POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 Id, Ego และ Super-Ego เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ

(1) ความรู้ในงาน

(2) แรงจูงใจ

(3) บุคลิกภาพ

(4) ความต้องการ

(5) ทั้งข้อ 2, 3 และ 4

ตอบ 3 หน้า 74 Sigmund Freud ได้ให้ความหมายของบุคลิกภาพ (Personality) ไว้ว่าบุคลิกภาพของบุคคลเกิดจากผลรวมของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งสําคัญ 3 ประการ คือ Id, Ego และ Super-Ego โดยมนุษย์ทุกคนจะอยู่ในกระบวนการดัดแปลงและปรับปรุง บุคลิกภาพอยู่ตลอดเวลา บุคลิกภาพของบุคคลมิได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีทันใด แต่จะเกิดจากการสะสมของประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงต่าง ๆ ของชีวิต

2 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เสนอให้พิจารณาปัจจัยด้านใดในการบริหารองค์การ

(1) บุคลิกภาพ

(2) คุณวุฒิ

(3) ประสบการณ์

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Henri Fayol ได้เสนอหลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือการกําหนดคนให้เหมาะสม กับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job” ในระบบคุณธรรม (Merit System) โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก

3 Management Science หมายถึง

(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม

(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมการทํางานในองค์การ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ

1 วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน

2 การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

4 องค์ประกอบในระบบโครงสร้างขององค์การ ได้แก่

(1) Positions and Authority

(2) Span of Control

(3) Technology

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 121, (คําบรรยาย) โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) หมายถึง การสร้างแบบ(Pattern) ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ (Components) ต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority) ช่วงการบังคับบัญชา (Span of Control) เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work) เป็นต้น โดยโครงสร้างขององค์การจะแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมและความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ ของหน่วยงานในองค์การ

5 เทคโนโลยีขององค์การ หมายถึง

(1) วัตถุประสงค์ขององค์การ

(2) กฎระเบียบและข้อบังคับ

(3) วิธีการทํางาน

(4) ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 96 – 97, (คําบรรยาย) ระบบย่อยต่าง ๆ ภายในระบบขององค์การ มีดังนี้

1 ระบบวัตถุประสงค์และค่านิยม (Goals and Values)

2 ระบบเทคโนโลยีขององค์การ (Technical) หมายถึง ความรู้ที่จําเป็นในการปฏิบัติงานรวมถึงเทคนิคและวิธีการทํางาน

3 ระบบสังคมจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นระบบที่รวมความต้องการของบุคคลและกลุ่มในองค์การ เช่น ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น

4 ระบบโครงสร้างขององค์การ (Structural) เป็นระบบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์การ เช่น กฎระเบียบและข้อบังคับ ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ แผนกงาน เป็นต้น

5 ระบบของศิลปะและทักษะในการบริหารองค์การ (Managerial) หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการของผู้บริหารหรือผู้ควบคุมงาน

6 เหตุผลของการเกิดองค์การที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่

(1) เพิ่มช่องทางไหลเวียนของข่าวสาร

(2) ใช้เป็นที่ระบายความรู้สึก

(3) เป็นการแบ่งงานกันทํา

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 10 – 11, (คําบรรยาย) เหตุผลความจําเป็นหรือประโยชน์ของการเกิดองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) ได้แก่

1 เป็นการตอบสนอง ต่อความต้องการทางสังคม เช่น ใช้เป็นที่หางานอดิเรกทํา แสดงออกทางรสนิยม เป็นต้น

2 ช่วยสร้างความรู้สึกที่ได้เป็นเจ้าของขึ้น

3 ค้นหาบุคคลที่มีพฤติกรรมคล้ายตน หรือการหาเพื่อน

4 เป็นที่ระบายความรู้สึก

5 เป็นโอกาสในการแสดงอิทธิพล

6 เป็นโอกาสในการแสดงออกทางวัฒนธรรมประเพณี

7 เพิ่มช่องทางการไหลเวียนของข่าวสาร และเป็นแหลงในการหาข้อมูลข่าวสารและการติดต่อ

7 Conscious Decisions มักเกิดในระดับใดของการบริหาร

(1) การบริหารระดับสูง ๆ

(2) ระดับการกําหนดนโยบาย

(3) การบริหารระดับต้น

(4) เป็นได้เท่า ๆ กันทั้ง 1 และ 2

(5) เป็นได้เท่า ๆ กันทั้ง 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 229, 232 การตัดสินใจในองค์การ มี 3 ระดับ คือ

1 ระดับปฏิบัติการ หรือการบริหารระดับต้น มักใช้การตัดสินใจแบบไร้สํานึกหรือไม่ต้องใช้ความคิดตรึกตรอง (Unconscious Decisions)

2 ระดับการกําหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือการบริหารระดับสูง มักใช้การตัดสินใจแบบใช้สํานึกหรือใช้ความคิดตรึกตรอง (Conscious Decisions)

3 ระดับการประสานงาน หรือการบริหารระดับกลาง มักใช้การตัดสินใจทั้งแบบใช้สํานึกและแบบไร้สํานึกผสมผสานกัน

8 ถ้าสมมุติฐานมีว่า “มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” วิธีการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของผู้บริหาร ที่ยึดสมมติฐานนี้ ได้แก่

(1) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด

(2) ใช้คู่มือกํากับการทํางาน

(3) ใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วม

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 91) Knowles and Saxberg เสนอว่า ถ้าเรามีสมมุติฐานว่า“มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” เราสามารถทํานายได้เลยว่าพฤติกรรมที่บกพร่องที่เขาแสดงออกมา ย่อมเป็นผลมาจากกระบวนการอบรมเลี้ยงดูและประสบการณ์ในอดีตของเขา เช่น ความต้องการภายในไม่ได้รับการบําบัด ขาดเสรีภาพ ขาดโอกาสในการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งเราอาจแก้ไขโดยใช้การอบรมและพัฒนา ใช้กลุ่มช่วยแก้ปัญหา หรือใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมก็ได้

9 “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ…. ” เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด

(1) Action Theory

(2) Administrative Theorists

(3) Contingency Theory

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situaticnal Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้ มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้เงื่อนไขของ สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สามารถ เปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของ นักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบที่เหมาะสมสําหรับองค์การทุก ๆประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทําให้การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

10 ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่ Herbert Kaufman เห็นว่าเป็น Internal Management

(1) การตัดสินใจ

(2) การจูงใจ

(3) การกําหนดนโยบาย

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 14, (คําบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับภารกิจ 2 ลักษณะ คือ

1 Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียง ร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่

2 External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของ เวลาทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและกรองข้อมูลข่าวสารหรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด

11 Efficiency ของการบริหาร ให้พิจารณาที

(1) งบประมาณที่ใช้

(2) คุณภาพของการทํางาน

(3) ผลงานที่ได้รับ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆจะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ใช้ในการบริหาร ส่วนประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จาก การบริหารกับมาตรฐานหรือเป้าหมายที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้นหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ ก็แสดงว่าองค์การนั้น มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ได้ ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล

12 Secondary Environment หรือ External Environment ที่ Barton และ Chappell แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประกอบด้วย สังคม……………..ที่หายไปคือ

(1) เทคโนโลยีและเศรษฐกิจ

(2) เศรษฐกิจและการเมือง

(3) การเมืองและเทคโนโลยี

(4) สื่อมวลชนและเทคโนโลยี

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ

1 สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี

2 สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

13 ทุกข้อเป็นความแตกต่างระหว่างการบริหารรัฐกิจและการบริหารธุรกิจ ยกเว้น

(1) ขนาดของกิจการ

(2) การเป็นเจ้าของกิจการ

(3) วัตถุประสงค์

(4) ผลผลิต

(5) ทฤษฎีองค์การ

ตอบ 5 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 12 – 14) ความแตกต่างระหว่างการบริหารรัฐกิจ(Public Administration) และการบริหารธุรกิจ (Business Administration) อาจแยกพิจารณาได้จาก 4 ด้านใหญ่ ๆ คือ

1 วัตถุประสงค์

2 การเป็นเจ้าของกิจการ

3 ขนาดของกิจการ

4 ผลผลิต

14 Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ว่าเป็น

(1) Political Environment

(2) Primary Environment

(3) Inner Environment

(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 12 ประกอบ

15 ตามทฤษฎีของ Herzberg ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่เป็น Hygiene Factors สูงที่สุด

(1) ความรับผิดชอบ

(2) ความก้าวหน้าในงาน

(3) ลักษณะของงาน

(4) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน

(5) นโยบายและการบริหาร

ตอบ 5 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานได้ 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2 ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ําจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับ จากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

16 “ ……. ระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell

(1) Political Environment

(2) Outer Environment

(3) Secondary Environment

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐ กับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political /Primary/ Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell (ดูคําอธิบายข้อ 12 ประกอบ)

17 วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ ได้แก่

(1) Scientific Management

(2) Management Science

(3) Action Theory

(4) Operation Research

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 3 ประกอบ

  1. “…พยายามที่จะจํากัดขอบเขตของการศึกษาเพื่อให้อยู่ในขอบเขตที่จะสามารถใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ ” ที่กล่าวมาเป็นวิธีการของนักทฤษฎีกลุ่มใด

(1) A Systems Approach

(2) Contingency Theory

(3) Quantitative Science

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย

1 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model) และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)

2 นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎีกลุ่มการวิจัยดําเนินงาน (Operation Research)

19 ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง

(1) ฟาโย – องค์การที่เป็นทางการ

(2) กิลเบิร์ต – เส้นทางเดินของงาน

(3) เทย์เลอร์ – สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน

(4) มัสโล – ทฤษฎีความต้องการ

(5) กูลิค – หน้าที่ของผู้บริหาร

ตอบ 3 หน้า 38 – 42, (คําบรรยาย) Frederick W. Taylor เป็นนักวิชาการกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีแนวคิดและผลงานที่สําคัญดังนี้

1 เป็นผู้สร้างทฤษฎีการจัดการโดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)

2 ริเริ่มแนวคิดการบริหารที่คํานึงถึงผลิตภาพหรือประสิทธิภาพ (Efficiency) ในการปฏิบัติงานขององค์การเป็นหลัก

3 เสนอให้ใช้ระบบค่าจ้างต่อชิ้น (Piece Rate System) ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจภายนอกที่จะทําให้มนุษย์ทํางานมากยิ่งขึ้น

4 เสนอให้มีผู้เชี่ยวชาญงานพิเศษ (Functional Foremen) เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบงานและเร่งรัดประสิทธิภาพของงานในขั้นตอนต่าง ๆ

20 ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด

(1) Management by Rules

(2) Management by Procedure

(3) Management by Objectives

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2 (5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 78, (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้

1 การบริหารแบบประชาธิปไตย

2 การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)

3 การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหาร ที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)

4 การทํางานเป็นทีม (Teamwork)

5 การบริหารแบบโครงการ (Project Management) ฯลฯ )

21 แนวความคิดในการดําเนินชีวิตแบบใดที่เป็นผลให้เกิดการบริหารที่มีลักษณะของการกระจายอํานาจ ในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ

(1) เสรีนิยม

(2) สังคมนิยม

(3) ประชานิยม

(4) ประจักษนิยม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 14 – 15) แนวความคิดหรือปรัชญาในการดําเนินชีวิตมี 2 แบบ คือ

1 เสรีนิยม เป็นแนวคิดที่ยกย่องในสิทธิและเสรีภาพของบุคคล และเห็นว่ามนุษย์ทุกคนสามารถครอบครองถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและที่ดินได้ จึงยึดหลักการกระจายอํานาจในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ

2 สังคมนิยม เป็นแนวคิดที่ยกย่องในความเสมอภาคของปวงชน และเห็นว่ารัฐควรจะเป็นผู้จัดสรรทรัพย์สินเละที่ดินเพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จึงยึดหลักการรวมอํานาจในการจัดสรรทรัพยากรของชาติ

22 การบริหารงานที่คํานึงถึงความสุขของผู้ปฏิบัติงาน เป็นการบริหารตามแนวคิดของนักวิชาการกลุ่มใด

(1) การจัดการแบบวิทยาศาสตร์

(2) ตัวแบบระบบราชการ

(3) นักทฤษฎีการบริหาร

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 26 – 27, 29 – 30, 67 – 82 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) หรือกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism หรือ Industrial Humanism) หรือกลุ่ม มนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) หรือกลุ่มนีโอคลาสสิก (Neo-Classical Organization Theory) หรือนักทฤษฎีการบริหารงานสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Management) มีแนวคิดและวิธีศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ดังนี้

1 ศึกษาองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) โดยให้ความสําคัญกับระบบสังคมภายในองค์การหรือระบบสังคมจิตวิทยามากที่สุด

2 ริเริ่มนําเสนอสิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน

3 เน้นการบริหารงานที่คํานึงถึงความสุขและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานหรือสมาชิกในองค์การ

4 เน้นศึกษากลุ่มทางสังคม คุณลักษณะของปัจเจกบุคคล (ได้แก่ บุคลิกภาพ จิตภาพ ทัศนคติและความต้องการของบุคคล) คุณลักษณะทางธรรมชาติของมนุษย์

5 พยายามนําระบบการบริหารแบบเครือญาติ (Paternalism) เข้ามาใช้ในองค์การ

6 นักทฤษฎี (นักวิชาการ) ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hugo Munsterberg, George Elton Mayo, Warren Bennis, Chester I. Barnard, A.H. Maslow, Douglas McGregor และ Frederick Herzberg ฯลฯ

23 กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน

(1) Piece Rate System

(2) Gantt Chart

(3) Staffing

(4) Reporting

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 42, (คําบรรยาย) Henry L. Gantt เป็นผู้ริเริ่มเสนอให้เกิดการทํางานเป็นกิจวัตรโดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือแผนกํากับหรือติดตาม ความก้าวหน้าของงาน โดยการทําตารางเวลากําหนดว่างานหรือกิจกรรมใดควรเริ่มเวลาใด วันใด และสิ้นสุดเมื่อใด ดังนั้นแนวความคิดดังกล่าวจึงนับเป็นจุดเริ่มต้นประการหนึ่งของวิชาการวางแผน

24 “ความสามารถของผู้ควบคุมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ

(1) Goals and Values

(2) Technical

(3) Structural

(4) Psychosocial

(5) Managerial

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ

25 “ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ

(1) Goals and Values

(2) Technical

(3) Structural

(4) Psychosocial

(5) Managerial

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ

26 “ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ

(1) Goals and Values

(2) Technical

(3) Structural

(4) Psychosocial

(5) Managerial

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ

27 ทุกข้อเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของระบบ ยกเว้น

(1) มีการวางแผน

(2) มีกลไกให้ข้อมูลข่าวสาร

(3) มีความเจริญเติบโตภายใน

(4) มีเสถียรภาพแบบพลวัต

(5) มุ่งประสิทธิภาพสูงสุด

ตอบ 5 หน้า 98 – 106 ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่

1 การวางแผนและจัดการ (Contrived)

2 ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)

3 การอยู่รอด (Negative Entropy)

4 การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา (Dynamic Equilibrium)

5 กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)

6 กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)

7 การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration) ฯลฯ (สวนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

28 แนวคิดที่ต้องการให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ และทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น… แนวคิดดังกล่าวเรียกว่า

(1) Adhocracies

(2) Contingency Theory

(3) Action Theory

(4) Systems Theory

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 112 113, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการกระทํา (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริง หรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้ จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

29 นักวิชาการเหล่านี้จัดเป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มใด Gantt, Gilbreths, Emerson

(1) Neo-Classical Organization Theory

(2) Contingency Theory

(3) Action Theory

(4) Systems Theory

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 42 43 นักทฤษฎีองค์การกลุ่ม Scientific Management มีดังนี้

1 Frederick W. Taylor

2 Henry L. Gantt

  1. Frank และ Lillian Gilbreths

4 Harrington Emerson

5 Morris L. Cooke ฯลฯ

30 Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น

(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น

(2) เน้นการใช้ความรู้

(3) เน้นความสัมพันธ์ในแนวนอน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 72, (คําบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy” (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การที่มีลักษณะดังนี้

1 มีการจัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การที่เน้นการทํางานแบบ เฉพาะกิจ

2 เน้นการกระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย

3 มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น

4 เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญมากกว่าการใช้อํานาจหน้าที่ (Authority)

5 เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ

31 การที่ผู้ปฏิบัติงานทํางานเพียงเท่าเกณฑ์ขั้นต่ําในการทํางาน ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์นั้น Taylor เรียกพฤติกรรมนี้ว่า

(1) การหลีกเลี่ยงงานโดยธรรมชาติ

(2) การค้นหามาตรฐานของงาน

(3) ความล้มเหลวในการบังคับบัญชา

(4) การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 41, (คําบรรยาย) พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนึ่งานโดยอาศัยระบบตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงานในองค์การเป็นเครื่องมือ เพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตน โดยพยายามทําให้เห็นว่า ตนเองมีงานล้นมืออยู่เล้ว หรือพยายามทํางานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่ำของงาน โดยไม่ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทํางาน เท่าที่ระเบียบกําหนด หรือทํางานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิดระเบียบ ไม่ตกมาตรฐานขององค์การ เช่น การส่งใบลากิจในวันที่องค์การมีภารกิจมาก การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น

32 ปัญหาใหญ่ที่สุดของ “การสื่อความเข้าใจ” ได้แก่

(1) ภาษาที่ใช้

(2) เทคโนโลยี

(3) สิ่งแวดล้อม

(4) ระบบงาน

(5) ขนาดองค์การ

ตอบ 1 หน้า 245, (คําบรรยาย) ปัญหาที่สําคัญและใหญ่ที่สุดของกระบวนการสื่อข้อความหรือการสื่อความเข้าใจ คือ ความพยายามในอันที่จะเข้าใจถึงความหมายของภาษา หรือการเรียนรู้ถึงความหมายของภาษาที่ใช้ (Semantics) นั่นเอง

33 องค์การเป็นระบบทางสังคมเพราะเหตุใด

(1) มีวัฒนธรรม

(2) มีสมดุลแบบที่เป็นแบบพลวัต

(3) มุ่งประสิทธิภาพสูงสุด

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 89, 98 – 107, (คําบรรยาย) องค์การจัดว่าเป็นระบบทางสังคม เนื่องจากมีลักษณะทางธรรมชาติที่แตกต่างไปจากระบบทางกายภาพหรือระบบทางชีวภาพ ดังนี้

1 มีโครงสร้างที่ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์มากกว่าโครงสร้างคงที่

2 มีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง กับสภาพแวดล้อม หรือมีความสมดุลแบบพลวัต (Dynamic Equilibrium)

3 มีวัฒนธรรมอันเป็นความสามารถในการที่จะถ่ายทอดวิทยาการต่าง ๆ ขององค์การให้แก่คนรุ่นใหม่ ๆ ได้สืบทอดต่อไป ฯลฯ

34 การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นพฤติกรรมในข้อใด

(1) การหลีกเลี่ยงงานโดยธรรมชาติ

(2) การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ

(3) การรักษาสิทธิตนเอง

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ

35 ผู้เสนอ “POSDCORB” ได้แก่

(1) Fayol

(2) Taylor

(3) Urwick

(4) Weber

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 29, 55 – 56, 60 – 62 Luther Gutick ได้เขียนบทความ “Note on the Theory of Organization” โดยเขาได้เสนอหน้าที่หรือภารกิจหลักในการบริหารงาน (Administrative Functions) ของนักบริหารไว้ 7 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า POSDCORB Model ประกอบด้วย

1 P = Planning (การวางแผน)

2 O = Organizing (การจัดรูปงาน)

3 S = Staffing (การบรรจุบุคคลเข้าทํางาน)

4 D = Directing (การสั่งการ)

5 Co = Coordinating (การประสานงาน)

6 R = Reporting (การจัดทํารายงาน)

7 B = Budgeting (การจัดทํางบประมาณ)

36 สิ่งที่ ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่

(1) การควบคุมงาน

(2) การประเมินผลงาน

(3) การจัดทําแผนกลยุทธ์

(4) การกําหนดอํานาจหน้าที่

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 60 – 62 ดร.ขุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ P = Policy (การกําหนดนโยบาย) หมายถึง แนวทางเบื้องต้นที่จะใช้ในการบริหารงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่) เป็นอํานาจที่มาจากตําแหน่งที่กําหนดไว้ในองค์การ

37 Post Control ได้แก่

(1) การตรวจสอบผลกําไรเมื่อสิ้นงวดการปฏิบัติงาน

(2) การสั่งการจากผู้บังคับบัญชา ไปยังผู้ปฏิบัติงานโดยตรง

(3) การใช้โปรแกรมการปฏิบัติงานเป็นเครื่องมือ

(4) การตรวจงาน

(5) ทั้งข้อ 1 และ 4

ตอบ 5 หน้า 266, (คําบรรยาย) การควบคุมทีหลัง (Post Control) เป็นการสร้างเป้าหมายไว้ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบเมื่อเสร็จสิ้นงวดการปฏิบัติงาน เช่น การประเมินผลลัพธ์ ในการดําเนินงาน การตรวจสอบผลกําไรเมื่อสิ้นงวดการปฏิบัติงาน การประเมินผลสรุปของ โครงการ การตรวจงานหรือการประเมินผลการดําเนินงานต่าง ๆ เป็นต้น

38 การที่บุคคลทุกคนภายในองค์การจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว เป็นหลักในเรื่องใด

(1) หลักของกฎและระเบียบ

(2) หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา

(3) หลักการแบ่งแยกหน้าที่กันทํางาน

(4) หลักการรวมอํานาจที่เหมาะสม

(5) หลักเอกภาพขององค์การ

ตอบ 2 หน้า 50 – 51, 58, 186 187 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึงหลักการที่กําหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทํางานในองค์การเดียวและจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อ ผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือมีนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารที่ต้อง ระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าสั่งงานโดยตรง ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงานซ้ําซ้อนหรือเกิดความยุ่งยาก ในการทํางาน ตลอดจนการบอกปัดความรับผิดชอบ ส่วนข้อเสีย คือ ทําให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทํางานต่ำ

39 “ความต้องการที่สามารถบรรลุได้ด้วยเวลาอันสั้น และความต้องการในแต่ละด้านต้องเป็นอิสระต่อกันไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงซึ่งกันและกัน” ที่กล่าวมาเป็นลักษณะความต้องการแบบใดของ Maslow

(1) Social Needs

(2) Ego Needs

(3) Safety Needs

(4) Physiological Needs

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 75 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) ตามแนวคิดของ A.H. Maslowเป็นความต้องการขั้นต่ำสุดของมนุษย์ ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในการดําเนินชีวิตของมนุษย์ ที่สามารถบรรลุได้ด้วยเวลาอันสั้น และความต้องการในแต่ละด้านต้องเป็นอิสระต่อกัน ไม่มี . ความสัมพันธ์โดยตรงซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังถือเป็นความต้องการที่ขาดไม่ได้ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ความต้องการที่จะได้รับอาหาร การพักผ่อน อากาศ การออกกําลังกาย เป็นต้น

40 Homeostasis เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอะไร

(1) ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต

(2) ที่อยู่อาศัยขององค์การ

(3) นิเวศวิทยาของการบริหาร

(4) ความสมดุลของระบบทางชีวภาพ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 259 261, (คําบรรยาย) กลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis) ถือเป็นลักษณะความสมดุลของระบบทางชีวภาพ หรือเป็นวงจรที่แสดงความสมดุลอันเกิดจากภาวะ ตามธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ส่วนกลไกการควบคุมโดยพิจารณาจากทิศทางและความพอเพียง ของข้อมูลข่าวสาร (Cybernetics) นั้น ถือเป็นลักษณะความสมดุลของระบบทางกายภาพที่เกิดจากการควบคุมข่าวสารและทรัพยากรให้เกิดความพอเพียง

41 “วิธีการที่จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเห็น หรือประสบการณ์ของบุคคลขึ้นได้” ที่กล่าวมาเป็นความหมายของ

(1) Staffing

(2) Decision Making

(3) Controlling

(4) Organizing

(5) Communication

ตอบ 5 หน้า 243 การสื่อข้อความหรือการสื่อความเข้าใจ (Communication) หมายถึง ตัวเชื่อมโยงที่จะทําให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล โดยอาจเป็นไปในรูปของคําพูด จดหมาย หรือวิธีการอื่นใดซึ่งจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเห็น หรือประสบการณ์ของบุคคลขึ้นได้

42 ปัญหาของการบริหารในเชิงปริมาณ ได้แก่

(1) ทําให้ลดการจ้างงาน

(2) ผู้บริหารขาดความเข้าใจ

(3) สิ้นเปลืองเวลาในการบริหารงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 86, (คําบรรยาย) ปัญหาของการบริหารในเชิงปริมาณ (MS/OR) มีดังนี้

1 ให้ความสําคัญต่อปัจจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์และสังคมจิตวิทยาน้อย

2 วิธีการอธิบาย และแนะนําให้ผู้บริหารเข้าใจถึงปัญหาและทางแก้ไขยังไม่ดีพอ ทําให้ผู้บริหารขาดความเข้าใจ

3 ก่อให้เกิดปัญหาการสื่อสารภายในองค์การ

4 นํามาซึ่งการลดการจ้างงาน

5 ผลของการวิจัยไม่อาจจะครอบคลุมถึงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมายได้ ฯลฯ

43 ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg

(1) เทคนิคและการควบคุมงาน

(2) สภาพการทํางาน

(3) ความก้าวหน้าในการงาน

(4) นโยบายและการบริหาร

(5) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15 ประกอบ

44 ตัวอย่างของ Staff Officer คือ

(1) ครูผู้สอน

(2) เจ้าหน้าที่การเงิน

(3) เจ้าหน้าที่งานบุคคล

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 198 หน่วยงานที่ปรึกษา (Staff Agency/Staff Officer) หรือหน่วยงานสนับสนุน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1 หน่วยงานที่ปรึกษาทางด้านวิชาการ (Technical Staff) เช่น กองวิชาการ ในกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงอื่น ๆ เป็นต้น

2 หน่วยงานที่ปรึกษาทางด้านบริการ (Service Staff) เช่น หน่วยงานทางด้านการบริหารงานบุคคลหรือหน่วยงานการเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

45 “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปองค์การจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” ที่กล่าวมาเป็นแนวคิดของ

(1) Adhocracies

(2) Contingency Theory

(3) Action Theory

(4) Systems Theory

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 112 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”

46 พัฒนาการของทฤษฎีองค์การที่ Robbins นําเสนอไว้ในช่วง ค.ศ. 1900 – 1930 เป็นยุคของนักทฤษฎีกลุ่มใด

(1) Industrial Humanism

(2) Contingency Theory

(3) Action Theory

(4) Systems Theory

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5

47 ทุกข้อจัดอยู่ในกลุ่ม “งานสนับสนุน” ของคณะรัฐศาสตร์ ยกเว้น

(1) การบริการทางวิชาการต่อสังคม

(2) การพัฒนากําลังคน

(3) การพัฒนาระบบการบริหาร

(4) การพัฒนาอาคารและสภาพแวดล้อม

(5) การพัฒนาระบบการเงินและพัสดุ

ตอบ 1 หน้า 224, (คําบรรยาย) แผนงานด้านการพัฒนาสถาบันของมหาวิทยาลัย (เช่น คณะรัฐศาสตร์)เป็นแผนงานด้านภารกิจสนับสนุน (Staff) ในองค์การ ซึ่งประกอบด้วยแผนย่อย 5 แผน ได้แก่

1 แผนการจัดรูปองค์การ

2 แผนการพัฒนากําลังคน เช่น โครงการพัฒนาบุคลากร

3 แผนการพัฒนาอาคารและสภาพแวดล้อม

4 แผนการพัฒนาระบบการเงินและพัสดุ เช่น โครงการพัฒนาระบบการเงิน

5 แผนการพัฒนาระบบการบริหารงาน

48 ข้อใดที่เป็นประเด็นในการพิจารณาปัจจัยภายนอกองค์การตามหลักของ SWOT Analysis

(1) Threats

(2) Opportunities

(3) Strengths

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 220 การวิเคราะห์หรือศึกษาศักยภาพขององค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis จะประกอบด้วย

1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่ S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ และ W = Weaknesses คือ จุดอ่อนขององค์การ

2 การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่ 0 = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ และ T = Threats คือ ภัยหรือภาวะคุกคามที่มีต่อองค์การ

49 กรณีใดที่จัดเป็นวิธีการศึกษาการตัดสินใจแบบ Descriptions of Behavior

(1) การพรรณนาลักษณะที่สําคัญของผู้ที่ทําการตัดสินใจ

(2) การอธิบายกระบวนการตัดสินใจที่ผ่านมา

(3) การปรับปรุงการตัดสินใจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 234 235, (คําบรรยาย) รูปแบบของการศึกษาการตัดสินใจในองค์การ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1 การศึกษาการตัดสินใจเชิงพรรณนา (Descriptions of Behavior) เป็นการศึกษาการตัดสินใจจากสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นหรือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เช่น ศึกษาว่าการตัดสินใจ รูปแบบใดที่ได้เคยกระทําขึ้นในองค์การ ผลการตัดสินใจในอดีตเป็นอย่างไร อะไรคือลักษณะที่ สําคัญของผู้ที่ทําการตัดสินใจในองค์การ การตัดสินใจที่ผ่านมามีกระบวนการอย่างไร คุณสมบัติใด ของผู้นําที่ทําให้การตัดสินใจประสบความสําเร็จ เป็นต้น

2 การศึกษาการตัดสินใจเชิงปที่สถาน หรือโดยการให้ข้อเสนอแนะ (Normative Mode! Building หรือ Normative Approach) เป็นการศึกษาการตัดสินใจโดยการพยายามสร้างรูปแบบของการตัดสินใจที่ควรจะเป็น เช่น ศึกษาว่า สิ่งใดเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมและดีที่สุด การปรับปรุงการตัดสินใจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทําได้อย่างไร ผู้ที่ทําการตัดสินใจที่ดีควรมีพฤติกรรมอย่างไร กระบวนการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด ควรเป็นอย่างไร เป็นต้น

50 Hawthorne Effect หมายถึง

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

(2) ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานเนื่องจากการได้รับการดูแลเอาใจใส่

(3) ประสิทธิภาพในการทํางานจากการที่มีระบบค่าตอบแทนที่ดี

(4) ผลกระทบที่องค์การมีต่อสังคม

(5) อิทธิพลของกลุ่มที่มีต่อสมาชิกกลุ่ม เมื่อกลุ่มถูกเฝ้าดู

ตอบ 2 หน้า 68 – 70, (คําบรรยาย) George Elton Mayo) ได้ทําการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งพบผลการทดลองที่สําคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่ถูกเฝ้าดู ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไม่ยอมแพ้กันและกันขยันทํางานจนมีผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึง ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่มากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง

51 “การให้ความรู้” เป็นการควบคุมแบบใด

(1) เป็น Pre Control แบบหนึ่ง

(2) เป็น Post Control แบบหนึ่ง

(3) เป็น Real Time Control แบบหนึ่ง

(4) เป็นได้ทั้ง 1, 2 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 266 267, (คําบรรยาย) การควบคุมล่วงหน้า (Pre Control) อาจกระทําได้โดย

1 การวางแผนหรือการกําหนดโปรแกรมการทํางานไว้ล่วงหน้า (Programmed Control) เช่น การวางแผนปฏิบัติการ การใช้ Gantt Chart หรือ ม.ร.30 เป็นต้น

2 การจัดทํางบประมาณไว้ล่วงหน้า (Budgetary Control)

3 การให้การศึกษาหรือความรู้แก่ผู้ปฏิบัติการ (Educational Control) เช่น การฝึกอบรมการปฐมนิเทศหรือนิเทศงาน การอธิบายรายละเอียดของแผนปฏิบัติการ เป็นต้น

52 ตัวอย่างของระบบข้อมูล “งานหลัก” ในองค์การต่าง ๆ ได้แก่

(1) ข้อมูลบุคลากร

(2) ข้อมูลทรัพย์สิน

(3) ข้อมูลการให้บริการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ระบบข้อมูลงานหลัก เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์หรือภารกิจหลักขององค์การ เช่น ข้อมูลทรัพย์สิน ข้อมูลการให้บริการ ข้อมูลของลูกค้าข้อมูลของผลการดําเนินงาน เป็นต้น

53 คําพูดที่ว่า “a picture is worth a thousand Words” เกี่ยวข้องกับเรื่องใดในกระบวนการบริหาร

(1) Planning

(2) Organizing

(3) Directing

(4) Communicating

(5) Evaluating

ตอบ 4 หน้า 246, (คําบรรยาย) Kast และ Rosenzweig ได้กล่าวเปรียบเทียบเกี่ยวกับการสื่อความเข้าใจ(Communicating) ไว้ว่า “รูปภาพเพียงใบเดียวมีค่ายิ่งกว่าคําพูดเป็นพัน ๆ คํา” (a picture is worth a thousand words) นั่นหมายความว่า รูปภาพช่วยสื่อความหมายของข่าวสารได้ดีกว่าคําพูด

54 “สภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ….การติดต่อเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆเกิดขึ้นน้อยมาก” ตัวอย่างได้แก่

(1) สังคมเด็กวัยประถมศึกษา

(2) สังคมคนชรา

(3) สังคมเด็กวัยรุ่น

(4) สังคมชาวเขาเร่ร่อน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 18, (คําบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ

1 Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น

2 Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น

3 Disturbed Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของการติดต่อเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น

4 Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

55 ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง

(1) Fayol

(2) Weber

(3) Barnard

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 37 – 39, 44 – 45, 57 – 60, (คําบรรยาย) นักวิชาการในกลุ่มคลาสสิก เช่น Frederick W. Taylor, Henri Fayol และ Max Weber มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ เช่น มีวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานเพียงวิธีเดียว (One Best Way) ที่จะทําให้การบริหาร เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง ประสิทธิภาพสูงสุดในการทํางานเกิดจากการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน เป็นต้น

56 ในการบริหารงาน คําว่า Red Tape หมายถึง

(1) การที่งานไปค้างที่จุดใดจุดหนึ่ง

(2) ปัญหาด้านแรงจูงใจ

(3) เส้นทางลัดในโครงสร้าง

(4) ความล่าช้าในการสื่อสาร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชาที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

57 ในการทดลองของ Mayo กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ผลการตรวจสอบผลงานของกลุ่มทั้งสองเป็นดังนี้

(1) ผลงานลดลงทั้งสองกลุ่ม

(2) ผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม

(3) กลุ่มทดลองมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า

(4) กลุ่มควบคุมมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า

(5) ผลงานของทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทิศทาง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50, ประกอบ

58 ใครที่เสนอเรื่อง “Time and Motion Study”

(1) Taylor

(2) Cooke

(3) Munsterberg

(4) Gantt

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 42, (คําบรรยาย) Frank และ Lilian Gilbreths เป็นผู้ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์หามาตรฐานของงานโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน (Time and Motion Study) เพื่อนําไปใช้ในการจัดกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

59 “สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน” เป็นสิ่งจูงใจที่ริเริ่มนําเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด

(1) นักบริหารเชิงปริมาณ

(2) นักทฤษฎีการบริหาร

(3) นักทฤษฎีระบบราชการ

(4) กลุ่มนีโอคลาสสิก

(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22 ประกอบ

60 เขียนตํารา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ”

(1) Gilbreths

(2) Emerson

(3) Cooke

(4) Taylor

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 43 Harrington Emerson ได้เขียนตํารา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ” (The Twelve Princ ples of Efficiency) ซึ่งประกอบด้วยหลักการสําคัญ เช่น

1 การสร้างวัตถุประสงค์

2 การใช้สามัญสํานึก

3 การปรึกษาหารือ

4 การมีระเบียบวินัย

5 การจัดการที่เป็นธรรม

6 การปฏิบัติงานตลอดเวลาและเชื่อถือได้

7 การกําหนดสายทางเดินของงาน

8 การกําหนดมาตรฐานและระยะเวลาการทํางาน ฯลฯ

61 กลุ่มนักวิชาการใดต่อไปนี้ที่ให้ความสําคัญในเรื่อง “การเมืองในองค์การ”

(1) The Action Approach

(2) Administrative Theorists

(3) Scientific Management:

(4) Behavioral Science

(5) A Systems Approach

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 28 ประกอบ

62 ทุกข้อเป็นหลักเกณฑ์ที่ Max Weber นําเสนอ ยกเว้น

(1) ความชํานาญเฉพาะด้าน

(2) หลักความสามารถ

(3) แยกการเมืองออกจากการบริหาร

(4) สายการบังคับบัญชา

(5) การกระจายอํานาจ

ตอบ 5 หน้า 44 – 47, 139, 189, (คําบรรยาย) รูปแบบของระบบราชการ (Bureaucratic Model) หรือองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy Theory) หรือทฤษฎีองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization Theory) หรือทฤษฎี องค์การรูปสามเหลี่ยงพีระมิดของ Max Weber นั้น จะประกอบด้วย

1 การกําหนดสายการบังคับบัญชา (Hierarchy, Chain of Command หรือ Line of Authority)

2 การกําหนดตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority)

3 การกําหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน (Rules and Regulations)

4 การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เช่น การแบ่งงานออกเป็นแผนกงานต่าง ๆ

5 การจัดทําคู่มือการทํางาน และคําบรรยายลักษณะงาน (Job Description)

6 การกําหนดเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

7 การคัดเลือกและเลือนขันโดยอาศัยหลักความสามารถตามระบบคุณธรรม (Merit on Selection and Fromotion)

8 การมีระบบความสัมพันธ์ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Relationship) ตามสายการบังคับบัญชาและอํานาจหน้าที่ หรือตามแนวดิ่ง ฯลฯ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวทําให้เกิดการแยกการเมืองออกจากการบริหาร และระบบคุณธรรม ในการบริหารงานบุคคล

63 Line Officer คือ

(1) พนักงานที่มีอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการในตําแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ

(2) พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ขององค์การ

(3) พนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในงานเป็นพิเศษ

(4) นักวิเคราะห์แผน

(5) ทั้งข้อ 1 และ 4

ตอบ 2 หน้า 62 – 63, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีการบริหารได้แบ่งประเภทของผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 พนักงานปฏิบัติการ (Line Officer) คือ พนักงานที่มีอํานาจหน้าที่ในการสั่งการบังคับบัญชาและปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ขององค์การ

2 พนักงานที่ปรึกษา (Staff Officer) คือ พนักงานที่ทําหน้าที่ช่วยสนับสนุนฝ่ายงานหลักหรือเป็นผู้ให้คําแนะนํา ให้ข้อมูล และคอยช่วยเหลือพนักงานปฏิบัติการให้ทํางานได้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพนักงานที่ปรึกษาจึงมีส่วนสําคัญในการช่วยให้องค์การสามารถดําเนินงานไปได้จนบรรลุเป้าหมายขององค์การ

64 Natural System Model เป็นวิธีการศึกษาของ……………

(1) Scientific Management

(2) Bureaucratic Model

(3) Quantitative Science

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 26 – 27, (คําบรรยาย) ตัวแบบระบบตามธรรมชาติ (Natural System Model) เป็นวิธีการศึกษาของกลุ่มนักทฤษฎีหรือนักวิชาการที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเบิด” ซึ่งได้แก่

1 กลุ่ม Behavioral Science

2 กลุ่ม A Systems Approach

3 กลุ่ม Contingency Theory หรือ Situational Approach

4 กลุ่ม The Action Theory หรือ The Action Approach

65 ข้อใดที่จัดเป็น “องค์การด้านเศรษฐกิจ”

(1) กรมประชาสงเคราะห์

(2) กรมประมง

(3) กรมส่งเสริมการเกษตร

(4) ทั้งข้อ 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 7, (คําบรรยาย) องค์การ/หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ หมายถึง องค์การที่มีเป้าหมายเกี่ยวข้องกับภาวะทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน รวมไปถึงองค์การที่ทําหน้าที่ จัดสรรทรัพยากรของชาติ เช่น กรมสรรพากร กรมประมง กรมส่งเสริมการเกษตร บริษัทห้างร้านที่ขายสินค้าและบริการ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

66 ปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยายความสามารถของมนุษย์ ได้แก่

(1) การแบ่งงานกันทํา

(2) เทคโนโลยี

(3) ค่านิยมในองค์การ

(4) กลุ่มในองค์การ

(5) การประสานงาน

ตอบ 1 หน้า 189 – 191, (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 19 – 20) การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) มีประโยชน์ดังนี้

1 เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยายความสามารถของมนุษย์ หรือช่วยเพิ่มความสามารถ ในการทํางานขององค์การ

2 ทําให้เกิดระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (Exchange)

3 ทําให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการทํางาน

4 ช่วยแก้ปัญหาการทํางานซ้ำซ้อนและการเหลื่อมล้ําในการทํางานในหน้าที่

67 ตามทฤษฎีของ Maslow “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงาน” เรียกว่า

(1) Self-Realization Needs

(2) Ego Needs

(3) Status Needs

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 75 – 76 A.H. Maslow ได้เสนอทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลําดับ จากต่ําสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้

1 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน

2 ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)

3 ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)

4 ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)

5 ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ (Self-Realization Needs)

68 โครงสร้างขององค์การมีลักษณะอย่างไร

(1) โครงสร้างขององค์การหมายถึงการสร้างแบบ (Pattern) ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆขององค์การ

(2) โครงสร้างขององค์การหมายถึงขอบข่ายขององค์การที่เปรียบเสมือนกับมนุษย์ ซึ่งมีโครงสร้างกระดูกที่ระบุรูปร่างของมนุษย์แต่ละคนนั้น

(3) โครงสร้างขององค์การเกี่ยวข้องกับการจัดแบ่งทรัพยากรต่าง ๆ และกําหนดวิธีการรายงานตามสายการบังคับบัญชาในระหว่างกลุ่มคน รวมถึงกลไกของระบบการประสานงานที่เป็นทางการและวิธีการที่จะต้องเกี่ยวข้องกันตามแบบแผนที่กําหนดไว้

(4) โครงสร้างขององค์การไม่สามารถแยกออกจากเรื่องการจัดหน้าที่การงานได้

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 120 121 โครงสร้างองค์การ มีลักษณะดังนี้

1 หมายถึงขอบข่ายขององค์การที่เปรียบเสมือนกับมนุษย์ ซึ่งมีโครงสร้างกระดูกที่ระบุรูปร่างของมนุษย์แต่ละคนนั้น

2 เกี่ยวข้องกับการจัดแบ่งทรัพยากรต่าง ๆ และกําหนดวิธีการรายงานตามสายการบังคับบัญชาในระหว่างกลุ่มคน รวมถึงกลไกของระบบการประสานงานที่เป็นทางการและวิธีการที่จะต้อง เกี่ยวข้องกันตามแบบแผนที่กําหนดไว้

3 โครงสร้างขององค์การไม่สามารถแยกออกจากเรื่องการจัดหน้าที่การงานได้ แม้ว่าสองอย่างนั้นจะมีลักษณะต่างกัน แต่จะต้องจัดไปด้วยกัน (ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ)

69 การออกแบบองค์การ คืออะไร

(1) คือการมุ่งหรือพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การให้ได้

(2) คือลักษณะของการสร้างแบบ ออกแบบหรือจัดแบบของโครงสร้างองค์การ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมด้วย

(3) การออกแบบองค์การที่มีความสําคัญต่อความสําเร็จและล้มเหลวขององค์การ

(4) การออกแบบองค์การที่มีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamic)

(5) ถูกทุกข้อ 1

ตอบ 5 หน้า 122 123 การออกแบบองค์การ คือ

1 การมุ่งหรือพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การให้ได้

2 ลักษณะของการสร้างแบบ ออกแบบหรือจัดแบบ ของโครงสร้างองค์การ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมด้วย

3 มีความสําคัญต่อความสําเร็จ และล้มเหลวขององค์การ โดยจะเกี่ยวข้องกับเป้าหมายขององค์การ ตลอดจนทรัพยากรทั้งหมด รวมทั้งปรัชญาและแนวคิดในการบริหารงานด้วย

4 มีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamic) คือ ต้องคอยดูแลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่เปลี่ยน พัฒนา หรือเพิ่มเติม รวมทั้งให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วย

70 การจัดองค์การที่ถูกต้องเหมาะสมจะเกิดประโยชน์อะไร

(1) ช่วยให้การบริหารงานเป็นไปอย่างสะดวกและง่ายขึ้น

(2) ช่วยแก้ปัญหางานคั่งค้าง ณ จุดใดโดยไม่จําเป็น

(3) ช่วยแก้ปัญหาการทํางานซ้ำซ้อน

(4) ทําให้เกิดความสะดวกในการควบคุมติดตามงานให้เกิดประสิทธิภาพ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 126, (คําบรรยาย) การจัดองค์การที่ถูกต้องเหมาะสมจะเกิดประโยชน์ ดังนี้

1 ช่วยให้การบริหารงานต่าง ๆ บรรลุเป้าหมาย เป็นไปโดยสะดวกและง่ายขึ้น

2 ช่วยแก้ปัญหางานคั่งค้าง ณ จุดใดโดยไม่จําเป็น

3 ช่วยแก้ปัญหาการทํางานซ้ำซ้อน

4 ช่วยให้เกิดความสะดวกในการควบคุมและติดตามงานให้เกิดประสิทธิภาพ

71 ใครคือผู้สร้างทฤษฎี Scientific Management

(1) Max Weber

(2) Herbert Simon

(3) Chester Barnard

(4) Frederick Taylor

(5) Max Weber ร่วมกับ Frederick Taylor

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19 ประกอบ

72 วัตถุประสงค์ขององค์การ คืออะไร

(1) คือเป้าหมายของแนวทางในการดําเนินกิจการต่าง ๆ ในองค์การ

(2) คือจุดอ้างอิงถึงในการพยายามดําเนินงานขององค์การ

(3) คือสิ่งจําเป็นสําหรับความพยายามในการทํางานร่วมกันในองค์การ

(4) คือจุดมุ่งหมายปลายทางที่มีลักษณะของการก้าวหน้า และเร็วตามระยะเวลาที่จะไปถึง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 129 – 130, (คําบรรยาย) วัตถุประสงค์ขององค์การ มีลักษณะดังนี้

1 คือ เป้าหมายของแนวทางในการดําเนินกิจการต่าง ๆ ในองค์การ

2 คือ จุดอ้างอิงถึงในการพยายามดําเนินงานขององค์การ

3 คือ สิ่งจําเป็นสําหรับความพยายามในการทํางานร่วมกันในองค์การ

4 คือ จุดมุ่งหมายปลายทางที่มีลักษณะของการก้าวหน้า และเร็วตามระยะเวลาที่จะไปถึง

5 ในทุก ๆ องค์การต้องให้ความสําคัญกับวัตถุประสงค์ส่วนบุคคลของเหล่าสมาชิกในองค์การให้บรรลุเป้าหมายไปพร้อมกับองค์การด้วย

6 จะต้องกําหนดไว้ในเบื้องต้นเมื่อกําเนิดองค์การ ต้องแน่นอนและชัดแจ้งเสมอ รวมทั้งสามารถที่จะพัฒนา ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้เสมอ ตลอดอายุขัยขององค์การ ฯลฯ

