LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา 2/2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ลัดดาวัลย์เกิดที่จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2508 จากบิดาคนสัญชาติไทยส่วนมารดาเป็นคนสัญชาติญวน ที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่เกิดนั้นบิดามารดายังมิได้จดทะเบียนสมรส บิดามารดาเพิ่งมาจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นเวลาที่ลัดดาวัลย์มีอายุได้ 17 ปีเศษแล้ว ให้ท่านวินิจฉัยว่า ลัดดาวัลย์จะได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508

มาตรา 7 “บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337

“ข้อ 1. ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิด บิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง”

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1547 “เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือ ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร”

มาตรา 1557 “การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่ บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ลัดดาวัลย์ได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไรหรือไม่ เห็นว่า ลัดดาวัลย์ เกิดที่จังหวัดสกลนครเมื่อปี พ.ศ. 2508 จากบิดาเป็นคนสัญชาติไทย ส่วนมารดาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเกิดก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515) โดยหลักลัดดาวัลย์ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลัก ดินแดนตามมาตรา 7(3)

แต่เมื่อประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับแล้ว ลัดดาวัลย์จะถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1 เพราะมารดาเป็นคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ปรากฎบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย (เพราะในขณะลัดดาวัลย์เกิด บิดามารดาไม่ได้ เป็นสามีภริยาตามกฎหมาย) และแม้ว่าต่อมาบิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง (ปี พ.ศ. 2525)

ทำให้บิดาเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่ทําให้ลัดดาวัลย์ซึ่งถูกถอนสัญชาติไทยไปแล้ว จะได้สัญชาติไทยกลับคืนมาอีก เพราะประกาศคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวถือว่าเป็นกฎหมายพิเศษ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3120/2528)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา 1557 ได้มีการแก้ไขใหม่ โดยบัญญัติให้กรณีที่บิดามารดา ได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลังนั้น ผลของการเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาให้มีผลย้อนหลังนับแต่ วันที่เด็กเกิด (ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551) ตามมาตรา 1547 และมาตรา 1557 ดังนั้น จากผลของ ป.พ.พ. ที่ได้มีการแก้ไขใหม่ ทําให้ลัดดาวัลย์กลับมาได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(1) เพราะเกิดโดยบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป

ลัดดาวัลย์ได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติฯ มาตรา 7(1) เพราะเกิดโดยบิดา ชอบด้วยกฎหมายมีสัญชาติไทย

 

ข้อ 2 อินทิราหญิงสัญชาติอินเดีย สมรสกับคิมชายสัญชาติเกาหลี กฎหมายสัญชาติอินเดีย กําหนดว่า หญิงอินเดียสมรสกับคนต่างชาติจะไม่เสียสัญชาติอินเดียจนกว่าหญิงนั้นจะแสดงความจํานง สละสัญชาติอินเดีย และกฎหมายสัญชาติเกาหลีกําหนดว่า หญิงต่างชาติซึ่งสมรสกับชายเกาหลี ย่อมได้สัญชาติเกาหลีโดยการสมรส กฎหมายภายในอินเดียกําหนดว่าบุคคลมีความสามารถจะทํานิติกรรมสัญญาใด ๆ ได้เมื่อมีอายุครบ 19 ปีบริบูรณ์ แต่กฎหมายภายในเกาหลีต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ อินทิรายังไม่ได้แสดงความจํานงสละสัญชาติอินเดีย และในขณะที่อินทิรามีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อทําสัญญาซื้อเครื่องปั่นด้ายจํานวน 80 เครื่องจากนายสาธิต คนสัญชาติไทย หลังจากนั้นอินทิรากับนายสาธิตมีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลไทย โดยประเด็นข้อพิพาท มีว่าอินทิรามีความสามารถทําสัญญาฉบับที่ว่านี้หรือไม่ ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมาย ประกอบด้วยว่าศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481

มาตรา 6 วรรคแรก “ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่ สองสัญชาติขึ้นไปอันได้รับมาเป็นลําดับ ให้ใช้กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้รับครั้งสุดท้ายบังคับ”

มาตรา 10 วรรคแรกและวรรคสอง “ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อม เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทํานิติกรรมในประเทศสยาม ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจํากัดสําหรับนิติกรรมนั้น ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทํานิติกรรมนั้น ได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและ กฎหมายมรดก”

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 19 “บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุ นิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร เห็นว่า ปัญหาข้อพิพาทที่ว่า อินทิราจะทําสัญญาซื้อเครื่องปั่นด้ายจากนายสาธิตคนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น ถือเป็นกรณีพิพาทกันเรื่องความสามารถ ของบุคคลซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคแรก

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อินทิรามีทั้งสัญชาติอินเดียและสัญชาติเกาหลีอันได้รับมาเป็นลําดับ (ไม่พร้อมกัน) กรณีเช่นนี้ กฎหมายสัญชาติที่จะใช้บังคับ คือ กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้รับมาครั้งสุดท้าย อันได้แก่กฎหมายเกาหลีตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 6 วรรคแรก ซึ่งเมื่อพิจารณาตาม กฎหมายเกาหลีแล้ว อินทิราย่อมไม่มีความสามารถทําสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้ เนื่องจากตามกฎหมายเกาหลี กําหนดว่า บุคคลมีความสามารถจะทํานิติกรรมใด ๆ ได้ต่อเมื่อมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เมื่อในขณะทํานิติกรรม อินทิรามีอายุเพียง 20 ปี จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี แม้อินทิราจะไร้ความสามารถในการทํานิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ แต่อาจถือได้ว่าอินทิราคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทํานิติกรรมดังกล่าวยามกฎหมายไทยได้ หากเข้าหลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคสอง ดังนี้คือ

1) คนต่างด้าวนั้นได้ทํานิติกรรมขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2) ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจํากัดในการทํานิติกรรมตาม ข้อ 1)

3) แต่กฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทํานิติกรรมตามข้อ 1) ได้

ดังนั้น การที่อินทิราได้ทํานิติกรรมในประเทศไทย ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่ นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก และตามกฎหมายสัญชาติของอินทิรา (เกาหลี) ก็ถือว่าอินทรา เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจํากัด แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายไทยแล้ว อินทิรามี ความสามารถทํานิติกรรมซื้อขายดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้ เพราะถือว่าอินทราบรรลุนิติภาวะแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 ดังนั้น ศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่าอินทิรามีความสามารถทําสัญญาที่ว่านี้ได้ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคสอง

สรุป

ศาลไทยควรวินิจฉัยว่าอินทิรามีความสามารถทําสัญญาซื้อเครื่องปั่นด้ายดังกล่าวได้

 

ข้อ 3. นายโฮเซ่คนสัญชาติเม็กซิกัน ได้วางระเบิดเครื่องบินของประเทศจาไมก้า ขณะที่กําลังจอดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเตรียมจะบินจากประเทศไทยไปยังประเทศจาไมก้า เมื่อวางระเบิดเสร็จแล้ว นายโฮเซได้หนีกลับไปยังประเทศเม็กซิโก และเครื่องบินลําดังกล่าวได้ระเบิดขณะที่กําลังบินอยู่เหนือ ทะเลหลวง การกระทําของนายโฮเซ่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1 ได้บัญญัติ ถึงลักษณะของการจี้เครื่องบินอันเป็นการกระทําความผิดฐานสลัดอากาศว่า เป็นการกระทําโดย

(1) บุคคลที่อยู่ในเครื่องบินนั้น

(2) การกระทํานั้นเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้กระทําต่อเครื่องบินลํานั้นเอง

(3) การกระทํานั้นเกิดในขณะที่เครื่องบินกําลังบินอยู่

ทั้งนี้หมายความรวมถึงการพยายามกระทําความผิดด้าย การจี้เครื่องบินจึงเป็นการกระทําจาก ผู้ที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งกําลังบิน (on board an aircraft in flight) หรือที่เราเรียกว่าเป็นการกระทําภายในนั่นเอง

ดังนั้นการกระทําภายนอก เช่น การโจมตีด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยาน หรือก่อวินาศกรรมแก่ เครื่องบินที่จอดอยู่ในสนามบิน ย่อมไม่ใช่การจี้เครื่องบินตามอนุสัญญากรุงเฮกฯ

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทําของนายโฮเซ่คนสัญชาติเม็กซิกัน เป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่ เห็นว่า การวางระเบิดเครื่องบินโดยนายโฮเซ่นั้นได้กระทํา ในขณะที่เครื่องบินยังจอดอยู่ที่สนามบิน การกระทําดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความหมายของการกระทําภายในของ ความผิดฐานเครื่องบิน ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 เพราะ เป็นการกระทําภายนอก ไม่ใช่การกระทําของผู้ที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งกําลังบินอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่ออนุสัญญากรุงมอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทําโดยมิชอบต่อความ ปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน ค.ศ. 1971 ซึ่งใช้บังคับในเวลาต่อมา ได้บัญญัติให้คลุมถึงการกระทําทุกชนิดที่กระทบ ต่อความปลอดภัยของการบินระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการกระทําภายนอกด้วย ดังนั้นการกระทําของนายโฮเซ่ จึงเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ ตามอนุสัญญากรุงมอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทําโดยมิชอบต่อความปลอดภัย แห่งการบินพลเรือน ค.ศ. 1971

สรุป

การกระทําของนายโฮเซ่เป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงมอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทําโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน ค.ศ. 1971

 

ข้อ 4 นาย HANZ พร้อมกับเพื่อน ๆ ได้วางระเบิดสถานีรถไฟในประเทศเยอรมัน โดยมีข้อเท็จจริงว่าบุคคลดังกล่าวล้วนมีสัญชาติเยอรมันและมักก่อเหตุวุ่นวายเสมอ และผลจากการวางระเบิดครั้งนี้ ทําให้มีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตจํานวนมาก หลังก่อเหตุนาย HANZ จึงได้หนีไปที่ประเทศอังกฤษ รัฐบาลเยอรมันจึงได้ทําเรื่องร้องขอให้รัฐบาลอังกฤษส่งตัวนาย HANZ กลับมารับโทษ แต่ระหว่าง การพิจารณา นาย HANZ ได้ยกข้อต่อสู้ขึ้นว่าการกระทําของเขาเป็นความผิดทางการเมือง จึงส่ง ผู้ร้ายข้ามแดนไม่ได้

อยากทราบว่ารัฐบาลอังกฤษจะตัดสินใจอย่างไรและเพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

วินิจฉัย

หลักในการพิจารณาว่าคดีใดเป็นคดีการเมืองของประเทศอังกฤษนั้น จะใช้หลักในการพิจารณาที่ว่า การกระทําที่จะถือว่าเป็นคดีการเมืองนั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไข 3 ประการ ดังนี้ คือ

1 ต้องเป็นการกระทําในขณะไม่มีความสงบทางการเมือง

2 มีความขัดแย้งระหว่างพรรคหรือกลุ่มหรือคณะบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป และ

3 ต่างฝ่ายต่างพยายามให้อีกฝ่ายยอมรับรูปแบบการปกครองตามที่ฝ่ายตนต้องการ

เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ประเทศอังกฤษจะถือว่าความผิดนั้น เป็นการกระทําความผิดทางการเมืองซึ่งห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ตามอุทาหรณ์ เมื่อพิจารณาถึงการกระทําของนาย HANZ กับเพื่อน ๆ ที่ได้วางระเบิดสถานีรถไฟ รวมทั้งมักจะก่อเหตุวุ่นวายเสมอ แล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการกระทําที่ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะถือว่าเป็นคดีการเมืองตามหลัก ของประเทศอังกฤษแต่อย่างใดเลย เช่น ไม่ได้กระทําโดยมีจุดมุ่งหมายให้มีการปกครองในรูปแบบใด ๆ เลย เป็นต้น และเมื่อการกระทําของนาย HANZ ไม่เป็นความผิดทางการเมือง รัฐบาลอังกฤษก็สามารถตัดสินใจส่งตัวนาย HANZ ให้กับรัฐบาลเยอรมันตามที่รัฐบาลเยอรมันร้องขอได้

สรุป

รัฐบาลอังกฤษจะตัดสินใจส่งตัวนาย HANZ ให้กับรัฐบาลเยอรมันตามคําร้องขอ

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา 1/2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ทัศนีเกิดที่จังหวัดมุกดาหารเมื่อปี พ.ศ. 2510 จากบิดาเป็นคนสัญชาติไทย ส่วนมารดาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ในขณะที่เกิด บิดามารดาไม่ได้เป็นสามีภริยาตามกฎหมาย บิดามารดาเพิ่งมาจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อปี พ.ศ. 2530 อยากทราบว่า ทัศนีได้หรือเสียสัญชาติอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508

มาตรา 7 “บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย (3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย” ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337

“ข้อ 1ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิด บิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง”

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1547 “เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือ ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร”

มาตรา 1557 “การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่ บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ทัศนีได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่ เห็นว่า ทัศนีเกิดที่จังหวัดมุกดาหาร เมื่อปี พ.ศ. 2510 จากบิดาเป็นคนสัญชาติไทย ส่วนมารดาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยไม่ได้รับ อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และเกิดก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับ (มีผล ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515) โดยหลักทัศนีย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดน ตามมาตรา 7(3)

แต่เมื่อประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับแล้ว ทัศนีจะถูกถอนสัญชาติไทยตาม ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1 เพราะมารดาเป็นคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับ อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย (เพราะในขณะทัศนีเกิด บิดามารดา ไม่ได้เป็นสามีภริยาตามกฎหมาย) และแม้ว่าต่อมาบิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง (ปี พ.ศ. 2530) ทําให้บิดาเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่ทําให้ทัศนีซึ่งถูกถอนสัญชาติไทยไปแล้ว จะได้สัญชาติไทยกลับคืน มาอีก เพราะประกาศคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวถือว่าเป็นกฎหมายพิเศษ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3120/2528)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา 1557 ได้มีการแก้ไขใหม่ โดยบัญญัติให้กรณีที่บิดามารดา ได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลังนั้น ผลของการเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาให้มีผลย้อนหลังนับแต่ วันที่เด็กเกิด (ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551) ตามมาตรา 1547 และมาตรา 1557 ดังนั้น จากผลของ ป.พ.พ. ที่ได้มีการแก้ไขใหม่ ทําให้ทัศนี้กลับมาได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(1) เพราะเกิดโดยบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป

ทัศนีได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติฯ มาตรา 7(1) เพราะเกิดโดยบิดาชอบด้วย กฎหมายมีสัญชาติไทย

 

ข้อ 2 จงอธิบาย

(ก) ขั้นตอนแห่งการพิจารณาปัญหาว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย โดยการใช้กฎหมายต่างประเทศของศาลไทย จะต้องนําเรื่องใดมาพิจารณาก่อนเรื่องอื่นใด

(ข) หลักกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่จะต้องใช้กฎหมายต่างประเทศบังคับ ถ้ามิได้พิสูจน์กฎหมายนั้นให้เป็นที่พอใจแก่ศาลให้ใช้กฎหมายภายในประเทศสยาม” หมายความว่าอย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) ขั้นตอนแห่งการพิจารณาปัญหาว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย โดยการใช้กฎหมายต่างประเทศ ของศาลไทยนั้น จะต้องนําเรื่องเขตอํานาจศาลตามหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาพิจารณาก่อน เรื่องอื่นใด เพราะกฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย ย่อมอยู่ภายใต้บทบัญญัติเกี่ยวกับเขตอํานาจศาลตาม มาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พ.ศ. 2477 และมาตรา 3 มาตรา 4 ทวิ มาตรา 4 ตรี มาตรา 4 จัตวา มาตรา 4 เบญจ มาตรา 4 ฉ และมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 เช่นเดียวกับคดีธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้ศาลหรือผู้ฟ้องคดี จะต้องพิจารณาในชั้นแรกให้ได้ความเสียก่อนว่า ปัญหาว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น อยู่ใน อํานาจของศาลนั้นที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่

(ข) หลักกฎหมายที่บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่จะต้องใช้กฎหมายต่างประเทศบังคับ ถ้ามิได้พิสูจน์ กฎหมายนั้นให้เป็นที่พอใจแก่ศาลให้ใช้กฎหมายภายในประเทศสยาม” นั้น หมายความว่า ในกรณีที่คู่กรณีฝ่ายใด ที่จะพึงได้รับประโยชน์จากการใช้กฎหมายต่างประเทศ คู่กรณีฝ่ายนั้นย่อมมีหน้าที่นําสืบพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจแก่ ศาลว่ากฎหมายต่างประเทศในเรื่องนั้น ๆ มีอยู่อย่างไรเท่านั้น หากพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจแก่ศาลไม่ได้ ศาลไทย ก็จะใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศไทยบังคับ

 

 

