใหม่

4 กฎหมายนั้นประชาชนจําต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้ กระทําการหรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทําการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษในทางแพ่ง

5 กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและสําหรับ “กฎหมายเอกชน” นั้น เป็นกฎหมายที่กําหนดสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่าง เอกชนต่อเอกชนด้วยกันเองในฐานะที่เท่าเทียมกัน เช่น การซื้อขาย ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น หรือ การกู้ยืมกันก็เป็นเรื่องระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นหรือสังคมแต่อย่างใด ซึ่งจะแตกต่างกับกฎหมายมหาชน เพราะกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ กับราษฎรในฐานะที่รัฐเป็นฝ่ายปกครองราษฎรและแม้ว่ากฎหมายเอกชนจะเป็นกฎหมายที่กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเอง

แต่ถ้ารัฐไม่ตรากฎหมายขึ้นมาใช้บังคับกับเอกชนแล้ว ก็อาจจะเกิดปัญหาหรือข้อพิพาทขึ้นในระหว่างเอกชน ด้วยกันเอง และจะมีผลต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ รัฐจึงต้องตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อป้องกัน มิให้เกิดปัญหาหรือข้อพิพาทดังกล่าวขึ้น ซึ่งกฎหมายเอกชนที่สําคัญ ได้แก่

1 กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายที่กําหนดสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ของบุคคลนับตั้งแต่ เกิดไปจนตาย เช่น สถานะและความสามารถของบุคคล การทํานิติกรรมสัญญา หรือความสัมพันธ์ในครอบครัว และการตกทอดทางมรดก เป็นต้น

2 กฎหมายพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่บุคคลที่ประกอบธุรกิจ เช่น การค้าขาย เป็นต้น

 

ข้อ 2 นายตี๋เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ในวันที่ 30 เมษายน 2561 ในขณะที่เครื่องบิน เข้าใกล้ทะเลจีนใต้ ปรากฏถูกกองกําลังไม่ทราบฝ่ายยิงตกและไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายตี๋อีกเลย นางสาวหมวยเล็กเจ้าหนี้ของนายตี๋ และนางหมวยใหญ่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายต่างไปร้องขอ ต่อศาลสั่งให้นายตี๋เป็นบุคคลสาบสูญ ให้นักศึกษาให้คําแนะนําว่าใครเป็นผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นบุคคลสาบสูญ และจะเริ่มไปใช้สิทธิดังกล่าวได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิต อยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตี๋เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองปักกิ่ง ประเทศจีนโดยเครื่องบิน และในขณะที่เครื่องบินเข้าใกล้ทะเลจีนใต้ ปรากฏว่าถูกกองกําลังไม่ทราบฝ่ายยิงตกและไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายตี๋อีกเลยนั้น ถือว่านายตี๋ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครรู้แน่ว่านายตี๋ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) เพราะหายไปเนื่องจากยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางถูกทําลาย ดังนั้นระยะเวลาที่ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการจะสามารถร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญจึงต้องนับระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ยานพาหนะที่นายที่ใช้เดินทางคือเครื่องบินนั้นถูกทําลาย และเมื่อเครื่องบินนั้นถูกยิงตกในวันที่ 30 เมษายน 2561 ระยะเวลาที่ครบกําหนด 2 ปีคือวันที่ 30 เมษายน 2563 ดังนั้นถ้าผู้มีส่วนได้เสียหรือ พนักงานอัยการจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญนั้นจึงสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

สําหรับผู้มีส่วนได้เสียนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวหมวยเล็กเป็นเจ้าหนี้ของนายตี๋ ส่วนนางหมวยใหญ่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตี๋ กรณีนี้ จึงถือว่าเฉพาะนางหมวยใหญ่เท่านั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับกรณีที่ศาลจะมีคําสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ ส่วนนางสาวหมวยเล็กเป็นเพียงเจ้าหนี้ของนายตี๋ จึงไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามนัยของมาตรา 61 ดังนั้น นางหมวยใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ โดยนางหมวยใหญ่สามารถที่จะไปใช้สิทธิทางศาลได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

สรุป นางหมวยใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋ เป็นคนสาบสูญ โดยเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

ข้อ 3 ปกติผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน นิติกรรมจึงจะสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่มีนิติกรรมบางประเภทที่ผู้เยาว์สามารถทําได้เองโดยลําพัง โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย นิติกรรมเช่นว่านั้น ได้แก่นิติกรรมใดบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบพอสังเขป

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”

มาตรา 23 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทําเองเฉพาะตัว”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการ อันจําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร”

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทําพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า นิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถทําได้โดยลําพังตนเอง โดยไม่จําเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ได้แก่

1 นิติกรรมที่เป็นคุณประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว หมายถึง นิติกรรมที่เมื่อผู้เยาว์ได้ทํา แล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว หรือเป็นนิติกรรมที่เมื่อผู้เยาว์ได้ทําแล้วจะไม่ก่อให้เกิดหน้าที่ และเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้เยาว์นั่นเอง (ตามมาตรา 22) ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือ

(1) นิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปแต่เพียงสิทธิอันใดอันหนึ่ง เช่น ปู่ยกที่ดินให้แก่ ผู้เยาว์โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ผู้เยาว์ย่อมสามารถจดทะเบียนรับโอนที่ดินนั้นได้โดยลําพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแต่อย่างใด

(2) นิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง หรือทําให้ผู้เยาว์หลุดพ้น จากภาระหน้าที่ที่มีอยู่นั่นเอง เช่น การที่ผู้เยาว์รับเอาการปลดหนี้ที่เจ้าหนี้ของผู้เยาว์ได้ปลดหนี้ให้แก่ผู้เยาว์ เป็นต้น

2 นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว (ตามมาตรา 23) ซึ่งหมายถึง นิติกรรมที่ผู้เยาว์ ต้องทําด้วยตนเองจะให้ผู้อื่นทําแทนให้ไม่ได้นั่นเอง เช่น การที่ผู้เยาว์จดทะเบียนรับรองบุตร หรือการเพิกถอนการสมรส เป็นต้น

3 นิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ และเป็นการสมแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์ (ตามมาตรา 24) เช่น การที่ผู้เยาว์ซื้ออาหารรับประทาน หรือซื้อตําราเรียน เป็นต้น

4 พินัยกรรมซึ่งผู้เยาว์ได้ทําในขณะที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว (ตามมาตรา 25)

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติ ถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้อย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนํามาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้ กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนํามาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมายอาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทําให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้น ก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับ เรื่องดังกล่าวไว้ให้ศาลวินิจฉัยตามลําดับ ดังนี้

1 ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรที่จะนํามาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนําเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติ สืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนํามาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น

2 ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมาย ที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มี จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนํามาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมาย เดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตร จากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะ อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนําเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น

3 ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้าย หมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร ไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นําเอาหลักกฎหมายทั่วไป มาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนํามาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2 นายเอออกจากบ้านไปทําธุระที่ต่างจังหวัดในวันที่ 5 มีนาคม 2550 แล้วหายไป ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2554 นายบีพบนายเออยู่ที่จังหวัดแพร่ จึงโทรศัพท์ไปบอกภริยาของนายเอ หลังจาก วันที่ 8 สิงหาคม 2554 ก็ไม่มีใครพบนายเออีกเลย ต่อมาภริยาของนายเอได้ยื่นคําร้องขอให้ นายเอเป็นคนสาบสูญในวันที่ 6 มีนาคม 2555

ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะมีคําสั่งว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้น เป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และ หายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามปัญหา การที่นายเอออกจากบ้านไปทําธุระที่ต่างจังหวัดในวันที่ 5 มีนาคม 2550 แล้วหายไป ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2554 นายบีได้พบนายเออยู่ที่จังหวัดแพร่ จึงได้โทรศัพท์ไปบอกภริยาของนายเอ และ หลังจากวันที่ 8 สิงหาคม 2554 ก็ไม่มีใครพบนายเออีกเลยนั้น กรณีดังกล่าวย่อมถือว่านายเอได้หายไปจาก ภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่านายเอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในกรณีธรรมดา เนื่องจากนายเอไม่ได้สูญหายไป เพราะเหตุใดเหตุหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 วรรคสอง ดังนั้น การที่ภริยาของนายเอซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วน ได้เสียจะร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายเอเป็นคนสาบสูญนั้น จะร้องขอได้ก็ต่อเมื่อนายเอได้สูญหายไปจนครบ กําหนด 5 ปี โดยให้นับระยะเวลา 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่มีผู้พบเห็นนายเอครั้งสุดท้าย ซึ่งจะครบกําหนด 5 ปีในวันที่ 8 สิงหาคม 2559 มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2550 แต่อย่างใด

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าภริยาของนายเอได้ยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อสั่งให้นายเอเป็นคนสาบสูญ

ในวันที่ 6 มีนาคม 2555 จึงเป็นการยื่นคําร้องขอในขณะที่นายเอได้สูญหายไปยังไม่ครบกําหนด 5 ปี ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะมีคําสั่งยกคําร้องของภริยานายเอและจะไม่มีคําสั่งให้นายเอเป็นคนสาบสูญ

สรุป ข้าพเจ้าจะสั่งยกคําร้องของภริยานายเอและจะไม่มีคําสั่งให้นายเอเป็นคนสาบสูญ

 

ข้อ 3 การนํานิติกรรมของบุคคลดังกล่าวตามโจทย์จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

(1) นายหนึ่งอายุย่างเข้า 20 ปี ใช้เงินส่วนตัวของตนไปซื้อรถยนต์หรูราคา 10 ล้านบาทจากนายสองโดยลําพัง

(2) นายสามคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากผู้อนุบาลให้ไปซื้อโทรทัศน์ราคาหนึ่งหมื่นบาทจากร้านนายสี่

(3) นายห้าคนวิกลจริตไปซื้อจักรยานเสือภูเขาในราคาสองแสนบาทจากนายหกในขณะที่กําลังคุ้มร้ายหรือขณะจิตวิกลแต่นายหกไม่ทราบ