73 วัตถุประสงค์ขององค์การเป็นอย่างไร

(1) วัตถุประสงค์ขององค์การต้องดํารงอยู่เช่นเดิมที่กําหนดไว้ในการก่อตั้งองค์การ หากเปลี่ยนแปลงไปองค์การจะต้องล้มเหลวทันที

(2) องค์การถูกตั้งขึ้นเพื่อธํารงรักษาไว้ให้ดํารงอยู่ได้นาน ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น

(3) ในทุก ๆ องค์การต้องให้ความสําคัญกับวัตถุประสงค์ส่วนบุคคลของเหล่าสมาชิกในองค์การให้บรรลุเป้าหมายไปพร้อมกับองค์การด้วย

(4) เนื่องจากความแตกต่างในวัตถุประสงค์ของสมาชิกที่มีอยู่ ดังนั้นองค์การควรหลีกเลี่ยงที่จะจัดการในเรื่องวัตถุประสงค์ของสมาชิกในองค์การ เพราะเป็นสิ่งที่จัดการไม่ได้เลย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 72 ประกอบ

74 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้

(1) การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา

(2) เทคนิคในการมอบหมายอํานาจหน้าที่

(3) การวางแผนปฏิบัติงานไว้ให้พร้อมและเทคนิคการควบคุม

(4) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 184 185 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้ มีดังนี้

1 การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา

2 เทคนิคในการมอบหมายอํานาจหน้าที่

3 การวางแผนการปฏิบัติงานไว้ให้พร้อม

4 ลักษณะของงานในองค์การ

5 เทคนิคในการควบคุม

6 เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร

7 ความจําเป็นในการติดต่อส่วนตัว

75 เรื่องความสําคัญของ “การจัดองค์การ”

(1) การจัดองค์การมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อองค์การ และการบริหารองค์การใด ๆ ก็ตาม

(2) การจัดองค์การมีความสําคัญต่อองค์การขนาดใหญ่มากกว่าองค์การขนาดเล็กเสมอ

(3) การจัดองค์การที่ทําให้ไม่ประสบความสําเร็จ เรียกว่าเป็น Sound Organization

(4) การจัดองค์การเรียกว่า Organization Structure

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 125 การจัดองค์การ (Organizing) เป็นความพยายามของผู้บริหารในการหาหนทางให้การปฏิบัติงานต่าง ๆ ได้ประสบผลสําเร็จตามแผนงานและวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ดังนั้นการจัด องค์การจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อองค์การและการบริหารองค์การใด ๆ ก็ตาม รวมทั้งมีผลต่อ ความสําเร็จของกิจการ เพราะหากมีการจัดองค์การที่ดี (Sound Organization) โอกาสที่จะประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นก็ย่อมจะเป็นไปได้มาก

76 การจัดการองค์การเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องอะไร

(1) การจัดการวัตถุประสงค์ขององค์การ

(2) การจัดการกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่ตําแหน่ง และแก่บุคคลที่กําหนดไว้

(3) การจัดช่วงการบังคับบัญชา และการจัดการรวมและกระจายอํานาจการบังคับบัญชาในองค์การ

(4) การจัดเรื่องการประสานงาน มอบอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 126 – 127 การจัดการองค์การเกี่ยวข้องกับการจัดการในเรื่องดังต่อไปนี้

1 การจัดการวัตถุประสงค์ขององค์การ

2 การจัดการกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่ตําแหน่งงานต่าง ๆ และแก่บุคคลที่กําหนดไว้

3 การจัดช่วงการบังคับบัญชา และการจัดการรวมและกระจายอํานาจการบังคับบัญชาในองค์การ

4 การจัดเรื่องการประสานงาน มอบอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ

77 ความหมายของสายการบังคับบัญชา

(1) Chain of Command

(2) Line of Authority

(3) ระบบการบังคับบัญชาในแง่ที่ว่า ผู้อยู่ระดับสูงกว่าอาจแนะนําสั่งสอนและควบคุมผู้อยู่ในระดับต่ํากว่า

(4) Hierarchy

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 139 140 สายการบังคับบัญชา ในภาษาอังกฤษใช้คําว่า Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy ซึ่งเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1 ระบบการบังคับบัญชาในแง่ที่ว่า ผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่า (ผู้บังคับบัญชา) อาจแนะนําสั่งสอนและควบคุมผู้อยู่ในระดับต่ำกว่า (ผู้ใต้บังคับบัญชา) แต่ในบางกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้อยู่ในระดับต่ำกว่าก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ไปยังผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไป หรือต่อหน่วยงานที่อยู่สูงกว่าได้

2 ทําให้เกิดระบบความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานหนึ่งกับหน่วยงานอื่น ๆ ในแง่ที่ว่าหน่วยงานที่อยู่ในระดับต่ำกว่าต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา การควบคุม และการตรวจสอบของ หน่วยงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าลดหลั่นกันไปตามลําดับ

3 ภายในลําดับชั้นของการบังคับบัญชาเดียวกัน แต่ละหน่วยงานจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับ หรือปทัสถานที่กําหนดไว้อย่างเดียวกัน

78 Max Weber คือใคร

(1) นักทฤษฎีที่สร้างทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy)

(2) นักวิชาการที่สร้างทฤษฎีแรงจูงใจในการทํางานคือ Theory X และ Theory Y

(3) เป็นผู้สร้างทฤษฎีความเป็นธรรม (Equity Theory)

(4) ผู้สร้างทฤษฎีการกําหนดเป้าหมาย (Goal Setting Theory)

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 62 ประกอบ

79 “สายการบังคับบัญชา” ในองค์การเป็นเครื่องชี้ให้เห็นลักษณะอะไร

(1) การบังคับบัญชาที่ว่าผู้อยู่ระดับสูงกว่าอาจแนะนําสั่งสอนและควบคุมผู้อยู่ในระดับต่ำกว่า

(2) ในบางกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชานั้น ผู้อยู่ในระดับต่ำกว่า มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ไปยังผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไป หรือต่อหน่วยงานที่อยู่สูงกว่าได้

(3) ทําให้เกิดระบบความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานหนึ่งกับหน่วยงานอื่นว่าในระดับต่ํากว่าต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาและควบคุมตามลําดับ

(4) ภายในลําดับชั้นของการบังคับบัญชาเดียวกัน แต่ละหน่วยงานจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับหรือปสถานที่กําหนดไว้อย่างเดียวกัน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

80 ลักษณะของสายการบังคับบัญชาเป็นอย่างไร

(1) ต้องใช้เฉพาะในระบบราชการเท่านั้น

(2) ต้องใช้เฉพาะในองค์การธุรกิจเท่านั้น

(3) มีลักษณะสําคัญที่แยกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ ลักษณะของอํานาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ และการติดต่อสื่อสาร

(4) จํานวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาต้องจัดให้มากชั้นที่สุดเท่าที่จะทําได้ เพราะจะทําให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 140 สายการบังคับบัญชา มีลักษณะที่สําคัญซึ่งสามารถแยกออกมาได้เป็น 3 ลักษณะคือ

1 ลักษณะของอํานาจหน้าที่ (Authority Aspect)

2 ลักษณะของความรับผิดชอบ (Responsibility Aspect)

3 ลักษณะของการติดต่อสื่อสาร (Communication Aspect)

81 การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีเป็นอย่างไร

(1) จํานวนระดับชั้นควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

(2) สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะต้องชัดแจ้งว่าใครเป็นผู้ที่มีอํานาจในการสั่งงานผ่านไปยังผู้ใดและใครเป็นผู้รับผิดชอบ

(3) สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

(4) การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีจะแบ่งเบาภาระของผู้บังคับบัญชาได้มาก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 143 การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บังคับบัญชาได้มาก เนื่องจากมีการกระจายหน้าที่และความรับผิดชอบให้แก่เจ้าหน้าที่ชั้นรองลงไปช่วยดูแลและบังคับบัญชา ซึ่งหลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้

1 จํานวนระดับชั้นของสายการ บังคับบัญชาควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

2 สายการบังคับบัญชาแต่ละสาย ควรจะต้องชัดแจ้งว่าใครเป็นผู้ที่มีอํานาจในการสั่งงานผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ

3 สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

82 คําว่า “อํานาจหน้าที่” (Authority) หมายถึง

(1) อํานาจในการสั่งการเพื่อให้ผู้อื่นกระทําหรือไม่กระทําอย่างใดอย่างหนึ่ง

(2) อํานาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่ง (Position) ที่เป็นทางการ ทําให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการได้

(3) อํานาจหน้าที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ หรืออาจกล่าวว่าอํานาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกําหนดความรับผิดชอบ

(4) ผู้บริหารระดับสูงจะมีตําแหน่งสูงและมีอํานาจมาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วยกัน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 146 อํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power to Command)เพื่อให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อํานาจหน้าที่นี้จะเป็นอํานาจหน้าที่ของ ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่ง (Position) ที่เป็นทางการ ทําให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตที่กําหนดไว้ของตําแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อํานาจหน้าที่ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ หรืออาจกล่าวได้ว่า อํานาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกําหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตําแหน่งสูงและ มีอํานาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น

83 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “อํานาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory) เป็นเช่นใด

(1) เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า “Acceptance Theory” ก็ได้

(2) เป็นทฤษฎีที่ผู้บังคับบัญชาเชื่อว่าเมื่อตนอยู่ในตําแหน่งสูงกว่า มีอํานาจมากกว่า ก็มีสิทธิที่ดุว่าสั่งสอน หรือบังคับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรก็ได้

(3) เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า “Competence Theory” ก็ได้

(4) เป็นทฤษฎีที่ Chester Barnard และ Herbert Simon ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 147 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “อํานาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory)มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้ เป็นเพราะผู้บังคับบัญชามีอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Formal Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อํานาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอํานาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตําแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ แต่อํานาจหน้าที่นี้ก็ยังมิใช่อํานาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ เพราะการ ใช้อํานาจยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นมาของอํานาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนําไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป

84 กลุ่มทฤษฎีที่ว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีลักษณะอย่างไร

(1) เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า “Institutionalized Authority” ก็ได้

(2) เป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่าอํานาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้ และเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับนับถือได้

(3) อํานาจหน้าที่ในกลุ่มนี้จะเกิดขึ้นจาก “ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับอํานาจของผู้บังคับบัญชาเพราะเขาเชื่อในคําสั่งและเชื่อว่าการใช้อํานาจนั้น ๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ”

(4) เป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นโดย Max Weber

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 149 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีความเชื่อว่าอํานาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้และ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทําให้ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับนับถือได้ ดังนั้นอํานาจหน้าที่จึงได้มาจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา มิใช่ได้มาจากตําแหน่งที่เป็นทางการ

85 คุณลักษณะของอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ

(1) การจัดการองค์การนั้นมีความสัมพันธ์กับการมอบอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ โดยการจัดให้เหมาะสมทั้งแนวดิ่ง และแนวนอน

(2) ความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาจัดว่าเป็นความสัมพันธ์แนวดิ่ง

(3) ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ในระดับเดียวกันในโครงสร้างขององค์การจัดว่าเป็นความสัมพันธ์ในแนวนอน

(4) การจัดอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบจะมีผลไปถึงการควบคุมดูแล (Control) ให้ปฏิบัติเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ด้วย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 145 คุณลักษณะของอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ มีดังนี้

1 การจัดการองค์การนั้นมีความสัมพันธ์กับการมอบอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบโดยการจัดให้เหมาะสมทั้งแนวดิ่ง (Vertical) และแนวนอน (Horizontal)

2 ความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาจัดว่าเป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ในระดับเดียวกันในโครงสร้างขององค์การจัดว่าเป็นความสัมพันธ์ในแนวนอน

3 การจัดอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบจะมีผลไปถึงการควบคุมดูแล (Control)ให้การปฏิบัติงานในลักษณะต่าง ๆ เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ด้วย

86 ความหมายของอํานาจหน้าที่

(1) คําว่าอํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power of Command) ให้บุคคลอื่นทําตามที่ผู้ที่มีอํานาจเห็นสมควร

(2) อํานาจหน้าที่ (Authority) เป็นอํานาจที่ได้มาโดยตําแหน่งที่ดํารงอยู่

(3) อํานาจหน้าที่ (Authority) มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ

(4) การที่จะมีอํานาจและสิทธิ์ในการสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติตามได้นั้นจะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตที่กําหนดไว้ของตําแหน่งหน้าที่ด้วย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

87 อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ หมายถึง

(1) อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ คือ Format Authority

(2) อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ เรียกว่า Legal Authority

(3) อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการอาจเรียกได้ว่า Institutionalized Authority ก็ได้

(4) อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนําไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 83 ประกอบ

88 อะไรคือข้อจํากัดของอํานาจหน้าที่ที่เป็นทางการในองค์การ

(1) ข้อจํากัดของอํานาจหน้าที่ที่เป็นทางการในองค์การ คือ การออกคําสั่งที่ขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณี

(2) ข้อจํากัดของอํานาจหน้าที่ที่เป็นทางการในการปฏิบัติงานจริง คือ ข้อจํากัดในด้านศีลธรรม เช่น ออกคําสั่งที่ขัดต่อหลักศีลธรรม

(3) ข้อจํากัดขัดหลักชีววิทยา คือ สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้แรงยกของที่หนักเกินกําลังของผู้ยก

(4) ข้อจํากัดในด้านกฎหมาย คือ การสั่งงานโดยผิดข้อกฎหมาย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 150 อํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชามักจะขาดหายไปเมื่อได้มีการสั่งการในการปฏิบัติงานจริง เพราะมีสาเหตุมาจากข้อจํากัดในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เช่น พฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมในสังคม สภาพทางภูมิศาสตร์ หลักชีววิทยา (เช่น สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้แรงยกของที่หนักเกินกําลังของผู้ยก) ฟิสิกส์ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ กฎหมาย (เช่น การสั่งงานโดยผิดข้อกฎหมาย) นโยบาย หรือ ความด้อยความสามารถของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น

89 เรื่อง “ความรับผิดชอบในองค์การ” มีลักษณะอย่างไร

(1) ความรับผิดชอบ มองในแง่การบริหารงานหมายถึง พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาในการปฏิบัติงาน

(2) ความรับผิดชอบ คือ Responsibility

(3) ความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา

(4) ความรับผิดชอบอาจมีลักษณะของพันธะที่ต่อเนื่อง หรือสิ้นสุดลงเป็นครั้งคราวก็ได้

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 150 ความรับผิดชอบ (Responsibility) มองในแง่ของการบริหารงานหมายถึงพันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาในการปฏิบัติงาน โดยความรับผิดชอบ จะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเท่านั้น จะไม่เกิดขึ้นกับสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องจักร หรือสัตว์ ทั้งนี้ ความรับผิดชอบอาจมีลักษณะของพันธะที่ต่อเนื่อง หรือสิ้นสุดลงเป็นครั้งคราวไปหลังจากผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นลงแล้วก็ได้

90 การมอบหมายอํานาจหน้าที่มีลักษณะอย่างไร

(1) เป็นกุญแจสําคัญของการบริหารองค์การ

(2) การมอบหมายอํานาจหน้าที่จะเกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกอํานาจหน้าที่ที่มอบหมายให้แก่หน่วยงานในระดับรองลงไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในองค์การ

(3) ไม่มีองค์การใดเลยที่ภาระหน้าที่ทั้งหมดในองค์การจะมอบหมายให้บุคคลคนเดียวกระทําให้สําเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ (ร่วมกันขององค์การ) ได้

(4) ผู้บริหารสูงสุดขององค์การที่ต้องเลือกปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งของตนเฉพาะแต่งานบางอย่างที่ต้องทําด้วยตนเองจึงจะได้ผลดีที่สุด ส่วนงานอื่น ๆ ก็มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติแทน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 153 การมอบหมายอํานาจหน้าที่เป็นกุญแจสําคัญของการบริหารองค์การ โดยจะเกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกอํานาจหน้าที่ที่มอบหมายให้แก่หน่วยงานในระดับรองลงไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในองค์การ ทั้งนี้วัตถุประสงค์เบื้องแรกของการมอบหมายอํานาจหน้าที่ก็เพื่อที่จะทําให้การทํางานในองค์การ สามารถดําเนินไปได้ เพราะไม่มีองค์การใดเลยที่ภาระหน้าที่ทั้งหมดในองค์การจะมอบหมายให้ บุคคลคนเดียวกระทําให้สําเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ (ร่วมกันขององค์การ) ได้ ดังนั้นผู้บริหารสูงสุด ขององค์การจึงต้องเลือกปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งของตนเฉพาะงานบางอย่างที่ต้องทําด้วยตนเองจึงจะได้ผลดีที่สุด ส่วนงานอื่น ๆ ก็มอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติแทน

91 ลักษณะสําคัญเกี่ยวกับการมอบอํานาจหน้าที่ คืออะไร

(1) การมอบหมายอํานาจหน้าที่ต้องพิจารณาตําแหน่ง (Position) ก่อนว่าควรมอบให้ผู้ดํารงตําแหน่งอะไรแล้วจึงพิจารณาบุคคลในตําแหน่งนั้น ๆ ว่ามีความสามารถหรือสมัครใจหรือไม่ แล้วจึงมอบให้

(2) เมื่อมอบอํานาจหน้าที่ให้ผู้ใดไป จะต้องพิจารณาลักษณะและปริมาณของอํานาจหน้าที่ให้เหมาะสมกันด้วย

(3) หากผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมาไม่สําเร็จ ผู้รับผิดชอบคือผู้ใต้บังคับบัญชา รวมทั้งผู้บังคับบัญชา (ผู้มอบ) ด้วย

(4) ต้องจัดระบบการรายงานอย่างมีประสิทธิภาพไปพร้อมกับการมอบหมายอํานาจหน้าที่ด้วย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 154 – 156 ทุกข้อเป็นลักษณะสําคัญเกี่ยวกับการมอบอํานาจหน้าที่ นอกจากนี้การมอบอํานาจหน้าที่ยังมีลักษณะสําคัญ ดังนี้

1 การมอบอํานาจหน้าที่สามารถกระทําได้หลายระดับ โดยไม่จําเป็นจะต้องมอบให้แก่ผู้บังคับบัญชาในระดับกลาง ๆ เท่านั้น แต่อาจจะมอบไปยัง ผู้ใต้บังคับบัญชาลดหลั่นในระดับต่ําลงไปได้อีก

2 การมอบอํานาจหน้าที่เป็นทั้งศิลปะและหน้าที่ของนักบริหาร

92 การที่ผู้บังคับบัญชาจะมอบหมายอํานาจหน้าที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปควรทําอย่างไร

(1) ควรพิจารณาให้รอบคอบว่าควรมอบงานชิ้นใดบ้าง

(2) ควรมีการอธิบายให้ผู้รับมอบหมายเข้าใจวัตถุประสงค์และลักษณะของงานอย่างชัดเจน

(3) ควรมีการกําหนดมาตรฐานของการปฏิบัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

(4) ต้องมีการติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นระยะ ๆ เสมอ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 156 – 157 เทคนิคของผู้บังคับบัญชาในการมอบหมายอํานาจหน้าที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีดังนี้

1 ควรพิจารณาให้รอบคอบว่าควรมอบงานชิ้นใดบ้าง

2 ควรมีการอธิบายให้ผู้รับมอบหมายเข้าใจวัตถุประสงค์และลักษณะของงานอย่างชัดเจน

3 ควรมีการกําหนดมาตรฐานของการปฏิบัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

4 ควรให้ความเป็นอิสระในการปฏิบัติงานที่มอบหมายไปนั้นแก่ผู้รับมอบหมาย

5 ต้องมีการติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นระยะ ๆ เสมอ

6 ควรใช้หลักมนุษยสัมพันธ์ในการมอบอํานาจหน้าที่แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา

93 ปรัชญาหรือทัศนคติของผู้บริหารในการตัดสินใจจะมอบอํานาจหน้าที่ คือผู้ที่มีทัศนคติแบบใด

(1) ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบ Receptiveness ที่มักจะยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกับตน มักจะยินยอมมอบอํานาจให้โอกาสผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานแทนเสมอ

(2) ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบ Willingness to let go power ก็มักจะยินยอมเต็มใจมอบอํานาจหน้าที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกัน

(3) ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบ Willingness to let others make mistakes ก็ไม่กลัวว่าเมื่อมอบอํานาจไปลูกน้องจะทําความผิด

(4) ผู้บังคับบัญชาที่มีทัศนคติแบบ Willingness to trust subordinates เป็นผู้บังคับบัญชาที่ไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกัน จึงยินยอมมอบอํานาจให้เสมอ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 158 159 ปรัชญาหรือทัศนคติของผู้บริหารในการตัดสินใจจะมอบอํานาจหน้าที่ มีดังนี้

1 ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบ Receptiveness มักจะยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกับตน และมักจะยินยอมมอบอํานาจให้โอกาสผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานแทนเสมอ

2 ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบ Willingness to let go power เป็นผู้บริหารที่มีความเข้าใจหลักเกณฑ์และประโยชน์ของการแบ่งงานกันทํา จึงยินยอมเต็มใจมอบอํานาจหน้าที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติแทน

3 ผู้บริหารที่มีทัศนคติแบบ Willingness to let others make mistakes เห็นว่า ทุกคนที่ปฏิบัติงานย่อมมีโอกาสที่จะปฏิบัติงานผิดพลาดได้ และก็ไม่กลัวว่าหากมอบอํานาจไปแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) จะทําผิดพลาด

4 ผู้บังคับบัญชาที่มีทัศนคติแบบ Willingness to trust subordinates เป็นผู้บังคับบัญชาที่ไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชา จึงยินยอมมอบอํานาจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอ

94 การควบคุมงานที่มอบหมายไป ต้องทําอย่างไร

(1) ระมัดระวังมิให้การมอบหมายงานมีลักษณะของการขาดลอยไป

(2) ใช้วิธีการปรึกษาในเบื้องต้นก่อนทําการมอบหมายงาน

(3) ใช้วิธีการให้คําปรึกษาเป็นครั้งคราวระหว่างกระบวนการของงาน

(4) ให้เสนอรายงานเป็นครั้งคราว และมีรายงานเมื่อเสร็จงาน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 160 161 การควบคุมงานที่มอบหมายไป อาจกระทําได้ดังนี้

1ระมัดระวังมิให้การมอบหมายงานมีลักษณะของการขาดลอยไป

2 ใช้วิธีการปรึกษาในเบื้องต้นก่อนทําการ มอบหมายงาน

3 ใช้วิธีการให้คําปรึกษาเป็นครั้งคราวหรือผู้บริหารอาจตั้งคําถามในระหว่างกระบวนการของงานก็ได้

4 ให้มีการเสนอรายงานเป็นครั้งคราว และมีรายงานเมื่อเสร็จงาน

95 ประโยชน์ของการมอบอํานาจหน้าที่ คืออะไร

(1) การปฏิบัติงานดําเนินไปโดยสําเร็จตามเป้าหมายได้

(2) ลดภาระของผู้บริหาร

(3) ช่วยพัฒนาและฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชา

(4) ช่วยสร้างขวัญและกําลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 163 164 ประโยชน์ของการมอบอํานาจหน้าที่ มีดังนี้

1 ทําให้การปฏิบัติงานดําเนินไปโดยสําเร็จตามเป้าหมายได้

2 ช่วยลดภาระของผู้บริหาร

3 ช่วยพัฒนาและฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชา

4 ช่วยสร้างขวัญและกําลังใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา

5 ช่วยเตรียมตัวให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถเลื่อนตําแหน่งหรือปฏิบัติงานแทนผู้บังคับบัญชาได้

96 ความหมายของ “การรวมอํานาจในองค์การ”

(1) หมายถึง สภาวะขององค์การที่ระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจไว้ เพื่อให้การตัดสินใจส่วนใหญ่กระทําจากระดับสูงนั้น

(2) หมายถึง ความพยายามที่จะมอบหมายหน้าที่ทั้งหมดไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดยกเว้นบางอย่างที่ต้องสงวนไว้ส่วนกลาง

(3) คือระบบในการบริหารที่มีการมอบอํานาจในการตัดสินใจให้แก่ผู้บริหารระดับรอง ๆ ลงไป

(4) คือการบริหารที่การตัดสินใจส่วนใหญ่กระทําโดยผู้บริหารระดับต่ำลงมามีมากขึ้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 168 John Child กล่าวว่า “การรวมอํานาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การซึ่งในระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจ ส่วนใหญ่จะได้กระทําจากระดับสูงนั้น” (ส่วนตัวเลือก (2) – (4) เป็นความหมายของการกระจายอํานาจในองค์การ)

97 ประโยชน์ของการรวมอํานาจ คืออะไร

(1) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร

(2) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูงได้มาก

(3) เป็นการสนองการบริหารหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวดเร็ว

(4) ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 : หน้า 175 ประโยชน์ของการรวมอํานาจ มีดังนี้

1 ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร

2 ทําให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน

3 เกิดความรวดเร็ว และสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา

4 ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น เครื่องใช้ ที่อาจใช้ร่วมกัน เป็นต้น

5 มีลักษณะของการประสานงานเป็นอย่างดี ซึ่งทําให้องค์การบรรลุถึงเป้าหมายได้

98 ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ คืออะไร

(1) มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝนการตัดสินใจด้วย

(2) ทําให้ทรัพยากรการบริหารระมอยู่ในที่เดียวกัน

(3) เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา

(4) ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น เครื่องใช้ที่อาจใช้ร่วมกัน เป็นต้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 175 ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ มีดังนี้

1 ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูงได้มาก

2 เป็นการสนองการบริหารหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็ว

3 ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น

4 มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝนการตัดสินใจด้วย

5 โอกาสของการเติบโตหรือขยายองค์การมีทางเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

99 ช่วงการควบคุม คืออะไร

(1) เป็นสิ่งที่แสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการควบคุมหรือการบังคับบัญชาเพียงใด

(2) คือการพิจารณาว่า ควรมีผู้ใต้บังคับบัญชากคน หรือมีหน่วยงานภายในความรับผิดชอบที่หน่วยงานจึงเป็นการเหมาะสม ทําให้การควบคุมดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปโดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

(3) คือจํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้

(4) คือ Span of Control

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 179 ช่วงการบังคับบัญชา หรือช่วงการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชา คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะแสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชา คนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการควบคุมหรือการบังคับบัญชาเพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่า ควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความรับผิดชอบที่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การควบคุมดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

100 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา คืออะไร

(1) ระดับขององค์การ

(2) ประเภทของกิจกรรม

(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

(4) ความสามารถของผู้บังคับบัญชาและลักษณะขององค์การ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 181 182 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้

1 ระดับขององค์การ

2 ประเภทของกิจกรรม

3 ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

4 ลักษณะขององค์การ

5 ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

POL2310 ทฤษฎีองค์การ s/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน (รวม 100 คะแนน)

ข้อ 1 จงอธิบายถึงองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การตามแนวคิดและทฤษฎีที่เรียนมาโดยยกตัวอย่างทฤษฎีมาอย่างน้อย 2 ทฤษฎี

แนวคําตอบ

ตัวอย่างองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การตามแนวคิดและทฤษฎีที่เรียนมา มีดังนี้ Gibson ได้เสนอองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การ ซึ่งมี 4 องค์ประกอบ คือ

1 การแบ่งส่วนงาน (Division of Labor) คือ การจัดโครงสร้างองค์การตามแนวราบ เป็นการแบ่งแยกงานและการรวมกลุ่มงาน หรือเป็นการจําแนกประเภทของงานตามความชํานาญพิเศษหรือตาม ความถนัดในงานนั้น ๆ และปริมาณของกิจกรรมในองค์การ ซึ่งการแบ่งส่วนงานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความ สิ้นเปลืองและความเบื่อหน่ายของพนักงาน เนื่องจากงานจะมีลักษณะซ้ําซากจําเจ ลักษณะของการแบ่งส่วนงานมีดังนี้

1) การแบ่งงานตามวิชาชีพ (Personal Specialties) เป็นการแบ่งงานตามความถนัด เฉพาะทาง เช่น งานด้านบัญชี วิศวกร และวิทยาศาสตร์

2) การแบ่งงานตามกิจกรรมภายในองค์การ (Horizontal Specialization) เป็น การแบ่งงานโดยพิจารณาจากกิจกรรมภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

(1) การแบ่งตามหน้าที่ เช่น การแบ่งเป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และฝ่ายจัดส่ง

(2) การแบ่งตามผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ขององค์การ เช่น หน่วยงานดูแลการผลิต ผงซักฟอก หน่วยงานดูแลการผลิตยาสีฟัน

(3) การแบ่งตามพื้นที่ เช่น การแบ่งของธนาคาร

2 การจัดส่วนงาน (Hierarchy) คือ การจัดชั้นสายการบังคับบัญชา หรือการจัดโครงสร้าง องค์การในแนวดิ่ง เป็นการแบ่งหน่วยงานออกเป็นระดับโดยพิจารณาจากความสําคัญของงานว่าควรจะเป็นงาน ในระดับใด ซึ่งแต่ละระดับจะมีบทบาทและความสําคัญลดหลั่นกันลงมา การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีไม่ควรเกิน 5 ลําดับชั้น เพราะถ้ามีชั้นการบังคับบัญชามากจะเกิดปัญหาการสื่อสารหรือการบิดเบือนข้อมูล

3 ขอบเขตของการบังคับบัญชา (Span of Control) หรือขนาดของการควบคุม คือ จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ รับผิดชอบโดยตรง การมีขนาดของการควบคุมที่เหมาะสมจะทําให้ การตัดสินใจและการสั่งการมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขนาดของการควบคุมจะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับความสามารถของ ผู้ปฏิบัติงาน ความยากง่ายของงาน และความจําเป็นในสถานการณ์ต่าง ๆ

4 การมอบอํานาจในการตัดสินใจหรือการปฏิบัติงาน (Delegation of Authority) เป็นการพิจารณานโยบายขององค์การว่ามุ่งเน้นการกระจายอํานาจหรือการรวมอํานาจ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก จํานวนผู้ตัดสินใจในการบริหารงานในองค์การ หากองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจมากแสดงว่าองค์การเน้นการ กระจายอํานาจ แต่ถ้าองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวแสดงว่าองค์การเน้นการรวมอํานาจ ทั้งนี้ จุดสําคัญของการมอบอํานาจและการกระจายอํานาจก็คือ ผู้บังคับบัญชาสามารถกระทําได้เฉพาะการมอบอํานาจ ในงานหรือการกระจายอํานาจในการปฏิบัติงานเท่านั้น จะกระจายความรับผิดชอบไม่ได้

Mintzberg ได้เสนอองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การซึ่ง

1 Strategic Apex คือ ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการกําหนดกลยุทธ์ และนโยบาย หรือทิศทางขององค์การ

2 Middle Line คือ ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่คอยประสานระหว่างผู้บริหารระดับสูง กับผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ซึ่งในปัจจุบันผู้บริหารระดับกลางถูกลดบทบาทลงและมีจํานวนน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ในองค์การภาคเอกชน แต่ในทางตรงข้ามองค์การภาครัฐกลับมีคนกลุ่มนี้จํานวนมาก

3 Operating Core คือ ผู้ปฏิบัติการในระดับล่างเป็นกลุ่มคนที่มีความสําคัญในกระบวนการ ผลิต โดยมีหน้าที่ในการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งผู้ปฏิบัติการในระดับล่างนี้ถือเป็น ส่วนของโครงสร้างที่มีจํานวนมากที่สุดและมีโอกาสเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในองค์การ

4 Technostructure คือ ผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคการดําเนินงานขององค์การ เช่น วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี นักเทคนิคการแพทย์ นักวิจัยการตลาด เป็นต้น

5 Support Staff คือ ฝ่ายอํานวยการ มีหน้าที่อํานวยความสะดวกแก่ฝ่ายงานหลัก เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายธุรการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ Mintzberg ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ส่วนที่จัดว่าเป็นสวนของ “สายงานหลัก” ขององค์การ จะประกอบไปด้วยส่วนที่ 1, 2 และ 3 เท่านั้น ในส่วนที่ 4 และ 5 เป็นเพียง “ฝ่ายสนับสนุน” ไม่มีบทบาทตาม สายการบังคับบัญชาชัดเจน ซึ่งบางองค์การอาจใช้บุคคลภายนอกมาปฏิบัติงานในส่วนนี้ได้

 

ข้อ 2 จงอธิบายความสัมพันธ์ของระบบย่อยองค์การกับการจัดการมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

องค์การ หมายถึง การที่คนมารวมตัวกันเพื่อเข้าทํางานโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันและต้องการ ที่จะทํางานให้บรรลุวัตถุประสงค์

การจัดการ หมายถึง การดําเนินงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ได้ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคํานึงถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเข้าช่วย

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยองค์การกับการจัดการ มีดังนี้

1 ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย/วัตถุประสงค์กับการวางแผน หมายถึง เมื่อกําหนด เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การแล้ว ก็ต้องหาหนทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น โดยนักบริหารจะต้อง นําความรู้ในวิชาการวางแผนมาใช้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือ

1) การกําหนดเป้าหมาย

2) การอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน

3) การหาเครื่องมือที่จะมาช่วย พร้อมทั้งตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมาย

4) การพัฒนาหนทางที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์

2 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับการประสานงาน หมายถึง นักบริหารต้องมีภาวะผู้นํา และมีความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นํา เพื่อจูงใจให้กลุ่มคนมาบริหารองค์การให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ผู้บริหารต้อง มีความสามารถในการสื่อข้อความ เพราะการสื่อข้อความจะช่วยให้เข้าใจงานและสามารถทํางานได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง ช่วยให้เกิดประสิทธิผลที่ดีต่อองค์การ

3 ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับการจัดองค์การ หมายถึง การจัดองค์การเพื่อให้ องค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1) ปัญหารอบด้านขององค์การ

2) กระบวนการปฏิบัติงานที่มีความรวดเร็ว

3) การจัดสรรคนให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ

4) การติดต่อและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์การที่สอดคล้องกับโครงสร้างองค์การ

5) การจัดโครงสร้างองค์การที่เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมีความยืดหยุ่น และจูงใจให้คนมีความเอาใจใส่ต่อการทํางาน

6) การปกครองบังคับบัญชาทุกระดับมีความสอดคล้องกัน

7) การให้อํานาจหน้าที่กับผู้รับผิดชอบที่เหมาะสมในการจัดโครงสร้างองค์การ

8) การจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับนโยบาย

9) การแบ่งส่วนงานที่มีความเหมาะสม

4 ความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคกับการตัดสินใจ หมายถึง เทคนิคการบริหารจะเป็น ประโยชน์ที่ทําให้องค์การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเทคนิคทางการบริหารมี 2 รูปแบบ คือ การตัดสินใจที่ใช้อยู่ เป็นประจํา (Programmed Decision-Making) และการตัดสินใจที่ไม่เกิดบ่อยนัก (Nonprogrammed Decision-Making) ดังนั้นนักบริหารจะต้องรู้จักหลักการตัดสินใจในโอกาสต่าง ๆ เช่น

1) การตัดสินใจภายในภาวะที่แน่นอน (Certainty) คือ การตัดสินใจที่ทราบผลในแต่ละทางเลือก

2) การตัดสินใจในภาวะที่มีความเสี่ยง (Risk) คือ การตัดสินใจที่ทราบความเป็นไปของผลในแต่ละทางเลือก

3) การตัดสินใจในภาวะที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) คือ การตัดสินใจที่ไม่ทราบความเป็นไปของผลที่เกิดขึ้น

5 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลข่าวสารกับการควบคุมงาน หมายถึง นักบริหาร จะต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารในการกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งในการควบคุมงาน ทุกประเภทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยนักบริหารจะต้องใช้ระบบการควบคุมเพื่อตรวจสอบว่าการบริหารงานในองค์การ เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในแผนหรือไม่ ซึ่งการควบคุมงานจะทําให้องค์การสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

ข้อ 3 จงอธิบายแนวคิดของนักทฤษฎีองค์การด้าน “กระบวนการ” มา 2 แนวคิด

แนวคําตอบ

แนวคิดของนักทฤษฎีองค์การด้าน “กระบวนการ” มีดังนี้

1 Henri Fayol

Fayol เป็นนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส เขาได้เสนอกระบวนการบริหารของนักบริหารไว้ 5 ประการ หรือเรียกว่า “POCCC” ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ

3 C = Commanding คือ การบังคับบัญชา

4 C = Coordinating คือ การประสานงาน

5 C = Controlling คือ การควบคุมงาน

นอกจากนี้ Fayol ยังได้เสนอหลักการบริหารทั่วไป 14 ประการ ได้แก่

1 การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

2 การมีเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction)

3 การแบ่งงานกันทํา (Division of Work)

4 การรวมอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง (Centralization)

5 อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility)

6 ความเสมอภาค (Equity)

7 สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain)

8 การให้ผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration)

9 การมีระเบียบข้อบังคับ (Order)

10 ความมีระเบียบวินัย (Discipline)

11 ความคิดริเริ่ม (Initiative)

12 ผลประโยชน์ของบุคคลควรจะเป็นรองจากผลประโยชน์ส่วนรวม (Subordination of Individual Interest to the General Interest)

13 ความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Stability of Tenure of Person)

14 ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (Esprit de Corps)

จากหลักการบริหารดังกล่าวจะเห็นได้ว่า Fayol ยอมรับองค์การที่เป็นทางการ โดยใช้ประโยชน์ จากการแบ่งงานกันทํา และเน้นความสําคัญขององค์การ คือ ความเป็นระเบียบ ความมั่นคง ความคิดริเริ่ม และความสามัคคี นอกจากนี้หลักการบริหารของ Fayol นับเป็นหลักการของทฤษฎีที่สมบูรณ์ครั้งแรกที่ช่วยให้ผู้บริหาร สามารถวางระเบียบแบบแผนและหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมทรัพยากรต่าง ๆ และบุคคลเข้ามา รวมอยู่ในองคการให้สามารถทํางานโดยมีประสิทธิภาพจนบรรลุเป้าหมายที่กําหนดได้

  1. Luther Gulick & Lyndall Urwick

Gulick & Urwick ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration : Note on the Theory of Organization” โดยเสนอแนวความคิด กระบวนการบริหารที่เรียกว่า “POSDCORB” ซึ่งเป็นหน้าที่สําคัญของนักบริหาร 7 ประการ ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการ ก่อนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ เป็นการกําหนดโครงสร้างขององค์การโดยพิจารณา ให้เหมาะสมกับงาน เช่น การแบ่งงานเป็นกรม กอง หรือแผนก โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพของงานหรือจัด ตามลักษณะเฉพาะของงาน นอกจากนี้อาจพิจารณาในแง่ของการควบคุม หรือพิจารณาในแง่ของหน่วยงาน เช่น หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษา เป็นต้น

3 S = Staffing คือ การจัดหาบุคลากรมาปฏิบัติงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อให้ได้บุคลากรมาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ การจัดแบ่งหน่วยงานที่กําหนดเอาไว้

4 D = Directing คือ การอํานวยการ เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นํา มนุษยสัมพันธ์ การจูงใจ และการตัดสินใจ เป็นต้น

5 CO – Coordinating คือ การประสานงาน เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของ กระบวนการทํางานมีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

6 R = Reporting คือ การรายงาน เป็นกระบวนการและเทคนิคของการรายงานให้ ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน โดยมีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสารในองค์การอยู่ด้วย

7 B = Budgeting คือ การงบประมาณ เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทําบัญชี การควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง

สาระสําคัญของแนวคิด POSDCORB คือ “ประสิทธิภาพ” ซึ่ง Gutick & Urwick เห็นว่า ประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดของการบริหาร และเพื่อให้การบริหารงานในทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการแบ่งงานตามความเหมาะสมและความจําเป็นหรือความถนัดของคนงาน โดยแบ่งหน่วยงานออกตาม กระบวนการ วัตถุประสงค์ ลูกค้า และพื้นที่ ซึ่งทุกหน่วยงานจะต้องจัดรูปแบบองค์การเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด และมีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นกันลงมา

 

ข้อ 4 จงอธิบายแนวคิดและทฤษฎีด้านพฤติกรรมศาสตร์มา 1 แนวคิดโดยละเอียด

แนวคําตอบ

นักคิดยุคพฤติกรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มที่ทําการศึกษาพฤติกรรมในองค์การ คือ ศึกษาเรื่องของ การกระทําและการแสดงออกของมนุษย์ในองค์การทั้งในระดับบุคคลและกลุ่มบุคคล ตัวอย่างของนักคิด ยุคพฤติกรรมศาสตร์ที่สําคัญ ได้แก่ Hugo Munsterberg Elton Mayo, Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Douglas Murray McGregor, Frederick Herzberg, David McClelland, Victor H. Vroom, J. Stacy Adams เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะนําเสนอแนวคิดทฤษฎีของนักคิดยุคพฤติกรรมศาสตร์ 1 แนวคิด ดังนี้

Douglas Murray McGregor

McGregor เสนอทฤษฎี X และทฤษฎี Y ไว้ในหนังสือชื่อ “The Human Side of Enterprise” โดยมีฐานคติในการมองคนในองค์การ 2 แบบ คือ

1 ทฤษฎี X ถือว่า

– คนทั่วไปเกียจคร้าน ชอบเลี่ยงงาน

– ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีความรับผิดชอบ

– เห็นแก่ตัวเพิกเฉยต่อความต้องการขององค์การ

2 ทฤษฎี Y ถือว่า

– คนชอบทํางาน ไม่ได้เกียจคร้าน

– การควบคุมภายนอกไม่ใช่วิถีทางที่จะได้มาซึ่งงาน คนสามารถที่จะหาแนวทางและควบคุมตนเองได้

– ความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติงานตามศักยภาพเป็นรางวัลที่มีความสําคัญที่จะทําให้คนมีความรู้สึกผูกพันกับองค์การ

– คนโดยทั่วไปจะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรับผิดชอบต่อไป

– คนส่วนใหญ่อาศัยภาวะสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในองค์การ

ทฤษฎี Y คือ “ภาพพจน์ของคน” ในแนวมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นคนจึงควรควบคุมตนเองได้ การควบคุมตนเองหมายถึงการปรับปรุงองค์การในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกระจายอํานาจ การมอบอํานาจหน้าที่ การขยายงาน การมีส่วนร่วม และการบริหารงานโดยยึดเป้าหมาย จึงเห็นได้ว่าข้อเสนอการปรับปรุงของ McGregor เป็นการย้ำให้เห็นความสําคัญของคน และช่วยให้คนหลุดพ้นจากการควบคุมของ องค์การ ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของมนุษย์ที่เห็นว่าคนมาก่อนองค์การ

การมองคนในองค์การตามทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ McGregor ช่วยให้เราแยกแยะคนได้ ทําให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดีหรือนายที่ดี ซึ่งการมองแบบนี้เรียกว่า “Polarization” แต่ในสภาพความเป็นจริง เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นประเภท X หรือประเภท Y แต่อาจจะบอกได้ว่าค่อนข้างไปทาง X หรือ Y มากกว่า ดังนั้นการมองคนเป็น Polarization จึงเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรก ที่ช่วยทําให้สามารถจําแนกประเภทของคนได้

POL3100 กระบวนการนิติบัญญัติ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3100 กระบวนการนิติบัญญัติ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 หากจะยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติภายหลังการรัฐประหาร จะต้องตราพระราชบัญญัติเพื่อยกเลิกสภาพบังคับเพราะประกาศคณะปฏิวัติเป็น

(1) พระบรมราชโองการ

(2) คําสั่งของรัฏฐาธิปัตย์

(3) คําสั่งในทางปกครอง

(4) คําสั่งของเผด็จการ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 หน้า 110, (คําบรรยาย) ประกาศของคณะปฏิวัติถือว่าเป็นคําสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ (ผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ) และมีฐานะเป็นกฎหมาย ซึ่งจะมีสภาพบังคับเทียบเท่ารัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา ดังนั้นการจะยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัตินั้น จะต้องดําเนินการเช่นเดียวกับการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกฎหมายธรรมดาทั่วไป คือ ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติออกมายกเลิก

2 พระราชกําหนดมีศักดิ์เทียบเท่ากับ

(1) พระราชบัญญัติ

(2) พระบรมราชโองการ

(3) พระราชกฤษฎีกา

(4) ข้อบัญญัติท้องถิ่น

(5) เทศบัญญัติ

ตอบ 1 หน้า 98 – 99, (คําบรรยาย) พระราชกําหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและยินยอมของคณะรัฐมนตรี โดยอาศัยอํานาจตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เมื่อประกาศใช้แล้วจะต้องเสนอให้รัฐสภาผ่านความเห็นชอบมีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป ดังนั้นจึงมีศักดิ์เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ แต่ถ้ารัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบพระราชกําหนดนั้นก็จะสิ้นสุดสภาพการบังคับใช้

3 ในเดือนมีนาคม 2557 มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่การรัฐประหารทําให้วุฒิสภา

(1) วุฒิสภาสิ้นสุดลง

(2) แปรสภาพเป็นสมัชชาแห่งชาติ

(3) แปรสภาพเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(4) แปรสภาพเป็นสภาปฏิรูป

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ภายหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศ คสช. ฉบับที่ 30/2551 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ให้วุฒิสภาสิ้นสุดลง และในกรณีที่มีกฎหมาย บัญญัติให้การดําเนินการเรื่องใดต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือ วุฒิสภา ให้เป็นอํานาจของหัวหน้า คสช. ในการให้ความเห็นชอบแทนรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาในเรื่องนั้น ๆ

4 การรัฐประหารครั้งนี้เป็นการรัฐบระหารครั้งที่ …. ในรอบหนึ่งทศวรรษ

(1) ครั้งที่ 1

(2) ครั้งที่ 2

(3) ครั้งที่ 3

(4) ครั้งที่ 4

(5) ครั้งที่ 5

ตอบ 2 (คําบรรยาย) การรัฐประหารล่าสุดในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งการรัฐประหารในครั้งนี้นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 2 ในรอบหนึ่งทศวรรษ (หรือในรอบ 10 ปี) ต่อจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และนับเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งกลุ่มต่อต้าน นอกประเทศอย่างเปิดเผยในชื่อ “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาริปไตย” ภายใต้ การนําของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

5 การรัฐประหารครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งกลุ่มต่อต้านนอกประเทศอย่างเปิดเผยในชื่อ

(1) กลุ่มไทยเสรีเพื่อประชาธิปไตย

(2) องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

(3) องค์กรไทยเสรีเพื่อประชาธิปไตย

(4) องค์กรสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเสรีไทย

(5) กลุ่มเสรีไทยต่อต้านเผด็จการเพื่อประชาธิปไตย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ

6 ข้อใดเป็นความพยายามที่จะเสนอแนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในยุค ราชาธิปไตย

(1) การปฏิรูประบบเทศาภิบาล

(2) การตั้งสํานักงาน ก.พ. .