ข้อ 3 เรือประมง “เอเอ ฟิชเชอรี่” ของบริษัทในประเทศไทย ถูกเรือไม่ทราบสัญชาติใช้อาวุธโจมตี และลูกเรือจากเรือลําดังกล่าวได้บุกยึดเรือประมง “เอเอ ฟิชเชอรี่” ในเขตทะเลหลวง รวมทั้งจับ ลูกเรือประมงชาวไทยของเรือประมง “เอเอ ฟิชเชอรี่” ทั้งหมด 80 คน เป็นตัวประกันและเรียกค่าไถ่ ดังนี้ การกระทําของเรือไม่ทราบสัญชาติดังกล่าวถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยทะเลหลวง ค.ศ. 1958 (Geneva Convention on High Sea 1958) มาตรา 15 ได้ให้ความหมายของคําว่า “การโจรสลัด” ว่าต้องประกอบด้วยการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

1 การกระทําอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยการใช้กําลัง การกักขัง หรือการกระทําอันเป็นการปล้นสะดม ซึ่งกระทําเพื่อวัตถุประสงค์ในทางส่วนตัว โดยลูกเรือหรือผู้โดยสาร ของเรือเอกชนมุ่งกระทํา

(ก) ในทะเลหลวง ต่อเรือหรืออากาศยานอีกลําหนึ่ง หรือต่อบุคคลหรือทรัพย์สินในเรือหรืออากาศยานเช่นว่านั้น

(ข) ต่อเรือ อากาศยาน บุคคลหรือทรัพย์สินในที่ที่อยู่ภายนอกอํานาจของรัฐใด

2 การกระทําใดอันเป็นการเข้าร่วมด้วยใจสมัครในการดําเนินการของเรือ

3 การกระทําอันเป็นการยุยงหรืออํานวยความสะดวกโดยเจตนาต่อการกระทําที่ได้กล่าวไว้ในวรรคแรก หรืออนวรรคสองของมาตรานี้

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่เรือสินค้าไม่ทราบสัญชาติได้ใช้อาวุธโจมตี และได้บุกยึดเรือประมง “เอเอ ฟิชเชอรี่” ในเขตทะเลหลวง รวมทั้งจับลูกเรือประมงชาวไทยของเรือประมง “เอเอ ฟิชเชอรี่” ทั้งหมด 80 คน เป็นตัวประกันและเรียกค่าไถ่ ถือเป็นการกระทําอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยการใช้กําลัง การกักขัง หรือการกระทํา อันเป็นการปล้นสะดม ซึ่งกระทําเพื่อวัตถุประสงค์ในทางส่วนตัว โดยลูกเรือหรือผู้โดยสารของเรือเอกชนมุ่งกระทํา ในทะเลหลวงต่อเรือ หรือต่อบุคคลหรือทรัพย์สินในเรือ จึงถือเป็นความผิดฐานโจรสลัด ตามอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยทะเลหลวง ค.ศ. 1958 มาตรา 15

สรุป

การกระทําของเรือไม่ทราบสัญชาติดังกล่าว เป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานโจรสลัด

 

ข้อ 4 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนหมายความว่าอย่างไร หลักเกณฑ์ทั่วไปของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ว่า “ต้องไม่ใช่คดีที่ขาดอายุความ” นั้น มีเหตุผลอะไร และเป็นอายุความของประเทศใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

คําว่า “ผู้ร้ายข้ามแดน” หมายถึง บุคคลผู้กระทําผิดอาญา ซึ่งอาจจะอยู่ในฐานะผู้ต้องหา หรือจําเลย หรือผู้ซึ่งต้องคําพิพากษาให้ลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้กระทําผิดอาญาในประเทศหนึ่งแล้วหลบหนี ข้ามแดนไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง ประเทศที่ความผิดได้กระทําลงร้องขอให้ประเทศที่ผู้ร้ายหลบหนีไปอยู่ส่งผู้ร้าย ข้ามแดนเพื่อนํามาพิจารณาโทษ

ดังนั้น “การส่งผู้ร้ายข้ามแดน” คือการที่ประเทศซึ่งผู้ร้ายไปปรากฏตัวอยู่ได้ส่งมอบตัว ผู้ร้ายนั้นไปยังประเทศผู้ร้องขอให้ส่งตัวนั่นเอง

หลักเกณฑ์ทั่วไปของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ว่า “ต้องไม่ใช่คดีที่ขาดอายุความ” นั้น เป็นเพราะว่า ถ้าคดีที่ผู้ร้ายหรือบุคคลผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทําความผิดทางอาญานั้นได้ขาดอายุความแล้ว โดยหลักทั่วไปสิทธิ ในการนําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป คือจะนําตัวผู้ร้ายหรือบุคคลนั้นมาฟ้องเป็นคดีต่อศาลอีกไม่ได้นั่นเอง ซึ่ง ตามกฎหมายของไทยก็ได้บัญญัติไว้เช่นเดียวกันโดยได้บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อาญา มาตรา 39(6) ว่า “สิทธินําคดีอาญา มาฟ้องย่อมระงับ เมื่อคดีขาดอายุความ”

สําหรับที่ว่าต้องไม่ใช่คดีที่ขาดอายุความ และเป็นอายุความของประเทศใดนั้น ตามหลักเกณฑ์ ทั่วไปของการให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ไม่ได้กําหนดให้แจ้งชัดลงไปว่าให้ใช้อายุความตามกฎหมายอาญาแห่งประเทศ ผู้ร้องขอหรือประเทศผู้รับคําขอ แต่อย่างไรก็ดี ตามธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศนั้น ถ้าเป็นการขาดอายุความ ของประเทศผู้ร้องขอ ประเทศนั้นก็ไม่อาจร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเด้ หรือถ้าเป็นการขาดอายุความของประเทศ ผู้รับคําขอ ประเทศผู้รับคําขอก็มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้เช่นเดียวกัน เว้นแต่จะได้มีการตกลงกันไว้ เป็นอย่างอื่น แต่ก็ต้องไม่ขาดอายุความของประเทศผู้ร้องขอด้วย

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายสืบไทย เกิดที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี พ.ศ. 2516 จากนางบุญมารดาผู้มีสัญชาติไทย ส่วนบิดาเป็นวิศวกรเครื่องบินขับไล่สัญชาติอเมริกัน ผู้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาโครงการทางทหารระหว่าง ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปี แล้วก็เดินทางกลับไปสหรัฐอเมริกา ให้ท่านวินิจฉัย พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่านายสืบไทยควรได้สัญชาติไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508

มาตรา 7 “บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย”

พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

มาตรา 7 “บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทย โดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย”

มาตรา 10 “บทบัญญัติมาตรา 7

(1) แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย”

ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337

ข้อ 1 ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(2) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเพียงชั่วคราว

 

ข้อ 2 บุคคลตามข้อ 1 ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ แล้ว ไม่ได้สัญชาติไทย เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสังเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายสืบไทยควรได้รับสัญชาติไทยหรือไม่ เห็นว่า การที่นายสืบไทย เกิดที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นการเกิดในราชอาณาจักรไทย ก็ไม่ทําให้นายสืบไทยได้รับ สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) ทั้งนี้เพราะนายสืบไทยได้เกิดในราชอาณาจักรไทย ในขณะที่ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515) โดยบิดาเป็นคนต่างด้าว และในขณะที่เกิดบิดาเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 2 ประกอบกับข้อ 1(2)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มีผลใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535) ซึ่งตาม พ.ร.บ. สัญชาติฯ ฉบับนี้ ได้บัญญัติให้มีการยกเลิกประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ย่อมมีผลทําให้นายสืบไทยกลับมาได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1) ที่กําหนดให้บุคคลที่เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือ นอกราชอาณาจักรย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด และตามมาตรา 10 ของ พ.ร.บ. สัญชาติฯ ฉบับนี้ ยังได้

บัญญัติให้นําบทบัญญัติมาตรา 7(1) มาใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ใช้ บังคับด้วย ดังนั้น นายสืบไทยจึงได้รับสัญชาติไทย เพราะเกิดจากนางบุญมารดาซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทย โดยถือว่า นายสืบไทยได้รับสัญชาติไทยย้อนหลังไปตั้งแต่นายสืบไทยเกิด

สรุป

นายสืบไทยควรได้รับสัญชาติไทย เพราะเกิดโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7(1) ประกอบกับมาตรา 10 โดยมีผลย้อนหลังไปนับตั้งแต่ นายสืบไทยเกิด

 

ข้อ 2 นายกิมคนสัญชาติเกาหลีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ต้องการจะทําสัญญาฉบับหนึ่งในกรุงเทพฯ คือ สัญญาขายโต๊ะทองคํา ให้แก่นายลีคนสัญชาติเดียวกันซึ่งมีภูมิลําเนาตามกฎหมายอยู่ที่กรุงเทพฯ กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายของเกาหลีกําหนดว่าความสามารถของบุคคลให้เป็นไป ตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น และกฎหมายแพ่งของเกาหลีกําหนดว่าบุคคลย่อมบรรลุนิติภาวะ เมื่อมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ต่อมานายกิมมาปรึกษากับท่านว่า ตนจะมีความสามารถทําสัญญาฉบับดังกล่าวนี้หรือไม่ ท่านจะให้คําปรึกษาพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายแก่นายกิมอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481

มาตรา 10 วรรคสอง “แต่ถ้าคนต่างด้าวทํานิติกรรมในประเทศสยาม ซึ่งตามกฎหมาย สัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจํากัดสําหรับนิติกรรมนั้น ให้ถือว่าบุคคลนั้น มีความสามารถทํานิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรม ตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก”

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 19 “บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุ นิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาขายโต๊ะทองคําระหว่างนายกิมกับนายลีที่จะทําขึ้นในกรุงเทพฯ นั้น ถือเป็นกรณีที่คนต่างด้าวทํานิติกรรมในประเทศไทย ดังนั้น จึงต้องนํา พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคสอง มาเป็นหลักในการพิจารณาความสามารถในการทํานิติกรรมดังกล่าว

ซึ่งตามมาตรา 10 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 นั้น ได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า คนต่างด้าวที่ทํานิติกรรมในประเทศไทย (สยาม) แม้จะไร้ความสามารถในการทํานิติกรรม ตามกฎหมายสัญชาติของตน แต่อาจถือได้ว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทํานิติกรรมตามกฎหมายไทยได้ หากเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือ

1 คนต่างด้าวนั้นได้ทํานิติกรรมขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2 ตามกฎหมายสัญชาติของคนต่างด้าวนั้น ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจํากัดในการทํานิติกรรมตามข้อ 1

3 แต่กฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทํานิติกรรมตามข้อ 1 ได้

ดังนั้น การที่นายกิมคนสัญชาติเกาหลีต้องการทํานิติกรรมในประเทศไทย คือ สัญญาขาย โต๊ะทองคํา ซึ่งสัญญาซื้อขายดังกล่าวไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก และตามกฎหมาย สัญชาติของนายกิม (เกาหลี) ก็ถือว่านายกิมเป็นบุคคลไร้ความสามารถเนื่องจากอายุเพียง 20 ปี ไม่ครบ 21 ปีบริบูรณ์ นั้น เมื่อปรากฏว่าตามกฎหมายไทย นายกิมสามารถทํานิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้ เพราะถือว่า นายกิมบรรลุนิติภาวะแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 ดังนั้น นายกิมจึงมีความสามารถทําสัญญาฉบับดังกล่าวนี้ได้ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคสอง และสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คําปรึกษาพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายแก่นายกิมดังที่ได้อธิบายไปแล้วดังกล่าว ข้างต้น

 

ข้อ 3 เครื่องบินโดยสารของสายการบินจดทะเบียนประเทศสวีเดนเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังประเทศอังฤษได้ถูกชาวซีเรีย 2 คน อ้างว่าตนมีระเบิดนําติดตัวขึ้นมา และได้จับคนสัญชาติไทย เป็นตัวประกันเพื่อเรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางนําเครื่องบินไปร่อนลงที่ประเทศอิหร่าน ต่อมา นักบินนําเครื่องบินร่อนลงจอดที่ประเทศเกาหลีใต้โดยอ้างว่าจําเป็นต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ชาวซีเรีย ทั้ง 2 คน ได้ปล่อยตัวผู้โดยสารที่เป็นตัวประกันรวมถึงเจ้าหน้าที่ประจําเครื่องทั้งหมด และยอมจํานน ต่อเจ้าหน้าที่ ให้ท่านวินิจฉัย พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่าในกรณีดังกล่าวนี้ประเทศใดบ้าง มีเขตอํานาจศาลตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยการกระทําความผิดบนอากาศยาน ค.ศ. 1963

ธงคําตอบ

เขตอํานาจศาลในการพิจารณาคดีความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วย การกระทําความผิดบนอากาศยาน ค.ศ. 1963 มีบัญญัติไว้ในมาตรา 3 ซึ่งได้บัญญัติให้อํานาจรัฐซึ่งเครื่องบินนั้น ทําการจดทะเบียน (The state of registration of the aircraft) หรือรัฐเจ้าของสัญชาติ เจ้าของธงของ เครื่องบินนั้น มีอํานาจพิจารณาการกระทําความผิดที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินของตนได้

นอกจากนี้มาตรา 4 ยังบัญญัติให้อํานาจแก่รัฐอื่น ๆ ซึ่งมิใช่รัฐที่เครื่องบินนั้นทําการจดทะเบียน มีอํานาจพิจารณาความผิดฐานสลัดอากาศด้วย ได้แก่

1 ในกรณีที่ความผิดนั้นมีผลบนดินแดนแห่งรัฐใด รัฐนั้นมีอํานาจพิจารณา

2 รัฐซึ่งผู้กระทําความผิดนั้นมีสัญชาติหรือมีถิ่นที่อยู่เป็นการถาวร หรือหากเป็นเรื่องที่ความผิดนั้นกระทําต่อคนสัญชาติ หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่เป็นการถาวรในรัฐใด รัฐนั้น ๆก็มีอํานาจพิจารณา

3 ในกรณีที่ความผิดกระทบต่อความมั่นคงของรัฐใด รัฐนั้นมีอํานาจพิจารณา

ดังนั้น กรณีตามปัญหาดังกล่าวประเทศที่มีเขตอํานาจศาลตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วย การกระทําความผิดบนอากาศยาน ค.ศ. 1963 ในการพิจารณาความผิดที่เกิดขึ้น ได้แก่

1 ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่เครื่องบินนั้นจดทะเบียน (ตามมาตรา 3)

2 ประเทศซีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผู้กระทําความผิดมีสัญชาติ (ตามมาตรา 4)

3 ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศเจ้าของสัญชาติของผู้เสียหาย (ตามมาตรา 4)

 

ข้อ 4 ในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ให้ท่านอธิบายฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทําความผิดโดยละเอียดครบถ้วน

ธงคําตอบ

ฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทําความผิดในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น หมายถึง เหตุ ยกเว้นไม่ให้ส่งตัวผู้กระทําผิด หรือผู้ถูกร้องขอให้ส่งตัวมีอยู่ 4 ประการ ดังนี้ คือ

1 บุคคลที่ถูกสั่งให้ปล่อยตัวแล้ว กล่าวคือ ถ้าบุคคลผู้ถูกขอให้ส่งตัวนั้นถูกศาลใดศาลหนึ่ง พิจารณาในความผิดที่ขอให้ส่งตัวมาแล้ว และศาลได้พิพากษายกฟ้องปล่อยตัวไปแล้ว หรือศาลได้พิพากษาลงโทษ และผู้นั้นได้รับโทษแล้ว ประเทศผู้รับคําขอ ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการส่งตัวได้โดยอาศัยหลักกฎหมาย ที่ว่า บุคคลคนเดียวกันย่อมจะไม่ต้องถูกพิจารณาในความผิดนั้นเป็นสองซ้ํา ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายอาญา ของไทยมาตรา 10 และมาตรา 11 ซึ่งได้บัญญัติยืนยันหลักนี้ไว้

2 มีโทษประหารชีวิตเพียงประการเดียว กล่าวคือ ตามหลักทั่ว ๆ ไปถือกันว่า ถ้าความผิด ที่ขอให้ส่งตัวนั้นเป็นความผิดที่มีแต่โทษหนักสถานเดียว คือ ประหารชีวิตแล้ว ประเทศที่รับคําขอชอบที่จะปฏิเสธ การส่งตัวนั้นได้เพราะถือหลักมนุษยธรรมว่า ประเทศไม่ควรยอมเป็นเครื่องมือช่วยประเทศอื่นโดยส่งคนที่เข้ามา อยู่ในประเทศตนไปให้ประเทศอื่นประหารชีวิตเสีย นอกจากนั้นยังละเมิดหรือฝ่าฝืนหลักศาสนาต่าง ๆ และยังเป็น การกระทบกระเทือนต่อจิตใจของบุคคล ตัวอย่างเช่น สนธิสัญญาระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1850 ซึ่งระบุไว้ชัดแจ้งว่า สเปนจะยอมส่งคนข้ามแดนให้ก็ต่อเมื่อปรากฏว่าความผิดที่จะพิจารณาลงโทษแก่บุคคลนั้น ไม่เป็นความผิดที่มีโทษหนักถึงประหารชีวิต

