LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยต่อศาลเพ่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านพิพาทราคา 300,000 บาท ซึ่งตั้งอยู่เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ในเขตของศาลแพ่งและศาลแขวงพระนครเหนือ จําเลยบุกรุกเข้า ครอบครองบ้านพิพาท โจทก์แจ้งให้ออกไปแล้วแต่จําเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่าบ้านพิพาท เป็นของโจทก์และขับไล่จําเลยออกจากบ้านพิพาท นายเอกผู้พิพากษาศาลแพ่งมีคําสั่งรับฟ้อง จําเลยให้การว่าบ้านพิพาทเป็นของจําเลย จําเลยมิได้บุกรุกบ้านโจทก์ นายเอกมีคําสั่งรับคําให้การ และนายเอกเป็นองค์คณะคนเดียวนั่งพิจารณาคดีจนเสร็จสิ้น แต่ก่อนทําคําพิพากษานายเอกเห็นว่า คดีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงพระนครเหนือ นายเอกจึงมีคําสั่งโอนคดีไปยัง ศาลแขวงพระนครเหนือ จงวินิจฉัยว่า

(ก) คําสั่งรับฟ้องของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) คําสั่งโอนคดีของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 19 วรรคหนึ่ง “ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลแพ่งธนบุรีมีอํานาจพิจารณา พิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีอื่นใดที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 19/1 วรรคสอง “ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่งอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ให้ศาลนั้นพิจารณา พิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป”

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอํานาจดังต่อไปนี้

(2) ออกคําสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่โจทก์ฟ้องจําเลยต่อศาลแพ่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านพิพาทราคา 300,000 บาท จําเลยบุกรุกเข้าครอบครองบ้านพิพาท โจทก์แจ้งให้ออกไปแล้วแต่จําเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่าบ้านพิพาท เป็นของโจทก์และขับไล่จําเลยออกจากบ้านพิพาท และนายเอกผู้พิพากษาคนเดียวของศาลแพ่งมีคําสั่งรับฟ้องนั้น คําสั่งรับฟ้องดังกล่าวของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามมาตรา 24 (2) เพราะเป็นคําสั่งซึ่งมิใช่ เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี

(ข) การที่โจทก์ฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลแพ่ง เมื่อคดีนี้เริ่มต้นโดยเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ การนําคดีนี้ไปยื่นต่อศาลแพ่ง และศาลแข่งได้รับฟ้องไว้จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 19 วรรคหนึ่ง เพราะเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแพ่ง มิได้อยู่ในอํานาจของศาลแขวงพระนครเหนือตามมาตรา 17 ประกอบ มาตรา 25 (4) แต่อย่างไรก็ดี เมื่อจําเลยได้ยื่นคําให้การเข้าไปในคดีว่าบ้านพิพาทเป็นของจําเลย จําเลยมิได้บุกรุกบ้านโจทก์ คดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท ทําให้จากคดีไม่มีทุนทรัพย์กลายเป็นคดีที่มี ทุนทรัพย์ และเมื่อทุนทรัพย์มีราคา 300,000 บาท กรณีนี้จึงถือว่าเป็นกรณีตามมาตรา 19/1 วรรคสอง กล่าวคือ ในขณะยื่นฟ้องนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่งอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้น เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงพระนครเหนือก็ตาม ก็ยังคงให้ศาลแพ่งพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป จะโอนคดีไปยังศาลแขวงพระนครเหนือไม่ได้ ดังนั้น การที่นายเอกมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงพระนครเหนือ คําสั่งดังกล่าวของนายเอกจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

(ก) คําสั่งรับฟ้องของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

(ข) คําสั่งโอนคดีของนายเอกไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2 โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีอาญาอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี (ไม่มีศาลแขวงอยู่ในเขตอํานาจ) นายกรุงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมีนบุรีได้จ่ายสํานวนให้ นายแทนไทผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีและนายพุทธธรรมผู้พิพากษาประจําศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา หากปรากฏว่า

(ก) ในวันไต่สวนมูลฟ้องนายพุทธธรรมลําพังคนเดียวมาไต่สวนมูลฟ้องและเห็นว่าคดีมีมูลจึงมีคําสั่งประทับรับฟ้อง กับ

(ข) ในวันไต่สวนมูลฟ้องนายแทนไทเพียงลําพังคนเดียวมาไต่สวนมูลฟ้องและเห็นว่าคดีไม่มีมูลจึงมีคําพิพากษายกฟ้อง

คําสั่งและคําพิพากษาดังกล่าวข้างต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ภายใต้บังคับมาตรา 19/1 ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและ คดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้ เพราะผู้พิพากษาประจําศาลไม่มีอํานาจตาม (3) (4) หรือ (5)”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีอาญาอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (5) แต่ เนื่องจากศาลจังหวัดมีนบุรีไม่มีศาลแขวงอยู่ในเขตอํานาจ โจทก์จึงนําคดีดังกล่าวมาฟ้องที่ศาลจังหวัดมีนบุรีนั้น โจทก์ย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 18 และแม้ว่าศาลจังหวัดจะต้องมีองค์คณะผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คน ตามมาตรา 26 แต่มาตรา 26 อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 25 ดังนั้น ผู้พิพากษาเพียงลําพังคนเดียวจึงมีอํานาจในการ ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญาได้ตามมาตรา 25 (3)

ส่วนคําสั่งประทับรับฟ้องของนายพุทธธรรมและคําพิพากษายกฟ้องของนายแทนไทชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) ในวันไต่สวนมูลฟ้องนายพุทธธรรมผู้พิพากษาประจําศาลจังหวัดมีนบุรีลําพังคนเดียว มาไต่สวนมูลฟ้องและเห็นว่าคดีมีมูลจึงมีคําสั่งประทับรับฟ้องนั้น คําสั่งดังกล่าวของนายพุทธธรรมย่อมไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เนื่องจากนายพุทธธรรมเป็นเพียงผู้พิพากษาประจําศาล จึงไม่มีอํานาจไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา เพียงลําพังคนเดียวตามมาตรา 25 (3) และมาตรา 25 วรรคสอง

(ข) ในวันไต่สวนมูลฟ้องนายแทนไทเพียงลําพังคนเดียวมาไต่สวนมูลฟ้องและเห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงมีคําพิพากษายกฟ้องนั้น คําพิพากษาดังกล่าวของนายแทนไทผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีย่อมชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษจําคุกและโทษปรับไม่เกินอํานาจของผู้พิพากษาคนเดียว ดังนั้น นายแทนไทจึงมีอํานาจ ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งเพียงลําพังคนเดียวได้ตามมาตรา 25 (3) และมาตรา 25 (5)

สรุป

(ก) คําสั่งประทับรับฟ้องของนายพุทธธรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) คําพิพากษาของนายแทนไทชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3 ในศาลฎีกานายวิจารณ์ประธานศาลฎีกา ได้จ่ายสํานวนคดีแพ่งให้กับนายวิจัย นายวิจักษณ์และนายวิษณุ ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีแพ่งคดีหนึ่ง ทั้งสามได้พิจารณาคดี จนกระทั่งเสร็จสิ้นและอยู่ในระหว่างทําคําพิพากษา นายวิจัยป่วยหนักต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงทําให้นายวิจักษณ์กับนายวิษณุไม่สามารถทําคําพิพากษาได้ จึงได้นําเอาคดีนี้ไปปรึกษานายวิจารณ์ ประธานศาลฎีกา แต่นายวิจารณ์ได้เดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศพร้อมกับรองประธานศาลฎีกา อันดับที่ 1 ถึง 3 เหลือรองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 4 ถึง 6 ทั้งสองจึงตัดสินใจนําเอาสํานวนคดี ดังกล่าวไปปรึกษารองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 6 รองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 6 จึงตรวจสํานวน และลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมกับนายวิษณุกับนายวิจักษณ์ คําพิพากษาดังกล่าวชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้นมีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว ๆ มากมาย (1) ในศาลฎีกา ได้แก่ ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา”

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจ ปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวิจารณ์ประธานศาลฎีกา ได้จ่ายสํานวนคดีแพ่งให้กับนายวิจัย นายวิจักษณ์และนายวิษณุ ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีแพ่งคดีหนึ่ง และเมื่อทั้งสามได้ พิจารณาคดีจนกระทั่งเสร็จสิ้นและอยู่ในระหว่างทําคําพิพากษา นายวิจัยป่วยหนักต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้น ถือว่านายวิจัยไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้ และถือว่าเป็นเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ตามมาตรา 30 ดังนั้น นายวิจักษณ์และนายวิษณจึงต้องนําสํานวนคดีนั้นไปให้ประธานศาลฎีกาหรือ รองประธานศาลฎีกาตรวจและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาตามมาตรา 29 (1)

การที่นายวิจักษณ์กับนายวิษณุนำสํานวนคดีนั้นไปปรึกษานายวิจารณ์ประธานศาลฎีกา แต่นายวิจารณ์ได้เดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศพร้อมกับรองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 1 ถึง 3 เหลือแต่รองประธาน ศาลฎีกาอันดับที่ 4 ถึง 6 ทั้งสองจึงตัดสินใจนําเอาสํานวนคดีดังกล่าวไปปรึกษารองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 6 และ รองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 6 ได้ตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมกับนายวิจักษณ์และนายวิษณุนั้น คําพิพากษาดังกล่าวย่อมชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 29 (1) เพราะการนําสํานวนคดีไปให้รองประธานศาลฎีกา ตรวจสํานวนเละลงลายมือชื่อทําคําพิพากษานั้นจะไม่คํานึงถึงความอาวุโสของรองประธานศาลฎีกาแต่อย่างใด ดังนั้น แม้จะเป็นรองประธานศาลฎีกาอันดับที่ 6 ก็สามารถตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมได้

สรุป คําพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเอกฟ้องขับไล่นายโทผู้เช่าออกจากบ้านเช่าของตน ซึ่งนายโทไม่ชําระค่าเช่าเป็นเวลา 4 เดือน รวมเป็นเงิน 120,000 บาท ที่ศาลจังหวัดนครปฐม นายบุญใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครปฐม ได้จ่ายสํานวนให้นายบุญช่วยและนายบุญมีผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐมเป็นองค์คณะพิจารณา พิพากษาคดี นายบุญช่วยแต่เพียงผู้เดียวได้ประทับรับฟ้องคดีนี้และออกคําสั่งให้ส่งหมายเรียกและ สําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลย ปรากฏว่าก่อนวันนัดชี้สองสถานนายบุญมีเห็นว่าคดีนี้มีการเรียกค่าเช่า มาด้วย และค่าเช่านั้นเพียงแค่ 120,000 บาท จึงปรึกษากับนายบุญช่วยทําการออกคําสั่งโอนคดีนี้ กลับไปยังศาลแขวง ดังนี้

