LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นายเอก  ได้กู้เงินจากนายข้อง  100,000  บาท  โดยนายเอกได้เขียนข้อความลงในกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า  ข้าพเจ้านายเอก  ได้ยืมเงิน  100,000  บาท  ไปจากนายข้อง  เมื่อวันที่  10  มกราคม  2548  แล้วนายเอกลงลายมือชื่อในกระดาษนั้นมอบกระดาษนั้นแก่นายข้อง  นายข้องมอบเงินแก่นายเอกไป  โดยกล่าวด้วยว่า  ช่วงที่ยืมไปนี้ไม่คิดดอกเบี้ย  เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน  เวลาผ่านไปนานหลายปี  นายข้องเห็นว่า  นายเอกยังไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวคืนแก่ตน  นายข้องจึงมาปรึกษานักศึกษาว่า  จะทำอย่างไรจึงจะได้รับเงินต้นพร้อมอัตราดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดจากนายเอก  จึงให้นักศึกษาแนะนำนายข้องว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง  จึงจะเป็นไปตามที่นายข้องต้องการ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  7  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง  ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

มาตรา  203  วรรคแรก  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

มาตรา  204  วรรคแรก ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และภายหลังแต่นั้น  เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว  ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้  ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกได้เขียนข้อความลงในกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า  ข้าพเจ้านายเอก  ได้ยืมเงิน  100,000  บาท  ไปจากนายข้อง  เมื่อวันที่  10  มกราคม  2548  แล้วนายเอกลงลายมือชื่อในกระดาษนั้น  เห็นได้ชัดว่าข้อความในกระดาษซึ่งเป็นหลักฐานแห่งสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่อย่างใด  ทั้งตามพฤติการณ์ก็ไม่ปรากฏว่านายเอกกับนายข้องได้ตกลงกันในเรื่องนี้ไว้ด้วย  กรณีจึงเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  203  วรรคแรกที่ว่า  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้  เช่นนี้  นายข้องเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้นายเอกลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และถือได้ว่าหนี้เงินกู้รายนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  (ฎ. 917/2539)

สำหรับดอกเบี้ยนั้น  โดยหลักแล้วนายข้องจะคิดดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้ยืมหาได้ไม่  เพราะนายข้องและนายเอกไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กัน  กรณีจึงไม่ต้องบทบัญญัติมาตรา  7  ที่ว่า  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน  ซึ่งหมายความเฉพาะกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันหรือมีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยจากกัน  แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เท่านั้น  นายข้องจึงเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากนายเอกในอัตราร้อยละ  7.5 ต่อปีตามมาตรา  7  ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม  หากนายข้องต้องการได้ดอกเบี้ย  นายข้องจะต้องให้คำเตือนนายเอกลูกหนี้ด้วยการทวงถามให้นายเอกชำระหนี้เงินกู้  100,000  บาท  หากนายเอกไม่ชำระหนี้หลังจากนายข้องเตือนแล้ว  นายเอกก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีตามมาตรา  204  วรรคแรก  เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้และหนี้นั้นเป็นหนี้เงิน  นายข้องย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่นายเอกผิดนัดร้อยละ  7.5  ต่อปีได้ตามมาตรา  224  วรรคแรก

ดังนั้น  ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายข้องว่า  นายข้องมีสิทธิเรียกเงินต้น  100,000  บาท  คืนได้ทันที  เพราะถือว่าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วตามมาตรา  203  วรรคแรก  ส่วนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนั้น  นายข้องจะเรียกได้ก็ต่อเมื่อนายข้องได้เตือนให้นายเอกชำระหนี้แล้ว  เมื่อนายเอกไม่ชำระหนี้ตามคำเตือนก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  204  วรรคแรก  นายข้องก็จะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  ตามมาตรา  224  วรรคแรก  ส่วนดอกเบี้ยก่อนหน้าที่นายเอกจะผิดนัด  นายข้องไม่สามารถเรียกให้นายเอกชำระได้  เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กันเลย

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายข้องดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  2  บริษัทคำพอง  จำกัด  รับจ้างสร้างหม้อต้มกลั่นพลังงานไอน้ำให้แก่โรงงานของบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  โดยจะต้องส่งมอบพร้อมติดตั้งและทดสอบการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์  ที่โรงงานของบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ในวันที่  2  กรกฎาคม  2551  แต่เนื่องจากหม้อต้มกลั่นนี้มีขนาดใหญ่มาก  จำเป็นที่บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  จะต้องจัดเตรียมพื้นที่โรงงานให้พร้อมสำหรับรองรับขนาดและน้ำหนักของหม้อต้มกลั่นนี้  โดยจะต้องให้แล้วเสร็จในวันที่  1  กรกฎาคม  2551  ต่อมา  บริษัทคำพอง  จำกัด

ได้สร้างหม้อต้มกลั่นเสร็จเมื่อวันที่  30  มิถุนายน  2551  จึงได้แจ้งไปยังบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  พร้อมที่จะนำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งและทดสอบตามกำหนดในสัญญา  แต่ในวันนั้นบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ยังจัดเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จ  และจะเสร็จอย่างเร็วในวันที่  10  สิงหาคม  2551  ต่อมาวันที่  1  กรกฎาคม  2551  บริษัทคำพอง  จำกัด  ทราบแน่นอนว่า

แม้จะนำหม้อต้มกลั่นไปส่งมอบตามกำหนดก็ไม่อาจติดตั้งและทดสอบการทำงานได้ตามสัญญา  จึงได้ตัดสินใจไม่นำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น  เป็นเหตุให้บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  คิดจะนำคดีไปฟ้องศาลกล่าวอ้างว่าบริษัทคำพอง  จำกัด  ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามกำหนด  และเรียกค่าเสียหาย  บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  จึงมาขอคำปรึกษาจากนักศึกษาว่า  บริษัทคำพอง  จำกัด  ต้องรับผิดชอบหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  209  ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด  ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  บริษัทคำพอง  จำกัด  จะต้องรับผิดหรือไม่  เห็นว่า  การที่คู่สัญญาได้ตกลงให้บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  เจ้าหนี้ตระเตรียมพื้นที่โรงงานให้พร้อมโดยจะต้องให้แล้วเสร็จในวันที่  1  กรกฎาคม  2551  ย่อมถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาได้กำหนดเวลาไว้แน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด  หรือถือเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญตามมาตรา  209  ในกรณีเช่นนี้บริษัทคำพองลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ก็ต่อเมื่อบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ได้ตระเตรียมพื้นที่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้เท่านั้น  ถ้าหากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดกันไว้  ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน  ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ไม่ได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่  1  กรกฎาคม  2551  บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  เจ้าหนี้ยังจัดเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จ  และจะเสร็จอย่างเร็วในวันที่  10  สิงหาคม  2551  จึงเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ละเลยไม่รับชำระหนี้จากลูกหนี้ภายในกำหนดเวลาอันเป็นสาระสำคัญ  บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  จึงเป็นฝ่ายผิดนัดและผิดสัญญา  การที่บริษัทคำพอง  จำกัด  ตัดสินใจไม่นำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น  บริษัทคำพอง  จำกัด  ย่อมมีสิทธิทำได้ตามมาตรา  209  ที่กำหนดว่า  ลูกหนี้จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด  ดังนั้น  เมื่อบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  เจ้าหนี้เป็นผู้ผิดนัด  จึงไม่อาจฟ้องคดีเพื่อให้บริษัท  คำพอง  จำกัด  รับผิดตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้  บริษัทคำพอง  จำกัด  จึงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด  (ฎ. 44/2532)

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ว่า  บริษัทคำพอง  จำกัด  ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด

 

 

ข้อ  3  จันทร์ได้ยกที่ดิน  1  แปลง  ให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาอังคารได้ประพฤติเนรคุณ  โดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้  แต่ปรากฏว่าก่อนจันทร์ยื่นฟ้องอังคารเรียกถอนคืนการให้เพียง  1  วัน อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธ  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนและพุธรับไว้โดยสุจริต  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้วิธีใดเหมาะสมที่สุด  ที่ควรนำมาใช้กับเรื่องนี้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มาตรการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  สำหรับหลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลดังกล่าว  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2       ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า  จันทร์ (ผู้ให้)  ยกที่ดิน  1  แปลงให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาการที่อังคารได้ประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  กรณีเช่นนี้จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้นับแต่วันที่ทราบเหตุเนรคุณตามมาตรา  531  จันทร์จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และอังคารอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้

แต่ปรากฏว่าก่อนจันทร์จะยื่นฟ้องอังคารเรียกถอนคืนการให้เพียง  1  วัน  อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธโดยเสน่หา  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนทั้งพุธก็รับดอนไว้โดยสุจริต  ย่อมถือได้ว่าเป็นการทำนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ  ซึ่งเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  เมื่อกรณีเป็นการยกให้โดยเสน่หา  การจะขอเพิกถอนการฉ้อฉลได้โดยกฎหมายกำหนดแต่เพียงว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  ดังนั้นการที่อังคารลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวถึงเหตุที่จะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แม้พุธผู้ได้ลาภงอกจะสุจริตไม่รู้ถึงเหตุนั้นด้วย  จันทร์ (ผู้ให้)  ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาระหว่างอังคารกับพุธได้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

สรุป  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาระหว่างอังคารกับพุธอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา  237  วรรคแรก

 

 

ข้อ  4  ก  และ  ข  เป็นเจ้าหนี้ร่วม  ในหนี้เงินสองแสนบาท  โดยมี  ค  เป็นลูกหนี้  หนี้รายนี้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้เอาไว้  ถ้าต่อมาปรากฏว่า  ก  แต่เพียงผู้เดียว  เตือนให้  ค  ชำระหนี้  และ  ค  ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้  หลังจากนั้น  ค  ไปชำระหนี้ให้  ข  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การชำระหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และ  ก  จะเรียกดอกเบี้ยจาก  ค  ฐานผิดนัดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้  เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว  การผิดนัด  การที่หยิบยกอ้างความผิด  การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง  และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน

มาตรา  298  ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือ  เจ้าหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก  ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้  แม้ทั้งนี้เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว

มาตรา  299  วรรคสาม  นอกจากนี้  ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา  292, 293  และ  295   มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวโดยเฉพาะก็คือ  แม้เจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่งจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บุคคลอื่นไปก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมนั้น  ลูกหนี้มีสิทธิเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่ลูกหนี้จะเลือก  แม้ว่าเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งจะได้ฟ้องคดีเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไว้แล้วก็ตาม (มาตรา  298)

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  การชำระหนี้ของ  ค  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้  ดังนั้นในกรณีนี้  ลูกหนี้จึงมีสิทธิชำระหนี้ให้แก่  ข  ได้  แม้  ข  จะมิได้เรียกให้  ค  ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ตาม  การที่  ค  ชำระหนี้ให้  ข  จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ก  จะเรียกดอกเบี้ยจาก  ค  ในระหว่างผิดนัดได้หรือไม่  เห็นว่า  หนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้เอาไว้ตามมาตรา  203  วรรคแรก  เจ้าหนี้จึงต้องเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนตามมาตรา  204  วรรคแรก  และเมื่อเป็นหนี้ที่มีเจ้าหนี้ร่วม  เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งจะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ได้  เมื่อ  ก  แต่เพียงผู้เดียว  เตือนให้  ค  ชำระหนี้  และ  ค  ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้ย่อมถือว่า  ค  ผิดนัดต่อ  ก  เจ้าหนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น  มิได้ผิดนัดต่อ  ข  ด้วย  ตามมาตรา  295  ประกอบมาตรา  299  วรรคสาม  ทั้งนี้เพราะถือว่าการผิดนัดดังกล่าวเป็นเรื่องท้าวถึงตัวเจ้าหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณแต่เฉพาะแก่เจ้าหนี้คนนั้น  เมื่อ  ค  ผิดนัดต่อ  ก  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปีจาก  ค  ได้ตามมาตรา  224  วรรคแรก  จะอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้แก่  ข  แล้วหนี้จึงระงับสิ้นไป  ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดไม่ได้  เพราะการผิดนัดดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชำระหนี้

สรุป  การชำระหนี้ของ  ค  ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  298  และ  ก  มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดจาก  ค  ได้ตามมาตรา  224  วรรคแรก  295  และ  299  วรรคสาม        

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  และ  ข  เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง  ก  ทำสัญญาจะขายที่ดินส่วนของตนให้กับ  ค  แล้วเรียกบังคับให้  ข  ผู้เก็บรักษาส่งมอบโฉนดที่ดินให้ตนเพื่อไปทำนิติกรรมโอนที่ดินให้ผู้ซื้อต่อไป  ข  อ้างว่า  ตนได้นำโฉนดที่ดินไปประกันหนี้เงินกู้ของตนไว้ไม่อาจส่งมอบให้  ก  ได้  แต่การโอนที่ดินนั้น  วัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรม”  ก  สามารถร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้อยู่แล้ว  ตนไม่จำเป็นจะต้องส่งมอบโฉนดให้  ก  ข้ออ้างของ  ข  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่  ก  หรือไม่  เห็นว่า  ก  และ  ข  เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง  แต่ละคนย่อมมีสิทธิใช้สอยที่ดินดังกล่าวได้  แต่ต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆและเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ จะจำหน่ายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนก็ได้  (มาตรา  1361  วรรคแรก)  การที่  ข  นำโฉนดที่ดินไปให้บุคคลอื่นยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้  เป็นเหตุให้  ก  ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของ  ก  ให้กับ  ค  ตามสัญญาจะซื้อขาย  ย่อมขัดต่อสิทธิของ  ก  เช่นนี้  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่  ก  และหากโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น  ข ย่อมต้องมีหน้าที่ดำเนินการนำโฉนดที่ดินคืนมาเพื่อส่งมอบแก่  ก  จนได้ตามมาตรา  213  วรรคแรก  กรณีมิใช่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้

