LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางแดงจดทะเบียนตามกฎหมายรับเด็กหญิงขาวบุตรของนางเหลืองมาเป็นบุตรบุญธรรมเพราะเห็นว่าเด็กหญิงขาวกําพร้าบิดาที่เสียชีวิตไปเนื่องจากอุบัติเหตุ ปรากฏว่าขณะที่นางแดงกําลังพา เด็กหญิงขาวข้ามถนนบริเวณช่องทางข้าม (ทางม้าลาย) นายม่วงขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อ ชนเด็กหญิงขาวถึงแก่ความตาย ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างนางแดงกับนางเหลือง บุคคลใดเป็นผู้มีอํานาจ จัดการแทนเด็กหญิงขาวผู้เสียหาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) “ผู้บุพการี” ซึ่งมีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้นั้น หมายถึง ผู้บุพการีตามความเป็นจริง คือเป็นผู้สืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไป ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย (คําพิพากษาฎีกาที่ 1384/2516 ประชุมใหญ่)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางแดงจดทะเบียนตามกฎหมายรับเด็กหญิงขาวบุตรของนางเหลือง มาเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาเด็กหญิงขาวได้ถูกนายม่วงขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนจนเด็กหญิงขาว ถึงแก่ความตายนั้น ระหว่างนางแดงกับนางเหลืองบุคคลใดเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทนเด็กหญิงขาวผู้เสียหายนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนางแดง

เมื่อนางแดงเป็นเพียงผู้รับบุตรบุญธรรมของเด็กหญิงขาวเท่านั้น นางแดง จึงมิใช่ผู้บุพการีตามความเป็นจริงของเด็กหญิงขาว ตามนัยของ ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) ดังนั้น นางแดงจึง ไม่มีอํานาจจัดการแทนเด็กหญิงขาวผู้เสียหาย (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 956/2509)

กรณีของนางเหลือง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางเหลืองเป็นมารดาของเด็กหญิงขาว นางเหลืองจึงเป็นผู้บุพการีตามความเป็นจริงของเด็กหญิงขาว ตามนัยของ ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) ดังนั้น นางเหลืองจึงมีอํานาจจัดการแทนเด็กหญิงขาวผู้เสียหายซึ่งถูกทําร้ายถึงตาย

สรุป

นางเหลืองมีอํานาจจัดการแทนเด็กหญิงขาวผู้เสียหาย ส่วนนางแดงไม่มีอํานาจจัดการ แทนเด็กหญิงขาวผู้เสียหาย

 

ข้อ 2. นายเขียวเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแดงฐานทําร้ายร่างกายนายเขียวเป็นเหตุให้นายเขียวได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่ไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์ในช่องลายมือชื่อของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้อง ต่อมานายเขียวยื่นฟ้องนายแดงใหม่ใน ความผิดฐานเดิมและลงชื่อในช่องโจทก์ถูกต้องภายในกําหนดอายุความ ดังนี้ หากท่านเป็นศาลจะรับฟ้องของนายเขียวที่มายื่นฟ้องใหม่หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเขียวเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายแดงฐานทําร้ายร่างกายนายเขียว เป็นเหตุให้นายเขียวได้รับอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่ไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์ใน ช่องลายมือชื่อของโจทก์ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเนื่องจากโจทก์ ไม่ได้ลงลายมือชื่อ เป็นกรณีที่ศาลยกฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามแบบของคําฟ้องให้ครบถ้วน โดยศาลชั้นต้นยัง มิได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง ดังนั้น สิทธิในการนําคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) เมื่อนายเขียวนําคดีมายื่นฟ้องนายแดงใหม่และลงลายมือชื่อในช่องโจทก์ถูกต้องภายในกําหนดอายุความจึงไม่เป็น ฟ้องซ้ํา ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลก็จะรับฟ้องของนายเขียวที่มายื่นฟ้องใหม่

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลข้าพเจ้าจะรับฟ้องของนายเขียวที่มายืนฟ้องใหม่

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.ยอดชาย เข้าสกัดจับนายเร่งรีบ ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าด่านตรวจถนนสายสีคิว-ปากช่องของสถานีตํารวจภูธรสีคิ้ว จนทําให้รถจักรยานยนต์ล้ม นายเร่งรีบตกจากรถจักรยานยนต์ศีรษะ ฟาดพื้นถนนหมดสติตรงด่านตรวจ ร.ต.อ.ยอดชาย และเจ้าพนักงานตํารวจสถานีตํารวจภูธรสีคิ้ว ประจําด่านตรวจ ได้ช่วยกันนํานายเร่งรีบส่งโรงพยาบาลปากช่อง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่ใกล้ ที่สุด แต่อยู่ในเขตท้องที่สถานีตํารวจภูธรปากช่อง นายเร่งรีบถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาที่ โรงพยาบาลปากช่อง นายดุเดือดกับนางสงบบิดามารดาของนายเร่งรีบจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรปากช่องให้ดําเนินคดีกับ ร.ต.อ.ยอดชาย ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่สกัด จับนายเร่งรีบจนถึงแก่ความตาย พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรปากช่องได้ร่วมกับแพทย์ ประจําโรงพยาบาลปากช่องทําการชันสูตรพลิกศพนายเร่งรีบเพื่อจะได้ดําเนินคดีกับ ร.ต.อ.ยอดชาย ตามกฎหมาย

ให้วินิจฉัยว่า การชันสูตรพลิกศพนายเร่งรีบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรปากช่อง หรือพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรสีคิ้วมีอํานาจสอบสวนคดีนี้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 18 วรรคหนึ่ง “ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี พนักงานฝ่าย ปกครองหรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ ปลัดอําเภอ และข้าราชการตํารวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตํารวจตรีหรือเทียบเท่า นายร้อยตํารวจตรีขึ้นไป มีอํานาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอํานาจ ของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอํานาจของตนได้”

มาตรา 150 วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้า “ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทํา ของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่า ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ให้พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองตําแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอําเภอหรือเทียบเท่า ขึ้นไปแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ตามวรรคหนึ่ง และให้นํา บทบัญญัติในวรรคสองมาใช้บังคับ

เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพตามวรรคสามแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการ เข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งถ้ามีความจําเป็น ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ

เมื่อได้รับสํานวนชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานอัยการทําคําร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทําการไต่สวนและทําคําสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทําร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทําร้ายเท่าที่จะทราบได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสํานวน ถ้ามีความจําเป็นให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและ ความจําเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การชันสูตรพลิกศพนายเร่งรีบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

การที่นายเร่งรีบถึงแก่ความตายนั้น เป็นกรณีที่ความตายเกิดขึ้นโดยการกระทําของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ดังนั้นพนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองที่มีตําแหน่งตั้งแต่ระดับ ปลัดอําเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวน ชันสูตรพลิกศพ จากนั้นพนักงานอัยการต้องทําคําร้องต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทําการไต่สวน ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีเพียงพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรปากช่องและแพทย์ประจํา โรงพยาบาลปากช่องเท่านั้นที่ร่วมกันชันสูตรพลิกศพนายเร่งรีบ หาได้มีพนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครอง ตําแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอําเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปเข้าร่วมชันสูตรพลิกศพด้วยแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น การชันสูตร พลิกศพนายเร่งรีบจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นที่ 2 พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรใดเป็นผู้มีอํานาจสอบสวนคดีนี้

ตามข้อเท็จจริง การที่ ร.ต.อ.ยอดชาย สกัดจับนายเร่งรีบทําให้นายเร่งรีบตกจากรถจักรยานยนต์ ศีรษะฟาดพื้นถนนหมดสติตรงด่านตรวจซึ่งอยู่ในเขตท้องที่สถานีตํารวจภูธรสีคิ้วนั้น แม้นายเร่งรีบจะถึงแก่ความตาย ที่โรงพยาบาลปากช่องซึ่งอยู่ในเขตท้องที่สถานีตํารวจภูธรปากช่อง แต่ก็เป็นเพียงผลที่เกิดจากการกระทําผิดในเขต ท้องที่สถานีตํารวจภูธรสีคิ้ว ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรสีคิ้ว ซึ่งความผิดได้เกิดภายในเขตอํานาจ จึงเป็นพนักงานสอบสวนที่มีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 18 วรรคหนึ่ง

สรุป

การชันสูตรพลิกศพนายเร่งรีบไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานสอบสวนสถานี ตํารวจภูธรสีคิ้วเป็นผู้มีอํานาจสอบสวนคดีนี้

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.กล้าหาญพบนางสาวสับปะรดกําลังวิ่งไล่จับนายหินมาตามทางสาธารณะ และได้ยินนางสาวสับปะรดร้องตะโกนว่า “จับที จับทีมันขโมยแหวนเพชร” พ.ต.ต.กล้าหาญได้เข้าทําการ จับนายหิน หลังจากทําการจับ พ.ต.ต.กล้าหาญได้ค้นตัวนายหินแล้วพบว่ามีแหวนเพชรของ นางสาวสับปะรดอยู่ในกระเป๋ากางเกงของนายหิน ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.กล้าหาญชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ และการที่ พ.ต.ต.กล้าหาญค้นตัวนายหินหลังจากทําการจับ ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 “ ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือพบใน อาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ

อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดังระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่าความผิดนั้น เป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้

(1) เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดังผู้กระทําโดยมีเสียงร้องเอะอะ”

มาตรา 85 วรรคหนึ่ง “เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้ มีอํานาจค้นตัวผู้ต้องหาและ ยึดสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.กล้าหาญพบนางสาวสับปะรดกําลังวิ่งไล่จับนายหินมาตามทาง สาธารณะ และได้ยินนางสาวสับปะรดร้องตะโกนว่า “จับที จับทีมันขโมยแหวนเพชร” นั้น ถือเป็นความผิดซึ่งหน้า ประเภทที่กฎหมายให้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคสอง (1) เนื่องจากการที่นางสาวสับปะรดร้องเอะอะว่า “จับที จับทีมันขโมยแหวนเพชร” นั้น การกระทําของนายหิน คือ

ความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุอยู่ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประกอบกับ นายหินถูกนางสาวสับปะรดวิ่งไล่จับดั่งว่านายหินได้กระทําความผิดมา พ.ต.ต.กล้าหาญจึงมีอํานาจในการจับนายหิน แม้ไม่มีหมายจับ ดังนั้น การจับของ พ.ต.ต.กล้าหาญในกรณีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนการที่ พ.ต.ต.กล้าหาญได้ค้นตัวนายหินหลังจากทําการจับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อการจับของ พ.ต.ต.กล้าหาญชอบด้วยกฎหมายแล้ว พ.ต.ต.กล้าหาญย่อมมีอํานาจค้นตัวนายหิน ผู้ต้องหาได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 85 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่ พ.ต.ต.กล้าหาญค้นตัวนายหินหลังจากทําการจับ จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

สรุป

การจับของ พ.ต.ต.กล้าหาญชอบด้วยกฎหมาย และการที่ พ.ต.ต.กล้าหาญค้นตัวนายหิน หลังทําการจับก็ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายมะระต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานลักทรัพย์ของนายผัดฉ่าผู้เสียหาย โดยการถอดอุปกรณ์ส่วนควบรถยนต์ออกเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนต่าง ๆ และเอาไปเสียในขณะที่ รถยนต์อยู่ในความครอบครองของนายถั่วลันเตาผู้เช่า ศาลชั้นต้นมีคําสั่งประทับฟ้องในคดีที่ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนายถั่วลันเตาได้ยื่นฟ้องนายมะระ ในความผิดฐานเดียวกันอีก นายมะระให้การต่อสู้ว่านายถั่วลันเตาไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอํานาจฟ้อง และพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องตนในความผิดเดียวกันไว้ก่อนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ดังนี้

ข้อต่อสู้ของนายมะระฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย” มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้อต่อสู้ของนายมะระฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2) บุคคลที่จะมีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้จะต้องเป็นผู้เสียหาย ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจ จัดการแทนผู้เสียหายตามที่กฎหมายกําหนด จากข้อเท็จจริงความผิดฐานลักทรัพย์นอกจากกฎหมายจะมุ่งคุ้มครอง เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแล้ว ยังให้ความคุ้มครองต่อผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์เหล่านั้นด้วย ดังนั้น แม้นายถั่วลันเตาจะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าว แต่เมื่อนายถั่วลันเตาเป็นผู้เช่าซึ่งถือเป็น ผู้ครอบครองดูแลรักษารถยนต์ จึงเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และมีอํานาจฟ้องคดีนี้ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2) ข้อต่อสู้ของนายมะระที่ว่านายถั่วลันเตาไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอํานาจฟ้องจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนการฟ้องซ้ํานั้น ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ดังนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

ตามข้อเท็จจริง แม้พนักงานอัยการได้ฟ้องนายมะระในความผิดฐานเดียวกันไว้ก่อนแล้ว แต่คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแต่อย่างใด การที่นายถั่วลันเตานําคดีเรื่องนี้มาฟ้องอีกจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ดังนั้น คําให้การของนายมะระที่ว่าพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องตนในความผิด เดียวกันไว้ก่อนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ําจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