3 ความผิดที่ขัดกับหลักศีลธรรมของประเทศที่รับคําขออย่างร้ายแรง กล่าวคือ เป็น ความผิดที่นานาประเทศไม่ให้การยอมรับ เพราะขัดกับหลักศีลธรรมอย่างร้ายแรง ตัวอย่างเช่น ประเทศ ก (รับรองการมีทาสและมีบทบัญญัติกฎหมายลงโทษทาสผู้กระทําความผิด) ได้ร้องขอให้ประเทศ ข (ซึ่งมีหลักกฎหมาย บัญญัติว่า การค้าทาสและมีทาสเป็นความผิดเพราะขัดต่อหลักศีลธรรมและสิทธิเสรีภาพของมนุษย์) ส่งตัว ช (ทาส) ผู้กระทําผิด ดังนี้ ประเทศ ข ย่อมปฏิเสธการส่งตัว ช ให้แก่ประเทศ ก ได้

4 บุคคลในคณะทูต กล่าวคือ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศได้ให้หลักเอกสิทธิ์และ ความคุ้มกัน (Privilege and Immunity) ทางการทูต ในการที่จะไม่ถูกฟ้องคดีอาญาในประเทศที่ไปประจําอยู่ ฉะนั้นถ้าเกิดปัญหาว่า บุคคลในคณะทูตผู้หนึ่งไปกระทําผิดอาญาในประเทศที่ตนไปประจําอยู่ แล้วหลบหนีไปอยู่ ในประเทศที่สาม ประเทศเจ้าของท้องที่เกิดเหตุ (ประเทศที่ผู้กระทําความผิดไปประจําอยู่) จะขอให้ประเทศที่สาม ส่งตัวให้ไม่ได้ เพราะแม้บุคคลนั้นยังอยู่ในประเทศนั้นโดยไม่ได้หลบรนี้ไปประเทศที่สาม ศาลแห่งประเทศนั้น (ประเทศที่ผู้กระทําผิดไปประจําอยู่) ก็ยังไม่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาอยู่แล้ว เพราะหลักเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน ทางการทูตดังกล่าวข้างต้น

LAW4006กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา 2/2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4006กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลและคดีอาญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 หนังสือของกระทรวงมหาดไทยที่มีถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและปลัดกรุงเทพมหานคร ให้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของบุคคลตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ที่ว่า “ผู้เกิด นอกราชอาณาจักรไทยโดยบิดาผู้มีสัญชาติไทยกับมารดาผู้มีสัญชาติอื่น และบิดามิได้สมรสกับมารดา ย่อมได้สัญชาติไทย” นั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบ ให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย

พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

มาตรา 7 “บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทย โดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย”

พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551

มาตรา 7 วรรคสอง “คําว่าบิดาตาม (1) ให้ หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง แม้ผู้นั้นจะมิได้ จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เกิด และมิได้จดทะเบียนรับรองผู้เกิดเป็นบุตรก็ตาม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับหนังสือของกระทรวงมหาดไทยหรือไม่นั้น เห็นว่า การได้สัญชาติไทยดังกล่าวถือเป็นการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิต ถึงแม้ว่าการได้สัญชาติไทย โดยการเกิดตามหลักสายโลหิตทางบิดาตาม พ.ร.บ. สัญชาติ มาตรา 7(1) เดิมนั้น ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยมาตลอดว่า คําว่า “บิดา” หมายถึงบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ จะต้องเป็นบิดาที่สมรสกับมารดาหรือบิดาที่ได้จดทะเบียน ว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรแล้วก็ตาม แต่ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 7 วรรคสอง ที่ได้มีการแก้ไขใหม่นั้น ให้ความหมายของคําว่า “บิดา” ว่าให้หมายความรวมถึงบิดาตามความ เป็นจริงด้วย แม้จะต้องไปพิสูจน์ว่าเป็นบิดาที่แท้จริงก็ตาม

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นด้วยกับหนังสือของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของบุคคล ที่ว่า “ผู้เกิดนอกราชอาณาจักรไทยโดยบิดาผู้มีสัญชาติไทยกับมารดาผู้มีสัญชาติอื่น และบิดามิได้สมรสกับมารดา ย่อมได้สัญชาติไทย”

สรุป

ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับหนังสือของกระทรวงมหาดไทยตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 นายสุนัย คนสัญชาติไทยทําสัญญาซื้อโต๊ะประดับมุกอันเป็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งจากนายฮอนด้าคนสัญชาติญี่ปุ่น และขณะทําสัญญาโต๊ะฯ ที่ว่านี้ก็อยู่ที่ญี่ปุ่น โดยนายสุนัยและนายฮอนด้าตกลงกัน ไว้ว่าหากกรณีมีข้อพิพาทหรือปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย กฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นกําหนดว่าแบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้น ทําขึ้นและกฎหมายภายในของญี่ปุ่นกําหนดว่าการซื้อขายวัตถุโบราณต้องทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ ปรากฏว่าการซื้อขายตามสัญญาฉบับนี้คงทําเป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมานายสุนัยผิดสัญญาไม่ยอมชําระราคา และรับมอบโต๊ะฯ ที่ว่านี้ นายฮอนด้าจึงฟ้องนายสุนัยต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา นายสุนัยต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตนจึงไม่ผูกพันหรือ ต้องรับผิดตามสัญญา ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า หากท่านเป็นศาลไทย

ท่านควรพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้เป็นโมฆะหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481

มาตรา 9 วรรคแรก “นอกจากจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมาย อื่นใดแห่งประเทศสยาม ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมย่อมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้น ได้ทำขึ้น”

มาตรา 13 วรรคแรกและวรรคท้าย “ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสําหรับสิ่งซึ่งเป็น สาระสําคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือ โดยปริยายได้ ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติอันเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่ง คู่สัญญา ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติอันเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทําขึ้น

สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ ถ้าได้ทําถูกต้องตามแบบอันกําหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผล แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุนัยคนสัญชาติไทยทําสัญญาซื้อโต๊ะประดับมุกอันเป็นวัตถุโบราณ ชิ้นหนึ่งจากนายฮอนด้าคนสัญชาติญี่ปุ่น และขณะทําสัญญาโต๊ะฯ ที่ว่านี้ก็อยู่ที่ญี่ปุ่น โดยนายสุนัยกับนายฮอนด้า เด้ตกลงกันไว้ว่า หากกรณีมีข้อพิพาทหรือปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย และ สัญญาซื้อขายฉบับนี้ได้ทําเป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ดังนี้ ถ้าพิจารณาตามมาตรา 9 วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 ที่ว่า ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรม ย่อมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทําขึ้น ประกอบกับกฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย ของญี่ปุ่นได้กําหนดว่าแบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้นได้ทําขึ้น และตามกฎหมาย ภายในของญี่ปุ่นก็กําหนดว่า การซื้อขายวัตถุโบราณต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้น เป็นโมฆะ ดังนั้นสัญญาซื้อขายโต๊ะฯ ฉบับนี้ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นสัญญาที่ทําเป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายฯ มาตรา 13 วรรคท้าย ได้ กําหนดไว้ว่า สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ ถ้าได้ทําถูกต้องตามแบบอันกําหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลของ สัญญาเมื่อกรณีตามข้อเท็จจริง กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ผลของสัญญาได้แก่ กฎหมายไทย ซึ่งเป็นไปตามเจตนาของคู่กรณีตามมาตรา 13 วรรคแรก และตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยก็ไม่มีบทบัญญัติบังคับว่าการซื้อขาย วัตถุโบราณต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น สัญญาซื้อขายโต๊ะฯ ระหว่างนายสุนัย กับนายฮอนด้าจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ ข้อต่อสู้ของนายสุนัยจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

หากข้าพเจ้าเป็นศาลไทย ข้าพเจ้าจะพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้มีผลสมบูรณ์ ไม่ตก เป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 เครื่องบินสายการบินฝรั่งเศสขณะที่กําลังบินจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย นายราห์มานคนสัญชาติบังคลาเทศได้ใช้มีดปอกผลไม้จี้ผู้โดยสารที่นั่งติดกันบนเครื่องบิน โดยขู่ว่าหากกัปตัน ไม่นําเครื่องบินลงจอดที่ประเทศบังคลาเทศจะทําร้ายผู้โดยสารคนดังกล่าว อย่างไรก็ตามกัปตัน ได้นําเครื่องลงจอดที่ประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายราห์มานไว้ได้ ทั้งนี้ไม่มีได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด การกระทําของนายราห์มานผิดกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1 ให้นิยาม ของคําว่า สลัดอากาศ หมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลํานั้นกระทําการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน โดยใช้กําลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยาน หรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยาน ให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน ทั้งนี้ รวมถึงการพยายามกระทําความผิด

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทําของนายราห์มานถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่าง ประเทศฐานใดหรือไม่อย่างไรนั้น เห็นว่า การที่นายราห์มานซึ่งอยู่ในเครื่องบินลํานั้นใช้มีดปอกผลไม้จี้ผู้โดยสาร และขู่บังคับให้นักบินเปลี่ยนทิศทางการบิน โดยบังคับให้กัปตันนําเครื่องไปลงจอดที่ประเทศบังคลาเทศนั้น ถือว่า เป็นการกระทําการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน โดยใช้กําลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึด อากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานเพื่อให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทาง การบินตามที่ตนต้องการ ดังนั้น การกระทําของนายราห์มานจึงเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮก ว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ คศ. 1970 มาตรา 1 แม้ว่านายราห์มานจะถูกจับตัวได้และไม่มี ผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ตาม เพราะความผิดดังกล่าวรวมถึงการพยายามกระทําความผิดด้วย

สรุป

การกระทําของนายราห์มาน ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮก ว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1

 

ข้อ 4 จงบอกข้ออ้างหรือเหตุผลที่รัฐสามารถยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่ส่งคนสัญชาติของตนให้ตามคําร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาโดยครบถ้วนและถูกต้อง

ธงคําตอบ

การส่งผู้ร้ายข้ามแดน คือ การที่รัฐซึ่งบุคคลนั้นไปปรากฏตัวอยู่ส่งมอบตัวผู้ต้องหา หรือ ผู้ซึ่งต้องคําพิพากษาให้ลงโทษแล้วไปยังรัฐซึ่งผู้นั้นต้องหาว่าได้กระทําความผิดอาญา หรือถูกพิพากษาให้ลงโทษ ทางอาญาแล้ว ในดินแดนของรัฐที่ขอให้ส่งตัว

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อรัฐหนึ่งร้องขอแล้ว รัฐที่รับคําขอก็ควรจะส่งตัวให้ตามคําขอ อย่างไรก็ดี แม้จะมีหลักทั่วไปดังกล่าว ก็ยังมีข้ออ้างหรือเหตุผลที่รัฐสามารถยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่ส่งคนสัญชาติของตน ให้ตามคําร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ ซึ่งมีอยู่ 3 กรณีคือ

1 ลักษณะของความผิด กล่าวคือ หากเป็นความผิดในลักษณะต่อไปนี้ รัฐนั้นก็สามารถ ยกเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธไม่ส่งคนสัญชาติของตนได้ เช่น เป็นความผิดทางการเมือง ความผิดต่อกฎหมายพิเศษ ความผิดต่อกฎหมายการพิมพ์ ความผิดต่อศาสนา เพราะความผิดเหล่านี้มิได้ก่อให้เกิดภยันตรายต่อชีวิต ร่างกาย อันจะถือเป็นภัยร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติแต่อย่างใด และยังมีหลักสากลกําหนดไว้อีกว่า หากเป็นความผิดเหล่านี้ ห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดน

2 สัญชาติของผู้กระทําผิด โดยใช้หลักที่ว่าคนสัญชาติของรัฐใด ก็ควรใช้กฎหมายของ รัฐนั้นลงโทษ ถ้ามีการส่งตัวไปให้รัฐอื่นลงโทษ ก็เท่ากับว่าเป็นการยอมลดหรือสละอํานาจอธิปไตยของรัฐผู้รับคําขอ

3 ฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทําผิด มีอยู่ 4 ประการ

1) บุคคลที่ถูกสั่งให้ปล่อยตัวแล้ว กล่าวคือ ถ้าบุคคลผู้ถูกขอให้ส่งตัวนั้นถูกศาลใด ศาลหนึ่งพิจารณาในความผิดที่ขอให้ส่งตัวมาแล้ว และศาลได้พิพากษายกฟ้องปล่อยตัวไปแล้ว หรือศาลได้พิพากษา ลงโทษและผู้นั้นได้รับโทษแล้ว รัฐผู้รับคําขอย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการส่งตัวได้

2) มีโทษประหารชีวิตเพียงสถานเดียว ถ้าความผิดที่ขอให้ส่งตัวนั้น เป็นความผิดที่มี โทษหนักคือโทษประหารชีวิตสถานเดียว รัฐที่รับคําขอชอบที่จะปฏิเสธการส่งตัวนั้นได้ เพราะถือหลักมนุษยธรรมว่า รัฐไม่ควรยอมเป็นเครื่องมือช่วยรัฐอื่นโดยส่งคนที่เข้ามาอยู่ในรัฐตนไปให้รัฐอื่นประหารชีวิตเสีย

3) ความผิดที่ขัดกับหลักศีลธรรมของรัฐที่รับคําขออย่างร้ายแรง เช่น การค้าทาส รัฐที่รับคําขอย่อมปฏิเสธที่จะส่งตัวทาสไปให้รัฐที่มีคําขอได้

4) บุคคลในคณะทูต ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ได้ให้เอกสิทธิ์และ ความคุ้มกันทางการทูต ในการที่จะไม่ถูกฟ้องคดีอาญาในประเทศที่ไปประจําอยู่

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. จันทร์กู้เงินอังคารไปหนึ่งแสนบาท กําหนดชําระคืนให้ในวันที่ 20 มกราคม 2562 ครั้นถึงวันที่ 10 มกราคม 2562 อังคารได้แจ้งไปยังจันทร์ว่ากําหนดชําระหนี้ในวันที่ 20 มกราคม 2562 นั้น อังคาร ไม่สามารถรับชําระหนี้ได้ เพราะไม่อยู่จะไปต่างประเทศ ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่ 20 มกราคม 2562 อังคารไม่อยู่บ้านจริง ๆ เพราะไปต่างประเทศ แต่จันทร์เองก็ไม่ได้ไปขอปฏิบัติการชําระหนี้ให้แก่อังคารแต่ประการใด ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกําหนดชําระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คําเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชําระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กําหนดเวลาชําระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชําระหนี้ตามกําหนดไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน การชําระหนี้ ซึ่งได้กําหนดเวลาลงไว้อาจคํานวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ อปฏิบัติการชําระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุ อันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 208 วรรคสอง “แต่ถ้าเจ้าหนี้ได้แสดงแก่ลูกหนี้ว่า จะไม่รับชําระหนี้ดี หรือเพื่อที่จะชําระหนี้จําเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ดี ลูกหนี้จะบอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการ ที่จะชําระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้ว ให้เจ้าหนี้รับชําระหนี้นั้น เท่านี้ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่า คําบอกกล่าวของลูกหนี้นั้นก็เสมอกับคําขอปฏิบัติการชําระหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์กู้เงินอังคารไปหนึ่งแสนบาท กําหนดชําระคืนให้ในวันที่ 20 มกราคม 2562 ครั้นถึงวันที่ 10 มกราคม 2562 อังคารได้แจ้งไปยังจันทร์ลูกหนี้ว่ากําหนดชําระหนี้ในวันที่ 20 มกราคม 2562 นั้น อังคารไม่สามารถรับชําระหนี้ได้เพราะไม่อยู่จะไปต่างประเทศ กรณีเช่นนี้หากถึงวันที่ 20 มกราคม 2562 จันทร์ได้ขอปฏิบัติการชําระหนี้แต่อังคารไม่รับชําระหนี้เพราะไปต่างประเทศ ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ ไม่รับชําระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ อังคารเจ้าหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่ 20 มกราคม 2562 อังคารไม่อยู่บ้านจริง ๆ เพราะไปต่างประเทศ แต่จันทร์เองก็ไม่ได้ไปขอปฏิบัติการชําระหนี้ให้แก่อังคารแต่ประการใด กรณีจึงไม่ต้องด้วย หลักเกณฑ์ตามมาตรา 207 ดังนั้น จะถือว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ได้

และเมื่อหนี้กู้ยืมเงินดังกล่าว เป็นหนี้ที่มีกําหนดเวลาชําระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และเมื่อถึงกําหนด คือวันที่ 20 มกราคม 2562 จันทร์ลูกหนี้มิได้ขอปฏิบัติการชําระหนี้ กรณีนี้จึงถือว่าจันทร์ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามมาตรา 204 วรรคสอง

สรุป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวถือว่าจันทร์ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

 