ก การออกคําสั่งให้ “ส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลย” ที่กระทําโดยนายบุญช่วยแต่เพียงผู้เดียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ข ความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาทั้งสองคนนี้ที่ให้มีการโอนคดีนี้กลับไปยังศาลแขวงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ภายใต้บังคับมาตรา 19/1 ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและ คดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 19/1 วรรคหนึ่ง “บรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอํานาจของศาลแขวงนั้น ถ้ายื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือ ศาลจังหวัด ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลดังกล่าวที่จะยอมรับพิจารณาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้น หรือมีคําสั่งโอนคดี ไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจก็ได้ และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดได้มีคําสั่งรับฟ้องคดีเช่นว่านั้นไว้แล้ว ให้ศาลดังกล่าว พิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป”

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอํานาจดังต่อไปนี้

(2) ออกคําสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกฟ้องขับไล่นายโทผู้เช่าออกจากบ้านเช่าของตน ซึ่งนายโท ไม่ชําระค่าเช่าเป็นเวลา 4 เดือน รวมเป็นเงิน 120,000 บาทนั้น เป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจ คํานวณเป็นราคาเงินได้ ถือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ จึงอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดนครปฐม ตามมาตรา 18 ไม่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงตามมาตรา 17 และมาตรา 25 (4)

ก. การที่นายบุญใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครปฐมได้จ่ายสํานวนให้นายบุญช่วย และนายบุญมีผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครปฐมเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี และนายบุญช่วยแต่เพียงผู้เดียว ได้ประทับรับฟ้องคดีนี้และออกคําสั่งให้ส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลยนั้น การออกคําสั่งดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการออกคําสั่งที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจที่จะทําได้ตามมาตรา 24 (2) เนื่องจาก เป็นคําสั่งที่มิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีหรือทําให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปจากศาลแต่อย่างใด

ข. การที่นายบุญมีเห็นว่าคดีนี้มีการเรียกค่าเช่ามาด้วย และค่าเช่านั้นเพียงแค่ 120,000 บาท จึงปรึกษากับนายบุญช่วยทําการออกคําสั่งโอนคดีนี้กลับไปยังศาลแขวงนั้น คําสั่งโอนคดีดังกล่าวย่อมไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ทั้งนี้เพราะคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้จะมีการเรียกค่าเช่ามาด้วยก็ตาม แต่คําขอหลักเป็นการฟ้องขับไล่ จึงไม่มีการเรียกร้องกรรมสิทธิ์ให้กลับมาเป็นของผู้เรียกร้อง จึงมิใช่คดีมีทุนทรัพย์ 120,000 บาท แต่อย่างใด คดีนี้จึงอยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดตามมาตรา 18 อีกทั้งถ้าจะมีการโอนคดีกลับไปยัง ศาลแขวงตามมาตรา 19/1 วรรคหนึ่งนั้น จะต้องปรากฏว่าเป็นคดีที่เกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอํานาจของ ศาลแขวงนั้น แต่ได้นําไปยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดและศาลจังหวัดต้องไม่เด้ประทับรับฟ้องตั้งแต่แรกด้วย แต่อย่างไรก็ดี เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดในการพิจารณาพิพากษาคดีแล้วจึงไม่อาจโอนคดีไปยังศาลแขวงได้ จึงไม่จําต้องพิจารณาว่าการโอนคดีดังกล่าวชอบหรือไม่ชอบตามมาตรา 19/1 วรรคหนึ่ง

สรุป

ก. การออกคําสั่งให้ส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องให้แก่จําเลยที่กระทําโดยนายบุญช่วยแต่เพียงผู้เดียวชอบด้วยกฎหมาย

ข. ความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาทั้งสองที่ให้มีการโอนคดีนี้กลับไปยังศาลแขวงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายสมควรเป็นโจทก์ฟ้องนายระทม ข้อหาโกงเจ้าหนี้ต่อศาลจังหวัดสุโขทัย ศาลมีคําพิพากษาว่านายระทมมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 349 แต่ให้รอการกําหนดโทษไว้ มีกําหนดสองปี คดีถึงที่สุด ต่อมาอีกหนึ่งปี นายระทมไปลักทรัพย์ของนายชะเอมในจังหวัดตาก พนักงานอัยการได้ฟ้องนายระทมที่ศาลจังหวัดตากในความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 และ ขอให้ศาลกําหนดโทษนายระทมในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ นายระทมให้การรับสารภาพ นายชวลิต ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตากเจ้าของสํานวนพิจารณาแล้วจึงมีคําพิพากษาให้จําคุกนายระทม ข้อหาลักทรัพย์มีกําหนด 1 ปี และให้กําหนดโทษนายระทมข้อหาโกงเจ้าหนี้ให้จําคุก 1 ปี นายระทม ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจําคุกข้อหาละ 6 เดือน เมื่อนําโทษในคดีก่อนบวกกับโทษ ในคดีนี้แล้ว คงจําคุกนายระทมรวม 12 เดือน ท่านเห็นว่าคําพิพากษาของนายชวลิตชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด (ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง “เมื่อปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตาม คําแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทําความผิด อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจําคุกสําหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกําหนดโทษที่รอการกําหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอ การลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน เป็นองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีเพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง (มาตรา 26) แต่อย่างไรก็ดี ผู้พิพากษาคนเดียว มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าวไม่ได้ (มาตรา 25 (5)

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้ว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายระทมในความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 334 ต่อศาลจังหวัดตากซึ่งเป็นศาลชั้นต้นตามมาตรา 26 แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 25 ด้วย ดังนั้น เมื่อคดีนี้มีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท จึงอยู่ในอํานาจของผู้พิพากษา คนเดียวในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ การพิจารณาของนายชวลิตจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตาม มาตรา 25 (5)

และการที่นายชวลิตพิพากษาลงโทษจําคุกนายระทมข้อหาลักทรัพย์มีกําหนด 1 ปี และ ให้กําหนดโทษนายระดุมข้อหาโกงเจ้าหนี้โดยให้จําคุก 1 ปี นายระทมให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจําคุกข้อหาละ 6 เดือนนั้น คําพิพากษาของนายชวลิตย่อมชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามมาตรา 25 (5) เพราะโทษสุทธิแต่ละข้อหาที่ลงโทษนายระทมนั้นไม่เกิน 6 เดือน ส่วนการที่นายชวลิตได้นําโทษในคดีก่อน มาบวกเข้ากับโทษในคดีหลังรวมเป็นโทษจําคุก 12 เดือนนั้น เป็นการปฏิบัติตาม ป.อาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ที่บังคับให้ศาลในคดีหลังต้องกําหนดโทษในคดีก่อนมาบวกกับโทษในคดีหลังเท่านั้น

สรุป

คําพิพากษาของนายชวลิตชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 3. นายดีเป็นโจทก์ฟ้องนายโกงในคดีแพ่งซึ่งมีจํานวนทุนทรัพย์สามแสนบาทต่อศาลจังหวัดอ่างทอง(จังหวัดอ่างทองไม่มีศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ) นายเก่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดอ่างทองได้เป็นองค์คณะ พิจารณาคดีดังกล่าว ต่อมาในทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงว่าทุนทรัพย์ที่ฟ้องมีราคาถึงห้าแสนบาท นายยิ่งศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอ่างทองจึงได้ให้นายตรีผู้พิพากษาประจําศาลในศาล จังหวัดอ่างทองเป็นองค์คณะร่วมพิจารณาคดีด้วยจนเสร็จ และได้ร่วมกันทําคําพิพากษาให้นายโกง ชดใช้เงินให้นายดีจํานวนห้าแสนบาท การพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 28 “ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้พิพากษา ดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค ผู้พิพากษา หัวหน้าศาล หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้น ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 25 (4) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอํานาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดีเป็นโจทก์ฟ้องนายโกงในคดีแพ่งซึ่งมีจํานวนทุนทรัพย์ สามแสนบาทต่อศาลจังหวัดอ่างทองนั้น เมื่อเป็นคดีแพ่งซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท และในจังหวัดอ่างทองไม่มีศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ คดีดังกล่าวจึงอยู่ในอํานาจการพิจารณาของ ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นตามมาตรา 25 (4)

แต่อย่างไรก็ดีเมื่อในทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงว่าทุนทรัพย์ที่ฟ้องมีราคาถึงห้าแสนบาท ซึ่งเกินกว่าอํานาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียวตามมาตรา 25 (4) แต่ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน เป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวตามมาตรา 26 กรณีนี้จึงถือว่าเป็นเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 28 ประกอบมาตรา 31 (4) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจึงมีอํานาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น ของศาลนั้นเข้าร่วมเป็นองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ตามมาตรา 28 (3) ดังนั้น การที่นายยิ่งศักดิ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอ่างทองได้มอบหมายให้นายตรีผู้พิพากษาประจําศาลในศาลจังหวัดอ่างทอง เป็นองค์คณะร่วมพิจารณาคดีด้วยจนเสร็จ และได้ร่วมกันทําคําพิพากษาให้นายโกงชดใช้เงินให้นายดีจํานวน ห้าแสนบาท การพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 270,000 บาท ต่อศาลจังหวัดอุดรธานีต่อมาจําเลยให้การโต้แย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจําเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลจังหวัดอุดรธานีเห็นวาคดีดังกล่าวอยู่ในอํานาจของศาลแขวงอุดรธานี จึงมีคําสั่งโอนคดีไปยัง ศาลแขวงอุดรธานี คําสั่งโอนคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดอุดรธานีชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ภายใต้บังคับมาตรา 19/1 ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและ คดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 19/1 วรรคสอง “ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องคดีนั้น เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ให้ศาลนั้น พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 270,000 บาท ต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ซึ่งโดยหลักแล้วการฟ้องขับไล่นั้นเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อัน ไม่อาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ คําฟ้องเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจําเลยให้การโต้แย้งว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของจําเลย คดีดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจ คํานวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ โดยทุนทรัพย์ในคดีนี้คือ 270,000 บาท ทําให้คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ใน อํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงอุดรธานีตามมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17

อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้นั้น คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดตามมาตรา 18 และแม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์และเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ตาม ตามมาตรา 19/1 วรรคสอง ก็ได้บัญญัติให้ ศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวนั้นต่อไป ดังนั้น ศาลจังหวัดอุดรธานีจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ต่อไป จะโอนคดีไปยังศาลแขวงอุดรธานีไม่ได้ การที่ศาลจังหวัดอุดรธานี้มีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงอุดรธานีนั้น คําสั่งโอนคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

คําสั่งโอนคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดอุดรธานีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ มาตรา 18 และมาตรา 19/1 ได้มีการแก้ไขและเพิ่มเติมใหม่ โดย พ.ร.บ. แก้ไข เพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558

 

ข้อ 2. นายกานต์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตากมอบหมายให้นายธันวาผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดตากไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ผู้เสียหายฟ้องนายมกราเป็นจําเลยข้อหาหมิ่นประมาทโดยการ โฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 (มีอัตราโทษจําคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกิน 200,000 บาท) นายธันวาได้ไต่สวนพยานโจทก์เสร็จแล้วเห็นว่า

