LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายความแตกต่างระหว่างการสืบสวนกับการสอบสวนมาโดยละเอียด  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การสืบสวน  หมายความถึง  การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน  ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(10)

การสอบสวน  หมายความถึง  การรวบรวมพยานหลักฐาน  และการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(11)

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการสืบสวนและการสอบสวนได้ดังนี้

1       วิธีการ

–                    การสืบสวน  เป็นลักษณะของการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด  ซึ่งอาจจะเป็นขั้นตอนก่อนที่จะมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นก็ได้

–                    การสอบสวน  เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นและมีการกล่าวหาในความผิดนั้น

2       สิ่งที่ต้องการ

–                    การสืบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  ข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด

–                    การสอบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  พยานหลักฐาน  ซึ่งแบ่งได้เป็นพยานบุคคล  พยานวัตถุ  และพยานเอกสาร

3       วัตถุประสงค์

–                    การสืบสวน  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิด

–                    การสอบสวน  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  หรือพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ซึ่งอาจจะไม่มีผู้กระทำผิดตามที่กล่าวหาก็ได้

4       เจ้าพนักงานที่มีอำนาจ

–                    การสืบสวน  ได้แก่  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  รวมทั้งเจ้าพนักงานอื่นๆตามกฎหมายเฉพาะ  เช่น  พัศดี  เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต  กรมศุลกากร  กรมเจ้าท่า  พนักงานตรวจคนเข้าเมือง  เป็นต้น

–                    การสอบสวน  ได้แก่  พนักงานสอบสวน  ซึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน  ดังที่บัญญัติไว้ใน  ป.วิอาญา  มาตรา  18, 19, 20  และ  21

5       เงื่อนไข 

–                    การสืบสวน  สามารถกระทำก่อน  ขณะ  หรือหลังจากเหตุเกิดก็ได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีความผิดเกิดขึ้น

–                    การสอบสวน  ต้องมีความผิดเกิดขึ้น  หรือมีการกล่าวหาในความผิดนั้นจึงทำการสอบสวน

 

ข้อ  2  ผู้เสียหายในคดีอาญามีความหมายว่าอย่างไร  มีกี่ประเภท  อะไรบ้าง  และมีหลักเกณฑ์ใดบ้างที่จะพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายตามหลักกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

จากตัวบทกฎหมายดังกล่าว  สามารแยกอธิบายได้ดังนี้

1       ผู้เสียหายโดยตรง  คือ  ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งการพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่นั้น  มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  คือ

            ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น

            บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น

            เป็นความเสียหายต่อสิทธิ

            บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

2       ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  คือ  แม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายแท้จริง  แต่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในความหมายของคำว่า  ผู้เสียหาย  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  4

ในคดีอาญาผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีและเป็นผู้เสียหายโดยตรง  หญิงมีสามีนั้นสามารถฟ้องคดีอาญาได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  ตามกฎหมายถือว่าหญิงมีสามีมีอำนาจเต็มทุกประการ  ทั้งนี้  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  4  วรรคแรก

และในมาตรา  4  วรรคสอง  ก็ได้บัญญัติต่อไปว่า  สามีมีอำนาจจัดการ  (ฟ้องคดีอาญา)  แทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  5(2)  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  5  บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5  นั้น  ได้แก่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยา  เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคล  เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  6

กรณีที่จะมีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา  6  นั้น  มีอยู่  2  ประการ  คือ

(1) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์  ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์

(2) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ  ไม่มีผู้อนุบาล  หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้อนุบาลมีผลประโยชน์ขัดกันกับคนไร้ความสามารถ

 

ข้อ  3  โต้งหลอกลวงเตี้ยว่า  จะช่วยให้บุตรของเตี้ยเข้าเป็นเสมียนปกครองได้ตามที่สมัครสอบไว้  เตี้ยหลงเชื่อจึงให้เงินแก่โต้งไป  แต่ปรากฏว่าบุตรของเตี้ยสอบเข้าไม่ได้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าเตี้ยจะเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

โต้งเพียงหลอกลวงเตี้ยว่าจะช่วยให้บุตรของเตี้ยเข้าเป็นเสมียนปกครองได้ตามที่สมัครสอบไว้  เมื่อไม่ปรากฏว่าเตี้ยให้เงินแก่โต้งไปเพื่อให้โต้งนำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต  จึงไม่ถือว่าเตี้ยร่วมกับโต้งนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิด  ดังนั้น  เตี้ยจึงเป็นผู้เสียหายตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  มีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงได้  (ฎ. 4744/2537)

ข้อ  4  ชัยเป็นบุตรบุญธรรมขอบชาติ  ต่อมาชาติถูกชั่วฆ่าตาย  คดีนี้ความผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  ชัยจึงได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร  อ.เมือง  จ.นครสวรรค์  เพื่อให้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับชั่วในข้อหาความผิดฐานฆ่าชาติตายโดยเจตนา  ในกรณีดังกล่าวนี้ให้วินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ของชัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และถ้าต่อมาปรากฏว่าชั่วถูกจับกุมตัวได้ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  จะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  3(1)  บุคคลดั่งระบุในมาตรา  4, 5  และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5(2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

ภายใต้บทบัญญัติแห่ง  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคล  2  จำพวก  คือ  ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง  กับบุคคลอื่นที่อำนาจจัดการแทน  ซึ่งได้แก่บุคคลดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6  ซึ่งตามมาตรา  5(2)  นั้น  เป็นการจัดการแทนกันระหว่างบุคคลสองคู่ด้วยกัน  คือ

1       ผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน

2       สามีกับภริยา

ซึ่งจะเห็นว่าบุตรบุญธรรมไม่ใช่ผู้สืบสันดานและผู้รับบุตรบุญธรรมก็ไม่ใช่บุพการีของบุตรบุญธรรม  ชัยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  ชัยจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับชั่วไม่ได้  การร้องทุกข์ของชัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  2 (7)  ประกอบมาตรา  3(1)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ชั่วถูกจับกุมตัวได้ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  ย่อมมีอำนาจสอบสวนคดีนี้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (ฎ. 1681/2535  ฎ. 784/2483)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  การสัมภาษณ์พยานหมายความว่าอย่างไร  มีข้อปฏิบัติในการสัมภาษณ์พยานอย่างไร

ธงคำตอบ

การสัมภาษณ์พยาน  คือ  การสนทนาเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ที่สืบสวนพยาน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อได้ข้อมูลจากผู้ถูกสัมภาษณ์ว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลและสถานที่ในคดี  และมีความรู้ถึงอาชญากรรมหรือสถานการณ์เกี่ยวกับคดีนั้นๆว่าเป็นอย่างไร

การสัมภาษณ์พยานจะต้องกระทำโดยยึดหลักดังนี้

1       จะไม่ถามเชิงแนะนำที่ดูเหมือนว่าต้องการคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง  เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องมีแผนในการสัมภาษณ์เพื่อประหยัดเวลา

2       จะไม่ป้อนข่าวและข้อมูลให้แก่พยานที่ไม่รู้มาก่อน  เพราะพยานอาจจะเพิ่มเติมเรื่องของตนเข้าไปผสมผสานกับคำแนะนำหรือความเห็นจากการป้อนข่าวของเจ้าหน้าที่  ซึ่งอาจเป็นไปโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ทำให้ผลที่ได้ในเรื่องดังกล่าวไม่ตรงกับที่พยานได้เห็นเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุนั้น

