POL4321 การบริหารร่วมสมัย s/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกตอบเพียง 3 ข้อ

ข้อ 1 คําว่าการบริหารกับการจัดการมีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ภาษาอังกฤษใช้คําใด การบริหารจัดการมีความสําคัญอย่างไร ภารกิจของผู้บริหารมีอะไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

คําว่า “การบริหาร” กับ “การจัดการ” ในภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Administration” หรือ “Management” สองคํานี้มีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้ แต่คําว่า “Administration” มักใช้สําหรับ การบริหารระดับสูง ซึ่งเน้นเกี่ยวกับการกําหนดนโยบายและแผนงาน และนิยมใช้ในการบริหารรัฐกิจหรือการบริหารงาน ราชการ ซึ่งผู้บริหารในหน่วยงานราชการเรียกว่า “Administrator” ส่วนคําว่า “Management” มักใช้สําหรับการ ดําเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายหรือแผนที่วางไว้ และนิยมใช้ในการบริหารธุรกิจ ซึ่งผู้จัดการในภาคธุรกิจ เรียกว่า “Manager”

การบริหาร/การจัดการมีความสําคัญ ดังนี้

1 เป็นสมองขององค์การ

2.เป็นวิธีการที่ทําให้สมาชิกในองค์การมีจิตสํานึกร่วมกันและให้ความร่วมมือในการ ปฏิบัติงาน

3 เป็นการกําหนดขอบข่ายงานให้สมาชิกในองค์การปฏิบัติเพื่อไม่ให้งานซ้ำซ้อนกัน 4 เป็นการแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

5 ทําให้บริหารงานได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

6 ป้องกันปัญหางานคั่งค้าง ล่าช้า และสิ้นเปลือง

7 ทําให้ติดตามงานได้ง่าย ภารกิจของผู้บริหาร/ผู้จัดการ Certo and Certo กล่าวว่า ภารกิจของผู้บริหาร/ผู้จัดการที่สําคัญมี 4 ประการ คือ

1 การวางแผน (Planning) เป็นการเลือกวิธีการทํางานเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตาม เป้าหมายขององค์การ กําหนดแนวทางการทํางานว่าจะทําอย่างไรและจะทําเมื่อใด กิจกรรมการวางแผนจึงมุ่งเน้น การทํางานให้บรรลุเป้าหมายด้วยการกําหนดแผนงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร การวางแผนจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับสิ่งที่ต้องทําให้สําเร็จในอนาคตอันใกล้ (Short Term) และระยะยาว (Long Term)

2 การจัดองค์การ (Organizing) เป็นการมอบหมายงานให้บุคลากรหรือกลุ่มบุคคลใน องค์การนําแผนงานไปปฏิบัติเพื่อให้งานขององค์การประสบความสําเร็จ

3 การใช้อิทธิพล (Influencing) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถในการจูงใจ (Motivating) การนํา (Leading) การสั่งการ (Directing) ของผู้บริหารเพื่อให้บุคลากรในองค์การทํางานสําเร็จ ซึ่งแนวคิดของ การทํางานเป็นการเน้นที่บุคคล (Human-Oriented) มากกว่าเน้นที่งาน (Task-Oriented)

4 การควบคุม (Controlling) เป็นหน้าที่การจัดการของผู้บริหาร ดังนี้

1) การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการทํางานของบุคลากรในองค์การเพื่อนํามา กําหนดเป็นมาตรฐานการทํางาน

2) การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับมาตรฐานการทํางาน

3) การนําผลการเปรียบเทียบการทํางานมาพิจารณาว่าองค์การควรจะปรับมาตรฐานการทํางานให้สูงขึ้นอย่างไร

 

ข้อ 2 จงอธิบายความหมายของคําว่าการเปลี่ยนแปลงในองค์การ พร้อมยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐ (กระบวนการทํางาน วัฒนธรรมองค์การ กรณีใดกรณีหนึ่งมาอย่างละ 2 เรื่อง) ปัจจัยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในองค์การมาจากปัจจัยอะไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง องค์การทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐ

เช่น การเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมองค์การ แต่เดิมนั้นองค์การภาครัฐต่าง ๆ ไม่ได้กําหนด วัฒนธรรมองค์การไว้ แต่ในปัจจุบันมีหลายองค์การที่ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การเพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ทุกคนปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานราชการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ 6 ประการ ซึ่งเรียกว่า “POLSCI” ประกอบด้วย

1 P = Positive Thinking คือ การคิดในทางบวก

2 O = Ownership คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์การ

3 L = Leader of Change คือ การเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลง

4 S = Service Mind คือ การมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดี

5 C = Continuous Learning คือ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

6 I = Integrity & Ethics คือ การมีความซื่อสัตย์และคุณธรรมจริยธรรม

มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ 7 ประการ โดยดัดแปลงมาจากคํา * MAHIDOL” ประกอบด้วย

1 M = Mastery คือ เป็นนายแห่งตน

2 A = Altruism คือ มุ่งผลเพื่อผู้อื่น

3 H = Harmony คือ กลมกลืนกับสรรพสิ่ง

4 I = Integrity คือ มั่นคงยั่งยืนในคุณธรรม

5 D = Determination คือ แน่วแน่กล้าตัดสินใจ

6 0 = Originality คือ สร้างสรรค์สิ่งใหม่

7 L = Leadership คือ ใฝ่ใจเป็นผู้นํา ปัจจัยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

ปัจจัยกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้นที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การมีปัจจัยมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลก เกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ เช่น แรงกดดัน จากภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายในและต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศ สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงานให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความ ผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

 

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video Conferencing การนําคอมพิวเตอร์ มาใช้ในงานบัญชีและระบบสารสนเทศ

2) เรื่องเกี่ยวกับงานโดยตรง เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตหรือการบริการ

3) เรื่องเกี่ยวกับผู้รับบริการ เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรม และการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย การทํางานเป็นทีม

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการทํางาน และการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่

Kinicki and Kreitner ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการคือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร เนื่องจากปัจเจกบุคคลมีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การ ต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากร รวมทั้ง ทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี องค์การต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐหรือ องค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิตและการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลาย และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิต สินค้าและบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้าน สังคมและการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้อง ปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

2 ปัจจัยภายในองค์การ เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ำ ผลผลิตตกต่ำ การเข้าออก จากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมักจะมา จากปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

 

ข้อ 3 คําว่ากลยุทธ์กับยุทธศาสตร์มีความแตกต่างกันหรือไม่ ภาษาอังกฤษใช้คําใด นักคิดที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นใคร พร้อมกับระบุผลงานที่โดดเด่นมา 2 เรื่อง ขั้นตอนการกําหนดกลยุทธ์ มีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบาย เทคนิคที่นํามาใช้ในการวิเคราะห์องค์การคือเทคนิคอะไร จงวิเคราะห์ จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weakness) ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง (อย่างน้อย 5 เรื่อง)พร้อมกับเสนอแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข

แนวคําตอบ

คําว่า “กลยุทธ์” หรือ “ยุทธศาสตร์ ภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Strategy” โดยมีรากศัพท์มาจาก คําว่า “Strategos” ในภาษากรีก ซึ่งเกิดจากศัพท์ 2 คํา คือ “Stratos” หมายถึง Army หรือ กองทัพ และ Agein หมายถึง Lead หรือ นําหน้า โดยเมื่อนําศัพท์ 2 คํานี้มารวมกันจะหมายถึง การนํากองทัพ หรือยุทธวิธีหลักในการรบ เพื่อเอาชนะศัตรู ดังนั้นคําว่ากลยุทธ์กับยุทธศาสตร์จึงเป็นคํา ๆ เดียวกันและมีความหมายเหมือนกัน

นักคิดที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการบริหารเชิงกลยุทธ์

Michael E. Porter เป็นนักคิดที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการบริหารเชิงกลยุทธ์ เขาได้เสนอ แนวคิดในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันไว้หนังสือ 3 เล่ม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “ไตรภาคแห่งการแข่งขัน” ดังนี้

1 หนังสือชื่อ Competitive Strategy : Techniques for Analyzing Industries and Competitors (1980) ในหนังสือเล่มนี้ Porter ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์สถานการณ์การแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งเขาเห็นว่า ผู้บริหารจะต้องคํานึงถึงปัจจัย 5 ประการ คือ

1) อัตราของการแข่งขันกันระหว่างบริษัทต่าง ๆ ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น

2) การคุกคามที่เกิดขึ้นจากการมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาด

3) การคุกคามที่เกิดขึ้นจากสินค้าหรือบริการทดแทน

4) อํานาจต่อรองของผู้จัดส่ง

5) อํานาจต่อรองลูกค้า

 

2 หนังสือชื่อ Competitive Advantage : Creating and Sustaining and Superior Performance (1985) ในหนังสือเล่มนี้ Porter ได้เสนอแบบจําลองห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain Model) โดยเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในธุรกิจ โดยกิจกรรมเหล่านั้น จะช่วยลดต้นทุนให้แก่ธุรกิจ ดังนั้นธุรกิจจะต้องศึกษาและวิเคราะห์กิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง กิจกรรมเหล่านั้นโดยใช้การวิเคราะห์ห่วงโซ่แห่งคุณค่า เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

3 หนังสือชื่อ The Competitive Advantage of Nations (1990) ในหนังสือเล่มนี้ Porter ได้เสนอแบบจําลองเพชรแห่งความได้เปรียบของชาติ (Dynamic Diamond Model) ในการวิเคราะห์ปัจจัยทางด้าน สภาวะแวดล้อมในการดําเนินงาน 4 ประการ ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยในการดําเนินงาน เงื่อนไขด้านความต้องการ ของตลาด ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและสนับสนุน และกลยุทธ์องค์กร โครงสร้าง และการแข่งขัน โดย ปัจจัยทั้ง 4 ประการนี้เป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และดําเนินงานขององค์กรธุรกิจ

ขั้นตอนการกําหนดกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน คือ

1 การนิยามธุรกิจ เป็นการกําหนดความหมายของธุรกิจ ได้แก่ การกําหนดภารกิจ วิสัยทัศน์ ปรัชญา ค่านิยม และเป้าหมายขององค์การ เพื่อให้การดําเนินงานตอบสนองความต้องการของลูกค้า

2 การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การ เป็นการวิเคราะห์ว่าองค์การมีจุดแข็ง อะไรบ้างที่องค์การสามารถทําได้ดี มีความชํานาญ มีคุณภาพ มีชื่อเสียง เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ต้องวิเคราะห์ว่า องค์การมีจุดอ่อน/จุดด้อย/ข้อบกพร่องอะไรบ้างเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไข

3 การวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรคขององค์การ เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่ เป็นโอกาสให้องค์การสามารถพัฒนา/เติบโต/ขยายกิจการได้ และมีอุปสรรค/ข้อจํากัดอะไรบ้างที่อาจทําให้องค์การ สามารถทํางานได้ เช่น กฎหมาย กฎระเบียบ สถานที่ตั้ง เป็นต้น

4 การนิยามประเด็นปัญหาหลักและประเด็นทางกลยุทธ์ เป็นการหยิบยกปัญหา ที่เกิดขึ้นในองค์การมาพิจารณา เช่น บุคลากรมาทํางานสาย ขาดความสามัคคี ได้รับคําตําหนิจากลูกค้า เป็นต้น ว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง และจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ซึ่งเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์ปัญหา อาจจะใช้แผนภูมิก้างปลา แผนภูมิพาเรโต้ เป็นต้น และจะต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับใด ขององค์การ เป็นปัญหาทางเทคนิค หรือเป็นปัญหาการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ

5 การระบุกลยุทธ์ทางเลือกและคัดเลือกกลยุทธ์ เป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแต่ละ กลยุทธ์แล้วทําการคัดเลือกกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง ซึ่งในการคัดเลือกกลยุทธ์อาจพิจารณาจากหลายหลักเกณฑ์ เช่น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับลูกค้า ความเป็นไปได้ในการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ และความสอดคล้องกับแผนในระดับ ต่าง ๆ เป็นต้น

6 การบริหารกลยุทธ์ เป็นการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ของกลยุทธ์นั้น ทั้งนี้ความสําเร็จของการบริหารกลยุทธ์ย่อมขึ้นอยู่กับค่านิยมในการทํางานและการให้ความร่วมมือ ของบุคลากรในองค์การเป็นสําคัญ

7 การประเมินผลกลยุทธ์ เมื่อมีการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติแล้ว จําเป็นต้องมีการประเมินผล กลยุทธ์นั้นว่าประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด มีปัญหาอะไรบ้างเพื่อนําผลการประเมินไปปรับปรุงต่อไป

เทคนิคการวิเคราะห์องค์การ

ก่อนที่องค์การต่าง ๆ จะกําหนดกลยุทธ์จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT เพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การก่อน ซึ่งคําว่า SWOT ประกอบด้วย

1 S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ เป็นการพิจารณาจุดแข็งของทรัพยากรภายใน องค์การหรือระบบย่อยขององค์การ เช่น อํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และ ข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี เป็นต้น ว่ามีอะไรบ้างที่จะนํามาใช้ในการดําเนินงานขององค์การในการปฏิบัติการตามกลยุทธ์

2 w = Weakness คือ จุดอ่อนขององค์การ เป็นการพิจารณาอํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีภายในองค์การว่ามีจุดอ่อนอย่างไร เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นจุดแข็ง และนํามาใช้เป็นประโยชน์แก่องค์การ

3 Q=Opportunities คือ โอกาสที่จะทําให้เกิดความได้เปรียบแก่องค์การ เป็นการพิจารณา ดูว่ามีปัจจัยภายนอกองค์การใดที่จะนํามาเป็นประโยชน์ในการดําเนินงานขององค์การได้บ้าง ซึ่งแบ่งออกเป็น

1) สิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ ลูกค้า คู่แข่ง ผู้ผลิต แรงงาน กฎระเบียบหรือหน่วยงานที่ควบคุม

2) สิ่งแวดล้อมทั่วไป ได้แก่ การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และต่างประเทศ

4 T = Threats คือ อุปสรรคหรืออันตรายที่จะทําให้เกิดหายนะแก่องค์การ เป็นการพิจารณา สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมของงานและสิ่งแวดล้อมทั่วไปที่ทําให้เกิดอันตรายหรือหายนะ ต่อการดําเนินงานขององค์การจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weakness) ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

จุดแข็ง

1 เป็นสถาบันการศึกษาแบบตลาดวิชา คือ รับนักศึกษาโดยไม่มีการสอบคัดเลือกและรับโดยไม่จํากัดจํานวน

2 ไม่มีการบังคับเข้าชั้นเรียน ทําให้นักศึกษาสามารถทํางานและเรียนควบคู่กันได้

3 มีค่าหน่วยกิตถูก ทําให้คนที่มีรายได้น้อยสามารถเรียนในระดับปริญญาตรีได้

4 มีการเรียนระบบ Pre-degree ทําให้นักเรียนมัธยมปลายสามารถเรียนเก็บสะสมหน่วยกิตและเมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายก็สามารถโอนหน่วยกิตที่เก็บสะสมไว้ได้ ทําให้ สามารถเรียนจบระดับปริญญาตรีได้เร็วขึ้น

5 มีสาขาวิทยบริการฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทําให้ผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนสามารถเข้ามาศึกษากับมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้โดยไม่ต้องเดินทางมากรุงเทพฯ

จุดอ่อน

1 ความผูกพันระหว่างนักศึกษา และนักศึกษากับอาจารย์มีน้อย

2 ไม่มีการบังคับให้นักศึกษาแต่งกายชุดนักศึกษา ทําให้นักศึกษาบางคนแต่งกายไม่สุภาพ

3 ไม่มีคะแนนเก็บสะสม ทําให้นักศึกษาต้องสอบเต็ม 100 คะแนน

4 การวัดผลการเรียนส่วนใหญ่จะสอบโดยใช้ข้อสอบปรนัย ทําให้นักศึกษาขาดทักษะในการเขียนบรรยาย และไม่สามารถใช้ภาษาได้ถูกต้อง

5 สถานที่ที่ใช้ในการสอบมีทั้งที่มหาวิทยาลัยรามคําแหงหัวหมาก และมหาวิทยาลัยรามคําแหงบางนา นักศึกษาบางคนต้องสอบ 2 วิชาในวันเดียวกัน แต่สถานที่สอบต่างกัน ทําให้บางครั้งนักศึกษาเดินทางไปสอบไม่ทันเวลา

แนวทางในการปรับปรุงแก้ไข

1 ควรมีกิจกรรมในการสร้างความผูกพันระหว่างนักศึกษา และนักศึกษากับอาจารย์ทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน

2 ควรมีกฎระเบียบบังคับให้นักศึกษาแต่งกายชุดนักศึกษา ส่วนผู้ที่อยู่ในวัยทํางานถ้าไม่สะดวกในการแต่งกายชุดนักศึกษา ให้แต่งกายชุดสุภาพ

3 ควรมีการทํารายงานในชั้นเรียนเพื่อเป็นคะแนนเก็บ สําหรับนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าชั้นเรียนควรเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถทํารายงานส่งอาจารย์ อาจส่งทาง e-mail ก็ได้

4 ควรวัดผลการเรียนโดยใช้ข้อสอบอัตนัยเพิ่มขึ้น เพื่อให้นักศึกษามีทักษะในการเขียนบรรยาย และสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ถูกต้อง

5 ควรอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้นักศึกษาที่สอบ 2 วิชาในวันเดียวกันแต่สถานที่สอบต่างกัน สามารถเลือกสอบทั้ง 2 วิชาในสถานที่สอบที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียวได้

 

ข้อ 4 จากการฟังคําบรรยายในชั้นเรียนเกี่ยวกับเทคนิคการบริหารงานสมัยใหม่ อาทิ การควบคุมคุณภาพ 5 ส. ไคเซ็น การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ ระบบ ISO การรื้อปรับระบบ และระบบซิกซ์ ซิกม่า เป็นต้น จงเลือกตอบเพียง 1 เทคนิค โดยอธิบายความเป็นมา แนวคิด หลักการของเทคนิคนั้น ๆมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

ไคเซ็น (Kaizen)

ไคเซ็นเป็นแนวคิดและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น โดยคําว่า “ไคเซ็น” หมายถึง การปรับปรุงหรือ พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับปรุงในทุก ๆ ด้านของการดํารงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในที่ทํางาน ในสังคม หรือในบ้านให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยทุกคนต้องเกี่ยวข้องตลอดเวลากลยุทธ์ของไคเซ็นคือคํากล่าวที่ว่า “ไม่มีวันใดเลยที่ผ่านไปโดยไม่มีการปรับปรุงในส่วนใด ส่วนหนึ่งขององค์การ” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา

หลักการบริหารแบบไคเซ็น มีดังนี้

1 การมองว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ (Customer First)

2 การควบคุมคุณภาพรวม (Total Quality Control)

3 การมีระบบข้อเสนอแนะ (Suggestion Systems)

4 การใช้หุ่นยนต์ (Robotics) ช่วยในการผลิต

5 การจัดตั้งกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circles)

6 การมีระบบการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Automation)

7 การมีวินัยในการทํางาน (Discipline in the workplace)

8 การติดป้าย (Kanban) รับรองมาตรฐานสินค้า

9 การมีระบบการผลิตทันเวลา Just in Time : JIT)

10 การมีของเสียเป็นศูนย์ (Zero Defects)

11 การมีกิจกรรมกลุ่มย่อย (Small Group Activities)

12 การจัดการโดยอาศัยความร่วมมือของพนักงาน (Cooperative Labour Management)

13 การปรับปรุงผลผลิต (Productivity Improvement)

14 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)

 

หลักปฏิบัติของการบริหารแบบไคเซ็น มี 2 ประการ คือ

1 การบํารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง การส่งเสริมให้ทุกคนช่วยกันดูแลบํารุงรักษา เครื่องจักรเครื่องใช้ให้มีอายุการใช้งานได้นาน

2 การปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) หมายถึง การปรับปรุง การทํางานให้ได้มาตรฐานให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการปรับปรุงมี 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่และการแสวงหา สิ่งใหม่หรือนวัตกรรม (Innovation)

จุดเน้นที่สําคัญของแนวคิดไคเซ็น

แนวคิดของไคเซ็นเน้นกระบวนการ (Process) ซึ่งต้องปรับปรุงขั้นตอนหรือลดขั้นตอนก่อนที่ จะปรับปรุงผลที่ได้รับ (Output) และเน้นที่การปฏิบัติและการใช้ความพยายามของบุคคล เช่น เมื่อผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องการประเมินผลงาน พนักงานขายก็จะประเมินเวลาที่ใช้ในการติดต่อกับลูกค้า เวลาที่ใช้ในการเยี่ยมลูกค้า และ เวลาที่ใช้ในสํานักงาน ความสําเร็จที่ได้รับจะทําให้บุคลากรมีขวัญและกําลังใจในการปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสําคัญกับการเข้าถึงลูกค้าพอ ๆ กับยอดขาย

สรุป แนวคิดและกลยุทธ์ของไคเซ็นสามารถนําไปใช้ได้ทั่วไป และมีความเกี่ยวข้องกับทุกคน ในองค์การตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงผู้ปฏิบัติงานระดับล่างสุด

 

 

POL4321 การบริหารร่วมสมัย 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ นักศึกษาที่เข้าชั้นเรียนและทํารายงานให้เลือกตอบเพียง 2 ข้อ โดยระบุหัวข้อรายงานในสมุดคําตอบหน้าแรก ส่วนนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าชั้นเรียนและไม่ได้ทํารายงานให้เลือกตอบ 3 ข้อ

ข้อ 1 คําว่าการบริหารกับการจัดการมีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร พร้อมกับอธิบายความหมายผู้บริหาร/ผู้จัดการมีหน้าที่สําคัญในเรื่องอะไรบ้าง จงอธิบาย

แนวคําตอบ

คําว่า “การบริหาร” กับ “การจัดการ” ในภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Administration” หรือ “Management” สองคํานี้มีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้ แต่คําว่า “Administration” มักใช้สําหรับ การบริหารระดับสูง ซึ่งเน้นเกี่ยวกับการกําหนดนโยบายและแผนงาน และนิยมใช้ในการบริหารรัฐกิจหรือการบริหารงาน ราชการ ซึ่งผู้บริหารในหน่วยงานราชการเรียกว่า “Administrator” ส่วนคําว่า “Management” มักใช้สําหรับการ ดําเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายหรือแผนที่วางไว้ และนิยมใช้ในการบริหารธุรกิจ ซึ่งผู้จัดการในภาคธุรกิจ เรียกว่า “Manager”

การบริหารการจัดการ มีความหมายดังนี้

Dale กล่าวว่า การบริหาร หมายถึง การทํางานให้สําเร็จโดยอาศัยผู้อื่น

Simon กล่าวว่า การบริหาร หมายถึง กิจกรรมของกลุ่มบุคคลในการร่วมมือกันทํางานเพื่อให้ บรรลุเป้าหมาย

สมพงศ์ เกษมสิน กล่าวว่า การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลปะในการนําทรัพยากร การบริหารมาดําเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ..

ติน ปรัชญพฤทธิ์ กล่าวว่า การบริหาร หมายถึง กระบวนการนําการตัดสินใจและนโยบายไปปฏิบัติ ภารกิจหรือหน้าที่ของผู้บริหาร/ผู้จัดการ

Certo and Certo กล่าวว่า ภารกิจหรือหน้าที่สําคัญของผู้บริหาร/ผู้จัดการ มี 4 ประการ คือ

1 การวางแผน (Planning) เป็นการเลือกวิธีการทํางานเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตาม เป้าหมายขององค์การ กําหนดแนวทางการทํางานว่าจะทําอย่างไรและจะทําเมื่อใด กิจกรรมการวางแผนจึงมุ่งเน้น การทํางานให้บรรลุเป้าหมายด้วยการกําหนดแผนงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร การวางแผนจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับสิ่งที่ต้องทําให้สําเร็จในอนาคตอันใกล้ (Short Term) และระยะยาว (Long Term)

2 การจัดองค์การ (Organizing) เป็นการมอบหมายงานให้บุคลากรหรือกลุ่มบุคคลใน องค์การนําแผนงานไปปฏิบัติเพื่อให้งานขององค์การประสบความสําเร็จ

3 การใช้อิทธิพล (Influencing) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถในการจูงใจ (Motivating) การนํา (Leading) การสั่งการ (Directing) ของผู้บริหารเพื่อให้บุคลากรในองค์การทํางานสําเร็จ ซึ่งแนวคิดของ การทํางานเป็นการเน้นที่บุคคล (Human-Oriented) มากกว่าเน้นที่งาน (Task-Oriented)

4 การควบคุม (Controlling) เป็นหน้าที่การจัดการของผู้บริหาร ดังนี้

1) การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการทํางานของบุคลากรในองค์การเพื่อนํามากําหนดเป็นมาตรฐานการทํางาน

2) การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับมาตรฐานการทํางาน

3) การนําผลการเปรียบเทียบการทํางานมาพิจารณาว่าองค์การควรจะปรับมาตรฐานการทํางานให้สูงขึ้นอย่างไร

 

ข้อ 2 การเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organization Change) คืออะไร ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐในด้านกระบวนการทํางาน และการให้บริการมาอย่างละ 1 เรื่อง สภาวการณ์อะไรบ้างที่ทําให้ผู้บริหารจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในองค์การ จงอธิบาย

แนวคําตอบ

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง องค์การทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐ มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีการเปลี่ยนแปลงองค์การในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1 ด้านกระบวนการทํางาน เช่น มหาวิทยาลัยได้นําระบบ One Stop Service มาใช้ใน การรับสมัครนักศึกษา ซึ่งทําให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการรับสมัครมากขึ้น

2 ด้านการบริการ เช่น มหาวิทยาลัยได้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักศึกษาสามารถ เข้าถึงบริการและข้อมูลต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้สะดวกขึ้น โดยมีเว็บไซต์ เช่น

– www.ru.ac.th เป็นเว็บไซต์หลักที่มีรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

– www.ram.edu เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับ e-Learning ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

– www.e-ru.tv เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง รวมทั้งเป็นเว็บไซต์สําหรับถ่ายทอดสดการประชุม สัมมนา และการบรรยายพิเศษ

สภาวการณ์ที่ทําให้ผู้บริหารจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในองค์การ

สภาวการณ์หรือปัจจัยที่ทําให้ผู้บริหารจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้นที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การมีปัจจัยมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลก เกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ เช่น แรงกดดัน จากภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายในและต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศ สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงานให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความ ผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video-Conferencing การนําคอมพิวเตอร์ มาใช้ในงานบัญชีและระบบสารสนเทศ

2) เรื่องเกี่ยวกับงานโดยตรง เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตหรือการบริการ

3) เรื่องเกี่ยวกับผู้รับบริการ เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรม และการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย การทํางานเป็นทีม

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการทํางาน และการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่

Kinicki and Kreitner ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร เนื่องจากปัจเจกบุคคลมีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การ ต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากร รวมทั้ง ทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี องค์การต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐ หรือองค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิตและการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลาย และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิต สินค้าและบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้านสังคมและการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้อง ปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

2 ปัจจัยภายในองค์การ เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ำ ผลผลิตตกต่ำ การเข้าออก จากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมักจะมา จากปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

 

ข้อ 3 เทคนิคการบริหารสมัยใหม่ที่ได้จากการฟังคําบรรยายในชั้นเรียน อาทิเช่น QC.C. (Quality Control Circle), T.Q.M. (Total Quality Management), 5 S., Kaizen, ISO 9000, Six Sigma, Strategic Management เป็นต้น จงเลือกตอบมา 1 เทคนิค พร้อมทั้งอธิบายความเป็นมา ระบุนักคิดและหลักการของเทคนิคนั้น ๆ มาให้เข้าใจแต่เพียงสังเขป

แนวคําตอบ

ไคเซ็น (Kaizen)

ไคเซ็นเป็นแนวคิดและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น โดยคําว่า “ไคเซ็น” หมายถึง การปรับปรุงหรือ. พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับปรุงในทุก ๆ ด้านของการดํารงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในที่ทํางานในสังคม หรือในบ้านให้ดีขึ้นอย่างสม่ําเสมอ โดยทุกคนต้องเกี่ยวข้องตลอดเวลา

กลยุทธ์ของไคเซ็นคือคํากล่าวที่ว่า “ไม่มีวันใดเลยที่ผ่านไปโดยไม่มีการปรับปรุงในส่วนใด ส่วนหนึ่งขององค์การ” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา

หลักการบริหารแบบไคเซ็น มีดังนี้

1 การมองว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ (Customer First)

2 การควบคุมคุณภาพรวม (Total Quality Control)

3 การมีระบบข้อเสนอแนะ (Suggestion Systems)

4 การใช้หุ่นยนต์ (Robotics) ช่วยในการผลิต

5 การจัดตั้งกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circles)

6 การมีระบบการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Automation)

7 การมีวินัยในการทํางาน (Discipline in the Workplace)

8 การติดป้าย (Kanban) รับรองมาตรฐานสินค้า

9 การมีระบบการผลิตทันเวลา (Just in Time : JIT)

10 การมีของเสียเป็นศูนย์ (Zero Defects)

11 การมีกิจกรรมกลุ่มย่อย (Small Group Activities)

12 การจัดการโดยอาศัยความร่วมมือของพนักงาน (Cooperative Labour Management)

13 การปรับปรุงผลผลิต (Productivity Improvement)

14 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)

 

หลักปฏิบัติของการบริหารแบบไคเซ็น มี 2 ประการ คือ

1 การบํารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง การส่งเสริมให้ทุกคนช่วยกันดูแลบํารุงรักษา เครื่องจักรเครื่องใช้ให้มีอายุการใช้งานได้นาน

2 การปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) หมายถึง การปรับปรุง การทํางานให้ได้มาตรฐานให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการปรับปรุงมี 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่และการแสวงหา สิ่งใหม่หรือนวัตกรรม (Innovation)

จุดเน้นที่สําคัญของแนวคิดไคเซ็น

แนวคิดของไคเซ็นเน้นกระบวนการ (Process) ซึ่งต้องปรับปรุงขั้นตอนหรือลดขั้นตอนก่อนที่ จะปรับปรุงผลที่ได้รับ (Output) และเน้นที่การปฏิบัติและการใช้ความพยายามของบุคคล เช่น เมื่อผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องการประเมินผลงาน พนักงานขายก็จะประเมินเวลาที่ใช้ในการติดต่อกับลูกค้า เวลาที่ใช้ในการเยี่ยมลูกค้า และเวลาที่ใช้ในสํานักงาน ความสําเร็จที่ได้รับจะทําให้บุคลากรมีขวัญและกําลังใจในการปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสําคัญกับการเข้าถึงลูกค้าพอ ๆ กับยอดขาย

สรุป แนวคิดและกลยุทธ์ของไคเซ็นสามารถนําไปใช้ได้ทั่วไป และมีความเกี่ยวข้องกับทุกคน ในองค์การตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงผู้ปฏิบัติงานระดับล่างสุด

 

ข้อ 4 แนวคิดการบริหารงานที่สําคัญที่ได้จากการบรรยายในชั้นเรียน อาทิเช่น หลักการ 5 G’s, ทฤษฎี 7 S’s ของ McKinsey, หลักการ 4 VIPs และหลักการบริหารการปกครองที่ดี (Good Governance) เป็นต้น จงเลือกตอบมา 1 แนวคิด พร้อมทั้งอธิบายหลักการของแนวคิดนั้นมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

ทฤษฎี 7 S’s (The Seven-S Model) ของ McKinsey

เมื่อปลายปี ค.ศ. 1970 บริษัทที่ปรึกษาชื่อ “McKinsey” ได้เชิญ Richard Pascale แห่ง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และ Anthony Athos แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้มาช่วยพัฒนากรอบแนวคิดการบริหาร ที่เรียกว่า The McKinsey 7s’s Framework ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยที่สําคัญ 7 ประการสามารถอธิบายได้ดังนี้

1 กลยุทธ์ (Strategy) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนองค์การเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยการใช้เทคนิค SWOT (SWOT Technique) มาทําการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนํามากําหนดเป็นกลยุทธ์

2 โครงสร้าง (Structure) คือ การปรับปรุงโครงสร้างองค์การ การแบ่งหน่วยงาน การรวม อํานาจ และการกระจายอํานาจที่เหมาะสม

3 ระบบ (Systems) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดระบบงาน และการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ให้สั้นลง เพื่อทําให้สามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็ว

4 สไตล์ (Style) คือ แบบแผนพฤติกรรมของผู้นํา การใช้รูปแบบการบริหารที่เหมาะสม และแสดงบทบาทผู้นําการเปลี่ยนแปลง

5 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Staff) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคลากรที่มี ความสามารถ การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การหมุนเวียนกันทํางาน และการเห็นคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์

6 ทักษะ (Skills) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชํานาญ ความสามารถพิเศษของบุคลากร การพัฒนาทักษะการทํางานของแต่ละบุคคล และการส่งเสริมการทํางานเป็นทีม

7 ค่านิยมร่วม (Shared Values) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างค่านิยมร่วมกันในการทํางาน หรือที่เรียกว่า “Spiritual Values” เช่น การให้บริการ ความยุติธรรม ความสามัคคีปรองดอง ความร่วมมือ ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญ การทําในสิ่งที่ดีกว่า การปรับปรุงแก้ไข การปรับตัวเข้าหากัน เป็นต้น ค่านิยม ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ควรสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในองค์การ

ปัจจัยทั้ง 7 ประการสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1 Hard คือ ส่วนที่แข็ง ไม่คล่องตัว และปรับตัวได้ค่อนข้างช้า ได้แก่ กลยุทธ์ และโครงสร้าง ขององค์การ

2 Soft คือ ส่วนที่อ่อน มีความคล่องตัว และสามารถปรับตัวได้ง่าย ได้แก่ สไตล์ของผู้บริหาร ระบบงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และค่านิยมร่วม

สรุป จากกรอบแนวคิดของปัจจัย 7 S’s ดังกล่าว ผู้บริหารจําเป็นต้องใช้ภาวะผู้นําในการบริหาร ปัจจัยทั้ง 7 ประการให้สอดคล้องและสมดุลกัน นับตั้งแต่การกําหนดกลยุทธ์ขององค์การ การปรับปรุงโครงสร้าง ที่เหมาะสม การจัดระบบงานให้เหมาะสมและลดขั้นตอนการทํางานให้สั้นลงเพื่อทําให้สามารถบริการได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น การใช้สไตล์การบริหารงานที่ให้ความสําคัญทั้งบุคคลและงาน การให้เกียรติผู้ร่วมงาน การบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือเข้ามาทํางาน การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การพัฒนา ทักษะส่วนบุคคล การสร้างทักษะการทํางานเป็นทีม และการสร้างค่านิยมสร้างสรรค์ในการทํางาน

 

POL4321 การบริหารร่วมสมัย s/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ นักศึกษาที่เข้าชั้นเรียนและทํารายงานให้เลือกตอบเพียง 2 ข้อ โดยระบุหัวข้อรายงานในสมุดคําตอบหน้าแรก ส่วนนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าชั้นเรียนและไม่ได้ทํารายงานให้เลือกตอบ 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายการเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change) อีกทั้งยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์การในภาครัฐในด้านวิสัยทัศน์ ระบบการทํางาน และค่านิยมองค์การหรือวัฒนธรรม องค์การในภาครัฐมา 1 แห่ง และสภาวการณ์อะไรบ้างที่ทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

แนวคําตอบ

สภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ การติดต่อสื่อสาร ค่านิยมใหม่ ๆ เป็นต้น ทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุก่องค์การ โดยในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นมีมากมาย เช่น การปฏิรูประบบราชการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์การ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การออกนอกระบบ การควบรวมกิจการ การนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในองค์การ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อปรับ องค์การให้เข้ากับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะทําให้องค์การอยู่รอดและมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงองค์การ ทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

สภาวการณ์ที่ทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

สภาวการณ์หรือปัจจัยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้น (A Range of Triggers) ที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change) มีปัจจัยมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล (Government Laws and Regulations) เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลกเกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ (Globalization of Markets and The Internationalization of Business) เช่น แรงกดดันจากภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายใน และต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม (Major Political and Social Events) เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ (Organizational Growth and Expansion) เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงาน ให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ (Fluctuations) เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่อง มาจากความผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video Conferencing เทคโนโลยี หุ่นยนต์ (Robotic Technology) การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานบัญชี (Computerization of Management Accounting) และระบบสารสนเทศ (Information System)

2) เรื่องที่เกี่ยวกับงานโดยตรง (Primary Task) เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต หรือการบริการ

3) ผู้รับบริการ (People) เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรม (Programmer of Retraining) และการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย ( (Multi-Skilling) การทํางานเป็นทีม (Team-Based Work Arrangements)