ข้อ 2.พุธเช่าบ้านของพฤหัส ต่อมาปรากฏว่าศุกร์ละเมิดจุดไฟเผาบ้านหลังดังกล่าว ไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลัง บานหลังนี้มีราคาหนึ่งล้านบาท พุธจึงได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายทั้งหมดคือราคาบ้าน ให้แก่ พฤหัสไปเป็นเงินหนึ่งล้านบาท ซึ่งพฤหัสก็รับไว้นี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า พุธจะเรียกร้องให้ศุกร์ผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความ เสียหายจํานวนหนึ่งล้านบาทนั้นให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้ มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิ ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธิ นั้น ๆ ด้วยอํานาจกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การรับช่วงสิทธิ คือ การที่สิทธิเรียกร้องเปลี่ยนมือจากเจ้าหนี้คนเดิมไปยังเจ้าหนี้คนใหม่ โดยผลของกฎหมาย ทําให้เจ้าหนี้คนใหม่เข้ามามีสิทธิแทนเจ้าหนี้คนเดิม ซึ่งตามมาตรา 227 ได้วางหลักเกณฑ์ของ การรับช่วงสิทธิไว้ดังนี้

1 ผู้ที่จะเข้ารับช่วงสิทธิมีได้เฉพาะลูกหนี้เท่านั้น

2 ต้องมีหนี้ที่มีลูกหนี้จะต้องชําระก่อน

3 ระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้มีการชําระหนี้กัน สงผลให้มีการเข้ารับช่วงสิทธิกัน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุธเช่าบ้านของพฤหัส ต่อมาปรากฏว่าศุกร์ได้ละเมิดจุดไฟเผาบ้าน หลังดังกล่าว ทําให้ไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลังโดยบ้านหลังนี้มีราคา 1 ล้านบาทนั้น ถือว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ พฤหัสโดยการกระทําของศุกร์ และความเสียหายดังกล่าวพุธซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าธรรมดาไม่มีหน้าที่ใด ๆ ที่จะต้อง รับผิดชอบในความเสียหายต่อพฤหัสผู้ให้เช่า ดังนั้น พุธจึงมิใช่ลูกหนี้ตามนัยของมาตรา 227 การที่พุธได้ชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายทั้งหมดคือราคาบ้านให้แก่พฤหัสไปเป็นเงิน 1 ล้านบาท จึงไม่ก่อให้เกิด การรับช่วงสิทธิใด ๆ เพราะกรณีไม่ต้องบทบัญญัติมาตรา 227 พุธจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ศุกร์ผู้ทําละเมิดรับผิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวน 1 ล้านบาทให้แก่ตนได้

สรุป พุธจะเรียกร้องให้ศุกร์ผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวน 1 ล้านบาทให้แก่ตนไม่ได้

 

 

ข้อ 3. จันทร์ (ผู้จะซื้อ) ตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหนึ่งแปลงกับอังคาร (ผู้จะขาย) ในราคาหนึ่งล้านบาทเพื่อใช้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัย หลังทําสัญญาเสร็จปรากฏว่าอังคารกลับเอาที่ดิน แปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่พุธเสียในราคาสองล้านบาท โดยพุธรู้อยู่แล้วว่าอังคาร ได้ทําสัญญาจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวไว้แก่จันทร์ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าอังคารมีทรัพย์อื่นอีกมากมาย ประมาณห้าล้านบาทและพร้อมที่จะยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จันทร์ถ้าจันทร์เรียกร้องมา ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าจันทร์สามารถใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคารในเรื่องใด ได้บ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทําลง ทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทํานิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หาก กรณีเป็นการทําให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิใน ทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ (ผู้จะซื้อ) ตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหนึ่งแปลงกับอังคาร (ผู้จะขาย) ในราคาหนึ่งล้านบาทเพื่อใช้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัย และหลังทําสัญญาเสร็จปรากฏว่าอังคารกลับเอา ที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่พุธในราคาสองล้านบาท โดยพุธก็รู้อยู่แล้วว่าอังคารได้ทําสัญญา จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวไว้แก่จันทร์นั้น เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างจันทร์และอังคารเป็นสัญญา จะซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง ซึ่งถือเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพย์เฉพาะสิ่ง และการที่อังคารลูกหนี้ ได้โอนทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นไปทําให้จันทร์เจ้าหนี้ไม่อาจรับโอนทรัพย์นั้นได้ ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ทําให้ เจ้าหนี้เสียเปรียบแล้ว แม้จะปรากฏว่าอังคารจะมีทรัพย์อื่นอีกมากมายประมาณห้าล้านบาทและพร้อมที่จะยอม ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จันทร์เจ้าหนี้ได้ก็ตาม จันทร์เจ้าหนี้ก็สามารถที่จะใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สิน ของอังคารลูกหนี้โดยการฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างอังคารกับพุธตามมาตรา 237 ได้

สรุป

จันทร์สามารถใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคารในเรื่องการเพิกถอน การฉ้อฉลตามมาตรา 237 ได้ โดยการห้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างอังคารกับพุธ

 

 

ข้อ 4. นายเอกตกลงว่าจ้างนายโทและนางสาวตรีนักเต้นลีลาศมาแสดงการเต้นลีลาศคู่ (ชาย-หญิง) ในงานวันเกิดของนายเอกในวันที่ 10 เมษายน 2562 ปรากฏว่าในวันที่ 5 มกราคม 2562 เกิดอุบัติเหตุ ไฟไหม้อาคารที่นายโทพาอาศัยอยู่และนายโทถูกไฟไหม้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนตาบอดทั้งสองข้าง เป็นเหตุให้นายโทไม่สามารถแสดงการเต้นลีลาศได้อีกต่อไป เมื่อถึงกําหนดนัดการแสดงนายโท และนางสาวตรีจึงไม่ได้มาทําการแสดงตามสัญญาว่าจ้าง ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโทและนางสาวตรีต้องรับผิดต่อนายเอกหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 “ถ้าการชําระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดวันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชําระหนี้นั้น

ถ้าภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชําระหนี้ได้ไซร้ ท่านให้ถือเสมือนว่า เป็นพฤติการณ์ที่ทําให้การชําระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยฉะนั้น”

มาตรา 295 “ข้อความ จริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่อง ท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับ สภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คําบอกกล่าวการผิดนัด การที่หยิบยก อ้างความผิด การชําระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กําหนดอายุความหรือการที่อายุความ สะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลือนกลืนกันไปกับหนี้สิน

มาตรา 301 “ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชําระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิด เช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกตกลงจ้างนายโทและนางสาวตรีนักเต้นลีลาศมาแสดงการเต้น ลีลาศคู่ (ชาย-หญิง) เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งชําระมิได้โดยวัตถุประสงค์หรือเจตนาของคู่สัญญา เนื่องจากเป็นหนี้กระทําการตามสัญญาที่ต้องทําเป็นคู่ ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 301 ได้วางหลักให้บุคคลเหล่านั้น ต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน ดังนั้น นายโทและนางสาวตรีจึงอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมของนายเอก

ต่อมาการที่นายโทถูกไฟไหม้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนตาบอดทั้งสองข้างเป็นเหตุให้นายโทไม่สามารถ แสดงการเต้นลีลาศได้อีกต่อไปนั้น เป็นารณีที่ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชําระหนี้ได้ภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้น ซึ่งตามมาตรา 219 วรรคสอง ให้ถือเสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทําให้การชําระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยอันส่งผลให้ลูกหนี้ หลุดพ้นจากการชําระหนี้ ดังนั้น นายโท จึงไม่ต้องรับผิดต่อนายเอกตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง

และแม้ว่าการชําระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น จะเป็นเหตุส่วนตัว กล่าวคือ เป็นข้อความจริงที่ท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น ตามนัย มาตรา 295 วรรคสองก็ตาม แต่เมื่อหนี้นายโทและนางสาวตรีต้องชําระแก่นายเอก เป็นหนี้อันจะแบ่งชําระมิได้ จึงเป็นกรณีที่ขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง ส่งผลให้เหตุส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับนายโทส่งผลไปยังนางสาวตรีลูกหนี้ร่วม อีกคนหนึ่งด้วย นางสาวตรีจึงสามารถอ้างเหตุที่การชําระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยที่เกิดขึ้นกับนายโทเพื่อให้ตนเอง หลุดพ้นจากความรับผิดตอนายเอกได้เช่นเดียวกัน ตามนัยมาตรา 295 วรรคหนึ่ง

สรุป

จากเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น นายโทและนางสาวตรีจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อนายเอก

LAW3016 กฎหมายปกครอง S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3016 กฎหมายปกครอง (สําหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. อํานาจบังคับบัญชาและอํานาจกํากับดูแลมีสาระสําคัญและความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

อํานาจบังคับบัญชา คือ อํานาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้ใช้บังคับบัญชา เช่น การที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้อํานาจบังคับบัญชาเหนือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในราชการส่วนภูมิภาค เช่น นายอําเภอ ปลัดอําเภอ เป็นต้น อํานาจบังคับบัญชาเป็นอํานาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใด ๆ ก็ได้ตามที่ตนเห็นว่า เหมาะสม สามารถกลับ แก้ ยกเลิก เพิกถอนคําสั่ง หรือการกระทําของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ เว้นแต่จะมี กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ อํานาจบังคับบัญชาแม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้ง ผู้บังคับบัญชาก็สามารถ ใช้อํานาจตามหลักกฎหมายทั่วไป

อํานาจกํากับดูแล ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรหรือบุคคลที่มีอํานาจกํากับดูแลกับองค์กรที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแล จึงเป็นอํานาจ ที่มีเงื่อนไข คือจะใช้ได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อํานาจและต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกําหนด เพื่อเป็น หลักประกันความเป็นอิสระขององค์กรภายใต้การกํากับดูแล

และในการกํากับดูแลนั้น องค์กรหรือบุคคลที่มีอํานาจกํากับดูแลไม่มีอํานาจสั่งการให้องค์กร ภายใต้การกํากับดูแลปฏิบัติการตามที่ตนเห็นสมควร องค์กรภายใต้การกํากับดูแลมีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย องค์กรหรือบุคคลที่มีอํานาจกํากับดูแลจึงเพียงแต่กํากับดูแลให้องค์กรภายใต้การกํากับดูแลปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ตามกฎหมายเท่านั้น

ซึ่งอํานาจบังคับบัญชามีความแตกต่างจากอํานาจกํากับดูแลตรงที่ว่า อํานาจบังคับบัญชาเป็น อํานาจตามหลักกฎหมายทั่วไปซึ่งเป็นอํานาจไม่มีเงื่อนไข โดยผู้บังคับบัญชาสามารถควบคุมได้ทั้งความชอบด้วย กฎหมายและดุลพินิจของผู้ใต้บังคับบัญชา ส่วนอํานาจกํากับดูแลเป็นอํานาจที่มีเงื่อนไข กล่าวคือต้องมีกฎหมาย บัญญัติอย่างชัดเจนว่าองค์กรกํากับมีอํานาจกํากับดูแลองค์กรที่อยู่ภายใต้กํากับเหนือการกระทําและตัวบุคคลใด ทั้งนี้เพื่อให้องค์กรที่อยู่ภายใต้กํากับดูแลปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ไม่สามารถควบคุมดุลพินิจได้

 

ข้อ 2. จงอธิบายความหมายและความแตกต่างของการกระทําทางปกครองประเภท “กฎ” กับ “คําสั่งทางปกครอง” มาโดยละเอียด

ธงคําตอบ

ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั้น “คําสั่งทางปกครอง” หมายความว่า

“การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอัน ที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็น การถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ”

กรณีที่จะเป็นคําสั่งทางปกครองนั้น จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ

1 ต้องเป็นคําสั่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่

2 ต้องมีลักษณะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย

3 ต้องมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่าง บุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล

4 ต้องก่อให้เกิดผลเฉพาะกรณีหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

5 ต้องมีผลโดยตรงไปสู่ภายนอกฝ่ายปกครอง

ส่วน “กฎ” หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใด เป็นการเฉพาะ

สําหรับ “กฎ” นั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ 2 ประการ คือ

1 บุคคลที่อยู่ภายใต้กฎจะถูกนิยามไว้เป็นประเภท และไม่สามารถที่จะทราบจํานวนที่แน่นอนได้

2 บุคคลที่ถูกนิยามไว้ภายใต้กฎนั้น กฎจะกําหนดให้บุคคลนั้นกระทําการ หรือห้ามมิให้กระทําการ หรือได้รับอนุญาตให้กระทําการ หรือมีสิทธิที่จะกระทําซ้ำ ๆ ทําให้กฏมีผลบังคับกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน หรือในอนาคตที่ไม่แน่นอน

จากความหมายและลักษณะที่สําคัญของ “กฎ” และ “คําสั่งทางปกครอง” ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า “กฎ” และ “คําสั่งทางปกครอง” จะมีลักษณะที่เหมือนกัน คือต่างก็เป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย ของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือ มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล แต่มีข้อแตกต่างกันดังนี้ คือ

1 กฎนั้นจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใด เป็นการเฉพาะ ส่วนคําสั่งทางปกครองจะมีผลบังคับโดยเฉพาะเจาะจงตัวบุคคล หรือข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่อง

2 คําสั่งทางปกครองจะมีลักษณะเป็นคําสั่งบังคับฝ่ายเดียวที่เจ้าหน้าที่อาจออกคําสั่งโดยวาจา หรือเป็นหนังสือก็ได้ ส่วนกฎนั้นเป็นกฎหมายลําดับรองที่มีกระบวนการบัญญัติซับซ้อนคล้ายกับกระบวนการ ออกกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การตราพระราชกฤษฎีกา การออกข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่ง โดยสภาพแล้วไม่อาจออกกฏด้วยวาจาได้เลย

3 ในกรณีที่จะนําข้อพิพาทเกี่ยวกับการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองนั้น ถ้าเป็นคําสั่งทางปกครองจะต้องได้ดําเนินการแก้ไขความเดือดร้อนก่อนที่จะ นําคดีไปฟ้องศาลปกครอง เช่น ต้องมีการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองนั้นก่อนหรือมีการร้องทุกข์ก่อน ส่วนกฎนั้น สามารถนําคดีไปฟ้องศาลปกครองได้เลย เนื่องจากการฟ้องศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนกฏนั้น ไม่มีกฎหมาย กําหนดขั้นตอนและวิธีการในการแก้ไขความเดือดร้อนไว้แต่อย่างใด

 

ข้อ 3. นายแดงเป็นคู่กรณีที่ได้รับผลกระทบสิทธิจากคําสั่งทางปกครอง ดังนี้ เจ้าหน้าที่ที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองต้องดําเนินการอย่างไรบ้างต่อนายแดง มีหลักและข้อยกเว้นอย่างไร จงอธิบายตาม พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

ธงคําตอบ

การที่นายแดงเป็นคู่กรณีได้รับผลกระทบสิทธิจากคําสั่งทางปกครอง โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่ที่มี อํานาจพิจารณาทางปกครองจะต้องให้นายแดงซึ่งเป็นคู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และ ต้องให้นายแดงคู่กรณีได้มีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งได้บัญญัติว่า

“ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะ ได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน”

แต่อย่างไรก็ตาม หลักดังกล่าวมีข้อยกเว้นว่า เจ้าหน้าที่อาจเห็นสมควรปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ หากเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสอง (เป็นข้อยกเว้นที่ไม่เด็ดขาด) ได้แก่

(1) เมื่อมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง แก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ

(2) เมื่อจะมีผลทําให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฏกําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครองต้อง ล่าช้าออกไป

(3) เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่คู่กรณีนั้นเองได้ให้ไว้ในคําขอ คําให้การ หรือคําแถลง

(4) เมื่อโดยสภาพเห็นได้ชัดในตัวว่าการให้โอกาสดังกล่าวไม่อาจกระทําได้

(5) เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง

(6) กรณีอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง

และถ้าหากเข้าข้อยกเว้นตามวรรคสาม กล่าวคือ ถ้าการให้โอกาสแก่คู่กรณีที่จะได้ทราบข้อเท็จจริง อย่างเพียงพอและให้คู่กรณีได้มีโอกาส โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนตามวรรคหนึ่งนั้น จะก่อให้เกิด ผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ ดังนี้ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ให้โอกาสดังกล่าวแก่คู่กรณี (ซึ่งเป็น ข้อยกเว้นเด็ดขาด)

 

ข้อ 4. ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 140 วางหลักไว้ว่า เมื่อเจ้าพนักงานจราจรใช้เครื่องบังคับล้อรถยนต์ว่าผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ จะว่ากล่าว ตักเตือนผู้ขับขี่ หรือออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชําระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบก็ได้ ปรากฏว่า นายหนึ่งจอดรถยนต์ในที่ห้ามจอดและจอดกีดขวางทางจราจร เจ้าพนักงานจราจรจึงใช้เครื่องบังคับล้อ รถยนต์ของนายหนึ่งและได้ออกใบสั่งให้นายหนึ่งไปชําระค่าปรับ ดังนี้ การใช้เครื่องบังคับล้อรถยนต์ ก็ดี ใบสั่งก็ดี เป็นการกระทําทางปกครองใดบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

