POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบข้อที่ 1 นี้ เป็นของ รศ.ชลิดา ศรมณี

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในชาติมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์เพียงพอในแง่ปริมาณ และเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีบทบาทสร้างสรรค์ความเจริญงดงามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองอย่างสมดุล คําถามหากจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพและคุณภาพดังกล่าว ข้างต้นนั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่สําคัญและสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนา ที่เน้นการลงทุนด้านการศึกษาและการลงทุนด้านสุขภาพอนามัยควรเป็นอย่างไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-1 หน้า 19 – 24), (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 2, 12 – 13, 17 – 21), (คําบรรยาย)

การพัฒนามนุษย์ให้มีศักยภาพและคุณภาพ

การพัฒนามนุษย์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์เพียงพอในแง่ปริมาณ และต้องเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีบทบาทสร้างสรรค์ความเจริญงดงามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างสมดุล มนุษย์จะมีคุณภาพ มีบทบาทต่อสังคมทั้งสามด้านดังกล่าวได้ จะต้องได้รับการดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และ การดํารงชีวิตในสังคมในวัยต่าง ๆ ไปจนตาย ซึ่งอธิบายได้ว่าต้องพัฒนามนุษย์อย่างเป็นกระบวนการตั้งแต่ ปฏิสนธิ สู่วัยเด็ก เข้าสู่วัยแรงงาน วัยชรา จนถึงตาย ซึ่งเกี่ยวพันกับหลายกระบวนการคือ บาทบาทของบิดา มารดา ครอบครัว โรงเรียน สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันทางสังคม วัฒนธรรม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่ มีผลต่อการพัฒนามนุษย์ด้วย

การพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพต้องพัฒนาด้านต่าง ๆ ที่สําคัญ คือ

1 สถาบันครอบครัว (Family)

2 การศึกษา (Education)

3 การฝึกอบรม (Trawing)

4 การมีสุขภาพอนามัยและโภชนาการที่ดี (Health and Nutrition) 5 การอพยพ (Migration)

6 ข่าวสารเกี่ยวกับตลาดแรงงาน (Job-Market Information)

7 ประสบการณ์ในการทํางาน (Work Experience)

8 สภาวะสิ่งแวดล้อม (Environment)

 

การลงทุนด้านการศึกษา

– การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งที่สังคมหวังพึ่งพาให้เป็นเครื่องมือ เตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลของการศึกษา ที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะถูกผลัก ห้มองคนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์มากกว่าที่จะมองคนเป็นคนที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเอง การศึกษาจึงเอนเอียงไปในการทําคนให้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตที่มี คุณค่ามากกว่าจะเคารพในคุณค่าของความเป็นคน การศึกษาที่ผ่านมาจึงมิได้ส่งเสริมให้คนรอบรู้และเข้าใจชีวิตและ เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) มากกว่าการพัฒนามนุษย์ (Human Development)

การลงทุนในการศึกษาเป็นกระบวนการปรับปรุงคุณภาพทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้ความชํานาญ สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และข่าวสารใหม่ ๆ ได้ดี ทําให้เขาสามารถ ทํางานได้ดีมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้มีการศึกษาด้อยกว่า การลงทุนในการศึกษาจึงเป็นกิจกรรมที่เพิ่มความรู้ เพิ่มผลผลิตและรายได้ในอนาคต

การศึกษาเป็นปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดทักษะในด้านต่าง ๆ และการศึกษาเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลการศึกษาเป็นสินค้า (Goids) ที่เรียกว่า Human Capital หรือทุนมนุษย์ ซึ่งการลงทุนทางการศึกษา ก็คือ การเพิ่มความรู้ (Stock of Knowledge) ซึ่งประกอบไปด้วยทักษะ (Skills) ด้านต่าง ๆ แก่ผู้เข้ารับการศึกษา และเป็นการสะสมทุนมนุษย์ คือ การจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มทุนมนุษย์

การศึกษาจะมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมไทยในช่วงที่ ผ่านมาดูเหมือนว่ามีคนเก่งมากมายที่ช่วยกันทําให้เกิดความเจริญทุกด้าน แต่คนในสังคมมีความบกพร่องทางศีลธรรม เพิ่มมากขึ้นทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในทุกองค์กร ดังนั้นการศึกษา จึงไม่ควรทุ่มเทด้านความเก่ง (Manpower) เพียงเพื่อจะเพิ่มมูลค่าภายนอกของมนุษย์ (Economic Value Added) เท่านั้น แต่ต้องให้ความสนใจต่อความเป็นคนดี (Manhood) และการเพิ่มมูลค่าภายในของมนุษย์ (Social Value Added) ด้วย ถ้าการศึกษาได้สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านย่อมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดดุล ทางปัญญาและดุลทางเศรษฐกิจ และจะได้มีเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้นการศึกษาที่ควรจะ เป็นคือ การศึกษาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Oriented)

จะเห็นได้ว่าการศึกษามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวที่จะช่วยสร้าง และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาชาติได้ โดยสิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องเร่งดําเนินการ ก็คือ การสะสมทุนมนุษย์ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการลงทุนทางด้านการศึกษาภายในประเทศ ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป และหากการศึกษาสามารถทําให้ได้คนเก่ง คนดี และมีชีวิตอยู่ด้วย ความสุขนั้นแหละคือมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพที่เรียกว่า ทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญ

การลงทุนด้านสุขภาพอนามัย

สุขภาพอนามัยมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังคํากล่าวที่ว่า จิตใจที่มั่นคงจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) หรือคํากล่าวในพุทธสุภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ กล่าวคือ ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยที่ดี ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย ก็จะสามารถ ทํากิจกรรมใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จะศึกษาเล่าเรียนก็จะศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทํางานก็ทําได้ดี ซึ่งผู้ที่มีการศึกษาดีกว่ามักจะมีแนวโน้มที่จะสนใจรักษาสุขภาพอนามัยมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาด้อยกว่า

ดังนั้นจึงมักจะถือว่าการลงทุนด้านการศึกษาและการลงทุนด้านสุขภาพอนามัยเป็นการลงทุนร่วม – (Joint Investment) คือจะเป็นการลงทุนที่สามารถเอื้อประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันได้

 

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อที่ 2 นี้ เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา ชุมนาเสียว

คําสั่ง ให้นักศึกษาทําให้ครบทุกข้อ

2.1 อธิบายคําว่า “คนไทย 4.0” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

คนไทย 4.0

คนไทย 4.0 เปรียบเสมือนการตระเตรียมเมล็ดพันธุ์ใหม่ ด้วยการบ่มเพาะคนไทยให้เป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21” ควบคู่ไปกับการพัฒนา “คนไทย 4.0 สู่โลกที่หนึ่ง”

คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 คือ คนไทยที่มีปัญญาที่เฉียบแหลม (Head) มี ทักษะที่เห็นผล (Hand) มีสุขภาพที่แข็งแรง (Health) และมีจิตใจที่งดงาม (Heart)

การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นเงื่อนไขที่จําเป็นในการเตรียมคนไทย 4.0 สู่โลกที่หนึ่ง ซึ่งจะ ครอบคลุมการปรับเปลี่ยนใน 4 มิติดังต่อไปนี้

1 เปลี่ยนจากคนไทยที่มีความรู้ความสามารถและทักษะที่จํากัด เป็นคนไทยที่มีความรู้และทักษะสูง มีความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรม

2 เปลี่ยนจากคนไทยที่มองเน้นประโยชน์ส่วนตน เป็นคนไทยที่มีจิตสาธารณะ และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

3 เปลี่ยนจากคนไทยแบบ Thai-Thai เป็นคนไทยแบบ Global Thai มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและสามารถยืนอย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีสากล

4 เปลี่ยนจากคนไทยที่เป็น Analog Thai เป็นคนไทยที่เป็น Digital Thai สามารถดํารงชีวิต เรียนรู้ทํางาน และประกอบธุรกิจได้อย่างเป็นปกติสุขในโลกยุคดิจิตอล โดยเริ่มจากการเสริมสร้างให้เกิดการเจริญเติบโตในตัวคน (Growth for People) ผ่านการ สร้างสังคมแห่งโอกาส เพื่อเติมเต็มศักยภาพ เมื่อคนเหล่านี้ได้รับการเติมเต็มศักยภาพอย่างเต็มที่ จะกลายเป็นตัว หลักในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโต (People for Growth) และนําพาประเทศสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างแท้จริง

ด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยทั้งระบบ

1 การปรับเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจ มีความมุ่งมั่น เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างมีพลังและมีความหมาย (Purposeful Learning)

2 การปรับเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ (Generative Learning)

3 การปรับเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อปลูกฝังจิตสาธารณะ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง (Mindful Learning)

4 การปรับเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อมุ่งการทํางานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ (Result-Based Learning)

การพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21 และการตระเตรียมคนไทย 4.0 สู่โลกที่หนึ่ง โดยผ่าน 4 กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว จะเป็นหัวใจสําคัญในการเปลี่ยนผ่านสังคมไทยไปสู่“สังคมไทย 4.0” นั่นคือ สังคมที่มีความหวัง (Hope) สังคมที่เปี่ยมสุข (Happiness) และสังคมที่มีความ สมานฉันท์ (Harmony) ในที่สุด

นอกจากนี้ยังจะก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนเป้าหมายและระบบการบริหารจัดการ การเรียนรู้ กระบวนทัศน์และทักษะครู หลักสูตรการเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน ตลอดจนระบบนิเวศน์ของ การเรียนรู้

กรอบยุทธศาสตร์ Brain Power Development

เพื่อให้ Thailand 4.0 บรรลุผลสัมฤทธิ์ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกรอบยุทธศาสตร์ “National Brain Power Development” เพื่อพัฒนาและยกระดับแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูงที่ชัดเจน โดยเน้นการบริหารจัดการ Stock & Flow ของแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูงผ่านกลไกของ Talent Development และ Talent Mobility ทําให้ตลาดแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูง เป็นตลาดแรงงานที่มี ประสิทธิภาพ เน้นการพัฒนาทักษะอาชีพอย่างต่อเนื่องพร้อม ๆ กับการมีระบบสวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ที่ เหมาะสม เป้าหมายเพื่อยกระดับผลิตภาพของแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูง ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสําคัญ ของการยกระดับผลิตภาพของประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในที่สุด

การเตรียมคนไทย 4.0 จึงเป็นการปรับเปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset) ทักษะ (Skit-Set) และพฤติกรรม (Behavior Set) ของคนไทยทั้งระบบ เพื่อให้คนไทย 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยน ผ่านสู่ Thailand 4.0 ที่มีความมั่งคั่ง มั่นคง และยังยืนอย่างแท้จริง

รากฐานการพัฒนา Thailand 4.0. เริ่มต้นที่ “คนไทยทุกคน”

ปัจจัยสําคัญที่สุดการขับเคลื่อนประเทศไทย ตาม Thailand 4.0 ก็คือ “คนไทย” เนื่องจาก การพัฒนาทุนมนุษย์ที่ดี มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรม จะเป็นรากฐานในการเสริมสร้างคุณภาพและความ เข้มแข็งให้กับสังคมไทย รวมทั้งสร้างรากฐานความมั่นคงของประเทศในทุกด้าน และเมื่อคนไทยมีคุณภาพก็จะ สามารถลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมได้ การพัฒนาสังคมจึงต้องมุ่งพัฒนาโดยเน้นเรื่องคุณภาพและความยั่งยืน บนพื้นฐานแนวคิดของการ “รู้จักเติม รู้จักพอ และรู้จักปัน”

คนไทยทุกคนเป็นคนที่สําคัญของประเทศ คนไทยบางกลุ่มอาจมีศักยภาพหรือความพร้อม อยู่แล้ว แต่คนไทยบางกลุ่มอาจอยู่ระหว่างการค้นหาศักยภาพ ลองผิดลองถูก และขาดเพียงโอกาสเท่านั้น ประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้หากละทิ้งคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ ดังนั้นการพัฒนาคนไทยทุกคนจึงเป็นสิ่ง ที่มีความสําคัญยิ่ง

เป้าหมายการพัฒนา Thailand 4.0 คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุก กลุ่มให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่ยังต้องการเติมเต็มศักยภาพ หรือผู้ด้อยโอกาส หรือที่กําลังประสบกับ ปัญหาความยากจนอย่างมาก จะต้องทําให้คนในกลุ่มเหล่านี้สามารถมี “โอกาสทางสังคม (Social Mobility)”

โดยเน้นป้องกันความเสี่ยงจากการตกอยู่ในวงจรแห่งความล้มเหลวหรือกับดักความยากจน ในลักษณะการให้แต้มต่อและสร้างโอกาส พร้อมกับการเสริมสร้างศักยภาพไปที่ตัวคน ครอบครัว และชุมชน