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน (Administrative Structures) เช่น  การปรับปรุงโครงสร้างการทํางาน และการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่ การจัดการ ความเป็นเลิศ (Best Practice Management)

kinicki and Kreitner ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Forces for Change) ในองค์การ ต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Forces) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร (Demographic Characteristics) เนื่องจากปัจเจกบุคคล มีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนอง ความต้องการของบุคลากร รวมทั้งทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Technological Advancements) องค์การ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐหรือองค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิต และการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด (Customer and Market Changes) เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลายและต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้ องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิตสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้านสังคม และการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้องปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

2 ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Forces) เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ำ ผลผลิตตกต่ำ การเข้าออกจากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มักจะมาจากปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์การภาครัฐ

มหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยรามคําแหง พ.ศ. 2514 โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นสถาบันการศึกษาแบบตลาดวิชา เพื่อแก้ไขปัญหา การขาดแคลนสถานที่เรียนในระดับอุดมศึกษา จึงทําให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นปรัชญาการดําเนินงาน ที่มหาวิทยาลัยยึดมั่นตลอดมานับตั้งแต่เปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยรามคําแหงรับนักศึกษาโดยไม่มีการสอบคัดเลือกและรับโดยไม่จํากัดจํานวน จึงทําให้มีนักศึกษาจํานวนมากจนสถานที่เรียนที่หัวหมากไม่เพียงพอ มหาวิทยาลัยรามคําแหงจึงได้เปิดวิทยาเขต รามคําแหง 2 หรือวิทยาเขตบางนาในปี พ.ศ. 2527 เพื่อใช้เป็นสถานที่เรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มาจนถึงปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ปฏิบัติภารกิจหลักทั้ง 4 ประการของสถาบันอุดมศึกษา คือ ผลิต บัณฑิต การวิจัย การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2543 มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้เพิ่มภารกิจที่ 5 คือ “มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม” โดยมีความเชื่อว่า การเรียนรู้ ด้านคุณธรรมจะช่วยปลูกฝังรากฐานอันดีงามของจิตใจ และช่วยเสริมคุณค่าให้นักศึกษาและบัณฑิตของ มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้อย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตาม กระแสโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว ดังนั้นมหาวิทยาลัยรามคําแหงจึงได้กําหนดนโยบายการจัดการเรียนการสอนวิชา “ความรู้คู่คุณธรรม” ในทุกระดับการศึกษา โดยกําหนดให้เป็นวิชาบังคับในหลักสูตรและไม่เก็บค่าหน่วยกิตเพื่อ เป็นการเพิ่มพูนความรู้ด้านคุณธรรมและปลูกฝังจิตสํานึกให้นักศึกษานําไปประพฤติปฏิบัติ สําเร็จการศึกษาเป็น บัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม เป็นผู้ซึ่งรู้จักยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรมนําชีวิต พร้อมอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ ช่วยกันพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยนําพาประเทศชาติให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเจริญอย่าง มั่นคงต่อไป

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยรามคําแหงยังมีนโยบายขยายโอกาสการศึกษาสู่ภูมิภาค ให้คนไทย ทุกคนสามารถสมัครเข้าศึกษาในภูมิภาคของตนได้ โดยไม่ต้องไปศึกษาหรือสอบที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็น นโยบายจัดการศึกษาในลักษณะที่เรียกว่า “เรียนใกล้บ้านสอบใกล้บ้าน” จึงได้จัดตั้งสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ ส่วนภูมิภาคตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และในปี พ.ศ. 2546 ได้ขยายการเรียนการสอนสู่ต่างประเทศ โดยจัดตั้ง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติต่างประเทศ เพื่อให้โอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ปวงชนชาวไทย ในต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยการตระหนักถึง ประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสําคัญ โดยยึดหลักที่ว่า “การศึกษาสร้างคน และคนสร้างชาติ”

 

ในปี พ.ศ. 2555 มหาวิทยาลัยรามคําแหงโดยความคิดริเริ่มของผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี ได้มีนโยบายปรับระบบการวัดและประเมินผลของนักศึกษาจากเดิมระบบ G, P และ F เป็นระบบใหม่ A, B, C, และ D ตั้งแต่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการวัดและ ประเมินผลของมหาวิทยาลัยรามคําแหงไปสู่มาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ

นอกจากนี้เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์ มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ปรับระบบบริการ ให้เป็นแบบ Super Service เช่น การรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีโดยนําระบบ One Stop Service มาใช้ใน การรับสมัคร อีกทั้งนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับการจัดการศึกษาแบบสมัยใหม่ และอํานวยความสะดวกแก่ผู้เรียน เช่น e-Book และ e-Testing รวมทั้งให้บริการทางอินเทอร์เน็ตแก่นักศึกษา โดย มีเว็บไซต์ เช่น

ww.ru.ac.th เป็นเว็บไซต์หลักที่มีรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

– www.ram.edu เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับ e-Learning ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

– www.e-ru.tv เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหงรวมทั้งเป็นเว็บไซต์สําหรับถ่ายทอดสดการประชุม สัมมนา และการบรรยายพิเศษ

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนจึงได้ปรับตัว สร้างวิสัยทัศน์ และเร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เทียบเท่านานาประเทศ เน้นการสร้างคน สร้างนักศึกษาและผลิต บัณฑิตที่มีคุณภาพระดับสากล นอกจากนี้ยังได้กระตุ้นให้บุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ตระหนักในการที่ประเทศไทยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน และเตรียมความพร้อมด้านภาษาโดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษที่จะต้องใช้สื่อสารในการทํางาน รวมทั้งต้องเรียนรู้ภาษาของกลุ่มประเทศอาเซียน จึงจัดฝึกอบรม หลักสูตรภาษาต่าง ๆ แก่บุคลากรและนักศึกษา และให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนผ่านสื่อต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

 

ข้อ 2 คําว่า “กลยุทธ์” (Strategy) และคําว่า “ยุทธศาสตร์” มีความแตกต่างกันหรือไม่ จงอธิบายการนําแนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินไทยในปีใด และขั้นตอนการกําหนด กลยุทธ์มีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างการใช้เทคนิค SWOT มาวิเคราะห์องค์การของหน่วยงานภาครัฐที่ใดที่หนึ่ง

แนวคําตอบ

คําว่า Strategy มาจากคําว่า “Strategos” ในภาษากรีก โดยเกิดจากศัพท์ 2 คํา คือ “Stratos” หมายถึง Army หรือ กองทัพ และ Agein หมายถึง Lead หรือ นําหน้า โดยเมื่อนําศัพท์ 2 คํานี้มารวมกันจะหมายถึง การนํากองทัพ หรือยุทธวิธีหลักในการรบเพื่อเอาชนะศัตรู

คําว่า Strategy ในภาษาไทยใช้คําว่า กลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ ดังนั้นคําว่า กลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ จึงเป็นคํา ๆ เดียวกันและมีความหมายเหมือนกัน

แนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์ได้ถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 สําหรับประเทศไทยได้นํา แนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2545 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น การนําแนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์มาประยุกต์ใช้ในการจัดทําแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2546 – 2550 การปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณมาเป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้น ผลสัมฤทธิ์ตามยุทธศาสตร์ การให้หน่วยงานภาครัฐทุกกระทรวงจัดทํายุทธศาสตร์ระดับกระทรวง ระดับกรม เป็นต้น

ขั้นตอนการกําหนดกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน คือ

1 การนิยามธุรกิจ (Define The Business) เป็นการกําหนดความหมายของธุรกิจ ได้แก่

1 ภาษา การกําหนดภารกิจ (Mission) วิสัยทัศน์ (Vision) ปรัชญา (Philosophy) ค่านิยม (Values) และเป้าหมาย (Goals) ขององค์การ เพื่อให้การดําเนินงานตอบสนองความต้องการของลูกค้า

2 การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weakness) ขององค์การ เป็นการ วิเคราะห์ว่าองค์การมีจุดแข็งอะไรบ้างที่องค์การสามารถทําได้ดี มีความชํานาญ มีคุณภาพ มีชื่อเสียง เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ต้องวิเคราะห์ว่าองค์การมีจุดอ่อน/จุดด้อย/ข้อบกพร่องอะไรบ้างเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไข

3 การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) ขององค์การ เป็นการ วิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นโอกาสให้องค์การสามารถพัฒนา/เติบโต/ขยายกิจการได้ และมีอุปสรรค/ข้อจํากัด อะไรบ้างที่อาจทําให้องค์การสามารถทํางานได้ เช่น กฎหมาย กฎระเบียบ สถานที่ตั้ง เป็นต้น

4 การนิยามประเด็นปัญหาหลักและประเด็นทางกลยุทธ์ เป็นการหยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้น ในองค์การมาพิจารณา เช่น บุคลากรมาทํางานสาย ขาดความสามัคคี ได้รับคําตําหนิจากลูกค้า เป็นต้น ว่าปัญหา ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง และจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ซึ่งเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์ปัญหาอาจจะใช้ แผนภูมิก้างปลา (Fishbone Diagram) แผนภูมิพาเรโต้ (Pareto Diagram) เป็นต้น และจะต้องวิเคราะห์ต่อไป ว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับใดขององค์การ เป็นปัญหาทางเทคนิค หรือเป็นปัญหาการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ

5 การระบุกลยุทธ์ทางเลือกและคัดเลือกกลยุทธ์ เป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแต่ละ กลยุทธ์แล้วทําการคัดเลือกกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง ซึ่งในการคัดเลือกกลยุทธ์อาจพิจารณาจากหลายหลักเกณฑ์ เช่น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับลูกค้า ความเป็นไปได้ในการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ และความสอดคล้องกับแผนใน ระดับต่าง ๆ เป็นต้น

6 การบริหารกลยุทธ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สําคัญ เนื่องจากเป็นการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของกลยุทธ์นั้น ทั้งนี้ความสําเร็จของการบริหารกลยุทธ์ย่อมขึ้นอยู่กับ ค่านิยมในการทํางานและการให้ความร่วมมือของบุคลากรในองค์การเป็นสําคัญ

7 การประเมินผลกลยุทธ์ เมื่อมีการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติแล้ว จําเป็นต้องมีการประเมินผล กลยุทธ์นั้นว่าประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด มีปัญหาอะไรบ้างเพื่อนําผลการประเมินไปปรับปรุงต่อไป

การใช้เทคนิค SWOT ในการวิเคราะห์องค์การ ก่อนที่องค์การต่าง ๆ จะกําหนดกลยุทธ์จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT เพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การก่อน ซึ่งคําว่า SWOT ประกอบด้วย

1 S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ เป็นการพิจารณาจุดแข็งของทรัพยากรภายใน องค์การหรือระบบย่อยขององค์การ เช่น อํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยี เป็นต้น ว่ามีอะไรบ้างที่จะนํามาใช้ในการดําเนินงานขององค์การในการปฏิบัติการตามกลยุทธ์

2 W = Weakness คือ จุดอ่อนขององค์การ เป็นการพิจารณาอํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีภายในองค์การว่ามีจุดอ่อนอย่างไร เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นจุดแข็ง และนํามาใช้เป็นประโยชน์แก่องค์การ

3 O = Opportunities คือ โอกาสที่จะทําให้เกิดความได้เปรียบแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาดูว่ามีปัจจัยภายนอกองค์การใดที่จะนํามาเป็นประโยชน์ในการดําเนินงานขององค์การได้บ้าง ซึ่งแบ่งออกเป็น

1) สิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ ลูกค้า คู่แข่ง ผู้ผลิต แรงงาน กฎระเบียบหรือหน่วยงานที่ควบคุม

2) สิ่งแวดล้อมทั่วไป ได้แก่ การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และต่างประเทศ

4 Is Threats คือ อุปสรรคหรืออันตรายที่จะทําให้เกิดหายนะแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมของงานและสิ่งแวดล้อมทั่วไปที่ทําให้เกิดอันตรายหรือ หายนะต่อการดําเนินงานขององค์การ ทั้งนี้การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT

ตัวอย่างของการใช้เทคนิค SWOT ในการวิเคราะห์องค์การ เช่น

การใช้เทคนิค SWOT ในการวิเคราะห์กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อนําไปใช้กําหนดกลยุทธ์ การพัฒนาการท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร

จุดแข็งของ กทม. คือ

1 มีบุคลากรที่มีคุณภาพและมีอํานาจมากพอสมควร ทําให้สามารถนํามาใช้ดําเนินงานในโครงการได้

2 มีงบประมาณอยู่พอสมควรในการนํามาใช้ดําเนินงาน

3 มีสถานีวิทยุของตนเองสามารถที่จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหันมาสนใจท่องเที่ยวใน กทม. ได้

4 มีสํานักงานเขต 50 เขต แต่ละเขตมีบุคลากรและเครื่องมือพร้อมในการทํางาน

5 มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งสามารถนํามาเป็นประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์และการบริหารงานโครงการได้เป็นอย่างดี

6 คณะผู้บริหาร กทม. มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และได้รับการยอมรับจากประชาชนสูง จุดอ่อนของ กทม. คือ

1 บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะมาดําเนินการท่องเที่ยวยังมีน้อย

2 ฝ่ายบริหารระดับสูงมิได้จัดนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวว่าเป็นนโยบายสําคัญ ทําให้ไม่ได้ลงมากําชับและระดมทรัพยากรต่าง ๆ ให้นโยบายนี้มีผลสําเร็จในระดับสูง

โอกาสของ กทม. คือ

1 หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐได้หันมาประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวใน กทม. มากขึ้น ทําให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการท่องเที่ยวใน กทม. มากขึ้น

2 ประชากรที่อยู่อาศัยใน กทม. มีประมาณ 6 ล้านคน รวมกับประชากรบริเวณปริมณฑลประมาณ 4 ล้านคน และเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่สามารถจะมาท่องเที่ยวใน กทม. ได้เป็นจํานวนมาก

3 มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นจํานวนมาก ที่จะสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้  เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดอรุณราชวราราม วัดเบญจมบพิตร เป็นต้น

4 เป็นแหล่งที่ตั้งของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่ง กทม. จะสามารถขอความร่วมมือมาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวได้

5 มีสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของส่วนราชการต่าง ๆ มาก ซึ่ง กทม. จะสามารถใช้วิทยุประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวใน กทม. ได้

6 เป็นที่ตั้งของที่ทําการหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ ซึ่งสามารถขอความร่วมมือจากหนังสือพิมพ์และวารสารเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในการท่องเที่ยวได้

อุปสรรคของ กทม. คือ

1 ในปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น แต่ยังมีสภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอยู่ เช่น น้ำมันยังราคาแพง กําลังซื้อของประชาชนลดลง ทําให้ประชาชนจะท่องเที่ยวน้อยลง เพราะประชาชนจะเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในเรื่องจําเป็น หรือจะเก็บไว้ออมมากกว่าจะนํามาใช้ในการท่องเที่ยว

2 สถานที่ท่องเที่ยวที่สําคัญมิได้เป็นหน่วยงานสังกัด กทม. แต่เป็นหน่วยงานอื่น ๆ ทําให้ กทม. มิได้มีบทบาทในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้น กทม. ต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น

 

ข้อ 3 ปัจจัยอะไรบ้างที่ทําให้สถาบันอุดมศึกษาต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเข้ามาใช้ ระบบการประกันคุณภาพการศึกษามีกระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย และหลักการประเมินคุณภาพภายนอกมีหลักการอะไรบ้าง มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมอะไรบ้าง

แนวคําตอบ

ปัจจัยที่ทําให้สถาบันอุดมศึกษาต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเข้ามาใช้เนื่องจากปัจจุบันมีปัจจัยสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์การหลายประการที่ทําให้ สถาบันอุดมศึกษาจําเป็นต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเข้ามาใช้ ซึ่งปัจจัยที่สําคัญมีดังนี้

1 ความแตกต่างด้านคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา

2 ความท้าทายของปัจจัยโลกาภิวัตน์ที่มีต่อการอุดมศึกษา ทําให้การศึกษาไร้พรมแดน

3 สถาบันอุดมศึกษามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าสามารถพัฒนา องค์ความรู้และผลิตบัณฑิตตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล การพัฒนาภาคการผลิตจริงทั้งอุตสาหกรรมและบริการ การพัฒนาอาชีพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ระดับท้องถิ่นและชุมชน

4 สถาบันอุดมศึกษาจะต้องให้ข้อมูลสาธารณะ (Public Information) ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนักศึกษา ผู้จ้างงาน ผู้ปกครอง รัฐบาล และประชาชนทั่วไป

5 สังคมต้องการระบบอุดมศึกษาที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม (Participation) มีความโปร่งใส (Transparency) และมีความรับผิดชอบสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) ตามหลักธรรมาภิบาล

6 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กําหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน รวมถึงให้มีสํานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษาทําหน้าที่ประเมินคุณภาพภายนอก โดยการประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา

7 คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศใช้มาตรฐานการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นกลไกกํากับระดับมาตรฐานระดับกระทรวง ระดับคณะกรรมการการอุดมศึกษา และระดับ หน่วยงาน โดยทุกหน่วยงานระดับอุดมศึกษาจะได้ใช้เป็นกรอบดําเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา

8 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและกํากับให้สถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตาม ประเภทหรือกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา 4 กลุ่ม

9 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 และคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศแนวทางการปฏิบัติตาม กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เพื่อให้การจัดการศึกษา ระดับอุดมศึกษาเป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษาและเพื่อการประกันคุณภาพของบัณฑิตในแต่ละระดับคุณวุฒิ และสาขาวิชา

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กําหนด ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษา 2 ระบบ คือ

1 ระบบการประกันคุณภาพภายใน เป็นการประเมินการดําเนินงานของสถานศึกษาโดย บุคลากรของสถานศึกษานั้น ๆ และให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารการศึกษา ที่ต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทํารายงานประจําปี รายงานประเมินคุณภาพภายในเสนอสภาสถาบัน หน่วยงานต้นสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเผยแพร่ต่อสาธารณะ

2 ระบบการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาโดย หน่วยงานภายนอก คือ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ซึ่งจะทําการประเมิน อย่างน้อย 1 ครั้งในทุกรอบ 5 ปี

หลักการประเมินคุณภาพภายนอก

สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาได้กําหนดหลักการประเมินคุณภาพ ภายนอกไว้ดังนี้

1 เป็นการประเมินการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ไม่ใช่เป็นการประเมินเพื่อจับผิด หรือ การให้คุณให้โทษ

2 ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม โปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง (Evidence-Based) และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ (Accountability)

3 มุ่งเน้นการประเมินแบบกัลยาณมิตร

4 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพและการพัฒนาการจัดการศึกษาจาก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

5 มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษา ของชาติตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้เอกภาพเชิงนโยบาย แต่ยังคงมี ความหลากหลายในทางปฏิบัติ โดยสถาบันสามารถกําหนดเป้าหมายเฉพาะและพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เต็ม ตามศักยภาพของสถาบันและผู้เรียน

 

ข้อ 4 วัฒนธรรมองค์การ (Organizational Culture) คืออะไร ระดับของวัฒนธรรมองค์การมีกระดับอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมกับยกตัวอย่างประกอบในแต่ละระดับ

แนวคําตอบ

ความหมายของวัฒนธรรมองค์การ (Organizational Culture)

Handy อธิบายว่า วัฒนธรรมองค์การ เป็นรูปแบบหรือโมเดลที่เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับวิธีคิด และการเรียนรู้ของบุคคลซึ่งใช้เป็นแนวทางในการบริหารและการปฏิบัติงานในองค์การ ทั้งนี้ได้นําเทพเจ้าของ ชาวกรีก 4 องค์ ได้แก่ เทพเจ้าซีอุส เทพเจ้าอพอลโล เทพสตรีอาธีน่า และเทพเจ้าดิโอนีซุส มาอธิบายวัฒนธรรม องค์การที่แตกต่างกัน

Schein อธิบายว่า วัฒนธรรมองค์การ หมายถึง รูปแบบของสมมุติฐาน (Basic Assumptions) เกี่ยวกับวิธีการมอง การคิด และการสร้างความรู้สึกที่ดีที่ถูกต้องของบุคลากรในองค์การที่ได้สั่งสมมาในอดีตจาก ประสบการณ์ที่ได้มาจากการแก้ปัญหา การปรับตัวขององค์การต่อสภาพแวดล้อมภายนอก อีกทั้งการสร้างความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันภายในองค์การและการถ่ายทอดให้กับสมาชิกใหม่ในองค์การ

Robbins อธิบายว่า วัฒนธรรมองค์การ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเข้าใจร่วมกันและความเชื่อของ สมาชิกในองค์การที่แสดงออกต่อบุคคลอื่น ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ในแต่ละองค์การจะแสดงออกมาในลักษณะ ที่เป็นค่านิยม สัญลักษณ์ พิธีกรรม ตํานาน และการปฏิบัติ

พิทยา บวรวัฒนา ให้ความหมายว่า วัฒนธรรมองค์การ หมายถึง ความเข้าใจร่วมกัน (Shared Meaning) ของบุคลากรในองค์การเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติซึ่งได้รับถ่ายทอดกันมาเป็นเวลานาน และแสดงออกมา ในลักษณะเป็นความเชื่อ (Beliefs) สัญลักษณ์ (Symbols) พิธีการ (Rituals) นิทาน (Myths) การเล่าเรื่อง และ แนวทางการปฏิบัติ

ติน ปรัชญพฤทธิ์ อธิบายว่า วัฒนธรรมองค์การ หมายถึง ชุดของค่านิยม ความเชื่อ และ ความเข้าใจที่บุคลากรขององค์การนั้นมีอยู่ร่วมกัน ซึ่ง Culture มาจาก “Cultura” แปลว่า เพาะปลูก เช่น เกษตรกร เพาะปลูกข้าว ส่วนนักมานุษยวิทยาจะเพาะปลูก 4 สิ่งด้วยกัน คือ ทัศนคติ (Attitude) ค่านิยม (Value) ความเชื่อ (Belief) และสิ่งประดิษฐ์คิดค้นต่าง ๆ (Artifacts) หรือวัฒนธรรมทางกายภาพ

สรุป วัฒนธรรมองค์การ หมายถึง แนวทางการประพฤติปฏิบัติของบุคลากรในแต่ละองค์การที่ ได้รับการปลูกฝังและถ่ายทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงออกมาในลักษณะของค่านิยม ความเชื่อ สัญลักษณ์ พิธีการ นิทาน และการเล่าเรื่อง เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมองค์การสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมหรือ บุคลิกลักษณะเฉพาะขององค์การนั้น ๆ

ระดับของวัฒนธรรมองค์การ Schein ได้แบ่งระดับวัฒนธรรมองค์การออกเป็น 3 ระดับ คือ

1 วัฒนธรรมทางกายภาพ (Artifacts) เป็นระดับวัฒนธรรมองค์การที่บุคคลสามารถมองเห็น ได้ยินและรู้สึกได้ทันทีเมื่อเข้าไปในแต่ละองค์การ นอกจากนี้แล้วยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ และพฤติกรรมของ สมาชิก โดยวัฒนธรรมทางกายภาพแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) ประเภทวัตถุ เช่น ศิลปะต่าง ๆ โลโก้ของหน่วยงาน รูปทรงหรือการออกแบบตึก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องแต่งกาย เป็นต้น

2) ประเภทพฤติกรรม เช่น พิธีกรรมต่าง ๆ รูปแบบการติดต่อสื่อสาร ประเพณี การให้รางวัล หรือการลงโทษพนักงาน เป็นต้น

3) ประเภทภาษา เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับความยากลําบากในการก่อตั้งองค์การ เรื่องตลกในหน่วยงาน ชื่อจริงหรือชื่อเล่นที่ใช้เรียกในที่ทํางาน คําศัพท์เฉพาะที่ใช้กันในหน่วยงาน คําอธิบาย เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อุปมาอุปมัย หรือคําขวัญที่มักใช้กันในองค์การ เป็นต้น

2 ค่านิยม (Espoused Values) เป็นสิ่งที่บอกว่าสิ่งใดมีคุณค่าหรือสิ่งใดควรกระทํา ค่านิยม เป็นเป้าหมายและมาตรฐานของสังคมที่สมาชิกในองค์การควรเอาใจใส่ เช่น การทํางานให้มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบ และมีความโปร่งใส เป็นต้น . .

3 ฐานคติ (Basic Underlying Assumption) เป็นสิ่งที่สมาชิกในองค์การมีความเชื่อว่า สิ่งนั้นเป็นจริง เป็นวิธีที่ถูกต้องในการทําสิ่งนั้น (The right way to do things) เช่น มาตรฐานการทํางาน วิธีการ ทํางานที่คิดว่ามีประสิทธิภาพ เป็นต้น

 

POL4321 การบริหารร่วมสมัย s/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาตอบทุกข้อ ๆ ละ 33 คะแนน

ข้อ 1 จงอธิบายความหมายของการเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change) ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในองค์การมีอะไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในมิติโครงสร้างองค์การ ระบบการทํางาน และค่านิยมขององค์การในภาครัฐมา 1 มิติ

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 54221 หน้า 78 – 82)

ความหมายของการเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change)

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง องค์การทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

สภาวการณ์หรือปัจจัยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

สภาวการณ์หรือปัจจัยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้นที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การมี 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลกเกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ เช่น แรงกดดันจาก ภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายในและต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงานให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video-Conferencing การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานบัญชีและระบบสารสนเทศ

2) เรื่องเกี่ยวกับงานโดยตรง เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตหรือการบริการ

3) เรื่องเกี่ยวกับผู้รับบริการ เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรมและการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลายการทํางานเป็นทีม

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการทํางานและการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่

Kinicki and Kreitner ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่าปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร เนื่องจากปัจเจกบุคคลมีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การ ต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากร รวมทั้ง ทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี องค์การต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐหรือ องค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิตและการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลาย และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิตสินค้า และบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้าน สังคมและการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้อง ปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

2 ปัจจัยภายในองค์การ เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ำ ผลผลิตตกต่ำ การเข้าออก จากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมักจะมาจาก ปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐด้านวัฒนธรรมองค์การ

แต่เดิมนั้นองค์การภาครัฐต่าง ๆ ไม่ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ แต่ในปัจจุบันมีหลายองค์การ ที่ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การหรือค่านิยมเพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติงาน ราชการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ 6 ประการ ซึ่งเรียกว่า “POISCI” ประกอบด้วย

1 P = Positive Thinking คือ การคิดในทางบวก

2 O = Ownership คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์การ

3 L = Leader of Change คือ การเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลง

4 S = Service Mind คือ การมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดี

5 C = Continuous Learning คือ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

6 I = Integrity & Ethics คือ การมีความซื่อสัตย์และคุณธรรมจริยธรรม

มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ 7 ประการ โดยดัดแปลงมาจากคําว่า “MAHIDOL” ประกอบด้วย

1 M = Mastery คือ เป็นนายแห่งตน

2 A = Altruism คือ มุ่งผลเพื่อผู้อื่น

3 H = Harmony คือ กลมกลืนกับสรรพสิ่ง

4 I = Integrity คือ มั่นคงยั่งยืนในคุณธรรม

5 D = Determination คือ แน่วแน่กล้าตัดสินใจ

6 0 = Originality คือ สร้างสรรค์สิ่งใหม่

7 L = Leadership คือ ใส่ใจเป็นผู้นํา

 

ข้อ 2 เหตุผลสําคัญที่ทําให้สถาบันอุดมศึกษาต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้ การประกันคุณภาพการศึกษามีกระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีการประกันคุณภาพ การศึกษากระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 54221 หน้า 117 – 123)

เหตุผลสําคัญที่ทําให้สถาบันอุดมศึกษาต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้

1 ความแตกต่างด้านคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา

2 ความท้าทายของปัจจัยโลกาภิวัตน์ที่มีต่อการอุดมศึกษา ทําให้การศึกษาไร้พรมแดน

3 สถาบันอุดมศึกษามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าสามารถพัฒนา องค์ความรู้และผลิตบัณฑิตตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล การพัฒนาภาคการผลิตจริงทั้งอุตสาหกรรมและบริการ การพัฒนาอาชีพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ระดับท้องถิ่นและชุมชน

4 สถาบันอุดมศึกษาจะต้องให้ข้อมูลสาธารณะ (Public Information) ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนักศึกษา ผู้จ้างงาน ผู้ปกครอง รัฐบาล และประชาชนทั่วไป

5 สังคมต้องการระบบอุดมศึกษาที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม (Participation) มีความโปร่งใส (Transparency) และมีความรับผิดชอบสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) ตามหลักธรรมาภิบาล

6 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กําหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน รวมถึงให้มีสํานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษาทําหน้าที่ประเมินคุณภาพภายนอก โดยการประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา

7 คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศใช้มาตรฐานการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นกลไกกํากับระดับมาตรฐานระดับกระทรวง ระดับคณะกรรมการการอุดมศึกษา และระดับ หน่วยงาน โดยทุกหน่วยงานระดับอุดมศึกษาจะได้ใช้เป็นกรอบดําเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา

8 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและกํากับให้สถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตาม ประเภทหรือกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา 4 กลุ่ม

9 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 และคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศแนวทางการปฏิบัติตาม กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เพื่อให้การจัดการศึกษา ระดับอุดมศึกษาเป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษาและเพื่อการประกันคุณภาพของบัณฑิตในแต่ละระดับ คุณวุฒิและสาขาวิชา

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา มี 2 ระบบ คือ

1 ระบบการประกันคุณภาพภายใน เป็นการประเมินการดําเนินงานของสถานศึกษา โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้น ๆ และให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร การศึกษาที่ต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทํารายงานประจําปี รายงานประเมินคุณภาพภายในเสนอ สภาสถาบัน หน่วยงานต้นสังกัด และหนวยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเผยแพร่ต่อสาธารณะ

2 ระบบการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาโดย หน่วยงานภายนอก คือ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะทําการประเมินอย่างน้อย 1 ครั้งในทุกรอบ 5 ปี

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง มี 3 ระบบ คือ

1 ระบบ ISO 9001 : 2008 ใช้ในคณะ/สํานักที่เน้นงานด้านการบริการให้แก่นักศึกษา เช่น สํานักหอสมุดกลาง สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล (สวป.) สํานักงานอธิการบดี สํานักเทคโนโลยี การศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2 ระบบ OA (Quality Assurance) ใช้ในคณะ/สํานัก/สาขาวิทยบริการฯ โดยอิง องค์ประกอบทั้ง 9 ข้อของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

3 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ใช้ในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคําแหง (มัธยมศึกษาและประถมศึกษา) โดยอิงมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษากําหนด

 

ข้อ 3 จงเลือกหลักการบริหารสมัยใหม่หรือเทคนิคการบริหารสมัยใหม่ อาทิ ทฤษฎี 7S’s MODEL, หลักการ 5G’s, หลักการ 4 VIP, หลักธรรมาภิบาล, QC, 5S, ไคเซ็น (Kaizen) , การรื้อปรับระบบ (Reengineering) , ระบบมาตรฐานคุณภาพสากล (ISO) , การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ (TQM) และระบบซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) เป็นต้น มาเพียง 1 แนวคิด พร้อมกับอธิบายความเป็นมา แนวคิด/หลักการ ชื่อนักคิด (ถ้ามี) ของแนวคิดฯ นั้น และวิเคราะห์จุดแข็ง และจุดอ่อนของแนวคิดฯ นั้น (อย่างน้อย 3 ประการ)

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 54221 หน้า 164 – 166)

หลักธรรมาภิบาล (Good Governance)

คําว่า Good Governance มีคําเรียกภาษาไทยหลายคํา เช่น ธรรมาภิบาล การบริหาร จัดการที่ดี ธรรมรัฐ ประชารัฐ บรรษัทภิบาล วิธีการปกครองที่ดี การกํากับดูแลกิจการที่ดี การบริหารกิจการ บ้านเมืองและสังคมที่ดี เป็นต้น

การบริหารจัดการที่ดี หมายถึง แนวคิดการบริหารจัดการที่ได้รับการออกแบบสร้างขึ้น เพื่อให้การบริหารงานในวันนี้รองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว

การบริหารจัดการที่ดี หมายถึง แนวคิดที่จะทําให้ทุกคนในสังคมเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบการบริหาร จัดการแทนที่การบริหารจัดการแบบเดิมที่สมาชิกของสังคมปล่อยให้การบริหารจัดการเป็นเรื่องของผู้นํา ที่ดําเนินการทุกอย่างไปตามความเห็นของคณะผู้บริหาร

ที่มาและลักษณะของธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาลเป็นแนวคิดของธนาคารโลก (World Bank) ที่กําหนดเป็นเงื่อนไขในการให้กู้เงิน กับประเทศสมาชิกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เพื่อแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลและความไม่มีประสิทธิภาพในการ บริหารของประเทศกําลังพัฒนา ด้วยเหตุนี้ธนาคารโลกและองค์การระหว่างประเทศ (UNDP) จึงได้กําหนดลักษณะ และองค์ประกอบของธรรมาภิบาลไว้ 7 ประการ คือ

1 การมีความชอบธรรมและความรับผิดชอบทางการเมือง (Political Legitimacy and Accountability)

2 ความมีอิสระในการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ (Freedom of Association and Participation)

3 การมีระบบกฎหมายที่มีความยุติธรรมและน่าเชื่อถือ (A Fair and Reliable Judicial System)

4 การมีพันธะความรับผิดชอบและการถูกตรวจสอบของระบบราชการ (Bureaucratic · Accountability)

5 การมีเสรีภาพในการแสดงออกและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสังคม (Freedom of Information and Expression)

6 ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการภาครัฐ (Effective and Efficient Public Sector Management)

7 การแสวงหาความร่วมมือจากองค์กรประชาสังคม (Cooperation with Civil Society Organization)

สําหรับประเทศไทย ได้ออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหาร กิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีหลักการสําคัญ 6 ประการ คือ

1 หลักนิติธรรม ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมาย กฎข้อบังคับต่าง ๆ ให้ทันสมัยและเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม และสังคมยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตามกฎหมาย กฎข้อบังคับเหล่านั้น โดยถือว่าเป็นการ ปกครองภายใต้กฎหมายมิใช่ตามอําเภอใจหรืออํานาจของตัวบุคคล

2 หลักคุณธรรม ได้แก่ การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ยึดถือหลักนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาตนเองไปพร้อมกัน เพื่อให้คนไทยมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย ประกอบอาชีพสุจริตจนเป็นนิสัยประจําชาติ

3 หลักความโปรงใส ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในชาติ โดยปรับปรุง กลไกการทํางานของทุกองค์การให้มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์อย่างตรงไปตรงมา ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้อง ชัดเจนได้

4 หลักการมีส่วนร่วม ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความเห็น ในการตัดสินใจปัญหาของประเทศ ไม่ว่าด้วยการแจ้งความเห็น การไต่สวนสาธารณะ การประชาพิจารณ์ การแสดง ประชามติ หรืออื่น ๆ

5 หลักความรับผิดชอบ ได้แก่ การตระหนักในสิทธิหน้าที่ ความสํานึกในความรับผิดชอบ ต่อสังคม การใส่ใจปัญหาสาธารณะของบ้านเมือง และกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา ตลอดจนการเคารพในความ คิดเห็นที่แตกต่างและความกล้าที่จะยอมรับผลการกระทําของตน

6 หลักความคุ้มค่า ได้แก่ การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจํากัดเพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้คนไทยมีความประหยัด ใช้ของอย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้สมดุลยังยืน

ความเหมาะสมในการนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ คือ

1 ช่วยส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความตระหนักถึงความสํานึกรับผิดชอบ ต่อประชาชนและองค์กรมากขึ้น ซึ่งความสํานึกรับผิดชอบมีส่วนทําให้เจ้าหน้าที่ของรัฐระมัดระวังการกระทําที่มีผล ต่อสาธารณะหรือประชาชนมากขึ้น และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ต้องพร้อมที่จะรับผลของการกระทํานั้นโดย ไม่หลบเลี่ยงหรือโยนความผิดให้บุคคลอื่น

2 ช่วยทําให้ระบบราชการเป็นระบบเปิด โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางมีส่วนร่วม ในการบริหารภาครัฐอย่างหลากหลายและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ระบบการบริหารภาครัฐในอดีตมักเป็นระบบปิด ทําให้ประชาชนไม่รู้ข้อมูลข่าวสารในการบริหารงานของภาครัฐมากนักและข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกเก็บเป็นความลับ หรือไม่เปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ แต่เมื่อมีการนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ทําให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารของภาครัฐ และให้สิทธิแก่ประชาชนในการยื่นขอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐได้ นอกจากนี้ยังมี การกําหนดให้หน่วยงานภาครัฐต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่จําเป็นต่อสาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เอกสารหรือ เว็บไซต์ของหน่วยงาน เป็นต้น และประชาชนยังมีช่องทางในการร้องเรียนหรือเสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ ของรัฐอีกด้วย

