LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงฝากครรภ์กับแพทย์หญิงนุ่นซึ่งเป็นสูติแพทย์ ซึ่งได้ตรวจและยืนยันว่าแดงมีภูมิคุ้มกันจากหัดเยอรมันสามารถตั้งครรภ์ได้ เมื่อถึงวันใกล้คลอด แดงได้ไปนอนที่คลินิกของแพทย์หญิงนุ่น และนกซึ่งเมินวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) ได้ฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณสันหลังแก่แดง เพื่อลดความเจ็บปวดในการคลอดบุตร แล้วทิ้งแดงให้อยู่คนเดียวโดยปราศจากผู้ดูแลเพื่อไปวางยาสลบคนไข้รายอื่นต่อมาอีกครึ่งชั่วโมง แพทย์หญิงนุ่นได้เจาะถุงน้ำคร่ำแดง แล้วทิ้งแดงให้อยู่คนเดียวโดยปราศจากผู้ดูแลเช่นกัน ต่อมาอีกครึ่งชั่วโมง แดงเกิดอาการปวดหัวหายใจไม่ออก จนกระทั่งอยู่ในภาวะวิกฤติแต่ไม่มีการช่วยชีวิตตามวิชาการแพทย์อย่างทันท่วงที จนเป็นเหตุให้แดงถึงแก่ความตาย แต่สามารถช่วยให้บุตรในครรภ์คลอดออกมามีชีวิตรอดได้ ดังนี้ให้วินิจฉัยในกรณีต่อไปนี้

(ก) แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นก ร่วมกันทำละเมิดอันจะต้องร่วมกับรับผิดในความเสียหายต่อชีวิตแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) บอสซึ่งเมินนายจ้างของแดง จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกอันเนื่องมาจากความตายของแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแกบุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกับรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย…”

มาตรา 445 “ในกรณีทำให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่รางกาย หรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกได้ทิ้งแดงให้อยู่คนเดียวโดยปราศจากผู้ดูแล ทำให้เมื่อแดงเกิดอาการปวดหัวหายใจไม่ออก จนกระทั่งอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ไม่มีการช่วยชีวิตตามวิชาการแพทย์อย่างทันท่วงที จนเป็นเหตุให้แดงถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกเป็นละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึงทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและการกระทำของทั้งสองสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือความตายของแดง ทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมา คือ แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกันทำละเมิดอันจะต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายต่อชีวิตแดงหรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่จะถือว่าเป็นการร่วมกันทำละเมิดตามบทบัญญัติมาตรา 432 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ร่วมกระทำได้ร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่แดงได้ถึงแก่ความตายนั้นเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นก ซึ่งทั้งสองไม่มีเจตนาร่วมกันในการกระทำหรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำอันจะเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา 432 ดังนั้น แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกจึงมิความผิดฐานต่างคนต่างกระทำละเมิดต่อแดงโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา 420

(ข) โดยหลักแล้วบอสซึ่งเป็นนายจ้างของแดง สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกอันเนื่องมาจากความตายของแดงในค่าความเสียหายจากการขาดแรงงานในอุตสาหกรรมได้ตามมาตรา 445 แต่เนื่องจากเมื่อแดงซึ่งเป็นลูกจ้างได้ถูกทำละเมิดแล้วตายทันที สัญญาจ้างระหว่างแดงกับบอสจึงสิ้นสุดลง บอสจึงไม่อยู่ในฐานะขาดแรงงาน จึงไม่อาจเรียกร้องค่าขาดแรงงานตามมาตรา 445

สรุป

(ก) แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกไม่ได้ร่วมกันทำละเมิดอันจะต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายต่อชีวิตแดง

(ข) บอสซึ่งเป็นนายจ้างของแดง จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกอันเนื่องมาจากความตายของแดงไม่ได้

 

 

ข้อ 2. นายเอ เดินมาพบนายแดงซึ่งเป็นคู่อริ จึงสั่งให้สุนัขของนายเอกัดนายแดง นายแดงได้รับบาดเจ็บและร้องขอความช่วยเหลือ เป็นเหตุให้นายโชคซึ่งขี่รถจักรยานยนต์อยู่บริเวณดังกล่าวเลี้ยวรถจักรยานยนต์เข้ามาดูเหตุการณ์ ปรากฏว่าถนนเทศบาลมีการซ่อมแซมท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ โดยเปิดฝาท่อทิ้งไว้แต่ไม่มีป้ายเตือนหรือป้ายสัญญาณไฟแต่อย่างใด นายโชคมองไม่เห็นท่อระบายน้ำดังกล่าวจึงขี่รถจักรยานยนต์พลัดตกลงไป ขณะที่นายโชคกำลังจะจมน้ำ นายแมนนักกีฬาว่ายน้ำตัวแทนจังหวัด เดินผ่านท่อระบายน้ำเห็นนายโชคขอความช่วยเหลือ แต่ไม่เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใดต่อมาปรากฎว่านายแดงบาดเจ็บต้องเย็บสิบเข็มเนื่องจากสุนัขกัด และนายโชคจมน้ำในท่อระบายน้ำถึงแก่ความตาย

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า นายแดงและทายาทของนายโชคจะเรียกร้องให้นายเอ เทศบาล และนายแมน รับผิดในทางละเมิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นละเมิดตามมาตรา 420 ประกอบด้วย

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแดงและทายาทของนายโชคจะเรียกร้องให้นายเอ เทศบาล และนายแมนรับผิดในทางละเมิดได้หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีของนายเอ

การที่นายเอสั่งให้สุนัขของตนกัดนายแดงจนได้รับบาดเจ็บต้องเย็บสิบเข็มนั้น การกระทำของนายเอถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเอ จึงถือว่านายเอได้กระทำละเมิดต่อนายแดงตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดง ไม่ใช่กรณีต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายอันเกิดจากสัตว์ตามมาตรา 433 เพราะความรับผิดตามมาตรา 433 ต้องเป็นความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นจากสัตว์นั้นเอง มิใช่ความเสียหายจากสัตว์โดยมีมนุษย์เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นหรือมนุษย์บังคับดูแลอยู่ในขณะนั้น

แต่นายเอไม่ต้องรับผิดต่อทายาทของนายโชคในกรณีที่นายโชคจมน้ำท่อระบายน้ำถึงแก่ความตาย เพราะการที่นายโชคถึงแก่ความตายไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของนายเอ และเป็นผลที่ไกลกว่าเหตุ

  1. กรณีของเทศบาล

การที่เทศบาลได้ทำการซ่อมแซมท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ โดยเปิดฝาท่อทิ้งไว้แต่ไม่มีป้ายเตือนหรือป้ายสัญญาณไฟแต่อย่างใด ทำให้นายโชคมองไม่เห็นท่อระบายน้ำดังกล่าวจึงขี่รถจักรยานยนต์พลัดตกลงไปและจมน้ำจนถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของเทศบาลถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของเทศบาล จึงถือว่าเทศบาลได้กระทำละเมิดต่อนายโชคตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทของนายโชค

  1. กรณีของนายแมน

การที่นายแมนไม่เข้าช่วยเหลือนายโชค ไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อนายโชคตามมาตรา 420 เพราะการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ และกรณีตามอุทาหรณ์นั้น นายแมนไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องช่วยเหลือแต่อย่างใด จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดโดยการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ตามมาตรา 420

ดังนั้น นายแมนจึงไม่ต้องรับผิดต่อทายาทของนายโชค (ส่วนจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เป็นอีกส่วนหนึ่ง)

สรุป นายแดงสามารถเรียกร้องให้นายเอรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา 420 แต่จะเรียกร้องให้เทศบาลรับผิดไม่ได้

ทายาทของนายโชคสามารถเรียกร้องให้เทศบาลรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา 420 แต่จะเรียกร้องให้นายแมนรับผิดไม่ได้

 

 

ข้อ 3. จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงได้ความว่า บิดามารดาของนาย ก. ถึงแก่ความตายไปหมดแล้ว นาย ก. เหลือญาติที่มีอยู่เพียงคนเดียวคือป้าของนาย ก. ก่อนที่นาย ก. จะถูกทำละเมิดถึงแก่ความตาย นาย ก. ได้อุปการะเลี้ยงดูป้าเนื่องจากป้าอายุมากแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ดังนี้ ป้าของนาย ก. จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพจากจำเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสีทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยเป็นละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและกระทำของจำเลยสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือ ความตายของนาย ก. จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย คือ ป้าของนาย ก. จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพจากจำเลยได้หรือไม่ สำหรับกรณีค่าขาดไร้อุปการะนั้นตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น(สามีกับภริยาหรือบิดามารดากับบุตร) เมื่อนาย ก.(ผู้ตาย) ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูป้าของนาย ก. ตามกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้นป้าของนาย ก. จึงไม่มิสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้ายจากจำเลยผู้ทำละเมิด

ส่วนกรณีค่าปลงศพนั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย ดังนั้น ป้าของนาย ก. ซึ่งถือว่าเป็นทายาทตามมาตรา 1629(6) จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพจากจำเลยผู้ทำละเมิดได้

สรุป ป้าของนาย ก. จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะไม่ได้ แต่สามารถฟ้องเรียกค่าปลงศพได้

 

 

ข้อ.4 นายพงษใช้ไม้หน้าสามไล่ตีนายพัฒน์แต่ปรากฏว่านายพัฒน์หลนได้ทันจึงพลาดไปถูกนายแช่มได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิต นายเสกซึ่งเป็นเพื่อนรักของนายแช่มจึงโกรธแค้นและได้ยุให้สุนัขดุของตนที่เลี้ยงไว้กัดนายพงษ์ นายพงษ์คว้ากีตาร์ของนายแอ๊ดฟาดไปที่หัวสุนัขทำให้กีตาร์หักกระเด็นไปถูกนางลำยองแขนหัก ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายพงษ์ต้องรับผิดต่อนายแช่ม(บาดเจ็บสาหัส) นายแอ๊ด (กีตาร์เสียหาย) และนางลำยอง (แขนหัก) หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 449 “บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรก จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้

  1. จะต้องเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น
  2. ภยันตรายนั้นจะต้องเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
  3. เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
  4. ผู้กระทำได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพงษใช้ไม้หน้าสามไล่ตีนายพัฒน์ แต่ปรากฏว่านายพัฒน์หลบได้ทัน จึงพลาดไปถูกนายแช่มได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิตนั้น แม้ข้อเท็จจริงนายพงษ์จะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนายแช่มก็ตาม แต่การกระทำของนายพงษ์ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้นายแช่มได้รับความเสียหายต่อร่างกาย และการกระทำของนายพงษ์สัมพันธ์กับผลของการกระทำ นายพงษ์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายพัฒน์ ฐานกระทำละเมิดตามมาตรา 420

ส่วนกรณีที่นายเสกได้ยุสุนัขคุของตนที่เลี้ยงไว้กัดนายพงษ์ ถือว่านายพงษ์ถูกนายเสกประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายด้วยการใช้สุนัขเป็นเครื่องมือในการทำละเมิด ดังนั้น การที่นายพงษ์คว้ากีตาร์ของนายแอ๊ดฟาดไปที่หัวสุนัขทำให้กีตาร์หักกระเด็นไปถูกนางลำยองแขนหักนั้น การกระทำซองนายพงษ์ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนอันชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ นายพงษ์จึงได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรก คือไม่ต้องรับผิดต่อนายแอ๊ดกรณีกีตาร์เสียหาย และไม่ต้องรันผิดต่อนางลำยองกรณีที่นางลำยองแขนหักแต่อย่างใด (กรณีนี้นายแอ๊ดและนางลำยองอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายเสก ผู้เป็นต้นเหตุให้นายพงษ์ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ตามมาตรา 449 วรรคสอง)

สรุป นายพงษ์ต้องรับผิดต่อนายแช่มตามมาตรา 420 แต่ไม่ต้องรับผิดต่อนายแอ๊ดและนางลำยองเพราะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรก

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้าน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ธนาคารส่งสำเนาใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตไปถึงจำเลย ระบุกำหนดชำระหนี้โดยหักบัญชีตัดยอดภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน และผู้ใช้บัตรจะต้องชำระภายในหนึ่งเดือน เมื่อจำเลย

ใช้บัตรเบิกเงินสดครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559ให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้ โดยใช้หลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจนเกี่ยวกับมูลหนี้ วัตถุแห่งหนี้ กำหนดเวลาชำระหนี้ ผิดนัดและอายุความเริ่มนับ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใด ให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น”

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. การที่ธนาคาร (เจ้าหนี้) ส่งสำเนาใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตไปถึงจำเลย และให้จำเลยต้องชำระหนี้ภายในกำหนด 1 เดือนนั้น ถือว่าหนี้ระหว่างธนาคารและจำเลยเป็นหนี้ที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นจากสัญญา และมีวัตถุแห่งหนี้คือ การส่งมอบทรัพย์สิน
  2. หนี้ระหว่างธนาคารและจำเลย (ผู้ใช้บัตรเครดิต) เป็นหนี้ที่มิได้กำหนดเวลาในการชำระหนี้ลงไว้ ดังนั้นหนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้วโดยพลัน ซึ่งธนาคาร (เจ้าหนี้) ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันเช่นกันตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยได้ใช้บัตรเบิกเงินสดครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 ธันวาคม 2559 ธนาคารตัดยอดบัญชีภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน และผู้ใช้บัตรต้องชำระภายใน 1 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2560 ดังนั้น วันครบกำหนดในการชำระหนี้ตามบัตรคือวันที่ 25 มกราคม 2560 (มาตรา 193 วรรคสอง) ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวย่อมถือว่า จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนแก่ลูกหนี้แล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง

  1. ถ้าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด สิทธิเรียกร้องของธนาคารเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2560 และอายุความจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2560 เป็นต้นไป ตามมาตรา 193/12 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า

“อายุความให้เริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…” (ซึ่งหนี้บัตรเครดิตนั้นจะมีอายุความ 2 ปี)

สรุป หนี้ดังกล่าวมีมูลหนี้เกิดจากสัญญา วัตถุแห่งหนี้คือการส่งมอบทรัพย์สิน กำหนดเวลาชำระหนี้คือวันที่ 25 มกราคม 2560 ถ้าจำเลยไม่ชำระภายในกำหนดจะถือว่าจำเลยผิดนัดและอายุความจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2560 เป็นต้นไป