สรุป ข้อต่อสู้ของนายมะระทั้งสองข้อฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายมะไฟและนายแกงไก่เป็นจําเลยในความผิดฐานร่วมกันทําร้ายร่างกายนายหน่อไม้ผู้เสียหาย ก่อนสืบพยานโจทก์นัดแรก นายหน่อไม้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้น ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายหน่อไม้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ ระหว่างดําเนินคดี นายหน่อไม้ไม่พอใจแนวทางการดําเนินคดีของพนักงานอัยการโจทก์จึงได้ยืน คําร้องต่อศาลชั้นต้นขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วม โดยระบุว่ามีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับ ความเห็นของพนักงานอัยการโจทก์ หากโจทก์ร่วมดําเนินคดีนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่คดี ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้นายหน่อไม้ถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วม ต่อมาภายหลังจากสืบพยานจําเลย เสร็จสิ้นก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดี นายหน่อไม้ได้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้นขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ในคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยระบุว่าเพื่อจะใช้สิทธิชั้นอุทธรณ์ฎีกาต่อไป ดังนี้ นายหน่อไม้จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 36 “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายหน่อไม้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ได้ในครั้งแรกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 แสดงว่าศาลชั้นต้นฟังว่านายหน่อไม้เป็นผู้เสียหายสามารถดําเนินคดีแก่ จําเลยโดยอาศัยสิทธิตามฟ้องของพนักงานอัยการได้ เสมือนว่านายหน่อไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ดังนั้น การที่ นายหน่อไม้ขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วม ระบุว่าหากดําเนินคดีต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่คดี โดยไม่ ปรากฏว่านายหน่อไม้จะไปดําเนินการอะไรอีก ย่อมถือได้ว่านายหน่อไม้ไม่ประสงค์จะดําเนินคดีแก่จําเลยอีก ต่อไป มีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้องในส่วนของโจทก์ร่วมเด็ดขาดแล้ว

และเมื่อนายหน่อไม้ถอนฟ้องแล้ว ย่อมเกิดผลทางกฎหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 คือ นายหน่อไม้จะนําคดีมาฟ้องใหม่ไม่ได้ เมื่อได้ความว่าฟ้องไม่ได้ การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ก็ทําไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาก็ตาม ดังนั้น นายหน่อไม้จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังอีกไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 (คําพิพากษาฎีกาที่ 7241/2544)

สรุป นายหน่อไม้จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังไม่ได้ ตามหลักเหตุผลและ กฎหมายที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.ละมุดได้รับรายงานจากสายลับที่มีความน่าเชื่อถือว่านายเทาซึ่งขณะนี้กําลังขายอาหารอยู่ภายในร้านอาหารของนายเทามีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่กับตัว ร.ต.อ.ละมุดจึงรีบไปที่ร้านอาหาร ของนายเทาทันที โดย ร.ต.อ.ละมุดไปถึงร้านอาหารของนายเท่าในช่วงเวลาที่ร้านอาหารยังเปิด ทําการขายอาหารอยู่ ร.ต.อ.ละมุดได้เดินเข้าไปหานายเทาและแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตํารวจ และขอตรวจค้นตัวนายเทา เมื่อ ร.ต.อ.ละมุดได้ค้นตัวนายเทาแล้วได้พบเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่ตัว ของนายเทา ร.ต.อ.ละมุดจึงทําการจับนายเทาทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ การตรวจค้นและการจับของ ร.ต.อ.ละมุดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 93 “ห้ามมิให้ทําการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตํารวจเป็นผู้ค้น ในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทําความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทําความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การตรวจค้นและการจับของ ร.ต.อ.ละมุดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ร้านอาหารของนายเทาในช่วงเวลาที่ร้านยังเปิดทําการขายอาหารอยู่นั้นย่อมถือเป็นที่สาธารณสถาน การที่ ร.ต.อ.ละมุด แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและขอตรวจค้นตัวนายเทาโดยที่ไม่มีหมายค้นนั้น โดยหลักย่อมไม่สามารถทําได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ความว่า ร.ต.อ.ละมุด ได้รับรายงานจากสายลับที่มีความน่าเชื่อถือว่านายเทามีเมทแอมเฟตามีน ซุกซ่อนอยู่ จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่านายเทามีสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดซุกซ่อนอยู่ ดังนั้น ร.ต.อ.ละมุด จึงมีอํานาจ ค้นตัวนายเทาซึ่งอยู่ที่ร้านอาหารของนายเทาที่เปิดทําการอันเป็นที่สาธารณสถานได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 93

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า พบเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่ตัวของนายเทา ซึ่งถือเป็นความผิด ซึ่งหน้า ร.ต.อ.ละมุด จึงมีอํานาจจับนายเทาได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง การตรวจค้นและการจับกุมของ ร.ต.อ.ละมุด จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การตรวจค้นและการจับของ ร.ต.อ. ละมุด ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นายสับปะรดร้องทุกข์ให้ดําเนินคดีแก่นายหินในความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน ระหว่างการสอบสวนนายหินทราบว่าตนถูกกล่าวหาจึงเข้าหาพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคํา พนักงานสอบสวน จึงได้สอบคําให้การของนายหินไว้ในฐานะผู้ต้องหาโดยปรากฏว่า ก่อนถามคําให้การพนักงานสอบสวน ถามนายหินว่ามีทนายความหรือไม่ นายหินตอบว่ามีทนายความแล้วหลังจากที่ทนายความของ นายหินมาถึงที่ทําการของพนักงานสอบสวนและได้เข้าร่วมฟังการสอบปากคํา พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานแก่นายหิน แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง ให้ผู้ต้องหาทราบว่าผู้ต้องหา มีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้อยคําที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการ พิจารณาคดีได้ และผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําได้

ดังนี้ พนักงานอัยการจะมีอํานาจฟ้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 134/1 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหา มีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหา ว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

ในคดีที่มีอัตราโทษจําคุก ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความ หรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้”

มาตรา 134/2 “ให้นําบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวน ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี”

มาตรา 134/3 “ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้”

มาตรา 134/4 “ในการถามคําให้การผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคําที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้ เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคําให้การไว้ ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้

ถ้อยคําใด ๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่ จะดําเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดของผู้นั้นไม่ได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 กําหนดไว้ว่า ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาลหากยัง มิได้ทําการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน ซึ่งการสอบสวนนั้นจะต้องทําตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกําหนดไว้ เพราะหากผิดขั้นตอนในสาระสําคัญ การสอบสวนย่อมเสียไป ส่งผลให้พนักงานอัยการไม่มีอํานาจฟ้องในที่สุด

กรณีตามอุทาหรณ์ พนักงานอัยการจะมีอํานาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง ก่อนถามคําให้การผู้ต้องหานั้น กฎหมายกําหนดให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคําที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐาน ในการพิจารณาคดีได้ และ

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้ จาก ข้อเท็จจริง แม้ว่าพนักงานสอบสวนจะมิได้แจ้งสิทธิแก่นายหินตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง (1) (2) แต่มาตรา 134/4 วรรคท้าย ถือเป็นเพียงเหตุให้คําให้การของผู้ต้องหาจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดของผู้ต้องหาไม่ได้เท่านั้น หาทําให้การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดไม่ ดังนั้นเมื่อมีการสอบสวน ที่ชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการจึงมีอํานาจฟ้องคดีนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120

สรุป พนักงานอัยการมีอํานาจฟ้อง ตามหลักเหตุผลและหลักกฎหมายข้างต้น

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสาวสับปะรดอายุ 19 ปี ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนขอให้ดําเนินคดีกับนายมะไฟในความผิดฐานกระทําอนาจารนางสาวสับปะรดโดยใช้กําลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 โดยบิดามารดานางสาวสับปะรดไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในการร้องทุกข์

พนักงานสอบสวนได้ทําการสอบสวน เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเห็นว่าการสอบสวนเสร็จจึงสรุปสํานวน พร้อมทําความเห็นควรสั่งฟ้องนายมะไฟและส่งสํานวนพร้อมความเห็นดังกล่าวไปให้พนักงานอัยการ ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายมะไฟในความผิดฐานกระทําอนาจาร นางสาวสับปะรดซึ่งอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กําลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (การกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 เป็นความผิดอันยอมความได้) ดังนี้

พนักงานอัยการมีอํานาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่จะมี คําร้องทุกข์ตามระเบียบ

มาตรา 123 วรรคหนึ่ง “ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้”

วินิจฉัย

ความผิดฐานกระทําอนาจารแก่บุคคลซึ่งมีอายุกว่า 15 ปี โดยใช้กําลังประทุษร้ายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ ซึ่งตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทําการสอบสวน เว้นแต่จะได้มีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวสับปะรดอายุ 19 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงาน สอบสวนขอให้ดําเนินคดีกับนายมะไฟในความผิดฐานกระทําอนาจารนางสาวสับปะรดโดยใช้กําลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278 นั้น นางสาวสับปะรดผู้เยาว์ย่อมมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ แม้ บิดามารดาของนางสาวสับปะรดจะไม่ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในการร้องทุกข์ก็ตาม เพราะตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (7) และมาตรา 123 วรรคหนึ่งนั้น มิได้บัญญัติว่า การร้องทุกข์ของผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจาก บิดามารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลดังกล่าวจะต้องลงลายมือชื่อในการร้องทุกข์ของผู้เยาว์ด้วยแต่อย่างใด (คําพิพากษาฎีกาที่ 3915/2551)

เมื่อความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความกันได้ และนางสาวสับปะรด ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ได้ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจึง มีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง และเมื่อมีการสอบสวนโดยชอบแล้ว พนักงานอัยการ จึงมีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 20

สรุป

พนักงานอัยการมีอํานาจฟ้องคดีนี้

 

ข้อ 2. นายประมาทขับรถยนต์ชนรถยนต์ที่นางบริสุทธิ์ขับได้รับความเสียหายต้องการเสียค่าซ่อมรถเป็นเงิน 25,000 บาท พนักงานอัยการฟ้องนายประมาทฐานขับรถโดยประมาทน่าหวาดเสียวเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ ศาลพิพากษาว่านายประมาทจําเลยกระทํา ความผิดตามฟ้อง คดีถึงที่สุด นางบริสุทธิ์จึงเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากนายประมาท เป็นค่าซ่อมรถ 25,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่างที่ไม่มีรถยนต์ใช้ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 30,000 บาท นายประมาทต่อสู้ว่าไม่ได้ทําละเมิดขับรถยนต์ชนรถยนต์ของนางบริสุทธิ์ แต่นางบริสุทธิ์เป็นฝ่ายประมาทขับรถยนต์เฉียวชนรถยนต์ของนายประมาท นางบริสุทธิ์อ้าง คําพิพากษาในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่า นายประมาทเป็นฝ่ายผิด

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ศาลในคดีแพ่งจําต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคําพิพากษาคดีส่วนอาญาว่านายประมาทเป็นฝ่ายผิด หรือต้องให้คู่ความนําสืบข้อเท็จจริงกันใหม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 46 “ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจําต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคําพิพากษาคดี ส่วนอาญา”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 46 กรณีที่ศาลที่พิจารณาคดีแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคํา พิพากษาคดีส่วนอาญานั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้

1 ต้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา

2 คําพิพากษาคดีส่วนอาญาต้องถึงที่สุดแล้ว

3 คู่ความในคดีอาญาและคดีส่วนแพ่งต้องเป็นคู่ความเดียวกัน

4 ข้อเท็จจริงในคดีอาญาต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและได้รับการวินิจฉัยโดยชัดแจ้งแล้ว

โดยหลักแล้ว เมื่อพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ย่อมถือว่าเป็นการฟ้องแทนผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่พนักงานอัยการฟ้องนายประมาทฐานขับรถโดยประมาทน่าหวาดเสียวเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ นั้น เมื่อความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ เป็นความผิด ต่อรัฐ รัฐเป็นผู้เสียหายจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นกรณีที่พนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาแทนนางบริสุทธิ์ซึ่งได้รับความ เสียหายจากการกระทําของนายประมาท ดังนั้น นางบริสุทธิ์จึงไม่ใช่คู่ความในคดีอาญา คําพิพากษาในคดีอาญา จึงไม่ผูกพันนางบริสุทธิซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่ง เมื่อนางบริสุทธิ์เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากนายประมาท จึงไม่ถือว่าคู่ความในคดีอาญาและคดีส่วนแพ่งเป็นคู่ความเดียวกัน ดังนั้นศาลในคดีแพ่งจึงไม่จําต้องถือข้อเท็จจริง ตามที่ปรากฏในคําพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ว่านายประมาทเป็นฝ่ายผิด ศาลจะต้องให้คู่ความนําสืบข้อเท็จจริงกันใหม่ ในคดีแพ่ง

สรุป

ศาลในคดีแพ่งไม่จําต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคําพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาล จะต้องให้คู่ความในคดีแพ่งนําสืบข้อเท็จจริงกันใหม่

 