3 ช่วยส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐยึดกฎหมายเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ มากกว่าการใช้ดุลยพินิจหรือตามอําเภอใจ โดยมีการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานในแต่ละภารกิจหรือแต่ละงานไว้ชัด ทําให้การใช้กฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอาจลดลงได้

4 ช่วยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐตระหนักถึงความสําคัญของคุณธรรม จริยธรรมใน การปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะเป็นผู้ให้บริการประชาชนมิใช่เจ้านายของประชาชนหรือผู้ที่มีสถานภาพที่เหนือกว่า ประชาชน

5 ทําให้ภาครัฐให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพในการทํางานมากขึ้น โดยการปรับปรุง กระบวนการทํางานให้มีความรวดเร็ว และประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ

ปัจจัยที่จะทําให้การนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ประสบความสําเร็จ มีดังนี้

1 ผู้บริหารและบุคลากรภาครัฐจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาลเป็นอย่างดี

2 ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนให้มีการนําหลักธรรมาภิบาลเข้ามาใช้ในองค์การ และต้องจูงใจให้บุคลากรภาครัฐปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเต็มใจและมีส่วนร่วม

3 บุคลากรภาครัฐจะต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล

4 ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทํางานของภาครัฐ รวมทั้งการเสนอความคิดเห็นหรือตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารภาครัฐได้อย่างแท้จริง

5 โครงสร้างขององค์การจะต้องเอื้อต่อการนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ เช่น มีการปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม มีการลดขั้นตอนการปฏิบัติงานลง มีการกระจายอํานาจการตัดสินใจ เป็นต้น

POL4321 การบริหารร่วมสมัย 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาตอบทุกข้อ ๆ ละ 33 คะแนน

ข้อ 1 คําว่า “กลยุทธ์” (Strategy) หมายถึงอะไร ภาษาอังกฤษใช้คําใด มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง กลยุทธ์ขององค์การมีกี่ระดับ อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบ ขั้นตอนการกําหนดกลยุทธ์มีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบาย

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 54221 หน้า 105 – 112)

ความหมายของกลยุทธ์

คําว่า “กลยุทธ์” หรือ “ยุทธศาสตร์” ภาษาอังกฤษใช้คําว่า “ Strategy” โดยมีรากศัพท์มาจาก คําว่า “Strategos” ในภาษากรีก ซึ่งเกิดจากศัพท์ 2 คํา คือ “Stratos” หมายถึง Army หรือ กองทัพ และ Agein หมายถึง Lead หรือ น้ําหน้า โดยเมื่อนําศัพท์ 2 คํานี้มารวมกันจะหมายถึง การนํากองทัพ หรือยุทธวิธีหลักใน การรบเพื่อเอาชนะศัตรู ดังนั้นคําว่ากลยุทธ์กับยุทธศาสตร์จึงเป็นคํา ๆ เดียวกันและมีความหมายเหมือนกัน

กลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ หมายถึง การกําหนดวิธีการ แนวทางปฏิบัติในการใช้ทรัพยากรของ องค์การที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและลดโอกาสความเสียเปรียบเพื่อใช้ในการดําเนินงานขององค์การ ให้บรรลุวัตถุประสงค์

สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ กล่าวว่า กลยุทธ์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายนอกขององค์การ เพื่อพิจารณาหาโอกาส (Opportunity) และอุปสรรคหรือภยันตราย (Threat) ตลอดจน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในขององค์การเพื่อหาจุดอ่อน (Weakness) และหาจุดแข็ง (Strength)

ความเป็นมาของการบริหารเชิงกลยุทธ์

แนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์ถูกนํามาใช้กันอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 โดยคําว่า กลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ เป็นคําที่ใช้ในวงการทหารมาก่อน เช่น ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช หรือใน ตําราพิชัยสงครามของซุนวูมีคํากล่าวว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ต่อมาวงการธุรกิจได้หยิบยืม กลยุทธ์ทางทหารมาใช้ในการประกอบการทางธุรกิจ เช่น กลยุทธ์การขาย กลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้า กลยุทธ์การ ส่งมอบสินค้าให้ผู้บริโภคถึงที่บ้านแบบ Delivery ของร้านพิซซ่า เป็นต้น

ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจก็มีการกล่าวถึงกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์เช่นกัน แต่ใช้คําว่าการวางแผน (Planning) ดังนั้นการวางแผนจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นหน้าที่ ที่สําคัญของผู้บริหาร เช่น Silick & Urwick ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารที่เรียกว่า “POSDCORB”, Henri Fayol ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารที่เรียกว่า “POCCC” และ Robbins ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารที่เรียกว่า “POLC” โดยตัวอักษร P ตามแนวคิดของนักวิชาการทั้งสามท่านก็คือ การวางแผน (Planning) นั้นเอง

สําหรับประเทศไทยได้นําแนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินไทย เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2545 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น การนําแนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์ มาประยุกต์ใช้ในการจัดทําแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2546 – 2550 การปรับเปลี่ยนระบบ งบประมาณมาเป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ตามยุทธศาสตร์ การให้หน่วยงานภาครัฐทุกกระทรวง จัดทํายุทธศาสตร์ระดับกระทรวง ระดับกรม เป็นต้น

ส่วนนักวิชาการที่เขียนตําราเกี่ยวกับกลยุทธ์นั้นมีหลายท่านด้วยกัน เช่น Bracker, Chandler, Ansoff แต่นักวิชาการที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด คือ Michael E. Porter

กลยุทธ์ขององค์การแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

1 กลยุทธ์หลัก (Corporate Strategy หรือ Grand Strategy) เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ระดับสูงขององค์การที่จะตัดสินใจว่าองค์การจะเข้าไปแข่งขันในด้านใด เช่น จะผลิตสินค้าหรือบริการด้านใด จะถอนตัว ออกจากการแข่งขันในตลาดใด จะรักษาส่วนแบ่งของสินค้าหรือบริการไว้ในตลาดใด อีกทั้งการกําหนดเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ระยะยาวขององค์การ ตลอดจนการตัดสินใจกระจายทรัพยากรขององค์การในการดําเนินงานให้ บรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างกลยุทธ์หลักปัจจุบันที่นิยมใช้ คือ กลยุทธ์เชิงร่วมมือกัน (Cooperative Strategies) เช่น กลยุทธ์การลงทุนร่วม (Joint Venture) การแสวงหาพันธมิตรทางกลยุทธ์ (Strategic Partnership) เป็นต้น

2 กลยุทธ์ทั่วไป (Generic Strategy) หรือกลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy) เป็น การตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์อะไรเพื่อให้ได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งองค์การสามารถเลือกกลยุทธ์ทั่วไปสําหรับสินค้า หรือบริการแต่ละประเภทได้ 4 รูปแบบ ดังนี้

1) กลยุทร์ความเป็นผู้นําทางด้านต้นทุนในตลาดกว้าง หมายถึง การผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลายกลุ่ม หลายระดับ

2) กลยุทธ์เน้นต้นทุนในตลาดเฉพาะ หมายถึง การทําให้ต้นทุนต่ำ เช่น สามารถจัดซื้อวัตถุดิบราคาต่ำกว่า การเป็นเจ้าของเทคโนโลยี และการผลิตในปริมาณมากเพื่อให้ต้นทุนต่ำ

3) กลยุทร์การทําให้เกิดความแตกต่าง หมายถึง การเลือกผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความเป็นเลิศในมิติหลายอย่าง เช่น การนําส่งสินค้าหรือบริการถึงบ้านลูกค้าหรือการให้บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม

4) กลยุทธ์การทําให้เกิดความแตกต่างในตลาดเฉพาะ หมายถึง การเลือกตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น การผลิตสินค้าขายเฉพาะเด็กหรือสตรีเท่านั้น

3 กลยุทธ์ตามลักษณะการปฏิบัติหน้าที่ (Functional Strategy) เป็นกลยุทธ์ในระดับ ฝ่ายงานหรือหน่วยงาน เช่น การตลาด การเงิน การวิจัยและพัฒนา การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น โดยมุ่งเน้น ที่การใช้ทรัพยากรขององค์การให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน

ขั้นตอนการกําหนดกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน คือ

1 การนิยามธุรกิจ เป็นการกําหนดความหมายของธุรกิจ ได้แก่ การกําหนดภารกิจ วิสัยทัศน์ ปรัชญา ค่านิยม และเป้าหมายขององค์การ เพื่อให้การดําเนินงานตอบสนองความต้องการของลูกค้า

2 การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การ เป็นการวิเคราะห์ว่าองค์การมีจุดแข็ง อะไรบ้างที่องค์การสามารถทําได้ดี มีความชํานาญ มีคุณภาพ มีชื่อเสียง เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ต้องวิเคราะห์ว่า องค์การมีจุดอ่อน/จุดด้อย/ข้อบกพร่องอะไรบ้างเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไข

3 การวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรคขององค์การ เป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่ เป็นโอกาสให้องค์การสามารถพัฒนา/เติบโต/ขยายกิจการได้ และมีอุปสรรค/ข้อจํากัดอะไรบ้างที่อาจทําให้องค์การ ไม่สามารถทํางานได้ เช่น กฎหมาย กฎระเบียบ สถานที่ตั้ง เป็นต้น

4 การนิยามประเด็นปัญหาหลักและประเด็นทางกลยุทธ์ เป็นการหยิบยกปัญหาที่เกิดขึ้น ในองค์การ เช่น บุคลากรมาทํางานสาย ขาดความสามัคคี ได้รับคําตําหนิจากลูกค้า เป็นต้น มาพิจารณาว่าเกิดขึ้นจาก สาเหตุอะไร และจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ซึ่งเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์ปัญหาอาจจะใช้แผนภูมิก้างปลา แผนภูมิพาเรโต้ เป็นต้น และจะต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระดับใดขององค์การ เป็นปัญหาทางเทคนิค หรือ เป็นปัญหาการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ

5 การระบุกลยุทธ์ทางเลือกและคัดเลือกกลยุทธ์ เป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแต่ละกลยุทธ์แล้วทําการคัดเลือกกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่ง ซึ่งในการคัดเลือกกลยุทธ์อาจพิจารณาจากหลายหลักเกณฑ์ เช่น ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับลูกค้า ความเป็นไปได้ในการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ และความสอดคล้องกับแผนในระดับต่าง ๆ เป็นต้น

6 การบริหารกลยุทธ์ เป็นการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ของกลยุทธ์นั้น ทั้งนี้ความสําเร็จของการบริหารกลยุทธ์ย่อมขึ้นอยู่กับค่านิยมในการทํางานและการให้ความร่วมมือ ของบุคลากรในองค์การเป็นสําคัญ

7 การประเมินผลกลยุทธ์ เมื่อมีการนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติแล้ว จําเป็นต้องมีการประเมินผล กลยุทธ์นั้นว่าประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด มีปัญหาอะไรบ้างเพื่อนําผลการประเมินไปปรับปรุงต่อไป

 

ข้อ 2 จงอธิบายความหมายของวัฒนธรรมองค์การ (Organizational Culture) ตามแนวคิดของ Schein แบ่งวัฒนธรรมองค์การออกเป็นที่ระดับ อะไรบ้าง (ยกตัวอย่าง) และยกตัวอย่างค่านิยมองค์การของหน่วยงานภาครัฐ 1 แห่ง แนวคําตอบ

(หนังสือเลขพิมพ์ 54221 หน้า 140 – 154)

วัฒนธรรมองค์การ (Organizational Culture) หมายถึง แนวทางการประพฤติปฏิบัติของ บุคลากรในแต่ละองค์การที่ได้รับการปลูกฝังและถ่ายทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงออกมาในลักษณะของ ค่านิยม ความเชื่อ สัญลักษณ์ พิธีการ นิทาน และการเล่าเรื่อง เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมองค์การสะท้อน ให้เห็นถึงภาพรวมหรือบุคลิกลักษณะเฉพาะขององค์การนั้น ๆ

ระดับของวัฒนธรรมองค์การ Schein ได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

1 วัฒนธรรมทางกายภาพ (Artifacts) เป็นระดับวัฒนธรรมองค์การที่บุคคลสามารถมองเห็น ได้ยินและรู้สึกได้ทันทีเมื่อเข้าไปในแต่ละองค์การ นอกจากนี้แล้วยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ และพฤติกรรมของ สมาชิก โดยวัฒนธรรมทางกายภาพแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) ประเภทวัตถุ เช่น ศิลปะต่าง ๆ โลโก้ของหน่วยงาน รูปทรงหรือการออกแบบตึกเฟอร์นิเจอร์ เครื่องแต่งกาย เป็นต้น

2) ประเภทพฤติกรรม เช่น พิธีกรรมต่าง ๆ รูปแบบการติดต่อสื่อสาร ประเพณี – การให้รางวัล หรือการลงโทษพนักงาน เป็นต้น

3) ประเภทภาษา เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับความยากลําบากในการก่อตั้งองค์การเรื่องตลกในหน่วยงาน ชื่อจริงหรือชื่อเล่นที่ใช้เรียกในที่ทํางาน คําศัพท์เฉพาะที่ใช้ กันในหน่วยงาน คําอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อุปมาอุปมัย หรือคําขวัญที่มักใช้กันในองค์การ เป็นต้น

2 ค่านิยม (Espoused Values) เป็นสิ่งที่บอกว่าสิ่งใดมีคุณค่าหรือสิ่งใดควรกระทํา ค่านิยม เป็นเป้าหมายและมาตรฐานของสังคมที่สมาชิกในองค์การควรเอาใจใส่ เช่น การทํางานให้มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบ และมีความโปร่งใส เป็นต้น

3 ฐานคติ (Basic Underlying Assumption) เป็นสิ่งที่สมาชิกในองค์การมีความเชื่อว่า สิ่งนั้นเป็นจริง เป็นวิธีที่ถูกต้องในการทําสิ่งนั้น (The right way to do things) เช่น มาตรฐานการทํางาน วิธีการ ทํางานที่คิดว่ามีประสิทธิภาพ เป็นต้น

ตัวอย่างค่านิยมในการทํางานในองค์การภาครัฐ

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดค่านิยมในการทํางานในองค์การไว้ 6 ประการ ซึ่งเรียกว่า “POLSCI” ประกอบด้วย

1 P = Positive Thinking คือ การคิดในทางบวก หมายถึง บุคลากรคณะรัฐศาสตร์จะต้อง มองปัญหา ความทุกข์ ความไม่ราบรื่นในการปฏิบัติงานอย่างเข้าใจ ยอมรับได้ และพร้อมที่จะแก้ไขได้ทันที

2 O = Ownership คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์การ หมายถึง บุคลากรคณะรัฐศาสตร์ มุ่งปฏิบัติงานเพื่อคณะรัฐศาสตร์ โดยเห็นผลประโยชน์ส่วนตนน้อยกว่าสาธารณะ ผลักดันคณะรัฐศาสตร์ไปให้ถึง จุดมุ่งหมาย รักษาผลประโยชน์ของคณะรัฐศาสตร์ ช่วยกันทํางานเป็นทีม ทุกคนมีความสําคัญเท่ากันหมด ช่วยกัน ประสานงาน และสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ

3 L = Leader of Change คือ การเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลง หมายถึง บุคลากร คณะรัฐศาสตร์จะเป็นผู้นํายุคใหม่ที่สอดคล้องในยุคปฏิรูปที่มีการพัฒนาคุณภาพของผลผลิตและการบริการอย่าง ต่อเนื่อง มีความสามารถในการตัดสินใจจัดการเปลี่ยนแปลง สามารถตีความเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถประยุกต์วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้คณะรัฐศาสตร์ประสบความสําเร็จ

4 S = Service Mind คือ การมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดี หมายถึง บุคลากรคณะรัฐศาสตร์ จะเป็นผู้ให้บริการที่มีจิตใจหรือมีใจรัก มีความเต็มใจในการบริการ โดยปฏิบัติงานด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส มีอารมณ์รื่นเริง และควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ไม่ขึ้นเสียงกับนักศึกษาหรือผู้มารับบริการ

5 C = Continuous Learning คือ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หมายถึง บุคลากรคณะรัฐศาสตร์ แสดงออกถึงความตั้งใจในการเรียนรู้ ประยุกต์ใช้ข้อมูลและทักษะใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้มีความรู้และความสามารถในการจัดการกับปัญหา และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้

6 I = Integrity & Ethics คือ การมีความซื่อสัตย์และคุณธรรมจริยธรรม หมายถึง บุคลากรคณะรัฐศาสตร์ประพฤติปฏิบัติงานอย่างมีคุณธรรม จริยธรรม จนเป็นที่ไว้วางใจ โดยมีความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา โปร่งใสและตรวจสอบได้ ให้เกียรติและไม่เอาเปรียบผู้อื่น กระทําตามสัญญาและยึดมั่นในจรรยาบรรณ วิชาชีพ

 

ข้อ 3 ให้เลือกอธิบายหลักการบริหารที่สําคัญหรือเทคนิคการบริหารสมัยใหม่ อาทิ 5 ส. การบริหารคุณภาพ ทั้งองค์การ (TQM) ไคเซ็น (Kaizen) ระบบมาตรฐานคุณภาพสากล (ISO) ระบบมาตรฐานคุณภาพ สากลของไทย (Thailand International P.S.O.) และซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) เป็นต้น เลือก 1เทคนิค พร้อมทั้งอธิบายความเป็นมา แนวคิด หลักการของเทคนิคฯ นั้นมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 54221 หน้า 188 – 190)

ไคเซ็น (Kaizen)

ไคเซ็นเป็นแนวคิดและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น โดยคําว่า “ไคเซ็น” หมายถึง การปรับปรุงหรือ พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับปรุงในทุก ๆ ด้านของการดํารงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในที่ทํางาน ในสังคม หรือในบ้านให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยทุกคนต้องเกี่ยวข้องตลอดเวลา

กลยุทธ์ของไคเซ็นคือคํากล่าวที่ว่า “ไม่มีวันใดเลยที่ผ่านไปโดยไม่มีการปรับปรุงในส่วนใด ส่วนหนึ่งขององค์การ” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา

หลักการบริหารแบบไคเซ็น มีดังนี้

1 การมองว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ (Customer First)

2 การควบคุมคุณภาพรวม (Total Quality Control)

3 การมีระบบข้อเสนอแนะ (Suggestion Systems)

4 การใช้หุ่นยนต์ (Robotics) ช่วยในการผลิต

5 การจัดตั้งกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circles)

6 การมีระบบการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Automation)

7 การมีวินัยในการทํางาน (Discipline in the Workplace)

8 การติดป้าย (Kanban) รับรองมาตรฐานสินค้า

9 การมีระบบการผลิตทันเวลา (Just in Time : JIT)

10 การมีของเสียเป็นศูนย์ (Zero Defects)

11 การมีกิจกรรมกลุ่มย่อย (Smalt Group Activities)

12 การจัดการโดยอาศัยความร่วมมือของพนักงาน (Cooperative Labour Management)

13 การปรับปรุงผลผลิต (Productivity Improvement)

14 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)

หลักปฏิบัติของการบริหารแบบไคเซ็น มี 2 ประการ คือ

1 การบํารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง การส่งเสริมให้ทุกคนช่วยกันดูแลบํารุงรักษา เครื่องจักรเครื่องใช้ให้มีอายุการใช้งานได้นาน

2 การปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) หมายถึง การปรับปรุง การทํางานให้ได้มาตรฐานให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการปรับปรุงมี 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่และการแสวงหา สิ่งใหม่หรือนวัตกรรม (Innovation)

จุดเน้นที่สําคัญของเนวคิดไคเซ็น

แนวคิดของไคเซ็นเน้นกระบวนการ (Process) ซึ่งต้องปรับปรุงขั้นตอนหรือลดขั้นตอนก่อนที่ จะปรับปรุงผลที่ได้รับ (Output) และเน้นที่การปฏิบัติและการใช้ความพยายามของบุคคล เช่น เมื่อผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องการประเมินผลงาน พนักงานขายก็จะประเมินเวลาที่ใช้ในการติดต่อกับลูกค้า เวลาที่ใช้ในการเยี่ยมลูกค้า และ เวลาที่ใช้ในสํานักงาน ความสําเร็จที่ได้รับจะทําให้บุคลากรมีขวัญและกําลังใจในการปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสําคัญกับการเข้าถึงลูกค้าพอ ๆ กับยอดขาย

สรุป แนวคิดและกลยุทธ์ของไคเซ็นสามารถนําไปใช้ได้ทั่วไป และมีความเกี่ยวข้องกับทุกคน ในองค์การตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงผู้ปฏิบัติงานระดับล่างสุด

POL4321 การบริหารร่วมสมัย 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาตอบทุกข้อ ๆ ละ 33 คะแนน

ข้อ 1 จงอธิบายความหมายของการเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change) แนวคิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การเป็นอย่างไร สภาวการณ์อะไรบ้างที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การและกระบวนการเปลี่ยนแปลงในองค์การมีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบ (อ้างอิงนักคิด)

แนวคําตอบ

ความหมายของการเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change)

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง องค์การทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

แนวคิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

เนื่องจากสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความเจริญก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ การติดต่อสื่อสาร ค่านิยมใหม่ ๆ เป็นต้น ทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องมีการ เปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกองค์การ โดยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีมากมาย เช่น การปฏิรูประบบราชการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์การ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การออกนอกระบบ การควบรวมกิจการ การนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในองค์การ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อ ปรับองค์การให้เข้ากับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะทําให้องค์การอยู่รอดและมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

สภาวการณ์ที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

สภาวการณ์หรือปัจจัยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้นที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การมีปัจจัยมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลกเกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ เช่น แรงกดดันจากภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายในและต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศ สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้นมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงานให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video-Conferencing การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานบัญชีและระบบสารสนเทศ

2) เรื่องเกี่ยวกับงานโดยตรง เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตหรือการบริการ

3) เรื่องเกี่ยวกับผู้รับบริการ เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรมและการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลายการทํางานเป็นทีม

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการทํางานและการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่

Kinicki and Kreitner กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร เนื่องจากปัจเจกบุคคลมีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การ ต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากร รวมทั้ง ทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี องค์การต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐหรือ องค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิตและการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลาย และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิตสินค้า และบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้าน สังคมและการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้อง ปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

2 ปัจจัยภายในองค์การ เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ำ ผลผลิตตกต่ำ การเข้าออก จากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมักจะมาจาก ปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

กระบวนการเปลี่ยนแปลงในองค์การ Kurt Lewin ได้เสนอกระบวนการเปลี่ยนแปลงในองค์การไว้ 3 ขั้นตอน ดังนี้

1 การละลายพฤติกรรม (Unfreezing) เป็นการเตรียมการไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดย การเพิ่มแรงขับเคลื่อน สร้างแรงจูงใจให้พนักงานเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมใหม่ตามที่ฝ่ายบริหารต้องการ เป็น ความพยายามลดแรงต้านของพนักงานที่จะทํางานตามแบบเดิมไม่ยอมเปลี่ยนแปลง โดยการให้ข้อมูลแสดงให้เห็นถึง ปัญหาที่องค์การเผชิญอยู่และประโยชน์ที่องค์การจะได้รับในระยะยาวเพื่อให้พนักงานตระหนักถึงความจําเป็น ขององค์การที่ต้องเปลี่ยนแปลง

2 การเปลี่ยนแปลง (Changing) ด้วยการออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การให้ความ ช่วยเหลือผู้รับบริการในเรื่องต่าง ๆ การมอง การแสดงความรู้สึกและปฏิกิริยาต่อสิ่งต่าง ๆ การจัดระบบสารสนเทศใหม่ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม

3 การสร้างพฤติกรรมใหม่ (Refreezing) คือ การช่วยให้บุคลากรรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและทัศนคติในการกระทําสิ่งต่าง ๆ การใช้วิธีการเสริมแรงในการสนับสนุนเพื่อให้การเปลี่ยนแปลง ดําเนินไปอย่างสม่ําเสมอหรือเป็นไปอย่างถาวร เช่น การให้รางวัล การให้คําชมเชย การสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ในหน้าที่การงาน การมอบหมายงานที่สําคัญให้ทํา เป็นต้น

 

ข้อ 2 จงอธิบายแนวคิดการประกันคุณภาพการศึกษา (Educational Quality Assurance) สาเหตุอะไรบ้างที่ทําให้สถาบันอุดมศึกษาต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้ (อย่างน้อย 5 ประการ) การประกันคุณภาพการศึกษามีกระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย และการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหงมีระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย

แนวคําตอบ

แนวคิดการประกันคุณภาพการศึกษา

เนื่องจากภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและ พัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อทําให้องค์การอยู่รอดและมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ในส่วนของสถาบันการศึกษา ก็เช่นกัน ซึ่งสถาบันการศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์/ทุนมนุษย์ จําเป็นต้อง เป็นผู้จัดการศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพสูง ด้วยเหตุนี้สถาบันการศึกษาจึงต้องมี “การประกันคุณภาพการศึกษา” เพื่อให้สังคมมั่นใจว่าสถานศึกษาจะจัดการศึกษาที่มีคุณภาพเพื่อผลิตทรัพยากรมนุษย์ ที่มีคุณภาพสู่สังคมต่อไป

ดังนั้นสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติจึงได้ออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กําหนดให้สถานศึกษาทาระดับมีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและ มาตรฐานการศึกษาทุกระดับ โดยให้มี “ระบบการประกันคุณภาพภายในและระบบการประกันคุณภาพภายนอก”

รวมทั้งให้มี “สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)” ซึ่งมีฐานะเป็นองค์การมหาชน ทําหน้าที่พัฒนาเกณฑ์วิธีการประเมินคุณภาพภายนอกและทําการประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการ ตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษาโดยคํานึงถึงความมุ่งหมาย หลักการและแนวทางการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ อีกทั้งให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 5 ปีนับตั้งแต่การประเมิน ครั้งสุดท้าย และรายงานผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

สาเหตุที่ทําให้สถาบันอุดมศึกษาต้องนําระบบการประกันคุณภาพการศึกษามาใช้

1 ความแตกต่างด้านคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา

2 ความท้าทายของปัจจัยโลกาภิวัตน์ที่มีต่อการอุดมศึกษา ทําให้การศึกษาไร้พรมแดน

3 สถาบันอุดมศึกษามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าสามารถพัฒนา องค์ความรู้และผลิตบัณฑิตตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล การพัฒนาภาคการผลิตจริงทั้งอุตสาหกรรมและบริการ การพัฒนาอาชีพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ระดับท้องถิ่นและชุมชน

4 สถาบันอุดมศึกษาจะต้องให้ข้อมูลสาธารณะ (Public Information) ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนักศึกษา ผู้จ้างงาน ผู้ปกครอง รัฐบาล และประชาชนทั่วไป

5 สังคมต้องการระบบอุดมศึกษาที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม (Participation) มีความโปร่งใส (Transparency) และมีความรับผิดชอบสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) ตามหลัก ธรรมาภิบาล

6 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กําหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน รวมถึงให้มีสํานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษาทําหน้าที่ประเมินคุณภาพภายนอก โดยการประเมินผลการจัดการศึกษาของ สถานศึกษา

7 คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศใช้มาตรฐานการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นกลไกกํากับระดับมาตรฐานระดับกระทรวง ระดับคณะกรรมการการอุดมศึกษา และระดับ หน่วยงาน โดยทุกหน่วยงานระดับอุดมศึกษาจะได้ใช้เป็นกรอบดําเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา

8 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่  12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและกํากับให้สถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานตาม ประเภทหรือกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา 4 กลุ่ม

9 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 และคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศแนวทางการปฏิบัติตาม กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เพื่อให้การจัดการศึกษา ระดับอุดมศึกษาเป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษาและเพื่อการประกันคุณภาพของบัณฑิตในแต่ละระดับคุณวุฒิ เเละสาขาวิชา

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กําหนด ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษา 2 ระบบ คือ

1 ระบบการประกันคุณภาพภายใน เป็นการประเมินการดําเนินงานของสถานศึกษา โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้น ๆ และให้ถือว่าการประกันคุณภาพภายในเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร การศึกษาที่ต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทํารายงานประจําปี รายงานประเมินคุณภาพภายในเสนอ สภาสถาบัน หน่วยงานต้นสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเผยแพร่ต่อสาธารณะ

2 ระบบการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาโดย หน่วยงานภายนอก คือ สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะทําการประเมินอย่างน้อย 1 ครั้งในทุกรอบ 5 ปี

ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา 3 ระบบ คือ

1 ระบบ ISO 9001 : 2008 ใช้ในคณะ/สํานักที่เน้นงานด้านการบริการให้แก่นักศึกษา เช่น สํานักหอสมุดกลาง สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล (สวป.) สํานักงานอธิการบดี สํานักเทคโนโลยี การศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2 ระบบ OA (Quality Assurance) ใช้ในคณะ/สํานัก/สาขาวิทยบริการฯ โดยอิงองค์ประกอบ ทั้ง 9 ข้อของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

3 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ใช้ในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคําแหง (มัธยมศึกษาและประถมศึกษา) โดยอิงมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษากําหนด

 

ข้อ 3 เทคนิคการบริหารสมัยใหม่ อาทิ QC., 5 S., การรื้อปรับระบบ (Reengineering), ระบบมาตรฐานคุณภาพสากล (ISO), ไคเซ็น (Kaizen) และระบบซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) เป็นต้น จงเลือกตอบมา 1 เทคนิค หรือหลักการบริหารสมัยใหม่ อาทิ ทฤษฎี 7 S’s, หลักการ 5 G’s, หลักการ 4 VIPs และหลักธรรมาภิบาล เป็นต้น เลือกมา 1 หลักการพร้อมกับอธิบายความเป็นมา แนวคิด หลักการ ชื่อนักคิด (ถ้ามี) เทคนิคฯ นั้นเหมาะสมกับการนํามาใช้ในระบบราชการไทยหรือไม่ อย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่จะทําให้การนําเทคนิคฯ นั้นมาใช้ให้ประสบความสําเร็จ (อย่างน้อย 4 ประการ)

แนวคําตอบ

หลักธรรมาภิบาล (Good Governance)

คําว่า Good Governance มีคําเรียกภาษาไทยหลายคํา เช่น ธรรมาภิบาล การบริหารจัดการที่ดี ธรรมรัฐ ประชารัฐ บรรษัทภิบาล วิธีการปกครองที่ดี การกํากับดูแลกิจการที่ดี การบริหารกิจการบ้านเมืองและ สังคมที่ดี เป็นต้น โดยแต่ละหน่วยงานจะใช้คําเรียกที่แตกต่างกันไป ดังนี้

– ราชบัณฑิตยสถาน ใช้คําว่า วิธีการปกครองที่ดี

– การไฟฟ้านครหลวง ใช้คําว่า การกํากับดูแลกิจการที่ดี

– ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ใช้คําว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี

– ภาคเอกชน ใช้คําว่า บรรษัทภิบาลหรือการกํากับดูแลที่ดี

ที่มาและลักษณะของธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาลเป็นแนวคิดของธนาคารโลก (World Bank) ที่กําหนดเป็นเงื่อนไขในการให้กู้เงิน กับประเทศในซีกโลกใต้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เพื่อแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลและความไม่มีประสิทธิภาพ ในการบริหารของประเทศกําลังพัฒนา ด้วยเหตุนี้ธนาคารโลกและองค์การระหว่างประเทศ (UNDP) จึงได้กําหนด ลักษณะและองค์ประกอบของธรรมาภิบาลไว้ 7 ประการ คือ

1 การมีความชอบธรรมและความรับผิดชอบทางการเมือง (Political Legitimacy and Accountab lity)

2 ความมีอิสระในการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบ (Freedom of Association and Participation)

3 การมีระบบกฎหมายที่มีความยุติธรรมและน่าเชื่อถือ (A Fair and Reliable Judicial System)

4 การมีพันธะความรับผิดชอบและการถูกตรวจสอบของระบบราชการ (Bureaucratic Accountab lity)

5 การมีเสรีภาพในการแสดงออกและการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสังคม (Freedom of  Information and Expression)

6 ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการภาครัฐ (Effective and Efficient Public Sector Management)

7 การแสวงหาความร่วมมือจากองค์กรประชาสังคม (Cooperation with Civil Society Organization) สําหรับประเทศไทย สํานักนายกรัฐมนตรีได้ออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้าง ระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีหลักการสําคัญ 6 ประการ คือ

1 หลักนิติธรรม ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมาย กฎข้อบังคับต่าง ๆ ให้ทันสมัยและเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม และสังคมยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตามกฎหมาย กฎข้อบังคับเหล่านั้น โดยถือว่าเป็นการ ปกครองภายใต้กฎหมายมิใช่ตามอําเภอใจหรืออํานาจของตัวบุคคล

2 หลักคุณธรรม ได้แก่ การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ยึดถือหลักนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาตนเองไปพร้อมกัน เพื่อให้คนไทยมีความซื่อสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทน มีระเบียบวินัย ประกอบอาชีพสุจริตจนเป็นนิสัยประจําชาติ

3 หลักความโปร่งใส ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในชาติ โดยปรับปรุง กลไกการทํางานของทุกองค์การให้มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์อย่างตรงไปตรงมา ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้อง ชัดเจนได้

4 หลักการมีส่วนร่วม ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความเห็น ในการตัดสินใจปัญหาของประเทศ ไม่ว่าด้วยการแจ้งความเห็น การไต่สวนสาธารณะ การประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติ หรืออื่น ๆ

5 หลักความรับผิดชอบ ได้แก่ การตระหนักในสิทธิหน้าที่ ความสํานึกในความรับผิดชอบ ต่อสังคม การใส่ใจปัญหาสาธารณะของบ้านเมือง และกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา ตลอดจนการเคารพในความ คิดเห็นที่แตกต่างและความกล้าที่จะยอมรับผลการกระทําของตน

6 หลักความคุ้มค่า ได้แก่ การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจํากัดเพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้คนไทยมีความประหยัด ใช้ของอย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้สมดุลยั่งยืน

หลักธรรมาภิบาลเหมาะสมกับการนํามาใช้ในระบบราชการไทย เนื่องจาก

1 ช่วยส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความตระหนักถึงความสํานึกรับผิดชอบ ต่อประชาชนและองค์กรมากขึ้น ซึ่งความสํานึกรับผิดชอบมีส่วนทําให้เจ้าหน้าที่ของรัฐระมัดระวังการกระทําที่มีผล ต่อสาธารณะหรือประชาชนมากขึ้น และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ต้องพร้อมที่จะรับผลของการกระทํานั้นโดย ไม่หลบเลี่ยงหรือโยนความผิดให้บุคคลอื่น

2 ช่วยทําให้ระบบราชการเป็นระบบเปิด โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางมีส่วนร่วม ในการบริหารภาครัฐอย่างหลากหลายและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ระบบการบริหารภาครัฐในอดีตมักเป็นระบบปิด ทําให้ประชาชนไม่รู้ข้อมูลข่าวสารในการบริหารงานของภาครัฐมากนักและข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกเก็บเป็นความลับหรือไม่เปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ แต่เมื่อมีการนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ทําให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารของภาครัฐ และให้สิทธิแก่ประชาชนในการยื่นขอข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐได้ นอกจากนี้ยังมี การกําหนดให้หน่วยงานภาครัฐต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่จําเป็นต่อสาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เอกสารหรือ เว็บไซต์ของหน่วยงาน เป็นต้น และประชาชนยังมีช่องทางในการร้องเรียนหรือเสนอความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ ของรัฐอีกด้วย

3 ช่วยส่งเสริมให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐยึดกฎหมายเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ มากกว่าการใช้ดุลยพินิจหรือตามอําเภอใจ โดยมีการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานในแต่ละภารกิจหรือแต่ละงานไว้ชัด ทําให้การใช้กฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอาจลดลงได้

4 ช่วยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐตระหนักถึงความสําคัญของคุณธรรม จริยธรรมใน การปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะเป็นผู้ให้บริการประชาชนมิใช่เจ้านายของประชาชนหรือผู้ที่มีสถานภาพที่เหนือกว่า ประชาชน

5 ทําให้ภาครัฐให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพในการทํางานมากขึ้น โดยการปรับปรุง กระบวนการทํางานให้มีความรวดเร็ว และประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ

ปัจจัยที่จะทําให้การนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ประสบความสําเร็จ มีดังนี้

1 ผู้บริหารและบุคลากรภาครัฐจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาลเป็นอย่างดี

2 ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนให้มีการนําหลักธรรมาภิบาลเข้ามาใช้ในองค์การ และต้องจูงใจให้บุคลากรภาครัฐปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเต็มใจและมีส่วนร่วม

3 บุคลากรภาครัฐจะต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล

4 ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทํางานของภาครัฐ รวมทั้งการเสนอความคิดเห็นหรือตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารภาครัฐได้อย่างแท้จริง