ส่วนที่  ข  อ้างว่าในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนให้แก่  ค  นั้น  ก  สามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ  ข  ได้  โดย  ก  ไม่ต้องขอให้  ข  ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่  ก  นั้น  เห็นว่า  ตามบทบัญญัติมาตรา  213  วรรคสอง  การที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ก็เฉพาะกรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  แต่กรณีนี้  ก  เรียกให้  ข  ส่งมอบโฉนดที่ดิน  วัตถุแห่งหนี้จึงเป็นการส่งมอบทรัพย์สินมิใช่เป็นการให้ทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้

ดังนั้น  ข้ออ้างของ  ข  ที่ว่า  ตนไม่จำเป็นจะต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้กับ  ก  และ  ก  สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ  ข  ได้นั้น  จึงฟังไม่ขึ้น  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้กับ  ก  (ฎ. 4920/2547)

สรุป  ข้ออ้างของ  ข  ฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  2  แดงกู้เงินธนาคารสี่ล้านบาทโดยมีดำ  ขาว  เหลือง  และเขียว  เป็นผู้ค้ำประกัน  ขาวผู้เดียวเป็นผู้ชำระหนี้แทนแดงทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมสี่ล้านสี่แสนบาท  ขาวจะเรียกให้ใครรับผิดได้หรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  226  วรรคแรก  บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้  รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

มาตรา  229  การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย  และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น  หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้  มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น  และเข้าใช้หนี้นั้น

มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น  เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร  ลูกหนี้คนอื่นๆ  ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้  แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด  เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว  ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

มาตรา  693  ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว  ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้  เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆเพราะการค้ำประกันนั้น

อนึ่งผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำ  ขาว  เหลือง  และเขียว  เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ธนาคาร  4  ล้านบาท  ที่มีแดงเป็นลูกหนี้  ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  กำหนดว่า  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างตนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้  (มาตรา  291) 

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ขาวผู้ค้ำประกันคนหนึ่งเข้าชำระหนี้แทนแดงทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย  รวม  4  ล้าน  4  แสนบาท  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า  เมื่อขาวชำระหนี้ไปแล้ว  ขาวจะเรียกให้ใครรับผิดได้หรือไม่  เพียงใด  เห็นว่า

1       เมื่อขาวผู้ค้ำประกันคนหนึ่งเข้าชำระหนี้แล้ว  ขาวย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยได้ทั้งเงินต้น  ดอกเบี้ย  และค่าเสียหายจากการค้ำประกันได้ทั้งหมดจากแดงลูกหนี้ชั้นต้นตามมาตรา  693  วรรคแรก  และ

2       ขาวผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้โดยอำนาจของกฎหมาย  ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีความผูกพันเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้นตามมาตรา    229(3)  ประกอบมาตรา  226  วรรคแรก  ไปไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำประกันอื่นๆได้ทุกคนตามมาตรา  693  วรรคสอง  ทั้งนี้ตามสัดส่วนความรับผิดของผู้ค้ำประกันแต่ละคนตามมาตรา  296 กล่าวคือ  ไล่เบี้ยเอากับดำ  เหลือง  และเขียวได้คนละ  1  ล้าน  1  แสนบาท  (ฎ. 4574/2536)

สรุป  ขาวจะเรียกให้แดงลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมด  4  ล้าน  4  แสนบาทตามมาตรา  693  วรรคแรก  หรือจะเรียกให้ดำ  เหลือง  และเขียวผู้ค้ำประกันร่วมคนอื่นๆรับผิดคนละ  1  ล้าน  1  แสนบาทก็ได้ตามมาตรา  229(3)  ประกอบมาตรา  226  วรรคแรก  และมาตรา  693  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  296

 

 

ข้อ  3  จันทร์ได้ยกที่ดิน  1  แปลงให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาอังคารได้ประพฤติตนเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้  แต่ปรากฏว่าก่อนที่อังคารจะได้ประพฤติเนรคุณและก่อนที่จันทร์จะได้ทราบเหตุเนรคุณดังกล่าว  อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธ  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  และพุธรับไว้โดยสุจริต  ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้จะมีวิธีใดตามบรรพ  2  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ที่ควรนำมาใช้กับเรื่องนี้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มาตรการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  สำหรับหลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลดังกล่าว  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2       ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

ดังนั้น  ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาให้ได้ความว่า  ผู้ที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา  237  จะต้องอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ในขณะทำนิติกรรม  ถ้าในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรม  ผู้ขอให้เพิกถอนยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้  จะฟ้องขอให้เพิกถอนตามมาตรา  237  ไม่ได้

สำหรับกรณีนี้  แม้อังคารจะประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรงซึ่งจันทร์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้ก็ตาม  แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าอังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่พุธก่อนที่จะมีการประพฤติเนรคุณและก่อนที่จันทร์จะได้ทราบเหตุเนรคุณดังกล่าว  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  237  วรรคแรก  เพราะขณะอังคารยกที่ดินให้พุธอันเป็นการให้โดยเสน่หา  จันทร์ยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้และยังไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ทั้งนี้เนื่องจากในเรื่องการให้โดยเสน่หา  เมื่อผู้รับประพฤติเนรคุณ  ผู้ให้ชอบที่จะเพิกถอนการให้ได้นับแต่วันที่ทราบเหตุเนรคุณ  และนับแต่นั้นจึงจะถือว่าผู้ให้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้  (ฎ. 1514 1515/2516)  ดังนั้นจันทร์จึงไม่อาจร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างอังคารกับพุธได้

กรณีจึงไม่มีวิธีใดตามบรรพ  2  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะนำมาใช้เป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคารได้

สรุป  ไม่มีวิธีใดตามบรรพ  2  ที่จะเป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้

 

 

ข้อ  4  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้และสองเป็นลูกหนี้  ในหนี้เงิน  200,000  บาท  โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  สอง  (ลูกหนี้)  ผิดนัด  แต่ต่อมาปรากฏว่าสามเพียงคนเดียวได้เอาแหวนเพชรตีใช้หนี้แทนเงิน  200,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง  หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  292  วรรคแรก  การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น  ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ  อันพึงกระทำแทนชำระหนี้  วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย

มาตรา  321  วรรคแรก  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สามและสี่เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงิน  200,000  บาท  ที่มีสองเป็นลูกหนี้  ย่อมเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นทุกคนจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  กำหนดว่า  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้ (มาตรา  291)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  สามผู้ค้ำประกันร่วมคนหนึ่งได้เอาแหวนเพชรตีใช้หนี้แทนเงิน  200,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง  ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  กรณีจึงเป็นเรื่องที่สามลูกหนี้ร่วมทำการอันพึงกระทำแทนการชำระหนี้ตามมาตรา  292  วรรคแรก  ซึ่งก็หมายถึง  การที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  321  วรรคแรกนั่นเอง  การที่สามลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้และเจ้าหนี้ก็ยอมรับย่อมมีผลให้หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  การระงับแห่งหนี้ย่อมเป็นประโยชน์แก่สี่ลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย  ตามมาตรา  292  วรรคแรก  สี่จึงไม่ต้องรับผิดต่อหนึ่งอีกต่อไป

สรุป  สี่ไม่ต้องรับผิดต่อหนึ่งอีกต่อไป  เพราะการชำระหนี้ของสามมีผลให้หนี้ระงับไปถึงสี่ด้วย

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  บริษัท  เอ  จำกัด  ในประเทศเยอรมัน  ได้ส่งสินค้ามาขายให้บริษัท  ก  จำกัด  ในประเทศไทย  ตามที่บริษัท  ก  จำกัด  สั่งซื้อ  คิดเป้นราคารวม  100,000  มาร์คเยอรมัน  กำหนดชำระราคาด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีของบริษัท  เอ  จำกัด  ในประเทศเยอรมัน

ต่อมาระหว่างที่กำหนดเวลาชำระค่าสินค้ายังไม่ถึงกำหนด  ปรากฏว่าประเทศเยอรมันได้ประกาศยกเลิกเงินสกุลมาร์คเยอรมันของตน  และใช้เงินสกุลยูโรแทน  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  ปรากฏว่า  บริษัท  ก  จำกัด  ผิดนัด  ไม่ชำระราคาสินค้าตามที่ตกลงกัน  บริษัท  เอ  จำกัด  จึงมายื่นฟ้องเรียกค่าสินค้าในศาลไทย  บริษัท  ก  จำกัด  ต่อสู้คดีอ้างว่า  เนื่องจากไม่มีสกุลเงินมาร์คเยอรมันอยู่ในสารบบสกุลเงินของโลกแล้ว

จึงถือได้ว่า  การชำระหนี้เงินค่าสินค้าเป็นพ้นวิสัย  โดยไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน  บริษัท  ก  จำกัด  จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าอีกต่อไป  และบริษัท  เอ  จำกัด  ต้องฟ้องร้องรัฐบาลเยอรมันที่เป็นผู้ประกาศยกเลิกสกุลเงินมาร์ค  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของบริษัท  ก จำกัด  รับฟังได้หรือไม่  เพียงใด  และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  197  ถ้าหนี้เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ  อันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้องส่งเงินใช้หนี้ไซร้  การส่งใช้เงินท่านว่าให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น

มาตรา  219  วรรคแรก  ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์  อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้  และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้  ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น

วินิจฉัย

ในกรณีที่เป็นหนี้เงินซึ่งเงินตราชนิดนั้นยกเลิกไม่ใช้กันแล้ว  ในเวลาที่จะต้องส่งเงิน  กฎหมายให้ถือเสมือนว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วนั้น  ดังนั้นลูกหนี้จึงยังต้องส่งใช้เงินชนิดที่ยังใช้อยู่ต่อไป   เพราะไม่เป็นเหตุระงับแห่งหนี้

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ข้อต่อสู้ของบริษัท  ก  จำกัด  รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  หนี้ค่าสินค้าของบริษัท  ก  จำกัด ในคดีนี้เป็นหนี้เงินตราต่างประเทศสกุลมาร์คเยอรมัน  อันเป็นเงินตราของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี  ซึ่งอยู่ในทวีปยุโรปที่มีการจัดตั้งสหภาพยุโรปขึ้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเวลาใช้เงินจริง  เงินมาร์คเยอรมันเป็นเงินตราที่ยกเลิกไม่ใช้แล้ว  กรณีเช่นนี้บทบัญญัติมาตรา  197  ให้ถือเสมือนว่าคู่สัญญามิได้ตกลงระบุให้ใช้เงินมาร์คเยอรมันที่ถูกยกเลิกไปแล้วนั้น  และเมื่อมีการใช้เงินสกุลยูโรแทนเงินมาร์คเยอรมัน  บริษัท  ก  จำกัดต้องชำระหนี้ค่าสินค้าด้วยเงินยูโรซึ่งเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนเงินมาร์คเยอรมันที่มีมูลค่าเท่ากับจำนวนหนี้ต้นเงินมาร์คเยอรมัน  พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด  ทั้งนี้  โดยการคำนวณเปลี่ยนจำนวนหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่เป็นเงินมาร์คเยอรมันเป็นเงินยูโรนั้นด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงิน  ณ  วันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเงินมาร์คเยอรมันเป็นเงินสกุลยูโรสามารถแลกเปลี่ยนได้ในขณะหรือก่อนเวลาใช้เงินจริง  (ฎ. 568/2548ฎ. 583/2548)

ดังนั้นข้อต่อสู้ของบริษัท  ก  จำกัดที่ว่าไม่มีเงินสกุลมาร์คเยอรมันอยู่ในสารบบเงินของโลกแล้ว  จึงถือได้ว่าการชำระหนี้เงินค่าสินค้าเป็นพ้นวิสัยโดยไม่ใช่ความผิดของตนตามมาตรา  219  วรรคแรก  บริษัท  ก  จำกัด  จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าอีกต่อไปจึงฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการชำระหนี้ด้วยเงินนั้นไม่ใช่การชำระหนี้  โอน  หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง  ทั้งกฎหมายก็ได้บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดแล้วโดยให้ถือว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดที่ถูกยกเลิกไปแล้ว  บริษัท  ก  จำกัดลูกหนี้จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  219  วรรคแรก  บริษัท  เอ  จำกัด  สามารถฟ้องบริษัท ก  จำกัดให้รับผิดชำระหนี้ตามสัญญาได้

สรุป  ข้อต่อสู้ของบริษัท  ก  จำกัด  รับฟังไม่ได้

 

 

ข้อ  2  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2551  นายเอก  ได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจากนายโท  100,000  บาท  โดยนายโทตกลงไม่คิดดอกเบี้ย  กำหนดชำระเงินกู้คืนในวันที่  1  ตุลาคม  2551  ต่อมาเมื่อถึงวันกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว  นายเอกได้นำเงินไปชำระให้แก่นายโทที่บ้านของนายโท  แต่นายโทคิดในใจว่า  อยากจะได้ดอกเบี้ยจากนายเอกบ้าง

เพราะได้กำไรดีกว่าเมื่อเอาไปฝากไว้กับธนาคาร  จึงไม่ยอมรับเงินไว้  แล้วอ้างว่าจะต้องรีบออกไปธุระต่างจังหวัด  นายเอกจึงไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้แก่นายโท  ต่อมานายโทเห็นว่านายเอกหายหน้าไปตั้งแต่วันนั้น  ดังนั้นในวันที่  1  กุมภาพันธ์  2552  นายโทจึงรีบยื่นฟ้องคดีต่อศาลเรียกเงินกู้กับดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี  นับแต่วันที่  1  มกราคม  2551

ถึงวันฟ้องนายเอกให้การต่อสู้ว่านายโทเป็นฝ่ายผิดนัดและสัญญากู้ไม่ได้ตกลงให้คิดดอกเบี้ย  นายโทจึงเรียกดอกเบี้ยจากตนไม่ได้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่านายเอกต้องชำระหนี้เงินกู้คืนนายโทพร้อมดอกเบี้ยตามที่ขอด้วยหรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  204  วรรคสอง  ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน  และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้  ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  หนี้เงินกู้ยืมระหว่างนายเอกและนายโทตกลงกันไม่มีการคิดดอกเบี้ย  นายโทเจ้าหนี้จึงไม่อาจเรียกดอกเบี้ยในหนี้เงินโดยอาศัยสัญญากู้ยืมได้  และหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินตามมาตรา  204  วรรคสอง  นายเอกจึงต้องชำระหนี้ตามวันที่กำหนด  คือ  วันที่  1  ตุลาคม  2551  แต่เนื่องจากเมื่อนายเอกนำเงินต้นไปชำระครบถ้วนตามกำหนดที่ภูมิลำเนาของนายโทเจ้าหนี้อันถือว่าลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว  การที่นายโทเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้โดยอ้างว่าจะต้องรีบออกไปธุระต่างจังหวัดเพราะอยากได้ดอกเบี้ยจากนายเอกเนื่องจากเห็นว่าได้กำไรดีกว่าเอาไปฝากไว้กับธนาคาร  ถือได้ว่าเป็นข้ออ้างที่ปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  นายโทเจ้าหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  207 