 

ข้อ 2. เพิ่มเป็นเจ้าหนี้หนึ่งอยู่สองล้านบาท ต่อมาหนึ่งได้รับมรดกเป็นที่ดิน น.ส.3 มายี่สิบไร่ แล้วหนึ่งยกมรดกที่ดินดังกล่าวให้สองและสามโดยเสน่หาทั้งที่รู้ว่าตนมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ สองและสามแยกที่ดินส่วนของตนคนละสิบไร่ สองนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองสี่ ส่วนสามนำที่ดินส่วนของตนไปขายให้ห้า ทั้งสี่และห้าสุจริต เพิ่มมาปรึกษาท่านว่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะต้องดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้ให้ท่านแนะนำ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

มาตรา 238 “การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่งความที่กล่าวม’ในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา ”

มาตรา 239 “การเพิกถอนนั้นย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เพิ่มเป็นเจ้าหนี้หนึ่งอยู่ 2 ล้านบาท และต่อมาหนึ่งได้รับมรดกเป็นที่ดิน น.ส.3 จำนวน 20 ไร่ แล้วหนึ่งได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่สองและสามโดยเสน่หาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตนมีทรัพย์สิน

ไม่พอชำระหนี้นั้น ถือว่าเป็นการฉ้อฉลเพราะทำให้เพิ่มเจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งกรณีนี้เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียว ก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น เพิ่มเจ้าหนี้จึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างหนึ่งกับสองและสามได้ตามมาตรา 237 วรรคหนึ่ง

และเมื่อเพิ่มได้ร้องขอให้มีการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 แล้ว การเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวจะมีผลต่อสี่และห้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การที่สองได้นำที่ดินในส่วนของตนจำนวน 10 ไร่ไปจำนองแก่สี่นั้น เมื่อมีการเพิกถอนการฉ้อฉลแล้ว ที่ดินนั้นย่อมกลับมาเป็นของหนึ่ง และเจ้าหนี้ทุกคนย่อมได้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินแปลงดังกล่าว (มาตรา 239) เพิ่มจึงสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวติดภาระจำนองกับสี่ แม้เพิ่มจะสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้ (ตามมาตรา 214) แต่เพิ่มก็จะบังคับชำระหนี้ได้ตามสิทธิของตนคือในฐานะเจ้าหนี้สามัญเท่านั้น

  1. การที่สามได้นำที่ดินส่วนของตนจำนวน 10 ไร่ไปขายให้แก่ห้านั้น เมื่อปรากฏว่าห้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวไว้โดยสุจริตก่อนมีการฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉล ดังนั้นเมื่อ

มีการเพิกถอนการฉ้อฉลนิติกรรมการให้โดยเสน่หาของหนึ่งและสาม การเพิกถอนดังกล่าวจึงไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของห้า เพิ่มจึงไม่อาจบังคับเอากับที่ดินของห้าได้ตามมาตรา 238

สรุป เพิ่มสามารถเพิกถอนการฉ้อฉลนิติกรรมการให้โดยเสน่หาได้ แต่เพิ่มสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินของสี่ได้ตามสิทธิของตนเท่านั้น จะบังคับเอาจากที่ดินของห้าไม่ได้

 

ข้อ 3. จันทร์เป็นเจ้าหนี้และอังคารเป็นลูกหนี้ในหนี้เงิน 100,000 บาท โดยมีพุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าว ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ อังคาร (ลูกหนี้) ผิดนัด จันทร์จึงเรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ พุธนำเงิน 100,000 บาท ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แต่ปรากฏว่าจันทร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ พุธจึงนำเงิน 100,000 บาทนั้นไปวางที่

สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่จันทร์ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า พฤหัสยังต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าวนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 292 วรรคหนึ่ง “การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ ด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย ”

มาตรา 331 “ถ้าเจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ดีหรือไม่สามารถจะรับชำระหนี้ได้ก็ดีหากบุคคลผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว ก็ย่อมจะเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้

ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่บุคคลผู้ชำระหนี้ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิ หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอน โดยมิใช่ความผิดของตน”

มาตรา 682 วรรคสอง “ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้ที่อังคารเป็นลูกหนี้จันทร์จำนวน 100,000 บาทนั้น ย่อมถือว่าพุธและพฤหัสต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 682 วรรคสอง และเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ อังคารซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดและจันทร์เจ้าหนี้เรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ การที่พุธนำเงิน 100,000 บาท ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แต่จันทร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้นั้น ย่อมถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ดังนั้น พุธจึงมีสิทธินำเงิน 100,000 บาทนั้นไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่จันทร์เจ้าหนี้ได้และทำให้พุธเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้นั้นตามมาตรา 331

และเมื่พุธได้กระทำการวางทรัพย์ตามมาตรา 331 แล้ว การกระทำของพุธย่อมเป็นประโยชน์แก่พฤหัสซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง ดังนั้นพฤหัสจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้รายดังกล่าวต่อจันทร์

สรุป พฤหัสไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าว

 

ข้อ 4. จันทร์และอังคารเป็นหนี้ร่วมของพุธในหนี้เงินสองแสบบาท ต่อมาอังคารตาย และพุธได้เป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของอังคาร โดยพินัยกรรม ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า จันทร์จะเรียกร้องให้พุทธชำระหนี้สองแสนบาทดังกล่าวนั้นได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 299 วรรคสอง “ถ้าสิทธิเรียกร้องและหนี้สินนั้นเป็นอันเกลื่อนกลืนกันไปในเจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง สิทธิของเจ้าหนี้คนอื่น ๆ อันมีต่อลูกหนี้ก็ย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 300 “ในระหว่างเจ้าหนี้ร่วมกันนั้น ท่านว่าต่างคนชอบที่จะได้รับชำระหนี้เป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 353 “ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์และอังคารเป็นเจ้าหนี้ร่วมของพุธในหนี้เงิน 2 แสนบาทและต่อมาอังคารเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งตาย และพุธได้รับมรดกทั้งหมดของอังคารโดยพินัยกรรมนั้น เมื่อสิทธิเรียก

ให้ชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาท กับหน้าที่ในการชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาท ได้ตกมาอยู่กับพุธเพียงคนเดียว

จึงเป็นกรณีที่ถือว่าหนี้เกลื่อนกลืนกันตามมาตรา 353 ดังนั้นหนี้จึงเป็นอันระงับสิ้นไป จันทร์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้พุธชำระหนี้ได้ เพราะถือว่าหนี้ระหว่างจันทร์กับพุธย่อมเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยตามมาตรา 299 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จันทร์จะเรียกร้องให้พุธชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาทไม่ได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิของจันทร์ในอันที่จะไล่เบี้ยเอาจากพุธได้ในจำนวนเงิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 300 เนื่องจากในระหว่างเจ้าหนี้ร่วมกันนั้นต่างคนชอบที่จะได้รับชำระหนี้เป็นส่วนเท่า ๆ กัน

สรุป จันทร์จะเรียกร้องให้พุธชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาทไม่ได้ แต่ไม่ตัดสิทธิของจันทร์ที่จะเรียกเอาจากพุธตามส่วนของตนจำนวน 1 แสนบาท ตามมาตรา 299 วรรคสอง และมาตรา 300

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ขายม้าให้อังคารหนึ่งตัว กำหนดส่งมอบม้าวันที่ 20 มกราคม 2559 ก่อนถึงกำหนดส่งมอบ 10 วัน อังคารได้แจ้งไปยังจันทร์ว่า ตามกำหนดส่งมอบม้านั้น อังคารไม่สามารถรับมอบม้าได้ เนื่องจากยังสร้างคอกม้าไม่เสร็จ ปรากฏว่าจันทร์ได้บอกกล่าวไปยังอังคารว่า จันทร์ได้เตรียมการที่จะส่งมอบม้าไว้พร้อมแล้ว แต่อังคารก็ยังปฏิเสธไม่ยอมรับมอบม้า ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ”

มาตรา 208 วรรคสอง “แต่ถ้าเจ้าหนี้ได้แสดงแก่ลูกหนี้ว่า จะไม่รับชำระหนี้ก็ดี หรือเพื่อที่จะชำระหนี้จำเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ดี ลูกหนี้จะบอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการที่จะชำระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้ว ให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้นั้น เท่านี้ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว

ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าคำบอกกล่าวของลูกหนี้นั้นก็เสมอกับคำขอปฏิบัติการชำระหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ขายม้าให้แก่อังคารหนึ่งตัว กำหนดส่งมอบม้าวันที่ 20 มกราคม 2559 แต่ก่อนถึงกำหนดส่งมอบม้า 10 วัน อังคารได้แจ้งไปยังจันทร์ว่า ตามกำหนดส่งมอบม้านั้น อังคารไม่สามารถรับมอบม้าได้เนื่องจากยังสร้างคอกม้าไม่เสร็จนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าหนี้ (อังคาร) ได้แสดงแก่ลูกหนี้ (จันทร์)ว่าจะไม่รับชำระหนี้ตามมาตรา 208 วรรคสอง ดังนั้น จันทร์ (ลูกหนี้) จึงมิต้องเสนอขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยตรงอย่างกรณีทั่วไป เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแล้ว เพียงแต่ในกรณีนี้กฎหมายได้กำหนดให้เพียงลูกหนี้บอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการที่จะชำระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้วก็เป็นการเพียงพอแล้ว

และจากข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่า จันทร์ (ลูกหนี้) ได้บอกกล่าวไปยังอังคาร (เจ้าหนี้) ว่าจันทร์ได้เตรียมการที่จะส่งมอบม้าไว้พร้อมแล้ว แต่อังคารก็ยังปฏิเสธไม่ยอมรับมอบม้า จึงถือเป็นกรณีที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงถือว่าอังคาร (เจ้าหนี้) ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคสอง

สรุป อังคารเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2 ก. ยืมควาย ข. ไถนาสองวัน แต่ไถนาไม่เสร็จ ขณะที่ ก. ให้ควายไถนาในวันที่สามหลังจากยืม ค.ขับรถมาตามถนนเกิดหลับใน รถพุ่งลงท้องนาชนควายคอหักตาย ข. จะเรียกให้ใครรับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวได้บ้าง เพราะเหตุใด และจะแบ่งความรับผิดชอบกันอย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่าย ลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 217 “ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบใบการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้น ถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง”

มาตรา 226 “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆ ด้วยอำนาจกฎหมาย”

มาตรา 228 วรรคหนึ่ง “ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น เป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้ยืมควาย ข. ไถนาเป็นเวลา 2 วันนั้น เป็นสัญญายืมใช้และเป็นสัญญาที่มีกำหนดเวลาตามมาตรา 203 วรรคสอง เมื่อครบกำหนด ก. ไถนาไม่เสร็จ จึงใช้ควายไถนาโดยไม่ส่งมอบควายคืนให้แก่ ข. ดังนี้ถือว่า ก. ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้มิต้องเตือนตามมาตรา 204 วรรคสอง

การที่ ค. ได้ขับรถชนควายคอหักตายในระหว่างที่ ก. ผิดนัดนั้น ย่อมถือว่าการชำระหนี้ (การส่งมอบควายคืบให้ ข.) กลายเป็นพ้นวิสัยและเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ ก. ลูกหนี้ผิดนัด ก. ลูกหนี้จึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวตามมาตรา 217 ดังนั้น ข. สามารถเรียกให้ ก. รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวได้

หรือ ข. อาจจะเรียกให้ ค. รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวเพราะถือว่า ค. ได้ทำละเมิดต่อ ข. ตามมาตรา 420 ก็ได้

ส่วนการแบ่งความรับผิดชอบของ ก. และ ค. นั้น ให้ใช้หลักการรับช่วงสิทธิและช่วงทรัพย์มาพิจารณา กล่าวคือ ถ้า ก. ชำระค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ไม่สามารถส่งมอบควายคืนให้แก่ ข. เพราะเหตุการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยให้แก่ ข. เจ้าหนี้ ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวถือเป็นเรื่องของ “ช่วงทรัพย์” ตามมาตรา226 วรรคสอง และมาตรา 228 วรรคหนึ่ง และเมื่อ ก. ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ ข. แล้ว ก. ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเข้า “รับช่วงสิทธิ” ของ ข. ในการไปเรียกเอาจาก ค. ได้ ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง และมาตรา 227

สรุป ข. สามารถเรียกให้ ก. และ ค. รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวได้ ส่วนการแบ่งความรับผิดชอบของ ก. และ ค. นั้น ให้ใช้หลักการรับช่วงสิทธิและช่วงทรัพย์ ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 3. นายพงซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 1 ไร่ จากนายสินเมื่อปี 2555 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2558 นายพงทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวแก่นายเรนในราคา 1,000,000 บาท เพื่อสร้างโรงงานและคลังสินค้า กำหนดจดทะเบียนโอนกรมสิทธิ์วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 แต่วันที่ 20 มกราคม 2558 กรุงเทพมหานครส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ดินแปลงนี้เพื่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์รวมเนื้อที่ 300 ตารางวา โดยแจ้งว่านายสินได้ยกให้เป็นถนนสาธารณะแล้ว ตั้งแต่ปี 2553 แต่ในทะเบียนที่ดินไม่ได้บันทึกการยกให้ไว้นายพงจึงไม่เคยทราบมาก่อน กระทั่งได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงนี้แก่นายเรน นายเรนไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้ตามความประสงค์ จึงบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากนายพง ให้วินิจฉัยว่านายพงต้องรับผิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพงทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่นายพงได้ซื้อมาจากนายสินให้แก่นายเรนโดยกำหนดจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 แต่พอวันที่ 20มกราคม 2558 กรุงเทพมหานครได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์รวมเนื้อที่ 300 ตารางวา โดยแจ้งว่านายสินได้ยกให้เป็นถนนสาธารณะแล้วตั้งแต่ปี 2553 ทำให้นายเรนไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้ตามความประสงค์ จึงบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากนายพงนั้น

กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แม้นายพงจะไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่นายเรนได้อันเป็นการผิดสัญญาจะซื้อขายก็ตาม แต่สาเหตุนั้นเกิดจากการที่นายสินเจ้าของที่ดินคนเดิมได้ยกที่ดินบางส่วนให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยนายพงไม่เคยรู้เรื่องนี้ ทั้งไม่มีการบันทึกไว้ในทะเบียนที่ดินด้วย