3       สิ่งที่ต้องการได้แก่เรื่องจริงที่จำได้เท่านั้นจึงจะเป็นลักษณะของงานสืบสวนที่กำลังปฏิบัติอยู่

4       ต้องไม่ย่อท้อเมื่อสัมภาษณ์พยานแต่ละคน  จนกว่าจะสามารถรู้เรื่องที่พยานรู้และได้เห็นโดยตลอด  และเข้าใจชัดเจนปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นในความคิดขนาดที่ผู้สืบสวนคดีสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคนเห็นหรือได้ยินด้วยตนเองหรือเสมือนกับว่าตนได้อยู่ในที่นั้นด้วย

5       พิจารณาโดยมิให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่าพยานเชื่อถือได้  ไว้ใจได้  และมีความสามารถขนาดไหน  ควรรู้จักธรรมชาติของพยานเพื่อสรุปอย่างตรงประเด็นว่าพยานรู้อะไร  เห็นอะไร  และไม่รู้อะไร  ไม่เห็นอะไร

6       รักษามารยาทที่ดีงามตามแบบแผนและประเพณีของสังคม  ทั้งต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน  (Human  Rights)  ด้วย

 

ข้อ  2  AFIS  คืออะไร  มีขอบข่ายการทำงานอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

ระบบพิมพ์ลายนิ้วมืออัตโนมัติ  หรือ  AFIS  คือ  เครื่องตรวจลายพิมพ์นิ้วมือโดยอัตโนมัติ  (ลายนิ้วมือ  ฝ่ามือ  ฝ่าเท้า)  ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในวิชาการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคล

เครื่องตรวจลายนิ้วมืออัตโนมัตินี้  เป็นเครื่องมือที่สามารถทำประโยชน์อย่างมากให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนและติดตามตัวผู้กระทำความผิด  โดยเฉพาะคดีที่ยังหาตัวผู้ต้องสงสัยไม่ได้และคาดว่าผู้ต้องสงสัยน่าจะเคยกระทำความผิดมาก่อน  โดยลายนิ้วมือแฝงที่เก็บได้จากสถานที่เกิดเหตุสามารถนำมาตรวจเปรียบเทียบกับข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของอาชญากรที่เก็บไว้ในสารบบได้ด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง  ซึ่งผลของการปฏิบัติงานมีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดได้เป็นจำนวนมาก

ขอบเขตการทำงานของเครื่องตรวจลายนิ้วมืออัตโนมัติ

1       ตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือแฝงที่เก็บได้จากสถานที่เกิดเหตุ  กับลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้วของคนร้ายที่เก็บไว้ในสารบบ  เป็นงานในหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน  ซึ่งเป็นจุดประสงค์สำคัญในการใช้งานของ  AFIS  วิธีนี้เรียกว่า  Latent  to  Inquiry (LI)

2       ตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้ว  ของอาชญากรหรือผู้ต้องสงสัยกับลายนิ้วมือแฝงที่เก็บไว้ในสารบบ เป็นงานในหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน  ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า  Ten  Prin  to  Inquiry  (TLI)

3       ตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้ว  กับลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้วในสารบบ  เป็นการตรวจยืนยันตัวบุคคลเพื่อตรวจสอบประวัติ  ซึ่งเป็นงานของกองทะเบียนประวัติอาชญากร  ซึ่งหากขยายเรื่อง  AFIS  ปัจจุบันให้รับข้อมูลพื้นฐานได้  6,000,000  แผ่น  แล้วจะสามารุเปลี่ยนงานตรวจสอบประวัตินี้เป็นระบบคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน  วิธีการนี้เรียกว่า  Ten  Prin  to  Ten  Inquiry  (TI)

4       ตรวจเปรียบเทียบลายนิ้วมือแฝงในคดีหนึ่งกับลายนิ้วมือแฝงในคดีอื่นๆที่เก็บไว้ในสารบบ  เนื่องจากยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำความผิดได้  เพื่อจะได้ทราบว่าคดีต่างคดีกันได้เกิดขึ้นโดยบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ วิธีการนี้เรียกว่า  Latent  to  Latent  Inquiry  (LLI)  ประโยชน์ที่จะได้รับในการตรวจประเภทนี้ยังมีน้อย  เนื่องจากเป็นวิธีการซึ่งยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้แต่อย่างใด

 

ข้อ  3  เจ้าหน้าที่ของธนาคารไทยพัฒนาได้นำเงินฝากจำนวนหนึ่งล้านบาทของนายชาติซึ่งเป็นลูกค้ารายหนึ่งของธนาคารไทยพัฒนาเข้าบัญชีของนายช่วงโดยผิดพลาด  ปรากฏว่านายช่วงรู้ว่ามีการนำเงินของผู้อื่นเข้าบัญชีของตนโดยผิดพลาด  แต่นายช่วงก็ยังเบิกเงินจำนวนดังกล่าวนั้นออกมาใช้จ่ายจนหมด  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในส่วนของความผิดอาญาที่นายช่วงได้กระทำลงไปนั้น  ใครเป็นผู้เสียหาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

การที่เจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพัฒนาได้นำเงินฝากจำนวนหนึ่งล้านบาทของนายชาติซึ่งเป็นลูกค้ารายหนึ่งของธนาคารเข้าบัญชีของนายช่วงโดยผิดพลาด  และนายช่วงได้ถอนเงินดังกล่าวออกไปใช้จนหมด  ถือว่า  ธนาคารเป็นผู้เสียหาย  เพราะเงินที่จ่ายไปเป็นของธนาคาร กล่าวคือ  ธนาคารเป็นที่รับฝากเงิน  ธนาคารสามารถนำเงินที่ฝากนั้นออกไปใช้ได้  แต่ธนาคารต้องคืนเงินที่ฝากให้กับผู้รับฝากจนครบจำนวน  แม้เงินที่ฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม  ดังนั้น  ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ถ้าต่อมาปรากฏว่านายชาติซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพัฒนาได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายช่วงในความผิดฐานยักยอกตาม  ป.อาญา  มาตรา  352  วรรคสอง  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(5) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวน  เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

นายชาติไม่เป็นผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  นายชาติจึงร้องทุกข์ไม่ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชาติได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายช่วง  การร้องทุกข์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  และ (7)  และเมื่อการร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  เครื่องจับเท็จ (Polygraph)  คืออะไร  มีหลักการวิเคราะห์และประโยชน์อย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

เครื่องจับเท็จจริง  คือ  เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจและบันทึกการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางสรีระที่ไม่สามารถสังเกตจากภายนอกได้  ซึ่งจะบันทึกออกมาในรูปกราฟที่สามารถนำมาประเมินผลวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในเรื่องการพูดจริงหรือเท็จ

หลักการวิเคราะห์

เพื่อบันทึกข้อมูลความดันโลหิต  การเต้นของหัวใจ  และการเปลี่ยนแปลงความต้านทานกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนัง  แล้วนำข้อมูลที่แสดงเป็นรูปกราฟนั้นมาวิเคราะห์

ประโยชน์ในการใช้เครื่องจับเท็จ

เครื่องจับเท็จเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการบันทึกของเครื่องมาเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ว่าบุคคลนั้นพูดจริงหรือพูดเท็จ