โดยที่หนี้ระหว่างนายเอกและนายโทเป็นหนี้เงิน  ซึ่งตามปกติถ้าลูกหนี้ผิดนัด  ลูกหนี้ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปีตามมาตรา  224  วรรคแรก  แต่กรณีนี้เมื่อถือว่านายโทเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดเสียเอง  โดยลูกหนี้คือ  นายเอกมิได้เป็นฝ่ายผิดนัด  ผลจึงต้องบังคับตามมาตรา  221  คือ  หนี้เงินอันจะต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดไม่ได้  เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันที่  1  ตุลาคม  2551  ซึ่งเป็นวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระและนายโทเจ้าหนี้ผิดนัดจนถึงวันฟ้อง  นายโทจะคิดดอกเบี้ยจากนายเอกไม่ได้  ทั้งจะเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่กู้คือวันที่  1  ตุลาคม  2551  ก็ไม่ได้  เนื่องจากไม่ได้ตกลงกันคิดดอกเบี้ยกันมาตั้งแต่ต้น

สรุป  นายเอกต้องชำระหนี้เงินต้นแก่นายโท  แต่ไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามที่นายโทเรียกร้อง    

 

 

ข้อ  3  จันทร์เป็นเจ้าหนี้และอังคารเป็นลูกหนี้ในหนี้เงิน  100,000  บาท  โดยมีพุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  อังคาร  (ลูกหนี้  ผิดนัด  จันทร์จึงเรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้  พุธนำเงิน  100,000  บาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ  แต่ปรากฏว่าจันทร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

พุธจึงนำเงิน  100,000  บาทนั้นไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่จันทร์  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  พฤหัสยังต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าวนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  292  วรรคแรก  การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น  ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ  อันพึงกระทำแทนชำระหนี้  วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย

มาตรา  331  ถ้าเจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ดีหรือไม่สามารถจะรับชำระหนี้ได้ก็ดี  หากบุคคลผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว  ก็ย่อมจะเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่บุคคลผู้ชำระหนี้ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิ  หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่ความผิดของตน

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่พุธและพฤหัสเข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้  1  แสนบาท  ที่มีอังคารเป็นลูกหนี้  ย่อมเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้  (มาตรา  291)

เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  อังคาร  (ลูกหนี้)  ตกเป็นผู้ผิด  จันทร์จึงเรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน  (มาตรา  680  ประกอบมาตรา  686)  การที่พุธชำระหนี้โดยนำเงิน  1  แสนบาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ  แต่ปรากฏว่าจันทร์เจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  กรณีเช่นนี้ถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  207  พุธมีสิทธิวางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา  331  ซึ่งผลแห่งการนี้ทำให้พุธหลุดพ้นจากหนี้นั้นไป 

เมื่อพุธและพฤหัสอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  การที่พุธลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งวางทรัพย์สินแทนชำระหนี้นั้น  ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  ดังนั้นกรณีนี้พฤหัสย่อมหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นไปด้วย  กล่าวคือ  พฤหัสไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์เจ้าหนี้ในหนี้รายดังกล่าวนี้ตามมาตรา  292  วรรคแรก

สรุป  พฤหัสไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าวนี้

 

 

ข้อ  4  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้สอง  90,000  บาท  ต่อมาหนึ่งได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้รายดังกล่าวนี้ให้แก่สามในวันที่  10  มกราคม  2552  ปรากฏว่าในวันที่  20  มกราคม  2552  สองได้เอาสร้อยคอทองคำตีใช้หนี้แทนเงิน  90,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง  ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  หลังจากนั้นในวันที่  30  มกราคม  2552  สองได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้นจากสาม  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  สามจะมีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีกหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  306  วรรคสอง  ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน  หรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว  หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้  ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้

มาตรา  321  วรรคแรก  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

ตามมาตรา  306  วรรคสองดังกล่าวนั้น  หมายความว่า  ถ้าก่อนลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวหรือก่อนลูกหนี้ได้ตกลงด้วยในการโอนสิทธิเรียกร้อง  ลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ผู้โอนไปแล้วหรือกระทำประการใดจนเป็นที่พอใจของเจ้าหนี้  เช่น  นำทรัพย์สินไปตีใช้หนี้ให้เจ้าหนี้  หนี้เป็นอันระงับไปแล้ว  ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นความรับผิด  ผู้รับโอนจะฟ้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้อีกไม่ได้  แต่ถ้าภายหลังได้รับคำบอกกล่าวการโอนหรือภายหลังที่ลูกหนี้ยินยอมด้วยแล้ว  ถือว่าเจ้าหนี้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้แล้ว  ถ้าลูกหนี้ไปชำระหนี้ให้เจ้าหนี้  หนี้ไม่ระงับผู้รับโอนเรียกให้ชำระหนี้ได้อีก

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  สามจะมีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีกหรือไม่  เห็นว่า  ก่อนที่สองลูกหนี้จะได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา  306  วรรคแรก  สองได้เอาสร้อยคอทองคำตีใช้หนี้แก่หนึ่งผู้โอนไปแล้ว  กรณีเช่นนี้จึงเป็นการที่สองลูกหนี้ทำให้พอใจแก่หนึ่งผู้โอนด้วยการชำระหนี้ด้วยประการอื่นและเจ้าหนี้ยอมรับตามมาตรา  321  วรรคแรก  หนี้จำนวนดังกล่าวจึงเป็นอันระงับไป  สองลูกหนี้จึงเป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้  ดังนั้น  สองลูกหนี้จึงไม่ต้องชำระหนี้ให้สามอีกตามมาตรา  306  วรรคสอง  สามไม่มีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีก

สรุป   สามไม่มีสิทธิเรียกให้สองชำระหนี้อีก

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  เมื่อวันที่  2  มกราคม  2552  นางอุบลมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงระยองบุตรผู้เยาว์ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กหญิงระยองให้แก่นายตรัง  กำหนดวันจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินทั้งหมดในวันที่  2  กรกฎาคม  2552  ถ้านางอุบลไม่ยอมขายยินยอมให้นายตรังปรับเป็นเงิน  200,000  บาท

โดยขณะตกลงซื้อขายกันนายตรังซึ่งมีอาชีพทนายความนั้น  ทราบว่าที่ดินที่ตนจะซื้อเป็นของบุตรผู้เยาว์ของนางอุบล  จึงได้ตกลงกันด้วยวาจาว่าทำสัญญาแล้วจึงให้นางอุบลไปร้องขอต่อศาลเพื่อขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าว  ต่อมาวันที่  2  มีนาคม  2552  นางอุบลได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าวให้นายตรังแทนบุตรผู้เยาว์

ต่อมาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขาย  คดีถึงที่สุดโดยนางอุบลไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น  และในที่สุดนางอุบลไม่ได้โอนขายที่ดินให้นายตรังตามสัญญา  นายตรังจึงเป็นโจทก์ฟ้องนางอุบลต่อศาลฐานผิดสัญญาจะซื้อขาย  เรียกเบี้ยปรับ  200,000  บาท  ตามสัญญา

ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  นางอุบลต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับแก่นายตรังหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  219  วรรคแรก  ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์  อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้  และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้  ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายตรังมีอาชีพทนายความ  และรู้อยู่แล้วว่าในขณะทำสัญญาว่า  ที่ดินดังกล่าวเป็นของบุตรผู้เยาว์ของนางอุบล  ซึ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์จะต้องมีคำสั่งศาลให้ขายได้เสียก่อนจึงจะสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้นายตรังได้  ทั้งข้อเท็จจริงตามปัญหาก็ไม่ปรากฏว่าพยานหลักฐานที่นางอุบลนำเข้าไต่สวนในคดีดังกล่าวนั้น  นางอุบลจงใจให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต  เพื่อหลีกเลี่ยงการโอนขายที่ดินให้แก่นายตรัง  การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์  จึงเป็นไปตามดุลพินิจของศาล  ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย  ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และเป็นพฤติการณ์ที่นางอุบลไม่ต้องรับผิดชอบ  นางอุบลจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้  ทั้งนี้ตามมาตรา  219  วรรคแรก  นางอุบลจึงไม่ผิดสัญญา  และไม่ต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายตรังตามสัญญา  (ฎ.89/2536)

สรุป  นางอุบลไม่ผิดสัญญา  ไม่ต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายตรังตามสัญญา

 

 

ข้อ  2  ในคดีแพ่งเรื่องละเมิดคดีหนึ่ง  ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า  ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างปิดกั้นทางเข้าออกซึ่งเป็นทางภาระจำยอมของโจทก์ตามฟ้อง  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย  ถ้าคดีนี้มีการอุทธรณ์ขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์

และนักศึกษาเป็นผู้พิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ที่จะต้องมีคำพิพากษาคดีนี้  นักศึกษาเห็นว่า  ถ้อยคำของศาลชั้นต้นที่พิพากษาไว้ดังกล่าว  ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  213  หรือไม่  ประการใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  213  วรรคสองและวรรคสาม  เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด  เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นคดีฟ้องเพื่อขอบังคับจำเลยงดเว้นกระทำการ  คือการไม่ปิดกั้นทางภาระจำยอมของโจทก์  ซึ่งลักษณะของการบังคับชำระหนี้ในกรณีนี้  เป็นเรื่องที่ลูกหนี้หรือจำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่สร้างปิดกั้นทางภาระจำยอมดังกล่าวออกไป  โดยลูกหนี้หรือจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย  ทั้งนี้ตามมาตรา  213  วรรคสาม

ส่วนการที่ศาลจะมีคำพิพากษาโดยใช้ถ้อยคำว่า  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น  จะต้องปรากฏว่ามูลหนี้ตามคำพิพากษามีวัตถุแห่งหนี้เป็นการให้ทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง  ศาลจึงจะมีคำพิพากษาด้วยถ้อยคำเช่นนั้นได้  ทั้งนี้ตามมาตรา  213  วรรคสอง

ดังนั้น  คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่ว่า  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น  จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยมาตรา  213  วรรคสองและวรรคสาม  (ฎ.7091/2542)

สรุป  ถ้อยคำของศาลชั้นต้นที่พิพากษาไว้ดังกล่าวไม่ชอบด้วยมาตรา  213

 

 

ข้อ  3  เอกเป็นหนี้โทอยู่สองแสนบาท  ต่อมาเอกได้เป็นเจ้าหนี้ตรีเป็นจำนวนเงินสองแสนบาท  นอกจากความเป็นเจ้าหนี้ตรีแล้ว  เอกไม่มีทรัพย์สินอื่นอีก  ปรากฏว่าเอกได้ทำหนังสือปลดหนี้สองแสนบาทให้แก่ตรี

ดังนี้  โทควรจะใช้มาตรการใดทางกฎหมายเพื่อเป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของเอกได้บ้างหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา  237    ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2       ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เอกทำหนังสือปลดหนี้ให้แก่ตรีโดยรู้ดีว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วจะเป็นทางให้โทเจ้าหนี้เสียเปรียบ  ทั้งเมื่อทำนิติกรรมแล้วเอกก็ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก  การกระทำดังกล่าวของเอกจึงเป็นการฉ้อฉลโทผู้เป็นเจ้าหนี้ตามมาตรา  237  วรรคแรก  ทั้งนี้ นิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลไม่ได้หมายความเฉพาะนิติกรรมอันเป็นการโอนทรัพย์สินเท่านั้น  นิติกรรมที่เป็นการสละสิทธิหรือประโยชน์  หรือทรัพย์สินสิ่งใดที่ลูกหนี้ได้ไว้แล้ว  ก็เป็นการฉ้อฉลตามความในมาตรา  237  ได้

ดังนั้น  โทเจ้าหนี้จึงควรใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของเอก  (ลูกหนี้)  โดยการร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการปลดหนี้  อันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

สรุป  โทเจ้าหนี้จึงควรใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของเอก  (ลูกหนี้)  โดยการร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการปลดหนี้  อันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้

 

 

ข้อ  4  จันทร์และอังคารทำสัญญาขายม้าตัวหนึ่งให้พุธ  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระจันทร์จูงม้าไปส่งมอบให้แก่พุธตามสัญญาซื้อขาย  ตามวันเวลาที่กำหนดกันไว้โดยแน่นอน  แต่พุธปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้  โดยไม่มีเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของพุธมีผลถึงอังคารด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  294  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

มาตรา  301  ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน

วินิจฉัย

การที่เจ้าหนี้จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  207 นี้  ต้องครบองค์ประกอบ  2  ประการ  คือ

1       ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว

2       เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างโดยกฎหมาย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จันทร์และอังคารขายม้าตัวหนึ่งให้พุธ  ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งชำระกันมิได้  ทั้งจันทร์และอังคารต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม  ทั้งนี้ตามมาตรา  301

เมื่อได้ความว่า  ถึงกำหนดชำระหนี้จันทร์จูงม้าไปส่งมอบให้พุธเจ้าหนี้ตามสัญญาซื้อขาย  ตามวันเวลาที่กำหนดไว้โดยแน่นอน  กรณีจึงถือว่าจันทร์ลูกหนี้ได้ปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว  เมื่อพุธเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  จึงถือว่าพุธเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  207

ดังนั้น  การที่พุธเจ้าหนี้ผิดนัดต่อจันทร์ลูกหนี้คนหนึ่ง  กรณีย่อมถือว่าพุธเจ้าหนี้ผิดนัดต่ออังคารลูกหนี้อีกคนหนึ่งด้วยตามมาตรา  294  ที่ว่า  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

