LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานีไม่มีศาลแขวง) ในความผิดฐานยักยอก 2 ครั้ง ซึ่งความผิดฐานยักยอกมีระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท มีนายเก่ง และนายกล้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อการพิจารณาเสร็จสิ้นลง นายเก่งย้ายไปรับราชการยังศาลอื่น นายกล้าจึงพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยกระทงละ 6 เดือน รวมเป็นโทษจําคุก 1 ปี การทําคําพิพากษาของนายกล้าชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี”

มาตรา 30 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทําคําพิพากษาในคดีนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน เป็นองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง (มาตรา 26) แต่อย่างไรก็ดี ผู้พิพากษาคนเดียว มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าวไม่ได้ (มาตรา 25 (5)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ 2 ครั้งนั้น แม้จะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือความผิดหลายกระทง แต่เมื่อความผิดแต่ละกระทง เป็นความผิดที่กฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ดังนี้ ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลนั้น ย่อมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ แม้ว่าเมื่อรวมความผิดแต่ละกรรม หรือแต่ละกระทงแล้วอัตราโทษจะเกินอํานาจของผู้พิพากษาคนเดียวก็ตาม

การที่นายเก่งและนายกล้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดได้ร่วมกันเป็นองค์คณะพิจารณา พิพากษาคดีดังกล่าว ซึ่งโดยหลักแล้วทั้งสองก็ต้องร่วมกันทําคําพิพากษา แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนทํา คําพิพากษานั้น นายเก่งได้ย้ายไปรับราชการยังศาลอื่น ดังนี้ นายกล้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีดังกล่าว มาตั้งแต่ต้นย่อมมีอํานาจตามมาตรา 25 (5) คือมีอํานาจพิพากษาลงโทษจําเลยได้ แต่จะพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลย แต่ละกระทงเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาทไม่ได้ ดังนั้นการที่นายกล้าได้พิพากษาลงโทษจําคุกจําเลย กระทงละ 6 เดือน แม้จะรวมโทษจําคุกทั้ง 2 กระทงเป็น 1 ปีก็ตาม คําพิพากษาของนายกล้าก็ชอบด้วยพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม

และตามข้อเท็จจริงนั้น การที่นายเก่งได้ย้ายไปรับราชการยังศาลอื่นนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตําแหน่งที่ดํารงอยู่ตามมาตรา 30 และถือว่ามีเหตุจําเป็นอื่น อันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีตามมาตรา 29 ก็ตาม แต่เมื่อกรณีที่นายกล้าได้พิพากษา ให้ลงโทษจําคุกจําเลยกระทงละ 6 เดือนนั้น เป็นอํานาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่สามารถทําคําพิพากษาได้ ดังนั้น ในการทําคําพิพากษาของนายกล้าดังกล่าวจึงไม่จําต้องให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา แต่อย่างใด

สรุป การทําคําพิพากษาของนายกล้าชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. ศาลแขวงสุพรรณบุรี โดยนายจันทร์ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรี พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องมีทุนทรัพย์สามแสนบาท ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์ที่พิพาทเกินสามแสนบาท นายจันทร์เห็นว่า เป็นเหตุจําเป็นอื่นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ จึงนําคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสุพรรณบุรี ตรวจสํานวนลงชื่อทําคําพิพากษาเป็นองค์คณะ แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี

คําพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมี คําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 2545 ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอํานาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท (มาตรา 25(4) ประกอบกับมาตรา 17)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ ฟ้องจําเลยมีทุนทรัพย์ 3 แสนบาทนั้น นายจันทร์ย่อมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ตามมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17 แต่เมื่อต่อมาปรากฏว่าทรัพย์ที่พิพาทมีราคาเกิน 3 แสนบาท คดีจึงเกินอํานาจศาลแขวงที่จะ พิจารณาพิพากษา ดังนั้น นายจันทร์ผู้พิพากษาศาลแขวงจะต้องมีคําสั่งจําหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ และคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นําคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอํานาจ นายจันทร์จะนําคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้า ศาลแขวงสุพรรณบุรีตรวจสํานวนลงชื่อทําคําพิพากษาเป็นองค์คณะ แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไม่ได้ เพราะ กรณีดังกล่าวไม่ถือเป็นเหตุจําเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31 (4) เนื่องจากตามมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 31 (4) นั้น เป็นการให้อํานาจแก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นเท่านั้น มิได้ให้อํานาจ แก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีในศาลแขวงแต่อย่างใด อีกทั้งถ้าให้อํานาจผู้พิพากษาคนเดียวในศาลแขวง ดําเนินการดังกล่าวได้ ก็จะเป็นการขยายอํานาจของศาลแขวงให้มีอํานาจเหมือนศาลจังหวัดหรือศาลชั้นต้นอื่น

ดังนั้น การที่นายจันทร์ไม่สั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่นําคดีไปให้ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลแขวงสุพรรณบุรีตรวจสํานวนลงชื่อทําคําพิพากษาเป็นองค์คณะ แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น คําพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. ในศาลจังหวัดมีนายเอกเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล นายโทผู้พิพากษาอาวุโส นายดํา นายแดง นายเขียว ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเรียงตามลําดับอาวุโส และนายกล้าผู้พิพากษาประจําศาล นายเอกได้ จ่ายสํานวนคดีให้นายดําและนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ปรากฏต่อมาว่า นายเขียวทราบว่านายแดงเป็นญาติกับฝ่ายจําเลย จึงนําความไปบอกนายดํา นายดําเห็นว่าอาจจะ กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น นายดําจึงเสนอความเห็นให้ นายเอกเรียกคืนสํานวนคดี นายเอกจึงเรียกคืนสํานวนคดีดังกล่าว และโอนสํานวนคดีให้นายกล้า เป็นองค์คณะแทนนายแดง ท่านเห็นว่า การกระทําดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 33 “การเรียกคืนสํานวนคดีหรือการโอนสํานวนคดีซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ องค์คณะผู้พิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทําได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณา หรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น และรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ที่มิได้เป็นองค์คณะในสํานวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทําได้

ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสํานวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มี อาวุโสถัดลงมาตามลําดับในศาลนั้น เป็นผู้มีอํานาจในการเสนอความเห็นแทน ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น มีหนึ่งคนหรือมีหลายคน แต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสํานวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด ให้ผู้พิพากษาที่มี อาวุโสสูงสุดของศาลนั้นเป็นผู้มีอํานาจในการเสนอความเห็น

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจําศาลไม่มีอํานาจในการเสนอความเห็นตามวรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง…”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว โดยหลักแล้วเมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล จ่ายสํานวนคดีให้แก่ องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาคดีไปจนเสร็จสํานวน จะเรียกคืนสํานวนคดี หรือโอนสํานวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสํานวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้ เว้นแต่

1 เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น และ

2 ในกรณีของศาลจังหวัด ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในสํานวนคดีนั้น เสนอความเห็นให้เรียกคืนสํานวนคดีนั้น หรือให้โอนสํานวนคดีนั้น ไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกซึ่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสํานวนคดีให้นายดํา และนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง และต่อมานายเอกได้เรียกคืนสํานวนคดีดังกล่าว และโอนสํานวนคดีให้นายกล้าเป็นองค์คณะแทนนายแดง เนื่องจากนายดําได้เสนอความเห็นให้นายเอกเรียกคืน สํานวนคดีเพราะนายดําได้ทราบจากนายเขียวว่านายแดงเป็นญาติกับจําเลยนั้น การกระทําดังกล่าวของนายเอก ย่อมไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ทั้งนี้เพราะ เมื่อปรากฏว่านายแดงซึ่งเป็นองค์คณะพิจารณา พิพากษาคดีดังกล่าวเป็นญาติกับจําเลยและจะทําให้กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือ พิพากษาคดีนั้นของศาล นายเอกซึ่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลสามารถเรียกคืนสํานวนคดีหรือโอนสํานวนคดีจาก องค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสํานวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้พิพากษาที่มีอาวุโส สูงสุดในศาลนั้นซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในสํานวนคดีนั้นได้เสนอความเห็นให้เรียกคืนสํานวนคดี หรือให้โอน สํานวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่าในศาลนั้นมีนายดํา นายแดง และนายเขียวเป็น ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเรียงตามลําดับอาวุโส และเมื่อนายดํากับนายแดงได้เป็นองค์คณะในสํานวนคดีนั้น ดังนั้น ผู้ที่จะเสนอความเห็นให้เรียกคืนสํานวนคดีจึงต้องเป็นนายเขียวซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงไปมิใช่ นายดํา การที่นายเอกได้เรียกคืนสํานวนคดีและโอนสํานวนคดีเนื่องจากการที่นายดําเป็นผู้เสนอความเห็นนั้น การกระทําดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การที่นายเอกได้เรียกคืนสํานวนคดีและโอนสํานวนคดีดังกล่าวนั้นเป็นการกระทําที่ ไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยออกจากที่ดินที่เช่าต่อศาลจังหวัดนครปฐมและขอให้ศาลจังหวัดนครปฐมพิพากษาบังคับให้จําเลยชําระค่าเช่าที่ดินที่ค้างชําระเป็นเงินสองแสนห้าหมื่นบาท ศาลจังหวัดนครปฐม เห็นว่าทุนทรัพย์ในคดีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงนครปฐม จึงสั่งโอนคดีไปยัง ศาลแขวงนครปฐม ซึ่งมีเขตอํานาจตลอดเขตจังหวัดนครปฐม ศาลแขวงนครปฐมสั่งไม่รับโอนคดี ที่โอนมาจากศาลจังหวัดนครปฐม โดยเห็นว่าคดีอยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดนครปฐม

คําสั่งของศาลทั้งสองนี้ถูกต้องหรือไม่ ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25(4) ประกอบกับมาตรา 17)

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คดีฟ้องขับไล่จําเลยออกจากที่ดินที่เช่าและ ให้จําเลยชําระค่าเช่าที่ดินที่ค้างชําระเป็นเงินสองแสนห้าหมื่นบาทนั้น เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา ของศาลแขวงนครปฐมหรือศาลจังหวัดนครปฐม กรณีนี้เห็นว่าจากคําฟ้องของโจทก์นั้นคดีหลักคือคดีฟ้องขับไล่ จําเลยออกจากที่ดินที่เช่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้ว่าโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเช่ามาด้วยก็ตามก็ไม่ทําให้คดีนี้เป็นคดี ที่มีทุนทรัพย์ ดังนั้น คดีดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงนครปฐมตามมาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 (คําพิพากษาฎีกาที่ 22/2503 (ประชุมใหญ่)

เมื่อโจทก์นําคดีไปฟ้องยังศาลจังหวัดนครปฐม และศาลจังหวัดนครปฐมมีคําสั่งให้โอนคดีไป ยังศาลแขวงนครปฐมโดยเห็นว่าคดีอยู่ในอํานาจของศาลแขวงนครปฐม คําสั่งโอนคดีของศาลจังหวัดนครปฐม จึงไม่ถูกต้อง ส่วนคําสั่งไม่รับโอนคดีของศาลแขวงนครปฐมโดยเห็นว่าคดีอยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดนครปฐม นั้นถูกต้อง เพราะคดีดังกล่าวศาลแขวงไม่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาเพราะเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์แม้โจทก์จะ ฟ้องเรียกค่าเช่าไม่เกินสามแสนบาทซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(4) ก็ตาม

สรุป คําสั่งโอนคดีของศาลจังหวัดนครปฐมไม่ถูกต้อง ส่วนคําสั่งไม่รับโอนคดีของศาลแขวงนครปฐมถูกต้อง

 

ข้อ 2. ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิจารณาคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจําเลย ฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ซึ่งระวางโทษประหารชีวิต จําคุกตลอดชีวิตหรือจําคุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี เมื่อศาลได้พิจารณาคดีเสร็จแล้ว จึงมีคําพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยตลอดชีวิต โจทก์ จําเลย มิได้อุทธรณ์ ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงได้ส่งสํานวนคดีดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 นายเอก นายโท นายตรี ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้เป็นองค์คณะ ร่วมกันพิจารณาคดีแล้วเห็นว่า การกระทําของจําเลยเป็นการทารุณโหดร้าย เป็นที่น่าหวาดกลัว แก่ประชาชนโดยทั่วไป จึงพิพากษาแก้ไขคําพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นลงโทษประหารชีวิต ท่านเห็นว่า คําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 22 “ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอํานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์ คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลชั้นต้น ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์ และว่าด้วยเขตอํานาจศาล และมีอํานาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรือยกคําพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษ ประหารชีวิตหรือจําคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 212 “คดีที่จําเลยอุทธรณ์คําพิพากษา ที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจําเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทํานองนั้น”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง “ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ ต้องส่งสํานวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์ คําพิพากษานั้น และคําพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 22 ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาหรือคําสั่ง ของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ของศาลชั้นต้น แต่ความในมาตรา 22(1) ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกําหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค มีอํานาจพิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรือยกคําพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต หรือ จําคุกตลอดชีวิต ในเมื่อคดีได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง คือ เมื่อโจทก์และจําเลยไม่ได้อุทธรณ์คําพิพากษานั้น และพ้นกําหนด ระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ในกรณีนี้หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีเป็นอันยุติ คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้

ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยตลอดชีวิต พ้นกําหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว โจทก์จําเลยไม่อุทธรณ์ ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงต้องส่งสํานวนไปให้ศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง และศาลอุทธรณ์มีอํานาจพิพากษายืนตาม แก้ไข กลับ หรือยกคําพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษจําคุกตลอดชีวิตจําเลยดังกล่าวได้

แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขคําพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเพื่อลงโทษจําเลย ให้หนักขึ้นไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ทั้งนี้เพราะคดีดังกล่าวโจทก์และจําเลย มิได้อุทธรณ์คําพิพากษา ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจําเลยให้หนักขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคดีนั้นโจทก์อุทธรณ์ขอให้ เพิ่มโทษจําเลยเท่านั้น ดังนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขคําพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นลงโทษประหารชีวิต คําพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 22(1) ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 212

สรุป คําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. ในศาลจังหวัดบึงกาฬ (ไม่มีศาลแขวงอยู่ในเขตอํานาจ) นายจันทร์ผู้พิพากษาจังหวัดบึงกาฬได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจําเลยมีทุนทรัพย์ 280,000 บาท ขณะที่ทําคําพิพากษานายจันทร์พบว่า ราคาทรัพย์สินดังกล่าวมีราคา 400,000 บาท นายจันทร์จึงนําคดีไปให้นายอังคารผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดบึงกาฬตรวจสํานวน ลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะทําคําพิพากษา แต่เนื่องจาก นายอังคารได้เดินทางไปราชการต่างประเทศ นายพุธผู้พิพากษาอาวุโสในศาลนั้นจึงนําสํานวนดังกล่าว มาตรวจและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คําพิพากษาดังกล่าวของนายจันทร์และ นายพุธ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 9 วรรคสองและวรรคท้าย “เมื่อตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษา หัวหน้าศาลแขวงว่างลง หรือเมื่อผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุด ในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมา ตามลําดับในศาลนั้นเป็นผู้ทําการแทน

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจําศาลจะเป็นผู้ทําการแทนในตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ไม่ได้”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทําการแทนในตําแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอํานาจตาม (1) (2) และ (3) ด้วย”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 25(4) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอํานาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ คดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจําเลยมีทุนทรัพย์เพียง 280,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 300,000 บาท เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดบึงกาฬ จึงอยู่ในอํานาจผู้พิพากษาคนเดียวในการพิจารณาพิพากษา ดังนั้นนายจันทร์จึงพิจารณาคดีนี้ได้ตามมาตรา 25(4) แต่เมื่อต่อมาราคาทรัพย์ที่พิพาทเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 บาท จึงเป็นกรณีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31(4) ที่นายจันทร์ผู้พิพากษาคนเดียวไม่อาจทําคําพิพากษา ในคดีนี้ต่อไปได้ นายจันทร์จะต้องนําสํานวนคดีนี้ไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบึงกาฬตรวจสํานวนและ ทําคําพิพากษาร่วมตามมาตรา 29(3)

1 แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายอังคารผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้ไปราชการต่างประเทศจึงไม่อาจ ปฏิบัติราชการได้ จึงต้องนํามาตรา 9 วรรคสองมาใช้บังคับ (ตามมาตรา 29 วรรคสอง) กล่าวคือให้ผู้ทําการแทน นายอังคารผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบึงกาฬซึ่งหมายถึงผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นตรวจสํานวน และทําคําพิพากษา คําพิพากษานั้นจึงจะชอบด้วยกฎหมาย

แต่เมื่อตามอุทาหรณ์ นายพุธผู้พิพากษาอาวุโสในศาลนั้นเป็นผู้ตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อ ทําคําพิพากษาร่วมกับนายจันทร์ การกระทําของนายพุธถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรา 9 วรรคท้ายซึ่งบัญญัติ ห้ามมิให้ผู้พิพากษาอาวุโสเป็นผู้ทําการแทนในตําแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ดังนั้นคําพิพากษาดังกล่าวของ นายจันทร์และนายพุธจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําพิพากษาของนายจันทร์และนายพุธไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายหนึ่ง นายสอง และนายสามผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ และผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ตามลําดับ ได้ร่วมกันเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง แต่ปรากฏว่าคดีดังกล่าว มีปัญหาข้อกฎหมายที่องค์คณะ ไม่อาจหาข้อยุติได้ จึงเสนอต่อประธานศาลอุทธรณ์ให้นําคดีเข้า ที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ในการประชุมใหญ่นอกจากมีองค์คณะใหญ่ข้างต้นแล้ว ยังมีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ทั้งหมดเข้าร่วมประชุมใหญ่จนได้ข้อยุติ แต่นายสามไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่ จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา นายหนึ่งจึงนําสํานวนคดีและคําพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่ ไปให้นายแดงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้เข้าที่ประชุมใหญ่ลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา นายแดง เมื่อได้ตรวจสํานวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้วจึงลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะในคําพิพากษาร่วมกับนายหนึ่ง และนายสอง นายห้าซึ่งได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ได้ทําความเห็นแย้งกลัดไว้ในสํานวนด้วย ท่านเห็นว่า คําพิพากษาของศาลอุทธรณ์และการทําความเห็นแย้งดังกล่าวขอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 27 “ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค หรือศาลฎีกา ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว เมื่อได้ตรวจสํานวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว มีอํานาจ พิพากษาหรือทําคําสั่งคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย”

วินิจฉัย

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 27 วรรคแรก ได้บัญญัติว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดี ของศาลอุทธรณ์นั้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง และนายสาม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ และผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามลําดับ ได้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง การพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาทั้งสาม คนในคดีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

และในกรณีที่มีการนําคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์นั้น พระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม มาตรา 27 วรรคสอง ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลอุทธรณ์นั้น เมื่อได้ ตรวจสํานวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว มีอํานาจพิพากษาหรือทําคําสั่งคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลอุทธรณ์มีอํานาจ ทําความเห็นแย้งได้ด้วย

เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า ได้มีการนําคดีอาญาเรื่องดังกล่าวที่มีปัญหาข้อกฎหมาย ที่องค์คณะไม่อาจหาข้อยุติได้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์จนได้ข้อยุติ แต่นายสามไม่เห็นด้วยกับมติ ที่ประชุมใหญ่ จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา ดังนี้การที่นายแดงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้เข้าที่ประชุมใหญ่ ได้ตรวจสํานวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว ได้ลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะในคําพิพากษาร่วมกับนายหนึ่งและนายสองนั้น

นายแดงย่อมมีอํานาจกระทําได้ตามมาตรา 27 วรรคสอง ดังนั้น คําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงชอบด้วย กฎหมาย เพราะถือว่ามีผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คน เป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น

ส่วนกรณีที่นายห้าซึ่งได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ได้ทําความเห็นแย้งกลัดไว้ในสํานวนนั้น นายห้า ย่อมมีอํานาจกระทําได้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้วตามมาตรา 27 วรรคสองตอนท้าย

สรุป คําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และการทําความเห็นแย้งของนายห้าชอบด้วยพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. นายเขียวฟ้องขับไล่นายขาวออกจากที่ดินของนายเขียว ซึ่งมีราคา 200,000 บาท ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี นายขาวให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของนายขําอนุญาตให้นายขาวอาศัยอยู่ นายเขียวไม่มีอํานาจฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนนทบุรีจ่ายสํานวนให้นายอรรถผู้พิพากษา เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา นายอรรถออกนั่งพิจารณาคดี สืบพยาน โจทก์จําเลยเสร็จแล้วจึง พิพากษาคดีดังกล่าว ให้ท่านวินิจฉัยว่า การจ่ายสํานวนคดีของผู้พิพากษาหัวหน้าศาล การพิจารณาและพิพากษาคดีของนายอรรถ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือ คดีอาญาทั้งปวง”

วินิจฉัย

ตามหลักพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(4) ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาคนเดียวของ ศาลจังหวัด (ศาลชั้นต้น) มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงิน ที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเขียวฟ้องขับไล่นายขาวออกจากที่ดินของนายเขียวเป็นคดีไม่มี ทุนทรัพย์ แม้นายขาวจะต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของนายอนุญาตให้นายขาวอาศัยอยู่ แต่ก็มิได้ต่อสู้ว่าที่ดินที่ พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายขาวเอง จึงไม่ใช่เป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ จึงไม่ทําให้เป็น คดีมีทุนทรัพย์ขึ้นมา ดังนั้นแม้ที่ดินที่พิพาทจะมีราคาเพียง 200,000 บาท คดีก็ไม่อยู่ในอํานาจของผู้พิพากษา คนเดียวที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคแรก (4) จะต้องมีผู้พิพากษา อย่างน้อยสองคนเป็นองค์คณะ และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคนตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 26

ดังนั้น การจ่ายสํานวนคดีของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนนทบุรี การพิจารณาและพิพากษาคดี ของนายอรรถจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจ่ายสํานวนคดีของผู้พิพากษาหัวหน้าศาล การพิจารณาและพิพากษาคดีของนายอรรถ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. น.ส.พอใจ เป็นโจทก์ฟ้องนายอู๊ดในข้อหาลักโทรศัพท์มือถือตน เป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงนนทบุรีมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นายสมยศผู้พิพากษา ศาลแขวงนนทบุรี ไต่สวนมูลฟ้องมีคําสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้น นายสมยศ ต้องการจะลงโทษจําคุกนายอู๊ดเป็นเวลา 8 เดือน จึงนําเอาสํานวนไปให้นายอุดมผู้พิพากษาอาวุโส ประจําศาลแขวงนนทบุรีทําการลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมด้วย ดังนี้

(ก) คําสั่งประทับรับฟ้องชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) การทําคําพิพากษาที่นายสมยศนําเอาสํานวนไปให้นายอุดมผู้พิพากษาอาวุโสประจําศาลแขวงนนทบุรี ทําการลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมด้วยชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมี คําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อํานาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ให้ ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(2) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 25(5) แล้ว เห็นว่าควรพิพากษา ลงโทษจําคุกเกินกว่าหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับนั้นอย่างใด อย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมยศผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรี ไต่สวนมูลฟ้องและมี คําสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาในคดีดังกล่าวนั้น คําสั่งประทับรับฟ้องขอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตาม มาตรา 25(3) ประกอบกับมาตรา 17 เพราะเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจผู้พิพากษาคนเดียว และเป็นคดีอาญาที่มีอัตรา โทษอย่างสูงจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

(ข) เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในอํานาจของศาลแขวงนนทบุรีตามมาตรา 17 และมาตรา 25(5) ซึ่งนายสมยศผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนทําหน้าที่พิจารณาและพิพากษา และเมื่อพิจารณาเสร็จสิ้น ถ้านายสมยศ จะพิพากษาคดี นายสมยศมีอํานาจพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีอาญาโดยให้ลงโทษจําคุกได้ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับเท่านั้น หากต้องการพิพากษาลงโทษจําคุกหรือปรับเกินกว่านี้ ก็จะถือเป็น เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31(2) ทําให้ไม่อาจทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ จึงต้องให้ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงมาทําคําพิพากษาโดยตรวจสํานวนทั้งหมด และหากมีกรณีใดต้องการโต้แย้ง ก็สามารถทําได้ตามมาตรา 29(3) ดังนั้น การที่นายสมยศต้องการจะลงโทษจําคุกจําเลยเป็นเวลา 8 เดือน และนํา สํานวนคดีนี้ไปให้นายอุดมผู้พิพากษาอาวุโสประจําศาลแขวงนนทบุรีทําการลงลายมือชื่อทําคําพิพากษาร่วมด้วย จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

(ก) คําสั่งประทับรับฟ้องชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

(ข) การทําคําพิพากษาของนายสมยศดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายดีเป็นโจทก์ฟ้องนายเกเรต่อศาลแขวง (ในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง) ในข้อหากระทําความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินหกพันบาท นายนิติ ผู้พิพากษาประจําศาลในศาลแขวงแห่งนั้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้อง คําพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมี คําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ผู้พิพากษาประจําศาลไม่มีอํานาจตาม (3)(4) หรือ (5)”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิด ฐานลักทรัพย์ (ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334) ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(5) ประกอบมาตรา 17

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คําพิพากษายกฟ้องของนายนิติผู้พิพากษาประจําศาล ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า อํานาจของผู้พิพากษาประจําศาลนั้นถูกจํากัดโดยบทบัญญัติมาตรา 25 วรรคท้าย กล่าวคือ ไม่มีอํานาจตามมาตรา 25(3)(4) และ (5) เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายนิติเป็นผู้พิพากษาประจําศาล นายนิติจึงไม่มีอํานาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา การที่นายนิติผู้พิพากษาประจําศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้อง คําพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(3) ประกอบวรรคท้าย

สรุป คําพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายใหญ่ฟ้องนายเล็กข้อหาชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาทต่อศาลอาญา มีนายหนึ่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้ไต่สวนมูลฟ้อง นายหนึ่งเห็นว่าคําฟ้องของนายใหญ่ไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้องของนายใหญ่โดยได้ให้นายสองรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งมีอาวุโส น้อยที่สุดเข้าตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้อง การไต่สวนมูลฟ้องของนายหนึ่ง และการพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่งและนายสองชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่ คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 2545)”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า การไต่สวนมูลฟ้องของนายหนึ่ง ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้วในศาลชั้นต้นผู้พิพากษาคนเดียวไม่มีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีอาญาฐานชิงทรัพย์ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(5) เพราะความผิดฐานชิงทรัพย์ มีกําหนดอัตราโทษตามกฎหมายให้จําคุกเกิน 3 ปี จึงต้องให้ผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คน เป็นองค์คณะ

แต่สําหรับการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ไม่ว่าคดีนั้นกฎหมายจะกําหนดอัตราโทษจําคุกกี่ปีก็ตาม ผู้พิพากษาคนเดียวก็ย่อมมีอํานาจกระทําได้ตามมาตรา 25(3) ดังนั้น การไต่สวนมูลฟ้องของนายหนึ่งจึงชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

และประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า การพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่งและนายสอง ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เห็นว่า การที่นายหนึ่งเห็นว่าคําฟ้องของนายใหญ่ไม่มีมูล จึงพิพากษา ยกฟ้องของนายใหญ่นั้น เมื่อคดีข้อหาชิงทรัพย์มีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 2545) จึงถือได้ว่ามีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31(1) ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างทําคําพิพากษา กรณีนี้ จึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าร่วมตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อ ทําคําพิพากษายกฟ้องด้วยตามมาตรา 29(3) แต่เมื่อนายหนึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา จึงไม่อาจลงลายมือชื่อ ในอีกฐานหนึ่งได้ เพราะนายหนึ่งเป็นผู้พิพากษาผู้ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว กรณีนี้จึงต้องให้รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เป็นผู้ลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายหนึ่งได้ให้นายสองรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เข้าตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้องนายใหญ่ด้วย ดังนั้น การพิพากษายกฟ้องของ นายหนึ่งและนายสองจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การไต่สวนมูลฟ้องของนายหนึ่ง และการพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่งและนายสอง ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 3. นายเอกผู้พิพากษาศาลแขวงได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจําเลยมีทุนทรัพย์สามแสนบาท ขณะที่ทําคําพิพากษาอยู่นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทรัพย์ที่พิพาทนั้นมีราคาเกินกว่าสามแสนบาท นายเอก จึงนําคดีไปให้นายโทผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงตรวจสํานวนลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะ ทําคําพิพากษา และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คําพิพากษาดังกล่าวของนายเอกและนายโทชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่ กําหนดไว้ในมาตรา 30 แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา 25(4) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอํานาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้อง) ไม่เกิน 3 แสนบาท (มาตรา 25(4) ประกอบกับมาตรา 17)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกผู้พิพากษาศาลแขวงได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องจําเลย มีทุนทรัพย์ 3 แสนบาทนั้น นายเอกย่อมมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ตามมาตรา 25(4) ประกอบ มาตรา 17 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในขณะที่ทําคําพิพากษาว่าทรัพย์สินที่พิพาทนั้นมีราคาเกินกว่า 3 แสนบาท คดีจึงเกินอํานาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนั้น นายเอกผู้พิพากษาศาลแขวงจะต้องมีคําสั่งจําหน่าย คดีโจทก์ออกจากสารบบความ และคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นําไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอํานาจ นายเอกจะนําคดี ไปให้นายโทผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงตรวจสํานวนลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะทําคําพิพากษา และพิพากษา ให้โจทก์ชนะคดีมิได้ เพราะกรณีดังกล่าวไม่ถือเป็นเหตุจําเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31(4) เนื่องจาก ตามมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 31(4) นั้น เป็นการให้อํานาจแก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีใน ศาลชั้นต้นเท่านั้น มิได้ให้อํานาจแก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีในศาลแขวงแต่อย่างใด อีกทั้งถ้าให้อํานาจ ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลแขวงดําเนินการดังกล่าวได้ ก็จะเป็นการขยายอํานาจของศาลแขวงให้มีอํานาจเหมือน ศาลจังหวัดหรือศาลชั้นต้นอื่น

ดังนั้น การที่นายเอกไม่สั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่นําคดีดังกล่าวไปให้นายโท ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อร่วมกับนายเอก พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น คําพิพากษา ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําพิพากษาดังกล่าวของนายเอกและนายโทไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW304 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 304 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3

ข้อ 1. ในศาลอาญามีนายใหญ่ดํารงตําแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา นายกลาง นายเล็ก และนายน้อยดํารงตําแหน่งรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ตามลําดับ นายใหญ่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา จ่ายสํานวนคดีให้นายโทผู้พิพากษาศาลอาญาและนายดําผู้พิพากษาประจําศาลศาลอาญา เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง เมื่อเริ่มสืบพยานโจทก์ไปได้เพียงปากเดียว ฝ่ายจําเลย ทราบว่านายโทเป็นญาติทางฝ่ายภริยาของผู้เสียหาย ทนายจําเลยจึงร้องคัดค้านนายโท เมื่อนายใหญ่ ได้รับคําร้องคัดค้านแล้วเห็นว่า หากให้นายโทเป็นองค์คณะพิจารณาคดีต่อไปอาจจะกระทบกระเทือน ต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดี นายใหญ่จึงเรียกคืนสํานวนคดีดังกล่าว และโอน สํานวนคดีให้นายเอกผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญาเป็นองค์คณะแทนนายโท

ท่านเห็นว่าการกระทําดังกล่าวข้างต้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 33 วรรคแรก “การเรียกคืนสํานวนคดีหรือการโอนสํานวนคดีซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ ขององค์คณะผู้พิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทําได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือ พิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น และรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ที่มิได้เป็นองค์คณะในสํานวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทําได้”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 33 วรรคแรกดังกล่าว เมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล จ่ายสํานวนคดี ให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาคดีไปจนเสร็จสํานวน จะเรียกคืน สํานวนคดีหรือโอนสํานวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสํานวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้ เว้นแต่

1 เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม และ

2 รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้น เสนอความเห็นให้เรียกคืนสํานวนคดีนั้น หรือให้โอนสํานวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายใหญ่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้จ่ายสํานวนคดีให้นายโท ผู้พิพากษาศาลอาญาและนายดําผู้พิพากษาประจําศาลศาลอาญา เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเริ่มสืบพยานโจทก์ไปได้เพียงปากเดียว ได้มีการร้องคัดค้านจากฝ่ายจําเลยว่านายโท เป็นญาติทางฝ่ายภริยาของผู้เสียหาย จึงถือว่าเป็นกรณีที่อาจจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ดังนั้น ในการเรียกสํานวนคดีคืนและโอนสํานวนคดีนี้ไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป ในกรณีนี้ เป็นศาลอาญา นายใหญ่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาจะกระทําได้ก็ต่อเมื่อให้รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่มี อาวุโสสูงสุดในศาลนั้นคือนายกลางได้เสนอความเห็นให้กระทําได้

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ปรากฏว่านายใหญ่ได้เรียกคืนสํานวนคดีดังกล่าว และโอนสํานวนคดี ให้นายเอกผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญาเป็นองค์คณะแทนนายโท โดยที่นายกลางรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่ได้ทําความเห็นให้เรียกคืนสํานวนคดีและโอนสํานวนคดีนั้นเสนอต่อนายใหญ่ แต่อย่างใด ดังนั้นการกระทําดังกล่าวของนายใหญ่จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 33 วรรคแรก

สรุป การกระทําดังกล่าวของนายใหญ่ไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. นายดํากระทําความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ที่จังหวัดนครปฐมศาลแขวงจังหวัดนครปฐม พิพากษาให้จําคุกนายดํา มีกําหนด 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ มีกําหนด 2 ปี ยังไม่พ้นกําหนดระยะเวลารอการลงโทษ นายดําไปกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ที่จังหวัดราชบุรีขึ้นอีก ศาลแขวงจังหวัดราชบุรีพิพากษาให้จําคุก นายดํา มีกําหนด 6 เดือน ให้รอการลงโทษจําคุกนายดําไว้มีกําหนด 2 ปี ยังไม่พ้นกําหนดระยะเวลา รอการลงโทษ นายดําไปกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ที่ จังหวัดชุมพร พนักงานอัยการศาลแขวงจังหวัดชุมพรขอให้ศาลแขวงจังหวัดชุมพรพิพากษาลงโทษ นายดําจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และให้นําโทษที่ศาลแขวงจังหวัดนครปฐม และศาลแขวงจังหวัดราชบุรีให้รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษของศาลแขวงจังหวัดชุมพร ศาลแขวงจังหวัดชุมพรพิจารณาแล้วพิพากษาให้จําคุกนายดํา 6 เดือน ปรับหกพันบาท ไม่เสียค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นายดําจําเลยแถลงว่าไม่มีเงินเสียค่าปรับ ศาลแขวงจังหวัดชุมพรจึงเปลี่ยนโทษปรับเป็นกักขังแทนมีกําหนด 30 วัน และให้นําโทษจําคุกที่ ศาลแขวงจังหวัดนครปฐมและศาลแขวงจังหวัดราชบุรีให้รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษของ ศาลแขวงจังหวัดชุมพร เป็นจําคุก 18 เดือน และกักขังอีก 30 วัน นายอุทธรณ์ว่า พนักงานอัยการศาลแขวงจังหวัดชุมพร ไม่มีอํานาจขอให้นําโทษที่ศาลแขวงจังหวัดนครปฐมพิพากษาให้รอการลงโทษมาบวกเข้ากับโทษที่ศาลแขวงจังหวัดชุมพรพิพากษา เพราะ ศาลแขวงจังหวัดราชบุรีซึ่งเป็นศาลในคดีหลังของศาลแขวงจังหวัดนครปฐมมิได้บวกโทษจําเลย เป็นการล่วงเลยเวลามาแล้ว ศาลแขวงจังหวัดชุมพรเป็นศาลในคดีหลังของศาลแขวงจังหวัดราชบุรี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ได้แต่เพิ่มโทษจําเลยเฉพาะที่ศาลแขวงจังหวัดราชบุรี มิได้ เพิ่มโทษจําเลยเท่านั้น ส่วนที่ศาลแขวงจังหวัดชุมพรพิพากษาจําคุกจําเลย 6 เดือน และกักขังอีก 30 วันนั้นก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจําเลยต้องถูกจองจําถึง 7 เดือน ซึ่งผู้พิพากษาศาลแขวงจังหวัดชุมพรไม่มีอํานาจกระทําได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5) ขอให้พิพากษายกฟ้อง ท่านเห็นว่าคําร้องขอบวกโทษของศาลแขวงจังหวัดนครปฐมและศาลแขวงจังหวัดราชบุรีเข้ากับโทษ ของศาลแขวงจังหวัดชุมพรของพนักงานอัยการศาลแขวงจังหวัดชุมพร และคําพิพากษาของ

ศาลแขวงจังหวัดชุมพรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก “เมื่อปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตาม คําแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า ภายในเวลาที่ศาลกําหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทําความผิด อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจําคุกสําหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกําหนดโทษที่รอการกําหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอ การลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 คําร้องขอบวกโทษของศาลแขวงจังหวัดนครปฐมและศาลแขวงจังหวัดราชบุรี เข้ากับโทษของศาลแขวงจังหวัดชุมพรของพนักงานอัยการศาลแขวงจังหวัดชุมพรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก ได้วางหลักไว้ว่า ถ้าจําเลยเคยได้กระทําความผิดมาก่อน และศาลในคดีก่อนได้พิพากษาว่าจําเลยกระทําความผิดและได้กําหนดโทษจําคุกที่จะลงแก่จําเลยไว้ แต่โทษจําคุกนั้น ให้รอการลงโทษไว้ภายในเวลาที่ศาลกําหนด ถ้าจําเลยได้มากระทําความผิดขึ้นอีกภายในเวลาที่ศาลกําหนดอันมิใช่ ความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อน เข้ากับโทษในคดีหลัง ซึ่งโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนนั้นจะเป็นโทษเพียงคดีเดียวหรือหลายคดีก็ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายดําได้กระทําความผิดมาก่อน 2 คดี และศาลในคดีก่อนคือศาลแขวงจังหวัดนครปฐมและศาลแขวงจังหวัดราชบุรีได้พิพากษาให้จําคุกนายดําคดีละ 6 เดือน แต่โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกําหนด 2 ปี ดังนี้เมื่อนายดําได้มากระทําความผิดขึ้นอีกภายในกําหนดระยะเวลารอการลงโทษ ศาลในคดีหลัง คือศาลแขวงจังหวัดชุมพรก็ต้องนําโทษจําคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจําคุกในคดีหลัง ดังนั้น การที่พนักงานอัยการศาลแขวงจังหวัดชุมพรได้ยื่นคําร้องให้ศาลแขวงจังหวัดชุมพรนําโทษที่ศาลแขวงจังหวัดนครปฐม และศาลแขวงจังหวัดราชบุรีให้รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษของศาลแขวงจังหวัดชุมพรนั้น คําร้องดังกล่าวจึง ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นที่ 2 คําพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดชุมพรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25(5) ประกอบมาตรา 17 ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณา พิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับได้ แต่จะลงโทษจําคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่ศาลแขวงจังหวัดชุมพรได้พิพากษาให้จําคุกนายดํา 6 เดือน และปรับ 6,000 บาทนั้น คําพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดชุมพรชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้เพราะมิได้ลงโทษจําคุกเกิน 6 เดือน หรือปรับเกิน 10,000 บาทแต่อย่างใด แม้ว่านายดําจําเลยจะแถลงว่าไม่มีเงินเสียค่าปรับ และศาลแขวงจังหวัดชุมพร ได้เปลี่ยนโทษปรับเป็นกักขังแทนค่าปรับมีกําหนด 30 วัน ทําให้นายดําจําเลยต้องถูกคุมขังถึง 7 เดือนก็ตาม เพราะ การกักขังแทนค่าปรับไม่ใช่โทษจําคุก และการที่ศาลแขวงจังหวัดชุมพรให้นําโทษจําคุกที่ศาลแขวงจังหวัดนครปฐม และศาลแขวงจังหวัดราชบุรีให้รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษจําคุกของศาลแขวงจังหวัดชุมพรทําให้นายดํา ต้องรับโทษจําคุก 18 เดือน และกักขังอีก 30 วันนั้น ก็เป็นการดําเนินการตามที่ ป.อาญา มาตรา 58 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ ดังนั้นคําพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดชุมพรจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําร้องขอให้บวกโทษของศาลแขวงจังหวัดนครปฐมและศาลแขวงจังหวัดราชบุรีเข้ากับโทษ ของศาลแขวงจังหวัดชุมพรของพนักงานอัยการศาลแขวงจังหวัดชุมพร และคําพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดชุมพร ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายไก่ได้ทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกาไปเป็นจํานวนสองแสนเก้าหมื่นบาท เมื่อถึงกําหนดชําระหนี้ตามสัญญากู้ นายไก่ไม่มีเงินชําระหนี้ให้แก่นายกา นายกาจึงต้องการฟ้องนายไก่ให้ชําระหนี้เงินตาม สัญญากู้สองแสนเก้าหมื่นบาท และดอกเบี้ยที่ค้างชําระจนถึงวันฟ้องอีกเป็นจํานวนเงินหนึ่งหมื่นบาท พร้อมกับขอให้ศาลบังคับให้นายไก่ชําระดอกเบี้ยอีกร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะ ชําระเงินเสร็จสิ้น ถ้าในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวงที่มีเขตอํานาจ นายกาจะต้องฟ้องคดีดังกล่าวที่ศาลจังหวัด หรือศาลแขวง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25(4) ประกอบกับมาตรา 17) จะต้องนําคดีนั้นไปฟ้องที่ศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งแล้วแต่กรณี