ข้อ 3. นายกล้าอายุ 16 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ในระหว่างทําการสอบสวนนายกล้า พันตํารวจโทไพบูลย์พนักงานสอบสวนไม่ได้จัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสงคมสงเคราะห์และ พนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบปากคํา และนายกล้าก็ไม่ได้ต้องการให้บุคคลดังกล่าวเข้าร่วม ในการสอบปากคําด้วย ให้วินิจฉัยว่า การสอบสวนนายกล้าผู้ต้องหาในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง “ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย อันมิใช่ความผิดที่เกิดจากการชุลมุนต่อสู้ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ ความผิดฐานกรรโชก ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ความผิดตาม กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ หรือคดีความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจําคุกซึ่งผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีร้องขอ การถามปากคํา ผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้พนักงานสอบสวนแยกกระทําเป็นส่วนสัดในสถานที่ ที่เหมาะสมสําหรับเด็ก และให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอและพนักงานอัยการร่วม อยู่ด้วยในการถามปากคําเด็กนั้น และในกรณีที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เห็นว่าการถามปากคําเด็กคนใด หรือคําถามใด อาจจะมีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจเด็กอย่างรุนแรง ให้พนักงานสอบสวนถามผ่านนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์เป็นการเฉพาะตามประเด็นคําถามของพนักงานสอบสวน โดยมิให้เด็กได้ยินคําถามของ พนักงานสอบสวนและห้ามมิให้ถามเด็กซ้ำซ้อนหลายครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร”

มาตรา 134/2 “ให้นําบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวน ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา 134/2 ที่กฎหมายกําหนดว่าต้องจัดให้ มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการร่วมอยู่ด้วยนั้น ใช้บังคับกับกรณีที่ พนักงานสอบสวนจะถามปากคําผู้เสียหาย หรือพยาน และการสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี และต้องเป็นคดีความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้ด้วย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายกล้าอายุ 16 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานแข่งรถในทางโดย ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 นั้น จะเห็นได้ว่า แม้ ในคดีนี้นายกล้าจะเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ก็ตาม แต่ความผิดฐานแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 นั้น เป็นความผิดอื่นซึ่งมิใช่ความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญา มาตรา 133 ทวิ แต่อย่างใด

ดังนั้น ในระหว่างทําการสอบสวนนายกล้า การที่พันตํารวจโทไพบูลย์พนักงานสอบสวนไม่ได้ จัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบปากคํา อีกทั้งนายกล้าก็ไม่ได้ ต้องการให้บุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการสอบปากคําด้วยนั้น จึงมิใช่การกระทําที่ขัดต่อบทบัญญัติตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/2 ประกอบมาตรา 133 ทวิ วรรคหนึ่ง การสอบสวนนายกล้าผู้ต้องหาในคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย (คําพิพากษาฎีกาที่ 3432/2557)

สรุป

การสอบสวนนายกล้าผู้ต้องหาในคดีนี้ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นายเทาคนจรจัดได้ชิงทรัพย์ของนายมะยงชิดผู้เสียหาย โดยในวันเกิดเหตุนายมะยงชิดได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ต่อมานายมะยงชิดได้พบนายเทานั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากศาลจังหวัดมาก และนายเทากําลังจะหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นายมะยงชิดจึงได้แจ้งให้ ร.ต.อ.คะน้าซึ่งยืนอยู่ในบริเวณนั้นจับกุมนายเทา โดยยืนยันว่านายเทาคือคนร้ายที่ชิงทรัพย์ของ นายมะยงชิดไปและนายมะยงชิดได้ร้องทุกขไว้แล้ว ร.ต.อ.คะน้าจึงทําการจับนายเทาทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.คะน้าขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 66 “เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้

(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทําความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจําคุก อย่างสูงเกินสามปี หรือ

(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทําความผิดอาญาและมีเหตุอันควร เชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัว อันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี”

มาตรา 78 “ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา 66

(2) แต่มีความจําเป็นเร่งด่วนที่ ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมะยงชิดได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าถูกนายเทาคนจรจัด ชิงทรัพย์ ต่อมานายมะยงชิดได้พบนายเทานั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากศาลจังหวัดมาก และนายเทากําลังจะหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นายมะยงชิดจึงได้แจ้งให้ ร.ต.อ.คะน้าซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นจับกุมนายเทา โดยยืนยันว่านายเทาคือคนร้ายที่ชิงทรัพย์ของนายมะยงชิดไป และนายมะยงชิดได้ร้องทุกข์ไว้แล้วนั้น

การที่นายมะยงชิดยืนยันต่อ ร.ต.อ.คะน้าว่านายเทาคือคนร้ายที่ชิงทรัพย์ของนายมะยงชิดไป และนายมะยงชิดได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว ย่อมถือได้ว่ามีหลักฐานตามสมควรว่านายเทาน่าจะได้กระทําความผิดอาญา และเมื่อนายเทาเป็นคนจรจัดจึงเป็นบุคคลไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 66 วรรคท้าย ให้ สันนิษฐานว่านายเทาจะหลบหนีและเนื่องจากนายเทานั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากศาลจังหวัดมาก และนายเทากําลังจะหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นกรณีที่มีความจําเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาล ออกหมายจับบุคคลนั้นได้ ดังนั้น ร.ต.อ.คะน้าจึงมีอํานาจในการจับนายเทาได้โดยไม่มีหมายจับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (3) ประกอบมาตรา 66 (2) และเมื่อ ร.ต.อ.คะน้าทําการจับกุมนายเทา การจับของ ร.ต.อ.คะน้า จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

การจับของ ร.ต.อ.คะน้า ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเทาหลอกนางสาวถั่วพูอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นคนรักว่าจะพาไปทานข้าว แต่กลับพานางสาวถั่วพูไปข่มขืนกระทําชําเราที่โรงแรม เมื่อกลับถึงบ้าน นายมะขวิดซึ่งเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นางสาวถั่วพู แต่อุปการะเลี้ยงดูนางสาวถั่วพูมาโดยตลอดทราบเรื่องดังกล่าว จึงพานางสาวถั่วพู ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีแก่นายเทาข้อหาพรากผู้เยาว์และข่มขืน กระทําชําเรานางสาวถั่วพู ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทําการสอบสวน เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเห็นว่าการสอบสวนเสร็จ จึงสรุปสํานวนพร้อมทําความเห็นควรสั่งฟ้องนายเทาในข้อหาพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทําชําเรา นางสาวถั่วพู และพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเทาต่อศาลข้อหาพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทําชําเรา นางสาวถั่วพู ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายมะขวิดยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ พนักงานอัยการ

ดังนี้ นายมะขวิดมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 3 “บุคคลดังระบุในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอํานาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตาม เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

(2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้นั้น จะต้องเป็น ผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทน ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ นายมะขวิดจะมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีความผิดข้อหาข่มขืนกระทําชําเรา

คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรา มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองบุคคล ซึ่งถูกกระทําชําเรา เมื่อปรากฏว่านางสาวถั่วพูถูกนายเทาหลอกไปข่มขืนกระทําชําเรา นางสาวถั่วพูจึงเป็น ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ส่วนนายมะขวิดถึงแม้จะเป็นบิดาที่แท้จริงและให้การ อุปการะเลี้ยงดูนางสาวถั่วพูมาโดยตลอด แต่ก็ถือเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ที่จะมีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายคือนางสาวถั่วพูในความผิดฐานนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1) ดังนั้น นายมะขวิดจึงไม่มีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรานางสาวถั่วพู ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

กรณีความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์

คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานพรากผู้เยาว์ มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองอํานาจปกครอง ของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ เมื่อปรากฏว่านายมะขวิดเป็นบิดาที่แท้จริงและให้การอุปการะเลี้ยงดู นางสาวถั่วพูผู้เสียหายมาโดยตลอด จึงถือเป็นผู้ปกครองของนางสาวถั่วพูและเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการ กระทําผิดดังกล่าว ดังนั้นนายมะขวิดจึงมีอํานาจยื่นคําร้องและเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหา พรากผู้เยาว์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และมาตรา 30

สรุป นายมะขวิดมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์ แต่ไม่มีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรา

 

ข้อ 2. นายยนต์ขับรถยนต์เฉียวชนกับรถจักรยานยนต์ที่นายจักรขับขี่ ซึ่งมีนายยานนั่งซ้อนท้ายพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนดําเนินคดีกับนายยนต์ และพนักงานอัยการมีคําสั่งฟ้องและ ยื่นฟ้องนายยนต์ฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้นายจักรได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 นายยนต์รับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษนายยนต์ตามฟ้อง คดีถึงที่สุด ต่อมานายยานรู้สึกปวดศีรษะ ตั้งแต่รถจักรยานยนต์ถูกเฉียวชนดังกล่าว แพทย์ตรวจรักษาแล้วพบว่ามีเลือดคั่งในสมองต้อง รักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 เดือน นายยานจึงเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายยนต์ ฐานกระทํา โดยประมาทเป็นเหตุให้นายยานได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 นายยนต์ต่อสู้ว่าถูกศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วจากเหตุดังกล่าว นายยานไม่อาจฟ้องนายยนต์ได้ ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายยนต์ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การกระทําโดยประมาทของนายยนต์ซึ่งเป็นเหตุให้นายยานได้รับอันตราย สาหัสนั้น เกิดจากการกระทําครั้งเดียวกับที่นายยนต์ขับรถประมาทเป็นเหตุให้นายจักรได้รับอันตรายสาหัสจึงเป็น การกระทํากรรมเดียวกัน เมื่อพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายยนต์ในการกระทําผิดกรรมเดียวนี้ และศาลได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) นายยานจึงไม่มีสิทธินําคดีอาญามาฟ้องนายยนต์ในการกระทํากรรมเดียวกันนี้ได้อีก ดังนั้น ข้อต่อสู้ของนายยนต์ที่ว่า เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วจากเหตุดังกล่าว นายยานไม่อาจฟ้องนายยนต์ได้ จึงฟังขึ้น (เทียบเคียงคําพิพากษา ฎีกาที่ 1853/2530)

สรุป ข้อต่อสู้ของนายยนต์ฟังขึ้น

 

ข้อ 3. นายดําอายุ 20 ปี อาศัยอยู่กับนางขาวมารดาในเขตท้องที่รับผิดชอบของสถานีตํารวจภูธรสวรรคโลกจังหวัดสุโขทัย ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายดํานอนหลับตายอยู่ภายในห้องนอนของตนโดยไม่ปรากฏ บาดแผลใด ๆ บนเนื้อตัวของนายดําทั้งสิ้น และโดยปกตินายดําก็เป็นคนสุขภาพแข็งแรงไม่เคยมี ประวัติเจ็บป่วย ให้วินิจฉัยว่า

(ก) การตายของนายดําดังกล่าวต้องมีการชันสูตรพลิกศพหรือไม่

(ข) ในกรณีที่มีการชันสูตรพลิกศพของนายดําและผลการชันสูตรพลิกศพปรากฏว่านายดํากินยา ฆ่าตัวตาย

ดังนี้ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรสวรรคโลกต้องดําเนินการเกี่ยวกับสํานวนชันสูตรพลิกศพ สาวนมของนายดําอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 148 “เมื่อปรากฎแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือ ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานให้มีการชันสูตรพลิกศพ เว้นแต่ตายโดยการประหารชีวิตตามกฎหมาย

การตายโดยผิดธรรมชาตินั้นคือ

(1) ฆ่าตัวตาย

(2) ถูกผู้อื่นทําให้ตาย

(3) ถูกสัตว์ทําร้ายตาย

(4) ตายโดยอุบัติเหตุ

(5) ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ”

มาตรา 150 วรรคแรก “ในกรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ ที่ศพนั้นอยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทําการชันสูตรพลิกศพ โดยเร็ว ถ้าแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ดังกล่าวไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจําโรงพยาบาลของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจําโรงพยาบาลของรัฐไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้แพทย์ประจําสํานักงานสาธารณสุข จังหวัดปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจําสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ ประจําโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์อาสาสมัครตาม ระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้แพทย์ประจําโรงพยาบาลของ เอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้น เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ให้พนักงาน สอบสวนและแพทย์ดังกล่าวทําบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพทันที และให้แพทย์ดังกล่าวทํารายงาน แนบท้ายบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพด้วยภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเรื่อง ถ้ามีความจําเป็นให้ ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการขยาย ระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพรายงานดังกล่าวให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสํานวนชันสูตรพลิกศพ และ ในกรณีที่ความตายมิได้เป็นผลแห่งการกระทําผิดอาญา ให้พนักงานสอบสวนส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพไปยัง พนักงานอัยการเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว และให้พนักงานอัยการดําเนินการต่อไปตามมาตรา 156”

มาตรา 156 “ให้ส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพในกรณีที่ความตายมิได้เป็นผลแห่งการกระทําผิด อาญาไปยังข้าหลวงประจําจังหวัด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรสวรรคโลกต้องดําเนินการเกี่ยวกับ สํานวนชันสูตรพลิกศพของนายดําอย่างไร วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายดํานอนหลับตายอยู่ในห้องนอนของตนโดยไม่ปรากฎบาดแผลใด ๆ บนเนื้อตัว ของนายดําทั้งสิ้น และโดยปกตินายดําก็เป็นคนสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยมีประวัติเจ็บป่วยนั้น ถือว่าเป็นการตาย โดยผิดธรรมชาติ คือ ตายโดยยังมีปรากฏเหตุ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 148 วรรคสอง (5) ดังนั้น การตายของนายดํา ดังกล่าวจึงต้องมีการชันสูตรพลิกศพตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 148 วรรคแรก

(ข) ในกรณีที่มีการชันสูตรพลิกศพของนายดํา และผลการชันสูตรพลิกศพปรากฏว่านายดํา กินยาฆ่าตัวตาย ถือว่าเป็นกรณีที่ความตายมิได้เป็นผลแห่งการกระทําผิดอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 วรรคแรก ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรสวรรคโลกจึงต้องดําเนินการเกี่ยวกับสํานวนชันสูตรพลิกศพ ของนายดํา โดยส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพไปยังพนักงานอัยการเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว เพื่อให้ พนักงานอัยการดําเนินการต่อไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 156 คือ ให้พนักงานอัยการส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพ ดังกล่าวไปยังข้าหลวงประจําจังหวัด (ผู้ว่าราชการจังหวัด)