(3) กบฎ ร.ศ. 130

(4) การปฏิรูประบบราชการ

(5) คํากราบบังคมทูล ร.ศ. 103

ตอบ 3 (คําบรรยาย) กบฎ ร.ศ. 130 หรือ “กบฏหมอเหล็ง” หรือ “คณะเล็กเหม็ง” เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2455 เป็นการก่อกบฏโดยข้าราชการทหารชั้นผู้น้อยและปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่พยายามเสนอแนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในยุคราชาธิปไตย โดยมีผู้นํา ก่อการกบฏ คือ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (หมอเหล็ง ศรีจันทร์), ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง และ ร.ท.เจือ ควกุล ซึ่งการก่อกบฏในครั้งนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับคณะราษฎรในเวลาต่อมา

7 ดุสิตธานี นับเป็นความพยายามในการวางรากฐานการพัฒนาประชาธิปไตยในยุค

(1) รัชกาลที่ 4

(2) รัชกาลที่ 5

(3) รัชกาลที่ 6

(4) รัชกาลที่ 7

(5) รัชกาลที่ 8

ตอบ 3 (คําบรรยาย) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ได้ทรงตั้งเมืองจําลองแห่งประชาธิปไตย หรือ “ดุสิตธานี” ขึ้นในบริเวณวังพญาไท เพื่อเป็นแบบทดลองของ การปกครองแบบประชาธิปไตยและเป็นรากฐานของการพัฒนาประชาธิปไตย โดยโปรดให้มี “ธรรมนูญการปกครองแบบนคราภิบาล” ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของเมือง กําหนดให้มี พรรคการเมือง 2 พรรค มีการเลือกตั้งนคราภิบาลหรือนายกเทศมนตรี และมีสภาการเมืองแบบประเทศประชาธิปไตย

8 การก่อกบฏโดยข้าราชการชั้นผู้น้อยที่เป็นแรงบันดาลใจให้คณะราษฎร คือ

(1) กบฏแมนฮัตตัน

(2) กบฎ ร.ศ. 130

(3) กบฎระบบสังหารอูอองซาน

(4) กบฏนายสิบ

(5) กบฏเลี้ยวเมืองแพร่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ

9 ผู้ใดเรียกการปฏิวัติสยามว่าการอภิวัฒน์

(1) พระองค์เจ้าปฤษฎางค์

(2) กรมพระยาดํารงราชานุภาพ

(3) นายพจน์ พหลโยธิน

(4) นายปรีดี พนมยงค์

(5) ม.จ.วรรณไวทยากร

ตอบ 4 (คําบรรยาย) นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) เป็นผู้ที่เรียกการปฏิวัติสยามว่า“การอภิวัฒน์” นับแต่คณะราษฎรได้ทําการยึดอํานาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เพื่อเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบกษัตริย์หรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองระบอบ ประชาธิปไตย หรือระบอบรัฐธรรมนูญ หรือระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ

10 ผู้ใดเรียกการปฏิวัติสยามว่าการปฏิวัติ

(1) พระองค์เจ้าปฤษฎางค์

(2) กรมพระยาดํารงราชานุภาพ

(3) นายพจน์ พหลโยธิน

(4) นายปรีดี พนมยงค์

(5) ม.จ.วรรณไวทยากร

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ม.จ.วรรณไวทยากร (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) เป็นผู้ที่เรียกการปฏิวัติสยามว่า “การปฏิวัติ” โดยเทียบเคียงกับคําภาษาอังกฤษว่า “Revolution”รวมทั้งใช้คําภาษาไทยว่า “รัฐประหาร” เทียบเคียงกับคําภาษาฝรั่งเศสว่า “Coup d’etat”

11 กบฏบวรเดช มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า

(1) กบฎหมอเหล็ง

(2) คณะชาติ

(3) คณะเก็กเหม็ง

(4) คณะกู้บ้านกู้เมือง

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 (คําบรรยาย) กบฏบวรเดช หรือ “คณะกู้บ้านเมือง” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 นับเป็นการกบฏครั้งแรกในรัฐไทยสมัยใหม่ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างระบอบเก่าและระบอบใหม่ จากข้อโต้แย้งในเรื่อง เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติของนายปรีดี พนมยงค์ และชนวนสําคัญที่สุดคือ ข้อโต้แย้ง ในเรื่องพระเกียรติยศและพระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ ซึ่งเป็นผลนําไปสู่การนํากําลังทหารก่อกบฏโดยมี พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็นแม่ทัพ

12 อารยะขัดขืน (Civil Disobedience) ในแง่มุมทางรัฐศาสตร์ หมายถึง

(1) การแข็งขืนต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

(2) การไม่ยอมรับอํานาจรัฐที่ฉ้อฉล

(3) การต่อต้านอํานาจรัฐโดยสันติ

(4) การยอมรับผิดชอบผลจากการแข็งขึ้นนั้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) อารยะขัดขืน (Civil Disobedience) ในแง่มุมทางรัฐศาสตร์ หมายถึง การต่อต้านทางการเมืองหรือการต่อต้านอํานาจรัฐโดยสันติ ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นการกระทําในลักษณะของการคัดค้าน การแข็งขืนต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม การไม่ยอมรับ อํานาจรัฐที่ฉ้อฉลหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้กระทําอารยะขัดขืนต้องพร้อมยอมรับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายจากการกระทําของตนโดยไม่หลีกเลี่ยง

13 ผลพวงที่สําคัญของการยึดอํานาจเมื่อ พ.ศ. 2534 ทําให้เกิด

(1) การก่อตัวของกระแสปฏิรูปการเมือง

(2) การนองเลือดในเดือนพฤษภาคม 2535

(3) การนองเลือดในเดือนพฤษภาคม 2553

(4) การรัฐประหารซ้ำโดยคณะปฏิรูปฯ

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ได้เกิดรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เพื่อต้องการล้มล้างรัฐบาลพลเรือนของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยมีเหตุผลของการรัฐประหารหลายประการ เช่น คณะผู้บริหารประเทศ มีพฤติการณ์ฉ้อราษฎร์บังหลวง, ข้าราชการการเมืองใช้อํานาจกดขี่ข่มเหงข้าราชการประจํา ผู้ซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น การยึดอํานาจดังกล่าวยังทําให้เกิดผลพวงที่สําคัญ คือ การก่อตัวของ กระแสปฏิรูปการเมือง และการนองเลือดในเดือนพฤษภาคม 2535

14 เหตุใดมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จึงขัดกับหลักการประชาธิปไตย

(1) นายกรัฐมนตรีใช้อํานาจบริหารและนิติบัญญัติร่วมกัน

(2) นายกรัฐมนตรีใช้อํานาจนิติบัญญัติโดยความยินยอมของฝ่ายตุลาการ

(3) นายกรัฐมนตรีใช้อํานาจยุติธรรม บริหาร และนิติบัญญัติร่วมกัน

(4) นายกรัฐมนตรีใช้อํานาจบริหารและยุติธรรมร่วมกัน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เหตุผลที่ทําให้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไทย (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ขัดกับหลักการประชาธิปไตย คือ การให้อํานาจแก่หัวหน้า คสช. เหนืออํานาจของ ฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งพบว่ามีลักษณะคล้ายกับมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองฯ 2502 คือ การกําหนดให้นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อํานาจได้ทั้งอํานาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการร่วมกัน

15 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติสามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดย

(1) การอภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจ

(2) การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ

(3) การประชุมลับ

(4) การตั้งกระทู้ถาม

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 16 กําหนดให้ ในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใดอันเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้ เมื่อมีปัญหาสําคัญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิก ทั้งหมด จะเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงจากคณะรัฐมนตรีก็ได้แต่จะลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจมิได้

16 การเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้โดยใครบ้าง

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) สมาชิกสภานิติบัญญัติไม่น้อยกว่า 30 คน

(3) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 คน

(4) สมาชิกสภาปฏิรูปโดยคํารับรองของนายกรัฐมนตรี

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 4

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 14 วรรค 2 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติร่วมกันไม่น้อยกว่า 25 คน หรือคณะรัฐมนตรี หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติตามมาตรา 31 วรรค 2 แต่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็แต่โดยคณะรัฐมนตรี

17 กรณีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติ และมีข้อสงสัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวเกี่ยวด้วยการเงิน ผู้มีอํานาจวินิจฉัยคือ

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) กรรมาธิการวิสามัญ

(3) กรรมาธิการงบประมาณ

(4) ประธานสภานิติบัญญัติ

(5) ประธานสภาปฏิรูป

ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 14 วรรค 4 กําหนดให้ในกรณีที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หรือไม่ ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้วินิจฉัย

18 ในทางทฤษฎีการรัฐประหาร (Coup d’etat) ต่างจากการปฏิวัติ (Revolution) อย่างไร

(1) รัฐประหารเป็นการยึดอํานาจจากรัฐบาล แล้วตั้งผู้นําคนใหม่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างใด ๆ

(2) การปฏิวัติเป็นการยึดอํานาจจากรัฐบาล แล้วตั้งผู้นําคนใหม่

(3) การปฏิวัติเป็นการโยกย้ายข้าราชการ ส่วนรัฐประหารแค่ล้มรัฐบาล

(4) รัฐประหารเป็นการยึดอํานาจจากรัฐบาล แล้วตั้งผู้นําคนใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ในทางทฤษฎีนั้นการรัฐประหาร (Coup d’etat) จะมีความแตกต่างจากการปฏิวัติ (Revolution) คือ รัฐประหารจะเป็นการยึดอํานาจจากรัฐบาล แล้วตั้งผู้นําคนใหม่ (ประมุขแห่งรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาล) อย่างฉับพลัน โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (Regime) หรือโครงสร้างใด ๆ ในทางสังคมการเมือง แต่การปฏิวัติจะเป็นการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างสังคมและระบอบในทางสังคมการเมือง เช่น วัฒนธรรมทางการเมือง อุดมการณ์

ทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งจะเกิดได้ยากกว่ารัฐประหาร

19 พรรคการเมืองใดจงใจไม่ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557

(1) พรรคกิจสังคม

(2) พรรคประชาธิปัตย์

(3) พรรคอนาธิปัตย์

(4) พรรคเพื่อไทย

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 นั้น มีพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมดจํานวน 53 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรครักประเทศไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล ฯลฯ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ประกาศไม่ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้

20 อริสโตเติลไม่นิยมชมชอบแนวการปกครองแบบใด

(1) ราชาธิปไตย

(2) คณาธิปไตย

(3) อภิชนาธิปไตย

(4) Polity

(5) ประชาธิปไตย

ตอบ 5 (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ไม่นิยมชมชอบแนวการปกครองแบบประชาธิปไตย(Democracy) เพราะเชื่อว่าการปกครองโดยคนหลายคนโดยเฉพาะคนจน ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่นั้นจะทําให้ขาดความมีระเบียบวินัย และก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม

21 ข้อใดมีคุณูปการใหญ่หลวงต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในอังกฤษ

(1) Magna Carta

(2) Erasmus Mundus

(3) Jurassic Rex

(4) Bit of Rights

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) สิ่งที่เป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในอังกฤษ คือ

1 Magna Carta ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งรัฐธรรมนูญอังกฤษ และเป็นกุญแจสําคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างถึงสิทธิทางการเมืองทั่ว ๆ ไป สิทธิของเสรีชนช่วยให้อํานาจค่อย ๆ เปลี่ยนมือจากกษัตริย์มาสู่ตัวแทนของประชาชน

2 Bit of Rights หรือ “บัตรแห่งสิทธิ” คือ กฎหมายหรือบทบัญญัติที่เป็นการเปิดประตูแห่งความเป็นประชาธิปไตยในอังกฤษให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งพลเมืองจะมีสิทธิต่าง ๆ ติดตัว ในฐานะเป็นประชาชนคนธรรมดา

22 การที่มีข้อบัญญัติรับรองว่า กษัตริย์จะไม่จับกุมผู้แทนราษฎรระหว่างการประชุมโดยไม่มีเหตุอันควรเพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ใช้อํานาจมากเกินไป ได้กลายมาเป็นหลักการใดในโลกสมัยใหม่

(1) การให้สิทธิเดินทางฟรี

(2) การได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูต

(3) เอกสิทธิ์คุ้มครอง

(4) สวัสดิการสมาชิกสภา

(5) กฎหมายการคุ้มครองพยาน

ตอบ 3 (คําบรรยาย) หลักการเอกสิทธิ์คุ้มครอง เกิดขึ้นครั้งแรกในอังกฤษ อันเป็นผลมาจากการมีข้อบัญญัติรับรองว่า “กษัตริย์จะไม่จับกุมผู้แทนราษฎรระหว่างการประชุมโดยไม่มีเหตุอันควร เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ใช้อํานาจมากเกินไป” ซึ่งได้กลายมาเป็นหลักการสําคัญในโลกสมัยใหม่(ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 131)

23 แนวคิดเรื่องสัญญาประชาคม (Social Contract) บอกว่าเราสามารถบรรลุถึงเสรีภาพในเงื่อนไขใด ๆ

(1) ในรัฐสังคมนิยมเท่านั้น

(2) ในรัฐสวัสดิการเท่านั้น

(3) ในรัฐแบบใดก็ได้

(4) ในรัฐประชาธิปไตยเท่านั้น

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ของ ชากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า สังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสัญญาประชาคม (Social Contract) สามารถทําให้บุคคลในฐานะสมาชิกของสังคมนั้น บรรลุถึงเสรีภาพได้ สัญญาประชาคมจึงเป็นเสมือนรัฐธรรมนูญที่ต้องอยู่เพื่อทุกส่วนในสังคมดังนั้นการบรรลุเสรีภาพจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขการปกครองแบบประชาธิปไตยเท่านั้น

24 เจตจํานงทั่วไป (General Witt) ในทางทฤษฎี หมายถึง

(1) การมีส่วนร่วมทางการเมือง

(2) การเข้าไปใช้อํานาจการเมือง

(3) การยอมรับตัวแทนทางการเมือง

(4) การมีส่วนร่วมและกําหนดทิศทางของชุมชนที่สังกัด

(5) การมีส่วนร่วมทางการเมืองและยอมรับผู้นําการเมือง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เจตจํานงทั่วไปในทางทฤษฎี หมายถึง การมีส่วนร่วมและกําหนดทิศทางของชุมชนที่สังกัด ซึ่งเป็นเรื่องของความเห็นพ้องต้องกันหรือมติเอกฉันท์ของทุกคนในสังคม หรือบางครั้งอาจเป็นการตัดสินโดยเสียงข้างมากก็ถือว่าเป็นการเพียงพอ แต่ต้องเป็นเสียงข้างมากที่มุ่งผลประโยชน์ของคนทุกคนหรือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

25 รัฐฆราวาส (Secular State) หมายถึง

(1) รัฐที่แยกพื้นที่ส่วนตัวออกจากพื้นที่สาธารณะ

(2) รัฐที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม

(3) รัฐที่เอาหลักศาสนามาปกครอง

(4) รัฐที่นําเอานักบวชมาปกครอง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐฆราวาสหรือรัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง รัฐหรือประเทศที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกศาสนจักรออกจากฝ่ายอาณาจักร ในโลกตะวันตก (โดยเฉพาะกรณีของอังกฤษ) โดยทั่วไปรัฐฆราวาสจะมีแนวทางบริหารประเทศ โดยใช้หลักทั่วไปทางโลกมาเป็นรากฐานของการปกครอง ไม่ต่อต้านความเชื่อหรือจํากัดศาสนาใด ๆ ตัวอย่างของรัฐดังกล่าวนี้ ได้แก่ ไทย เนปาล ฯลฯ

26 หลักการแบ่งแยกอํานาจเป็นอํานาจบริหาร อํานาจตุลาการ และอํานาจนิติบัญญัติ เป็นแนวคิดของ

(1) นิคโคโล มาเคียเวลลี

(2) โทมัส ฮอบส์

(3) จิออร์จิโอ อากัมเบน

(4) จอห์น ล็อค

(5) มองเตสกิเออ

ตอบ 5 หน้า 16, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15) หลักการแบ่งแยกอํานาจมาจากแนวคิดของมองเตสกิเออ (Montesquieu) ที่เห็นว่ารัฐต้องปกครองด้วยกฎหมาย ต้องจัดระเบียบสังคมให้ เป็นไปตามที่พึงปรารถนา แต่รัฐที่ดีไม่ควรรวมอํานาจไว้ที่เดียวเพราะอาจก่อให้เกิดทรราชได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกันเสรีภาพของคนในสังคม จึงควรแยกอํานาจการปกครองออกเป็น 3 อํานาจ คือ อํานาจบริหาร อํานาจตุลาการ และอํานาจนิติบัญญัติ

27 สิทธิตามธรรมชาติตามแนวคิดของวอห์น ล็อค ได้แก่

(1) ชีวิต เสรีภาพ ทรัพย์สิน

(2) ชีวิต อํานาจอธิปไตย ทรัพย์สิน

(3) ความเสมอภาค เสรีภาพ ทรัพย์สิน

(4) ความเสมอภาค ภราดรภาพ เสรีภาพ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) จอห์น ล็อค (John Locke) ได้เน้นเรื่อง “สิทธิตามธรรมชาติ” ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ อันได้แก่ สิทธิในชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน

28 โทมัส ฮอบส์ เขียน Leviathan ในสภาวะ

(1) สันติสุข

(2) สงครามระหว่างประเทศ

(3) สงครามโลก

(4) สงครามกลางเมือง

(5) สงครามกับอเมริกาที่ประกาศอิสรภาพ

ตอบ 4

หน้า 14, (คําบรรยาย) โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ องค์อธิปัตย์ หรือเลวิเอธาน (Leviathan) ในสภาวะสงครามกลางเมือง งานชิ้นนี้ไม่ได้สนับสนุนทฤษฎีเทวสิทธิ์ (Divine Right Theory) ที่เห็นว่าผู้ปกครองคือตัวแทนพระเจ้า หรือคนที่พระเจ้าคัดสรรมาแล้ว แต่จะสนับสนุนกษัตริย์แทนลัทธิเทวสิทธิ์ และเป็นรากฐานสําคัญที่ช่วยสร้างความชอบธรรม ให้แก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้นเพื่อธํารงไว้ซึ่งสันติภาพ มนุษย์จะต้องเข้ามาร่วมกัน ทําสัญญาประชาคมเพื่อมอบอํานาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้แก่รัฐหรือองค์อธิปัตย์ โดยประชาชนไม่สามารถยกเลิกสัญญาประชาคมหรือไม่มีอํานาจถอดถอนองค์อธิปัตย์ได้

29 ลักษณะสําคัญของการใช้อํานาจร่วมระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร คือ

(1) สมาชิกวุฒิสภาสามารถดํารงตําาแหน่งราชการประจําได้

(2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถดํารงตําแหน่งราชการประจําได้

(3) นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(4) นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสม ชิกสภาผู้แทนราษฎร

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3, 4 หน้า 30, (คําบรรยาย) ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นลักษณะของการเชื่อมโยงอํานาจ (Fusion of Powers) หรือการใช้อํานาจร่วมระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร โดยจะให้สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เป็นสถาบันหลัก มีอํานาจควบคุมฝ่ายบริหาร และฝ่ายบริหาร จะต้องมาจากฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น กรณีที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นต้น

30 แนวโน้มของรัฐสภาหรือสถาบันนิติบัญญัติของโลกจะเป็นระบบ

(1) สภาคู่

(2) สภานิติบัญญัติ

(3) สภาของชนชั้น

(4) สภาเดี่ยว

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) จากการศึกษาของสหภาพรัฐสภาสากล หรือ IPU พบว่า ปัจจุบันระบอบการเมืองแบบรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติในโลกมีแนวโน้มที่จะออกแบบให้เป็นระบบสภาเดี่ยวมากขึ้น โดยมีประเทศที่เป็นระบบสาาคู่ 77 ประเทศ (40.31%) และระบบสภาเดียว 114 ประเทศ (59.69%) แม้บางประเทศยังคงเป็นระบบสภาคู่ แต่ที่มาของทั้งสองสภานั้นก็มักมาจากการเลือกตั้งของ ประชาชนมากกว่าการสรรหา เพื่อก้าวไปสู่ทิศทางของการพัฒนาประชาธิปไตย

31 ข้อใดเป็นแนวโน้มของที่มาของวุฒิสภาหรือสภาสูงในโลกปัจจุบัน

(1) มาจากการสรรหา

(2) มาจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

(3) มาจากการสืบตระกูล

(4) มาจากการรัฐประหาร

(5) มาจากการเลือกตั้งทั่วไป

ตอบ 5 หน้า 47, (คําบรรยาย) ในเรื่องที่เกี่ยวกับที่มาของวุฒิสภาหรือสภาสูงในโลกปัจจุบันนั้น พบว่ามีแนวโน้มมาจากการเลือกตั้งทั่วไป (General Election) โดยจะเห็นได้จากตัวอย่าง เช่น การเลือกตั้ง โดยตรง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ไทย (รัฐธรรมนูญฯ 2540 มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด, รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาจากการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่ง) ฯลฯ และการเลือกตั้งโดยอ้อม ได้แก่ ฝรั่งเศส ฯลฯ

32 สมาชิกวุฒิสภาไทยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีที่มาอย่างไร

(1) มาจากการสรรหา

(2) เลือกตั้งจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์

(3) มาจากการสืบตระกูล

(4) มาจากการรัฐประหาร

(5) มาจากการเลือกตั้งทั่วไป

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (คําบรรยาย) ตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาแบบเลือกตั้งโดยอ้อม (เลือกกันเองจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์) จํานวน 200 คน ซึ่งมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 5 ปี

33 สถาบันนิติบัญญัติได้ชื่อว่าเป็นสถาบันคัดสรรผู้นํา เนื่องจาก

(1) นักการเมืองสามารถช่วงชิงอํานาจได้

(2) นักการเมืองสามารถใช้เวทีในสภาให้สังคมประจักษ์ถึงความสามารถ

(3) ใช้พวกมากเพื่อเป็นเสียงข้างมาก

(4) ประชาชนสามารถเลือกคนดีเข้าสภาได้

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เหตุผลสําคัญที่ทําให้สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันคัดสรรผู้นําก็คือ สมาชิกของสภานิติบัญญัตินั้นมาจากประชาชน ซึ่งประชาชนสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ในการเลือกคนดีเข้าสภาได้ในทางสัญลักษณ์นั้นยังถือว่าตัวแทนของประชาชนหรือสภาผู้แทนราษฎรจะมีอํานาจอยู่เหนือวุฒิสภาด้วย

34 รัฐสภาทั่วโลกมีลักษณะพิเศษคือ

(1) การพิจารณาร่างกฎหมาย

(2) ติดตามควบคุมด้านการคลัง

(3) การให้การรับรองประมุขแห่งรัฐ

(4) การเป็นฝ่ายค้าน

(5) ทําหน้าที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ

ตอบ 1 หน้า 46 การผ่านร่างกฎหมายหรือการพิจารณาร่างกฎหมาย ถือเป็นลักษณะบทบาทและหน้าที่ร่วมกันของรัฐสภาทั่วโลก แม้ว่าระบบการเมืองในประเทศนั้น ๆ จะปกครองด้วยระบอบใดก็ตาม ความจําเป็นในการออกกฎหมายเพื่อนํามาบังคับใช้ในสังคม และควบคุมตรวจสอบการทํางานของฝ่ายบริหารนั้นยังมีความสําคัญอย่างยิ่งในทุกระบบการเมือง

35 แม้ว่ารัฐธรรมนูญอังกฤษไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ส่วนที่เป็น “รัฐธรรมนูญ” จะอยู่ใน

(1) พระราชบัญญัติ

(2) กฎหมายจารีต

(3) ธรรมเนียมรัฐธรรมนูญ

(4) สนธิสัญญา

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญอังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร (or codified Constitution) หรือ “รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี” ซึ่งไม่ได้มีการรวบรวมไว้ในเอกสาร ลายลักษณ์อักษรฉบับใดฉบับหนึ่ง ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นหมวดหรือเป็นรายมาตรา แต่มีการ อ้างอิงส่วนที่เป็นรัฐธรรมนูญอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บทกฎหมายหรือพระราชบัญญัติ กฎหมายจารีตประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ สนธิสัญญา เป็นต้น

36 หลักการร่วมอํานาจในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษสะท้อนมาในรูปของ

(1) การที่สมาชิกสภาขุนนางสามารถสืบตระกูลได้

(2) ผู้พิพากษาสามารถดํารงตําแหน่งในสภาขุนนางได้

(3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถเป็นรัฐมนตรีได้

(4) เฉพาะข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตัวอย่างของหลักการร่วมอํานาจในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ ได้แก่

1 ผู้พิพากษาสามารถดํารงตําแหน่งในสภาขุนนางได้

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ เป็นต้น

37 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (House of Commons) ของไทย มีวาระดํารงตําแหน่งกี่ปี

(1) วาระ 2 ปี

(2) วาระ 3 ปี

(3) วาระ 4 ปี

(4) วาระ 5 ปี

(5) ตลอดชีพ

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 21) ตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จํานวน 350 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จํานวน 150 คน รวมทั้งสิ้นจํานวน 500 คน มีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปี

38 ผู้ควบคุมเสียงในสภา เรียกว่า

(1) ประธานรัฐสภา

(2) หัวหน้ามุ้งต่าง ๆ

(3) วิป

(4) ประธานกรรมการวิสามัญ

(5) กรรมาธิการ

ตอบ 3 (คําบรรยาย) วิป (Whip) หมายถึง ผู้ควบคุมเสียงในสภา ซึ่งจะทําหน้าที่ประสานงานของพรรคการเมืองแต่ละพรรคในสภา เช่น ควบคุมเสียงของพรรคในเวลาลงมติในเสภา การจัดวางผู้ที่จะทําการอภิปรายของพรรค รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและวินัยภายในพรรค เป็นต้น

39 เพื่อแสดงถึงหลักการอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนตามแนวทางประชาธิปไตยสากล สภาผู้แทนราษฎรมักถูกออกแบบให้

(1) มีอํานาจน้อยกว่าสถาบันการเมืองอื่น ๆ

(2) มีอํานาจสูงกว่าสถาบันการเมืองอื่น ๆ

(3) ทําหน้าที่ร่างกฎหมายเท่านั้น

(4) ทําหน้าที่ตรวจสอบการทํางานของรัฐเท่านั้น

(5) มีอํานาจเท่า ๆ กับสถาบันการเมืองอื่น ๆ

ตอบ 2 หน้า 27, (คําบรรยาย) ในแนวทางประชาธิปไตยสากลนั้น ทฤษฎี (หลักการ) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เป็นทฤษฎีที่สนับสนุนอํานาจของประชาชน และให้ประชาชนใช้อํานาจได้ ตลอดเวลา โดยทฤษฎีนี้จะปฏิเสธระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข หรือปฏิเสธความเชื่อว่าอํานาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์ ดังนั้นจึงมักถูกออกแบบให้สภาผู้แทนราษฎรมีอํานาจสูงกว่าสถาบันการเมืองอื่น ๆ

40 รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2557 ขาดหลักการพื้นฐานในข้อใด

(1) การแยกอํานาจ

(2) การยึดโยงกับประชาชน

(3) การตรวจสอบถ่วงดุล

(4) การร่วมอํานาจระหว่างสภาปฏิรูปกับสภานิติบัญญัติ

(5) ถูกข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 นี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ขาดหลักการพื้นฐานในเรื่องของการยึดโยงกับประชาชน และการตรวจสอบถ่วงดุส ทั้งนี้เพราะเมื่อดูบทบัญญัติเกี่ยวกับการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะรัฐมนตรี แล้วพบว่า การใช้อํานาจนิติบัญญัติและอํานาจบริหารเป็นแต่เพียงอํานาจเบ็ดเสร็จของคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) เท่านั้น ไม่มีความเชื่อมโยงยึดโยงกับประชาชนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้ง ยังให้ สนช. เป็นผู้ทําหน้าที่ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภาในคราวเดียวกัน

41 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีสมาชิกจํานวนกี่คน

(1) 200

(2) 220

(3) 250

(4) 299

(5) 300

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 6 วรรค 1 กําหนดให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประกอบด้วยสมาชิกจํานวนไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจาก ผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดและมีอายุไม่ต่ํากว่า 40 ปี ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคําแนะนํา

42 ในการเลือกตั้งครั้งแรกของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กําหนดให้ คสช. สามารถสรรหาและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้จํานวนกี่คน

(1) 200

(2) 220

(3) 250

(4) 299

(5) 300

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 บทเฉพาะกาล มาตรา 269 กําหนดให้ในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่ คสช. ถวายคําแนะนําโดยอายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้มีกําหนด 5 ปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

43 ผู้ใดทรงไว้ซึ่งอํานาจนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญ 2557

(1) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(2) สภาปฏิรูปแห่งชาติ

(3) หัวหน้า คสช.

(4) รัฐสภา

(5) ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 อํานาจนิติบัญญัติอยู่ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นสําคัญ โดยมีคณะรัฐมนตรีชั่วคราว รับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน และมีกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญทําหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

44 อายุของสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งจาก คสช. ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ดํารงตําแหน่งก็ปี

(1) 1 ปี

(2) 3 ปี

(3) 5 ปี

(4) 7 ปี

(5) ไม่มีข้อกําหนดชัด

ตอน 3 ดูคําอธิบายข้อ 42 ประกอบ

45 การเสนอร่างพระราชบัญญัติทั่วไปโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติจะต้องมีสมาชิกเข้าชื่ออย่างน้อย…คน

(1) 10

(2) 15

(3) 20

(4) 25

(5) 30

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16 ประกอบ

46 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กําหนดให้นายทหารเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตําแหน่งกี่ตําแหน่ง

(1) 3

(2) 4

(3) 5

(4) 6

(5) 7

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 269 (ค) กําหนดให้นายทหารเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตําแหน่ง 5 ตําแหน่ง ได้แก่

1 ปลัดกระทรวงกลาโหม

2 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

3 ผู้บัญชาการทหารบก

4 ผู้บัญชาการทหารเรือ

5 ผู้บัญชาการทหารอากาศ

47 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 มีมาตราที่มีลักษณะคล้ายมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 แต่ให้อํานาจหัวหน้า คสช. เหนือนายกรัฐมนตรี คือมาตรา

(1) 17

(2) 20

(3) 25

(4) 32

(5) 44

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 14 ประกอบ

48 หากสภาปฏิรูปแห่งชาติได้ดําเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญแล้วส่งมอบต่อคณะรัฐมนตรีและ คสช. จึงเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีและ คสช. จะต้องพิจารณาเสนอความเห็นหรือยื่นคําขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญนั้น ภายในระยะเวลากี่วัน

(1) 15

(2) 20

(3) 25

(4) 30

(5) 60

ตอบ 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 36 วรรค 2 และ 3 กําหนดให้ สมาชิกสภาปฏิรูป แห่งชาติ (สปช.) อาจขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ สปช. เสร็จสิ้น การพิจารณาให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญส่งร่างรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีและ คสช. ด้วย และคณะรัฐมนตรีหรือ คสช. จะเสนอความคิดเห็นหรือยื่นคําขอแก้ไขเพิ่มเติมได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญ

49 การกีดกันมิให้ตัวแทนพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาทในสภานิติบัญญัติหลังรัฐประหาร ปรากฏในการ

(1) ลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาปฏิรูป

(2) การห้ามพรรคการเมืองดําเนินกิจกรรมทางการเมือง

(3) ห้ามสมาชิกสภานิติบัญญัติเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในระยะ 3 ปี ก่อนจะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ

(4) เฉพาะข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกีดกันมิให้ตัวแทนพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาทในสภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังรัฐประหาร ปรากฏในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 8 (1) ซึ่งกําหนดให้ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือ ดํารงตําแหน่งหรือเคยดํารง ตําแหน่งใดในพรรคการเมืองภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

50 ข้อใดคืออํานาจของวุฒิสภาในวาระแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2550

(1) การให้ความเห็นชอบถอดถอนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

(2) อํานาจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

(3) อํานาจในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี

(4) อํานาจในการให้ความเห็นชอบการลงมติในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) อํานาจหน้าที่ของวุฒิสภาในวาระแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 นั้นแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 คือ “อํานาจในการออก เสียงเลือกนายกรัฐมนตรี” โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 ได้กําหนดให้ การพิจารณาให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ให้กระทําในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา) มติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทํา โดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองเภา (มาตรา 272 วรรค 1)

 

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามข้อ 61 – 70.

(1) ถูก

(2) ผิด

 

51 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติยินยอมแสดงรายการทรัพย์สินเพื่อแสดงความโปร่งใสโดยไม่มีผู้ใดร้องต่อศาลปกครองให้ระงับการแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะเลย

ตอบ 2 (คําบรรยาย) พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กับพวกรวม 28 คน ได้ร้องต่อศาลปกครองว่า การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้ตนยืนบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. และให้ประกาศเปิดเผย บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณชนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตนมิใช่ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง จึงเห็นว่าไม่จําเป็นต้องกระทําตามนั้น

52 กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ได้ก็เมื่อผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติและทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อทรงประทานลงมาแล้วก็ถือว่าเป็นกฎหมายไม่จําเป็นต้องตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษา

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ราชกิจานุเบกษา เป็นหนังสือรวบรวมคําประกาศของทางราชการ ซึ่งเป็นเอกสารหลักในการแจ้งประกาศ กฎหมาย และคําสั่งทางราชการให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการ ดังนั้นกฎหมายที่นําขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อทรงประทาน ลงมาแล้วจะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือต้องตีพิมพ์ลงในราชกิจจานุเบกษาเสียก่อน

53 มองเตสกิเออ เป็นผู้เสนอแนวความคิดที่สนับสนุนกษัตริย์แทนลัทธิเทวสิทธิ์ (Divine Right Theory)

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 28 ประกอบ

54 ฮอบส์ เชื่อว่าสภาพธรรมชาติเป็นสภาวะสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9) โทมัส ฮอบส์ เห็นว่า ภาวะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นภาวะสงครามมนุษย์จึงตกอยู่ในความกลัวเพราะแม้ผู้ที่แข็งแรงที่สุดก็อาจถูกฆ่าในยามหลับ หวาดระแวง และไม่มั่นใจว่าความต้องการของตนเองจะบรรลุในระยะยาว ดังนั้นเพื่อให้ตนองปลอดภัยมนุษย์จึงคาดหวังจะสร้างสัญญาประชาคมที่จะให้ชีวิตที่ดีกว่าภาวะธรรมชาติ

55 ในอดีต มักมองว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีสถานะเป็นเพียงสภาตรายาง คือไม่มีบทบาทในการตรวจสอบการทํางานของรัฐบาล

ตอบ 1 (คําบรรยาย) สภานิติบัญญัติแห่งชาติของไทยในอดีต มักถูกมองว่ามีสถานะเป็นเพียงสภาตรายางคือ ไม่มีบทบาทในการตรวจสอบการทํางานของรัฐบาล (ที่ได้อํานาจมาจากการก่อรัฐประหาร) แต่อย่างใด เป็นแค่เพียงสภาตรายางเพื่อประทับรับรองความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งทําให้สังคมไทยขายความเชื่อมั่นในการทําหน้าที่ของสภานิติบัญญัติตราบจนปัจจุบัน

56 ในทางทฤษฎี การที่มีข้าราชการประจําและนายทหารเข้ามามีบทบาททั้งในสภานิติบัญญัติ สภาปฏิรูปและคณะรัฐมนตรี มองว่าเป็นการย้อนกลับสู่ยุคอํามาตยาธิปไตย

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ในทางทฤษฎี การที่มีข้าราชการและนายทหารเข้ามามีบทบาททั้งในสภานิติบัญญัติสภาปฏิรูป และคณะรัฐมนตรีนั้น ถูกมองว่าเป็นการย้อนกลับสู่ยุคอํามาตยาธิปไตยซึ่งจะเห็นได้จากสังคมไทยในอดีต เช่น ยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แจะจอมพลถนอมกิตติขจร เป็นต้น

57 การรัฐประหารที่ล้มเหลวเรียกว่า “กบฏ” ซึ่งในประวัติศาสตร์ไทยมีกบฏที่ถูกประหารชีวิตจากกรณีกบฏนายสิบเท่านั้น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) การรัฐประหารที่ล้มเหลว เรียกว่า “กบฏ” (Rebellion) ตามกฎหมายของไทยนั้น กบฏเป็นความผิดทางอาญา ฐานกระทําความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลง รัฐธรรมนูญ ซึ่งในประวัติศาสตร์ไทยนั้นพบว่ามีผู้ก่อการกบฏถูกประหารชีวิตหลายคน เช่น ส.อ.สวัสดิ์ มะหะหมัด (กรณีกบฏนายสิบ), พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ (กรณีกบฏ 26 มีนาคม 2520),ร.ท.ณเณร ตาละลักษณ์ (กรณีกบฏพระยาทรงสุรเดช หรือกบฏ 18 ศพ) เป็นต้น

58 การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 นับเป็นจุดสิ้นสุดของอิทธิพลคณะราษฎรในการเมืองไทยร่วมสมัย

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 นับเป็นจุดสิ้นสุดของอิทธิพล “คณะราษฎร”ในการเมืองไทยร่วมสมัย เมื่อกลุ่มทหารนอกราชการที่นําโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอํานาจ รัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ (ซึ่งสืบอํานาจต่อจากรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์) โดยการรัฐประหารในครั้งนี้ถือเป็นการขจัดกลุ่มอํานาจเก่าของนายปรีดี ให้สิ้นไปจากเวทีการเมือง แม้จะมีความพยายามกลับมาทํากบฏวังหลวงในปี พ.ศ. 2492 แต่ก็ไม่สําเร็จ

59 สัญญาประชาคม (Social Contract) เป็นผลงานทางความคิดของชอง ชากส์ รุสโซ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 23 ประกอบ

60 ทฤษฎีอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนยอมรับและยืนยันว่าประชาชนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39 ประกอบ

61 การปฏิวัติร่มในฮ่องกง เป็นไปเพื่อเรียกร้องเอกราชจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) การปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution) ในฮ่องกง เป็นไปเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย

และสิทธิทางการเมืองของชาวฮ่องกง ซึ่งการชุมนุมครั้งนี้จะพบภาพการต่อสู้ของผู้ประท้วงที่มี เพียงร่มหลากสีเป็นอาวุธในการป้องกันแก๊สน้ําตาและสเปรย์พริกไทยจากเจ้าหน้าที่ตํารวจ จึงทําให้ร่มกลายเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ โดยเฉพาะร่มสีเหลือง และเรียกการเคลื่อนไหวนี้ว่า การปฏิวัติร่ม/การปฏิวัติร่มเหลือง โดยมีนายโจชัว หว่อง เป็นแกนนําดังกล่าว

62 ฮอบส์ เชื่อว่าประชาชนมีอํานาจถอดถอนองค์อธิปัตย์ได้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 28 ประกอบ

63 ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลักของรัฐสังคมนิยม

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ลัทธิสังคมนิยม (Socialism) เป็นลัทธิเศรษฐกิจที่ยึดหลักความเสมอภาคทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายสําคัญ ซึ่งเห็นว่ารัฐจะต้องเข้ามาควบคุมและกํากับดูแลความเป็นอยู่ ของประชาชนในด้านเศรษฐกิจหลักของประเทศ และรัฐจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่สําคัญทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว

64 ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลักของรัฐประชาธิปไตย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 63 ประกอบ

65 ในกฎหมายรัฐธรรมนูญให้ความสําคัญต่อการใช้อํานาจอธิปไตยโดยประชาชน จึงมีหมวดว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

ตอบ 1 (คําบรรยาย) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) สามารถแสดงออกผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ในหลายลักษณะ เช่น

1 กําหนดสัดส่วนของ ตัวแทนประชาชนในรัฐสภาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

2 กําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีจํานวนน้อยลง (แสดงนัยยะสําคัญว่าอํานาจของประชาชนมากขึ้น) เป็นต้น

66 หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรีมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)พ.ศ. 2557 ได้ยุติลง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 วรรค 2 กําหนดให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 นั่นแสดงว่า หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ. 2557 ยังคงอยู่

67 การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 จะกระทําไม่ได้ถ้ามีวุฒิสมาชิกเห็นชอบจํานวนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 256 (3) กําหนดให้ การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา (วุฒิสมาชิก) เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

68 บุคคลที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท สามารถไปสมัครเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระได้ทุกคน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 201, 202 และ 216 กําหนดให้ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไป ดังต่อไปนี้

1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี ฃ

2 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

4 มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

5 มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะ 10 ปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ฯลฯ

69 ในทางทฤษฎี การที่มีข้าราชการประจําและนายทหารเข้ามามีบทบาททั้งในสภานิติบัญญัติ สภาปฏิรูปและคณะรัฐมนตรี มองว่าเป็นการย้อนกลับสู่ยุคอํามาตยาธิปไตย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 56 ประกอบ

70 การศึกษาของประชาชนถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการกําหนดรูปแบบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเริ่มแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ในช่วงเริ่มแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้นการศึกษาของประชาชนได้ถูกนํามาใช้เป็นเกณฑ์ในการกําหนดรูปแบบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฯ 2475 ได้กําหนดให้สมาชิกประเภทที่ 2 (ส.ส. ที่มาจากการแต่งตั้ง) จะถูกยกเลิก หากมีจํานวนราษฎรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ส.ส. จบการศึกษาชั้นประถมศึกษา เกินกว่าครึ่งหนึ่งของจํานวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด หรือในระยะเวลา 10 ปี

 

ข้อ 71. – 87. เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการ ให้นักศึกษาพิจารณา 2 ข้อความ แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด

(2) ถ้าข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก

(3) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้งสองข้อ

(4) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้งสองข้อ

 

71

(1) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีอํานาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 บัญญัติให้กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 1 และ 8 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ กรรมาธิการสามัญ ซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

72

(1) การดําเนินการของคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคหนึ่ง

(2) กรณีคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ จะต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคสอง ด้วย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 128 วรรค 1 และ 2 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด ในส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภา ผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่ามีสาระสําคัญเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือคนพิการหรือ ทุพพลภาพ ต้องกําหนดให้บุคคลประเภทดังกล่าวหรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทํางานเกี่ยวกับบุคคลประเภทนั้นโดยตรง ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วย

73

(1) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ(Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภามีบทบาทเท่ากับเป็นรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

ตอบ 3 หน้า 77, (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่ง

คือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภานั้นจะมีบทบาทคล้ายกับรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

74

(1) การแบ่งประเภทของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ได้แบ่งตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ เช่น

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย หรือการพิจารณาร่างกฎหมาย

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการพัฒนา

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตรา และสอดคล้องการปฏิบัติงานรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการในรัฐสภา อาจมีการแต่งตั้งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

ตอบ 2 หน้า 77. เอกสารประกอบการสอน หน้า 27, 31) คณะกรรมาธิการในรัฐสภามี 2 ประเภทใหญ่ ๆคือ คณะกรรมาธิการสามัญ และคณะกรรมาธิการวิสามัญ นอกจากนี้เราอาจจะแบ่งประเภท ของคณะกรรมาธิการเนรัฐสภาได้ตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ ดังนี้

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ หรือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานคลัง

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตราสอดส่องการปฏิบัติงานของรัฐบาล เป็นต้น

75

(1) ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา คณะกรรมาธิการมักมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติอย่างชัดแจ้งโดยเฉพาะความสามารถในการทํางานอย่างรวดเร็ว

(2) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการ เนื่องจากการทํางานของรัฐสภาตามความเป็นจริงนั้นจําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับหลักความต้องการของนักการเมือง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการมีอยู่ 4 ประการ คือ

1 เพื่อการแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

2 จําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับความต้องการของราษฎร

3 เป็นการละลายความเป็นพรรคการเมือง

4 การสอบสวนข้อเท็จจริงและรับเรื่องราวร้องทุกข์ (ถือเป็น “หน้าที่พิเศษ” ของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย) ซึ่งในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนานั้นพบว่า คณะกรรมาธิการมักไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติมากนัก เนื่องจากความสามารถในการทํางานค่อนข้างต่ำ

76

(1) การทํางานในขั้น “คณะกรรมาธิการ” ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญแม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง

(2) “หน้าที่พิเศษ” ที่ถือว่าเป็นหน้าที่ประจําตามปกติธรรมดาของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย คือการแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) “การละลายความเป็นพรรคการเมือง” หนึ่งในเหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการนั้นพบว่า การทํางานในขันคณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางาน ในกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง (ดูคําอธิบายข้อ 75 ประกอบ)

77

(1) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยรัฐสภา

(2) การปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการ ไม่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใดมิได้ ตอบ 4 (คําบรรยาย) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการพิเศษที่มีอํานาจในการคัดเลือก

3 แต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการนั้นถือว่าเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้

78

(1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการเป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็นผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้

(2) กรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรส จะได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก ความเหมาะสมต่อหน้าที่ ความมีอาวุโสเป็นหลัก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ “ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการ” เป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็น ผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้ ส่วนคณะกรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรสนั้นจะ ได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิกความเหมาะสมต่อหน้าที่ และความมีอาวุโสเป็นหลัก

79

(1) ในระบบรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา หากเป็นร่างรัฐบัญญัติธรรมดาเข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session)เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา และคณะกรรมาธิการเต็มสภา

ตอบ 2 หน้า 84, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 84), (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

3 คณะกรรมาธิการร่วม

4 คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา

5 คณะกรรมาธิการเต็มสภา ซึ่งในระบบรัฐสภาของสหรัฐฯ หากเป็นร่างรัฐบัญญัติที่มีความสลับซับซ้อน (เรื่องใหญ่ เรื่องที่ ประชาชนสนใจมาก) เข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session) เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

80

(1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภา คณะกรรมาธิการสามัญคณะกรรมาธิการร่วม และคณะกรรมาธิการร่วมพระราชบัญญัติมหาชน

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมาธิการสามัญสกอต (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการเต็มสภา

2 คณะกรรมาธิการสามัญ

3 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

4 คณะกรรมาธิการร่วม

5 คณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติเอกชน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมาธิการสามัญสกอต” (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

81

(1) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

(2) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ จะเป็นคณะกรรมาธิการที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

3 คณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ส่วนคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษนั้นจะเป็นคณะกรรมาธิการ ที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

82

(1) ระบบคณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม

(2) คณะกรรมาธิการสามัญของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส มี 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องหลัก ๆ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

3 คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อสภา ซึ่งมักเข้าไป เกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

83

(1) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อประธานาธิบดี

(2) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84

(1) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน

(2) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่นอาจขอให้รัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอาจขอให้รัฐมนตรีหรือ ผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

85

(1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(2) ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาญี่ปุ่นจะมาจากการแต่งตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้นจะมาจากการเลือกตั้ง ของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

86

(1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา

1 (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ)

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสี่ บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกผู้พิพากษ หรือตุลาการมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ) โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 4 บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสาร จากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือ ในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ แต่การเรียกเช่นว่านั้นมิให้ใช้บังคับแก่ ผู้พิพากษาหรือตุลาการ

87

(1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา จะต้องคํานึงถึงหลักการกระจายอํานาจเป็นหลัก

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสาม บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยนั้นมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา ซึ่งจะต้องคํานึงถึงหลักแบ่งงานกันทําเป็นหลัก โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 3 บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

 

ข้อ 88. – 95. ให้นักศึกษาพิจารณาประเภทของคณะกรรมาธิการรัฐสภาไทย แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) คณะกรรมาธิการสามัญ

(2) คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(3) คณะกรรมาธิการร่วม

(4) คณะกรรมาธิการเต็มสภา

(5) คณะกรรมาธิการชั่วคราว

 

88 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27 – 28) คณะกรรมาธิการสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หรือคณะบุคคลที่วุฒิสภา แต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น และตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจาณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

89 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้

ตอบ 2 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 31) คณะกรรมาธิการวิสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ หรือคณะบุคคล ที่วุฒิสภาแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ โดยจะแต่งตั้งขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรี ร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะและจะสลายตัวเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ

90 กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้

ตอบ 3 หน้า 118, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการร่วม หมายถึง กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา

91 คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ

ตอบ 4 หน้า 119, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการเต็มสภา หมายถึง คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติหอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

92 คณะกรรมาธิการ…จะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 คณะกรรมาธิการ…จะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขของวุฒิสภา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

94 คณะกรรมาธิการแต่งตั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 89 ประกอบ

95 คณะกรรมาธิการ ตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

 

ข้อ 96. – 100. เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในฝ่ายนิติบัญญัติ การตราพระราชบัญญัติ

ให้นักศึกษาพิจารณาข้อความแล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความนี้ ถูก

(2) ถ้าข้อความนี้ ผิด

 

96 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 133 บัญญัติว่า ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อนและจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน และต้องเป็นไปตามมาตรา 77 ด้วย

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 133 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม 2 หรือ 3. เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคํารับรองของนายกรัฐมนตรี

97 กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดขั้นตอนเป็น 4 วาระคือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณา

3 ขั้นแปรบัญญัติ

4 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 54 – 55) กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะพิจารณาเป็น 3 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณาหรือขั้นแปรญัตติ

3 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

98 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา กรณีเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไปต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 55) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 136 กําหนดให้ วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมาโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้า เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน เว้นแต่วุฒิสภาจะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน หากวุฒิสภายังพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินั้น

99 หากประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 148 (1) กําหนดให้ หาก ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง สองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้น โดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็น ดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

100 ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติ ก็ทรงมีอํานาจยับยั้งได้ โดยส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังรัฐสภา หรือเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้โดยไม่ทรงพระราชทานคืนมายังรัฐสภา จนล่วงพ้นเวลา 90 วันไปแล้ว

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 146 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติใดพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีก ครั้งหนึ่ง และหากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนําพระราชบัญญัติ นั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลง พระปรมาภิไธยแล้ว

Pol3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา Pol 3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทั้ง 4 ข้อ แต่ละข้อต้องเขียนแสดงออกซึ่งความคิดเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน อย่างน้อยข้อละประมาณ 3 – 5 หน้า

ข้อ 1 (ก.) การเปรียบเทียบคืออะไร ? ทําอย่างไร ? ศึกษาอะไรบ้าง ? มีประโยชน์อย่างไร ? มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไร ? เหมือนหรือต่างกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ (เคมี ชีวะ ฟิสิกส์) อย่างไร ? สังคมโลกปัจจุบันสนใจศึกษาเปรียบเทียบเรื่องอะไรบ้าง ? และ

(ข.) โครงสร้างคืออะไร ? สําคัญอย่างไร ?

จงเปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบ ตามแนวคิดของ David Easton กับของ Gabriel Almond อธิบายให้ละเอียดโดยยกตัวอย่างเกิดขึ้นจริงในชีวิตสังคมการเมืองไทย

แนวคําตอบ

การเปรียบเทียบ คือ การศึกษาวิเคราะห์ความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคุณลักษณะ ต่าง ๆ ซึ่งการศึกษาเปรียบเทียบนั้นไม่จําเป็นในการตัดสินว่า ระบบการเมืองใดหรือสถาบันการเมืองใดดีที่สุด แต่เพื่อการเรียนรู้มากขึ้นว่า ทําไม (Why) หรืออย่างไร (How) ในความเหมือนหรือความแตกต่าง และความเหมือน หรือความแตกต่างนั้นได้ส่งผลกระทบอะไรบ้าง

ลักษณะการศึกษาแปรียบเทียบ พิจารณาได้จาก

1 ความเหมือนและความแตกต่าง

ความเหมือน (Similarities) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกัน หรือคล้ายกันของสิ่งที่นํามา เปรียบเทียบ ส่วนความแตกต่าง (Differences) จะเป็นลักษณะที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจมีลักษณะของความ แตกต่างกันน้อย แตกต่างกันมาก หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น ดูว่ารัฐธรรมนูญฯ 2550 มีเนื้อหาใน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แตกต่างกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร เป็นต้น

โดยส่วนที่ซ่อนอยู่ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ก็คือ องค์ความรู้หรือข้อมูลนั้นเอง ถ้าเรามีความรู้เฉพาะรัฐธรรมนูญฯ 2550 เพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างก็ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากข้อมูลที่นํามา เปรียบเทียบมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น

2 หน่วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) เป็นกรอบของการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษา ทางการเมือง เพื่อให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่แน่นอน ซึ่งก็คือ การเลือกหน่วยที่จะทําการเปรียบเทียบนั่นเอง โดยอาจจะเป็นปัจจัยบุคคล องค์กร สถาบัน หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้หลักความเหมือนหรือความแตกต่าง และใช้ปัจจัยดังกล่าวในการเปรียบเทียบ สําหรับตัวอย่างของหน่วยการวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น ผู้นํา บทบาท องค์กร สถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง เป็นต้น

หน่วยการวิเคราะห์นั้นถือว่ามีความสําคัญมากในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ เพราะจะทําให้สามารถศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากมุมมองในการอธิบายการเมืองนั้น มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก หากไม่มีหน่วยการวิเคราะห์ก็จะไม่ทราบว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหน หรืออาจทําให้ การวิเคราะห์ไม่มีกรอบที่ชัดเจน ซึ่งทําให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน

ผู้ศึกษาจะต้องตั้งปัญหาพื้นฐานถามตัวเองก่อนว่า ควรจะนําหน่วยการวิเคราะห์อะไร มาใช้ในการศึกษาทางการเมือง เช่น ถ้าต้องการจะศึกษาผู้นํา หน่วยการวิเคราะห์ก็คือ ตัวผู้นํา โดยอาจจะมุ่งไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปรียบเทียบความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนในแง่ของ บุคลิกภาพ ดังนั้นหน่วยการวิเคราะห์ตรงนี้ก็คือตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่าในการศึกษาเปรียบเทียบ อาจจะวิเคราะห์หน่วยเหนือขึ้นไป เช่น กลุ่มทางสังคม สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ

3 ระดับการวิเคราะห์

ระดับการวิเคราะห์ (Level of Analysis) เป็นการจัดชั้นและระดับของระบบการเมือง เพื่อทําให้เกิดความชัดเจนที่ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ถึงหน้าที่และโครงสร้างของระบบการเมืองนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การแบ่งระดับการเมืองไทยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น

ในการเปรียบเทียบที่มีการจัดระดับในการวิเคราะห์นั้น จะทําให้การศึกษาเปรียบเทียบ สามารถมองเห็นหรือเปรียบเทียบให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นได้ ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้นจะต้องเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

4 การแจกแจงข้อมูล

การแจกแจงข้อมูล (Classification) เป็นการจัดระบบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อจะทําให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือน (Similarities) และความแตกต่าง (Differences) ของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดทิศทางในการเลือกสรร การรวบรวม การจัดระบบระเบียบของข้อมูล และสร้าง กรอบความคิด ยุทธวิธีในการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การศึกษาข้อมูลในเรื่องการมีส่วนร่วม ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อมูลที่ได้ควรจะต้องมีการจัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ในการ เลือกตั้ง การเสนอกฎหมาย ฯลฯ โดยจะต้องใช้ข้อมูลที่มีการแจกแจงอย่างเดียว กันมาพิจารณา

สิ่งที่มักนํามาศึกษาเปรียบเทียบ

1 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการเมือง

2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

4 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ

6 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

7 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมือง

8 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง

9 การวิเคราะห์เปรียบเทียบสภาผู้แทนราษฎร

10 การวิเคราะห์เปรียบเทียบวุฒิสภา เป็นต้น

 

ประโยชน์ของการเปรียบเทียบ

1 ช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นการเมืองและการปกครองของประเทศอื่นได้ชัดเจนและลึกซึ้ง ยิ่งขึ้น อันจะนํามาสู่ความเข้าใจต่อการเมืองของประเทศตัวเองที่ดีกว่าเดิม เมื่อผู้ศึกษาสามารถเชื่อมโยงอิทธิพล ความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างประเทศเหล่านั้นกับประเทศตัวเองได้

2 ช่วยให้ผู้ศึกษาหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อชาติตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentrism) ใน การตัดสินผู้อื่น อันนําไปสู่การเปิดใจกว้างต่อการปกครองที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพราะรูปแบบการเมืองและการ ปกครองของประเทศที่ผู้ศึกษาอาศัยอยู่นั้นไม่ได้มีลักษณะเฉพาะตัวมาตั้งแต่ต้น หากแต่ได้รับอิทธิพลและได้ ผสมผสานกับรูปแบบการเมืองการปกครองของประเทศอื่นมานาน

3 ช่วยให้ผู้ศึกษามีทางเลือกหรือการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่หลากหลายกว่าเดิมจาก การเรียนรู้ถึงบริบท และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศต่าง ๆ

4 ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจภาวะปัจจุบัน รวมไปถึงกฎเกณฑ์สากลเกี่ยวกับการเมืองโลก เป็นต้น

ความเป็นวิทยาศาสตร์ของการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือเป็นสังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งเม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษา เหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัยรูปแบบ แบบแผน พฤติกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคมหรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบการเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษา เปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดเครื่องมือหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากความคิดและสติปัญญา โดยการตรึกตรองและ การวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผล ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตัวแปรที่ควบคุมได้ แล้วจึงทําการทดสอบเพื่อหาข้อสรุป ที่ต้องการ

2 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้ทําการศึกษา ซึ่งได้แก่ การดู การฟัง การสัมผัส เป็นต้น โดยจะต้องปลอดจากค่านิยมหรือตัดอคติออกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้

เทียบกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ (เคมี ชีวะ ฟิสิกส์) ได้ดังนี้ :

1 การเลือกปัญหา (Problem Selection) จะเกี่ยวพันกับการสร้างทฤษฎีเพื่อเป็น องค์ประกอบของการสร้างปัญหาที่จะวิเคราะห์ว่าปัญหานั้น ๆ ควรมีตัวแปรอะไรเข้าไปเกี่ยวพันบ้าง และเมื่อมี ตัวแปรเหล่านั้นแล้วจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์อะไรบ้าง ผู้ที่จะสร้างทฤษฎีทางสังคมจะต้องเลือกปัญหาที่มี ผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในสังคม และต้องเป็นประเด็นที่คนส่วนมากให้ความสนใจ ผู้เลือกปัญหามาศึกษา จะต้องเป็นผู้มีจิตนาการที่กว้างไกลและมีความสํานึกต่อปัญหาสังคมนั้น ทั้งนี้เพราะปัญหาสังคมที่ล้ำลึกบางครั้ง เกิดจากสภาพสามัญสํานึกของนักทฤษฎีที่มีความรู้สึกว่าประเด็นนั้น ๆ สําคัญนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ บุคคล ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบจะต้องอาศัยทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ทางสังคมเข้ามาช่วยอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคม

2 การสังเกตอย่างเป็นระบบ (Systematic Observation) จะช่วยในการสร้างตัวแบบใน การเปรียบเทียบ ซึ่งจะต้องมีการจัดลําดับ ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ และที่สําคัญจะต้องมีการพรรณนาข้อมูลที่ได้มา ในเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ นักสังคมศาสตร์นั้น ๆ จะต้องเป็นผู้มีจินตนาการ รู้จักจัดสรรข้อมูล และที่สําคัญจะต้อง สามารถอธิบายข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างเป็นระบบ มิใช่แต่นักวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่จะต้องมีความสามารถในการ พรรณนาข้อมูลที่ค้นคว้ามา นักเคมี นักชีววิทยา และนักฟิสิกส์ก็จะต้องมีความสามารถในการสังเกตและพรรณนา ข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตอยางเป็นระบบด้วย เมื่อข้อมูลที่จัดเก็บมาอย่างเป็นระบบนั้นถูกนํามาวิเคราะห์ ก็จะ สามารถตั้งเป็นสมมุติฐานและทําการทดสอบต่อไปได้นั่นเอง

การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือเป็นสังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษา เหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัยรูปแบบ แบบแผน พฤติกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคม หรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบการเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษา เปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดเครื่องมือหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

สังคมโลกปัจจุบันสนใจศึกษาเปรียบเทียบในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1 การพัฒนา ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน และชี้วัดความเป็นอยู่ของประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการพัฒนานั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาใน ” ด้านต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา สังคม เป็นต้น

2 ความเป็นประชาธิปไตย ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ คือ ต้องยึดถืออํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องมีการเลือกตั้ง ยึดหลักของเสียงข้างมาก สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพและการรับฟัง ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง มีเสรีภาพ ในการแสดงออก มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล

3 สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน และเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

โครงสร้าง คือ แบบแผนของกิจกรรมที่ทํากันสม่ําเสมอ โดยผู้ที่กระทํากิจกรรมจะมีบทบาท แตกต่างกันไป แต่เมื่อรวมบทบาทของกิจกรรมเหล่านี้เข้าด้วยกันจะได้เป็นโครงสร้างนั้น ๆ เช่น โครงสร้างของรัฐสภา ประกอบด้วย ประธานสภา รองประธานสภา เลขาธิการ และสมาชิก ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีบทบาทแตกต่างกันไป แต่เมื่อ เรารวมเอาบทบาทของส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว เราก็จะได้โครงสร้างของรัฐสภานั้นเอง

โครงสร้างก็เปรียบได้กับสรีระร่างกายของคน ส่วนภายในสรีระนั้นก็ประกอบด้วยหน้าที่ต่าง ๆ เช่น ระบบการหายใจ ระบบหมุนเวียนของเลือด ระบบการขับถ่าย ระบบของการย่อย ระบบการเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งการทําหน้าที่ของระบบต่าง ๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อทําให้โครงสร้างสามารถดํารงอยู่ได้

เปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบของ David Easton และ Gabriel Almond

David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มี ความสัมพันธ์เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสร้างระบบที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และพฤติกรรมของระบบการเมืองได้

 

1 ปัจจัยนําเข้า (Input) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1) การเรียกร้อง (Demand) อาจจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของการเรียกร้องเอง เช่น กรณีประชาชนที่เดือดร้อน ในเรื่องที่ทํากินและปัญหาหนี้นอกระบบ ถ้าประชาชนเพียงคนเดียวเรียกร้องรัฐบาลอาจจะไม่รับฟัง หรือรับฟังแต่ไม่ตอบสนอง ในทางตรงกันข้าม ถ้าประชาชนจํานวนมากรวมตัวกันเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชุมนุมเดินขบวนปิดถนน ฯลฯ ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็จะมีผลเกิดขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนําไปพิจารณาต่อไป

2) การสนับสนุน (Support) สามารถแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ

– การสนับสนุนประชาคมทางการเมือง คือ การที่สมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในระบบการเมือง มีความผูกพันกันในแง่ของความตั้งใจร่วมมือร่วมแรงกันในการแก้ไขปัญหาของระบบการเมือง ซึ่งจะแสดงออกโดยการแบ่งงานกันทํา เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนักศึกษา กลุ่มสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุน ประชาคมทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคมร่วมกันนั่นเอง

– การสนับสนุนระบอบการเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง ความชอบธรรมของระบอบการเมืองในการทําให้สมาชิกยอมรับ เช่น ระบอบประชาธิปไตยมีความชอบธรรมที่จะ ให้สมาชิกของสังคมยอมรับในกฎกติกา รัฐธรรมนูญ และรูปแบบการปกครองด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามระบอบ การเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนจะมีผลเสียอย่างมาก นั่นคือ มีผลทําให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรง เกิดจลาจลขึ้นได้

– การสนับสนุนผู้มีอํานาจหน้าที่ทางการเอง หมายถึง การสนับสนุนบุคคล ที่เข้าไปทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือรัฐบาล โดยดูจากความพึงพอใจของสมาชิกต่อการตัดสินใจของระบบ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ํามัน หรือดูจากความพอใจต่อนโยบาย รถยนต์คันแรก เป็นต้น

 

2 ระบบการเมือง (System) ประกอบด้วย

1) ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) ทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งต่อไปสู่ระบบ การเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างผู้เฝ้าประตู เช่น กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นต้น

2) รัฐบาล หรือรัฐสภา (ผู้ตัดสินใจ)

3 ปัจจัยนําออก (Output) อาจสรุปได้ดังนี้ คือ

1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบ การเมือง เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ อัตราการว่างงานสูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเมือง

2) เกิดจาาการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการเมืองเอง ซึ่ง Output ประเภทนี้จะมีผล ต่อระบบการเมืองและสภาพแวดล้อมของระบบ

จะเห็นได้ว่า จจัยที่ผ่านออกมาจากระบบนั้น จะมีลักษณะบังคับ เช่น ประกาศ คําสั่ง ข้อบังคับ กฎหมาย ฯลฯ นอกจากนี้การดําเนินการยังมีผลผูกพันเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยประโยชน์และ ความสะดวกแก่คนบางกลุ่มในระบบนั้นเอง

4 การสะท้อนป้อนกลับ (Feedback) ก็คือ การป้อนข้อมูลย้อนกลับเพื่อนํามาสู่กระบวนการ Input อีกครั้งหนึ่งว่า Output ที่ออกไปนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

5 สิ่งแวดล้อม Environment) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมภายใน (internal Environment) ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิด กับระบบการเมืองมาก ประกอบด้วย

– สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสภาพทั่วไป เช่น อาคาร สิ่งปลูกสร้างชุมชน ถนน ลำคลอง ฯลฯ

– สิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความมีเหตุผล การร่วมมือร่วมใจกัน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาและสังคม ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมในสังคม โครงสร้างทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างด้านประชากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำของโลก ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

ส่วน Almond นั้นเชื่อว่าถ้าผู้ศึกษาเปรียบเทียบให้ความสําคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและการ แสดงออกของคนจะช่วยให้การศึกษาเปรียบเทียบก้าวสู่ขั้นที่ก้าวหน้าไปจากการศึกษาเดิมที่ให้ความสําคัญกับ กฎหมายและพิธีการ และจากหน่วยการเคราะห์เดิมที่ศึกษาสถาบันทางการเมืองเป็นหลัก นักรัฐศาสตร์ก็จะหันมา สนใจ “บทบาท” (Role) และ “โครงสร้าง” (Structure) ซึ่ง Almond ได้ให้คําจํากัดความของบทบาทว่าเป็นหน่วยที่มี การปะทะสัมพันธ์ในระบบการเมือง และแบบแผนของการปะทะสัมพันธ์ก็คือระบบนั่นเอง

– Almond ได้รับอิทธิพลทางความคิดในการวางแผนเปรียบเทียบระบบการเมืองจาก David Easton ในหนังสือชื่อ “ระบบการเมือง” (The Political System)

Almond เห็นว่า หน้าที่ (Function) ของระบบการเมืองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1 หน้าที่ในการส่งปัจจัยเข้าสู่ระบบ (Input Function) ได้แก่

1) การอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) ซึ่งถือว่าเป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

2) การคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบการเมือง (Political Recruitment) ซึ่งหมายถึง  การคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ทางการเมือง

3) การเป็นปากเสียงของผลประโยชน์ที่ชัดเจน (Interest Articulation) หมายถึง การแสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยที่ตัดสินใจกําหนด นโยบายต่อไป

4) การรวบรวมผลประโยชน์ (Interest Aggregation) ก็คือ การสมานฉันท์ของ การเรียกร้องที่เสนอเข้าสู่ในระบบการเมือง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

5) การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) คือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยน ข่าวสารของส่วนต่าง ๆ ในระบบและระหว่างระบบ

 

2 หน้าที่ในการส่งปัจจัยออกจากระบบการเมือง (Output Functions) ได้แก่

1) การออกกฎระเบียบ (Rule Making) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ

2) การบังคับใช้กฎระเบียบ (Rule Application) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายบริหาร

3) การตีความกฎระเบียบ (Rule Adjudication) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายตุลาการ โดย Almond มีความเห็นสอดคล้องกับ Easton นั่นคือ การเรียกร้องและการสนับสนุน

– การเรียกร้อง แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ

1) การเรียกร้องให้มีการจัดสรรสินค้าและบริการ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มสถานศึกษา เพิ่มสถานพยาบาล ฯลฯ

2) การเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมความประพฤติ เช่น การขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า คุ้มครองลิขสิทธิ์ ปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ

3) การเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในระบอบการเมือง เช่น เรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) การเรียกร้องให้มีการสื่อสารและได้รับทราบข้อมูลจากระบบการเมือง เช่น ต้องการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การยืนยันสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายว่าไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน ฯลฯ

การสนับสนุน มีอยู่ 4 ประการ คือ

1) การสนับสนุนทางวัตถุ เช่น การสนับสนุนในรูปตัวเงิน การจ่ายภาษีให้รัฐโดยไม่บิดพลิ้ว การเข้ารับราชการทหาร ฯลฯ 2) การเคารพกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เช่น การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

3) การสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้ง การออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) สนใจข่าวสารของรัฐ เคารพผู้มีอํานาจทางการเมือง สัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้งพิธีการของสังคม

 

ข้อ 2 (ก.) การพัฒนาคืออะไร ? พัฒนาเรื่องอะไรบ้าง ? พัฒนาอย่างไร ?

(ข) การพัฒนาที่แท้จริงคืออะไร ? ท่านคิดว่าสังคมไทยมีการพัฒนาที่แท้จริงหรือไม่ ? หรือเป็นเพียง“การทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา” ? ทําไม ? จงอธิบายและระบุตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริงดังกล่าวให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม

(ค) สังคมไทยจําเป็นต้องกล่อมเกลาปลูกฝังผู้คนในสังคมในมิติใดบ้าง เพื่อให้เกิดมีวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมตามตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริงที่ระบุในข้อ ข. และ

(ง.) ใครหรือองค์กรใดบ้างจะทําหน้าที่เป็นผู้ปลูกฝังกล่อมเกลา (Change agents) ระบุและอธิบายให้ชัดเจน

แนวคําตอบ

การพัฒนา (Development) คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมี เป้าหมายที่ชัดเจน เช่น

– การพัฒนาเศรษฐกิจ คือ การทําให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจและสังคม

– การพัฒนาการศึกษา คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการ เรียนรู้ของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา

– การพัฒนาสังคม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สุขภาพอนามัย การศึกษา การมีงานทํา มีรายได้เพียงพอในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนอย่างมี ระบบ เป็นต้น

การพัฒนาที่แท้จริง คือ กระบวนการที่ทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ยังทําให้เกิดการกระจายรายได้ ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค นั้นคือ ประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน และนําไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยถ้วนหน้า

ในสังคมไทยนั้นถือว่ายังไม่มีการพัฒนาที่แท้จริง เป็นเพียง“การทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา” คือ ลักษณะของการทําตามสมัยที่นิยมกัน หรือกลุ่มชนในแต่ละยุคแต่ละสมัยในการดํารงชีวิต เช่น การแต่งกาย การจับจ่ายใช้สอย การกิน การปฏิบัติตน ฯลฯ ซึ่งคนที่ทําตามกันนี้จะเรียกว่า คนทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันกลับหา เนื้อหาสาระสําคัญที่ควรจะเป็นไม่ได้ ทําตามแต่เปลือกไม่ได้เอาแก่นสําคัญมาด้วย หรือทําตามทั้ง ๆ ที่ผิด ไม่มีการแยกแยะจึงทําผิดตามไปด้วย หรืออาจกล่าวได้ว่ามีแต่ปริมาณแต่ขาดคุณภาพเมื่อเปรียบกับสังคมที่พัฒนาแล้ว

ตัวอย่างของการทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา เช่น

– การที่คนไทย ส่สูท (อย่างตะวันตก) ประชุมงานระดับโลก แต่การตัดสินใจยังใช้ความรู้สึกการคาดเดา มากกว่าที่จะใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมหรือคู่มือที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาแล้ว

– การที่คนไทยมีรถยนต์หรูหรือยี่ห้อดัง ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่กลับพบว่าไม่มีรถยี่ห้อของคนไทยสักที ทั้งที่เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่มีรถยนต์เข้ามาในประเทศ

– การได้รับโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนที่สูง หรือศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่มีความเสื่อมถอยทางปัญญา เชื่อโฆษณา ติดความหรูหรา ซื้อของที่ ไร้ค่าในราคาแพง มีนิสัยฟุ่มเฟือย ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนมีคุณค่า/ไร้คุณค่า ซื้อแค่ตามแฟชั่นเท่านั้น

– โรงพยาบาลนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เพียงเพื่อหวังผลทางธุรกิจการแพทย์ โดยไม่ได้ศึกษาถึงผลกระทบที่มีต่อผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการ – การมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โต แต่กลับพบว่ามีสินค้าถูกปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลงที่ขายปนกับอาหาร – การปลูกบ้านที่สวยงามใหญ่โต หรือสร้างถนนหนทางใหม่ ซึ่งไปขวางทางน้ำจนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกปี

– การใช้โทรศัพท์เกินความจําเป็น โทรคุยนานทําให้เสียเงินโดยไม่จําเป็น

– การร้องเรียนผ่านเว็บ แต่เป็นการกลั่นแกล้งกัน ใส่ร้ายกัน

– การมีเครื่องมือเตือนภัยมากมาย แต่ใช้งานไม่เป็น ฯลฯ

ตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริง ได้แก่

1 ความมั่นคงทางการเมือง หรือบางครั้งอาจใช้คําว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” ก็ได้ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก

– ความต่อเนื่องของระบบการเมือง ซึ่งเราพบว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือมีความ มันคงทางการเมือง มักจะมีความต่อเนื่องทางการเมือง ไม่มีการแทรกแซงของทหาร กลไกทางการเมืองดําเนินไป ตามกฎหมายที่กําหนดไว้ ขณะที่การเมืองในประเทศที่กําลังพัฒนามักมีปัญหาเรื่องของการแทรกแซงของทหาร หรือถูกแทรกแซงจากภายนอกซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขทางการเมือง

– ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มักถูกเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางการเมืองเสมอ เนื่องจากประเทศใดที่มีเศรษฐกิจไม่ดี มีคนว่างงานจํานวนมาก รายได้ของประชาชนน้อยลง สินค้ามีราคาแพงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน ดังนั้นเสถียรภาพหรือความมั่นคงทางการเมืองย่อมลดลงถ้าเศรษฐกิจตกต่ํา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตค่อนข้างสูงก็จะทําให้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลมีมากเช่นกัน

– สังคม ปัญหาสังคมมักเชื่อมโยงกับปัญหาทางเศรษฐกิจ และนําไปสู่ปัญหาทาง การเมืองของประเทศ ตัวอย่างเช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของยาเสพติด ปัญหาของคนว่างงาน ปัญหาของผู้ไร้ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

2 สถาบันทางการเมือง

– รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกฎหมายสูงสุด และเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญของ ประเทศ เนื่องจากรัฐธรรมนูญจะเป็นตัววางกรอบโครงสร้างทั้งหมดทางการเมืองที่จะพูดถึงในเรื่องสิทธิ อํานาจหน้าที่ และที่มาของสถาบันตัวอื่น ๆ รวมทั้งสมาชิกทางการเมืองในแบบต่าง ๆ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงต้องมีความชอบธรรม ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมและวิถีการดําเนินชีวิตของคนในชาติ นอาจากนี้จะต้องไม่มีความเอนเอียง หรืออํานวยประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกยับยั้งและเกิดการรวมกลุ่มของประชาชน เพื่อต่อต้าน ดังนั้นการมีรัฐธรรมนูญที่ดีจึงก่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ

– สภาถือเป็นสถาบันทางการเมือง ซึ่งเราให้ความสนใจในเรื่องที่มาและอํานาจหน้าที่ ของสภาว่ามีอะไรบ้าง สมาชิกมาจากการสรรหาหรือการแต่งตั้ง สัดส่วนของ ส.ส. และ ส.ว. เป็นเท่าใด สิ่งเหล่านี้ จะถูกนํามาพิจารณาทั้งสิ้น นอกจากนี้เรายังมองไปถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสภาว่ามีลักษณะเช่นไร

– พรรคการเมือง ถือเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญที่จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรค ที่มีนโยบายและอุดมการณ์ของตนเองได้มีบทบาทในการสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อเป็นตัวแทนให้กับ ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ในสภา พรรคการเมืองที่มีโอกาสทําหน้าที่บริหารประเทศ จะต้องรู้จักวางแนวทางในการ ทําหน้าที่เมื่อเป็นรัฐบาล มีนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนหญ่ และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศชาติเสมอ

3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาการเมือง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ประเทศมีสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำการเมืองก็มักจะขับเคลื่อนไปได้ยาก ฉะนั้นถ้าประเทศใดก็ตามที่มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการศึกษาที่ดี และมีความรู้ การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ยาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า ประเทศใดมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนอดอยาก ขาดการศึกษา การซื้อสิทธิ์ขายเสียงก็มักจะทําได้ง่าย ดังนั้น จะเห็นว่าการพัฒนาทางการเมืองจึงมักจะถูกเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเสมอโดยทั้ง 2 ตัวแปรมักแยกกันไม่ออก เป็นต้น

การกล่อมเกลาปลูกฝังผู้คนในสังคมเพื่อให้มีวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมตามตัวชี้วัดการพัฒนา ที่แท้จริง มีดังนี้

1 ภาครัฐจะต้องมุ่งเน้นสร้างประชาธิปไตยทางการเมือง และประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจโดยเร็ว รวมทั้งมีระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมคุ้มครองความมั่นคงให้แก่ประชาชน ไม่ใช่ มีไว้เพื่อให้พรรคการเมืองบางพรรคนําไปใช้เป็นเงื่อนไขกับประชาชน เพื่อนําไปใช้เป็นนโยบายประชานิยมในการนําตนเข้าไปสู่อํานาจ หรือชื่อเวลาให้ตนอยู่ในอํานาจเท่านั้น

2 ภาครัฐจะต้องรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน เพื่อส่งเสริมในเรื่องการสร้างจิตสํานึกทางการเมือง วัฒนธรรม ค่านิยม การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเรียนรู้ประชาธิปไตย ร่วมกันระหว่างพลเมือง โดยเฉพาะชาวบ้านในชนบท ชนชั้นกลางในเมือง นิสิตและนักศึกษา

3 เปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยมีกฎหมายรองรับ อีกทั้งรัฐบาล ภาครัฐ และภาคการศึกษาจะต้องส่งเสริมและผลักดันให้มีกิจกรรมเพื่อสังคมของนักเรียน นักศึกษาตามมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างจิตสํานึกทางการเมืองที่ดีให้แก่ประชาชนและสังคม

4 ในด้านภาคการศึกษาจะต้องปลูกฝังจิตสํานึกทางการเมือง โดยมีวิชาสิทธิตามรัฐธรรมนูญสิทธิพลเมือง และอุดมการณ์ทางการเมือง บรรจุในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ

5 ในด้านภาคกฎหมายจะต้องมีกฎหมายป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงที่เข้มข้น ผู้ที่ซื้อสิทธิหรือขายเสียงต้องมีโทษความผิดที่หนัก เพื่อป้องกันวัฒนธรรมการซื้อสิทธิขายเสียง

6 ภาครัฐและภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป กํากับ และรณรงค์จริยธรรมคุณธรรมทุกภาคส่วนในสังคมไทย โดยไม่ฝากความหวังไว้กับองค์กรอิสระ มากกว่าการสร้างภาค พลเมืองให้เข้มแข็ง เป็นต้น

 

ผู้ที่จะทําหน้าที่เป็นผู้ปลูกฝังกล่อมเกลา (Change agents) ได้แก่

– ครอบครัว การสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อในการสร้างความรู้ทางการเมือง โดยครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยแรกในการฝึก ให้เด็กได้รับรู้สภาพและเป็นการปูพื้นฐานทางการเมือง นักรัฐศาสตร์เปรียบเทียบได้ให้ความสําคัญกับครอบครัว และบทบาทของครอบครัวในการสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กเป็นอย่างมาก ซึ่งครอบครัวจะช่วยในเรื่องการหล่อหลอมทางการเมืองได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ

1) ครอบครัวจะช่วยถ่ายทอดทัศนะของพ่อแม่ต่อเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้สภาพ ความคิดและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นจากทัศนคติของพ่อแม่ เช่น ถ้าพ่อแม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือเปิดโอกาสและพูดคุยการเมืองให้กับเด็กแล้ว เด็กคนนั้นก็จะได้รับรู้และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ แม้ว่า บางครั้งในสังคมไทยอาจจะมีบางครอบครัวที่มีความเผด็จการกับลูก ๆ อยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมี ความเป็นประชาธิปไตยมากกวาเผด็จการ

2) พ่อแม่จะมีลักษณะเป็นตัวแบบให้กับเด็ก โดยเด็กจะมีการเลียนแบบจากสิ่งที่ พ่อแม่กระทํา เช่น พฤติกรรมในการกิน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อื่น ความมีน้ำใจ การมีส่วนร่วม การมีนิสัย ชอบการเลือกตั้ง ชอบแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เด็กจะเรียนรู้และตามแบบจากพ่อแม่

3) บทบาทและสิ่งที่เด็กคาดหวังที่จะกระทําเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จะมีความสัมพันธ์กับ การแสดงออกทางการเมืองของเขา นั่นคือ เด็กจะแสดงออกทางการเมืองอย่างรก็ขึ้นอยู่กับความหวังที่เขาได้รับ เมื่อครอบครัวสั่งสอน เขาอาจมีเป้าหมายที่จะเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเขาเติบโต ขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลผูกพันกับระบบการเมืองแทบทั้งสิ้น

– โรงเรียน นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างให้เกิดสังคมที่ดี และเป็นหน่วยสร้าง “การกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งโดยทั่วไปเด็กมีโอกาสได้รับอิทธิพล ในการเรียนรู้จากโรงเรียนค่อนข้างมาก เนื่องจากระยะเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมีเวลานาน จึงเป็นผลให้ความรู้ ทางการเมืองที่เด็ก ๆ จะได้รับมีการสะสมมานานจนสามารถฝังอยู่ในความทรงจํา

–  ในสังคมไทยนั้นระบบโรงเรียนและการจัดการเรียนการสอนนับว่ามีอิทธิพลต่อความเชื่อ ของเด็กมาก เด็กมักจะเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ เนื่องจากมีโอกาสอยู่ในโรงเรียนมากกว่าที่บ้าน เมื่อเด็กมีการศึกษามากขึ้นโอกาสที่เขาจะได้รับรู้ความเป็นไปทางการเมืองก็จะมากกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา เนื่องจากเขาสามารถศึกษา เพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ บทความ การสนทนาทางวิชาการ ฯลฯ ซึ่งคนที่ด้อยการศึกษาอาจไม่ได้รับ ในรายละเอียดได้มากเท่ากับคนที่มีการศึกษา นอกจากนี้โรงเรียนยังช่วยในการสร้างค่านิยมของระบอบประชาธิปไตย ให้เยาวชนผูกพันกับระบอบประชาธิปไตยได้อีกด้วย

– สื่อมวลชน ชน โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ ต่างก็เข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันของประชาชนมากขึ้น ซึ่งในการสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการอบรมหรือเป็นช่องทางในการเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นการนําเสนอข้อมูลของสื่อมวลชนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อ การพัฒนาการเมืองของไทย เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและนําเสนอข่าวสารที่บิดเบือน จากข้อเท็จจริงแล้ว อาจทําให้ประชาชนหรือเยาวชนสับสนกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นได้

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษายกแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาประชาธิปไตย (ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ) ขึ้นมาอธิบายพร้อมทั้งอภิปรายว่าแนวคิดดังกล่าวมีจุดเด่นและจุดด้อยอย่างไรบ้าง โดยสามารถเลือกแนวคิดของนักวิชาการคนใดคนหนึ่งขึ้นมาอธิบายก็ได้

แนวคําตอบ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริบทของการแข่งขันระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตย กับโลกสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ส่งผลให้นักวิชาการและผู้กําหนดนโยบายในโลกตะวันตก สนใจ “การพัฒนาทางการเมือง” (Political Development) ในประเทศกําลังพัฒนา โดยเน้นที่การศึกษาเงื่อนไขพื้นฐานของการพัฒนาประชาธิปไตย

ลูเซียน พาย (Lucian Pye) ได้ให้คําจํากัดความในเรื่องการพัฒนาทางการเมืองไว้ดังนี้

1 การพัฒนาทางการเมืองเป็นเงื่อนไขที่จําเป็นในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ การเมือง ที่พัฒนาแล้วเปรียบเสมือนปัจจัยสําคัญที่จะเอื้อต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ ช่วยให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของ ประชากรเพิ่มขึ้น ซึ่งความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในระบบการเมืองที่แตกต่างกัน และจากข้อเท็จจริง ที่ปรากฏให้เห็นในหลายประเทศยังชี้ให้เห็นว่า หากระบบการเมืองมีการพัฒนาสูงก็จะส่งเสริมให้เกิดความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ความสําเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจจึงขึ้นอยู่กับระดับของการพัฒนาการเมืองของแต่ละสังคม

2 การพัฒนาทางการเมืองเป็นการเมืองของสังคมอุตสาหกรรม กล่าวคือ การเมืองในประเทศ อุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย หรือเผด็จการจะมีแบบแผนของพฤติกรรมของ สมาชิกในสังคมที่มีเหตุผล รัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อความสงบสุขและความกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งการเมือง ของสังคมอุตสาหกรรมนั้นนับได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสําเร็จในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี โดยเฉพาะในปัญหาหลักคือ การแจกแจงความกินดีอยู่ดีให้กับสมาชิกอย่างเป็นธรรมกว่าสังคมอื่น ๆ จะเห็นว่า สังคมที่พัฒนาจนก้าวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมได้นั้น ระบบการเมืองจะต้องมีระดับการพัฒนาสูง ดังนั้นลักษณะ ระบบการเมืองของอุตสาหกรรมก็คือ รูปธรรมของระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วนั่นเอง

3 การพัฒนาทางการเมืองเป็นความทันสมัยทางการเมือง กล่าวคือ การพัฒนาทางการเมือง จะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองให้มีความทันสมัย (Folitical Modernization) นั้นคือ จะต้องมีการแบ่งโครงสร้างทางการเมืองให้มีความแตกต่างซับซ้อน สร้างสรรค์ให้เกิดเอกภาพในอํานาจทางการ ปกครองและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง

4 การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องรัฐ-ชาติ แนวคิดนี้เกิดจากความเห็นที่ว่า แนวปฏิบัติทาง การเมืองที่เกิดขึ้นอันถือได้ว่ามีลักษณะที่พัฒนาแล้วนั้นจะสอดคล้องกับมาตรฐานของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในรัฐ-ชาติ ยุคใหม่ กล่าวคือ รัฐชาติเหล่านี้สามารถที่จะปรับตัวและดํารงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังสร้างลัทธิชาตินิยมอันถือว่าเป็นเงื่อนไขที่จําเป็นต่อการพัฒนาการเมือง ซึ่งจะนําไปสู่ความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันในชาติ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การพัฒนาการเมืองก็คือการสร้างชาติ (Nation Building) นั้นเอง

5 การพัฒนาทางการเมืองเป็นการพัฒนาในเรื่องกฎหมายและการบริหาร แนวคิดนี้มุ่งที่ การพัฒนาสถาบันบริหารและพัฒนาเครื่องมือของสถาบันไปพร้อม ๆ กัน นั่นคือ การพัฒนากฎหมายเพื่อสร้าง ความสงบเรียบร้อยและประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เละชี้ให้เห็นว่าระบบบริหารเพื่อ ตอบสนองความต้องการของประชาชนจะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับระดับของการพัฒนา การเมือง ระบบการเมืองที่มีระดับการพัฒนาสูงจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของการบริหาร

ตลอดจนชี้ให้เห็นว่าระบบกฎหมายจะได้รับการพัฒนาเพื่อดํารงความยุติธรรมของสังคม และตอบสนองความ ต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ภายใต้ระบบการเมืองที่มีการพัฒนา

6 การพัฒนาทางการเมืองเกี่ยวพันกับการสร้างมวลชนและการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง แนวคิดนี้เห็นว่าการฝึกฝนและการให้ความสําคัญกับสมาชิกของสังคมในฐานะเป็นราษฎร ตลอดจนการส่งเสริม ให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นเป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งต่อรัฐ-ชาติใหม่ และเป็นปัจจัยที่สําคัญต่อการพัฒนา ทางการเมือง เพราะหัวใจสําคัญของแนวคิดนี้ก็คือ อํานาจทางการเมืองเป็นของประชาชน ดังนั้นประชาชน จะต้องแสดงบทบาทในการควบคุม กํากับ และตรวจสอบระบบการเมือง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบการเมืองที่ส่งเสริม ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองดังกล่าวคือระบบการเมืองที่พัฒนา หรืออาจกล่าวได้ว่าแนวทางการพัฒนา ทางการเมืองก็คือ การส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างกว้างขวางและทั่วถึง

7 การพัฒนาทางการเมืองเป็นแนวทางในการสร้างประชาธิปไตย แนวคิดนี้ค่อนข้างจะแคบ เนื่องจากเห็นว่าการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปแบบเดียวคือ “การสร้างประชาธิปไตย” ทําให้มีนักวิชาการหลายท่าน วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคํานิยามที่ลําเอียง มุ่งเน้นที่จะยัดเยียดค่านิยมทางการเมืองแบบตะวันตกให้กับประเทศด้อยพัฒนา ในขณะที่ค่านิยมของตนเองไม่เอื้อประโยชน์ให้เลย แนวคิดนี้สรุปอย่างชัดเจนว่าการพัฒนาทางการเมืองก็คือ การพัฒนาระบบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ยิ่งระบบการเมืองเป็นประชาธิปไตยมากเท่าใด ก็ย่อมแสดงว่ามีการพัฒนามากขึ้นเท่านั้น

8 การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของความมีเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงที่เป็นระเบียบ แนวคิดนี้มีความลําเอียงในแง่ของค่านิยมแบบประชาธิปไตยน้อยลง โดยมองว่าลักษณะการเมืองที่พัฒนาแล้วจะ เกิดขึ้นในระบบการเมืองใดก็ได้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ ซึ่งเห็นว่าประชาธิปไตยนั้นไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และไม่อาจก่อให้เกิด เสถียรภาพทางการเมืองได้ ดังนั้นการพัฒนาทางการเมืองในแง่นี้จึงเป็นลักษณะของการดําเนินชีวิตทางการเมืองที่ไมวุ่นวายและเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน แนวคิดนี้สรุปอย่างชัดเจนว่าลักษณะของระบบการเมืองที่มีการ เปลี่ยนแปลงตามกฎเกณฑ์กติกา จะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งนี้เพราะประชาชนจะเกิดความเชื่อมั่น จึงเป็นปัจจัยสําคัญต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ

9 การพัฒนาทางการเมืองเป็นเรื่องของการระดมทรัพยากรและอํานาจ กล่าวคือ ถ้าระบบ การเมืองใดสามารถที่จะระดมทรัพยากรและอํานาจเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถ ทําให้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนของระบบ และระบบเองก็สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ต่าง ๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งสามารถแจกแจงทรัพยากรเหล่านี้อย่างเป็นธรรม โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนแล้ว ระบบการเมืองนั้นถือได้ว่าพัฒนาแล้ว

10 การพัฒนาทางการเมืองเป็นแง่หนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม กล่าวคือ การพัฒนาทางการเมืองนั้นจะผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การที่ด้านใดด้านหนึ่งของ สังคมแปรเปลี่ยนไปจนกระทบถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ถือว่าเป็น ลักษณะหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทั้งปวงของสังคม ดังนั้นในการศึกษาการพัฒนาทางการเมืองจึงจําเป็นต้อง ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปพร้อมกันด้วย

จุดเด่นและจุดด้อย เช่น

– คําจํากัดความการพัฒนาทางการเมืองดังกล่าวนั้นไม่ได้มีทฤษฎีร่วมกัน เพราะในบางกรณีจะมีความหมายเพียงว่า รัฐบาลได้ปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น ดังนั้นปัญหาเรื่องการพัฒนาการเมืองจึงแตกต่างกันตามความแตกต่างกันทางปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

– แนวคิดดังกล่าวมีลักษณะเอนเอียงไปในทิศทางแบบตะวันตกหรือประเทศในฝ่ายเสรีประชาธิปไตย อีกทั้งยังเน้นที่การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอันเป็น รูปแบบหนึ่งของการเมืองแบบประชาธิปไตย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเราอาจนํามา สรุปอย่างผิด ๆ ได้ว่าการเมืองในประเทศเผด็จการย่อมไม่ถือว่าเป็นการเมืองที่พัฒนา

– แนวคิดดังกล่าวไม่ได้ระบุว่านิยามใดผิดหรือถูกมากกว่านิยามอื่น ๆ เป็นแต่ เพียงต้องการจะเน้นถึงตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเมืองที่สําคัญ ๆ ตามแนวทัศนะของนักวิชาการในสํานักต่าง ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้แต่ละทัศนะจึง มีอคติอยู่บ้างเป็นธรรมดา เช่น มองแต่เพียงว่าการเมืองที่พัฒนาแล้วเป็น การเมืองแบบประชาธิปไตย เป็นต้น

 

ข้อ 4 ให้นักศึกษาหยิบยกแนวทางการศึกษา (Approach) หรือแนวคิดทฤษฎีของการเมืองเปรียบเทียบแนวทางใดแนวทางหนึ่งหรือทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาอธิบายโดยละเอียด และให้ยกตัวอย่างการนําแนวทางดังกล่าวไปใช้ในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในประเด็นใดประเด็นหนึ่งก็ได้มาพอเป็นที่เข้าใจ