สรุป  การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของพุธมีผลถึงอังคารลูกหนี้อีกคนหนึ่งด้วย

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  กู้เงิน  ข  หนึ่งล้านบาท  มีกำหนดเวลาสาปี  ก  ได้นำที่ดินของตนจำนองประกันหนี้ไว้และมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีข้อความระบุว่า  หากบังคับจำนองได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระเท่าใด  ลูกหนี้จะรับผิดชอบจนครบจำนวน  ข้อเท็จจริงหลังจากกู้ไปได้หกเดือน  ก  ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย  ข  เห็นว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนด  จึงไม่ได้เรียกมิได้บังคับชำระหนี้  เมื่อครบกำหนดตามสัญญา  ข บังคับชำระหนี้เอากับ  ค  ทายาท  ค  ต่อสู้ว่าตนไม่ต้องชำระหนี้และคดีขาดอายุความ  ข้อต่อสู้ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  203 ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้  แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่  แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้

มาตรา  1754  วรรคสาม  ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  193/27  แห่งประมวลกฎหมายนี้  ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี  มิให้หนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้  หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก

วินิจฉัย

ตามมาตรา  1754  วรรคสาม  ได้กำหนดให้เจ้าหนี้ของเจ้ามรดกต้องฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ของตนภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก  แม้สิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม  มิฉะนั้นจะขาดอายุความ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  กู้เงิน  ข  โดยมีกำหนดเวลา  3  ปี  หลังจากกู้ไปได้  6  เดือน  ก  ลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตาย  ซึ่ง  ข  เจ้าหนี้ได้รู้ถึงความตายของ  ก  ลูกหนี้  ดังนี้  แม้ว่าหนี้เงินกู้ระหว่าง  ก  และ  ข  จะยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ซึ่งปกติแล้วเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระไม่ได้ตามมาตรา  203  วรรคสอง  แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ลูกหนี้ตายก่อนกำหนด  ดังนั้นเจ้าหนี้จึงต้องฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่เจ้าหนี้รู้ว่าลูกหนี้ตายตามมาตรา  1754  วรรคสาม  เมื่อ  ข  เจ้าหนี้ไม่ได้บังคับให้ชำระหนี้ภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่  ก  ลูกหนี้ตาย  หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงขาดอายุความ  ข  เจ้าหนี้จะบังคับชำระหนี้เอาจาก  ค  ทายาท  ของลูกหนี้ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  มาตรา  1754  วรรคสาม  จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา  193/27  ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงหรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้ส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  การที่  ก  กู้เงิน  ข  นั้น  ก  ได้นำที่ดินของตนจำนองประกันหนี้ไว้  ดังนั้น  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วตามมาตรา  1754  วรรคสาม  แต่กฎหมายมาตรา  193/27  ก็ยังให้สิทธิแก่  ข  ผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ตนรับจำนองไว้ได้  แต่ไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของ  ก

สรุป  ข้อต่อสู้ของ  ค  ที่ว่าคดีขาดอายุความนั้นฟังขึ้น  แต่  ข  เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่รับจำนองไว้ได้  แม้หนี้ประธานจะขาดอายุความแล้ว

 

 

ข้อ  2  หลังจากหย่ากันแล้ว  จตุพรผู้สามีก็จากไปปล่อยให้ภริยาเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์สามคนอยู่ฝ่ายเดียว  จตุพรไม่เคยมาดูดำดูดีบุตรและภริยาเลย  เมื่อภริยาขอให้ศาลบังคับเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากอดีตสามี  จตุพรขอให้ศาลยกฟ้อง  อ้างว่าการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิของบุตรที่จะเรียกไม่ใช่สิทธิของภริยา  และผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้  ข้ออ้างของจตุพรฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  226  วรรคแรก  บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้  รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

มาตรา  229  การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย  และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น  หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้  มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น  และเข้าใช้หนี้นั้น

มาตรา  291  ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก  แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง

มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น  เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร  ลูกหนี้คนอื่นๆ  ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้  แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด  เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว  ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา  1490  หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว  การอุปการะเลี้ยงดู  ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

มาตรา  1562  ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้  แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ  อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้

มาตรา  1564  วรรคแรก  บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์

มาตรา  1565  การร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือขอให้บุตรได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยประการอื่น  นอกจากอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวตามมาตรา  1562  แล้ว  บิดาหรือมารดาจะนำคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้

วินิจฉัย

โดยหลัก  กฎหมายให้สิทธิบุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น  หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้น  สามารถเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  และใช้สิทธิที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง  (มาตรา  226  ประกอบมาตรา  229(3))

กรณีตามอุทาหรณ์  จตุพรผู้เป็นสามีได้ทิ้งให้ภริยาของตนเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์  3  คนอยู่เพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งตามกฎหมายนั้นกำหนดให้บิดามารดามีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์  และให้ถือว่าหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างบิดามารดาตามมาตรา  1490(1)  ประกอบมาตรา  1564  วรรคแรก  โดยถือว่า  บิดามารดามีความผูกพันร่วมกันในการที่จะต้องชำระหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตร  (ลูกหนี้ร่วม)  กล่าวคือ  เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิง  หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก  แต่ลูกหนี้ทั้งหมดก็ยังคงต้องผูกพันจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง  และในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันนั้น  ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนๆเท่ากัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามมาตรา  229(3)  ประกอบมาตรา  291 , 296

ตามข้อเท็จจริง  เมื่อภริยาขอให้ศาลบังคับเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากอดีตสามีคือจตุพร  แต่จตุพรขอให้ศาลยกฟ้อง  โดยอ้างว่าการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิของบุตรที่จะเรียกไม่ใช่สิทธิของภริยาและผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้  กรณีนี้ถึงแม้ตามกฎหมาย  บุตรจะฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาไม่ได้เพราะถือว่าเป็นคดีอุทลุม  (มาตรา  1562)  ก็ตาม  แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าภริยาแต่ผู้เดียวได้ชำระหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่บุตรทั้งสามจึงเป็นกรณีที่  บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น(ลูกหนี้ร่วม)  มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้น  ดังนั้น  ภริยาย่อมได้รับสิทธิของบุตรเจ้าหนี้โดยอำนาจของกฎหมายเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจตุพรได้กึ่งหนึ่งตามมาตรา  226, 229(3) ,  291, 296  ประกอบมาตรา  1565  ข้ออ้างของจตุพรดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของจตุพรฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  3  จันทร์และอังคารเป็นลูกหนี้ร่วมตามสัญญากู้ยืมมีพุธเป็นเจ้าหนี้  หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าจันทร์เข้าทำสัญญาเพราะถูกกลฉ้อฉลของพุธ  อันเป็นโมฆียะตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  159  วรรคหนึ่ง  ในกรณีดังกล่าวนี้อังคารจะอ้างเหตุที่จันทร์ถูกพุธใช้กลฉ้อฉลให้เข้าทำสัญญาบอกล้างสัญญาดังกล่าวนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

วินิจฉัย

โดยหลัก  การอันเป็นคุณหรือเป็นโทษของลูกหนี้ร่วมคนใด  ย่อมถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมคนนั้น  ไม่มีผลถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่น  เว้นแต่ที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  หรือปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง  (มาตรา  295  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จันทร์เข้าทำสัญญากู้ยืมเพราะถูกกลฉ้อฉลของพุธอันจะมีผลทำให้สัญญาเป็นโมฆียะนั้น  ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจันทร์ลูกหนี้ร่วมเพียงคนเดียว  จึงมีผลแต่เฉพาะจันทร์ผู้เดียวเท่านั้นไม่มีผลถึงอังคารซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย  ดังนั้น  อังคารจะอ้างเหตุที่จันทร์ถูกพุธใช้กลฉ้อฉลให้เข้าทำสัญญากู้ยืมบอกล้างสัญญาดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา  295  วรรคแรก  ให้ถือว่าการแสดงเจตนาเข้าทำสัญญากู้ยืมของอังคารมีผลสมบูรณ์

สรุป  อังคารจะอ้างเหตุที่จันทร์ถูกพุธใช้กลฉ้อฉลให้เข้าทำสัญญากู้ยืมบอกล้างสัญญาดังกล่าวไม่ได้

 

 

ข้อ  4  ก  กู้เงิน  ข  ไปสองแสนบาท  แต่ไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้  ต่อมาปรากฏว่า  ค  ละเมิดโดยขับรถยนต์ชน  ก  เป็นเหตุให้  ก  ได้รับบาดเจ็บสาหัส  ขาหักทั้งสองข้าง  ต้องรักษาตัวโดยผ่านการผ่าตัดหลายครั้งอยู่โรงพยาบาลและรักษาตัวต่อที่บ้านอีกหลายเดือน  ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน  ต้องขาดเรียนและเรียนซ้ำชั้น  เป็นความทุกข์ทรมานทางกายและจิตใจ  เป็นเหตุให้  ก  มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่มิใช่เป็นตัวเงินในส่วนนี้จาก  ค  ผู้ละเมิดได้ประมาณสองแสนบาทตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  446  แต่  ก  เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้น  ดังนี้  ข  จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของ  ก  ลูกหนี้ในกรณีดังกล่าวนี้  ได้อย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  233  ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง  หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้  เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

วินิจฉัย

การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามมาตรา  233  นั้น  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       ลูกหนี้ขัดขืนเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง

2       ปรากฏว่าการขัดขืนหรือเพิกเฉยของลูกหนี้นั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์  และ

3       การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้นั้นต้องปรากฏว่าไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ลูกหนี้มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงินจาก  ค  ผู้ทำละเมิด  ได้ประมาณ  2  แสนบาท  แต่  ก  เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้น  ถือเป็นกรณีที่ลูกหนี้เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง  และการเพิกเฉยของลูกหนี้นั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือ  ข  ต้องเสียประโยชน์  เพราะตามข้อเท็จจริง  ก  ลูกหนี้  ไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้แต่อย่างใด  ซึ่งโดยหลัก  กฎหมายให้สิทธิเจ้าหนี้ในการควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้นั้น  ต้องปรากฏว่าไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  สิทธิเรียกร้องดังกล่าวของ  ก  ถือเป็นข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้  ดังนั้น  ข  เจ้าหนี้จึงใช้สิทธิเรียกร้องของ  ก ลูกหนี้ในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก  ค  แทนลูกหนี้ไม่ได้  เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา  233  ดังกล่าวข้างต้น

สรุป  ข  เจ้าหนี้จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของ  ก  ลูกหนี้ในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก  ค  แทนลูกหนี้ในกรณีดังกล่าวไม่ได้

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นายเอกซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ  เป็นเจ้าหนี้เงินกู้นายโทซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่  จำนวน  100,000  บาท  ต่อมานายเอกได้สั่งซื้อสินค้าจากนายตรีซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคา  100,000  บาท  เมื่อหนี้ทั้งสองจำนวนถึงกำหนดชำระแล้ว  นายเอกกับนายตรีได้พบกันและตกลงกันว่านายเอกจะโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ที่นายเอกเป็นเจ้าหนี้นายโทจำนวน  100,000  บาท  ให้แก่นายตรี  เพื่อชำระค่าสินค้าจำนวน  100,000  บาท  ที่นายเอกเป็นหนี้นายตรีอยู่  ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาการโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือ

โดยนายเอกคนเดียวลงชื่อในสัญญาดังกล่าว  จากนั้นนายเอกได้มีจดหมายบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปให้นายโททราบแล้ว  ต่อมานายโทไม่ยอมชำระเงินจำนวน  100,000  บาท  แก่นายตรี  นายตรีจึงฟ้องคดีต่อศาลเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าว  นายโทต่อสู้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องเป็นโมฆะ  เพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อนายตรีผู้รับโอนด้วย  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าการโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ใช้บังคับได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  306  วรรคแรก  การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าไม่สมบูรณ์  อนึ่งการโอนหนี้นั้น  ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้  หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น  คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้  ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

วินิจฉัย

การโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจงตามมาตรา  306  วรรคแรกนั้น  กฎหมายได้บัญญัติแต่เพียงว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ  การโอนนั้นจึงจะสมบูรณ์  หาได้บัญญัติว่าการโอนนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ  และลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนด้วยไม่  ดังนั้นการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้โอนแต่ฝ่ายเดียว  ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  (ฎ. 6816/2537)  และการโอนหนี้หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้  หรือบุคคลภายนอกได้  ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้แล้ว  หรือลูกหนี้ได้มีหนังสือให้ความยินยอมด้วยกับการโอนนั้น 

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกได้โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ที่นายเอกเป็นเจ้าหนี้นายโทให้แก่นายตรี  เมื่อนายเอกและนายตรีได้ทำสัญญาการโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือ  โดยนายเอกเพียงคนเดียวลงชื่อในสัญญาดังกล่าว  การโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างนายเอกและนายตรีก็มีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้  และเมื่อนายเอกได้มีหนังสือ (จดหมาย)  บอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นไปให้นายโททราบแล้ว  นายโทจึงต้องชำระหนี้ให้แก่นายตรีเจ้าหนี้ที่รับโอนสิทธิเรียกร้องจากนายเอก  และถ้านายโทไม่ยอมชำระหนี้แก่นายตรี  นายตรีย่อมสามารถฟ้องนายโทให้ปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงินได้  นายโทจะต่อสู้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องเป็นโมฆะหาได้ไม่

สรุป  การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้สมบูรณ์ใช้บังคับได้  นายโทต้องชำระหนี้ให้แก่นายตรีจะต่อสู้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องเป็นโมฆะไม่ได้

 

 

ข้อ  2  นายดำกู้เงินจากนายขาวไป  10,000  บาท  กำหนดชำระคืนในวันที่  31  ธันวาคม  2553  โดยให้คิดดอกเบี้ยตามสัญญาในอัตราร้อยละ  15  ต่อปี  ในการนี้นายเหลืองได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการกู้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันกับนายดำ  ต่อมาในวันที่  31  ธันวาคม  2553