เครื่องจับเท็จใช้ในงานด้านการสืบสวนเพื่อประโยชน์  ดังนี้

1)    ตรวจพยานบุคคลว่าเชื่อถือได้เพียงใด

2)    เพื่อคัดแยกผู้บริสุทธิ์ออก

3)    จำกัดจำนวนผู้ต้องสงสัย

4)    ช่วยพนักงานสอบสวนในการสืบหาตัวผู้กระทำผิด

 

ข้อ  2  ให้อธิบายความหมายของการตรวจสถานที่เกิดเหตุ  และมีหลักการปฏิบัติในการตรวจอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ  หมายความถึง  การตรวจวิเคราะห์สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มแรกของการกระทำความผิดทั้งหลาย  รวมทั้งบริเวณที่เกี่ยวเนื่องจากการกระทำผิดนั้นๆด้วย  โดยมีวัตถุประสงค์จะแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ในการติดตามตัวคนร้ายและพิสูจน์การกระทำความผิด  ผู้ที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุจำต้องตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อให้ทราบเบื้องต้นว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด  กระทำอย่างไร  ด้วยวิธีการใด  วันเวลาที่เกิดเหตุ  และมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการกระทำผิดอย่างไร  เนื่องจากโดยหลักการแล้วไม่มีอาชญากรรมใดที่กระทำได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ในสถานที่เกิดเหตุ  ดังนั้น  ถ้าผู้ตรวจที่เกิดเหตุได้ทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างมีระเบียบแบบแผน  ขั้นตอน  ตามหลักการแล้ว  จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากพยานวัตถุต่างๆในสถานที่เกิดเหตุซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จสามารถคลี่คลายคดีนั้นๆได้

หลักการตรวจสถานที่เกิดเหตุ

ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ  มีหลักปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1       เมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องรีบเดินทางไปให้ถึงสถานที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด  เพราะว่าถ้าปล่อยไว้เนิ่นนาน  ร่องรอยพยานหลักฐานอาจถูกทำลาย  สูญหาย  หรืออาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ  ซึ่งการไปถึงสถานที่เกิดเหตุด้วยความรวดเร็วจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ  เช่น  สามารถระงับเหตุได้ทันท่วงที  ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามอันทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง  นอกจากนี้หากคนร้ายยังอยู่ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจพบตัวคนร้ายและทำการจับกุมตัวได้

2       เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว  ต้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุแล้วจึงเริ่มลงมือตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดถี่ถ้วน  เพราะการป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุดถือว่าเป็นหัวใจของการตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายคดีได้ในที่สุด

3       ทำแผนที่สังเขปและถ่ายรูปสิ่งต่างๆในที่เกิดเหตุ  ซึ่งการถ่ายรูปไว้จะช่วยในการพิจารณาในภายหลังได้อีกในกรณีที่เรามองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป

4       การค้นหาร่องรอยและพยานหลักฐานต้องทำการเก็บให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อป้องกันการผิดพลาด  และสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในขั้นพิจารณาของศาลได้  หรือสามารถส่งไปตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้  โดยวัตถุที่ส่งไปตรวจไม่เสียหาย

5       ในขณะทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุควรสอบถามว่ามีผู้ใดเข้าไปในที่เกิดเหตุหรือมีการเคลื่อนย้ายสิ่งของใดหรือไม่  และถ้าพบบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ให้รีบซักถามหรือสอบสวนทันที

6       ในคดีสำคัญๆถ้าเห็นว่า  การตรวจสถานที่เกิดเหตุอาจไม่ละเอียดเพียงพอหรือต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย  ก็ให้ป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุให้คงสภาพเดิมมากที่สุด  เช่น  กรณีสถานที่เกิดเหตุอยู่ในอาคาร  ตัวบ้าน  ห้อง  ให้กั้นโดยการปิดล็อกทางเข้าทุกทาง  หรือหากสถานที่เกิดเหตุอยู่นอกอาคาร  เช่น  บนทางเท้า  สวนสาธารณะ  ให้ใช้เชือกหรือแผงเหล็กจราจรกั้นล้อมบริเวณที่เกิดเหตุไว้  ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุได้  หรืออาจจัดยามเฝ้าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าไปทำลายพยานหลักฐานเพื่อประโยชน์ในการตรวจในคราวต่อไป

7       กรณีพบผู้บาดเจ็บในสถานที่เกิดเหตุ  ให้ทำการปฐมพยาบาลแล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นอันดับแรก  ในการนำส่งผู้บาดเจ็บควรมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วยทุกครั้ง  เพราะผู้บาดเจ็บอาจพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีได้  โดยเฉพาะคำกล่าวของคนใกล้ตายที่รู้ว่าจะถึงแก่ความตายสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานทางคดีได้  ในกรณีที่พบศพห้ามเคลื่อนย้ายจนกว่าจะได้รับการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย

8       สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดแรกควรปฏิบัติขณะที่รอผู้ชำนาญการมาถึง  เจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานที่เกิดเหตุไม่ควรปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์  ควรใช้เวลาระหว่างการรอคอยนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วย

 

ข้อ  3  เอ็มได้เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งหนึ่งเป็นจำนวนหนึ่งพันบาท  หลังจากนั้นไม่ได้เอาเงินฝากอีกเลย  ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารได้นำเงินฝากจำนวนสองหมื่นบาทของอ้วนซึ่งเป็นลูกค้าอีกรายหนึ่งของธนาคารเข้าบัญชีของเอ็มโดยผิดพลาด  เอ็มรู้ว่ามีการนำเงินของผู้อื่นเข้าบัญชีของตนโดยผิดพลาด  แต่เอ็มก็ยังถอนเงินดังกล่าวออกไปใช้จนหมด  การกระทำดังกล่าวของเอ็มจึงเป็นความผิดฐานยักยอกตาม  ป.อาญา  มาตรา  352  วรรคสอง ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในความผิดดังกล่าวนี้ใครเป็นผู้เสียหาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

การที่เจ้าหน้าที่ธนาคารได้นำเงินฝากจำนวนสองหมื่นบาทของอ้วนซึ่งเป็นลูกค้าอีกรายหนึ่งของธนาคารเข้าบัญชีของเอ็มโดยผิดพลาด  และเอ็มได้ถอนเงินดังกล่าวออกไปใช้จนหมด  ถือว่าธนาคารเป็นผู้เสียหาย  เพราะเงินที่จ่ายไปเป็นของธนาคาร  กล่าวคือ  ธนาคารเป็นที่รับฝากเงิน  ธนาคารสามารถนำเงินที่ฝากนั้นออกไปใช้ได้  แต่ธนาคารต้องคืนเงินที่ฝากให้กับผู้รับฝากจนครบจำนวน  แม้เงินที่ฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม  ดังนั้น  ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)

ข้อ  4  เกรียงไกรงัดตู้โทรศัพท์สาธารณะขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยแล้วเอาเหรียญกษาปณ์ที่ค้างอยู่ในตู้ไป  โดยเงินดังกล่าวนั้นเป็นเงินของประชาชนที่มาใช้โทรศัพท์แล้วไม่สามารถติดต่อปลายทางได้  ทำให้เหรียญกษาปณ์ตกลงไปในช่องคืนเหรียญ  แต่เจ้าของเหรียญกษาปณ์ยังเอาเหรียญกษาปณ์คืนไปไม่ได้เพราะเหรียญกษาปณ์ติดค้างอยู่บนกระดาษที่เกรียงไกรเอาไปอุดไว้  หลังจากนั้นเกรียงไกรก็เข้าไปงัดตู้โทรศัพท์โดยใช้ลวดเขี่ยให้เหรียญกษาปณ์ไหลลงมาแล้วเอาเหรียญนั้นไป  ปรากฏว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับเกรียงไกรในความผิดฐานลักทรัพย์  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(5) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