ตามอุทาหรณ์ การที่นายกาต้องการฟ้องให้นายไก่ให้ชําระหนี้เงินตามสัญญากู้นั้น ถือว่าเป็น การฟ้องคดีที่มีทุนทรัพย์ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจํานวนเงินที่ฟ้องตามสัญญากู้นั้นมีจํานวน 290,000 บาท และดอกเบี้ยที่ค้างชําระจนถึงวันฟ้องเป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท เมื่อรวมกันแล้วมีจํานวน 300,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 300,000 บาท (ดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชําระเสร็จไม่นํามารวมค่านวณเป็นทุนทรัพย์) จึงเป็นคดีแพ่งที่ อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ดังนั้นนายกาจึงต้องฟ้องคดีดังกล่าวที่ศาลแขวง

สรุป นายกาจะต้องฟ้องคดีดังกล่าวที่ศาลแขวง

LAW3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า จําเลยรับโอนที่ดินจากนายเมฆซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โดยฉ้อฉล ซึ่งนายเมฆเป็นหนี้ตามสัญญากู้จํานวน 5,000,000 บาท หนี้ตามสัญญากู้ระหว่างนายเมฆกับโจทก์ถึงกําหนดชําระแล้ว การที่นายเมฆโอนที่ดินให้จําเลยโดยฉ้อฉลจะมีผลทําให้โจทก์ไม่สามารถติดตามนําที่ดิน พิพาทแปลงนี้มาบังคับชําระหนี้ตามสัญญากู้ได้ ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงขอให้ศาล มีคําสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินโดยฉ้อฉลระหว่างนายเมฆและจําเลย จําเลยยื่นคําให้การอ้างว่า จําเลย และนายเมฆไม่ได้กระทําการโอนที่ดินโดยฉ้อฉลขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลมีคําพิพากษา ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่พอใจในคําพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคําสั่งให้เพิกถอนการโอนที่เป็นการฉ้อฉลระหว่างนายเมฆและจําเลย

ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง กําหนดไว้ว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่ พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ให้ถือเอาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นหลักในการพิจารณา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า จําเลยรับโอนที่ดินจากนายเมฆซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ โดยฉ้อฉล ซึ่งนายเมฆเป็นหนี้ตามสัญญากู้จํานวน 5,000,000 บาท หนี้ตามสัญญากู้ระหว่างนายเมฆกับโจทก์ถึง กําหนดชําระแล้ว การที่นายเมฆโอนที่ดินให้จําเลยโดยฉ้อฉลจะมีผลทําให้โจทก์ไม่สามารถติดตามนําที่ดินพิพาทแปลงนี้ มาบังคับชําระหนี้ตามสัญญากู้ได้ ทําให้เจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงขอให้ศาลมีคําสั่งเพิกถอนการโอนที่ดิน โดยฉ้อฉลระหว่างนายเมฆและจําเลยนั้น ถ้าศาลมีคําพิพากษาให้เพิกถอนแล้วที่ดินพิพาทแปลงนี้ก็จะกลับไปเป็น ของนายเมฆ โดยโจทก์จะไม่ได้รับทรัพย์สินใดจากการฟ้อง ดังนั้น คดีที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

และเมื่อต่อมาศาลได้มีคําพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่พอใจในคําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคําสั่งให้เพิกถอนการโอนที่เป็นการฉ้อฉลระหว่าง นายเมฆและจําเลยนั้น ถือเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลซึ่งถือว่าเป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง และเมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ โจทก์จึงสามารถอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

สรุป โจทก์สามารถอุทธรณ์ได้

 

ข้อ 2 โจทก์ยื่นคําฟ้องและจําเลยยื่นคําให้การเรียบร้อยแล้วก่อนถึงวันสืบพยาน จําเลยมายื่นคําร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าตนเองป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ศาลเห็นว่าจําเลยไม่ได้ป่วยจริงจึงมีคําสั่งยกคําร้อง คงให้มีวันสืบพยานดังเดิม เมื่อถึงวันสืบพยาน จําเลยมายืนบัญชีระบุพยาน ศาลมีคําสั่งไม่รับ เพราะเกินกําหนดระยะเวลายื่นคําให้การแล้ว ภายหลังจากสืบพยานไปบ้างแล้วโจทก์มายื่นคําร้อง ขอให้ศาลยึดรถยนต์ของจําเลยไว้ชั่วคราว เพราะจําเลยมีเจตนาจะยักย้ายโอนขายรถยนต์ดังกล่าว ศาลจึงมีคําสั่งให้ยึดรถยนต์จําเลยไว้ชั่วคราวระหว่างพิจารณา ให้ท่านวินิจฉัยว่า จําเลยจะอุทธรณ์คําสั่งของศาลที่สั่งดังต่อไปนี้ในระหว่างพิจารณาได้หรือไม่

(ก) คําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี

(ข) คําสั่งไม่รับบัญชีระบุพยาน

(ค) คําสั่งยึดรถยนต์จําเลยไว้ชั่วคราว

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 226 “ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228

(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา

(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคําสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้ง ชอบที่จะอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เป็นต้นไป

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคําสั่งให้รับคําฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคําสั่งอย่างใด อย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคําสั่งระหว่าง พิจารณา

มาตรา 228 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคําสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ

(2) มีคําสั่งอันเกี่ยวด้วยคําขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือมี คําสั่งอันเกี่ยวด้วยคําขอเพื่อจะบังคับคดีตามคําพิพากษาต่อไป หรือ

คําสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคําสั่งเป็นต้นไป”

วินิจฉัย

คําสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคําสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1 จะต้องเป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจําหน่ายคดี

2 เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทําคดีนั้นต่อไป

3 ไม่ใช่คําสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 และมาตรา 228

เมื่อเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คําสั่งทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคัดค้านคําสั่ง ไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คําสั่งนั้นตามมาตรา 226 (2) ส่วนคําสั่งของศาลนอกเหนือจากหลักเกณฑ์ 3 ประการนี้ ไม่ถือว่าเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องโต้แย้งก่อนที่จะอุทธรณ์แต่ประการใด (อุทธรณ์ได้ทันที)

กรณีตามอุทาหรณ์ จําเลยจะอุทธรณ์คําสั่งของศาลที่สั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(ก) คําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี เป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินคดี ซึ่งเมื่อศาลสั่งไปแล้ว ไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล และไม่ใช่คําสั่งตามมาตรา 227 และมาตรา 228 จึงถือเป็นคําสั่งที่ศาลสั่งในระหว่าง พิจารณา ดังนั้น จําเลยจะอุทธรณ์คําสั่งของศาลดังกล่าวในระหว่างพิจารณาไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226

(ข) คําสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินคดี ซึ่งเมื่อศาลสั่งไปแล้ว ไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล และไม่ใช่คําสั่งตามมาตรา 227 และมาตรา 228 จึงถือเป็นคําสั่งที่ศาลสั่งในระหว่าง พิจารณา ดังนั้น จําเลยจะอุทธรณ์คําสั่งของศาลดังกล่าวในระหว่างพิจารณาไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226

(ค) คําสั่งยึดรถยนต์จําเลยไว้ชั่วคราว เป็นคําสั่งที่เกี่ยวด้วยคําขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความ ในระหว่างการพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 228 (2) ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา อันต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 (1) ดังนั้น จําเลยจึงสามารถอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวได้ ในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 228 วรรคสอง

สรุป

(ก) จําเลยจะอุทธรณ์คําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีในระหว่างพิจารณาไม่ได้

(ข) จําเลยจะอุทธรณ์คําสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานในระหว่างพิจารณาไม่ได้

(ค) จําเลยสามารถอุทธรณ์คําสั่งยึดรถยนต์จําเลยไว้ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาได้

 

ข้อ 3 โจทก์ฟ้องขอให้จําเลยชําระหนี้เงินกู้ที่จําเลยยืมไปจากโจทก์ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์พร้อมยื่นคําร้องต่อศาลขอให้ จําเลยนําเงินที่ได้จากการขายที่ดินของจําเลยมาวางศาลก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยอ้างว่าเป็น ทรัพย์สินที่พิพาทที่ง่ายแก่การใช้สอยหรือยักย้ายถ่ายเท หากโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์โจทก์ไม่อาจ ติดตามเอากลับคืนมาเพื่อบังคับคดีตามคําพิพากษาได้ ปรากฏว่าจําเลยได้รับสําเนาอุทธรณ์และคําร้อง ของโจทก์ดังกล่าวแล้วไม่ยื่นคําแก้อุทธรณ์และคัดค้านคําร้องของโจทก์ ให้วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่มีอํานาจพิจารณาสั่งคําร้องของโจทก์และศาลนั้น จะอนุญาตตามคําร้องของโจทก์ดังกล่าวได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 254 วรรคท้าย “ในระหว่างระยะเวลานับแต่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้อ่านคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดคดีหรือชี้ขาดอุทธรณ์ไปจนถึงเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสํานวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี คําขอตามมาตรานี้ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีอํานาจที่จะสั่งอนุญาตหรือยกคําขอ เช่นว่านี้”

มาตรา 264 “นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่นคําขอ ต่อศาล เพื่อให้มีคําสั่งกําหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตาม คําพิพากษา เช่น ให้นําทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษา ทรัพย์สินของห้างร้านที่ทําการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก

คําขอตามวรรคหนึ่งให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และ มาตรา 262

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้จําเลยชําระหนี้เงินกู้ที่จําเลยยืมไปจากโจทก์ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์พร้อมยื่นคําร้องต่อศาล ขอให้จําเลยนําเงินที่ได้จากการขายที่ดินของจําเลยมาวางศาลก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น คําร้องของโจทก์ที่ ยืนไปพร้อมกับอุทธรณ์ขอให้ศาลนําวิธีการชั่วคราวก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษามาใช้บังคับแก่จําเลยดังกล่าวนั้น ถือเป็นคําขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 เมื่อปรากฏว่าคดีนี้อยู่ในระหว่าง การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นศาลที่มีอํานาจพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีที่อุทธรณ์ย่อม เป็นศาลที่มีอํานาจสั่งคําร้องของโจทก์ เพราะคดีนี้ได้เสร็จการพิจารณาไปจากศาลชั้นต้นแล้ว อีกทั้งการยื่นขอ คุ้มครองประโยชน์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 มิให้นําบทบัญญัติมาตรา 254 วรรคท้ายมาใช้บังคับ ดังนั้น ศาลชั้นต้น จึงไม่มีอํานาจสั่งคําร้องของโจทก์

การขอคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นการขอให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ขอที่พิพาทกันในคดีให้ได้รับความคุ้มครองไว้ในระหว่างพิจารณาจนกว่า ศาลจะมีคําพิพากษา หรือเพื่อบังคับตามคําพิพากษา แต่เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์เป็นคดีที่ขอให้จําเลยชําระหนี้เป็นเงิน มิใช่เป็นคดีที่พิพากษาเกี่ยวด้วยตัวทรัพย์สิน เงินที่จําเลยจะต้องชําระแก่โจทก์จึงมิใช่ทรัพย์สินที่พิพาทกันในคดีที่ จะขอให้ศาลมีคําสั่งคุ้มครองประโยชน์โดยให้จําเลยนํามาวางศาลตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ จะอนุญาตตามคําร้องขอของโจทก์ไม่ได้

สรุป ศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่มีอํานาจพิจารณาสั่งคําร้องของโจทก์ และศาลอุทธรณ์จะอนุญาต ตามคําร้องขอของโจทก์ไม่ได้

 

ข้อ 4 ศาลแพ่งมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2550 ให้จําเลยชําระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยกับค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ คดีไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ จําเลยไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ โจทก์ขอ บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2557 โจทก์แถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินปันผลของจําเลยที่มีสิทธิจะได้รับจากสหกรณ์ปีละ 5,000 บาท นับแต่ปี 2557 เป็นต้นมา แต่ไม่พอชําระหนี้ตามคําพิพากษา วันที่ 20 มิถุนายน 2561 โจทก์ได้แถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถจักรยานยนต์ของจําเลยราคา 30,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการยึดให้ตามคําขอของโจทก์ และประกาศนัดขายทอดตลาดแล้ว จําเลยยื่นคําคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า บัดนี้พ้นกําหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลแพ่งมี คําพิพากษาแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิบังคับคดีตามคําสั่งอายัดเงินปันผลสหกรณ์ของจําเลยแล้ว และไม่มีสิทธิบังคับยึดรถจักรยานยนต์ของจําเลยด้วย