แนวคําตอบ

แนวคิดทฤษฎีความทันสมัยและแนวทางการศึกษา

ทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) มีพื้นฐานความคิดในเรื่องการวิวัฒนาการของการผลิตและการค้าแบบทุนนิยม โดยยึดถือแนวทางการพัฒนาแบบแนวเส้น (Linear) ความคิดดังกล่าวเริ่ม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยประเทศตะวันตกนั้นมีความเชื่อว่า “ความเฟื่องฟู” หรือ Civilization จะเกิดขึ้นได้ก็ จากการพัฒนาตามแนวดังกล่าว มีการสะสมทุน และการพัฒนาด้านเทคโนโลยี

ในด้านการเมือง ทฤษฎีความทันสมัยจะมุ่งเป้าหมายไปที่ระบบประชาธิปไตยแบบเสรี (ทั้ง ระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดี ระบบกึ่งทั้งสองแบบ) โดยเน้นการพัฒนาทางสถาบันที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐสภา พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ การมีส่วนร่วมทางการเมือง และการแข่งขันทางการเมือง ซึ่งบางครั้งทฤษฎี ดังกล่าวจะผูกพันกับลัทธิชาตินิยมของประเทศที่เกิดใหม่ทั้งในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา ความทันสมัย

จะผูกพันกับการสร้างระบบอุตสาหกรรม การเน้นความเป็นอิสระของสถาบัน ความชํานาญเฉพาะอย่าง และเน้นอํานาจหน้าที่และการควบคุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน เช่น การปฏิวัติ การรัฐประหาร และความรุนแรง ทางการเมือง โดยเหตุผลที่ว่าจะทําให้สังคมขาดเสถียรภาพ

ทฤษฎีความทันสมัยนั้นให้ความสําคัญกับการศึกษาเชิงเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง โดยจะศึกษาถึงสภาพเงื่อนไขที่ย่านวยและไม่อํานวยต่อการปรับ และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย ซึ่งการศึกษาอาจมุ่งที่สถาบันทางการเมือง โดยวิเคราะห์ในเชิงพฤติกรรมของสถาบันและองค์กรว่าจะมีอุปสรรคหรือปัจจัยในการเอื้ออํานวยต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

การศึกษาแนวนี้มุ่งที่ “หน่วยการวิเคราะห์” (Unit of Analysis) แม้ว่าการวิเคราะห์ความ ทันสมัย (หรือไม่ทันสมัย) ของประเทศกําลังพัฒนาจะให้ความสําคัญกับการวิเคราะห์ในหลายระดับ เช่น ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ระดับโครงสร้าง ระดับหน้าที่ หรือแม้แต่ระดับระหว่างประเทศก็ตาม นักทฤษฎีความ ทันสมัยก็ให้ความสําคัญในการศึกษารัฐหรือระดับชาติ แม้ว่าหน่วยของการวิเคราะห์จะกว้างไม่สามารถจะหา ข้อสรุปอะไรลงไปได้อย่างชัดเจนก็ตาม หน่วยย่อยของการวิเคราะห์ส่วนมากก็จะดูกระบวนการการพัฒนา ระดับของอุตสาหกรรม การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสมเหตุสมผลของระบบราชการ ซึ่งความแตกต่างทาง โครงสร้างเหล่านี้ล้วนเป็นหน่วยในการวิเคราะห์ที่นักรัฐศาสตร์ต่างเน้นในการศึกษา

ไอเซ็นสตาดท์ (Eisenstadt) ได้ให้ข้อสรุปไว้ว่า การศึกษาความทันสมัยมีประเด็นที่ศึกษา อยู่ 2 ประการ ได้แก่

1 ศึกษาถึงแบบแผนของความเปลี่ยนแปลง เช่น เปลียนแปลงระดับโครงสร้าง ระดับ สถาบัน และในทุก ๆ ระดับของสังคม

2 ศึกษาถึงแบบแผนของการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ เช่น ความสามารถ ของสถาบันในการที่จะดูดซับการเปลี่ยนแปลงระยะยาวได้มากน้อยแค่ไหน ปัญหาของการตอบสนอง ตลอดจน การเรียกร้องของส่วนต่าง ๆ

นอกจากนี้ ทฤษฎีความทันสมัยยังมีกรอบการศึกษาเชิงเปรียบเทียบ “เชิงคู่” (Dichotomous) ซึ่งมีโครงสร้างการศึกษามาจากกรอบของนักทฤษฎีพัฒนาในศตวรรษที่ 19 คือกรอบการมอง “สังคมประเพณี สังคมทันสมัย” ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจความเป็นมาของการศึกษาและแนวทางการศึกษาความทันสมัย ตลอดจนอุดมการณ์ของนักทฤษฎี

การศึกษาเปรียบเทียบความทันสมัย “เชิงคู่” ได้ถูกนํามาเป็นแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ สังคมและระบบวัฒนธรรมทางสังคม โดยการวิเคราะห์เชิงคู่นั้นได้ถูกนํามาใช้วิเคราะห์สังคมในเชิงกว้างเพื่อดู ระดับของการพัฒนา การศึกษาเชิงคู่เริ่มจากการมองเปรียบเทียบสรรพสิ่งตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไป เช่น สังคมเมือง สังคมชนบท, ชาวบ้าน-ชาวเมือง, เกษตรกรรม-อุตสาหกรรม, การหยุดนิ่ง-การเคลื่อนไหว เป็นต้น

การศึกษาในเชิงคู่นี้มีมานับศตวรรษ เช่น การศึกษาของเซอร์เฮนรี่ เมนท์ (Sir Henry Maine) ศึกษากฎหมายโบราณในปี ค.ศ. 1861 และได้หยิบยกสังคม “เชิงคู่” มาเปรียบเทียบ โดยสังคมแบบแรกเรียกว่า – สังคมสถานภาพ (Status) ส่วนสังคมอีกแบบเรียกว่า สังคมที่มีสัญญา (Contract) โดยสรุปว่า การที่จะมีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมในระดับที่ด้อยไปสู่สังคมพัฒนาที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

เอมิลี่ เดอร์คาย (Emile Durkheim) นักสังคมวิทยา ก็เคยจัดสังคมออกเป็นคู่เช่นเดียวกัน นั่นคือ สังคมที่เรียกว่า “ Mechanical” และสังคม “Organic” โดยสังคมแบบแรกเป็นสังคมชนบทมีการรวมตัว ไม่มาก ส่วนสังคมแบบที่สองเป็นสังคมที่มีการแบ่งงานที่ซับซ้อน มีความแตกต่างและความชํานาญเฉพาะอย่าง

ส่วนเฟอร์ดินานด์ ทอนนี่ (Ferdinand Tonnies) ได้สร้างการศึกษา “เชิงคู่” คือ ชุมชน (Gemeinschaft) และสังคม โดยความหมายของ “ชุมชน” คือสังคมชนบท มีความเป็นพี่น้อง และมีศาสนาเป็นองค์ประกอบที่จะผูกพันคนในชุมชนเข้าด้วยกัน ส่วน “สังคม มีลักษณะของสังคมเมือง เช่น มี สถาบันนิติบัญญัติ มติมหาชน ฯลฯ

การศึกษาเชิงคู่ที่มีผลกระทบต่อการศึกษาเชิงพัฒนาการเมืองในปัจจุบัน เช่น งานเขียนของ พาร์สันส์ (Parsons) ในกรอบที่เขาสร้างขึ้นที่เรียกว่า แบบแผนของตัวแปร (Pattern Variable) ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้

 

ตัวอย่างของการศึกษา “เชิงคู่”

สังคมประเพณี (ด้อยพัฒนา)

1 Ascriptive Status : เป็นลักษณะที่ผูกพันกับเชื้อชาติ ศาสนา และครอบครัว มีความ ผูกพันทางสังคมสูง

2 Diffuse Role : บทบาทของคนในสังคมที่ไม่จํากัด คนหนึ่ง ๆ อาจทําหน้าที่ได้หลาย อย่าง เช่น เป็นพระ และเป็นอาจารย์ สอนหนังสือได้พร้อม ๆ กัน

3 Particularistic Value : เป็นลักษณะ |คานียมสังคมประเพณีที่คนมีการกระจุกตัว และมีลักษณะความคิดจํากัดอยู่ในวงแคบ

4 Collectivity Orientation : เป็นลักษณะการอบรมของคนที่ทํางานผูกติดอยู่กับคนอื่น ขาดความเป็นธ์ สระในการสร้างความเป็น เอกเทศ

5 Affectivity :เป็นลักษณะค่านิยมที่ผูกพันกับความรู้สึกในลักษณะพวกพ้อง

 

สังคมทันสมัย (พัฒนา)

1 Achievement Status : เป็นสังคมที่เน้นความสําเร็จเป็นเป้าหมาย ดความสามารถ เป็นหลัก

2 Spectific Role : เป็นสังคมที่คนมีบทบาทเฉพาะ เชน อาชีพครู หมอ ช่างไฟฟ้า ฯลฯ เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่รับผิดชอบ

3 Universalistic Value : เป็นลักษณะที่สังคมทันสมัย ประชาชนจะมีค่านิยมที่กว้างแบบ ครอบจักรวาล

4 Self orientation : เป็นเรื่องของการมองผลประโยชน์ของตัวเองซึ่งจะต้องรับผิดชอบ

5 Effective Neutrality : เป็นความรู้สึกกลาง ๆและเป็นพวกที่ผูกพันอยู่กับวินัย

POL3112 ความคิดทางการเมืองในพุทธศาสนา 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3112 ความคิดทางการเมืองในพุทธศาสนา

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 5 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 3 ข้อ

 ข้อ 1 จงอธิบายลักษณะ ความสําคัญ และแนวคิดทางการเมือง โดยยกตัวอย่างทางเลือกที่สําคัญมา 3 แนวคิด

แนวคําตอบ

ความคิดทางการเมือง คือ ความคิดเห็นและวิสัยทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อการเมืองที่ตนปรารถนา ทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรมในสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความคิดทางการเมืองของมนุษย์มีจุดประสงค์ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดี รัฐที่ดี และการปกครองที่ดีของมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ สรุปได้ว่า ความคิดทางการเมือง คือ สังคมการเมืองที่มนุษย์ปรารถนา ทั้งนี้สามารถแบ่งลักษณะแนวความคิดทางการเมืองออกได้เป็น 6 ยุค ดังนี้

ลักษณะแนวความคิดทางการเมือง

1 ยุคกรีก มีลักษณะแนวความคิดทางการเมือง คือ มีการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยโดยตรง พลเมืองชาวกรีกในนครรัฐเอเธนส์ทุกคนมีสิทธิ และมีส่วนในการปกครองและกิจกรรมของรัฐของตน การสนทนาวิพากษ์วิจารณ์กิจกรรมทางการเมืองเป็นสิ่งธรรมดาและเป็นกิจวัตรประจําวันของพลเมืองชาวกรีก ในนครรัฐเอเธนส์ สถาบันการปกครองเกือบทุกสถาบันเปิดโอกาสให้พลเมืองทุกคนมีส่วนร่วมโดยเสมอภาคกัน เสรีภาพในด้านความคิดเห็นทางการเมืองมีอย่างกว้างไพศาล เพราะชาวกรีกมีทัศนะว่า เป็นหน้าที่ของพลเมือง ทุกคนที่จะต้องเอาใจใส่ในกิจการบ้านเมือง เพราะ “เขาคือส่วนหนึ่งของรัฐ และรัฐคือส่วนหนึ่งของตัวเขา”

2 ยุคโรมัน มีลักษณะแนวความคิดทางการเมือง คือ ชาวโรมันจะเป็นนักปฏิบัติหรือ นักถ่ายทอดความคิด หลักปฏิบัติที่สําคัญของชาวโรมัน คือ การสร้างสถาบันทางกฎหมายอย่างสมบูรณ์และดีที่สุด ชาวโรมันพยายามดัดแปลงกฎหมายให้อยู่ในรูปที่สามารถนําไปใช้ได้จริง ๆ ชาวโรมันแสดงให้เห็นว่า มนุษย์เป็นผู้มีอํานาจทางการเมืองที่แท้จริงไม่ใช่พระเจ้า ดังนั้นชาวโรมันจึงถือว่าผู้ปกครอง คือ ผู้ที่รับอํานาจจากประชาชน ประชาชนจึงเปรียบเสมือนหน่วย ๆ หนึ่งในทางกฎหมายที่จะล่วงละเมิดมิได้

3 ยุคมืดหรือยุคกลาง มีลักษณะแนวความคิดทางการเมือง คือ ผู้คนมีความเคร่งครัด และศรัทธาในศาสนาคริสต์มาก จนแทบไม่มีการพัฒนาทางด้านวัตถุเช่นเดียวกับยุคที่ผ่านมา เนื่องจากโรมันถูกทําลายโดยพวกอนารยชน กฎหมายก็ถูกทําลายไปพร้อมกับอารยธรรมโรมันด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการจัดระเบียบ สังคมขึ้นใหม่ โดยการจัดระเบียบสังคมใหม่นี้มีความสําคัญ 2 ประการ คือ ศาสนาคริสต์ และระบบฟิวดัล

4 ยุคฟื้นฟู มีลักษณะแนวความคิดทางการเมือง คือ มีความเจริญทางด้านวัตถุ และความพยายามในการจัดระเบียบสังคมในปลายยุคกลาง ทําให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแนวความคิดของคน จากความศรัทธาในศาสนาไปสู่ความนิยมในตัวกษัตริย์ โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในยุคฟื้นฟู สรุปได้ดังนี้

1) การเกิดแนวความคิดฟื้นฟูความรู้ทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใหม่เรียกว่า Renaissance

2) การพบดินแดนใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคนมากขึ้น

3) การเสื่อมลงของศาสนาคริสต์ และการปฏิรูปศาสนา (Reformation) ทําให้ศาสนาคริสต์ต้องแบ่งเป็นนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์

4) การนําวัตถุแปลก ๆ ที่มาจากตะวันออกเข้ามาใช้ในชีวิตประจําวันมากขึ้น ทําให้ผู้คนพยายามหาโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิม ชาวนาเริ่มหันมาทําการค้าในขณะที่พ่อค้าเริ่มขยายเส้นทางการค้าและสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาขายมากขึ้น

5) การสร้างระบบกฎหมายใหม่และการพัฒนาระบบเงินตรา

6) การเกิดขึ้นของวิทยาการและศิลปะสมัยโรมันที่เน้นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์และหลักการประชาธิปไตยสมัยกรีก

7) การเสื่อมของระบบฟิวดัล อาณาจักรมีอํานาจและทวีความสําคัญเหนือศาสนจักรมากขึ้น

5 ยุคสมัยใหม่ มีลักษณะแนวความคิดทางการเมือง คือ การที่ประชาชนลุกขึ้นมา ต่อต้านอํานาจกษัตริย์ ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 17 คือ สงครามกลางเมืองในช่วง ระหว่างปี ค.ศ. 1642 – 1689 ระหว่างพระเจ้าชาลส์ที่ 1 กับโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ซึ่งได้ทําให้สิทธิส่วนบุคคลได้ถูก วางรากฐานไว้อย่างดีในทางการเมือง และได้มีความพยายามนําหลักของเหตุผลและความจริงมาใช้ในทาง การเมืองด้วย

สรุปได้ว่า ลักษณะแนวความคิดทางการเมืองจากกรีกถึงสมัยใหม่นั้น มีการแปรเปลี่ยนตาม สภาพสังคมในแต่ละสมัย กล่าวคือ ยุคกรีกโบราณมีแนวความคิดแบบประชาธิปไตยแบบทางตรงที่เน้นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองได้รับการยกย่อง ยุคโรมันมีแนวความคิดทางการเมืองที่มีกฎหมายในการอยู่ร่วมกัน ยุคมืด หรือยุคกลางมีแนวความคิดทางการเมืองที่ถูกอธิบายบนฐานของศาสนาคริสต์เพียงอย่างเดียว ยุคฟื้นฟู มีแนวความคิดทางการเมืองที่เกี่ยวพันกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และกษัตริย์กลับมามีอํานาจมากขึ้นอีกครั้ง และในยุคสมัยใหม่มีแนวคิดทางการเมืองที่ให้สิทธิทางการเมืองแก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้น

ความสําคัญของความคิดทางการเมือง

ความคิดทางการเมืองเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ของการเมืองโลกในแต่ละยุคสมัยของ สังคม ดังนั้นความคิดทางการเมืองจึงมีความสําคัญอย่างน้อย 5 ประการ ดังนี้

1 มีส่วนช่วยในการทําให้เข้าใจประวัติศาสตร์ เพราะจะทําให้ผู้ที่ศึกษาเข้าสู่บรรยากาศ ความคิดในสมัยก่อน ช่วยให้เข้าใจถึงพลังผลักดันที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ สําคัญ ๆ เพราะเหตุที่ว่าปรากฏการณ์ในอดีตเป็นผลมาจากการกระทําของมนุษย์ จึงเป็นการจําเป็นที่จะต้อง ทราบถึงความคิดที่ชักจูงให้เกิดการกระทํานั้น เช่น การที่จะเข้าใจถ่องแท้ถึงประวัติศาสตร์โลกสมัยกลาง (Middle Age) นั้น จําเป็นต้องทราบถึงการพิพาทแย่งความเหนือกว่าในการปกครองคนระหว่างจักรพรรดิกับ สันตะปาปา เป็นต้น

2 ความรู้ในความคิดทางการเมืองแห่งอดีตนั้นมีส่วนช่วยให้เข้าใจถึงการเมืองในสมัย ปัจจุบัน เพราะปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันล้วนเกิดขึ้นจากสถานการณ์ในอดีตหรืออาจเทียบเคียงได้กับ ปรากฏการณ์ในอดีต และหลักการเมืองต่าง ๆ ที่นํามาใช้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการของความคิดทางการเมือง สมัยก่อน เช่น ทฤษฎีการแบ่งแยกอํานาจในระบบการปกครองของสหรัฐอเมริกามีรากฐานมาจากความคิดของ เมธีการเมืองสมัยกลาง เป็นต้น

3 มีความเข้าใจในนโยบายและการปรับปรุงโครงร่างทางการปกครอง เพราะประเทศทุกประเทศต้องมีหลักการอันเกิดจากปรัชญาการเมืองใดการเมืองหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่นํารัฐบุรุษและประชาชนในการ วางนโยบายหรือปฏิรูปการปกครอง ความก้าวหน้าหรือประสบความสําเร็จของระบบการเมืองในประเทศเป็นผลมาจาก การวางโครงร่างการปกครองอยู่บนทฤษฎีการเมืองที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ และความต้องการของประเทศนั้น

4 ยอร์ช แคทเท็บ กล่าวถึงความสําคัญของความคิดทางการเมืองต่อชีวิตทั่วไปของ มนุษย์ไว้ 3 ประการ คือ

1) ต้องการคําแนะนําซึ่งอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้าง เช่น ควรวางความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานหรือควรกระจายอํานาจหน้าที่หรือควรกําหนดความรับผิดชอบอย่างไร

2) ต้องการความถูกต้องเพื่อตัดสินเมื่อเกิดปัญหาหรือความไม่เข้าใจระหว่างบุคคล

3) ต้องการทักษะ (Skill) ในการทํานายเหตุการณ์ในอนาคตได้ถูกต้องหรือใกล้เคียง

5 ทําให้เป็นบุคคลที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี (Good Human Relations) เพราะเหตุว่า ทฤษฎีการเมืองสอนให้รู้จักความหลากหลายของธรรมชาติหรือลักษณะนิสัยใจคอคน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความคิดทางการเมืองมีความสําคัญดังประเด็นดังกล่าวข้างต้น เช่น มีส่วน ช่วยในการทําให้เข้าใจประวัติศาสตร์ หรือมีส่วนช่วยให้มีความเข้าใจนโยบายและการปรับปรุงโครงร่างทางการ ปกครอง อีกทั้งความคิดทางการเมืองมีความสําคัญต่อมนุษย์ในสองมิติหลัก คือ มิติในเรื่องส่วนตัวและในเรื่องสาธารณะ

แนวความคิดทางการเมืองที่สําคัญ (3 แนวคิด) มีดังนี้

1 ชาตินิยม (Nationalism) ตามรากศัพท์ภาษาละตินมีอยู่ 2 ความหมาย ได้แก่

1) มาจากคําว่า “Nasci” แปลว่า “การเกิดหรือกําเนิด” (To be born) และ

2) มาจากคําว่า “Natio” แปลว่า “เป็นของ” หรือ “มาจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง โดยการเกิด” (Belonging together by birth or place birth)

ในปี ค.ศ. 1789 หลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศส (The French Revolution) คําว่า “ชาติ” หมายถึง องค์รวมของประชาชน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากองค์รวมอื่น ๆ องค์รวมนี้ถูกมองว่าเป็นดุจบุคคลขนาดใหญ่ คนหนึ่ง ซึ่งมีเจตจํานงเดียว มีเป้าประสงค์ร่วมเพียงหนึ่งเดียว และที่สําคัญคือเป็นที่มาของอํานาจอธิปไตย

ความหมายลึกลงไปในทางการเมืองที่สืบย้อนไปถึง ค.ศ. 1712 – 1778 รุสโซ (Jacques Rousseau) ได้กล่าวถึง “ชาติ” ว่าหมายถึง กลุ่มบุคคลที่ผูกพันอยู่ด้วยกัน โดยถือเกณฑ์การเป็นพลเมือง (Citizenship) ของหน่วยหรือสังคมการเมืองเดียวกัน และในยุโรปได้นํามาใช้จนทําให้บทบาททางการเมืองมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างสูง เช่น การแต่งเพลงประจําชาติ (National Anthems) การมีธงชาติประจําชาติ (National Flag) เป็นต้น วิธีการดังกล่าวเป็นการส่งผ่านหรือกระตุ้นให้คนในประเทศนั้นเกิดความรักชาติของตน

2 อนุรักษนิยม (Conservative) ความหมายโดยทั่วไปของคําว่า “อนุรักษนิยม” หมายถึง การรักษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้มิให้ถูกแตะต้อง (Keeping something intact) ในสมัยกรีกโบราณอุดมการณ์อนุรักษนิยม เห็นได้จากอุดมการณ์ทางการเมืองของ “โพลโต” ที่เสนอว่าผู้ที่สามารถรักษาระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางสังคมได้ คือ พวกปัญญาชนชั้นสูงอย่างเดียวเท่านั้น หรือที่เพลโตเรียกว่า “ราชาปราชญ์” (Philosopher King)

ในราวศตวรรษที่ 18 คําว่า “อนุรักษนิยม” หมายถึง อุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการ โจมตีแนวความคิดของเสรีนิยมและสังคมนิยม ซึ่งเป็นผลผลิตของแนวความคิดทางการเมืองในยุครู้แจ้งที่เชื่อ ในหลักการของเหตุผล

เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) คือ คนแรกที่ใช้อุดมการณ์อนุรักษนิยมต่อต้าน การกระทําทางการเมืองที่มีลักษณะเสรีนิยมและสังคมนิยม คือ การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 โดยได้เขียน หนังสือชื่อ “ข้อคํานึงการปฏิวัติ” เพื่อเป็นการโต้กลับซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติฝรั่งเศส โดยแนวคิดอนุรักษนิยมที่เบิร์กเสนอ คือ การมุ่งรักษาแบบแผนประเพณีและสถาบันพร้อม ๆ กับการต่อต้าน การปฏิวัติ หรือความพยายามที่จะเปลี่ยนสังคมแบบถอนรากถอนโคน เพราะต้องการรักษาไว้ซึ่งแบบแผน แบบเก่าที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้นและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ ๆ ในสังคมเสมอโดยเฉพาะ การปฏิวัติ หรือถ้าต้องมีการเปลี่ยนแปลงพวกอนุรักษนิยมก็ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ และค่อยเป็นค่อยไป

(3) สตรีนิยม (Feminism) ถือกําเนิดในประเทศฝรั่งเศสและเริ่มปรากฏใช้ใน ค.ศ. 1890 แนวคิดของสตรีนิยมในช่วงนี้อยู่บนฐานของความเชื่อว่าด้วยความเสมอภาคและความเป็นอิสระของเพศหญิง เนื่องจากใน ค.ศ. 1840 และ ค.ศ. 1850 มีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมกัน ระหว่างชายกับหญิง โดยการเคลื่อนไหวนี้ได้ถูกเรียกว่าเป็นคลื่นลูกแรก (First Wave) ของสตรีนิยม

ส่วนในภาษาอังกฤษคําว่า “สตรีนิยม” คือ “Feminist” ซึ่งอุดมการณ์ของคํานี้ คือ อุดมการณ์ ที่พยายามส่งเสริมและยกระดับสถานภาพและบทบาททางสังคมของผู้หญิงไม่ให้ต่ำต้อยกว่าผู้ชาย

ใน ค.ศ. 1960 เกิดความเคลื่อนไหวของคลื่นลูกที่สองของอุดมการณ์สตรีนิยม คือ การพิจารณาประเด็นปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวกับสตรีจะต้องยกเลิกภายใต้กรอบแนวความคิดที่ถือว่าผู้ชายเป็นศูนย์กลาง ของความถูกต้อง รวมไปถึงเรื่องการเมืองเรียกว่า การปลดปล่อยสตรี (Women’s Liberation Movement)

สาระสําคัญของอุดมการณ์สตรีนิยม คือ การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคแก่ผู้หญิงในทุกด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทัดเทียมกับผู้ชาย โดยเห็นว่าสังคมมนุษย์นับตั้งแต่อดีตตกอยู่ ภายใต้อิทธิพลความคิดผู้ชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) ทําให้ผู้หญิงถูกกีดกัน ไม่ได้รับความเสมอภาคในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง การแสดงความคิดเห็น ทรัพยากร เศรษฐกิจ และสังคม เป็นต้น สตรีนิยมจึงเห็นว่าความแตกต่างระหว่างเพศหญิงกับเพศชายของบุคคลมิได้เป็นเพียงความแตกต่างทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติเท่านั้น หากเป็นความแตกต่างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งมนุษย์ เป็นผู้สร้าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าสรีรวิทยาตามธรรมชาติทางเพศนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในสังคมทั่วไป

 

ข้อ 2 ท่านคิดว่าหลักการรัฐโลกวิสัยเหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่

แนวคําตอบ

หลักการของรัฐโลกวิสัย

หลักการหรือลักษณะสําคัญของรัฐโลกวิสัยมี 4 ประการ ดังต่อไปนี้

1 การไม่บัญญัติศาสนาใดเป็นศาสนาประจําชาติในกฎหมาย คือ การไม่ได้ระบุถึงศาสนา ประจําชาติ ไม่มีการยกศาสนาใดให้มีอภิสิทธิ์เหนือศาสนาอื่นและไม่มีการปกป้องศาสนาใดเป็นพิเศษ

หมายความว่า รัฐไม่ควรใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือต่อการจํากัดเสรีภาพของประชาชน ในการเลือกนับถือศาสนา และในขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงศาสนาอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน

2 กฎหมายต้องให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ประชาชน คือ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในทางการศาสนาควรได้รับอย่างเต็มที่จากรัฐและกฎหมายของรัฐอีกด้วย

หมายความว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิของตนเองแสดงออกและเสนอทางความคิดเห็น เรื่องศาสนาได้โดยไม่มีกฎหมายหมิ่นศาสนาเข้ามาควบคุมและสิทธิของประชาชนในการแสดงออกทางศาสนา ควรได้รับการคุ้มครองจากรัฐอีกด้วย เพราะว่าศาสนาเป็นสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลหรือเป็นเรื่องส่วนตัว

3 รัฐไม่มีการสนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ คือ รัฐไม่มีการใช้งบประมาณ จากเงินภาษีของประชาชนในรัฐไปสนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น พิธีการทางศาสนา เชิงสัญลักษณ์ ประจําศาสนา และกําหนดวันหยุดทางศาสนาในปฏิทินของประเทศ เป็นต้น

4 รัฐต้องไม่ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยเหตุผลทางศาสนา คือ การปฏิบัติของรัฐต่อประชาชน ควรใช้หลักการของเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าเหตุผลทางศาสนา ยิ่งกว่านั้นไม่ควรนําเอาศาสนาใด ศาสนาหนึ่งมาเป็นหลักแล้วนําเอาความคิดนั้นไปจัดการคนต่างศาสนา

หมายความว่า การกระทําความผิดของประชาชนใช้หลักกฎหมายในการตัดสิน การกระทํานั้นไม่ใช้หลักการทางศาสนาเป็นการกําหนดโทษ

ทั้งนี้ จากหลักการรัฐโลกวิสัยดังกล่าวข้างต้นไม่เหมาะสมกับประเทศไทย ด้วยเหตุผลดังนี้

1 ถึงแม้ว่าในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ได้ระบุศาสนาประจําชาติ แต่ก็ได้เอาไปซ่อนผูกไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเนื้อหาระบุว่า “มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก”

2 ถึงแม้ว่าในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไม่ได้ระบุไว้ว่าคนไทยจะต้องนับถือ ศาสนาพุทธ และต้องปฏิบัติตามข้อห้ามของศาสนาพุทธเท่านั้น แต่ประเทศไทยนั้นก็ถือว่ามีศาสนาพุทธเป็น ศาสนาประจําชาติโดยพฤตินัย เช่น มีการออกกฎหมายห้ามขายสุราในวันสําคัญทางพุทธศาสนา

3 มีการกําหนดให้วันสําคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันมาฆบูชา เป็นวันหยุดราชการ เป็นต้น

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ศาสนาพุทธยังคงมีอิทธิพลและผลกระทบต่อการปกครองและชีวิตประจําวันของประชาชนไทย ซึ่งแตกต่างกับหลักการของรัฐโลกวิสัยและความหมายของรัฐโลกวิสัยที่ว่า “รัฐหรือประเทศที่เป็นกลางทางด้านศาสนา ไม่สนับสนุนหรือต่อต้านความเชื่อหรือการปฏิบัติทางด้านศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น รัฐโลกวิสัย จะปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ส่วนใหญ่จะไม่มีศาสนาประจําชาติ หรือหากมี ศาสนาประจําชาติ ศาสนานั้นก็จะมีความหมายทางสัญลักษณ์และไม่มีผลกระทบต่อชีวิตประจําวันของประชาชน ในรัฐที่นับถือศาสนาอื่น”

 

ข้อ 3 จงอธิบายความหมายของคําต่อไปนี้ให้เข้าใจ (เลือกทํา 3 ข้อ)

(1) รัฐ ศาสนา

(2) ประชาธิปไตยทางตรง

(3) สาธารณรัฐ

(4) กษัตริย์

(5) ราชา

(6) จักรพรรดิ

(หมายเหตุ ข้อ (4) – (6) เป็นความหมายตามแนวคิดทางการเมืองเรื่องธรรมราชา)

แนวคําตอบ

(1) รัฐ ในอินเดียโบราณแนวคิดเกี่ยวกับรัฐเป็นแนวคิดของทฤษฎีองคาพยพ คือ รัฐก็มีลักษณะเดียวกันกับองคาพยพของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ จํานวนหนึ่ง ส่วนต่าง ๆ เหล่านี้มีลักษณะ และบทบาทต่างกันแต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน องค์ประกอบของแต่ละส่วนไม่เท่าเทียมกัน โดย องค์ประกอบของรัฐแบ่งเป็น 7 ประการ คือ

1) ผู้ปกครองหรือองค์อธิปัตย์ (Svamin) ซึ่งสําคัญที่สุดและเป็นหัวของรัฐ

2) อํามาตย์ (Amatya)

3) อาณาเขตของรัฐและประชาชน (Rastra หรือ Janapada)

4) เมืองหลวงที่มีป้อมปราการล้อมรอบ (Durga)

5) ท้องพระคลังของพระมหากษัตริย์ (Kosa)

6) กองทัพ (Bala)

7) มิตรและพันธมิตร (Mitra)

ศาสนา ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของศาสนาว่า “ลัทธิความเชื่อของมนุษย์ อันมีหลัก คือ แสดงกําเนิดและความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรม เกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทําตามความเห็นหรือตามคําสั่งสอน ในความเชื่อนั้น ๆ”

สุชีพ ปุญญานุภาพ อธิบายความหมายคําว่า “ศาสนา” ไว้ว่า

1) ศาสนา คือ ที่รวมแห่งความเคารพนับถืออันสูงส่งของมนุษย์

2) ศาสนา คือ ที่พึ่งทางจิตใจ ซึ่งมนุษย์ส่วนมากย่อมเลือกยึดเหนี่ยวตามความพอใจ และความเหมาะสมแก่เหตุแวดล้อมของตน

3) ศาสนา คือ คําสั่งสอน อันว่าด้วยศีลธรรม และอุดมคติสูงสุดในชีวิตของบุคคลรวมทั้งแนวความเชื่อถือและแนวการปฏิบัติต่าง ๆ กันตามคติของแต่ละศาสนา

(2) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เกิดขึ้นในนครรัฐเอเธนส์ของกรีกโบราณ เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว เป็นการปกครองที่พลเมือง (Citizen) ชายทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นผู้ใช้ อํานาจในการปกครองโดยตรงด้วยการประชุมร่วมกัน ทั้งนี้เมื่อพลเมืองชายชาวเอเธนส์อายุ 18 ปีขึ้นไป จะได้เป็นสมาชิกของสภาประชาชนโดยอัตโนมัติ สามารถเข้าไปโหวต ไปอภิปรายแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งจากการที่ พลเมืองชายอายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถเข้าไปโหวต ไปอภิปรายได้ด้วยตนเองนั้น เรียกการปกครองลักษณะแบบนี้ว่า ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

(3) สาธารณรัฐ (Republic) เป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในสมัยสาธารณรัฐโรมัน ซึ่งคําว่า “Republic” มาจากภาษาละติน 2 คํา คือ res + publica ซึ่งหมายความว่า ประชาชน ดังนั้นการปกครอง สาธารณรัฐก็คือ การเอาคนส่วนมากเป็นที่พึ่ง หรือเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง

(4) กษัตริย์ คือ ผู้ทําหน้าที่ปกครอง ในความหมายเดิมจะหมายถึงบุคคลที่มีหน้าที่รบ ป้องกันภัย แก้ไขข้อขัดแย้งให้กับคนอื่น เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสังคมให้ทําหน้าที่เฉพาะเรื่อง ไม่ต้องหา เลี้ยงชีพแต่จะได้รับค่าตอบแทนจากบุคคลที่ตนเองให้ความคุ้มครอง โดยถือเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคนในสังคม

(5) ราชา คือ ผู้ปกครองที่ยุติธรรมที่ปฏิบัติหน้าที่โดยปวงชนพอใจ หรืออาจหมายถึง กษัตริย์ที่ประชาชนพอใจ เป็นที่นิยมชมชอบเพราะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีและทําหน้าที่ด้วยความยุติธรรม

(6) จักรพรรดิ คือ ผู้ปกครองที่ประชาชนพอใจและเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงเกินกว่ากษัตริย์ และราชาทั้งปวง มีความหมายรวมถึงผู้ปกครองที่สามารถแผ่อาณาจักรได้อย่างกว้างขวางและมีคุณธรรมสูงส่ง เป็นที่เคารพและพึงพอใจของประชาชน หรืออาจหมายถึง ผู้ปกครองที่มีภารกิจช่วยคนในโลกให้พ้นจากวัฏสงสาร พ้นจากความขัดแย้งทั้งปวง

 

ข้อ 4 การเกิดขึ้นและแพร่ขยายของพุทธศาสนามีนัยสําคัญที่เปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองของชมพูทวีปอย่างไร จงอธิบาย

แนวคําตอบ

พุทธศาสนากําเนิดขึ้นในช่วงที่ยุคสมัยของโลกกําลังอยู่ในยุคเสื่อมถอยอย่างหนักจึงปรากฏมี ศาสดาปรากฏขึ้นมาเพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นจากความเสื่อมถอยเหล่านั้น ทั้งนี้พุทธศาสนาเกิดในช่วงกลียุคในช่วงที่ ชมพูทวีปมีสภาพสังคมการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมมีความเด่นชัดแล้ว

การเกิดขึ้นและแพร่ขยายของพุทธศาสนาได้เปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองของชมพูทวีป ดังนี้

1 ชนชั้นพราหมณ์ได้หันมาอุปสมบทในพุทธศาสนาจํานวนมาก อาจวิเคราะห์ได้ว่า เนื่องจากในช่วงเวลานั้นศาสนาพราหมณ์มีความเสื่อมแล้ว ผู้ที่แสวงหาทางออกจากทุกข์เมื่อปฏิบัติตามหลักการ ของพราหมณ์มาแล้วยังไม่พบทางออกจึงหันมาศรัทธาหรือเปิดรับศาสนาใหม่ได้ง่าย ประกอบกับเมื่อวิวาทะ กับพระพุทธเจ้าแล้วเกิดเห็นชอบกับหลักธรรมของพระองค์ อย่างไรก็ตามระยะเวลาการบรรลุธรรมของแต่ละคน ต่างกันไป

2 เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนบจารีตเดิม เนื่องจากศาสนาพุทธที่เกิดใหม่ปฏิเสธจารีต ของศาสนาพราหมณ์ เช่น การต้องเลิกทํายัญพิธี และการบูชาไฟ เป็นต้น ซึ่งเป็นการท้าทายความเชื่อที่ฝังราก ลึกมานานของสังคมชมพูทวีป

3 วรรณะแพศย์ได้เปลี่ยนจากศาสนาพราหมณ์มาเป็นพุทธศาสนิกชนจํานวนมากซึ่งต้อง เลิกทําวัตรปฏิบัติแบบศาสนาพราหมณ์ และหันมามีวัตรปฏิบัติแบบศาสนาพุทธซึ่งไม่เคร่งครัดเท่ากับผู้บวชเป็นภิกษุ เงื่อนไขสําคัญในเรื่องนี้คือ วรรณะแพศย์เป็นผู้ทําการค้า ในช่วงเศรษฐกิจกําลังเปลี่ยนแปลง วัตรปฏิบัติ บางอย่างของศาสนาพราหมณ์ไม่เอื้อให้ผู้ทําการค้ามีอิสระในการทําการค้า ในแง่นี้ศาสนาพุทธจึงได้ปลดปล่อย วรรณะแพศย์ให้เป็นอิสระในการทําการค้า ซึ่งทําให้การค้าขยายตัวมาก วรรณะแพศย์จึงกลายเป็นผู้อุปถัมภ์ พุทธศาสนาที่สําคัญ

4 วรรณะกษัตริย์ได้ให้การยอมรับพระพุทธศาสนา ดังกรณีพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็น กษัตริย์ของรัฐมคธอันมั่งคั่งและมีอิทธิพล แม้ว่ากษัตริย์เหล่านั้นจะไม่ได้ตัดขาดจากศาสนาพราหมณ์ โดยมองว่า ศาสนาพุทธก็มีสถานะไม่แตกต่างจากศาสนาพราหมณ์แต่จํากัดบทบาทที่ไม่เกี่ยวกับทางโลกย์ การยอมรับ พระพุทธศาสนาของกษัตริย์อาจเกิดจากที่ประชาชนศรัทธามากและเข้าอุปถัมภ์มากเพื่อเสริมบารมีตนเอง แต่อีกนัยหนึ่งศาสนาพุทธก็ได้ประโยชน์จากการอุปถัมภ์ของกษัตริย์เช่นกัน

5 ภาษาที่ใช้สามารถเข้าถึงประชาชนได้มาก ขณะที่ศาสนาพราหมณ์ใช้ภาษาสันสกฤต ในการเทศน์ซึ่งผู้คนในวรรณะต่ำเข้าไม่ถึง พุทธศาสนาใช้ภาษามคธหรือภาษาบาลีในการเทศน์ ภาษามคธมาจาก ตระกูลปรากฤตอันเป็นภาษาที่พราหมณ์เหยียดหยามว่าเป็นภาษาชั้นต่ำ เป็นภาษาสามัญที่ชาวเมืองใช้พูดกัน ในความเป็นจริงพระพุทธเจ้าได้ใช้ภาษาสันสฤตร่วมด้วยอันแสดงถึงความรู้ทางภาษาที่ได้รับมาก่อนออกบรรพชา ในแง่นี้หากเชื่อว่าภาษาเป็นที่มาของความรู้ การเลือกใช้ภาษาของพระพุทธเจ้าจึงมีนัยทางเศรษฐกิจการเมือง ที่สําคัญ คือ ทําให้ชนชั้นล่างเข้าใจความรู้ได้มากขึ้นส่งผลต่อระบบการเมืองและเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ไปอีก และที่สําคัญเมื่อทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ได้ไม่แตกต่างกันจึงเท่ากับพระพุทธเจ้าปฏิเสธระบบวรรณะ ไปในคราวเดียวกันด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นและแพร่ขยายของพุทธศาสนาในชมพูทวีปมีนัยสําคัญ คือ เป็น การต่อสู้ทางสังคมการเมือง เช่น การยกเลิกการทํายัญพิธี การใช้ภาษาที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ รวมทั้งยังเป็น การต่อสู้ทางชนชั้นอย่างสําคัญ เสมือนการปลดแอกให้แก่ชนชั้นต่ำที่ลําบากยากจนได้ทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะล้มล้าง การแบ่งชั้นวรรณะไม่ได้ก็ตาม

 

ข้อ 5. “ไตรภูมิพระร่วง” ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่ปรากฏแนวคิดทางการเมืองไทยที่มีลักษณะเป็นระบบที่ชัดเจนที่สุด โปรดอธิบาย “ธรรม” และ “หลักการปกครอง” ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงที่สําคัญ โดยอธิบายให้เข้าใจในเนื้อหาของแต่ละเรื่องด้วย

แนวคําตอบ

ไตรภูมิพระร่วง เป็นพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท กษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย โดยพญาลิไททรงศรัทธาในความเป็นจักรพรรดิที่เป็นธรรมราชา โดยทรงเห็นว่า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็น ต้นแบบของธรรมราชาและทรงประสงค์จะยึดถือปฏิบัติธรรมตามแบบนั้นเพราะทรงต้องการที่จะเป็นธรรมราชา เช่นเดียวกัน

การที่พญาลิไททรงประพันธ์ไตรภูมิพระร่วงนั้น ทรงเป็นความพยายามที่จะใช้พุทธศาสนา เป็นเครื่องมือทางการเมือง และกล่าวได้ว่า ไตรภูมิพระร่วงจัดว่าเป็นแนวคิดทางการเมืองไทยที่เป็นระบบและ ชัดเจนที่สุด มีความต่อเนื่องและได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนามากที่สุด

ทั้งนี้ “ธรรม” และ “หลักการปกครอง” ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง มีดังนี้

ทศพิธราชธรรม ประกอบด้วย

1 ทาน (ทานํ) คือ การให้

2 ศีล (สีลํ) คือ การตั้งสังวรรักษากาย วาจา ให้สะอาดปราศจากโทษ

3 การบริจาค (ปริจฺจาคํ) คือ การบริจาคสละ

4 ความซื่อตรง (อาชฺชวํ) คือ การมีความซื่อตรง

5 ความอ่อนโยน (มทฺทวํ) คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน

6 ความเพียร (ตปํ) คือ การกําจัดความคร้านและความชั่ว

7 ความไม่โกรธ (อกฺโกธํ) คือ การไม่โกรธ

8 ความไม่เบียดเบียน (อวิหึสญฺจ) คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตลอดจนสัตว์ให้ได้ทุกข์ยาก

9 ความอดทน (ขนฺติญฺจ) คือ ความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทนเป็นเบื้องหน้า

10 ความไม่พิโรธ (อวิโรธนํ) คือ การปฏิบัติไม่ให้ผิดจากการที่ถูกที่ตรงและดํารงอาการคงที่ไม่ให้วิการด้วยอํานาจยินดียินร้าย

ทศพิธราชธรรมเป็นธรรมที่กล่าวถึงคุณลักษณะส่วนตัวของผู้ปกครอง ถือเป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยว ไม่ให้ผู้ปกครองทําร้ายหรือรังแกผู้ใต้ปกครอง

หลักการปกครอง จักรวรรดิวัตร 12 ประการ มีดังนี้

1 ควรพระราชทานโอวาทและอนุเคราะห์คนภายในราชสํานักและคนภายนอก

2 ควรทรงผูกพระราชไมตรีสมานราชสัมพันธ์กับกษัตริย์

3 ควรทรงสงเคราะห์พระราชวงศ์ตามควร

4 ควรทรงเกือกูลพราหมณ์ คฤหัสถ์ และคฤหบดีชน

5 ควรทรงอนุเคราะห์ประชาชนชาวนิคมชนบทโดยฐานานุรูป

6 ควรทรงอุปการะสมณพราหมณ์ผู้มีศีลประพฤติชอบด้วยพระราชทานไทยธรรมบริขารเกื้อกูลแก่ธรรมปฏิบัติ

7 ควรทรงจัดรักษาฝูงเนื้อ และนกด้วยพระราชทานอภัยไม่ให้ใครเบียดเบียนทําอันตรายจนเสื่อมสูญพืชพันธุ์

8 ควรทรงห้ามชนทั้งหลายไม่ให้ทํากิจการที่ไม่ประกอบด้วยธรรม ชักนําให้ตั้งอยู่ในกุศลสุจริตส่วนชอบ ประกอบการเลี้ยงชีพโดยทางธรรม

9 ชนใดขัดสนไม่มีทรัพย์พอเลี้ยงชีพโดยสัมมาอาชีวะได้ ควรพระราชทานพระราชทรัพย์เจือจานให้เลี้ยงด้วยวิธีอันเหมาะสม ไม่ให้แสวงหาด้วยทุจริต

10 ควรเสด็จเข้าไปใกล้สมณพราหมณ์ ตรัสถามถึงบุญ บาป กุศล อกุศลให้กระจ่างชัด

11 ควรทรงตั้งวิรัติห้ามจิตไม่ให้เกิดอธรรมราคะในอาคมนียสถาน

12 ควรทรงประหารวิสมโลภเจตนา ห้ามจิตไม่ให้ปรารถนาลาภที่มิควรได้

จักรวรรดิวัตร 12 ประการ จะครอบคลุมเรื่องเกี่ยวกับการปกครอง และมีความคล้ายคลึงกับ จารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชมาก

ธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสั่งสอนกษัตริย์ทั้งหลาย

ธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้สั่งสอนกษัตริย์ตามหัวเมืองที่ทรงสวามิภักดิ์ ซึ่งกว้างขวางกว่า ทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร 12 ประการ ซึ่งปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ดังนี้

1 ให้รักประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองอย่างเสมอหน้ากัน

2 ให้ผู้ปกครองยึดมั่นในหิริโอตัปปะ และดําเนินการปกครองตัดสินข้อพิพาทของประชาชนอย่างเที่ยงธรรม

3 ไม่ให้ขูดรีดเอาเปรียบประชาชน

4 ให้เลี้ยงดูไพร่ที่ใช้งานและทหารอย่างพอควร ไม่ควรเกณฑ์แรงงานผู้เฒ่า

5 ควรเก็บภาษีสินส่วยจากราษฎรตามอัตราเดิมไม่ควรเก็บส่วยเพิ่ม

6 ควรสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลพ่อค้าประชาชน ไม่ให้คิดดอกเบี้ย