(4) นายเจ็ดคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกช้างห้าตัวไปแสดงโชว์ชาวต่างชาติโดยลําพัง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆยะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจําเป็นในการดํารงชีพตามสมควร”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึง จะทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสั่งหาริมทรัพย์อันมีค่า การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) โดยหลัก ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทําขึ้นจะตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมาย กําหนดให้ผู้เยาว์สามารถทําเองได้โดยลําพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้น จากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งอายุย่างเข้า 20 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ใช้เงินส่วนตัว 10 ล้านบาท ไปซื้อรถยนต์จากนายสองนั้น ไม่ถือว่าเป็นการทํานิติกรรมที่จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ตามมาตรา 24 หรือ เป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว หรือเป็นนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้น จากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทําได้เองโดยลําพังแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการที่ นายหนึ่งได้ไปซื้อรถยนต์จากนายสองดังกล่าวนั้น ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรม การซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆยะตามมาตรา 21

(2) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายสามคนไร้ความสามารถได้ทํานิติกรรมโดยไปซื้อโทรทัศน์ราคาหนึ่งหมื่นบาทจากร้านนายสี่นั้น แม้การทํานิติกรรมดังกล่าวของนายสามจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอม จากผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(3) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรม ใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อจักรยานเสือภูเขาราคาสองแสนบาท จากนายหกในขณะที่กําลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายหกไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อจักรยานเสือภูเขาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

(4) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์ อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ ตามปัญหา การที่นายเจ็ดคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกช้าง 5 ตัว ไปแสดงโชว์ ชาวต่างชาตินั้น เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น (เพราะลูกช้างไม่ใช่สัตว์พาหนะ) จึงไม่ใช่กรณีที่ คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจําหน่ายจ่ายโอนจะต้องทํา เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน ตามมาตรา 34 (3) ดังนั้นแม้นายเจ็ดจะให้เพื่อนยืมลูกช้าง 5 ตัว โดยลําพัง กล่าวคือโดยผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย แต่อย่างใด สัญญาการให้เพื่อนยืมลูกช้าง 5 ตัว ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

สรุป

1) สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายหนึ่งกับนายสองเป็นโมฆียะ

2) สัญญาซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างนายสามกับนายสี่เป็นโมฆียะ

3) สัญญาซื้อขายจักรยานเสือภูเขาระหว่างนายห้ากับนายหกมีผลสมบูรณ์

4) การให้เพื่อนยืมลูกช้าง 5 ตัวของนายเจ็ดมีผลสมบูรณ์

 

LAW1101 (LAW1001) หลักกฎหมายมหาชน 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1101 (LAW 1001) หลักกฎหมายมหาชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (

ข้อ 1 จงอธิบายและหยิบยกพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐมาสัก 3 – 4 พระราชบัญญัติ เพื่อให้เข้าใจถึงกลไกการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาพอสังเขป พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

การควบคุมการใช้อํานาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และเหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อํานาจรัฐดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายและหน่วยงานของรัฐนั่นเองที่ไม่เสมอภาค รัฐ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอํานาจเหนือประชาชน หากไม่มีการควบคุม เจ้าหน้าที่ของ รัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ ซึ่งการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ กระทําการหรืองดเว้นกระทําการใช้อํานาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือใช้อํานาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน

สําหรับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น มีหลายฉบับ เช่น

1 พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539

พระราชบัญญัติฉบับนี้จะใช้บังคับแก่การกระทําละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อบุคคลภายนอกหรือต่อหน่วยงานของรัฐ โดยจะกําหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบใน ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าการกระทําละเมิดนั้นจะเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม

2 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นพระราชบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์ในการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานราชการแผ่นดินของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ให้มีหลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ประชาชน เช่น การวางกรอบวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ของรัฐในการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครอง รูปแบบและผลของคําสั่ง การอุทธรณ์คําสั่ง การเพิกถอนคําสั่ง วิธีการแจ้งคําสั่ง ระยะเวลาและอายุความ เป็นต้น

3 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

เป็นพระราชบัญญัติที่ใช้ควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐใช้อํานาจทางปกครองหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ออกกฎ หรือคําสั่ง หรือการกระทําใด ๆ เอกชนผู้ได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้ โดยอาศัยกลไกของกฎหมายฉบับนี้

4 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขจนถึงปัจจุบัน)

เป็นพระราชบัญญัติในการควบคุมการใช้อํานาจรัฐในลักษณะของการวางความสัมพันธ์ของหน่วยงานราชการทั้ง 3 ส่วน คือ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหาร ส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นการควบคุมการใช้อํานาจรัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในลักษณะของ การควบคุมบังคับบัญชา และการกํากับดูแลในระหว่างแต่ละส่วนราชการ เช่น ราชการบริหารส่วนกลางจะควบคุม บังคับบัญชาราชการบริหารส่วนภูมิภาค แต่จะกํากับดูแลราชการบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

ข้อ 2 จงอธิบายถึงปรัชญากฎหมายมหาชนที่สําคัญเกี่ยวกับ “การสร้างดุลยภาพ” (Equilibrium) ว่ามีหลักการสําคัญอย่างไร และมีความสัมพันธ์กับหลักนิติรัฐอย่างไร