“การกระทําทางปกครอง” หมายถึง การกระทําขององค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครอง หรือผลิตผลของการใช้อํานาจรัฐตามพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายอื่นที่มีค่าบังคับเสมอพระราชบัญญัติ เช่น พระราชกําหนด เป็นต้น

การกระทําทางปกครอง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1 “กฎ” หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใด เป็นการเฉพาะ

2 “คําสั่งทางปกครอง” หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

3 “การกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่น” ได้แก่ การกระทําทางปกครองทั้งหลายที่ไม่ใช่ การออกกฎ หรือการออกคําสั่งทางปกครอง ซึ่งมักจะเรียกกันว่า “ปฏิบัติการทางปกครอง”

4 “สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้ จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

กรณีตามปัญหา การที่นายหนึ่งได้จอดรถยนต์ในที่ห้ามจอดและจอดกีดขวางทางจราจร เจ้าพนักงาน จราจรจึงใช้เครื่องบังคับล้อรถยนต์ของนายหนึ่งและได้ออกใบสั่งให้นายหนึ่งไปชําระค่าปรับนั้น

กรณีการใช้เครื่องบังคับล้อรถยนต์ แม้จะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่การกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําที่ไม่ได้เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล จึงไม่ใช่การกระทําทาง ปกครองในลักษณะที่เป็นกฎหรือคําสั่งทางปกครอง แต่เป็นการกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่นที่เรียกกันว่า ปฏิบัติการทางปกครอง

ส่วนกรณีของใบสั่งนั้น ไม่ถือเป็นการกระทําทางปกครองประเภทคําสั่งทางปกครอง เพราะไม่ได้ เป็นการใช้อํานาจทางปกครองหรือกิจการทางปกครองแต่อย่างใด และไม่ใช่การกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่น แต่เป็นการใช้อํานาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

สรุป

การใช้เครื่องบังคับล้อรถยนต์ เป็นการกระทําทางปกครองประเภทปฏิบัติการทางปกครอง ส่วนใบสั่งไม่ถือว่าเป็นการกระทําทางปกครองประเภทใด ๆ

 

LAW4002 การว่าความ S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทําเอกสารทางกฎหมาย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 นายปฐม อัศวรุ่งเรืองพาณิชย์ คนดังแห่งชุมแสงได้นําพระเครื่องสมเด็จ ซึ่งเป็นมรดกหายากจากนางย้อยมารดาราคา 10,000,000 บาทให้กับนายอาทิตย์ ท่าพระจันทร์ เช่า (ขาย) เซียนพระ ชื่อดังที่มาพบที่บ้าน โดยทําสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือวันที่ 15 มกราคม 2562 และ 31 มกราคม 2562 งวดละ 5,000,000 บาท และส่งมอบพระเครื่องดังกล่าวให้กับนายอาทิตย์ในวันทําสัญญาทันที

เมื่อการซื้อขายพระรู้ถึงหูชาวบ้านเป็นข่าวดังว่านายปฐมได้รับเงินเป็นล้าน ๆ จากการให้เช่า (ขาย) – พระเครื่อง นางสาวชะม้อย ชัยศรี ทราบข่าว ในวันที่ 20 มกราคม 2562 เวลา 15.00 นาฬิกา นางสาวชะม้อย ได้นําเอา น.ส. 3 ก. ของนางพิไล ใจงาม และสําเนาบัตรประจําตัวประชาชนของนางพิไลที่เลอะเลือนมองเห็น ไม่ชัดเจนมาแสดงต่อนายปฐมเพื่อทําสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 500,000 บาท ทําให้นายปฐมหลงเชื่อว่าเป็น น.ส.3 ก. และสําเนาบัตรประชาชนของนางพิไลญาติห่าง ๆ ที่ตําบลคะมัง จริง จึงได้ให้เงินยืมไปโดยทําสัญญากู้ ที่บ้านเลขที่ 8 ถนนชุมแสง ตําบลชุมแสง อําเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 อันเป็น วันครบกําหนดชําระค่าพระเครื่องงวดสุดท้าย แต่นายอาทิตย์เงียบหายไปติดต่อไม่ได้ นายปฐมจึงได้มาพบท่าน เพื่อให้ดําเนินคดีแพ่งกับนายอาทิตย์ทันที ท่านจึงได้ส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังนายอาทิตย์เรียกให้ชําระราคา พระเครื่องที่เหลือ โดยให้เวลา 15 วัน แต่นายอาทิตย์ก็เพิกเฉย นายปฐมจึงให้ท่านฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าพระเครื่อง ที่เหลือทันที และวันที่ 1 มีนาคม 2562 นางพิไลได้มาเยี่ยมนายปฐมที่บ้าน นายปฐมตกใจเป็นอันมากเพราะนางพิไล คนที่มากู้ยืมเงินเป็นคนละคนกับนางพิมลญาติตนคนนี้ จึงทราบชัดเจนว่าตนถูกหลอกลวงโดยนางสาวชะม้อย ที่แสดงตนเป็นนางพิไล และไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตํารวจภูธรอําเภอชุมแสงในข้อหาฉ้อโกงทันที แต่ต้องการ ให้ท่านดําเนินการฟ้องคดีอาญาให้กับตน ท่านจึงทําการฟ้องคดีอาญาอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และมาตรา 342 ทันที

หมายเหตุ

ประมวลกฎหมายอาญา มาเดรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษ”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342 “ถ้าในการกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทํา (1) แสดงตน เป็นคนอื่น ผู้กระทําต้องระวางโทษ…”

ดังนี้ ให้ท่านร่างเอกสารทางกฎหมายดังต่อไปนี้

1 ในฐานะทนายความและตัวแทนผู้รับมอบอํานาจให้ท่านร่างหนังสือบอกกล่าวทวงถาม นายอาทิตย์ตามข้อมูลข้างต้น

2 ในฐานะทนายความและตัวแทนผู้รับมอบอํานาจให้ท่านร่างคําฟ้องและคําขอท้ายฟ้องคดีแพ่ง โดยไม่คํานึงถึงแบบพิมพ์ศาล

3 ในฐานะทนายความให้ท่านร่างคําฟ้องคดีอาญาให้กับนายปฐมโดยไม่คํานึงถึงแบบพิมพ์ศาล

 

ธงคําตอบ

1 หนังสือบอกกล่าวทวงถาม

ทําที่สํานักงานกฎหมาย……………………….

เลขที่………………

วันที่ 13 พฤษภาคม 2562

เรื่อง ขอให้ชําระหนี้

เรียน นายอาทิตย์ ท่าพระจันทร์ ผู้ซื้อ (ผู้เช่าพระ)

ตามที่ท่านได้ทําสัญญาการเช่าพระเครื่องสมเด็จ (ซื้อขาย) จากนายปฐม อัศวรุ่งเรืองพาณิชย์ ผู้ขาย (ผู้ให้เช่าพระ) ในราคา 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) โดยมีการตกลงแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือวันที่ 15 มกราคม 2562 และวันที่ 31 มกราคม 2562 งวดละ 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และได้มีการส่งมอบ พระเครื่องดังกล่าวให้กับท่านแล้วในวันทําสัญญา ตามสัญญาฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2562 นั้น

แต่เมื่อถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 อันเป็นวันครบกําหนดชําระค่าพระเครื่องงวดสุดท้าย ปรากฏว่า ท่านไม่ชําระเงินอีก 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) ตามที่ตกลงกันไว้

โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้าในฐานะทนายความผู้รับมอบอํานาจจากนายปฐม อัศวรุ่งเรืองพาณิชย์ ผู้ขาย (ผู้ให้เช่าพระ) จึงขอบอกกล่าวมายังท่าน ขอให้ท่านนําเงินจํานวนดังกล่าวมาชําระแก่นายปฐม อัศวรุ่งเรืองพาณิชย์ ผู้ขาย (ผู้ให้เช่าพระ) หรือข้าพเจ้าภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ หากท่านไม่ดําเนินการดังกล่าว ข้างต้น ข้าพเจ้าจําเป็นต้องดําเนินการทางคดีกับท่านต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

ลงชื่อ……………………

(……..ชื่อนักศึกษา……….)

ทนายความผู้รับมอบอํานาจ

 

ธงคําตอบ

2 คําฟ้องคดีแพ่งและคําขอท้ายฟ้อง

 

ข้อ 1 โจทก์ในคดีนี้ได้มอบอํานาจให้……….(ชื่อนักศึกษา)…….. เป็นผู้ฟ้องและดําเนินคดีแทนโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอํานาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 โจทก์ได้นําพระเครื่องสมเด็จราคา 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) ให้กับจําเลยเซียนพระชื่อดังที่มาพบที่บ้านเช่า (ขาย) โดยทําสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแบ่งจ่าย เป็น 2 งวด คือวันที่ 15 มกราคม 2562 และวันที่ 31 มกราคม 2562 งวดละ 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และโจทก์ได้ส่งมอบพระเครื่องดังกล่าวให้กับจําเลยในวันทําสัญญาทันที รายละเอียดปรากฏตามสัญญาเช่าพระ (ซื้อขาย) ฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2562 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2

ข้อ 3 ครั้นเมื่อถึงวันที่ 21 มกราคม 2562 อันเป็นวันครบกําหนดชําระค่าพระเครื่องงวดสุดท้าย อีก 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) แต่จําเลยเงียบหายไปติดต่อไม่ได้

ข้อ 4 ทนายความได้ส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามลงทะเบียนไปรษณีย์ตอบรับไปยังจําเลย เรียกให้จําเลยชําระราคาพระเครื่องที่เหลือภายใน 15 วัน แต่จําเลยกลับเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามสําเนา หนังสือบอกกล่าวทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และ 4

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะจกลงกับจําเลยได้จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง ขอให้ศาลบังคับจําเลยชําระ ค่าพระเครื่องที่เหลือทั้งหมดจํานวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) แก่โจทก์

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

 

คําขอท้ายฟ้อง

1 ขอให้จําเลยชําระค่าพระเครื่องที่เหลือทั้งหมดจํานวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) แก่โจทก์

2 ขอให้จําเลยชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้าน บาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยจะชําระแกโจทก์เสร็จสิ้น

3 ขอให้จําเลยชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

ธงคําตอบ

3 คําฟ้องคดีอาญา

 

ข้อ 1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2562 เวลากลางวัน จําเลยโดยทุจริตได้แสดงตนเป็นนางพิไล ใจงาม โดยนําเอา น.ส. 3 ก. และสําเนาบัตรประจําตัวประชาชนที่เลอะเลือนมองเห็นไม่ชัดมาแสดงต่อโจทก์ เพื่อทํา สัญญากู้ยืมเงินโจทก์จํานวน 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน) ทําให้โจทก์หลงเชื่อว่าเป็น น.ส. 3 ก. และสําเนา บัตรประชาชนของนางพิไล ใจงาม ญาติห่าง ๆ จริง ซึ่งถือเป็นความเท็จ โจทก์จึงได้ให้เงินจํานวนดังกล่าวแก่จําเลย ยืมไป รายละเอียดปรากฏตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2562 ท้ายฟ้อง

เหตุเกิดที่ ตําบลชุมแสง อําเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์

ข้อ 2 การกระทําของจําเลยทําให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังกล่าวมาแล้วตามความข้างต้น โจทก็ไม่มีทางอื่นใดจะบังคับเอากับจําเลยได้ จึงต้องนําคดีมาสู่ศาล ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจําเลยมาไต่สวน มูลฟ้อง เพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษจําเลยต่อไป

อนึ่ง ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานสอบสวนแล้ว แต่เพื่อต้องการให้คดี เสร็จเด็ดขาดไปโดยเร็ว จึงนําคดีนี้มาฟ้องด้วยตนเอง

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คําแนะนํา

ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายเจริญ (นายจ้าง) ได้ทําสัญญาจ้างนายสาครเป็นลูกจ้างดูแลด้านสถานที่ และนางสาวเดือนเป็นลูกจ้างดูแลด้านการเงินตั้งแต่เดือนมกราคม โดยตกลงจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน และให้วางหลักประกันความเสียหายในการทํางานเป็นจํานวนเงินคนละ 40,000 บาท ในสัญญามีข้อตกลงว่า “นายจ้างจะคืนเงินประกันความเสียหายในวันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือลูกจ้าง ลาออกครึ่งหนึ่งและในวันสิ้นเดือนถัดไปอีกครั้งหนึ่ง” จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ในกรณีที่นายจ้างไม่คืนเงินประกันตามมาตรา 10 วรรคสอง ให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี

ในกรณีที่นายจ้างจงใจไม่คืนหรือไม่จ่ายเงินตามวรรคหนึ่ง โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เมื่อ พ้นกําหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ถึงกํา หนดคืนหรือจ่าย ให้นายจ้างเสียเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้างร้อยละสิบห้าของ เงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลาเจ็ดวัน”

มาตรา 10 “ภายใต้บังคับมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน การทํางานหรือหลักประกันความเสียหายในการทํางาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือการค้ําประกันด้วยบุคคล จากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทํานั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของ นายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ทั้งนี้ ลักษณะหรือสภาพของงานที่ให้เรียกหรือรับหลักประกัน จากลูกจ้าง ตลอดจนประเภทของหลักประกัน จํานวนมูลค่าของหลักประกัน และวิธีการเก็บรักษา ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด

ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน หรือทําสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสียหาย ที่ลูกจ้างเป็นผู้กระทํา เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกหรือสัญญาประกันสั้นอายุ ให้นายจ้างคืนหลักประกัน พร้อมดอกเบี้ย ถ้ามี ให้แก่ลูกจ้างภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่นายจ้างเล็กจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออก หรือวันที่ สัญญาประกันสิ้นอายุ แล้วแต่กรณี”

ตามประมวลกฎหมายแทงและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเจริญ (นายจ้าง) ได้ทําสัญญาจ้างนายสาครเป็นลูกจ้างดูแลสถานที่ และนางสาวเดือนเป็นลูกจ้างดูแลด้านการเงินตั้งแต่เดือนมกราคม โดยตกลงจายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน และให้วางหลักประกันความเสียหายในการทํางานเป็นจํานวนเงินคนละ 40,000 บาท และ ในสัญญามีข้อตกลงว่า “นายจ้างจะคืนเงินประกันความเสียหายในวันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือลูกจ้างลาออกครึ่งหนึ่ง และในวันสิ้นเดือนถัดไปอีกครึ่งหนึ่ง” นั้น ถูกต้องหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายสาคร การที่นายเจริญทําสัญญาจ้างนายสาครเป็นลูกจ้างดูแลสถานที่นั้น ถือว่า ไม่ใช่งานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานที่ทํานั้น ลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของ นายจ้างซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ (ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง) นายเจริญจึงไม่สามารถเรียกให้ นายสาครวางเงินประกันความเสียหายในการทํางานได้ ดังนั้น การที่นายเจริญเรียกให้นายสาครวางเงินประกัน ความเสียหายในการทํางานเป็นจํานวนเงิน 40,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง

กรณีของนางสาวเดือน การที่นายเจริญได้ทําสัญญาจ้างนางสาวเดือนเป็นลูกจ้างดูแลด้านการเงิน ซึ่งงานที่นายเจริญให้นางสาวเดือนทํานั้น ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทํานั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน หรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ดังนั้น นายเจริญเรียกให้นางสาวเดือน วางเงินประกันความเสียหายในการทํางานได้ (ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง) แต่นายเจริญสามารถเรียกได้เพียงตาม หลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ในประกาศกระทรวง คือเรียกได้ไม่เกิน 60 เท่าของอัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ยต่อวัน ซึ่งเท่ากับ 30,000 บาทเท่านั้น ( 5,000 x 60) ดังนั้น การที่นายเจริญเรียกให้นางสาวเดือนวางเงินประกันความเสียหาย ในการทํางานเป็นจํานวนเงิน 40,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง

และการที่ในสัญญามีข้อตกลงว่า นายจ้างจะคืนเงินประกันความเสียหายในวันที่นายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกครึ่งหนึ่งและในวันสิ้นเดือนถัดไปอีกครั้งหนึ่งนั้นก็ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน เพราะเป็นข้อตกลงที่ ขัดกับมาตรา 10 วรรคสอง ที่กําหนดให้นายจ้างคืนหลักประกันพร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้แก่ลูกจ้างภายใน 7 วัน นับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออกแล้วแต่กรณี ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของประชาชน การเขียนข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ดังนั้นนายเจริญจะต้องคืนเงิน ประกันการทํางานให้ภายใน 7 วันนับแต่วันเลิกจ้างหรือลาออก ถ้าไม่คืนภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้นายเจริญ นายจ้างเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัด (ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง) และถ้านายเจริญจงใจไม่คืน หรือไม่จ่ายเงินตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ดังกล่าว โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร นายเจริญจะต้องเสียเงินเพิ่มอีก ร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะเวลา 7 วัน (ตามมาตรา 9 วรรคสอง)