7 ควรชุบเลี้ยงข้าราชสํานักให้สุขสบายโดยไม่คิดเสียดาย

8 ควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและไม่ลืมตน

9 ควรเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้รู้ธรรมและปรึกษาผู้รู้อยู่เสมอ

10 ผู้ปกครองควรให้สิ่งตอบแทนบําเหน็จรางวัลแก่ผู้ทําความดีมากน้อยตามประโยชน์ที่เขานํามาให้

ดังนั้นอาจกลาวได้ว่า “ธรรม” ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงข้างต้น ซึ่งได้แก่ ทศพิธราชธรรม ส่วนจักรวรรดิวัตร 12 ประการ และธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสั่งสอนกษัตริย์ทั้งหลาย ถือเป็น “หลักการปกครอง” ในสมัยพญาลิไท

POL3310 การบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3310 การบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ

คําสั่ง ข้อสอบมี 5 ข้อ เลือกทํา 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายถึงภูมิหลังและพัฒนาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แนวคําตอบ

ภูมิหลังและพัฒนาการของการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ

การศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย เกิดจากวดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ซึ่งต้องการขจัดปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการของสหรัฐอเมริกา ในขณะนั้นให้หมดไป จึงทําให้เกิดกลุ่มศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มศึกษาเปรียบเทียบ ระบบบริหาร (Comparative Study Administration : CSA) เพื่อศึกษาระบบบริหารราชการของประเทศยุโรป คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และปรัสเซีย (เยอรมันปัจจุบัน) และนําแนวทางการบริหารจากประเทศดังกล่าวมาใช้แก้ปัญหา การบริหารราชการของสหรัฐอเมริกา

การศึกษาของกลุ่ม CSA นําไปสู่พัฒนาการของการศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ ซึ่ง แบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลา ดังนี้

1 ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 1940)

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งสถาปนาตัวเองเป็นผู้นําโลก ได้ประกาศใช้แผนมาร์แชล (Marshal Plan) โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และเทคโนโลยีแก่ประเทศพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง การช่วยเหลือดังกล่าวมีส่วนผลักดันให้ประเทศโลกที่ 3 หรือประเทศกําลังพัฒนาเกิดอุดมการณ์การพัฒนา (Developmentatism) โดยมีความเชื่อว่า บรรดาประเทศยากจนสามารถพัฒนาประเทศของตนให้เหมือนกับ ประเทศที่เจริญแล้วหรือประเทศอุตสาหกรรมได้ หากนําแนวทางของสหรัฐอเมริกามาเป็นต้นแบบ

ผลจากนโยบายการให้ความช่วยเหลือและอุดมการณ์การพัฒนาทําให้เกิดกลุ่มศึกษา การบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มบริหารเปรียบเทียบ (Comparative Administration Group : CAG) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ (Comparative Public Administration : CPA) ซึ่งกลุ่มนี้มองว่าระบบบริหารของประเทศโลกที่ 3 เป็นระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศตะวันตก ดังนั้นถ้าต้องการจะให้ระบบบริหารของประเทศโลกที่ 3 มีประสิทธิภาพ สามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนา ประเทศได้ก็จําเป็นจะต้องพัฒนาและปรับปรุงระบบบริหารของประเทศเหล่านี้ให้ “ทันสมัย” ซึ่งกลุ่ม CAG/CPA ได้เรียกร้องให้มีการสร้างสถาบันทางการบริหาร (Institution-Building) ใหม่ ๆ ขึ้นในประเทศโลกที่ 3

2 ยุคทองของการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ (ค.ศ. 1969 – 1974)

เป็นยุคที่แนวความคิดของกลุ่ม CAG/CPA ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จะเห็นได้ จากการจัดพิมพ์วารสาร เอกสาร ตําราเกี่ยวกับการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบมากมาย และในมหาวิทยาลัยของ สหรัฐอเมริกาก็มีการเปิดการเรียนการสอนการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบกันมาก ซึ่งจุดเน้นของแนวความคิดของ กลุ่ม CAG/CPA มีดังนี้

1) การสร้างระบบการบริหารแบบอเมริกัน (American Public Administration) ซึ่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด (The Best Efficiency) สามารถเป็นต้นแบบให้กับประเทศโลกที่ 3 เพื่อใช้ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศได้

2) การนํารูปแบบการบริหารแบบอเมริกันไปใช้จะต้องครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน เนื่องจากรูปแบบการบริหารงานแบบอเมริกันมีลักษณะ “ครบวงจร” หรือเป็นแบบ “Package” คือ ประกอบด้วย ความรู้ทางด้านการบริหารทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ การจัดการ เทคโนโลยี รวมทั้งทัศนคติและค่านิยมแบบอเมริกัน

3) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต้องการที่จะปรับปรุงระบบราชการของประเทศโลกที่ 3 ให้มีความทันสมัยแบบสหรัฐอเมริกา โดยการกําหนดมาตรการต่าง ๆ ในการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ระบบราชการ ในประเทศโลกที่ 3 และเสนอให้มีการสร้างสถาบันทางการบริหารใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น

4) การเพิ่มขีดความสามารถของระบบบริหารของหน่วยงานราชการจะต้องกระทําก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด โดยไม่คํานึงถึงระดับของการพัฒนาทางการเมือง

3 ยุคเสื่อมของการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ (ค.ศ. 1975 – 1976)

สาเหตุที่ทําให้การศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบของกลุ่ม CAG/CPA เสื่อม มี 2 ประการ คือ

1) ความบกพร่องของแนวความคิดของกลุ่ม CAG/CPA ได้แก่

– การศึกษาของกลุ่ม CAG/CPA มุ่งเน้นการบริหารงานตามแบบตะวันตก ละเลยการพิจารณาถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมภายในของประเทศโลกที่ 3 จึงทําให้การบริหารงานของประเทศโลกที่ 3 ไม่ประสบผลสําเร็จเท่าที่ควร เพราะการพัฒนาจําเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างสมประสบการณ์ของประเทศนั้น ๆ เอง เพื่อค้นหารูปแบบการบริหารงานที่เหมาะสมกับประเทศของตน

– การถูกวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดความไม่แน่ใจในศาสตร์การบริหารรัฐกิจ เปรียบเทียบ กล่าวคือ การบริหารรัฐกิงเปรียบเทียบตามแนวคิดของกลุ่ม CAG/CPA ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือ ของประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาในการขยายอิทธิพลและอํานาจครอบงําประเทศโลกที่ 3 โดยผ่านวิธีการชักจูงให้ประเทศโลกที่ 2 หันมาเลียนแบบสไตล์การบริหารแบบสหรัฐอเมริกา

2) สถานการณ์ภายในและภายนอกของสหรัฐอเมริกา ทําให้สหรัฐอเมริกาต้อง กลับมาสนใจดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศจนละเลยการให้ความช่วยเหลือประเทศโลกที่ 3 ประกอบกับ นักวิชาการเริ่มทําตัวเหมือน “มือปืนรับจ้าง” เห็นแก่เงินรางวัลอามิสสินจ้างมากกว่าความก้าวหน้าทางวิชาการ ส่งผลให้การศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบซบเซาลง

4 ยุคฟื้นฟูการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ (ค.ศ. 1976 – ปัจจุบัน)

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1975 นักวิชาการเริ่มกลับมามองถึงปัญหาร่วมกัน โดยการรวมตัวกัน จัดประชุมทางวิชาการเพื่อประเมินสถานการณ์และสถานภาพของการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบในอดีตและ มองแนวโน้มในอนาคต โดยได้จัดพิมพ์แนวทางการศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ ไว้ในหนังสือ “Public Administration Review” ฉบับที่ 6 (พ.ย. ธ.ค. 1976) ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้น แนวการศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ในยุคนี้จึงทําให้เกิดกลุ่มศึกษาการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มบริหารรัฐกิจ เปรียบเทียบแนวใหม่ (New Comparative Public Administration : New CPA) ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากต้องการ แก้ไขข้อบกพร่องของกลุ่ม CAG/CPA โดยแนวความคิดของกลุ่ม New CPA นี้ มุ่งเน้นการศึกษาระบบบริหาร ที่เกิดขึ้นจริงในประเทศโลกที่ 3 มากกว่าการสร้างทฤษฎี รวมทั้งเป็นการมุ่งตอบคําถามว่าทําไมการพัฒนาของ ประเทศหนึ่งจึงประสบความสําเร็จในขณะที่อีกประเทศหนึ่งล้มเหลว มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้เกิดความสําเร็จหรือ ความล้มเหลวในการพัฒนา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ

 

 

ข้อ 2. ตัวแบบทางการศึกษาการบริหารรัฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกําลังพัฒนามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

ตัวแบบทางการศึกษาการบริหารรัฐกิจ คือ ตัวแบบการบริหารที่นําเสนอโดยนักคิดเพื่ออธิบาย และสร้างความเข้าใจในปรากฏการณ์ทางการบริหารที่เกิดขึ้นจริงในระบบการปกครองต่าง ๆ ซึ่งจากการศึกษา ของเฮดดี้ (Heady) ได้อธิบายลักษณะการบริหารรัฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วและการบริหารรัฐกิจของประเทศ กําลังพัฒนา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ลักษณะการบริหารรัฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว

1 โครงสร้างระบบราชการมีขนาดใหญ่โตและสลับซับซ้อน มีหน่วยงานย่อยภายในหน่วยงาน มีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน และมีการแบ่งงานกันทําของหน่วยงานต่าง ๆ โดยระบบราชการแบบนี้จะมีลักษณะ ที่สอดคล้องกับตัวแบบระบบราชการในอุดมคติ (Ideal Type Bureaucracy) ของ Max Weber

2 มีการจัดโครงสร้างของหน่วยงานราชการและแบ่งหน้าที่กิจกรรมของรัฐออกเป็น ส่วนต่าง ๆ ตามประเภทของงานและตามความถนัดของบุคลากร เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการแบ่งหน้าที่ ของหน่วยงานที่ให้ความสําคัญกับการตอบสนองตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นหน่วยงานราชการจึงมีการกําหนด หน้าที่ชัดเจน และมีการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรตามหลักคุณธรรมและหลักความสามารถ

3 ระบบราชการพัฒนาอยู่ภายใต้อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ทั้งระบบ ราชการและฝ่ายการเมืองต่างมีการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันและมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดยฝ่ายการเมือง มีหน้าที่ในการกําหนดหลักเกณฑ์และนโยบายของประเทศ และระบบราชการมีหน้าที่ในการบริหารงานตาม นโยบายของฝ่ายการเมือง ดังนั้นระบบราชการจึงไม่ค่อยมีโอกาสในการวางนโยบาย

4 ระบบราชการเน้นความเป็นวิชาชีพและมีความเป็นอาชีพเช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ เนื่องจากการทํางานในระบบราชการจะต้องส่งเสริมมาตรฐานคุณค่าในการปฏิบัติงาน เช่น มีการสรรหาบุคคล เข้าทํางานโดยการวัดจากความรู้ความสามารถ การจัดการฝึกอบรมเพื่อให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้และความชํานาญ ในการทํางาน เป็นต้น

5 ข้าราชการให้ความสําคัญกับการปฏิบัติตามนโยบายเป็นสําคัญ แม้ว่าข้าราชการจะถูก ปลูกฝังให้เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทต่อการนําเสนอทางนโยบายแต่อย่างใด

ลักษณะการบริหารรัฐกิจของประเทศกําลังพัฒนา

1 ลักษณะของการบริหารมีการลอกเลียนแบบมาจากระบบการบริหารของประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศตะวันตก มากกว่าจะเป็นลักษณะการบริหารที่มีรูปแบบเฉพาะของตน

2 หน่วยงานราชการขาดแคลนข้าราชการที่มีทักษะจําเป็นในการบริหารการพัฒนาประเทศ โดยข้าราชการส่วนใหญ่มักมีความรู้ทั่ว ๆ ไป (Generalist) มากกว่าที่จะเป็นผู้ชํานาญการเฉพาะด้าน (Specialist) และข้าราชการมีจํานวนมากแต่มีส่วนน้อยที่มีคุณภาพ จึงทําให้เกิดช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานของกําลังคน ในระบบราชการอันสืบเนื่องมาจากแนวการปฏิบัติยึดติดกับระบบอุปถัมภ์

3 หน่วยงานราชการมุ่งเน้นกฎระเบียบหรือความเป็นพิธีการมากกว่าผลสําเร็จหรือ การบรรลุเป้าหมาย รวมทั้งให้ความสําคัญกับการทํางานตามสายการบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ทําให้การทํางาน เกิดความล่าช้า (Red Tape)

4 แนวทางการปฏิบัติจริงขัดแย้งกับรูปแบบที่กําหนด หรือมีความแตกต่างระหว่าง ความคาดหวังกับความเป็นจริง ซึ่ง Riggs เรียกว่า “การรูปแบบ” หมายถึง สิ่งที่เป็นทางการแต่เพียงรูปแบบ (Formalism) แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับนําเอาค่านิยมมาใช้เป็นแนวทางในการบริหารงาน

5 หน่วยงานราชการมีความเป็นอิสระในทางปฏิบัติ ปราศจากการควบคุมทางการเมือง ทําให้เกิดความใหญ่โตเทอะทะ และก้าวก่ายงานทางการเมือง

ความแตกต่างของการบริหารรัฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกําลังพัฒนา

จากลักษณะของการบริหารรัฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนาตาม ข้อเสนอของเฮดดี้นั้น การบริหารรัฐกิจ นประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนามีลักษณะที่แตกต่างกันหลายประการ ดังนี้

1 ประเทศกําลังพัฒนามีการกําหนดโครงสร้างระบบราชการเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีบทบาทหน้าที่ชัดเจน มีการก้าวก่ายการทํางานระหว่างหน่วยงาน ทําให้ระบบราชการ ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว

2 การบริหารงานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการสรรหา การคัดเลือก การเลื่อนขั้นเลื่อนตําแหน่ง ในประเทศพัฒนาแล้วจะเป็นไปตามระบบคุณธรรม แต่ประเทศกําลังพัฒนาจะเป็นไปตามระบบอุปถัมภ์ แม้ประเทศ กําลังพัฒนาบางประเทศ เช่น ประเทศไทย จะมีการกําหนดให้การบริหารงานบุคคลใช้ระบบคุณธรรม แต่ในทาง ปฏิบัติกลับใช้ระบบอุปถัมภ์ในการบริหารงานบุคคล

3 ข้าราชการประเทศพัฒนาแล้วเป็นผู้ชํานาญการเฉพาะด้าน แต่ข้าราชการประเทศกําลังพัฒนาเป็นผู้มีความรู้ทั่ว ๆ ไป

4 ประเทศพัฒนาแล้วจะมีการแบ่งแยกหน้าที่ระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการ อย่างชัดเจน โดยฝ่ายการเมืองมีหน้าที่กําหนดนโยบาย ส่วนฝ่ายข้าราชการมีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายที่ฝ่ายการเมือง กําหนด แต่ในประเทศกําลังพัฒนาบางประเทศข้าราชการมีอํานาจเหนือฝ่ายการเมืองและมีบทบาทอย่างมาก ในการกําหนดนโยบาย หรือในบางประเทศฝ่ายการเมืองมักเข้ามาก้าวก่ายงานของข้าราชการ ดังนั้นความสัมพันธ์ ระหว่างบทบาทหน้าที่ของฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการในประเทศกําลังพัฒนาจึงไม่มีความชัดเจนเหมือน ประเทศพัฒนาแล้ว

 

ข้อ 3 จงอธิบายถึงความแตกต่างของลักษณะการบริหารรัฐกิจของประเทศญี่ปุ่นและรัสเซียมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

การบริหารรัฐกิจของประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะการบริหารแนวใหม่ (Modern Model) ซึ่งเป็น รูปแบบการบริหารที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบการบริหารของประเทศญี่ปุ่นเองกับรูปแบบการบริหารของประเทศ ตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้ว จึงส่งผลให้ลักษณะการบริหารรัฐกิจของประเทศญี่ปุ่นมีความทันสมัยและ รองรับต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ส่วนการบริหารรัฐกิจของประเทศรัสเซียเป็นการบริหารภายใต้ระบบคอมมิวนิสต์ โดยมี พรรคคอมมิวนิสต์เป็นสถาบันที่มีบทบาทมากทั้งทางด้านการเมืองและการบริหารราชการ ดังนั้นการบริหารรัฐกิจ ของประเทศญี่ปุ่นและรัสเซียจึงมีความแตกต่างกันในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

1 ลักษณะเด่นทางการบริหาร เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นได้ผสมผสานรูปแบบการบริหารของ ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศตะวันตก จึงส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะการบริหารรัฐกิจที่มีความเป็นประชาธิปไตย มากกว่าประเทศรัสเซีย โดยการบริหาร ฐกิจของประเทศญี่ปุ่นนั้นจะมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ เข้ามาเป็นตัวแทนการรับราชการ การมุ่งเน้นระบบคุณธรรมมากกว่าระบบอุปถัมภ์ และการมุ่งเน้นการทํางาน ที่มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของความจงรักภักดีของข้าราชการตามกระแสชาตินิยม

ส่วนการบริหารรัฐกิจของประเทศรัสเซียเป็นการบริหารภายใต้ระบบคอมมิวนิสต์ ดังนั้นอํานาจในการบริหารและการตัดสินใจทุกอย่างจึงรวมอยู่ที่ผู้นําเพียงคนเดียว และเมื่อมีการปฏิบัติตาม คําสั่งแล้ว ทุกฝ่ายและข้าราชการทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

2 การบริหารงานบุคคล ประเทศญี่ปุ่นสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการโดยใช้ วิธีการสอบแข่งขัน ซึ่งผู้สอบคัดเลือกได้ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโตเกียวและมีความรู้ทางกฎหมาย เป็นอย่างดี โดยข้าราชการที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมก่อนเข้าปฏิบัติงาน

ส่วนประเทศรัสเซียการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการอยู่ภายใต้อํานาจ การตัดสินใจของผู้นําพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งบุคคลที่จะเข้ารับราชการจะต้องยอมรับและปฏิบัติตามระเบียบวินัย ของพรรคอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งประเทศรัสเซียไม่ได้เน้นว่าบุคคลที่จะ เข้ารับราชการจะต้องมีความรู้ทางกฎหมายและต้องผ่านการฝึกอบรมก่อนเข้าปฏิบัติงานเหมือนกับประเทศญี่ปุ่น

3 บทบาทและสถานภาพของข้าราชการ ข้าราชการประเทศญี่ปุ่นมีบทบาทเป็น “ผู้รับใช้ องค์จักรพรรดิ” โดยในสายตาของสังคมมองว่าข้าราชการเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงในวงสังคมและน่ายกย่อง นอกจากนี้ ข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานราชการยังมีบทบาทสําคัญในการริเริ่มและเสนอนโยบายต่อฝ่ายการเมือง รวมทั้ง การสนับสนุนให้ดํารงตําแหน่งสําคัญ ๆ ทางการเมือง การเปลี่ยนอาชีพจากข้าราชการไปสู่อาชีพทางการเมือง ได้รับการยอมรับจากประชาชนญี่ปุ่น

ส่วนข้าราชการประเทศรัสเซียมีบทบาทเป็น “ผู้รับใช้นาย” จึงทําให้ข้าราชการเป็นเพียง ผู้ปฏิบัติตามคําสั่งผู้นําอย่างเคร่งครัดมากกว่าการแสดงความคิดเห็น ข้าราชการจะให้ความสําคัญกับบุคคลที่มีบทบาท ในการให้คุณให้โทษแก่ตน โดยข้าราชการที่ประสบความสําเร็จในการทํางานมักเป็นข้าราชการที่มีความจงรักภักดี มีความรอบรู้และมีความฉลาดในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมาก

 

ข้อ 4 จงอธิบายถึงลักษณะเด่นของข้าราชการประเทศปากีสถานและประเทศไทยมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

ลักษณะเด่นของข้าราชการประเทศปากีสถาน

1 เนื่องจากประเทศปากีสถานมีรูปแบบการบริหารแบบระบบประเพณีนิยมแบบอัตตาธิปไตย (Traditional Autocratic System) ซึ่งเป็นการบริหารที่ผู้นําได้รับอํานาจทางการเมืองมาจากมรดกทางสังคม อันสืบทอดมาจากระบบการปกครองโดยพระมหากษัตริย์หรือชนชั้นขุนนาง โดยกษัตริย์เป็นแหล่งรวมอํานาจ และความถูกต้องทางกฎหมาย และรัฐก็เปรียบเสมือนสถาบันของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นจึงส่งผลให้ข้าราชการ ประเทศปากีสถานมีลักษณะเด่นดังนี้

1 ข้าราชการมีบทบาทและสถานภาพเป็น “ผู้รับใช้กษัตริย์” โดยในสายตาของประชาชน มองว่าอาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูง และน่าจะมีส่วนในการจูงใจกลุ่มชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในสังคม ที่มีการศึกษาสูง แต่ด้วยเหตุที่อัตราเงินเดือนค่อนข้างต่ำและการเลื่อนตําแหน่งเป็นไปได้ยากจึงส่งผลให้อาชีพ รับราชการไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ให้ความมั่นคงแก่ผู้มีความรู้ความสามารถ

2 ข้าราชการมีพฤติกรรมทางการบริหารที่ขาดเหตุผล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระบอบการเมือง ที่ขาดเหตุผลด้วย แต่ข้าราชการถือว่ามีความจงรักภักดีต่อผู้นํา โดยผู้นําพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียการสนับสนุน จากข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการในมายความมั่นคง เนื่องจากผู้นําต้องอาศัยการริเริ่มในการแนะนํานโยบาย ของข้าราชการ

ลักษณะเด่นของข้าราชการประเทศไทย

เนื่องจากประเทศไทยมีรูปแบบการบริหารแบบระบบกลุ่มผู้นําทางราชการทั้งฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหาร (Bureaucratic Elite Systems Civil and Military) ซึ่งเป็นการบริหารที่อํานาจทางการเมืองและ การบริหารราชการตกอยู่ในมือของข้าราชการทั้งในส่วนของข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือน จึงส่งผลให้ ข้าราชการประเทศไทยมีลักษณะเด่นดังนี้

1 ข้าราชการไทยมีบทบาทและสถานภาพเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” โดยอาชีพรับราชการ เป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับว่ามีเกียรติสูง มีความมั่นคง แต่มีรายได้ต่ำ ในขณะที่สวัสดิการต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์ ที่ดีมาก และการลงโทษทางวินัยมีค่อนข้างน้อย

นอกจากนี้ ในความเห็นของซิฟฟินยังมองว่าสถานภาพของข้าราชการเป็นการพิจารณา ตามชั้นยศ ผู้มีตําแหน่งชั้นยศที่ต่ำกว่ามักจะเป็นผู้ที่ต้องคอยปฏิบัติตามคําสั่งของผู้ที่มีตําแหน่งชั้นยศสูงกว่า โดยต้อง รับฟังคําสั่งทั้งในส่วนของเนื้องานและนอกเหนือเนื้องาน

2 ข้าราชการไทยมีอํานาจและบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมากจนยากต่อ การควบคุมโดยสถาบันอื่น ๆ โดยเฉพาะในส่วนของฝ่ายการเมือง ดังที่ริกส์ (Riggs) ได้เสนอว่า ระบบการบริหาร ของไทยมีลักษณะเป็น “รัฐราชการ” หรือ “อํามาตยาธิปไตย” (Bureaucratic Polity) เนื่องจาก

1) มีการเล่นพรรคเล่นพวก และมีการแสดงอํานาจนียมของหน่วยราชการ

2) มีลักษณะของการเมืองของรัฐข้าราชการ คือ มีการต่อสู้ทางการเมือง การต่อสู้ระหว่างกลุ่มข้าราชการต่าง ๆ

3) ข้าราชการเป็นใหญ่มีอํานาจตัดสินใจแทนประชาชน

 

ข้อ 5 จงอธิบายถึงหลักการบริหารงานตามแนวคิดการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล พร้อมยกตัวอย่างการปฏิรูปบบราชการมา 1 ประเทศ

แนวคําตอบ

หลักการบริหารงานตามแนวคิดการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มี 6 ประการ คือ

1 หลักการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (Public Participation) คือ การให้ประชาชน ทุกคนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจและการบริหารอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงการให้เสรีภาพ แก่สื่อมวลชนและสาธารณชนในการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์

2 หลักความสุจริตและโปร่งใส (Honesty and Transparency) คือ การกําหนด ระบบกติกาและการดําเนินงานที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงและได้รับ ข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี เป็นธรรม ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ

3 หลักพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม (Accountability) คือ การมีความรับผิดชอบ ในบทบาทภาระหน้าที่ที่มีต่อสาธารณชน โดยมีการจัดองค์กรหรือการกําหนดกฎเกณฑ์ที่เน้นการดําเนินงานเพื่อ ตอบสนองความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคมอย่างเป็นธรรม

4 หลักกลไกการเมืองที่ชอบธรรม (Political Legitimacy) คือ ผู้ที่เป็นรัฐบาลหรือ ผู้ที่มีบทบาทในการบริหารประเทศต้องขอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมส่วนรวม ทั้งในเรื่องความสุจริต ความเที่ยงธรรม และความสามารถในการบริหารประเทศ

5 หลักกฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน (Fair Legal Framework and Predictability) คือ การกําหนดกรอบในการปฏิบัติหรือกฎหมายที่เป็นธรรมและยุติธรรมสําหรับกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งกฎเกณฑ์ จะต้องเป็นที่เข้าใจตรงกัน มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้ สามารถคาดหวังผลและรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่ปฏิบัติ ตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้

6 หลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) คือ ประสิทธิภาพ ในการดําเนินงานไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดกระบวนการทํางาน การจัดองค์การ การจัดสรรบุคลากร และมีการใช้ ทรัพยากรสาธารณะต่าง ๆ อย่างคุ้มค่าเละเหมาะสม มีการดําเนินการและให้บริการสาธารณะที่ให้ผลลัพธ์เป็นที่ น่าพอใจและกระตุ้นการพัฒนาของสังคมทุกด้าน

POL3316 การบริหารรัฐวิสาหกิจ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3316 การบริหารรัฐวิสาหกิจ

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ โดยข้อที่ 1 บังคับทํา ถ้าไม่ทําถือว่าสอบไม่ผ่าน

ข้อ 1 จงอธิบายความหมาย ความสําคัญ วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง ลักษณะ และรูปแบบการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ

แนวคําตอบ

ความหมายของรัฐวิสาหกิจ

เกศินี หงสนันทน์ กล่าวว่า รัฐวิสาหกิจ หมายถึง องค์การซึ่งรัฐบาลกลางควบคุมและเป็นเจ้าของ ทั้งนี้เพื่อที่จะปรับปรุงภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคง และยกฐานะของประชาชนในประเทศให้มี ความเป็นอยู่ดีขึ้น

ติน ปรัชญพฤทธิ์ กล่าวว่า รัฐวิสาหกิจ คือ กิจการต่าง ๆ ของรัฐแต่บริหารงานเชิงธุรกิจ กิจการของรัฐที่บริหารงานเชิงธุรกิจดังกล่าวนี้อาจรวมถึงกิจการทางด้านการสื่อสาร สาธารณูปโภค การคมนาคม สถาบัน การเงิน การประกันภัย โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานอุตสาหกรรม ศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การวิจัย ฯลฯ ซึ่ง รัฐวิสาหกิจเหล่านี้อาจจะจัดตั้งภายใต้กฎหมาย และกฎเกณฑ์หลายประการ คือ

1 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ เช่น การท่าเรือแห่งประเทศไทย

2 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีลักษณะเป็นบริษัทจํากัด ซึ่งรัฐบาลถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 เช่น บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)

3 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาที่ให้อํานาจไว้โดยพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. 2496 เช่น องค์การตลาด

4 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยประกาศคณะปฏิวัติ เช่น การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

5 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี รัฐวิสาหกิจโดยนัยนี้ไม่ได้เป็นนิติบุคคลแต่กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของ เช่น โรงงานยาสูบ ฃ

6 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นมาตามนัยของกฎหมายธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 10 เช่น ธนาคารกรุงไทย ความสําคัญของรัฐวิสาหกิจ

รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือประเภทหนึ่งของการบริหารจัดการในภาครัฐ และเป็นเครื่องมือ ในการส่งเสริม พัฒนา และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจส่วนมาก เป็นการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งจําเป็นในการดํารงชีวิตของประชาชน เช่น ด้านพลังงาน ด้านการสื่อสาร ด้านการคมนาคม ด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งกิจการสาธารณะเหล่านี้ต้องใช้เงินทุนในการดําเนินการสูง แต่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำและมีอัตราการคืนทุนที่ใช้ระยะเวลานาน ทําให้เอกชนขาดความสนใจที่จะ เข้ามาลงทุน ดังนั้นรัฐจึงต้องเข้ามาดําเนินการเองในรูปแบบของ “รัฐวิสาหกิจ” เพื่อให้ประชาชนได้รับการ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น และสามารถใช้บริการได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน

วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ มีดังนี้

1 เพื่อจัดทําบริการสาธารณะ

2 เพื่อส่งเสริมสังคมและวัฒนธรรม

3 เพื่อความมั่นคงของประเทศ

4 เพื่อควบคุมสินค้าอันตราย

5 เพื่อประโยชน์ในด้านการคลังและเสริมรายได้ให้แก่รัฐ

6 เพื่อเป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าและบริการ

7 เพื่อเป็นเครื่องมือในการดําเนินธุรกิจแทนรัฐ

8 เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เอกชนในการดําเนินธุรกิจ

9 เพื่อต้องการประชาสัมพันธ์ประเทศ

ลักษณะของรัฐวิสาหกิจ มีดังนี้

1 เป็นกิจการที่รัฐบาลเข้ามาดําเนินงานร่วมกับเอกชนหรือกลุ่มบุคคล

2 เป็นกิจการที่รัฐบาลเข้ามาดําเนินงานแบบธุรกิจ ไม่ใช่ในฐานะผู้ปกครอง

3 เป็นกิจการที่มีอิสรภาพทางการบริหารและการจัดการทรัพยากรของตนเองภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย และนโยบายของรัฐบาล

4 การจัดโครงสร้างขององค์การรัฐวิสาหกิจควรมีลักษณะพิเศษที่เหมาะสมแก่การบริหารงาน

5 ผู้ใช้บริการ คือบุคคลที่จะต้องจ่ายค่าบริการของสินค้านั้น ๆ

6 ราคาของสินค้าและบริการอาจจะมีความผันแปรไปตามความต้องการของผู้บริโภคหรือกลไกของราคาตลาด

7 ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของการบริหารในด้านต่าง ๆ จะต้องมีความคล้ายคลึงกับบริษัทเอกชน

รูปแบบการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจในประเทศไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 รูปแบบ คือ

1 การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามหน่วยงานราชการที่สังกัด ตัวอย่างเช่น

1) สํานักนายกรัฐมนตรี มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการกํากับดูแล 1 แห่ง คือ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน)

2) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการกํากับดูแล 2 แห่ง คือ การกีฬาแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

3) กระทรวงสาธารณสุข มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในการกํากับดูแล 1 แห่ง คือ องค์การเภสัชกรรม

2 การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามกลุ่มสาขา ตัวอย่างเช่น

1) สาขาพลังงาน แบ่งออกเป็น 4 รัฐวิสาหกิจ คือ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน)

2) สาขาสื่อสาร แบ่งออกเป็น 4 รัฐวิสาหกิจ คือ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด และ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน)

3 การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามกฎหมาย แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มประเภทของการจัดตั้ง ดังนี้

1) การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511

2) การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามพระราชกําหนด เช่น บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบัน จัดตั้งโดยพระราชกําหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบัน พ.ศ. 2540

3) การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามพระราชกฤษฎีกา เช่น องค์การสวนยาง จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนยาง พ.ศ. 2504

4) การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจํากัด เช่น บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติ บริษัทมหาชน จํากัด พ.ศ. 2535

5) การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามคณะปฏิวัติ เช่น การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จัดตั้งตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 พ.ศ. 2515

6) การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามระเบียบหรือข้อบังคับ เช่น องค์การสุรา จัดตั้งขึ้นโดยระเบียบจัดตั้งองค์การสุรา กรมสรรพสามิต พ.ศ. 2506

4 การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจตามวัตถุประสงค์ เช่น การจัดตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อสรรค์สร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการให้บริการด้านพลังงานที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ในราคา ที่เหมาะสม เป็นธรรม และรักษาความสมดุลกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ข้อ 2 จงอธิบายความหมาย หลักการ บทบาทและขอบเขตของการบริการสาธารณะ

แนวคําตอบ

ความหมายของการบริการสาธารณะ

นันทวัฒน์ บรมานันท์ ได้อธิบายว่า การบริการสาธารณะ คือ กิจกรรมประเภทหนึ่งซึ่งรัฐ มีหน้าที่ต้องจัดทําขึ้นเพื่อสนองความต้องการของประชาชนโดยส่วนรวม เป็นการให้บริการแก่ประชาชน หรือ การดําเนินการอื่นเพื่อสนองความต้องการของประชาชน

เทพศักดิ์ บุญยรัตพันธุ์ ให้ความหมายว่า การบริการสาธารณะ หมายถึง การที่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ ซึ่งอาจจะเป็นของรัฐหรือเอกชน มีหน้าที่ ในการส่งต่อการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชน โดยส่วนรวม การให้บริการสาธารณะมีลักษณะที่เป็น “ระบบ” มีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ส่วน คือ

1 สถานที่และบุคคลที่ให้บริการ

2 ปัจจัยนําเข้าเรือทรัพยากร

3 กระบวนการและกิจกรรม

4 ผลผลิตหรือบริการ

5 ช่องทางการให้บริการ

6 ผลกระทบที่มีต่อผู้รับบริการ

หลักการให้บริการสาธารณะ ปราโมทย์ สัจจรักษ์ กล่าวถึง หลักสําคัญเกี่ยวกับการให้บริการสาธารณะไว้ 5 ประการ คือ

1 บริการสาธารณะเป็นกิจการที่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายปกครอง

2 บริการสาธารณะมีวัตถุประสงค์ในการสนองตอบความต้องการส่วนรวมของประชาชน

3 การจัดระเบียบและวิธีดําเนินการบริการสาธารณะย่อมจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้เสมอเพื่อให้เหมาะสมแก่ความจําเป็นแห่งกาลสมัย

4 บริการสาธารณะจะต้องจัดดําเนินการอยู่เป็นนิจและโดยสม่ำเสมอ ไม่มีการหยุดชะงักถ้าบริการสาธารณะหยุดชะงักด้วยประการใด ๆ ประชาชนย่อมได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับความเสียหาย

5 เอกชนย่อมมีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากบริการสาธารณะเท่าเทียมกัน การให้บริการสาธารณะมีเป้าหมายที่สําคัญ คือ การสร้างความพึงพอใจในการให้บริการแก่ประชาชน

บทบาทและขอบเขตของการบริการสาธารณะ

1 ด้านสังคม การบริการสาธารณะด้านสังคมเป็นรูปแบบของการบริการที่เกิดขึ้นจาก ความรู้สึกที่ต้องการตอบสนองความมีน้ําใจ และความปรารถนาดีที่มุ่งหวังให้ผู้รับบริการหรือประชาชนได้รับ ความสะดวกสบาย เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน โดยการบริการสาธารณะ ทางด้านสังคม ได้แก่

1) การบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน คือ ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น การเก็บขยะการติดตั้งไฟแสงสว่าง น้ำประปา คลองชลประทาน

2) การบริการสาธารณะด้านสุขภาพ เช่น การป้องกันโรคระบาด การรักษาพยาบาล

3) การบริการสาธารณะด้านสื่อสารและโทรคมนาคม เช่น การไปรษณีย์ โทรศัพท์

4) การบริการสาธารณะด้านนันทนาการและการกีฬา เช่น สวนสาธารณะ ลานกีฬา

5) การบริการสาธารณะด้านการประกันภัย เช่น การประกันราคาผลผลิตทางการเกษตร การประกันการว่างงาน

2 ด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญต่อระบบ เศรษฐกิจของประเทศทั้งในระดับมหภาคและระดับจุลภาค และนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคม โดยนโยบายทางด้านเศรษฐกิจมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง นโยบายการส่งเสริม การลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศ นโยบายการประกันสังคมและสวัสดิการ นโยบายการเกษตร นโยบาย ที่อยู่อาศัย นโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และนโยบาย การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

จุดมุ่งหมายของการบริการสาธารณะด้านเศรษฐกิจ มีดังนี้

1) เพื่อให้มีการผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของคนสูงขึ้น

2) เพื่อให้เกิดความสมดุลและความมีเสถียรภาพของตลาดในประเทศ

3) เพื่อให้มีการกระจายรายได้ และการกําหนดราคาที่ทําให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกัน

4) เพื่อให้มีเสรีภาพ และมีอิสระในการเลือกอาชีพและเลือกวิถีการดํารงชีวิตของแต่ละคน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน

5) เพื่อให้ฐานะทางการเงินของประเทศมีความมั่นคง

6) เพื่อให้มีความสงบทั้งภายในและภายนอกประเทศ

7) เพื่อให้ประชาชนได้รับสวัสดิการจากภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน

3 ด้านการปกครอง การบริการสาธารณะทางด้านการปกครองเป็นกิจกรรมสาธารณะที่ รัฐทําหน้าที่ในงานด้านการปกครองจะต้องจัดกระทํา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ประกอบกับบริบทของงานสาธารณะด้านการปกครองเป็นหน้าที่เฉพาะของฝ่ายปกครองที่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ ในการดําเนินงาน รวมทั้งการมอบอํานาจให้ฝ่ายปกครองในการจัดทําบริการสาธารณะที่มีลักษณะทางการปกครอง และมีการกําหนดวิธีปฏิบัติงานที่รัฐกําหนดขึ้นมาเพื่อเป็นแบบแผนเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน และเป็นระบบเดียวกัน ในการบังคับบัญชา ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ไม่สามารถให้เอกชนเข้ามาดําเนินการแทนได้ และโดยมากบริการสาธารณะ ด้านการปกครองเป็นกิจกรรมที่รัฐจัดทําขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม เช่น ตํารวจทําหน้าที่ในการ รักษาความสงบสุขภายในประเทศ ทหารทําหน้าที่ในการป้องกันประเทศ ข้าราชการฝ่ายปกครองทําหน้าที่ในการ เอื้ออํานวยสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน เป็นต้น

ข้อ 3. จงอธิบายคุณลักษณะของระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ และเศรษฐกิจ และทั้งสามมีความสัมพันธ์กัน

แนวคําตอบ

คุณลักษณะของระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ และเศรษฐกิจ

ระบบราชการ ตามคํานิยามของวิเชียร วิทยาอุดม หมายถึง ระบบขนาดใหญ่ของโครงสร้าง ทางสังคมที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้รัฐ อาจเป็นชนชั้นปกครองหรือเป็นประชาชนก็ได้ เป็นสถาบันทางสังคม และการเมืองที่สําคัญและเป็นกลุ่มผลประโยชน์อย่างหนึ่งในโครงสร้างทางสังคมและการเมือง โดยถือว่าเป็น การจัดองค์การรูปแบบหนึ่งที่มีโครงสร้างระดับชั้นการทํางานที่ชัดเจน มีรูปแบบการจัดการที่เป็นเอกลักษณ์ มีการสร้างกฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับขึ้นเป็นแนวทางการทํางานอย่างเคร่งครัด เน้นการทํางานที่เป็นทางการ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ความสัมพันธ์ของผู้ปฏิบัติงานขึ้นอยู่กับตําแหน่งงานของบุคคลนั้นเป็นสําคัญ มีการทํางาน ที่เชื่องช้า ปรับตัวเชื่องช้าไม่คล่องตัว การคัดเลือก การพัฒนาบุคลากร การพ้นจากตําแหน่งมีระเบียบและ แนวทางปฏิบัติที่มีความชัดเจน รวมถึงมีการทํางานที่เป็นลายลักษณ์อักษร และไม่คํานึงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว ของปัจเจกบุคคล

รัฐวิสาหกิจ ตามนิยามของดิน ปรัชญพฤทธิ์ หมายถึง กิจการต่าง ๆ ของรัฐแต่บริหารงาน เชิงธุรกิจ กิจการของรัฐที่บริหารงานเชิงธุรกิจดังกล่าวนี้อาจรวมถึงกิจการทางด้านการสื่อสาร สาธารณูปโภค การคมนาคม สถาบันการเงิน การประกันภัย โรงกลั่นน้ํามัน โรงงานอุตสาหกรรม ศิลปวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การวิจัย ฯลฯ ซึ่งรัฐวิสาหกิจเหล่านี้อาจจะจัดตั้งภายใต้กฎหมายและกฎเกณฑ์หลายประการ เช่น จัดตั้งขึ้นโดย พระราชบัญญัติ ประกาศคณะปฏิวัติ ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

ระบบเศรษฐกิจ คือ ระบบที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่ดําเนินการในด้านต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตสินค้าและบริการที่มุ่งเน้นที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ประชาชน และนําไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ และเศรษฐกิจ

ภาครัฐมีหน้าที่ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน แต่เนื่องจากการจัดทําบริการสาธารณะใน ระบบราชการมีข้อจํากัดหลายประการ เช่น ระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ของทางราชการที่ไม่ก่อให้เกิดความคล่องตัว ในการดําเนินงานและเกิดความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ดังนั้นหากจะนําเอาระบบราชการไปจัดทําบริการสาธารณะบางประเภทที่มีลักษณะกึ่งการดําเนินธุรกิจเช่นเดียวกับการดําเนินธุรกิจของภาคเอกชนอาจทําให้เกิดความไม่เหมาะสม และไม่เกิดผลดี ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีการสร้างองค์การขึ้นมาใหม่ที่มีการดําเนินงานที่ผ่อนคลายจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของทางราชการ เรียกว่า รัฐวิสาหกิจ

รัฐวิสาหกิจเป็นหน่วยงานธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ การจัดตั้งรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลมีวัตถุประสงค์ หลายประการด้วยกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยวัตถุประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจก็คือการรักษา เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต ดังนั้นรัฐบาลจึงจัดตั้ง รัฐวิสาหกิจเพื่อเป็นเครื่องมือทางด้านเศรษฐกิจ ดังนี้

1 เป็นเครื่องมือในการดําเนินธุรกิจแทนรัฐ ในกรณีที่สังคมใดต้องการสิ่งอํานวยความสะดวก หรือบริการใหม่ ๆ ซึ่งเอกชนยังไม่มีความพร้อมในการดําเนินการหรือเอกชนดําเนินการอยู่แล้วแต่ไม่ประสบผลดี เท่าที่ควร รัฐอาจจัดตั้งรัฐวิสาหกิจเข้ามาดําเนินกิจการนั้น โดยอาจเข้ามาดําเนินการเอง หรือเข้าควบคุมหรือ ถือหุ้นข้างมากหากเอกชนดําเนินกิจการนั้น ๆ อยู่แล้วโดยมิได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิมของกิจการแต่อย่างใด เช่น กิจการโทรศัพท์และวิทยุกระจายเสียง เป็นต้น

2 เป็นตัวอย่างแก่เอกชนในการดําเนินธุรกิจ ในการดําเนินกิจการบางประเภทที่มีความสําคัญ ทางเศรษฐกิจที่เป็นบริการรากฐานที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ รัฐอาจเป็นผู้ริเริ่ม ดําเนินการก่อนด้วยเหตุผลที่ว่าเอกชนไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เชิงอุตสาหกรรมหรือพาณิชย์ในเรื่องนั้นมาก่อน จึงเกิดความไม่มั่นใจในการ “คุ้มทุน” และ “ผลกําไร” ที่จะบังเกิดขึ้นจากธุรกิจนั้น หรือไม่สนใจในการดําเนินการ เมื่อรัฐได้ดําเนินการมาระยะหนึ่งจนประสบความสําเร็จและเป็นตัวอย่างที่ดี เอกชนก็อาจจะตัดสินใจเข้ามา ดําเนินการบ้าง เช่น กิจการขนส่งมวลชน การจัดสร้างที่พักอาศัย การสร้างเส้นทางคมนาคม เป็นต้น

3 เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าและบริการ รัฐบาลจะใช้รัฐวิสาหกิจ บางประเภทเป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าและบริการบางอย่างในกรณีที่ราคาสินค้าต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะทําให้ผู้บริโภคเดือดร้อน

4 เพื่อประโยชน์ในด้านการคลังและเสริมรายได้ให้แก่รัฐ รัฐวิสาหกิจเป็นกลไกที่สําคัญ ในการรักษาเสถียรภาพด้านการเงินการคลังของประเทศ โดยรัฐบาลใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการกํากับ ฐานะดุลการคลังโดยรวมของภาครัฐด้วยการกํากับการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสากิจให้สอดคล้องกับรายได้ที่สามารถ จัดหาได้เพื่อให้มีฐานะดุลงบประมาณที่เหมาะสมกับเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพด้านการคลังของประเทศ

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายสถานการณ์ของมุมมองทรัพยากรมนุษย์ระดับมหภาค (Macro) ในสังคมไทย ทั้งในด้านคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและการพัฒนาศักยภาพของคนไทย จะสามารถช่วยยกระดับให้เป็น ทุนมนุษย์ (Human Capital) จนนําไปสู่การเตรียมความพร้อมเป็น Knowledge Worker ได้อย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษามา 1 กรณีให้เข้าใจโดยละเอียด (50 คะแนน)

แนวคําตอบ

สถานการณ์ของมุมมองทรัพยากรมนุษย์ระดับมหภาค (Macro) ในสังคมไทย

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้ประเมินสถานการณ์ ด้านทรัพยากรมนุษย์ระดับมหภาคในสังคมไทยไว้ดังนี้

1 โครงสร้างประชากรไทยเปลี่ยนแบลงเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ในขณะที่จํานวนประชากรวัยแรงงานได้เริ่มลดลงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ในภาวะที่ผลิตภาพแรงงานยังต่ำ

2 คุณภาพคนยังมีปัญหาในทุกช่วงวัยและส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกันตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่พัฒนาการไม่สมวัยในเด็กปฐมวัย ผลลัพธ์ทางการศึกษาของเด็กวัยเรียนค่อนข้างต่ํา แรงงานมีปัญหาทั้งในเรื่อง ความรู้และทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน และผู้สูงอายุมีปัญหาสุขภาพและมีแนวโน้มอยู่คนเดียว มากขึ้น

3 ครอบครัวพ่อ แม่เลี้ยงเดี่ยวและครอบครัวข้ามรุ่นมีความเปราะบางสูงส่งผลต่อการเลี้ยงดู เด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

4 คุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ

5 คนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคไม่ติดต่อมากขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต

6 คนไทยส่วนใหญ่ยังมีปัญหาด้านคุณธรรมจริยธรรม และไม่ตระหนักถึงความสําคัญของ การมีวินัย ความซื่อสัตย์สุจริต และการมีจิตสาธารณะ