ก) คดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องโจทก์ หรือ

ข) คดีโจทก์ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง เช่นนี้ นายธันวามีอํานาจทําคําสั่งตามข้อ ก) หรือมีคําพิพากษาตามข้อ ข) ได้หรือไม่ หรือจะต้องดําเนินการใดจึงจะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่ คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25 (5)”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก) ตามมาตรา 25 (3) ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญาได้ ดังนั้น การที่นายกานต์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตากได้มอบหมายให้นายธันวาผู้พิพากษาอาวุโสในศาล จังหวัดตากไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ผู้เสียหายฟ้องนายมกราเป็นจําเลยในคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม ป.อาญา มาตรา 328 และเมื่อนายรันวาได้ไต่สวนมูลฟ้องจากพยานโจทก์เสร็จแล้วเห็นว่าคดีโจทก์มีมูลนั้น นายธันวาย่อมมีอํานาจออกคําสั่งให้ประทับฟ้องคดีของผู้เสียหายได้ ตามมาตรา 25 (3)

ข) การที่นายธันวาได้ไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้แล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลและจะพิพากษาให้ ยกฟ้องนั้น แม้ว่าคดีดังกล่าวจะมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปีก็ตาม แต่คดีนี้มีโทษปรับ 200,000 บาท ซึ่งเกินกว่า 60,000 บาท กรณีนี้จึงเกินกว่าอํานาจผู้พิพากษาคนเดียวที่กําหนดไว้ในมาตรา 25 (5) ดังนั้น นายธันวาจึงไม่มี อํานาจพิพากษาให้ยกฟ้องได้เพียงคนเดียว และกรณีดังกล่าวนี้ถือได้ว่ามีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตาม มาตรา 31 (1) ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทําคําพิพากษาตามมาตรา 29 ทําให้นายธันวาไม่อาจทําคําพิพากษาในคดีนี้ได้ ดังนั้น นายธันวาจึงต้องนําสํานวนคดีนี้ไปให้นายกานต์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสํานวนและลงรายมือชื่อร่วม ในคําพิพากษาด้วย คําพิพากษาจึงจะชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 26 ประกอบมาตรา 29 (3) และมาตรา 31 (1)

สรุป

ก) นายธันวามีอํานาจออกคําสั่งให้ประทับฟ้องคดีของโจทก์ได้

ข) นายธันวาเพียงคนเดียวจะพิพากษายกฟ้องคดีของโจทก์ไม่ได้ จะต้องนําสํานวนคดีนี้ ไปให้นายกานต์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสํานวนและลงรายมือชื่อทําคําพิพากษาด้วย

 

ข้อ 3. ศุขวงศ์เป็นโจทก์ฟ้องหน่อเมืองต่อศาลจังหวัดน่านข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี นางแม้นเมืองผู้พิพากษา หัวหน้าศาลได้จ่ายสํานวนคดีดังกล่าวให้นางเขียนคําและนายอินทรผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็น องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว ระหว่างพิจารณานางเขียนคําต้องพักรักษาตัวจากการผ่าตัด เป็นเวลา 1 เดือน นายอินทรจึงไปปรึกษานางแม้นเมืองผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แต่นางแม้นเมือง ได้เดินทางไปอบรมที่สถาบันพัฒนาข้าราชการตุลาการ นายอินทรจึงนําคดีไปให้นายแสนอินทะ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดน่านทําการพิจารณาคดีนี้ต่อไปจนกระทั่งพิพากษา เพราะเห็นว่า นายแสนอินทะมีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดน่าน ในกรณีนี้ คําพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 9 “ในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ให้มีผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ศาลละหนึ่งคนเมื่อตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงว่างลง หรือเมื่อ ผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน ถ้าผู้ที่มี อาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน

ในกรณีที่ไม่มีผู้ทําการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะสั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็น ผู้ทําการแทนก็ได้

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจําศาลจะเป็นผู้ทําการแทนในตําแหน่งตามวรรคหนึ่งไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 28 “ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้พิพากษา ดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค ผู้พิพากษา หัวหน้าศาล หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้น ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย”

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจ ปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อคดีที่ศุขวงศ์เป็นโจทก์ฟ้องหน่อเมืองต่อศาลจังหวัดน่านเป็นคดีอาญา ข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตาม ป.อาญา มาตรา 290 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี จึงต้องมี ผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะตามมาตรา 26

การที่นางแม้นเมืองผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสํานวนคดีดังกล่าวไปให้นางเขียนคําและ นายอินทรผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวนั้น เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณา นางเขียนคําต้องพักรักษาตัวจากการผ่าตัดเป็นเวลา 1 เดือน จึงถือเป็นเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ตาม มาตรา 30 กล่าวคือ เป็นกรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณาคดีนั้นได้ ดังนั้นจึงต้องให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคือนางแม้นเมือง หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นตามที่นางแม้นเมือง มอบหมายนั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปตามมาตรา 28 (3)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางแม้นเมืองได้เดินทางไปอบรมไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ในกรณีนี้ ตามมาตรา 9 วรรคสอง จะต้องให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน ดังนั้นเมื่อนายอินทร ได้นําเอาคดีดังกล่าวไปให้นายแสนอินทะผู้พิพากษาอาวุโสในศาลนั้นทําการพิจารณาคดีนี้ต่อไปจนกระทั้งพิพากษา การกระทําของนายอินทรถือเป็นกรณีต้องห้ามตามมาตรา 9 วรรคท้าย ที่ห้ามผู้พิพากษาอาวุโสทําการแทน ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล คําพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

คําพิพากษาดังกล่าว ไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี (จังหวัดอุทัยธานีไม่มีศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ) ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ 2 ครั้ง ซึ่งความผิดฐานยักยอกมีระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท มีนายเก่งและนายกล้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อการพิจารณาเสร็จสิ้นลง นายเก่งย้ายไปรับราชการยังศาลอื่น นายกล้าจึงพิพากษาลงโทษจําคุก จําเลยกระทงละ 6 เดือน รวมเป็นโทษจําคุก 1 ปี การทําคําพิพากษาของนายกล้าชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึงกรณี ที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือ ไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน เป็นองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีเพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง (มาตรา 26) แต่อย่างไรก็ดี ผู้พิพากษาคนเดียว มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าวไม่ได้ (มาตรา 25 (5)

 

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ 2 ครั้งนั้น แม้จะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือความผิดหลายกระทง แต่เมื่อความผิดแต่ละกระทง เป็นความผิดที่กฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ดังนี้ ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลนั้น ย่อมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ แม้ว่าเมื่อรวมความผิดแต่ละกรรม หรือแต่ละกระทงแล้วอัตราโทษจะเกินอํานาจของผู้พิพากษาคนเดียวก็ตาม

การที่นายเก่งและนายกล้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดได้ร่วมกันเป็นองค์คณะพิจารณา พิพากษาคดีดังกล่าว ซึ่งโดยหลักแล้วทั้งสองก็ต้องร่วมกันทําคําพิพากษา แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนทํา คําพิพากษานั้น นายเก่งได้ย้ายไปรับราชการยังศาลอื่น ดังนี้ นายกล้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีดังกล่าว มาตั้งแต่ต้นย่อมมีอํานาจตามมาตรา 25 (5) คือมีอํานาจพิพากษาลงโทษจําเลยได้ แต่จะพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลย แต่ละกระทงเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาทไม่ได้ ดังนั้นการที่นายกล้าได้พิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยกระทงละ 6 เดือน แม้จะรวมโทษจําคุกทั้ง 2 กระทงเป็น 1 ปีก็ตาม คําพิพากษาของนายกล้าก็ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

และตามข้อเท็จจริงนั้น การที่นายเก่งได้ย้ายไปรับราชการยังศาลอื่นนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ตามมาตรา 30 และถือว่ามีเหตุจําเป็นอื่น อันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีตามมาตรา 29 ก็ตาม แต่เมื่อกรณีที่นายกล้าได้พิพากษา ให้ลงโทษจําคุกจําเลยกระทงละ 6 เดือนนั้น เป็นอํานาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่สามารถทําคําพิพากษาได้ ดังนั้น ในการทําคําพิพากษาของนายกล้าดังกล่าวจึงไม่จําต้องให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงลายมือชื่อทํา คําพิพากษาแต่อย่างใด

สรุป

การทําคําพิพากษาของนายกล้าชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. จงอธิบายการโอนคดีตามมาตรา 19/1 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19/1 ได้บัญญัติไว้ว่า

“บรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอํานาจของศาลแขวงนั้น ถ้ายื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัด ให้อยู่ใน ดุลพินิจของศาลดังกล่าวที่จะยอมรับพิจารณาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นหรือมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มี เขตอํานาจก็ได้ และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดได้มีคําสั่งรับฟ้องคดีเช่นว่านั้นไว้แล้ว ให้ศาลดังกล่าว พิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป

ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวง ก็ให้ศาลนั้นพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป”

ตามบทบัญญัติมาตรา 19/1 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการโอนคดีไปยังศาลแขวง ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1 คดีนั้นเกิดขึ้นในเขตศาลแขวง

2 คดีนั้นอยู่ในอํานาจของศาลแขวง (ตามมาตรา 25 (4) (5) ประกอบมาตรา 17)

3 โจทก์นําคดีนั้นไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญาศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัด

4 ศาลดังกล่าว (ศาลที่โจทก์นําคดีไปยื่นฟ้องตาม 3) ย่อมสามารถใช้ดุลพินิจได้ 2 ประการกล่าวคือ

(1) ยอมรับคดีที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องนั้นไว้พิจารณา หรือ

(2) มีคําสั่งโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ

ตัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ข. เป็นจําเลยต่อศาลจังหวัดแห่งหนึ่งในความผิด ซึ่งอยู่ในอํานาจการพิจารณาของศาลแขวง (ตามมาตรา 25 (4) (5) ประกอบมาตรา 17) เมื่อศาลจังหวัดได้ไต่สวนแล้ว เห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ดังนี้ ศาลจังหวัดอาจใช้ดุลพินิจยอมรับคดีดังกล่าว ไว้พิจารณาก็ได้ หรือศาลจังหวัดอาจมีคําสั่งให้โอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจเพื่อให้ศาลแขวงนั้น พิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไปก็ได้ (โดยศาลจังหวัดจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น เช่น มีคําสั่งไม่รับฟ้อง หรือสั่งยกฟ้อง หรือสั่งจําหน่ายคดีไม่ได้)

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ศาลดังกล่าว (ศาลที่โจทก์นําคดี ไปยื่นฟ้อง) จะมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจไม่ได้ ศาลดังกล่าวจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป

1 เมื่อโจทก์นําคดีนั้นไปยื่นต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดนั้น ปรากฏว่าศาลดังกล่าวได้มีคําสั่งรับฟ้องคดีเช่นว่านั้น ไว้แล้ว (มาตรา 19/1 วรรคหนึ่งตอนท้าย) หรือ