2.2 อธิบายคําว่า “ทักษะในศตวรรษที่ 21” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมา ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

ทักษะในศตวรรษที่ 21

ทักษะในศตวรรษที่ 21 ( Century Skills) มาจากการประชุมร่วมกันของนักวิชาการ หลากหลายสาขา ได้ให้ข้อสรุปร่วมกันถึงทักษะเพื่อดํารงชีวิตอย่างมีคุณภาพในยุคของศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นยุคที่ โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย 3 ด้านหลัก ๆ ที่สําคัญ คือ

1 ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม

– การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)

– การสื่อสารและความร่วมมือ (Communication and Collaboration)

– ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)

2 ทักษะชีวิตและงานอาชีพ

– ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว (Flexibility and Adaptability)

– การริเริ่มสร้างสรรค์และกํากับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction)

– ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Interaction)

– การเป็นผู้สร้างผลงานหรือผลผลิตและความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Productivity and Accountability)

– ภาวะผู้นําและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility)

 

3 ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี

– การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy)

– การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)

– การรู้ทันเทคโนโลยี (ICT : Information, Communication and Technology Literacy)

 

2.3 การเข้าสู่ Thailand 4.0 กับแนวคิดนวัตกรรม จะมีความเกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์อย่างไรบ้างและจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายมาเป็น ประเด็น ๆ ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Thailand 4.0

ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจมาหลายครั้ง โดยเริ่มจาก Thailand 1.0 ที่เน้นภาคเกษตรกรรม ปสู่ Thailand 2.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมเบา และได้ก้าวสู่ Thailand 3.0

ที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้มาใช้ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดโลก

อย่างไรก็ดี ภายใต้ Thailand 3.0 นั้น แม้จะทําให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตเพิ่มขึ้นแต่ ก็ต้องเผชิญกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” “กับดักความเหลื่อมล้ําของความมั่งคั่ง” และ “กับดักความไม่ สมดุลในการพัฒนา” กับดักเหล่านี้เป็นประเด็นท้าทายของประเทศไทยในปัจจุบันนําไปสู่การปฏิรูปโครงสร้าง เศรษฐกิจเพื่อก้าวข้าม Thailand 3.0 ไปสู่ Thailand 4.0 –

Thailand 4.0 เป็นโมเดลเศรษฐกิจที่จะนําพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจาก 3 กับดักดังกล่าว  พร้อมๆ กับเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ “ประเทศในโลกที่หนึ่ง” ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในบริบทของ การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 อย่างเป็นรูปธรรม ตามแนวทางที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้วางไว้ ด้วยการ สร้างความเข้มแข็งจากภายใน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับประชาคมโลก ตามแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง” โดยขับเคลื่อนผ่านกลไก “ประชารัฐ”

Thailand 4.0 เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “Value-Based Economy” : หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม กล่าวคือ ในปัจจุบันเรายังติดอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจแบบ “ทํามาก ได้ น้อย” เราต้องการปรับเปลี่ยนเป็น “ทําน้อย ได้มาก” นั่นหมายถึง

การขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 3 มิติสําคัญ คือ

1 เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม

2 เปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น

3 เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม

 

องค์ประกอบในระบบหลักสําคัญ 4 ประการ ในการขับเคลื่อน คือ

1 เปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม (Traditional Farming) เป็นการเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) เกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur)

2 เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups ที่มีศักยภาพสูง

3 เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value Services ที่มีศักยภาพสูง

4 เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำ ไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเครื่องมือในการพัฒนา Thailand 4.0 ด้วยการแปลง “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” ของ ประเทศไทย เรียกว่า “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ที่มี อยู่ 2 ด้าน คือ “ความหลากหลายเชิงชีวภาพ” และ “ความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม”

โดยการเติมเต็มด้วยวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ คือ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา แล้วต่อยอดความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเป็น 5 กลุ่มเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย

1 กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโยลีชีวภาพ (Food, Agriculture& Bio-Tech) ซึ่งจะเป็น – แพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีการเกษตร (Agritech) เทคโนโลยีอาหาร (Foodtech)

2 กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีการแพทย์ (Health, Wellness & Bio-Med) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ (Healthtech) เทคโนโลยีการแพทย์ (Meditech) สปา

3 กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง (Creative, Culture & High Value Services) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีการออกแบบ (Designtech) ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) เทคโนโลยีการท่องเที่ยว (Traveltech) การเพิ่มประสิทธิภาพ การบริการ (Service Enhancing)

4 กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์ (Digital, Artificial Intelligence& Embedded Technology) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) อุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์โดยไม่ต้องใช้คน (IoT) เทคโนโลยีการศึกษา (Edtech) อี-มาร์เก็ตเพลส (E-Marketplace) อี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce)

5 กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ ระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเลคทรอนิกส์ควบคุม (Smart Devices, Robotics & Mechatronics) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotech)

พลังประชารัฐในการขับเคลื่อน

Thailand 4.0 จึงเป็นการถักทอเชื่อมโยงเทคโนโลยีหลักที่ต้นน้ํา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ กับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยู่กลางน้ํา และ Startups ต่าง ๆ ที่อยู่ปลายน้ํา โดยใช้พลัง “ประชารัฐ” ในการ “ขับเคลื่อน

ผู้มีส่วนร่วมหลักจะประกอบด้วยภาคเอกชน ภาคการเงิน การธนาคาร มหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยต่าง ๆ โดยเน้นตามความถนัดและจุดเด่นของแต่ละองค์กร และมีภาครัฐเป็นตัวสนับสนุน

โดยทั้ง 5 กลุ่มเทคโนโลยีหลักและอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Thailand 4.0 เป็นส่วนหนึ่งของ 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (5 อุตสาหกรรมที่เป็น Extending S-Curve บวก 5 อุตสาหกรรมที่เป็น New SCurve) กล่าวคือ ใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตจะมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ยังต้องพึ่งพิงการลงทุน จากต่างประเทศเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมการบิน (Aviation)

ส่วนใน 5 กลุ่มเทคโนโลยีหลักและอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Thailand 4.0 จะเป็นส่วนที่ ประเทศไทยต้องการพัฒนาด้วยตนเองเป็นหลัก แล้วค่อยต่อยอดด้วยเครือข่ายความร่วมมือจากต่างประเทศ ซึ่งสอด รับกับ “บันได 3 ขั้น” ของ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของ “การพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง และรวมกันเป็น กลุ่มอย่างมีพลัง” นั่นเอง

สรุปกระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศ ภายใต้ Thailand 4.0 มี 3 ประเด็นที่สําคัญ คือ

1 เป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศที่มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม

2 เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูป การวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อมๆ กัน

3 เป็นการผนึกกําลังของทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ” โดยเป็นประชารัฐที่ผนึก กําลังกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนา และบุคลากรระดับโลก ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของการ “รู้จักเติม รู้จักพอ และรู้จักปัน”

การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

ประชากรที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นนับเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสําคัญมาก ฉะนั้น ถ้าองค์การ ใดขาดทรัพยากรมนุษย์ ย่อมส่งผลให้การดําเนินงานขององค์การนั้นล่าช้า พบอุปสรรคนานาประการ ทําให้การ ดําเนินงานขององค์การไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์การไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับ ทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง

การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากรมนุษย์ของ องค์การไว้ล่วงหน้าว่า ต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างไร ระดับใด จํานวนเท่าใด เมื่อใด ด้วยวิธีการใด ต้องพัฒนา บุคคลให้มีความรู้ความสามารถอย่างไร และจะควบคุมจํานวนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับการดําเนินงานขององค์การได้อย่างไร ตลอดจนการกําหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อ จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การวางแผนกําลังคน เป็นการดําเนินการอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์และพยากรณ์เกี่ยวกับ อุปสงค์และอุปทานด้านกําลังคน เพื่อนําไปสู่การกําหนดกลวิธีที่จะให้ได้กําลังคนในจํานวนและสมรรถนะที่เหมาะสม มาปฏิบัติงานในเวลาที่ต้องการ โดยมีแผนการใช้และพัฒนากําลังคนเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อธํารงรักษากําลังคนที่เหมาะสมไว้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ของการวางแผนกําลังคนภาครัฐ มีดังนี้

1 สร้างความเชื่อมโยงระหว่างการจัดการทรัพยากรบุคคล และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของหน่วยงาน

2 ช่วยให้หน่วยงานสามารถจัดจํานวน ประเภท และระดับทักษะของกําลังคนให้เหมาะสมกับงานในระยะเวลาที่เหมาะสม

3 ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้สูงสุด

4 ทําให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5 สามารถรักษากําลังคนที่ดีไว้ในองค์กร

6 ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาด

7 ทําให้ไม่เกิดช่องว่างในการสรรหาบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าที่

8 ทําให้มีการตรวจสอบสภาพกําลังคน และการวิเคราะห์ และวางยุทธศาสตร์กําลังคนได้ถูกต้อง

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ s/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1. ข้อสอบข้อที่ 1 นี้ เป็นของ รศ.ชลิดา ศรมณี

จงอธิบายแนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ในปัจจุบันตามช่วงวัย ดังนี้

1.1 ตั้งครรภ์/แรกเกิด/ปฐมวัย

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ตามช่วงวัย ปี 2560 ช่วงตั้งครรภ์ เด็กแรกเกิด/ปฐมวัย (0 – 5) ปี มีดังนี้

 

เป้าหมายที่ 1 : การพัฒนาศักยภาพคนไทย การเกิดอย่างมีคุณภาพและการมีพัฒนาการสมวัย จุดเน้นคือ

– กระบวนการทําให้เด็กเกิดอย่างมีคุณภาพ และมีพัฒนาการตามวัย

– การเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของเด็กแรกเกิด/ปฐมวัย

 

เป้าหมายที่ 2 : การสร้างความมั่นคงในชีวิต การเตรียมความพร้อมให้เด็กปฐมวัยเป็นคนไทยที่มีความมั่นคงในชีวิต จุดเน้นคือ

– เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาจากศูนย์เด็กเล็กที่มีมาตรฐาน

– การที่เด็กปฐมวัยมีโอกาสเข้าถึงสิทธิและบริการต่าง ๆ ของรัฐ

 

เป้าหมายที่ 3 : การสร้างความเข้มแข็งและความอบอุ่นของครอบครัวไทย การสร้างความอบอุ่นให้เด็กปฐมวัย จุดเน้นคือ

– การเตรียมพร้อมครอบครัวก่อนมีบุตร (รวมปู่ย่าตายาย)

– การลดความรุนแรงที่มีต่อเด็ก

 

1.2 วัยเรียน/วัยรุ่น/นักศึกษา

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ตามช่วงวัยปี 2560 วัยเรียน (5 – 14 ปี) มีดังนี้

เป้าหมายที่ 1 : การพัฒนาศักยภาพคนไทย การได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะชีวิต จุดเน้นคือ

– การส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาความรู้และทักษะชีวิต

 

เป้าหมายที่ 2 : การสร้างความมั่นคงในชีวิต

การสร้างโอกาสทางการศึกษาในระดับสูง เพื่อโอกาสการทํางานและการสร้างความมั่นคงใน ชีวิต จุดเน้นคือ

– การให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กนอกระบบโรงเรียน

– การสนับสนุนการสร้างโอกาสในการศึกษาของเด็กด้อยโอกาส

 

เป้าหมายที่ 3 : การสร้างความเข้มแข็งและความอบอุ่นของครอบครัวไทย การวางรากฐานจริยธรรม คุณธรรมเพื่อความอยู่ดีมีสุข จุดเน้นคือ

– การสร้างความร่วมมือในการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม

– การลดความรุนแรงที่มีต่อเด็กในวัยเรียน

– การเฝ้าระวังการลดความเสี่ยงการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในกลุ่มเด็กวัยเรียน

 

แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ตามช่วงวัยปี 2560 วัยรุ่น นักศึกษา (15 – 21 ปี) มีดังนี้

เป้าหมายที่ 1: การพัฒนาศักยภาพคนไทย การมีทักษะชีวิต และทักษะการทํางาน จุดเน้นคือ

– การส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะการทํางาน

เป้าหมายที่ 2 : การสร้างความมั่นคงในชีวิต

การสร้างโอกาสในการศึกษาระดับสูงและประสบการณ์การทํางานจริงเพื่อวางรากฐานความมั่นคง ในชีวิต จุดเน้นคือ