นายดำไม่ชำระหนี้แก่นายขาวตามสัญญา  นายเหลืองทราบเรื่อง  ในวันรุ่งขึ้นจึงได้นำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยครบตามสัญญาไปชำระให้นายขาวที่บ้าน  พบนายขาวกำลังรับประทานอาหารเย็น  แต่นายขาวปฏิเสธไม่ยอมรับชำระและไล่ให้นายเหลืองกลับไป  ต่อมานายขาวได้นำคดีไปฟ้องศาลเรียกเงินกู้และดอกเบี้ยตามสัญญาจนถึงวันฟ้อง  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  นายดำกับนายเหลืองต้องรับผิดต่อนายขาวหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

มาตรา  294  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

มาตรา  315  อันการชำระหนี้นั้น  ต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้  การชำระหนี้ทำให้แก่บุคคลผู้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้นั้น  ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบันก็นับว่าสมบูรณ์

มาตรา  324  เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชำระหนี้  ณ  สถานที่ใดไซร้  หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง  ท่านว่าต้องส่งมอบกัน  ณ  สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น  ส่วนการชำระหนี้โดยประการอื่น  ท่านว่าต้องชำระ  ณ  สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเหลืองได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ยืม  10,000  บาท  ที่มีนายดำเป็นลูกหนี้นายขาวนั้น  เมื่อนายเหลืองยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม  จึงถือว่านายเหลืองเป็นลูกหนี้ร่วมกับนายดำ

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระนายดำไม่ชำระหนี้ให้แก่ขาวตามสัญญา  นายเหลืองทราบเรื่อง  จึงได้นำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไปชำระให้นายขาวที่บ้าน  แต่นายขาวปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้  ดังนี้ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วตามมาตรา  315  ประกอบมาตรา  324  แต่เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  เพราะแม้ขณะนั้นเป็นเวลารับประทานอาหารเย็นก็ไม่ใช่เหตุอันจะอ้างเพื่อปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ได้แต่อย่างใด  ดังนั้นการที่นายขาวปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ดังกล่าว  นายขาวเจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  207  และมีผลทำให้นายขาวไม่สามารถคิดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ในระหว่างที่ตนผิดนัด  คือนับแต่วันที่  1  มกราคม  2554  เป็นต้นไปตามมาตรา  221  แต่อย่างไรก็ตามนายดำและนายเหลืองลูกหนี้ก็ยังไม่หลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้นแต่อย่างใด

และเมื่อนายเหลืองเป็นลูกหนี้ร่วมกับนายดำ  ซึ่งตามมาตรา  294  ได้บัญญัติเอาไว้ว่า  หากเจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  ดังนั้นนายดำจึงได้ประโยชน์จากการผิดนัดของนายขาวเจ้าหนี้ด้วย  ทำให้นายขาวไม่อาจเรียกดอกเบี้ยตามสัญญากู้จากลูกหนี้ทั้งสองคนในระหว่างที่ตนผิดนัดเป็นต้นไป  (ฎ. 2491/2522)

สรุป  นายดำกับนายเหลืองต้องรับผิดชำระหนี้ให้กับนายขาวตามสัญญา  แต่นายขาวจะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญากุ้จากลูกหนี้ทั้งสองคนในระหว่างที่ตนผิดนัดไม่ได้

 

 

ข้อ  3  จันทร์เป็นเจ้าหนี้  โดยมีอังคารเป็นลูกหนี้ในหนี้เงินกู้ยืม  900,000  บาท  เพื่อมิให้จันทร์ได้รับการชำระหนี้  อังคารจึงได้โอนขายที่ดินหนึ่งแปลงซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่พุธ  ในราคา  900,000  บาท  พุธรับซื้อไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นการโอนขายเพื่อหนีหนี้  อันเป็นทางให้จันทร์เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ  ต่อมาในวันที่  20  มกราคม  2553  พุธได้โอนที่ดินแปลงดังกล่าวนี้ให้แก่พฤหัสอีกทอดหนึ่งโดยเสน่หา

พฤหัสรับโอนไว้โดยสุจริต  ปรากฏว่าในวันที่  30  มกราคม  2553  จันทร์ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธ  และขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างพุธกับพฤหัส  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างพุธกับพฤหัสได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

มาตรา  238  การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น  ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก  อันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่งความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่อังคารลูกหนี้ได้โอนขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่พุธนั้น  ถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ไกระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  จึงเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  และเมื่อพุธซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นรู้อยู่ว่าเป็นการโอนขายเพื่อหนีหนี้  ดังนั้น  เมื่อจันทร์เจ้าหนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธแล้ว  ศาลย่อมเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินดังกล่าวได้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

และกรณีที่จันทร์ได้ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างพุธกับพฤหัสด้วยนั้น  ถึงแม้ตามมาตรา  238  วรรคแรก  จะได้กำหนดไว้ว่า  การเพิกถอนดังกล่าวตามมาตรา  237  วรรคแรกนั้น  ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอนก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏว่า  การโอนทอดหลังระหว่างพุธกับพฤหัสเป็นการให้โดยเสน่หา  แม้พฤหัสซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะรับโอนไว้โดยสุจริตก่อนที่จันทร์เริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน  และผลของการเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธจะกระทบกระทั่งถึงการโอนทอดหลังดังกล่าวก็ตาม  แต่เนื่องจากพฤหัสรับโอนที่ดินมาโดยเสน่หา  ศาลจึงเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างพุธกับพฤหัสได้ตามมาตรา  238  วรรคสอง

สรุป  ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างพุธกับพฤหัสได้

 

 

ข้อ  4  หนึ่งและสองเป็นเจ้าของรวมในที่ดินหนึ่งแปลง  หนึ่งและสองเป็นลูกหนี้ร่วมตกลงกับสามเจ้าของที่ดินข้างเคียงว่าจะไม่สร้างอาคาร  3  ชั้น  ปิดบังแสงสว่างที่ดินของสาม  ต่อมาหนึ่งและสอง  แบ่งแยกที่ดินกันแล้วถือไว้คนละแปลง  ปรากฏว่าหนึ่งสร้างอาคาร  3  ชั้นในที่ดินของหนึ่ง  ผิดข้อสัญญาที่ได้เคยให้ไว้แก่สาม  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ใครบ้างที่จะต้องรับผิดต่อสามเรื่องการรื้อถอนอาคารที่สร้างผิดข้อสัญญา  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้  เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว  การผิดนัด  การที่หยิบยกอ้างความผิด  การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง  และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  295  วรรคแรกนั้น  ได้บัญญัติเอาไว้ว่า  การอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ลูกหนี้ร่วมคนใด  ย่อมถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมคนนั้น  ไม่มีผลถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่นด้วย  เว้นแต่ที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  หรือปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งและสองซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ตกลงกับสามเจ้าของที่ดินข้างเคียงว่าจะไม่สร้างอาคาร  3  ชั้น  ปิดบังแสงสว่างในที่ดินของสามนั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าภายหลังจากที่หนึ่งและสองได้แบ่งแบกที่ดินกันถือไว้คนละแปลงแล้ว  หนึ่งได้สร้างอาคาร  3  ชั้นในที่ดินแปลงของหนึ่ง  ซึ่งผิดข้อสัญญาที่เคยให้ไว้กับสาม  จึงเป็นกรณีที่ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งได้กระทำให้เกิดความเสียหายขึ้นต่อบุคคลอื่น  หนึ่งย่อมต้องรับผิดต่อสามแต่เพียงผู้เดียว  ดังนั้น  สามจึงมีสิทธิที่จะเรียกให้หนึ่งรับผิดแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น  เพราะถือเป็นเรื่องการที่หยิบยกอ้างความผิดของลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งตามมาตรา  295  วรรคสอง  ย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมผู้นั้น  ไม่มีผลไปถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่นด้วย  สองจึงไม่ต้องรับผิดต่อสามตามมาตรา  295  วรรคแรก

สรุป  หนึ่งคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องรับผิดต่อสามในเรื่องการรื้อถอนอาคารที่สร้างผิดข้อสัญญา

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสามทำสัญญาเช่าอาคารตึกแถวสามชั้น  เนื้อที่สามร้อยตารางเมตรจากนายสิบโดยมิได้แบ่งแยกว่าคนใดเช่าส่วนใดของอาคาร  ต่อมา  นายหนึ่งนำอาคารพิพาทบางส่วนไปให้นายเก้าเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสิบ  ซึ่งเป็นการผิดสัญญาเช่า  นายสิบจึงบอกเลิกสัญญาเช่าต่อนายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  และฟ้องขับไล่ทั้งสามคนออกจากอาคารที่เช่า

นายหนึ่งให้การยอมรับว่าให้เช่าช่วงไปจริง  ส่วนนายสองและนายสามต่อสู้ว่า  นายสิบไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่  เพราะนายสองกับนายสามไม่ได้มีส่วนทำผิดสัญญาอันเป็นการกระทำของนายหนึ่งคนเดียว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายสองกับนายสามฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  291  ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก  แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้  เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว  การผิดนัด  การที่หยิบยกอ้างความผิด  การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง  และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  295  วรรคแรกนั้น  ได้บัญญัติเอาไว้ว่า  การอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ลูกหนี้ร่วมคนใด  ย่อมถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมคนนั้น  ไม่มีผลถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่นด้วย  เว้นแต่ที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  หรือปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทจากนายสิบโดยที่ไม่สามารถแบ่งแบกได้ว่าใครเช่าส่วนใดของพื้นที่อาคารพิพาทนั้น  ถือได้ว่านายหนึ่ง  นายสอง  และนายสามเป็นผู้เช่าร่วมกัน  และเป็นลูกหนี้ร่วมตามมาตรา  291

ตามข้อเท็จจริง  แม้นายหนึ่งคนเดียวเป็นผู้ให้นายเก้าเช่าช่วงอาคารพิพาทบางส่วนไปโดยมิชอบซึ่งตามมาตรา  295  นั้น  ถือว่าเป็นข้อความจริงอื่นใด  นอกเหนือจากข้อความจริงที่ระบุไว้ในมาตรา  292  293  และ  294  ที่ท้าวถึงแล้วเป็นโทษแก่เฉพาะนายหนึ่ง  อันเป็นความผิดของนายหนึ่งผู้เดียวตามมาตรา  295  วรรคสองก็ตาม  แต่เมื่อการเช่ารายนี้มีสภาพแห่งหนี้ที่มีลักษณะไม่อาจแบ่งแยกได้ว่าใครเช่าพื้นที่ส่วนใดของอาคารพิพาท  จึงเป็นกรณีที่ข้อความจริงดังกล่าวขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง  จึงย่อมถือได้ว่านายสองและนายสามเป็นผู้ผิดสัญญาเช่าด้วยตามมาตรา  295  วรรคแรกตอนท้าย  นายสิบจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่ทั้งนายหนึ่งนายสองและนายสามได้  (ฎ. 9544/2539)

ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของนายสองและนายสามที่ว่านายสิบไม่มีสิทธิเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่  เพราะนายสองกับนายสามไม่ได้มีส่วนทำผิดสัญญาจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายสองและนายสามรับฟังไม่ได้

 

 

ข้อ  2  นายเอก  ทำสัญญากู้เงิน  50,000  บาท  จากนายสิน  และได้มอบนาฬิกาของตนให้นายสินไว้เป็นการจำนำ  ต่อมา  นายสินได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อโอนสิทธิเรียกร้องหนี้เงินดังกล่าวแก่นายสองเจ้าหนี้ของตน  โดยได้ส่งมอบนาฬิกาที่รับจำนำไว้นั้นแก่นายสองด้วย แล้วทั้งนายสินและนายสองได้ร่วมกันทำหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังนายเอกเพื่อทราบ  ต่อมา  นายเอกผิดนัดชำระหนี้เงินกู้

นายสองจึงฟ้องเรียกหนี้เงินกู้จากนายเอกและขอบังคับจำนำ  แต่นายเอกต่อสู้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ได้รับความยินยอมจากตนเอง  จึงไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้  นายสองไม่มีอำนาจฟ้อง  ทั้งการจำนำก็ไม่ได้มีการทำสัญญากันใหม่ระหว่างตนเองกับนายสอง  การจำนำระงับสิ้นไปแล้ว  นายสองจึงไม่มีสิทธิบังคับจำนำ  ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายเอกฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  305  วรรคแรก  เมื่อโอนสิทธิเรียกร้องไป  สิทธิจำนองหรือจำนำที่มีอยู่เกี่ยวพันกับสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี  สิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันที่ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี  ย่อมตกไปได้แก่ผู้รับโอนด้วย

มาตรา  306  วรรคแรก  การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าไม่สมบูรณ์  อนึ่งการโอนหนี้นั้น  ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้  หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น  คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้  ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

วินิจฉัย

ในเรื่องการดอนสิทธิเรียกร้องในหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจงตามมาตรา  306  วรรคแรกนั้น  กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า เมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องกันเป็นหนังสือแล้วคู่สัญญาก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้ลูกหนี้ทำเป็นหนังสือยินยอมด้วย  หรือเพียงแต่บอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือไปให้ลูกหนี้ทราบก็ได้  ซึ่งการโอนนั้นก็จะมีผลสมบูรณ์สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสินได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ระหว่างตนกับนายเอกให้กับนายสอง  และทั้งนายสินและนายสองได้ร่วมกันทำหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไปยังนายเอกลูกหนี้เพื่อให้ทราบแล้วนั้น  แม้นายเอกจะมิได้ยินยอมด้วย การโอนดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์และเป็นการโอนที่ชอบด้วยมาตรา  306  วรรคแรกแล้ว  เมื่อนายเอกผิดนัดชำระหนี้เงินกู้  นายสองย่อมสามารถฟ้องเรียกหนี้เงินกู้จากนายเอกได้

ส่วนกรณีการจำนำนาฬิกานั้นตามมาตรา  305  วรรคแรก  ได้บัญญัติไว้ว่า  เมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องไป  ให้การจำนำนั้นตกไปได้แก่ผู้รับโอนด้วย  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีการโอนสิทธิเรียกร้อง  และส่งมอบนาฬิกาต่อไปยังนายสองผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องแล้ว  นายสองจึงเป็นเจ้าหนี้คนใหม่ที่มีสิทธิตามสัญญาจำนำนั้นด้วย  จึงสามารถบังคับจำนำนาฬิกานั้นได้

ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของนายเอกที่ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ได้รับความยินยอมจากตนเอง  จึงไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้  นายสองไม่มีอำนาจฟ้อง  และที่ว่าการจำนำไม่ได้มีการทำสัญญากันใหม่ระหว่างตนกับนายสอง  การจำนำระงับสิ้นไปแล้ว  นายสองจึงไม่มีสิทธิบังคับจำนำนั้น  จึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายเอกทั้งสองกรณีรับฟังไม่ได้ 

 

 

ข้อ  3  จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารห้าหมื่นบาท  และอังคารเป็นเจ้าหนี้พุธห้าหมื่นบาท  ต่อมาพุธได้เป็นเจ้าหนี้อังคารในมูลหนี้ค่าซื้อของเชื่อห้าหมื่นบาทเช่นกัน  หนี้ทุกรายทั้งหมดนี้ต่างถึงกำหนดชำระพร้อมกัน  ในวันที่  20  มกราคม  2554  ต่อมาปรากฏว่า  ในวันที่  30 มกราคม  2554  จันทร์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพุธ  โดยอ้างว่าเป็นเรื่องการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามมาตรา  233  ป.พ.พ. พุธจึงยื่นคำให้การต่อสู้คดีที่จันทร์เป็นโจทก์ฟ้อง

โดยขอหักลบกลบหนี้กับหนี้ที่อังคารเป็นลูกหนี้ค่าซื้อของเชื่อพุธอยู่ด้วย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของพุธฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  233  ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง  หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้  เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

มาตรา  236  จำเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใดๆ  ท่านว่าจะยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ทั้งนั้น  เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  หากลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตน  จนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ เจ้าหนี้ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้  เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได้  (มาตรา  233)  แต่หากจำเลยที่ถูกเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้นั้นมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่  ก็สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ได้  เว้นแต่ข้อต่อสู้นั้นเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้วตามมาตรา  236

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่หนี้ทุกรายถึงกำหนดชำระ  และต่อมาจันทร์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพุธ  โดยอ้างว่าเป็นเรื่องการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามมาตรา  233  นั้น  โดยหลักจันทร์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของอังคารสามารถทำได้ตามหลักกฎหมายดังกล่าว

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  พุธก็ได้เป็นเจ้าหนี้อังคารในมูลหนี้ค่าซื้อของเชื่อจำนวนห้าหมื่นบาทอยู่ด้วย  ซึ่งถือเป็นข้อต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนจันทร์ยื่นฟ้อง  พุธจึงสามารถยกข้อต่อสู้ที่ตนมีอยู่กับอังคาร  (ลูกหนี้เดิม)  ดังกล่าว  ขึ้นเป็นข้อต่อสู้จันทร์  (เจ้าหนี้)  ผู้ฟ้องคดีได้ตามมาตรา  236  ดังนั้นคำให้การต่อสู้คดีของพุธที่ขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่อังคารเป็นลูกหนี้ค่าซื้อของเชื่อพุธนั้นจึงฟังขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของพุธฟังขึ้น

 

 

ข้อ  4  เสาร์และอาทิตย์เป็นเจ้าของรวมในรถยนต์คันหนึ่ง  ต่อมา  เสาร์และอาทิตย์ร่วมกันทำสัญญาขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่ศุกร์ในราคาห้าแสนบาท  ครั้นถึงกำหนดชำระราคาค่าซื้อ  ศุกร์ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบต่อเสาร์  แต่เสาร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุ  อันจะอ้างกฎหมายได้  ศุกร์จึงนำเงินห้าแสนบาทนั้นไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การวางทรัพย์ในกรณีดังกล่าวนี้  มีผลต่ออาทิตย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  292  วรรคแรก  การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น  ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ  อันพึงกระทำแทนชำระหนี้  วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย

มาตรา  299  วรรคสาม  นอกจากนี้  ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา  292, 293  และ  295   มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวโดยเฉพาะก็คือ  แม้เจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่งจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บุคคลอื่นไปก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่

มาตรา  331  ถ้าเจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ดีหรือไม่สามารถจะรับชำระหนี้ได้ก็ดี  หากบุคคลผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว  ก็ย่อมจะเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่บุคคลผู้ชำระหนี้ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิ  หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่ความผิดของตน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เสาร์และอาทิตย์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในรถยนต์คันหนึ่ง  ได้ร่วมกันทำสัญญาขายรถยนต์คันนั้นให้กับศุกร์  ทั้งเสาร์และอาทิตย์จึงถือเป็นเจ้าหนี้ร่วมในค่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าว

ตามข้อเท็จจริง  การที่ศุกร์ไปขอชำระหนี้ต่อเสาร์โดยชอบ  แต่เสาร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้  โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้นั้น  เสาร์เจ้าหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  207  และย่อมเป็นโทษแก่อาทิตย์เจ้าหนี้ร่วมด้วย

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ศุกร์ได้นำเงินค่าซื้อรถยนต์  5  แสนบาทไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้  จึงถือเป็นการวางทรัพย์สินแทนการชำระหนี้โดยชอบตามมาตรา  331  ดังนั้น  การวางทรัพย์ในกรณีดังกล่าวจึงมีผลต่ออาทิตย์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ร่วมกันด้วยตามมาตรา  299  วรรคสาม  ประกอบมาตรา  292  วรรคแรก  มาตรา  207  และมาตรา  331

สรุป  การวางทรัพย์กรณีดังกล่าวมีผลต่ออาทิตย์ด้วย

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ 1 จตุพรกู้เงินปฐมาสองแสนบาท มีกำหนดเวลาสองปีโดยผู้กู้ได้นำที่ดินของตนจำนองประกันหนี้เงินกู้ไว้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากกู้ไปได้เพียงแปดเดือน จตุพรถึงแก่ความตาย ปฐมาเห็นว่าสิทธิเรียกร้องยังไม่ถึงกำหนด ก็มิได้เรียกมิได้บังคับชำระหนี้ ต่อมาเมื่อครบกำหนดสองปีตามสัญญา ปฐมาดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับแพรวพรรณทายาทคนเดียวของจตุพร จำเลยต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ ตนไม่ต้องชำระหนี้

ข้อต่อสู้ของแพรวพรรณจำเลยฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/10 สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้

มาตรา 193/27 ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา 193/30 อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา 203 ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้

มาตรา 1754 วรรคสาม ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้หนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1754 วรรคสาม ได้กำหนดไว้ว่า ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่า 1 ปี เจ้าหนี้จะต้องฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ของตนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก แม้สิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม มิฉะนั้นสิทธิเรียกร้องจะขาดอายุความ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จตุพรกู้เงินปฐมาโดยมีกำหนดเวลา 2 ปี และหลังจากกู้ไปได้เพียง 8 เดือน จตุพรลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตาย ซึ่งปฐมาเจ้าหนี้ได้รู้ถึงความตายของจตุพรลูกหนี้ ดังนี้ แม้ว่าหนี้เงินกู้ระหว่างจตุพรกับปฐมาจะยังไม่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งปกติแล้วเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระไม่ได้ตามมาตรา 203 วรรคสอง แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องลูกหนี้ตายก่อนกำหนด และสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อเจ้ามรดกมีอายุความยาวกว่า 1 ปี (มาตรา 193/30) ดังนั้น เจ้าหนี้จึงต้องฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่เจ้าหนี้รู้ว่าลูกหนี้ตาย ตามมาตรา 1754 วรรคสาม เมื่อปฐมาเจ้าหนี้ไม่ได้ฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จตุพรลูกหนี้ตาย หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงขาดอายุความ ปฐมาเจ้าหนี้จะบังคับชำระหนี้เอาจากแพรวพรรณทายาทของจตุพรไม่ได้ (มาตรา 193/10) ดังนั้น ข้อต่อสู้ของแพรวพรรณที่ว่าคดีขาดอายุความแล้วจึงฟังขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 1754 วรรคสาม กฎหมายกำหนดให้อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 193/27 ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงหรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรือที่ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้ส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่จตุพรกู้เงินปฐมานั้นจตุพรได้นำที่ดินของตนมาจำนองประกันหนี้ไว้ ดังนั้น แม้ว่าสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วตามมาตรา 1754 วรรคสาม แต่บทบัญญัติมาตรา 193/27 ก็ยังให้สิทธิแก่ปฐมาผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ตนรับจำนองไว้ได้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะไปบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของจตุพร ดังนั้นข้อต่อสู้ของแพรวพรรณที่ว่าตนไม่ต้องชำระหนี้จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้อต่อสู้ของแพรวพรรณจำเลยที่ว่าคดีขาดอายุความนั้นฟังขึ้น แต่ข้อต่อสู้ที่ว่าตนไม่ต้องชำระหนี้นั้นฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ 2 หลังจากหย่ากับภริยาแล้ว ทวีพงศ์ผู้เป็นสามีก็จากไปไม่เคยเหลียวหลังกลับมาดูดำดูดีครอบครัวอีกเลย ปล่อยทิ้งให้ลลนาภริยาอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์สามคนอยู่ฝ่ายเดียว มิหนำซ้ำทวีพงศ์ยังไปมีคู่ควงคนใหม่อีกไม่ซ้ำหน้า แม้ตั้งใจไว้ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษาอบรมอย่างดีที่สุดกับลูก ไม่หวังพึ่งอดีตสามี ความน้อยเนื้อต่ำใจกอปรด้วยความรัก

ลลนาจึงเรียกบังคับเอาค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกับสามี ทวีพงศ์ต่อสู้ว่าสิทธิเรียกร้องเอาค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้นเป็นสิทธิของบุตรไม่ใช่ของภริยา และผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่ได้ ขอให้ศาลยกฟ้อง

ข้อต่อสู้ฟังขึ้นหรือไม่ ทวีพงศ์จะต้องรับผิดในค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือไม่ เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคแรก บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

มาตรา 229 การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น

มาตรา 291 ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง

มาตรา 296 ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่นๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา 1490 หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

มาตรา 1562 ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้

มาตรา 1564 วรรคแรก บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์

มาตรา 1565 การร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือขอให้บุตรได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยประการอื่น นอกจากอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวตามมาตรา 1562 แล้ว บิดาหรือมารดาจะนำคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ได้ให้สิทธิบุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และได้เข้าใช้หนี้นั้น สามารถเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ และใช้สิทธิที่เจ้าหนี้มีอยู่ในมูลหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง (มาตรา 226 ประกอบมาตรา 229(3))

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ทวีพงศ์ผู้เป็นสามีได้ทิ้งให้ลลนาภริยาของตนอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 3 คนอยู่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดให้บิดามารดามีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ และให้ถือว่าหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นหนี้ร่วมกันระหว่างบิดามารดาตามมาตรา 1490(1) ประกอบมาตรา 1564 วรรคแรกนั้น กรณีนี้จึงถือว่าทวีพงศ์ยังคงมีความผูกพันร่วมกับลลนาในการที่จะต้องชำระหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรโดยเป็นลูกหนี้ร่วมกัน และในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันนั้น ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามมาตรา 291 ประกอบมาตรา 296

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ต่อมาลลนาภริยาได้ขอให้ศาลบังคับเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากอดีตสามีคือทวีพงศ์ แต่ทวีพงศ์ต่อสู้ว่าสิทธิเรียกร้องเอาค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้นเป็นสิทธิของบุตรไม่ใช่ของภริยาและผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่ได้ ขอให้ศาลยกฟ้องนั้น กรณีนี้ถึงแม้ตามกฎหมายบุตรจะฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาไม่ได้เพราะถือเป็นคดีอุทลุม (มาตรา 1562) ก็ตาม แต่กฎหมายก็ให้สิทธิบิดามารดาที่จะนำคดีเกี่ยวกับการร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรขึ้นว่ากล่าวได้ (มาตรา 1565) และเมื่อลลนาภริยาแต่ผู้เดียวได้ชำระหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่บุตรทั้งสาม จึงเป็นกรณีที่บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น (ลูกหนี้ร่วม) มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้น ดังนั้น ลลนาภริยาย่อมได้รับช่วงสิทธิของบุตรเจ้าหนี้โดยอำนาจของกฎหมายเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากทวีพงศ์ได้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 226 229(3) และมาตรา 296 ข้อต่อสู้ของทวีพงศ์ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น และทวีพงศ์จะต้องรับผิดในค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกึ่งหนึ่ง

สรุป ข้อต่อสู้ของทวีพงศ์ฟังไม่ขึ้น และทวีพงศ์จะต้องรับผิดในค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรกึ่งหนึ่ง

 

 

ข้อ 3 ธีรวุฒิมีที่ดินแปลงสวยติดถนน จงมีมาชักชวนธีรวุฒิทำตึกแถวในที่ดินดังกล่าวขาย โดยให้ธีรวุฒิเป็นผู้ออกทุนเป็นที่ดิน ส่วนจงมีจะออกค่าก่อสร้าง ได้ตึกแถวจำนวนกี่ห้องก็แบ่งกันคนละครึ่ง ซึ่งหลังจากรังวัดแล้วก็จะได้สิบห้องพอดี จงมีได้นำสิทธิที่จะได้ห้าห้องของตนนั้นไปทำสัญญาจะขายให้ ก ข ค ง จ และได้รับมัดจำค่าก่อสร้างมาห้องละหนึ่งแสนบาท ในสัญญากำหนดก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2553

ซึ่งครบตามกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วจงมียังมิได้เริ่มลงมือก่อสร้าง ธีรวุฒิจึงบอกเลิกสัญญา เพราะจงมีผิดนัดสัญญาเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ก ข ค ง จ จะเรียกให้ธีรวุฒิในฐานะเจ้าของที่ดินตามสัญญาโอนที่ดินให้พวกตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย

มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

มาตรา 236 จำเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใดๆ ท่านว่าจะยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ทั้งนั้น เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าหนี้มีสิทธิที่เรียกชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย (มาตรา 214) และหากลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตน จนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ เจ้าหนี้ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได้ (มาตรา 233) แต่หากจำเลยที่ถูกเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้นั้นมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างไร ก็สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ได้ เว้นแต่ข้อต่อสู้นั้นเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว (มาตา 236)