วินิจฉัย

ถือได้ว่าเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวนั้นยังเป็นของผู้ใช้โทรศัพท์อยู่  เพราะเหตุที่เหรียญติดค้างเพราะกระดาษที่เกรียงไกรเอาไปอุดไว้ความครอบครองยังอยู่กับเจ้าของเหรียญกษาปณ์อยู่  ผู้เสียหายในคดีนี้ก็คือ  ประชาชนที่มาใช้โทรศัพท์  ดังนั้น  การร้องทุกข์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตาม  ป. วิอาญา มาตรา  2(4) (7)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายความหมายของพยานหลักฐาน  และคุณค่าของพยานวัตถุ

ธงคำตอบ

พยานหลักฐาน  หมายถึง  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคล  ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์  ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวง  หรือมิชอบประการอื่นๆ

คุณค่าของพยานหลักฐาน  ความสำคัญของพยานหลักฐานอยู่ที่การยอมรับของศาล  หากศาลยอมรับถือว่าพยานมีน้ำหนักรับฟังได้

คุณค่าของพยานวัตถุ

1       เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงการเกิดขึ้นจริงของคดี  หรือเป็นการพิสูจน์ว่ามีความผิดเกิดขึ้น

2       เชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายหรือสถานที่เกิดเหตุ

3       สามารถชี้ตัวผู้กระทำความผิด  และป้องกันผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหาได้

4       สามารถยืนยันคำให้การของผู้เสียหาย

5       ทำให้เกิดการรับสารภาพ

6       เชื่อถือได้มากกว่าประจักษ์พยาน

7       ช่วยศาลในการวินิจฉัยคดี  โดยเฉพาะพยานที่ผ่านการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

8       ใช้ในการยุติข้อโต้แย้งของคดี

 

ข้อ  2  ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรมในการสืบสวนมีหลักการพิจารณาสำคัญๆอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรมในการสืบสวนมีหลักการพิจารณา  ดังนี้

1       พิจารณาจากบาดแผล

–                    ตำแหน่งของบาดแผล  จำนวนบาดแผล  จุดเริ่มต้นของบาดแผล  บาดแผลที่กระดูก  บาดแผลจากการป้องกันตัว

–                    แผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย

–                    การฉีกขาดของเครื่องแต่งกาย

–                    คราบโลหิตที่มือ

–                    อาวุธ  การเลือกอาวุธ  จำนวนอาวุธ

–                    ร่องรอย  สิ่งของต่างๆ  เช่น  เสื้อผ้า  กางเกง

–                    การไหลของโลหิต

2       ร่องรอยการต่อสู้ในสถานที่เกิดเหตุ

–                    รอยโลหิต  ร่องรอยการดิ้นรนต่อสู้  การล้มลงของเฟอร์นิเจอร์

–                    ร่อยรอยอาวุธ  กรณีพบรอย  เช่น  รอยมีด  รอบขวาน  รอยถูกยิง  ปลอกกระสุน

–                    บาดแผลป้องกันตัว

–                    รอบขีดข่วน  รอยถลอกตามร่างกาย

–                    สภาพของเสื้อผ้าฉีกขาด

3       เหตุจูงใจในการตาย

สภาพปัญหาทางร่างกาย  จิตใจ  ปัญหาครอบครัว  การเรียน  การทำงาน  ปัญหาทางเศรษฐกิจ  อาจสอบถามจากญาติ เพื่อน  คนใกล้ชิด

 4       สภาพทางเข้า  ออก ของสถานที่เกิดเหตุ

5       ร่องรอยอาชญากรรมอื่นในสถานที่เกิดเหตุ

 

ข้อ  3  นายต้น  อายุ  21  ปี  เป็นบุตรบุญธรรมของนายต้อม  ต่อมานายต้นถูกนายเตี้ยฆ่าตาย  นายต้อมจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเตี้ย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ของนายต้อมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  3 (1)  บุคคลดังระบุในมาตรา  4, 5 และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5(2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

วินิจฉัย

บุตรบุญธรรมไม่ใช่ผู้สืบสันดาน  ปละผู้รับบุตรบุญธรรมก็ไม่ใช่บุพการีของบุตรบุญธรรมเช่นกัน  ตามมาตรา  5(2)  นายต้อมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  ดังนั้น  การร้องทุกข์ของนายต้อมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  2  (7)  ประกอบมาตรา 3 (1)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่นายต้นถูกนายเตี้ยฆ่าตาย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน  พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  แม้การร้องทุกข์ของนายต้อมไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม  เนื่องจากในคดีความผิดอาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (ฎ. 1681/2535 ฎ. 784/2483)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายถึงวิธีการสืบสวนคดีอาญาว่ามีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

วิธีการสืบสวนคดีอาญามี  5  วิธีคือ

1       การซักถามบุคคล

2       การตรวจสถานที่เกิดเหตุ

3       การเฝ้าตรวจบุคคลสิ่งของและสถานที่โดยวิธีปิด

4       การใช้สายลับ

5       ข่าวกรองตำรวจ

ข้อ  2  การสอบสวนมีความสำคัญต่อการฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการอย่างไร  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  120  ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใด  โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  120  อำนาจของพนักงานอัยการในการฟ้องคดีอาญาทั้งปวงนั้นหมายถึงคดีอาญาทุกความผิด  ไม่ว่าจะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวหรือต่ออาญาแผ่นดินก็ตาม  พนักงานอัยการจะฟ้องคดีได้ก็ต่อเมื่อมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนในความผิดนั้นแล้วเท่านั้น  อนึ่ง  การสอบสวนนั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย  ถ้าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเป็นไปโยไม่ชอบ  พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้อง  (ฎ. 3831/2532)

 

ข้อ  3  นายสนิทเป็นทนายความของนายสนอง  (ตัวความ)  ต่อมาปรากฏว่านายสนิทรับชำระเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทจากฝ่ายตรงข้าม โดยที่นายสนองไม่ได้มอบหมายให้นายสนิทมีอำนาจรับเงินจากฝ่ายตรงข้าม  และนายสนิทได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริต  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ในความผิดอาญาที่นายสนิทได้กระทำไปนั้นใครคือผู้เสียหาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

นายสนอง  (ตัวความ)  ไม่เป็นผู้เสียหาย  ผู้เสียหายในกรณีนี้คือฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเจ้าของเงิน  ตาม  ป.วิ. อ. มาตรา  2 (4)  เนื่องจากเงินดังกล่าวนายสนิททนายความไม่ได้รับมอบอำนาจจากนายสนองให้มีอำนาจรังเงินจากฝ่ายตรงข้าม  เมื่อฝ่ายตรงข้ามมอบเงินให้แก่นายสนิท  เงินนั้นก็ยังคงเป็นของฝ่ายตรงข้าม  ไม่ได้เป็นของนายสนิทแต่อย่างใด  ดังนั้น  นายสนองไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์  (ฎ. 815/2535 (ที่ประชุมใหญ่))