2 ในขณะที่ยื่นฟ้องปรากฏว่าคดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แต่ต่อมามีพฤติการณ์ เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวง (มาตรา 19/1 วรรคสอง)

 

ข้อ 3. ศาลจังหวัดมีนายประธานเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ได้จ่ายสํานวนคดีให้แก่นายหนึ่ง นายสองผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาคดีหนึ่งในความผิดซึ่งมีอัตราโทษจําคุก 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นายหนึ่ง นายสอง ได้พิจารณาคดีจนเสร็จ และขณะกําลังทําคําพิพากษานายหนึ่งได้ล้มป่วยกะทันหันต้อง พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล นายสองจึงนําสํานวนคดีดังกล่าวไปให้นายประธานเพื่อตรวจสํานวน และลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา แต่นายประธานไปราชการอีกจังหวัดหนึ่ง จึงได้นําเอาคดีดังกล่าว ไปปรึกษานายประยุทธ์ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดรองลงมาจากนายประธานในศาลจังหวัดแห่งนั้น คําพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 9 วรรคสอง “เมื่อตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลแขวงว่างลง หรือเมื่อผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น เป็นผู้ทําการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับ ในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้นมีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทําการแทนในตําแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอํานาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย”

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจ ปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสอง ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณา คดีอาญาคดีหนึ่งในความผิดซึ่งมีอัตราโทษจําคุก 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ และเมื่อนายหนึ่ง นายสอง ได้พิจารณาคดีจนเสร็จและขณะกําลังทําคําพิพากษา นายหนึ่งได้ล้มป่วย กะทันหันต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้น ถือว่านายหนึ่งผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทํา คําพิพากษาในคดีนั้นได้ ซึ่งเป็นเหตุจําเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 30 และเมื่อได้เกิดขึ้นในระหว่างการทํา คําพิพากษา จึงต้องให้นายประธานซึ่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นผู้ตรวจสํานวน และลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา ตามมาตรา 29 (3)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายประธานได้ไปราชการอีกจังหวัดหนึ่งจึงไม่อาจ ปฏิบัติราชการได้ ดังนั้น จึงต้องให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับ ในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทนตามมาตรา 9 วรรคสอง กล่าวคือ เมื่อนายประธานไม่อาจปฏิบัติราชการได้ จึงต้องให้ นายประยุทธ์ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดรองลงมาจากนายประธานเป็นผู้ทําการแทน ดังนั้น นายประยุทธ์จึงมีอํานาจ ตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาในคดีดังกล่าวได้ตามมาตรา 29 (3) ประกอบมาตรา 29 วรรคสอง และเมื่อนายสองได้นําสํานวนคดีดังกล่าว ไปปรึกษานายประยุทธ์ และให้นายประยุทธ์ตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อ ทําคําพิพากษาร่วมกับนายสอง คําพิพากษาดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

คําพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. พนักงานอัยการฟ้องนายเสาร์เป็นจําเลยต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ข้อหาฆ่าผู้อื่นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 (มีอัตราโทษจําคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึงจําคุกตลอดชีวิตหรือ ประหารชีวิต) โดยมีนายจันทร์และนายอังคารผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดเพชรบุรีทั้งสองคน เป็นองค์คณะ ระหว่างพิจารณาคดีนายจันทร์ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล นายอาทิตย์ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดเพชรบุรีมอบหมายให้นายพุธผู้พิพากษาประจําศาลจังหวัดเพชรบุรีเป็นองค์คณะ แทนนายจันทร์ ต่อมานายเสาร์หลบหนีไม่มาศาล นายพุธจึงออกหมายจับนายเสาร์และเจ้าพนักงาน จับกุมนายเสาร์มาพิจารณาคดีต่อศาลได้ หลังจากพิจารณาคดีเสร็จ นายอังคารและนายพุธ มีคําพิพากษาว่านายเสาร์มีความผิดตามฟ้อง ให้จําคุกมีกําหนดยี่สิบปี

ให้วินิจฉัยว่า การที่นายอาทิตย์ให้นายพุธเป็นองค์คณะร่วมกับนายอังคาร การที่นายพุธออกหมายจับ นายเสาร์ และการทําคําพิพากษาของนายอังคารและนายพุธชอบด้วยกฎหมายพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอํานาจดังต่อไปนี้

(1) ออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสั่งให้ส่งคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 28 “ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้พิพากษา ดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค ผู้พิพากษา หัวหน้าศาล หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้น ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย”

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณี ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจ ปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายจันทร์และนายอังคาร ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดเป็นองค์คณะในการ พิจารณาคดีนั้น เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาคดีนายจันทร์ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ถือว่าเป็นกรณี ที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณาคดีได้ ซึ่งถือ เป็นเหตุจําเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 30 กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 28 (3) ที่นายอาทิตย์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอํานาจมอบหมายให้นายพุธผู้พิพากษาประจําศาลของศาลนั้นเป็นองค์คณะนั่งพิจารณา คดีนั้นแทนนายจันทร์ได้

ดังนั้น การที่นายอาทิตย์ให้นายพุธเป็นองค์คณะร่วมกับนายอังคารจึงชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

2 ตามมาตรา 24 (1) ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอํานาจออกหมายจับซึ่งเป็นหมายอาญาชนิดหนึ่งได้ ดังนั้น เมื่อนายพุธผู้พิพากษาประจําศาลถือว่าเป็นผู้พิพากษาตามนัยของมาตรา 24 นายพุธจึงมีอํานาจออกหมายจับ นายเสาร์ได้ตามกฎหมาย

3 การที่นายเสาร์ถูกฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นั้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคนเป็น องค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวตามมาตรา 26 ดังนั้น การที่นายอังคารผู้พิพากษาอาวุโส และนายพุธผู้พิพากษาประจําศาลได้ร่วมกันพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวโดยให้จําคุกนายเสาร์มีกําหนด 20 ปีนั้น จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

การที่นายอาทิตย์ให้นายพุธเป็นองค์คณะร่วมกับนายอังคาร การที่นายพุธออกหมายจับ นายเสาร์ และการทําคําพิพากษาของนายอังคารและนายพุธชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. นายปราโมทย์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประดิษฐ์เป็นจําเลยต่อศาลจังหวัดสุรินทร์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 กล่าวหาว่านายประดิษฐ์ มีพฤติกรรมฉ้อโกงหลอกลวงซื้อสินค้าโจทก์ไปเป็นเงิน จํานวน 5 ล้านบาท แล้วสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จํากัด สาขาสุรินทร์ เพื่อชําระหนี้ค่าซื้อสินค้า จํานวน 5 ฉบับ ๆ ละ 1 ล้านบาท เมื่อเช็คถึงกําหนดนายปราโมทย์นําเช็คทั้ง 5 ฉบับเข้าธนาคาร เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 5 ฉบับ โดยนายประดิษฐ์มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ศาลจังหวัดสุรินทร์มีคําสั่งในคําฟ้องว่า “นัดไต่สวนมูลฟ้องให้โจทก์นําส่งหมายนัด” ครั้นถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสุรินทร์เห็นว่า คดีไม่อยู่ในอํานาจของ ศาลจังหวัดสุรินทร์ แต่เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงสุรินทร์ จึงให้งดการไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่ง ให้โอนคดีไปยังศาลแขวงสุรินทร์ ขอให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า คําสั่งของผู้พิพากษาศาลจังหวัดสุรินทร์ ชอบด้วยกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 มีอัตราโทษจําคุกอย่างสูง ไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 19/1 วรรคหนึ่ง “บรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอํานาจของศาลแขวงนั้น ถ้ายื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือ ศาลจังหวัด ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลดังกล่าวที่จะยอมรับพิจารณาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้น หรือมีคําสั่งโอนคดี ไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจก็ได้ และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดได้มีคําสั่งรับฟ้องคดีเช่นว่านั้นไว้แล้ว ให้ศาลดังกล่าว พิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปราโมทย์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประดิษฐ์เป็นจําเลยต่อศาล จังหวัดสุรินทร์ ในความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อาญา มาตรา 352 และความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาทนั้น ถือว่าเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจการพิจารณาของศาลแขวงตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (5) โดยหลักแล้ว นายปราโมทย์จะต้องนําคดีดังกล่าวไปฟ้องยังศาลแขวงมิใช่ศาลจังหวัดสุรินทร์

การที่นายปราโมทย์ได้นําคดีดังกล่าวไปฟ้องยังศาลจังหวัดสุรินทร์ และการที่ผู้พิพากษาศาล จังหวัดสุรินทร์มีคําสั่งในคําฟ้องว่า “นัดไต่สวนมูลฟ้องให้โจทก์นําส่งหมายนัด” นั้น กรณีเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่า ศาลจังหวัดสุรินทร์ได้ใช้ดุลพินิจรับฟ้องคดีเช่นว่านั้นไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ผู้พิพากษาศาล จังหวัดสุรินทร์เห็นว่า คดีไม่อยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดสุรินทร์ แต่เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงสุรินทร์ จึงให้ งดไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงสุรินทร์เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป คําสั่งของผู้พิพากษา ศาลจังหวัดสุรินทร์จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (5) และมาตรา 19/1 วรรคหนึ่ง

สรุป คําสั่งของผู้พิพากษาศาลจังหวัดสุรินทร์ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 3. นายเขียวบุตรชายคนเดียวของนายดําผู้ตาย ได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายดําต่อศาลแขวงธนบุรี เนื่องจากนายดํามีที่ดินจํานวนห้าสิบตารางวา ซึ่งมีราคาสามแสนบาทถ้วน ตามราคาประเมินของ กรมที่ดินในขณะนั้น ศาลแขวงธนบุรีสั่งไม่รับคําร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเขียว ท่านเห็นว่า คําสั่งของศาลแขวงดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 19 วรรคหนึ่ง “ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลแพ่งธนบุรีมีอํานาจพิจารณา พิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีอื่นใดที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17 คดีแพ่งที่ศาลแขวง โดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีมีข้อพิพาท และคดีมีข้อพิพาทนั้นจะต้องเป็น คดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท หรือเป็นคดีที่ไม่มีข้อพิพาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาพิพากษาไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเขียวต้องการยื่นคําร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคําสั่งตั้งตนเป็น ผู้จัดการมรดกของนายดําเจ้ามรดกนั้น ถือเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทและคดีไม่มีทุนทรัพย์ จึงไม่อยู่ในอํานาจพิจารณา พิพากษาคดีของศาลแขวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17 นายเขียวจะต้อง นําคดีนี้ไปยื่นคําร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกได้ที่ศาลแพ่งธนบุรี จะนําไปยื่นที่ศาลแขวงธนบุรีไม่ได้ เพราะคดี ดังกล่าวอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่งธนบุรี ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่นายเขียวได้ยื่นคําร้องคดีดังกล่าวต่อศาลแขวงธนบุรีและศาลแขวงธนบุรีมีคําสั่งไม่รับคําร้องขอเป็น ผู้จัดการมรดกของนายเขียวนั้น คําสั่งของศาลแขวงธนบุรีจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป คําสั่งของศาลแขวงธนบุรีดังกล่าวขอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายโทผู้พิพากษาศาลจังหวัดตากไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายตรีเป็นโจทก์ ฟ้องนายจัตวาข้อหาทําร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (มีอัตราโทษจําคุก ตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี) นายโทไต่สวนพยานโจทก์แล้วเห็นว่า คดีของโจทก์ไม่มีมูล เห็นควรพิพากษา ยกฟ้อง จึงจะไปปรึกษากับนายพิเศษ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตาก แต่นายพิเศษไม่อยู่เนื่องจาก ไปราชการที่ต่างจังหวัด นายโทจึงนําสํานวนไปปรึกษากับนายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดตากที่มี อาวุโสสูงสุด นายเอกตรวจสํานวนแล้วเห็นด้วยกับนายโทจึงลงชื่อในคําพิพากษาร่วมกับนายโทให้ ยกฟ้อง