– กํารส่งเสริมโอกาสในการศึกษาที่สูงขึ้น และความพร้อมในทักษะอาชีพ

– การส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียน

 

เป้าหมายที่ 3 : การสร้างความเข้มแข็งและความอบอุ่นของครอบครัวไทย การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ จุดเน้นคือ

– การลดพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่น

– ลดพฤติกรรมมั่วสุม การขับขี่ยานพาหนะกระทําผิดกฎหมาย

– การลดพฤติกรรมความรุนแรงของวัยรุ่น

 

1.3 วัยแรงงาน

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ตามช่วงวัยปี 2560 วัยแรงงาน (15 – 59 ปี) มีดังนี้

เป้าหมายที่ 1 การพัฒนาศักยภาพคนไทย การพัฒนาทักษะและสมรรถนะอย่างต่อเนื่อง จุดเน้นคือ

– กลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้รับการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ

เป้าหมายที่ 2 การสร้างความมั่นคงในชีวิต

– การสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แรงงาน จุดเน้นคือ

– ขยายการเข้าถึงหลักประกันสังคมและสวัสดิการสังคมให้กับแรงงานนอกระบบ

– ลดการป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรวัยทํางานและครอบครัว

เป้าหมายที่ 3 : การสร้างความเข้มแข็งและความอบอุ่นของครอบครัวไทย การส่งเสริมความอบอุ่นในครอบครัวสําหรับวัยแรงงาน จุดเน้นคือ

– การส่งเสริมสุขภาพกาย ใจ สําหรับวัยแรงงาน

– การส่งเสริมกิจกรรมครอบครัว

 

1.4 วัยผู้สูงอายุ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ตามช่วงวัยปี 2560 วัยผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีดังนี้

เป้าหมายที่ 1 : การพัฒนาศักยภาพคนไทย การพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถในการดํารงชีวิต จุดเน้นคือ

– การเสริมสร้างทักษะของผู้สูงอายุให้อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า

– การเตรียมความพร้อมเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ

 

เป้าหมายที่ 2 : การสร้างความมั่นคงในชีวิต การ การสร้างความมั่นคงในชีวิตของผู้สูงอายุ จุดเน้นคือ

– ผู้สูงอายุได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเข้าถึงสวัสดิการสังคม

– ส่งเสริมผู้สูงอายุได้รับการประเมินทั้งด้านสุขภาพและสังคม

 

เป้าหมายที่ 3 : การสร้างความเข้มแข็งและความอบอุ่นของครอบครัวไทย การสร้างคุณค่าและความอบอุ่นในวัยผู้สูงอายุ จุดเน้นคือ

– ผู้สูงอายุมีคุณค่าทางสังคม และได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ

– ผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิต

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อที่ 2 นี้ เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา ชุ่มนาเสียว

คําสั่ง ให้นักศึกษาทําให้ครบทุกข้อ

2.1 อธิบายคําว่า “โรคเซลฟี่ (Selfie)” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้ เข้าใจ

แนวคําตอบ

โรคเซลฟี่ (Selfie) คือ พฤติกรรมที่ชอบถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ แล้วนําไปแชร์ใน เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อหวังให้คนกดไลค์ หรือแสดงความคิดเห็น

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้ให้ข้อมูลว่า ในยุคที่คนนิยมใช้ สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ได้ทําให้คนจํานวนไม่น้อยโดยเฉพาะวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา มีพฤติกรรมที่เรียกว่า “เซลฟี่ (Selfie)” กันมาก โดยเป็นพฤติกรรมที่ชอบถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทําอะไร กินอะไร แล้วนําไปแชร์ในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อรอให้เพื่อน ๆ มากดไลค์ หรือเขียนข้อความแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ

– สิ่งนี้กลายเป็นพฤติกรรมเคยชินของหลายคนไปแล้ว ซึ่งถ้าดูเผิน ๆ ก็อาจคิดว่าไม่เห็นจะเป็น อะไร แต่จิตแพทย์กลับมองว่า พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจําวันและการส่งผลต่ออนาคต การงาน และการพัฒนาประเทศอย่างคาดไม่ถึง

ปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทําแล้วได้รางวัลก็จะทําซ้ำ แต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคล มีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากัน บางคนลงรูปไปแล้วได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้ว เพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดคนกดไลค์มาก ๆ พอมากแล้วก็ยิ่งติด เพราะถือว่าเป็นรางวัล

ในทางตรงกันข้ามหากโพสต์รูปไปแล้วได้รับการตอบรับน้อย คนกดไลค์น้อย ไม่เป็นอย่างที่ คาดหวังไว้ และทําใหม่แล้วก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ จะทําให้บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจไปเลย และส่งผลต่อ ทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่น ไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง แต่หากบุคคลนั้นสามารถรักษา ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติด้เซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินชีวิต

ด้วยเหตุนี้จึงแนะนําให้ทุกคนต้องมีความมั่นใจในตัวเอง เพราะถ้าขาดความมั่นใจจะทําให้ เกิดความกังวล ความลังเล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อคิดสะสมไปเรื่อย ๆ อาจทําให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจและ อารมณ์ได้ง่าย เช่น หวาดกลัว หวาดระแวง เครียด อิจฉา ชอบจับผิดคนอื่น ซึมเศร้า หรืออาจทําพฤติกรรมแปลก ๆ มีลักษณะตรงข้ามกับความมั่นใจตัวเอง ซึ่งหากเยาวชนขาดความมั่นใจในตัวเองแล้ว จะทําให้พัฒนาตัวเองยาก ขาดผู้นํา โอกาสการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เป็นไปได้ยากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการ พัฒนาประเทศในอนาคต

วิธีป้องกันการเสพติดเซลฟี่ (Selfie) และการสร้างความมั่นใจตัวเองบนโลกความเป็นจริงอาจทําได้โดย

1 ต้องให้ความสําคัญกับคนรอบข้างที่เป็นสิ่งแวดล้อมจริงในชีวิตประจําวัน

2 หากิจกรรมยามว่างทํากับคนในครอบครัว เพื่อน ๆ เช่น ออกกําลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยว พักผ่อน

3 ต้องยอมรับในความแตกต่างของคนที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ข้อนี้ถือว่าสําคัญมากเพื่อที่เราจะได้เข้าใจ ไม่นําตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

4 ต้องฝึกความอดทนให้กับตัวเอง เพราะการถ่ายเซลฟี่ไม่สามารถที่จะทําได้ตลอดเวลา ครั้งที่ทําไม่ได้ต้องยอมฝืนใจที่จะไม่ทํา หากผ่านจุดนั้นไปได้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะสามารถ ควบคุมพฤติกรรมการถ่ายเซลฟีได้เช่นกัน

 

2.2 อธิบายคําว่า “Knowledge Worker” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Knowledge Worker คือ แรงงานที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเป็นแรงงานที่อยู่ภายใต้ กระแสโลกาภิวัตน์ได้ ซึ่งเป็นแรงงานที่หน่วยงานมีความต้องการมากที่สุด โดยคุณสมบัติของ Knowledge Workerประกอบด้วย เก่งคิด (Thinking), ขยันเขียน (Writing), ขยันอ่าน (Reading), ขยันพูด (Speaking), ขยันฟัง  (Listening) และขยันปฏิบัติ (Doing) ตัวอย่างเช่น แรงงานที่นอกจากจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วยังต้อง

มีความรู้ความสามารถที่เก่งภาษาอังกฤษอีกด้วย เป็นต้น

2.3 การเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้กับแนวคิดสุขภาพองค์รวม จะมีความเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ในชาติกันอย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ใน ภาครัฐหรือไม่อย่างไร จงอธิบายมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-1 หน้า 24), (คําบรรยาย)

สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ คือ เป็นสังคมที่เศรษฐกิจมีผลิตผลที่เกิดจากความรู้ การให้หรือส่งผ่านความรู้ ตลอดจนการใช้ความรู้และข้อมูลข่าวสารเป็นรากฐานเป็นเครื่องผลักดันหลักที่ก่อให้เกิดการเติบโต ความมั่นคง การจ้างงานในแวดวงอุตสาหกรรม และความรู้ที่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ต้องการนั้นไม่ใช่เพียงความรู้ เกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่หมายรวมไปถึงความรู้อื่น ๆ อย่างเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม สังคม และการจัดการด้วย

ความรู้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในด้านสังคมความรู้จะทําให้ประชาชนมีอํานาจ ความมั่งคั่งทางวัตถุ และวัฒนธรรม และเป็นสังคมที่ยั่งยืน ในด้านเศรษฐกิจความรู้จะถูกแปรเป็นสินทรัพย์และปัจจัยการผลิตที่สําคัญ ในการสร้างการเจริญเติบโตในทุกสาขาเศรษฐกิจ

สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ที่เน้นการเรียนรู้ เพื่อสร้างความรู้ นําความรู้ไปใช้ในการทํางาน หรือสร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพสามารถแข่งขันได้ในระดับชาติและนานาชาติ ในขณะเดียวกันก็ยังคง ความเป็นไทยไว้ได้อย่างภาคภูมินั้น ต้องการมีการจัดการความรู้ที่มีการรวบรวมอย่างเป็นระบบ มีการแพร่กระจาย ข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างเป็นแบบแผน และมีค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดความรู้ลดลง เพื่อ นําไปสู่แนวทางการทํางาน การผลิต การบริโภคและการศึกษาแบบใหม่ เพื่อให้ทรัพยากรบุคคลของประเทศเป็น ผู้ที่มีความรู้และทักษะเป็น Knowledge Workers หรือเป็น High-skin Workers ที่สามารถสร้างผลิตผลที่มี ความเป็นนานาชาติ เปิดตัวสู่ตลาดโลกได้อย่างสง่างาม และสามารถลงทุนร่วมกับต่างประเทศได้อย่างทัดเทียม

 

การลงทุนด้านสุขภาพอนามัย

สุขภาพอนามัยมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังคํากล่าวที่ว่า จิตใจที่มั่นคงจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) หรือคํากล่าวในพุทธสุภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ กล่าวคือ ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยที่ดี ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย ก็จะสามารถ ทํากิจกรรมใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จะศึกษาเล่าเรียนก็จะศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทํางานก็ทําได้ดี ซึ่งผู้ที่มีการศึกษาดีกว่ามักจะมีแนวโน้มที่จะสนใจรักษาสุขภาพอนามัยมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาด้อยกว่า

ดังนั้นจึงมักจะถือว่าการลงทุนด้านการศึกษาและการลงทุนด้านสุขภาพอนามัยเป็นการ ลงทุนร่วม (Joint Investment) คือจะเป็นการลงทุนที่สามารถเอื้อประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันได้

แนวคิดของสุขภาพองค์รวม

สุขภาพองค์รวม (Holistic Health) หมายถึง ความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ไม่เพียงแต่ไม่เจ็บป่วยหรือไม่มีโรคหากยังครอบคลุมถึงการดําเนินชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข ของทุกคนด้วย

สุขภาพองค์รวม แบ่งออกเป็น 3 มิติ คือ

1 องค์รวมระดับบุคคล หมายถึง การทําให้เกิดความสมดุลภายในตัวคนแต่ละคนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เกิดเป็นเอกภาพที่กลมกลืนระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

2 องค์รวมระดับครอบครัวและชุมชน หมายถึง การมีครอบครัวที่อบอุ่น สมาชิกในครอบครัวมีความรักให้กันและกัน ดูแลให้ทุกคนมีสุขภาพดีทั้งกายใจ มีชุมชนที่เกื้อกูลเอื้ออาทร

3 องค์รวมระดับสังคม (สังคมจะรวมถึงสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติด้วย) หมายถึง การทําให้ คนในสังคมมีเจตจํานงอย่างเดียวกันจะสร้างสังคมที่ดีและงดงาม มีความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างคนกับธรรมชาติ

โดยสรุป การดูแลสุขภาพองค์รวมจึงเป็นความสมดุลกลมกลืนระหว่างร่างกาย จิตใจ และ สังคมสิ่งแวดล้อม เป็นวิถีของการมีสุขภาพที่ดีและงดงาม

องค์ประกอบของสุขภาพองค์รวม มี 4 มิติ ได้แก่

1 มิติทางกาย (Physical Dimension) เป็นมิติทางร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรงปราศจาก โรคหรือความเจ็บป่วย มีปัจจัยองค์ประกอบทั้งด้านอาหาร สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ปัจจัยเกื้อหนุนทางเศรษฐกิจ ที่เพียงพอและส่งเสริมภาวะสุขภาพ

2 มิติทางจิตใจ (Psychological Dimension) เป็นมิติที่บุคคลมีสภาวะทางจิตใจที่แจ่มใส ปลอดโปร่ง ไม่มีความกังวล มีความสุข มีเมตตา และลดความเห็นแก่ตัว