5 โครงสร้างขององค์การจะต้องเอื้อต่อการนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้ เช่น มีการปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม มีการลดขั้นตอนการปฏิบัติงานลงมีการกระจายอํานาจการตัดสินใจ เป็นต้น

 

POL4321 การบริหารร่วมสมัย 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกตอบเพียง 3 ข้อ

ข้อ 1 คําว่า “องค์การ” และ “องค์กร” ภาษาอังกฤษใช้คําใด 2 คําดังกล่าวแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย ผู้บริหารในองค์การภาครัฐแบ่งเป็นกี่ระดับ จงอธิบาย พร้อมเชื่อมโยงกับทักษะของผู้บริหารในแต่ละระดับมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

คําว่า “องค์การ” ในภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Organization” ส่วนคําว่า “องค์กร” ในภาษา อังกฤษใช้คําว่า “Organ” ซึ่งทั้ง 2 คํานี้มีความหมายแตกต่างกัน โดยคําว่า “องค์การ” หมายถึง ศูนย์รวมของกิจการ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานระหว่างประเทศ ส่วนคําว่า “องค์กร” หมายถึง บุคคลหรือหน่วยงาน ซึ่งเป็นส่วนประกอบย่อยของหน่วยงานใหญ่ที่ทําหน้าที่สัมพันธ์กัน หรือ ขึ้นต่อกัน เช่น มหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นองค์การ ส่วนคณะ สํานัก สถาบันและศูนย์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อย ของมหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นองค์กร หรือกระทรวงมหาดไทยเป็นองค์การ ส่วนกรม กองต่าง ๆ ซึ่งเป็น หน่วยงานย่อยของกระทรวงมหาดไทยเป็นองค์กร นอกจากนี้ยังมีบางหน่วยงานที่กฎหมายระบุให้เป็นองค์กรมิใช่ องค์การ เช่น องค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

ระดับของผู้บริหารในองค์การภาครัฐ

ผู้บริหารในองค์การภาครัฐแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

1 ผู้บริหารระดับสูง (Top Management) เป็นผู้ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับ องค์การทั้งหมด การตัดสินใจ การกําหนดนโยบายและกลยุทธ์ การกําหนดวัตถุประสงค์ พันธกิจ และแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้งต่าง ๆ ในองค์การ เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี เป็นต้น

2 ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Management) เป็นผู้ประสานงานระหว่างผู้บริหาร ระดับสูงกับผู้บริหารระดับต้น เพื่อนําแผนไปสู่การปฏิบัติ กําหนดนโยบายของแต่ละฝ่าย วางแผนระยะกลาง มอบหมายงาน ประสานงาน และตรวจสอบควบคุมงานให้เป็นไปตามแผน เช่น ผู้อํานวยการกอง เป็นต้น

3 ผู้บริหารระดับต้น หรือระดับปฏิบัติการ (Supervisory or Operational – Management) เป็นผู้ที่มีหน้าที่มอบหมายงาน ควบคุมและดูแลการปฏิบัติงานในแผนกงานที่รับผิดชอบ เช่น หัวหน้าแผนก/ฝ่าย หรือหัวหน้างาน เป็นต้น

ทักษะของผู้บริหาร Katz ได้แบ่งทักษะของผู้บริหารออกเป็น 3 ทักษะ คือ

1 ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับความสามารถใน การนําความรู้ไปประยุกต์ใช้และความเชี่ยวชาญในงาน วิธีปฏิบัติงาน ตลอดจนกระบวนการทํางาน

2 ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human Skills) เป็นทักษะเกี่ยวกับการสร้างความร่วมมือ การทํางานเป็นทีม ซึ่งทักษะเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการทํางานด้านการสื่อสารกับบุคคลและกลุ่มผลประโยชน์ หรือเกี่ยวข้องกับการทํางานกับคนนั่นเอง

3 ทักษะด้านความคิด (Conceptual Skills) เป็นทักษะเกี่ยวกับความสามารถในการ เข้าใจองค์การในภาพรวม ความสามารถในการเข้าใจหน้าที่ขององค์การ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การ กับสภาพแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อองค์การ

ทักษะแต่ละด้านนั้นมีความจําเป็นต่อผู้บริหารแต่ละระดับแตกต่างกัน ดังนี้

1 ผู้บริหารระดับต้น หรือระดับปฏิบัติการ จําเป็นต้องมีทักษะด้านเทคนิคและด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นหลัก

2 ผู้บริหารระดับกลาง จําเป็นต้องมีทักษะด้านเทคนิค ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านความคิด เป็นหลัก

3 ผู้บริหารระดับสูง จําเป็นต้องมีทักษะด้านความคิดและด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นหลัก ทั้งนี้ทักษะที่ผู้บริหารทุกระดับจําเป็นต้องมีก็คือ ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์

 

ข้อ 2 จงอธิบายความหมายของ “การเปลี่ยนแปลงในองค์การ” (Organizational Change) และสภาวการณ์ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การมีอะไรบ้าง พร้อมกับยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐด้านวัฒนธรรมองค์การมา 2 ตัวอย่างกับชื่อนักคิดมา 1 ท่าน

แนวคําตอบ

ความหมายของการเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change)

ณัฎฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง องค์การทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

สภาวการณ์หรือปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้นที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การมีปัจจัยมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลกเกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ เช่น แรงกดดันจากภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายในและต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้นมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงานให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

 

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video-Conferencing การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานบัญชีและระบบสารสนเทศ

2) เรื่องเกี่ยวกับงานโดยตรง เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตหรือการบริการ

3) เรื่องเกี่ยวกับผู้รับบริการ เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์

เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรม และการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย การทํางานเป็นทีม

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการทํางานและการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่

Kinicki and Kreitner ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร เนื่องจากปัจเจกบุคคลมีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การ ต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากร รวมทั้ง ทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี องค์การต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐหรือ องค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิตและการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลาย และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิตสินค้า และบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้าน สังคมและการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้อง ปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

2 ปัจจัยภายในองค์การ เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ำ ผลผลิตตกต่ำ การเข้าออก จากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมักจะมาจาก ปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐด้านวัฒนธรรมองค์การ

แต่เดิมนั้นองค์การภาครัฐต่าง ๆ ไม่ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ แต่ในปัจจุบันมีหลายองค์การ ที่ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การเพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติงานราชการ บรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ 6 ประการ ซึ่งเรียกว่า “POLSCI” ประกอบด้วย

1 P = Positive Thinking คือ การคิดในทางบวก

2 O = Ownership คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์การ

3 L = Leader of Change คือ การเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลง

4 S = Service Mind คือ การมุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดี

5 C = Continuous Learning คือ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

6 I = Integrity & Ethics คือ การมีความซื่อสัตย์และคุณธรรมจริยธรรม

มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กําหนดวัฒนธรรมองค์การไว้ 7 ประการ โดยดัดแปลงมาจากคําว่า “MAHIDOL” ประกอบด้วย

1 M = Mastery คือ เป็นนายแห่งตน

2 A = Altruism คือ มุ่งผลเพื่อผู้อื่น

3 H = Harmony คือ กลมกลืนกับสรรพสิ่ง

4 I = Integrity คือ มั่นคงยั่งยืนในคุณธรรม

5 D = Determination คือ แน่วแน่กล้าตัดสินใจ

6 O = Originality คือ สร้างสรรค์สิ่งใหม่

7 L = Leadership คือ ใฝ่ใจเป็นผู้นํา

 

ตัวอย่างนักคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในองค์การ เช่น

Kurt Lewin ได้เสนอกระบวนการเปลี่ยนแปลงองค์การไว้ 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย การละลาย พฤติกรรม (Unfreezing) การเปลี่ยนแปลง (Changing) และการสร้างพฤติกรรมใหม่ (Refreezing)

 

ข้อ 3 จงอธิบายหลักการของเทคนิคการวิเคราะห์องค์การ (SWOT Technique) และวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของกรุงเทพมหานคร โดยใช้เทคนิคดังกล่าวมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

หลักการของเทคนิคการวิเคราะห์องค์การ

ก่อนที่องค์การต่าง ๆ จะกําหนดกลยุทธ์จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT เพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การก่อน ซึ่งคําว่า SWOT ประกอบด้วย

1 S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ เป็นการพิจารณาทรัพยากรภายในองค์การ หรือระบบย่อยขององค์การ เช่น อํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี เป็นต้น ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นจุดแข็ง/จุดเด่นขององค์การ องค์การสามารถทําได้ดี มีความชํานาญ มีคุณภาพ มีชื่อเสียง เป็นต้น

2 W = Weakness คือ จุดอ่อนขององค์การ เป็นการพิจารณาอํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีภายในองค์การว่ามีจุดอ่อนอย่างไร เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไข

3 O = Opportunities คือ โอกาสที่จะทําให้เกิดความได้เปรียบแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาดูว่ามีปัจจัยภายนอกองค์การใดที่จะนํามาเป็นประโยชน์ในการดําเนินงานขององค์การได้บ้าง ซึ่งแบ่งออกเป็น

1) สิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ ลูกค้า คู่แข่ง ผู้ผลิต แรงงาน กฎระเบียบหรือหน่วยงานที่ควบคุม

2) สิ่งแวดล้อมทั่วไป ได้แก่ การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และต่างประเทศ

4 T = Threats คือ อุปสรรคหรืออันตรายที่จะทําให้เกิดหายนะแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมของงานและสิ่งแวดล้อมทั่วไปที่ทําให้เกิดอันตรายหรือ หายนะต่อการดําเนินงานขององค์การ

การวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของกรุงเทพมหานครโดยใช้เทคนิค SWOT จุดแข็ง

1 มีบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความรู้ความสามารถ

2 มีงบประมาณจํานวนมาก

3 มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย

4 มีสํานักงานเขต 50 เขต แต่ละเขตมีบุคลากรและเครื่องมือพร้อมในการทํางาน

5 คณะผู้บริหารมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ และได้รับการยอมรับจากประชาชนสูง

จุดอ่อน

1 การบริหารราชการยังขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่ดําเนินภารกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

2 การบริหารราชการขาดความโปร่งใส เกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

3 ระบบการตรวจสอบและควบคุมการบริหารราชการไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน

4 ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง ทําให้บางครั้งการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ขาดความต่อเนื่อง

5 ขาดอํานาจต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาล ทําให้ไม่สามารถริเริ่มภารกิจใหม่ ๆ หรือขยายเขตอํานาจตามกฎหมายให้กว้างขวางมากขึ้นได้

 

โอกาส

1 เป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของประเทศ

2 เป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงและต่อเนื่อง

3 เป็นสถานที่ตั้งของสถานที่สําคัญ ๆ เช่น กระทรวง กรมต่าง ๆ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ทําการหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จํานวนมาก เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดอรุณราชวราราม วัดเบญจมบพิตร เป็นต้น

4 มีระบบโครงข่ายการสื่อสารสมัยใหม่ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ประชากรส่วนใหญ่เข้าถึงเครือข่ายได้ถ้วนหน้า

5 ประชากรมีระดับการศึกษาสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ในประเทศ

อุปสรรค

1 การอพยพของคนเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นจํานวนมากส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ความแออัด การขาดแคลนที่อยู่อาศัย การเกิดปัญหา – อาชญากรรมเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อต่าง ๆ

2 ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำส่งผลต่อระดับรายได้ของประชากร การจ้างงาน และการลงทุน

ต่าง ๆ

3 การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนส่งผลให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า ลาว – และกัมพูชา หลั่งไหลเข้ามาทํางานในกรุงเทพมหานครเป็นจํานวนมาก

4 การเมืองที่ขาดเสถียรภาพส่งผลให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงต่อการชุมนุมประท้วง หรือการก่อเหตุความรุนแรงต่าง ๆ อันเนื่องมาจากปัญหาการเมือง

5 การมีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายหรือการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ

 

ข้อ 4 เทคนิคการบริหารงานสมัยใหม่ อาทิ การบริหารคุณภาพ การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ T.Q.M. 5 ส. การรื้อปรับองค์การ ธรรมาภิบาล ระบบมาตรฐานคุณภาพ ISO 9000 ระบบมาตรฐานสากล ของประเทศไทย (P.S.O.) ระบบซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) และ 7S’s Model เป็นต้น จงเลือกอธิบาย เพียง 1 เทคนิค (ระบุนักคิด ความเป็นมา หลักการสําคัญของเทคนิคนั้น ๆ มาให้เข้าใจอย่างชัดเจน)

แนวคําตอบ

ทฤษฎี 7 S’s (The 7 S’s Model) ของ McKinsey

เมื่อปลายปี ค.ศ. 1970 บริษัทที่ปรึกษาชื่อ “McKinsey” ได้เชิญ Richard Pascale แห่ง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และ Anthony Athos แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้มาช่วยพัฒนากรอบแนวคิดการบริหาร ที่เรียกว่า The McKinsey 7 S’s Framework ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยที่สําคัญ 7 ประการ สามารถอธิบายได้ดังนี้

1 กลยุทธ์ (Strategy) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนองค์การเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยการใช้เทคนิค SWOT (SWOT Technique) มาทําการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนํามากําหนดเป็นกลยุทธ์

2 โครงสร้าง (Structure) คือ การปรับปรุงโครงสร้างองค์การ การแบ่งหน่วยงาน การรวม อํานาจ และการกระจายอํานาจที่เหมาะสม

3 ระบบ (Systems) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดระบบงาน และการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ให้สั้นลง เพื่อทําให้สามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็ว

4 สไตล์ (Style) คือ แบบแผนพฤติกรรมของผู้นํา การใช้รูปแบบการบริหารที่เหมาะสม และแสดงบทบาทผู้นําการเปลี่ยนแปลง

5 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Staff) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคลากรที่มีความ สามารถ การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การหมุนเวียนกันทํางาน และการเห็นคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์

6 ทักษะ (Skills) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชํานาญ ความสามารถพิเศษของบุคลากร การพัฒนาทักษะการทํางานของแต่ละบุคคล และการส่งเสริมการทํางานเป็นทีม

7 ค่านิยมร่วม (Shared Values) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างค่านิยมร่วมกันในการทํางาน หรือที่เรียกว่า “Spiritual Values” เช่น การให้บริการ ความยุติธรรม ความสามัคคีปรองดอง ความร่วมมือ ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญู การทําในสิ่งที่ดีกว่า การปรับปรุงแก้ไข การปรับตัวเข้าหากัน เป็นต้น ค่านิยม ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ควรสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในองค์การ

ปัจจัยทั้ง 7 ประการสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1 Hard คือ ส่วนที่แข็ง ไม่คล่องตัว และปรับตัวได้ค่อนข้างช้า ได้แก่ กลยุทธ์ และโครงสร้าง ขององค์การ

2 Soft คือ ส่วนที่อ่อน มีความคล่องตัว และสามารถปรับตัวได้ง่าย ได้แก่ สไตล์ของ ผู้บริหาร ระบบงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และค่านิยมร่วม

สรุป จากกรอบแนวคิดของปัจจัย 7 S’s ดังกล่าว ผู้บริหารจําเป็นต้องใช้ภาวะผู้นําในการบริหาร ปัจจัยทั้ง 7 ประการให้สอดคล้องและสมดุลกัน นับตั้งแต่การกําหนดกลยุทธ์ขององค์การ การปรับปรุงโครงสร้าง ที่เหมาะสม การจัดระบบงานให้เหมาะสมและลดขั้นตอนการทํางานให้สั้นลงเพื่อทําให้สามารถบริการได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น การใช้สไตล์การบริหารงานที่ให้ความสําคัญทั้งบุคคลและงาน การให้เกียรติผู้ร่วมงาน การบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือเข้ามาทํางาน การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การพัฒนา ทักษะส่วนบุคคล การสร้างทักษะการทํางานเป็นทีม และการสร้างค่านิยมสร้างสรรค์ในการทํางาน

POL4321 การบริหารร่วมสมัย 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4321 การบริหารร่วมสมัย

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ นักศึกษาที่เข้าชั้นเรียนและทํารายงานให้เลือกตอบเพียง 2 ข้อ โดยระบุหัวข้อรายงานในสมุดคําตอบหน้าแรก ส่วนนักศึกษาที่ไม่ได้เข้าชั้นเรียนและไม่ได้ทํารายงานให้เลือกตอบ 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายคําว่า การเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organization Change) และยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐในด้านระบบการทํางาน หรือค่านิยมองค์การมา 1 แห่ง ปัจจัยกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์การมีกี่ปัจจัย อะไรบ้าง จงอธิบาย

แนวคําตอบ

สภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี วิทยาการสมัยใหม่ การติดต่อสื่อสาร ค่านิยมใหม่ ๆ เป็นต้น ทําให้องค์การต่าง ๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกองค์การ โดยในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นมีมากมาย เช่น การปฏิรูประบบราชการ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์การ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การออกนอกระบบ การควบรวมกิจการ การนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในองค์การ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อปรับ องค์การให้เข้ากับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะทําให้องค์การอยู่รอดและมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง กระบวนการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในองค์การโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาในองค์การ หรือพยายามปรับปรุงองค์การให้ก้าวหน้า โดยอาศัยการวิเคราะห์ปัญหา การวางแผนและดําเนินการสร้างวัฒนธรรมองค์การที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการ เปลี่ยนแปลงองค์การจะใช้เทคนิคทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ สังคมวิทยา และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มการเปลี่ยนแปลง

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงองค์การ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงองค์การ ทั้งหมดหรือบางส่วนขององค์การ เช่น การออกแบบโครงสร้างองค์การใหม่ การติดตั้งระบบสารสนเทศใหม่ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ การออกแบบงาน กระบวนการทํางาน เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมองค์การ เป็นต้น

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงในองค์การภาครัฐ

มหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยรามคําแหง พ.ศ. 2514 โดยมีจุดมุ่งหมายให้เป็นสถาบันการศึกษาแบบตลาดวิชา เพื่อแก้ไขปัญหา การขาดแคลนสถานที่เรียนในระดับอุดมศึกษา จึงทําให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ตั้งขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นปรัชญาการดําเนินงานสําคัญ ที่มหาวิทยาลัยยึดมั่นตลอดมานับตั้งแต่เปิดรับนักศึกษารุ่นแรกในปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยรามคําแหงรับนักศึกษาโดยไม่มีการสอบคัดเลือกและรับโดยไม่จํากัดจํานวน จึงทําให้มีนักศึกษาจํานวนมากจนสถานที่เรียนที่หัวหมากไม่เพียงพอ มหาวิทยาลัยรามคําแหงจึงได้เปิดวิทยาเขต รามคําแหง 2 หรือวิทยาเขตบางนาในปี พ.ศ. 2527 เพื่อใช้เป็นสถานที่เรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มาจนถึงปัจจุบัน

มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ปฏิบัติภารกิจหลักทั้ง 4 ประการของสถาบันอุดมศึกษา คือ ผลิตบัณฑิต การวิจัย การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และการทํานุบํารุงศิลปวัฒนธรรม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2543 มหาวิทยาลัย รามคําแหงได้เพิ่มภารกิจที่ 5 คือ “มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม” โดยมีความเชื่อว่า การเรียนรู้ด้านคุณธรรม จะช่วยปลูกฝังรากฐานอันดีงามของจิตใจ และช่วยเสริมคุณค่าให้นักศึกษาและบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ อย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัตน์อย่างรวดเร็ว ดังนั้นมหาวิทยาลัยรามคําแหงจึงได้กําหนดนโยบายการจัดการเรียนการสอนวิชา “ความรู้คู่คุณธรรม” ในทุกระดับการศึกษา โดยกําหนดให้เป็นวิชาบังคับในหลักสูตรและไม่เก็บค่าหน่วยกิตเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ด้านคุณธรรม และปลูกฝังจิตสํานึกให้นักศึกษานําไปประพฤติปฏิบัติ สําเร็จการศึกษาเป็นบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม เป็นผู้ซึ่งรู้จัก ยึดหลักคุณธรรมและจริยธรรมนําชีวิต พร้อมอุทิศตนเพื่อประเทศชาติ ช่วยกันพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยนําพาประเทศชาติให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเจริญอย่างมั่นคงต่อไป

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยรามคําแหงยังมีนโยบายขยายโอกาสการศึกษาสู่ภูมิภาค ให้คนไทยทุกคน สามารถสมัครเข้าศึกษาในภูมิภาคของตนได้ โดยไม่ต้องไปศึกษาหรือสอบที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นนโยบาย จัดการศึกษาในลักษณะที่เรียกว่า “เรียนใกล้บ้านสอบใกล้บ้าน” จึงได้จัดตั้งสาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ ส่วนภูมิภาคตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และในปี พ.ศ. 2546 ได้ขยายการเรียนการสอนสู่ต่างประเทศ โดยจัดตั้ง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติต่างประเทศ เพื่อให้โอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ปวงชนชาวไทย ในต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยการตระหนักถึง ประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติเป็นสําคัญ โดยยึดหลักที่ว่า “การศึกษาสร้างคน และคนสร้างชาติ”

ในปี พ.ศ. 2555 มหาวิทยาลัยรามคําแหงโดยความคิดริเริ่มของผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี ได้มีนโยบายปรับระบบการวัดและประเมินผลของนักศึกษาจากเดิมระบบ G, P และ F เป็น ระบบใหม่ A, B, C, และ D ตั้งแต่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการวัดและประเมินผล ของมหาวิทยาลัยรามคําแหงไปสู่มาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์ มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ปรับระบบบริการ ให้เป็นแบบ Super Service เช่น การรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีโดยนําระบบ One Stop Service มาใช้ใน การรับสมัคร อีกทั้งนําเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับการจัดการศึกษาแบบสมัยใหม่ และอํานวยความสะดวกแก่ผู้เรียน เช่น e-Book และ e-Testing รวมทั้งให้บริการทางอินเทอร์เน็ตแก่นักศึกษา โดย มีเว็บไซต์ เช่น

– www.ru.ac.th เป็นเว็บไซต์หลักที่มีรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

– www.ram.edu เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับ e-Learning ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

– WWW.e-ru.tv เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหงรวมทั้งเป็นเว็บไซต์สําหรับถ่ายทอดสดการประชุม สัมมนา และการบรรยายพิเศษ

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนจึงได้ปรับตัว สร้างวิสัยทัศน์ และเร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เทียบเท่านานาประเทศ เน้นการสร้างคน สร้างนักศึกษาและ ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพระดับสากล นอกจากนี้ยังได้กระตุ้นให้บุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ตระหนักในการที่ประเทศไทยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน และเตรียมความพร้อมด้านภาษาโดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษที่จะต้องใช้สื่อสารในการทํางาน รวมทั้งต้องเรียนรู้ภาษาของกลุ่มประเทศอาเซียน จึงจัดฝึกอบรม หลักสูตรภาษาต่าง ๆ แก่บุคลากรและนักศึกษา และให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนผ่านสื่อต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

 

ปัจจัยกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์การ

ปัจจัยกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในองค์การสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ปัจจัยภายนอกองค์การ และปัจจัยภายในองค์การ ดังข้อเสนอของนักวิชาการต่อไปนี้

Patrick Dawson ได้กล่าวไว้ในหนังสือ understanding Organizational Change (2003) ว่า ประเภทของสิ่งกระตุ้น (A Range of Triggers) ที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในองค์การ (Organizational Change) มีปัจจัยมาจาก 2 ปัจจัย คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ

1) กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐบาล (Government Laws and Regulations) เช่น นโยบายระดับชาติ ข้อตกลงระดับโลกเกี่ยวกับมลภาวะและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีและการค้า

2) กระแสโลกาภิวัตน์ของการตลาดและการค้าระหว่างประเทศ (Globalization of Markets and The Internationalization of Business) เช่น แรงกดดันจากภาวะการแข่งขันทั้งจากตลาดภายใน และต่างประเทศ

3) เหตุการณ์สําคัญทางการเมืองและสังคม (Major Political and Social Events) เช่น การเกิดวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

4) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เช่น องค์การต่าง ๆ ได้นําเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ ในการผลิตสินค้า

5) ความเจริญเติบโตและการขยายตัวขององค์การ (Organizational Growth and Expansion) เช่น องค์การมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจําเป็นต้องพัฒนากลไกการประสานงาน ให้มีความเหมาะสม

6) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ (Fluctuations) เช่น การเปลี่ยนแปลงอันเนื่อง มาจากความผันแปรของภาวะเศรษฐกิจ

 

2 ปัจจัยภายในองค์การ ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ

1) เรื่องของเทคโนโลยี เช่น การประชุมผ่าน Video-Conferencing เทคโนโลยี หุ่นยนต์ (Robotic Technology) การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานบัญชี (Computerization of Management Accounting) และระบบสารสนเทศ (Information System)

2) เรื่องที่เกี่ยวกับงานโดยตรง (Primary Task) เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต หรือการบริการ

3) ผู้รับบริการ (People) เช่น ในการพัฒนาและการปฏิบัติในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ เกี่ยวกับการจัดโปรแกรมการฝึกอบรม (Programmer of Retraining) และการเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย (Multi-Skilling) การทํางานเป็นทีม (Team-Based Work Arrangements)

4) เรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงาน (Administrative Structures) เช่น การปรับปรุงโครงสร้างการทํางาน และการกําหนดความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่ในองค์การใหม่ การจัดการ ความเป็นเลิศ (Best Practice Management)

 

Kinicki and Kreitner ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Organizational Behavior : Key Concepts, Skills & Best Practices (2008) ว่า ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Forces for Change) ในองค์การ ต่าง ๆ มาจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Forces) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตและบริการ ซึ่งมี 4 ปัจจัยสําคัญ คือ

1) ลักษณะของประชากร (Demographic Characteristics) เนื่องจากปัจเจกบุคคล มีลักษณะที่แตกต่างกัน องค์การต่าง ๆ จึงต้องมีระบบการจัดการที่หลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนอง ความต้องการของบุคลากร รวมทั้งทําให้บุคลากรเกิดความผูกพันต่อองค์การ นอกจากนี้สิ่งท้าทายขององค์การ คือ จะต้องกระตุ้นให้บุคลากรได้ใช้ศักยภาพที่เขามีให้เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด

2) ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Technological Advancements) องค์การ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การภาครัฐหรือองค์การภาคเอกชนล้วนแล้วแต่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงผลผลิต และการแข่งขันให้บริการกับลูกค้า

3) การเปลี่ยนแปลงลูกค้าและการตลาด (Customer and Market Changes) เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลายและต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ รวมทั้งการแข่งขันที่มีมากขึ้น จึงทําให้ องค์การต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการผลิตสินค้าและบริการให้มีคุณภาพ

4) แรงกดดันทางด้านสังคมและการเมือง เป็นปัจจัยที่มาจากเหตุการณ์ทางด้านสังคม และการเมือง เช่น กรณีปัญหาการทุจริตด้านการเงินในบริษัทใหญ่ ๆ ส่งผลให้องค์การนั้นมีปัญหาจนต้องปิดกิจการ นอกจากนี้เหตุการณ์การเมือง เช่น การเกิดสงครามทําให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าและบริการ

 

2 ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Forces) เช่น ความพึงพอใจในการทํางานต่ํา ผลผลิตตกต่ํา การเข้าออกจากงานสูง มีปัญหาความขัดแย้งมาก ซึ่งโดยทั่วไปปัจจัยภายในองค์การที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มักจะมาจากปัญหาทรัพยากรมนุษย์และพฤติกรรมทางการบริหาร

ข้อ 2 วัฒนธรรมองค์การมีความเป็นมาอย่างไร วัฒนธรรมองค์การมีกี่ระดับ อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบในแต่ละระดับ

แนวคําตอบ

วัฒนธรรมองค์การ หมายถึง แนวทางการประพฤติปฏิบัติของบุคลากรในแต่ละองค์การที่ได้รับการปลูกฝังและถ่ายทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงออกมาในลักษณะของค่านิยม ความเชื่อ สัญลักษณ์ พิธีการ นิทาน และการเล่าเรื่อง เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมองค์การสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมหรือบุคลิกลักษณะเฉพาะ ขององค์การนั้น ๆ

วัฒนธรรม (Culture) เป็นแนวคิดสําคัญที่มีในสังคมมนุษย์มานานแล้ว คํานี้บัญญัติโดย นักมานุษยวิทยา ซึ่งกล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นหัวใจสําคัญของกลุ่มหรือสังคม ซึ่งในแต่ละสังคมมีแนวทางในการ ดําเนินชีวิต การปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน และสิ่งนี้มีความสําคัญต่อความสําเร็จขององค์การ

ในช่วงปี ค.ศ. 1960 – 1970 ประเทศญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็สามารถฟื้นฟูประเทศได้ จนกระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศผู้นําทางด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีแนวคิดการจัดการ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง นักวิชาการจึงมีความเห็นว่าความสําเร็จของญี่ปุ่นเป็นผลมาจากวัฒนธรรมองค์การ ปัจจัยดังกล่าวจึงทําให้นักวิชาการได้หันมาให้ความสําคัญกับความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมองค์การ และ วัฒนธรรมองค์การที่ต่างกันมากขึ้น

ระดับของวัฒนธรรมองค์การ Schein ได้แบ่งระดับวัฒนธรรมองค์การออกเป็น 3 ระดับ คือ

1 วัฒนธรรมทางกายภาพ (Artifacts) เป็นระดับวัฒนธรรมองค์การที่บุคคลสามารถมองเห็น ได้ยินและรู้สึกได้ทันทีเมื่อเข้าไปในแต่ละองค์การ นอกจากนี้แล้วยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ และพฤติกรรมของ สมาชิก โดยวัฒนธรรมทางกายภาพแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) ประเภทวัตถุ เช่น ศิลปะต่าง ๆ โลโก้ของหน่วยงาน รูปทรงหรือการออกแบบตึก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องแต่งกาย เป็นต้น

2) ประเภทพฤติกรรม เช่น พิธีกรรมต่าง ๆ รูปแบบการติดต่อสื่อสาร ประเพณี การให้รางวัล หรือการลงโทษพนักงาน เป็นต้น

3) ประเภทภาษา เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับความยากลําบากในการก่อตั้งองค์การ เรื่องตลกในหน่วยงาน ชื่อจริงหรือชื่อเล่นที่ใช้เรียกในที่ทํางาน คําศัพท์เฉพาะที่ใช้กันในหน่วยงาน คําอธิบายเกี่ยวกับ สิ่งต่าง ๆ อุปมาอุปมัย หรือคําขวัญที่มักใช้กันในองค์การ เป็นต้น

 

2 ค่านิยม (Espoused Values) เป็นสิ่งที่บอกว่าสิ่งใดมีคุณค่าหรือสิ่งใดควรกระทํา ค่านิยม เป็นเป้าหมายและมาตรฐานของสังคมที่สมาชิกในองค์การควรเอาใจใส่ เช่น การทํางานให้มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบ และมีความโปร่งใส เป็นต้น

3 ฐานคติ (Basic Underlying Assumption) เป็นสิ่งที่สมาชิกในองค์การมีความเชื่อว่า สิ่งนั้นเป็นจริง เป็นวิธีที่ถูกต้องในการทําสิ่งนั้น (The right way to do things) เช่น มาตรฐานการทํางาน วิธีการ ทํางานที่คิดว่ามีประสิทธิภาพ เป็นต้น

 

ข้อ 3 จากการบรรยายในชั้นเรียนเกี่ยวกับแนวคิดการบริหารงานที่สําคัญ ได้แก่ หลักการ 5 G’s, ทฤษฎี 7 S’s ของ McKinsey, หลักการ 4 VIPs และหลักธรรมาภิบาล เป็นต้น จงเลือกตอบมา 1 แนวคิด พร้อมกับอธิบายหลักการของแนวคิดนั้นมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

ทฤษฎี 7 S’s (The Seven-S Model) ของ McKinsey

เมื่อปลายปี ค.ศ. 1970 บริษัทที่ปรึกษาชื่อ “McKinsey” ได้เชิญ Richard Pascale แห่ง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และ Anthony Athos แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้มาช่วยพัฒนากรอบแนวคิด การบริหารที่เรียกว่า The McKinsey 7 S’s Framework ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยที่สําคัญ 7 ประการ

 

สามารถอธิบายได้ดังนี้

1 กลยุทธ์ (Strategy) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผนองค์การเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยการใช้เทคนิค SWOT (SWOT Technique) มาทําการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนํามากําหนดเป็นกลยุทธ์

2 โครงสร้าง (Structure) คือ การปรับปรุงโครงสร้างองค์การ การแบ่งหน่วยงาน การรวมอํานาจ และการกระจายอํานาจที่เหมาะสม

3 ระบบ (Systems) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดระบบงาน และการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ให้สั้นลง เพื่อทําให้สามารถปฏิบัติงานได้รวดเร็ว

4 สไตล์ (Style) คือ แบบแผนพฤติกรรมของผู้นํา การใช้รูปแบบการบริหารที่เหมาะสม และแสดงบทบาทผู้นําการเปลี่ยนแปลง

5 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Staff) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคลากรที่มี ความสามารถ การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การหมุนเวียนกันทํางาน และการเห็นคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์

6 ทักษะ (Skills) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความชํานาญ ความสามารถพิเศษของบุคลากร การพัฒนาทักษะการทํางานของแต่ละบุคคล และการส่งเสริมการทํางานเป็นทีม

7 ค่านิยมร่วม (Shared Values) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างค่านิยมร่วมกันในการทํางาน หรือที่เรียกว่า “Spiritual Values” เช่น การให้บริการ ความยุติธรรม ความสามัคคีปรองดอง ความร่วมมือ ความสุภาพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญ การทําในสิ่งที่ดีกว่า การปรับปรุงแก้ไข การปรับตัวเข้าหากัน เป็นต้น ค่านิยม ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ควรสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในองค์การ

 

ปัจจัยทั้ง 7 ประการสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1 Hard คือ ส่วนที่แข็ง ไม่คล่องตัว และปรับตัวได้ค่อนข้างช้า ได้แก่ กลยุทธ์ และโครงสร้าง ขององค์การ

2 Soft คือ ส่วนที่อ่อน มีความคล่องตัว และสามารถปรับตัวได้ง่าย ได้แก่ สไตล์ของผู้บริหาร ระบบงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และค่านิยมร่วม

สรุป จากกรอบแนวคิดของปัจจัย 7 S’s ดังกล่าว ผู้บริหารจําเป็นต้องใช้ภาวะผู้นําในการบริหาร ปัจจัยทั้ง 7 ประการให้สอดคล้องและสมดุลกัน นับตั้งแต่การกําหนดกลยุทธ์ขององค์การ การปรับปรุงโครงสร้าง ที่เหมาะสม การจัดระบบงานให้เหมาะสมและลดขั้นตอนการทํางานให้สั้นลงเพื่อทําให้สามารถบริการได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น การใช้สไตล์การบริหารงานที่ให้ความสําคัญทั้งบุคคลและงาน การให้เกียรติผู้ร่วมงาน การบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ด้วยการสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือเข้ามาทํางาน การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง การพัฒนา ทักษะส่วนบุคคล การสร้างทักษะการทํางานเป็นทีม และการสร้างค่านิยมสร้างสรรค์ในการทํางาน

 

ข้อ 4 จงเลือกตอบเทคนิคการบริหารสมัยใหม่ที่ได้จากการฟังคําบรรยายในชั้นเรียน ได้แก่ QC.C. (Quality Control Circle), T.Q.M. (Total Quality Management), 5 S., Kaizen, ISO 9000, Six Sigma เป็นต้น จงอธิบายความเป็นมา แนวคิด และหลักการของแนวคิดนั้น ๆ มาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

ไคเซ็น (Kaizen)

ไคเซ็นเป็นแนวคิดและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น โดยคําว่า “ไคเซ็น” หมายถึง การปรับปรุงหรือ พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับปรุงในทุก ๆ ด้านของการดํารงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในที่ทํางาน ในสังคม หรือในบ้านให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยทุกคนต้องเกี่ยวข้องตลอดเวลา

– กลยุทธ์ของไคเซ็นคือคํากล่าวที่ว่า “ไม่มีวันใดเลยที่ผ่านไปโดยไม่มีการปรับปรุงในส่วนใด ส่วนหนึ่งขององค์การ” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา

หลักการบริหารแบบไคเซ็น มีดังนี้

1 การมองว่าลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ (Customer First)

2 การควบคุมคุณภาพรวม (Total Quality Control)

3 การมีระบบข้อเสนอแนะ (Suggestion Systems)

4 การใช้หุ่นยนต์ (Robotics) ช่วยในการผลิต

5 การจัดตั้งกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circles)

6 การมีระบบการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Automation)

7 การมีวินัยในการทํางาน (Discipline in the workplace)

8 การติดป้าย (Kanban) รับรองมาตรฐานสินค้า

9 การมีระบบการผลิตทันเวลา (Just in Time : JIT)

10 การมีของเสียเป็นศูนย์ (Zero Defects)

11 การมีกิจกรรมกลุ่มย่อย (Small Group Activities)

12 การจัดการโดยอาศัยความร่วมมือของพนักงาน (Cooperative Labour Management)