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ถ้าต่อมาปรากฏว่านายสนองได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายสนิทในความผิดอาญาดังกล่าว  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดโดยส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวน  เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

นายสนอง  (ตัวความ)  ไม่เป็นผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อ. มาตรา  2(4)  นายสนองจึงร้องทุกข์ไม่ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสนองได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายสนิท  การร้องทุกข์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตาม  ป.วิ.อ มาตรา  2(4)  และ  (7)  และเมื่อการร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อ  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ในทางคดีอาญา  การตรวจสถานที่เกิดเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพยานหลักฐานต่างๆ  ในสถานที่เกิดเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ให้อธิบายว่าหลักการตรวจสถานที่เกิดเหตุควรมีหลักปฏิบัติขั้นตอนอย่างไร

ธงคำตอบ

1       เมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องรีบเดินทางไปให้ถึงสถานที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุดและปลอดภัย

2       เมื่อไปถึงต้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ  แล้วจึงเริ่มลงมือตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดถี่ถ้วน  ป้องกันสถานที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด

3       ทำแผนที่สังเขป  และถ่ายรูปสิ่งต่างๆในที่เกิดเหตุไว้

4       ค้นหาร่องรอยและพยานหลักฐาน  ต้องทำการเก็บให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายและตามหลักวิทยาศาสตร์  เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้

5       ในขณะทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุควรสอบถามว่ามีผู้ใดเข้าไปในที่เกิดเหตุหรือไม่  มีการเคลื่อนย้ายสิ่งของใดหรือไม่

6       ในคดีสำคัญควรเรียกผู้เชี่ยวชาญมาร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย

7       กรณีมีผู้บาดเจ็บให้ปฐมพยาบาลแล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล

ข้อ  2  เจ้าพนักงานผู้สอบสวนคดีอาญา  นอกจากจะต้องเป็นผู้รู้ตัวบทกฎหมายแล้ว  ผู้สืบสวนจะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญและยึดถือหลักปฏิบัติอย่างไร

ธงคำตอบ

ผู้สืบสวนที่ดีควรจะต้องมีคุณสมบัติและยึดถือหลักปฏิบัติดังต่อไปนี้

1       ต้องตั้งตนเป็นกลาง

2       มีความอดทนและเพียรพยายาม

3       มีปฏิภาณไหวพริบดี

4       มีความกล้าหาญ

5       ต้องเพาะความนิยม

6       ต้องมีความรอบคอบ

7       มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคสมัยใหม่

8       มีความสำนึกในเกียรติและซื่อตรงต่อหน้าที่

 

ข้อ  3  นายเจมส์  อายุ  18  ปี  บิดาและมารดาถึงแก่ความตายหมดแล้ว  นายเจมส์มีพี่ชายเพียงคนเดียวคือนายโจ  ต่อมานายเจมส์ถูกนายจอมฆ่าตาย  นายโจจึงไปแจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายจอม  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  คำกล่าวหาของนายโจเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  ,  5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  3 (1)  บุคคลดั่งระบุในมาตรา  4, 5  และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผุ้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5 (2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีภรรยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

วินิจฉัย

ภายใต้บทบัญญัติแห่ง  ป. วิอาญา  มาตรา  2 (4)  ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคล  2  จำพวก  คือ  ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง  กับบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน  ซึ่งได้แก่บุคคลดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4 , 5 และ 6  ซึ่งตามมาตรา  5 (2)  นั้น  เป็นการจัดการแทนกันได้ระหว่างบุคคลสองคู่ด้วยกัน  คือ

1       ผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน

2       สามีกับภริยา

ซึ่งจะเห็นว่าพี่ชายไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2 (4)  ประกอบมาตรา  5 (2)  นายโจจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายจอม  ตามมาตรา  2 (7)  ประกอบมาตรา  3 (1)  ไม่ได้  ดังนั้นคำกล่าวหาของนายโจจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่นายเจมส์ถูกนายจอมฆ่าตาย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน  พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  เนื่องจากในคดีความผิดอาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป. วิ . อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  เทียบนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1681 / 2535 , 784/2483)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ซ่อมภาคฤดูร้อน/2551

การสอบซ่อมภาค  2  และภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ผู้เสียหายในคดีอาญามีความหมายว่าอย่างไร  มีกี่ประเภท  อะไรบ้าง  ให้อธิบายมาโดยละเอียด  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4  5  และ  6

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกอธิบายได้ดังนี้

1       ผู้เสียหายโดยตรง  คือ  ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งการจะพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือเป็นผู้เสียหายโดยแท้จริงนั้น  มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  คือ

 ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น

บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น

เป็นความเสียหายต่อสิทธิ

บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

2       ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  คือ  แม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายแท้จริงแต่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในความหมายของคำว่า  ผู้เสียหาย  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย

มาตรา  4  ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีและเป็นผู้เสียหายโดยตรง  หญิงมีสามีนั้นสามารถฟ้องคดีอาญาได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  ตามกฎหมายถือว่าหญิงมีสามีมีอำนาจเต็มทุกประการ  ทั้งนี้ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  4  วรรคแรก

มาตรา  4  วรรคสอง  มามีมีอำนาจจัดการ  (ฟ้องคดีอาญา)  แทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  5(2)  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย

มาตรา  5  บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5  นั้นได้แก่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยา  เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคล  เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  6

กรณีที่จะมีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลนั้นตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา  6  นั้น  มีอยู่  2  ประการ  คือ

(1) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์  ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์

(2) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ  ไม่มีผู้อนุบาล  หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้อนุบาลมีผลประโยชน์ขัดกันกับคนไร้ความสามารถ

 

ข้อ  2  คำร้องทุกข์กับคำกล่าวโทษแตกต่างกันอย่างไร  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

คำร้องทุกข์กับคำกล่าวโทษเป็นกระบวนการในการดำเนินคดีอาญาภายใต้ระบบกล่าวหา  โดยมีข้อแตกต่างกันดังนี้

คำร้องทุกข์  หมายถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  (ป. วิอาญา  มาตรา  2(7))

คำกล่าวโทษ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดี  ได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งขึ้น  (ป. วิอาญา  มาตรา  2(8))

ข้อ  3  นางสาวน้ำ  อายุ  17  ปี  ถูกนายเสือกระทำอนาจาร  ให้วินิจฉัยว่า  นางสาวน้ำซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  (4)  ผู้เสียหาย  หมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  , 5    และ  6

มาตรา  2  (7)  คำร้องทุกข์  หมายถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

นางสาวน้ำซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่สามารถร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเสือได้  ตามมาตรา  2(4) , (7)  เนื่องจากศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่า  การร้องทุกข์ไม่ใช่การทำนิติกรรม  เมื่อมีอายุพอสมควรย่อมร้องทุกข์เองได้  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติตัดสิทธิแต่อย่างใด

ข้อ  4  นายเมฆเป็นทนายความของนายหมอก  (ตัวความ)  ต่อมาปรากฏว่านายเมฆรับชำระเงินจำนวนห้าหมื่นบาทจากฝ่ายตรงข้าม  โดยที่นายหมอกไม่ได้มอบหมายให้นายเมฆมีอำนาจรับเงินจากฝ่ายตรงข้าม  และนายเมฆได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริต  นายหมอกจึงไปแจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเมฆ  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