3 มิติทางสังคม (Social Dimension) เป็นความผาสุกของครอบครัว สังคม และชุมชน โดยชุมชนสามารถให้การดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สังคมมีความเป็นอยู่ที่เอื้ออาทร เสมอภาค มีความยุติธรรม และมีระบบบริการที่ดีและทั่วถึง

4 มิติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Dimension) เป็นความผาสุกที่เกิดจากจิตสัมผัส กับสิ่งที่มีบุคคลยึดมั่นและเคารพสูงสุด ทําให้เกิดความคาดหวัง ความเชื่อมั่นศรัทธา มีการปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม ด้วยความเมตตากรุณา ไม่เห็นแก่ตัว มีความเสียสละ และยินดีในการที่ได้มองเห็นความสุขหรือความสําเร็จของ บุคคลอื่น ทั้งนี้สุขภาวะทางจิตวิญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหลุดพ้นจากตัวเอง (Self Transcending)

มิติสุขภาพองค์รวมทั้ง 4 มิติ ถือเป็นสุขภาวะที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน โดยสุขภาวะทาง จิตวิญญาณ (Spiritual Dimension) จะเป็นมิติที่สําคัญที่บูรณาการความเป็นองค์รวมของกาย จิต และสังคม ของบุคคล และชุมชนให้สอดประสานเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นนับเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสําคัญมาก ฉะนั้น ถ้าองค์การใดขาดทรัพยากรมนุษย์ ย่อมส่งผลให้การดําเนินงานขององค์การนั้นล่าช้า พบอุปสรรคนานาประการ ทําให้การดําเนินงานขององค์การไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์การไม่เกิดปัญหา เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง

โดยที่การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ขององค์การไว้ล่วงหน้าว่า ต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างไร ระดับใด จํานวนเท่าใด เมื่อใด ด้วยวิธีการใด ต้องพัฒนา บุคคลให้มีความรู้ความสามารถอย่างไร และจะควบคุมจํานวนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับการดําเนินงานขององค์การได้อย่างไร ตลอดจนการกําหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อ จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

 

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบข้อที่ 1. นี้ เป็นของ รศ.ชลิดา ศรมณี

จงอธิบาย “กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์” มาให้เข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

กระบวนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ มี 8 ขั้นตอน ดังนี้

1 การกําหนดวัตถุประสงค์ (Objective) เป็นการวางกรอบของการวางแผนทรัพยากร มนุษย์ว่าต้องการครอบคลุมทุกแผนกงานในองค์การ หรือเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ระยะเวลาในการวางแผน ทรัพยากรมนุษย์ 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เป็นต้น

2 การคาดคะเนอุปสงค์ (Projected Demand) เป็นการพยากรณ์หรือคาดคะเน ความต้องการกําลังคนของหน่วยงานต่าง ๆ ว่าต้องการใช้คนจํานวนเท่าไร คุณสมบัติอย่างไร เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน ขององค์การ

3 การคาดคะเนอุปทาน (Projected Supply) เป็นการสํารวจตรวจสอบเกี่ยวกับอุปทาน ของกําลังคนที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอจะหาได้จากที่ไหน หรือแหล่งใด

4 การคาดคะเนความต้องการทรัพยากรมนุษย์ (Projected Human Resource Need) เป็นขั้นตอนที่ต้องการทราบว่าจํานวนกําลังคนที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งได้จากการคาดคะเนอุปสงค์และ อุปทานของกําลังคน ทําให้ทราบข้อมูลกําลังคน คุณสมบัติของคน และระยะเวลาที่ต้องการ :

5 การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Planning Decision) หลังจากทราบข้อมูลของกําลังคนเมื่อเปรียบเทียบอุปสงค์และอุปทานของแรงงานแล้ว หากกําลังคน ที่ต้องการ (Demand) มีมากหรือน้อยกว่าอุปทาน (Supply) การตัดสินใจว่าจะวางแผนทรัพยากรมนุษย์อย่างไร จึงเกิดขึ้นในขั้นตอนการประเมินผล (ขั้นตอนที่ 8)

6 จัดโครงการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Program) หลังจากตัดสินใจว่า การดําเนินวิธีการใดในเรื่องเกี่ยวกับกําลังคนแล้ว ในขั้นตอนนี้เป็นการวางแผนจัดทําโครงการเกี่ยวกับทรัพยากร มนุษย์ เช่น การสรรหา การคัดเลือก การวางแผนอาชีพ เป็นต้น

7 การควบคุม (Control Data) เมื่อมีการจัดทําโครงการเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ไปแล้ว จําเป็นต้องมีการติดตามและควบคุมงานให้เป็นไปตามแผนงาน และหากมีปัญหาและอุปสรรคจะได้ดําเนินการ แก้ไขได้ทันที ทั้งนี้เพื่อให้การวางแผนบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

8 การประเมินผล (Evaluation) เป็นการตรวจวัดเพื่อให้ทราบผลการดําเนินงานของ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ว่าประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เราสามารถดูได้จากการประเมินผล โดยนําสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปเทียบกับสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ดังนั้นการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ จึงต้องมีขั้นตอนการประเมินผลด้วย

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อที่ 2. นี้เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา ชุ่มนาเสียว

2.1 อธิบายคําว่า “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ว่าคืออะไร และยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

มนุษย์เป็นศูนย์กลางการพัฒนา คือ พัฒนาการต้องเกิดจากการกระทําของมนุษย์ ผลประโยชน์ ของการพัฒนาจะต้องเป็นของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ตระหนักถึงความต้องการหรือความจําเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็น ผู้กําหนดความมุ่งหมายของการพัฒนาโดยอาศัยความต้องการของตนเป็นเครื่องนําทาง และมนุษย์จะเป็นผู้จัดการ องค์ประกอบของการพัฒนาให้สําเร็จตามความมุ่งหมายที่ตนตั้งขึ้น เช่น การสร้างสถาบันทางสังคม การเปลี่ยนแปลง โครงสร้างของระบบต่าง ๆ ถึงแม้กิจกรรมนั้นเป็นสภาพแวดล้อมที่ทําให้เกิดการพัฒนา แต่มนุษย์จะพัฒนาอย่าง โดดเดี่ยวไม่ได้ มนุษย์จะต้องพัฒนาในสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ที่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ ดังนั้น กระบวนการพัฒนามนุษย์โดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางจึงเป็นการพัฒนาที่สมบูรณ์แบบ โดยต้องพิจารณาทุกส่วน ขององค์ประกอบในการพัฒนาและทุกด้านของชีวิตซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมของมนุษย์

 

2.2 อธิบายคําว่า “Human Development” ว่าคืออะไร และยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

การพัฒนามนุษย์ (Human Development) ตามความหมายของ United Nation Development Program (UNDP) หมายถึง การขยายทางเลือกของคนในสังคมหนึ่ง ๆ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งคนยากจนและเสียเปรียบในสังคม (คนตกขอบ) เช่น การให้การศึกษาสุขภาพ การให้โอกาส รวมทั้งการนํา เทคโนโลยีมาใช้ในการทํางานเพื่อให้คนขยับขึ้นมาทํางานดีกว่านั้น การพัฒนามนุษย์จึงมีคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา โดยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนสามารถมีชีวิตที่ยืนยาว มีอนามัยที่ดี สุขภาพที่ดี มีชีวิตที่สร้างสรรค์

การพัฒนามนุษย์ (Human Development) คือ เป็นการมองคนในฐานะเป็นมนุษย์ มีความ เป็นมนุษย์ของเขาเอง มีจุดมุ่งหมายของชีวิต คือ ความสุข อิสรภาพ และความดีงามของชีวิต ซึ่งการพัฒนามนุษย์นี้ มีความสําคัญที่จะต้องพัฒนาเป็น 2 ด้าน คือ

1 พัฒนามนุษย์ให้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนนําในการพัฒนาและบูรณาการให้เกิดความสมดุล อย่างถูกทาง และเป็นการอํานวยประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น พัฒนามนุษย์ให้มีสุขภาพดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ความสามารถ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย เป็นต้น

2 พัฒนามนุษย์ เพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวมนุษย์เองทุกคน เช่น พัฒนามนุษย์ในเรื่องของคุณค่า ความเป็นมนุษย์ พัฒนามนุษย์ให้มีความสุข มีพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญา มีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นต้น

ดังนั้นการพัฒนามนุษย์ จะต้องทําการพัฒนาทุก ๆ ด้านไปพร้อมกัน คือ ด้านสุขภาพ ความรู้ สติปัญญา พฤติกรรม และจิตใจด้วย

 

2.3 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกับการเป็น Human Resource มีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การหรือไม่ อย่างไร อธิบายมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

สังคมผู้สูงอายุกับการเป็นทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource)

สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ

ประเทศไทยกําลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยพบว่าหลังจาก ปี 2552 ประชากรที่อยู่ในวัยพึ่งพิง ได้แก่ เด็กและผู้สูงอายุ จะมีจํานวนมากกว่าประชากรในวัยแรงงาน และในปี 2560 จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประชากรเด็กน้อยกว่าผู้สูงอายุ สถานการณ์นี้เป็นผลมาจากการลดภาวะเจริญพันธุ์ อย่างรวดเร็ว และการลดลงอย่างต่อเนื่องของระดับการตายของประชากร ทําให้จํานวนและสัดส่วนประชากรสูงอายุ ของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แนวโน้มสังคมผู้สูงอายุมีมากขึ้นทําให้ปัจจัยการผลิตทางด้านแรงงานลดลง การออมลดลง รัฐบาล จําเป็นต้องเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเพื่อดูแลและปฐมพยาบาล ผู้สูงอายุมากขึ้น ทําให้การลงทุนลดลง รายได้ประชาชาติลดลง ทั้งนี้การที่แรงงานลดลงอาจแก้ไขโดยการนําเทคโนโลยี เครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานคน หรือใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งจะมีผลทําให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานมากขึ้น หากไม่มีการเตรียมความพร้อม การจัดสรรทรัพยากรแรงงานที่จะลดลงจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม ทําให้รายได้ประชาชาติลดลงได้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นโครงสร้างของประชากรเปลี่ยนแปลงไปมีสัดส่วน ของผู้สูงอายุมากขึ้น ย่อมทําให้เกิดผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

ดังนั้นในการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ควรจะร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชน องค์การ และประเทศ โดยเฉพาะการร่วมกันกระตุ้นเพื่อให้ตระหนักถึงความสําคัญของ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมีการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ มีการเตรียมวางแผนการออม การใช้ชีวิตในบั้นปลาย การร่วมมือกันในชุมชน การจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางด้านสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุ การปรับตัวทางด้านจิตใจ และสังคมของผู้สูงอายุ รวมทั้งการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการออมเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อถึงวัยผู้สูงอายุ ซึ่งสําหรับบางประเทศได้มีการขยายอายุผู้เกษียณอายุและเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทํามากขึ้นเพื่อไม่ให้รู้สึกว่า ตนเองไร้คุณค่า และเป็นภาระกับสังคมเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้สูงอายุ

ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นนับเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสําคัญมาก ฉะนั้น ถ้าองค์การใดขาดทรัพยากรมนุษย์ ย่อมส่งผลให้การดําเนินงานขององค์การนั้นล่าช้า พบอุปสรรคนานาประการ ทําให้การดําเนินงานขององค์การไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์การไม่เกิดปัญหา เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง

โดยที่การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ขององค์การไว้ล่วงหน้าว่า ต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างไรระดับใด จํานวนเท่าใด เมื่อใด ด้วยวิธีการใด ต้องพัฒนา บุคคลให้มีความรู้ความสามารถอย่างไร และจะควบคุมจํานวนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับการดําเนินงานขององค์การได้อย่างไร ตลอดจนการกําหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อ จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ s/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบข้อนี้เป็นของ รศ.ชลิดา

จากที่นักศึกษาได้ศึกษาเรื่อง “ดัชนีวัดระดับการพัฒนามนุษย์” (Indicators of Human Resource Development) มาแล้วนั้น ให้นักศึกษาตอบคําถามว่า ดัชนีชี้วัดระดับการพัฒนามนุษย์ที่กําหนด โดยสหประชาชาติ ที่เรียกว่า Human Development Index (HDL) นั้น ประกอบด้วยตัวชี้วัด (ตัวบ่งชี้) ที่ประเมินการพัฒนามนุษย์ระดับสากลในปัจจุบัน ประกอบด้วยตัวชี้วัดด้านใดบ้าง จงระบุและอธิบายมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-1 หน้า 10, เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 25), (คําบรรยาย)

ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index : HDI)สํานักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme : UNDP) ได้ศึกษาและจัดอันดับดัชนีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development Index : HDI) คือ เป็นดัชนีการวัดและเปรียบเทียบ ความยากจน การรู้หนังสือ การศึกษา อายุขัย การคลอดบุตร และปัจจัยอื่น ๆ ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นวิธีการวัดความอยู่ดีกินดีตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและเยาวชน ซึ่ง หลายคนก็ใช้ดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาตินี้ในการระบุว่าประเทศใดประเทศหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ ที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่กําลังพัฒนา หรือประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยดัชนีชี้วัดระดับการพัฒนามนุษย์ประกอบด้วย ตัวชี้วัด 3 ด้าน ดังนี้

1 การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี ซึ่งวัดได้จากอายุขัยเฉลี่ยเมื่อแรกเกิด (Life Expectancy Index)

2 ความรู้ ซึ่งวัดได้จากการรู้หนังสือ และอัตราส่วนการเข้าเรียนสุทธิที่รวมกันทั้งระดับ ประถม มัธยม และอุดมศึกษา (Education Index)

3 มาตรฐานคุณภาพชีวิต ซึ่งวัดได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ต่อหัว และความเท่าเทียมกันของอํานาจซื้อ (Purchasing Power Parity : PPP), (GDP Index)

ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติจะถูกจัดอันดับตามดัชนีนี้ในแต่ละปี ประเทศที่ได้รับ การจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ มักจะโฆษณาผลการจัดอันดับดังกล่าว (เช่น กรณีของนายฌอง เครเตียง อดีตนายกรัฐมนตรี ของแคนาดา) เพื่อที่จะดึงดูดให้บุคลากรที่มีความสามารถอพยพเข้ามาในประเทศของตนมากขึ้น เพื่อเป็นทรัพยากร มนุษย์ในทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อที่จะลดแรงจูงใจในการอพยพย้ายออก

ทั้งนี้ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index :HDI) ยังถูกนําไปใช้วัดการพัฒนา เศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจคือการคํานึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยไม่ได้จํากัด อยู่เพียงรายได้ หากแต่รวมถึงสุขภาพและการศึกษาซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของดัชนีการพัฒนามนุษย์ด้วย

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อนี้เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา

2.1 อธิบายคําว่า “Human Resource” พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 2)

ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) คือ ผลรวมของความรู้ ความชํานาญ ความถนัดของ ประชากรทั้งหมดในประเทศ ทั้งในด้านปริมาณ เช่น จํานวนการกระจายของประชากร กําลังแรงงาน ฯลฯ และ ด้านคุณภาพ เช่น ความรู้ ความชํานาญ ความถนัด คุณค่า แรงจูงใจ จิตใจ สุขภาพ ฯลฯ

ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในชาติมีความสําคัญต่อการผลิตสินค้าและบริการ และผลผลิตหรือรายได้ ประชากรชาติจะต่ำลงหากปราศจากการศึกษาอบรมและการดูแลด้านสุขภาพอนามัยที่ดี

2.2 อธิบายคําว่า “Human Resource Planning” พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Human Resource Planning (การวางแผนทรัพยากรมนุษย์) หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ คาดคะเนความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตอย่างเป็นระบบ โดยระบุจํานวนคน ประเภทของบุคคลที่จะ ปฏิบัติงาน รวมถึงระดับทักษะ ความรู้ และความสามารถที่ต้องการ เพื่อให้องค์การมั่นใจได้ว่ามีบุคลากรที่มีคุณสมบัติ เหมาะสมและมีจํานวนเพียงพอกับการปฏิบัติงานที่คาดว่าจะมีในอนาคต พร้อมทั้งกําหนดแนวทางในการปฏิบัติ และมีแผนการใช้บุคลากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ ตัวอย่างเช่น การวางแผนกําลังคน เพื่อให้ได้ปริมาณ และคุณภาพที่ต้องการตามระยะเวลา และเป้าหมาย เป็นต้น

2.3 จงอธิบายคําว่า คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มีลักษณะอย่างไร และจะส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของคนไทยด้วยการลงทุนด้านการศึกษาได้อย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบ มาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-2 หน้า 5 – 10, 45 – 46), (คําบรรยาย)

คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ซึ่งมองว่าเมื่อมีการพัฒนาที่ตัวคนแล้วก็จะทํา ให้เกิดการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ตามมาด้วย ทั้งนี้จะดูแลและพัฒนาคนในทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน ทั้งการศึกษาและ สุขภาพอนามัย การพัฒนาประเทศชาติให้เจริญได้นั้นต้องเน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพราะจะให้คนที่มี ความรู้ความสามารถก่อนแล้วถึงจะไปพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้ ฉะนั้นเวลาเราจะพัฒนาคนก็จะต้องพัฒนาทุกด้านของ คนทั้งกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ จริยธรรมและศาสนาก่อน คนที่ได้รับการพัฒนาหมดทุกด้านดังกล่าวแล้วก็ สามารถนําเอาความรู้ความสามารถมาพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดูแลครอบครัว ชุมชน สังคม การเมือง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และพอทุกอย่างเจริญก้าวหน้าแล้วก็จะส่งผลกลับมาที่คน ทําให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน

การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเริ่มจากการพัฒนาคนก่อน ซึ่งมีความสําคัญที่จะต้องพัฒนาคนเป็น 2 ด้าน คือ

1 พัฒนาคนให้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนนําในการพัฒนาและบูรณาการให้เกิดความสมดุลอย่างถูกทาง และเป็นการอํานวยประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น พัฒนาคนให้มีสุขภาพดีมีความรับผิดชอบ มีความรู้ความสามารถ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย เป็นต้น

2 พัฒนาคนเพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวมนุษย์เองทุกคน เช่น พัฒนาคนในเรื่องของคุณค่าความเป็นคน พัฒนาคนให้มีความสุข มีพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญา มีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นต้น

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบและนําไปสู่ การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป อย่างในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้เน้นที่การพัฒนาคน เพื่อก้าวไปสู่วิสัยทัศน์การพัฒนาที่พึงประสงค์ในระยะยาว ซึ่งวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 จะเน้นการ พัฒนาที่ตัวคนทั้งสิ้น ดังนี้

1 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของคนทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาให้มีสุขภาพอนามัยแข็งแรง มีความรู้ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชีพ และสามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง

2 เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมให้มีความมั่นคง และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ให้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน รวมทั้งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น

3 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มั่นคง และสมดุลเสริมสร้างโอกาสการพัฒนาศักยภาพของคนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาที่เป็นธรรม

4 เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ สามารถจะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน

5 เพื่อปรับระบบบริหารจัดการเปิดโอกาสให้องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน ชุมชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาประเทศมากขึ้น

ดังนั้น การวางแผนพัฒนาประเทศซึ่งมีความสําคัญต่อคนและประเทศควรยึดหลักการปฏิบัติตาม ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกภาคส่วนทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มีคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มีการเชื่อมโยงทุกมิติของ การพัฒนาอย่างบูรณาการทั้งมิติตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมเผชิญ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ขณะเดียวกันก็ให้ความสําคัญ กับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมในกระบวนการพัฒนาประเทศ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและ ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย

การลงทุนด้านการศึกษา

การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งที่สังคมหวังพึ่งพาให้เป็นเครื่องมือ เตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลของการศึกษา ที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะถูกผลักให้มองคนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์มากกว่าที่จะมองคนเป็นคนที่มีเกียรติศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเอง การศึกษาจึงเอนเอียงไปในการทําคนให้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตที่มีคุณค่า มากกว่าจะเคารพในคุณค่าของความเป็นคน การศึกษาที่ผ่านมาจึงมิได้ส่งเสริมให้คนรอบรู้และเข้าใจชีวิตและ เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) มากกว่าการพัฒนามนุษย์ (Human Development)

การศึกษาจะมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมไทยในช่วงที่ ผ่านมาดูเหมือนว่ามีคนเก่งมากมายที่ช่วยกันทําให้เกิดความเจริญทุกด้าน แต่คนในสังคมมีความบกพร่องทาง ศีลธรรมเพิ่มมากขึ้นทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในทุกองค์กร ดังนั้น การศึกษาจึงไม่ควรทุ่มเทด้านความเก่ง (Manpower) เพียงเพื่อจะเพิ่มมูลค่าภายนอกของมนุษย์ (Economic Value Added) เท่านั้น แต่ต้องให้ความสนใจต่อความเป็นคนดี (Manhood) และการเพิ่มมูลค่าภายในของมนุษย์ (Social Value Added) ด้วย ถ้าการศึกษาได้สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านย่อมจะไม่ก่อให้เกิด ปัญหาการขาดดุลทางปัญญาและดุลทางเศรษฐกิจ และจะได้มีเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้น การศึกษาที่ควรจะเป็นคือ การศึกษาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Oriented)

จะเห็นได้ว่าการศึกษามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวที่จะช่วย สร้างและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาชาติได้ โดยสิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องเร่ง ดําเนินการก็คือ การสะสมทุนมนุษย์ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการลงทุนทางด้านการศึกษา ภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบข้อที่ 1 นี้ เป็นของ รศ.ชลิดา ศรมณี

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในชาติมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์เพียงพอในแง่ปริมาณ และเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีบทบาทสร้างสรรค์ความเจริญงดงามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างสมดุล คําถามหากจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพและคุณภาพดังกล่าว ข้างต้นนั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่สําคัญและสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนา ที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วมควรเป็นอย่างไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 12 -13), (คําบรรยาย)

การพัฒนามนุษย์ให้มีศักยภาพและคุณภาพ

การพัฒนามนุษย์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์เพียงพอในแง่ปริมาณ และต้องเป็น มนุษย์ที่มีคุณภาพ มีบทบาทสร้างสรรค์ความเจริญงดงามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างสมดุล มนุษย์จะมีคุณภาพ มีบทบาทต่อสังคมทั้งสามด้านดังกล่าวได้ จะต้องได้รับการดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และ การดํารงชีวิตในสังคมในวัยต่าง ๆ ไปจนตาย ซึ่งอธิบายได้ว่าต้องพัฒนามนุษย์อย่างเป็นกระบวนการตั้งแต่ ปฏิสนธิ สู่วัยเด็ก เข้าสู่วัยแรงงาน วัยชรา จนถึงตาย ซึ่งเกี่ยวพันกับหลายกระบวนการคือ บาทบาทของบิดา มารดา ครอบครัว โรงเรียน สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันทางสังคม วัฒนธรรม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่ มีผลต่อการพัฒนามนุษย์ด้วย

การพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพต้องพัฒนาด้านต่าง ๆ ที่สําคัญ คือ

1 สถาบันครอบครัว (Family) บิดามารดา สิ่งแวดล้อมในครอบครัวเป็นที่หล่อหลอมคุณค่า หรือคุณภาพของบุตร คนในสมัยก่อนจึงทูดเสมอว่า มารดาเป็นครูคนแรกของบุตร ถ้ามารดามีการศึกษาและมีเวลา ดูแลและอบรมบ่มนิสัยบุตร หรือให้การศึกษาเบื้องต้นแก่บุตรย่อมทําให้เด็กมีคุณภาพและมีคุณธรรม ในปัจจุบันเริ่ม จะไม่เป็นจริง แม้มารดาหรือบิดาจะมีการศึกษา แต่มักจะไม่มีเวลาดูแลบุตรธิดา บางครอบครัวอาจจะปล่อยให้ เด็กรับใช้ในบ้านเป็นผู้ดูแล ฉะนั้นเด็กรับใช้ในบ้านจึงกลายเป็นครูคนแรกของบุตร แล้วคุณภาพของบุตรธิดาจะ เป็นอย่างไรในครอบครัวเช่นนี้ และกําลังสําคัญของชาติในอนาคตจะมีคุณภาพอย่างไรก็พอจะเดาได้เช่นกัน

ครอบครัวที่ดีมีความรักและความอบอุ่นเป็นรากฐานสําคัญที่จะเป็นแรงผลักดันให้เด็ก และเยาวชนอันเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาคน พัฒนาสังคมในอนาคตให้เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ สิ่งแวดล้อมในครอบครัวเป็นปัจจัยสําคัญที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการต่าง ๆ ของเด็กทุกด้าน เมื่อใดที่ครอบครัวต้องเผชิญกับปัญหา เมื่อนั้นย่อมมีผลกระทบต่อสถานภาพของครอบครัว รวมทั้งความมั่นคง ของสังคมด้วย เนื่องจากครอบครัวเป็นภารกิจที่สําคัญของชีวิตมนุษย์