13 การปรับปรุงผลผลิต (Productivity Improvement)

14 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)

 

หลักปฏิบัติของการบริหารแบบไคเซ็น มี 2 ประการ คือ

1 การบํารุงรักษา (Maintenance) หมายถึง การส่งเสริมให้ทุกคนช่วยกันดูแลบํารุงรักษา เครื่องจักรเครื่องใช้ให้มีอายุการใช้งานได้นาน

2 การปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) หมายถึง การปรับปรุง การทํางานให้ได้มาตรฐานให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการปรับปรุงมี 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่และการแสวงหา สิ่งใหม่หรือนวัตกรรม (Innovation)

จุดเน้นที่สําคัญของแนวคิดไคเซ็น

แนวคิดของไคเซ็นเน้นกระบวนการ (Process) ซึ่งต้องปรับปรุงขั้นตอนหรือลดขั้นตอนก่อนที่ จะปรับปรุงผลที่ได้รับ (Output) และเน้นที่การปฏิบัติและการใช้ความพยายามของบุคคล เช่น เมื่อผู้จัดการฝ่ายขาย ต้องการประเมินผลงาน พนักงานขายก็จะประเมินเวลาที่ใช้ในการติดต่อกับลูกค้า เวลาที่ใช้ในการเยี่ยมลูกค้า และเวลาที่ใช้ในสํานักงาน ความสําเร็จที่ได้รับจะทําให้บุคลากรมีขวัญและกําลังใจในการปรับปรุงงานของตนให้ดีขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสําคัญกับการเข้าถึงลูกค้าพอ ๆ กับยอดขาย

สรุป แนวคิดและกลยุทธ์ของไคเซ็นสามารถนําไปใช้ได้ทั่วไป และมีความเกี่ยวข้องกับทุกคน ในองค์การตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงผู้ปฏิบัติงานระดับล่างสุด

 

POL1100 รัฐศาสตร์ทั่วไป s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 1100 รัฐศาสตร์ทั่วไป

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1 แปลน A ในการเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ ม.รามคําแหง เกี่ยวกับ

(1) การเมืองการปกครองทฤษฎี

(2) บริหารรัฐกิจ

(3) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

(4) การทูต

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 51 – 52 คณะรัฐศาสตร์ ม.รามคําแหง ได้แบ่งสาขาวิชารัฐศาสตร์ออกเป็น 3 สาขา คือ

1 แปลน A สาขาการปกครอง (Government) ครอบคลุมเนื้อหาทฤษฎีการเมืองการปกครอง

2 แปลน B สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relation) ครอบคลุมเรื่องราวเกี่ยวกับนานาชาติ เช่น สงคราม องค์การระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ทางการทูต ฯลฯ

3 แปลน C สาขารัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ (Public Administration) ครอบคลุมการจัดและบริหารองค์การของรัฐ ระเบียบปฏิบัติ เช่น พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน ฯลฯ

2 ทฤษฎีเทวสิทธิ์ที่เกี่ยวกับการเมืองเฟื่องใน

(1) อียิปต์โบราณ

(2) อียิปต์ปัจจุบัน

(3) อังกฤษขณะนี้

(4) USA. ขณะนี้

(5) มาเลเซียขณะนี้

ตอบ 1 หน้า 149 – 154, (คําบรรยาย) พฤษฎีเทวสิทธิ์ (Divine Right Theory) ถือว่า รัฐเกิดขึ้นมาจากสภาวะอันศักดิ์สิทธิ์ คือ เทพยดาหรือผู้อยู่เหนือมนุษย์ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับการเมือง หรือการมีผู้ปกครองรัฐที่เคยมีหรือเคยใช้และได้รับการยอมรับมากในยุคโบราณหรือยุคเก่าก่อนของอารยธรรมต่าง ๆ เช่น กรีก อียิปต์ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย กัมพูชา อังกฤษ ฯลฯ

3 รัฐที่มีอาณาบริเวณพื้นที่มากหรือใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) จีน

(3) รัสเซีย

(4) แคนาดา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 127 ประเทศ/รัฐที่มีอาณาบริเวณพื้นที่มากที่สุดในโลกขณะนี้ ได้แก่ รัสเซีย (Russia) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 6.5 ล้านตารางไมล์ (แต่เดิมอดีตสหภาพโซเวียตที่ล่มสลายแตกแยกเป็น รัฐย่อย ๆ จํานวนมาก มีพื้นที่มากถึง 8.6 ล้านตารางไมล์ แต่รัสเซียที่เหลืออยู่ก็ยังคงมีพื้นที่มากที่สุดในโลกเช่นเดิม ทั้งนี้เพราะรัสเซียยังครอบครองไซบีเรียอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่)

4 หน้าปกตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป เขียนว่า Introduction หมายถึงอะไร

(1) การแนะนํา

(2) การค้นคว้า

(3) การส่งเสริม

(4) การพิจารณา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 คําว่า Introduction ในหน้าปกตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป (Introduction to Political Science)หมายถึง การแนะนํา คือ เป็นการแนะนําให้รู้จักในเบื้องต้นเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์

5 องค์การ “สหประชาชาติ” ที่รับ ดชอบด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมระดับโลก คือ

(1) INU

(2) NATO

(3) SEATO

(4) UNESCO

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทบวงชํานัญพิเศษขององค์การสหประชาชาติที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมระดับโลก คือ UNESCO (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) โดยมีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และยัง เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพิจารณาให้รางวัลมรดกโลก (World Heritage)

6 อาคาร POB ในมหาวิทยาลัยรามคําแหงที่หัวหมาก อักษร O หมายถึง

(1) Office

(2) Oberlin

(3) Olox

(4) Oxen

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (คําบรรยาย) อาคาร POB ในมหาวิทยาลัยรามคําแหงที่หัวหมาก หมายถึง อาคารคณะรัฐศาสตร์ (Political Science (Office Building) ซึ่งชั้นล่างเป็นศูนย์เอกสารทางวิชาการของคณะ

7 บทที่ 2 ของตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป กล่าวถึง นายกรัฐมนตรีชาวนนทบุรี ซึ่งอยู่ในตําแหน่งเกิน 15 ปี ได้แก่

(1) พระยาพหลพลพยุหเสนา

(2) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

(3) จอมพลถนอม กิตติขจร

(4) พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมนันท์

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 98, (คําบรรยาย) จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีชาวนนทบุรีที่อยู่ในตําแหน่งนานที่สุดประมาณ 15 ปีเศษ (เกือบ 16 ปี) ซึ่งเป็นยุคที่ใช้เพลงปลุกใจและละคร “เลือดสุพรรณ” ส่วนนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตําแหน่งนานรองลงมา คือ จอมพลถนอม กิตติขจร ประมาณ 11 ปีและพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประมาณ 8 ปี

8 ประธานาธิบดีผู้เลิกทาสของสหรัฐอเมริกา ได้แก่

(1) Washington

(2) Ford

(3) Wilsm

(4) Lincoln

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 279, (คําบรรยาย) ประธานาธิบดีผู้เลิกทาสของสหรัฐอเมริกา คือ อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln ซึ่งดํารงตําแหน่งในช่วงปี ค.ศ. 1861 – 1865 โดยอยู่ร่วมสมัยกับ ร.5 สมเด็จพระปิยมหาราช/สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระมหากษัตริย์ผู้เลิกทาสของไทย)ที่ขึ้นครองราชย์ฯ ในปี ค.ศ. 1868 (เป็นเวลาห่างกันเพียง 3 ปีเท่านั้น)

9 แม็กนาคาร์ตา มีมาแล้วประมาณกี่ปี

(1) 400 ปี

(2) 600 ปี

(3) 80 ปี

(4) 1,000 ปี

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 178, 292 แม็กนาคาร์ตา (Magna Carta) ซึ่งถือกันว่าเป็นปฐมรัฐธรรมนูญของอังกฤษได้มีการจัดทําขึ้นและประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1215 (พ.ศ. 1758) ดังนั้นในปัจจุบัน (ค.ศ. 2019) จึงมีมาแล้วประมาณ 800 ปี ซึ่งคําว่า Magna Carta เป็นภาษาลาติน (Magna แปลว่า ใหญ่, Carta แปลว่า แผ่นหรือบัตร ซึ่งต่อมาก็คือคําว่า Card นั่นเอง)

10 ทฤษฎีกําเนิดของรัฐที่กล่าวว่า “แรงธรรมชาติผลักดันมนุษย์ให้สร้างรัฐขึ้นมา” ได้แก่ทฤษฎี

(1) อภิปรัชญา

(2) สัญชาตญาณ

(3) สัญญาประชาคม

(4) ชีวอินทรีย์

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 154 ทฤษฎีสัญชาตญาณ (Instinct Theory) กล่าวว่า “มีแรงธรรมชาติที่ผลักดันให้มนุษย์รวมตัวกันให้เป็นรัฐหรือให้เป็นองค์การทางการเมืองขึ้นมา” โดยแรงธรรมชาติก็คือ สิ่งที่อุบัติขึ้นเองเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

11 อธิปไตยในแนวพุทธศาสนาที่ใกล้เคียงกับประชาธิปไตย ได้แก่

(1) โลกาธิปไตย

(2) อัตตาธิปไตย

(3) ธรรมาธิปไตย

(4) บวราธิปไตย

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 286, 313 314 ในแนวพุทธศาสนาได้มีการกล่าวถึงอธิปไตย 3 ประเภท ได้แก่

1 โลกาธิปไตย เป็นการปกครองที่ใกล้เคียงกับลัทธิหรืออุดมการณ์ประชาธิปไตย เพราะมีความหมายว่า ยกให้พลเมืองเป็นส่วนใหญ่ (การปกครองโดยคนส่วนใหญ่)

2 อัตตาธิปไตย เป็นการให้อํานาจไว้กับคน ๆ เดียว เช่น ราชาธิปไตย ฯลฯ

3 ธรรมาธิปไตย เป็นการปกครองที่ดีเลิศ คือ การยกย่องธรรมะให้เป็นใหญ่

12 Hyde Park ซึ่งเป็นสถาบันแห่งการพูดโดยเสรี ตั้งอยู่ ณ ที่ใด

(1) ลอนดอน

(2) ปารีส

(3) เบอร์ลิน

(4) นิวยอร์ก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 280 สวนไฮด์ (Hyde Park) ในมหานครลอนดอนของอังกฤษ คือ สถานที่อันเลื่องชื่อที่ประชาชนสามารถพูดและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี

13 ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคําแหงมหาราช สร้างมาประมาณกี่ปีแล้ว

(1) 450 ปี

(2) 550 ปี

(3) 650 ปี

(4) 750 ปี

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 (PS 103 เลขพิมพ์ 46077 หน้า 168, 171) ปฐมรัฐธรรมนูญของไทยตามแนวคิดของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช คือ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคําแหงมหาราช ซึ่งมีลักษณะเด่นดังนี้

1 มีขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1283 (พ.ศ. 1826) หรือมีขึ้นเมื่อประมาณ 736 ปีมาแล้ว

2 มีขึ้นหลังแม็กนาคาร์ตา (Magna Carta) ปฐมรัฐธรรมนูญของอังกฤษเพียง 68 ปีเท่านั้น โดยแม็กนาคาร์ตามีขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1215 (พ.ศ. 1758) หรือมีมาแล้วประมาณ 801 ปี

3 เป็นรัฐธรรมนูญประเภทไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

14 ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษและสหรัฐอเมริกามีลักษณะคล้ายกันมาก คือ

(1) มี 2 พรรคใหญ่

(2) มีการเลือกตั้งหัวหน้ารัฐบาลทุก 5 ปีเป็นประจํา

(3) มีพรรคใหญ่ ๆ 5 พรรค

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 379 – 381 ระบบพรรคการเมืองในอังกฤษและสหรัฐอเมริกามีลักษณะเหนีอนกันหรือคล้ายกันมาก คือ เป็นระบบ 2 พรรค มีพรรคการเมืองใหญ่เพียง 2 พรรคที่มีโอกาสผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันเป็นรัฐบาล โดย 2 พรรคนี้จะมีเสียงสนับสนุนใกล้เคียงกัน ขณะที่พรรคอื่น ๆ จะเป็นเพียงพรรคเล็ก ๆ เท่านั้น (การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจะมีขึ้นทุก 4 ปี ส่วนอังกฤษมีการเลือกตั้งทุก 5 ปี แต่การเลือกตั้งอาจเกิดขึ้นก่อนกําหนด (ถ้ามีการยุบสภาฯ)

15 หนึ่งในสามปราชญ์ยุคกรีกโบราณ ได้แก่

(1) ซอคระตีส

(2) โบโลญ

(3) Aesop

(4) Giddens

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 18 – 19, 30 – 32, 99 รัฐศาสตร์ในโลกตะวันตกได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางปรัชญาโดยเฉพาะปรัชญาทางการเมืองของ 3 มหาปราชญ์หรือไตรเมธีหรือผู้เลิศทางปัญญาด้าน สังคมศาสตร์แห่งยุคกรีกโบราณ ซึ่งมีฐานะเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์กัน ดังนี้

1 ซอคระตีส (Socrates) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญา” มีเพลโตเป็นศิษย์เอก

2 เพลโต (Plato) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมือง” มีอริสโตเติลเป็นศิษย์เอก

3 อริสโตเติล (Aristotle) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งรัฐศาสตร์” หรือบิดาผู้สถาปนาผู้ก่อตั้งวิชารัฐศาสตร์ (Founding Father) มีพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นศิษย์เอก

16 หมาดของทศพิธราชธรรมมีข้อใดดังต่อไปนี้

(1) ทาน

(2) บริจาค

(3) รักษาศีล

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 22 – 23, 514 – 515 ทศพิธราชธรรม หมายถึง กิจวัตรหรือจริยาวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจําพระองค์หรือคุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง 10 ประการ ดังนี้

1 ทาน (การให้)

2 ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย)

3 บริจาค (ความเสียสละ)

4 อาชชวะ (ความซื่อตรง)

5 มัททวะ (ความอ่อนโยน)

6 ตบะ (การข่มกิเลส)

7 อักโกธะ (ความไม่โกรธ)

8 อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน)

9 ขันติ ความอดทน)

10 อวิโรธนะ (ความไม่คลาดจากธรรม)

17 นายกรัฐมนตรีไทยที่ดํารงตําแหน่งนานเป็นอันดับ 3 คือ ประมาณ 8 ปี ได้แก่

(1) ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

(2) จอมพลถนอม กิตติขจร

(3) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

(4) ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7 ประกอบ

18 ความเป็นประชาธิปไตยเน้นอะไร

(1) ความเสมอภาค

(2) การคํานึงถึงเสียงข้างน้อย

(3) การยอมรับเสรีภาพส่วนบุคคล

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความเป็นประชาธิปไตยจะเน้นในเรื่องของความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพควบคู่กันไป โดยลัทธิประชาธิปไตยจะเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนว่ามีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ให้การยอมรับเสรีภาพส่วนบุคคล คนทุกคนอย่างน้อยที่สุดก็มีความสามารถ ในการปกครองตนเอง ถึงแม้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองโดยเสียงข้างมากแต่จะต้องเคารพและคํานึงถึงเสียงข้างน้อยด้วย

19 ศิษย์เอกที่ประสบความสําเร็จในการเป็นนักปกครองของอริสโตเติล ได้แก่

(1) Rommal

(2) เดอร์มัน

(3) แม็คอาร์เธอร์

(4) อเล็กซานเดอร์

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 15 ประกอบ

20 บิดาแห่งรัฐประศาสนศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่

(1) จอห์น เอฟ เคนเนดี้

(2) วูดโรว์ วิลสัน

(3) ธีโอดอร์ รูสเวลต์

(4) แฮรี เอส ทรูแมน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 473 วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา (USA) เป็นผู้เริ่มต้นเสนอแนวความคิดอันเป็นแนวกรอบเค้าโครงความคิด (กระบวนทัศน์ : Paradigm) เรื่องการแยกการบริหารออกจากการเมือง ทําให้เกิดแนวความคิดในการศึกษาด้านการบริหารขึ้น เป็นการแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นวิลสันจึงได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งรัฐประศาสนศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา”

21 ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของ “นครรัฐ”

(1) กรุงกบิลพัสดุสมัยพุทธกาล

(2) เวียงพิงค์

(3) กรุงเอเธนส์สมัย 2,000 ปีมาแล้ว

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 111 – 113 ตัวอย่างของนครรัฐ (Polis) หรือ city-state ในอดีต ได้แก่

1 นครรัฐของอินเดียในสมัยพุทธกาล เช่น กรุงกบิลพัสดุ กรุงราชคฤห์ ฯลฯ

2 นครรัฐของกรีกโบราณสมัย 2,400 ปีมาแล้ว เช่น เอเธนส์ สปาร์ตา โอลิมเปีย ฯลฯ

3 นครรัฐทางภาคเหนือของไทยในอดีต เช่น เวียงพิงค์ (เชียงใหม่), เขลางค์นคร (ลําปาง), หริภุญชัย (ลําพูน), เวียงโกศัย (แพร่), ชากังราว (กําแพงเพชร) ฯลฯ

22 แนวการเรียนการสอนแบบ PPE ที่ Oxford University ในอังกฤษ คือเน้นการเรียนวิชา

(1) ปรัชญา

(2) รัฐศาสตร์

(3) เศรษฐศาสตร์

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 85 ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของอังกฤษ คือ มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด (Oxford University) ซึ่งมีอายุเกินกว่า 900 ปี มีการสอน 3 วิทยาการร่วมกัน คือ PPE ได้แก่ Philosophy, Politics and Economics (ปรัชญา รัฐศาสตร์/การเมือง และเศรษฐศาสตร์) โดยนายกรัฐมนตรีของไทยที่จบหลักสูตร PPE จาก Oxford ได้แก่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (นายกฯ คนที่ 13) และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกฯ คนที่ 27)

23 หน่วยงานของ “สหประชาชาติ” ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอาหารระดับโลก คือ

(1) EURO

(2) FAO

(3) IMF

(4) WHO

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (คําบรรยาย) องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO : Food and Agriculture Organization) เป็นองค์การชํานัญพิเศษขององค์การสหประชาชาติที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอาหารและเกษตรกรรมระดับโลก โดยมีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี

24 อดีตเลขาธิการผู้หนึ่งของสหประชาชาติเป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือชาว

(1) ไทย

(2) สิงคโปร์

(3) เมียนมาร์

(4) เวียดนาม

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 (ข่าว) อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ช่วงก่อตั้งองค์การที่เป็นคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นชาวเมียนมาร์ คือ นายอูถิ่น (U Thant) ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการ UN ในช่วงปี ค.ศ. 1961 – 1971 (พ.ศ. 2504 – 2514) ส่วนเลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบัน คือ คือ นายกูแตรีส (Guterres) ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2560 แทนนายบันคีมูน (Ban Ki Moon)

ชาวเกาหลีใต้ ที่ครบวาระการดํารงตําแหน่ง 2 สมัย (10 ปี)  (วาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 5 ปี)

25 ประเทศที่มีรูปแบบการปกครองแบบ “กึ่งประธานาธิบดีถึงรัฐสภา”

(1) ฝรั่งเศส

(2) ยูโกสลาเวีย

(3) เกาหลีเหนือ

(4) ออสเตรเลีย

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 187 รูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ

1 ระบบรัฐสภา มีในประเทศอังกฤษ เยอรมนี ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย ฯลฯ

2 ระบบประธานาธิบดี มีในประเทศสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ฯลฯ

3 ระบบกึ่งรัฐสภาถึงประธานาธิบดี หรือกึ่งประธานาธิบดีถึงรัฐสภา (ระบบคณะรัฐมนตรีแบบฝรั่งเศส) มีในประเทศฝรั่งเศส ศรีลังกา ฯลฯ

26 คํากล่าวโดยผู้สถาปนา (Founder) วิชารัฐศาสตร์ที่ว่า “รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ภาคปฏิบัติ” และพิมพ์อยู่ในวงกรอบสี่เหลี่ยมในตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป ปรากฏอยู่ในช่วงใดของตํารา

(1) ปกในด้านหน้า

(2) หน้าต้น ๆ ก่อนถึงคํานํา

(3) ปกหลังด้านใน

(4) หน้าท้ายสุด

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ในหน้าต้น ๆ ก่อนถึงคํานําของตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป (PS 103 เล่มเก่า) บ่งชี้ลักษณะของการเมืองว่า“การเมืองเป็นศิลปะแห่งการ (ทําให้) เป็นไปได้” (Politics is the art of the possible.) เป็น คํากล่าวของ อาร์.เอ. บัตเลอร์ (R.A. Butler) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ส่วนอริสโตเติลผู้สถาปนาวิชารัฐศาสตร์ กล่าวว่า “รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ภาคปฏิบัติ” (Politics is Practical Science.)

27 ตัวอย่างของการแสดงออกซึ่งสาธารณประโยชน์จิต (Public Spirit) ได้แก่

(1) การรู้จักประหยัดทรัพยากร

(2) การไปลงคะแนนเสียง

(3) การทําตามคําขวัญข้อหนึ่งในคําขวัญ 4 ข้อ ของ ม.ร. ที่เริ่มต้นด้วย “รู้จักอภัย…” (4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 319 สาธารณประโยชน์จิตหรือจิตวิญญาณสาธารณะ (Public Spirit) คือ การคํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ย่อมเกิดจากความสํานึกว่าเป็นหนี้บุญคุณของสังคม ดังนั้นจึงมีหน้าที่ต้องทําประโยชน์ให้เป็นการตอบแทนหรือเป็นการสนองคุณชาติ (คําขวัญข้อหนึ่ง ใน 4 ข้อ ของ ม.ร. คือ รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ) ได้แก่ การทําหน้าที่พลเมืองดีในด้านต่าง ๆ เช่น การรู้จักประหยัดพลังงานหรือประหยัดทรัพยากร การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น

28 ประเทศที่มีฉายาว่าดินแดนอาทิตย์อุทัย ได้แก่

(1) แอฟริกาใต้

(2) ญี่ปุ่น

(3) แคนาดา

(4) เกาหลีเหนือ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ประเทศญี่ปุ่นมีชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Nippon (นิปปง) หรือ Nihon (นิฮง) ซึ่งหมายถึง ถิ่นกําเนิดของดวงอาทิตย์ จึงทําให้ประเทศญี่ปุ่นได้รับฉายาว่า ดินแดนอาทิตย์อุทัย (โดยในปัจจุบันคําว่า Nippon มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ แต่ถ้าหากเป็นเวลาปกติก็จะใช้คําว่า Nihon)

29 อาคาร BNB ในมหาวิทยาลัยรามคําแหง ที่วิทยาเขตบางนา-ตราด อักษร B ตัวหลังหมายถึง

(1) Big

(2) Body

(3) Banner

(4) Building

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) อาคาร BNB (Bangna Building) ในมหาวิทยาลัยรามคําแหงวิทยาเขตบางนา(รามคําแหง 2) เป็นอาคารเรียนชั้นเดียว มีทั้งหมด 11 อาคาร (BNB 1 – BNE 11)

30 หลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชารัฐศาสตร์ ตั้งแต่ยังมีสถานะเป็นภาควิชาของ ม.รามคําแหง มีตั้งแต่ปีใด

(1) 2510

(2) 2514

(3) 2518

(4) 2520

(5) 2522

ตอบ 2

31 ในข้อแนะนําก่อนถึงบทต่าง ๆ ในตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป ระบุว่าห้องสมุดใหญ่สุดของโลกเกี่ยวโยงกับการให้ความรู้กับสถาบันนิติบัญญัติ คือของ

(1) ม.ฮาร์วาร์ด

(2) ม.เยล

(3) ม.แคลิฟอร์เนีย ณ นครเบิร์คลี่ย์

(4) รัฐสภาอเมริกัน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (ข้อแนะนํา) ห้องสมดหรือแหล่งวิชาการใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ หอสมุดแห่งสภาคองเกรส (Library of Congress) หรือห้องสมุดของรัฐสภาอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีหนังสือเอกสารต่าง ๆ มากกว่า 128 ล้านรายการ

32 พลเมืองของประเทศฟิลิปปินส์มีประมาณ

(1) 42 ล้านคน

(2) 62 ล้านคน

(3) 82 ล้านคน

(4) 102 ล้านคน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ มีจํานวนประชากรรวมกันมากกว่า 600 ล้านคน ดังนี้

1 อินโดนีเซีย 250 ล้านคน

2 ฟิลิปปินส์ 102 ล้านคน

3 เวียดนาม 100 ล้านคน

4 ไทย 65 ล้านคน

5 พม่า 60 ล้านคน

6 มาเลเซีย 30 ล้านคน

7 กัมพูชา 16 ล้านคน

8 ลาว 6 ล้านคน

9 สิงคโปร์ 5 ล้านคน

10 บรูไน 4 แสนคน

33 Magna Carta ประกาศใช้ในปี ค.ศ.

(1) 1210

(2) 1211

(3) 1212

(4) 1215

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. และ 13. ประกอบ

34 ในตําราช่วงหน้าที่ 117 กล่าวถึงผู้เคยมีอํานาจมากเป็นระดับเจ้าเมืองในยุคเก่าก่อนของญี่ปุ่น เรียกว่า

(1) ขุนพลซามูไร

(2) โชกุน

(3) โซชิดะ

(4) โตโจ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 117 ผู้มีอํานาจควบคุมพื้นที่มากในสมัยศักดินาของญี่ปุ่น ได้แก่ บรรดาขุนพลหรือเจ้าเมืองที่เรียกว่า โชกุน (Shogun) ส่วนองค์จักรพรรดิจะมีอํานาจแต่เพียงในนามเท่านั้น

35 หลักสูตร Ph.D. หมายถึงระดับใด

(1) ปริญญาตรี

(2) ปริญญาตรีภาคพิเศษ

(3) ปริญญาโท

(4) ปริญญาเอก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 5, (คําบรรยาย) หลักสูตรในระดับปริญญา มีชื่อเรียกเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษ ดังนี้

1 ปริญญาตรี = B.A. (Bachelor of Arts / Bachelor’s Degree)

2 ปริญญาโท – M.A. (Master of Arts / Master’s Degree)

3 ปริญญาเอก – Ph.D. (Philosophies Doctor / Doctor of Philosophy)

36 “ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะให้พี่น้องร่วมชาติมากไปกว่าหยาดโลหิต พลังในร่างกาย น้ำคลอเบ้าตา และเหงื่ออาสาชโลมกาย” เป็นวาทะที่กล่าวโดยรัฐบุรุษอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิลล์ ในมหาสงคราม

(1) โลกครั้งที่ 1

(2) โลกครั้งที่ 2

(3) เวียดนาม

(4) อ่าวเปอร์เซีย

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 432 วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษซึ่งมีความเป็นผู้นําสูงมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเขาสามารถปลุกและเร้าใจให้คนอังกฤษ มีขวัญและกําลังใจในการต่อสู้ ด้วยการกล่าววาทศิลป์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเป็นเสมือนมนต์ขลัง โดยเฉพาะในตอนที่ว่า “ทั้งชีวิตข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะอุทิศให้พี่น้องร่วมชาติมากไปกว่าหยาดโลหิตสปิริตแรงกล้า น้ำอัสสุชลคลอเบ้าตา และเหงื่ออาสาชโลมกาย”

37 คําขวัญ (Motto, Slogan) ประจํา ม.ร. ตั้งแต่อธิการบดีคนแรก ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ คือ

(1) รู้จักอภัย

(2) ตั้งใจศึกษา

(3) บูชาพ่อขุน

(4) สนองคุณชาติ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 75, (คําบรรยาย) คําขวัญของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งหรือ”ยุคสถาปนาโดย ศ.ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ อธิการบดีผู้ก่อตั้ง (Founding President) ได้แก่

1 คําขวัญยุคต้น/ยุคเริ่มแรก (พ.ศ. 2514) คือ รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ

2 คําขวัญที่เป็นพุทธภาษิตเริ่มแรก (ภาษาบาลี) คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)

3 คําขวัญเพิ่มเติมหรือคําขวัญใหม่/คําขวัญระยะหลัง ซึ่งได้จัดการประกวดเมื่อปี พ.ศ. 2527คือ “เปลวเทียนให้แสง รามคําแหงให้ทาง”

38 ประเทศใน ASEAN ที่มีเกาะมากที่สุด ได้แก่

(1) มาเลเซีย

(2) ฟิลิปปินส์

(3) อินโดนีเซีย

(4) ออสเตรเลีย

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 124, (คําบรรยาย) ประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน (ASEAN) ที่มีลักษณะเป็นหมู่เกาะจํานวนมาก มี 2 ประเทศ ได้แก่

1 อินโดนีเซีย ประกอบด้วยหมู่เกาะต่าง ๆมากกว่า 12,000 เกาะ

2 ฟิลิปปินส์ ประกอบด้วยหมู่เกาะต่าง ๆ มากกว่า 8,000 เกาะ

39 สหรัฐอเมริกาได้เป็นประเทศเอกราชประมาณช่วง

(1) 230 ปีมาแล้ว

(2) ยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

(3) ยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 131 สหรัฐอเมริกาถือว่าวันได้รับเอกราชสําคัญยิ่งและถือว่าเป็นวันชาติ (National Day) แต่ใช้ศัพท์แทนว่า The Fourth of July ซึ่งหมายถึง วันที่ได้รับอิสระจากอังกฤษเจ้าอาณานิคมในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 (พ.ศ. 2319) หรือเมื่อประมาณ 243 ปีมาแล้ว ก่อนสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 6 ปี ซึ่งตรงกับยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พ.ศ. 2310 – 2325)

40 อักษรย่อ B.A. หมายถึง

(1) ปริญญาตรี

(2) บริหารกิจการ

(3) ธนาคารแห่งแอนตาร์กติก

(4) Bombay Amy

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ

41 นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ 2561 ได้แก่

(1) แอนโทนี กิดเดนส์

(2) เทเรซา เมย์

(3) แคมเมอรอน

(4) วินสตัน ซิมอน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (ข่าว) นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในปี พ.ศ. 2561 ได้แก่ นางเทเรซา เมย์ (Theresa May)สังกัดพรรคอนุรักษนิยม (Conservative Party) โดยเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 (มีวาระในการดํารงตําแหน่งคราวละ 5 ปี)

42 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการค้าโลกทําให้มีความนิยมเรียน Mandarin หมายถึงอะไร

(1) การทําอาหารจีน

(2) ภาษาจีนกลาง

(3) การประดิษฐ์แบบ Hakone

(4) ภาษาญี่ปุ่น

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 124, (คําบรรยาย) การไปลงทุนในประเทศจีนนั้น ภาษาที่จําเป็นต้องรู้จัก คือ ภาษากลางของจีนที่เรียกว่า “แมนดาริน” (Mandarin) ซึ่งใช้กันมาก และเป็นภาษาราชการของจีน

43 ประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ในขณะนี้ ได้แก่

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) รัสเซีย

(3) อินเดีย

(4) จีน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (ข่าว) ปัจจุบันพลเมืองทั่วโลกมีประมาณ 6,700 ล้านคน โดยประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด เรียงตามลําดับได้ดังนี้

1 สาธารณรัฐประชาชนจีน (ประมาณ 1,350 ล้านคน)

2 อินเดีย (ประมาณ 1,200 ล้านคน)

3 สหรัฐอเมริกา (ประมาณ 320 ล้านคน)

4 อินโดนีเซีย (ประมาณ 250 ล้านคน)

5 บราซิล (ประมาณ 200 ล้านคน)

44 แผง Solar Cell เกี่ยวกับ

(1) การคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม

(2) อาศัยพลังงานแสงอาทิตย์

(3) การปลูกป่า

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 89, (คําบรรยาย) ในปัจจุบันมีการคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยพยายามค้นคว้าหาพลังงานทางเลือกเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน เช่น การใช้แผง Solar Cell (เซลล์สุริยะ) ที่อาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านผลิตกระแสไฟฟ้า และแบตเตอรี่รถยนต์ ฯลฯ

45 Horne Stay เกี่ยวโยงกับอะไร

(1) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(2) การพักผ่อน

(3) การท่องเที่ยวแบบพื้นเมือง

(4) สุขภาพอายุวัฒนา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 (คําบรรยาย) Home Stay หมายถึง การท่องเที่ยวแบบพื้นเมืองโดยให้นักท่องเที่ยวพักค้างแรมตามบ้านเรือนของคนในท้องถิ่น และให้กินอยู่ตลอดจนเรียนรู้วัฒนธรรมตามวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้น (Home Stay เป็นนโยบายรัฐบาลในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)

46 นครหลวงปัจจุบันของเมียนมาร์ คือ

(1) แรงกูน

(2) ย่างกุ้ง

(3) เนปิดอว์

(4) เนการา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอน 3 (ความรู้ทั่วไป) เมืองหลวงของประเทศพม่าหรือเมียนมาร์ในปัจจุบัน คือ เมืองเนปิดอว์หรือ -เนปยีดอว์ (Naypyidaw) ส่วนย่างกุ้งหรือแรงกูน (Yangon) เป็นเมืองหลวงเก่า

47 ศัพท์ชาตินิยมในภาษาอังกฤษ คือ

(1) Nationalism

(2) Anarchism

(3) Liberalism

(4) Patriotism)

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 438 – 439, (คําบรรยาย) ชาตินิยม ได้แก่ Nationalism คือ ลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นความรักแบบคลั่งชาติ (ส่วนคําว่า Anarchism คือ ลัทธิอนาธิปไตย, Liberalism คือ ลัทธิเสรีนิยม, Patriotism คือ ลัทธิรักชาติ เป็นการสนับสนุนให้คนรักชาติ รักประเทศ รักปิตุภูมิ/มาตุภูมิ หรือรักถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน)

48 ใน 2 – 3 หน้าแรกของตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป ระบุคํากล่าวว่า “การเมืองเป็นศิลป์แห่งการ”

(1) เคลื่อนไหว

(2) ภาคปฏิบัติ

(3) อุดมคติ

(4) น่าวิเคราะห์

(5) ทําให้เป็นไปได้

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 26 ประกอบ

49 NATO บางครั้งใช้ในความหมายว่าเป็นลักษณะของชนบางชาติหรือบางประเทศ ซึ่งประกอบด้วย

(1) No

(2) Action

(3) Talk

(4) Only

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 (คําบรรยาย) NATO บางครั้งใช้ในความหมายว่าเป็นลักษณะของชนบางชาติหรือบางประเทศคือ มีลักษณะที่เรียกว่า No Action, Talk Only กล่าวคือ ไม่มีการกระทํา, มีแต่พูดอย่างเดียวเข้าทํานองที่ว่า ดีแต่พูด แต่ทําอะไรไม่ได้ ทําอะไรไม่เป็น หรือไม่ได้ทําอะไรสักอย่าง

50 ขุนนางและปราชญ์ชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ 16 ชื่อ นิคโคโล มาเคียเวลลี (Machiavelli) เขียนหนังสือ สําคัญทางการเมือง ชื่อ

(1) The Princess

(2) The Prince

(3) The Queen

(4) The Knights

(5) Ex Caliber

ตอบ 2 หน้า 39 รัฐศาสตร์ยุคใหม่เริ่มจากข้อเขียนของนิคโคโล มาเคียเวลลี (Machiavelli) นักคิดและนักการเมืองชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ 16 ในหนังสือชื่อ The Prince (เจ้าหรือผู้ครองนคร)ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ในทางรัฐศาสตร์ที่มีการแยกการเมืองออกจากศีลธรรม

51 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา อยู่ในตําแหน่งนานเท่าใด

(1) 2 ปี

(2) 4 ปี

(3) 6 ปี

(4) 8 ปี

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (ข่าว) บารัค โอบามา (Barack Obama) ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา (USA)สังกัดพรรคเดโมแครต อยู่ในตําแหน่ง 2 สมัย นาน 8 ปี (20 ม.ค. 2552 – 19 ม.ค. 2560)

52 ทัศนคติที่พึงมีในประชาธิปไตยข้อ หนึ่งคือ “ปัจเจกชนนิยม” (Individualism) หมายถึง

(1) รัฐบาลควรวางมาตรฐานแห่งการดําเนินชีวิตให้ประชาชนทุกคน

(2) บุคคลพึงควรปฏิบัติตามกฏข้อบังคับของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

(3) ไม่ยอมให้ผู้ใดบังคับให้ลงคะแนนเสียงตามที่กําหนดได้

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 317 – 318 ทัศนคติที่พึงมีในประชาธิปไตยข้อหนึ่งคือ ปัจเจกชนนิยม (Individualism)ซึ่งมี 2 ความหมาย คือ

1 รัฐบาลไม่ควรเข้าควบคุมกระบวนการทางเศรษฐกิจและสังคม

2 เอกชนหรือปัจเจกชนนิยมจะต้องมีสิทธิในการตัดสินใจของตนเองโดยเสรี มิใช่ตามใจผู้อื่น การตัดสินใจโดยเสรี คือ การใช้ความคิดอิสระ บราศจากการบีบบังคับโดยบุคคลอื่น

53 หลักวิธีการศึกษาแบบ “พฤติกรรมศาสตร์” เน้นในเรื่องใด

(1) ประวัติความเป็นมา

(2) ปรัชญาที่ลึกซึ้ง

(3) ข้อมูล สถิติ ตัวเลข

(4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 32 – 34 หลัาวิธีการศึกษาแบบ “ พฤติกรรมศาสตร์” จะใช้วิธีการเชิงปริมาณ คือ เน้นในเรื่องข้อมูลที่เป็นสถิติ ตัวเลข ซึ่งสามารถวัดได้ โดยไม่สนใจเรื่องประวัติความเป็นมา ปรัชญาที่ลึกซึ้ง และคุณภาพหรือการคิดเชิงคุณค่า ซึ่งเป็นเรื่องที่วัดได้ยาก

54 จํานวนเด็กเกิดในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมาลดลงเหลือประมาณปีละ

(1) 1 ล้านคน

(2) 8 แสนคน

(3) 7 แสนคน

(4) 6 แสนคน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 (ข่าว) จํานวนเด็กเกิดในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมาลดลงเหลือประมาณปีละ 7 แสนคน และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเหลือต่ำกว่านี้อีก จากที่เคยสูงกว่า 1 ล้านคนเมื่อ 30 ปีก่อน

55 ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ

(1) สองแสน ตร.กม.