คดีนี้ผู้เสียหายคือคู่ความฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเจ้าของเงินในความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ดังนั้น  เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน  เนื่องจากในคดีความผิดต่อส่วนตัว  ถ้าสอบสวนโดยไม่มีคำร้องทุกข์หรือมีคำร้องทุกข์แต่เป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการสอบสวนคดีนั้น  ตาม  ป. วิ. อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงขั้นตอน  เค้าโครงการดำเนินคดีอาญา  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  ตั้งแต่มีการกระทำความผิดอาญาจนถึงศาลมาโดยสังเขป  พร้อมอ้างหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ขั้นตอน  เค้าโครงการดำเนินคดีอาญา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มีดังนี้

1       เริ่มต้นด้วยการมีคำกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น  คำกล่าวหาเช่นว่านี้ก็ได้แก่  คำร้องทุกข์โดยผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ. อาญา  มาตรา  2(7)  หรือคำกล่าวโทษตาม  มาตรา  2 (8)  โดยอาจเป็นการกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  123  และประกอบมาตรา  127  หรืออาจจะเป็นการกล่าวหาต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  ซึ่งมีหน้าที่รองหรือเหนือพนักงานสอบสวนและเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายก็ได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  124  และประกอบมาตรา  127  กรณีของคำกล่าวโทษ

2       พนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบสวนตามคำกล่าวหา  ซึ่งจะมีอำนาจสอบสวนได้ทั้งกรณีความผิดต่อส่วนตัวและความผิดต่ออาญาแผ่นดิน

3       เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดในการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนเสร็จแล้วก็ต้องสรุปสำนวนพร้อมทำความเห็นทางคดี  เช่น  งดการสอบสวน  ควรให้งดการสอบสวน  สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง  แล้วส่งสำนวนต่อไปยังพนักงานอัยการ (ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  140 , 141  และมาตรา  142)

4       เมื่อสำนวนส่งถึงพนักงานอัยการ  พนักงานอัยการก็จะมีความเห็นทางคดี  เช่น  สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง  ถ้าพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องก็ต้องส่งสำนวนเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด  แล้วแต่กรณี  (ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา  145)  และถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด  แล้วแต่กรณีมีความเห็นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ  ก็ให้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด  และกฎหมายกำหนดว่าให้แจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีนี้ให้ผู้ต้องหาและผู้ร้องทุกข์ทราบด้วย  และถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุมหรือขังอยู่ให้จัดการปล่อยตัวไปหรือขอให้ศาลปล่อยแล้วแต่กรณี  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  146)  และนอกจากนี้  มาตรา  147  ยังกำหนดไว้อีกว่า  เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว  ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นเรื่องเดียวกันนั้นอีก  เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี  ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้

5       ในกรณีพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง  กระบวนการพิจารณาก็จะไปสู่ศาลชั้นต้น  คือพนักงานอัยการจะยื่นฟ้องคดีต่อศาล  ซึ่งในกรณีพนักงานอัยการฟ้องนี้จะไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  162 (2))  แต่ถ้ากรณีผู้เสียหายหรือราษฎรฟองกันเองต้องไต่สวนมูลฟ้องทุกกรณี  (ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  162 (1))

6       เมื่อได้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว  คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลต่อไป  ถึงแม้ว่าจะได้ฟ้องคดีต่อศาลแล้วก็ตาม  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทยพุทธศักราช  2550  ในหมวด  3  ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย  มาตรา  39  ก็ได้  บัญญัติคุ้มครองไว้ว่า  ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด

 

ข้อ  2  สิทธิของผู้ต้องหาในการดำเนินคดีอาญามีอะไรบ้าง  ให้ตอบเป็นข้อๆพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ในการดำเนินคดีอาญาผู้ต้องหามีสิทธิดังนี้

1       กรณีผู้ต้องหาเป็นนิติบุคคล  ย่อมมีสิทธิตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  7

ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหา  การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นนิติบุคคลนั้นกฎหมายให้ออกหมายเรียกผู้จัดการ  หรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคลนั้นให้ไปยังพนักงานสอบสวนได้  และถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกจะออกหมายจับผู้นั้นมาก็ได้  แต่เมื่อจับมาแล้วจะใช้บทบัญญัติว่าด้วยปล่อยชั่วคราวกับผู้นั้นไม่ได้

2       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  7/1

ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมหรือขัง  มีสิทธิแจ้งหรือขอให้เจ้าพนักงานแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหามีสิทธิดังต่อไปนี้ด้วย

(1) พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว

(2) ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้ใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน

(3) ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร

(4) ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย

ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมอบตัวผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีหน้าที่แจ้งให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหานั้นทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิดังกล่าว

3       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  134  ซึ่งโดยสรุปคือ

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว  ต่อเนื่อง  และเป็นธรรม

(2) พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหา  และแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้

4       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  135  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

(1) ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

(2) ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้

5       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  134/3  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

ผู้ต้องหามิสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

6       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  135  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ถูกสอบสวนโดยมิชอบด้วย  ป.วิอาญา มาตรา  135

7       สิทธิของผู้ต้องหา  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย  พ.ศ. 2550  อาทิเช่น

(1) ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด (มาตรา  39) 

(2) สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม  รวมทั้งสิทธิในการสอบสวนอย่างถูกต้อง  รวดเร็ว  เป็นธรรม  และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง  (มาตรา  40 (4))

(3) สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง  และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ (มาตรา  40 (5))

 

ข้อ  3  หนุ่ยกับโหน่งสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนุ่ยจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4    5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

หนุ่ยจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้  เพราะหนุ่ยไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย  เนื่องจากหนุ่ยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้กระทำความผิดด้วยจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย  ดังนั้น  หนุ่ยจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2 (4) และ (7)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3 ข้างต้นนั้น  ให้วินิจฉัยว่า  ถ้าหนุ่ยได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งแล้ว  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่หนุ่ยกับโหน่งสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายกันจนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดินพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (เทียบนัยคำพิพากษาฎีกาที่  1681/2535,  748/24831)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  หลักการสัมภาษณ์พยานมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การสัมภาษณ์พยานจะต้องกระทำโดยยึดหลัก  ดังนี้

1       จะไม่ถามเชิงแนะนำที่ดูเหมือนว่าต้องการคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง  เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องมีแผนในการสัมภาษณ์เพื่อประหยัดเวลา

2       จะไม่ป้อนข่าวและข้อมูลให้แก่พยานที่ไม่รู้มาก่อน  เพราะพยานอาจจะเพิ่มเติมเรื่องของตนเข้าไปผสมผสานกับคำแนะนำหรือความเห็นจากการป้อนข่าวของเจ้าหน้าที่  ซึ่งอาจเป็นไปโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ทำให้ผลที่ได้ในเรื่องดังกล่าวไม่ตรงกับที่พยานได้เห็นเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุนั้น

3       สิ่งที่ต้องการได้แก่เรื่องจริงที่จำได้เท่านั้นจึงจะเป็นลักษณะของงานสืบสวนที่กำลังปฏิบัติอยู่

4       ต้องไม่ย่อท้อเมื่อสัมภาษณ์พยานแต่ละคน  จนกว่าจะสามารถรู้เรื่องที่พยานรู้และได้เห็นโดยตลอด  และเข้าใจชัดเจนปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นในความคิดขนาดที่ผู้สืบสวนคดีสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคนเห็นหรือได้ยินด้วยตนเองหรือเสมือนกับว่าตนได้อยู่ในที่นั้นด้วย