สรุป

(ก) การตายของนายดําดังกล่าวต้องมีการชันสูตรพลิกศพ

(ข) พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรสวรรคโลกต้องส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพไปยังพนักงานอัยการเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว เพื่อให้พนักงานอัยการ ดําเนินการต่อไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 156

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.คะน้าสืบทราบอย่างแน่ชัดว่านายมะระซึ่งมีเครื่องมือที่ใช้ในการงัดแงะประตูบ้านกําลังเดินทางไปที่บ้านนายละมุด เพื่อเข้าไปลักทรัพย์ที่อยู่ในบ้านของนายละมุด พ.ต.ต.คะน้าจึงรีบเดินทางไปที่บ้าน ของนายละมุด เมื่อไปถึงบ้านนายละมุด พ.ต.ต.คะน้าพบนายมะระซึ่งมีเครื่องมือที่ใช้ในการงัดแงะ อยู่กับตัวกําลังซุ่มรอที่หน้าประตูรั้วบ้านของนายละมุดเพื่อเตรียมเข้าไปลักทรัพย์ที่อยู่ในบ้านของ นายละมุด พ.ต.ต.คะน้าจึงทําการจับนายมะระทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.คะน้า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่ บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.คะน้า พบนายมะระซึ่งมีเครื่องมือที่ใช้ในการงัดแงะอยู่กับตัวและกําลังซุ่มรอที่หน้าประตูรั้วบ้านของนายละมุด โดย พ.ต.ต.คะน้า สืบทราบอย่างแน่ชัดว่านายมะระซึ่งมี เครื่องมือที่ใช้งัดแงะประตูบ้าน กําลังจะเข้าไปลักทรัพย์ที่อยู่ในบ้านของนายละมุดนั้น ถือเป็นกรณีที่ พ.ต.ต.คะน้า พบนายมะระซึ่งมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่านายมะระน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมืออันสามาระ อาจใช้ในการกระทําความผิดซึ่งถือเป็นเหตุในการจับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (2) แล้ว

แม้การกระทําของนายมะระเป็นเพียงขั้นตระเตรียม ยังไม่ได้กระทําความผิดฐานพยายาม ลักทรัพย์ในเคหสถาน แต่อย่างไรก็ตามบทบัญญัติตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (2) บัญญัติให้อํานาจพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจสามารถจับผู้ตระเตรียมที่จะกระทําความผิดได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือคําสั่งศาล แม้ว่า การตระเตรียมนั้นจะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการกระทําผิดเกิดขึ้น ดังนั้น พ.ต.ต.คะน้าจึงมีอํานาจในการจับนายมะระโดยไม่มีหมายจับ และถือเป็นการจับที่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ พ.ต.ต.คะน้าชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหน่อไม้กับนายหินทะเลาะวิวาทกัน นายหน่อไม้ขกที่ใบหน้านายหิน 1 ครั้ง นายหินโกรธจึงใช้อาวุธปืนยิงนายหน่อไม้ 1 นัด กระสุนปืนไม่ถูกนายหน่อไม้แต่พลาดไปถูกนางละมุดภริยาที่ไม่ได้ จดทะเบียนสมรสของนายกระทิงถึงแก่ความตาย นายหน่อไม้และนายหินต่างไปร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีซึ่งกันและกัน นายหน่อไม้ให้การรับสารภาพว่าได้ทําร้ายนายหินจริง พนักงานอัยการจึงแยกฟ้องนายหน่อไม้ในข้อหาทําร้ายร่างกายผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับนายหน่อไม้ 1,000 บาท คดีถึงที่สุด ต่อมาพนักงานอัยการ ได้ฟ้องนายหินในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นและฆ่าผู้อื่น นายหินให้การปฏิเสธ ระหว่างการพิจารณา ของศาลชั้นต้น นายหน่อไม้และนายกระทิงยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

ศาลชั้นต้นอนุญาต ดังนี้ คําสั่งศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 3 “บุคคลดังระบุในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอํานาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตาม เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

(2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ” มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้นั้น จะต้องเป็น ผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทน ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ คําสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้นายหน่อไม้และนายกระทิงเข้าร่วมเป็น โจทก์กับพนักงานอัยการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีนายหน่อไม้

การที่นายหน่อไม้ทะเลาะวิวาทกับนายหิน ถือเป็นกรณีที่นายหน่อไม้สมัครใจทะเลาะวิวาท และมีส่วนร่วมในการกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายหิน นายหน่อไม้จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ความหมายใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และไม่มีอํานาจที่จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 3100/2547)

กรณีนายกระทิง

การที่นายกระทิงมิได้จดทะเบียนสมรสกับนางละมุด จึงไม่ถือเป็นสามีของนางละมุดตามกฎหมาย นายกระทิงจึงไม่มีอํานาจจัดการแทนนางละมุดผู้ตายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอํานาจที่จะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

ดังนั้น คําสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้นายหน่อไม้และนายกระทิงเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงาน อัยการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายดําใช้อาวุธปืนไม่มีทะเบียนยิ่งนายเขียวถึงแก่ความตาย ระหว่างที่พนักงานสอบสวนสอบสวนคดีนี้ นางส้มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเขียวยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายดําฐานฆ่านายเขียว คดีอยู่ระหว่างศาลไต่สวนมูลฟ้อง เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายดําฐาน ฆ่านายเขียวและฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ส่วน นางส้มเมื่อทราบว่าพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายดําแล้วจึงยื่นคําร้องขอถอนฟ้อง ศาลอนุญาต นายครามบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายเขียวทราบเรื่องจึงยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคําร้องของนายครามว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 36 วรรคแรก “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่”

วินิจฉัย

โดยหลัก ผู้ที่จะขอเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้นั้น จะต้องเป็นผู้เสียหายตามนัย ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายก็ได้ และในกรณีที่ผู้เสียหาย คนเดียวมีผู้จัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 หลายคน ผู้จัดการแทนผู้เสียหายบางคนได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป ผู้จัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจําเลยอีกไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งคําร้องของนายครามว่าอย่างไรนั้น เห็นว่า ในกรณี ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนนั้น ในฐานความผิดดังกล่าวถือเป็น ความผิดอาญาต่อรัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย เอกชนไม่สามารถเป็นผู้เสียหายได้ ดังนั้น ทั้งนายเขียวและนายคราม ต่างไม่ใช่ผู้เสียหายในฐานความผิดดังกล่าว จึงขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการไม่ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 (คําพิพากษาฎีกาที่ 1231/2533)

ส่วนความผิดฐานฆ่านายเขียวนั้น เห็นว่า แม้ว่านายครามจะเป็นบุพการีที่มีอํานาจจัดการแทน นายเขียวตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) ก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่า นางส้มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเขียว ได้ ใช้สิทธิจัดการแทนนายเขียวไปแล้ว ด้วยการฟ้องคดีและถอนฟ้องไป ซึ่งผลของการถอนฟ้องดังกล่าว ทําให้ไม่สามารถ นําคดีมาฟ้องใหม่ได้อีกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 วรรคแรก ผลในทางกฎหมายที่เกิดขึ้นมีผลถึงนายครามด้วย เมื่อได้ความว่านายครามไม่สามารถยื่นฟ้องได้ ก็ทําให้นายครามขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการไม่ได้ด้วย เช่นเดียวกัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 1790/2492)

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งยกคําร้องของนายคราม

 

ข้อ 3. นายเบิ้มใช้อาวุธปืนยิงนายกรวดเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเบิ้มฐานพยายามฆ่านายกรวด ศาลชั้นต้น พิพากษาว่านายเบิ้มมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจําคุก 10 ปี นายเบิ้มยื่นอุทธรณ์ ในระหว่าง ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี ปรากฏว่านายกรวดถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิง ดังกล่าว ทั้งนี้ นางสับปะรดภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกรวดจะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายเบิ้มฐานฆ่านายกรวดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

วินิจฉัย

ในกรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) นั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ นางสับปะรดภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกรวดจะยื่นฟ้องต่อศาล ในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายเบิ้มฐานฆ่านายกรวดได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายกรวดถึงแก่ความตายจากบาดแผล ที่ถูกนายเบิ้มใช้อาวุธปืนยิงและถือว่านายเบิ้มฆ่านายกรวดนั้น แม้นางสับปะรดภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายกรวดจะมีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และมาตรา 5 (2) แต่เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มี คําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายเบิ้มฐานพยายามฆ่าไปแล้ว สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้อง ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) ดังนั้น การที่นางสับปะรดยื่นฟ้องนายเบิ้มอีกแม้จะฟ้องคนละฐานความผิด กับพนักงานอัยการ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการกระทําเดียวกัน ฟ้องของนางสับปะรดจึงเป็นฟ้องซ้ําต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4)

สรุป นางสับปะรดภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกรวดจะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้น ขอให้ลงโทษนายเบิ้มฐานฆ่านายกรวดไม่ได้

 

ข้อ 4. ร.ต.อ.ธามได้ยินเสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวด จึงรีบวิ่งไปบริเวณที่ได้ยินเสียงนั้น เมื่อไปถึงบริเวณที่ได้ยินเสียง ร.ต.อ.ธามเห็นนายมะขวิดนอนจมกองเลือดและพบนายตะไคร้ยืนถือมีดซึ่งมีเลือดติดอยู่ ยืนอยู่ข้างตัวนายมะขวิด ร.ต.อ.ธามจึงทําการจับนายตะไคร้ทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.ธามชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย และถ้าเป็นการจับตามสําเนาหมายจับ สําเนาหมายจับนั้นก็จะต้อง มีการรับรองว่าถูกต้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.ธามได้ยินเสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวด จึงรีบวิ่งไปยัง บริเวณที่ได้ยินเสียง เมื่อไปถึงบริเวณที่ได้ยินเสียง ร.ต.อ.ธามเห็นนายมะขวิดนอนจมกองเลือดและพบนายตะไคร้ ยืนถือมีดซึ่งมีเลือดติดอยู่ยืนอยู่ข้างตัวนายมะขวิดนั้น แม้ ร.ต.อ.ธามจะไม่เห็นนายตะไคร้ใช้มีดแทงนายมะขวิด แต่ถือเป็นกรณีที่ ร.ต.อ.ธาม พบในอาการใดซึ่งแทบไม่มีความสงสัยเลยว่า นายตะไคร้ได้กระทําความผิดมาแล้ว สด ๆ ดังนั้น ร.ต.อ.ธาม จึงมีอํานาจในการจับนายตะไคร้ได้โดยไม่ต้องมีหมายจับเพราะเป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก การจับของ ร.ต.อ.ธามจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ ร.ต.อ.ธามชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสมศรีกับนายสมยศสมคบกันยักยอกเงินนางสาวศรีนวล จํานวน 50,000 บาท นางสาวศรีนวลได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในสามเดือนนับจากวันเกิดเหตุ หลังจากสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสรุปสํานวนและทําความเห็นควรสั่งฟ้องนางสมศรีกับนายสมยศส่ง สํานวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ แต่พนักงานอัยการเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะนางสมศรี เท่านั้น พนักงานอัยการจึงยื่นฟ้องนางสมศรีเพียงคนเดียวเป็นจําเลยต่อศาลขอให้ลงโทษในความผิด ฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นหลังจาก จําเลยยื่นคําให้การปฏิเสธแล้ว พนักงานอัยการยื่นคําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญา ศาลชั้นต้นได้ถาม จําเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ จําเลยแถลงว่าไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคําสั่งอนุญาตให้พนักงานอัยการ ถอนฟ้องคดีอาญาได้โดยนางสาวศรีนวลไม่ทราบเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ ดังกล่าว

ให้วินิจฉัยว่า คําสั่งศาลชั้นต้นชอบหรือไม่ พนักงานอัยการและนางสาวศรีนวลมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวได้อีกหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 35 “คําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญา จะยื่นเวลาใดก่อนมีคําพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้ ศาลจะมีคําสั่งอนุญาตหรือมอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด ถ้าคําร้องนั้นได้ยืนในภายหลัง เมื่อจําเลยให้การแก้คดีแล้ว ให้ถามจําเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ แล้วให้ศาลจดคําแถลงของจําเลยไว้ ในกรณีที่จําเลย คัดค้านการถอนฟ้อง ให้ศาลยกคําร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย

คดีความผิดต่อส่วนตัวนั้น จะถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แต่ถ้า จําเลยคัดค้าน ให้ศาลยกคําร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย”

มาตรา 36 วรรคแรก “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่ เว้นแต่ จะเข้าอยู่ในข้อยกเว้นต่อไปนี้

(1) ถ้าพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีอาญาซึ่งไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวไว้แล้วได้ถอนฟ้อง คดีนั้นไป การถอนนี้ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่

(2) ถ้าพนักงานอัยการถอนคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไป โดยมิได้รับความยินยอมเป็น หนังสือจากผู้เสียหาย การถอนนั้นไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐาน ยักยอก…”