ธงคําตอบ

ปรัชญาของกฎหมายมหาชนที่สําคัญ คือ การสร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิ เสรีภาพของประชาชน (เอกชน) ซึ่งเป็นเรื่องที่นักกฎหมายมหาชนทุกคนจะต้องระลึกอยู่เสมอไม่ว่านักกฎหมาย มหาชนผู้นั้นจะอยู่ในฐานะใดหรืออยู่ในอาชีพใด กฎหมายมหาชนที่ดีหรือที่ประสบผลสําเร็จนั้น จะต้องเป็น กฎหมายมหาชนที่มีการประสานทั้งสองอย่างนี้ให้ดําเนินไปด้วยกันได้ โดยไม่ให้ข้างใดข้างหนึ่งมีความสําคัญกว่า อีกข้างหนึ่งมากจนเกินไป เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดความเสียหายติดตามมา กล่าวคือ ถ้าให้ความสําคัญกับ ประโยชน์สาธารณะมากเกินไป แม้ว่าจะเพื่อความมีประสิทธิภาพในการปกครอง หรือเพื่อความรวดเร็วในการ ดําเนินการของฝ่ายปกครองก็ตาม แต่ผลที่จะเกิดตามมา คือจะทําให้กฎหมายมหาชนกลายเป็นกฎหมายเอกสิทธิ์ ของฝ่ายปกครองที่ทําให้ฝ่ายปกครองมีอํานาจเพิ่มมากขึ้นและสภาพของ “นิติรัฐ” ก็จะลดลง สิทธิเสรีภาพ ของเอกชนก็จะถูกควบคุมจนหมดไปได้ในที่สุด แต่ถ้าให้ความสําคัญกับสิทธิเสรีภาพของเอกชนมากเกินไป

การบริหารงานของรัฐหรือการดําเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะก็จะเกิดการติดขัด หรือดําเนินไปได้อย่างยากลําบาก หรือต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นจํานวนมาก เพราะเมื่อสิทธิเสรีภาพของเอกชนมีมากเกินก็จะทําให้ฐานะ ของรัฐหรือฝ่ายปกครองเท่ากันกับฐานะของเอกชน

ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักของการประสานประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของเอกชนข้างต้นจะ บรรลุผลสําเร็จที่ประสงค์ได้ก็ด้วย คุณสมบัติ ความรู้ ความตระหนักในความสําคัญ และทัศนะของนักกฎหมาย มหาชนที่จะใช้สิ่งที่กล่าวมานี้ ในการตีความเพื่อสร้างกฎหมายมหาชนขึ้นมาบนพื้นฐานของดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของเอกชน

ส่วนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างการสร้างดุลยภาพกับหลักนิติรัฐนั้น เมื่อฝ่ายปกครองเข้าไปมีนิติสัมพันธ์กับประชาชน ฝ่ายปกครองก็ไม่สามารถจะฝ่าฝืนหรือหลีกเลี่ยงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นได้

ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นนิติรัฐที่มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แล้ว กรณีก็จะเข้มงวดถึงกับว่าถ้าไม่มีกฎหมายที่ รัฐสภาตราขึ้นให้อํานาจฝ่ายปกครองไว้ ฝ่ายปกครองก็ไม่อาจจะกระทําการใดๆ อันเป็นการบังคับประชาชนได้เลย ถ้าประชาชนไม่สมัครใจ ซึ่งหมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นให้อํานาจฝ่ายปกครองไว้โดยตรง หรือโดยปริยาย ฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถใช้มาตรการอย่างใดๆ ต่อประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองได้เลยใน “นิติรัฐ” แม้จะมีกฎหมายให้อํานาจฝ่ายปกครองไว้ ฝ่ายปกครองก็ยังต้องดําเนินการตามที่ กฎหมายให้อํานาจไว้นั้นด้วย “วิธีการ” และตาม “ขั้นตอน” ที่กฎหมายกําหนด หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ฝ่ายปกครองซึ่งเป็นองค์กรใช้อํานาจรัฐจะกระทําอย่างใด ๆ ต่อประชาชนได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อํานาจไว้ และด้วยวิธีการที่ระบบกฎหมายในขณะนั้นได้กําหนดไว้เท่านั้น”

หากฝ่ายปกครองละเมิดหลักการแห่ง “นิติรัฐ” ดังกล่าว ประชาชนก็สามารถดําเนินคดีกับการ กระทําที่มิชอบทุกประเภทของฝ่ายปกครองโดยการร้องขอต่อผู้มีอํานาจวินิจฉัย ขอให้ “ยกเลิก” หรือขอให้ “เพิกถอน” หรือขอให้ “เปลี่ยนแปลงแก้ไข” การกระทําหรือคําสั่งอันมิชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายปกครองนั้นได้

ข้อ 3 จงอธิบายลักษณะสําคัญของสมาพันธรัฐและสหพันธรัฐ และเปรียบเทียบความแตกต่างของรัฐ ทั้งสองรูปแบบ

ธงคําตอบ

“รัฐรวม” ในปัจจุบัน จะแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “สมาพันธรัฐ” และ “สหพันธรัฐ”