ดังนั้น การที่นายพงไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่นายเรนได้ตามสัญญา จึงเป็นกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่ง

ซึ่งได้เกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และเป็นเหตุให้นายพงลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง นายพงจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเรน

สรุป นายพงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเรน

 

 

ข้อ 4. ในวันที่ 14 มีนาคม 2557 นายเอ นายบี และนายซีใด้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายรวยไปจำนวน 3,000,000 บาท โดยมิได้มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ลงไว้ นอกจากนี้ในการกู้ยืมเงินดังกล่าวนั้น นายเอ นายบี และนายซีได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่า นายเอจะไม่รับผิดอย่างใดเลยในหนี้จำนวนนี้ สองเดือนต่อมานายรวยได้ไปทำสัญญาซื้อรถยนต์ 1 คัน ราคา 1,000,000 บาท โชว์รูมขายรถยนต์ของนายซี โดยมีข้อตกลงกันว่านายรวยจะชำระค่ารถยนต์เป็นเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายซี ภายในวันที่ 14 มีนาคม 2559 ภายหลังจากนั้นนายซีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต โดยมีนางสาวซูซีเป็นทายาทแต่เพียงผู้เดียวของนายซี ต่อมาในวันที่ 14 มีนาคม 2559 นายรวยได้ทวงถาม ให้นางสาวซูซี่ในฐานะทายาทของนายซีลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน

นางสาวซูซี่จึงแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายรวย ระหว่างหนี้ที่นายรวยค้างชำระค่ารถยนต์ต่อนายซี จำนวน 1,000,030 บาท กับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว แต่นายรวยต้องการได้เงินสดเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการของตน อีกทั้งเห็นว่านางสาวซูซี่ไม่มีสิทธิแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้แทน นายซีจึงปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้จากนางสาวซูซี่ ในวันเดียวกันนั้นเอง นายรวยได้มาเรียกให้นายเอชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน แต่นายเอปฏิเสธไม่ชำระหนี้ให้แก่นายรวย โดยอ้างว่าหนี้ทั้งหมดระงับไปแล้วด้วยการหักกลบลบหนี้ระหว่างนางสาวซูซี่และนายรวยและตนก็ไม่ต้องรับผิดใด ๆ ในหนี้จำนวนนี้ตามที่ได้ตกลงไว้กับนายบีและนายซีด้วย

ด้งนี้ให้วินิจฉัยว่า นายเอต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยหรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 203 วรรคหนึ่ง “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 292 “การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้ และหักกลบลบหนี้ด้วย

ลูกหนี้ร่วมกับคนหนึ่งมีสิทธิเรียกร้องอย่างไร ลูกหนี้คนอื่น ๆ จะเอาสิทธิอันนั้นไปใช้หักกลบลบหนี้หาได้ไม่”

มาตรา 341 “ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอ นายบี และนายซีได้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายรวยไปจำนวน 3,000,000 บาทนั้น ตามมาตรา 291 ลูกหนี้ร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงและเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งรับผิดโดยสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก

และแม้ว่านายเอ นายบี และนายซีลูกหนี้ร่วมจะได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่านายเอจะไม่รับผิดอย่างใดเลยในหนี้จำนวนนี้ก็ตามแต่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงภายในระหว่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับเจ้าหนี้ได้ ดังนั้นนายเอจึงยังคงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยเจ้าหนี้

ส่วนประเด็นที่ว่านายเอจะต้องรับผิดชำระหนี้ไห้แก่นายรวยเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในเบื้องต้นนายรวยได้เรียกร้องให้นางสาวซูซี่ทายาทของนายซีแต่เพียงผู้เดียวชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน นางสาวซูซี่จึงได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้กับนายรวย ระหว่างหนี้ที่นายรวยค้างชำระค่ารถยนต์ต่อนายซีจำนวน 1,000,000 บาท กับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว นางสาวซูซี่ในฐานะทายาทของนายซีย่อมสามารถทำได้ เพราะการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 341 นั้น

เป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน (หนี้เงิน) และหนี้ทั้งสองรายนั้นได้ถึงกำหนดชำระแล้ว และจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อหนี้เงินกู้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ลงไว้ ย่อมถือว่าหนี้เงินกู้ได้ถึงกำหนดชำระโดยพลัน (ตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง) อีกทั้ง การที่นางสาวซูซี่ได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้กับนายรวยนั้น ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 292 วรรคสอง เพราะมิได้เอาสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ร่วมกับคนอื่น ๆ มาใช้ในการหักกลบลบหนี้แต่อย่างใด

ดังนั้นแม้นายรวยจะปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้ของนางสาวซูซี่ ก็หามีผลทำให้การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนางสาวซูซี่เสียไปไม่

เมื่อนางสาวซูซี่ได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายรวย ย่อมลส่งผลให้หนี้ระงับไปเพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายคือจำนวน 1,000,000 บาท และการแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนางสาวซูซี่ต่อนายรวยยังส่งผลเป็นคุณแก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่น ๆ ด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ จะส่งผลให้นายเอและนายบียังคงมีหน้าที่ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยเป็นจำนวน 2,000,000 บาท ดังนั้น นายเอจึงยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่นายรวยเป็นจำนวน 2,000,000 บาท

สรุป นายเอยังคงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยเป็นจำนวน 2,000,000 บาท

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของจันทร์ ขณะทำสัญญามีคนอื่นอยู่ในที่ดินหลายครัวเรือนจึงทำสัญญาตกลงกันว่า จันทร์จะต้องขับไล่หรือจัดการให้คนที่อยูในที่ดินออกไปให้หมดภายในวันที่ 20 มกราคม 2560 เพื่ออังคารจะได้เข้าทำการก่อสร้างทันที ปรากฏว่าสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2560 จันทร์ไม่ได้ขับไล่ใครเลย ยังคงมีคนอื่นอยู่ในที่ดินเหมือนเดิมดังนี้ให้วินิจฉัยว่า จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใด หากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของจันทร์ โดยมีการทำสัญญาตกลงกันว่า จันทร์จะต้องขับไล่หรือจัดการให้คนที่อยู่ในที่ดินออกไปให้หมดภายในวันที่ 20 มกราคม 2560 เพื่ออังคารจะได้เข้าทำการก่อสร้างทันทีนั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยมีการตกลงกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการไว้เป็นที่แน่นอน เมื่อปรากฏว่าสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2560 จันทร์ไม่ได้ขับไล่ใครเลย ยังคงมีคนอื่นอยู่ในที่ดินเหมือนเดิม ถือว่าจันทร์เจ้าหนี้มิได้กระทำการตามข้อตกลงภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ดังนั้น จึงถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นตามมาตรา 209 โดยที่อังคารลูกหนี้ไม่ต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้แต่ประการใด

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 นางทัศนีย์มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายสุทธิได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กชายสุทธิให้แก่นายสิน กำหนดวันจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินในวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ถ้าผิดสัญญายินยอมให้นายสินปรับ 200,000 บาท ขณะตกลงซื้อขายกันนายสินซึ่งมีอาชีพทนายความทราบว่าที่ดินที่ตนจะซื้อเป็นของบุตรผู้เยาว์ของนางทัศนีย์ จึงได้ตกลงกันว่า ทำสัญญาแล้วนางทัศนีย์จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขออนุญาตขายที่ดิน ต่อมาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 นางทัศนีย์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าวให้นายสินศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขาย คดีถึงที่สุด นางทัศนีย์จึงไม่ได้โอนขายที่ดินให้นายสินตามสัญญา นายสินเป็นโจทก์ฟ้องนางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิต่อศาลชั้นต้นกรณีผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน เรียกเบี้ยปรับ 200,000 บาท

ให้วินิจฉัยว่า นางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับแก่นายสินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางทัศนีย์มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายสุทธิ ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กชายสุทธิให้แก่นายสินในวันที่ 20 มกราคม 2559 และได้กำหนดวันจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินกันในวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะที่ตกลงซื้อขายที่ดินกัน นายสินซึ่งมีอาชีพทนายความทราบอยู่แล้วว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของเด็กชายสุทธิบุตรผู้เยาว์ขอนางทัศนีย์ ซึ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์จะต้องมีคำสั่งศาลอนุญาตให้ขายได้เสียก่อนจึงจะสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นายสินได้ และเมื่อข้อเท็จจริงตามปัญหาก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่นางทัศนีย์นำเข้าไต่สวนในคดีดังกล่าวนั้นว่า นางทัศนีย์จงใจจะให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตเพื่อหลีกเลี่ยงการโอนขายที่ดินให้แก่นายสินแต่อย่างใด การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์ จึงเป็นไปตามดุลพินิจของศาล ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และเป็นพฤติการณ์ที่นางทัศนีย์และเด็กขายสุทธิไม่ต้องรับผิดชอบ

ดังนั้น นางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง และไม่ถือว่านางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินต่อนายสินซึ่งจะต้องรับผิดซชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายสินแต่อย่างใด

สรุป นางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิไม่ได้ผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายสิน

 

ข้อ 3. ก. ทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้ ข. ในราคาหนึ่งล้านบาท แต่ต่อมา ก. กลับนำที่ดินดังกล่าวไปจำนอง ค. ประกันหนี้เงินกู้ห้าแสนบาท ครบกำหนด ก. มิได้ชำระหนี้และทำการไถ่ถอนจำนองให้ท่านแนะนำ ข. ว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ข. อาจจะรักษาสิทธิของตนได้อย่างไรบ้าง ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ”

มาตรา 229 “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพระเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจำนำจำนอง”

มาตรา 233 “ล้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้ ข. ในราคาหนึ่งล้านบาท ต่อมา ก. กลับนำที่ดินดังกล่าวไปจำนอง ค. ประกันหนี้เงินกู้ห้าแสนบาท และเมื่อครบกำหนด ก. มิได้ชำระหนี้และทำการไถ่ถอนจำนองนั้น ข.ในฐานะเจ้าหนี้สามัญอาจสามารถรักษาสิทธิของตนได้โดยจะต้องดำเนินการดังนี้คือ

ประการแรก ข. อาจรักษาสิทธิของตนได้โดยการรับช่วงสิทธิตามกฎหมายตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ในฐานะเจ้าหนี้สามัญ โดยการเข้าชำระหนี้ให้แก่ ค. ผู้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนตนเพราะมีบุริมสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง และเมื่อ ข. ได้ชำระหนี้ไห้แก่ ค. ผู้รับจำนองแล้ว ข. ก็เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนองแทน ค. ตามมาตรา 229 (1.)

ประการที่สอง ถ้าการที่ ก. ไม่ชำระหนี้และไม่ทำการไถ่ถอนจำนองนั้น เป็นกรณีที่ ก. ลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้ ข. เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ ดังนี้ ข. เจ้าหนี้ย่อมสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของ ก. ไถ่ถอนจำนองได้ตามมาตรา 233

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ ข. ว่า ข. อาจรักษาสิทธิของตนได้โดยการดำเนินการดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. นายหนึ่งและนายสองทำสัญญาร่วมกันกู้ยืมเงินจากนางสาวมาย จำนวน 200,000 บาท กำหนดส่งคืนที่บ้านของนางสาวมายในวันที่ 10 มกราคม 2560 เมื่อถึงกำหนดนัด นายหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท มาคืนนางสาวมายที่บ้าน แต่ปรากฏว่านางสาวมายไปเที่ยวต่างประเทศนายหนึ่งจึงไม่สามารถคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นางสาวมายและได้นำเงินจำนวนดังกล่าวกลับมาเก็บไว้ที่บ้านของตน ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม 2560 เกิดไฟไหม้บ้านของนายหนึ่งทั้งหลัง ไม่มีทรัพย์สินใดๆ เหลือเลย โดยไฟลุกไหม้มาจากบ้านข้างเคียงซึ่งไม่ใช่ความผิดของนายหนึ่งแต่อย่างใด

ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม 2560 ภายหลังจากที่นางสาวมายกลับมาจากต่างประเทศได้ทราบข่าวว่าบ้านของนายหนึ่งไฟไหม้ นางสาวมายจึงได้ทวงถามมายังนายสองให้ชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมด จำนวน 200,000 บาท ให้แก่ตนพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11มกราคม 2560 นายสองปฏิเสธไม่ยอมชำระอ้างว่า นายหนึ่งได้ไปชำระหนี้ให้แก่นางสาวมายแล้ว แต่นางสาวมายไปต่างประเทศไม่อยู่รับชำระหนี้ตามข้อตกลง ส่งผลให้นายหนึ่งและนายสองหลุดพ้นจากการชำระหนี้ อีกทั้งขณะนี้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยแล้วโดยมิใช่ความผิดของลูกหนี้แต่อย่างใด

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นางสาวมายจะเรียกให้นายสองชำระหนี้ให้แก่ตนได้หรือไม่ เพียงใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 205 “ตราบใดการชำระหนี้ยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ ”

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ”

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

มาตรา 221 “หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ ”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 294 “การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ ด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสองทำสัญญาร่วมกันกู้ยืมเงินจากนางสาวมายจำนวน 200,000บาท โดยกำหนดส่งคืนที่บ้านของนางสาวมายในวันที่ 10มกราคม 2560นั้นนายหนึ่งและนายสองย่อมมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมโดยข้อสัญญา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ นายหนึ่งลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท มาคืนนางสาวมายที่บ้าน แต่ปรากฏว่านางสาวมายไปเที่ยวต่างประเทศถือได้ว่าเป็นกรณีที่นางสาวมายเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

ดังนั้นจึงถือว่านางสาวมายเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 และการที่เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดต่อนายหนึ่งลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ ด้วย ตามมาตรา 294

ดังนั้นกรณีดังกล่าวย่อมถือว่านางสาวมายเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดต่อนายสองลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย

แต่อย่างไรก็ดี การที่เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น มิได้ทำให้หนี้นั้นระงับแต่อย่างใด ลูกหนี้ยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ แต่การผิดนัดของเจ้าหนี้ดังกล่าวทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้น ถือเป็นพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ลูกหนี้จึงสามารถหยิบยกพฤติการณ์ดังกล่าวขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าตนยังไม่ได้ผิดนัดได้ตามมาตรา 205 และเมื่อกรณีนี้เป็นหนี้เงิน ดังนั้น เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัดไม่ได้ตามมาตรา 221 และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าไฟได้ไหม้บ้านของนายหนึ่งลูกหนี้ร่วมและทำให้เงิน 200,000 บาทที่เตรียมไว้ชำระหนี้ไหม้ไปด้วยนั้น ก็มิได้ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย อันจะทำให้ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด เนื่องจากเงินมิใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่งแต่เป็นทรัพย์ทั่วไป ที่สามารถเอาเงินจำนวนเท่า ๆ กันเข้าชำระหนี้แทนกันได้

เมื่อลูกหนี้ยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ดังนั้น นางสาวมายจึงมีสิทธิเรียกให้นายสองชำระหนี้จำนวน 200,000 บาท ให้แก่ตนได้ตามนัยของมาตรา 291 ที่ว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้จนสิ้นเชิงก็ได้ แต่ในส่วนดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนั้น นางสาวมายจะสามารถเรียกได้นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2560 คือนับตั้งแต่วันที่นางสาวมายได้ทวงถามให้นายสองชำระหนี้เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านั้นเป็นวันที่อยู่ในระหว่างเวลาที่เจ้าหนี้ผิดนัด ดังนั้นเจ้าหนี้จึงไม่สามารถคิดดอกเบี้ยได้

สรุป นางสาวมายเรียกให้นายสองชำระหนี้จำนวน 200,000 บาทได้ แต่ในส่วนดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จะเรียกได้นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2560 เป็นต้นไปเท่านั้น

LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารสิบชั้นในที่ดินของตน โดยมีข้อตกลงกับว่าจันทร์จะจัดการไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินออกไปให้หมดแล้ว จันทร์จะกระทำการส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา และอังคารจะทำการสร้างอาคารสิบชั้นทันที เมื่อครบกำหนด 6 เดือนตามสัญญาปรากฏว่าจันทร์ไม่ได้ไล่ผู้อาศัยในที่ดินจึงไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารได้ตามสัญญา แต่อังคารก็ไม่ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อจันทร์แต่ประการใด ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใด หากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารสิบชั้นในที่ดินของตน โดยมีข้อตกลงกันว่า จันทร์จะต้องจัดการไล่ผู้ที่อาศัยอยูในที่ดินออกไปให้หมด และส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วับทำสัญญานั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยมีการตกลงกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการไว้เป็นที่แน่นอน

ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าจันทร์เจ้าหนี้ไม่ได้ไล่ผู้อาศัยในที่ดินจึงไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้แก่อังคารได้ตามสัญญา จันทร์เจ้าหนี้ย่อมเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นตามมาตรา 209 โดยที่อังคารลูกหนี้หาจำต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้แต่ประการใดไม่

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. พุธยืมรถยนต์ของพฤหัสไปใช้ เมื่อถึงกำหนดส่งรถยนต์คืน พุธผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์คืน ต่อมาอีกสองวันปรากฏว่าศุกร์ละเมิดขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่พุธยืมมาพังยับเยินทั้งคันจนใช้การไม่ได้ รถยนต์คันนี้ราคา 500,000 บาท พฤหัสจึงได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้ศุกร์ผู้ละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่พฤหัสในฐานะเป็นช่วงทรัพย์แทนรถยนต์ที่พังหมดทั้งคันแล้ว แต่ศุกร์มีเงินชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้พฤหัสเพียง 200,000 บาทเท่านั้น พฤหัสจึงเรียกร้องให้พุธชำระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเพราะการไม่ชำระหนี้จำนวน 300,000 บาทที่เหลือนั้น พุธจึงชำระเงินจำนวน 300,000 บาทให้แก่พฤหัส ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า พุธจะเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 300,000 บาทนั้น คืนจากศุกร์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆด้วยอำนาจกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การรับช่วงสิทธิ คือ การที่สิทธิเรียกร้องเปลี่ยนมือจากเจ้าหนี้คนเดิมไปยังเจ้าหนี้คนใหม่โดยผลของกฎหมาย ทำให้เจ้าหนี้คนใหม่เข้ามามีสิทธิแทนเจ้าหนี้คนเดิม ซึ่งตามมาตรา 227 ได้วางหลักเกณฑ์ของการรับช่วงสิทธิไว้ดังนี้

  1. ผู้ที่จะเข้ารับช่วงสิทธิมีได้เฉพาะลูกหนี้เท่านั้น
  2. ต้องมีหนี้ที่มีลูกหนี้จะต้องชำระก่อน
  3. ระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้มีการชำระหนี้กัน ส่งผลให้มีการเข้ารับช่วงสิทธิกัน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุธผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่พฤหัส และปรากฏว่าศุกร์ได้กระทำละเมิดขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่พุธยืมมาพังยับเยินทั้งคันจนใช้การไม่ได้นั้น กรณีเช่นนี้พุธย่อมต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพฤหัส เนื่องจากพุธไม่ส่งมอบรถยนต์ภายในกำหนด

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า พุธได้ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของรถยนต์จำนวน300.000 บาท ให้แก่พฤหัสแล้ว ดังนั้น พุธย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของพฤหัสเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 300.000 บาท นั้น คืนจากศุกร์ผู้กระทำละเมิดได้ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง และมาตรา 227

สรุป พุธสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 300,000 บาท คืนจากศุกร์ได้

 

ข้อ 3. หนึ่งทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินของสองในราคาสี่ล้านห้าแสนบาท ในวัทำสัญญาหนึ่งได้วางมัดจำไว้ห้าแสนบาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้กำหนดไว้ในอีกหกเดือนข้างหน้า ก่อนกำหนดโอนเกิดไฟไหม้ลามทุ่ง ไหม้บ้านเสียหายทั้งหลัง แต่สองมีประกันวินาศภัยในตัวบ้าน บริษัทผู้รับประกันได้ชำระค่าสินไหมทดแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้มาสองล้านบาท

ให้ท่านแนะนำหนึ่งว่าถ้าหนึ่งอยากได้ที่ดินเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีราคากรณีหนึ่งหรือในอีกกรณีหนึ่งวัตถุประสงค์เพื่อต้องการบ้านอยู่อาศัย เมื่อไม่มีบ้านจะขอเลิกสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 8 “คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดีเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น”

มาตรา 195 “เมื่อทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท และถ้าตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือตามเจตนาของคู่กรณีไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรัพย์นั้นจะพึงเป็นชนิดอย่างไรไซร้ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลางถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำเพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่งนั้นทุกประการแล้วก็ดี หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบแล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี ท่านว่าทรัพย์นั้นจึงเป็นวัตถุแห่งหนี้จำเดิมแต่เวลานั้นไป”

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

มาตรา 226วรรคสอง “ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่ง

ในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน”

มาตรา 228 วรรคหนึ่ง “ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น เป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”

มาตรา 370 วรรคหนึ่ง “ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง และทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้”

มาตรา 372 วรรคหนึ่ง “นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในสองมาตราก่อน ถ้าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าลูกหนี้หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินของสองในราคาสี่ล้านห้าแสนบาทนั้น ย่อมถือว่าสองได้กำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบโดยความยินยอมของหนึ่งแล้ว บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจึงถือเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งตามมาตรา 195 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าก่อนกำหนดโอนได้เกิดไฟไหม้บ้านเสียหายทั้งหลังซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 ดังนั้น จึงมีผลทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้เนื่องจากการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบการสูญหายหรือเสียหายนั้นจึงตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 370 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น ถ้าหนึ่งอยากได้ที่ดินเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีราคา หนึ่งก็ต้องเรียกให้สองโอนที่ดินพร้อมทั้งให้สองส่งมอบค่าสินไหมทดแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้ในฐานะเป็นช่วงทรัพย์ตามมาตรา 226 วรรคสองประกอบมาตรา 228 วรรคหนึ่ง โดยหนึ่งจะต้องชำระราคาส่วนที่เหลืออีกสี่ล้านบาทให้แก่สองด้วย แต่ถ้าหนึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการบ้านอยู่อาศัย ดังนี้เมื่อไม่มีบ้านหนึ่งจึงสามารถขอเลิกสัญญาและเรียกเงินมัดจำคืนจากสองได้ ตามมาตรา 372

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่หนึ่ง ตามเหตุผลและหลักกฎหมายที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. ทรัพย์สินของ ก. มีเฉพาะที่ดินที่ได้ทำสัญญาจะขายให้ ข. ไว้ในราคาสามล้านบาท ก่อนกำหนดโอน ก. กลับนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนอง ค. เพื่อประกันหนี้เงินกู้หนึ่งล้านห้าแสนบาท สัญญากู้ถึงกำหนดแล้ว แต่ ก. กลับไม่ใส่ใจที่จะไถ่ถอนจำนองแต่อย่างใด ให้ท่านแนะนำ ข. ว่า จะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อจะรักษาสิทธิของ ข. ให้ดีที่สุด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 229 “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1)       บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพระเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจำนำจำนอง”

มาตรา 233 “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้น แต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิ

ในทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข. จะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อจะรักษาสิทธิของ ข. ให้ดีที่สุดนั้น เห็นว่า ข. อาจจะรักษาสิทธิของตนได้ 3 กรณี คือ

(1)       ใช้สิทธิเรียกร้องของ ก. ไถ่ถอนจำนองตามมาตรา 233 เพราะถือเป็นกรณีที่ ก. ลูกหนี้เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือ ข. ต้องเสียประโยชน์ ข. จึงสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของ ก. ไถ่ถอนจำนองเองได้

(2) ขอเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตามมาตรา 237 เพราะการที่ ก. ลูกหนี้ ได้นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนองกับ ค. เพื่อประกันหนี้เงินกู้หนึ่งล้านห้าแสนบาทนั้น ย่อมถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ข. เจ้าหนี้จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้

(3) รับช่วงสิทธิของ ก. ในฐานะที่ ข. เป็นเจ้าหนี้สามัญ โดยเข้าชำระหนี้ให้แก่ ค. เจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนอง และรับช่วงสิทธิเข้าเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนองแทน ค. โดยทั้ง 3 กรณีนี้ ข้าพเจ้าจะแนะนำ ข. ว่าวิธีที่ 3 น่าจะดีทีสุด

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่ ข. ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างบ้านในที่ดินของจันทร์ สัญญาจ้างระบุว่าอังคารจะต้องเริ่มลงมือทำงานจ้าง ณ สถานที่ก่อสร้างภายในวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยที่สัญญาจ้างมิได้ระบุถึงเรื่องส่งมอบพื้นที่ไว้ปรากฏว่าอังคารได้บอกกล่าวไปยังจันทร์ว่าอังคารได้เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ในการก่อสร้างบ้านไว้พร้อมที่จะเข้าทำการก่อสร้างภายในวันที่ 20 มกราคม 2559 แล้ว แต่จันทร์ปฏิเสธไม่ส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารจนล่วงพ้นกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญา ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุ

อันจะอ้างกฎหมายไต้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ”

มาตรา 208 วรรคสอง “แต่ถ้าเจ้าหนี้ได้แสดงแก่ลูกหนี้ว่า จะไม่รับชำระหนี้ก็ดี หรือเพื่อที่จะชำระหนี้จำเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ดี ลูกหนี้จะบอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการที่จะชำระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้ว ให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้นั้น เท่านี้ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าคำบอกกล่าวของลูกหนี้นั้นก็เสมอกับคำขอปฏิบัติการชำระหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องที่เจ้าหนี้ต้องกระทำการบางอย่างก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามมาตรา 208 วรรคสอง กล่าวคือ เมื่อจันทร์ว่าจ้างอังคารให้สร้างบ้านในที่ดินของจันทร์ แม้ในสัญญาจ้างจะมิได้ระบุถึงเรื่องส่งมอบพื้นที่ไว้ก็ตาม จันทร์ก็ต้องกระทำการส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคาร ซึ่งเป็นหน้าที่ของจันทร์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ต้องกระทำเพื่อที่จะรับชำระหนี้การก่อสร้างจากอังคารซึ่งเป็นลูกหนี้ตามมาตรา 208 วรรคสอง

และจากข้อเท็จจริง เมื่ออังคารลูกหนี้ได้บอกกล่าวไปยังจันทร์เจ้าหนี้แล้วว่า อังคารได้เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ในการก่อสร้างบ้านไว้พร้อมที่จะเข้าทำการก่อสร้างแล้ว แต่จันทร์เจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคาร จึงเป็นกรณีที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายไต้ จึงถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคสอง

สรุป จันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2. นายเก่งเป็นเจ้าของร้านขายส่งสินค้าในช่วงสงกรานต์ของทุกปีนายเก่งจะขายปืนฉีดน้ำแบบต่าง ๆแก่ลูกค้าขาประจำที่มาซื้อไปขายต่อ สร้างผลกำไรแก่นายเก่งไม่ต่ำกว่าปีละ 50,000 บาท แต่สินค้ามีข้อจำกัดคือไม่สามารถเก็บไว้ขายในปีต่อไปได้เพราะวัตถุดิบเสื่อมคุณภาพในเวลาอันรวดเร็ว นายเก่งสั่งซื้อจากโรงงานผลิตปืนฉีดน้ำของนายขอบเพียงแห่งเดียวมาตั้งแต่ปี 2550 สำหรับในปีนี้นายเก่งได้สั่งซื้อไปยังโรงงานของนายขอบตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2558 จำนวน 1,000 กระบอกเช่นทุกปี มีข้อตกลงว่านายขอบจะต้องนำสินค้ามาส่งที่ร้านของนายเก่งในวันที่ 1 เมษายน 2558 เพื่อจะได้จัดเตรียมการส่งมอบแก่ลูกค้าของนายเก่งที่สั่งซื้อไว้ล่วงหน้ารวม 5 ราย รายละ 200 กระบอก