(2) สามแสน ตร.กม.

(3) สี่แสน ตร.กม.

(4) ห้าแสน ตร.กม.

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 4, 127, (คําบรรยาย) ประเทศไทยมีพื้นที่ประมาณ 500,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 200,000 ตารางไมล์ (1 ตารางไมล์ = 2.59 ตารางกิโลเมตร) โดยมีพื้นที่ใกล้เคียง กับประเทศฝรั่งเศส และใกล้เคียงกับรัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐที่มีคนเชื้อสายไทยอาศัยอยู่มากที่สุด โดยเฉพาะที่เมืองลอสแอนเจลิส (Los Angeles หรือเมือง LA ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี)

56 เหตุการณ์เกี่ยวกับการที่ญี่ปุ่นเข้ามาในไทยจนมีการสร้างภาพยนตร์ที่วรุฒ วรธรรม แสดงเป็นนายทหารญี่ปุ่น เกิดขึ้นในสมัยใด

(1) สงครามโลกครั้งที่ 1

(2) สงครามโลกครั้งที่ 2

(3) กรณีพิพาทกับออสเตรเลีย

(4) ช่วงสงครามฝิ่น

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (คําบรรยาย) เหตุการณ์เกี่ยวกับการที่ญี่ปุ่นเข้ามาในไทยจนมีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “คู่กรรม” ที่วรุฒ วรธรรม แสดงเป็น “โกโบริ” นายทหารญี่ปุ่น เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

57 ในสมัย “สหภาพโซเวียต” ยังคงเป็นประเทศเดียวกันอยู่ รัฐธรรมนูญได้รับอิทธิพลจาก

(1) คาร์ล มาร์กซ์

(2) เลนิน

(3) อริสโตเติล

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 180, 186, 191 รัฐธรรมนูญแห่งอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งเรียกว่า “ฏฎหมายขั้นมูลฐาน”เป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองซ้ายสุดของคาร์ล มาร์กซ์  (Marx) เจ้าตํารับลัทธิคอมมิวนิสต์ และเลนิน (Lenin) ผู้นําพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต

58 Kibbutz เป็นสถานที่อยู่ในประเทศ

(1) อิสราเอล

(2) เปรู

(3) เซเนกัล

(4) ศรีลังกา

(5) โปรตุเกส

ตอบ 1 หน้า 289 – 290, 410 ประชาธิปไตยโดยตรงในยุคปัจจุบันหรือในยุคร่วมสมัย มีตัวอย่างในประเทศต่าง ๆ เช่น ชุมชนคิบบุทซ์ (Kibbutz) ในอิสราเอล, Canton ในสวิตเซอร์แลนด์และ Town Meeting ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

59 หนังสือชื่อ “ดอกเบญจมาศกับดาบซามูไร” มีความสําคัญเพราะเกี่ยวกับอะไร

(1) ภาพยนตร์กําลังภายใน

(2) อุปนิสัยของคนญี่ปุ่น

(3) เป็นชื่อเลียนแบบภาพยนตร์คลาสสิกชื่อ ราโชมอน (Rashomon)

(4) การจารกรรม

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (Ps 103 เลขพิมพ์ 46077 หน้า 512) หนังสือชื่อ “ดอกเบญจมาศและดาบซามูไร” ของรุธ เบเนดิค นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน เป็นหนังสือที่ศึกษาเกี่ยวกับอุปนิสัยของคนญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ามีลักษณะอ่อนนอกแข็งในเปรียบเสมือนกับดอกเบญจมาศ(ตราประทับของจักรพรรดิญี่ปุ่น) และดาบซามูไร

60 ลักษณะสําคัญของความเป็นรัฐ (state) ได้แก่

(1) อํานาจอธิปไตย

(2) ความรุ่งเรือง

(3) มีจบปริญญามาก

(4) เศรษฐกิจดี

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 120 ความเป็น “รัฐ” (state) มีลักษณะสําคัญดังนี้คือ

1 เน้นอํานาจอธิปไตย (มีอํานาจอธิปไตยสูงสุดในอาณาเขตของรัฐนั้น)

2 เน้นการผูกขาดอํานาจ (มีอํานาจผูกขาดในการใช้กําลังหรือใช้ความรุนแรงทั้งหลาย)

3 เน้นมิติการเมือง (เป็นสังคมการเมือง)

61 Bahasa ใช้ใน

(1) มาเลเซีย

(2) ภูฎาน

(3) มัลดีฟส์

(4) เดนมาร์ก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (คําบรรยาย) บาฮาซา (Bahasa) เป็นคําศัพท์ในภาษามลายู (Bahasa Malayu) ที่ใช้ในประเทศมาเลเซีย และภาษาอินโดนีเซีย (Bahasa Indonesia) ที่ใช้ในประเทศอินโดนีเซีย มีความหมายว่า ภาษาเป็นคําที่มีที่มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง ภาษาพูด

62 ในการอ่านหนังสือรัฐศาสตร์ทั่วไป ผู้เขียนแนะนําว่าควรยึดหลักกาลามสูตร ซึ่งหมายความว่า

(1) ให้เชื่อตาม

(2) เน้นความเข้าใจ

(3) พึงใช้เหตุผลไตร่ตรอง

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 314 พุทธศาสนามีคําสอนในกาลามสูตร ซึ่งสนับสนุนให้บุคคลใช้เหตุผลใช้วิจารณญาณและความคิดอิสระในการตัดสินปัญหาและข้อสงสัยต่าง ๆ โดยเน้นความเข้าใจ ไม่ให้เชื่ออะไร หรือเชื่อใครง่าย ๆ เช่น ไม่ให้เชื่อโดยฟังตามกันมา โดยนําสืบกันมา โดยตื่นข่าวลือ โดยอ้างตํารา โดยนึกเดา โดยคาดคะเน โดยตรึกตรองตามอาการ โดยพอใจว่าเหมาะกับความเห็นของตนโดยเห็นว่าผู้พูดเป็นครู ฯลฯ แต่ให้มีการพิจารณาเตร่ตรองและสืบสวนค้นคว้าเสียก่อนจึงเชื่อ

63 ประธานาธิบดีอเมริกัน (USA) คนปัจจุบัน ชื่อ

(1) Donald Trump

(2) Cecil Trump

(3) John Trump

(4) William Trump

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (ข่าว) ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกา (USA) คือ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สังกัดพรรครีพับลิกัน โดยเข้าดํารงตําแหน่งเป็นสมัยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

64 พุทธภาษิตเริ่มแรกของ ม.ร. ตั้งแต่ยุคก่อตั้งโดย ศ.ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ได้แก่

(1) อัตตาหิ อัตตโน นาโถ

(2) ความรู้ทําให้องอาจ

(3) แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

(4) เปลวเทียนให้แสง รามคําแหงให้ทาง

(5) อนุสาวรีย์แห่งปรีชาชาญย่อมขึ้นนานกว่าอํานาจ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 37 ประกอบ

65 วีรบุรุษอเมริกันในมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการรบภาคพื้นแปซิฟิก คือ นายพล (1) รัมสเฟลด์

(2) รอมเมล

(3) โอมาร์ แบรดลีย์

(4) ดักลาส แม็คอาร์เธอร์

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) นายพงดักลาส แม็คอาร์เธอร์ คือ นายทหารอเมริกันที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษในช่วงมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุทธภูมิด้านเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็น ผู้ที่ได้กล่าวประโยคยอดนิยมว่า I’ll return (I shall return) หลังจากที่ต้องถอยทัพกลับไป เพราะพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นในสมรภูมิแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่ฟิลิปปินส์ ต่อมาเขาก็เป็นหัวหน้าหรือ ผู้บัญชาการที่รับผิดชอบการยึดครองญี่ปุ่นหลังจากแพ้สงครามต่อ USA โดยเขาได้กล่าววาทะ เพื่อสดุดีทหารกล้าผู้รับใช้ประเทศชาติในสงครามว่า “Old soldiers never die, they just fade away” (ทหารผู้คร่ำหวอดในสมรภูมิไม่มีวันตาย เพียงแต่ลืมเลือนหายไปจากความทรงจํา)

66 ตัวอย่างผู้นําประเทศที่เป็นสตรี ได้แก่

(1) อินทิรา คานธี แห่งอินเดีย

(2) Merkel แห่งเยอรมัน

(3) Chavez แห่งอาร์เจนตินา

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตัวอย่างของผู้นําประเทศที่เป็นสตรี ได้แก่ อินทิรา คานธี (อินเดีย), แทตเชอร์ และ May (อังกฤษ), Merkel (เยอรมัน), ซูการ์โนบุตรี (อินโดนีเซีย), กิลลาร์ด (ออสเตรเลีย), เคิร์ชเนอร์ (อาร์เจนตินา), ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ไทย), อาคิโน และอาโรโย (ฟิลิปปินส์) เป็นต้น

67 คํากล่าวที่ว่า “เสียงประชาชนไม่ใช่เสียงสวรรค์เสมอไป” มีความหมายดังนี้

(1) มีตัวอย่างเช่นการที่คนเยอรมันเลือกอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ให้เป็นผู้นํา

(2) ประชาชนเลือกคนผิดก็ได้

(3) ประชาชนมักเรียกร้องในบางเรื่องซึ่งทําไม่ได้

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 285, 489 คํากล่าวข้างต้น หมายความว่า เสียงของประชาชนอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ซึ่งเกิดจากการที่มีคนหลายกลุ่ม หลายความคิดเห็น จึงทําให้มีความยุ่งยากว่าควรจะฟังเสียง ประชาชนจากกลุ่มใด เพราะบางครั้งประชาชนมักเรียกร้องในบางเรื่องซึ่งทําไม่ได้ หรือบางครั้ง ประชาชนอาจจะใช้วิจารณญาณผิดหรืออาจเลือกคนผิดก็ได้ ตัวอย่างเช่น การที่คนเยอรมันเลือกฮิตเลอร์หรือคนอิตาลีเลือกมุสโสลินี้ให้เป็นผู้นํา เป็นต้น

68 การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามระบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) มีในประเทศ

(1) อินเดีย

(2) ศรีลังกา

(3) อินโดนีเซีย

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 25 ประกอบ

69 ประเทศที่มีภาษาราชการ 4 ภาษา ได้แก่

(1) สวิตเซอร์แลนด์

(2) โปแลนด์

(3) ออสเตรีย

(4) แอฟริกาใต้

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 124 สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีประชากรเพียง 6 ล้านคนเศษ แต่มีภาษาราชการถึง 4 ภาษา คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน และ รมานซ์ ทั้งนี้เพราะเป็นสมาพันธรัฐ

70 ความมั่นคง (Security) ของชาติขึ้นอยู่กับปัจจัย

(1) ทางวัตถุ

(2) อวัตถุ

(3) ภูมิศาสตร์

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 431, (คําบรรยาย) ความมั่นคงของประเทศชาติขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยเชิงรูปธรรมหรือเชิงวัตถุ เช่น ภูมิศาสตร์ ทรัพยากร กําลังทหาร ฯลฯ

2 ปัจจัยเชิงนามธรรมหรือเชิงอวัตถุ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา ฯลฯ

71 ปรากฏการณ์ “จริยธรรมแห่งจุดมุ่งหมายปลายทาง” (Ethic d absolute ends) ตามทัศนะของนักวิชาการ ชาวเยอรมัน ชื่อ Max Weber ปรากฏอยู่ในกลุ่มใดมากที่สุด

(1) นิสิตนักศึกษา

(2) นักบวช

(3) ผู้ใช้แรงงาน

(4) ผู้มีที่ดินมาก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 420 เนวโน้มของนิสิตนักศึกษาตามทัศนะของแม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ในประเด็นจริยธรรมแห่งจุดหมายปลายทาง คือ การชื่นชมกับอุดมคติ วาทะจูงใจ คําคม คารมปราชญ์ ฯลฯ โดยที่ไม่ค่อยเข้าใจในเนื้อแท้และความยุ่งยากในการปฏิบัติให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น ๆ

72 ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) มีสาระดังนี้

(1) มีการมอบอํานาจการปกครองให้ผู้ใดผู้หนึ่งหรือชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ปกครอง (2) การทําสัญญาประชาคมเป็นเหตุการณ์ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา

(3) การทําสัญญาดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 155 – 158 ทฤษฏิสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) มีสาระสําคัญ คือ มีการมอบสิทธิหรือมอบอํานาจการปกครองให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้นําหรือเป็นผู้ปกครองของชุมชนนั้น ซึ่งการทําสัญญานี้เป็นเพียงข้อสมมติเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะย่อมไม่มีการจดบันทึกเหตุการณ์เมื่อสมัยเป็นหมื่น ๆ หรือนับเป็นแสนปีมาแล้ว

73 ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ คือ

(1) อาโรโย

(2) เอสตราดา

(3) อาคีโน

(4) มาร์กอส

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 (ข่าว) ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ คือ นายดูแตร์เต (Duterte) ซึ่งเข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559 (มีวาระในการดํารงตําแหน่ง 6 ปี)

74 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2561 มีการเฉลิมฉลองครบรอบ 131 ปี ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในไทย คือ

(1) จปร.

(2) มจร.

(3) มมก.

(4) ม.มหิดล

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (ข่าว) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานกําเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2430 ณ บริเวณวังสราญรมย์ (พ.ศ. 2452 ได้ย้ายมาอยู่ที่ ถ.ราชดําเนินนอก และปี พ.ศ. 2523 ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เขาชะโงก จ.นครนายก) ดังนั้นวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561 จึงเป็นวันครบรอบ 131 ปี ของ จปร.

75 ปัจจัยเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่สําคัญเรียกว่า EQ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ

(1) เศรษฐศาสตร์

(2) ภูมิศาสตร์

(3) การทหาร

(4) จิตวิทยา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ปัจจัยเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่สําคัญเรียกว่า EQ (Emotional Quotient)หรือวุฒิภาวะทางอารมณ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงนามธรรมหรือเชิงอวัตถุ

76 พรรคแบบ Militia คือ

(1) พรรคนาซี

(2) พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต

(3) พรรคคอมมิวนิสต์สาธารณรัฐประชาชนจีน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 376 การจัดโครงสร้างพรรคการเมืองแบบมิลลิเชีย (Militia) ได้แก่ กองทัพเอกชน หรือหน่วยอาสาสมัครในสหรัฐอเมริกา โดยสมาชิกพรรคยังเป็นฝ่ายพลเรือนอยู่ แต่มีการ ฝึกซ้อมในกลยุทธ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น พรรคของผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์หรือพวก หัวรุนแรงฝ่ายขวาที่นิยมเผด็จการ เช่น กองพันพายุของพรรคนาซี ฮิตเลอร์) ในเยอรมันและพรรคฟาสซิสต์ของมุสโสลินี้ในอิตาลี เป็นต้น

77 โลกาธิปไตย หมายถึง

(1) อํานาจอยู่ที่พลังงานของโลก

(2) การปกครองโดยคนส่วนใหญ่

(3) รัฐบาลเดียวของโลก

(4) องค์การสหประชาชาติ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

78 Air Force I (One) หมายถึง

(1) กองทัพอากาศหมายเลข 1

(2) เครื่องบินพาหนะของประธานาธิบดีอเมริกัน

(3) เครื่องบินพาหนะของผู้นําอังกฤษ

(4) เครื่องบินสอดแนมสืบราชการลับ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (คําบรรยาย) Air Force One (Air Force I) และ Air Force Two (Air Force II) หมายถึงเครื่องบินพาหนะประจําตําแหน่งของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

79 ลัทธิเทวสิทธิ์ในโลกตะวันตก มีชัดเจนในยุคอะไร

(1) ยุคนโปเลียน

(2) ยุคกรีก

(3) ยุคกลาง

(4) ยุคฮิตเลอร์

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2 ประกอบ

80 อารยธรรมอียิปต์มีมาแล้วประมาณ

(1) 1,600 ปี

(2) 2,000 ปี

(3) 3,000 ปี

(4) 4,500 ปี

(5) 6,000 ปี

ตอบ 5 หน้า 3 อารยธรรมอียิปต์มีมาแล้วประมาณ 6,500 ปี ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ยิ่งกว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมียที่มีอายุประมาณ 4,100 ปี

81 แนวคิด “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็จะชนะร้อยครั้ง เป็นแนวคิดทางการเมืองของ

(1) ขงจื้อ

(2) ซุนหวู่

(3) ขงเบ้ง

(4) เล่าปี่

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 27 แนวคิด “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง” เป็นแนวคิดทางการเมืองที่แนะนําโดย ซุนหวู่ (ซุนวู) ในตําราพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นคําสอนที่ทราบกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก แต่ในเชิงปฏิบัติทําได้ยากยิ่ง

82 การศึกษาเรื่องกระบวนการบริหาร นโยบายสาธารณะ และพฤติกรรมองค์การ อยู่ในหมวดที่เรียกว่า

(1) Plan A ของรัฐศาสตร์ที่ มร.

(2) Plan C ของรัฐศาสตร์ที่ มร.

(3) รัฐประศาสนศาสตร์

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 471, (ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ) รัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ เป็นการศึกษาที่ครอบคลุมทั้งเรื่องกระบวนการบริหาร นโยบายสาธารณะ และพฤติกรรมองค์การ

83 ผู้เดินทางไปอ้อนวอนให้ปราชญ์จีนชื่อ ขงเบ้ง มาช่วยกู้ชาติ ได้แก่

(1) เหมาเจ๋อตุง

(2) เล่าปี่

(3) โจโฉ

(4) ซุนกวน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 29, 442, (คําบรรยาย) ในนวนิยายอิงพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กนั้น เล่าปี่ต้องพนมมือไปทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะการไปกราบอ้อนวอนขอร้องจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) ถึง 3 ครั้ง เพื่อให้มาช่วยราชการและเป็นเสนาธิการในการวางแผนรบกับโจโฉ โดยผู้รบเคียงข้างกับเล่าปีตั้งแต่ร่วมกันออกปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองและสาบานตนเป็นพี่น้องกัน ได้แก่ กวนอู และเตียวหุย

84 ทฤษฎี Heartland เกี่ยวกับอะไรโดยตรง

(1) สังคมเศรษฐศาสตร์

(2) ภูมิรัฐศาสตร์

(3) Geopolitics

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 77 ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ได้รับฉายาจากนักวิชาการผู้หนึ่งว่าเป็น “บุตรทางปัญญานอกกฎหมายของวิชาภูมิศาสตร์การเมืองกับรัฐศาสตร์” ซึ่งมี 3 ทฤษฎีสําคัญ ได้แก่ ทฤษฎีดินแดนหัวใจ (Heartland Theory), ทฤษฎีบริเวณขอบนอก (Rimland Theory) และทฤษฎีอํานาจทางทะเล (Sea Power Theory)

85 ในหลัก POSDCORB ตัว B ให้ความสําคัญกับอะไร

(1) การจัดองค์การ

(2) การวางแผน

(3) การบํารุงรักษา

(4) การหางบประมาณ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 474 475 Gulick และ Urwick ได้เสนอหลักการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพว่าจะต้องประกอบด้วยหลัก POSDCORB ซึ่งย่อมาจาก

1 P = Planning (การวางแผน)

2 O = Organizing (การจัดองค์การ)

3 S = Staffing (คณะผู้ร่วมงาน)

4 D = Directing (การสั่งการ)

5 co – Coordinating (การประสานงาน)

6 R = Reporting (การทํารายงาน)

7 B = Budgeting (การทํางบประมาณ)

86 ASEAN มีสมาชิกเริ่มต้นจํานวน

(1) 17 ประเทศ

(2) 15 ประเทศ

(3) 13 ประเทศ

(4) 10 ประเทศ

(5) 5 ประเทศ

ตอบ 5 หน้า 114, (คําบรรยาย) สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN) จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1967 โดยมีสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีก 5 ประเทศ คือ บรูไน (1984) เวียดนาม (1995) ลาวและพม่า (1997) กัมพูชา (1999) รวมมีสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ โดยมีสํานักงานใหญ่ หรือสํานักงานเลขาธิการอาเซียนตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

87 ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวในเดือนสิงหาคม 2561 เกิดขึ้นที่

(1) อินโดนีเซีย

(2) ญี่ปุ่น

(3) ฟิลิปปินส์

(4) เวียดนาม

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (ข่าว) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์ ขึ้นที่เกาะลอมบอกประเทศอินโดนีเซีย ทําให้เกิดคลื่นสึนามิ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 250 คน

88 Tagalog เป็นภาษาหลักในประเทศ

(1) มาดากัสการ์

(2) เนปาล

(3) ฟิลิปปินส์

(4) อินโดนีเซีย

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 (PS103 เลขพิมพ์ 46077 หน้า 115) ตากาล็อก (Tagalog) เป็นภาษาประจําชาติและเป็นภาษาหลักในประเทศฟิลิปปินส์

89 รัฐธรรมนูญแห่งสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษมีลักษณะดังนี้

(1) มีข้อความมากที่สุดในโลก

(2) ไม่มีการร่างขึ้นโดยเฉพาะ แต่มีลักษณะเป็นรูปกฎหมายธรรมดาและคําพิพากษาสําคัญ ๆ

(3) แก้ไขยากที่สุด

(4) ถูกทั้ง 3 ข้อแรก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 178 – 179 รัฐธรรมนูญแห่งสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญประเภทที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten) ซึ่งมีลักษณะสําคัญ คือ ไม่มีการร่างขึ้นอย่างเป็นทางการ หรือไม่มีการร่างขึ้นโดยเฉพาะ แต่จะเป็นในรูปของกฎหมายธรรมดาและคําพิพากษาของศาลในคดีสําคัญ ๆ ต่าง ๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีในการปฏิบัติต่าง ๆ ด้วย

90 ผู้นําจีนที่ร่นถอยไปอยู่ ณ เกาะฟอร์โมซา หลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2

(1) เจียงจูเกา

(2) เจียงไคเช็ค

(3) จูเจนไล

(4) ฮัวไหว

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ภายหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ในปี ค.ศ. 1949 ประเทศจีนได้เกิดความขัดแย้งกันเองระหว่างกลุ่มก๊กมินตั้ง กลุ่มคอมมิวนิสต์ และกลุ่มอื่น ๆ จนทําให้เจียงไคเช็คผู้นําของฝ่ายก๊กมินตั๋ง ต้องถอยร่นไปตั้งอยู่ที่เกาะฟอร์โมซาหรือไต้หวันจนถึงปัจจุบัน

91 ในบทที่ 2 กล่าวถึงความเกี่ยวพันของวิชารัฐศาสตร์กับนานาวิทยาการ ได้แก่

(1) เศรษฐศาสตร์

(2) ภูมิศาสตร์

(3) ปรัชญา

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 57 วิชารัฐศาสตร์มีความเกี่ยวพันกับนานาวิทยาการสาขาต่าง ๆ ได้แก่ เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา ปรัชญา ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ ฯลฯ

92 ลัทธิประชาธิปไตยส่งเสริมบุคลิกภาพที่เรียกกันว่า พลังอัตตา หมายถึง

(1) ความไว้เนื้อเชื่อใจในเพื่อนมนุษย์

(2) การทําอะไรได้ตามใจชอบ

(3) ความรู้สึกว่าตนเองมีพละกําลัง สามารถทําอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้

(4) ถูกทั้ง 3 ข้อแรก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 322 อุปนิสัยที่ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย (Democratic Character) ได้แก่

1 การมีอัตตาตัวตนที่เปิดเผย (Open Ego) คือ เป็นผู้มีความไว้เนื้อเชื่อใจในเพื่อนมนุษย์

2 การมีศรัทธาในผู้อื่น

3 การมีพลังอัตตาและมีความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ โดยพลังอัตตา (Ego Strength) คือ ความรู้สึกหรือเชื่อว่าตนเองมีพละกําลัง สามารถทําอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้สามารถกําหนดวิถีชีวิตตนเองได้ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง

93 สํานักงานใหญ่ ASEAN ตั้งอยู่ที่

(1) กัวลาลัมเปอร์

(2) มะนิลา

(3) เนปิดอว์

(4) พนมเปญ

(5) จาการ์ตา

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 86 ประกอบ

  1. “Government of Law, Not of Men” หมายความว่า

(1) ผู้ปกครองเท่านั้นที่มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ก็ได้ ประชาชนไม่เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

(2) ต้องเป็นกฎหมายที่วางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม มิใช่เป็นเครื่องมือของผู้เผด็จการหรือผู้ร่างกฎหมายลําเอียง

(3) รัฐบาลที่ดีนั้นต้องเป็นรัฐบาลที่ปกครองโดยหลักกฎหมายที่ให้ความยุติธรรมอย่างเพียงพอต่อประชาชน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (Ps 103 เลขพิมพ์ 46077 หน้า 406 407), (คําบรรยาย) มีคํากล่าวว่า รัฐบาลที่ดีต้องเป็น“รัฐบาลของกฎหมายม่ใช่ของคน” (Government of Law, Not of Men) ซึ่งกฎหมายในที่นี้ หมายถึง กฎหมายที่วางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม มิใช่เป็นเครื่องมือของผู้เผด็จการหรือ ผู้ร่างกฎหมายที่ลําเอียง กล่าวคือ รัฐบาลที่ดีนั้นต้องเป็นรัฐบาลที่ปกครองโดยหลักกฎหมายที่

ให้ความยุติธรรมอย่างเพียงพอต่อประชาชน

95 บทที่ 8 ตําราล่าสุดกล่าวถึงธาตุน้ํา บํารุงต้นไม้ประชาธิปไตย ซึ่งหมายถึง

(1) ทรัพย์ในดิน

(2) ทรัพยากรธรรมชาติ

(3) มรดกแห่งเสรีภาพ

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 323 – 324 ประชาธิปไตยในประเทศไทยพิจารณาปัจจัยโดยเปรียบเทียบว่าเป็นเสมือนต้นไม้ที่จะเติบโตได้ต้องอาศัยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ โดยธาตุน้ำในฐานะปัจจัยสําคัญ (คู่กับดิน) ที่ทําให้ต้นไม้ประชาธิปไตยเจริญงอกงามได้นั้น จะพิจารณาในรูปของมรดกที่สืบสานมาจากอดีต คือ

1 มรดกทางการเมืองจากอดีต

2 มรดกเกี่ยวกับเสรีภาพ

3 มรดกเกี่ยวกับความเสมอภาคของคน

96 ทฤษฎีที่ว่า “อํานาจคือความยุติธรรม” (Might Makes Right) หมายความว่า

(1) นโยบายของผู้บริหารอยู่เหนือเหตุผล

(2) มีปรากฏชัดในสมัยที่บ้านเมืองอยู่ใต้อาณานิคม

(3) ผู้ไร้อิทธิพลแม้ประพฤติดีก็อาจถูกลงโทษได้

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 (คําบรรยาย) “อํานาจคือความยุติธรรม” หรือ “อํานาจเป็นธรรม” (Might Makes Right)หมายความว่า การที่ผู้ปกครองใช้อํานาจเป็นหลักในการบริหารงาน อาศัยอํานาจเป็นเกณฑ์ ในการตัดสินความยุติฐรรม เป็นลักษณะของผู้เผด็จการที่ไม่คํานึงถึงเหตุผลอันถูกต้องชอบธรรม ซึ่งตรงกันกับคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “อํานาจเป็นใหญ่ในโลก” (วโส อิสสริยัง โลเก) โดยการปกครองแบบนี้มีปรากฏชัดในสมัยที่บ้านเมืองอยู่ใต้อาณานิคม

97 Soft Power เกี่ยวโยงโดยตรงกับ

(1) การใช้ความรุนแรง

(2) การรุกราน

(3) การเจรจา

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 (คําบรรยาย) Soft Power หมายถึง อํานาจหรืออิทธิพลที่แผ่ขยายไปแบบนิ่มนวล สันติวิธีค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการบีบบังคับ ไม่ใช้กําลังหรือไม่ใช้ความรุนแรง เช่น อํานาจหรืออิทธิพลทางวัฒนธรรม การเจรจาต่อรองโดยใช้วิธีการทางการทูต ฯลฯ

98 วิธีการแบบไม่ใช้ความรุนแรง คือ สัตยาเคราะห์ ใช้ในการกู้ชาติของประเทศอะไร

(1) กาน่า

(2) อียิปต์

(3) อินเดีย

(4) กัวเตมาลา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 86 – 87, 403, 445 มหาตมะ คานธี เป็นผู้ริเริ่มและเผยแพร่อหิงสาธรรม (อวิหิงสา)หรือสัตยาเคราะห์/สัตยาคฤห์ (Satyagraha) ในช่วงแห่งการกู้ชาติของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็น วิธีการต่อสู้โดยสันติวิธีหรือไม่ใช้กําลังรุนแรงและไม่เบียดเบียนหรือไม่ทําร้ายผู้อื่น และอาจจะเรียกวิธีการต่อสู้นี้ว่า อารยะขัดขืน (Non-violent Resistance หรือ Civil Disobedience)

99 Diet เป็นชื่อเกี่ยวกับนิติบัญญัติในประเทศอะไร

(1) นิวซีแลนด์

(2) สเปน

(3) ญี่ปุ่น

(4) กรีก

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 335 336 รัฐสภา (สภานิติบัญญัติ) ในแต่ละประเทศมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น สหรัฐอเมริกา เรียกว่า คองเกรส (Congress), อิสราเอล เรียกว่า คเนสเล็ท (Knesset), อังกฤษ เรียกว่า ปาร์เสียเมนต์ (Parliament), ฝรั่งเศส เรียกว่า แอสเซมบลี (Assembly), ญี่ปุ่น เรียกว่า ไดเอ็ท (Diet) ฯลฯ

100 ผู้มีอํานาจสูงสุดในจีนขณะนี้ คือ

(1) เหมาเจ๋อตุง

(2) เจียงไคเช็ค

(3) เจียงจูเต

(4) สีจิ้นผิง

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (ข่าว) ผู้มีอํานาจสูงสุดในจีนขณะนี้ คือ สีจิ้นผิง ซึ่งดํารงตําแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2555 และดํารงตําแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนมาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2556

101 ผู้นําในการกอบกู้เอกราชของพม่า หรือเมียนมาร์ คือ

(1) ราชเร็ตนัม

(2) อองซาน

(3) ปรกต

(4) อนุ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ผู้นําในการกอบกู้เอกราชของพม่าหรือเมียนมาร์จากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษคือ นายพลออง ซาน (Aung San) ซึ่งเป็นบิดาของนางออง ซาน ซูจี (Aung San Suu Gyi) ประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ที่เป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบัน

102 ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่มีจํานวนมากที่สุดในโลก คือ ของประเทศ

(1) จีน

(2) อินเดีย

(3) แคนาดา

(4) สหรัฐอเมริกา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (คําบรรยาย) อินเดีย เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีจํานวนประชากรมากที่สุดในโลก (1,300 ล้านคน) โดยอินเดียมีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 900 ล้านคน มากกว่าสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยอันดับ 2 ถึง 4 เท่า

103 คํากล่าวที่ว่า “นักการเมืองคิดถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป รัฐบุรุษคิดถึงประชาชนคนรุ่นต่อไป” มุ่งเน้นอะไร

(1) ประโยชน์ส่วนรวม

(2) การเสียสละ

(3) คํานึงถึง Public

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 313, (คําบรรยาย) ข้อแตกต่างระหว่างนักการเมือง (Politician) กับรัฐบุรุษ (Statesman) มีในภาษิตรัฐศาสตร์ข้อหนึ่งของ James Freeman Clarke ซึ่งมีความว่า “นักการเมืองคิดถึง การเลือกตั้งครั้งต่อไป (Next Election) แต่รัฐบุรุษคิดถึงคนรุ่นต่อไป (Next Generation)” ซึ่งรัฐบุรุษเป็นผู้เห็นการณ์ไกล มักใช้วิจารณญาณเลือกกระทําการที่มุ่งเน้นต่อประโยชน์ส่วนรวมคํานึงถึงสาธารณะ (Public) รวมทั้งมีความเสียสละ มีจริยธรรม มีจิตสํานึก และมีวิสัยทัศน์

104 องค์ประกอบที่ทําให้มีสภาพเป็น “ชาติ” ได้แก่

(1) มีประวัติศาสตร์และภาษาร่วมกัน

(2) วางตัวเป็นกลางในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

(3) อยู่อย่างอิสระไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาติอื่นใด

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 1 หน้า 137 – 141 ชาติหรือประชาชาติมีองค์ประกอบที่สําคัญ 5 ประการ คือ

1 การมีความผูกพันต่อถิ่นที่อยู่

2 การมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน

3 การมีภาษาและวรรณคดีร่วมกัน

4 การมีวัฒนธรรมร่วมกัน

5 การมีความต้องการอยู่อย่างอิสระ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาติอื่นใด)

105 บทที่ 2 ของตํารารัฐศาสตร์ทั่วไป กล่าวถึง นายกรัฐมนตรีชาวนนทบุรี ซึ่งใช้เพลงปลุกใจ “เลือดสุพรรณ” ซึ่งได้แก่

(1) พระยาพหลพลพยุหเสนา

(2) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

(3) จอมพลถนอม กิตติขจร

(4) จอมพลฟื้น รณนภากาศฯ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7 ประกอบ

106 ลัทธิอะไรที่เน้นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น

(1) อนุรักษนิยม

(2) เสรีนิยม

(3) ฟาสซิสต์

(4) คอมมิวนิสต์

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 245 ลัทธิคอมมิวนิสต์ ถือว่า การเมือง คือ การต่อสู้ระหว่างชนชั้น ซึ่งได้แก่

1 ในระบบทาส มีการต่อสู้ระหว่างนายกับทาส

2 ในระบบศักดินา มีการต่อสู้ระหว่างเจ้าขุนมูลนายกับไพร่

3 ในระบบทุนนิยม มีการต่อสู้ระหว่างนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพ

107 ลักษณะสําคัญของแนวคิดอนุรักษนิยม ได้แก่

(1) มองโลกในแง่ดี

(2) มองโลกในแง่ร้าย

(3) ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 367 ลักษณะสําคัญของแนวคิดและอุดมการณ์อนุรักษนิยม (Conservative Ideology) ได้แก่ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิม แต่หากจําเป็นก็จะสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลง อย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป

108 “แมวสีอะไรไม่สําคัญ ขอให้จับหนูให้ได้” เป็นแนวคิดทางการเมืองของใคร

(1) เหมาเจ๋อตุง

(2) เติ้งเสี่ยวผิง

(3) เล่าปี่

(4) ซุนหวู

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 72 เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นําสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เปลี่ยนมายึดนโยบายที่ยืดหยุ่นโดยไม่ติดแน่นผูกมัดอยู่กับอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองแนวมาร์กซิสม์เดิม กล่าวคือ ใช้นโยบายยึดหยุ่นที่สอดคล้องกับคํากล่าวที่ว่า “แมวสีอะไรไม่สําคัญ ขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน” (“แมว” หมายถึง อุดมการณ์หรือระบบ, “หนู” หมายถึง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอื่น ๆ)

109 ประเทศที่มีฉายาว่าดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ได้แก่

(1) ญี่ปุ่น

(2) นอร์เวย์

(3) แคนาดา

(4) เกาหลีใต้

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ประเทศ/รัฐประชาชาติที่มีฉายาว่าดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun) ได้แก่ ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) อันประกอบด้วย นอร์เวย์ สวีเดนเดนมาร์ก และไอซ์แลนด์

110 มุมไบเป็นชื่ออินเดียแทนชื่อเก่าที่อังกฤษใช้เรียกเมือง

(1) บอมเบย์

(2) มุมบา

(3) มัมมา

(4) Baba

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (คําบรรยาย) เมืองมุมไบ (Mumbai) เป็นชื่ออินเดียแทนชื่อเก่าที่อังกฤษใช้เรียกเมืองบอมเบย์ (Bombay) ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอินเดีย เป็นเมืองท่าการพาณิชย์ที่ได้ฉายาว่าลอนดอนแห่งอินเดีย (อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก (Bollywood) ก็ตั้งอยู่เมืองนี้)

111 ผู้ปกครองของบรูไน (Brunei) เรียกว่า

(1) ราชา

(2) กษัตริย์

(3) Sultan

(4) King

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ผู้ปกครองของบรูไนหรือบรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) เรียกว่า สุลต่าน (Sultan) โดยบรูในปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปัจจุบันมีสุลต่าน โบลเกียห์ (Sultan Bolkiah) เป็นทั้งกษัตริย์และนายกรัฐมนตรีปกครองประเทศ

112 ประธานาธิบดีร่วมสมัยกับสมเด็จพระปิยมหาราชและเป็นผู้เลิกทาสของสหรัฐอเมริกา ได้แก่

(1) วอชิงตัน

(2) Ford

(3) Lincoln

(4) Wilson

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

113 หนึ่งในผู้ร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา คือ ผู้ที่เป็นนักประพันธ์ นักประดิษฐ์ และเป็นผู้คงแก่เรียน

(1) Benjamin Franklin

(2) F.D.R.