มาตรา 356 “ความผิดในหมวดนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ คําสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พนักงานอัยการ ถอนฟ้องคดีอาญาได้ โดยนางสาวศรีนวลไม่ทราบเรื่องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยักยอก ตาม ป.อาญา มาตรา 352 นั้น ป.อาญา มาตรา 356 บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ จึงถือเป็นความผิดต่อ ส่วนตัวซึ่งจะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แม้พนักงานอัยการจะยื่นคําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญา ภายหลังจําเลยยื่นคําให้การปฏิเสธแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ถามจําเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ และจําเลยแถลงว่า ไม่คัดค้านแล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องจึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 35

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยคือ พนักงานอัยการและนางสาวศรีนวลมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรี เป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวได้อีกหรือไม่ เห็นว่า การที่พนักงานอัยการถอนฟ้องคดีอาญา ซึ่งฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลยในความผิดฐานยักยอกไปจากศาลแล้ว พนักงานอัยการจะฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลย ในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีกไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 ที่กําหนดว่า คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้อง ไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย

ส่วนกรณีของนางสาวศรีนวลนั้น การที่นางสาวศรีนวลไม่ทราบเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญาของ พนักงานอัยการ จึงเป็นกรณีที่พนักงานอัยการถอนฟ้องคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไป โดยมิได้รับความยินยอม เป็นหนังสือจากผู้เสียหาย การถอนนั้นจึงไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 (2) ดังนั้น นางสาวศรีนวลย่อมมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลยในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีกได้ภายในกําหนด อายุความ

สรุป คําสั่งศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานอัยการไม่มีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรี เป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีก ส่วนนางสาวศรีนวลมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลย ต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีกได้

 

ข้อ 2. นางสาวไข่ไก่โกรธนางสาวกุ๊กไก่ที่แย่งคนรักของตนไป จึงเข้าไปตบหน้านางสาวกุ๊กไก่ พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนางสาวไข่ไก่ เป็นจํานวนเงิน 500 บาท ในความผิดฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ตามที่ ทั้งสองคนได้ยินยอมในจํานวนเงินค่าปรับ พร้อมกันนั้นพนักงานสอบสวนได้ลงประจําวันไว้ด้วยว่า นางสาวไข่ไก่ตกลงชําระค่าเสียหายเป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท ให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ตามที่ นางสาวกุ๊กไก่เรียกร้องนางสาวไข่ไก่ชําระค่าปรับจํานวน 500 บาท เป็นที่เรียบร้อยและขอชําระ ค่าเสียหายให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ภายใน 7 วัน แต่ต่อมาปรากฏว่านางสาวไข่ไก่ไม่ยอมชําระค่าเสียหาย ให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ ดังนี้ นางสาวกุ๊กไก่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีกับนางสาวไข่ไก่ ต่อไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 37 “คดีอาญาเลิกกันได้ ดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือ คดีอื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งมีโทษปรับ อย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท เมื่อผู้ต้องหาชําระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว”

มาตรา 38 “ความผิดตามอนุมาตรา (2) (3) และ (4) แห่งมาตราก่อน ถ้าเจ้าพนักงานดังกล่าว ในมาตรานั้นเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษถึงจําคุกให้มีอํานาจเปรียบเทียบดังนี้

(1) ให้กําหนดค่าปรับซึ่งผู้ต้องหาจะพึงชําระ ถ้าผู้ต้องหาและผู้เสียหายยินยอมตามนั้น เมื่อผู้ต้องหาได้ชําระเงินค่าปรับตามจํานวนที่เจ้าหน้าที่กําหนดให้ภายในเวลาอันสมควร แต่ไม่เกินสิบห้าวันแล้ว คดีนั้นเป็นอันเสร็จเด็ดขาด”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(3) เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา 37”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวไข่ไก่ตบหน้านางสาวกุ๊กไก่ และพนักงานสอบสวนได้ เปรียบเทียบปรับนางสาวไข่ไก่ในความผิดฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจตาม ป.อาญา มาตรา 291 ซึ่งถือเป็นความผิดลหุโทษนั้น เมื่อนางสาวไข่ไก่ได้ชําระค่าปรับแล้วย่อมมีผลทํา ให้คดีอาญาเลิกกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 37 (2) ประกอบมาตรา 38 (1) และมีผลทําให้สิทธิการนําคดีอาญา มาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (3)

ดังนั้น แม้ว่านางสาวไข่ไก่จะไม่ยอมชําระค่าเสียหายให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ นางสาวกุ๊กไก่ซึ่งเป็น ผู้เสียหายก็จะให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีกับนางสาวไข่ไก่อีกต่อไปไม่ได้ นางสาวกุ๊กไก่มีสิทธิแต่เพียงฟ้อง เรียกเงินค่าเสียหายทางแพ่งเท่านั้น ไม่กระทบถึงการเปรียบเทียบคดีอาญาที่พนักงานสอบสวนได้ดําเนินการไป โดยชอบแล้ว

สรุป นางสาวกุ๊กไก่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีกับนางสาวไข่ไก่ต่อไปอีกไม่ได้ ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายเอกใช้อาวุธปืนยิงนายโทตาย พ่อนายโทตามความเป็นจริงยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ดําเนินคดีนายเอกฐานฆ่านายโท ศาลชั้นต้นสังให้ไต่สวนมูลฟ้อง พ่อนายโทนําพยานมาสืบชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีไม่มีมูลยกฟ้อง ต่อมาพ่อนายโทมารวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมแล้วยื่นฟ้องต่อศาล ขอให้ลงโทษนายเอกฐาน ฆ่านายโทอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน คดีนี้พนักงานสอบสวนเพิ่งทําการสอบสวนเสร็จ ส่งสํานวนไปให้ พนักงานอัยการ พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลฐานฆ่านายโท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) คดีที่พ่อนายโทยื่นฟ้อง ศาลควรวินิจฉัยคดีอย่างไร เพราะเหตุใด

(ข) คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง ศาลควรวินิจฉัยคดีอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) คดีที่พ่อนายโทยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ดําเนินคดีนายเอกฐานฆ่านายโทนั้น เมื่อศาลชั้นต้น ไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง เช่นนี้ ย่อมถือว่าศาลได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ ได้ฟ้องแล้ว แม้นายเอกจะยังได้มีฐานะเป็นจําเลยก็ตาม เมื่อเหตุของการยื่นฟ้องนายเอกครั้งหลังเป็นการกระทํา เดียวกันกับเหตุที่นายเอกถูกฟ้องในครั้งแรก และผู้ถูกฟ้องเป็นคนคนเดียวกัน

ดังนั้น ฟ้องของพ่อนายโทจึงเป็น ฟ้องซ้ําตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

(ข) เมื่อสิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องนายเอกได้ระงับไปแล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) การที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลฐานฆ่านายโทอีก จึงถือเป็นฟ้องซ้ํา ซึ่งศาลต้องพิพากษายกฟ้องเช่นกัน (ดูคําพิพากษาฎีกาที่ 925/2500)

สรุป

(ก) คดีที่พ่อนายโทยื่นฟ้องนายเอกเป็นฟ้องซ้ํา ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

(ข) คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกเป็นฟ้องซ้ำ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องเช่นกัน

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.ปราณนต์พบนายมะระผู้ต้องหาซึ่งศาลได้ออกหมายจับในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนากําลังนั่งอยู่ในบ้านซึ่งนายมะระเป็นเจ้าบ้าน พ.ต.ต.ปราณนต์จึงนําหมายจับเข้าไปจับนายมะระในบ้านหลังดังกล่าวทันทีโดยไม่มีหมายค้น

ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.ปราณนต์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 57 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 78 มาตรา 79 มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้จะจับขัง จําคุก หรือค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของต้องมีคําสั่ง หรือหมายของศาลสําหรับการนั้น

บุคคลซึ่งต้องขังหรือจําคุกตามหมายศาล จะปล่อยไปได้ก็เมื่อมีหมายปล่อยของศาล”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(5) เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม มาตรา 78”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.ปราณนต์ได้เข้าไปจับกุมนายมะระในบ้านนั้นถือเป็นการจับ ในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้ โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทําตามบทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอํานาจในการค้น โดยมีหมายค้น หรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 57

ตามข้อเท็จจริง เมื่อนายมะระเป็นผู้ต้องหาซึ่งศาลได้ออกหมายจับแล้ว แม้ พ.ต.ต.ปราณนต์ จะไม่มีหมายค้น แต่เมื่อนายมะระเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว พ.ต.ต.ปราณนต์จึงสามารถเข้าไปในบ้านหลังนี้ได้ โดยไม่ต้องมีหมายค้น เนื่องจากที่รโหฐานนั้น ผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับ พ.ต.ต.ปราณนต์ จึงสามารถทําการจับนาย มะระในบ้านได้แม้จะไม่มีหมายค้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 21 ประกอบมาตรา 92 (5) ดังนั้น การจับของ พ.ต.ต.ปราณนต์จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ พ.ต.ต.ปราณนต์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายดําหลอกนางสาวมะละกออายุ 16 ปีซึ่งเป็นคนรักว่าจะพาไปทานอาหารที่ร้านอาหาร แต่กลับพานางสาวมะละกอไปข่มขืนกระทําชําเราที่บ้านของนายดํา ต่อมานายเสือซึ่งเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วย กฎหมายของนางสาวมะละกอแต่อุปการะเลี้ยงดูนางสาวมะละกอมาโดยตลอดทราบเรื่องดังกล่าว จึงพานางสาวมะละกอไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีแก่นายดําข้อหา พรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทําชําเรานางสาวมะละกอ พนักงานสอบสวนได้ทําการสอบสวนคดีนี้ ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายดําต่อศาลข้อหาพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทําชําเรานางสาว มะละกอ ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณา นายเสือยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

ดังนี้ นายเสือมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 3 “บุคคลดังระบุในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอํานาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตาม เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

(2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้นั้น จะต้องเป็น ผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทน ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเสือจะมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนายเสือขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรา

คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรา มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองบุคคล ซึ่งถูกข่มขืนกระทําชําเรา เมื่อปรากฏว่านางสาวมะละกอถูกนายดําหลอกไปข่มขืนกระทําชําเรา นางสาวมะละกอ จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ส่วนนายเสือถึงแม้จะเป็นบิดาที่แท้จริงและให้การอุปการะเลี้ยงดูมาโดยตลอด แต่ก็เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวมะละกอ จึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมที่จะมีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหาย คือนางสาวมะละกอในความผิดฐานนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1)

ดังนั้น นายเสือจึงไม่มีอํานาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรานางสาวมะละกอ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

กรณีนายเสือขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์

คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานพรากผู้เยาว์ มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองอํานาจปกครอง ของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ เมื่อปรากฏว่านายเสือเป็นบิดาและให้การอุปการะเลี้ยงดูนางสาวมะละกอ ผู้เสียหายมาโดยตลอด จึงถือเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม และสามารถจัดการแทนนางสาวมะละกอผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1)

ดังนั้น นายเสือจึงสามารถขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ พนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

สรุป นายเสือมีอํานาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์ แต่ไม่มี อํานาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรา

 

ข้อ 2. พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายลางสาดและนายเทาเป็นจําเลยในความผิดฐานร่วมกันทําร้ายร่างกายนายหมูป่าผู้เสียหาย ก่อนสืบพยานโจทก์นัดแรก นายหมูป่ายื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้นขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายหมูป่าเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ ระหว่างดําเนินคดี นายหมูป่าไม่พอใจแนวทางการดําเนินคดีของพนักงานอัยการโจทก์ จึงได้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้น ขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมโดยระบุว่ามีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับความเห็นของ พนักงานอัยการโจทก์ หากโจทก์ร่วมดําเนินคดีนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่คดี ศาลชั้นต้นจึง อนุญาตให้นายหมูป่าถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วม ต่อมาภายหลังจากสืบพยานจําเลยเสร็จสิ้น ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดี นายหมูป่าได้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้นขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ อีกครั้งหนึ่ง โดยระบุว่าเพื่อจะใช้สิทธิขั้นอุทธรณ์ฎีกาต่อไป

ดังนี้ นายหมูป่าจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 36 “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายหมูป่าเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ ในครั้งแรกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 แสดงว่าศาลชั้นต้นฟังว่านายหมูป่าเป็นผู้เสียหาย สามารถดําเนินคดีแก่จําเลย โดยอาศัยสิทธิตามฟ้องของพนักงานอัยการได้ เสมือนนายหมูป่าเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ดังนั้น การที่นายหมูป่าขอ ถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมโดยไม่ปรากฏว่านายหมูปาจะไปดําเนินการอะไรอีก ย่อมถือได้ว่านายหมูป่าไม่ประสงค์ จะดําเนินคดีแก่จําเลยอีกต่อไป มีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้องในส่วนของโจทก์ร่วมโดยเด็ดขาดแล้ว

และเมื่อนายหมูป่าถอนฟ้องแล้ว ย่อมเกิดผลทางกฎหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 คือ นายหมูป่าผู้เสียหายจะนําคดีมาฟ้องใหม่ไม่ได้ เมื่อได้ความว่าฟ้องไม่ได้ การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ก็ทําไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาก็ตาม ดังนั้น นายหมูป่าจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังอีกไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 (คําพิพากษาฎีกา ที่ 7241/2544)