5       พิจารณาโดยมิให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่าพยานเชื่อถือได้  ไว้ใจได้  และมีความสามารถขนาดไหน  ควรรู้จักธรรมชาติของพยานเพื่อสรุปอย่างตรงประเด็นว่าพยานรู้อะไร  เห็นอะไร  และไม่รู้อะไร  ไม่เห็นอะไร

6       รักษามารยาทที่ดีงามตามแบบแผนและประเพณีของสังคม  ทั้งต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน  (Human  Rights)  ด้วย

 

ข้อ  2  ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรม  พิจารณาเฉพาะบาดแผลมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยละเอียด  (ไม่น้อยกว่า 5  ลักษณะ)

ธงคำตอบ

กรณีตามปัญหาพิจารณาได้ดังนี้

จุดสังเกต

การฆ่าตัวตาย

การถูกฆาตกรรม

1  ตำแหน่งของบาดแผล จำกัดเฉพาะบริเวณที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง  ส่วนใหญ่จะมีบาดแผลด้านหน้า  ส่วนใหญ่จะกระทำที่จุดสำคัญ  เช่น ลำคอ  อก  ท้องข้อพับ  แขน  ข้อมือ  และจะไม่กระทำในส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น หากพบบาดแผลที่ด้านหลังหรือส่วนอื่นที่ไม่ใช่จุดสำคัญของร่างกายแล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกฆ่า
2  บาดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย –  มักจะมีแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  บาดแผลที่เกิดจากการ พยายามฆ่าตัวตายเป็นตัวตัดสินว่าเป็นการฆ่าตัวตาย  เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณา

–  มักจะขนานกับแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตาย  เช่น  ส่วนใหญ่จะเป็นแผลที่ตื้น  และมีหลายแห่ง

–  แต่ก็น้อยที่พบแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตายที่อยู่คนละตำแหน่งกับผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายตามลำคอ  อก  ข้อพับแขน  ข้อมือ  ซึ่งบาดแผลที่เกิดจากการ พยายามฆ่าตัวตาย  โดยการแทงนั้น  ส่วนใหญ่จะเป็นแผลตื้นที่แทงด้วยปลายของมีคมมักจะมีหลาย แห่ง

–  ไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  หากมีบาดแผลหลายแห่ง  ทิศทางจะไม่คงที่  ผู้ถูกฆาตกรรมจะต่อสู้ดิ้นรน  ดังนั้น  จะไม่มีทางเป็นไปได้ที่บาดแผลอยู่ในแนวเดียวกัน

–  อาจมีบางครั้งที่ทำให้ดูเหมือนกับเป็นการฆ่าตัวตายโดยการทำให้เกิดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  ในกรณีนี้จะเป็นแผลที่ไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่มีชีวิต

3  จำนวนบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ ความตาย ปกติบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายจะมีเพียงที่เดียวเท่านั้น  มีบ้างเป็นบางครั้งที่มีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายมากกว่า  2  แห่งพร้อมกัน หากมีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายมากกว่า  2  แห่ง  ให้พิจารณาว่าเป็นการถูกฆาตกรรม  หากทำให้เกิดบาดแผลเป็นจำนวนมากให้พิจารณาว่าเกิดจากความโกรธแค้นอย่างรุนแรง
4  ความลึกของบาดแผล ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลที่ตื้น มีแผลลึกเป็นจำนวนมากหรือแทงจนทะลุ
5  จุดเริ่มต้นของบาดแผล –  บาดแผลเริ่มจากฝั่งตรงข้ามของมือที่ถนัดและถูกปาดไปทางด้านมือที่ถนัด

–  จุดเริ่มต้นบาดแผลนั้นจะลึก

–  ตำแหน่งทิศทางและลักษณะของบาดแผลจะไม่คงที่เมื่อเปรียบเทียบจากมือที่ถนัด
 

6  บาดแผลที่กระดูก

 

–  กรณีแทงบริเวณด้านหน้าอกมักจะหลีกเลี่ยงกระดูกหน้าอกหรือกระดูกซี่โครง  จะแทงระหว่างกระดูกซี่โครง

–  แต่หากของมีคมนั้นมีขนาดใหญ่  อาจทำให้เกิดบาดแผลที่กระดูกซี่โครงด้วย

 

–  หากแทงที่กระดูกหน้าอกให้พิจารณาว่าเป็นการฆาตกรรม  และหากเป็นการแทงจนกระทั่งทำให้กระดูกซี่โครงถูกตัดขาดให้พิจารณาว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรม

7  มีบาดแผลเกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัวหรือไม่ มือหรือแขนไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัว  มีบ้างเป็นบางครั้งที่ถูกของมีคมนั้นพลาดทำให้เกิดบาดแผลขึ้น มักจะพบเห็นบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัวตามแขน  ขา  เนื่องจากกำหรือใช้มือรับอาวุธของฝ่ายตรงข้าม
     


 

ข้อ  3  ดินออกเช็คหนึ่งฉบับชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่ฟ้า  จำนวนเงินที่ระบุในเช็คคือ  120,000  บาท  ซึ่งจำนวนเงิน  120,000  บาทนี้  เป็นเงินต้น  100,000  บาท  และเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  10  ต่อเดือน  เป็นเวลาสองเดือน  คิดเป็นดอกเบี้ย  20,000  บาท  รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน  120,000  บาท  เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ  ฟ้าได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร  แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ฟ้าจะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับดินในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4    5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

จำนวนเงินในเช็คพิพาทได้รวมดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ  10  ต่อเดือนเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งเป็นอัตราที่ผิดกฎหมาย  ถือได้ว่าฟ้าเป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่ฟ้าคิดเกินอัตราตามกฎหมาย  แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  ฟ้าก็ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย  กรณีจึงไม่เป็นผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  ฟ้าจึงร้องทุกข์ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  ไม่ได้

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ถ้าฟ้าได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับดินแล้ว  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

การแจ้งข้อกล่าวหาของฟ้าไม่เป็นคำร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง   เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของไทยเป็นระบบกล่าวหา  ไม่ใช่ระบบไต่สวน  ดังนั้น  เจ้าพนักงานของรัฐจะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญาได้นั้น  ก็ต้องปรากฏว่ามีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายโดยถูกต้องตามกำหมายก่อนนั่นเอง

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  จงอธิบายเรื่องต่อไปนี้

–                    ยกตัวอย่างกฎหมายปกครองมาสามฉบับ

–                    อธิบายว่าเพราะเหตุใดกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครอง

–                    หน่วยงานของรัฐได้แก่หน่วยงานใด

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐได้แก่ใครบ้าง

–                    การใช้อำนาจทางปกครองเป็นอย่างไร

–                    การบริการสาธารณะหมายความว่าอย่างไร

ข  จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายปกครอง  หน่วยงานของรัฐ  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  การใช้อำนาจปกครอง  การบริการสาธารณะ  และศาลปกครอง