กรณีตามอุทาหรณ์ ก ข ค ง จ จะเรียกให้ธีรวุฒิในฐานะเจ้าของที่ดินตามสัญญาทำตึกแถวโอนที่ดินให้พวกตนได้หรือไม่นั้น เห็นว่า การที่จงมีได้นำสิทธิที่จะได้ตึกแถวห้าห้องของตนไปทำสัญญาจะขายให้ ก ข ค ง จ และได้รับมัดจำค่าก่อสร้างมาแล้วนั้น กรณีนี้จึงถือว่าจงมีได้ตกเป็นลูกหนี้ของ ก ข ค ง จ ตามสัญญาจะขายแล้ว เมื่อปรากฏว่าจงมีขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตนในที่ดินของธีรวุฒิ กรณีที่ธีรวุฒิบอกเลิกสัญญาทำตึกแถวจนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือ ก ข ค ง จ ต้องเสียประโยชน์ ก ข ค ง จ จึงสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของจงมีมูลหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได้ตามมาตรา 233 ประกอบมาตรา 214

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อธีรวุฒิจำเลยมีข้อต่อสู้จงมีอยู่ กรณีที่จงมีผิดสัญญา และสัญญาทำตึกแถวได้เลิกกันแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อน ก ข ค ง จ ยื่นฟ้อง ธีรวุฒิจึงสามารถยกข้อต่อสู้ที่ตนมีอยู่กับจงมี (ลูกหนี้เดิม) ดังกล่าว ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ก ข ค ง จ (เจ้าหนี้) ได้ตามมาตรา 236 ดังนั้น ธีรวุฒิจึงไม่ต้องโอนที่ดินตามสัญญาให้กับ ก ข ค ง จ

สรุป ก ข ค ง จ จะเรียกให้ธีรวุฒิในฐานะเจ้าของที่ดินตามสัญญาโอนที่ดินให้พวกตนไม่ได้

 

 

ข้อ 4 จำปาอาสาวแสนสวยของเกตุแก้วอายุมากแล้ว แต่ก็ยังอยู่เป็นโสดไม่มีครอบครัว ด้วยความรักหลานที่ตนเอามาอยู่ด้วย อาสาวยกที่ดินพร้อมบ้านที่อาศัยอยู่ให้กับเกตุแก้วและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่สัญญาหลานเขยซึ่งเป็นสามีของเกตุแก้ว มีความประพฤติไม่เหมาะควร กล่าวคือ ชอบนำหนังสือโป๊มาให้เด็กหญิงในบ้านดู บางครั้งก็ชวนเด็กไปดู VCD โป๊ เรื่องแดงขึ้นรู้ถึงอาก็เกิดต่อว่าต่อขานกัน สามีของหลานหนีออกจากบ้านไป หลานสาวได้มาด่าว่าอาของตนว่า อีแก่ไม่ยุติธรรม มึงทำให้ครอบครัวกูแตกแยก กูไม่อยู่กับมึงแล้วพูดแล้วเกตุแก้วก็ร้อนใจกลัวว่าจะถูกอาถอนคืนการให้ จึงเอาบ้านและที่ดินที่อาให้ไปจำนองลลนชิตซึ่งรับจำนองไว้โดยสุจริต จำปามาปรึกษาท่านว่า จะเรียกร้องบังคับเอากับหลานได้อย่างไรบ้าง ให้ท่านอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 213 ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

มาตรา 215 เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้ของมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้

มาตรา 237 วรรคแรก เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

มาตรา 531 อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง

มาตรา 534 เมื่อถอนคืนการให้ ท่านให้ส่งคืนทรัพย์สินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เกตุแก้วได้มาด่าว่าจำปาอาของตนว่า อีแก่ไม่ยุติธรรม มึงทำให้ครอบครัวกูแตกแยก กูไม่อยู่กับมึงแล้ว นั้น ถือเป็นการกล่าวหมิ่นประมาทจำปาผู้ให้อย่างร้ายแรง จำปาจึงเรียกถอนคืนการให้บ้านและที่ดินเพราะเหตุเกตุแก้วผู้รับประพฤติเนรคุณได้ (มาตรา 531(2)) ดังนั้น จำปาผู้ให้จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของเกตุแก้วในการเรียกถอนคืนการให้ดังกล่าว

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าเกตุแก้วผู้รับได้เอาบ้านและที่ดินที่จำปาให้ไปจำนองไว้กับลลนชิต การจำนองดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ และถือเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ตามมาตรา 237 วรรคแรก จำปาเจ้าหนี้จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ แต่เมื่อปรากฏว่า ลลนชิตรับจำนองไว้โดยสุจริต กล่าวคือ เป็นกรณีที่ลลนชิตบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น มิได้รู้เท่าถึงข้อความจริง อันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย ดังนั้น ศาลจึงเพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก

อย่างไรก็ตาม แม้ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมจำนองไม่ได้ แต่ผลจากการถอนคืนการให้ดังกล่าว ย่อมทำให้เกตุแก้วต้องส่งคืนทรัพย์สินที่รับไปคือ บ้านและที่ดิน ให้กับจำปาฐานมิควรได้ (มาตรา 534) และปลอดภาระจำนองตามที่ได้ให้กันมาแต่เดิม ดังนั้น จำปาจึงสามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้กับเกตุแก้วได้โดยเฉพาะเจาะจง กล่าวคือ สามารถบังคับให้เกตุแก้วโอนที่ดินพร้อมบ้านคืนมาโดยปลอดจำนอง (มาตรา 213 วรรคแรก) ถ้าเกตุแก้วไม่โอนคืนให้จำปาก็สามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของเกตุแก้วลูกหนี้ได้ (มาตรา 213 วรรคสาม) และหากจำปามีค่าใช้จ่ายในการไถ่จำนองหรือค่าเสียหายอย่างอื่นก็ย่อมเรียกเอากับเกตุแก้วได้ เพราะถือว่าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ (มาตรา 215)

สรุป เมื่อจำปามาปรึกษาข้าพเจ้าว่าจะเรียกร้องบังคับเอากับหลานได้อย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่จำปาตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ 1 นาย ม เป็นคนยากจนมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน นส.3 ก ที่เป็นเจ้าของอยู่เพียงแปลงเดียว มีความจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษาตัว ได้ขอกู้เงินจากนาย ส ไป 100,000 บาท โดยเขียนไว้ในสัญญากู้เงินว่า นาย ม ขอใช้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นประกันการชำระหนี้ กำหนดชำระหนี้ในเวลา 6 เดือนนี้ โดยไม่ได้ทำสัญญาและจดทะเบียนจำนอง วันรุ่งขึ้นนาย ม ได้ทำสัญญาและจดทะเบียนยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นาง บ ที่ได้ดูแลตนมาตลอดเวลาที่ป่วย เมื่อหนี้ครบกำหนดนาย ม ไม่ชำระ จากนั้นอีก 1 เดือน นาย ส ได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินตามสัญญากู้จากนาย ม และชนะคดี ศาลพิพากษาให้นาย ม ชำระหนี้แก่นาย ส จากนั้นนาย ส จึงได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงดังกล่าว

แต่ถูกนาง บ ร้องคัดค้านอ้างว่าเป็นของตน เพราะนาย ม ยกให้แล้ว นาย ส จึงได้ทราบเรื่องการยกที่ดินให้กันดังกล่าว และได้ร้องขอให้ศาลเพิกถอนการยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่กันเสีย ถ้านักศึกษาเป็นศาลจะวินิจฉัยอย่างไร โดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะหนี้ที่ได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย

มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ประกอบด้วย

1 ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล หมายถึง นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งก็คือ นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2 ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3 นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้) ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้ (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4 หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้ (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5 การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ม ลูกหนี้ได้ทำสัญญาและจดทะเบียนยกที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่นาง บ นั้น ถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้นาย ส เจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นาย ม ลูกหนี้ได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นาง บ โดยเสน่หา ดังนั้น ถึงแม้ว่านาง บ ผู้ได้ลาภงอกจะได้รู้ข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบนั้นด้วยหรือไม่ก็ตาม นาย ส เจ้าหนี้ก็สามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนการยกที่ดินแปลงดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 ทั้งนี้โดยไม่ต้องพิจารณาว่าที่ดินแปลงพิพาทนี้ นาย ม กับนาย ส ได้จดทะเบียนจำนองกันโดยชอบหรือไม่ เพราะเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะให้ชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงอยู่แล้วตามมาตรา 214 (ฎ.47/2524)

สรุป นิติกรรมการยกที่ดินให้แก่กันระหว่างนาย ม กับนาง บ เป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ และนาย ส เจ้าหนี้สามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนการยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่กันได้

 

 

ข้อ 2 นาย ก เป็นเจ้าหนี้เงินกู้นาย ข 100,000 บาท ขณะเดียวกันนาย ก ก็เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าของนาย ค อยู่ 110,000 บาท นาย ก กับนาย ค ได้โทรศัพท์คุยกันตกลงกันว่านาย ก ตกลงโอนและนาย ค ตกลงรับโอนหนี้เงินกู้ทั้งจำนวนที่นาย ข เป็นหนี้นาย ก อยู่ มาเป็นการชำระหนี้ที่ นาย ก เป็นหนี้ค่าสินค้านาย ค อยู่

ส่วนที่เหลืออีก 10,000 บาท นาย ก จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้แก่นาย ค ต่อไป จากนั้นนาย ก และนาย ค ต่างได้ส่งหนังสือแจ้งเรื่องการตกลงโอนหนี้กันนั้นให้นาย ข ทราบ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า การโอนหนี้ระหว่างนาย ก กับนาย ค มีผลอย่างไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 306 วรรคแรก การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้น ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

วินิจฉัย

การโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้อันพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจงตามมาตรา 306 วรรคแรกนั้น กฎหมายบัญญัติว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ การโอนนั้นจึงจะสมบูรณ์ และการโอนหนี้หรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวนั้น จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้แล้ว หรือลูกหนี้ได้มีหนังสือให้ความยินยอมด้วยกับการโอนนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก กับนาย ค ตกลงโอนหนี้เงินกู้ที่นาย ข เป็นหนี้นาย ก อยู่ไปให้นาย ค ซึ่งถือเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้อันพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจงนั้น เมื่อปรากฏว่าการตกลงโอนหนี้ระหว่างนาย ก ผู้โอนหนี้มิได้ทำเป็นหนังสือตามมาตรา 306 วรรคแรก เพียงแต่ตกลงกันด้วยวาจาทางโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งแม้ต่อมาทั้งสองฝ่ายจะได้ทำหนังสือแจ้งการโอนหนี้ไปให้นาย ข ลูกหนี้ทราบ ก็ไม่ใช่การทำสัญญาโอนหนี้เป็นหนังสือตามกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น จึงมีผลทำให้การโอนหนี้ระหว่างนาย ก กับนาย ค ไม่สมบูรณ์ (ฎ. 1802/2518)

สรุป การโอนหนี้ระหว่างนาย ก กับนาย ค ไม่สมบูรณ์

 

 

ข้อ 3 จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารอยู่ห้าแสนบาท และอังคารเป็นเจ้าหนี้พุธอยู่ห้าแสนบาทเท่ากัน ปรากฏว่าจันทร์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องของอังคารตามบทบัญญัติใน ป.พ.พ. มาตรา 233 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพุธให้ชำระหนี้ห้าแสนบาท โดยยื่นฟ้องในวันที่ 10 มกราคม 2554 แต่พุธซึ่งเป็นจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าในวันที่ 20 มกราคม 2554 อังคารได้ตกเป็นลูกหนี้พุธ จำนวนเงินห้าแสนบาทเช่นกัน จากมูลหนี้ค่าซื้อของเชื่อและหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว พุธจึงขอต่อสู้คดี โดยขอหักลบกลบหนี้กับหนี้ที่อังคารเป็นลูกหนี้ค่าซื้อของเชื่อพุธด้วย ดังนี้ ข้อต่อสู้ของพุธฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

มาตรา 236 จำเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใดๆ ท่านว่าจะยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ทั้งนั้น เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว หากลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตน จนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ เจ้าหนี้ก็สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นได้ตามมาตรา 233 แต่หากจำเลย (ลูกหนี้ของลูกหนี้) ที่ถูกเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้นั้นมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใด ก็สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ได้ เว้นแต่ข้อต่อสู้นั้นเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้ยื่นฟ้องคดีแล้วตามมาตรา 236

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องของอังคารลูกหนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพุธตามมาตรา 233 นั้น โดยหลักถ้าพุธ (จำเลย มีข้อต่อสู้อังคาร (ลูกหนี้เดิม) อยู่อย่างใด ก็ย่อมยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จันทร์ (โจทก์) ได้ แต่ต้องเป็นข้อต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนจันทร์ยื่นฟ้องคดี กล่าวคือ สิทธิและหน้าที่ทั้งหลายจะต้องถือเป็นยุติแต่ในเวลายื่นฟ้องคดีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อต่อสู้ของพุธเรื่องขอหักลบกลบหนี้กับมูลหนี้ค่าซื้อของเชื่อเกิดขึ้นภายหลังจันทร์ยื่นฟ้องคดีแล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 236 ข้อต่อสู้ของพุธจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้อต่อสู้ของพุธฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ 4 เสาร์และอาทิตย์เป็นเจ้าหนี้ร่วมของศุกร์ในหนี้เงินสองแสนบาท ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ศุกร์ได้เอาแหวนเพชรหนึ่งวงตีใช้หนี้แทนเงินสองแสนบาทให้แก่เสาร์ ซึ่งเสาร์ยอมรับเอาไว้ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า อาทิตย์จะเรียกให้ศุกร์ชำระหนี้สองแสนบาทแก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 292 วรรคแรก การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย

มาตรา 298 ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือ เจ้าหนี้ร่วมกัน) ก็ดี ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ แม้ทั้งนี้เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว

มาตรา 299 วรรคสาม นอกจากนี้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 292, 293 และ 295 มาใช้บังคับโดยอนุโลม กล่าวโดยเฉพาะก็คือ แม้เจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่งจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บุคคลอื่นไปก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่

มาตรา 321 วรรคแรก ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมนั้น ลูกหนี้มีสิทธิเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่ลูกหนี้จะเลือก แม้ว่าเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งจะได้ฟ้องคดีเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไว้แล้วก็ตาม (มาตรา 298)

กรณีตามอุทาหรณ์ อาทิตย์จะเรียกให้ศุกร์ชำระหนี้สองแสนบาทแก่ตนได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ศุกร์ลูกหนี้ได้เอาแหวนเพชรหนึ่งวงตีใช้หนี้แทนเงินสองแสนบาทให้แก่เสาร์เจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่ง และเสาร์ยอมรับเอาไว้นั้น ถือเป็นกรณีที่ศุกร์ทำการอันพึงกระทำแทนการชำระหนี้ และเสาร์เจ้าหนี้ได้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ (ตามมาตรา 292 วรรคแรกประกอบมาตรา 321 วรรคแรก) ทั้งนี้เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเจ้าหนี้ร่วมจึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 292 วรรคแรก มาบังคับใช้โดยอนุโลมตามมาตรา 299 วรรคสาม ดังนั้น หนี้ดังกล่าวจึงระงับ และมีผลถึงอาทิตย์เจ้าหนี้ร่วมอีกคนด้วย อาทิตย์จะเรียกให้ศุกร์ชำระหนี้สองแสนบาทให้แก่ตนไม่ได้ตามมาตรา 298 มาตรา 299 วรรคสามประกอบอนุโลมใช้มาตรา 292 วรรคแรก และมาตรา 321 วรรคแรก

สรุป อาทิตย์จะเรียกให้ศุกร์ชำระหนี้สองแสนบาทแก่ตนไม่ได้

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ ภาค 2/2554

การสอบไล่ภาค 2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  เมื่อวันที่  28  กุมภาพันธ์  2554  นายเมฆซึ่งเป็นชาวไร่มันสำปะหลังได้กู้ยืมเงินจากนายหมอกเพื่อนสนิทของตน  100,000  บาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเพาะปลูกมันสำปะหลังและได้ทำสัญญาเงินกู้ยืมไว้เป็นหลักฐาน  แต่เนื่องจากในขณะทำสัญญานายเมฆยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถชำระหนี้แก่นายหมอกได้เมื่อใด  คู่สัญญาจึงตกลงให้เว้นว่างในช่องกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้คืนไว้ก่อน  ต่อมาวันที่  15  มีนาคม  2554

นายเมฆได้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงนายหมอกแจ้งว่า  จะชำระหนี้เงินกู้ให้นายหมอกเมื่อขายมันสำปะหลังได้มากพอ  ขณะนี้กำลังรวบรวมเงินอยู่  นายหมอกได้รับทราบข้อความในจดหมายดังกล่าวแล้วแต่ไม่ได้ตอบกลับ  ปรากฏว่าช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม  2554  เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วไปหมดทั้งจังหวัดนครสวรรค์  ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของนายเมฆกับนายหมอก

ทรัพย์สินต่างๆและผลผลิตมันสำปะหลังของนายเมฆได้รับความเสียหายหมด  จนกระทั่งวันที่  29  กุมภาพันธ์  2555  นายหมอกได้ให้ทนายความยื่นฟ้องเรียกเงินกู้จำนวนดังกล่าวคืนจากนายเมฆ พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ทำสัญญากู้ยืมเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ  นายเมฆได้ให้การต่อสู้ว่า  หนี้เงินกู้รายนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระเพราะไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ก่อนฟ้อง

นายหมอกไม่เคยทวงถามก่อนจึงไม่มีอำนาจฟ้อง  นอกจากนี้นายเมฆได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม  ทรัพย์สินเสียหายและผลผลิตก็ถูกน้ำท่วมเสียหายหมดการชำระหนี้จึงตกเป็นพ้นวิสัย  นายเมฆจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้แล้ว  ในส่วนของดอกเบี้ยนั้นเมื่อไม่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา  นายหมอกจึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย  ขอให้ยกฟ้อง  ถ้านักศึกษาเป็นผู้พิพากษา  นักศึกษาจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  7  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง  ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

มาตรา  203  วรรคแรก  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

มาตรา  204  วรรคแรก ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และภายหลังแต่นั้น  เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว  ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้  ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

มาตรา  219  วรรคหนึ่ง  ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์  อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้  และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้  ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาจะวินิจฉัยคดีดังนี้  การที่นายเมฆทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายหมอก  โดยมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้นั้นแม้ต่อมานายเมฆจะส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงนายหมอกว่าหากขายมันสำปะหลังได้มากพอจะชำระหนี้เงินกู้คืนให้นายหมอก  ก็ถือไม่ได้ว่าคู่สัญญาได้ตกลงในเรื่องกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนกันอย่างไร  ทั้งจะอนุมานจากพฤติการณ์ก็ไม่อาจทราบกำหนดเวลาชำระหนี้ได้  เพราะไม่อาจรู้ได้ว่านายเมฆจะขายผลผลิตและรวบรวมเงินได้พอแก่การชำระหนี้เมื่อใด  ดังนั้นนายหมอกเจ้าหนี้จึงสามารถเรียกให้นายเมฆลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และให้ถือว่าหนี้รายนี้ถึงกำหนดชำระแล้วตามมาตรา  203  วรรคแรก  (ฎ.  248/2509)  กล่าวคือ  นายหมอกมีอำนาจฟ้องให้นายเมฆชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องทวงถามก่อน

ส่วนกรณีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่จนทรัพย์สินและผลผลิตของนายเมฆเสียหายหมดนั้น  แม้จะทำให้นายเมฆไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ในเวลานี้  แต่ก็เป็นเหตุที่ยังไม่อาจถือได้ว่าทำให้การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัยตามมาตรา  219  นายเมฆจึงยังไม่หลุดพ้นจากการชำระหนี้

สำหรับกรณีดอกเบี้ยนั้น  เมื่อไม่ปรากฏว่าในสัญญากู้ยืมได้กล่าวถึงหรือแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนาจะให้ดอกเบี้ยแก่กัน  นายหมอกผู้ให้กู้จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากนายเมฆตั้งแต่วันทำสัญญากู้  กรณีไม่ต้องด้วย  ป.พ.พ.  มาตรา  7

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายหมอกให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลเรียกให้นายเมฆชำระหนี้เงินกู้รายนี้  ย่อมถือได้ว่า  การฟ้องคดีเป็นการทวงถามให้ชำระหนี้แล้ว  เมื่อนายเมฆไม่ยอมชำระหนี้  จึงถือว่านายเมฆผิดนัดชำระหนี้ตามมาตรา  204  วรรคแรก  ดังนั้น  นายหมอกจึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  นับตั้งแต่วันที่นายเมฆผิดนัดคือนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่านายเมฆจะชำระหนี้เสร็จตามมาตรา  224  วรรคแรก

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษา  ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยคดีนี้ดังที่ได้กล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  2  นายเอกเป็นผู้ให้เช่าห้องพักรายเดือน  นายโทได้ทำสัญญาเช่าห้องพักดังกล่าวเป็นเวลา  12  เดือน  ค่าเช่าเดือนละ  2,000  บาท ตกลงกันด้วยว่า  นายโทจะต้องโอนเงินผ่านระบบธนาคารเข้าบัญชีของนายเอกในวันที่  5  ของเดือนถัดไป  เมื่อเข้าพักในห้องเช่าแล้ว

นายโทคิดต้องการจะประหยัดค่าธรรมเนียมธนาคารในการที่ต้องโอนเงินค่าเช่าทุกเดือน  จึงรอจนเวลาผ่านไป  3  เดือน  จึงไปโอนเงินค่าเช่า  6,000  บาทเข้าบัญชีให้เอก  และเมื่อผ่านไปอีก  3  เดือนก็ทำเช่นเดิมอีก  นายเอกได้มาปรึกษานักศึกษาซึ่งเป็นทนายความว่าจะถือว่านายโทผิดสัญญาเช่าและเลิกสัญญาได้หรือไม่  นักศึกษาจะให้คำปรึกษาแนะนำนายเอกในเรื่องนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  204  วรรคสอง  ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน  และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้  ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว

มาตรา  208  วรรคแรก  การชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด  ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง

มาตรา  215  เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้ของมูลหนี้ไซร้  เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแนะนำแก่นายเอกดังนี้  การที่นายโทได้ทำสัญญาเช่าห้องพักจากนายเอกเป็นเวลา  12  เดือน โดยตกลงโอนเงินค่าเช่าห้องพักเป็นรายเดือนผ่านระบบธนาคารเข้าบัญชีของนายเอกภายในวันที่  5  ของเดือนถัดไปนั้น  ย่อมถือว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินตามมาตรา  204  วรรคสอง  นายโทจึงต้องชำระหนี้ตามวันที่กำหนด  คือ  ทุกวันที่  5 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาเช่า

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายโทรอจนเวลาผ่านไป  3  เดือน  จึงรวมเงินค่าเช่าไปโอนเข้าบัญชีให้นายเอกครั้งหนึ่ง  และเมื่อผ่านไปอีก  3 เดือน  ก็ทำเช่นเดิมอีก  ดังนี้  ย่อมถือว่านายโทผิดสัญญาเช่าและผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่เดือนแรกแล้ว  เพราะไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ตามมาตรา  204  วรรคสอง

และการที่นายโทรวมค่าเช่าหลายเดือนจึงไปโอนเงินครั้งหนึ่งนั้น  ยังถือเป็นการชำระหนี้ที่ไม่ถูกต้องตามความประสงค์แท้จริงแห่งมูลหนี้  (มาตรา  215)  เพราะการชำระหนี้ของผู้เช่าจะสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ผู้ให้เช่าก็ด้วยการชำระค่าเช่าตามกำหนดเป็นรายเดือนทุกเดือน  ผู้เช่าจึงต้องชำระหนี้ต่อผู้ให้เช่าให้เป็นไปตามนั้นโดยตรงตามมาตรา  208  วรรคแรก  ดังนั้น  นายเอกจึงมีสิทธิเลิกสัญญาเช่าได้

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแนะนำนายเอกดังที่ได้กล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  3  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้  โดยมีสองเป็นลูกหนี้  ในหนี้เงินกู้ยืมห้าแสนบาท  เพื่อมิให้หนึ่งได้รับการชำระหนี้  สองจึงได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่สามในราคาห้าแสนบาท  สามรับซื้อไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นการโอนขายเพื่อหนีหนี้อันเป็นทางให้หนึ่งเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ  ต่อมาในวันที่  10  มกราคม  2555  สามได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวนี้ให้แก่สี่อีกทอดหนึ่งในราคาห้าแสนบาท

หลังจากสี่รับโอนไว้เรียบร้อยแล้วในวันที่  20  มกราคม  2555  สี่จึงได้ทราบความจริงว่าสองต้องการฉ้อฉลเจ้าหนี้  ปรากฏว่าในวันที่  30 มกราคม  2555  หนึ่งได้เป็นโจทย์ฟ้อง  ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างสองกับสาม  และระหว่างสามกับสี่ด้วย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายระหว่างสามกับสี่ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

มาตรา  238  การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น  ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก  อันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่งความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา

วินิจฉัย

 กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สองลูกหนี้ได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ให้แก่สามนั้น  ถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  จึงเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  และเมื่อสามผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นรู้อยู่ว่าเป็นการโอนขายเพื่อหนีหนี้  โดยหลักแล้ว  หนึ่งเจ้าหนี้ย่อมสามารถฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างสองกับสามได้  ตามมาตรา  237  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อต่อมาปรากฏว่าสามได้โอนขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวให้แก่สี่อีกทอดหนึ่ง  โดยสี่ได้รับการโอนขายบ้านพร้อมที่ดินมาโดยเสียค่าตอบแทน  และได้รับโอนมาโดยสุจริต  กล่าวคือ  ในขณะที่สี่รับโอนมานั้นสี่ไม่รู้ว่ามีการฉ้อฉลเกิดขึ้นมาก่อน  อีกทั้งสี่ได้รับการโอนขายมาก่อนที่หนึ่งผู้เป็นเจ้าหนี้จะยื่นฟ้องคดีขอเพิกถอน  ดังนั้น  สี่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  238 ศาลจึงเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายระหว่างสามกับสี่ไม่ได้

สรุป  ศาลจะเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายระหว่างสามกับสี่ไม่ได้

 

 

ข้อ  4  จันทร์และอังคารเป็นลูกหนี้ร่วม  กู้เงินของพุธไปสองแสนบาท  อัตราดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี  กำหนดชำระหนี้วันที่  15  มกราคม 2555  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  จันทร์แต่ผู้เดียวนำเงินสองแสนบาทพร้อมดอกเบี้ยไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อพุธโดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่พุธปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  นับแต่วันที่พุธปฏิเสธไม่รับชำระหนี้จากจันทร์  พุธจะเรียกดอกเบี้ยจากอังคารต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

มาตรา  294  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จันทร์นำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อพุธโดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่พุธปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยไม่มีเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น  ย่อมถือว่าพุธเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดต่อจันทร์ตามมาตรา  207  และมีผลทำให้พุธไม่สามารถคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากจันทร์ได้ในระหว่างที่ตนผิดนัด  คือนับแต่วันที่  15  มกราคม  2555  เป็นต้นไป  ตามมาตรา  221

และเมื่อจันทร์เป็นลูกหนี้ร่วมกับอังคาร  ซึ่งตามมาตรา  294  ได้กำหนดไว้ว่า  หากเจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  ดังนั้น  อังคารจึงได้ประโยชน์จากการผิดนัดของพุธเจ้าหนี้ด้วย  พุธจึงเรียกดอกเบี้ยจากอังคารในระหว่างที่ตนผิดนัดไม่ได้เช่นกัน

สรุป  นับแต่วันที่พุธปฏิเสธไม่รับชำระหนี้จากจันทร์  พุธจะเรียกดอกเบี้ยจากอังคารต่อไปไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!