โดยนายเก่งนัดให้มารับสินค้าตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนถึงวันที่ 6 เมษายน แต่นายขอบผลิตสินค้าไม่ทันเพราะปีนี้มีคำสั่งซื้อมากกว่าปกติ นายขอบนำสินค้าทั้ง 1,000 กระบอกมาส่งมอบแก่นายเก่งในวันที่ 15 เมษายน 2558 นายเก่งไม่ยอมรับสินค้าทั้งหมดไว้ และเป็นเหตุให้นายเก่งไม่มีสินค้าส่งมอบแก่ลูกค้าทั้งห้ารายของตน นายเก่งต้องจ่ายค่าเสียหายให้ไปรายละ 5,000 บาท ต่อมานายเก่งมาปรึกษานักศึกษาซึ่งเป็นทนายความ ให้นักศึกษาให้คำปรึกษาแก่นายเก่งว่าจะสามารถเรียกร้องอะไรจากนายขอบได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการขำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 216 “ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับขำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้”

มาตรา 222 “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น

เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษหากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว”

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายเก่งดังนี้ คือ

นิติสัมพันธ์ระหว่างนายเก่งกับนายขอบเป็นสัญญาซื้อขายสินค้าปีนฉีดน้ำที่มีคุณสมบัติข้อจำกัดเฉพาะตัว 1,000 กระบอก ซึ่งนายขอบจะต้องชำระหนี้คือต้องนำสินค้าดังกล่าวมาส่งมอบให้แก่นายเก่งตามวันที่กำหนดในปฏิทินตามมาตรา 204 วรรคสอง คือ วันที่ 1 เมษายน 2558 เมื่อนายขอบนำสินค้ามาส่งมอบให้แก่นายเก่งในวันที่ 15 เมษายน 2558 ซึ่งเป็นการส่งมอบเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกัน จึงถือว่านายขอบลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ และเป็นการผิดนัดชำระหนี้โดยมิพักต้องเตือนก่อน และการที่นายขอบนำสินค้ามาส่งมอบให้แก่นายเก่งในวันที่ 15 เมษายน 2558 นั้น ทำให้การชำระหนี้เป็นอันไร้ประโยชน์แก่นายเก่ง ดังนั้น นายเก่งจึงมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายขอบได้ตามมาตรา 216 และในกรณีที่ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกเป็นจำนวนเงินค่าเสียหาย นายเก่งย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำนวนเงินค่าเสียหายนั้นด้วยตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

สำหรับค่าเสียหายนั้น นายเก่งสามารถเรียกค่าขาดกำไรจากการขาย 50,000 บาท เนื่องจากนายเก่งซื้อสินค้าจากนายขอบซึ่งเป็นผู้ผลิตก็เพื่อนำมาขายต่อให้แก่ลูกค้าของนายเก่ง ซึ่งนายเก่งย่อมประสงค์จะได้กำไรจากการขายนั้นเป็นธรรมดา ดังนั้น เมื่อนายขอบไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้นายเก่งนำไปขายต่อได้ ค่าเสียหายจำนวนนี้จึงเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการที่นายขอบไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 222 วรรคหนึ่ง

ส่วนค่าเสียหายที่นายเก่งต้องชดใช้แก่ลูกค้าทั้ง 5 รายของตนรวมเป็นเงิน 25,000 บาทนั้น แม้จะไม่ใช่ค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ แต่เนื่องจากนายขอบทราบจากการที่เคยค้าขายกับนายเก่งมาหลายปี โดยมีข้อตกลงกันว่านายขอบต้องนำสินค้ามาส่งในวันที่กำหนดเพื่อลูกค้าจะได้มารับไปขายต่อ พฤติการณ์แสดงว่านายขอบคาดเห็นได้อยู่แล้วว่าหากนายเก่งไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าของนายเก่งนำไปขายต่อได้ นายเก่งย่อมต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าของบายเก่ง ดังนั้น ค่าเสียหายจำนวนนี้จึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่นายขอบได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้ว นายเก่งจึงสามารถเรียกร้องให้นายขอบรับผิดได้ตามมาตรา 222 วรรคสอง

สำหรับอัตราดอกเบี้ยในต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าว เนื่องจากไม่มีการตกลงกันไว้เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัด นายเก่งจึงสามารถเรียกได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

สรุป เมื่อนายเก่งมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายเก่งตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. วันทนีย์ขายบ้านหลังเก่าพร้อมที่ดินให้โฉมฉายในราคาห้าล้านห้าแสนบาท ผู้ซื้อขอให้โอนกรรมสิทธิ์และนำไปจำนองธนาคารประกันเงินกู้เพื่อนำมาชำระให้ผู้ขาย โดยชำระแล้วห้าล้านบาท ที่ค้างอยู่ห้าแสนบาท ขอทำสัญญากู้ไว้แทน และออกเช็คล่วงหน้าประกอบสัญญาไว้ห้าใบ ใบละหนึ่งแสนบาทเช็คถึงกำหนดเดือนละใบไม่มีดอกเบี้ยซึ่งผู้ขายยินยอมเมื่อเช็คถึงกำหนดเดือนที่ 1 – 2 ผู้ขายเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ วันทนีย์มาปรึกษาท่านจากข้อเท็จจริงดังกล่าวตนอาจจะบังคับหรือรักษาสิทธิ์ได้อย่างไรบ้าง ให้แนะนำโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง”

มาตรา 229 “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพระเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจำนำจำนอง”

มาตรา 349 วรรคหนึ่ง “เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่วันทนีย์ว่า วันทนีย์อาจจะบังคับหรือรักษาสิทธิของตนได้ดังนี้คือ

ประการแรก วันทนีย์อาจจะรักษาสิทธิของตนโดยการรับช่วงสิทธิตามมาตรา 226 วรรคหนึ่งในฐานะเจ้าหนี้สามัญ โดยการเข้าชำระหนี้ให้กับธนาคารผู้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนตนเพราะมีบุริมสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง และเมื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารผู้รับจำนองแล้ว วันทนีย์ก็เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนองแทนธนาคารตามมาตรา 229 (1)

ประการที่ 2 การที่โฉมฉายเป็นหนี้ค่าซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินกับวันทนีย์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท แล้วโฉมฉายขอทำสัญญากู้ไว้แทนและออกเช็คล่วงหน้าประกอบสัญญากู้ไว้ 5 ใบ ใบละ 100,000 บาทนั้น

ถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนี้ คือการเปลี่ยนมูลหนี้จากหนี้ตามสัญญาซื้อขายเป็นหนี้ตามสัญญากู้ ส่งผลให้หนี้ตามสัญญาซื้อขายจำนวน 500,000 บาทระงับไป และเกิดความผูกพันตามหนี้ใหม่คือหนี้ตามสัญญากู้จำนวน 500,000 บาท (ตามนัยมาตรา 349 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้น เมื่อเช็คจำนวน 2 ใบ เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท ที่ออกประกอบสัญญากู้เบิกเงินกับธนาคารไม่ได้ วันทนีย์ย่อมสามารถดำเนินการบังคับหรือรักษาสิทธิของตนได้ โดยการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการเรื่องเช็คได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่วันทนีย์ในการที่จะบังคับหรือรักษาสิทธิของตนตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. นายกอล์ฟและนายกัสเป็นลูกหนี้ร่วมในเงินค้าสินค้าเชื่อนางสาวแนทตี้จำนวน 500,000 บาทต่อมาเมื่อหนี้รายดังกล่าวถึงกำหนดชำระ นายกอล์ฟและนายกัสยังหาเงินสดมาชำระหนี้ให้แก่นางสาวแนทตี้ไม่ได้ นายกอล์ฟแต่เพียงผู้เดียวจึงได้อาสาไปเจรจากับนางสาวแนทตี้ขอลดจำนวนยอดหนี้ลงและขอทำสัญญากู้เงินมอบให้นางสาวแนทตี้เก็บไว้แทนเป็นเงินจำนวน 300,000 บาทเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งนางสาวแนทตี้ได้ตกลงตามข้อเสนอของนายกอล์ฟ เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระนายกอล์ฟได้นำเงินจำนวน 300,000 บาท ไปชำระให้แก่นางสาวแนทตี้ตามสัญญาดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก) นางสาวแนทตี้จะเรียกให้นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชำระหนี้ค่าสินค้าเชื่อที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 200,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) เมื่อนายกอล์ฟชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท ให้แก่นางสาวแนทตี้แล้วจะสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยจากนายกัสได้หรือไม่ เพียงใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 229 ‘‘การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น”

มาตรา 292 วรรคหนึ่ง “การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ ด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย”

มาตรา 296 “ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่น ๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใดเจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป”

มาตรา 349 วรรคหนึ่ง “เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายกอล์ฟลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวได้อาสาไปเจรจากับนางสาวแนทตี้ขอลดยอดหนี้ค่าสินค้าเชื่อจำนวน 500,000 บาทลง และขอทำสัญญากู้เงินมอบให้นางสาวแนทตี้เก็บไว้แทนเป็นจำนวนเงิน

300.000 บาท ซึ่งนางสาวแนทตี้ได้ตกลงตามข้อเสนอของนายกอล์ฟนั้น ถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนี้ ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนมูลหนี้จากหนี้ตามสัญญาซื้อสินค้าเชื่อเป็นหนี้ตามสัญญากู้ ส่งผลให้หนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจำนวน 500,000 บาทระงับไป และเกิดความผูกพันตามหนี้ใหม่คือ

หนี้ตามสัญญากู้จำนวน 300,000 บาท (ตามนัยมาตรา 349 วรรคหนึ่ง) และการกระทำของนายกอล์ฟนั้นถือได้ว่าเป็นการกระทำแทนการชำระหนี้ตามนัยของมาตรา 292 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การกระทำของนายกอล์ฟจึงเป็นประโยชน์แก่นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย กล่าวคือ ทำให้นายกัสหลุดพ้นจากการชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจำนวน 500,000 บาทไปด้วย เนื่องจากหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อได้ระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อนายกอล์ฟได้นำเงินจำนวน 300,000 บาท ไปชำระไห้แก่นางสาวแนทตี้ตามสัญญาเงินกู้ ทำให้หนี้ดังกล่าวระงับสิ้นไป นางสาวแนทตี้จะเรียกไห้นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 200,000 บาทไม่ได้ ตามมาตรา 349 ประกอบมาตรา 292 วรรคหนึ่ง

(ข) เมื่อนายกอล์ฟชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท ให้แก่นางสาวแนทตี้ตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่ (สัญญากู้) แล้ว เมื่อถือว่าการแปลงหนี้ใหม่คือการกระทำแทนการชำระหนี้และถือว่ามีผลเช่นเดียวกันกับการชำระหนี้

ดังนั้น นายกอล์ฟลูกหนี้ร่วมผู้ชำระหนี้ตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่ ย่อมสามารถรับช่วงสิทธิของนางสาวแนทตี้เจ้าหนี้ตามมาตรา 229 (3) ในอันที่จะไล่เบี้ยเอาจากนายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งได้เป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท ตามนัยมาตรา 296 ซึ่งได้วางหลักในเรื่องของส่วนแบ่งความรับผิดของลูกหนี้ร่วมไว้ว่า ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นลูกหนี้ร่วมต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน

สรุป

(ก) นางสาวแนทตี้จะเรียกให้นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชำระหนี้ค่าสินค้าเชื่อที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 200,000 บาท ไม่ได้

(ข) เมื่อนายกอล์ฟชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท ให้แก่นางสาวแนทตี้แล้ว นายกอล์ฟสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยจากนายกัสได้เป็นจำนวน 150,000 บาท

 

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์เป็นลูกหนี้อังคารเป็นเจ้าหนี้ในหนี้เงินกู้ยืมสามแสนบาทกำหนดชำระคืนในวันที่20มกราคม2558 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จันทร์ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่อังคาร จำนวนสามแสนบาทโดยขอชำระด้วยเช็ค ดังนี้อังคารจะปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของอังคาร จะทำให้อังคารตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 208 วรรคแรก “การชำระหนี้จะให้สำเร็จเป็นผลอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”

มาตรา 320 “อันจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วน หรือให้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้นั้น ท่านว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่ ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 207 กรณีที่จะถือว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น จะต้องประกอบด้วย หลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ

  1. ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว และ
  2. เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เป็นหนี้เงินกู้ยืมอังคารจำนวน 300,000 บาท และเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จันทร์ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่อังคารจำนวน 300,000 บาท โดยขอชำระด้วยเช็คนั้น ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นผิดไปจากที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตามมาตรา 208 วรรคแรก เจ้าหนี้จึงมีสิทธิปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ได้ และลูกหนี้จะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ไม่ได้ตามมาตรา 320

ดังนั้น เมื่อจันทร์ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบ และอังคารเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่รับชำระหนี้โดยมีมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ตามมาตรา 208 วรรคแรก และมาตรา 320 การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของอังคาร จึงไม่ทำให้อังคารตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207

สรุป การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของอังคาร ไม่ทำให้อังคารตกเป็นผู้ผิดนัด

 

 

ข้อ 2. นายเอกเช่าชุดกอล์ฟจากนายชา 1 เดือน เมื่อครบกำหนดส่งคืนในวันที่ 20 สิงหาคม 2558 นายเอกไม่ส่งมอบชุดกอล์ฟคืนนายชา วันที่ 20 กันยายน 2558 นายเอกทำชุดกอล์ฟดังกล่าวหาย วันที่ 20 ตุลาคม 2558 นายชายื่นฟ้องนายเอกต่อศาลมีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับนายเอกคืนชุดกอล์ฟหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 20,000 บาทแทน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21สิงหาคม 2558 ถ้านักศึกษาเป็นศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงนี้ว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 198 “ถ้าการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดนั้นตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขตเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการขำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 217 “ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้น ถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

มาตรา 225 “ถ้าลูกหนี้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อราคาวัตถุอันได้เสื่อมเสียไประหว่างผิดนัดก็ดี หรือวัตถุอันไม่อาจส่งมอบได้เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกิดขึ้นระหว่างผิดนัดก็ดีท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยในจำนวนที่จะต้องใช้เป็นค่าสินไหมทดแทนคิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคานั้นก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์และคำขอท้ายฟ้องของนายชาที่ขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนชุดกอล์ฟหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 20,000 บาทแทนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2558 นั้นเป็นกรณีที่ให้นายเอกต้องส่งมอบชุดกอล์ฟคืนก่อน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนพร้อมดอกเบี้ย จึงไม่ใช่เรื่องการกระทำเพื่อชำระหนี้ที่มีหลายอย่างแต่ต้องกระทำเพียงอย่างเดียว ซึ่งลูกหนี้มีสิทธิที่จะเลือกตามมาตรา 198 แต่ข้อเท็จจริงเป็นกรณีที่นายเอกไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบชุดกอล์ฟคืนตามกำหนด จึงถือว่านายเอกลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลยตามมาตรา 204 วรรคสอง และการที่นายเอกได้ทำชุดกอล์ฟหายไปทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในระหว่างที่นายเอกผิดนัด ดังนั้น นายเอกจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 217