ให้ท่านวินิจฉัยว่า การไต่สวนมูลฟ้องของนายโทและการทําคําพิพากษาของนายโทและ นายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 9 วรรคสอง “เมื่อตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แขวงว่างลง หรือเมื่อผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็น ผู้ทําการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับ ในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้นมีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทําการแทนในตําแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอํานาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่ คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25 (5)”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ การไต่สวนมูลฟ้องของนายโทชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 25 (3) กําหนดให้ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจ ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลนั้นได้ ดังนั้น คดีอาญาทั้งปวงจึงอยู่ในอํานาจของ ผู้พิพากษาคนเดียวที่จะไต่สวนมูลฟ้อง ดังนั้นการที่นายโทผู้พิพากษาศาลจังหวัดตากไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายจัตวาข้อหาทําร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อาญา มาตรา 297 เพียงคนเดียว จึงเป็นการปฏิบัติโดยถูกต้องและชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (คําพิพากษาฎีกาที่ 1752 – 1753/2557)

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยคือ การทําคําพิพากษาของนายโทและนายเอกชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เห็นว่า การที่นายโทไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้องนั้น เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงเกินกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษ ตามมาตรา 25 (5) นายโทจึงไม่มีอํานาจทําคําพิพากษายกฟ้องเพียงคนเดียวได้ กรณีถือว่ามีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ตามมาตรา 31 (1) ที่เกิดขึ้นระหว่างการทําคําพิพากษาตามมาตรา 29 นายโทจึงต้องนําสํานวนไปให้ นายพิเศษผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อร่วมกับนายโท แต่เนื่องจากนายพิเศษไปราชการ ต่างจังหวัดไม่อาจปฏิบัติราชการได้ นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดตากที่มีอาวุโสสูงสุดจึงเป็นผู้ทําการแทนนายพิเศษ ตามมาตรา 9 วรรคสอง ดังนั้น นายเอกจึงมีอํานาจลงลายมือชื่อในคําพิพากษาร่วมกับนายโทหลังจากตรวจสํานวน แล้วได้ คําพิพากษาดังกล่าวจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

การไต่สวนมูลฟ้องของนายโทและการทําคําพิพากษาของนายโทและนายเอกชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. นายอเนกและ น.ส.อารี เป็นบุตรของนายอํา เมื่อนายอําถึงแก่ความตาย น.ส.อารีได้แอบลักลอบนําเอาโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรีและเป็นทรัพย์มรดกของนายอํา ซึ่งมีราคาจํานวน 233,000 บาท ไปจดทะเบียนขายให้แก่นายอํานาจ และในวันเดียวกันนายอํานาจได้นําเอาที่ดิน แปลงพิพาทดังกล่าวไปจดทะเบียนจํานองกับนายอนันต์ เมื่อนายอเนกทราบเรื่องจึงไปยื่นฟ้อง น.ส.อารี ต่อศาลแขวงสุพรรณบุรี ขอให้ศาลมีคําสั่งเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายที่ดิน ระหว่าง น.ส.อารีกับนายอํานาจ กับขอให้ศาลมีคําสั่งเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจํานอง ระหว่างนายอํานาจกับนายอนันต์ด้วย และให้จดทะเบียนโอนที่ดินคืนแก่กองมรดกของนายอํา หาก น.ส.อารีไม่ดําเนินการให้ถือเอาคําพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

ดังนี้ หากนักศึกษาเป็น ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีที่มีอํานาจ จะรับคดีเรื่องดังกล่าวนี้ไว้พิจารณาในศาลแขวงสุพรรณบุรี หรือไม่ ขอให้นักศึกษาอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17)

ในกรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอเนกฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนซื้อขายและการจดทะเบียนจํานองในที่ดินพิพาทที่อ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนายอํา โดยมีคําขอบังคับท้ายฟ้องให้เพิกถอน และให้โอนคืนตามลําดับนั้น ก็เพื่อเรียกร้องให้ได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่ทายาท ของนายอําผู้ตาย รวมทั้งประโยชน์แก่นายอเนกด้วย คดีของนายอเนกจึงเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันอาจคํานวณราคาเป็นเงินได้และมีทุนทรัพย์ตามจํานวนราคาที่ดินพิพาท จํานวน 233,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 300,000 บาท คดีจึงอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงสุพรรณบุรีตามมาตรา 25 (4) ประกอบ มาตรา 17 ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรี จะรับคดีเรื่องดังกล่าวนี้ไว้พิจารณาพิพากษา ในศาลแขวงสุพรรณบุรีต่อไป (ตามนัยคําพิพากษาฎีกาที่ 13349/2557)

สรุป

หากข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีที่มีอํานาจจะรับคดีเรื่องดังกล่าวนี้ไว้ พิจารณาในศาลแขวงสุพรรณบุรีต่อไป

 

ข้อ 3. นายเก่งผู้พิพากษาศาลแขวงได้พิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท แล้วเห็นควรพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยหนึ่งปี แต่จําเลยให้การรับสารภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงเหลือจําคุกหกเดือน จําเลยในคดีนี้เคยถูก ศาลพิพากษาลงโทษจําคุกสามเดือนในคดีอื่นมาแล้ว โดยศาลในคดีเดิมได้รอการลงโทษจําคุกของ จําเลยมีกําหนดระยะเวลาหนึ่งปี ต่อมาจําเลยได้กระทําความผิดในคดีนี้ภายในระยะเวลาที่ถูกรอ การลงโทษ ดังนั้น นายเก่งจึงพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยโดยบวกโทษที่รอไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังเป็นจําคุกจําเลยเก้าเดือน

ดังนี้ การพิจารณาพิพากษาดังกล่าวชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 “เมื่อปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคําแถลง ของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทําความผิดอัน มิใช่ความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจําคุกสําหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกําหนดโทษที่รอการกําหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอ การลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดิ หลัง แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) ประกอบมาตรา 17 ศาลแขวงย่อมมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งผู้พิพากษาศาลแขวงได้พิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ซึ่งมี อัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 พันบาท แล้วเห็นควรพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลย 1 ปี แต่จําเลย ให้การรับสารภาพซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงเหลือจําคุก 6 เดือน ดังนี้ นายเก่ง ย่อมมีอํานาจกระทําได้ตามมาตรา 25 (5) ประกอบมาตรา 17

ส่วนประเด็นที่ว่า การที่นายเก่งพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยโดยบวกโทษที่รอไว้ในคดีก่อน เข้ากับโทษในคดีหลังเป็นจําคุกจําเลยเก้าเดือน จะถือว่าเป็นอํานาจของศาลแขวงหรือไม่ เห็นว่า การบวกโทษที่ รอการลงโทษไว้เป็นการนําเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนพิพากษาว่าจําเลยกระทําความผิดและกําหนดโทษที่จะลงแก่ จําเลยไว้ แต่ให้รอการลงโทษที่กําหนดไว้นั้นภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด เมื่อจําเลยมากระทําผิดขึ้นอีกภายใน ระยะเวลาที่ศาลกําหนดไว้ และคดีนั้นอยู่ในอํานาจของศาลแขวง ศาลแขวงก็ต้องนําเอาโทษที่ศาลในคดีก่อน กําหนดและให้รอการลงโทษไว้มาบวกกับโทษในคดีหลังตาม ป.อาญา มาตรา 58 ซึ่งบัญญัติบังคับและให้อํานาจไว้ แม้โทษนั้นจะให้จําคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียว ย่อมมีอํานาจพิพากษาคดีนั้นได้ ไม่ถือว่าเป็นอํานาจ ดังนั้น การพิจารณาพิพากษาดังกล่าวจึงชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25 (5) ประกอบ ป.อาญา มาตรา 58

สรุป การพิจารณาพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 270,000 บาท ต่อศาลจังหวัดราชบุรี ต่อมาจําเลยให้การโต้แย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจําเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลจังหวัดราชบุรีเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอํานาจศาลแขวงราชบุรีจึงมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงราชบุรี คําสั่งโอนคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดราชบุรีชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ภายใต้บังคับมาตรา 19/1 ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและ คดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 19/1 วรรคสอง “ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องคดีนั้น เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ให้ศาลนั้น พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา  270,000 บาท ต่อศาลจังหวัดราชบุรี ซึ่งโดยหลักแล้วการฟ้องขับไล่นั้นเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจ คํานวณเป็นราคาเงินได้ คําฟ้องเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจําเลยให้การโต้แย้งว่ากรรมสิทธิ์ ในที่ดินพิพาทเป็นของจําเลย คดีดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคํานวณเป็น ราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ โดยทุนทรัพย์ในคดีนี้คือ 270,000 บาท ทําให้คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณา พิพากษาของศาลแขวงราชบุรีตามมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17

อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้นั้น คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดตามมาตรา 18 และแม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์และเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ตาม ตามมาตรา 19/1 วรรคสอง ก็ได้บัญญัติให้ ศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวนั้นต่อไป ดังนั้น ศาลจังหวัดราชบุรีจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ต่อไป จะโอนคดีไปยังศาลแขวงราชบุรีไม่ได้ การที่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงราชบุรีนั้น คําสั่งโอนคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

คําสั่งโอนคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ มาตรา 18 และมาตรา 19/1 ได้มีการแก้ไขและเพิ่มเติมใหม่ โดย พ.ร.บ. แก้ไข เพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558

 

ข้อ 2. กรณีต่อไปนี้

ก. นายอรรถผู้ให้เช่าต้องการยื่นฟ้องขับไล่นายวันชัยผู้เช่าออกจากคอนโดมิเนียมและเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระจํานวน 200,000 บาท