สรุป

การทําสัญญาจ้างของนายเจริญนายจ้างโดยให้ลูกจ้างวางหลักประกันความเสียหายและ ข้อตกลงในสัญญาดังกล่าวไม่ถูกต้อง ตามเหตุผลและหลักกฎหมายข้างต้น

 

ข้อ 2. นายพิชัย (นายจ้าง) มีคําสั่งให้นายอนุชิตซึ่งเป็นลูกจ้างรายวันได้รับค่าจ้างวันละ 336 บาท (เฉลี่ยชั่วโมงละ 42 บาท) ทํางานที่สํานักงานใหญ่หัวหมาก ทํางานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ให้เดินทางไปทํางานที่จังหวัดเลย โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในวันเสาร์ตั้งแต่ 09.00 น. ถึงจังหวัดเลยเวลา 19.00 น. และทํางานในวันอาทิตย์ตั้งแต่ 13.00 น. ถึง 20.00 น. เช่นนี้ นายอนุชิตจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนอะไรบ้าง ตามมาตราใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 56 “ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานสําหรับวันหยุด ดังต่อไปนี้

(1) วันหยุดประจําสัปดาห์ เว้นแต่ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างรายวัน รายชั่วโมง หรือตามผลงาน โดยคํานวณเป็นหน่วย”

มาตรา 62 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดตามมาตรา 28 มาตรา 29 หรือมาตรา 30 ให้นายจ้างจ่ายค่าทํางานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราดังต่อไปนี้

(2) สําหรับลูกจ้างซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด ให้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างอีกไม่น้อยกว่า สองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามจํานวนชั่วโมงที่ทําหรือไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้าง ต่อหน่วยในวันทํางานตามจํานวนผลงานที่ทําได้สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย

มาตรา 63 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานสวงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลา ในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามจํานวนชั่วโมงที่ทํา หรือไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทํางานตามจํานวนผลงานที่ทําได้สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ ค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย”

มาตรา 71 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างเดินทางไปทํางานในท้องที่อื่น นอกจากท้องที่สําหรับ การทํางานปกติ ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 ในระหว่างเดินทาง แต่สําหรับการเดินทางในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามมาตรา 56 (1) สําหรับการเดินทางนั้น”

มาตรา 73 “ให้ลูกจ้างออกค่าใช้จ่ายสําหรับการเดินทางตามมาตรา 71 และมาตรา 72”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอนุชิตลูกจ้งรายวันได้รับค่าจ้างวันละ 336 บาท (เฉลี่ยชั่วโมงละ 42 บาท) ทํางานที่กรุงเทพฯ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ต่อมานายพิชัย (นายจ้าง) มีค่าสั่งให้นายอนุชิตเดินทางไปทํางานที่จังหวัดเลยนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างเดินทางไปทํางานใน ท้องที่อื่นตามมาตรา 71 และเมื่อนายอนุชิตเป็นลูกจ้างรายวันซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามมาตรา 56 (1) ซึ่งตามมาตรา 71 ได้กําหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสําหรับการเดินทางในวันหยุดเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานให้แก่ ลูกจ้าง ดังนั้น ในวันเสาร์นายอนุชิตจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง 336 บาท สําหรับการเดินทางดังกล่าว แต่นายอนุชิต ไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดในช่วงเวลา 17.00 น. ถึง 19.00 น. ตามมาตรา 63 สําหรับการเดินทาง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 แต่จะได้รับค่าใช้จ่ายสําหรับการเดินทางตามมาตรา 73

ส่วนการที่นายจ้างให้นายอนุชิตทํางานในวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึง 20.00 น. นั้น ถือเป็น กรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดตามมาตรา 28 (วันหยุดประจําสัปดาห์) ดังนั้น นายอนุชิตจึงมีสิทธิได้รับ ค่าจ้างทํางานในวันหยุด ดังนี้คือ

1 ค่าทํางานในวันหยุดตั้งแต่เวลา 13.00 น. ถึง 17.00 น. รวม 4 ชั่วโมง ตามมาตรา 62 (2) ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างไม่น้อยกว่า 2 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางาน ซึ่งนายอนุชิต จะได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 336 บาท (42 x 2 x 4)

2 ค่าทํางานล่วงเวลาในวันหยุดตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึง 20.00 น. รวม 3 ชั่วโมง ตามมาตรา 63 ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายให้เป็น 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางาน ซึ่งนายอนุชิตจะได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 378 บาท (42 x 3 x 3)

สรุป

นายอนุชิตจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนสําหรับการเดินทางในวันเสาร์เป็นเงิน 336 บาท และ ค่าใช้จ่ายสําหรับการเดินทาง ส่วนวันอาทิตย์จะได้รับค่าจ้างเป็นค่าทํางานในวันอาทิตย์เป็นเงิน 719 บาท (336 + 378)

 

ข้อ 3. นายวันชัย (นายจ้าง) มีคําสั่งให้นายสมัย (เป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้าง 12,000 บาทต่อเดือน) ขับรถยนต์ไปส่งสินค้าให้ลูกค้าที่จังหวัดเชียงราย ในระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ตกเขาทําให้นายสมัย บาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวนานถึงหกเดือนแต่ก็กลายเป็นคนทุพพลภาพ เช่นนี้ นายสมัยจะมีสิทธิ อย่างไรบ้าง ตามกฎหมายใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้

“ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทํางานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคําสั่งของนายจ้าง”

มาตรา 13 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาล พื้นที่ตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายคารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตาม ความจําเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง

ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามวรรคหนึ่งโดยไม่ชักช้า เมื่อฝ่ายลูกจ้างแจ้งให้ทราบ

มาตรา 15 “กรณีที่ลูกจ้างจําเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานภายหลังการประสบ อันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานของลูกจ้างเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง”

มาตรา 18 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ร้อยละเจ็ดสิบของค่าจ้างรายเดือน สําหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทํางานได้ไม่ว่าลูกจ้างจะ สูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถทํางานได้ไปจนตลอดระยะเวลา ที่ไม่สามารถทํางานได้ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี

(3) ร้อยละเจ็ดสิบของค่าจ้างรายเดือน สําหรับกรณีที่ลูกจ้างทุพพลภาพ โดยจ่ายตามประเภท ของการทุพพลภาพเเละตามระยะเวลาที่กระทรวงแรงงานประกาศกําหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าปี

ค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าค่าทดแทนรายเดือนต่สุด และไม่มากกว่าค่าทดแทน รายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงแรงงานประกาศกําหนด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวันชัย (นายจ้าง) มีคําสั่งให้นายสมัย (ลูกจ้าง) ขับรถยนต์ไปส่งสินค้า ให้ลูกค้าที่จังหวัดเชียงราย และในระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ตกเขาทําให้นายสมัยบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัว นานถึง 6 เดือนแต่ก็กลายเป็นคนทุพพลภาพนั้น ย่อมถือว่านายสมัยประสบอันตรายเนื่องจากการทํางานให้แก่ นายจ้างตามมาตรา 5 แล้ว นายสมัยจึงได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 (ซึ่งมีการปรับ แก้ไขใหม่ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป) และกฎกระทรวงที่ออกตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล และค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานที่ให้นายจ้างจ่าย ดังนั้น นายวันชัย (นายข้าง) จะต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่ นายสมัย ดังนี้คือ

1 ค่ารักษาพยาบาล ตามมาตรา 13 โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่นายสมัย เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินอัตราที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง ดังนี้

(1) ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นแต่ไม่เกิน 50,000 บาท

(2) ในกรณีค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายตาม (1) ไม่เพียงพอให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นเพิ่มอีกไม่เกิน 100,000 บาท

(3) ในกรณีค่ารักษาพยาบาลที่ขายตาม (2) ไม่เพียงพอให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นเพิ่มขึ้นอีก โดยเมื่อรวมค่ารักษาพยาบาลตาม (1) และ (2) แล้วต้องไม่เกิน 300,000 บาท

(4) ในกรณีค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายตาม (3) สําหรับลูกจ้างรายใดไม่เพียงพอให้นายจ้าง จ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นเพิ่มขึ้นตามความเห็นของคณะกรรมการแพทย์ โดยเมื่อรวมกับ ค่ารักษาพยาบาลตาม (1) (2) และ (3) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

(5) ในกรณีค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายตาม (4) สําหรับลูกจ้างรายใดไม่เพียงพอให้นายจ้าง จ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นเพิ่มขึ้น โดยเมื่อรวมกับค่ารักษาพยาบาลตาม (1) (2) (3) และ (4) แล้วต้องไม่เกิน 1,000,000 บาท

2 ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางาน ตามมาตรา 15 โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ในการทํางานให้แก่นายสมัยเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็น ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ดังนี้

(1) ค่าใช้จ่ายในทางกายภาพบําบัดไม่เกินวันละ 200 บาท และค่าใช้จ่ายทางกิจกรรมบําบัด ไม่เกินวันละ 100 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 24,000 บาท

(2) ค่าใช้จ่ายในกระบวนการบําบัดรักษาและการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพ ในการทํางานไม่เกิน 40,000 บาท

(3) ค่าวัสดุและอุปกรณ์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูหน่วยละไม่เกินตามที่กระทรวงการคลังกําหนด แต่รวมแล้วไม่เกิน 160,000 บาท

(4) ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานด้านอาชีพฯ ไม่เกิน 24,000 บาท รวมค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานที่นายจ้างจะต้องจ่ายไม่เกิน 248,000 บาท

3 ค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถทํางานได้ ตามมาตรา 18 (1) เมื่อนายสมัยไม่สามารถทํางานได้ เพราะประสบอันตรายบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัว 6 เดือน และกลายเป็นคนทุพพลภาพนั้น นายจ้างจะต้องจ่าย ค่าทดแทนให้แก่นายสมัยในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือน โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่นายสมัยไม่สามารถ ทํางานได้ เมื่อนายสมัยได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท ร้อยละ 70 ของ 12,000 บาท คือ 8,400 บาท ดังนั้น นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนให้นายสมัยเป็นเงิน 8,400 x 6) 50, 100 บาท

4 ค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพ ตามมาตรา 18 (3) เมื่อนายสมัยกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนให้แก่นายสมัยในอัตราร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนคือ 8,400 บาทให้แก่นายสมัย ทุกเดือนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี

สรุป

นายสมัยจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทน ดังนี้

1 ค่ารักษาพยาบาลรวมแล้วไม่เกิน 1,000,000 บาท

2 ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานจํานวนไม่เกิน 248,000 บาท

3 ค่าทดแทน ในกรณีไม่สามารถทํางานได้เป็นเงิน 50 400 บาท

4 ค่าทดแทน นกรณีทุพพลภาพเดือนละ 8,400 บาท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี

 

ข้อ 4. ในสถานประกอบการแห่งหนึ่งมีลูกจ้าง 100 คน ถ้าหากว่ามีลูกจ้างจํานวนหนึ่งมีความต้องการให้มีการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จํานวน 4 ข้อ ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์นั้น มีกระบวนการขั้นตอนที่จะต้องดําเนินการอย่างไรจนสามารถแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นั้นได้ให้อธิบายตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าต้องมีลูกจ้างจํานวนเท่าใด และกฎหมาย กําหนดให้ทําอย่างไรจนสามารถตกลงกันได้แล้วเสร็จ

ธงคําตอบ

กรณีที่ในสถานประกอบการนั้นมีลูกจ้าง 100 คน ถ้าหากมีลูกจ้างจํานวนหนึ่งมีความต้องการ ให้มีการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จํานวน 4 ข้อ จะต้องดําเนินการตามกระบวนการขั้นตอนตามที่ บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ตั้งแต่การแจ้งข้อเรียกร้องของลูกจ้างจนถึงมีการจัดทําข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างดังต่อไปนี้ คือ

ขั้นตอนการแจ้งข้อเรียกร้องของลูกจ้าง

1 ฝ่ายลูกจ้างจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องนั้นไปยังฝ่ายนายจ้าง โดยทําเป็นหนังสือแจ้งไปยัง ฝ่ายนายจ้าง (มาตรา 13 วรรคหนึ่ง) และข้อเรียกร้องดังกล่าวจะต้อง

(1) มีรายชื่อ และ

(2) มีลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในจํานวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 15 ของลูกจ้างทั้งหมดซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น คือต้องมีจํานวนไม่น้อยกว่า 15 คน (มาตรา 13 วรรคสาม)

2 ในกรณีที่ลูกจ้างได้เลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาไว้แล้ว ให้ระบุชื่อผู้แทนผู้เข้าร่วม ในการเจรจามีจํานวนไม่เกิน 7 คน พร้อมกับการแจ้งข้อเรียกร้องด้วย ถ้าลูกจ้างยังมิได้เลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วม ในการเจรจา ให้ลูกจ้างเลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาและระบุชื่อผู้แทนผู้เข้าร่วมในการเจรจามีกําหนด ไม่เกิน 7 คน โดยมิชักช้า (มาตรา 13 วรรคสาม)

ขั้นตอนการเจรจา

เมื่อนายจ้างได้รับข้อเรียกร้องแล้ว ต้องแจ้งชื่อตนเองหรือผู้แทนเป็นหนังสือให้ฝ่ายลูกจ้างทราบ โดยมีชักช้า และให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจากันภายใน 3 วัน นับแต่วันที่นายจ้างได้รับข้อเรียกร้อง (มาตรา 16)

การทําข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและการจดทะเบียนข้อตกลง

1 ให้นายจ้างและลูกจ้างทําข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ได้ตกลงร่วมกันเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของนายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างหรือกรรมการของสหภาพแรงงาน แล้วแต่กรณี

2 ให้นายจ้างติดประกาศข้อตกลงดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผยภายใน 3 วัน นับแต่ที่ตกลงกัน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน

3 ให้นายจ้างนําข้อตกลงที่เกี่ยวกับสภาพการจ้างไปจดทะเบียนต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ตกลงกัน (มาตรา 18)

ผลผูกพันของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง

1 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันนายจ้าง และลูกจ้างซึ่งลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง ตลอดจนลูกจ้างซึ่งมีส่วนในการเลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาทุกคน มาตรา 19 วรรคหนึ่ง)

2 เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับแล้ว ห้ามมิให้นายจ้างทําสัญญาจ้างแรงงาน กับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า (มาตรา 20)

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. บริษัท อนัตตา จํากัด โดย ประธานบริษัทฯ ได้รับรายงานจากผู้จัดการส่วนบุคคลว่า มีพนักงานบริษัท 2 คน มีปัญหาในการปฏิบัติงาน โดยพนักงานทั้ง 2 คน ทํางานมา 20 ปีกับบริษัท อนัตตา จํากัด ให้ท่านวินิจฉัยว่า ทั้ง 2 คนนั้น บริษัท อนัตตา จํากัด จะเลิกจ้างโดยต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ก) นายสมชายลูกจ้างเล่นหมากรุกระหว่างทํางานทางบริษัท อนัตตา จํากัด ได้ออกหนังสือเตือนนายสมชายไม่ลงนามรับทราบหนังสือเตือน

(ข) นายสมหวังลูกจ้างเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นตามสภาพของร่างกายนายสมหวัง บริษัท อนัตตา จํากัด มีหนังสือเตือนให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่แต่น่ายสมหวังไม่สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 118 “ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้

(5) ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบสิบปีขึ้นไปให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางานสามร้อยวันสุดท้ายสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณ เป็นหน่วย”

มาตรา 119 วรรคหนึ่ง “นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้

(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทําความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง

(2) จงใจทําให้นายจ้างได้รับความเสียหาย

(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง

(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน ระเบียบ หรือคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรมและนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จําเป็นต้องตักเตือน

หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทําผิด

(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทํางานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุ อันสมควร

(6) ได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทํา โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ”

วินิจฉัย

ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 118 ได้กําหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างด้วย เมื่อนายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้าง เว้นแต่ถ้าเข้าข้อยกเว้นกรณีใดกรณีหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 119 วรรคหนึ่ง นายจ้างย่อมมีสิทธิที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้างได้

กรณีตามอุทาหรณ์ บริษัท อนัตตา จํากัด จะเลิกจ้างนายสมชายและนายสมหวังโดยต้องจ่าย ค่าชดเชยหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(ก) การที่นายสมชายลูกจ้างของบริษัทฯ เล่นหมากรุกระหว่างทํางานและบริษัทฯ ได้ออกหนังสือเตือน แต่นายสมชายไม่ยอมลงนามรับทราบหนังสือเตือนนั้น แม้ว่าการกระทําของนายสมชายจะเป็นการฝ่าฝืนคําสั่ง และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน แต่ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนคําสั่งและระเบียบข้อบังคับอันเป็น กรณีร้ายแรง ดังนั้น ถ้าบริษัทฯ จะเลิกจ้างนายสมชาย บริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายสมชายตาม มาตรา 118 (5) แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3999/2524)