ส่วนกรณีการใช้ราคาแทนพร้อมดอกเบี้ยนั้น เนื่องจากวัตถุแห่งหนี้แต่เริ่มแรกเป็นทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นหนี้เงินที่เกิดขึ้นภายหลังเนื่องจากการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัด ดังนั้นการใช้ราคาแทนในกรณีนี้จึงเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อวัตถุที่ไม่อาจส่งมอบได้เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดตามมาตรา 225 นายชาจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินราคาชุดกอล์ฟได้โดยคิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคา ซึ่งมิใช่วันที่ 21 สิงหาคม 2558 อันเป็นวันเริ่มต้นการผิดนัดส่งมอบชุดกอล์ฟตามมาตรา 204 วรรคสอง แต่เป็นวันที่ 20 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่ชุดกอล์ฟหายไป และสามารถคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายเอกคืนชุดกอล์ฟ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 20,000 บาทแทนพร้อมตอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2558 จนกว่าจะชำระเสร็จ

 

 

ข้อ 3. นายดอกไม้ได้หลงรักนางชมพู จึงได้ยกรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงชิ้นเดียวให้กับนางชมพู หลังจากนั้นอีก 1 เดือนต่อมา แม่ฃองนายดอกไม้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน นายดอกไม้จึงไปกู้ยืมเงินนางส้มจำนวน100,000 บาท ซึ่งนายดอกไม้ก็ทราบดีว่าตนไม่มีเงินและทรัพย์สินอื่นใดที่จะลามารถชำระหนี้ให้กับนางส้มได้ ต่อมานางล้มได้ทราบเรื่องที่นายดอกไม้ได้ยกรถยนต์ให้กับนางชมพู นางส้มจึงมาปรึกษาท่านว่านางส้มจะสามารถฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลได้หรือไม่ เพราะเหตุใด พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 วรรคแรก “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึง่เป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วยแต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล ซึ่งเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ตามมาตรา 237 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ กล่าวคือ เป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำหลังจากที่ลูกหนี้ได้เป็นหนี้เจ้าหนี้แล้ว และเป็นนิติกรรมซึ่งเมื่อลูกหนี้ได้ทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

ตามอุทาหรณ์ การที่นายดอกไม้ได้ยกรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวของตนให้กับนางชมพูนั้น เป็นนิติกรรมที่นายดอกไม้ได้กระทำก่อนที่จะก่อหนี้กับนางส้ม คือก่อนที่จะไปกู้ยืมเงินจากนางส้มจำนวน 100,000 บาท ดังนั้น แม้นายดอกไม้จะทราบดีว่าตนไม่มีเงินและทรัพย์สินอื่นใดที่จะชำระหนี้ให้กันนางส้มได้ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นนิติกรรมที่นายดอกไม้ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบตามมาตรา 237 วรรคแรก เพราะในขณะนั้นยังไม่มีเจ้าหนี้ ดังนั้น นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล นางส้มจึงไม่สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้

สรุป นางส้มจะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ดังกล่าวไม่ได้ เพราะไม่ใช่นิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล

 

 

ข้อ 4. นายแสบและนายเปรี้ยวร่วมกันทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายรวยไปจำนวน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2547 โดยมิได้กำหนดระยะเวลาชำระคืนไว้ ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2548 นายรวยทวงถามให้นายแสบและนายเปรี้ยวชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าว ปรากฏว่านายแสบแต่เพียงผู้เดียวได้นำเงินไปชำระให้แก่นายรวยจำนวน 1,000,000 บาทในวันที่ 14มีนาคม 2549 หลังจากนั้นทั้งนายแสบและนายเปรี้ยวไม่ชำระเงินให้นายรวยอีก จนกระทั่งในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 นายรวยจึงยื่นฟ้องให้นายแสบและนายเปรี้ยวร่วมกันชำระเงินกู้ยืมที่ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 1,000,000 บาท

นายแสบให้การต่อสู้ว่าคดีที่นายรวยฟ้องขาดอายุความแล้ว อีกทั้งตนได้ชำระหนี้ส่วนของตนจำนวน 1,000,000 บาท ให้แก่นายรวยแล้ว นายรวยไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายแสบชำระหนี้ได้อีก ส่วนนายเปรี้ยวให้การต่อสู้ประเด็นเดียวว่า คดีที่นายรวยฟ้องขาดอายุความแล้ว ด้งนี้ให้วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายแสบและนายเปรี้ยวฟ้งขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 203 วรรคนรก “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเซิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง”

มาตรา 295 “ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้แห่งนั้นเอง

ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าวการผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกับไปกับหนี้สิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสบและนายเปรี้ยวได้ร่วมกันทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายรวยไปจำนวน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราดม 2547 โดยมิได้กำหนดระยะเวลาชำระคืนไว้นั้น นายรวยผู้ให้กู้ยืมย่อมมิสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลันตามมาตรา 203 วรรคแรก อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันกู้ยืมตามมาตรา 193/12 และเมื่อการกู้ยืมเงินนั้นกฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามมาตรา 193/30 และจะครบอายุความ 10 ปีในวันที่ 10 มกราคม 2557

การที่นายแสบแต่เพียงผู้เดียวได้นำเงินไปชำระให้แก่นายรวยจำนวน 1,000,000 บาท ในวันที่14 มีนาคม 2549 นั้น ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 และระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคแรก และให้นับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามมาตรา 193/15 วรรคสอง

กรณีนี้อายุความจึงขยายออกไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2559 ดังนั้นการที่นายรวยได้ยื่นฟ้องให้นายแสบและนายเปรี้ยวให้ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 1,000,000 บาท ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 นั้น ข้อต่อสู้ของนายแสบที่ว่าคดีที่นายรวยฟ้องตนนั้นขาดอายุความแล้วจึงฟังไม่ขึ้น และนอกจากนั้นการที่นายแสบได้ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ส่วนของตนจำนวน 1,000,000 บาทให้แก่นายรวยแล้ว นายรวยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายแสบชำระหนี้ได้อีกก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เนื่องจากโดยผลของการเป็นลูกหนี้ร่วมนั้น ลูกหนี้ร่วมทุกคนยังคงต้องผูกพันร่วมกันรับผิดต่อเจ้าหนี้จนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง (ครบจำนวน 2,000,000 บาท) ตามมาตรา 291

ส่วนกรณีของนายเปรี้ยวนั้น การที่อายุความสะดุดหยุดลงนั้นมีผลเป็นคุณเป็นโทษเฉพาะตัวนายแสบเท่านั้น ไม่ส่งผลไปถึงนายเปรี้ยวลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งแต่อย่างใดตามมาตรา 295 ดังนั้น การที่นายรวยยื่นฟ้องนายเปรี้ยวให้ร่วมชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 1,000,000บาท ในวันที่ 15พฤษภาคม 2558จึงล่วงเลยกำหนดอายุความ 10 ปีแล้ว ข้อต่อสู้ของนายเปรี้ยวในประเด็นที่ว่า คดีที่นายรวยฟ้องขาดอายุความแล้วจึงฟังขึ้น

สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสบทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อต่อสู้ของนายเปรี้ยวฟังขึ้น

LAW 2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์จ้างอังคารปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยมีข้อตกลงกันว่า จันทร์จะต้องจัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินประมาณ 50 ครอบครัว ออกไปจากที่ดินให้หมดภายในกำหนดวันที่ 20 มกราคม 2558 และอังคารจะทำการก่อสร้างบ้านตามสัญญาทันที ปรากฏว่าจันทร์ละเลยไม่จัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินออกไปจากที่ดิน จนสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2558 ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใดหากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์จ้างอังคารปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยมีข้อตกลงกันว่าจันทร์จะต้องจัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินประมาณ 50 ครอบครัว ออกไปจากที่ดินให้หมดภายในกำหนดวันที่ 20 มกราคม 2558 และอังคารจะทำการก่อสร้างบ้านตามสัญญาทันทีนั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยมีการตกลงกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการไว้เป็นที่แน่นอน ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าเจ้าหนี้คือจันทร์ละเลยไม่จัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินออกไปจากที่ดิน จนสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2558 จันทร์เจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นตามมาตรา 209

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 2. จันทร์มีหนี้ที่จะต้องโอนโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์ให้แก่อังคารตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ต่อมาปรากฏว่าโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นถูกเพลิงไหม้หมด จันทร์จึงโอนให้แก่อังคารไม่ได้ แต่เนื่องจากจันทร์ได้เอาประกันภัยโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์นั้นไว้กับบริษัทประกันภัย ในกรณีดังกล่าวนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ถ้าอังคารประสงค์จะเข้าเรียกร้องเอาสินไหมทดแทนนั้นเสียเองจากบริษัทประกันภัย จะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคสอง “ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน”

มาตรา 228 วรรคแรก “ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น เป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”

วินิจฉัย

“ช่วงทรัพย์” หมายถึง การเปลี่ยนตัวทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้โดยผลของกฎหมาย เป็นการเอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะอย่างเดียวกัน (มาตรา 226 วรรคสอง) และถ้าในกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้สูญหายหรือถูกทำลาย และเป็นผลให้ลูกหนี้ได้ทรัพย์อื่นหรือค่าสินไหมทดแทนมา ก็ให้เอาทรัพย์หรือค่าสินไหมทดแทนนั้นเข้าแทนที่ทรัพย์ที่สูญหายหรือถูกทำลาย ซึ่งจะมีผลทำให้เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้(มาตรา 228 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องช่วงทรัพย์ เมื่อการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย กล่าวคือจันทร์ลูกหนี้ไม่สามารถที่จะโอนโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์ให้แก่อังคารเพราะทรัพย์ดังกล่าวได้ถูกเพลิงไหม้หมด แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจันทร์มีสิทธิที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากจันทร์ได้เอาประกันภัยโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์นั้นไว้กับบริษัทประกันภัย ดังนั้น อังคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจันทร์ย่อมสามารถเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนนั้นจากบริษัทประกันภัยได้ตามมาตรา 228 วรรคแรก

สรุป อังคารสามารถเข้าเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนนั้นจากบริษัทประกันภัยได้

 

 

ข้อ 3. ทรัพย์สินของหนึ่งมีเพียงเฉพาะแต่ที่ดิน 1 แปลงหากว่า

ก. หนึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้สอง ต่อมาหนึ่งกลับนำที่ดินนั้นไปจำนองประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสาม กรณีหนึ่ง กับ

ข. หนึ่งจำนองที่ดินประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสอง และต่อมากลับนำที่ดินนั้นไปทำสัญญาจะขายให้สามอีกกรณีหนึ่ง สองจะขอเพิกถอนสัญญาในแต่ละกรณีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 213 วรรคแรก “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับขำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดซช่องให้ทำเช่นนั้นได้…”

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายบอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนซึ่งนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก แต่ถ้านิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบแต่อย่างใด กล่าวคือ แม้ลูกหนี้จะได้ทำนิติกรรมนั้นลูกหนี้ก็ยังมีทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ยังสามารถที่จะบังคับชำระหนี้ได้ ดังนี้ เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

ก. การที่หนึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินของหนึ่งซึ่งมีอยู่เพียงแปลงเดียวให้แก่สอง แต่ต่อมาหนึ่งกลับนำที่ดินแปลงนั้นไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสามนั้น การที่หนึ่งเอาที่ดินไปจำนองกับสามถือว่าเป็นนิติกรรมฉ้อฉล เพราะเป็นนิติกรรมที่หนึ่งได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางทำให้สองเจ้าหนี้เสียเปรียบ

ดังนั้น สองเจ้าหนี้สามารถขอเพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก

ข. การที่หนึ่ง จำนองที่ดินประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสองและต่อมากลับนำที่ดินนั้นไปทำสัญญาจะขายให้กับสามนั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยอยูที่ว่า การกระทำของหนึ่งลูกหนี้ที่ได้เอาที่ดินไปทำสัญญาจะขายให้กับสามนั้น จะทำให้สองเจ้าหนี้เสียเปรียบหรือไม่ กรณีนี้เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 213 วรรคแรก และมาตรา 214 ที่ว่า ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ และภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงนั้น

หมายถึง การที่เจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งหมดนั้น กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าเป็นเรื่องของสัญญาจำนองแล้วก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 733 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 214 กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินที่จำนองไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะโอนไปกี่ทอด จำนองก็ย่อมจะติดไปด้วยเสมอ ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้รับจำนองย่อมสามารถที่จะบังคับจำนองเอากับทรัพย์สินที่จำนองได้เสมอเช่นเดียวกัน

ดังนั้น กรณีดังกล่าวแม้หนึ่งจะได้เอาที่ดินที่ติดจำนองไปทำสัญญาจะขายให้กับสาม จึงไม่ถือว่าเป็นทางที่ทำให้สองเจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะแม้ที่ดินนั้นจะโอนไปเป็นของสาม สองเจ้าหนี้ก็ยังสามารถบังคับจำนองเอากับที่ดินที่ติดจำนองนั้นได้ สองจึงไม่สามารถขอเพิกถอนสัญญาจะขายนั้นได้

สรุป

ก. สองเจ้าหนี้ขอเพิกถอนสัญญาจำนองได้

ข. สองเจ้าหนี้ขอเพิกถอนสัญญาจะขายไม่ได้

 

 