ให้วินิจฉัยว่า คําคัดค้านของจําเลยฟังขึ้นหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 274 วรรคหนึ่ง “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษา หรือคําสั่งให้ชําระหนี้ (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับที่ออกโดยคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล ทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ได้รับชําระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดี โดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้ มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัด สิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นภายในกําหนด 10 ปีนับแต่วันที่มี คําพิพากษาหรือคําสั่ง ซึ่งคําว่า “นับแต่วันมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง” ตามมาตรา 274 ดังกล่าว หมายความว่า นับแต่ วันที่มีคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลในชั้นที่สุดในคดีนั้น และถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงาน บังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้บางส่วนแล้วภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ดําเนินการบังคับคดี แก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นต่อไปจนแล้วเสร็จได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คดีนี้ศาลแพ่งได้มีคําพิพากษาวันที่ 15 มกราคม 2550 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องได้ภายใน 10 ปีนับแต่ วันที่มีคําพิพากษาของศาลแพ่ง ซึ่งกําหนดระยะเวลาในการบังคับคดีจะครบกําหนดในวันที่ 15 มกราคม 2560 เมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินปันผลของจําเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่มีสิทธิจะ ได้รับจากสหกรณ์ไว้แล้วเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2557 ซึ่งอยู่ภายในกําหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลแพ่งมีคําพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะดําเนินการบังคับคดีแก่สิทธิเรียกร้องตามที่อายัดไว้นั้นต่อไปได้จนแล้วเสร็จหรือครบถ้วน ตามจํานวนหนี้ตามคําพิพากษา ดังนั้น การที่จําเลยยื่นคําคัดค้านว่า บัดนี้พ้นกําหนด 10 ปีนับแต่วันที่ศาลแพ่ง มีคําพิพากษาแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิบังคับคดีตามคําสั่งอายัดเงินปันผลสหกรณ์ของจําเลยแล้วนั้น คําคัดค้านส่วนนี้ ของจําเลยจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนการที่โจทก์ขอให้ดําเนินการบังคับคดีแก่รถจักรยานยนต์ของจําเลยนั้น เมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้ มีการบังคับคดีโดยวิธียึดรถจักรยานยนต์ของจําเลยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ซึ่งเป็นการยื่นคําร้องขอภายหลัง เมื่อล่วงพ้นกําหนด 10 ปีนับแต่วันที่มีคําพิพากษาของศาลแพ่งแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจึงหมดสิทธิ ที่จะบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง คําคัดค้านของจําเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับยึดรถจักรยานยนต์ ของจําเลยในส่วนนี้จึงฟังขึ้น

สรุป คําคัดค้านของจําเลยในส่วนที่ว่าโจทก์หมดสิทธิบังคับคดีตามคําสั่งอายัดเงินปันผลสหกรณ์ ของจําเลยฟังไม่ขึ้น แต่คําคัดค้านของจําเลยในส่วนที่ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับยึดรถจักรยานยนต์ของจําเลยนั้นฟังขึ้น

 

LAW3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2 S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยเรียกหนี้เงินกู้จํานวน 500,000 บาท จําเลยยื่นคําให้การอ้างว่าทําสัญญากู้เงินจากโจทก์เพียง 200,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ต่อมาศาลชั้นต้น มีคําพิพากษาให้จําเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ให้จําเลยชําระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินจํานวน 250,000 บาท จําเลยไม่พอใจในคําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่าจําเลยต้องรับผิดชดใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์เพียง 200,000 บาท ดังนี้ จําเลยจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง กําหนดไว้ว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ให้ถือเอาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นหลักในการพิจารณา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยเรียกหนี้เงินกู้จํานวน 500,000 บาท จําเลยยื่น คําให้การอ้างว่าทําสัญญากู้เงินจากโจทก์เพียง 200,000 บาท ต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้จําเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ให้จําเลยชําระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินจํานวน 250,000 บาท จําเลยไม่พอใจในคําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลอุทธรณ์ว่าจําเลยต้องรับผิดชดใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์เพียง 200,000 บาทนั้น คําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงกระทบสิทธิของจําเลยเพียง 50,000 บาทเท่านั้น เมื่อจํานวนเงินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีเพียง 50,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 50,000 บาท และจําเลยได้อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ซึ่งถือว่าเป็น การอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จําเลยจึงอุทธรณ์ไม่ได้

สรุป จําเลยจะอุทธรณ์ไม่ได้

 

ข้อ 2. โจทก์ยื่นฟ้องจําเลยอ้างว่าจําเลยกระทําละเมิดต่อโจทก์ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับให้จําเลยชําระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 400,000 บาท แก่โจทก์ จําเลยยื่นคําให้การอ้างว่า ไม่ได้กระทําละเมิดขอให้ศาลยกฟ้อง ในระหว่างการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้งดสืบพยานของจําเลยอีก 2 ปาก เนื่องจากพยานที่สืบไปแล้วพอได้ความจากคําบอกกล่าวแล้ว จําเลยไม่พอใจ คําสั่งงดสืบพยาน จึงยืนคําแถลงต่อศาลว่า พยานของจําเลยอีก 2 ปากเป็นพยานสําคัญ ขอให้ศาล สืบพยานอีก 2 ปากของจําเลย แต่ศาลชั้นต้นก็ไม่สืบพยานอีก 2 ปากของจําเลยและนัดฟังคําพิพากษา ดังนี้ ถ้าจําเลยไม่พอใจคําสั่งงดสืบพยาน เมื่อศาลมีคําพิพากษาแล้ว จําเลยจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 226 “ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228

(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา

(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคําสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้ง ชอบที่จะอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เป็นต้นไป

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคําสั่งให้รับคําฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคําสั่ง ระหว่างพิจารณา

วินิจฉัย

คําสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคําสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1 จะต้องเป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจําหน่ายคดี

2 เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทําคดีนั้นต่อไป

3 ไม่ใช่คําสั่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา 227 และมาตรา 228

และเมื่อเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คําสั่งนั้นทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้ง คัดค้านคําสั่งนั้นไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 (2)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยว่า จําเลยกระทําละเมิดต่อโจทก์ทําให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย และจําเลยยื่นคําให้การว่า ไม่ได้กระทําละเมิด ในระหว่างการพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นมีคําสั่ง ให้งดสืบพยานของจําเลยอีก 2 ปาก เนื่องจากพยานที่สืบไปแล้วพอได้ความจากคําบอกกล่าวแล้ว จําเลยไม่พอใจ คําสั่งงดสืบพยาน จึงยื่นคําแถลงต่อศาลว่า พยานอีก 2 ปากเป็นพยานสําคัญ ขอให้ศาลสืบพยานอีก 2 ปาก ของจําเลย แต่ศาลชั้นต้นก็ไม่สืบพยานอีก 2 ปากของจําเลยนั้น คําสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นถือเป็นคําสั่ง ระหว่างพิจารณา การที่จําเลยไม่พอใจคําสั่งของศาลจึงยื่นคําแถลงต่อศาลดังกล่าวนั้น คําแถลงของจําเลย ย่อมถือว่าเป็นการโต้แย้งคําสั่งของศาลแล้ว ดังนั้น เมื่อศาลได้มีคําพิพากษาแล้ว จําเลยย่อมสามารถอุทธรณ์ คําสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226

สรุป จําเลยสามารถอุทธรณ์คําสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นได้

 

ข้อ 3. โจทก์ยื่นฟ้องจําเลยฐานผิดสัญญาเช่าซื้อเครื่องจักรต่อโจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อให้จําเลยส่งมอบเครื่องจักรคืน พร้อมทั้งชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จําเลยให้การว่าจําเลยไม่เคยผิดสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลยกฟ้อง ต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี ให้จําเลยส่งมอบเครื่องจักร พร้อมทั้งชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จําเลยอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ย้ายภูมิลําเนาตามภริยาไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในประเทศไทย จําเลยจึงยื่นคําร้องขอคุ้มครองประโยชน์ ของจําเลยต่อศาลอุทธรณ์ให้โจทก์นําค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายมาวางต่อศาล และศาลไต่สวน ได้ข้อเท็จจริงตามคําร้องของจําเลย ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะมีคําสั่งตามคําร้องของจําเลยอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 253 วรรคหนึ่ง “ถ้าโจทก์มิได้มีภูมิลําเนาหรือสํานักทําการงานอยู่ในราชอาณาจักร และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือถ้าเป็นที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยง ไม่ชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย จําเลยอาจยื่นคําร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาขอให้ศาล มีคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้ เพื่อการชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายได้”

มาตรา 253 ทวิ วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคําพิพากษา ถ้ามี เหตุใดเหตุหนึ่งตามมาตรา 253 วรรคหนึ่ง จําเลยอาจยื่นคําร้องต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี ไม่ว่าเวลา ใด ๆ ก่อนพิพากษา ขอให้ศาลมีคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้เพื่อการชําระค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้”

วินิจฉัย

ในกรณีที่จําเลยจะยื่นขอคุ้มครองชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากมีเหตุใดเหตุหนึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 วรรคหนึ่งได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาของศาลชั้นต้น และ จําเลยได้ยื่นคําร้องต่อศาลก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะได้มีคําพิพากษาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 ทวิ วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีและโจทก์ไม่ได้ ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่เป็นกรณีที่จําเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีในศาลชั้นต้นได้ยื่นอุทธรณ์ คัดค้านคําพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น แม้จําเลยจะได้ยื่นขอคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และเนื่องจากมีเหตุตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 วรรคหนึ่ง กล่าวคือโจทก์ได้ย้ายภูมิลําเนาไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในประเทศไทยก็ตาม เมื่อกรณีดังกล่าวไม่เข้าเงื่อนไขตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 ทวิ วรรคหนึ่งแล้ว จําเลยจึงไม่สามารถร้องขอคุ้มครองชั่วคราวได้ ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะมี คําสั่งให้ยกคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของจําเลย

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะมีคําสั่งยกคําร้องของจําเลย

 

ข้อ 4. คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลอุทธรณ์มีคําพิพากษาในวันที่ 10 มีนาคม 2551 ให้จําเลยชําระหนี้เงินกู้แก่โจทก์จํานวน 4,000,000 บาท ศาลได้ออกคําบังคับ แต่จําเลยไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ ต่อมาโจทก์ได้ขอ ออกหมายบังคับคดีในวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 หลังจากนั้นโจทก์สืบทรัพย์พบว่า จําเลยมีที่ดิน ที่จังหวัดแพร่ จึงแถลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจําเลยในวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ดังนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะยึดที่ดินของจําเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 274 วรรคหนึ่ง “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษา หรือคําสั่งให้ชําระหนี้ (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับที่ออกโดยคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล ทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ได้รับชําระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดี โดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์มีคําพิพากษาในวันที่ 10 มีนาคม 2551 ให้จําเลยชําระหนี้ แก่โจทก์จํานวน 4,000,000 บาท และศาลได้ออกคําบังคับ แต่จําเลยไม่ปฏิบัติตามคําบังคับนั้น ถ้าโจทก์จะบังคับคดี โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจําเลย โจทก์จะต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ มีคําพิพากษาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 271 วรรคหนึ่ง

แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ขอออกหมายบังคับคดีในวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 และเมื่อโจทก์พบว่า จําเลยมีที่ดินที่จังหวัดแพร่ จึงได้แถลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจําเลยในวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 นั้น ถือว่าโจทก์ได้ร้องขอให้มีการบังคับคดีเมื่อเกินระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ได้มี คําพิพากษา ดังนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่สามารถไปยึดที่ดินของจําเลยตามคําร้องขอของโจทก์ได้

สรุป เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดที่ดินของจําเลยตามคําร้องขอของโจทก์ไม่ได้

LAW3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า จําเลยปลอมพินัยกรรมของนายเอผู้ตายซึ่งเป็นบิดาโจทก์ โดยเขียนข้อความให้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาทให้จําเลย จึงขอให้ศาลแสดงว่าพินัยกรรมที่จําเลยอ้าง เป็นโมฆะ จําเลยยื่นคําให้การอ้างว่า ไม่เคยปลอมพินัยกรรมของนายเอ นายเอเขียนพินัยกรรม แสดงเจตนายกที่ดินให้จําเลย ขอให้ศาลยกฟ้อง ต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่พอใจคําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงยื่นอุทธรณ์ว่าจําเลยปลอมพินัยกรรมของนายเอ ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคําพิพากษาว่า พินัยกรรมที่จําเลยอ้างเป็นโมฆะ ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง กําหนดไว้ว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ให้ถือเอาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นหลักในการพิจารณา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยโดยอ้างว่า จําเลยปลอมพินัยกรรมของนายเอผู้ตาย ซึ่งเป็นบิดาโจทก์ โดยเขียนข้อความให้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาทให้จําเลย จึงขอให้ศาลแสดงว่า พินัยกรรมที่จําเลยอ้างเป็นโมฆะ และจําเลยยื่นคําให้การอ้างว่า จําเลยไม่เคยปลอมพินัยกรรมของนายเอ แต่นายเอ เขียนพินัยกรรมแสดงเจตนายกที่ดินให้จําเลย ขอให้ศาลยกฟ้อง ต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่พอใจคําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงยื่นอุทธรณ์ว่าจําเลยปลอมพินัยกรรมของนายเอ ขอให้ศาลอุทธรณ์ มีคําพิพากษาว่าพินัยกรรมที่จําเลยอ้างเป็นโมฆะนั้น โจทก์จะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์อุทธรณ์นั้น เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ซึ่งถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และเมื่อในขณะที่โจทก์ฟ้องนั้นพินัยกรรมฉบับนี้ยังคงมีผลสมบูรณ์และที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในพินัยกรรม จึงยังคงเป็นของจําเลย แต่ถ้าศาลพิพากษาให้พินัยกรรมที่จําเลยอ้างเป็นโมฆะก็จะทําให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้หรือ เสียสิทธิในทรัพย์นั้น คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และเมื่อที่ดินมีราคา 500,000 บาท ซึ่งเกินกว่า 50,000 บาท จึงไม่เข้าข้อห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ดังนั้นโจทก์จึงสามารถอุทธรณ์ได้