(ข) การที่นายสมหวังลูกจ้างของบริษัทฯ มีอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นตามสภาพของร่างกายนั้น มิใช่การกระทําที่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคําสั่งของนายจ้าง และมิใช่การกระทําโดยประการอื่นใดที่จะ เป็นเหตุให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างตามมาตรา 119 วรรคหนึ่ง และแม้ว่าบริษัทฯ มีหนังสือเตือนให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่แต่นายสมหวังไม่สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ตาม กรณีก็ไม่ต้องด้วย ข้อยกเว้นตามมาตรา 119 (4) ดังนั้น ถ้าบริษัทฯ จะเลิกจ้างนายสมหวัง บริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ นายสมหวังตามมาตรา 118 (5)

สรุป

ถ้าบริษัท อนัตตา จํากัด จะเลิกจ้างนายสมชายและนายสมหวัง บริษัทฯ จะต้องจ่ายค่าชดเชย ให้แก่ลูกจ้างทั้ง 2 คน ตามมาตรา 118 (5)

 

ข้อ 2. นายพีระได้ทําสัญญาจ้างนายอนุชิตเป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา ตั้งแต่เดือนมิถุนายนมีข้อตกลงว่าจะจ่ายสินจ้างให้เดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน และนายจ้างจะบอกเลิก สัญญาเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ในช่วงของการทดสอบ การทํางาน เมื่อการทํางานเป็นที่พอใจก็จะบรรจุให้เป็นลูกจ้างประจํา นายอนุชิตก็ได้ยินยอม ทําข้อตกลงด้วยโดยได้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย เมื่อนายอนุชิตทํางานมาได้ถึงสิ้นเดือน กันยายน นายพีระประเมินการทํางานของนายอนุชิตแล้วไม่เป็นที่น่าพอใจจึงบอกเลิกสัญญาจ้างทันที นายอนุชิตต่อสู้ว่าไม่ถูกต้องแต่นายพีระอ้างว่าได้ทําตามสัญญา ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ท่านเห็นว่า เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้ “ลูกจ้าง” หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร”

มาตรา 17 วรรคสองและวรรคสาม “ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา นายจ้างหรือ ลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึง กําหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน

การบอกเลิกสัญญาจ้างตามวรรคสอง นายจ้างอาจจ่ายค่าจ้างให้ตามจํานวนที่จะต้องจ่ายจนถึง เวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวและให้ลูกจ้างออกจากงานทันทีได้”

มาตรา 30 วรรคหนึ่ง “ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งปีมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจําปี ได้ปีหนึ่งไม่น้อยกว่าหกวันทํางาน โดยให้นายจ้างเป็นผู้กําหนดวันหยุดดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างล่วงหน้าหรือ กําหนดให้ตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน”

มาตรา 67 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 ให้นายจ้างจ่าย ค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจําปีที่ลูกจ้าง พึงมีสิทธิได้รับตามมาตรา 30”

มาตรา 118 “ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้

(1) ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่ไม่ครบหนึ่งปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้าง อัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางานสามสิบวันสุดท้ายสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย”

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้น เป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพีระได้ทําสัญญาจ้างนายอนุชิตเป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา ตั้งแต่เดือนมิถุนายนโดยตกลงว่าจะจ่ายสินจ้างให้เดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือนนั้น ถือว่านายอนุชิต เป็นลูกจ้างของนายพีระแล้วนับแต่วันที่ได้ทําสัญญาจ้างตามนัยของมาตรา 5

การที่นายพีระได้ทําสัญญาจ้างนายอนุชิตเป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา และมีข้อตกลงว่า นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ในช่วงของ การทดสอบการทํางานนั้น ย่อมถือว่าเป็นการทําข้อตกลงที่ขัดกับมาตรา 17 วรรคสอง และมาตรา 118 ซึ่งเป็น กฎหมายคุ้มครองแรงงานอันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

เมื่อนายอนุชิตทํางานมาได้ถึงสิ้นเดือนกันยายน นายพีระประเมินการทํางานของนายอนุชิตแล้ว ไม่เป็นที่น่าพอใจจึงบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีโดยกล่าวอ้างว่าได้ทําข้อตกลงไว้แล้วนั้นจึงไม่ถูกต้อง เพราะตาม มาตรา 17 วรรคสอง ได้กําหนดไว้ว่า นายพีระจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะ ถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้า คือนายพีระสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ในวันที่ 31 ตุลาคม หรือจะจ่ายสินจ้างให้แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่ นายพีระก็ได้ตามมาตรา 17 วรรคสาม ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า นายอนุชิตได้ทํางานตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม นายอนุชิตย่อมมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามมาตรา 118 (1) คือได้รับค่าชดเชย 30 วัน เป็นจํานวนเงิน 15,000 บาท

ส่วนค่าจ้างของลูกจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปีตามที่กําหนดไว้ตามมาตรา 67 วรรคหนึ่งนั้น เมื่อนายอนุชิตยังทํางานไม่ครบ 1 ปี นายอนุชิตจึงยังไม่มีสิทธิได้รับเนื่องจากนายอนุชิตยังไม่มีวันหยุดพักผ่อน ประจําปี (ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง)

สรุป

การที่นายพีระบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีโดยอ้างว่าได้ทําตามข้อตกลงในสัญญานั้นไม่ถูกต้อง นายอนุชิตมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 15,000 บาท แต่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปี

 

ข้อ 3. สามารถเป็นลูกจ้างของบริษัท มวยไทยเจริญ จํากัด โดยบริษัทฯ ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์กีฬาเกี่ยวกับกีฬามวยไทยทุกชนิด สามารถทํางานกับบริษัทฯ อยู่ในตําแหน่งเช็คสต๊อกสินค้า จัดเตรียม สินค้าพร้อมส่งตามคําสั่งของลูกค้า และหากจําเป็นนายจ้างจะให้สามารถไปส่งสินค้าแทนพนักงาน ส่งสินค้าของบริษัทฯ ได้ และถือให้เป็นส่วนหนึ่งของภาระงานของสามารถ วันเกิดเหตุสามารถ ได้รับมอบหมายให้ไปส่งสินค้าให้เยาวเรศซึ่งเป็นลูกค้าสําคัญของบริษัทฯ สามารถนําสินค้าไปส่ง ให้กับลูกค้าเรียบร้อย ขณะอยู่ในระหว่างเดินทางกลับบริษัทฯ เกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยรถยนต์ที่สามารถ ขับขี่ไปชนกับรถยนต์ที่กําลังวิ่งทางตรง และสามารถได้รับบาดเจ็บถูกนําตัวส่งโรงพยาบาล สามารถ ได้รับสิทธิตามกฎหมายเงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยานาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพการทํางาน และ ค่าทดแทนฯ แต่นายจ้างแสดงเจตนาเข้ารับสิทธิดังกล่าวจากกองทุนเงินทดแทนในนามของสามารถ โดยนายจ้างอ้างว่า สามารถมีภาระในการชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายจ้างกรณีซ่อมรถยนต์คันเกิดเหตุ ต้องคืนนายจ้างกรณีนายจ้างได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่กรณีเพราะผลของการเกิดเหตุมาจากการที่สามารถเป็นผู้กระทําละเมิดและถือเป็นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงด้วย และนายจ้างยังอ้างว่า สามารถได้ทําบันทึกข้อตกลงให้นายจ้างมีสิทธิในเงินทดแทนเพื่อเป็นการหักกลบลบหนี้กันกับส่วนที่ สามารถต้องชดใช้ให้กับนายจ้างแล้ว ดังนี้ การแสดงเจตนาของนายจ้างและข้ออ้างของนายจ้าง ในการเข้าใช้สิทธิในเงินทดแทนรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

มาตรา 23 “ห้ามมิให้นายจ้างหักเงินทดแทนเพื่อการใด ๆ และเงินทดแทนไม่อยู่ในความรับผิด แห่งการบังคับคดี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามารถเป็นลูกจ้างของบริษัท มวยไทยเจริญ จํากัด ได้รับมอบหมายให้ไป ส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ และเมื่อส่งสินค้าให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ขณะอยู่ในระหว่างเดินทางกลับบริษัทฯ เกิดอุบัติเหตุขึ้นโดยรถยนต์ที่สามารถขับขี่ไปชนกับรถยนต์ที่กําลังวิ่งทางตรงและสามารถได้รับบาดเจ็บถูกนําตัว ส่งโรงพยาบาลนั้น ถือเป็นกรณีที่สามารถประสบอันตรายจากการทํางาน และเมื่อปรากฏว่าสามารถได้รับสิทธิใน เงินทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพการทํางานและค่าทดแทนฯ ตามกฎหมายเงินทดแทนแล้ว

ประเด็นการวินิจฉัยมีว่า การที่สามารถกระทําละเมิดโดยเป็นผู้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทําให้เกิดความเสียหาย แก่นายจ้างโดยนายจ้างต้องร่วมรับผิดในทางการที่จ้างกับคู่กรณีและต้องซ่อมแซมรถยนต์คันที่สามารถขับขี่ไป ก่อให้เกิดความเสียหายด้วยนั้น นายจ้างจะนําสิทธิในเงินทดแทนที่สามารถได้รับมาหักกับค่าเสียหายที่สามารถ จะต้องชดใช้กับนายจ้าง โดยการให้นายจ้างเข้ารับสิทธิในเงินทดแทนแทนสามารถ โดยสามารถทําบันทึกข้อตกลง ให้นายจ้างมีสิทธิตามข้อกล่าวอ้างของนายจ้างได้หรือไม่

เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติในมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. เงินทดแทนฯ แล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมาย ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิในเงินทดแทนของลูกจ้างไว้ โดยบัญญัติห้ามมิให้นายจ้างหักเงินทดแทนเพื่อการใด ๆ ดังนั้น การแสดงเจตนาของนายจ้างและข้ออ้างเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงที่ทํากันระหว่างนายจ้างกับสามารถที่ว่า ให้นายจ้างมีสิทธิในเงินทดแทนเพื่อเป็นการหักกลบลบหนี้กันกับส่วนที่สามารถต้องชดใช้ให้กับนายจ้างจึงรับฟังไม่ได้ เพราะกฎหมายให้สิทธิในเงินทดแทนแก่ลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทํางานและถือเป็นสิทธิที่ กฎหมายคุ้มครองให้แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ

สรุป

การแสดงเจตนาของนายจ้างและข้ออ้างของนายจ้างในการเข้าใช้สิทธิในเงินทดแทนรับฟังไม่ได้

 

ข้อ 4. นายเอกและนายตรีเป็นลูกจ้างที่เข้าร่วมในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ในระหว่างการเจรจาอยู่นั้นนายเอกไม่ได้มาทํางานตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์ นายจ้าง มีคําสั่งเลิกจ้างนายเอกทันที และย้ายนายตรีไปทํางานที่จังหวัดระยองโดยไม่บอกกล่าวก่อน นายเอก และนายตรีกล่าวอ้างว่านายจ้างไม่สามารถทําได้เพราะอยู่ในระหว่างการเจรจาตามพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

มาตรา 31 วรรคหนึ่ง “เมื่อได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องตามมาตรา 13 แล้ว ถ้าข้อเรียกร้องนั้น ยังอยู่ในระหว่างการเจรจา การไกล่เกลี่ย หรือการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 13 ถึงมาตรา 29 ห้ามมิให้ นายจ้างเลิกจ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการ หรือสมาชิกสหภาพ แรงงานหรือกรรมการ หรืออนุกรรมการสหพันธ์แรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่บุคคลดังกล่าว

(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทําความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง

(2) จงใจทําให้นายจ้างได้รับความเสียหาย

(3) ฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบ หรือคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง โดยนายจ้างได้ว่ากล่าว และตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จําเป็นต้องว่ากล่าวและตักเตือน ทั้งนี้ ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคําสั่งนั้นต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าว ดําเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง

(4) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทํางานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า เมื่อได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องให้มีการกําหนดหรือแก้ไข เพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไปแล้ว ถ้าข้อเรียกร้องนั้นยังอยู่ในระหว่างเจรจากัน กฎหมายห้ามมิให้ นายจ้างเลิกจ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องโดยไม่สุจริต โดยมีเจตนา เพื่อที่จะกลั่นแกล้งลูกจ้างดังกล่าวให้ออกจากงานไป เพราะถือเป็นการกระทําอันไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 31 วรรคหนึ่งนี้ ก็มีข้อยกเว้นที่ให้นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ แม้ว่า จะอยู่ในขั้นตอนของการเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นก็ตาม หากลูกจ้างดังกล่าวได้กระทําผิดต่อนายจ้างในกรณีต่าง ๆ ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง (1) – (4)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอก แม้ว่านายเอกจะเป็นลูกจ้างที่เข้าร่วมในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และข้อเรียกร้องนั้นยังอยู่ในระหว่างการเจรจาก็ตาม แต่การที่นายเอกไม่ได้มาทํางาน ตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์นั้น ถือเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทํางานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 31 (4) ดังนั้น นายจ้างจึงมีคําสั่งเลิกจ้างนายเอกได้ทันที และนายเอกจะกล่าวอ้างว่า นายจ้างไม่สามารถทําได้ เพราะอยู่ในระหว่างการเจรจาตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ไม่ได้

กรณีของนายตรี การที่นายตรีเป็นลูกจ้างที่เข้าร่วมในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้าง และเมื่อข้อเรียกร้องนั้นยังอยู่ในระหว่างการเจรจาตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของนายตรี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายจ้างได้มี คําสั่งโยกย้ายหน้าที่การงานของนายตรีโดยให้นายตรีย้ายไปทํางานที่จังหวัดระยองโดยไม่บอกกล่าว และโดย ไม่ปรากฏว่านายตรีได้กระทําการใด ๆ ตามมาตรา 31 (1) – (4) แต่อย่างใดนั้น การกระทําของนายจ้างย่อมถือว่า เป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 31 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายตรีจึงสามารถกล่าวอ้างได้ว่านายจ้าง ไม่สามารถทําได้ เพราะอยู่ในระหว่างการเจรจาตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์

สรุป

การที่นายจ้างมีคําสั่งเลิกจ้างนายเอก นายเอกจะกล่าวอ้างว่านายจ้างไม่สามารถทําได้ เพราะอยู่ในระหว่างการเจรจาตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ไม่ได้ ส่วนการที่นายจ้างมีคําสั่งย้ายสถานที่ทํางาน ของนายตรี นายตรีสามารถกล่าวอ้างได้ว่านายจ้างไม่สามารถทําได้เพราะอยู่ในระหว่างการเจรจาตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คําแนะนํา

ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายทนงลูกจ้างรายวัน ได้รับค่าจ้างวันละ 336 บาท (42 บาทต่อชั่วโมง) ทํางานที่กรุงเทพฯ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ต่อมานายพิภพ (นายจ้าง) มีคําสั่งให้นายทนง เดินทางไปทํางานที่จังหวัดน่าน โดยให้เดินทางในวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 07.30 น. ถึงจุดหมายปลายทาง เวลา 20.30 น. และให้ทํางานวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ถึง 21.00 น. เช่นนี้ นายทนงจะมีสิทธิ อะไรบ้าง เป็นจํานวนเงินเท่าใด ตามกฎหมายมาตราใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 56 “ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานสําหรับวันหยุด ดังต่อไปนี้

(1) วันหยุดประจําสัปดาห์ เว้นแต่ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างรายวัน รายชั่วโมง หรือตามผลงาน โดยคํานวณเป็นหน่วย”

มาตรา 62 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดตามมาตรา 28 มาตรา 29 หรือ มาตรา 30 ให้นายจ้างจ่ายค่าทํางานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราดังต่อไปนี้

(2) สําหรับลูกจ้างซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด ให้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างอีกไม่น้อยกว่า สองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามจํานวนชั่วโมงที่ทําหรือไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทํางานตามจํานวนผลงานที่ทําได้สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย”

มาตรา 63 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลา ในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามจํานวนชั่วโมงที่ทํา หรือไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทํางานตามจํานวนผลงานที่ทําได้สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย”

มาตรา 71 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างเดินทางไปทํางานในท้องที่อื่น นอกจากท้องที่สําหรับ การทํางานปกติ ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 ในระหว่างเดินทาง แต่สําหรับการเดินทางในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามมาตรา 56 (1) สําหรับการเดินทางนั้น”