ข้อ 4. ก. ประมูลได้งานก่อสร้างถนนจากกรมทางหลวงในวงเงินสามร้อยล้านบาท และนำสัญญาที่ทำกับกรมทางหลวงเสนอต่อธนาคาร ขอกู้เงินมาดำเนินการ โดยโอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงให้กับธนาคารผู้ให้กู้ และได้บอกกล่าวให้กรมทางหลวงทราบแล้ว แต่ ก. ผิดสัญญา ก. ไปรับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงแต่ละงวดด้วยตนเอง แล้วนำไปชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารซึ่งรับชำระไว้แล้วก็ไม่ได้ดำเนินการใด เช่น แจ้งให้กรมทางหลวงทราบให้ระงับการจ่ายเงินแก่ ก. เป็นต้น งานก่อสร้างแล้วเสร็จ กรมทางหลวงชำระค่าจ้างให้ ก. ครบถ้วนแล้ว แต่ ก. ยังมีหนี้เงินกู้ดังกล่าวค้างชำระธนาคารอยู่อีกยี่สิบล้านบาท ธนาคารจะเรียกบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงฐานผิดสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 222 วรรคแรก “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่ เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น”

มาตรา 223 “ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรวิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้แม้ทั้งที่ความผิดของฝ่ายผู้ที่เสียหายจะมีแต่เพียงละเลยไม่เตือนลูกหนี้ให้รู้สึกถึงอันตรายแห่งการเสียหายอันเป็นอย่างร้ายแรงผิดปกติ ซึ่งลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่อาจจะรู้ได้หรือเพียงแต่ละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย อนึ่งบทบัญญัติแห่งมาตรา 220 นั้นท่านให้นำมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม”

มาตรา 306 วรรคแรก “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอก ได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้นำสัญญาที่ทำกับกรมทางหลวงเสนอต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินมาดำเนินการก่อสร้างถนน โดยโอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงให้กับธนาคารผู้ให้กู้ และได้บอกกล่าวให้กรมทางหลวงทราบแล้วนั้น ถือเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง เมื่อได้ทำเป็นหนังสือและได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้แล้ว การโอนจึงมีผลสมบูรณ์และใช้

ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ได้ตามมาตรา 306 วรรคแรก กล่าวคือ ธนาคารในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนั้น สามารถเรียกให้กรมทางหลวงลูกหนี้ชำระเงินค่าก่อสร้างถนนให้แก่ตนได้ และตามข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่ายังมีหนี้เงินกู้ค้างชำระธนาคารอยู่อีก 20 ล้านบาทนั้น โดยหลักแล้วธนาคารย่อมสามารถที่จะเรียกบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงได้ตามมาตรา 222 วรรคแรก ประกอบมาตรา 306 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ก. ผิดสัญญากับธนาคารผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง โดย ก. ไปรับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงแต่ละงวดด้วยตนเองแล้วนำไปชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารซึ่งรับชำระไว้แล้วก็ไม่ได้ดำเนินการใด เช่น ไม่ได้แจ้งให้กรมทางหลวงทราบเพื่อให้ระงับการจ่ายเงินแก่ ก. นั้น ถือว่าธนาคารผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในฐานะ เจ้าหนี้ และเป็นฝ่ายผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้ว ยอมให้ ก. ผู้โอนไปรับเงินแทนโดยไม่มีอำนาจและปล่อยปละละเลยไม่บอกกล่าวเตือนให้กรมทางหลวงลูกหนี้ได้ทราบ ดังนั้นจึงถือว่าธนาคารเจ้าหนี้มีส่วนผิดไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ธนาคารจึงบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงอีกไม่ได้ตามมาตรา 223

สรุป ธนาคารจะเรียกบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงฐานผิดสัญญาไม่ได้

LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์กู้เงินอังคารไปสองแสนบาท กำหนดชำระคืนให้ในวันที่ 20 มกราคม 2558 เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ปรากฏว่าจันทร์ได้ชำระหนี้ให้แก่อังคารจำนวนสองแสนบาทโดยวิธีทางธนาณัติ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การชำระหนี้ของจันทร์เป็นการปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 208 วรรคแรก “การชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบตามมาตรา 208 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้เกิดผลตรงตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับเจ้าหนี้ โดยลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะสามารถชำระหนี้ได้ และจะต้องเป็นการชำระหนี้โดยตรง กล่าวคือ จะต้องเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้ในลักษณะที่จะให้เกิดสำเร็จผลตามวัตถุประสงค์ของหนี้โดยตรง เช่น ลูกหนี้ตกลงจะชำระหนี้เป็นเงินสด ดังนี้ลูกหนี้จะนำทรัพย์สินอื่นมาชำระแทน หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเจ้าหนี้ในธนาคารไม่ได้ เพราะจะถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น อันเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตามมาตรา 203 วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์กู้เงินอังคารไปสองแสนบาท ถือว่าจันทร์เป็นลูกหนี้อังคารในหนี้เงินกู้สองแสนบาท จันทร์จึงต้องชำระหนี้ให้แก่อังคารด้วยเงินโดยตรงจึงจะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ

ดังนั้น การที่จันทร์ชำระหนี้ให้แก่อังคารจำนวนสองแสนบาทโดยวิธีทางธนาณัติ ย่อมถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 208 วรรคแรก

สรุป การชำระหนี้ของจันทร์เป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบ

 

 

ข้อ 2. นายสอนทำสัญญาขายที่ดินแปลงหนึ่งของตนให้แก่นายชัย ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนโอนในวันที่15 เมษายน 2557 แต่เนื่องจากบนที่ดินแปลงนี้มีบุคคลอื่นเข้ามาปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ 10 ครอบครัวนายสอนกับนายชัยจึงตกลงกันว่า นายสอนจะต้องดำเนินการให้ครอบครัวเหล่านั้นย้ายออกไปจากที่ดินภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557 นายสอนได้ให้ครอบครัวเหล่านั้นทั้งหมดย้ายออกไปตามกำหนดแล้ว โดยได้จ่ายค่าขนย้ายและรื้อถอนให้รวม 100,000 บาท แต่เงินจำนวนนี้ นายสอนต้องกู้มาจากธนาคาร เสียดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี ครั้นวันที่ 15 เมษายน 2557 นายชัยกลับผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้ เพราะเห็นว่าราคาแพงเกินไป นายสอนจึงมาปรึกษานักศึกษาว่าจะฟ้องนายชัยต่อศาลเพื่อเรียกค่าเสียหาย 100,000 บาท ที่เสียไปเป็นค่าขนย้ายและรื้อถอนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี กับเรียกค่าเสียทายที่นายชัยผิดสัญญาไม่ยอมรับโอนที่ดินด้วยอีก 50,000 บาท

นักศึกษาจะให้คำปรึกษาว่า นายสอนเรียกค่าเสียหายกับดอกเบี้ยได้หรือไม่ อย่างไร

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 222 “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย เช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น

เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษหากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเนี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

ในเรื่องของการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนไว้ 2 ประการด้วยกัน คือ

  1. ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติจากการไม่ชำระหนี้ กรณีนี้ลูกหนี้ต้องรับผิดเสมอ(มาตรา 222 วรรคแรก)
  2. ความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ กรณีนี้ลูกหนี้ต้องรับผิดต่อเมื่อได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้ว (มาตรา 222 วรรคสอง)

ส่วนดอกเบี้ยอันเกิดแต่หนี้เงินนั้น มาตรา 224 วรรคแรก กำหนดว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เจ้าหนี้ย่อมจะเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แม้ในสัญญาจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม แต่ถ้าเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยให้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหนี้ก็เรียกได้ตามนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. ค่าเสียหาย 100,000 บาท ที่นายสอนเสียไปเปีนค่าขนย้ายและรื้อถอนนั้น นายสอนสามารถเรียกเอาจากนายชัยได้เพราะเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ คือการที่นายชัยผิดสัญญาไม่ยอมรับโอนที่ดินตามที่ได้ตกลงซื้อจากนายสอนตามมาตรา 222 วรรคแรก

ส่วนดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีนั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ แต่ถือว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสอนได้แจ้งให้นายชัยทราบถึงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีที่นายสอนต้องเสียให้แก่ธนาคารเนื่องจากการกู้เงิน จึงถือไม่ได้ว่านายชัยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว นายสอนจึงเรียกให้นายชัยรับผิดชำระดอกเบี้ยใบอัตราดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 222 วรรคสอง (ฎีกาที่ 1336/2545)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าเสียหาย 100,000 บาทนั้นถือว่าเป็นหนี้เงิน ดังนั้น นายสอนจึงยังสามารถเรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่นายชัยผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก

  1. ค่าเสียหายที่นายชัยผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนรับโอนที่ดินจำนวน 50,000 บาทนั้นถือเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ นายสอนสามารถเรียกเอาจากนายชัยได้ตามมาตรา 222 วรรคแรก และนอกจากนั้นเมื่อเป็นหนี้เงิน นายสอนจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้อีกในอัตราร้อยละ 7 5 ต่อปีในระหว่างที่นายชัยผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคแรก (ฎีกาที่ 12523/2547)

สรุป นายสอนสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องเสียไปเป็นค่าขนย้ายและรื้อถอนจำนวน100,000 บาท และค่าเสียหายเนื่องจากนายชัยผิดสัญญาจำนวน 50,000 บาท ได้รวมทั้งสามารถเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำนวนเงินดังกล่าวในระหว่างผิดนัดได้อีกร้อยละ 7.5 ต่อปี

 

 

ข้อ 3. แดงมีหนี้สินมากมายซึ่งแดงก็ทราบดีว่าตนเองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ที่ตนมีอยู่ได้ ดำเป็นหลานซึ่งอยู่อาศัยกับแดง ดำเกรงว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าหนี้มายึดบ้านทำให้ตนไม่มีที่อยู่ ดำจึงขอให้แดงไปจดทะเบียนให้ตนเองมีสิทธิอาศัยไปตลอดโดยไม่มีค่าตอบแทน ส่วนเขียวเพื่อนของดำทราบว่าแดงมีหนี้สินมากมายจึงมาขอซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีค่าในบ้านไปในราคาถูกกว่าปกติ และนำไปขายให้ร้านขายของเก่าของฟ้า โดยที่ฟ้าไม่ได้ทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ

ต่อมาเหลืองเจ้าหนี้รายหนึ่งของแดง ได้สืบทราบเรื่องดังกล่าว ทนายของเหลืองจึงแนะนำให้เหลือฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉล

ดังนี้ อยากทราบว่าเหลืองจะสามารถฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิอาศัย และในกรณีซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 วรรคแรก “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย

แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้”

มาตรา 238 “การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่ง ความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

  1. การที่แดงได้จดทะเบียนให้ดำซึ่งเป็นหลานได้สิทธิอาศัยตลอดไปโดยไม่มีค่าตอบแทนนั้น เป็นการทำนิติกรรมโดยแดงลูกหนี้ทราบอยู่แล้วว่าตนเองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้และเป็นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งดำก็ทราบเช่นกัน อีกทั้งเป็นการทำให้โดยเสน่หา ดังนั้นเหลืองเจ้าหนี้จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก
  2. การที่แดงได้ทำนิติกรรมโดยการขายเฟอร์นิเจอร์ให้แก่เขียวในราคาถูกนั้น เป็นนิติกรรมที่แดงลูกหนี้ได้ทำลงทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ และเขียวซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกก็ได้รู้ถึงข้อความจริง อันเป็นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ดังนั้นเหลืองเจ้าหนี้จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขียวได้นำเฟอร์นิเจอร์ไปขายให้แก่ฟ้า และฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นได้รับซื้อเฟอร์นิเจอร์มาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้สิทธิมาก่อนที่จะมีการฟ้องคดีเพิกถอนการฉ้อฉล

ดังนั้น เหลืองแม้จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ระหว่างแดงกับเขียวได้ แต่ก็ไม่อาจเรียกเฟอร์นิเจอร์คืนจากฟ้าได้

สรุป. เหลืองสามารถฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิอาศัย และในกรณีการซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ได้ แต่จะเรียกเฟอร์นิเจอร์คืนไม่ได้

 

 

ข้อ 4. ในวันที่ 7 มกราคม 2556 นายหนึ่งและนายสองได้ร่วมกันทำสัญญาจะซื้อที่ดินมีโฉนดที่ดิน 1 แปลง ราคา 2 ล้านบาท จากนายเข้ม โดยในวันทำสัญญานายหนึ่งและนายสองได้วางเงินมัดจำให้แก่นายเข้มจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย ราคาส่วนที่เหลือจะชำระให้แก่นายเข้มภายหลังจากที่นายเข้มได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดวันนัดจดทะเบียน นายสองแต่เพียงผู้เดียวได้เดินทางมายังสำนักงานที่ดินเพื่อขอรับโอนที่ดินและชำระราคาที่ดินค้างชำระให้แก่นายเข้ม นายเข้มจึงปฏิเสธไม่ยอมโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายสอง

ต่อมานายสองจึงนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลขอให้บังคับให้นายเข้มปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและรับราคาที่ค้างชำระจากนายสอง นายเข้มยื่นคำให้การต่อสู้ว่านายเข้มมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากในวันนัดจดทะเบียนโอนที่ดิน นายหนึ่งผู้จะซื้ออีกคนหนึ่งมิได้มาร่วมรับโอนที่ดินพร้อมกับนายสอง นายเข้มจึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่นายสองได้

อีกทั้งนายสองผู้เดียวไม่มีอำนาจฟ้องนายเข้มต่อศาล แต่จะต้องได้รับมอบอำนาจจากนายหนึ่งคู่สัญญาอีกคนหนึ่งด้วย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ทั้ง 2 ข้อ ของนายเข้มฟังขึ้นหรีอไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 298 “ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงได้ไซร้ แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือ เจ้าหนี้ร่วมกัน) ก็ดี

ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คบใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ แม้ทั้งที่เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสองได้ร่วมกันทำสัญญาจะซื้อที่ดินจากนายเข้มย่อมถือว่านายหนึ่งและนายสองอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ร่วม ซึ่งตามมาตรา 298 นายหนึ่งและนายสองต่างมีสิทธิที่จะเรียกร้องการชำระหนี้ (การจดทะเบียนโอนที่ดิน) จากนายเข้มลูกหนี้ได้ โดยทำนองแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงได้ กล่าวคือ นายหนึ่งและนายสองเจ้าหนี้ร่วมไม่ต้องร่วมกันใช้สิทธิเพราะเป็นการใช้สิทธิของตนเอง และโดยไม่ต้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพื่อประโยขน์แก่เจ้าหนี้คนอื่น ดังนั้นนายสองเพียงคนเดียวจึงมีสิทธิเรียกให้นายเข้มโอนที่ดินให้แก่ตนได้โดยไม่ต้องโอนให้ผู้จะซื้อทุกคน และจากข้อเท็จจริงเมื่อนายสองแต่ผู้เดียวจะมาขอรับโอนที่ดินและชำระราคาที่ค้างแก่นายเข้มโดยที่นายหนึ่งไม่ได้มาร่วมรับโอนด้วยนั้น นายเข้มจะปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นายสองไม่ได้ (เทียบเดียงฎีกาที่ 6846/2539)