สมาพันธรัฐ เป็นรูปแบบของรัฐรวมที่เกิดจากการรวมตัวของรัฐที่ค่อนข้างพบได้ยากในอดีต และ ในปัจจุบันก็ไม่ปรากฏรูปแบบดังกล่าวแล้ว และแม้แต่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์จะใช้ชื่อเต็มว่า “สมาพันธรัฐสวิส” ก็ตาม แต่กลับไม่ได้มีรูปแบบเป็นสมาพันธรัฐนับแต่ปี ค.ศ. 1848 เป็นต้นมา หรือสมาพันธรัฐอื่น ๆ ในอดีต เช่น ประเทศเยอรมนี (ระหว่างปี ค.ศ. 1815 – 1866), ประเทศสหรัฐอเมริกา (ระหว่างปี ค.ศ. 1776 – 1787) เป็นต้น และแม้สมาพันธรัฐจะไม่ปรากฏแล้วในปัจจุบัน แต่การศึกษารูปแบบของรัฐยังคงไม่อาจละเลยข้อความคิดว่าด้วย สมาพันธรัฐได้ เนื่องจากในแง่มุมหนึ่ง สมาพันธรัฐนับว่าเป็นรูปแบบของรัฐที่จะนําไปสู่การก่อตั้งสหพันธรัฐได้

สหพันธรัฐ คือ รัฐอันประกอบไปด้วยรัฐสมาชิกจํานวนหนึ่งซึ่งอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปใน แต่ละสหพันธรัฐ โดยรัฐสมาชิกนั้นมีลักษณะคล้ายรัฐเดี่ยวพอสมควร กล่าวคือ รัฐสมาชิกแต่ละรัฐจะมีรัฐธรรมนูญ และสถาบันการเมือง (ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ) เป็นของตนเอง เพียงแต่จะถูกจํากัดอํานาจ อธิปไตยภายนอก คือ รัฐสมาชิกไม่อาจดําเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัฐอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่เหมือนกับ รัฐเดี่ยว นอกจากนั้น อํานาจอธิปไตยภายในของรัฐสมาชิกก็ถูกจํากัดเช่นกัน เนื่องจากอํานาจทั้งหลายของรัฐสมาชิกจะต้องอยู่ในบังคับของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐ

ความแตกต่างระหว่างสมาพันธรัฐและสหพันธรัฐ ได้แก่

1 บ่อเกิด สหพันธ์รัฐ คือ รัฐที่เกิดจากการรวมตัวกันของรัฐหลายรัฐโดยการลงนามร่วมกันใน สนธิสัญญา ส่วนสหพันธรัฐ คือ รัฐที่เกิดจากการรวมตัวกันของรัฐหลายรัฐโดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญร่วมกัน

2 องค์กร สมาพันธรัฐ มีการก่อตั้งสภาเพื่อใช้อํานาจบางประการร่วมกัน (มติ กฎหมาย หรือ นโยบาย) โดยสมาชิกของสภาจะมาจากการส่งตัวแทนเข้าร่วมโดยรัฐสมาชิก (ไม่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาของ สมาพันธรัฐ) และการใช้อํานาจของสภาจะต้องได้รับสัตยาบันจากรัฐสมาชิก

ส่วนสหพันธรัฐ มีการก่อตั้งสภา คณะรัฐมนตรี และศาลร่วมกัน โดยสมาชิกสภาของสหพันธรัฐ มาจากการเลือกตั้ง และกฎหมายที่ได้รับการเคราโดยสภามีผลบังคับใช้โดยตรงต่อรัฐสมาชิก

3 อํานาจอธิปไตยของรัฐสมาชิก รัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐมีอํานาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์เช่นเดิม และสามารถถอนตัวจากการเป็นสมาชิกได้

ส่วนรัฐสมาชิกของสหพันธรัฐมีอํานาจอธิปไตยเพียงบางส่วน คือ มีเพียงเท่าที่รัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐได้กําหนดไว้ และไม่อาจถอนตัวได้

LAW1101 (LAW1001) หลักกฎหมายมหาชน s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1101 (LAW 1001) หลักกฎหมายมหาชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายความแตกต่างระหว่างหลักกฎหมายมหาชนกับหลักกฎหมายเอกชนในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ มาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ความแตกต่างด้านทฤษฎี

ความแตกต่างด้านตัวการในการสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์

ความแตกต่างด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย

ความแตกต่างด้านรูปแบบนิติสัมพันธ์

ความแตกต่างด้านนิติวิธี

ความแตกต่างด้านนิติปรัชญา

ความแตกต่างด้านเขตอํานาจศาล

ธงคําตอบ

ความแตกต่างระหว่างหลักกฎหมายมหาชนกับหลักกฎหมายเอกชนในประเด็นต่าง ๆ มีดังนี้

1 ความแตกต่างด้านทฤษฎีการแบ่งแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน

(1) ทฤษฎีผลประโยชน์ เป็นทฤษฎีที่เห็นว่าการแบ่งแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนนั้น สามารถจําแนกได้จากจุดมุ่งหมายในการสร้างผลประโยชน์มาใช้ในการแบ่งแยก โดยกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของมหาชน ส่วนกฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของเอกชนหรือปัจเจกบุคคล

(2) ทฤษฎีตัวการ เป็นทฤษฎีที่เห็นว่าการแบ่งแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนนั้น สามารถจําแนกได้จากตัวการที่ก่อหรือทําให้เกิดนิติสัมพันธ์มาใช้ในการแบ่งแยก โดยหากตัวการที่ก่อหรือทําให้เกิด นิติสัมพันธ์ทางกฎหมายได้แก่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชนหรือปัจเจกบุคคลแล้ว นิติสัมพันธ์ทางกฎหมายที่เกิดขึ้นย่อมเป็นนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายมหาชน แต่ถ้าหากตัวการที่ก่อหรือทําให้เกิดนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายได้แก่ เอกชนหรือปัจเจกบุคคลด้วยกันเอง นิติสัมพันธ์ทางกฎหมายที่เกิดขึ้นย่อมเป็นนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายเอกชน

(3) ทฤษฎีความไม่เท่าเทียมกัน เป็นทฤษฎีที่เห็นว่าการแบ่งแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนนั้น สามารถจําแนกได้จากความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีที่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ทางกฎหมาย หาก ความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีไม่เท่าเทียมกัน นิติสัมพันธ์ทางกฎหมายที่เกิดขึ้นย่อมเป็นนิติสัมพันธ์ทางกฎหมาย มหาชน แต่ถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีเท่าเทียมกัน นิติสัมพันธ์ทางกฎหมายที่เกิดขึ้นย่อมเป็นนิติสัมพันธ์ทางกฎหมายเอกชน

2 ความแตกต่างด้านองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์ (ทฤษฎีตัวการกฎหมายมหาชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์ ได้แก่ รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

กฎหมายเอกชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์ ได้แก่ เอกชน ที่เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

3 ความแตกต่างด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (ทฤษฎีผลประโยชน์)

กฎหมายมหาชน มีวัตถุประสงค์ในการดําเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะและการให้บริการ สาธารณะ โดยมิได้มีความมุ่งหมายถึงผลกําไรเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สิน แต่มุ่งหวังถึงความพึงพอใจและการตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมเป็นสําคัญ

กฎหมายเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการดําเนินงานเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละบุคคล โดยมีความมุ่งหมายถึงผลกําไรเป็นตัวเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ในลักษณะอื่นใดเพื่อประโยชน์ของปัจเจกบุคคล เป็นสําคัญ ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นกรณีที่เป็นเอกชนบางประเภทที่อาจดําเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังเช่น มูลนิธิ หรือสมาคมการกุศล เป็นต้น

4 ความแตกต่างด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ (ทฤษฎีความไม่เท่าเทียมกัน)

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการใช้บังคับอํานาจที่มีอยู่เหนือนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกับปัจเจกบุคคล โดยวิธีการที่เป็น “การกระทําฝ่ายเดียว” และปรากฏออกมาในรูปแบบ “คําสั่ง” กล่าวคือ เป็นการกระทําที่ฝ่ายหนึ่ง (รัฐและผู้ปกครอง) สามารถกําหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือปัจเจกบุคคล) กระทําตาม โดยฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องกระทําตามอาจไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยก็ตาม กฎหมายเอกชน มีลักษณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความเป็นอิสระในการแสดงเจตนา หลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพในการทําสัญญา โดยคู่กรณีต้องมีความสมัครใจ (เจตนาเสนอสนองตรงกัน สัญญาจึงจะเกิด) และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่มีอํานาจเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะทําการบังคับอีกฝ่ายหนึ่งโดยปราศจากความยินยอมมิได้

5 ความแตกต่างด้านนิติวิธี

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการนํานิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนําแนวความคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชน โดยการสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้บังคับ (โดยปฏิเสธการนําแนวความคิด วิเคราะห์ตามหลักกฎหมายเอกชนมาใช้บังคับโดยตรง)

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการนํานิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนําความคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายเอกชนที่มุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันเอง และมุ่งเน้นถึงการรักษาผลประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

6 ความแตกต่างด้านนิติปรัชญา

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงการประสานและสร้างความสมดุลระหว่างผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของส่วนรวมกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลหรือเอกชน ที่มุ่งถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามที่กฎหมายให้อํานาจหรือกําหนดไว้

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

7 ความแตกต่างด้านเขตอํานาจศาล

กฎหมายมหาชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ หรือข้อพิพาทระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคล หรือเอกชนในทางกฎหมายมหาชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเฉพาะหรือศาลพิเศษในทาง มหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น

กฎหมายเอกชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างปัจเจกบุคคล หรือเอกชนต่อปัจเจกบุคคลหรือ เอกชนในทางกฎหมายเอกชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ดังเช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลภาษี เป็นต้น

 

ข้อ 2 จงอธิบายความเกี่ยวข้องกันของการควบคุมการใช้อํานาจรัฐกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาโดยละเอียด พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

การควบคุมการใช้อํานาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กร ของรัฐ และหน่วยงานของรัฐนั่นเอง และเหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อํานาจรัฐดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาครัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอํานาจเหนือประชาชน หากไม่มีการควบคุม เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ ซึ่งการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ กระทําการหรืองดเว้นกระทําการใช้อํานาจที่มีอยู่ ตามกฎหมาย หรือใช้อํานาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน

สําหรับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น มีหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539, พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เป็นต้น

การควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

1 การควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบป้องกัน หมายความว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือ ฝ่ายปกครองจะได้วินิจฉัยสั่งการ หรือมีการกระทําในทางปกครองที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมาย ของบุคคลใด ควรมีระบบป้องกันหรือควบคุมการวินิจฉัยสั่งการหรือการกระทํานั้นเสียก่อน กล่าวคือมีกฎหมาย กําหนดกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคําสั่งนั้นออกไป ซึ่งการควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบป้องกันดังกล่าวนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั่นเอง เช่น

(1) เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้โต้แย้งคัดค้าน คือ การให้โอกาสผู้ที่อาจได้รับความเสียหายจากการกระทําของฝ่ายปกครอง สามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้ในเรื่องที่จะสั่งการนั้น

(2) มีการปรึกษาหารือ คือการให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ

(3) หลักการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอํานาจสั่งการทางปกครองจะต้องไม่มีส่วนได้เสีย

(4) มีการไต่สวนทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีการที่กําหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริง โดยทําการรวบรวมความคิดเห็นของบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย แล้วทําเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะได้ตัดสินใจ กระทําการที่จะมีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย

(5) เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะต้องแจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้คู่กรณีทราบตามความจําเป็นแก่กรณี

(6) ถ้าเป็นคําสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ จะต้องระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นคําอุทธรณ์หรือคําโต้แย้งและระยะเวลาสําหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย

2 การควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบแก้ไข หมายความว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐได้สั่งการใดหรือ วินิจฉัยเรื่องใดไปแล้ว หากกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายจึงกําหนด ให้มีระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบแก้ไขโดยองค์กรที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ และระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหารโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหาร

(1) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหาร เป็นระบบ การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยขึ้นอยู่กับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ โดยอาจกระทําได้โดย การบังคับบัญชา และการกํากับดูแล ได้แก่

ก) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ ด้วยการควบคุมบังคับบัญชาและการกํากับดูแล การควบคุมบังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชาทําการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสมในการกระทําของผู้ใต้บังคับบัญชาโดยอาจตรวจสอบเองหรือมีบุคคลมาร้องเรียน

การกํากับดูแล โดยหน่วยงานของรัฐจะดําเนินการตรวจสอบความชอบ ด้วยกฎหมายของการกระทําของหน่วยงานตามสายการบังคับบัญชา

ข) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ ด้วยการร้องทุกข์และการอุทธรณ์ภายใน หน่วยงาน โดยสามารถร้องทุกข์หรืออุทธรณ์คําสั่งไปยังผู้ออกคําสั่งนั้น

(2) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร ได้แก่ ก) การควบคุมโดยองค์กรทางการเมือง เช่น รัฐสภา เป็นต้น

ข) การควบคุมโดยองค์กรพิเศษ คือ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ เช่น คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น

(3) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรศาล ได้แก่

ก) การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยศาลยุติธรรม

ข) การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยศาลปกครอง ค) การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยศาลรัฐธรรมนูญการควบคุมการใช้อํานาจรัฐมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการบริหารราชการแผ่นดินของไทย ดังนี้คือ

การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหาร ส่วนท้องถิ่น ราชการบริหารส่วนกลาง ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรม เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการ ในรูปแบบการรวมอํานาจ โดยการปกครองแบบนี้อํานาจในการตัดสินใจทั้งหลายจะอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น มีการ รวมกําลังในการบังคับต่าง ๆ ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง และมีลําดับขั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน

ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัด อําเภอ กิ่งอําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นการจัด ระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการแบ่งอํานาจ ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ส่วนกลางมอบอํานาจตัดสินใจ บางประการให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนภูมิภาค โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในบังคับบัญชาของส่วนกลางตลอดเวลา

ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตําบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการกระจายอํานาจ โดยรัฐ จะมอบอํานาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค เพื่อจัดทําบริการสาธารณะ บางอย่าง โดยจะมีอิสระตามสมควร ไม่ต้องขึ้นอยู่ในการบังคับบัญชาของส่วนกลาง เพียงแต่ขึ้นอยู่ในการกํากับดูแล เท่านั้น

ในการบริหารราชการแผ่นดินของไทยทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หรือส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดทําบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวม และการ ใช้อํานาจทางปกครองในการออกกฎ ออกคําสั่ง หรือการกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่น เช่น การทําสัญญา ทางปกครอง เป็นต้น ซึ่งหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่าง ๆ จะดําเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวได้ ก็จะต้องมีกฎหมายมหาชนหรือกฎหมายปกครองได้บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ด้วย เช่น พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นต้น

และนอกจากนี้ ในการใช้อํานาจรัฐเพื่อการดําเนินการต่าง ๆ นั้น ยังมีกฎหมายที่ได้บัญญัติเกี่ยวกับ การควบคุมการใช้อํานาจรัฐอีกหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐฯ เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมการใช้อํานาจรัฐ โดยควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐมิให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทําการใด ๆ ไม่ว่าจะโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกหรือต่อหน่วยงานของรัฐ และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมการใช้อํานาจทางปกครอง ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะการใช้อํานาจทางปกครองในการออกคําสั่งทางปกครองว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น

ในกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทําการใด ๆ เนื่องจากการใช้อํานาจรัฐและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น แก่บุคคลภายนอก หรือเจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้อํานาจทางปกครองออกกฎหรือคําสั่ง และเป็นกฎหรือคําสั่งที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ดังนี้บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับความเดือดร้อนจากการใช้อํานาจหรือจากการกระทําของ เจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าว ย่อมสามารถฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือให้ศาลปกครองสั่งให้เพิกถอน กฎหรือคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นได้ โดยอาศัยสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครองฯ นั่นเอง

 

ข้อ 3 จงอธิบายเกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย ประกอบกับการควบคุม การใช้อํานาจรัฐ ว่ามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร มาโดยละเอียด

ธงคําตอบ

การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นั้น แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหาร ส่วนท้องถิ่น

1 ราชการบริหารส่วนกลาง หมายความถึง ราชการที่ฝ่ายปกครองจัดทําเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ของประชาชนทั่วทั้งอาณาเขตของประเทศ เช่น การรักษาความสงบภายใน การป้องกันประเทศ การคมนาคม การคลัง เป็นต้น

องค์การที่จัดทําราชการบริหารส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนกลาง และมีอํานาจหน้าที่จัดทําราชการในอํานาจหน้าที่ของคนตลอดทั้งประเทศ

2 ราชการบริหารส่วนภูมิภาค หมายความถึง ราชการของกระทรวง ทบวง กรม อันเป็น องค์กรของราชการบริหารส่วนกลางที่ได้แบ่งแยกออกไปจัดทําตามเขตการปกครองต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อตอบ สนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนในเขตการปกครองนั้น ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ออกไปประจําตามเขตการปกครองนั้น ๆ เพื่อบริหารราชการภายใต้การ บังคับบัญชาของราชการบริหารส่วนกลาง ซึ่งราชการบริหารส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัด อําเภอ รวมตลอดถึงตําบลและหมู่บ้าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าในส่วนภูมิภาค

3 ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หมายความถึง ราชการบางอย่างที่รัฐมอบหมายให้องค์การ บริหารส่วนท้องถิ่นจัดทําเอง เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนเฉพาะในเขตท้องถิ่นนั้น โดยมีเจ้าหน้าที่ ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นนั้นเอง ซึ่งตามหลักไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง องค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตําบล เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร

ในการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยทุกระดับนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชการบริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐใน การจัดทําบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวม รวมทั้งการใช้อํานาจปกครองในการออกกฎหรือ คําสั่งต่าง ๆ หรือการกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่น เช่น การทําสัญญาทางปกครอง เป็นต้น ซึ่งองค์กรของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีอํานาจดําเนินการต่าง ๆ ได้ก็จะต้องมีกฎหมายมหาชนหรือกฎหมายปกครองได้บัญญัติ ให้อํานาจและหน้าที่ไว้ด้วย เช่น พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นต้น

และการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยดังกล่าว จะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ ดังนี้คือ

การควบคุมการใช้อํานาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กร ของรัฐและหน่วยงานของรัฐนั่นเอง และเหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อํานาจรัฐดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค รัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอํานาจเหนือประชาชน หากไม่มีการ ควบคุม เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ ซึ่งการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ ใช้อํานาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือใช้อํานาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน

สําหรับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น มีหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539, พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เป็นต้น

1 พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539

พระราชบัญญัติฉบับนี้จะใช้บังคับแก่การกระทําละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อบุคคลภายนอกหรือต่อหน่วยงานของรัฐ โดยจะกําหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าการกระทําละเมิดนั้นจะเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องรับผิดในทางละเมิดในการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ก็เฉพาะเมื่อเป็นการจงใจกระทําเพื่อการเฉพาะตัว หรือจงใจให้เกิดความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น

2 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นพระราชบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์ในการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานราชการแผ่นดินของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ให้มีหลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ประชาชน เช่น การวางกรอบวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ของรัฐในการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครอง รูปแบบและผลของคําสั่ง การอุทธรณ์คําสั่ง การเพิกถอนคําสั่ง วิธีการแจ้งคําสั่ง ระยะเวลาและอายุความ เป็นต้น

3 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เป็นพระราชบัญญัติที่ใช้ควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐใช้อํานาจทางปกครองหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ออกกฎ หรือคําสั่ง หรือการกระทําใด ๆ เอกชนผู้ได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้ โดยอาศัยกลไกของกฎหมายฉบับนี้และที่ถือว่าพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ และหน่วยงานของรัฐ ในการดําเนินการต่าง ๆ เพื่อจัดทําบริการสาธารณะ รวมทั้งการใช้อํานาจทางปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ หรือคําสั่ง หรือการกระทําใด ๆ จะต้องอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กร ของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบหรือใช้อํานาจทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ แล้วก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือก่อให้เกิด ความเสียหายแก่ประชาชนหรือแก่รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐก็จะต้องรับผิดชอบ ในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อการกระทําดังกล่าวสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองมีคําสั่งยกเลิกเพิกถอนการกระทําดังกล่าวนั้นได้ ทั้งนี้ก็โดยอาศัยกลไกของกฎหมายทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวนั่นเอง

WordPress Ads
error: Content is protected !!