ข. นายอรรถผู้ให้เช่าต้องการยื่นฟ้องเรียกค่าเช่าคอนโดมิเนียมจํานวน 200,000 บาท จากนายวันชัยผู้เช่า ศาลแขวงมีเขตอํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองกรณีดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25 (4) ประกอบกับมาตรา 17)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ก การที่นายอรรถผู้ให้เช่าต้องการยื่นฟ้องขับไล่นายวันชัยผู้เช่าออกจากคอนโดมิเนียม และเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระจํานวน 200,000 บาทนั้น การฟ้องขับไล่ถือว่าเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ อันไม่อาจคํานวณเป็นตัวเงินได้ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้ว่าจะเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระมาด้วยก็ตาม ดังนั้น นายอรรถจึงไม่สามารถยื่นฟ้องขับไล่นายวันชัยที่ศาลแขวง เพราะศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีแพ่ง ที่มีทุนทรัพย์หรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาทเท่านั้นตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4)

ข การที่นายอรรถผู้ให้เช่าต้องการยื่นฟ้องเรียกค่าเช่าคอนโดมิเนียมจากนายวันชัยผู้เช่า จํานวน 200,000 บาทนั้น เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอากรรมสิทธิ์หรือทรัพย์สินให้กลับมาเป็นของตน จึงถือว่า เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และเมื่อจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท นายอรรถจึงสามารถยื่นฟ้องที่ศาลแขวงได้ เพราะคดีนี้อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4)

สรุป

ก ศาลแขวงไม่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

ข ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

 

ข้อ 3. นายสิงห์กระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายให้นายหมีได้รับอันตรายสาหัส อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 มีอัตราโทษจําคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และมารดานายหมี ได้ยื่นฟ้องคดีที่ศาลจังหวัด นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีนี้ไม่มีมูล เห็นสมควรยกฟ้อง โดยทราบว่าคดีนี้เกินขอบอํานาจตน จึงนําเอาคดีนี้ไปให้นายโทผู้พิพากษา อาวุโสอันเป็นผู้พิพากษาเพียงคนเดียวที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อใน คําพิพากษา ด้วยเหตุว่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดและผู้พิพากษานายอื่นในศาลจังหวัดนั้นไปราชการที่ศาลสูง กรณีนี้นายเอกกระทําโดยชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 9 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “เมื่อตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงว่างลง หรือเมื่อผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ผู้พิพากษาที่ มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่ มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน

ในกรณีที่ไม่มีผู้ทําการแทนตามวรรคสอง ประธานศาลฎีกาจะสั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็น ผู้ทําการแทนก็ได้

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจําศาลจะเป็นผู้ทําการแทนในตําแหน่งตามวรรคหนึ่งไม่ได้”

 

มาตรา 18 “ภายใต้บังคับมาตรา 19/1 ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและ คดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้นมีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทําการแทนในตําแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอํานาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่ คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25 (5)”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อคดีนี้มีอัตราโทษจําคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และมารดานายหมีได้ ยื่นฟ้องคดีที่ศาลจังหวัด ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คน เป็นองค์คณะตามมาตรา 18 และมาตรา 26 เพียงแต่การไต่สวนมูลฟ้องนั้นนายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดสามารถทําโดยลําพังคนเดียวได้ตามมาตรา 25 (3) เพราะมาตรา 26 อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 25

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเอกได้ไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกเกินกว่าอัตราโทษ ตามมาตรา 25 (5) และต้องการพิพากษายกฟ้อง กรณีจึงเป็นเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31 (1) ดังนั้น จึงต้องให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลทําการตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมกับนายเอก ตามมาตรา 29 (3)

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลไปราชการที่ศาลสูงพร้อมกับผู้พิพากษา ศาลชั้นต้นนายอื่น ดังนั้นจึงต้องให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน และหาก ไม่มีก็ต้องให้ประธานศาลฎีกาสั่งให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งมาทําการแทนตามมาตรา 9 วรรคสองและวรรคสาม แต่ห้ามผู้พิพากษาอาวุโสมาทําการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตามมาตรา 9 วรรคสี่

ดังนั้น การที่นายเอาได้ไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้และเห็นสมควรยกฟ้อง ได้นําคดีนี้ไปให้นายโท ผู้พิพากษาอาวุโสตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อในคําพิพากษา จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 29 (3) และมาตรา 31 (1) ประกอบมาตรา 9

สรุป

การกระทําของนายเอกไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

หมายเหตุ – มาตรา 18 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 5)

พ.ศ. 2558 – มาตรา 29 (3) แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2555

 

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นางสาวริ้วทองยื่นฟ้องขับไล่นางสาวเกล้ามาศที่ศาลแพ่งโดยขอให้นางสาวเกล้ามาศออกจากที่ดินราคาประเมินจํานวน 200,000 บาท ที่นางสาวเกล้ามาศเข้ามาบุกรุกตนมาเป็นเวลานานกว่า 8 เดือนแล้ว ศาลแพ่งรับฟ้องและนําส่งหมายเรียกและสําเนาคําฟ้องให้กับนางสาวเกล้ามาศ นางสาวเกล้ามาศยื่นคําให้การเข้าไปในคดีและต่อสู้ว่าตนมีสิทธิอยู่ในที่ดิน เพราะซื้อที่ดินมาจากพี่ชายของนางสาวริ้วทอง พร้อมอ้างหนังสือสัญญาซื้อขายและโฉนดที่ดินที่มีชื่อนางสาวเกล้ามาศผู้รับโอน นายสมรักษ์และ นายภูผาผู้พิพากษาศาลแพงได้นั่งพิจารณาคดีนี้ เห็นว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอํานาจศาลแพ่งและองค์คณะตน เพราะเป็นคดีมีทุนทรัพย์และอยู่ในอํานาจของศาลแขวงพระนครเหนือ จึงมีคําสั่งโอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงพระนครเหนือ กรณีนี้ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 19 วรรคหนึ่ง “ศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ และศาลแพ่งธนบุรีมีอํานาจพิจารณา พิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงและคดีอื่นใดที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 19/1 วรรคสอง “ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง…อยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ให้ศาลนั้นพิจารณา พิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25 (4) ประกอบกับมาตรา 17) จะต้องนําคดีนั้นไปฟ้องที่ศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งแล้วแต่กรณี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวริ้วทองยื่นฟ้องขับไล่นางสาวเกล้ามาศที่ศาลแพ่ง โดยขอให้ นางสาวเกล้ามาศออกจากที่ดินราคาประเมินจํานวน 200,000 บาท ที่นางสาวเกล้ามาศเข้ามาบุกรุกตนมาเป็น เวลานานกว่า 8 เดือนแล้วนั้น ถือว่าคดีนี้เริ่มต้นโดยเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ดังนั้น การนําคดีนี้ไปยื่นฟ้องที่ศาลแพ่ง และศาลแพ่งได้รับฟ้องไว้จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนางสาวเกล้ามาศจําเลยได้ยื่นคําให้การเข้าไปในคดี และต่อสู้ว่าตนมีสิทธิ อยู่ในที่ดิน เพราะซื้อที่ดินมาจากพี่ชายของนางสาวริ้วทอง คดีนี้จึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทําให้ จากคดีไม่มีทุนทรัพย์กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และเมื่อเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์จึงต้องมีการตรวจสอบราคาที่ดิน เมื่อปรากฏว่าราคาที่ดินประเมินมีมูลค่า 200,000 บาท จึงถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งเป็นคดี ที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีนี้ได้มีการ ยื่นฟ้องที่ศาลแพ่งและศาลแพ่งได้รับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว แต่ต่อมามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนี้เป็นคดี ที่อยู่ในอํานาจศาลแขวง จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 19/1 วรรคสอง ซึ่งได้บัญญัติให้ศาลแพ่งพิจารณาคดีนี้ต่อไป จนพิพากษาจะมีคําสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงอีกไม่ได้ ดังนั้น การที่นายสมรักษ์และนายภูผาผู้พิพากษาศาลแพ่ง เห็นว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง เพราะเป็นคดีมีทุนทรัพย์และอยู่ในอํานาจของศาลแขวงพระนครเหนือ จึงมีคําสั่ง โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงพระนครเหนือนั้น คําสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 19/1 วรรคสอง

สรุป

คําสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงพระนครเหนือของนายสมรักษ์และนายภูผาผู้พิพากษา ศาลแพ่งกรณีนี้ไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

หมายเหตุ ปัจจุบัน ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ให้ยกเลิกมาตรา 16 วรรคสี่ ที่ว่า

“ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอํานาจ ของศาลแขวง ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ”

โดยให้เพิ่มมาตรา 19/1 ขึ้นมาใช้บังคับแทน ดังนี้

“บรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอํานาจของศาลแขวงนั้น ถ้ายื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัด ให้อยู่ใน ดุลพินิจของศาลดังกล่าวที่จะยอมรับพิจารณาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นหรือมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวง ที่มีเขตอํานาจก็ได้ และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดได้มีคําสั่งรับฟ้องคดีเช่นว่านั้นไว้แล้ว ให้ศาลดังกล่าว พิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป

ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวง ก็ให้ศาลนั้นพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวต่อไป”

ดังนั้น แนวข้อสอบเก่าที่ข้อเท็จจริงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 16 วรรคสี่ (วรรคท้าย) ที่ให้ ศาลจังหวัดมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจนั้น ขอให้เปลี่ยนมาใช้บทบัญญัติมาตรา 19/1 แทนนะครับ

 

ข้อ 2. นายเก่งฟ้องนายก้องต่อศาลจังหวัดตากขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 ซึ่งระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท ปรากฏว่านายใหญ่ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดตากจ่ายสํานวนให้นายโอผู้พิพากษาประจําศาลและนายธรรมผู้พิพากษาอาวุโสเป็นองค์คณะโดยให้นายธรรมเป็นเจ้าของสํานวน เมื่อถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดแรก โจทก์ขอเลื่อนคดี ไม่เจอ เพราะว่าพยานโจทก์ป่วย นายโอสั่งอนุญาตให้เลื่อน ครั้นถึงวัดนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดที่สอง นายธรรมได้ไต่สวนมูลฟ้องคนเดียวเป็นองค์คณะ เสร็จแล้วมีความเห็นว่าคดีไม่มีมูลต้องยกฟ้อง นายธรรมจึงปรึกษานายโอ นายโอกลับมีความเห็นว่าคดีมีมูลต้องประทับฟ้อง บุคคลทั้งสองเห็นว่าความเห็นขัดแย้งกันจนหาเสียงข้างมากไม่ได้จึงปรึกษากับนายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดตาก นายใหญ่ มีความเห็นว่าคดีมีมูล บุคคลทั้งสามจึงร่วมกันทําคําสั่งให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาพิพากษาการสั่ง เลื่อนคดีของนายโอและการสั่งประทับฟ้องของนายโอ นายธรรม และนายใหญ่ดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอํานาจดังต่อไปนี้

(2) ออกคําสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา แสดงอา การบริหาร เขต