สรุป นายหมูป่าจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังไม่ได้

 

ข้อ 3. นางสมหญิงขับรถประมาทชนนายสมชายได้รับบาดเจ็บ ในเขตท้องที่อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้รีบนําตัวนายสมชายส่งโรงพยาบาลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งอยู่ ใกล้ที่สุด แต่เมื่อถึงโรงพยาบาล นายสมชายได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา และระหว่างที่แพทย์ ประจําโรงพยาบาลคลองหลวงรอพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรคลองหลวง เพื่อจะได้ร่วมกัน ชันสูตรพลิกศพนายสมชาย พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอิน พร้อมญาตินายสมชาย ได้ติดตามมาที่โรงพยาบาลคลองหลวง และได้นําศพนายสมชายไปยังโรงพยาบาลบางปะอิน แล้วพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินได้ร่วมกับแพทย์ประจําโรงพยาบาลบางปะอิน ทําการชันสูตรพลิกศพนายสมชาย และมีความเห็นว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มีโลหิตคั่งในสมองเป็นสาเหตุแห่งการตาย จากนั้นญาตินายสมชายได้รับศพนายสมชายไป ฌาปนกิจตามประเพณี และพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินได้สอบสวนดําเนินคดี กับนางสมหญิงโดยแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทําผิด และแจ้งข้อหาขับรถประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายให้ทราบ นางสมหญิงให้การปฏิเสธโดยมีทนายความอยู่ด้วย ขณะพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินสอบถามคําให้การ ต่อมาพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรบางปะอินสรุปสํานวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง แล้วส่งสํานวนพร้อมกับตัว นางสมหญิงผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการพิจารณา ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า การชันสูตรพลิกศพนายสมชายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และพนักงานอัยการ จะยื่นฟ้องนางสมหญิงผู้ต้องหาต่อศาลได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 18 วรรคแรก “ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ ปลัดอําเภอ และข้าราชการตํารวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตํารวจตรีหรือ เทียบเท่านายร้อยตํารวจตรีขึ้นไป มีอํานาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายใน เขตอํานาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอํานาจของตนได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 129 “ให้ทําการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพ ในกรณีที่ความตายเป็นผลแห่ง การกระทําผิดอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ถ้าการชันสูตรพลิกศพยัง ไม่เสร็จ ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล”

มาตรา 150 วรรคแรก “ในกรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ ที่ศพนั้นอยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทําการชันสูตรพลิกศพ โดยเร็ว ถ้าแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ดังกล่าวไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้แพทย์ประจําโรงพยาบาลของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจําโรงพยาบาลของรัฐไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้แพทย์ประจําสํานักงานสาธารณสุข จังหวัดปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจําสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ ประจําโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์อาสาสมัครตาม ระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้แพทย์ประจําโรงพยาบาลของ เอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้นเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ให้พนักงาน สอบสวนและแพทย์ดังกล่าวทําบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพทันที และให้แพทย์ดังกล่าวทํารายงาน แนบท้ายบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพด้วยภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเรื่อง ถ้ามีความจําเป็นให้ ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการขยาย ระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ รายงานดังกล่าวให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสํานวนชันสูตรพลิกศพ และ ในกรณีที่ความตายมิได้เป็นผลแห่งการกระทําผิดอาญา ให้พนักงานสอบสวนส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพไปยัง พนักงานอัยการเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว และให้พนักงานอัยการดําเนินการต่อไปตามมาตรา 156”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การชันสูตรพลิกศพนายสมชายชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 วรรคแรก บัญญัติให้พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับแพทย์ประจําโรงพยาบาลร่วมกันชันสูตรพลิกศพ เมื่อนายสมชายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลคลองหลวง พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรคลองหลวง และแพทย์ประจําโรงพยาบาลคลองหลวงซึ่งเป็นท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ จึงต้องร่วมกันชันสูตรพลิกศพ การที่พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินนําศพนายสมชายไปยัง โรงพยาบาลบางปะอิน และร่วมกับแพทย์โรงพยาบาลบางปะอินทําการชันสูตรพลิกศพ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า พนักงานอัยการจะยื่นฟ้องนางสมหญิงผู้ต้องหาต่อศาลได้ หรือไม่ เห็นว่า แม้การชันสูตรพลิกศพนายสมชายจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่ถือว่าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ อันจะห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 129 แต่อย่างใด อีกทั้งการชันสูตรพลิกศพก็มิใช่เงื่อนไข แห่งการฟ้องคดี ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอิน เป็นพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งมีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 18 วรรคแรก ได้ทําการสอบสวนแจ้งข้อหาแก่นางสมหญิงผู้ต้องหาแล้ว ย่อมถือได้ว่ามีการสอบสวนแล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 พนักงานอัยการจึงมีอํานาจฟ้องนางสมหญิง ผู้ต้องหาต่อศาลได้

สรุป การชันสูตรพลิกศพนายสมชายไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่พนักงานอัยการสามารถฟ้อง นางสมหญิงผู้ต้องหาต่อศาลได้ เพราะได้มีการสอบสวนความผิดนั้นแล้ว

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.ทองทาสืบทราบว่านายมะกรูดซึ่งขณะนี้ยืนอยู่ที่ถนนสาธารณะมีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่เมื่อ พ.ต.ต.ทองทาเดินเข้าไปหานายมะกรูดได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและขอตรวจค้นตัว นายมะกรูด เมื่อ พ.ต.ต.ทองทาค้นตัวนายมะกรูดแล้วได้พบเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่ตัวของนายมะกรูด พ.ต.ต.ทองทาจึงทําการจับนายมะกรูดทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ การตรวจค้นและการจับของพ.ต.ต.ทองทาขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 93 “ห้ามมิให้ทําการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตํารวจเป็นผู้ค้น ในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทําความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทําความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การตรวจค้นและการจับของ พ.ต.ต.ทองทา ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ พ.ต.ต.ทองทา แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและขอตรวจค้นนายมะกรูดซึ่งยืนอยู่ที่ถนนสาธารณะโดยไม่มี หมายค้นนั้น โดยหลักย่อมไม่สามารถทําได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ความว่า พ.ต.ต.ทองทา ได้สืบทราบมาก่อนแล้วว่า นายมะกรูดมีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ จึงถือว่า พ.ต.ต.ทองทา มีเหตุอันควรสงสัยว่านายมะกรูดมีสิ่งของที่มีไว้ เป็นความผิดซุกซ่อนอยู่ กรณีเช่นนี้ พ.ต.ต.ทองทา ย่อมมีอํานาจค้นตัวนายมะกรูดซึ่งยืนอยู่ที่ถนนสาธารณะอัน เป็นที่สาธารณสถานได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 93 และเมื่อค้นแล้วพบเมทแอมเฟตามีนที่ตัวของนายมะกรูด จึงถือว่า เป็นความผิดซึ่งหน้า ดังนั้น พ.ต.ต.ทองทา จึงมีอํานาจจับนายมะกรูดได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก การตรวจค้นและการจับกุมจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การตรวจค้นและการจับกุมของ พ.ต.ต.ทองทา ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายนําโชคออกเช็คชําระหนี้ให้นายลูกกอล์ฟ 100,000 บาท นายลูกกอล์ฟนําเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร เมื่อเช็คถึงกําหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีนายนําโชคไม่พอจ่าย นายลูกกอล์ฟ นําเช็คไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า “ผู้แจ้งเกรงว่าคดีจะขาดอายุความ จึงขอแจ้งความไว้เป็น หลักฐาน” เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายนําโชค ทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี นายลูกกอล์ฟยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีของพนักงานอัยการและคําร้องของนายลูกกอล์ฟอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(1) พนักงานอัยการ

(2) ผู้เสียหาย”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่จะมี คําร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนําโชคออกเช็คชําระหนี้ให้นายลูกกอล์ฟ และเมื่อเช็คถึงกําหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น เมื่อนายลูกกอล์ฟเป็นผู้ทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายลูกกอล์ฟจึง เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4)

แต่การที่นายลูกกอล์ฟนําเช็คไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า “ผู้แจ้งเกรงว่าคดีจะขาดอายุความจึงขอแจ้งความ ไว้เป็นหลักฐาน” ถือว่านายลูกกอล์ฟยังไม่มีเจตนาให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ ถ้อยคําที่แจ้งจึงไม่เป็นคําร้องทุกข์ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (7) (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 62/2521)

ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อไม่มีคําร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง ทําให้การสอบสวน ของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 ประกอบมาตรา 28 ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการแล้วจึงไม่มีคําฟ้องอยู่ในศาล นายลูกกอล์ฟ แม้จะเป็นผู้เสียหายก็ไม่สามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 ได้ ดังนั้น ศาลจึงต้อง สั่งยกคําร้องของนายลูกกอล์ฟเช่นเดียวกัน

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และจะมีคําสั่งยกคําร้อง ของนายลูกกอล์ฟ

 

ข้อ 2. นายกระทิงใช้อาวุธปืนยิงนายภาคย์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายกระทิงฐานพยายามฆ่านายภาคย์ ในคดี ที่พนักงานอัยการฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายกระทิงมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจําคุก 5 ปี นายกระทิงยื่นอุทธรณ์ในระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี ปรากฏว่านายภาคย์ถึงแก่ความตายเพราะ บาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิงดังกล่าว ดังนี้ นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์ จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายกระทิงฐานฆ่านายภาคย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายภาคย์ถึงแก่ความตายจากบาดแผลที่ถูกนายกระทิงใช้อาวุธปืน ยิ่งนั้น แม้นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์จะมีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และมาตรา 5 (2) แต่เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายกระทิง ฐานพยายามฆ่าไปแล้ว การที่นางนันทนัชยื่นฟ้องนายกระทิงแม้จะฟ้องคนละฐานความผิดก็ยังถือว่าเป็นการกระทํา เดียวกัน ฟ้องของนางนันทนัชจึงเป็นฟ้องซ้ําเนื่องจากสิทธินําคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) ดังนั้น นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ ลงโทษนายกระทิงฐานฆ่านายภาคย์ไม่ได้

สรุป

นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้น ขอให้ศาลลงโทษนายกระทิงฐานฆ่านายภาคย์ไม่ได้

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.กฤตพนธ์วางแผนให้นายเสือสายลับไปล่อซื้อนางสาวมะกรูดซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณี โดยมีการถ่ายสําเนาธนบัตรที่จะใช้ในการล่อซื้อไว้ เมื่อนายเสือพบนางสาวมะกรูดยืนอยู่หน้าบ้านซึ่ง เปิดไว้เพื่อการค้าประเวณี นายเสือได้เดินเข้าไปหานางสาวมะกรูด นางสาวมะกรูดเห็นนายเสือจึง ได้เสนอราคาต่อนายเสือ หากนายเสือต้องการร่วมประเวณีกับตน นายเสือได้ตกลงตามราคาที่ นางสาวมะกรูดเสนอมา และได้เปิดห้องพักเพื่อใช้ร่วมประเวณี โดยห้องพักนั้นเป็นห้องพักที่ใช้ สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป เมื่อนายเสือได้ร่วมประเวณีกับนางสาวมะกรูดแล้ว นายเสือได้ใช้ธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการล่อซื้อจ่ายเงินตาม จํานวนที่ตกลงกับนางสาวมะกรูด หลังจากนั้นนายเสือได้ส่งสัญญาณให้ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เปิดประตู เข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เข้ามาในห้องพักก็พบนายเสือกับนางสาวมะกรูดนอนอยู่บนเตียงสองต่อสอง และเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะกรูดมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการล่อซื้อวางอยู่ ร.ต.อ.กฤตพนธ์จึงทําการจับนางสาวมะกรูดทันทีโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น

ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.กฤตพนธ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้ ”

วินิจฉัย

โดยหลัก การจับกุมผู้กระทําผิดของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ถ้าเป็นการจับในที่รโหฐาน การที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ คือ ต้องมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้อง มีหมายจับ และต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ ต้องมีอํานาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น

กรณีตามอุทาหรณ์ ห้องพักที่ใช้สําหรับให้ผู้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป ถือได้ว่าเป็นที่สาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน การจับจึงไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน หาก ร.ต.อ.กฤตพนธ์มีอํานาจในการจับก็สามารถเข้าไปจับ ในห้องพักที่ใช้สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไปได้โดยไม่จําเป็นต้องมีหมายค้นหรือ ไม่จําเป็นต้องมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92 หรือไม่จําเป็นต้อง ขอความยินยอมโดยความสมัครใจจากเจ้าของที่รโหฐานให้เข้าไปในที่รโหฐานนั้น

ดังนั้น เมื่อนายเสือสายลับที่ให้ไปร่วมประเวณีกับนางสาวมะกรูดซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณีได้ส่ง สัญญาณให้ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เปิดประตูเข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เข้ามาในห้องพักก็พบนายเสือกับนางสาวมะกรูด นอนอยู่บนเตียงสองต่อสอง และเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะกรูดมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการล่อซื้อวางอยู่ เป็นการพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่านางสาวมะกรูดได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ อัน เป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก ร.ต.อ.กฤตพนธ์จึงมีอํานาจใน การจับนางสาวมะกรูดได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 69/2535) ดังนั้น การจับของ ร.ต.อ.กฤตพนธ์จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ ร.ต.อ.กฤตพนธ์ชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ การใช้สายลับล่อซื้อหญิงค้าประเวณีเป็นเพียงการกระทําเท่าที่จําเป็นและสมควร ในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทําความผิดของนางสาวมะกรูดตามอํานาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 2 (10) ชอบที่เจ้าพนักงานตํารวจจะกระทําการได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจําเลยพร้อมด้วย พยานหลักฐาน อันเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจําเลย ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 81/2551)