ดังนั้น ครอบครัวที่ดีเท่านั้นจะสามารถป้องกันและแก้ไขต้นเหตุของปัญหาสังคมได้ เด็กจะมีสุขภาพกายและใจที่ดี และมีคุณภาพตามศักยภาพสูงสุดของแต่ละคนได้ในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับการ เลี้ยงดูและการอบรมเด็กในสถาบันครอบครัวเป็นเบื้องต้น

2 การศึกษา (Education) การศึกษาในความหมายอย่างกว้าง คือ กระบวนการเรียนรู้ทุก รูปแบบตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นขบวนการของชีวิต เป็นขบวนการหาความรู้และประสบการณ์ทุกอย่างที่ได้รับ ตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก วันรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา กระบวนการดังกล่าวอาจจะอาศัยสื่อการศึกษา คือ บ้าน โรงเรียน วัด สังคมและสิ่งแวดล้อม ในกรณีนี้ชีวิตและกิจกรรมเพื่อชีวิตทุกอย่างของเราล้วนเป็น โรงเรียนหรือแหล่งการศึกษาที่แท้จริงการศึกษาจึงหมายถึง ประสบการณ์รวมที่บุคคลได้รับทั้งในและนอก โรงเรียนและสถาบันการศึกษา และได้สะสมมาตลอดชีวิต การศึกษาในกรณีนี้คือ ชีวิต (Education is Life)

การศึกษาในความหมายอย่างแคบ คือ การเรียนการสอนในโรงเรียน วิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเท่านั้น การศึกษาจะเริ่มเมื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนและสถานศึกษา จะสิ้นสุดเมื่อออกจากโรงเรียน และสถาบันการศึกษา กรณีนี้มักจะเป็นการศึกษาที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และอาจารย์ ได้เตรียมการจัดการเรียน การสอนไว้พร้อม เพื่อให้ผู้เข้าศึกษาได้มีความรู้ และความสามารถเพื่อจะดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีสวัสดิภาพ และเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติด้วย

คณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อปฏิรูปการศึกษา ได้ให้ความหมายของการศึกษาที่พึง ประสงค์สําหรับประเทศไทยไว้ว่า เป็นการเสริมสร้างความรู้ ความคิด ทักษะ และทัศนคติให้คนไทยรู้จักตนเอง รู้จักชีวิต เข้าใจสังคมและสิ่งแวดล้อม อันตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย แล้วนําความรู้ความเข้าใจใช้แก้ปัญหา และ เสริมสร้างชีวิตและสังคมให้ดีขึ้นโดยกลมกลืนกับธรรมชาติ

3 การฝึกอบรม (Training) คือ กรรมวิธีที่จะเพิ่มพูนสมรรถภาพในการทํางานของผู้ปฏิบัติ งานให้พัฒนาในด้านความคิด การกระทํา ความสามารถ ความรู้ ความชํานาญ และทัศนคติต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมาย ที่จะยกระดับประสิทธิภาพการทํางาน และการผลิตในปัจจุบันและอนาคต

4 การมีสุขภาพอนามัยและโภชนาการที่ดี (Health and Nutrition) คงจะได้ยินสุภาษิต ที่ว่า จิตใจที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) จิตใจและร่างกายมีความสัมพันธ์กัน

เวลาเจ็บป่วยไม่สบายจะรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากจะทํางานหรือแม้จะทํางานก็ไม่ได้ผลเต็มที่ ในทํานองเดียวกันหาก – เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาถ้าสุขภาพไม่ดีเจ็บออด ๆ แอด ๆ ก็ไม่สามารถจะรับการศึกษาได้เต็มที่ การเรียนก็จะ ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ความรู้ ความสามารถ หรือคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่ควรจะได้รับเต็มที่ก็ได้รับน้อยกว่าปกติ

การลงทุนในสุขภาพอนามัยจึงเป็นการลงทุนร่วม (Joint Investment) กับการลงทุน ในการศึกษา สุขภาพดีเรียนย่อมได้ผลดี และในทางกลับกันบุคคลที่ได้รับการศึกษาดีย่อมรู้จักรักษาสุขภาพ อนามัยของตนมากกว่าบุคคลที่ด้อยการศึกษา มารดาที่มีสุขภาพอนามัยที่ดี บุตรในครรภ์ย่อมจะสมบูรณ์ คลอด ออกมาแล้วก็สมบูรณ์ มีน้ํานมดี ลูกก็จะเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง และถ้ามารดามีการศึกษาที่ดีย่อมรู้จัก รักษาสุขภาพ หรือสามารถเข้าถึงข่าวสารด้านสุขภาพได้ดีกว่ามารดาที่ด้อยการศึกษา ฉะนั้น ค่าใช้จ่ายในการ บํารุงสุขภาพอนามัย หรือมีโภชนาการที่ดี มีการป้องกันและรักษาสุขภาพเวลาเจ็บป่วย ทําให้เป็นทรัพยากร มนุษย์ที่มีคุณภาพหรือมีคุณค่าในสังคม แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี นอกจากจะเรียนศึกษา หรือทํางานไม่ได้เต็มที่แล้ว ยัง จะเป็นคนแพร่เชื้อโรคในสังคม ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ใด

5 การอพยพ (Migration) การที่บุคคลใดจะต้องตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยจากที่ หนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง ผู้อพยพได้พินิจและพิจารณาแล้วว่า ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น รายได้ และผลประโยชน์อื่นใดที่ * เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน จากการอพยพครั้งนั้นต้องสูงกว่าต้นทุนหรือรายจ่ายที่เป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงินที่ ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการอพยพครั้งนั้น หรือจะพูดได้ว่า ผลได้จะต้องมากกว่าผลเสียเขาจึงจะตัดสินใจอพยพแรงงานที่อพยพเข้ามาในกรุงเทพมหานคร หรือไปต่างประเทศ ย่อมได้รับความรู้ ประสบการณ์และรายได้มากกว่าที่จะอยู่ถิ่นเดิม จึงเป็นการเพิ่มคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ อันที่จริงแล้วแรงงานไทยที่ อพยพไปขุดทองในต่างประเทศนั้นก็คือ “นักเรียนนอก”ระดับหนึ่งไปหาความรู้ ประสบการณ์ และรายได้ใน ต่างประเทศ กลับมาคงจะได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และรายได้ที่จะทําให้เขามีฐานะดีขึ้น มีเงินที่จะลงทุนใน การศึกษาของตนหรือสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น หรือสามารถจะใช้ในการบํารุงสุขภาพ อนามัย ป้องกันหรือรักษา สุขภาพเวลาเจ็บป่วย ย่อมเป็นการเพิ่มคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของสังคมและประเทศชาติ

6 ข่าวสารเกี่ยวกับตลาดแรงงาน (Job-Market Information) ข่าวสารเกี่ยวกับ ตลาดแรงงาน เช่น ตําแหน่งว่างงาน คุณสมบัติแรงงานที่ต้องการ และแหล่งที่ต้องการแรงงาน ข่าวสารดังกล่าวนี้ มีประโยชน์มากสําหรับนายจ้างและลูกจ้าง การจะได้ข่าวสารเช่นนี้จะต้องมีการเสาะแสวงหาและเสียค่าใช้จ่าย ปกติรัฐบาลจะเป็นผู้ให้บริการข่าวสารนี้เละตั้งเป็นศูนย์บริการหางาน จะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการหางาน และช่วยลดเวลา ค่าใช้จ่ายในการหาแรงงานของนายจ้างด้วย ทําให้ตลาดแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการ ว่างงานและเพิ่มการจ้างงาน เมื่อแรงงานหางานทําได้เร็วย่อมมีรายได้และเวลาในการหาประสบการณ์มากขึ้น กว่าปกติ ข่าวสาร ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดงานจึงช่วยในการเพิ่มความรู้ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายในการหางาน ของแรงงานด้วย

7 ประสบการณ์ในการทํางาน (Work Experience) บุคคลที่ได้ลงทุนในการศึกษาตั้งแต่ต้น จนจบมหาวิทยาลัย ย่อมต้องการที่จะได้งานทําสมกับความรู้ที่ตนได้เรียนมา การทํางานเป็นการนําเอาความรู้ที่ได้ ศึกษาเล่าเรียนมา เอามาใช้ในทางปฏิบัติ เป็นการฝึกฝนจากของจริง การทํางานในหน้าที่จะเป็นการเพิ่มประสบการณ์ ในการทํางาน ทําให้เกิดความชํานาญ ล้วนเป็นการเพิ่มพูนคุณค่าในตัวทรัพยากรมนุษย์

8 สภาวะสิ่งแวดล้อม (Environment) สิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อพฤติกรรมมนุษย์ ตั้งแต่ อยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งถึงวันตาย ในปัจจุบันภัยอันตรายที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนกําลังคืบคลานเข้ามา ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรโลก และการนําเอา วิทยาการใหม่ ๆ มาใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยในบางครั้งไม่ได้คํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น สภาพแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ หรือของโลกได้เลวร้ายลงตามลําดับ อันสืบเนื่องมาจากอากาศเป็นพิษ อากาศ บริสุทธิ์ สําหรับมนุษย์หายใจในปัจจุบันนี้ไม่บริสุทธิ์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของ มนุษย์ที่มองไม่เห็นทําให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ซึ่งมองว่าเมื่อมีการพัฒนาที่ตัวคนแล้วก็จะ ทําให้เกิดการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ตามมาด้วย ทั้งนี้จะดูแลและพัฒนาคนในทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน ทั้งการศึกษาและ สุขภาพอนามัย การพัฒนาประเทศชาติให้เจริญได้นั้นต้องเน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพราะจะให้คนที่ มีความรู้ความสามารถก่อนแล้วถึงจะไปพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้ ฉะนั้นเวลาเราจะพัฒนาคนก็จะต้องพัฒนาทุกด้าน ของคนทั้งกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ จริยธรรมและศาสนาก่อน คนที่ได้รับการพัฒนาหมดทุกด้านดังกล่าวแล้ว ก็สามารถนําเอาความรู้ความสามารถมาพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดูแลครอบครัว ชุมชน สังคม การเมือง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และพอทุกอย่างเจริญก้าวหน้าแล้วก็จะส่งผลกลับมาที่คน ทําให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน

การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเริ่มจากการพัฒนาคนก่อน ซึ่งมีความสําคัญที่จะต้องพัฒนาคนเป็น 2 ด้าน คือ

1 พัฒนาคนให้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนนําในการพัฒนาและบูรณาการให้เกิดความสมดุล อย่างถูกทาง และเป็นการอํานวยประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น พัฒนาคนให้มีสุขภาพดีมีความรับผิดชอบ มีความรู้ ความสามารถ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย เป็นต้น

2 พัฒนาคนเพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวมนุษย์เองทุกคน เช่น พัฒนาคนในเรื่องของคุณค่า ความเป็นคน พัฒนาคนให้มีความสุข มีพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญา มีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นต้น

ดังนั้น การวางแผนพัฒนาประเทศซึ่งมีความสําคัญต่อคนและประเทศควรยึดหลักการปฏิบัติตาม ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกภาคส่วนทุกระดับยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มีคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มีการเชื่อมโยงทุกมิติของการพัฒนาอย่างบูรณาการทั้งมิติตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ขณะเดียวกันก็ให้ความสําคัญ กับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมในกระบวนการพัฒนาประเทศ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและ ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อที่ 2 นี้ เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา ชุ่มนาเสียว

คําสั่ง ให้นักศึกษาทําให้ครบทุกข้อ

2.1 อธิบายคําว่า “การลงทุนด้านการศึกษา” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมา ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-1 หน้า 19 – 21), (เอกสารหมายเลข 0-3328-2 หน้า 2, 17 – 21),

(คําบรรยาย)

การลงทุนด้านการศึกษา

การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งที่สังคมหวังพึ่งพาให้เป็นเครื่องมือ เตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลของการศึกษา ที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะถูกผลักให้มองคนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์มากกว่าที่จะมองคนเป็นคนที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเอง การศึกษาจึงเอนเอียงไปในการทําคนให้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตที่มี คุณค่ามากกว่าจะเคารพในคุณค่าของความเป็นคน การศึกษาที่ผ่านมาจึงมิได้ส่งเสริมให้คนรอบรู้และเข้าใจชีวิตและ เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) มากกว่าการพัฒนามนุษย์ (Human Development)

การลงทุนในการศึกษาเป็นกระบวนการปรับปรุงคุณภาพทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้ความชํานาญ สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และข่าวสารใหม่ ๆ ได้ดี ทําให้เขาสามารถ ทํางานได้ดีมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้มีการศึกษาด้อยกว่า การลงทุนในการศึกษาจึงเป็นกิจกรรมที่เพิ่มความรู้ เพิ่มผลผลิตและรายได้ในอนาคต