สรุป โจทก์สามารถอุทธรณ์ได้

 

ข้อ 2. โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยชําระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินท้ายคําฟ้องจํานวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นตรวจคําฟ้อง ของโจทก์แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า สัญญากู้ยืมเงินท้ายคําฟ้องของโจทก์มีเพียงลายพิมพ์นิ้วมือ ของผู้กู้โดยไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้ไว้ด้วยสองคน จึงถือไม่ได้ว่าเป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสําคัญ โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดี แก่จําเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในวันเดียวกันกับวันที่โจทก์ยื่นคําฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า คําพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ แล้วมีคําสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นคดีที่มีจํานวนในทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ให้วินิจฉัยว่า คําสั่งของศาลชั้นต้นที่ตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวชอบหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 24 วรรคหนึ่ง “เมื่อคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้าง ซึ่งถ้าหากได้วินิจฉัย ให้เป็นคุณแก่ฝ่ายนั้นแล้ว จะไม่ต้องมีการพิจารณาคดีต่อไปอีก หรือไม่ต้องพิจารณาประเด็นสําคัญแห่งคดีบางข้อ หรือถึงแม้จะดําเนินการพิจารณาประเด็นข้อสําคัญแห่งคดีไป ก็ไม่ทําให้ได้ความชัดขึ้นอีกแล้ว เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคําขอ ให้ศาลมีอํานาจที่จะมีคําสั่งให้มีผลว่าก่อนดําเนินการพิจารณาต่อไป ศาลจะได้ พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเช่นว่านี้แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหานั้น”

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี

มาตรา 227 “คําสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับหรือให้คืนคําคู่ความตามมาตรา 18 หรือคําสั่ง วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่งทําให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้น มิให้ถือว่าเป็นคําสั่งในระหว่างพิจารณา และ ให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลชั้นต้นตรวจคําฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า สัญญากู้ยืมเงินท้ายคําฟ้องของโจทก์มีเพียงลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้โดยไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ของผู้กู้ไว้ด้วยสองคน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสําคัญ โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จําเลยไม่ได้ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ถือว่าเป็นคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นใน ปัญหาข้อกฎหมายเมื่อศาลเห็นสมควรตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ซึ่งทําให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง มิให้ถือว่า เป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา และให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 227

การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าคําพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการอุทธรณ์ในข้อกฎหมายมิใช่อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ดังนั้นแม้จะเป็นคดีที่มีจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์จะไม่เกิน 50,000 บาท ก็ไม่เข้าข้อห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เพราะ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับกับการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช้บังคับกับ การอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย ดังนั้น คําสั่งของศาลชั้นต้นที่ตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําสั่งของศาลชั้นต้นที่ตรวจอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. ผู้ร้องยื่นคําร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมามีผู้คัดค้านยื่นคําคัดค้านเข้ามาในคดี คัดค้านการตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและมีคําขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ในระหว่าง พิจารณาผู้ร้องเห็นว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์มรดกครอบครองอยู่และมีรายได้รวมถึงดอกผลจากทรัพย์ มรดกนั้น ในกรณีเช่นนี้หากผู้ร้องต้องการยื่นคําร้องขอคุ้มครองผลประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา ขอให้ผู้คัดค้านแสดงบัญชีเงินรายได้ของทรัพย์มรดกและนํารายได้และดอกผลของทรัพย์มรดก มาวางต่อศาลไว้ในระหว่างพิจารณาเพื่อประโยชน์ในการแบ่งมรดกจะสามารถทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 254 “ในคดีอื่น ๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคําฟ้อง หรือในเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคําขอฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคําสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไป เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใด ๆ ดังต่อไปนี้

(1) ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลยทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อน พิพากษา รวมทั้งจํานวนเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกําหนดชําระแก่จําเลย

(2) ให้ศาลมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยกระทําซ้ําหรือกระทําต่อไป ซึ่งการละเมิดหรือ การผิดสัญญาหรือการกระทําที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคําสั่งอื่นใดในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์ อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทําของจําเลยหรือมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยโอน ขาย ยักย้ายหรือจําหน่าย ซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลย หรือมีคําสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือการบุบสลาย ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น

(3) ให้ศาลมีคําสั่งให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นผู้มีอํานาจหน้าที่ตาม กฎหมาย ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือการเพิกถอนการจดทะเบียนที่เกี่ยวกับ ทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลยหรือที่เกี่ยวกับการกระทําที่ถูกฟ้องร้องไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

(4) ให้จับกุมและกักขังจําเลยไว้ชั่วคราว”

มาตรา 264 “นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่น คําขอต่อศาล เพื่อให้มีคําสั่งกําหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตาม คําพิพากษา เช่น ให้นําทรัพย์สินหรือเงินทิพิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษา ทรัพย์สินของห้างร้านที่ทําการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก

คําขอตามวรรคหนึ่ง ห้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ผู้ร้องยื่นคําร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมามีผู้คัดค้าน ยื่นคําคัดค้านเข้ามาในคดีคัดค้านการตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและมีคําขอให้ตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก ของผู้ตาย ในระหว่างพิจารณาผู้ร้องเห็นว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์มรดกครอบครองอยู่และมีรายได้รวมถึงดอกผล จากทรัพย์มรดกนั้น กรณีเช่นนี้หากผู้ร้องต้องการยื่นคําร้องขอคุ้มครองผลประโยชน์ชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา ขอให้ผู้คัดค้านแสดงบัญชีเงินรายได้ของทรัพย์มรดกและนํารายได้และดอกผลของทรัพย์มรดกมาวางต่อศาล ไว้ในระหว่างพิจารณาเพื่อผลประโยชน์ในการแบ่งมรดกนั้น จะสามารถทําได้หรือไม่ เห็นว่า ในการยื่นคําร้อง ขอคุ้มครองชั่วคราวทั้งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 254 และมาตรา 264 นั้น จะต้องเป็นคําร้องที่เกี่ยวข้องกับคําขอ ท้ายฟ้องซึ่งเป็นประเด็นที่ศาลจะต้องมีคําพิพากษาด้วย ซึ่งตามอุทาหรณ์การยื่นคําร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนั้น เมื่อมีผู้คัดค้านทําให้คดีไม่มีข้อพิพาทกลายเป็นคดีมีข้อพิพาท ซึ่งประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนั้นก็มีเพียงการ พิจารณาคุณสมบัติของผู้ร้องและผู้คัดค้านว่าใครมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกเท่านั้น ไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย ไปถึงตัวทรัพย์มรดกแต่อย่างใด ดังนั้น การยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับทรัพย์มรดกดังกล่าวของผู้ร้อง จึงไม่สามารถทําได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 254 และมาตรา 264

สรุป การยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ร้องไม่สามารถทําได้

 

ข้อ 4. ศาลแพ่งสืบพยานโจทก์จําเลยเสร็จและให้คู่ความรอฟังคําพิพากษาในวันเดียวกันแล้วมีคําพิพากษาให้จําเลยชําระเงินตามฟ้อง 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันถัดจาก วันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ และศาลแพ่งได้ออกคําบังคับให้จําเลยปฏิบัติตามคําพิพากษา ของศาลภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคําพิพากษา โดยปรากฏว่าจําเลยและทนายความไม่อยู่รอฟัง คําพิพากษาในวันนั้น อีกสามเดือนต่อมา โจทก์สืบทราบว่าจําเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ตั้งอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ โจทก์ได้ยื่นคําขอให้บังคับคดีที่ดินของจําเลยดังกล่าวต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยระบุข้อความคําขอให้บังคับคดีถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายเพื่อให้ศาลจังหวัดเชียงใหม่ กําหนดวิธีการบังคับคดีแก่ที่ดินของจําเลยดังกล่าว ให้วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิยื่นคําขอให้ศาลกําหนดวิธีการบังคับคดีได้หรือไม่ และศาลจังหวัดเชียงใหม่ จะกําหนดวิธีการบังคับคดีตามคําขอของโจทก์ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 271 วรรคหนึ่ง “ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีซึ่งมีอํานาจกําหนดวิธีการบังคับคดีตาม มาตรา 276 และมีอํานาจทําคําวินิจฉัยชี้ขาดหรือทําคําสั่งในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคําพิพากษา หรือคําสั่ง คือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น หรือตามที่มีกฎหมายบัญญัติ”

มาตรา 272 วรรคหนึ่ง “ถ้าศาลได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งอย่างใดซึ่งต้องมีการบังคับคดีแก่ ลูกหนี้ตามคําพิพากษา ก็ให้ศาลออกคําบังคับทันทีที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น และให้ถือว่า ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ทราบคําบังคับแล้วในวันนั้น”

มาตรา 276 วรรคหนึ่ง “เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาขอให้บังคับคดี ถ้าศาลเห็นว่าลูกหนี้ ตามคําพิพากษาได้ทราบหรือถือว่าได้ทราบคําบังคับแล้ว ทั้งระยะเวลาที่กําหนดไว้เพื่อให้ปฏิบัติตามคําบังคับนั้น ได้ล่วงพ้นไปแล้ว และคําขอได้ระบุข้อความได้ครบถ้วน ให้ศาลกําหนดวิธีการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายนี้ และตามมาตรา 213 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลแพ่งสืบพยานโจทก์จําเลยเสร็จและให้คู่ความรอฟังคําพิพากษา ของศาลในวันเดียวกันแล้วมีคําพิพากษาให้จําเลยชําระเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์อันเป็นคําพิพากษา ซึ่งต้องมีการบังคับคดีแก่จําเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้น ป.วิ.แพ่ง มาตรา 272 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้ศาล ออกคําบังคับคดีทันทีที่ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านคําพิพากษานั้น และให้ถือว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ทราบคําบังคับ ในวันนั้น เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคําบังคับให้จําเลยปฏิบัติตามคําพิพากษาภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคําพิพากษา ซึ่งในวันที่ได้อ่านคําพิพากษาให้แก่จําเลยฟังย่อมถือว่าจําเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ทราบคําบังคับแล้ว แม้จําเลยและทนายจําเลยจะมิได้อยู่รอฟังคําพิพากษาและคําบังคับของศาลชั้นต้นก็ตาม

ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า เวลาได้ผ่านพ้นไป 3 เดือน ซึ่งล่วงพ้นระยะเวลาที่กําหนดไว้ตามคําบังคับแล้ว จําเลยก็ยังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับ โจทก์จึงชอบที่จะยื่นคําขอให้ศาลกําหนดวิธีการบังคับคดีได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 276 วรรคหนึ่ง

และตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 271 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติว่า ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีซึ่งมี อํานาจกําหนดวิธีการบังคับคดีตามมาตรา 276 คือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น ดังนั้น เมื่อศาลแพ่ง เป็นศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น ศาลแพ่งจึงเป็นศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีที่จะกําหนด วิธีการบังคับคดี มิใช่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แม้ที่ดินที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาขอให้บังคับคดีจะตั้งอยู่ ในเขตศาลจังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม โจทก์ก็ชอบที่จะยื่นคําขอให้บังคับคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกําหนดวิธีการบังคับคดี ตามมาตรา 276 มิใช่ยื่นต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพราะศาลจังหวัดเชียงใหม่จะกําหนดวิธีการบังคับคดีตามคําขอ ของโจทก์ไม่ได้

สรุป โจทก์มีสิทธิยื่นคําขอให้ศาลกําหนดวิธีการบังคับคดีได้ และศาลจังหวัดเชียงใหม่จะกําหนด วิธีการบังคับคดีตามคําขอของโจทก์ไม่ได้

 

LAW3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจําเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ บัดนี้นายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ถึงแก่กรรมแล้ว จําเลยไม่ยอมคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของนายเส็ง ผู้ตาย ขอให้จําเลยจดทะเบียนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ จําเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจําเลย มิใช่ของนายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสี่ และจําเลยแถลงรับกันต่อศาลชั้นต้นว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องมีราคา 200,000 บาท ศาลชั้นต้น พิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจําเลย มิใช่เป็นของนายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่

โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ ไม่ใช่ของจําเลย ให้วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิอุทธรณ์ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง กําหนดไว้ว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ให้ถือเอาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นหลักในการพิจารณา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าจําเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนายเส็ง บิดาของโจทก์ทั้งสี่ บัดนี้นายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ถึงแก่กรรมแล้ว จําเลยไม่ยอมคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ซึ่งเป็นทายาทของนายเส็งผู้ตาย ขอให้จําเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ซึ่งจําเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจําเลย มิใช่เป็นของนายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่นั้น คําฟ้องของโจทก์ทั้งสี่เป็นคําฟ้องเรียกให้จําเลย ส่งคืนทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสี่ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายเส็ง ซึ่งถือเป็นคดีที่มีคําขอ ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ ดังนั้น การอุทธรณ์ย่อมอยู่ในบังคับแห่ง ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจําเลยมิใช่เป็นของนายเส็ง บิดาโจทก์ทั้งสี่จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสี่ และโจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายเส็งบิดาโจทก์ทั้งสี่ ไม่ใช่ของจําเลยนั้น ถือเป็นการอุทธรณ์คัดค้านดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อันเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