 

ข้อ 4. นายลิตรร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีแก่นายกริชโดยกล่าวหาว่า วันเกิดเหตุขณะที่นายลิตรยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านของนายลิตร นายกริชเดินเข้ามาทําร้ายนายลิตรและเอาสร้อยคอ ทองคําหนัก 1 บาทของนายลิตรไป ต่อมาเจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายกริชได้ตามจับและแจ้ง ข้อหาชิงทรัพย์กับแจ้งสิทธิตามกฎหมายชั้นจับกุมให้นายกริชทราบ นายกริชรับสารภาพและแจ้งว่า ได้เก็บสร้อยคอทองคําของนายลิตรไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในบ้านของนายกริช เจ้าพนักงานตํารวจบันทึก คําให้การของนายกริชไว้ในบันทึกการจับกุมและยึดสร้อยคอทองคําเป็นของกลาง ชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาชิงทรัพย์และแจ้งสิทธิตามกฎหมายที่ผู้ต้องหาพึงมีในชั้นสอบสวนให้นายกริชทราบ

จากการสอบสวนได้ความว่านอกจากนายกริชแล้วยังมีนายพุฒิและนายสุกรีร่วมกระทํา ความผิดด้วย แต่นายพุฒิและนายสุกรีหลบหนีไปได้ เมื่อพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเสร็จแล้ว มีความเห็นว่า ควรสั่งฟ้องนายกริชฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายกริชในความผิดฐานดังกล่าว นายกริชให้การปฏิเสธโดยต่อสู้ว่าในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานมิได้แจ้งข้อหาร่วมกัน ปล้นทรัพย์ให้นายกริชทราบมาก่อน เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง นายกริชในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 ขอให้ยกฟ้อง

ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายกริชฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 134 “เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียกหรือส่งตัวมาหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือ ปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหา ให้ถามชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อสกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ที่อยู่ ที่เกิด และแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทําที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทําผิด  แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ…”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นการสอบสวนถือเป็นเพียงการรวบรวมหลักฐานและ ดําเนินการทั้งหลายตามที่กฎหมายกําหนด ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทําไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบ ข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อเอาตัวผู้กระทําผิดมาฟ้องลงโทษ และการแจ้งข้อกล่าวหาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134 ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการสอบสวนเพื่อให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนว่าจะถูกสอบสวนในคดีอาญาเรื่องใด แม้เดิมเจ้าพนักงานตํารวจจับกุมและพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาหนึ่ง แต่เมื่อการสอบสวนปรากฏว่าการกระทํา ของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานอื่นก็ถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดนั้นมาแล้วแต่แรก

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ แม้ขั้นจับกุมและชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาแก่นายกริช ฐานชิงทรัพย์ แต่เมื่อพนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าการกระทําความผิดของนายกริชเข้าองค์ประกอบความผิดร่วมกัน ปล้นทรัพย์ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โจทก์ย่อมมีอํานาจฟ้องนายกริชในความผิดฐานร่วมกัน ปล้นทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 เพราะถือว่ามีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายมาแล้วแต่แรกนั่นเอง ดังนั้น ข้อต่อสู้ของนายกริชจึงฟังไม่ขึ้น (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 256/2553)

สรุป ข้อต่อสู้ของนายกริชฟังไม่ขึ้น

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเบิ้มหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายมะกรูดขว้างลงพื้นจนแตก ต่อมานายมะกรูดถึงแก่ความตายด้วยโรคประจําตัวยังไม่ทันได้ดําเนินคดีข้อหาทําให้เสียทรัพย์แก่นายเบิ้ม นางกะรัตมารดาของ นายมะกรูดจึงยื่นฟ้องนายเบิ้มเป็นจําเลยข้อหาทําให้เสียทรัพย์โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายมะกรูด

ดังนี้ นางกะรัตยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 5 (2) สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาต โดยชัดแจ้งจากภริยา

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ผู้เสียหายที่มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2) นั้น จะต้อง เป็นผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการ แทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเบิ้มหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายมะกรูดขว้างลงพื้นจนแตกนั้น ถือว่านายมะกรูดเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง เพราะเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ดังนั้นนายมะกรูดย่อมมีอํานาจฟ้องนายเบิ้มต่อศาลในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายมะกรูดได้ถึงแก่ความตายโดยยังไม่ได้ยื่นฟ้องนายเบิ้ม ดังนี้ นางกะรัตมารดาของนายมะกรูดจะยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) ได้บัญญัติให้อํานาจแก่ผู้บุพการี มีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายหรือฟ้องคดีแทนผู้เสียหายได้ก็แต่เฉพาะ ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้เท่านั้น ดังนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์นางกะรัตจะยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ไม่ได้ เพราะนางกะรัตไม่ใช่ผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และไม่มีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2)

สรุป

นางกะรัตจะยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ไม่ได้

 

ข้อ 2. น.ส.หนึ่งอายุ 16 ปี ถูกนายเจ็กข่มขืนกระทําชําเรา น.ส.หนึ่งอับอายจึงไม่กล้าไปร้องทุกข์ แต่ได้บอกนายโรจน์ซึ่งเป็นบิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา น.ส.หนึ่ง และไม่ได้อยู่ด้วยกันกับ น.ส.หนึ่ง แต่นายโรจน์เป็นคนกว้างขวางเป็นที่รู้จักคนทั่วไปมาก นายโรจน์จึงมาร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สุขดี พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุโดยอ้างว่ามาร้องทุกข์แทน เนื่องจากเป็นบิดาตามความเป็นจริงของ น.ส.หนึ่ง พ.ต.ท.สุขดี พนักงานสอบสวนจึงสอบสวน สรุปสํานวนเสนอพนักงานอัยการและมีคําสั่งฟ้องนายเจ๊กฐานข่มขืนกระทําชําเราตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่ จะมีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวอย่างไรนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงนายโรจน์เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.หนึ่ง จึงไม่มีฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม และไม่สามารถจัดการแทน น.ส.หนึ่งตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1) แม้ น.ส.หนึ่งจะเป็นผู้เยาว์ก็ตาม อีกทั้งนายโรจน์ ก็ไม่สามารถจัดการแทน น.ส.หนึ่งตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) เพราะแม้ว่านายโรจน์จะเป็นผู้บุพการี่ของ น.ส.หนึ่ง แต่ น.ส.หนึ่งเมื่อถูกนายเจ๊กข่มขืนกระทําชําเรา ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.ส.หนึ่งถูกทําร้ายได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้แต่อย่างใด

ดังนั้น นายโรจน์จึงไม่ใช่บุคคลอื่นผู้มีอํานาจจัดการแทนได้ อันจะถือเป็น ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4)

และเมื่อความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราที่นายโรจน์มาร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สุขดี พนักงาน สอบสวนนั้นเป็นความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งจะต้องมีคําร้องทุกข์ตามกฎหมายเสียก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะ มีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง

ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายโรจน์ไม่ใช่ผู้เสียหาย การร้องทุกข์ ของนายโรจน์จึงไม่เป็นคําร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (7) การสอบสวนของ พ.ต.ท.สุขดี พนักงานสอบสวน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 ศาลจึงต้องพิพากษา ยกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

 

ข้อ 3. นายบริสุทธิ์สงสัยว่านายธรรมซึ่งเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านจะเป็นคนร้ายขโมยแหวนประจําตระกูลเพราะหลังเกิดเหตุ นายธรรมหนีออกจากบ้านไป นายบริสุทธิ์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดําเนินคดีกับนายธรรมในข้อหาลักทรัพย์ นอกจากนี้ นายบริสุทธิ์ยังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธรรม ต่อศาลด้วย แต่พนักงานอัยการมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายธรรมที่ยังหลบหนีและยังไม่ได้ตัวมาทํา การสอบสวน โดยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเห็นชอบกับคําสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว และศาลได้ไต่สวน มูลฟ้องคดีที่นายบริสุทธิ์เป็นโจทก์แล้ว มีคําพิพากษายกฟ้อง เพราะคดีไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า นายธรรมเป็นคนร้ายลักทรัพย์ ต่อมานายธรรมสํานึกผิดและนึกถึงบุญคุณที่นายบริสุทธิ์ได้เลี้ยงดู และให้พักอาศัยในบ้าน จึงสารภาพผิดและนําแหวนประจําตระกูลมาคืนให้กับนายบริสุทธิ์

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า คํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์นั้น เป็นพยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดีหรือไม่ และพนักงานอัยการจะมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาล รวมทั้งนายบริสุทธิ์จะยื่นฟ้องนายธรรมเป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

มาตรา 147 “เมื่อมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้น ในเรื่องเดียวกันนั้นอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทําให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้”

วินิจฉัย

ในกรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) นั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่ นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์นั้นเป็นพยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดีหรือไม่ เห็นว่า คํารับสารภาพของ นายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์ถือเป็นพยานหลักฐานที่ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ในสํานวนการสอบสวน และเป็นพยานหลักฐานที่พิสูจน์ความผิดซึ่งน่าจะทําให้ศาลพิพากษาลงโทษนายธรรมได้ จึงเป็นพยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดีตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 147

ประเด็นที่สองที่ต้องวินิจฉัยมีว่า พนักงานอัยการจะมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาล เป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมายเมื่อพนักงานอัยการมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาแล้ว พนักงานสอบสวน จะรื้อคดีนั้นมาสอบสวนอีกไม่ได้ แต่หากได้พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทําให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็สามารถที่จะสอบสวนความผิดนั้นต่อไปเพื่อส่งให้พนักงานอัยการมีคําสั่งฟ้องต่อศาลได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 147) ตามข้อเท็จจริงเมื่อคํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์ ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ อันสําคัญแก่คดีซึ่งน่าจะทําให้ศาลลงโทษนายธรรมได้ โดยหลักพนักงานอัยการย่อมมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาลได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านายบริสุทธิ์ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายธรรมในข้อหาลักทรัพย์จนศาล มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว พนักงานอัยการจึงยื่นฟ้องนายธรรมเป็นจําเลยในการกระทําเดียวกันกับคดีก่อน อีกไม่ได้ เพราะสิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4)

ประเด็นที่สามที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายบริสุทธิ์จะยื่นฟ้องนายธรรมเป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับกรณีของพนักงานอัยการ กล่าวคือ การที่นายบริสุทธิ์ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายธรรมในข้อหาลักทรัพย์ จนศาลได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องไปแล้วนั้น ย่อมต้องห้ามมิให้นายบริสุทธิ์ยื่นฟ้องนายธรรม เป็นจําเลยในการกระทําเดียวกันกับคดีก่อนอีก เพราะสิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4)

สรุป คํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์นั้นเป็น พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี และพนักงานอัยการจะมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาลเป็นคดีใหมไม่ได้ รวมทั้งนายบริสุทธิ์ก็จะยื่นฟ้องนายธรรมเป็นคดีใหม่ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.พิศุทธิ์เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ โดยรถยนต์คันนี้มีร่องรอยว่าพึ่งจะถูกงัดแงะและเครื่องเสียงของรถยนต์หายไปในบริเวณใกล้เคียง พ.ต.ต.พิศุทธิ์พบนายมาโนชยืนถือเครื่องเสียงของรถยนต์ที่ ถูกงัดแงะอยู่ในมือ พ.ต.ต.พิศุทธิ์จะเข้าทําการจับนายมาโนช แต่นายมาโนชวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน มารดาของนายมาโนช ซึ่งนายมาโนชก็พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย พ.ต.ต.พิศุทธิ์ได้ตามเข้าไปจับ นายมาโนชในบ้านมารดาของนายมาโนชทันทีโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือพบใน อาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ

อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดังระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่าความผิดนั้น เป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้

(2) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทําผิดในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่ เกิดเหตุนั้น และมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทําผิด หรือมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษฐานได้ว่า ได้ใช้ในการกระทําผิดหรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(3) เมื่อบุคคลที่ได้กระทําความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้น ควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การจับของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์ถือเป็นการจับในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ ต้องมีอํานาจในการจับโดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย และได้ทําตาม บทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีหมายค้น หรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นในที่ รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมาย

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ต.พิศุทธิ์พบนายมาโนชแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทําผิด ในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้น และนายมาโนชมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทําผิด อีกทั้งความผิดที่นายมาโนช กระทําคือ ความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้าย ป.วิ.อาญา พ.ต.ต.พิศุทธิ์จึงมีอํานาจใน การจับนายมาโนชโดยไม่ต้องมีหมายจับเพราะเป็นความผิดซึ่งหน้าประเภทที่กฎหมายให้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคสอง (2) และตามข้อเท็จจริง พ.ต.ต.พิศุทธิ์ได้ทําตาม บทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานตามมาตรา 92 (3) แล้วเนื่องจากเป็นกรณีที่นายมาโนช ซึ่งได้กระทําความผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูก พ.ต.ต.พิศุทธิ์ไล่จับได้หนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในบ้านมารดาของนายมาโนช ซึ่งเป็นที่รโหฐาน พ.ต.ต.พิศุทธิ์จึงมีอํานาจเข้าไปจับนายมาโนชในบ้านมารดาของนายมาโนชได้ทันที ดังนั้นการจับ ของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์จึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1), 60 วรรคสอง (2), 81 และ 92 (3)