การศึกษาเป็นปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดทักษะในด้านต่าง ๆ และการศึกษาเป็นกิจกรรมทาง เศรษฐกิจที่มีผลการศึกษาเป็นสินค้า (Goods) ที่เรียกว่า Human Capital หรือทุนมนุษย์ ซึ่งการลงทุนทางการศึกษา ก็คือ การเพิ่มความรู้ (Stock of Knowledge) ซึ่งประกอบไปด้วยทักษะ (Skills) ด้านต่าง ๆ แก่ผู้เข้ารับการศึกษา และเป็นการสะสมทุนมนุษย์ คือ การจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มทุนมนุษย์

การศึกษาจะมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมไทยในช่วงที่ ผ่านมาดูเหมือนว่ามีคนเก่งมากมายที่ช่วยกันทําให้เกิดความเจริญทุกด้าน แต่คนในสังคมมีความบกพร่องทางศีลธรรม เพิ่มมากขึ้นทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในทุกองค์กร ดังนั้นการศึกษา จึงไม่ควรทุ่มเทด้านความเก่ง (Manpower) เพียงเพื่อจะเพิ่มมูลค่าภายนอกของมนุษย์ (Economic Value Added) เท่านั้น แต่ต้องให้ความสนใจต่อความเป็นคนดี (Manhood) และการเพิ่มมูลค่าภายในของมนุษย์ (Social Value Added) ด้วย ถ้าการศึกษาได้สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านย่อมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดดุส ทางปัญญาและดุลทางเศรษฐกิจ และจะได้มีเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้นการศึกษาที่ควรจะ เป็นคือ การศึกษาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Oriented)

จะเห็นได้ว่าการศึกษามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวที่จะช่วยสร้าง และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาชาติได้ โดยสิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องเร่งดําเนินการ ก็คือ การสะสมทุนมนุษย์ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการลงทุนทางด้านการศึกษาภายในประเทศ ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป และหากการศึกษาสามารถทําให้ได้คนเก่ง คนดี และมีชีวิตอยู่ด้วย ความสุขนั้นแหละคือมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพที่เรียกว่า ทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญ

2.2 อธิบายคําว่า “สังคมก้มหน้า” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (ความรู้ทั่วไป)

สังคมก้มหน้า

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สังคมก้มหน้า คือ ในยุคที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนกลายเป็นสิ่งจําเป็นในการติดต่อสื่อสาร หลายคนมีพฤติกรรมติดอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา เช่น พกติดตัว ต้องวางไว้ใกล้ตัวเสมอ รู้สึกกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัวหรือแบตเตอรี่หมด คอยเช็คข้อความจากโซเชียลมีเดีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยแม้ไม่มีเรื่องด่วน ตื่นนอนจะเช็ค โทรศัพท์ก่อนและยังคงเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน ติดเกม หรือในแต่ละวัน ใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนผ่านโทรศัพท์ในโลก ออนไลน์มากกว่าพูดคุยกับคนรอบข้าง ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ จะถูกวินิจฉัยว่า เป็นอาการติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) และบางรายอาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ หากไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว หรือแบตเตอรีหมด หรือว่าอยู่ในที่ไร้สัญญาณ

อาการติดโทรศัพท์มือถือจะส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะด้าน สุขภาพร่างกาย ตัวอย่างเช่น

1 นิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้ว กด จิ้ม สไลด์ หน้าจอเป็นระยะเวลานาน

2 อาการทางสายตา เช่น ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เกิดจากเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็ก ๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม

3 ปวดเมื่อคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า ค้อมตัวลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเล่นนาน ๆ อาจมีอาการปวดศีรษะตามมา รวมไปถึงหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร

4 โรคอ้วน แม้พฤติกรรมจะไม่ส่งผลโดยตรง แต่การนั่งทั้งวันโดยไม่ลุกเดินไปไหนเป็น ปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้ เป็นต้น

ด้าน พญ.ทิพาวรรณ บูรณสิน แพทย์ประจําสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ (รพ.เด็ก) กล่าวว่า โนโมโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคําว่า “no mobile phone phobia” เป็นศัพท์ที่หน่วยงานวิจัยทางการตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ใช้เรียกอาการที่เกิดจากความ

หวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งพบมากกว่าร้อยละ 70 ในกลุ่มเยาวชน 18-24 รองลงมาคือ กลุ่ม คนวัยทํางานช่วงอายุ 25-34 ปี และกลุ่มวัยใกล้เกษียณ 55 ปีขึ้นไป ตามลําดับ ปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นกําหนดเกณฑ์ การวินิจฉัยโรคหลักทางจิตเวช (DSM5) เนื่องจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค พยาธิสภาพทางจิตใจ และผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาวยังมีไม่มากพอ

ทั้งนี้แนวทางการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนด้วยตนเองมีหลายวิธี เช่น กําหนด ช่วงเวลาในการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละวัน กําหนดสถานการณ์ที่จะไม่เล่นสมาร์ทโฟน เช่น ขณะเดิน กิน ก่อน นอน ตื่นนอนใหม่ ๆ ขับรถ อยู่บนรถโดยสาร เรียน ทํางาน หรือแม้แต่อยู่ในห้องน้ํา ควรหากิจกรรม งานอดิเรก เล่นกีฬา กิจกรรมผ่อนคลายในครอบครัวทดแทนเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด เป็นต้น

 

2.3 การเข้าสู่ Thailand 4.0 กับแนวคิดนวัตกรรม จะมีความเกี่ยวข้องกับ Knowledge Worker อย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย มาเป็นประเด็น ๆ ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Thailand 4.0

ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจมาหลายครั้ง โดยเริ่มจาก Thailand 1.0 ที่เน้นภาคเกษตรกรรม ไปสู่ Thailand 2.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมเบา และได้ก้าวสู่ Thailand 3.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้มาใช้ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดโลก

อย่างไรก็ดี ภายใต้ Thailand 3.0 นั้น แม้จะทําให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่เติบโตเพิ่มขึ้นแต่ ก็ต้องเผชิญกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” “กับดักความเหลื่อมล้ําของความมั่งคั่ง” และ “กับดักความไม่ สมดุลในการพัฒนา” กับดักเหล่านี้เป็นประเด็นท้าทายของประเทศไทยในปัจจุบันนําไปสู่การปฏิรูปโครงสร้าง เศรษฐกิจเพื่อก้าวข้าม Thailand 3.0 ไปสู่ Thailand 4.0

Thailand 4.0 เป็นโมเดลเศรษฐกิจที่จะนําพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจาก 3 กับดักดังกล่าว พร้อมๆ กับเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ “ประเทศในโลกที่หนึ่ง” ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในบริบทของ การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 อย่างเป็นรูปธรรม ตามแนวทางที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้วางไว้ ด้วยการ สร้างความเข้มแข็งจากภายใน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับประชาคมโลก ตามแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง” โดยขับเคลื่อนผ่านกลไก “ประชารัฐ”

Thailand 4.0 เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” กล่าวคือ ในปัจจุบันเรายังติดอยู่ในโมเดลเศรษฐกิจแบบ “ทํามาก ได้ น้อย” เราต้องการปรับเปลี่ยนเป็น “ทําน้อย ได้มาก” นั่นหมายถึง การขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 3 มิติสําคัญ คือ

1 เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม

2 เปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น

3 เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วย

เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม องค์ประกอบในระบบหลักสําคัญ 4 ประการ ในการขับเคลื่อน คือ

1 เปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม (Traditional Farming) เป็นการเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี (Smart Farming) เกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur)

2 เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups ที่มีศักยภาพสูง

3 เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value – Services ที่มีศักยภาพสูง

4 เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำ ไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเครื่องมือในการพัฒนา Thailand 4.0 ด้วยการแปลง “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” ของ ประเทศไทย เรียกว่า “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ที่มี อยู่ 2 ด้าน คือ “ความหลากหลายเชิงชีวภาพ” และ “ความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม”

โดยการเติมเต็มด้วยวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ คือ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา แล้วต่อยอดความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเป็น 5 กลุ่มเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย

1 กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโยลีชีวภาพ (Food, Agriculture& Bio-Tech) ซึ่งจะเป็น แพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีการเกษตร (Agritech) เทคโนโลยีอาหาร (Foodtech)

2 กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีการแพทย์ (Health, Wellness & Bio-Med) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ (Health tech) เทคโนโลยีการแพทย์ (Meditech) สปา

3 กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง (Creative, Culture & High Value Services) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีการออกแบบ (Designtech) ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) เทคโนโลยีการท่องเที่ยว (Traveltech) การเพิ่มประสิทธิภาพ การบริการ (Service Enhancing)

4 กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์ (Digital, Artificial Intelligence& Embedded Technology) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) อุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์โดยไม่ต้องใช้คน (IoT) เทคโนโลยีการศึกษา (Edtech) อี-มาร์เก็ตเพลส (E-Marketplace) อี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce)

5 กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ ระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเลคทรอนิกส์ควบคุม (Smart Devices, Robotics & Mechatronics) ซึ่งจะเป็นแพลทฟอร์มในการสร้าง New Startups เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotech)

พลังประชารัฐในการขับเคลื่อน

Thailand 4.0 จึงเป็นการถักทอเชื่อมโยงเทคโนโลยีหลักที่ต้นน้ํา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ กับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่อยู่กลางน้ํา และ Startups ต่าง ๆ ที่อยู่ปลายน้ํา โดยใช้พลัง “ประชารัฐ” ในการ ขับเคลื่อน

ผู้มีส่วนร่วมหลักจะประกอบด้วยภาคเอกชน ภาคการเงิน การธนาคาร มหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยต่าง ๆ โดยเน้นตามความถนัดและจุดเด่นของแต่ละองค์กร และมีภาครัฐเป็นตัวสนับสนุน

โดยทั้ง 5 กลุ่มเทคโนโลยีหลักและอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Thailand 4.0 เป็นส่วนหนึ่งของ 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (5. อุตสาหกรรมที่เป็น Extending S-Curve บวก 5 อุตสาหกรรมที่เป็น New S-Curve) กล่าวคือ ใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตจะมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่ยังต้องพึ่งพิงการลงทุน จากต่างประเทศเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมการบิน (Aviation)

ส่วนใน 5 กลุ่มเทคโนโลยีหลักและอุตสาหกรรมเป้าหมายใน Thailand 4.0 จะเป็นส่วนที่ ประเทศไทยต้องการพัฒนาด้วยตนเองเป็นหลัก แล้วค่อยต่อยอดด้วยเครือข่ายความร่วมมือจากต่างประเทศ ซึ่งสอด รับกับ “บันได 3 ขั้น” ของ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของ “การพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง และรวมกันเป็น กลุ่มอย่างมีพลัง” นั่นเอง

สรุปกระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศ ภายใต้ Thailand 4.0 มี 3 ประเด็นที่สําคัญ คือ

1 เป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการขับเคลื่อนไปสู่การเป็นประเทศที่มั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม

2 เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูป การวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อมๆ กัน

3 เป็นการผนึกกําลังของทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ” โดยเป็นประชารัฐที่ผนึก กําลังกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนา และบุคลากรระดับโลก ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของการ “รู้จักเติม รู้จักพอ และรู้จักปัน”

การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

ประชากรที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นนับเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสําคัญมาก ฉะนั้น ถ้าองค์การ ใดขาดทรัพยากรมนุษย์ ย่อมส่งผลให้การดําเนินงานขององค์การนั้นล่าช้า พบอุปสรรคนานาประการ ทําให้การ ดําเนินงานขององค์การไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์การไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับ ทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง

การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากรมนุษย์ของ องค์การไว้ล่วงหน้าว่า ต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างไร ระดับใด จํานวนเท่าใด เมื่อใด ด้วยวิธีการใด ต้องพัฒนา บุคคลให้มีความรู้ความสามารถอย่างไร และจะควบคุมจํานวนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับการดําเนินงานขององค์การได้อย่างไร ตลอดจนการกําหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อ จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การวางแผนกําลังคน เป็นการดําเนินการอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์และพยากรณ์เกี่ยวกับ อุปสงค์และอุปทานด้านกําลังคน เพื่อนําไปสู่การกําหนดกลวิธีที่จะให้ได้กําลังคนในจํานวนและสมรรถนะที่เหมาะสม มาปฏิบัติงานในเวลาที่ต้องการ โดยมีแผนการใช้และพัฒนากําลังคนเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อธํารงรักษากําลังคนที่เหมาะสมไว้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ของการวางแผนกําลังคนภาครัฐ มีดังนี้

1 สร้างความเชื่อมโยงระหว่างการจัดการทรัพยากรบุคคล และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของหน่วยงาน