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ผู้พิพากษาประจําศาลไม่มีอํานาจตาม (3) (4) หรือ (5)”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25 (5)”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 “ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคําพิพากษา หรือคําสั่ง ให้อธิบดีผู้พิพากษา ข้าหลวงศาลยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้นหรือเจ้าของสํานวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย ให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายหรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไป จะ หาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นแย้งเป็นผลร้ายแก่จําเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมี ความเห็นเป็นผลร้ายแก่จําเลยน้อยกว่า”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งฟ้องนายก้องต่อศาลจังหวัดตากขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ซึ่งระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาทนั้น เมื่อโทษจําคุกซึ่งกฎหมายได้กําหนดไว้นั้นมีอัตราโทษอย่างสูงเกินกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 (5) จึงต้องให้ผู้พิพากษา อย่างน้อยสองคนเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวตามมาตรา 26

ในกรณีที่ถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดแรก โจทก์ขอเลื่อนคดีเพราะว่าพยานโจทก์ป่วย และนายโอ ผู้พิพากษาคนเดียวสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีได้นั้น เมื่อคําสั่งเลื่อนคดีไม่ใช่คําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี นายโอผู้พิพากษาคนเดียวแม้เป็นผู้พิพากษาประจําศาลก็มีอํานาจออกคําสั่งได้ตามมาตรา 24 (2)

ส่วนการไต่สวนมูลฟ้องนัดที่สอง การที่นายธรรมผู้พิพากษาอาวุโสได้ไต่สวนมูลฟ้องคนเดียว เป็นองค์คณะเสร็จแล้ว และมีความเห็นว่าคดีไม่มีมูลต้องยกฟ้องนั้น นายธรรมมีอํานาจที่จะกระทําได้ตามมาตรา 25 (3) ประกอบกับมาตรา 25 วรรคท้าย ก็ไม่ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้พิพากษาอาวุโสกระทําการเช่นนั้นแต่อย่างใด

การที่นายธรรมเห็นว่าคดีไม่มีมูลต้องยกฟ้อง แต่นายโอเห็นว่าคดีมีมูลต้องประทับฟ้องนั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายโอไม่ได้นั่งพิจารณาทําการไต่สวนมูลฟ้องด้วย จึงไม่อาจมีความเห็นที่ต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งมี ความเห็นเป็นผลร้ายแก่จําเลยมาก ยอมเห็นด้วยกับผู้พิพากษาที่มีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จําเลยน้อยกว่า ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง อันเป็นเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทําคําพิพากษา ตามมาตรา 31 (1) ที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจะตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาได้ตามมาตรา 29 (3)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายโอไม่ได้นั่งพิจารณาทําการไต่สวนมูลฟ้องในคดีนี้ นายโอจึงไม่มี อํานาจปรึกษาคดีนี้ ดังนั้น การที่นายโอ นายธรรม และนายใหญ่ ได้ปรึกษากันแล้วร่วมกันทําคําสั่งว่าคดีมีมูลให้ ประทับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษานั้น คําสั่งประทับฟ้องดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

การสั่งเลื่อนคดีของนายโอชอบด้วยกฎหมาย แต่การสั่งประทับฟ้องของนายโอ นายธรรม และนายใหญ่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายวิโรจน์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงจ่ายสํานวนคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจําเลยในข้อหากระทําความผิดฐานยักยอกทรัพย์มีราคาสูงถึง 10 ล้านบาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 คดีมีอัตราโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ให้แก่ นายวิรัชผู้พิพากษาศาลแขวงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา ต่อมานายวิรัชสืบพยานโจทก์ไปจนจบ และมีคําพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด 1 ปี จําเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคําพิพากษาว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จําเลยกระทําความผิดตามฟ้องจริง แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นมีคําพิพากษา ลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด 1 ปี และในคําพิพากษามีเพียงนายวิรัชลงชื่อเป็นองค์คณะคนเดียว จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) ศาลอุทธรณ์จึงมีคําพิพากษาให้ศาลชั้นต้น ไปทําคําพิพากษาใหม่โดยไม่ต้องทําการสืบพยาน” แต่ปรากฏว่าในวันที่อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายวิรัชไม่อยู่ เพราะได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ แล้วจะกลับมารับราชการที่เดิม นายวิโรจน์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงจึงนําสํานวนดังกล่าวไปมอบหมายให้นายวิรุฬผู้พิพากษาศาลแขวงอีก คนหนึ่งเป็นผู้จัดทําคําพิพากษาขึ้นมาใหม่ และนายวิรุฬมีคําพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด 1 ปี เท่าเดิม โดยมีนายวิโรจน์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงลงชื่อเป็นองค์คณะด้วย

ให้นักศึกษา อธิบายว่า คําพิพากษาที่นายวิรุฬผู้พิพากษาศาลแขวงเป็นผู้จัดทําคําพิพากษาขึ้นมาใหม่โดยมี นายวิโรจน์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงลงชื่อเป็นองค์คณะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจ ปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กําหนด ไว้ในมาตรา 30 แล้ว ให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(2) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 25 (5) แล้วเห็นว่าควรพิพากษา ลงโทษจําคุกเกินกว่าหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อปรากฏว่าในวันที่อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น นายวิรัชผู้พิพากษา เจ้าของสํานวนเดิมที่เคยนั่งพิจารณาคดีไม่อยู่เพราะได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ กรณีนี้จึงถือว่าเป็นเรื่อง เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษา ในคดีนั้นต่อไปได้ในศาลแขวงตามมาตรา 29 ดังนั้น ผู้พิพากษาที่จะมีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาหลังจาก ได้ตรวจสํานวนคดีในศาลแขวงแห่งนั้นคือนายวิโรจน์ซึ่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตามมาตรา 29 (3) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายวิโรจน์จะพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด 1 ปีเท่าเดิม ซึ่งเป็น การลงโทษจําคุกเกินกว่า 6 เดือน จึงถือว่าเป็นเรื่องเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31 (2) ดังนั้น จึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาภาคเท่านั้นลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะทําคําพิพากษา ตามมาตรา 29 (3) จะนําสํานวนไปมอบหมายให้นายวิรุฬผู้พิพากษาศาลแขวงเป็นผู้จัดทําคําพิพากษาขึ้นมาใหม่ โดยมีนายวิโรจน์ลงชื่อเป็นองค์คณะไม่ได้

สรุป

คําพิพากษาที่นายวิรุฬผู้พิพากษาศาลแขวงเป็นผู้จัดทําคําพิพากษาขึ้นมาใหม่ โดยมี นายวิโรจน์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงลงชื่อเป็นองค์คณะนั้นไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในศาลแขวงแห่งหนึ่งมีนายอภิชาติเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล นายอภิชิตเป็นผู้พิพากษา และนายอภิศักดิ์เป็นผู้พิพากษาอาวุโส นายอภิชาติได้จ่ายสํานวนคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจําเลยในข้อหากระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษ จําคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 พันบาท ให้แก่นายอภิศักดิ์ผู้พิพากษาอาวุโสเป็น เจ้าของสํานวน ในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์นัดแรก จําเลยให้การรับสารภาพ นายอภิศักดิ์จึง มีคําสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะเพื่อตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ในการกระทํา ความผิดของจําเลยก่อน พร้อมกับให้เลื่อนไปนัดฟังคําพิพากษาในเดือนถัดไป เมื่อถึงวันนัดฟัง คําพิพากษานายอภิศักดิ์ได้อ่านรายงานของพนักงานคุมประพฤติให้จําเลยฟังแล้ว จําเลยไม่คัดค้าน ซึ่งนายอภิศักดิ์เห็นว่า จําเลยเคยกระทําความผิดในลักษณะเดียวกันมาก่อนหลายครั้ง โดยมีความเห็น ที่จะพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด 1 ปี และไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ นายอภิศักดิ์ จึงนําสํานวนไปปรึกษานายอภิชาติผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แต่ปรากฏว่านายอภิชาติผู้พิพากษา หัวหน้าศาลไปราชการนอกพื้นที่ นายอภิศักดิ์จึงนําสํานวนไปปรึกษานายอภิชิตผู้พิพากษาคนเดียว ที่เหลืออยู่ในศาล นายอภิชิตเห็นด้วยกับคําพิพากษาของนายอภิศักดิ์ จึงลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะ กับนายอภิศักดิ์ด้วย

ดังนี้ ท่านเห็นว่า คําพิพากษาของนายอภิศักดิ์ผู้พิพากษาอาวุโสที่มีนายอภิชิตลงลายมือชื่อเป็น องค์คณะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 9 วรรคสอง “เมื่อตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลแขวงว่างลง หรือเมื่อผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น เป็นผู้ทําการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลําดับ ในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทําการแทนในตําแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอํานาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กําหนด ไว้ในมาตรา 30 แล้ว ให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(2) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 25 (5) แล้วเห็นว่าควรพิพากษา ลงโทษจําคุกเกินกว่าหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ” หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ คําพิพากษาของนายอภิศักดิ์ผู้พิพากษาอาวุโสที่มีนายอภิชิตลงลายมือชื่อ เป็นองค์คณะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เห็นว่า การที่นายอภิชาติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่าย สํานวนคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจําเลยในข้อหากระทําความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6 พันบาท ให้แก่นายอภิศักดิ์นั้น โดยหลักนายอภิศักดิ์ ย่อมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านายอภิศักดิ์ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียว จะพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนดเกินกว่า 6 เดือน ดังนี้ จะกระทํามิได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 25 (5) จึงต้องมีผู้พิพากษาอีกคนหนึ่งมาลงลายมือชื่อด้วย และในกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นกรณีมีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ในระหว่างทําคําพิพากษาตามมาตรา 29 (3) และวรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายอภิชาติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลไปราชการนอกพื้นที่ คงเหลือแต่ นายอภิชิตซึ่งมีหน้าที่ทําการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตามมาตรา 9 วรรคสอง ดังนั้น การที่นายอภิศักดิ์นํา สํานวนไปปรึกษานายอภิชิตผู้พิพากษาคนเดียวที่เหลืออยู่ในศาลและเป็นผู้ทําการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ตามมาตรา 9 วรรคสอง คําพิพากษาของนายอภิศักดิ์ผู้พิพากษาอาวุโสที่มีนายอภิชิตลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะ จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

ข้าพเจ้าเห็นว่าคําพิพากษาของนายอภิศักดิ์ผู้พิพากษาอาวุโสที่มีนายอภิชิตลงลายมือชื่อ เป็นองค์คณะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2.นายเอกเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายโทต่อศาลจังหวัดว่า นายโทได้ประมาทขับรถชนรั้วบ้านของนายเอก เสียหาย ซึ่งการกระทําของนายโทเป็นการละเมิดต่อนายเอก เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของนายเอก ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับนายโทซ่อมรั่วบ้านที่ชํารุดเสียหายคืนให้แก่นายเอก หากนายโท ไม่กระทํา ให้นายโทชดใช้ราคารั้วบ้านของนายเอกที่เสียหายเป็นเงิน 1 แสนบาท นายเก่งและนายกล้า ผู้พิพากษาศาลจังหวัดได้รับจ่ายสํานวนคดีดังกล่าวให้พิจารณาพิพากษา เมื่อถึงวันนัดพิจารณา นายเก่งและนายกล้าร่วมกันทําคําสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ 1 แสนบาท อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแขวง ดังนั้น ศาลจังหวัดไม่มีอํานาจพิจารณาพิพากษา จึงให้โอนคดีไปยังศาลแขวง ให้วินิจฉัยว่า คําสั่งโอนคดีของนายเก่งและนายกล้าชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 16 วรรคท้าย “ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขต ของศาลแขวงและอยู่ในอํานาจของศาลแขวง ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ”