(3) 3.*.K.

(4) Abraham Lincoln

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 176 – 177, (คําบรรยาย) ผู้มีบทบาทในการร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาฉบับถาวร (Framer) เมื่อปี ค.ศ. 1787 (เมื่อ 230 ปีเศษมาแล้ว) และยังคงเป็นฉบับที่ใช้สืบเนื่องกันมา เป็นระยะเวลาติดต่อกันยาวนานจนถึงปัจจุบัน (ถือเป็นรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษรที่ มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก) ประกอบด้วยผู้รู้ ผู้สามารถ จํานวน 3 คน ได้แก่

1 เจมส์ แมดดิสัน (James Madison)

2 อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton)

3 เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านการเป็นนักประพันธ์ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ และเป็นผู้คงแก่เรียน

114 นายกรัฐมนตรีคนแรกผู้ก่อตั้งหรือสถาปนามาเลเซีย (Founding Prime Minister) ได้แก่

(1) นาจีฟ ราซัก

(2) มหาธีร์

(3) อับดุล ราห์มาน

(4) ฮุสเซ็น ออน

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 192, (คําบรรยาย) ตนกู อับดุล ราห์มาน (Tunku Abdul Rahman) ซึ่งเคยเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ในกรุงเทพมหานคร เป็นผู้นําการเรียกร้องเอกราชคืนจากอังกฤษ และเป็นนายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งหรือสถาปนา (Founding Prime Minister) มาเลเซียให้เป็นเอกราช ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) จึงนับเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประเทศมาเลเซีย (Bapa of Malaysia)

115 นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียที่มีอายุ 93 ปี คือ

(1) Mahathir

(2) Anwar

(3) Yusuf

(4) Babur

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 (ข่าว) ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียที่มีอายุ 93 ปี (ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุมากที่สุดในโลก) โดยสามารถนําแนวร่วมฝ่ายค้าน เอาชนะการเลือกตั้งได้เมื่อเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2561 (ทั้งนี้ Mahathir เคยดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียยาวนานที่สุดถึง 22 ปี ในระหว่างปี พ.ศ. 2524 – 2546)

116 ประชาธิปไตยแบบที่ให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมออกกฎหมายโดยตนเองเรียกว่า

(1) ประชาธิปไตยแบบโดยตรง

(2) ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน

(3) เสรีประชาธิปไตย

(4) ประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 287 การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) มี 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ

1 ประชาธิปไตยแบบโดยตรง (Direct Democracy) หรือบางครั้งเรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) คือ การที่ให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายได้ด้วยตนเอง

2 ประชาธิปไตยแบบโดยอ้อม (Indirect Democracy) หรือบางครั้งเรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน (Representative Democracy)

117 ประชาธิปไตยที่ยึดหลัก ปชาสุขัง มหุตตมัง หมายถึง เน้น

(1) ความผาสุกของมหาชน

(2) ความมอัจฉริยภาพ

(2) ความมีอัจฉริยภาพ

(3) ความมั่งคั่ง

(4) ความสะดวกสบาย

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 286 พุทธศาสนาที่สนับสนุนประชาธิปไตย ได้แก่ การยึดหลัก 2 ประการ คือ

1 “ปชาสุขัง มหุตตมัง” หมายถึง การเน้นความผาสุกของมหาชน

2 “มหาชนหิตายะ และมหาชนสุขายะ” หมายถึง การเป็นรัฐบาลที่มุ่งประโยชน์และความสุขของมหาชน

118 “ความขาดแคลนหรือความยากจนทําให้ลัทธิการเมืองหนึ่งแพร่หลาย” เป็นการวิเคราะห์รัฐศาสตร์ในเชิง หรือแนวทางศาสตร์ใด

(1) ภูมิศาสตร์

(2) ศาสนศาสตร์

(3) เศรษฐศาสตร์

(4) อภิปรัชญา

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 73, (คําบรรยาย) ผู้ที่นําวิธีการวิเคราะห์รัฐศาสตร์ในเชิงหรือแนวทางเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐวิธี (Economic Approach) มาใช้ในทางการเมืองและการปกครอง คือ คาร์ล มาร์กซ์ (Kart Marx) ผู้เป็นต้นตํารับของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมาร์กซ์ถือว่า “วิถีแห่งการผลิต” อันเป็น ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมีบทบาทหรือมีผลกระทบต่อเรื่องราวทางการเมือง การปกครอง และ วิถีชีวิตของผู้คนในสังคม ฯลฯ จนสามารถกล่าวได้ว่า “ความขาดแคลนหรือความยากจนทําให้ลัทธิการเมืองหนึ่ง (คอมมิวนิสต์) แพร่หลาย”

119 การส่งราชทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) กรุงสุโขทัย

(2) กรุงศรีอยุธยา

(3) สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของไทยในสมัยอยุธยาโดยทรงครองราชย์ในปี พ.ศ. 2199 – พ.ศ. 2231 หรือเมื่อประมาณ 330 – 362 ปีมาแล้ว พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถด้านการสงครามและการต่างประเทศมากโดยในปี พ.ศ. 2529 ด้มีการส่งราชทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส

120 NGO มีตัวย่อซึ่ง N หมายถึงอะไร

(1) Non

(2) Next

(3) Now

(4) Nano

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 248, 310, (คําบรรยาย) NGO ย่อมาจากคําว่า Non-Governmental Organization หมายถึง องค์กรอาสาสมัครของเอกชนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการค้ากําไร จัดตั้งขึ้นมาเพื่อการพัฒนา ด้านสังคม การรณรงค์ส่งเสริมเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ ในสังคม

POL2300 การบริหารรัฐกิจเบื้องต้น 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL2300 การบริหารรัฐกิจเบื้องต้น

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

ตั้งแต่ข้อ 1. – 3. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Regulative Policy

(2) Distributive Policy

(3) Re-Distributive Policy

(4) Capitalization Policy

(5) Ethical Policy

 

1 โครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เป็นนโยบายประเภทใด

ตอบ 5 หน้า 76 นโยบายเพื่อจริยธรรม (Ethical Policy) เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ไม่มีการบังคับให้ปฏิบัติตาม เพียงแต่สนับสนุนหรือส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้สึกสํานึก มีจิตสํานึกในทางที่ถูกต้อง เช่น โครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ลดละเลิกอบายมุข เป็นต้น

2 นโยบายปฏิรูปที่ดิน เป็นนโยบายประเภทใด

ตอบ 3 หน้า 76 นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม (Re-Distributive Policy) เป็นนโยบายที่กําหนดขึ้นเพื่อประชาชนบางอาชีพ ผู้ประกอบการบางสาขาการผลิต พื้นที่บางพื้นที่ ตามความจําเป็น หรือนโยบายเพื่อดึงทรัพยากรจากประชาชนกลุ่มหนึ่งไปเป็นประโยชน์ให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ด้อยโอกาส เช่น นโยบายภาษี นโยบายปฏิรูปที่ดิน เป็นต้น

3 การสร้างโรงพยาบาลให้ครบทุกอําเภอ เป็นนโยบายประเภทใด

ตอบ 2 หน้า 76 นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy) เป็นนโยบายที่กําหนดขึ้นเพื่อให้ประชาชนทั่วไปโดยส่วนรวมมีโอกาสได้รับบริการสาธารณะที่เป็นของรัฐบาลอย่างทั่วถึงและพอเพียง เช่น การสร้างโรงพยาบาลประจําอําเภอ เป็นต้น

 

ตั้งแต่ข้อ 4. – 6. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) การก่อตัวของนโยบาย

(2) การเตรียมและเสนอนโยบาย

(3) การอนุมัติและประกาศนโยบาย

(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ

(5) การประเมินนโยบาย

 

4 การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา อยู่ในขั้นตอนใด

ตอบ 1 หน้า 87 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย

1 การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน

2 การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา

3 ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ

4 การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา

5 การตีความหรือแปลงนโยบาย อยู่ในขั้นตอนใด

ตอบ 4 หน้า 89 ขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ประกอบด้วย

1 การส่งต่อนโยบาย

2 การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ

3 การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย

4 การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ

5 การจัดระบบสนับสนุน

6 การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

6 การกําหนดเกณฑ์วัด อยู่ในขั้นตอนใด ๆ

ตอบ 5 หน้า 90 ขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) ประกอบด้วย

1 การกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน

2 การกําหนดเกณฑ์วัด และวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน

3 การกําหนดวิธีการรวบรวมข้อมูล และวิธีการรายงาน

4 การนําผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง

7 การปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน เพื่อนําไปสู่การลดหนี้ อยู่ในนโยบายเรื่องใด

(1) นโยบายด้านสาธารณสุข

(2) นโยบายสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

(3) นโยบายแรงงาน

(4) นโยบายการศึกษา

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 95 – 96 ตัวอย่างนโยบายสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความยากจน การปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมในกลุ่มผู้สูงอายุ การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างชายหญิง เป็นต้น

8 การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการนักกีฬา อยู่ในนโยบายด้านใด

(1) นโยบายด้านสาธารณสุข

(2) นโยบายสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

(3) นโยบายแรงงาน

(4) นโยบายการศึกษา

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 97 ตัวอย่างนโยบายการกีฬาและนันทนาการ ได้แก่ เสริมสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มออกกําลังกายและเล่นกีฬา พัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศ ส่งเสริมกีฬาไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางปรับปรุงระบบบริหารจัดการด้านการกีฬา ปรับปรุงกฎหมายการกีฬาและที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

 

ตั้งแต่ข้อ 9 – 12 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Hardware

(2) Software

(3) E-Government

(4) Telecommunication

(5) Information Technology

 

9 เครื่องคอมพิวเตอร์ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 1 หน้า 297 – 301 ระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยส่วนสําคัญ 3 ส่วน คือ

1 เครื่องจักร (Hardware) คือ ส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ ที่สามารถแตะต้องหรือสัมผัสได้ เช่น หน้าจอหรือจอภาพ แป้นพิมพ์ เม้าส์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

2 โปรแกรมหรือคําสั่งงาน (Software) คือ ชุดของคําสั่งงานที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเพื่อควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 บุคลากร (Peopleware/Brainware/Personnel) คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรมต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล เป็นต้น

10 หน่วยงานภาครัฐนําเอาเรื่องใดมาใช้เพื่อปรับกระบวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพสูง

ตอบ 3 หน้า 305, (คําบรรยาย) รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) คือ การนําเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการและ ระบบการให้บริการให้มีประสิทธิภาพ สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วและสะดวกขึ้น เช่น การใช้บัตรประจําตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดในการติดต่อราชการ การชําระภาษี การเสียค่าปรับ การร้องเรียน การทําหนังสือเดินทางผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

11 การใช้บัตรประจําตัวประชาชนเพียงใบเดียวเพื่อเข้าไปติดต่อระบบราชการในเรื่องต่าง ๆ และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ถือว่าเป็นระบบใด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 10 ประกอบ

12 ข้อใดคือคําสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร์

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9 ประกอบ

13 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับแผนยุทธศาสตร์ ICT แห่งชาติ

(1) E-Commerce

(2) E-Government

(3) E-Service

(4) E-Education

(5) E-Industry

ตอบ 3 หน้า 305 306 ตามแผนยุทธศาสตร์ ICT แห่งชาติ จะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศใน 5 ด้าน ดังนี้

1 พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)

2 รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government)

3 การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Education)

4 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (E-Industry)

5 สังคมอิเล็กทรอนิกส์ (E-Society)

 

14 อาจารย์มาสอนถึงบ้านโดยผ่านเครือข่าย Internet และนักเรียนสามารถตอบโต้อาจารย์ได้เหมือนอยู่ใน ห้องเรียนจริง เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) E-Commerce

(2) E-Government

(3) E-Service

(4) E-Education

(5) E-Industry

ตอบ 4 หน้า 306, (คําบรรยาย) การศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Education) คือ การนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษา ผ่านทางไกลโดยไม่จําเป็นต้องเดินทางมาศึกษาในส่วนกลางได้ เช่น การเรียนผ่านระบบ Online ของมหาวิทยาลัย การสอบผ่านระบบ E-Testing ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นต้น

15 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ E-Government

(1) G2C

(2) G2B

(3) G2G

(4) G2E

(5) G2F

ตอบ 4 หน้า 308 309 การให้บริการของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1 G2C (Government to Citizen) คือ การให้บริการของภาครัฐสู่ประชาชนโดยตรง

2 G2B (Government to Business) คือ การให้บริการของภาครัฐต่อภาคธุรกิจเอกชน

3 G2G (Government to Government) คือ การให้บริการระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ

4 G2F (Government to Officer) คือ การให้บริการของภาครัฐต่อข้าราชการและพนักงานของภาครัฐ

16 ข้อใดไม่ใช่ตัวชี้วัดความก้าวหน้าของโครงการ E-Government

(1) Information

(2) Interaction

(3) Intervening

(4) Integration

(5) Intelligence

ตอบ 3 หน้า 309 – 310, 319 ตัวชี้วัดความก้าวหน้าของโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) มี 5 ระดับ ดังนี้

1 การให้ข้อมูล (Information)

2 การโต้ตอบ (Interaction)

3 การทําธุรกรรม (Interchange Transaction)

4 การบูรณาการ (Integration)

5 ระดับอัจฉริยะ (Intelligence)

 

ตั้งแต่ข้อ 17. – 21. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Alexander Hamilton

(2) Thomas Jefferson

(3) Leonard D. White

(4) Woodrow Wilson

(5) Owen E. Hughes

 

17 ใครคือผู้เสนอ Public Management

ตอบ 5 หน้า 329 – 330 Owen E. Hughes เป็นผู้เสนอแนวคิดการจัดการภาครัฐ (Public Management) โดยอธิบายว่า การจัดการภาครัฐแตกต่างจากการบริหารรัฐกิจ (Public Administration) และไม่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยการจัดการภาครัฐเกี่ยวข้องกับ ยุทธศาสตร์ สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ พันธกิจ และเป้าหมายขององค์การ ดังนั้น การจัดการภาครัฐจึงเป็นเรื่องที่กว้างกว่าการบริหารงานภายในองค์การ ซึ่งจุดมุ่งหมาย ของการจัดการภาครัฐจะเน้นที่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ การปรับปรุงทักษะ และการปรับปรุงความรับผิดหรือการให้ตรวจสอบได้

18 ใครเน้นคุณค่ากับการมีรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งโดยให้อํานาจอย่างมากกับฝ่ายบริหาร

ตอบ 1 หน้า 326 Alexander Hamilton เป็นผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารรัฐกิจไว้ในหนังสือ The Federalist Papers ซึ่งเขาเน้นถึงคุณค่ากับการมีรัฐบาลแห่งชาติที่เข้มแข็งโดยให้อํานาจอย่างมากกับฝ่ายบริหาร

19 ใครเน้นว่ารัฐบาลต้องกระจายอํานาจให้แก่ประชาชนเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมกับการบริหารภาครัฐ

ตอบ 2 หน้า 326 – 327 Thomas Jefferson ได้ให้ความสําคัญกับประชาธิปไตย (Democracy) โดยต้องการให้รัฐบาลกระจายอํานาจให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารภาครัฐและต้องการจํากัดอํานาจของฝ่ายบริหารโดยอาศัยกฎหมายและรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด

20 ใครสนับสนุนให้มีโครงสร้างระบบราชการแบบรวมศูนย์อํานาจ

ตอบ 4 หน้า 327 Woodrow Wilson สนับสนุนให้มีโครงสร้างระบบราชการแบบรวมศูนย์อํานาจเพื่อให้สามารถจับตาได้ง่ายอันจะทําให้เกิดความไว้วางใจได้ และประกันความมีประสิทธิภาพ

21 ใครอธิบายจุดยืนของกลุ่ม Federalists วาพวกชนชั้นนําไม่ไว้ใจประชาชน เพราะนโยบายที่ดีต้องมาจากคนที่มีการศึกษาดี

ตอบ 3 หน้า 326 Leonard D. White อธิบายจุดยืนของกลุ่ม Federalists ว่าเป็นพวกชนชั้นนําที่ไม่ไว้ใจประชาชน เพราะเชื่อว่านโยบายที่ดีจะมาจากคนที่มีการศึกษาดี ได้รับการอบรมมาดีและมีประสบการณ์อย่างกว้างขวางอย่างเช่นพวกคนชั้นสูงเท่านั้น

22 เรื่องใดที่การจัดการภาครัฐแนวใหม่ไม่สนใจ

(1) ประสิทธิภาพ

(2) ความเสมอภาค

(3) การตรวจสอบ

(4) การบรรลุเป้าหมาย

(5) เทคนิคและการจัดการ

ตอบ 2 หน้า 329 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ จะให้ความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1 ประสิทธิภาพ

2 การตรวจสอบ

3 การบรรลุเป้าหมาย

4 เทคนิคและการจัดการ

23 ข้อใดเป็นแนวคิดของ Owen E. Hughes

(1) การจัดการภาครัฐเป็นเรื่องที่กว้างกว่าการบริหารงานภายในองค์การ

(2) จุดมุ่งหมายของการจัดการภาครัฐคือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์

(3) การจัดการภาครัฐเน้นคุณค่าการกระจายอํานาจสู่ประชาชน

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17 ประกอบ

24 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่เป็นแนวทางหลักในการปฏิรูปการบริหารภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มที่ประเทศใด

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) อังกฤษ

(3) ญี่ปุ่น

(4) จีน

(5) นิวซีแลนด์

ตอบ 2 หน้า 330 331, 356, 360 361 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ได้รับอิทธิพลแนวคิดเชิงอุดมการณ์มาจากแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) โดยแนวคิดการจัดการ ภาครัฐแนวใหม่ถือเป็นแนวคิดหลักที่ใช้ในการปฏิรูปการบริหารภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศแรกที่ริเริ่มนําแนวคิดนี้มาใช้ คือ ประเทศอังกฤษ (England) ในสมัยนางมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ (Margaret Thatcher) เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาแนวคิดนี้ก็ได้ถูกนําไปใช้ในการปฏิรูปการบริหารภาครัฐในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย

25 อุดมการณ์การจัดการนิยม (Managerialism) เกี่ยวข้องกับความคิดของใคร

(1) Alexander Hamilton

(2) Thomas Jefferson

(3) Christopher Pollitt

(4) Woodrow Wilson

(5) Owen E. Hughes

ตอบ 3 หน้า 336 Christopher Pollitt เป็นผู้เสนอความเชื่อหลัก 5 ประการของอุดมการณ์ การจัดการนิยม (Managerialism) ไว้ดังนี้

1 สังคมจะก้าวหน้าได้ต่อเมื่อมีการเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

2 การเพิ่มผลิตภาพจะต้องเกิดจากการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

3 การนําเทคโนโลยีมาใช้ให้บรรลุผลต้องเกิดจากบุคลากรที่มีอุดมการณ์ในการเพิ่มผลิตภาพ

4 การจัดการเป็นหน้าที่หนึ่งในองค์การที่แยกออกจากหน้าที่อื่น ๆ

5 ผู้จัดการจะต้องมีอํานาจและสิทธิในการจัดการ

 

ตั้งแต่ข้อ 26. – 28, “จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) กรุงศรีอยุธยา

(2) รัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์

(3) รัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์

(4) รัชกาลที่ 5 กรุงรัตนโกสินทร์

(5) รัชกาลที่ 6 กรุงรัตนโกสินทร์

 

26 การจัดตั้งศาลประเภทต่าง ๆ มีขึ้นในสมัยใด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประเทศไทยมีการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลไทยครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยได้จัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อรวบรวมศาลที่กระจัดกระจายตามกระทรวงต่าง ๆ เข้ามาไว้ในกระทรวงยุติธรรมและจัดวางรูปแบบศาลและกําหนดวิธีการพิจารณาคดีขึ้นใหม่

27 การนําระบบศาลมาไว้ภายใต้กระทรวงยุติธรรม มีขึ้นในสมัยใด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 26 ประกอบ

28 การแยกหน้าที่ราชการกระทรวงยุติธรรมออกเป็นฝ่ายธุรการส่วนหนึ่ง ฝ่ายตุลาการส่วนหนึ่ง มีขึ้นในสมัยใด

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ได้มีประกาศจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรมขึ้นใหม่ โดยแยกหน้าที่ราชการกระทรวงยุติธรรมเป็น ธุรการส่วนหนึ่ง และฝ่ายตุลาการอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างเรียบร้อย

29 การระงับข้อพิพาทโดยไม่ใช้ศาลเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) กระบวนการยุติธรรม

(2) ยุติธรรมทางเลือก

(3) กฎหมายอาญา

(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 (คําบรรยาย) กระบวนการยุติธรรม แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังนี้

1 กระบวนการยุติธรรมหลัก เป็นการใช้กระบวนการระงับข้อพิพาททางศาลเป็นหลัก

2 กระบวนการยุติธรรมทางเลือก เป็นการหันเหข้อพิพาทให้ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ เช่น การไกล่เกลี่ยและระงับข้อพิพาท ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ การพักการลงโทษเป็นต้น

30 “สภาพแวดล้อมที่…การติดต่อระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมมีน้อยมาก มีลักษณะไม่คงที่แน่นอน…” ที่กล่าวมาเป็นสภาพแวดล้อมแบบใด

(1) Turbulent Field

(2) Disturbed Reaction Environment

(3) Placid Clustered Environment

(4) Placid Randomized Environment

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 257 Placid Randomized Environment หมายถึง สภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบการติดต่อระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมมีน้อยมาก มีลักษณะไม่คงที่แน่นอน และถือเป็น การสุ่ม (Randomized) มากกว่า เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาที่ร่อนเร่และสภาพแวดล้อมของทารกในครรภ์ ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสติดต่อกับสังคมภายนอก

31 สภาพแวดล้อมเฉพาะ ได้แก่

(1) ทรัพยากรที่หน่วยงานต้องใช้

(2) การศึกษาของประชาชน

(3) ประเพณี

(4) อัตราเงินเฟ้อ

(5) การเมือง

ตอบ 1 หน้า 260 – 280, (คําบรรยาย) สภาพแวดล้อมขององค์การบริหารภาครัฐเป็นสิ่งที่ควบคุมได้น้อยมากและมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 สภาพแวดล้อมทั่วไปหรือสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ เป็นสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการบริหารขององค์การของรัฐทุก ๆ องค์การ ได้แก่ การศึกษา ชนชั้นทางสังคม วัฒนธรรมประเพณี ค่านิยมของประชาชน เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี กฎหมาย และทรัพยากรธรรมชาติ

2 สภาพแวดล้อมเฉพาะหรือสภาพแวดล้อมภายในองค์การ เป็นสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารขององค์การ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่จําเป็นในการดําเนินงาน สําหรับองค์การหนึ่ง ๆ แต่อาจจะไม่มีความจําเป็นสําหรับองค์การอื่น ๆ เลยก็ได้ เช่น ลูกค้า ผู้รับบริการ คู่แข่งขัน แรงงาน/บุคลากร วัตถุดิบ กฎระเบียบขององค์การ เทคโนโลยีการบริหารความรู้และข้อมูล ทรัพยากรที่หน่วยงานต้องใช้ เป็นต้น

32 ข้อใดเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วเกิดขึ้นทดแทนให้คงอยู่ได้ในระยะยาว

(1) ป่าไม้

(2) ก๊าซธรรมชาติ

(3) แร่ธาตุ

(4) อากาศ

(5) แสงอาทิตย์

ตอบ 1 หน้า 274 275 ทรัพยากรธรรมชาติ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

1 ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น (Non-Exhausting Natural Resources) เช่น แสงอาทิตย์ อากาศ ดิน น้ำ เป็นต้น

2 ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป (Exhausting Natural Resources) เช่น แร่ธาตุ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านลิกไนต์ เป็นต้น

3 ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วเกิดขึ้นทดแทนหรือรักษาให้คงอยู่ได้ (Renewable Natural Resources) เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า พืชพรรณ กําลังงานของมนุษย์ เป็นต้น

33 “การแห่นางแมว” จัดเป็นประเพณีประเภทใด

(1) จารีตประเพณี

(2) กฎศีลธรรม

(3) ขนบประเพณี

(4) ธรรมเนียมประเพณี

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 3 หน้า 268 269 ประเพณี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 จารีตประเพณีหรือกฎศีลธรรม เป็นประเพณีที่มีศีลธรรมเข้ามาร่วมด้วย เช่น การสมรสแบบตัวเดียวเมียเดียว เป็นต้น

2 ขนบประเพณี เป็นประเพณีที่มีการกําหนดระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติ เช่น การไหว้ครู การแห่นางแมว การจุดบ้องไฟของภาคอีสาน เป็นต้น

3 ธรรมเนียมประเพณี เป็นประเพณีเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาหรือเป็นบรรทัดฐานที่ปฏิบัติจนเป็นประเพณี เช่น การสวมรองเท้า การดื่มน้ําจากแก้ว การทักทายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ฝรั่งจับมือ จีนและญี่ปุ่นโค้งคํานับ คนไทยไหว้ เป็นต้น

34 “การสมรสแบบผัวเดียวเมียเดียว” จัดเป็นประเพณีประเภทใด

(1) จารีตประเพณี

(2) กฎศีลธรรม

(3) ขนบประเพณี

(4) ธรรมเนียมประเพณี

(5) ทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 33 ประกอบ

35 “การบริหารงานสาธารณะไม่สามารถดําเนินอยู่ได้ในสุญญากาศ” ใครเป็นผู้กล่าว

(1) Stephen P. Robbins

(2) Dwight Waldo

(3) Fred W. Riggs

(4) Richard L. Daft

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 255 Dwight \Waldo กล่าวว่า “การบริหารงานสาธารณะไม่สามารถดําเนินอยู่ได้ในสุญญากาศจําเป็นต้องเกี่ยวพันติดต่อกับกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ”

36 ใครพิจารณาสภาพแวดล้อมขององค์การเป็น 10 ส่วน ถือเป็น Task Environment ขององค์การเอกชน

(1) Stephen P. Robbins

(2) Dwight Waldo

(3) Fred W. Riggs

(4) Richard L. Daft

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 255 256 Richard L. Daft พิจารณาสภาพแวดล้อมขององค์การว่าประกอบด้วยปัจจัยหรือส่วนต่าง ๆ 10 ส่วน ดังนี้

1 ปัจจัยด้านอุตสาหกรรม

2 ปัจจัยด้านการผลิต

3 ปัจจัยด้านทรัพยากรมนุษย์

4 ปัจจัยด้านการเงิน

5 ปัจจัยด้านการตลาด

6 ปัจจัยด้านเทคโนโลยี

7 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ

8 ปัจจัยด้านการควบคุม

9 ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม

10 ปัจจัยจากต่างประเทศ

37 หน่วยงานกลางที่ทําหน้าที่ควบคุม “มาตรฐานการบริหารงานบุคคลของรัฐ”

(1) สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

(2) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

(3) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน

(4) สํานักงบประมาณ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 159, (คําบรรยาย) สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สํานักงาน ก.พ.) เป็นองค์การกลางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในราชการพลเรือน โดยทําหน้าที่ควบคุมมาตรฐาน การบริหารงานบุคคลของรัฐให้มีคุณภาพชีวิตและการทํางานที่ดี และพัฒนาระบบการบริหาร กําลังคนในราชการให้เป็นกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

38 ข้อใดจัดเป็น “วัฒนธรรม”

(1) ศีลธรรม

(2) กฎหมาย

(3) ประเพณี

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 266, (คําบรรยาย) วัฒนธรรม เป็นส่วนทั้งหมดที่ซับซ้อนประกอบด้วยความรู้ ความเชื่อ ศิลปะ ศีลธรรม กฎหมาย จารีตประเพณี ความสามารถอื่น ๆ ที่มนุษย์ได้มาในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม รวมทั้งเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

39 หน่วยงานที่มีการบริหารงานเป็นอิสระจากระบบบริหารราชการส่วนกลาง

(1) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น

(2) รัฐวิสาหกิจ

(3) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นการบริหารงานที่เป็นอิสระจากระบบบริหารราชการส่วนกลาง ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 5 รูปแบบ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร

40 “กลไกภายใน” ที่ใช้ในการควบคุม ได้แก่

(1) แผนดําเนินงานขององค์การ

(2) กฎ ระเบียบของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

(3) การตรวจสอบโดยผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 181 182 กลไกการควบคุมภายในหน่วยงานราชการ ประกอบด้วย นโยบาย แผนงานโครงการ วิธีปฏิบัติงาน คําสั่งและรายงาน ระบบการติดต่อสื่อสารและการประสานงาน คู่มือ กฎ ระเบียบ วินัยและบทลงโทษ ระบบการติดตามประเมินผล ความสามารถของผู้บริหาร/ผู้บังคับบัญชาและผู้ปฏิบัติงาน ระบบการประกันคุณภาพ เทคโนโลยีขององค์กร เป็นต้น

41 กลไกการควบคุมเพื่ออํานวยความยุติธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้แก่

(1) บทบาทของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(2) บทบาทของสํานักงบประมาณ

(3) บทบาทของกรมบัญชีกลาง

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 176, 185 – 190 กลไกการควบคุมเพื่ออํานวยความยุติธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมีดังนี้

1 แนวนโยบายแห่งรัฐในกฎหมายรัฐธรรมนูญ

2 บทบาทของคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

3 การตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎร

4 บทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา

5 บทบาทของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

6 บทบาทของศาลในกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ

42 ที่กล่าวว่า “ งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการควบคุม” เพราะว่า

(1) เป็นกฎหมายที่หน่วยราชการต้องปฏิบัติตาม

(2) เป็นการแสดงรายได้ของส่วนราชการ

(3) เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร

(4) ทั้งข้อ 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 184, 205 206, (คําบรรยาย) งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุม เนื่องจาก

1 งบประมาณเป็นกฎหมาย และการใช้จ่ายเงินของรัฐหรือหน่วยราชการต้องมีกฎหมายรองรับและเป็นไปตามกฎหมายงบประมาณ

2 งบประมาณเป็นแผนการบริหารที่แสดงโครงการในการดําเนินงาน แสดงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ แสดงจํานวนเงินที่ต้องการใช้ ตลอดจนแสดงจํานวนบุคลากรและทรัพยากรในการสนับสนุนการดําเนินงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ

3 งบประมาณเป็นทรัพยากรในการบริหาร ซึ่งจะต้องมีการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

4 งบประมาณเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากร

43 แนวคิดในการควบคุมต่อไปนี้แบบใดเกิดก่อนแบบอื่น ๆ

(1) การควบคุมผลลัพธ์

(2) การควบคุมด้านนโยบาย

(3) การควบคุมด้านผลผลิต

(4) การใช้ผู้บริโภคในการควบคุม

(5) การใช้กฎหมายเป็นตัวควบคุม

ตอบ 5 หน้า 177, 205 206 (คําบรรยาย) แนวคิดในการควบคุมตรวจสอบ แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ

ยุคที่ 1 ให้ความสําคัญกับการควบคุมปัจจัยนําเข้า โดยพิจารณาที่ความถูกต้องของการจัดสรรทรัพยากรขององค์การให้ตรงตามมาตรฐานและกฎระเบียบที่กําหนด

ยุคที่ 2 ให้ความสําคัญกับการควบคุมกระบวนการทํางาน โดยพิจารณาความสําเร็จไปที่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทํางาน

ยุคที่ 3 (ยุคปัจจุบัน) ใช้วิธีการตามยุคที่ 1 และ 2 และให้ความสําคัญกับการควบคุมขลผลิตและผลลัพธ์ รวมทั้งให้ผู้บริโภคได้เข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมตรวจสอบ

44 องค์กรใดทําหน้าที่ “รับเรื่องราวร้องทุกข์” จากการกระทําของรัฐบาล

(1) ผู้ตรวจการแผ่นดิน

(2) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

(3) ศาลปกครอง

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 189, 206 ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา เป็นองค์การที่ทําหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์โดยพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคําร้องเรียนในกรณีที่ภาครัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนืออํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม

45 ข้อใดเป็น “การตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ”

(1) การกําหนดให้ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน

(2) การให้มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

(3) การตรวจสอบบัญชีหน่วยงานภาครัฐ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 186 รัฐธรรมนูญได้วางแนวทางการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ ด้วยการกําหนดให้ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งยังกําหนดให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีอํานาจพิจารณาพิพากษานักการเมืองที่กระทําผิดและผู้เกี่ยวข้องด้วย

46 “นโยบายการบริหารจัดการ” ที่มีผลต่อการควบคุม

(1) การเลือกระบบงบประมาณ

(2) การพัฒนาบุคลากร

(3) บทบาทของรัฐสภา

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 184 185, (คําบรรยาย) นโยบายการบริหารจัดการภาครัฐที่มีผลต่อการควบคุมตรวจสอบมีดังนี้

1 การพัฒนาระบบงบประมาณ

2 การพัฒนาบุคลากร

3 การจัดวางระบบการติดตามประเมินผล

4 ระบบประกันคุณภาพขององค์การ

47 “วัฒนธรรมองค์การ” มีผลต่อการควบคุมอย่างไร

(1) เป็นกลไกภายนอกที่กํากับการทํางานขององค์การ

(2) เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตในองค์การ

(3) เป็นวิธีปฏิบัติงานขององค์การ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 202 วัฒนธรรมองค์การ คือ สภาพทางสังคมภายในองค์การที่เกิดจากการใช้ชีวิตร่วมกันภายในองค์การทําให้เกิดแบบแผนการใช้ชีวิต เช่น งานอดิเรก พฤติกรรมการบริโภค กลุ่มเพื่อนการพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

48 ปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อการกําหนดโครงสร้าง และกฎ ระเบียบในการควบคุมการทํางาน

(1) วิธีปฏิบัติงาน

(2) งบประมาณ

(3) การประสานงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 1 (คําบรรยาย) วิธีปฏิบัติงาน เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อการกําหนดโครงสร้าง และกฎ ระเบียบในการควบคุมการทํางาน ทําให้การปฏิบัติงานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเกิดการปฏิบัติงานด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

49 ข้อใดเป็นการควบคุมโดย “รัฐสภา”

(1) บทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดิน

(2) บทบาทของศาลปกครอง

(3) การออกกฎหมาย

(4) การตรวจเงินแผ่นดิน

(5) ทั้งข้อ 1 และ 4

ตอบ 3 หน้า 187 188 การควบคุมตรวจสอบโดย “รัฐสภา” ได้แก่

1 การพิจารณาออกกฎหมายประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการดําเนินงานตามที่กําหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ

2 การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจําปีของส่วนราชการต่าง ๆ ตามวิธีการที่กฎหมายกําหนด

3 การตั้งกระทู้และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

4 การตั้งคณะกรรมาธิการติดตามการปฏิบัติงาน

50 ขั้นตอนสุดท้ายของการควบคุม ได้แก่

(1) การเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐาน

(2) การปรับปรุงให้สอดคล้องกับเป้าหมาย

(3) การกําหนดวิธีการในการวัดความสําเร็จ

(4) การกําหนดมาตรฐานในการทํางาน

(5) การรับเรื่องราวร้องทุกข์

ตอบ 2 หน้า 181 กระบวนการในการควบคุมตรวจสอบ มี 4 ขั้นตอน คือ

1 การกําหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดําเนินงาน

2 การกําหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสําเร็จของงาน

3 การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่ได้ตั้งเอาไว้

4 การดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้

51 ข้อใดจัดเป็นระบบการประกันคุณภาพขององค์การ

(1) มาตรฐาน ISO

(2) เกณฑ์ที่ ก.พ.ร. กําหนด

(3) มาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้าง

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 202 ระบบการประกันคุณภาพขององค์การ เกิดจากแนวคิดในการพัฒนาองค์การที่ให้ความสําคัญต่อลูกค้าขององค์การ การคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค การบริหารจัดการ ที่เป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ การคํานึงถึงความเป็นสถาบันขององค์การในระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทําให้องค์การมีการจัดตั้งฝ่ายประกันคุณภาพขึ้นเป็นแผนกหนึ่งขององค์การ และมีการนําระบบการประกันคุณภาพเข้ามาใช้ เช่น มาตรฐาน ISO มาตรฐาน HA (กรณี โรงพยาบาล) มาตรฐาน สมศ. (กรณีสถาบันการศึกษา) นอกจากนี้องค์การของรัฐทั้งหลาย ยังต้องรับข้อกําหนดต่าง ๆ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) นําเสนอรวมถึงข้อกําหนดตามกฎหมาย เช่น พ.ร.บ. การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