จากสถานการณ์ดังกล่าว แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้กําหนดจุดเน้นในการพัฒนาศักยภาพ ของคนไทยในทุกมิติ เละในทุกช่วงวัยให้เป็นทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่มีศักยภาพสูง และเตรียมพร้อมเป็น Knowledge Worker โดยจุดเน้นในการพัฒนาศักยภาพคน มีดังนี้

1 พัฒนากลุ่มเด็กปฐมวัยให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี มีทักษะทางสมอง ทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิตและทักษะทางสังคม เพื่อให้เด็บโตอย่างมีคุณภาพ

2 หล่อหลอมให้คนไทยมีค่านิยมตามบรรทัดฐานที่ดีทางสังคม คนไทยทุกช่วงวัยเป็นคนดี มีสุขภาวะที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย มีจิตสํานึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม

3 พัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของคน มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่เหมาะสมในแต่ละ ช่วงวัยเพื่อวางรากฐานให้เป็นคนที่มีคุณภาพในอนาคต การพัฒนาทักษะสอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงาน และทักษะที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ของคนในแต่ละช่วงวัยตามความเหมาะสม เช่น เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นพัฒนาทักษะการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งการให้ความสําคัญกับการพัฒนา ให้มีความพร้อมในการต่อยอดพัฒนาทักษะในทุกด้าน มีทักษะการทํางานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน วัยแรงงานเน้นการสร้างความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับตลาดงานทั้งทักษะขั้นพื้นฐาน ทักษะเฉพาะในวิชาชีพ ทักษะการเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ ทักษะการประกอบอาชีพอิสระ วัยสูงอายุเน้น พัฒนาทักษะที่เอื้อต่อการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์

4 เตรียมความพร้อมของกําลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในกลุ่มวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต

5 ยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศในทุกระดับและยกระดับการเรียนรู้ โดย เน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ปรับระบบการจัดการเรียน การสอน และการพัฒนาคุณภาพครูทั้งระบบ รวมทั้งการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศในสาขาวิชา ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพัฒนาระบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษาให้เอื้อต่อการเตรียมคนที่มีทักษะให้พร้อม เข้าสู่ตลาดแรงงาน นอกจากนี้ต้องให้ความสําคัญกับการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย

6 สร้างเสริมให้คนมีสุขภาพดี เน้นการบรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพและการลด ปัจจัยเสี่ยงด้านสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพ โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาความรู้ในการดูแลสุขภาพ การพัฒนารูปแบบการออกกําลังกายและโภชนาการที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย การใช้มาตรการทางกฎหมาย และภาษีในการควบคุมและส่งเสริมอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ การสร้างกลไกในการจัดทํา นโยบายสาธารณะที่ต้องคํานึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่จะนําไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี

นอกจากนี้ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้กําหนดแนวทางในการพัฒนาศักยภาพคนให้เป็นทุนมนุษย์ และเตรียมความพร้อมเป็น Knowledge Worker ดังนี้

1 ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาทักษะทางสมองและทักษะทางสังคมที่เหมาะสม เช่น

– ให้ความรู้แก่พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กในเรื่องการมีโภชนาการที่เหมาะสม วิธีการ เลี้ยงดูเด็กที่จะกระตุ้นพัฒนาการเด็ก

– พัฒนาหลักสูตรการสอนที่วิ่งผลงานวิจัยทางวิชาการและปรับปรุงสถานพัฒนา เด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่เน้นการพัฒนาทักษะสําคัญด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะทางสมอง ทักษะด้าน ความคิดความจํา ทักษะการควบคุมอารมณ์ ทักษะการวางแผนและการจัดระบบ เป็นต้น

– ผลักดันให้มีกฎหมายการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ครอบคลุมทั้งการพัฒนาทักษะ การเรียนรู้เน้นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา การพัฒนาสุขภาพอนามัยให้มีพัฒนาการที่สมวัย และการเตรียมทักษะการอยู่ในสังคมให้มีพัฒนาการอย่างรอบด้าน

2 พัฒนาเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีความคิด สร้างสรรค์ มีทักษะการทํางานและการใช้ชีวิตที่พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน เช่น

– ปรับกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงสอดคล้อง กับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย เน้นพัฒนาทักษะพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านคณิตศาสตร์ ด้านศิลปะ และด้านภาษาต่างประเทศ

– สร้างแรงจูงใจให้เด็กเข้าสู่การศึกษาในระบบทวิภาคีและสหกิจศึกษาที่มุ่งการฝึก ทักษะอาชีพให้พร้อมเข้าสู่ตลาดงาน

3 ส่งเสริมแรงงานให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพที่เป็นไปตามความต้องการ ของตลาดงาน เช่น

– พัฒนาศูนย์ฝึกอบรมสมรรถนะแรงงานที่ได้มาตรฐานตามระบบคุณวุฒิวิชาชีพ และมาตรฐานฝีมือแรงงาน จัดทํามาตรฐานอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ และให้มีการประเมิน ระดับทักษะของแรงงานบนฐานสมรรถนะ

4 พัฒนาศักยภาพของกลุ่มผู้สูงอายุวัยต้นให้สามารถเข้าสู่ตลาดงานเพิ่มขึ้น เช่น

– จัดทําหลักสูตรพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับวัย สมรรถนะ ทางกาย ลักษณะงาน และส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ในการทํางานร่วมกันระหว่างรุ่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจุดเน้นและแนวทางในการพัฒนาศักยภาพคนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้เน้นการพัฒนาศักยภาพของคนไทยตั้งแต่เด็กให้มีทักษะความรู้และ ความสามารถพร้อมที่จะเป็น Knowledge Worker เมื่อเข้าสู่วัยแรงงานโดยใช้การศึกษาเป็นสําคัญ ซึ่งการศึกษา ถือเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศักยภาพคนที่ทุกประเทศต่างก็ให้ความสําคัญ ตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ ได้กําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศักยภาพคนโดยใช้การศึกษาเป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยกําหนดวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาศักยภาพคนว่า “โรงเรียนนักคิด ชาติแห่งการเรียนรู้” ซึ่งผู้นําประเทศสิงคโปร์มีความเชื่อมั่นว่า ระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพจะเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาศักยภาพของประชากรอันจะนําไปสู่การพัฒนา คุณภาพชีวิตและการพัฒนาประเทศโดยรวม

การดําเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพคนของประเทศสิงคโปร์โดยใช้การปฏิรูปการศึกษา ควบคู่กับการปฏิรูปด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านความเป็นนานาชาติ ส่งผลให้ประเทศสิงคโปร์ประสบความสําเร็จด้านศักยภาพของคนเป็นอย่างมาก โดยประเทศสิงคโปร์ได้อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันในอันดับต้น ๆ จากการจัดอันดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ UNDP และอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านศักยภาพของมนุษย์ของ IMD

ข้อ 2 ให้นักศึกษาทําให้ครบทุกข้อ

2.1 อธิบายคําว่า “คนไทย 4.0” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

คนไทย 4.0 เป็นแนวคิดในการพัฒนาคนไทยภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 เพื่อให้คนไทย เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 และเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ประเทศโลกที่หนึ่ง

คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 คือ คนไทยที่มีปัญญาที่เฉียบแหลม (Head) มีทักษะที่เห็นผล (Hand) มีสุขภาพที่แข็งแรง (Health) และมีจิตใจที่งดงาม (Heart) ซึ่งการปรับเปลี่ยนให้คนไทย เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จะครอบคลุมการปรับเปลี่ยนใน 4 มิติ ดังนี้

1 เปลี่ยนจากคนไทยที่มีความรู้ความสามารถและทักษะที่จํากัด เป็นคนไทยที่มีความรู้และทักษะสูง มีความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรม

2 เปลี่ยนจากคนไทยที่มองเน้นประโยชน์ส่วนตน เป็นคนไทยที่มีจิตสาธารณะ และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

เปลี่ยนจากคนไทยแบบ Thai-Thai เป็นคนไทยแบบ Global Thai มีความภาคภูมิใจ ” ในความเป็นไทยและสามารถยืนอย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีสากล

4 เปลี่ยนจากคนไทยที่เป็น Analog Thai เป็นคนไทยที่เป็น Digital Thai สามารถดํารงชีวิต เรียนรู้ทํางาน และประกอบธุรกิจได้อย่างเป็นปกติสุขในโลกยุคดิจิตอล

โดยเริ่มจากการเสริมสร้างให้เกิดการเจริญเติบโตในตัวคน (Growth for People) ผ่านการสร้างสังคมแห่งโอกาสเพื่อเติมเต็มศักยภาพ เมื่อคนเหล่านี้ได้รับการเติมเต็มศักยภาพอย่างเต็มที่จะกลายเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโต (People for Growth) และนําพาประเทศสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และ ยังยืนอย่างแท้จริง

แนวคิดการเสริมสร้างให้เกิด Growth for People และ People for Growth นําไปสู่ . การปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยทั้งระบบ ดังนี้

1 ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจ มีความมุ่งมั่น เพื่อให้มีชีวิตอยู่ อย่างมีพลังและมีความหมาย เช่น

– ปรับเปลี่ยนจากการเรียนแบบเฉื่อยชาเป็นการเรียนด้วยความกระตือรือร้น

– ปรับเปลี่ยนจากการเรียนตามภาคบังคับเป็นการเรียนที่เกิดจากความอยากรู้ อยากทํา และอยากเป็น

2 ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้เพื่อบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น

– ปรับเปลี่ยนฉากการเรียนรู้ในห้องเรียน ในโรงเรียน และในระบบเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียน นอกโรงเรียน และนอกระบบ

– ปรับเปลี่ยนจากการคิดในกรอบเป็นการคิดนยกกรอบ

3 ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้เพื่อปลูกฝังจิตสาธารณะ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เช่น

– ปรับเปลี่ยนจากการเน้นผลประโยชน์ร่วมเป็นการเน้นสร้างคุณค่าร่วม

– ปรับเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นความคิดสร้างสรรค์รายบุคคลเป็นการมุ่งเน้นการระดมความคิดสร้างสรรค์แบบกลุ่ม

4 การปรับเปลี่ยนการเรียนรู้เพื่อมุ่งการทํางานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เช่น

– ปรับเปลี่ยนจากการเรียนโดยเน้นทฤษฎีเป็นการเรียนที่เน้นการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา

– ปรับเปลี่ยนจากการเรียนแบบฟังบรรยายเป็นการทําโครงงานและแก้ปัญหาโจทย์ในรูปแบบต่าง ๆ

– ปรับเปลี่ยนจากการเรียนเพื่อวุฒิการศึกษาเป็นการเรียนเพื่อการประกอบอาชีพ

การพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 และการตระเตรียมคนไทย 4.0 เพื่อก้าวเข้าสู่ประเทศโลกที่หนึ่งผ่าน 4 กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวจะเป็นหัวใจสําคัญในการเปลี่ยนผ่านสังคมไทย ไปสู่ “สังคมไทย 4.0” นั้นคือ สังคมที่มีความหวัง (Hope) สังคมที่เปี่ยมสุข (Happiness) และสังคมที่มีความ สมานฉันท์ (Harmony) ในที่สุด

2.2 อธิบายคําว่า “STEM Education” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ (10 คะแนน)

แนวคําตอบ

คําว่า “STEM” หรือ “สะเต็ม” เป็นคําย่อมาจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) หมายถึง องค์ความรู้วิชาการของศาสตร์ทั้งสีที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริง ที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่าง ๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันในการดําเนินชีวิตและการทํางาน “STEM” หรือ “สะเต็ม” ถูกใช้ครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (the National Science Foundation : NSF) ซึ่งใช้คํานี้เพื่ออ้างถึงโครงการหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตามสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ ให้นิยามที่ชัดเจนของคําว่า STEM มีผลให้มีการใช้และให้ความหมายของคํานี้แตกต่างกันไป (Hanover Research 2011, p.5) เช่น มีการใช้คําว่า STEM ในการอ้างอิงถึงกลุ่มอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์

สําหรับประเทศไทย “STEAM Education” หรือ “สะเต็มศึกษา” เป็นแนวทางการจัดการศึกษา ที่บูรณาการความรู้ใน 4 สาขาวิชา ได้แก่ ทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มาใช้แก้ปัญหา ที่พบเห็นในชีวิตจริง เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นการเตรียมความพร้อม ให้กับนักเรียนในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้องค์ความรู้และทักษะกระบวนการด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ เทคโนโลยี รวมทั้งนําไปสู่การสร้างนวัตกรรมในอนาคต

การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ STEM Education เป็นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือโครงงาน ที่บูรณาการการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ผนวกกับแนวคิดการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยนักเรียน จะได้ทํากิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ความเข้าใจและฝึกทักษะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และ ได้นําความรู้มาออกแบบชิ้นงานหรือวิธีการ เพื่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจําวัน เพื่อให้ได้เทคโนโลยีซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม

การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางของ STEM Education มีลักษณะ 5 ประการ คือ

1 เป็นการสอนที่เน้นการบูรณาการ

2 ช่วยนักเรียนสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาทั้ง 4 กับชีวิตประจําวันและการประกอบอาชีพ

3 เน้นการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21

4 ท้าทายความคิดของนักเรียน

5 เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและความเข้าใจที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาทั้ง 4

ดังนั้น STEM Education จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ไม่เน้นการท่องจําทฤษฎีหรือกฎทาง วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ แต่ให้ความสําคัญกับการทําความเข้าใจเนื้อหาวิชาผ่านการปฏิบัติจริงควบคู่กับ การพัฒนาทักษะการคิด การตั้งคําถาม การแก้ปัญหา การหาข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียน สามารถนําความรู้มาใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมทั้งพัฒนากระบวนการและสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ ต่อการดําเนินชีวิตและการทํางาน

2.3 การเข้าสู่ Thailand 4.0 กับแนวคิด ทักษะในศตวรรษที่ 21 จะมีความเกี่ยวข้องกับ Knowledge Worker อย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายมาเป็นประเด็น ๆ ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

Thailand 4.0

ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจมาหลายครั้ง โดยเริ่มจาก Thailand 1.0 ที่เน้นภาคเกษตรกรรม ปสู่ Thailand 2.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมเบา และ Thailand 3.0 ที่เน้น อุตสาหกรรมหนัก อย่างไรก็ตามแม้ Thailand 3.0 จะทําให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้อง เผชิญกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” “กับดักความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง” และ “กับดักความไม่สมดุล ในการพัฒนา” ซึ่งกับดักเหล่านี้เป็นประเด็นท้าทายของประเทศไทยในปัจจุบันและนําไปสู่การปฏิรูปโครงสร้าง เศรษฐกิจเพื่อก้าวข้าม Thailand 3.0 ไปสู่ Thailand 4.0 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจาก 3 กับดักดังกล่าว พร้อม ๆ กับเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ “ประเทศในโลกที่หนึ่ง” ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในบริบทของการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 อย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทางที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้วางไว้ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากภายในควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับประชาคมโลาตามแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง” โดยขับเคลื่อนผ่านกลไก “ประชารัฐ”

Thailand 4.0 เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” ใน 3 มิติสําคัญ คือ

1 เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม

2 เปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น

3 เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม

ดังนั้น ภายใต้ Thailand 4.0 นี้ แรงงานจึงถือเป็นองค์ประกอบสําคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วย ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้ก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0 โดยเฉพาะ Knowledge Worker หรือแรงงานที่มี ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ทักษะในศตวรรษที่ 21

ทักษะในศตวรรษที่ 21 (21 Century Skills) เป็นทักษะที่จําเป็นสําหรับ Knowledge Worker ในการทํางาน รวมทั้งการปรับตัวเพื่อดํารงชีวิตอย่างมีคุณภาพในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้านหลัก ๆ ที่สําคัญ คือ

1 ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ได้แก่

– การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)

– การสื่อสารและความร่วมมือ (Communication and Collaboration)

– ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

2 ทักษะชีวิตและงานอาชีพ ได้แก่

– ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว (Flexibility and Adaptability)

– การริเริ่มสร้างสรรค์และกํากับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction)

– ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Interaction)

– การเป็นผู้สร้างผลงานหรือผลผลิตและความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Productivity and Accountability)

– ภาวะผู้นําและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility)

3 ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ได้แก่

– การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy)

– การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)

– การรู้ทันเทคโนโลยี (ICT : Information, Communication and Technology Literacy) การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

การเข้าสู่ Thailand 4.0 กับแนวคิดทักษะในศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้ภาครัฐต้องมีการวางแผน ทรัพยากรมนุษย์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยภาครัฐต้องมีการคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากร มนุษย์ขององค์การไว้ล่วงหน้าว่าต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างไร ระดับใด จํานวนเท่าใด เมื่อใด ด้วยวิธีการใด ต้องพัฒนาบุคคลในองค์การให้มีทักษะ ความรู้ความสามารถอย่างไร จะควบคุมจํานวนทรัพยากรบุคคลในองค์การ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับการดําเนินงานขององค์การได้อย่างไร รวมทั้งจะกําหนดนโยบายและระเบียบ ปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อจะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร

 

POL4100 หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4100 หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการตั้งปัญหาในการวิจัย

(1) เพื่อบรรยาย

(2) เพื่ออธิบาย

(3) เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

(4) เพื่อการทํานาย

(5) เป็นจุดมุ่งหมายทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 94 95 จุดมุ่งหมายของการตั้งปัญหาในการวิจัย มีดังนี้

1 เพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้

2 เพื่อบรรยาย

  1. เพื่ออธิบาย

4 เพื่อทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

2 ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของการวิจัย

(1) ความเป็นไปได้

(2) ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์

(3) ความสนใจของผู้วิจัย

(4) ความยากง่ายในการศึกษา

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 96 – 97 หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของการวิจัย มีดังนี้

1 ความสําคัญของปัญหา

2 ความเป็นไปได้

3 ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์

4 ความสนใจของผู้ที่จะวิจัย

5 ความสามารถที่จะทําให้บรรลุผล

3 ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้น ๆ มากําหนดความสัมพันธ์ เรียกว่าปัญหา ประเภทใด

(1) ปัญหาเชิงวิเคราะห์

(2) ปัญหาเชิงประจักษ์

(3) ปัญหาเชิงปทัสถาน

(4) ปัญหาเชิงสังเคราะห์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 97 ปัญหาเชิงประจักษ์ (Empirical Problems) คือ ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้น ๆ มากําหนดความสัมพันธ์

4 ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิด ความรู้ในเชิงวิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎ หรืออ้างอิงจากแนวคิดทฤษฎี หรือนักวิชาการ เรียกว่าปัญหาประเภทใด

(1) ปัญหาเชิงวิเคราะห์

(2) ปัญหาเชิงประจักษ์

(3) ปัญหาเชิงปทัสถาน

(4) ปัญหาเชิงสังเคราะห์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 97, (คําบรรยาย) ปัญหาเชิงปทัสถาน (Normative Problems) คือ ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิด ความรู้เชิงวิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎ หรือใช้การอ้างอิงจากตําราวิชาการ แนวคิดทฤษฎี หรือนักวิชาการ ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ มายืนยันและตรวจสอบความถูกต้อง

5 วัตถุประสงค์ในการวิจัย “เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง” เป็นวัตถุประสงค์ประเภทใด

(1) วัตถุประสงค์เชิงพรรณนา

(2) วัตถุประสงค์เชิงอธิบาย

(3) วัตถุประสงค์เชิงทํานาย

(4) วัตถุประสงค์เชิงเปรียบเทียบ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 99 – 100, (คําบรรยาย) การกําหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย มีดังนี้

1 วัตถุประสงค์เชิงพรรณนา เช่น เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น

2 วัตถุประสงค์เชิงเปรียบเทียบ เช่น เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นต้น

6 การมีส่วนร่วมทางการเมืองในวัตถุประสงค์ข้างต้น เป็นตัวแปรประเภทใด

(1) ตัวแปรอิสระ

(2) ตัวแปรแทรกซ้อน

(3) ตัวแปรต้น

(4) ตัวแปรตาม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) ตัวแปรที่กําหนดความสัมพันธ์โดยตรง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรือตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุหรือเป็นความสัมพันธ์ตั้งต้นที่ก่อให้เกิดผล เป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดตัวแปรตาม มักจะใช้สัญลักษณ์แทน เป็นตัวอักษร X เช่น ระดับการศึกษาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนน, ภูมิหลังของบุคคล,การอยู่อาศัยในท้องถิ่น เป็นต้น

2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นผลหรือเปลี่ยนแปลงตามอิทธิพลของตัวแปรอื่น มักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็นตัวอักษร Y เช่น ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ภูมิประเทศ, การมีส่วนร่วมทางการเมือง, ความพึงพอใจในการทํางาน, ประสิทธิผลในการทํางาน เป็นต้น

7 ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์เชิงพรรณนา

(1) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง

(2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี

(3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ของประชาชนกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง

(4) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ

8 กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมในการศึกษากับสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตได้ ได้แก่

(1) กรอบแนวความคิด

(2) มาตรวัด

(3) ตัวบ่งชี้เชิงประจักษ์

(4) นิยามความหมาย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 101, (คําบรรยาย) มาตรวัด (Measurement) คือ กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมในการศึกษากับสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตได้

9 วิธีการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เป็นระบบ มีเหตุมีผลและเป็นวัตถุวิสัย เพื่อที่จะบรรยาย อธิบายหรือทํานายปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้ เรียกวิธีการนั้นว่าอะไร

(1) ทฤษฎี

(2) สมมุติฐาน

(3) ศาสตร์

(4) องค์ความรู้

(5) กรอบแนวคิด

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ศาสตร์ หมายถึง วิธีการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เป็นระบบ มีเหตุมีผลและเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) เพื่อที่จะบรรยาย อธิบาย และทํานายปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้

10 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกรอบของทฤษฎีที่ผู้วิจัยคาดว่าจะเกิดขึ้นและรอการพิสูจน์ เรียกว่าอะไร

(1) ตัวแปรตาม

(2) สมมุติฐาน

(3) ศาสตร์

(4) องค์ความรู้

(5) การอบแนวคิด

ตอบ 2 หน้า 108 สมมุติฐาน (Hypothesis) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกรอบของทฤษฎีที่ผู้วิจัยคาดว่าจะเกิดขึ้น และรอการพิสูจน์ต่อไป

11 ภูมิหลังของประชากร ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา เรียกว่าตัวแปรประเภทใด

(1) ตัวแปรเชิงพัฒนา

(2) ตัวแปรมาตรฐาน

(3) ตัวแปรหลัก

(4) ตัวแปรองค์ประกอบ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 109 ตัวแปรมาตรฐาน คือ ตัวแปรที่จําเป็นต้องมีในการวิจัยทุก ๆ เรื่อง ได้แก่ คุณสมบัติของสิ่งที่ศึกษา เช่น ภูมิหลังของประชากร ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา เป็นต้น

12 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรซึ่งเมื่อตัวแปรตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปทําให้ตัวแปรอีกตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วยในลักษณะคงที่ เรียกความสัมพันธ์นั้นว่าอย่างไร

(1) ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล

(2) ความสัมพันธ์เชิงซ้อน

(3) ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง

(4) ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 114 ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรซึ่งเมื่อตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจะทําให้ตัวแปรอีกตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วยในลักษณะคงที่ เช่น ปริมาณที่ขายสินค้ากับรายได้ เป็นต้น

13 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว ที่มีทิศทางของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยไม่ทราบสําดับก่อนหลังของตัวแปร เรียกความสัมพันธ์นั้นว่าอย่างไร

(1) ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล

(2) ความสัมพันธ์เชิงซ้อน

(3) ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง

(4) ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 114 ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว ที่มีทิศทางของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยไม่ทราบลําดับก่อนหลังของตัวแปร

14 ตัวแปรที่พิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์กันโดยทราบลําดับก่อนหลังและพิสูจน์ได้ว่าไม่มีสิ่งใดมาแทรกซ้อน เรียกความสัมพันธ์นั้นว่าอย่างไร

(1) ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล

(2) ความสัมพันธ์เชิงซ้อน

(3) ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง

(4) ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 115 – 116, (คําบรรยาย) ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว โดยที่ตัวแปรสาเหตุ (x) จะต้องเกิดก่อนตัวแปรที่เป็นผล (Y) นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรที่พิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์กันโดยทราบลําดับก่อนหลังและพิสูจน์ได้ว่าไม่มีสิ่งใดมาแทรกซ้อน

15 ข้อใดเป็นสิ่งจําเป็นในการสร้างมาตรวัด

(1) นิยามปฏิบัติการ

(2) ข้อคําถาม (

3) ตัวแปร

(4) ดัชนีชี้วัด

ตอบ 5 หน้า 128, (คําบรรยาย) สิ่งจําเป็นในการสร้างมาตรวัด คือ การกําหนดนิยามปฏิบัติการของตัวแปรและตัวชี้วัดหรือดัชนีชี้วัดที่สัมพันธ์กัน ต่อจากนั้นจึงกําหนดข้อคําถามที่ตรงกับตัวชี้วัดก็จะได้มาตรวัดตัวแปรตามที่ต้องการ

16 เพศ เป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal Scale

(2) Ordinal Scale

(3) Interval Scale

(4) Ratio Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 129, (คําบรรยาย) Nominal Scale เป็นวิธีการวัดที่ง่ายที่สุด เพียงแต่การกําหนดเกณฑ์แบ่งแยกประชากรที่ศึกษาออกเป็นกลุ่ม แล้วตั้งชื่อให้แต่ละกลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกันให้อยู่ใน กลุ่มเดียวกัน ตัวเลขหรือสัญลักษณ์เป็นเพียงแต่ซื้อไม่สามารถเอามาคํานวณทางเลขคณิตได้ เช่น เพศ สถานภาพการสมรส ภูมิลําเนา อาชีพ เป็นต้น

17 อายุ เป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal Scale

(2) Ordinal Scale

(3) Interval Scale

(4) Ratio Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 129, (คําบรรยาย) Ratio Scale เป็นการวัดที่มีคุณสมบัติของมาตรวัดแบบช่วงทุกประการแต่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมคือ มีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์ที่แท้จริง เช่น อายุ น้ําหนัก ความสูง เงินเดือนรายได้ เป็นต้น

18 การศึกษา เป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal Scale

(2) Ordinal Scale

(3) Interval Scale

(4) Ratio Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 129, (คําบรรยาย) Ordinal Scale เหมือนกับการแบ่งกลุ่ม แต่สามารถจัดอันดับอัตราความแตกต่างระหว่างกันและกันได้ ซึ่งอาจใช้ข้อความว่า มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่แสดงไม่มีผลต่อการคํานวณ แต่จะบอกความสําคัญเท่านั้น ไม่สามารถบอกปริมาณและความแตกต่างได้ เช่น ระดับการศึกษา เกรด ความคิดเห็น ความพึงพอใจ เป็นต้น

19 จุดประสงค์ในการใช้สถิติ t-Test ใช้เพื่อทดสอบอะไร

(1) ทดสอบความแตกต่างระหว่างเจ้วแปรที่มี 2 กลุ่ม

(2) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม

(3) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

(4) ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 178, (คําบรรยาย) สถิติ t-Test ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่มโดยมีเงื่อนไขในการใช้คือ ต้องมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ ข้อมูลของตัวแปรตามต้องมีระดับการวัดเป็น Interval Scale ขึ้นไป และใช้เพื่อทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างตัวแปร

20 จุดประสงค์ในการใช้สถิติ F-Test ใช้เพื่อทดสอบอะไร

(1) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม

(2) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม

(3) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

(4) ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 178, (คําบรรยาย) สถิติ F-Test หรือ Oneway ANOVA ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม โดยมีเงื่อนไขในการใช้เหมือน t-Test แต่ไม่จําเป็นต้องมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ

21 จุดประสงค์ในการใช้สถิติ Correlation ใช้เพื่อทดสอบอะไร

(1) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม

(2) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม

(3) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

(4) ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 179, (คําบรรยาย) สถิติ Correlation ใช้เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยข้อมูลทั้งตัวแปรอิสระและตัวแปรตามต้องมีระดับการวัดเป็น Interval Scale แต่ไม่สามารถบอก ได้ว่าตัวใดเป็นเหตุหรือตัวใดเป็นผล ทราบแต่เพียงความสัมพันธ์ของตัวแปรและขนาดของความ สัมพันธ์เท่านั้น

22 Rating Scale เป็นมาตรวัดระดับใด

(1) Nominal Scale

(2) Ordinal Scale

(3) Interval Scale

(4) Ratio Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 130, (คําบรรยาย) Rating Scale เป็นมาตรวัดระดับ Ordinal Scale ที่ใช้ในการกําหนดค่าคะแนนให้กับข้อคําถามที่ใช้วัดตัวแปรตาง ๆ โดยมีคะแนนแตกต่างกันตามลักษณะของตัวแปร เช่น 3 5 7 9 หรือ 11 ดังนั้นการใช้ Rating Scale ผู้ให้คะแนนควรมีความรู้ในการให้คะแนนเป็นอย่างดี

23 เทคนิคการทดสอบสหสัมพันธ์เฉลี่ยระหว่างข้อ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การทดสอบทฤษฎี

(2) การทดสอบความแม่นตรงของมาตรวัด

(3) การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด

(4) ไม่มีข้อใดถูก

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 135 136, (คําบรรยาย) เทคนิคการทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด มีดังนี้

1 เทคนิคการทดสอบ (Test-Retest)

2 เทคนิคการทดสอบ แบบแบ่งครึ่ง (Split-Hal)

3 เทคนิคการทดสอบคู่ขนาน (Parallel Form)

4 เทคนิคการทดสอบ สหสัมพันธ์เฉลี่ยระหว่างข้อ (Average Inter Correlation)

24 Content Validity เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การทดสอบทฤษฎี

(2) การทดสอบความแม่นตรงของมาตรวัด

(3) การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด

(4) ไม่มีข้อใดถูก

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 139, (คําบรรยาย) Zeller & Cammines ได้จําแนกความแม่นตรงของมาตรวัด ออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ความแม่นตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)

2 ความแม่นตรงที่สัมพันธ์กับมาตรฐาน (Criterion-Related Validity)

3 ความแม่นตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity)

25 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของเครื่องมือวัด

(1) การทดสอบทฤษฎี

(2) การทดสอบความแม่นตรงของมาตรวัด

(3) การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด

(4) การมีความหมายของการวัด

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 135 – 136, 130 – 140, (คําบรรยาย) คุณภาพของเครื่องมือวัด มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้

1 ความเชื่อถือได้ (Reliability)

2 ความแม่นตรง (validity)

3 ความเป็นปรนัย (Objectivity)

4 ความแม่นยํา (Precision)

5 ความไวในการแบ่งแยก (Sensibility)

6 การมีความหมายของการวัด (Meaningfulness)

7 การนําเครื่องมือนั้นไปปฏิบัติได้ง่าย (Practicality)

8 การมีประสิทธิภาพสูง (Efficiency)

26 ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) ตัวแปรที่มีความซับซ้อนอาจใช้ดัชนีหลาย ๆ อันประกอบกัน

(2) การสร้างมาตรวัดต้องทําความเข้าใจประเภทของตัวแปร และระดับการวัดของตัวแปร

(3) มาตรวัดระดับสูงสามารถลดระดับลงมาเป็นระดับต่ำได้

(4) มาตรวัดระดับต่ําสามารถยกระดับให้สูงได้

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 129, (คําบรรยาย) ข้อสังเกตที่สําคัญของมาตรวัด คือ มาตรวัดระดับสูงนั้นสามารถลดระดับลงมาแบบต่ําได้ แต่มาตรวัดระดับต่ําไม่สามารถยกระดับให้สูงขึ้นได้

27 ท่านสามารถใกล้ชิดกับเกย์ได้เพียงใด

1 นั่งใกล้ ๆ ได้

2 กินข้าวร่วมกันได้

3 อยู่บ้านเดียวกันได้

4 นอนห้องเดียวกันได้

 

เป็นมาตรวัดประเภทใด

(1) Likert Scale

(2) Guttman Scale

(3) Semantic Differential Scale

(4) Rating Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 132 Guttman Scale เป็นคําตอบในมิติเดียว โดยแต่ละคําถามจะถูกการกลั่นกรองและเรียงลําดับ ข้อที่ได้คะแนนสูงกว่าจะมีการสะสมข้อที่ได้คะแนนน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น

คําถาม : ท่านสามารถใกล้ชิดกับเกย์ได้มากน้อยเพียงใด

คําตอบ : 1 นั่งใกล้ ๆ ได้ 2 กินข้าวร่วมกันได้ 3 อยู่บ้านเดียวกันได้ 4 นอนห้องเดียวกันได้

ถ้าตอบข้อ 1 ท่านสามารถทําข้อ 1 ได้เพียงข้อเดียว

ถ้าตอบข้อ 2 ท่านสามารถทําทั้งข้อ 1 และ 2 ได้

ถ้าตอบข้อ 3 ท่านสามารถทําทั้งข้อ 1, 2 และ 3 ได้

ถ้าตอบข้อ 4 ท่านสามารถทําได้ทุกข้อ

28 ความรู้สึกต่อชีวิตปัจจุบันของท่านเป็นอย่างไร

ชีวิตไร้ค่า …………… ชีวิตมีค่า

สิ้นหวัง ……………… มีความหวัง

เป็นมาตรวัดประเภทใด

(1) Likert Scale

(2) Guttman Scale

(3) Semantic Differential Scale

(4) Rating Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 132 133 Semantic Differential Scale เป็นมาตรวัดที่พัฒนาขึ้นโดย Osgood และคณะเพื่อศึกษามิติของความแตกต่างโดยมาจากการตัดสินคําศัพท์คู่ที่ตรงกันข้าม โดยแต่ละแนวคิดจะ ปรากฏอยู่ตรงกันข้าม ภายใต้คะแนน 7-11 และให้ผู้ตอบตัดสินแนวคิด โดยเลือกช่วงที่เหมาะสม กับความรู้สึกมากที่สุด

29 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร โดยกําหนดประเด็นที่ต้องการศึกษา และทําการค้นคว้าหาข้อมูลจากหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นการวิจัยประเภทใด

(1) Survey Research

(2) Documentary Research

(3) Field Research

(4) Experimental Research

(5) Descriptive Research

ตอบ 2 หน้า 27, (คําบรรยาย การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เป็นการวิจัยแบบหนึ่งที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ หรือสื่อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต โดย กําหนดประเด็นที่ต้อะการศึกษา และทําการค้นคว้าหาข้อมูล ซึ่งต้องใช้ทักษะด้านการอ่านมาก ที่สุดในการศึกษา จากหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือพิมพ์ เอกสารราชการ หนังสือ ตํารา คลิป YouTube รวมไปถึงหลักฐาน/เอกสารทางประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุและ สิ่งปรักหักพัง ศิลาจารึก เป็นต้น

30 ผู้วิจัยสามารถควบคุมตัวแปรต่าง ๆ โดยวิธีกําหนดกลุ่มควบคุมและกลุ่มเปรียบเทียบเพื่อให้การวิจัยมีความเชื่อถือได้สูง เป็นการวิจัยประเภทใด

(1) Survey Research

(2) Documentary Research

(3) Field Research

(4) Experimental Research

(5) Descriptive Research

ตอบ 4 หน้า 27, (คําบรรยาย) การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมและตัวแปรต่าง ๆ โดยวิธีกําหนดกลุ่มควบคุมและกลุ่มเปรียบเทียบ เพื่อให้การวิจัยมีความเชื่อถือได้สูง ซึ่งวิธีการวิจัยในลักษณะนี้แทบจะไม่ค่อยได้นํามาใช้ในทางรัฐศาสตร์ แต่มักจะถูกนํามาใช้มากในทางศึกษาศาสตร์

31 การวิจัยโดยจัดทําแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของหน่วยในการศึกษา เป็นการวิจัยประเภทใด

(1) Survey Research

(2) Documentary Research

(3) Field Research

(4) Experimental Research

(5) Descriptive Research

ตอบ 1 หน้า 28, (คําบรรยาย) การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) เป็นการวิจัยเพื่อเก็บข้อมูลพื้นฐานในด้านต่าง ๆ โดยจัดทําแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของหน่วยใน การศึกษา ซึ่งการวิจัยนี้จะไม่เน้นการอธิบายหรือวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกิดขึ้นของข้อมูลแต่จะมุ่งเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตเห็นได้ง่าย

32 การวิจัยที่ผู้วิจัยเลือกหมู่บ้านในหมู่บ้านหนึ่ง หรือพื้นที่ในพื้นที่หนึ่งเพื่อทําการศึกษา เพื่อให้เข้าใจในพื้นที่นั้น ๆเป็นการวิจัยประเภทใด

(1) Survey Research

(2) Documentary Research

(3) Field Research

(4) Experimental Research

(5) Descriptive Research

ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวิจัยสนาม (Field Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเลือกหมู่บ้านในหมู่บ้านหนึ่งหรือพื้นที่ในพื้นที่หนึ่งเพื่อทําการศึกษา เพื่อให้เข้าใจในพื้นที่นั้น ๆ โดยการวิจัยประเภทนี้มีข้อจํากัด อยู่ว่า ไม่สามารถนําม” ขยายผลในพื้นที่อื่นได้ เพราะผลการวิจัยเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่แต่มีข้อดีคือ เข้าใจตัวอย่างที่ศึกษาได้อย่างละเอียด ครอบคลุมในทุกประเด็นที่ต้องการศึกษา

33 การวิจัยเพื่อมุ่งหาข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เท่านั้น ไม่ต้องการอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการวิจัยประเภทใด

(1) Survey Research

(2) Documentary Research

(3) Field Research

(4) Experimental Research

(5) Descriptive Research

ตอบ 5 หน้า 26 – 27, (คําบรรยาย) การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เป็นการวิจัยเพื่อมุ่งหาข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายว่าปรากฏการณ์ที่ศึกษานั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือมีปัจจัยอะไรที่ทําให้เกิด

34 ข้อใดที่การสุ่มตัวอย่างไม่สามารถเป็นตัวแทนประชากรทั้งหมดได้

(1) การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย

(2) การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ

(3) การเลือกตัวอย่างแบบกําหนด โควตา

(4) การสุ่มตัวอย่างแบบแยกประเภทสุ่ม

(5) การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งเป็นกลุ่ม

ตอบ 3 หน้า 146, (คําบรรยาย) การกําหนดกลุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น เป็นการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เจตนาใช้ความสะดวก หรือความสนใจของผู้วิจัยเป็นหลัก ซึ่งไม่สามารถ เป็นตัวแทนประชากรทั้งหมดได้ เช่น การเลือกตัวอย่างแบบกําหนดโควตา การเลือกตัวอย่าง โดยใช้ผู้เชียวชาญระบ การเลือกตัวอย่างแบบลูกโซ่ เป็นต้น

35 ข้อใดเป็นสถิติอนุมาน

(1) การแจกแจงความถี่

(2) การวัดการกระจาย

(3) การประมาณค่า

(4) ไม่มีข้อใดถูก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 158 – 160 สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) แบ่งออกเป็น 3 เทคนิคย่อย ได้แก่

1 การประมาณค่า

2 การทดสอบสมมุติฐาน

3 การกระจายของกลุ่มประชากร

36 ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการทราบขอบข่ายและแนวทางของการศึกษารัฐศาสตร์ก่อนที่จะศึกษาถึงการวิจัยทางรัฐศาสตร์

(1) เพื่อให้ทราบว่ารัฐศาสตร์คืออะไร

(2) เพื่อช่วยในการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย

(3) เพื่อช่วยให้เลือกวิธีการที่เหมาะสมได้

(4) เพื่อช่วยให้ประเมินจุดดีจุดด้อยของงานวิจัย

(5) เป็นทางลัดที่สามารถทําให้ทราบผลการวิจัยก่อนที่จะลงมือเก็บข้อมูลได้

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประโยชน์ของการทราบขอบข่ายและแนวทางของการศึกษารัฐศาสตร์ก่อนที่จะ ศึกษาถึงการวิจัยทางรัฐศาสตร์ มีดังนี้

1 เพื่อให้ทราบว่ารัฐศาสตร์คืออะไร

2 เพื่อช่วยในการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย

3 เพื่อช่วยให้เลือกวิธีการที่เหมาะสมได้

4 เพื่อช่วยให้บระเมินจุดดีจุดด้อยของงานวิจัย เป็นต้น

37 การศึกษารัฐศาสตร์แนวการวิเคราะห์เชิงสถาบันนิยมเน้นองค์ความรู้ใดมากที่สุด

(1) กฎหมาย

(2) ปรัชญา

(3) ชีววิทยา

(4) จิตวิทยา

(5) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 60, (คําบรรยาย) แนวการวิเคราะห์แบบสถาบันนิยม (Institutionalism/Institutional Approach) เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ที่เน้นหนักในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ และอิทธิพลของ โครงสร้างทางการเมืองที่มีต่อการเมือง โดยเชื่อว่าโครงสร้างทางการเมืองหรือสถาบันทางการเมือง ต่าง ๆ เป็นตัวกําหนดพฤติกรรมของมนุษย์ นักรัฐศาสตร์สมัยใหม่แนวสถาบันนิยม ได้แก่

1 เฮอร์มัน ไฟเนอร์ (Herกาan Finer) ผู้เขียนงานเรื่อง The Theory and Practice of Modern Government

2 วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ผู้เขียนงานเรื่อง Congressional Government : A Study in American Politics เป็นต้น

38 นักรัฐศาสตร์คนใดเป็นคนกล่าวว่า “การเมืองคือการใช้อํานาจในการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม”

(1) Rousseau

(2) J.D.B. Miller

(3) William McKinley

(4) Harold Lasswell

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 5 (คําบรรยาย) David Easton กล่าวว่า “การเมืองคือการใช้อํานาจในการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม” โดยคําว่าคุณค่าในสังคมนั้นหมายถึง ทรัพยากรและผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่นํามาจัดสรรกัน เช่น อํานาจหน้าที่ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

39 ตัวเลือกข้อใดไม่ใช่ประเภทของ Approach ตามการจัดแบ่งของ Alan C. Isaak

(1) Behavioral Approach

(2) Group Approach

(3) Political Philosophy Approach

(4) Power Approach

(5) Communication Approach

ตอบ 3 (คําบรรยาย) Alan – Isaak แบ่งประเภทของแนวการวิเคราะห์หรือแนวทางการศึกษา (Approach) วิชารัฐศาสตร์ ออกเป็น 5 แนวทาง ได้แก่

1 Behavioral Approach

2 Group Approach

3 System Theory and Functional Analysis Approach

4 Communicatior Approach

5 Power Approach

40 Approach ใดที่มีลักษณะของการใช้ค่านิยมส่วนตัวของผู้ศึกษามากที่สุด

(1) Group Approach

(2) Political Philosophy Approach

(3) System Theory

(4) Developmental Approach

(5) Power Approach

ตอบ 2 (คําบรรยาย) การศึกษาแนวปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) นับว่าเป็นแนวที่เก่าแก่ที่สุดของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งการศึกษาแนวนี้มีลักษณะเป็นการพรรณนาหรือ อธิบาย พร้อมทั้งมีการให้คําแนะนําหรือเสนอมาตรการเอาไว้ด้วย และยังเป็นการศึกษาแนวปทัสถาน (Normative) คือ มีลักษณะของการใช้ค่านิยมส่วนตัวของผู้ศึกษามากที่สุด

41 Positivism เป็นการศึกษาทางรัฐศาสตร์ โดยเน้นหนักในเรื่องอะไรต่อไปนี้มากที่สุด

(1) อธิบายกฎหมาย

(2) อธิบายโครงสร้างสถาบันทางการเมือง

(3) อธิบายปฏิสัมพันธ์ของกลุ่ม

(4) ศึกษาสิ่งที่แน่นอนและสามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 92, (คําบรรยาย) ปฏิฐานนิยม (Positivism) ได้แก่ แนวคิดที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือการวิจัยเชิงปริมาณเป็นเครื่องมือ โดยมีความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยเน้นศึกษาสิ่งที่แน่นอนและมนุษย์สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5

42 Talcott Parsons เกี่ยวข้องกับการศึกษาในลักษณะใดมากที่สุด

(1) เน้นศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์เท่านั้น

(2) เน้นการศึกษากลุ่มทางการเมือง

(3) ศึกษาทฤษฎีพัฒนาการทางการเมือง

(4) ศึกษาเชิงโครงสร้างหน้าที่

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) แนวการศึกษาเชิงโครงสร้างและหน้าที่ (Structural-Functional Approach)เป็นแนวการศึกษาที่มีวิวัฒนาการมาจากการวิเคราะห์เชิงสถาบัน โดยเริ่มขยายขอบเขตการ วิเคราะห์จากสถาบันที่เป็นทางการ และเป็นรูปธรรมมากไปสู่การวิเคราะห์สถาบันที่เป็นรูปธรรมน้อย นักวิชาการแนวนี้ ได้แก่ Talcott Parsons

43 Behaviorism เกี่ยวข้องกับตัวเลือกใดต่อไปนี้

(1) Charles Merriam

(2) Plato

(3) Aristotle

(4) 3.3. Rousseau

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 1 (คําบรรยาย) แนวการศึกษาเชิงพฤติกรรมหรือพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) หรือที่เรียกว่า“พฤติกรรมทางการเมือง” นั้นไม่ได้เป็นวิธีการศึกษาที่ครอบคลุมเฉพาะการกระทําทางการเมือง ของบุคคลที่แสดงออกให้เห็นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแรงจูงใจและทัศนะ ซึ่งจะช่วยแสดงให้เห็น ถึงเอกลักษณ์ทางการเมืองของบุคคล ตลอดจนข้อเรียกร้อง ความคาดหวัง ระบบความเชื่อ ค่านิยม และจุดมุ่งหมายทางการเมืองของบุคคลนั้น นักรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแนวการศึกษานี้ Bruni Charles Merriam, G.E.G. Catlin wax William B. Munro

44 Approach ใดต่อไปนี้เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ในยุค Classic

(1) Behaviorism

(2) Communication Approach

(3) Power Approach

(4) Developmental Approach

(5) Political Philosophy Approach

ตอบ 5 หน้า 14, (คําบรรยาย) ยุคคลาสสิค (Classical Period) เป็นยุคแรกเริ่มของการศึกษาการเมืองไม่มีการแยกสาขาของความรู้ โดยถือกําเนิดจากยุคกรีกซึ่งเกิดจากคําถามพื้นฐานของมนุษย์กับ รัฐและผู้มีอํานาจ เช่น ผู้นําที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร การเมืองที่ดีควรจะเป็นอย่างไร ฯลฯ ซึ่ง ความเป็นสากลของคําถามพื้นฐานเหล่านี้สามารถตั้งคําถามชุดเดียวกันโดยไม่จํากัดกรอบเวลา หรือวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมีคําตอบได้หลากหลาย ดังนั้นการศึกษารัฐศาสตร์ในยุคนี้จึงมีลักษณะเป็นการศึกษาแนวปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach)