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25 (4) ประกอบกับมาตรา 17)

กรณีตามอุทาหรณ์ คําสั่งโอนคดีของนายเก่งและนายกล้าชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือไม่ เห็นว่า การฟ้องของนายเอกที่ขอบังคับให้นายโทซ่อมรั้วบ้านของนายเอกนั้นเป็นการฟ้องขอให้บังคับ จําเลยให้กระทําการ จึงถือเป็นคดีที่มีคําขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ (คดีไม่มีทุนทรัพย์) แม้นายเอกจะมีคําขอให้นายโทชดใช้ราคารั้วบ้านที่เสียหายเป็นเงิน 1 แสนบาทด้วย แต่ก็เป็นคําขอบังคับเมื่อ ไม่อาจบังคับตามคําขอในเรื่องการซ่อมรั้วบ้านได้ จึงไม่ทําให้คดีของนายเอกเป็นคดีมีทุนทรัพย์ คดีของนายเอก จึงไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาของศาลแขวงตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ดังนั้น คําสั่งโอนคดีของ นายเก่งและนายกล้าที่ให้โอนคดีไปยังศาลแขวงจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามมาตรา 16 วรรคท้าย

สรุป

คําสั่งโอนคดีของนายเก่งและนายกล้าไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายสมเกียรติต้องการฟ้องนายดํารงซึ่งเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงและประชาชนรู้จักดีข้อหายักยอกทรัพย์อันเป็นความผิดอาญามาตรา 352 มีอัตราโทษจําคุก 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท และในฐานะนักธุรกิจจึงมีความผิดในฐานเป็นผู้มีอาชีพ หรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนจึง ผิดกฎหมายอาญามาตรา 354 อันมีอัตราโทษจําคุก 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาทอีกด้วย นายสมเกียรติจึงมาปรึกษาท่านว่าจะต้องนําคดีดังกล่าวนี้ไปยื่นฟ้องยังศาลใดระหว่างศาลจังหวัด หรือศาลแขวง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ใน อํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจํา ทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีอาญาที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่กฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (5) และหากเป็นคดีที่เป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท จะต้องดูโทษของบทที่หนักที่สุด หากเป็นอัตราโทษจําคุกเกินกว่า 3 ปี หรือปรับเกินกว่า 6 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ย่อมไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาของศาลแขวง จะต้องนําคดีไปฟ้องที่ศาลจังหวัดตาม มาตรา 18

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อคดีอาญาที่นายสมเกียรติต้องการฟ้องนายดํารงนั้น เป็นความผิดฐาน ยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 และมาตรา 354 ซึ่งถือเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท จึงต้อง ดูโทษใน ป.อ. มาตรา 354 เป็นหลัก เมื่อปรากฏว่ามีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท จึงเกินอัตราโทษที่ศาลแขวงจะมีอํานาจรับพิจารณาพิพากษาคดี ดังนั้น นายสมเกียรติจึงต้องนําคดีดังกล่าว ไปยื่นฟ้องยังศาลจังหวัดตามมาตรา 18

สรุป

หากนายสมเกียรติมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแนะนํานายสมเกียรติให้นําคดีนี้ไป ฟ้องที่ศาลจังหวัด

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายทรงกลดได้ยื่นฟ้องขับไล่นายเคี้ยงออกจากที่ดินมีมูลค่า 3 แสนบาทของตนที่ศาลจังหวัดมีนบุรี (ศาลจังหวัดมีนบุรีไม่มีศาลแขวงอยู่ในเขตท้องที่มีนบุรีด้วย) โดยมีนายหนึ่งและนายสองเป็นองค์คณะ พิจารณาพิพากษา นายเคี้ยงยื่นคําให้การต่อสู้ว่าที่ดินผืนนี้เป็นของตนไม่ใช่ของนายทรงกลดโดยอ้าง พยานหลักฐานชัดแจ้ง ในวันนัดพิจารณานัดแรกนายสองป่วยกะทันหันต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล นาน 1 เดือน คดีนี้จึงมีเพียงนายหนึ่งเพียงผู้เดียวพิจารณาคดีนี้ไปจนกระทั่งพิพากษาคดี โดยได้ พิพากษาให้นายทรงกลดชนะคดี กรณีนี้คําพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 18 “ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ใน อํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 18 คดีแพ่งที่ศาลจังหวัด โดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีมีข้อพิพาท และคดีมีข้อพิพาทนั้นจะต้อง เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท อีกทั้งในเขตจังหวัดจะต้องไม่มีศาลแขวงอยู่ในท้องที่ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทรงกลดได้ยื่นฟ้องขับไล่นายเคี้ยงออกจากที่ดิน โดยหลักแล้ว คําฟ้องเช่นนี้ไม่ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเคี้ยงยื่นคําให้การต่อสู้ว่าที่ดินผืนนี้เป็นของตน ไม่ใช่ของนายทรงกลด คดีจึงเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทว่าเป็นของนายทรงกลดหรือนายเคี้ยง ส่งผลให้คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์

เมื่อคดีดังกล่าวเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ก็ต้องมีการตีราคาที่ดินพิพาท เมื่อปรากฏว่าที่ดินมีมูลค่า 3 แสนบาท จึงถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 แสนบาท ศาลจังหวัดมีนบุรีโดยผู้พิพากษาคนเดียวจึงมีอํานาจรับ พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งคดีนี้ได้ตามมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 18 เนื่องจากท้องที่มีนบุรีไม่มีศาลแขวงอยู่ ในท้องที่ ดังนั้น เมื่อคดีนี้มีองค์คณะ คือ นายหนึ่งและนายสอง แต่ตอนหลังเหลือเพียงนายหนึ่งเพราะนายสอง ป่วยกะทันหัน คดีนี้จึงยังคงสามารถพิจารณาพิพากษาได้โดยนายหนึ่งเพียงลําพังคนเดียว คําพิพากษาของศาลจังหวัด มีนบุรีจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

สรุป คําพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีจึงชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายธามต้องการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 3 ฉบับ ฉบับละ 200,000 บาท ที่ไม่สามารถขึ้นเงินได้จากนายเล้ง จึงได้รวมทุนทรัพย์ของเช็คทั้ง 3 ฉบับเข้าด้วยกันแล้วยื่นฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ นายเล้งยื่นคําให้การคัดค้านว่าคดีนี้ต้องคิดทุนทรัพย์แยกกันและต้องนําไปฟ้องที่ศาลแขวง สมุทรปราการเพราะทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท คําให้การต่อสู้คดีของนายเล้งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ใน อํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25 (4) ประกอบกับมาตรา 17) จะต้องนําคดีไปฟ้องที่ศาลจังหวัดตามมาตรา 18

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายธามต้องการฟ้องเรียกเงินตามเช็ค 3 ฉบับจากนายเล้ง จึงได้ รวมทุนทรัพย์ของเช็คทั้ง 3 ฉบับเข้าด้วยกัน แล้วยื่นฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการนั้น ถือเป็นกรณีที่โจทก์ คนเดียวฟ้องจําเลยคนเดียวตามเช็คหลายฉบับ หาใช่กรณีที่โจทก์คนเดียวฟ้องจําเลยหลายคนตามเช็คหลายฉบับ อันจะต้องแยกทุนทรัพย์ไม่ ดังนั้น จึงต้องรวมทุนทรัพย์ของเช็คทุกฉบับเข้าด้วยกัน การกระทําดังกล่าวของ นายธามจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เช็คทั้ง 3 ฉบับ มีทุนทรัพย์รวมกันเกิน 3 แสนบาท จึงไม่สามารถ ฟ้องคดีนี้ที่ศาลแขวงสมุทรปราการได้ตามมาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) จะต้องนําคดีไปยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัด ตามมาตรา 18 ดังนั้น คําให้การต่อสู้คดีของนายเล้งที่ว่าคดีนี้ต้องคิดทุนทรัพย์แยกกัน และต้องนําคดีไปฟ้องที่ ศาลแขวงสมุทรปราการ เพราะทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําให้การต่อสู้คดีของนายเล้งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายเอกผู้พิพากษาศาลแขวงได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจําเลยมีทุนทรัพย์สามแสนบาท เมื่อพิจารณาเสร็จขณะที่ทําคําพิพากษาอยู่นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทุนทรัพย์ดังกล่าวมีราคาสี่แสนบาท นายเอกเห็นว่าเป็นเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงนําคดีไปให้นายโทผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวง ตรวจสํานวนลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะร่วมกับนายเอกทําคําพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คําพิพากษาของนายเอกและนายโทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทําการแทนในตําแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอํานาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 25 (4) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอํานาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมี อํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท (มาตรา 25 (4) ประกอบกับมาตรา 17)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกผู้พิพากษาศาลแขวงได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจําเลย มีทุนทรัพย์ 3 แสนบาทนั้น นายเอกย่อมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ตามมาตรา 25 (4) ประกอบ กับมาตรา 17 แต่เมื่อต่อมาปรากฏว่าทุนทรัพย์ดังกล่าวมีราคาสี่แสนบาท คดีจึงเกินอํานาจศาลแขวงที่จะ พิจารณาพิพากษา ดังนั้น นายเอกผู้พิพากษาศาลแขวงจะต้องมีคําสั่งจําหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ และคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นําคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอํานาจ นายเอกจะนําคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวง ตรวจสํานวนลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะร่วมกับนายเอกทําคําพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไม่ได้ เพราะกรณีดังกล่าว ไม่ถือเป็นเหตุจําเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 29 (3) และมาตรา 31 เนื่องจากหลักกฎหมายดังกล่าวเป็น การให้อํานาจแก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นเท่านั้น มิได้ให้อํานาจแก่ผู้พิพากษาในการ พิจารณาคดีในศาลแขวงแต่อย่างใด อีกทั้งถ้าให้อํานาจผู้พิพากษาคนเดียวในศาลแขวงดําเนินการดังกล่าวได้ ก็จะเป็น การขยายอํานาจของศาลแขวงให้มีอํานาจเหมือนศาลจังหวัดหรือศาลชั้นต้นอื่น

ดังนั้น การที่นายเอกไม่สั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่นําคดีไปให้นายโทผู้พิพากษา หัวหน้าศาลแขวงตรวจสํานวนลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะร่วมกับนายเอกทําคําพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คําพิพากษา ของนายเอกและนายโทจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําพิพากษาของนายเอกและนายโทไม่ชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!