มาตรา 72 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างเดินทางไปทํางานในท้องที่อื่น นอกจากท้องที่สําหรับการทํางานปกติ ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาตามมาตรา 61 และค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 ในระหว่างเดินทาง แต่สําหรับการเดินทางในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามมาตรา 56 (1) ด้วย เว้นแต่นายจ้างตกลงจ่ายค่าล่วงเวลาหรือค่าล่วงเวลา ในวันหยุดให้แก่ลูกจ้าง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายทนงลูกจ้างรายวันได้รับค่าจ้างวันละ 336 บาท (เฉลี่ยชั่วโมงละ 42 บาท) ทํางานที่กรุงเทพฯ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ต่อมานายพิภพ (นายจ้าง) มีคําสั่งให้นายทนงเดินทางไปทํางานที่จังหวัดน่านนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างเดินทางไปทํางานใน ท้องที่อื่นตามมาตรา 71 และเมื่อนายทนงเป็นลูกจ้างรายวันซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามมาตรา 56 (1) ซึ่งตามมาตรา 71 ได้กําหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสําหรับการเดินทางในวันหยุดเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานให้แก่ ลูกจ้าง ดังนั้น ในวันเสาร์นายทนงจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง 336 บาท สําหรับการเดินทางดังกล่าว แต่นายทนงไม่มี สิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุดตามมาตรา 63 สําหรับการเดินทางตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72

ส่วนการที่นายจ้างให้นายทนงทํางานในวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 13.00 น. ถึง 21.00 น. นั้น ถือเป็นกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดตามมาตรา 28 (วันหยุดประจําสัปดาห์) ดังนั้น นายทนงจึงมีสิทธิ ได้รับค่าจ้างทํางานในวันหยุด ดังนี้คือ

1 ค่าทํางานในวันหยุดตั้งแต่เวลา 13.00 น. ถึง 17.00 น. รวม 4 ชั่วโมง ตามมาตรา 62 (2) ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างไม่น้อยกว่า 2 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางาน ซึ่งนายทนงจะได้รับ ค่าจ้างเป็นเงิน 336 บาท (42 x 2 x 4)

2 ค่าทํางานล่วงเวลาในวันหยุดตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึง 21.00 น. รวม 4 ชั่วโมง ตาม มาตรา 63 ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายให้เป็น 2 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางาน ซึ่งนายทนงจะได้รับค่าจ้าง เป็นเงิน 500 บาท (42 x 3 x 4)

สรุป

นายทนงมีสิทธิได้รับค่าจ้างสําหรับการเดินทางในวันเสาร์เป็นเงิน 336 บาท และ จะได้รับค่าจ้างเป็นค่าทํางานในวันอาทิตย์อีกเป็นเงิน 840 บาท (336 + 504)

 

ข้อ 2. นายสุรเดชเป็นหัวหน้าควบคุมงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ทํางานมาแล้ว 7 ปี ได้รับค่าจ้างเดือนละ 40,000 บาท ต่อมานายภักดี (นายจ้าง) ต้องการปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิต จึงได้นํา เครื่องจักรและเทคโนโลยีมาใช้ จึงได้บอกกล่าวแก่นายสุรเดชในวันจ่ายสินจ้างคือวันที่ 31 มีนาคม ว่าจะบอกเลิกสัญญาจ้างและได้บอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 เมษายน และจ่ายค่าชดเชยให้ เป็นจํานวนเงิน 280,000 บาท แต่นายสุรเดชเห็นว่าไม่ถูกต้อง เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร จะมีสิทธิ ได้รับอะไรบ้าง เป็นจํานวนเงินเท่าใด เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 67 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 ให้นายจ้าง จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจําปีที่ลูกจ้าง จึงมีสิทธิได้รับตามมาตรา 30”

มาตรา 118 “ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง ดังต่อไปนี้

(4) ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบหกปี แต่ไม่ครบสิบปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย สองร้อยสี่สิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางานสองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตาม ผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย

การเลิกจ้างตามมาตรานี้ หมายความว่า การกระทําใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทํางานต่อไปและ ไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดของสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้าง ไม่ได้ทํางานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไป”

มาตรา 121 “ในกรณีที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิต การจําหน่าย หรือการบริการ อันเนื่องมาจากการนําเครื่องจักรมาใช้หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร หรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจํานวนลูกจ้าง ห้ามมิให้นํามาตรา 17 วรรคสอง มาใช้บังคับ และให้นายจ้าง แจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้างและรายชื่อลูกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงาน และลูกจ้างที่จะเลิกจ้าง ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง

ในกรณีที่นายจ้างไม่เจ้งให้ลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้า หรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่าที่กําหนด ตามวรรคหนึ่ง นอกจากจะได้รับค่าชดเชยตามมาตรา 118 แล้ว ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทํางานหกสิบวันสุดท้ายสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ ค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วยด้วย

ในกรณีที่มีการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามวรรคสองแล้ว ให้ถือว่า นายจ้างได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย”

มาตรา 122 “ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างตามมาตรา 121 และลูกจ้างนั้นทํางานติดต่อกัน เกินหกปีขึ้นไป ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยตามมาตรา 118 ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย สิบห้าวันต่อการทํางานครบหนึ่งปี หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางานสิบห้าวันสุดท้ายต่อการทํางานครบหนึ่งปี สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย แต่ค่าชดเชยตามมาตรานี้รวมแล้วต้องไม่เกินค่าจ้าง อัตราสุดท้ายสามร้อยหกสิบวัน หรือไม่เกินค่าจ้างของการทํางานสามร้อยหกสิบวันสุดท้ายสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ ค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย

เพื่อประโยชน์ในการคํานวณค่าชดเชยพิเศษกรณีระยะเวลาทํางานไม่ครบหนึ่งปี ถ้าเศษของ ระยะเวลาทํางานมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ให้นับเป็นการทํางานครบหนึ่งปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายภักดี (นายจ้าง) จะเลิกจ้างนายสุรเดชลูกจ้างเพราะเหตุที่ นายจ้างปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิต อันเนื่องมาจากการนําเครื่องจักรและเทคโนโลยีมาใช้นั้น ถือเป็น การเลิกจ้างตามมาตรา 118 วรรคสอง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน ได้กําหนดให้นายจ้างแจ้งวันที่จะเลิกจ้างให้ ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง (มาตรา 121 วรรคหนึ่ง) ถ้านายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้าง ที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้า หรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 60 วัน นอกจากจะได้รับค่าชดเชยตามมาตรา 118 แล้ว ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวัน (มาตรา 121 วรรคสอง)

และในกรณีที่ลูกจ้างได้ทํางานติดต่อกันเกินหกปีขึ้นไป ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้น จากค่าชดเชยตามมาตรา 118 ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสิบห้าวันต่อการทํางานครบหนึ่งปี (มาตรา 122 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อนายสุรเดชลูกจ้างได้ทํางานมาแล้ว 7 ปี โดยได้รับค่าจ้าง เดือนละ 40,000 บาท เมื่อนายจ้างได้บอกกล่าวแก่นายสุรเดชว่าจะเลิกจ้างในวันที่ 31 มีนาคม และให้มีผลเป็น การเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 เมษายน ซึ่งเป็นการแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 60 วัน โดยจ่ายค่าชดเชยให้นายสุรเดช 280,000 บาทนั้น นายสุรเดชสามารถต่อสู้ได้ว่าไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะนายสุรเดชมีสิทธิได้รับค่าชดเชยดังนี้ คือ

1 ค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา 121 เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายหกสิบวันเป็นเงิน 80,000 บาท

2 ค่าชดเชยในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างตามมาตรา 118 (4) เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน (8 เดือน) เป็นเงิน 320,000 บาท

3 ค่าชดเชยพิเศษตามมาตรา 122 เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายสิบห้าวันต่อการทํางาน ครบหนึ่งปี (ทํางานปีที่ 7 = 15 วัน) เป็นเงิน 20,000 บาท

ซึ่งรวมทั้งหมดนายสุรเดชจะต้องได้รับค่าชดเชยเป็นเงินทั้งสิ้น 420,000 บาท

และนอกจากนั้น นายสุรเดชยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปีตามมาตรา 67 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างด้วย

สรุป

การที่นายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างและจ่ายค่าชดเชยให้ 280,000 บาท นายสุรเดช สามารถต่อสู้ได้ว่าไม่ถูกต้อง เพราะนายสุรเดชมีสิทธิได้รับค่าชดเชยทั้งหมดเป็นเงิน 420,000 บาท รวมทั้งมีสิทธิ ได้รับค่าจ้างสําหรับวันหยุดพักผ่อนประจําปีด้วยตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายพนมและนายเทวาเป็นเพื่อนกันมีหน้าที่ขับรถยนต์ไปส่งสินค้า ทั้งสองได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท นายพิมล (นายจ้าง) มีคําสั่งให้นายพนมขับรถยนต์ไปส่งสินค้าที่จังหวัดปราจีนบุรี นายเทวาเห็นว่าเป็นเส้นทางกลับบ้านจึงนั่งไปด้วยโดยจะคอยบอกเส้นทางเดินทางให้ แต่ในระหว่างทาง เกิดรถยนต์ชนต้นไม้ข้างทางอย่างแรงทําให้ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อรักษาตัวได้ 4 เดือน ก็กลายเป็นคนทุพพลภาพ เช่นนี้ ทั้งสองคนจะมีสิทธิอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้

“ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทํางานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคําสั่งของนายจ้าง”

มาตรา 13 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง

ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามวรรคหนึ่งโดยไม่ชักช้า เมื่อฝ่ายลูกจ้างแจ้งให้ทราบ”

มาตรา 15 “กรณีที่ลูกจ้างจําเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานภายหลัง การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานของลูกจ้างตามความจําเป็น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง”

มาตรา 18 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สําหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทํางานติดต่อกันได้ เกินสามวันไม่ว่าลูกจ้างจะสูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถ ทํางานได้ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทํางานได้ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี

(3) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สําหรับกรณีที่ลูกจ้างทุพพลภาพ โดยจ่ายตามประเภท ของการทุพพลภาพและตามระยะเวลาที่จะต้องจ่ายตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกําหนด แต่ต้องไม่เกินสิบห้าปี

ค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองต้องไม่น้อยกว่าค่าทดแทนรายเดือนต่ำสุด และไม่มากกว่า ค่าทดแทนรายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกําหนด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายพนมและนายเทวาจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนอย่างไรบ้างหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายพนม

การที่นายพนมซึ่งเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ขับรถยนต์ไปส่งสินค้า ได้รับคําสั่งจากนายจ้างให้ขับรถยนต์ ไปส่งสินค้าที่จังหวัดปราจีนบุรี แต่ในระหว่างทางเกิดรถยนต์ชนต้นไม้ข้างทางอย่างแรงทําให้นายพนม (รวมทั้ง นายเทวา) ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องพักรักษาตัวถึง 4 เดือน และต่อมาได้กลายเป็นคนทุพพลภาพนั้น ย่อมถือว่า นายพนมประสบอันตรายเนื่องจากการทํางานให้แก่นายจ้างตามมาตรา 5 ดังนั้น นายพนมจึงได้รับการคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่นายพนม ดังนี้

1 ค่ารักษาพยาบาล ตามมาตรา 13 โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่ นายพนมเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็น แต่ไม่เกินอัตราที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง ซึ่งในกรณีนี้ถือว่านายพนม ประสบอันตรายถึงขั้นบาดเจ็บรุนแรง จึงต้องได้รับค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น 50,000 บาท และในกรณีบาดเจ็บ รุนแรงอีกไม่เกิน 100,000 บาท รวมกันแล้วไม่เกิน 150,000 บาท (ตามกฎกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับอัตรา ค่ารักษาพยาบาลฯ พ.ศ. 2558 ข้อ 2. และข้อ 3.)

2 ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางาน ตามมาตรา 15 โดยนายจ้างต้องจ่ายตามความจําเป็น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง ในกรณีนี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพใน การทํางานให้แก่นายพนมเป็นจํานวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท (ตามกฎกระทรวงแรงงาน เกี่ยวกับอัตราการจ่าย ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานฯ พ.ศ. 2558 ข้อ 4. (1)

3 ค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถทํางานได้ ตามมาตรา 18 (1) เมื่อนายพนมไม่สามารถ ทํางานได้ 4 เดือน ซึ่งถือว่าติดต่อกันเกิน 3 วัน นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่นายพนมไม่สามารถทํางานได้ เมื่อนายพนมได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท ร้อยละ 60 ของเงิน 12,000 บาท จึงเท่ากับ 7,200 บาท (ซึ่งไม่เกินค่าทดแทนรายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงแรงงานฯ ประกาศกําหนดคือ 12,000 บาท) ดังนั้น นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนให้แก่นายพนมเดือนละ 7,200 บาท เป็นเวลา 4 เดือน เป็นเงิน 28,800 บาท

4 ค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพ ตามมาตรา 18 (3) เมื่อนายพนมกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน ซึ่งก็คือ 7,200 บาท ให้แก่นายพนมทุกเดือน เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี

กรณีของนายเทวา

แม้นายเทวาจะเป็นลูกจ้างเช่นเดียวกับนายพนม และเมื่อเกิดรถยนต์ชนต้นไม้ข้างทางอย่างแรง ทําให้นายเทวาได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวถึง 4 เดือน และต่อมาได้กลายเป็นคนทุพพลภาพก็ตาม แต่นายเทวา ได้นั่งรถไปกับนายพนมเพื่อจะกลับบ้านเท่านั้น มิใช่กรณีที่นายจ้างสั่งให้ไป จึงไม่ถือว่านายเทวาประสบอันตราย เนื่องจากการทํางานให้แก่นายจ้างตามมาตรา 5 ดังนั้น นายเทวาจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนใด ๆ จากนายจ้าง

สรุป

นายพนมจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทน ดังนี้

1 ค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 150,000 บาท

2 ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางานจํานวนไม่เกิน 20,000 บาท

3 ค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถทํางานได้เดือนละ 7,200 บาท เป็นเงิน 28,800 บาท

4 ค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพเดือนละ 7,200 บาท เป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี ส่วนนายเทว่าไม่มีสิทธิได้รับค่าทดแทนใด ๆ จากนายจ้าง

 

ข้อ 4 ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ในกรณีที่ต้องการเรียกร้องให้มีการกําหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ถ้าหากว่า “ลูกจ้าง” กับ “สหภาพแรงงาน” ต้องการแจ้งข้อเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ “ลูกจ้าง” กับ “สหภาพแรงงาน”

จะต้องทําอย่างไรตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 13 และมาตรา 15 จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

มาตรา 13 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม “การเรียกร้องให้มีการกําหนดข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้าง หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างหรือลูกจ้างต้องแจ้งข้อเรียกร้อง เป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ

ในกรณีที่ลูกจ้างเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้อง ข้อเรียกร้องนั้นต้องมีรายชื่อและลายมือชื่อของลูกจ้าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องไม่น้อยกว่าร้อยละสิบห้าของลูกจ้างทั้งหมดซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น…”

 

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานอาจแจ้งข้อเรียกร้อง ตามมาตรา 13 ต่ออีกฝ่ายหนึ่งแทนนายจ้างหรือลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกได้ จํานวนสมาชิกซึ่งเป็นลูกจ้างต้องมีจํานวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจํานวนลูกจ้างทั้งหมด

ในกรณีที่สหภาพแรงงานเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้อง ข้อเรียกร้องนั้นไม่จําต้องมีรายชื่อและ ลายมือชื่อของลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง”

ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่ต้องการเรียกร้องให้มีการกําหนด ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้น ถ้าหากว่า “ลูกจ้าง” กับ “สหภาพแรงงาน” ต้องการแจ้งข้อเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ “ลูกจ้าง” กับ “สหภาพแรงงาน” จะต้อง ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ดังนี้คือ

กรณีที่ลูกจ้างเป็นฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้อง

1 ฝ่ายลูกจ้างจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องนั้นไปยังฝ่ายนายจ้าง โดยทําเป็นหนังสือแจ้งไปยัง ฝ่ายนายจ้าง (มาตรา 13 วรรคหนึ่ง) และข้อเรียกร้องดังกล่าวจะต้อง

(1) มีรายชื่อ และ

(2) มีลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในจํานวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 15 ของลูกจ้างทั้งหมดซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น (มาตรา 13 วรรคสาม)

2 ในกรณีที่ลูกจ้างได้เลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาไว้แล้ว ให้ระบุชื่อผู้แทน ผู้เข้าร่วมในการเจรจามีจํานวนไม่เกิน 7 คน พร้อมกับการแจ้งข้อเรียกร้องด้วย ถ้าลูกจ้างยังมิได้เลือกตั้งผู้แทน เป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจา ให้ลูกจ้างเลือกตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาและระบุชื่อผู้แทนผู้เข้าร่วมในการ เจรจามีกําหนดไม่เกิน 7 คน โดยมิชักช้า (มาตรา 13 วรรคสาม)

กรณีที่สหภาพแรงงานเป็นฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้อง

1 สหภาพแรงงานนั้นจะต้องมีลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของลูกจ้างทั้งหมด (มาตรา 15 วรรคหนึ่ง)

2 ให้สหภาพแรงงานแจ้งข้อเรียกร้องที่ลูกจ้างทําไว้ตามมาตรา 13 วรรคหนึ่งต่อนายจ้าง โดยข้อเรียกร้องนั้นไม่จําต้องมีรายชื่อและลายมือชื่อของลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น (มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง)

WordPress Ads
error: Content is protected !!