45 ตัวเลือกใดเกี่ยวข้องกับยุคพฤติกรรมศาสตร์

(1) อธิบายเฉพาะสิ่งที่สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส

(2) ใช้แต่เหตุผลเป็นหลัก

(3) ศึกษาปรากฏการณ์

(4) เน้นพรรณนาปรากฏการณ์

(5) เน้นทํานายปรากฏการณ์

ตอบ 5 หน้า 17, (คําบรรยาย) ยุคพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Period) เป็นยุคที่นําแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิทยาตลอดจนสาขาความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบอื่น ๆ มาใช้ศึกษาการเมืองอย่างจริงจัง โดย จะเน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมืองหรือพฤติกรรมทางการเมือง การตัดสินใจทางการเมือง ไม่เน้นพรรณนาบรรยายอย่างในยุคก่อนหน้า ซึ่งในยุคนี้รัฐศาสตร์ถูกเรียกว่า วิทยาศาสตร์การเมือง (Political Science)

46 การวิจัยเชิงเอกสารนั้นใช้ทักษะด้านใดมากที่สุด

(1) การสังเกต

(2) การสอบถาม

(3) การอ่านเอกสาร

(4) หลักฐานเชิงประจักษ์

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 29 ประกอบ

47 Explanation คืออะไร

(1) การทํานายถึงสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้น

(2) การอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ

(3) การคาดเดาสิ่งต่าง ๆ ล่วงหน้า

(4) การคาดคะเนตัวแปรต่าง ๆ

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 2 หน้า 94 จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่ออธิบาย (Explanation) เป็นการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน โดยอธิบายว่าตัวแปรใดเป็นสาเหตุให้เกิดผล ตามที่มุ่งหวังไว้ เช่น การศึกษาปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาระบบประชาธิปไตย ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เป็นต้น

48 ข้อใดไม่ผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย

(1) คัดบางส่วนของงานวิจัยอื่น ๆ ประมาณ 80% มาเขียนในงานวิจัยตัวเองแต่มีการทําอ้างอิง

(2) เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะเจาะจง หรือเป็นรายบุคคล

(3) เลือกที่จะนําเสนอข้อมูลเพื่อให้ผลออกมาตรงกับสมมุติฐาน

(4) ปรับผลงานวิจัยเพื่อจุดประสงค์ของนักวิจัยเอง

(5) ทุกข้อผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย

ตอบ 5 (คําบรรยาย) การกระทําที่ผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย เช่น

1 คัดบางส่วนของงานวิจัยอื่น ๆ ประมาณ 80% มาเขียนในงานวิจัยตัวเองแต่มีการทําอ้างอิง

2 เผยแพร่ข้อมูลในล้าษณะเจาะจงบุคคลหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

3 เลือกที่จะนําเสนอข้อมูลเพื่อให้ผลออกมาตรงกับสมมุติฐาน

4 ปรับผลงานวิจัยเพื่อจุดประสงค์ของนักวิจัยเอง เป็นต้น

49 ข้อใดไม่ใช่ชนิดของเอกสารการวิจัย

(1) หนังสือ

(2) ตํารา

(3) บทความที่ลงในวารสาร

(4) ข้อ 1 กับข้อ 2 ไม่ใช่ชนิดของเอกสารการวิจัย

(5) ข้อ1, 2, 3 ไม่ใช่ชนิดของเอกสารการวิจัย

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ชนิดของเอกสารการวิจัย มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

1 รายงานการวิจัยทั่วไป

2 วิทยานิพนธ์

3 บทความที่ลงในวารสาร

4 บทความที่ลงในหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนชนิดอื่น เช่น วิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น

50 ข้อใดไม่ใช่ข้อจํากัดของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์

(1) เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม

(2) มีความซับซ้อนเกินกว่าจะทํานายได้

(3) ไม่สามารถศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองของมนุษย์ได้

(4) ไม่สามารถทดลองในห้องปฏิบัติการได้

(5) ทุกข้อคือข้อจํากัดของการวิจัยแบบสมัยใหม่

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ข้อจํากัดของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ ได้แก่

1 พฤติกรรมมนุษย์มีลักษณะไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาพแวดล้อม

2 พฤติกรรมมนุษย์มีความซับซ้อนเกินกว่าจะทํานายได้

3 ไม่สามารถนําเอามนุษย์มาทดลองในห้องปฏิบัติการได้

4 การสัมภาษณ์จากมนุษย์เชื่อถือไม่ได้ ฯลฯ

51 ข้อใดเป็นจุดมุ่งหมายของการศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตร์แบบพฤติกรรมศาสตร์

(1) พรรณนากิจกรรมทางการเมือง

(2) ทํานายพฤติกรรมทางการเมือง

(3) ให้คําแนะนําแก่ผู้บริหารหรือนักการเมืองในการกําหนดนโยบาย

(4) อธิบายกิจกรรมทางการเมือง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตร์แบบพฤติกรรมศาสตร์ คือ

1 เพื่อพรรณนาและอธิบายกิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมือง

2 เพื่อทํานาย / คาดคะเนพฤติกรรมหรือกิจกรรมทางการเมือง

3 เพื่อให้คําแนะนําแก่ผู้บริหาร นักการเมืองและบุคคลอื่น ๆ ในการตัดสินใจการกําหนดนโยบาย และในการปฏิบัติงาน

52 ขั้นตอนแรกสุดของการเริ่มทําการวิจัยคืออะไร

(1) ตั้งสมมุติฐาน

(2) สังเกต

(3) กําหนดชื่อเรื่อง

(4) สอบถามจากผู้รู้ในประเด็นที่เป็นปัญหา

(5) พิจารณาทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

ตอบ 2 หน้า 8 – 9, (คําบรรยาย) การสังเกตและระบุปัญหา (Observation and Problem Identification/Problem Statement) เป็นขั้นตอนแรกสุดของการเริ่มต้นทําการวิจัย โดย ผู้วิจัยจะสังเกตและตั้งคําถามเกี่ยวกับสิ่งรอบ ๆ ตัว หรือปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่งที่ นักวิจัยประสบปัญหาอุปสรรคในสภาพแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อพบปัญหาพวกเขาจะ คิดไตร่ตรองว่าปัญหาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และรู้สึกคับข้องใจจนต้องการที่จะหาคําตอบว่าสาเหตุที่มาและสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปในอนาคตจะเป็นเช่นไร

53 การตั้งสมมุติฐาน คืออะไร

(1) การใช้ตาดูปรากฏการณ์ต่าง ๆ

(2) การพิจารณาจากเอกสาร

(3) การลงไปเก็บข้อมูลแบบมีส่วนร่วม

(4) การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า

(5) การคาดเดาคําตอบเพื่อเป็นแนวทางในการหาข้อมูล

ตอบ 5 หน้า 9, 90, (คําบรรยาย) การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) คือ การคาดเดาคําตอบไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางในการหาข้อมูลหรือเป็นการตีกรอบในการศึกษา และเป็นการนําทางในการ ค้นหาคําตอบของตัวผู้วิจัยเองในเบื้องต้น ทั้งนี้จะต้องอาศัยเหตุผลหรือประสบการณ์หรือความรู้เท่าที่ตนมี หรืออาจจะนํามาจากทฤษฎีที่นักวิจัยก่อนหน้าใช้อธิบาย ซึ่งในการวิจัยเชิงคุณภาพ อาจจะมีหรือไม่มีสมมุติฐานก็ได้ นอกจากนี้สมมุติฐานที่ดีจะต้องเขียนได้ชัดเจนสัมพันธ์กับเรื่อง และคําถามการวิจัยหรือปัญหาการวิจัย เช่น

คําถามการวิจัย : ทําไมน้ำจึงท่วมในเขตกรุงเทพมหานครง่ายมาก

สมมุติฐาน : พื้นที่ของกรุงเทพมหานครต่ำกว่าระดับน้ำทะเล น้ำจึงท่วมง่ายมาก เป็นต้น

54 ตัวเลือกใดอยู่ในขั้นตอนของการวางแผนการวิจัย

(1) เลือกวิธีการเก็บข้อมูล

(2) เก็บรวบรวมข้อมูล

(3) แปลความหมายข้อมูล

(4) วิเคราะห์ข้อมูล

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ขั้นตอนของการวางแผนการวิจัย ได้แก่

1 การกําหนดชื่อเรื่อง ปัญหา และจุดมุ่งหมายของการวิจัย

2 การกําหนดสมมุติฐานการวิจัย

3 การกําหนดและนิยามตัวแปร

4 การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างคร่าว ๆ

5 การกําหนดวิธีการวิจัยหรือการออกแบบการวิจัย (เลือกใช้วิธีการวิจัย เครื่องมือและวิธีการเก็บข้อมูล, กําหนดวิธีการเลือกตัวอย่าง ฯลฯ)

6 การแก้ไขปรับปรุงแบบแผนการวิจัย หรือโครงการเสนอเพื่อการวิจัยหรือโครงการวิจัย

55 สิ่งใดสําคัญที่สุดสําหรับ Documentary Research

(1) การทําสําเนาเอกสารที่ใช้ทั้งหมดทุกชิ้น

(2) ปริมาณของเอกสารที่จําเป็นต้องอ่านเพื่อให้ครอบคลุมกับปัญหา

(3) จัดลําดับความสําคัญด้วยการบันทึกเป็นลายมือเท่านั้น

(4) อ่านเอกสารให้ได้มากที่สุด

(5) ต้องมีการอ้างอิงทุกครั้ง

ตอบ 5 (คําบรรยาย) สิ่งสําคัญที่สุดสําหรับการทําวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ก็คือ ถ้ามีการนําข้อความหรือข้อเขียนของบุคคลอื่นมาใช้อ้างอิงในงานวิจัยของตนเองเกิน 3 ประโยคขึ้นไป ผู้วิจัยจะต้องมีการอ้างอิงทุกครั้ง โดยระบุแหล่งที่มาของเอกสารหรือสิ่งพิมพ์เหล่านั้นว่า มีที่มาจากไหน ใครเป็นผู้เขียน เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือและเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าของผลงาน ที่เขาได้ทําเอาไว้ก่อนแล้ว

ตั้งแต่ข้อ 56 – 66 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม

(1) Unit of Analysis

(2) Independent Variable

(3) Dependent Variable

(4) Intervening Variable

(5) Qualitative Research

 

56 ตัวแปรแทรกซ้อน

ตอบ 4 หน้า 111, (คําบรรยาย) ตัวแปรแทรกซ้อน (Intervening Variable) เป็นตัวแปรประเภทหนึ่งที่จะอยู่ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ซึ่งเป็นตัวแปรที่ไม่ต้องการศึกษา แต่มีอิทธิพลต่อ ตัวแปรที่ทําการศึกษาโดยผู้วิจัยไม่ทราบล่วงหน้า และไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิตใจของมนุษย์ หรือสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปมาจนยากแก่การควบคุม

57 เป็นความสัมพันธ์ตั้งต้นที่ก่อให้เกิดผล

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ

58 หน่วยในการวิเคราะห์

ตอบ 1 หน้า 141 – 142, (คําบรรยาย) หน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) หมายถึง หน่วยของสิ่งที่นักวิจัยนําลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่ง ๆ นั้นมาวิเคราะห์ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 6 ระดับ คือ

1 ระดับปัจเจกบุคคล (เช่น เพศ อายุ การศึกษา)

2 ระดับกลุ่ม (เช่น รายได้เฉลี่ย อายุเฉลี่ย)

3 ระดับองค์การ (เช่น บริษัท สํานักงาน มหาวิทยาลัย)

4 ระดับสถาบัน (เช่น สถาบันการเมือง สถาบันครอบครัว)

5 ระดับพื้นที่ (เช่น ผ้าบล อําเภอ จังหวัด)

6 ระดับสังคม (เช่น ประเทศ) ดังนั้นเวลาต้องการจะเปรียบเทียบจะต้องเลือกหน่วยที่จะศึกษาให้เป็นแบบเดียวกัน นั่นคือ ไม่สามารถกระทําข้ามหน่วยหรือคนละหน่วยกันได้

59 มักใช้สัญลักษณ์แทนเป็นตัวอักษร Y โดยสิ่งนี้มันจะเป็นผลของสาเหตุ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ

60 ไม่สามารถกระทําข้ามหน่วยหรือคนละหน่วยกันได้

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58 ประกอบ

61 ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ผลกระทบนี้คือตัวแปรประเภทใด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ

62 เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามอิทธิพลของสิ่งอื่น ๆ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ

63 ตัวแปรอิสระ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ

64 จิตใจของมนุษย์ หรือสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปมาจนยากแก่การควบคุม

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56 ประกอบ

65 การวิจัยเชิงเอกสาร

ตอบ 5 หน้า 28 (คําบรรยาย) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) คือ การจัยที่มีคุณภาพดีและไม่เน้นจํานวนหรือปริมาณ ซึ่งความหมายของข้อมูลในที่นี้ก็คือ ข้อมูลที่ไม่ได้วัดออกมาเป็น ตัวเลข การวิจัยในลักษณะดังกล่าวนั้นมีความสัมพันธ์กับการเก็บข้อมูลโดยการล้วงความลับหรือ การตะล่อมกล่อมเกลา (Probe) รวมทั้งการวิจัยเชิงเอกสาร เช่น การศึกษาความคิดทางการเมือง ของนักการเมือง โดยผู้วิจัยได้ทําการศึกษาความคิดทางการเมืองของนักการเมือง ผ่านเอกสารที่บันทึกคําสัมภาษณ์ของเขา ซึ่งได้แก่ หนังสือพิมพ์ บทความในนิตยสาร เป็นต้น

66 Probe

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 65 ประกอบ

67 – 76 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม

(1) Research Question

(2) Research Title

(3) Hypothesis

(4) Approach

(5) Conceptual Framework

 

67 สมมุติฐาน

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 53 ประกอบ

68 ห้ามตั้งในลักษณะปลายปิด

ตอบ 1 หน้า 63 – 64, (คําบรรยาย) คําถามการวิจัย (Research Question) หมายถึง อําถามที่ต้องการหาคําตอบจากปรากฏการณ์ที่นํามาศึกษาวิจัย โดยจะต้องเป็นคําถามที่ยังไม่มีคําตอบ หรือเป็นคําถามที่ไม่สามารถหาคําตอบได้โดยง่าย หรือมีคําตอบแต่ยังไม่ชัดเจน ใช้คําถามปลายเปิดเป็น ส่วนใหญ่ ไม่ควรตั้งในลักษณะปลายปิด และจะต้องเป็นคําถามที่น่าสนใจที่จะหาคําตอบด้วย ซึ่งคําถามในการวิจัยนั้นมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่

1 คําถามประเภท “อะไร” เช่น ทฤษฎีในการพัฒนาเศรษฐกิจมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ฯลฯ

2 คําถามประเภท “ทําไม” เช่น ทําไมน้ำจึงท่วมในเขตกรุงเทพมหานครง่ายมาก ฯลฯ

3 คําถามประเภท “อย่างไร” เช่น ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้อย่างไร ฯลฯ

69 เนื่องจากพื้นที่ของกรุงเทพต่ำกว่าระดับน้ำทะเล น้ำจึงท่วมง่ายมาก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 53 ประกอบ

70 นโยบายจํานําข้าวในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ชื่อเรื่องในการวิจัย (Research Title) หมายถึง หัวข้อเรื่องที่ผู้วิจัยจะทําการ – ศึกษาวิจัย มักจะมาจากคําถามหรือปัญหาในการวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องกินใจความและสาระสําคัญทั้งหมดของการวิจัย โดยการเขียนชื่อเรื่องจะไม่เขียนเป็นประโยค ไม่ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า หรือประโยคคําถาม แต่จะเขียนเป็นวลี และจะไม่ใช้ตัวย่อในการเขียนชื่อเรื่อง เช่น ความรู้ความ เข้าใจของคนรากหญ้าที่มีต่อระบอบประชาธิปไตย, นโยบายจํานําข้าวในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์,บทบาทของมหาวิทยาลัยรามคําแหงในการพัฒนาประชาธิปไตย เป็นต้น

71 เป็นสิ่งที่ต้องกินใจความและสาระสําคัญทั้งหมดของการวิจัย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

72 Rational Choice Theory

ตอบ 4 หน้า 53, 55, (คําบรรยาย) แนวการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบหรือเค้าโครงทางความคิดอย่างกว้าง ๆ อันเป็นพื้นฐานในการพรรณนาความหรือการอธิบายหรือการวิเคราะ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ โดยใน Approach หนึ่ง ๆ จะประกอบไปด้วยสมมุติฐานเบื้องต้น เกี่ยวกับการเมืองในเรื่องนั้นๆ ตลอดจนทฤษฎีต่าง ๆ จํานวนมาก รวมถึงแนวทางในการศึกษาเรื่อง นั้น ๆ เช่น ทฤษฎีเกม (Game Theory), ทฤษฎีการตัดสินใจเลือกอย่างมีเหตุมีผล (Rational Choice Theory), ทฤษฎีระบบ (System Theory), แนวการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง (Structural Approach) เป็นต้น

73 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่ใช้อธิบายในงานวิจัยนั้น

ตอบ 5 หน้า 69 70, (คําบรรยาย) กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framework) เป็นขั้นตอนของการนําเอาประเด็นที่ต้องการทําวิจัยมาเชื่อมโยงกับแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในรูปของคําบรรยาย แบบจําลองแผนภาพ และเป็นการสรุปความคิดรวบยอดของผู้ทําวิจัยเพื่อชี้ให้เห็นว่าการวิจัยจะมีรูปแบบและทิศทางใด ตลอดจนมีลักษณะที่เป็นการสรุปภาพรวมทั้งหมด พร้อมชี้ให้เห็นว่าตัวแปรต่าง ๆ ที่ใช้อธิบายในงานวิจัยนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไร

74 ในการวิจัยคุณภาพอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 53 ประกอบ

75 ทําไมน้ำจึงท่วมในเขตกรุงเทพมหานครง่ายมาก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 68 ประกอบ

76 Structural Approach

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 72 ประกอบ

 

ตั้งแต่ข้อ 77 – 86 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม

(1) Population

(2) Sample

(3) Documentary Research

(4) Questionnaire

(5) Structured Interview

 

77 แบบสอบถามที่นําไปแจกเพื่อให้ครบจํานวน

ตอบ 4 หน้า 72 – 73, (คําบรยาย) แบบสอบถาม (Questionnaire) ถือเป็นเครื่องมือที่สําคัญและนิยมใช้กันมากในการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยเฉพาะการวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) และเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการสํารวจผู้ให้ข้อมูลที่มีเป็นจํานวนมาก ซึ่งมักจะนําไปใช้เก็บข้อมูลจากกลุ่มประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างในเรื่องต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ความคิดเห็น ความนิยม ความพึงพอใจ ทัศนคติหรือเจตคติ เป็นต้น โดยผู้ให้ข้อมูลจะเป็นผู้ตอบข้อคําถามหรือเป็นผู้กรอกข้อมูลเองในแบบสอบถามด้วยตนเอง ซึ่งชนิดของแบบสอบถามนั้นมีทั้งแบบปลายปิด (Close-Ended Questionnaire) และแบบปลายเปิด (Open-Ended Questionnaire)

78 การอ่านจากศิลาจารึก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 29 ประกอบ

79 การใช้สูตรคํานวณเพื่อหาตัวแทน

ตอบ 2 หน้า 144 – 146, (คําบรรยาย) กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายถึง กลุ่มย่อยของประชากรที่ผู้วิจัยเลือกมาใช้ในการศึกษา โดยผู้วิจัยจะต้องทําการเลือกหรือการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) เพื่อ ให้ได้มาซึ่งตัวแทนที่ดีของประชากรทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องอาศัยเทคนิควิธีการสมตัวอย่างและ ขนาดของตัวอย่างเพื่อหาตัวแทนของประชากร เช่น การใช้สูตรคํานวณของทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane), การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งเป็นกลุ่ม (Cluster), การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ (Systematic), การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental) ฯลฯ

80 เป็นสิ่งที่ผู้ให้ข้อมูลจะต้องกรอกเอง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

81 Cluster, Systematic, Accidental ฯลฯ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 79 ประกอบ

82 มีการกําหนดคําถามไว้ก่อน

ตอบ 5 หน้า 72 (คําบรรยาย) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นวิธีการสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยมีการกําหนดคําถามไว้ก่อนอย่างชัดเจนในแบบสัมภาษณ์ (Interview Form) โดยจัดทํารายละเอียดเหมือนแบบสอบถาม แต่จะถามโดยผู้สัมภาษณ์ ซึ่งผู้สัมภาษณ์ / ผู้ถามจะถามข้อมูลตามสิ่งที่กําหนด สิ่งที่นอกเหนือจะไม่สนใจ และจะต้องจดคําตอบด้วยตนเอง

83 เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสํารวจผู้ให้ข้อมูลที่มีเป็นจํานวนมาก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

84 ผู้ถามจะถามข้อมูลตามสิ่งที่กําหนด สิ่งที่นอกเหนือจะไม่สนใจ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

85 จํานวน นศ. ทั้งหมดของรามคําแหง

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ที่สมาชิกทุกหน่วยของสิ่งนั้นเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา เช่น จํานวนนักศึกษาทั้งหมดของมหาวิทยาลัยรามคําแหง, ชาวนาทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น

86 มีทั้งแบบปลายปิดและปลายเปิด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

87 ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงกระบวนการ “วิจัย” ได้อย่างเหมาะสม

(1) วิธีการค้นคว้าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลทางสถิติ

(2) วิธีการค้นคว้าด้วยการเก็บรวบรวม

(3) กระบวนการค้นหาคําตอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

(4) กระบวนการค้นหาคําตอบด้วยวิธีการคาดการณ์ล่วงหน้า

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 3 หน้า 181, (คําบรรยาย) กระบวนการ “วิจัย” หมายถึง วิธีการ ขั้นตอน และกระบวนการค้นหาคําตอบของปัญหาใดปัญหาหนึ่งอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

88 คําสําคัญ (Key words) ในข้อใดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเขียนรายงานการวิจัย

(1) นวัตกรรม

(2) ลิขสิทธิ์

(3) สิทธิบัตร

(4) ข้อค้นพบ

(5) เศรษฐกิจ

ตอบ 5 หน้า 181 การเขียนรายงานการวิจัย มีความสําคัญในการเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้ทราบว่ามี “นวัตกรรม”หรือ “ข้อค้นพบ” ใหม่ในวงวิชาการ ส่งเสริมให้เกิดการนําไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการทําวิจัย แล้วมีคนเพียงจํานวนเดียวเท่านั้นที่ทราบในเนื้อหาของการวิจัยนั้น และเป็นการบอกเล่าให้ผู้อ่าน ทราบว่าปัญหานั้นได้มีผู้ศึกษาอยู่แล้ว ตลอดจนเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของใน “ลิขสิทธิ์” ของวรรณกรรม หรือ สิทธิบัตร” ในสิ่งประดิษฐ์นั้น ๆ ได้

89 ข้อใดต่อไปนี้อธิบายส่วนประกอบของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้อย่างเหมาะสม

(1) คํานํา – สารบัญ เนื้อเรื่อง

(2) คํานํา – เนื้อเรื่อง บทสรุป

(3) ตอนต้น – ตอนกลาง – บทสรุป

(4) ตอนต้น – เนื้อเรื่อง – ตอนท้าย

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 4 หน้า 182 รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ

1 ส่วนประกอบตอนต้น

2 ส่วนเนื้อเรื่อง

3 ส่วนประกอบตอนท้าย

90 การให้เกียรติและแสดงความขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลืองานวิจัย ปรากฏในส่วนใดต่อไปนี้

(1) จดหมายขอบคุณ

(2) กิตติกรรมประกาศ

(3) ประกาศนียบัตร

(4) บรรณานุกรม

(5) บทคัดย่อ

ตอบ 2 หน้า 183, 208 209 กิตติกรรมประกาศ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สําคัญซึ่งอยู่ในส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ งานวิจัยบางฉบับอาจเรียกส่วนนี้ว่าเป็น “ประกาศคุณูปการ” โดยใช้ภาษาอังกฤษคําว่า “Acknowledgement” ซึ่งผู้วิจัยส่วนใหญ่มัก ใช้พื้นที่ในส่วนนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงความขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือ หรือผลักดัน ให้งานวิจัยสําเร็จลุล่วงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ให้คําแนะนํา หน่วยงานต้นสังกัดหรือผู้ให้ทุนวิจัย

91 คําว่า “ขนมชั้น” ในงานวิจัย มีความหมายว่าอย่างไร

(1) ข้อค้นพบที่ได้เป็นของใหม่ที่ไม่มีใครค้นพบมาก่อน

(2) ข้อค้นพบที่ได้เป็นประโยชน์ต่อวงวิชาการ

(3) ผลการศึกษาเป็นไปในเชิงบวก

(4) การเรียงรายขอเอกสารต่อกันไปเรื่อย ๆ

(5) ระเบียบวิธีการวิจัยง่ายต่อการนําไปใช้

ตอบ 4 หน้า 184, (คําบรรยาย) “ขนมชั้น” ในงานวิจัย หมายถึง การเรียงเอกสารงานวิจัยตามรายชื่อ หรือปีที่มีการเผยแพรต่อกันไปเรื่อย ๆ

92 ระบบเอพีเอ (American Psychological Association : AFA) หมายถึงสิ่งใดต่อไปนี้

(1) การอ้างอิง

(2) การเขียนรายงานการวิจัย

(3) ภาคผนวก

(4) การสํารวจวรรณกรรม

(5) การอภิปรายผล

ตอบ 1 หน้า 86 ระบบการอ้างอิงในปัจจุบันที่ได้รับความนิยมในงานวิจัย หรืองานวิชาการในสาย สังคมศาสตร์ ได้แก่ การอ้างอิงระบบเอพีเอ (American Psychological Association : APA) และการอ้างอิงระบบหูราเบียน (Turabian)

93 ข้อใดต่อไปนี้ไม่จําเป็นต้องระบุลงไปในประวัติย่อผู้วิจัย

(1) ชื่อ – สกุล

(2) ประวัติการศึกษา

(3) อาชีพและตําแหน่ง

(4) อีเมลที่สามารถติดต่อได้

(5) กิจกรรมในเวลาว่าง

ตอบ 5 หน้า 86 ประวัติย่อผู้วิจัย (Vitae) เป็นส่วนที่แสดงให้เห็นถึงประวัติของนักวิจัย / คณะผู้วิจัย เพื่อให้ผู้อ่านเห็นข้อมูลพื้นฐานของคณะผู้วิจัยได้ และทําให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อมั่น โดยทั่วไปแล้ว รายละเอียดของประวัติย่อผู้วิจัยมักประกอบไปด้วย ชื่อ – สกุล ประวัติการศึกษา อาชีพ ตําแหน่ง สถานที่ทํางาน สาขาที่เชี่ยวชาญ สถานที่สามารถติดต่อได้ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ ประสบการณ์ เกี่ยวกับการวิจัย เป็นต้น

94 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index : TCI) จัดประเภทวารสารไว้กี่กลุ่ม

(1) 2 กลุ่ม

(2) 3 กลุ่ม

(3) 4 กลุ่ม

(4) 5 กลุ่ม

(5) ขึ้นกับปีที่ประกาศในแต่ละรอบ

ตอบ 2 หน้า 188 189 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index : TCI) ได้จัดประเภทวารสารไว้ 3 กลุ่ม (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560) คือ

1 วารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพของ TCI และอยู่ในฐานข้อมูล TCI และจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูล ASEAN Citation Index (ACI) ต่อไป

2 วารสารที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงคุณภาพ และอยู่ในฐานข้อมูล TCI

3 วารสารที่ไม่ผ่านการรับรองคุณภาพ และอาจไม่ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูล TCI ในอนาคต

95 “วารสารเอเชียพิจาร” เป็นวารสารที่สังกัดสถาบันใด

(1) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง

(2) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทเยาลัย

(3) คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

(4) สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยรามคําแหง

(5) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตอบ 1 หน้า 189 190 ตัวอย่างวารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เช่น

1 “วารสารวิจัยรามคําแหง ฉบับมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์” ของสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยรามคําแหง

2 “วารสารวิจัยรามคําแหง ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ของสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยรามคําแหง

3 “วารสารเอเชียพิจาร” ของศูนย์ศึกษาเอเชีย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นต้น

96 การนําเสนอแผนงานของโครงการวิจัยที่จะดําเนินการต่อไป มักปรากฏในแผนภูมิประเภทใด

(1) Pie Chart

(2) Line Chart

(3) Gantt’s Chart

(4) Bar Chart in

(5) Radar Chart

ตอบ 3 หน้า 191, (คําบรรยาย) การนําเสนอแผนงานของโครงการวิจัยที่จะดําเนินการต่อไป มักปรากฏในรูปแผนภูมิแกนต์ (Gantt’s Chart) ซึ่งจะแสดงข้อมูลรายละเอียดของกิจกรรม ระยะเวลา และช่วงเวลาได้อย่างเหมาะสม โดยข้อมูลดังกล่าวนี้มีความสําคัญต่อการทําให้ผู้ให้ทุนเห็นแผนงาน ที่ผู้วิจัยจะดําเนินการต่อไป ในขณะเดียวกัน ผู้วิจัยก็สามารถวางแผนการดําเนินงานต่อไปได้อย่างเป็นระบบ

97 คําว่า “Interim Report” หมายถึงข้อใดต่อไปนี้

(1) การรายงานผลการวิจัยเบื้องต้น

(2) การรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัย

(3) การรายงานผลการวิจัยขั้นสุดท้าย

(4) โครงร่างของการวิจัย

(5) การนําเสนองานวิจัยในที่สาธารณะ

ตอบ 2 หน้า 191 – 192 การรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัย (Interim Report) หมายถึง รายงานที่จัดทําขึ้นภายหลังจากที่ได้ดําเนินการวิจัยไปแล้วระยะหนึ่งตามที่ผู้วิจัยได้ทําการตกลงหรือทํา สัญญาไว้กับผู้ให้ทุน โดยทั่วไปแล้ว รายงานความก้าวหน้ามักรายงานในช่วงระยะเวลาร้อยละ 50 ของระยะเวลาตามสัญญา เช่น ถ้าเป็นงานวิจัย 1 ปี ก็จะรายงานในช่วง 6 เดือน เป็นต้น

98 วัตถุประสงค์ของการวิจัยเปรียบได้กับสิ่งใดต่อไปนี้

(1) แผนที่

(2) มูลเหตุ

(3) สัญญา

(4) หลักฐาน

(5) การนําไปใช้ประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 194 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นการอธิบายที่ต้องการบอกเป้าหมายหรือความต้องการของงานวิจัยว่า ผู้วิจัยต้องการทราบอะไรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการวิจัยที่มีความเหมาะสมต่อไป หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ วัตถุประสงค์ของการวิจัยเปรียบได้กับ “สัญญา”ที่ผู้วิจัยได้กระทําไว้ว่าผู้อ่านจะได้รับทราบข้อมูลเหล่านั้นในรายงานการวิจัยฉบับนี้ก็ได้

99 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่มีลักษณะ “SMART”

(1) ความเรียบง่าย

(2) ความเหมาะสม

(3) การบรรลุและทําได้จริง

(4) ความสมเหตุสมผล

(5) การคํานึงถึงระยะเวลา

ตอบ 1 หน้า 195 วัตถุประสงค์ที่มีลักษณะ “SMART” ประกอบด้วย ความเหมาะสม (Sensible : S), การวัดและตรวจสอบได้ (Measurable : M), การบรรลุและทําได้จริง (Attainable : A), ความสมเหตุสมผล (Reasonable : R) และการคํานึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสม (Time : T)

100 “การทําให้ผู้อ่านทราบถึงปัญหาความคลาดเคลื่อน (Error) ในช่วงระหว่างการวิจัย โดยที่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวได้ จนกระทั่งอาจสงผลต่อผลการศึกษาหรือข้อค้นพบของงานวิจัยนั้น…” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

(1) วัตถุประสงค์ของงานวิจัย

(2) ขอบเขตการวิจัย

(3) ข้อตกลงเบื้องต้น

(4) ข้อจํากัดของการวิจัย

(5) นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย

ตอบ 4 หน้า 196 ข้อจํากัดของการวิจัย เป็นการทําให้ผู้อ่านทราบถึงปัญหาความคลาดเคลื่อน (Error) ในช่วงระหว่างการวิจัย โดยที่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวได้ จนกระทั่ง อาจส่งผลต่อผลการศึกษาหรือข้อค้นพบของงานวิจัยนั้น

POL4321 การบริหารร่วมสมัย s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาตอบทุกข้อ

ข้อ 1. คําว่า “กลยุทธ์” (Strategy) กับคําว่า “ยุทธศาสตร์” มีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในเรื่องดังกล่าวเป็นใคร ในการวิเคราะห์องค์การใช้เทคนิคอะไร จงยกตัวอย่าง การวิเคราะห์องค์การในภาครัฐที่ใดที่หนึ่งโดยใช้เทคนิคนั้นมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

คําว่า “กลยุทธ์” หรือ “ยุทธศาสตร์ ภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Strategy” โดยมีรากศัพท์ มาจากคําว่า “Strategy” ในภาษากรีก ซึ่งเกิดจากศัพท์ 2 คํา คือ “Stratos” หมายถึง Army หรือ กองทัพ และ Agein หมายถึง Lead หรือ นําหน้า โดยเมื่อนำศัพท์ 2 คํานี้มารวมกันจะหมายถึง การนํากองทัพ หรือ ยุทธวิธีหลักในการรบเพื่อเอาชนะศัตรู ดังนั้นคําว่ากลยุทธ์กับยุทธศาสตร์จึงเป็นคํา ๆ เดียวกันและมีความหมาย เหมือนกัน

นักวิชาการที่มีชื่อเสียงด้านกลยุทธ์

นักวิชาการที่มีชื่อเสียงด้านกลยุทธ์มีหลายท่าน เช่น Michael E. Porter, Bracker, Chandler และ Ansoff

ตัวอย่างเช่น Michael E. Porter ได้เสนอแนวคิดในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) โดยกล่าวว่า การวิเคราะห์สถานการณ์การแข่งขันกับคู่แข่ง ผู้บริหารจะต้องคํานึงถึง ปัจจัย 5 ประการ คือ

1 อัตราของการแข่งขันกันระหว่างบริษัทต่าง ๆ ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น \

2 การคุกคามที่เกิดขึ้นจากการมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาด

3 การคุกคามที่เกิดขึ้นจากสินค้าหรือบริการทดแทน

4 อํานาจต่อรองของผู้จัดส่ง

5 อํานาจต่อรองลูกค้า

ทั้งนี้ Michael E. Porter เห็นว่า การได้เปรียบในการแข่งขันจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ คือ

1 การทําให้ต้นทุนต่ำ (Low Cost)

2 การทําให้สินค้า/บริการมีความแตกต่าง (Differentiation) หรือทําให้ดีกว่าคู่แข่ง

เทคนิคการวิเคราะห์องค์การ

กอนที่องค์การจะกําหนดกลยุทธ์จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ ซึ่งคําว่า SWOT ประกอบด้วย

1 S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ เป็นการพิจารณาทรัพยากรภายในองค์การ หรือระบบย่อยขององค์การ เช่น อํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี เป็นต้น ว่ามีอะไรบ้างที่เป็น จุดแข็ง/จุดเด่นขององค์การ องค์การสามารถทําได้ดี มีความชํานาญ มีคุณภาพ มีชื่อเสียง เป็นต้น

2 w = Weakness คือ จุดอ่อนขององค์การ เป็นการพิจารณาอํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีภายในองค์การว่ามีจุดอ่อนอย่างไร เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไข

3 O = Opportunities คือ โอกาสที่จะทําให้เกิดความได้เปรียบแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาดูว่ามีปัจจัยภายนอกองค์การใดที่จะนํามาเป็นประโยชน์ในการดําเนินงานขององค์การได้บ้าง ซึ่งแบ่งออกเป็น

1) สิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ ลูกค้า คู่แข่ง ผู้ผลิต แรงงาน กฎระเบียบหรือหน่วยงานที่ควบคุม

2) สิ่งแวดล้อมทั่วไป ได้แก่ การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และต่างประเทศ

4 T = Threatคือ อุปสรรคหรือภยันตรายที่จะทําให้เกิดหายนะแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมของงานและสิ่งแวดล้อมทั่วไปที่ทําให้เกิดภยันตรายหรือ หายนะต่อการดําเนินงานขององค์การ

การใช้เทคนิค SWOT วิเคราะห์กรุงเทพมหานคร จุดแข็งของกรุงเทพมหานคร

1 มีบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความรู้ความสามารถ

2 มีงบประมาณจํานวนมาก

3 มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย

4 มีสํานักงานเขต 50 เขต แต่ละเขตมีบุคลากรและเครื่องมือพร้อมในการทํางาน

5 คณะผู้บริหารมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และได้รับการยอมรับจากประชาชนสูง

จุดอ่อนของกรุงเทพมหานคร

1 การบริหารราชการยังขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่ดําเนินภารกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

2 การบริหารราชการขาดความโปร่งใส เกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

3 ระบบการตรวจสอบและควบคุมการบริหารราชการไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน

4 ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง ทําให้บางครั้งการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ขาดความต่อเนื่อง

5 ขาดอํานาจต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาล ทําให้ไม่สามารถริเริ่มภารกิจใหม่ ๆ หรือขยายเขตอํานาจตามกฎหมายให้กว้างขวางมากขึ้นได้

โอกาสของกรุงเทพมหานคร

1 เป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของประเทศ

2 เป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงและต่อเนื่อง

3 เป็นสถานที่ตั้งของสถานที่สําคัญ ๆ เช่น กระทรวง กรมต่าง ๆ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ทําการหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จํานวนมาก เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดอรุณราชวราราม วัดเบญจมบพิตร เป็นต้น

4 มีระบบโครงข่ายการสื่อสารสมัยใหม่ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ประชากรส่วนใหญ่เข้าถึงเครือข่ายได้ถ้วนหน้า

5 ประชากรมีระดับการศึกษาสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ในประเทศ

อุปสรรคของกรุงเทพมหานคร

1 การอพยพของคนเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นจํานวนมากส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ความแออัด การขาดแคลนที่อยู่อาศัย การเกิดปัญหาอาชญากรรม เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อต่าง ๆ

2 ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำส่งผลต่อระดับรายได้ของประชากร การจ้างงาน และการลงทุนต่าง ๆ

3 การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนส่งผลให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชา หลังไหลเข้ามาทํางานในกรุงเทพมหานครเป็นจํานวนมาก

4 การเมืองที่ขาดเสถียรภาพส่งผลให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงต่อการชุมนุมประท้วง หรือการก่อเหตุความรุนแรงต่าง ๆ อันเนื่องมาจากปัญหาการเมือง

5 การมีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายหรือการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ

 

ข้อ 2 เหตุผลใดที่สถาบันการศึกษา จึงต้องมีการประกันคุณภาพการศึกษา (อย่างน้อย 5 ประการ)

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหงมีกี่ระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย และหลักการประเมินคุณภาพภายนอกมีอะไรบ้าง พร้อมกับยกตัวอย่างปรัชญา/ปณิธานของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

แนวคําตอบ

เหตุผลที่ทําให้สถาบันการศึกษาต้องมีการประกันคุณภาพการศึกษา

1 ความแตกต่างด้านคุณภาพของสถาบันการศึกษา

2 ความท้าทายของปัจจัยโลกาภิวัตน์ที่มีต่อการศึกษา ทําให้การศึกษาไร้พรมแดน

3 สถาบันการศึกษามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าสามารถพัฒนา องค์ความรู้และผลิตบัณฑิตตอบสนอง ต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล การพัฒนาภาคการผลิตจริงทั้งอุตสาหกรรมและบริการ การพัฒนา อาชีพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ระดับท้องถิ่นและชุมชน

4 สถาบันการศึกษาจะต้องให้ข้อมูลสาธารณะ (Public Information) ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนักศึกษา ผู้จ้างงาน ผู้ปกครอง รัฐบาล และประชาชนทั่วไป

5 สังคมต้องการระบบการศึกษาที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม (Participation) มีความโปร่งใส (Transparency) และมีความรับผิดชอบสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) ตามหลักธรรมาภิบาล

6 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กําหนดให้สถาบันการศึกษาทุกแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน รวมถึงให้มีสํานักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษาทําหน้าที่ประเมินคุณภาพภายนอก โดยการประเมินผลการจัดการศึกษาของ สถาบันการศึกษา

7 คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศใช้มาตรฐานการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นกลไกกํากับระดับมาตรฐานระดับกระทรวง ระดับคณะกรรมการการอุดมศึกษา และระดับ หน่วยงาน โดยทุกหน่วยงานระดับอุดมศึกษาจะได้ใช้เป็นกรอบดําเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา

8 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและกํากับให้สถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาให้มีมาตรฐาน ตามประเภทหรือกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา 4 กลุ่ม

9 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 และคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศแนวทางการปฏิบัติตาม กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เพื่อให้การจัดการศึกษา ระดับอุดมศึกษาเป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษาและเพื่อการประกันคุณภาพของบัณฑิตในแต่ละระดับ คุณวุฒิและสาขาวิชา

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา 3 ระบบ คือ

1 ระบบ ISO 9001 : 2008 ใช้ในคณะ/สํานักที่เน้นงานด้านการบริการให้แก่นักศึกษา เช่น สํานักหอสมุดกลาง สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล (สวป.) สํานักงานอธิการบดี สํานักเทคโนโลยี การศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2 ระบบ QA (Quality Assurance) ใช้ในคณะ/สํานัก/สาขาวิทยบริการฯ โดยอิง องค์ประกอบทั้ง 9 ข้อของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

3 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ใช้ในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคําแหง (มัธยมศึกษาและประถมศึกษา) โดยอิงมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษากําหนด

หลักการประเมินคุณภาพภายนอก

สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาได้กําหนดหลักการประเมินคุณภาพ ภายนอกไว้ดังนี้

1 เป็นการประเมินการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ไม่ใช่เป็นการประเมินเพื่อจับผิด หรือ การให้คุณให้โทษ

2 ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม โปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้

3 มุ่งเน้นการประเมินแบบกัลยาณมิตร

4 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพและการพัฒนาการจัดการศึกษาจาก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

5 มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษา ของชาติตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้เอกภาพเชิงนโยบาย แต่ยังคงมี ความหลากหลายในทางปฏิบัติ โดยสถาบันสามารถกําหนดเป้าหมายเฉพาะและพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เต็ม ตามศักยภาพของสถาบันและผู้เรียน

ปรัชญา/ปณิธานของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

ปรัชญา : ส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษา ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม

ปณิธาน : พัฒนามหาวิทยาลัยรามคําแหงให้เป็นแหล่งวิทยาการแบบตลาดวิชาควบคู่แบบ จํากัดจํานวน มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม และจิตสํานึกในความรับผิดชอบต่อสังคม

 

ข้อ 3 เครื่องมือการบริหาร (Management Tools) เช่น แนวคิด 5 ส., การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ (TQM), การรื้อปรับระบบ (Reengineering}, ระบบมาตรฐานคุณภาพสากล (ISO 9000), ระบบมาตรฐานสากลของไทย (P.S.O.), แนวคิดซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) เป็นต้น หรือหลักการ 5 G’s ของญี่ปุ่น, แนวคิด 7 S’s Model, แนวคิดธรรมาภิบาล ให้นักศึกษาเลือกอธิบาย 1 แนวคิด

(แนวการตอบให้กล่าวถึงชื่อนักคิด ที่มา หลักการสําคัญของแนวคิดนั้น ๆ)

แนวคําตอบ

ทฤษฎี 7S’s Model

เมื่อปลายปี ค.ศ. 1970 บริษัทที่ปรึกษาชื่อ “McKinsey” ได้เชิญ Richard Pascale แห่ง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และ Anthony 4thos แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้มาช่วยพัฒนากรอบแนวคิดการบริหาร ที่เรียกว่า The McKinsey 7 S’s Framework ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยที่สําคัญ 7 ประการ ดังนี้

1 กลยุทธ์ (Strategy) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนองค์การเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยการใช้เทคนิค SWOT (SWOT Technique) มาทําการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนํามากําหนดเป็นกลยุทธ์

2 โครงสร้าง (Structure) คือ การปรับปรุงโครงสร้างองค์การ การแบ่งหน่วยงาน การรวม อํานาจ และการกระจายอํานาจที่เหมาะสม

3 ระบบ (Systems) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดระบบงาน และการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ให้สั้นลง เพื่อทําให้สามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็ว

4 สไตล์ (Style) คือ แบบแผนพฤติกรรมของผู้นํา การใช้รูปแบบการบริหารที่เหมาะสม และแสดงบทบาทผู้นําการเปลี่ยนแปลง

5 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Staff) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคลากรที่มีความ สามารถ การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การหมุนเวียนกันทํางาน และการเห็นคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์

6 ทักษะ (Skills) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชํานาญ ความสามารถพิเศษของบุคลากร การพัฒนาทักษะการทํางานของแต่ละบุคคล และการส่งเสริมการทํางานเป็นทีม

7 ค่านิยมร่วม (Shared Values) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างค่านิยมร่วมกันในการทํางาน หรือที่เรียกว่า “Spiritual Values” เช่น การให้บริการ ความยุติธรรม ความสามัคคีปรองดอง ความร่วมมือ ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญ การทําในสิ่งที่ดีกว่า การปรับปรุงแก้ไข การปรับตัวเข้าหากัน เป็นต้น ค่านิยม ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ควรสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในองค์การ

ปัจจัยทั้ง 7 ประการสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1 Hard คือ ส่วนที่แข็ง ไม่คล่องตัว และปรับตัวได้ค่อนข้างช้า ได้แก่ กลยุทธ์ และโครงสร้างขององค์การ

2 Soft คือ ส่วนที่อ่อน มีความคล่องตัว และสามารถปรับตัวได้ง่าย ได้แก่ สไตล์ของ ผู้บริหาร ระบบงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และค่านิยมร่วม

สรุป จากกรอบแน คิดของปัจจัย 7S’s Model ดังกล่าว ผู้บริหารจําเป็นต้องใช้ภาวะผู้นํา ในการบริหารปัจจัยทั้ง 7 ประการให้สอดคล้องและสมดุลกัน นับตั้งแต่การกําหนดกลยุทธ์ขององค์การ การปรับปรุง โครงสร้างที่เหมาะสม การจัดระบบงานให้เหมาะสมและลดขั้นตอนการทํางานให้สั้นลงเพื่อทําให้สามารถบริการ ได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น การใช้สไตล์การบริหารงานที่ให้ความสําคัญทั้งบุคคลและงาน การให้เกียรติผู้ร่วมงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือเข้ามาทํางาน การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล การสร้างทักษะการทํางานเป็นทีม และการสร้างค่านิยมสร้างสรรค์ในการทํางาน

 

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!