สรุป การจับของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงมิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงขาวอายุ 14 ปีเศษ ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายดําที่มีอายุ 22 ปีเศษแล้ว ฐานข่มขืนกระทําชําเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ตามคําฟ้องนั้นระบุด้วยว่าเด็กหญิงขาวผู้เยาว์โดยนายแดงบิดาผู้ปกครองผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นโจทก์ แต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าเด็กหญิงขาวเป็นบุตรของโจทก์อันเกิดจากนางเขียว ภริยาของโจทก์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายและนางเขียวได้หนีออกจากบ้านตั้งแต่ เด็กหญิงขาวยังเล็กอยู่ โดยนายแดงเป็นผู้ให้อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา และให้เด็กหญิงขาวใช้ นามสกุลมาตลอด ศาลเห็นว่า คดีของโจทก์มีมูลจึงให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจนเสร็จคดี และก่อนที่ศาลชั้นต้น จะพิพากษาได้สั่งแต่งตั้งให้นายแดงเป็นผู้แทนเฉพาะคดีด้วย เช่นนี้ นายแดงจะมีอํานาจเป็นโจทก์ ฟ้องคดีนี้แทนเด็กหญิงขาวดังกล่าวหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล”

มาตรา 6 “ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือเป็นผู้วิกลจริต หรือคนไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล หรือซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทําการตามหน้าที่ โดยเหตุหนึ่งเหตุใด รวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถนั้น ๆ ญาติของผู้นั้นหรือผู้มีประโยชน์ เกี่ยวข้องอาจร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งเขาเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้

เมื่อได้ไต่สวนแล้วให้ศาลตั้งผู้ร้องหรือบุคคลอื่นซึ่งยินยอมตามที่เห็นสมควร เป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อไม่มีบุคคลใดเป็นผู้แทนให้ศาลตั้งพนักงานฝ่ายปกครองเป็นผู้แทน

ห้ามมิให้เรียกค่าธรรมเนียมในเรื่องขอตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เด็กหญิงขาวอายุ 14 ปีเศษ ถือว่าเป็นผู้เยาว์ เมื่อถูกข่มขืนกระทําชําเรา จึงไม่อาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้เอง ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการฟ้องคดีแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านางเขียวซึ่งเป็นมารดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงขาวได้หนีออกจาก บ้านไปตั้งแต่เด็กหญิงขาวยังเล็กอยู่ จึงถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทําการตามหน้าที่ได้โดยเหตุใด เหตุหนึ่ง จึงจําเป็นต้องตั้งผู้แทนเฉพาะคดีขึ้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 6 เพื่อดําเนินคดีแทนต่อไป

ซึ่งการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีนั้น โดยหลักตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 6 จะต้องมีผู้ร้องขอต่อศาล แต่ในทางปฏิบัติศาลจะตั้งให้เองก็ได้ (ฎีกาที่ 617/2492) และในคดีนี้เมื่อปรากฏว่า ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็น ข้อเท็จจริงเช่นนั้นยังประทับรับฟ้องไว้พิจารณา จึงถือโดยปริยายว่าศาลได้ตั้งให้นายแดงเป็นผู้แทนเฉพาะคดีแล้ว

และข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่าก่อนศาลพิพากษายังตั้งให้นายแดงเป็นผู้แทนเฉพาะคดีด้วย เช่นนี้ นายแดงจึงมีอํานาจ เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนเด็กหญิงขาวได้ (ฎีกาที่ 2958/2541)

สรุป

นายแดงมีอํานาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนเด็กหญิงขาวได้

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 นายเอกพร้อมนางเบญจภริยาเข้าไปล่าสัตว์ในป่าบริเวณรอยต่อระหว่างอําเภอบัวใหญ่และอําเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่ล่าสัตว์อยู่โดยไม่แน่ชัดว่าอยู่ บริเวณใด นายโทและนายตรีได้ร่วมกันใช้ปืนยิงนายเอกถึงแก่ความตาย พันตํารวจโทจัตวาซึ่งเป็น สารวัตรสืบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ จึงตามจับตัวนายโทและนายตรี แต่จับได้เฉพาะนายโทในท้องที่อําเภอแก้งสนามนาง แล้วพันตํารวจโทจัตวานําตัวนายโทส่งให้แก่ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ดําเนินคดีในวันเดียวกันนางเบญจภริยานายเอกจึงเข้า ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ให้ดําเนินคดีกับนายโทและนายตรี หลังจากนั้น อีกหนึ่งเดือนนายตรีได้เข้ารับมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนาง พนักงาน สอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนางจึงได้รับตัวไว้ทําการสอบสวน ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบที่มีอํานาจทําการสอบสวน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 19 “ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) เป็นการไม่แน่ว่าการกระทําผิดอาญาได้กระทําในท้องที่ใดในระหว่างหลายท้องที่

พนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้ ในกรณีข้างต้นพนักงานสอบสวนต่อไปนี้ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน

(ก) ถ้าจับผู้ต้องหาได้แล้ว คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอํานาจ

(ข) ถ้าจับตัวผู้ต้องหายังไม่ได้ คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทําผิดก่อนอยู่ในเขตอํานาจ”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโทและนายตรีร่วมกันใช้ปืนยิงนายเอกถึงแก่ความตาย โดยที่ ข้อเท็จจริงไม่ชัดแจ้งว่าเหตุเกิดขึ้นในท้องที่ใดแน่ ระหว่างอําเภอบัวใหญ่กับอําเภอแก้งสนามนางนั้น ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ก) ได้กําหนดให้พนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับผู้ต้องหาได้อยู่ในเขตอํานาจ เป็นพนักงานสอบสวน ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน ดังนั้น เมื่อนายโทถูกจับกุมที่อําเภอแก้งสนามนาง พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ในคดีนี้จึงได้แก่พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรอําเภอแก้งสนามนาง ซึ่งมีอํานาจที่จะสรุปสํานวนและทํา ความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง

แม้นางเบญจภริยาของนายเอกจะเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ ให้ดําเนินคดีกับนายโทและนายตรี แต่ก็เป็นการร้องทุกข์ในภายหลังที่เจ้าพนักงานตํารวจจับนายโทได้แล้ว กรณีจึงมิใช่ การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ก่อนที่จะจับนายโทได้ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธร บัวใหญ่จึงไม่ใช่พนัางานสอบสวนท้องที่ที่พบการกระทําผิดก่อนอยู่ในเขตอําเภอ อันจะทําให้เป็นพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบการสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ข) แต่อย่างใด

เมื่อพนักงานสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่มิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ จึงถือได้ว่ามีการ สอบสวนในความผิดนั้นโดยชอบตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 (ฎีกาที่ 3466/2547) พนักงานสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่จึง ต้องโอนสํานวนและตัวผู้ต้องหาคือนายโทไปให้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนาง ดําเนินการสอบสวน ต่อไป

ส่วนการที่นายตรีได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนาง และ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนางได้รับตัวนายตรีไว้ทําการสอบสวนนั้น ถือว่าชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ก) เพราะเป็นพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับตัวผู้ต้องหาได้และอยู่ในเขตอํานาจ

สรุป

คดีนี้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนางเป็นพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบที่มีอํานาจทําการสอบสวนทั้งกรณีของนายโทและนายตรี

 

ข้อ 3. นายดําถูกจับและถูกขังในห้องขังของสถานีตํารวจภูธรช้างคลาน ในข้อหามียาเสพติดไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่ารุ่งเช้านายดํานอนเสียชีวิตในห้องขัง แพทย์ประจํา โรงพยาบาลช้างคลานและพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรช้างคลานร่วมกันชันสูตรพลิกศพ พบว่า นายดําถูกวางยาพิษจนถึงแก่ความตายและได้มอบศพให้ญาติไปฌาปนกิจตามพิธีทางศาสนา ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรช้างคลานได้ทําการสอบสวนหาตัวผู้กระทําผิด พบว่านายขาว เป็นคนแอบเอายาพิษใส่ในข้าวให้นายดํา เพื่อมิให้นายดําซัดทอดว่าได้ยาเสพติดมาจากนายขาว พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรช้างคลานจึงแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมทําสํานวนสอบสวน ดําเนินคดีกับนายขาวในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การชันสูตรพลิกศพนายดําผู้ตายขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และควรต้องดําเนินการเช่นใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 150 วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้า “ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทํา ของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่า ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ให้พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองตําแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอําเภอหรือเทียบเท่า ขึ้นไปแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ตามวรรคหนึ่ง และให้นํา บทบัญญัติในวรรคสองมาใช้บังคับ

เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพตามวรรคสามแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการ เข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งถ้ามีความจําเป็น ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการ ขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ

เมื่อได้รับสํานวนชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานอัยการทําคําร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่ง ท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทําการไต่สวนและทําคําสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและ พฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทําร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทําร้ายเท่าที่จะทราบได้ภายในสามสิบวันนับแต่ วันที่ได้รับสํานวน ถ้ามีความจําเป็นให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้อง บันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําถึงแก่ความตายในห้องขังของสถานีตํารวจภูธรช้างคลานนั้น ถือเป็นกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน การชันสูตรพลิกศพจึงต้องมี พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ทําการชันสูตรพลิกศพ และ พนักงานอัยการต้องเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพ จากนั้นพนักงานอัยการต้องทําคําร้องขอ ต่อศาลเพื่อให้ศาลทําการไต่สวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 วรรคสาม วรรคสีและวรรคห้า

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีเพียงแพทย์ประจําโรงพยาบาลช้างคลานและพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรช้างคลานเท่านั้นที่ร่วมกันชันสูตรพลิกศพ หาได้มีพนักงานอัยการร่วมด้วยแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น การชันสูตรพลิกศพคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ดีการที่ศพถูกฌาปนกิจไปแล้ว ย่อมไม่อาจทําการ ชันสูตรพลิกศพใหม่ได้ แต่พนักงานสอบสวนก็สามารถแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวน ชันสูตรพลิกศพแล้วส่งให้พนักงานอัยการยื่นคําร้องต่อศาลให้ทําการไต่สวนได้

สรุป การชันสูตรพลิกศพนายดําผู้ตายไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานสอบสวนควรแจ้ง ให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพแล้วส่งให้พนักงานอัยการยื่นคําร้องต่อศาล เพื่อทําการไต่สวนต่อไป

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.แก้วสืบทราบว่านายเบิ้มซึ่งศาลได้ออกหมายจับในคดีชิงทรัพย์หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเลขที่ 30 ซึ่งเป็นบ้านของนายธกฤตน้องชายนายเบิ้ม พ.ต.ต.แก้วจึงยื่นคําร้องต่อศาลขอออกหมายค้นบ้านหลัง ดังกล่าว ศาลออกหมายค้นให้ตามคําร้องขอ เมื่อ พ.ต.ต.แก้วไปถึงบ้านนายธกฤตพบว่านายเบิ้ม หลบหนีไปอยู่บ้านเลขที่ 31 ซึ่งตามทะเบียนบ้านมีนายเบิ้มเป็นเจ้าบ้าน พ.ต.ต.แก้วจึงไปที่บ้านเลขที่ 31 และได้พบนายเบิ้มอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว พ.ต.ต.แก้วได้แสดงตัวเป็นตํารวจแจ้งนายเบิ้ม ว่าต้องถูกจับทั้งแจ้งข้อหา แสดงหมายจับต่อนายเบิ้ม พร้อมทั้งแจ้งสิทธิตามกฎหมาย จากนั้นเข้าไป จับกุมนายเบิ้มในบ้านเลขที่ 31 ทันทีโดยไม่มีหมายค้น ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.แก้วชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 57 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 78 มาตรา 79 มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้จะจับ ขัง จําคุก หรือค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของต้องมีคําสั่ง หรือหมายของศาลสําหรับการนั้น

บุคคลซึ่งต้องขังหรือจําคุกตามหมายศาล จะปล่อยไปได้ก็เมื่อมีหมายปล่อยของศาล”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(5) เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม มาตรา 78”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.แก้วได้เข้าไปจับกุมนายเบิ้มในบ้านนั้นถือเป็นการจับในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้อง มีหมายและต้องทําตามบทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอํานาจในการค้นโดยมีหมายค้น หรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 57 )

ตามข้อเท็จจริง เมื่อนายเบิ้มเป็นผู้ต้องหาซึ่งศาลได้ออกหมายจับแล้ว แม้ พ.ต.ต.แก้วจะไม่มี หมายค้นบ้านเลขที่ 31 แต่เมื่อนายเบิ้มเป็นเจ้าบ้านเลขที่ 31 พ.ต.ต.แก้วจึงสามารถเข้าไปในบ้านหลังนี้ได้โดยไม่ต้อง มีหมายค้นเนื่องจากที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้านและการจับนั้นมีหมายจับ พ.ต.ต.แก้วจึงสามารถ ทําการจับนายเบิ้มในบ้านเลขที่ 31 ได้แม้จะไม่มีหมายค้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 81 ประกอบมาตรา 9245) ดังนั้น การจับของ พ.ต.ต.แก้วจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ พ.ต.ต.แก้วชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!