ธงคำตอบ  ก

–                    กฎหมายปกครองมีอยู่ประมาณเจ็ดร้อยกว่าฉบับ  เช่น  กฎหมายที่ดิน  และพระราชบัญญัติต่างๆ  นักศึกษาจะยกตัวอย่างกฎหมายฉบับใดก็ได้มา  3  ฉบับ  (ยกเว้นกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา)  เช่น  พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534  พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535  พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร  พ.ศ. 2528  เป็นต้น

–                    กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครองเพราะเป็นกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  และเมื่อเกิดกรณีพิพาทเป็นกรณีพิพาททางปกครอง  จะต้องนำคดีให้ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา

–                    หน่วยงานของรัฐ  ได้แก่  หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  และรัฐวิสาหกิจ

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง  ได้แก่  ข้าราชการ  พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ

–                    การใช้อำนาจทางปกครอง  คือการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมาย  แล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับต่อสถานภาพหรือสิทธิของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร

ธงคำตอบ  ข

กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยหน่วยงานของรัฐ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  จะใช้อำนาจปกครอง  หรือจะดำเนินการในการบริการสาธารณะได้จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้  และเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเรียกว่าเป็นกรณีพิพาททางปกครอง  จะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครอง

 


ข้อ  2  ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า  ผู้ฟ้องคดีกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกันจับกุมผู้ลักลอบนำน้ำมันโซล่าหลบหนีภาษีศุลกากร  (น้ำมันเถื่อน)  เข้ามาในราชอาณาจักร  พร้อมทั้งยึดเรือของกลาง  จำนวน  2  ลำ  ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค  3  มีคำพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าว  แต่ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์  ต่อมาเจ้าของเรือได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสตูลเพื่อขอคืนเรือของกลาง

และคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล  ปรากฏว่าเรือของกลางทั้ง  2  ลำได้หายไป  ผู้ฟ้องคดีจึงได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมองสตูล  แต่ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูลผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ลง บันทึกประจำวันและไม่ได้มีการดำเนินการตามที่ผู้ฟ้องคดีแจ้งความร้องทุกข์

จงวินิจฉัยว่า

1       ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจฟ้องหรือไม่  หลักกฎหมายมาตราใดบัญญัติว่าอย่างไร

2       ฟ้องศาลใด  หลักกฎหมายมาตราใดบัญญัติว่าอย่างไร

3       หากท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้ว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

1       ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจฟ้องตามมาตรา  42  แห่งพระราชบัญญัติ  จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ.  2542  เนื่องจากเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย  หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา  42  วรรคหนึ่ง

2       ต้องนำคดีไปฟ้องศาลปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจ  ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคหนึ่ง  (2)  บัญญัติว่า  คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กำหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

3       สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนด  ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร  ตามบทบัญญัติมาตรา  72 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542 

 


ข้อ  3  
หลักกระจายอำนาจปกครองนั้นเป็นวิธีการจัดระเบียบการปกครองโดยให้ท้องถิ่นต่างๆ  มีความเป็นอิสระตามสมควรที่จะปกครองตนเองโดยราษฎรในท้องถิ่นนั้น  ราชการบริหารส่วนกลางเป็นแต่เพียงกำกับดูแลเท่านั้น  ดังนี้ให้อธิบายสาระสำคัญของ  หลักกระจายอำนาจปกครอง  และ  การกำกับดูแล  ตามที่ได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

หลักการกระจายอำนาจทางปกครอง  เป็นวิธีการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้องค์การอื่นนอกจากราชการบริหารส่วนกลางจัดทำบริการสาธารณะบางอย่างโดยมีอิสระตามสมควร  ไม่ต้องขึ้นอยู่ในความบังคับบัญชาของราชการบริหารส่วนกลาง

ลักษณะสำคัญของหลักกระจายอำนาจปกครอง

1       มีการแยกหน่วยงานออกไปเป็นองค์กรนิติบุคคลอิสระจากราชการบริหารส่วนกลาง

2       มีการเลือกตั้ง

3       มีความเป็นอิสระที่จะวินิจฉัยสั่งการและดำเนินการด้วยงบประมาณและด้วยเจ้าหน้าที่ของตนเอง

การกำกับดูแล  เป้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ  ได้แก่  อำนาจกำกับดูแลของส่วนกลางที่มีอยู่เหนือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น  ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา  อำนาจกำกับดูแลเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและต้องเป็นไปตามรุปแบบที่กฎหมายกำหนด

ลักษณะทั่วไปของการกำกับดูแล

1       อำนาจกำกับดูแลจะต้องก่อตั้งขึ้นโดยกฎหมาย

2       อำนาจกำกับดูแลต้องมาจากส่วนกลาง

3       อำนาจกำกับดูแลเฉพาะความชอบด้วยกฎหมาย

 


ข้อ  4  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอาศัยอำนาจตามกฎหมายข้าราชการตำรวจ  แต่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพันตำรวจเอกรักรามผู้ใต้บังคับบัญชา  และได้มีคำสั่งพักราชการพันตำรวจเอกรักรามในระหว่างการสอบสวนวินัยร้ายแรง  เพื่อรอฟังผลการสอบสวน  โดยอ้างว่าพันตำรวจเอกรักรามดำเนินการปกปิดและทำลายพยานหลักฐานสำคัญ

ในการสอบสวนพันตำรวจเอกรักรามเห็นว่าคำสั่งพักราชการมีผลกระทบต่อสถานภาพของ สิทธิและหน้าที่ของตนเองแม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตาม  โดยที่ตนเองไม่มีโอกาสโต้แย้งแสดงหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาออกคำสั่งพักราชการ  แต่ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาทั้งสองกลับเห็นว่า  คำสั่งพักราชการเป็นเพียงคำสั่งภายในเพื่อรอฟังผลการสอบสวนวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยเท่านั้น

ซึ่งผลการสอบสวนอาจไม่ปรากฏมูลเหตุความผิดวินับร้ายแรงก็ได้  ดังนี้  พันตำรวจเอกรักรามจะโต้แย้งว่า  คำสั่งพักราชการเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน  (ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.  2539  หรือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542)

ธงคำตอบ

คำสั่งพักราชการโจทก์เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาเป็นคำสั่งทางปกครอง  มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของพันตำรวจเอกรักราม  แม้จะเป็นการชั่วคราว  แต่ก็ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  ตามนัยที่บัญญัติไว้ในมาตรา  5 (1)  ห่างพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ให้นิยามคำว่า 

คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  (1)  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวคำสั่ง พักราชการเจ้าหน้าที่พิจารณาทางปกครองจะเห็นสมควรเปิดโอกาสให้คู่กรณีมี สิทธิทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนได้ตามมาตรา  30 (6)  (กฎกระทรวงฉบับที่  2  พ.ศ. 2540)  เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่มิได้ให้โอกาสพันตำรวจเอกรัก รามทราบข้อเท็จจริงก่อนและไม่ให้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานที่อาศัยเป็นเหตุใน การออกคำสั่งพักราชการ  คำสั่งพักราชการจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อาจถูกเพิกถอนได้

หรือพันตำรวจเอกรักรามอาจขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่ง เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น ได้  ตามมาตรา  9(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

สรุป  พันตำรวจเอกรักรามสามารถโต้แย้งคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบ ด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้รับทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาส โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน  ตามมาตรา  30  พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539

หรือพันตำรวจเอกรักรามสามารถโต้แย้งคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการออกคำสั่งทางปกครอง  ตามมาตรา  9 (1)  พะราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

WordPress Ads
error: Content is protected !!