และเมื่อที่ดินพิพาทมีราคา 200,000 บาท แม้โจทก์ทั้งสี่จะอุทธรณ์รวมกันมาในอุทธรณ์ ฉบับเดียวกัน แต่การพิจารณาสิทธิในการอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสี่จะต้องแยกออกจากกันตามราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเรียกร้องเอาแก่จําเลยเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิ ของตนโดยเฉพาะในฐานะที่เป็นทายาทของนายเส็งผู้ตาย ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ของโจทก์แต่ละคนจึงมีเพียงคนละ 50,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความ อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงดังกล่าว

สรุป โจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิอุทธรณ์

 

ข้อ 2. โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จําเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย จําเลยอ้างว่าไม่เคยทําสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ ขอให้ศาลยกฟ้อง ต่อมาในระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์ และจําเลยได้ทําสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจําเลยตกลงจะโอนที่ดินพิพาทส่วนหนึ่ง ให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาตามยอมและคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคําร้องต่อ ศาลชั้นต้นอ้างว่าจําเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไม่ครบตามที่กําหนดไว้ในคําพิพากษาตามยอม ขอให้เรียกจําเลยมาสอบถาม ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ไต่สวนคําร้องของโจทก์ จําเลยไม่พอใจคําสั่ง ของศาลชั้นต้น จึงใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์คําสั่งของศาลชั้นต้นทันทีโดยไม่ได้โต้แย้งคําสั่งของศาล ดังนี้ จําเลยจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 1 “ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(5) “คําคู่ความ” หมายความว่า บรรดาคําฟ้อง คําให้การหรือคําร้องทั้งหลายที่ยื่นต่อศาล เพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ”

มาตรา 226 “ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228

(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา

(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคําสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้ง ชอบที่จะอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เป็นต้นไป

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคําสั่งให้รับคําฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคําสั่ง ระหว่างพิจารณา

วินิจฉัย

คําสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคําสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1 จะต้องเป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจําหน่ายคดี

2 เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทําคดีนั้นต่อไป

3 ไม่ใช่คําสั่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา 227 และมาตรา 228

และเมื่อเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คําสั่งนั้นทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้ง คัดค้านคําสั่งนั้นไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 (2)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จําเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม สัญญาจะซื้อจะขาย แต่จําเลยอ้างว่าไม่เคยทําสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ ต่อมาในระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์และจําเลยได้ทําสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจําเลยตกลงจะโอนที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งให้แก่โจทก์ และศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาตามยอมและคดีเสร็จเด็ดขาดแล้วนั้น ต่อมาการที่โจทก์ได้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้น อ้างว่าจําเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไม่ครบตามที่กําหนดไว้ในคําพิพากษาตามยอม ขอให้เรียกจําเลยมา สอบถามนั้น เป็นกรณีที่คําร้องของโจทก์มีการกล่าวหาจําเลย คําร้องของโจทก์ฉบับนี้จึงถือว่าเป็นคําคู่ความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 1 (5) ส่งผลทําให้เกิดคดีขึ้นใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ไต่สวนคําร้องของโจทก์ คําสั่งของ ศาลชั้นต้นไม่ทําให้คดีเสร็จไป จึงเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจําเลยไม่ได้โต้แย้งคําสั่งนั้นไว้ก่อน แต่ใช้สิทธิใน การยื่นอุทธรณ์คําสั่งของศาลทันที จําเลยจึงไม่สามารถอุทธรณ์คําสั่งของศาลชั้นต้นได้

สรุป จําเลยจะอุทธรณ์ไม่ได้

 

ข้อ 3. ข้อนี้มีคําถามอยู่ 2 ข้อ ให้เลือกทําเพียงข้อเดียว และต้องเลือกทําเฉพาะข้อที่เป็นคําขอวิธีการชั่วคราวก่อนมีคําพิพากษา

(ก) ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําเลยใช้เงินโจทก์ 10 ล้านบาท ในชั้นบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดบ้านที่ดินไว้ตามคําขอของโจทก์เพื่อขายทอดตลาด นายแดงได้ยื่นคําร้องขอต่อศาลว่า บ้านที่ดินที่ยึดหาใช่ของจําเลยแต่เป็นของนายแดงผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคําสั่งให้ปล่อยบ้านที่ดินที่ยึด โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าเป็นของจําเลย และมีคําสั่งให้ยกคําร้องนายแดง นายแดงอุทธรณ์ว่าบ้านที่ดินที่ยึดเป็นของตนพร้อมกับคําร้องให้ศาลมีคําสั่งงดการขายบ้านที่ดิน ไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ ดังนี้ ศาลใดเป็นศาลที่มีอํานาจสั่งคําร้องที่นายแดงขอให้งดการขาย และถ้าท่านเป็นศาล

ท่านมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตอย่างไร

(ข) ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้จําเลยใช้เงิน 10 ล้านบาทแก่โจทก์ จําเลยอุทธรณ์ ในระหว่างอุทธรณ์เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดบ้านที่ดินของจําเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชําระหนี้ตาม คําพิพากษา จําเลยเห็นว่าหากบ้านที่ดินของจําเลยถูกขายทอดตลาดไปแล้ว หากต่อมาศาลอุทธรณ์ มีคําพิพากษาว่าจําเลยไม่ได้ผิดสัญญาและให้จําเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จําเลยก็จะเสียสิทธิใน บ้านที่ดิน จําเลยจึงยื่นคําร้องให้ศาลมีคําสั่งให้งดการขายบ้านที่ดินของจําเลยไว้ก่อนในระหว่าง อุทธรณ์ ดังนี้ ศาลใดมีอํานาจสั่งคําร้องของจําเลยที่ขอให้งดการขาย และถ้าท่านเป็นศาล ท่านมี หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตตามคําขอของจําเลยอย่างไร

ธงคําตอบ

ข้อ (ก)

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 254 วรรคท้าย “ในระหว่างระยะเวลานับแต่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้อ่าน คําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดคดีหรือชี้ขาดอุทธรณ์ไปจนถึงเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสํานวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกา ไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี คําขอตามมาตรานี้ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีอํานาจที่จะสั่ง อนุญาตหรือยกคําขอเช่นว่านี้”

มาตรา 264 “นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะ ยื่นคําขอต่อศาล เพื่อให้มีคําสั่งกําหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับ ตามคําพิพากษา เช่น ให้นําทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการ หรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทําการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครอง ของบุคคลภายนอก

คําขอตามวรรคหนึ่งให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้ยื่นคําร้องขอต่อศาลว่าบ้านที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ได้ยึดไว้เพื่อขายทอดตลาด เป็นที่ดินของนายแดงหาใช่ของจําเลยไม่ ขอให้ศาลมีคําสั่งให้ปล่อยบ้านที่ดินที่ยึดนั้น ถือว่าเป็นคดีร้องขัดทรัพย์และนายแดงมีฐานะเป็นโจทก์

การที่ศาลชั้นต้นทําการไต่สวนแล้วเห็นว่าเป็นของจําเลยและมีคําสั่งให้ยกคําร้องของนายแดง นายแดงได้อุทธรณ์พร้อมกับร้องขอให้ศาลมีคําสั่งงดการขายบ้านที่ดินที่ยึดไว้ก่อน คําขอของนายแดงถือว่าเป็น คําขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 เพราะไม่ใช่คําขอตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 และมาตรา 254 และเมื่อคดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอํานาจสั่งคําร้องของนายแดง เพราะ กรณีการยื่นคําขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 นั้น มิให้นําบทบัญญัติมาตรา 254 วรรคท้าย มาใช้บังคับ ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอํานาจสั่งคําร้องของโจทก์ (นายแดง)

และตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตไว้ว่า ในกรณี ที่ศาลจะพิจารณาอนุญาตตามคําขอของนายแดง ศาลจะต้องพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการคุ้มครองประโยชน์ ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทได้รับการคุ้มครองไว้ก่อนพิพากษา และ ตามข้อเท็จจริง หากนายแดงไม่ได้ยื่นคําขอ และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดบ้านที่ดินนั้นไปแล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคําพิพากษาว่าบ้านที่ดินที่ยึดเป็นของนายแดง นายแดงก็จะไม่ได้บ้านที่ดินคืน ทําให้นายแดง ต้องเสียหายและเสียสิทธิในบ้านที่ดินนี้ และเมื่อพิจารณาได้ความดังกล่าวแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็จะมีคําสั่งให้งดการ ขายบ้านที่ดินไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ได้

สรุป ศาลอุทธรณ์เป็นศาลที่มีอํานาจสั่งคําร้องที่นายแดงขอให้งดการขายไว้ก่อน และศาลอุทธรณ์ จะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 ดังกล่าวข้างต้น

หมายเหตุ คําถามในข้อ 3. มี 2 ข้อ ซึ่งท่านอาจารย์ให้นักศึกษาเลือกทําเพียงข้อเดียว และ ต้องเลือกทําเฉพาะข้อที่เป็นคําขอวิธีการชั่วคราวก่อนมีคําพิพากษา ดังนั้นนักศึกษาจึงต้องเลือกทําข้อ (ก)

ส่วนคําถามในข้อ (ข) นั้น ไม่ใช่คําขอตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 เพราะการที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดบ้านที่ดินของจําเลยและประกาศขายทอดตลาดนั้น เป็นกรณีที่ศาลบังคับให้จําเลย ปฏิบัติตามคําพิพากษา หากจําเลยไม่อยากถูกบังคับให้ปฏิบัติตามคําพิพากษา จําเลยก็จะต้องร้องขอให้ศาลทุเลา การบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 231 หรือขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 292 (1) แล้วแต่กรณี จําเลยจะร้องขอวิธีการชั่วคราวขอให้ศาลมีคําสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจําเลย ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 ไม่ได้

 

ข้อ 4. ศาลแพ่งมีคําพิพากษาให้จับไล่จําเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์จํานวน 50,000 บาท และได้ออกคําบังคับแก่จําเลยในวันที่ได้อ่านคําพิพากษาให้จําเลยฟัง โดยชอบแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ทําหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจําเลยทั้งหมดตามคําพิพากษา ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้ว ผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลแพ่งเพื่อเข้าสวมสิทธิ์เป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา โจทก์ไม่ยื่นคําคัดค้าน จําเลยยื่นคําคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะเข้าสวมสิทธิ บังคับคดีไม่ได้ ขอให้ยกคําร้อง ให้วินิจฉัยว่า คําคัดค้านของจําเลยฟังขึ้นหรือไม่ และศาลแพ่งจะมีคําสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็น เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 274 วรรคสาม “ถ้าสิทธิเรียกร้องตามคําพิพากษาหรือคําสั่งเป็นการให้ชําระเงิน ส่งคืน หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง บุคคลซึ่งได้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นมีอํานาจบังคับคดี ตามความในหมวด 2 การบังคับคดีในกรณีที่เป็นหนี้เงิน หรือหมวด 3 การบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์ เฉพาะสิง แล้วแต่กรณี โดยการร้องขอต่อศาลเพื่อเข้าสวมสิทธิ์เป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาต่อไป”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่ศาลแพ่งมีคําพิพากษาให้ขับไล่จําเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จํานวน 50,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ทําหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจําเลย ทั้งหมดตามคําพิพากษาให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้ว และผู้ร้องได้ยื่นคําร้องต่อศาลแพ่งเพื่อเข้าสวมสิทธิ์เป็นเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษา แต่จําเลยได้ยื่นคําคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะเข้าสวมสิทธิบังคับคดีไม่ได้นั้น คําคัดค้านของจําเลยย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 274 วรรคสาม ได้บัญญัติให้บุคคลผู้ซึ่งรับโอน หรือรับช่วงสิทธิเรียกร้องตามคําพิพากษาหรือคําสั่งที่เป็นการให้ชําระเงิน ส่งคืน หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง มีอํานาจบังคับคดีโดยการร้องขอต่อศาลเพื่อเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาต่อไป ดังนั้น เมื่อผู้ร้องได้รับ โอนสิทธิเรียกร้องตามคําพิพากษาจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษามาโดยชอบแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอ ต่อศาลเพื่อเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพื่อบังคับคดีต่อไปได้

แต่อย่างไรก็ดี ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 274 วรรคสาม ได้บัญญัติให้บุคคลผู้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิ ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งดังกล่าวนั้น มีอํานาจบังคับคดีเฉพาะตามความในหมวด 2 การบังคับคดีในกรณีที่ เป็นหนี้เงิน หรือหมวด 3 การบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง แล้วแต่กรณีเท่านั้น เมื่อสิทธิเรียกร้องที่ผู้ร้องรับโอนมาจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษานั้น นอกจากจะเป็นการให้ชําระเงิน แก่โจทก์แล้ว ยังมีการบังคับคดีโดยให้ขับไล่จําเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ด้วย ซึ่งการบังคับคดีใน ส่วนหลัง มิใช่การบังคับคดีในกรณีที่เป็นหนี้เงิน หรือส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งตามความในหมวด 2 หรือหมวด 3 ที่ผู้ร้องจะเรียกร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้ แต่เป็นการบังคับคดีในกรณี ที่ให้ขับไล่ตามความในหมวด 4 ซึ่งไม่อยู่ในบังคับที่ผู้ร้องจะขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาในส่วนนี้ได้ ส่วนสิทธิเรียกร้องตามคําพิพากษาที่บังคับให้จําเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น เป็นการบังคับในกรณีที่เป็นหนี้เงิน ซึ่งผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาต่อไปได้ ดังนั้น ศาลแพ่งชอบที่จะมีคําสั่งให้ผู้ร้อง เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเฉพาะในกรณีที่ให้จําเลยชําระเงินและยกคําร้องขอเข้าสวมสิทธิ์เป็นเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาในกรณีที่ให้ขับไล่จําเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์