และนอกจากนั้นโดยหลักของการเป็นเจ้าหนี้ร่วม เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งแต่ผู้เดียวย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องได้รับการมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ร่วมคนอื่น ดังนั้นเมื่อนายสองได้นำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอให้บังคับให้นายเข้มปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าว นายเข้มจะต่อสู้ว่านายสองแต่ผู้เดียวไม่มีอำนาจฟ้องนายเข้มต่อศาลเพราะไม่ได้รับมอบอำนาจจากนายหนึ่งคู่สัญญาอีกคนหนึ่งนั้นไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของนายเข้มทั้ง 2 ข้อ ฟังไม่ขึ้น

 

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารเป็นลูกหนี้ ในหนี้เงินกู้ห้าแสนบาท เมื่อถึงกำหนดชำระคืนในวันที่20 มกราคม 2557 อังคารได้ชำระหนี้ให้แก่จันทร์จำนวนห้าแสนบาท โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจันทร์ ซึ่งจันทร์เองก็ยอมรับว่าอังคารได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของจันทร์จริง ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของอังคารเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 208 วรรคแรก “การชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง ”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการขำระหนี้โดยชอบตามมาตรา 208 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้เกิดผลตรงตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับเจ้าหนี้ โดยลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะสามารถชำระหนี้ได้ และจะต้องเป็นการชำระหนี้โดยตรง กล่าวคือ จะต้องเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้ในลักษณะที่จะให้เกิดสำเร็จผลตามวัตถุประสงค์ของหนี้โดยตรง เช่น ลูกหนี้ตกลงจะชำระหนี้เป็นเงินสด ดังนี้ลูกหนี้จะนำทรัพย์สินอื่นมาชำระแทน หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเจ้าหนี้ในธนาคารไม่ได้

เพราะจะถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น อันเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตามมาตรา 208 วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์ การที่อังคารเป็นลูกหนี้จันทร์ในหนี้เงินกู้ห้าแสนบาทนั้น อังคารจึงต้องชำระหนี้ให้แก่จันทร์ด้วยเงินโดยตรงจึงจะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ ดังนั้น การที่อังคารชำระหนี้ให้แก่จันทร์โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจันทร์ และแม้จันทร์เองจะยอมรับว่าอังคารได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของจันทร์จริงก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 208 วรรคแรก

สรุป การชำระหนี้ของอังคารเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบ

 

 

ข้อ 2. ก. ว่าจ้าง ข. รับเหมาก่อสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยใช้วัสดุก่อสร้างตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดในราคาสิบล้านบาท โดยมีข้อสัญญาตกลงกันว่า ผู้รับจ้างจะต้องนำหนังสือค้ำประกันผลงานในวงเงินร้อยละสิบของมูลค่างานทั้งหมด มีกำหนดเวลาสองปีนับตั้งแต่ผู้รับจ้างส่งมอบงานและรับเงินงวดสุดท้ายแล้วมามอบให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างจะคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวให้ต่อเมื่อผู้รับจ้างพ้นข้อผูกพันตามสัญญาที่ว่า ถ้ามีความชำรุดบกพร่องเสียหายแก่งานที่จ้างนี้ภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับมอบงาน

ผู้รับจ้างต้องทำการแก้ไขให้เรียบร้อยภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งจากผู้ว่าจ้างผู้ว่าจ้างมีสิทธิจ้างผู้อื่นให้มาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้างได้

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้

ก. มูลหนี้เกิดจากสิ่งใด

ข. อะไรเป็นวัตถุแห่งหนี้

ค. ถ้ามีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นจะบังคับได้อย่างไร ใครมีสิทธิเลือกชำระหนี้

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 194 “ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่ง การชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้”

มาตรา 198 “ถ้าการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดนั้นตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 213 “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการ อันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้ หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก. การที่ ก. ว่าจ้าง ข. รับเหมาก่อสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยใช้วัสดุก่อสร้างตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดในราคา 10 ล้านบาทนั้น ถือว่าหนี้ระหว่าง ก. ผู้ว่าจ้างและ ข. ผู้รับจ้างเป็นหนี้ที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นจากสัญญา โดย ก. เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ ข. ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามมาตรา 194

ข. เมื่อหนี้ที่เกิดขึ้นดังกล่าว เป็นเรื่องที่ผู้รับจ้างตกลงรับเหมาก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้ว่าจ้าง ดังนั้น วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาคือการกระทำ คือ เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนี่งตามที่ระบุไว้ในสัญญานั่นเอง และในกรณีที่ในสัญญามีข้อตกลงกับว่า ถ้ามีความชำรุดบกพร่องเสียหายแก่งานที่จ้างนี้ภายใน 2 ปี นับแต่วับที่ได้รับมอบงาบ ผู้รับจ้างต้องทำการแก้ไขให้เรียบร้อยภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งจากผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิจ้างผู้อื่นให้มาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้างได้นั้น จะเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่การกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง กล่าวคือ ผู้รับจ้างจะทำการซ่อมแซมเองหรือจะให้ผู้ว่าจ้างให้คนอื่นมาทำการซ่อมแซมแทนนั่นเอง (มาตรา 198)

ค. ในกรณีที่มีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น และเป็นกรณีที่การกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง ดังนั้นสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ (ผู้รับจ้าง) คือ ลูกหนี้มีสิทธิเลือกที่จะกระทำการแก้ไขความชำรุดบกพร่องภายในกำหนด หรือจะเลือกให้ผู้ว่าจ้างจ้างให้ผู้อื่นมาทำการแก้ไขซ่อมแซมก็ได้ (มาตรา 918)

และในส่วนของผู้ว่าจ้างนั้น เมื่อมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น ผู้ว่าจ้างสามารถบังคับได้โดยตรงคือเรียกให้ผู้รับจ้างกระทำการแก้ไขซ่อมแซม (มาตรา 213 วรรคแรก) แต่ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ เช่น ผู้รับจ้างไม่ยอมทำการแก้ไขซ่อมแซม ดังนี้เมื่อวัตถุแห่งหนี้เป็นการกระทำ ผู้ว่าจ้างจะให้บุคคลอื่นมาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้างและให้ผู้รับจ้างออกค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ (มาตรา 213 วรรคสอง) และไม่ตัดสิทธิของผู้ว่าจ้างที่จะเรียกค่าเสียหายในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น (มาตรา 213 วรรคท้าย)

สรุป

ก. มูลหนี้เกิดจากสัญญา

ข. วัตถุแห่งหนี้คือการกระทำและการกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง

ค. เมื่อมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น สิทธิเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ฝ่ายผู้รับจ้าง ส่วนผู้ว่าจ้างมีสิทธิบังคับผู้รับจ้างได้ตามมาตรา 213 ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

 

 

ข้อ 3. นายเอกเป็นเจ้าของร้านขายส่งบัตรอวยพรชนิดต่าง ๆ นายเอกสั่งซื้อ ส.ค.ส. แบบระบุปี พ.ศ. 2558จากโรงพิมพ์ของนายกิจ 2,000 ชุด ตกลงกันว่า นายกิจจะต้องนำ ส.ค.ส. มาส่งที่ร้านของนายเอก ในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 เพื่อขายต่อให้ร้านค้าปลีกที่นายเอกได้นัดส่งมอบไว้ในวันเดียวกัน แต่ว่านายกิจกลับนำ ส.ค.ส. มาส่งในวันที่ 15 มกราคม 2558 นายเอกจึงไม่รับ ส.ค.ส. ทั้งหมดไว้ เพราะพ้นช่วงเทศกาลมาแล้วไม่สามารถขายต่อได้ การกระทำของนายเอกเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายเอกจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมายจากนายกิจได้อย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 216 ‘‘ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้”

มาตรา 222 วรรคแรก “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกสั่งซื้อ ส.ค.ส. แบบระบุปี พ.ศ. 2558 จากโรงพิมพ์ของนายกิจและตกลงกันว่า นายกิจจะต้องนำ ส.ค.ส มาส่งให้แก่นายเอกในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 นั้น ถือว่าหนี้ที่เกิดจากมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายระหว่างนายเอกกับนายกิจเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน ซึ่งนายกิจจะต้องส่งมอบหรือชำระหนี้ให้แก่นายเอกในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 แต่เมื่อถึงกำหนดนายกิจลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ จึงถือว่านายกิจลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลยตามมาตรา 204 วรรคสอง

การที่นายกิจได้นำ ส.ค.ส มาส่งมอบให้แก่นายเอกในวันที่ 15 มกราคม 2558 ซึ่งพ้นระยะเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้ที่เป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้คือนายเอก นายเอกย่อมมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้ และสามารถเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายกิจได้ตามมาตรา 216 และมาตรา 222 วรรคแรก

โดยค่าเสียหายที่เรียกเป็นเงินนั้น นายเอกสามารถเรียกดอกเบี้ยได้อีกในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก

สรุป การที่นายเอกบอกปัดไม่รับ ส.ค.ส. ทั้งหมดไว้ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและนายเอกสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ และถ้าค่าเสียหายที่เรียกเป็นเงินนายเอกก็สามารถเรียกดอกเบี้ยได้อีกในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

 

 

ข้อ 4. นายเอก นายโท และนายตรี ได้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายแดงไปจำนวน 3,000,000 บาท โดยมีกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้ในวันที่ 12 มีนาคม 2557 นอกจากนี้ในการกู้ยืมเงินดังกล่าวนั้น นายเอก นายโท และนายตรี ได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่านายเอกจะไม่รับผิดอย่างใดเลยในหนี้จำนวนนี้ ต่อมานายแดงได้ไปซื้อแหวนเพชร 1 วง ราคา 1,000,000 บาทจากร้านของนายตรี โดยนายแดงและนายตรีตกลงกันว่าให้นายแดงชำระค่าแหวนเพชรเป็นเงิน 1,000,000 บาทให้แก่นายตรีภายในวันที่ 12 มีนาคม 2557 เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระในวันที่ 12 มีนาคม 2557 นายแดงได้เรียกร้องให้นายตรีแต่เพียงคนเดียวชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน นายตรีจึงแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายแดงระหว่างหนี้ที่นายแดงค้างชำระค่าแหวนเพชรต่อนายตรีจำนวน 1,000,000 บาทกับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว

แต่นายแดงต้องการได้เงินสดเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการของตน จึงปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้จากนายตรี ในวันเดียวกันนั้นเอง นายแดงได้มาเรียกให้นายเอกชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาท แต่นายเอกปฏิเสธไม่ชำระหนี้ให้แก่นายแดง โดยอ้างว่าหนี้ทั้งหมดระงับไปแล้วด้วยการหักกลบลบหนี้ระหว่างนายตรีและนายแดง และตนก็ไม่ต้องรับผิดใดๆ ในหนี้จำนวนนี้ตามที่ได้ตกลงไว้กับนายโทและนายตรีด้วย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายเอกเพียงคนเดียวขำระหนี้เงินกู้ให้แก่ตนได้หรีอไม่ เป็นจำนวนเท่าใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้

สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวดือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 292 วรรคแรก ‘‘การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ ด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย”

มาตรา 341 “ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอก นายโท และนายตรี ได้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายแดงจำนวน 3,000,000 บาทนั้น ถือได้ว่านายเอก นายโท และนายตรีเป็นลูกหนี้ร่วม ดังนั้น นายแดงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้จนสิ้นเชิงได้ตามมาตรา 291

และเมื่อนายแดงใช้สิทธิเรียกให้นายเอกชำระหนี้ นายเอกจะยกเอาข้อตกลงระหว่างนายเอก นายโท และนายตรีที่ได้ทำข้อตกลงไว้ว่านายเอกไม่ต้องรับผิดอย่างใด ๆ เลยในหนี้จำนวนนี้มาต่อสู้นายแดงเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะข้อตกลงดังกล่าวนั้น เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น จะยกขึ้นมาเพื่อต่อสู้เจ้าหนี้ไม่ได้

ดังนั้น นายเอกจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่นายแดง

ส่วนประเด็นที่ว่า นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายเอกชำระหนี้ได้เป็นจำนวนเท่าใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเบื้องต้นนายแดงได้เรียกร้องให้นายตรีแต่เพียงคนเดียวชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน และนายตรีได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายแดงระหว่างหนี้ที่นายแดงค้างชำระค่าแหวนเพชรต่อนายตรีจำนวน 1,000,000 บาทกับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว ซึ่งการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 341 นั้นเพียงแต่ลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ก็เกิดผลตามกฎหมายแล้วโดยมิจำต้องได้รับความยินยอมจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะการหักกลบลบหนี้เป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน

โดยมูลหนี้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน (หนี้เงิน) และหนี้ทั้งสองรายนั้นได้ถึงกำหนดชำระแล้ว ดังนั้นเมื่อครบองค์ประกอบดังกล่าวแล้ว และลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมส่งผลให้หนี้ระงับไปเพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายคือ 1,000,000 บาท และกรณีดังกล่าวนี้ แม้นายแดงจะปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้จากนายตรีก็ไม่ทำให้การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนายตรีต้องเสียไปและนอกจากนั้น การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนายตรีต่อนายแดง ย่อมส่งผลเป็นคุณแก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่น ๆ ด้วยตามมาตรา 292 วรรคแรก กล่าวคือ ทำให้นายเอก นายโท และนายตรียังคงมีหน้าที่ ที่จะต้องร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายแดงเป็นจำนวนเพียง 2,000,000 บาทนั้นเอง

สรุป นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายเอกเพียงคนเดียวชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ตนได้เป็นจำนวนเงิน2,000,000 บาท

WordPress Ads
error: Content is protected !!