52 ข้อใดเป็นคุณสมบัติของ “คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน”

(1) เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

(2) เป็นต้นเรื่องในการตรวจสอบคดีทุจริต

(3) ทําหน้าที่เบิกจ่ายเงินให้กับส่วนราชการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 186, 206 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามคําแนะนําของวุฒิสภา ทําหน้าที่ในการตรวจสอบบัญชี หน่วยงานภาครัฐ ติดตามประเมินผลการดําเนินงาน กํากับตรวจสอบการใช้จ่ายเงินตาม พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปี รวมทั้งเป็นต้นเรื่องในการตรวจสอบคดีทุจริตการใช้จ่ายเงิน

53 อัตราเงินเฟ้อ เป็นตัวชี้วัดหน้าที่ทางเศรษฐกิจของรัฐในเรื่อง

(1) Allocation Function

(2) Distribution Function

(3) Stabilization Function

(4) Management Function

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ตัวชี้วัดหน้าที่ทางเศรษฐกิจของรัฐ มีดังนี้

1 การจัดสรรทรัพยากร (Allocation Function) วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

2 การกระจายทรัพยากร (Distribution Function) วัดจากรายได้เปรียบเทียบอัตราการใช้จ่าย อัตราการออม

3 การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Stabilization Function) วัดจากอัตราเงินฝืดและอัตราเงินเฟ้อ

4 การบริหารจัดการ (Management Function) วัดจากประสิทธิภาพการผลิต

54 GDP เป็นตัวชี้วัดหน้าที่ทางเศรษฐกิจของรัฐในเรื่อง

(1) Allocation Function

(2) Distribution Function

(3) Stabilization Function

(4) Management Function

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 53 ประกอบ

55 “ตัวอย่างของภาษีที่เก็บจากเงินได้” (Income Base) ได้แก่

(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(2) ภาษีโรงเรือน

(3) ภาษีสุรา

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 217, (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะของฐานภาษีแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ภาษีที่เก็บจากเงินได้ (Income Base) เป็นการนําเอารายได้มาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล

2 ภาษีที่เก็บจากการใช้จ่าย (Consumption Base) เป็นการนําเอาค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการใช้จ่ายภาษีสรรพสามิต (เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ) ภาษีศุลกากร เป็นต้น

3 ภาษีที่เก็บจากทรัพย์สิน (Wealth Base) เป็นการนําเอาทรัพย์สินมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีมรดก ภาษีบํารุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน เป็นต้น

56 “ตัวอย่างของภาษีที่เก็บจากการช้จ่าย” (Consumption Base) ได้แก่

(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(2) ภาษีโรงเรือน

(3) ภาษีสุรา

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 55 ประกอบ

57 “การแบ่งรายจ่ายออกเป็นหมวดและมีการกําหนดรายการค่าใช้จ่าย” เป็นลักษณะของงบประมาณระบบใด

(1) Line-Item Budget

(2) Tradition Budget

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 228, 237 งบประมาณแบบแสดงรายการหรืองบประมาณแบบดั้งเดิม (Line-Item Budget or Tradition Budget) เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุมการใช้จ่ายหรือการใช้ ทรัพยากร การจัดเตรียมงบประมาณจึงมีลักษณะที่ค่อนข้างละเอียด โดยจะมีการแบ่งรายจ่าย ออกเป็นหมวดและมีการกําหนดรายการค่าใช้จ่าย จึงทําให้หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณไม่สามารถนําเงินงบประมาณไปใช้จ่ายในรายการอื่นได้

58 “การใช้โครงสร้างแผนึ่งานเป็นเครื่องมือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์…กับกิจกรรมที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์” เป็นลักษณะของระบบงบประมาณแบบใด

(1) Line-Item Budget

(2) Tradition Budget

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 230 231, 237 งบประมาณแบบแสดงแผนงาน (Planning or Programming Budget) เป็นระบบงบประมาณที่มีความมุ่งหมายที่จะให้มีการเชื่อมโยงการจัดสรรงบประมาณ เข้ากับระบบการวางแผน จึงมีการจัดทําแผนงาน (Programming) โดยใช้โครงสร้างแผนงาน เป็นเครื่องมือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะบรรลุในรอบปีงบประมาณ หนึ่ง ๆ กับกิจกรรมที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น ๆ เพื่อเป็นกรอบการตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณ

59 ภาษีทรัพย์สิน ได้แก่

(1) ภาษีศุลกากร

(2) ภาษีที่ดิน

(3) ภาษีเงินได้

(4) ภาษีสรรพากร

(5) ทั้งข้อ 1, 2, 3 และ 4

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 55 ประกอบ

60 ภาวะเงินฝืด คนว่างงาน รัฐบาลควรมีนโยบายงบประมาณและนโยบายการเงินอย่างไร

(1) เกินดุล ดอกเบี้ยสูง

(2) ขาดดุล ดอกเบี้ยต่ำ

(3) ขาดดุล ดอกเบี้ยสูง

(4) เกินดุล ดอกเบี้ยต่ำ

(5) สมดุล ดอกเบี้ยสูง

ตอบ 2 หน้า 236, (คําบรรยาย) งบประมาณขาดดุล (Deficit Budget) คือ การจัดทํางบประมาณที่รัฐบาลจัดเก็บรายได้น้อยกว่าการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้เงินในระบบเศรษฐกิจมีมากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการผลิตและการจ้างงาน ซึ่งการจัดทํางบประมาณขาดดุลนี้จะใช้ร่วมกับ นโยบายการเงินแบบดอกเบี้ยต่ําในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีภาวะการเงินผิดหรือตึงตัวและมีการจ้างงานน้อย

61 “การวิเคราะห์เฉพาะในส่วนที่เพิ่ม” เป็นข้อเสนอของใคร

(1) Richard L. Daft

(2) Fred W. Riggs

(3) Dwight Waldo

(4) Charles E. Linblom

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 238 Charles E. Linblom เป็นผู้เสนอแนวคิดเรื่องการวิเคราะห์เฉพาะในส่วนที่เพิ่ม (Incremental Model) โดยยึดถือแนวทางนโยบายเดิมในการจัดทํางบประมาณ และใช้การวิเคราะห์ในส่วนที่เพิ่มในการวิเคราะห์งบประมาณที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น

62 ใครเขียนหนังสือชื่อ “Public Budgeting System

(1) Lee and Johnson

(2) Fred W. Riggs

(3). Richard A. Musgrave

(4) Charles E. Linblom

(5) ไม่มีข้อใดถูก ตอบ 1 หน้า 238, 252 Robert D. Lee and Ronald w. Johnson เป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ“Public Budgeting System” โดยเชื่อว่า การตัดสินใจทางการเมืองจะเกี่ยวข้องกับหลักการที่ขัดกันของผลประโยชน์บนพื้นฐานของข้อมูลของแต่ละฝ่าย

63 “สภาพแวดล้อมที่ประกอบไปด้วยสถาบันทางสังคม การติดต่อระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมเริ่มมีความยุ่งยาก ผลการติดต่อทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพขึ้นได้ ” ที่กล่าวมาเป็น สภาพแวดล้อมแบบใด

(1) Turbulent Field

(2) Disturbed-Reactive Environment

(3) Placid Clustered Environment

(4) Placid Randomized Environment

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 258 Disturbed-Reactive Environment ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่ประกอบไปด้วยสถาบันทางสังคม การติดต่อระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมเริ่มมีความยุ่งยาก ซับซ้อน ยุ่งเหยิง ผลของการติดต่อทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อม ของเด็กวัยรุ่นที่เริ่มเผชิญกับสังคมภายนอก เริ่มประสบปัญหาในการแยกแยะความเหมาะสมของการเข้าไปสัมผัส

64 ข้อใดไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมทางเลือก

(1) การระงับข้อพิพาท

(2) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท

(3) การพักการลงโทษ

(4) ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์

(5) เป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 29 ประกอบ

65 บุคคลใดที่นําแนวคิดเรื่อง พาราไดม์ (Paradigm) มาศึกษาอย่างจริงจังและจัดแบ่งเป็นยุคต่าง ๆ

(1) Robert T. Golembiewski

(2) Thomas S. Kuhn

(3) Lawrence C. Mayer

(4) Woodrow Wilson

(5) Nicholas Henry

ตอบ 5 หน้า 46 – 58, (คําบรรยาย) Nicholas Henry เป็นผู้ที่นําแนวคิดเกี่ยวกับพาราไดม์ (Paradigm)มาใช้ในการศึกษาพัฒนาการของวิชาการบริหารรัฐกิจ โดยให้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ว่า พัฒนาการของวิชาการบริหารรัฐกิจนับตั้งแต่ทศวรรษ 1900 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน (1970 – ?) นั้น อาจจําแนกพาราไดม์ของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจออกได้เป็น 5 พาราไดม์ที่คาบเกี่ยวกัน ดังนี้

พาราไดม์ที่ 1 : การบริหารรัฐกิจคือการแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน

พาราไดม์ที่ 2 : การบริหารรัฐกิจคือหลักของการบริหาร พาราไดม์ที่ 3: การบริหารรัฐกิจคือรัฐศาสตร์

พาราไดม์ที่ 4 : การบริหารรัฐกิจคือวิทยาการบริหาร

พาราไดม์ที่ 5 : การบริหารรัฐกิจคือการบริหารรัฐกิจ

66 บุคคลใดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาพาราไดม์ (Paradigm)

(1) Robert T. Golembiewski

(2) Thomas S. Kuhn

(3) Lawrence C. Mayer

(4) Woodrow Wilson

(5) Martin Landau

ตอบ 2 หน้า 43 – 44, 64 – 65 Thomas S. Kuhn เป็นปรมาจารย์ผู้ริเริ่มเผยแพร่แนวความคิดเกี่ยวกับพาราไดม์ (Paradigm) จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งพาราไดม์” เขาได้อธิบายไว้ว่า พาราไดม์ หมายถึง ผลสําเร็จในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วยคุณสมบัติสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นสิ่งใหม่ที่สามารถจูงใจกลุ่มผู้เกี่ยวข้องให้หันเหจากกิจกรรมในเชิงวิทยาศาสตร์อื่น ๆที่มีลักษณะแข่งขันกัน โดยหันมายอมรับร่วมกันว่าผลสําเร็จในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นพื้นฐานสําหรับการปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

2 เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้เกี่ยวข้องรุ่นใหม่ ๆ ได้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ กันต่อไป

67 บุคคลใดที่กล่าวว่าพาราไดส์ (Paradigm) ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ข้อ

(1) Robert T. Golembiewski

(2) Thomas S. Kuhn

(3) Lawrence C. Mayer.

(4) Martin Landau

(5) Robert T. Holt and John M. Richardson

ตอบ 5 หน้า 44 – 45, 64 – 65 Robet T. Holt และ John M. Richardson กล่าวว่าพาราไดม์ (Paradigm) ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ 5 ประการ คือ

1 แนวความคิด

2 ทฤษฎี

3 กฎของการแปลความหมาย

4 ปัญหา

5 การชี้แนะสิ่งที่มีอยู่หรือน่าจะมีอยู่จริง

68 ในองค์ประกอบ 5 ข้อของแนวคิดเรื่องพาราไดม์ (Paradigm) ในข้อที่ 3 ดังกล่าวข้างต้นมีข้อใดต่อไปนี้ ที่ไม่ใช่องค์ประกอบของพาราไดม์

(1) แนวความคิด ทฤษฎี

(2) กฎของการแปลความหมาย

(3) ปัญหา

(4) การชี้แนะสิ่งที่มีอยู่หรือน่าจะมีอยู่จริง

(5) การศึกษาค้นคว้าแบบเป็นขั้นเป็นตอน

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 67 ประกอบ

69 บุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชาการบริหารรัฐกิจ (Public Administration) คือ

(1) Nicholas Henry

(2) Woodrow Wilson

(3) Thomas S. Kuhn

(4) Martin Landau

(5) Lawrence C. Mayer

ตอบ 2 หน้า 31, 46, 64 – 65, (คําบรรยาย) Woodrow Wilson บิดาของวิชาการบริหารรัฐกิจเป็นผู้ให้กําเนิดคําว่า “Public Administration” และเป็น “ต้นกําเนิดของแนวความคิด เกี่ยวกับเรื่องการแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน” ได้เขียนบทความเรื่อง “The Study of Administration” (1887) และเสนอความเห็นว่า การบริหารรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งบทความดังกล่าวยังได้รับการยอมรับจากนักวิชาการว่าเป็น “สูติบัตร” ของวิชาการบริหารรัฐกิจอีกด้วย

70 Nicholas Henry ได้ศึกษาแนวคิดเรื่องพาราไดม์ (Paradigm) ของวิชาการบริหารรัฐกิจ และได้แบ่งการศึกษาเรื่องพาราไดม์ออกเป็น

(1) 3 ยุค 4 พาราไดม์

(2) 3 ยุค 5 พาราไดม์

(3) 4 ยุค 5 พาราไดม์

(4) 4 พาราไดม์

(5) 5 พาราไดม์

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 65 ประกอบ

71 บุคคลใดที่ได้เป็นผู้ริเริ่มการศึกษาวิชาการบริหารรัฐกิจจนเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา

(1) Nicholas Henry

(2) Woodrow Wilson

(3) Thomas S. Kuhn

(4) Martin Landau

(5) Lawrence C. Mayer

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

72 บทความทางบริหารรัฐกิจเรื่อง The Study of Administration เขียนโดย

(1) Woodrow Wilson

(2) Nicholas Henry

(3) Thomas S. Kuhn

(4) Lawrence C. Mayer

(5) Martin Landau

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

73 ใครเป็นผู้เสนอว่า การแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน

(1) Nicholas Henry

(2) Woodrow Wilson

(3) Thomas S. Kuhn

(4) Robert T. Golembiewski

(5) Lawrence C. Mayer

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

74 บุคคลใดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เขียนตําราเรียนเล่มแรกของวิชาการบริหารรัฐกิจ

(1) Woodrow Wilson

(2) Thomas S. Kuhn

(3) Frank J. Goodnow

(4) Leonard D. White

(5) Lawrence C. Mayer

ตอบ 4 หน้า 47, 65 Leonard D. White ได้เขียนหนังสือชื่อ “Introduction to the Study of Public Administration” (1926) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นตําราเรียนที่สมบูรณ์เล่มแรกของ สาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ โดยเขาเสนอความเห็นว่า การเมืองไม่ควรจะเข้ามาแทรกแซงการบริหาร เพราะการบริหารได้นําตัวเองไปสู่การศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ และวิชาการบริหารรัฐกิจสามารถจะก้าวไปสู่ความเป็นศาสตร์ที่ปลอดจากค่านิยมได้ด้วยความถูกต้องชอบธรรมของตนเอง

75 พาราไดม์ (Paradigm) ที่เท่าใดของวิชาการบริหารรัฐกิจที่กล่าวว่า การบริหารรัฐกิจคือหลักของการบริหาร

(1) พาราไดม์ที่ 1

(2) พาราไดม์ที่ 2

(3) พาราไดม์ที่ 3

(4) พาราไดม์ที่ 4

(5) พาราไดม์ที่ 5

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 65 ประกอบ

76 ผลงานในหนังสือที่เสนอแนวคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ซึ่งเสนอหลักการทํางานของคนงานระดับล่างขององค์การเป็นแนวคิดของใคร

(1) Mary Parker Follet

(2) Henri Fayol

(3) Frederick W. Taylor

(4) James D. Mooney

(5) Alan C. Reiley

ตอบ 3 หน้า 48 – 49 Frederick W. Taylor เป็นผู้แต่งหนังสือเรื่องการจัดการในเชิงวิทยาศาสตร์(Scientific Management) ซึ่งจะเน้นในเรื่องการทํางานในโรงงานอุตสาหกรรม และมุ่งเน้นที่ตัวบุคคลในระดับล่างขององค์การ

77 ในหนังสือชื่อ Papers on the Science of Administration ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของวิชาการบริหารรัฐกิจในปี ค.ศ. 1937 เป็นผลงานของใคร

(1) Lillian Gilbreth

(2) Frederick W. Taylor

(3) Henri Fayol

(4) James D. Mooney and Alan C. Reiley

(5) Gulick and Lyndall Urwick

ตอบ 5 หน้า 49 ในช่วงพาราไดม์ที่ 2 : หลักของการบริหารนั้น ได้มีผลงานเขียนชิ้นหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็น “จุดสูงสุดแห่งการได้รับความยอมรับนับถือ” ของวิชาการบริหารรัฐกิจ นั้นก็คือหนังสือชื่อ Papers on the Science of Administration (1937) ของ Luther H. Gulick และ Lyndall Urwick ซึ่งหนังสือเรื่องนี้ได้เสนอหลักการบริหารที่เรียกว่า POSDCORB

78 ในหนังสือชื่อ Papers on the Science of Administration ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของวิชาการบริหารรัฐกิจในปี ค.ศ. 1937 ได้เสนอผลงานอะไร

(1) หลักของการบริหาร

(2) หลักการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์

(3) หลักการของนักบริหารที่ดี

(4) หลักการบริหาร POSDCORB

(5) หลักการบริหารรัฐกิจ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ

79 การเกิดวิกฤติทางความคิดครั้งแรกในปี ค.ศ. 1938 1947 เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

(1) การคัดค้านว่าการบริหารกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้

(2) การโจมตีว่าหลักการต่าง ๆ ของการบริหารมีความไม่สอดคล้องกันตามหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

(3) การบริหารที่ปลอดจากค่านิยม แต่ความจริงเป็นการเมืองเต็มไปด้วยค่านิยมต่างหาก

(4) โจมตีว่าหลักการต่าง ๆ ของการบริหารที่กําหนดขึ้นมานั้นใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัติ เป็นได้แค่สุภาษิตทางการบริหาร (Proverbs)

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 51 52 การเกิดวิกฤติทางความคิดเกี่ยวกับวิชาการบริหารรัฐกิจระหว่างค.ศ. 1938 – 1947 แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ดังนี้

1 การคัดค้านว่าการบริหารกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยผู้คัดค้านเชื่อว่าการบริหารที่ปลอดจากค่านิยมนั้น แท้จริงแล้วเป็นการเมืองที่บรรจุไว้ด้วยค่านิยมต่างหาก

2 การโจมตีว่าหลักต่าง ๆ ของการบริหารมีความไม่สอดคล้องลงรอยกันตามหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ โดยฝ่ายโจมตีเห็นว่า หลักต่าง ๆ ของการบริหารที่กําหนดขึ้นมานั้น ใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัติ จะเป็นได้แค่เพียงสุภาษิตทางการบริหาร

80 การเกิดวิกฤติทางความคิดครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1947 1950 เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

(1) การเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องศาสตร์บริสุทธิ์ของการบริหาร

(2) ชี้หลักต่าง ๆ ของการบริหารไม่มีความหมายถึงความเป็นศาสตร์ (Science)

(3) การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการบริหารควรมีพื้นฐานทางจิตวิทยาสังคม

(4) การศึกษาศาสตร์ของการบริหารไม่สามารถปลอดจากค่านิยม (Value-Free) ได้

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 54 55 การเกิดวิกฤติทางความคิดเกี่ยวกับวิชาการบริหารรัฐกิจระหว่างค.ศ. 1947 – 1950 มีดังนี้

1 การเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องศาสตร์บริสุทธิ์ของการบริหาร

2 การชี้ให้เห็นว่า หลักต่าง ๆ ของการบริหารไม่มีความหมายถึงความเป็นศาสตร์ (Science)

3 การใช้จิตวิทยาสังคมเป็นพื้นฐานสําหรับทําความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการบริหาร

4 การศึกษาศาสตร์ของการบริหารไม่สามารถปลอดจากค่านิยม (Value-Free) ได้

81 บุคคลใดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งการบริหารรัฐกิจสมัยใหม่ของไทย

(1) สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ

(2) สมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

(3) สมเด็จกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์

(4) ปฐม มณีโรจน์

(5) มาลัย หุวะนันท์

ตอบ 1 หน้า 60 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้ทรงริเริ่มปลูกฝังและพัฒนาระบบการบริหารรัฐกิจสมัยใหม่ขึ้นในประเทศไทย จึงส่งผลให้พระองค์ได้รับการยกย่องจากนักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้เป็น “บิดาแห่งการบริหารรัฐกิจสมัยใหม่ของไทย”

82 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะขององค์การ

(1) วัตถุประสงค์

(2) บุคลากร

(3) โครงสร้างองค์การ

(4) สภาพแวดล้อม

(5) ระยะเวลา

ตอบ 5 หน้า 114 ลักษณะสําคัญขององค์การ มี 3 ประการ คือ

1 มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน

2 มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เข้ามาปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

3 มีการพัฒนาโครงสร้างองค์การให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติงานได้สําเร็จ โดยองค์การจะมีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ

83 องค์การแบบเรียบง่าย (Simple Structure) มีลักษณะอย่างไร

(1) มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้เร็ว สภาพแวดล้อมไม่ซับซ้อน

(2) มีกฎระเบียบเป็นทางการและเป็นแบบแผนมาก

(3) ไม่มีการกําหนดระดับการบริหารที่แน่นอนตายตัว มีอิสระในการทํางานได้เอง

(4) มีการดําเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามระยะเวลาและงบประมาณที่กําหนด

(5) เป็นหน่วยงานอิสระ มีความยืดหยุ่น และไม่ขึ้นต่อองค์การใหญ่

ตอบ 1 หน้า 123 โครงสร้างองค์การแบบเรียบง่าย (Simple Structure) จะมีโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว สภาพแวดล้อมขององค์การจะไม่ซับซ้อน โดยลักษณะโครงสร้างองค์การนี้ จะเป็นโครงสร้างแนวราบ (Flat Structure) มากกว่าโครงสร้างแนวดิ่ง (Tall Structure)

84 องค์การแบบเครือข่าย (Network Organization) มีลักษณะอย่างไร

(1) มีความยืดหยุ่นสูง ไม่มีสายการบังคับบัญชาที่แน่นอนและมีการจ้างเหมาบุคคลภายนอก

(2) มีโครงสร้างหลายรูปแบบผสมกันและมีความสลับซับซ้อน

(3) มีความยืดหยุ่นไม่ขึ้นต่อองค์การใหญ่

(4) มีการดําเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามระยะเวลาและงบประมาณที่กําหนด

(5) มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้เร็ว สภาพแวดล้อมไม่ซับซ้อน

ตอบ 1 หน้า 125 126 องค์การแบบเครือข่าย (Network Organization) เป็นองค์การที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่มีระดับชั้นการบังคับบัญชาที่แน่นอน เน้นการใช้ความสามารถหลักของ องค์การและรับทรัพยากรจากพันธมิตรภายนอก รวมทั้งใช้การจ้างเหมาบุคคลภายนอกในการปฏิบัติงาน

85 Goldsmith and Eggers ได้แบ่งรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การรูปแบบอะไร

(1) องค์การแบบเรียบง่าย

(2) องค์การแบบระบบราชการ

(3) องค์การแบบแมทริกซ์

(4) องค์การแบบเครือข่าย

(5) องค์การแบบผสม

ตอบ 4 หน้า 126 – 127 Goldsmith และ Eggers แบ่งรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การแบบเครือข่ายออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้

1 เครือข่ายแบบการทําสัญญาในการให้บริการ

2 เครือข่ายแบบห่วงโซ่อุปทาน

3 เครือข่ายแบบเฉพาะกิจ

4 เครือข่ายแบบตัวแทนการให้บริการ

5 เครือข่ายแบบศูนย์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะ

6 เครือข่ายแบบศูนย์ประสานงานประชาชน

86 การสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ต้องอาศัยวินัย 5 ประการ เป็นแนวคิดของใคร

(1) Stephen P. Robbins

(2) Peter Senge

(3) Herbert Hicks

(4) Handy C.

(5) jones G. R.

ตอบ 2 หน้า 130, 138 Peter Senge เสนอว่า การสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ (The Learning Organization) ต้องอาศัยวินัย 5 ประการ คือ

1 ความรอบรู้แห่งตน (Personal Mastery)

2 แบบแผนของความคิด (Mental Model)

3 การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning)

4 การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Shared Vision)

5 การคิดอย่างเป็นระบบ (Systems Thinking)

87 คุณลักษณะขององค์การแห่งการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Stephen P. Robbins ประกอบด้วยอะไร

(1) ความรอบรู้แห่งตน แบบแผนความคิด การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม การมีวิสัยทัศน์ และการคิดอย่างเป็นระบบ

(2) การให้บริการ เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะ การประสานงาน การทํางานเป็นทีม

(3) รูปแบบองค์การ วัฒนธรรมองค์การ การแลกเปลี่ยนข้อมูล ภาวะผู้นํา

(4) เป้าหมายขององค์การ ค่านิยม กลยุทธ์ โครงสร้าง และวัฒนธรรม

(5) สภาพแวดล้อมภายในองค์การ และสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ

ตอบ 3 หน้า 131 คุณลักษณะขององค์การแห่งการเรียนรู้ของ Stephen P. Robbins ประกอบด้วย 4 ลักษณะสําคัญ ดังนี้

1 รูปแบบองค์การที่ไม่มีขอบเขต การมีทีมงานที่ดี และการเอื้ออํานาจ

2 วัฒนธรรมองค์การ เน้นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

3 การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต้องเปิดเผย คํานึงถึงเวลา และถูกต้อง

4 ภาวะผู้นําที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน

88 องค์การแบบเครื่องจักร (Mechanistic Organization) มีลักษณะอย่างไร

(1) มีระเบียบกฎเกณฑ์น้อย

(2) ช่วงการควบคุมกว้าง

(3) เน้นความคล่องตัวในการทํางาน

(4) ความเป็นทางการสูง

(5) กระจายอํานาจในการตัดสินใจ

ตอบ 4 หน้า 132 – 134, 138 องค์การแบบเครื่องจักร (Mechanistic Organization) มีลักษณะดังนี้

1 มีระดับชั้นการบังคับบัญชามาก

2 ช่วงการควบคุมแคบ

3 มีระเบียบกฎเกณฑ์มาก

4 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานเป็นแบบแนวดิ่ง

5 มีความเป็นทางการสูง

6 รวมอํานาจในการบริหารและตัดสินใจ

7 มีสภาพแวดล้อมไม่ซับซ้อนและคงที่

8 มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ฯลฯ

89 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะขององค์การแบบมีชีวิต (Organic Organization)

(1) มีระเบียบกฎเกณฑ์น้อย

(2) ช่วงการควบคุมกว้าง

(3) เน้นความคล่องตัวในการทํางาน

(4) ความเป็นทางการสูง

(5) กระจายอํานาจในการตัดสินใจ

ตอบ 4 หน้า 133 134, 14) – 141 องค์การแบบสิ่งมีชีวิต (Organic Organization) มีลักษณะดังนี้

1 มีความยืดหยุ่น เน้นความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน

2 ช่วงการควบคุมกว้าง

3 มีระเบียบกฎเกณฑ์น้อย

4 มีความเป็นทางการน้อย

5 กระจายอํานาจในการบริหารและตัดสินใจ

6 มีสภาพแวดล้อมซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงมาก

7 มุ่งเน้นประสิทธิผล ฯลฯ

90 ข้อใดไม่ใช่เงื่อนไขของรูปแบบองค์การตามสถานการณ์ (Structure Contingency)

(1) องค์การเป็นระบบเปิด

(2) การจัดองค์การที่ดีที่สุดต้องสอดคล้องกับสถานการณ์

(3) การจัดองค์การแต่ละรูปแบบมีประสิทธิผลไม่เท่ากัน

(4) องค์การจะปรับโครงสร้างให้เข้ากับบริบทขององค์การ

(5) องค์การมีความเป็นทางการสูง

ตอบ 5 หน้า 134 เงื่อนไขของรูปแบบองค์การตามสถานการณ์ (Structure Contingency) มีดังนี้

1 ไม่มีทางเลือกใดที่ดีที่สุดในการจัดองค์การ

2 การจัดองค์การแต่ละรูปแบบ มีประสิทธิผลไม่เท่ากัน

3 การจัดองค์การที่ดีที่สุดต้องสอดคล้องกับสถานการณ์

4 องค์การจะปรับโครงสร้างให้เข้ากับบริบทขององค์การ

5 องค์การเป็นระบบเปิด

6 ผู้ตัดสินใจขององค์การที่แนวโน้มเป็นผู้ที่มีเหตุผล

91 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มอร์แกน (Morgan) นํามาใช้ในการจัดโครงสร้างองค์การตามสถานการณ์

(1) สิ่งแวดล้อม

(2) กลยุทธ์

(3) สายการบังคับบัญชา

(4) เทคโนโลยี

(5) คน/วัฒนธรรม

ตอบ 3 หน้า 135 136, 141 มอร์แกน (Morgan) ได้นําทฤษฎีโครงสร้างตามสถานการณ์มาพัฒนาเพื่อให้เกิดความเข้าใจและนําไปประยุกต์ใช้ได้ง่าย ซึ่งปัจจัยที่มอร์แกนนํามาพิจารณาในการจัด โครงสร้างองค์การ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม กลยุทธ์ เทคโนโลยี คน/วัฒนธรรม โครงสร้างองค์การ และการจัดการ โดยองค์การที่มีส่วนประกอบภายในสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมจะสามารถปรับตัว ได้ดีที่สุดและมีผลการดําเนินงานที่ดีที่สุด

92 การบริหารงานบุคคลในความหมายที่แคบตามความหมายของอุทัย เลาหวิเชียร หมายถึง

(1) เป็นกลไกของฝ่ายบริหารที่มีไว้สําหรับควบคุมบุคคล

(2) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกําหนดนโยบายเกี่ยวกับบุคคล

(3) เป็นเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารระบบราชการ

(4) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ

(5) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การ

ตอบ 1 หน้า 151 อุทัย เลาหวิเชียร ได้สรุปสาระสําคัญของการบริหารงานบุคคลในความหมายที่แคบไว้ดังนี้

1 เป็นแนวการศึกษาที่เกี่ยวกับกระบวนการบริหารงาน ซึ่งประกอบด้วย การสรรหา การคัดเลือก การสอบ การเลื่อนขั้น เป็นต้น

2 ให้ความสําคัญกับการบริหารงานบุคคลภายในองค์การ โดยมองข้ามการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ

3 เป็นกลไกของฝ่ายบริหารที่มีไว้สําหรับการควบคุมบุคคล

93 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เป็นพลวัต หรือเรียกย่อ ๆ ว่า PEST หรือ STEP

(1) สภาพการเมือง

(2) เศรษฐกิจ

(3) บุคลากร

(4) สังคมและวัฒนธรรม

(5) เทคโนโลยี

ตอบ 3 หน้า 155 ปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เป็นพลวัต หรือ PEST หรือ STEP ประกอบด้วย

1 สภาพการเมือง (Political)

2 เศรษฐกิจ (Economic)

3 สังคม (Social)

4 เทคโนโลยี (Technological)

94 ปัจจัยทางการบริหารที่ถือว่ามีความสําคัญและเป็นตัวเชื่อมโยงกับทุกระบบ หากปราศจากแล้ว ก็ไม่สามารถทํางานได้คือ

(1) คน (Men)

(2) เงิน (Money)

(3) วัสดุอุปกรณ์ (Material)

(4) การจัดการ (Management)

(5) ขวัญกําลังใจ (Morale)

ตอบ 1 หน้า 154 ปัจจัยทางการบริหารที่เรียกว่า 4 MP3 คือ คน (Men), เงิน (Money), วัสดุอุปกรณ์(Material) และการจัดการ (Management) จะถือว่าปัจจัยเรื่อง คน (Men) มีความสําคัญมากที่สุด และเป็นตัวเชื่อมโยงกับทุกระบบ หากปราศจากแล้วก็จะไม่สามารถทํางานได้

95 กฎหมายฉบับแรกที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลสมัยใหม่ที่ใช้ในประเทศไทยคือ

(1) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2472

(2) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2528

(3) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535

(4) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2545

(5) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

ตอบ 1 หน้า 167 ภาครัฐไทยนําระบบการบริหารงานบุคคลสมัยใหม่มาใช้ตั้งแต่การออกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2472 โดยระบบบริหารงานบุคคล ภาครัฐมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะ และนโยบายการบริหารงานบุคคลก็มี การปรับเปลี่ยนไปตามปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

96 ปัจจุบันประเทศไทยใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลคือ

(1) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535

(2) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2545

(3) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2550

(4) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

(5) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2560

ตอบ 4 (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เป็นพระราชบัญญัติฉบับล่าสุดที่บังคับใช้กับข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 25 มกราคมพ.ศ. 2551

97 องค์กรกลางที่ทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแนวทางในการบริหารงานบุคคลฝ่ายพลเรือนในระบบราชการคือ

(1) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย

(2) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน

(3) คณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร

(4) คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายปกครอง

(5) คณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น

ตอบ 2 หน้า 158 159 คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นองค์กรที่ทําหน้าที่กําหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐทั้งหมด ตั้งแต่การกําหนดตําแหน่ง ค่าตอบแทน สวัสดิการและผลประโยชน์เกื้อกูล การแต่งตั้ง การโยกย้าย การเลื่อนตําแหน่ง การประเมินผล การปฏิบัติงาน วินัย การลงโทษ และการให้บุคลากรพ้นจากราชการ ดังนั้นคณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือนจึงเป็น “ต้นแบบ” ให้แก่องค์กรกลางการบริหารงานบุคคลภาครัฐอื่น ๆ เช่น คณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายปกครอง คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม ฯลฯ ในการกําหนดนโยบายการบริหารงานบุคคล (ดูคําอธิบายข้อ 37 ประกอบ)

98 นโยบายการบริหารงานบุคคลที่สําคัญคือ การพัฒนาบุคลากร ซึ่งประกอบด้วยเรื่องอะไร

(1) การจัดการศึกษา

(2) การฝึกอบรม

(3) การพัฒนา

(4) ถูกข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 164, 170 – 172, (คําบรรยาย) การพัฒนาบุคลากร เป็นความพยายามในการเพิ่มพูนทักษะความรู้และความสามารถให้แก่บุคลากร เพื่อที่จะปฏิบัติงานในองค์การได้อย่างมีประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการในการพัฒนาบุคลากรมีหลายวิธี เช่น การส่งบุคลากรไปอบหรือศึกษาต่อการดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ การสัมมนา การสับเปลี่ยนหมุนเวียนงาน เป็นต้น

99 การบริหารงานบุคคลภาครัฐประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญกขั้นตอน

(1) 2 ขั้นตอน

(2) 3 ขั้นตอน

(3) 4 ขั้นตอน

(4) 5 ขั้นตอน

(5) 6 ขั้นตอน

ตอบ 5 หน้า 163 164 ระบบการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญดังนี้

1 การวางแผนทรัพยากรบุคคล

2 การได้มาซึ่งบุคลากร การโอนย้ายและแต่งตั้ง

3 การพัฒนาบุคลากร

4 การใช้ประโยชน์จากบุคลากร

5 การประเมินผลการปฏิบัติงาน

6 การพ้นสภาพการเป็นบุคลากร

100 ข้อใดคือขั้นตอนที่จัดว่าสําคัญที่สุดในการบริหารงานบุคคลในภาครัฐ

(1) ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนทรัพยากรบุคคล

(2) ขั้นตอนที่ 2 การได้มาซึ่งบุคลากร การโอนย้าย และการแต่งตั้ง

(3) ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนาบุคลากร

(4) ขั้นตอนที่ 4 การใช้ประโยชน์จากบุคลากร

(5) ขั้นตอนที่ 5 การประเมินผลการปฏิบัติงาน

ตอบ 1 หน้า 163, 171 172, (คําบรรยาย) การวางแผนทรัพยากรบุคคล จัดว่าเป็นขั้นตอนแรกและเป็นขั้นตอนที่สําคัญที่สุดในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ โดยเป็นการวางแผนดําเนินงาน เพื่อเตรียมบุคลากรให้เหมาะสมกับงานและเวลา รวมทั้งพัฒนากําลังคนให้เกิดประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายขององค์การ โดยมีปัจจัยสําคัญที่ต้องนํามาพิจารณาประกอบ เช่น ปริมาณงาน ปริมาณบุคลากร ตลาดแรงงาน ลักษณะงาน เป็นต้น การวางแผนทรัพยากรบุคคลผิดพลาด จะทําให้องค์การเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น การว่างงาน การจ้างคนไม่เหมาะสมกับงาน การหมุนเวียน เข้าออกจากงานสูง เป็นต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!