สรุป คําคัดค้านของจําเลยฟังไม่ขึ้น และศาลแพ่งชอบที่จะมีคําสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็น เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเฉพาะในกรณีที่ให้จําเลยชําระเงินและมีคําสั่งยกคําร้องขอที่จะเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาในกรณีที่ให้ขับไล่จําเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์

 

LAW3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2 S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3007 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า โจทก์ทําสัญญากู้เงินจากจําเลยจํานวน 5 ล้านบาท โดยโจทก์นําโฉนดที่ดินของโจทก์ไปให้จําเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาโจทก์นําหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยไปชําระคืน เต็มจํานวนแล้ว แต่จําเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ โจทก์จึงขอศาลบังคับให้จําเลยคืนโฉนดที่ดิน แก่โจทก์ จําเลยยื่นคําให้การอ้างว่า โจทก์ไม่เคยนําโฉนดที่ดินมาให้ตนยึดถือเป็นหลักประกันหนี้เงินกู้ แต่อย่างใด และที่ดินที่โจทก์อ้างก็เป็นที่ดินสาธารณะ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลชั้นต้น มีคําพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่พอใจคําพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ บังคับให้จําเลยคืนโฉนดที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง กําหนดไว้ว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ให้ถือเอาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นหลักในการพิจารณา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยโดยอ้างว่า โจทก์ทําสัญญากู้เงินจากจําเลยจํานวน 5 ล้านบาท และโจทก์ได้นําโฉนดที่ดินของโจทก์ไปให้จําเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาโจทก์นําหนี้เงินกู้พร้อม ดอกเบี้ยไปชําระคืนเต็มจํานวนแล้ว แต่จําเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ โจทก์จึงขอศาลบังคับให้จําเลยคืนโฉนด ที่ดินแก่โจทก์ แต่จําเลยยื่นคําให้การอ้างว่า โจทก์ไม่เคยนําโฉนดที่ดินมาให้ตนยึดถือเป็นหลักประกันหนี้เงินกู้แต่อย่างใด และที่ดินที่โจทก์อ้างก็เป็นที่ดินสาธารณะ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง และต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษายกฟ้อง โจทก์นั้น การที่โจทก์ไม่พอใจคําพิพากษาของศาลชั้นต้น จึงยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์บังคับให้จําเลยคืนโฉนดที่ดิน ตามฟ้องแก่โจทก์ ซึ่งเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ซึ่งถือว่าเป็นการอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง และโจทก์จะอุทธรณ์ได้หรือไม่นั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาล บังคับให้จําเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เมื่อศาลชั้นต้นมีคําพิพากษายกฟ้อง และโจทก์ ต้องการยื่นอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์บังคับให้จําเลยคืนโฉนดที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์นั้น เมื่อเป็นการอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่เข้าข้อห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์จึงสามารถอุทธรณ์ได้

สรุป โจทก์จึงสามารถอุทธรณ์ได้

 

ข้อ 2. โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า จําเลยบุกรุกเข้ามาในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยไม่มีอํานาจ ขอให้ศาลบังคับให้ขับไล่จําเลยและบริวารของจําเลยออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ จําเลยยื่นคําให้การ ต่อสู้ว่า อสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจําเลย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลชั้นต้น มีคําสั่งไม่รับคําให้การของจําเลย เนื่องจากจําเลยทําไม่ถูกต้องตามแบบฟอร์มของศาล จําเลยจึง ยื่นอุทธรณ์คําสั่งของศาลชั้นต้นทันทีโดยไม่ได้โต้แย้งคําสั่งของศาล ดังนี้ จําเลยจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 1 “ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(5) “คําคู่ความ” หมายความว่า บรรดาคําฟ้อง คําให้การหรือคําร้องทั้งหลายที่ยื่นต่อศาล เพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ

มาตรา 18 วรรคท้าย “คําสั่งของศาลที่ไม่รับหรือให้คืนคําคู่ความตามมาตรานี้ให้อุทธรณ์ และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227, 228 และ 247”

มาตรา 226 “ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228

(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา

(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคําสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้ง ขอบที่จะอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เป็นต้นไป

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคําสั่งให้รับคําฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคําสั่ง ระหว่างพิจารณา

มาตรา 228 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคําสั่งอย่างใด อย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

(3) ไม่รับหรือคืนคําคู่ความตามมาตรา 18 หรือวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ซึ่ง มิได้ทําให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อ

คําสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันมีคําสั่งเป็นต้นไป”

วินิจฉัย

คําสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคําสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้

1 จะต้องเป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจําหน่ายคดี

2 เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทําคดีนั้นต่อไป

3 ไม่ใช่คําสั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 และมาตรา 228

เมื่อเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คําสั่งทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคัดค้านคําสั่ง ไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คําสั่งนั้นตามมาตรา 226 (2) ส่วนคําสั่งของศาลนอกเหนือจากหลักเกณฑ์ 3 ประการนี้ ไม่ถือว่าเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องโต้แย้งก่อนที่จะอุทธรณ์แต่ประการใด (อุทธรณ์ได้ทันที)

กรณีตามอุทาหรณ์ คําให้การเป็นคําคู่ความอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 1 (5) เมื่อศาลชั้นต้น มีคําสั่งไม่รับคําให้การของจําเลยด้วยเหตุว่าจําเลยทําไม่ถูกต้องตามแบบฟอร์มของศาล ซึ่งเป็นคําสั่งในชั้นตรวจคํา คู่ความของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 18 จึงเป็นคําสั่งไม่รับคําคู่ความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 18 ซึ่งมิได้ทําให้ คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากแต่ทําให้ประเด็นบางข้อตามที่จําเลยยกขึ้นต่อสู้ในคําให้การเสร็จไปเท่านั้น จึงเป็นคําสั่ง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 228 (3) ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา อันจะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นใน ระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 (1) ดังนั้นจําเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คําสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคําให้การ ของจําเลยได้ทันทีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 228 วรรคสอง แม้คดีนั้นจะอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ตาม

สรุป จําเลยสามารถยื่นอุทธรณ์คําสั่งของศาลชั้นต้นได้ทันที โดยไม่ต้องโต้แย้งคัดค้านคําสั่งนั้นไว้ก่อน

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องว่า จําเลยกระทําละเมิดลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ศาลบังคับให้จําเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 10 ล้านบาท จําเลยต่อสู้ว่า จําเลยไม่ได้กระทําละเมิด ไม่ได้ลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ขอให้ศาลยกฟ้องใน ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ขอให้ศาลมีคําสั่งให้จําเลย หยุดใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน เสียหายของโจทก์ในระหว่างการพิจารณา ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะมีคําสั่งเกี่ยวกับคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์อย่างไร เพราะ เหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 254 “ในคดีอื่น ๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคําฟ้อง หรือในเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคําขอฝ่ายเดียว ร้องขอให้ศาลมีคําสั่งภายในบังคับแห่งเงื่อนไขซึ่งจะกล่าวต่อไป เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใด ๆ ดังต่อไปนี้

(1) ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลยทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อน พิพากษา รวมทั้งจํานวนเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกําหนดชําระแก่จําเลย

(2) ให้ศาลมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยกระทําซ้ำหรือกระทําต่อไป ซึ่งการละเมิดหรือ การผิดสัญญาหรือการกระทําที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคําสั่งอื่นใดในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายที่โจทก์ อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทําของจําเลยหรือมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยโอน ขาย ยักย้ายหรือจําหน่าย ซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลย หรือมีคําสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือการบุบสลาย ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น

(3) ให้ศาลมีคําสั่งให้นายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นผู้มีอํานาจหน้าที่ตาม กฎหมาย ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือการเพิกถอนการจดทะเบียนที่เกี่ยวกับ ทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลยหรือที่เกี่ยวกับการกระทําที่ถูกฟ้องร้องไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

(4) ให้จับกุมและกักขังจําเลยไว้ชั่วคราว วินิจฉัย การประกอบการ สํานักงาน

วิธีขอคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 254 นั้น โจทก์จะต้องร้องขอให้ศาลมีคําสั่งภายใน บังคับแห่งเงื่อนไขที่จะกล่าวต่อไปนี้ เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใด ๆ คือ

1 วิธีการคุ้มครองชั่วคราวที่จะนํามาใช้แก่จําเลยจะต้องเป็นวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 254 (1) – (4) กล่าวคือ (1) ขอให้ยึดอายัดชั่วคราว (2) ขอห้ามชั่วคราว (3) ขอห้ามเปลี่ยนแปลง ทางทะเบียนชั่วคราว (4) ขอให้จับกุมกักขังจําเลยชั่วคราว

2 สิ่งที่ขอคุ้มครองจะต้องสอดคล้องกับประเด็นตามคําฟ้องและคําขอท้ายฟ้อง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องว่าจําเลยกระทําละเมิดลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้า ของโจทก์ ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลบังคับให้จําเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 10 ล้านบาท จําเลยต่อสู้ว่า จําเลยไม่ได้กระทําละเมิด ไม่ได้ลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ขอให้ศาลยกฟ้อง และ ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ขอให้ศาลมีคําสั่งให้จําเลยหยุดใช้ เครื่องหมายการค้าของโจทก์ไว้ก่อนเป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายของโจทก์ในระหว่าง พิจารณานั้น จะเห็นได้ว่า สิ่งที่โจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวนั้นไม่เกี่ยวกับประเด็นที่โจทก์ฟ้องและคําขอท้ายฟ้อง ที่ขอให้จําเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์จึงขอคุ้มครองชั่วคราวไม่ได้ เพราะไม่ต้องด้วย หลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 254

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะมีคําสั่งยกคําร้องของโจทก์

 

ข้อ 4. ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีให้จําเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย และให้โจทก์ชําระราคาค่าที่ดินส่วนที่เหลือแก่จําเลย หากจําเลยไม่จดทะเบียนโอน ให้ถือคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลย หากจําเลยไม่สามารถ จดทะเบียนโอนได้ ให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายจํานวน 500,000 บาท พร้อมคืนเงินมัดจําจํานวน 200,000 บาท แก่โจทก์ ศาลออกคําสั่งบังคับให้จําเลยปฏิบัติตามคําพิพากษาภายใน 15 วัน จําเลย นําเงิน 700,000 บาทมาวางต่อศาล แต่โจทก์ไม่ยอมรับ จนครบกําหนดเวลาตามคําบังคับแล้ว

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า โจทก์จะมีสิทธิร้องขอให้บังคับแก่คดีจําเลยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 271 “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตาม คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง โดยอาศัย และตามคําบังคับที่ออกตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 271 แห่ง ป.วิ.แพ่ง นั้น มีหลักว่า ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะหรือ เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ย่อมมีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นได้

แต่อย่างไรก็ตาม การบังคับคดีนั้น เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะต้องดําเนินการบังคับคดีภายใน ขอบเขตของคําบังคับที่ออกโดยคําพิพากษา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะต้องดําเนินการบังคับตามลําดับก่อนหลัง ที่ระบุไว้ในคําพิพากษา เจ้าหนี้จะเลือกให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามคําพิพากษาไม่ได้ และลูกหนี้ตามคําพิพากษา ก็ต้องปฏิบัติการชําระหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาตามลําดับก่อนหลังที่ระบุไว้ใน คําพิพากษาเช่นเดียวกันด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ให้จําเลยไป จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย และให้โจทก์ชําระราคาค่าที่ดินส่วนที่เหลือแก่จําเลย หากจําเลยไม่ไปจดทะเบียนโอน ให้ถือคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลย หากจําเลยไม่สามารถจดทะเบียน โอนได้ ให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายจํานวน 500,000 บาท พร้อมคืนเงินมัดจําจํานวน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์นั้น เป็นกรณีที่หนี้ตามคําพิพากษามีหลายอย่าง และมิใช่หนี้ที่ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษามีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างใด อย่างหนึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 198 แต่เป็นเรื่องการดําเนินการบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 271 ดังนั้น การที่โจทก์ ร้องขอให้บังคับคดีก็ต้องเป็นไปตามลําดับก่อนหลังที่ระบุไว้ในคําพิพากษานั้น และจําเลย (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) ก็จะต้องปฏิบัติการชําระหนี้ต่อโจทก์ตามลําดับก่อนหลังที่ระบุไว้ในคําพิพากษาด้วย ซึ่งกรณีตามอุทาหรณ์ดังกล่าวนี้ จําเลยจะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อน จําเลยจะเลือกวิธีการชําระค่าเสียหาย และคืนเงินมัดจําให้แก่โจทก์ทั้งที่จําเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ โดยโจทก์ไม่ยินยอมตกลงด้วยหาได้ไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคําบังคับให้จําเลยปฏิบัติตามคําพิพากษา จําเลย ยอมน้ําเงิน 700,000 บาท มาวางต่อศาลเพื่อชําระให้โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับ จึงเท่ากับว่าจําเลยยังมิได้ปฏิบัติให้ ถูกต้องตามคําพิพากษา ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องขอให้บังคับคดีตามคําพิพากษาโดยถือเอาคําพิพากษา แทนการแสดงเจตนาของจําเลยได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 271

สรุป โจทก์มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีจําเลยได้

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!