2 ช่วยให้หน่วยงานสามารถจัดจํานวน ประเภท และระดับทักษะของกําลังคนให้เหมาะสมกับงานในระยะเวลาที่เหมาะสม

3 ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้สูงสุด

4 ทําให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5 สามารถรักษากําลังคนที่ดีไว้ในองค์กร

6 ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาด

7 ทําให้ไม่เกิดช่องว่างในการสรรหาบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าที่

8 ทําให้มีการตรวจสอบสภาพกําลังคน และการวิเคราะห์ และวางยุทธศาสตร์กําลังคนได้ถูกต้อง

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบข้อที่ 1 นี้ เป็นของ รศ.ชลิดา ศรมณี

การพัฒนามนุษย์ในชาติมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์เพียงพอในแง่ปริมาณและเป็น มนุษย์ที่มีคุณภาพ มีบทบาทสร้างสรรค์ความเจริญงดงามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างสมดุล คําถามหากจะพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพดังกล่าวข้างต้นนั้น การพัฒนามนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่สําคัญมีอะไรบ้าง (โปรดระบุเป็นข้อ ๆ)

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 12 – 13), (คําบรรยาย)

การพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพ

การพัฒนามนุษย์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์เพียงพอในแง่ปริมาณ และต้องเป็น มนุษย์ที่มีคุณภาพ มีบทบาทสร้างสรรค์ความเจริญงดงามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอย่างสมดุล มนุษย์จะมีคุณภาพ มีบทบาทต่อสังคมทั้งสามด้านดังกล่าวได้ จะต้องได้รับการดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา และ การดํารงชีวิตในสังคมในวัยต่าง ๆ ไปจนตาย ซึ่งอธิบายได้ว่าต้องพัฒนามนุษย์อย่างเป็นกระบวนการตั้งแต่ ปฏิสนธิ สู่วัยเด็ก เข้าสู่วัยแรงงาน วัยชรา จนถึงตาย ซึ่งเกี่ยวพันกับหลายกระบวนการคือ บาทบาทของบิดา มารดา ครอบครัว โรงเรียน สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันทางสังคม วัฒนธรรม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่ มีผลต่อการพัฒนามนุษย์ด้วย

การพัฒนามนุษย์ให้มีคุณภาพต้องพัฒนาด้านต่าง ๆ ที่สําคัญ คือ

1 สถาบันครอบครัว (Family) บิดามารดา สิ่งแวดล้อมในครอบครัวเป็นที่หล่อหลอมคุณค่า หรือคุณภาพของบุตร คนในสมัยก่อนจึงพูดเสมอว่า มารดาเป็นครูคนแรกของบุตร ถ้ามารดามีการศึกษาและมีเวลา ดูแลและอบรมบ่มนิสัยบุตร หรือให้การศึกษาเบื้องต้นแก่บุตรย่อมทําให้เด็กมีคุณภาพและมีคุณธรรม ในปัจจุบันเริ่ม จะไม่เป็นจริง แม้มารดาหรือบิดาจะมีการศึกษา แต่มักจะไม่มีเวลาดูแลบุตรธิดา บางครอบครัวอาจจะปล่อยให้ เด็กรับใช้ในบ้านเป็นผู้ดูแล ฉะนั้นเด็กรับใช้ในบ้านจึงกลายเป็นครูคนแรกของบุตร แล้วคุณภาพของบุตรธิดาจะ เป็นอย่างไรในครอบครัวเช่นนี้ และกําลังสําคัญของชาติในอนาคตจะมีคุณภาพอย่างไรก็พอจะเดาได้เช่นกัน

ครอบครัวที่ดีมีความรักและความอบอุ่นเป็นรากฐานสําคัญที่จะเป็นแรงผลักดันให้เด็ก และเยาวชนอันเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาคน พัฒนาสังคมในอนาคตให้เติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ สิ่งแวดล้อมในครอบครัวเป็นปัจจัยสําคัญที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการต่าง ๆ ของเด็กทุกด้าน เมื่อใดที่ครอบครัวต้องเผชิญกับปัญหา เมื่อนั้นย่อมมีผลกระทบต่อสถานภาพของครอบครัว รวมทั้งความมั่นคง ของสังคมด้วย เนื่องจากครอบครัวเป็นภารกิจที่สําคัญของชีวิตมนุษย์

ดังนั้น ครอบครัวที่ดีเท่านั้นจะสามารถป้องกันและแก้ไขต้นเหตุของปัญหาสังคมได้ เด็กจะมีสุขภาพกายและใจที่ดี และมีคุณภาพตามศักยภาพสูงสุดของแต่ละคนได้ในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับการ เลี้ยงดูและการอบรมเด็กในสถาบันครอบครัวเป็นเบื้องต้น

2 การศึกษา (Education) การศึกษาในความหมายอย่างกว้าง คือ กระบวนการเรียนรู้ทุก รูปแบบตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นขบวนการของชีวิต เป็นขบวนการหาความรู้และประสบการณ์ทุกอย่างที่ได้รับ ตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก วันรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา กระบวนการดังกล่าวอาจจะอาศัยสื่อการศึกษา คือ บ้าน โรงเรียน วัด สังคมและสิ่งแวดล้อม ในกรณีนี้ชีวิตและกิจกรรมเพื่อชีวิตทุกอย่างของเราล้วนเป็น โรงเรียนหรือแหล่งการศึกษาที่แท้จริงการศึกษาจึงหมายถึง ประสบการณ์รวมที่บุคคลได้รับทั้งในและนอก โรงเรียนและสถาบันการศึกษา และได้สะสมมาตลอดชีวิต การศึกษาในกรณีนี้คือ ชีวิต (Education is Life)

การศึกษาในความหมายอย่างแคบ คือ การเรียนการสอนในโรงเรียน วิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเท่านั้น การศึกษาจะเริ่มเมื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนและสถานศึกษา จะสิ้นสุดเมื่อออกจากโรงเรียน และสถาบันการศึกษา กรณีนี้มักจะเป็นการศึกษาที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และอาจารย์ ได้เตรียมการจัดการเรียน การสอนไว้พร้อม เพื่อให้ผู้เข้าศึกษาได้มีความรู้ และความสามารถเพื่อจะดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีสวัสดิภาพ และเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติด้วย

คณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อปฏิรูปการศึกษา ได้ให้ความหมายของการศึกษาที่พึงประสงค์สําหรับประเทศไทยไว้ว่า เป็นการเสริมสร้างความรู้ ความคิด ทักษะ และทัศนคติให้คนไทยรู้จักตนเอง รู้จักชีวิต เข้าใจสังคมและสิ่งแวดล้อม อันตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย แล้วนําความรู้ความเข้าใจใช้แก้ปัญหา และ เสริมสร้างชีวิตและสังคมให้ดีขึ้นโดยกลมกลืนกับธรรมชาติ

3 การฝึกอบรม (Training) คือ กรรมวิธีที่จะเพิ่มพูนสมรรถภาพในการทํางานของผู้ปฏิบัติ งานให้พัฒนาในด้านความคิด การกระทํา ความสามารถ ความรู้ ความชํานาญ และทัศนคติต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมาย ที่จะยกระดับประสิทธิภาพการทํางาน และการผลิตในปัจจุบันและอนาคต

4 การมีสุขภาพอนามัยและโภชนาการที่ดี (Health and Nutrition) คงจะได้ยินสุภาษิต ที่ว่า จิตใจที่ดีอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) จิตใจและร่างกายมีความสัมพันธ์กัน เวลาเจ็บป่วยไม่สบายจะรู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากจะทํางานหรือแม้จะทํางานก็ไม่ได้ผลเต็มที่ ในทํานองเดียวกันหาก เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาถ้าสุขภาพไม่ดีเจ็บออด ๆ แอด ๆ ก็ไม่สามารถจะรับการศึกษาได้เต็มที่ การเรียนก็จะ – ไม่ได้ผลเท่าที่ควร ความรู้ ความสามารถ หรือคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่ควรจะได้รับเต็มที่ก็ได้รับน้อยกว่าปกติ

การลงทุนในสุขภาพอนามัยจึงเป็นการลงทุนร่วม (Joint Investment) กับการลงทุน ในการศึกษา สุขภาพดีเรียนย่อมได้ผลดี และในทางกลับกันบุคคลที่ได้รับการศึกษาดีย่อมรู้จักรักษาสุขภาพ อนามัยของตนมากกว่าบุคคลที่ด้อยการศึกษา มารดาที่มีสุขภาพอนามัยที่ดี บุตรในครรภ์ย่อมจะสมบูรณ์ คลอดออกมาแล้วก็สมบูรณ์ มีน้ำนมดี ลูกก็จะเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมอง และถ้ามารดามีการศึกษาที่ดีย่อมรู้จัก รักษาสุขภาพ หรือสามารถเข้าถึงข่าวสารด้านสุขภาพได้ดีกว่ามารดาที่ด้อยการศึกษา ฉะนั้น ค่าใช้จ่ายในการ บํารุงสุขภาพอนามัย หรือมีโภชนาการที่ดี มีการป้องกันและรักษาสุขภาพเวลาเจ็บป่วย ทําให้เป็นทรัพยากร มนุษย์ที่มีคุณภาพหรือมีคุณค่าในสังคม แต่ถ้าสุขภาพไม่ดี นอกจากจะเรียนศึกษา หรือทํางานไม่ได้เต็มที่แล้ว ยัง จะเป็นคนแพร่เชื้อโรคในสังคม ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ใด

5 การอพยพ (Migration) การที่บุคคลใดจะต้องตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยจากที่ หนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง ผู้อพยพได้พินิจและพิจารณาแล้วว่า ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น รายได้ และผลประโยชน์อื่นใดที่ เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินจากการอพยพครั้งนั้นต้องสูงกว่าต้นทุนหรือรายจ่ายที่เป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงินที่ ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการอพยพครั้งนั้น หรือจะพูดได้ว่า ผลได้จะต้องมากกว่าผลเสียเขาจึงจะตัดสินใจอพยพ

แรงงานที่อพยพเข้ามาในกรุงเทพมหานคร หรือไปต่างประเทศ ย่อมได้รับความรู้ ประสบการณ์และรายได้มากกว่าที่จะอยู่ในเดิม จึงเป็นการเพิ่มคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ อันที่จริงแล้วแรงงานไทยที่ อพยพไปขุดทองในต่างประเทศนั้นก็คือ “นักเรียนนอก”ระดับหนึ่งไปหาความรู้ ประสบการณ์ และรายได้ใน ต่างประเทศ กลับมาคงจะได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และรายได้ที่จะทําให้เขามีฐานะดีขึ้น มีเงินที่จะลงทุนในการศึกษาของตนหรือสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น หรือสามารถจะใช้ในการบํารุงสุขภาพ อนามัย ป้องกันหรือรักษา สุขภาพเวลาเจ็บป่วย ย่อมเป็นการเพิ่มคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ของสังคมและประเทศชาติ

6 ข่าวสารเกี่ยวกับตลาดแรงงาน (Job-Market Information) ข่าวสารเกี่ยวกับ ตลาดแรงงาน เช่น ตําแหน่งว่างงาน คุณสมบัติแรงงานที่ต้องการ และแหล่งที่ต้องการแรงงาน ข่าวสารดังกล่าวนี้ มีประโยชน์มากสําหรับนายจ้างและลูกจ้าง การจะได้ข่าวสารเช่นนี้จะต้องมีการเสาะแสวงหาและเสียค่าใช้จ่าย ปกติรัฐบาลจะเป็นผู้ให้บริการข่าวสารนี้และตั้งเป็นศูนย์บริการหางาน จะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการหางาน และช่วยลดเวลา ค่าใช้จ่ายในการหาแรงงานของนายจ้างด้วย ทําให้ตลาดแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการว่างงานและเพิ่มการจ้างงาน เมื่อแรงงานหางานทําได้เร็วย่อมมีรายได้และเวลาในการหาประสบการณ์มากขึ้น กว่าปกติ ข่าวสาร ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดงานจึงช่วยในการเพิ่มความรู้ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายในการหางาน ของแรงงานด้วย

7 ประสบการณ์ในการทํางาน (Work Experience) บุคคลที่ได้ลงทุนในการศึกษาตั้งแต่ต้น จนจบมหาวิทยาลัย ย่อมต้องการที่จะได้งานทําสมกับความรู้ที่ตนได้เรียนมา การทํางานเป็นการนําเอาความรู้ที่ได้ ศึกษาเล่าเรียนมา เอามาใช้ในทางปฏิบัติ เป็นการฝึกฝนจากของจริง การทํางานในหน้าที่จะเป็นการเพิ่มประสบการณ์ ในการทํางาน ทําให้เกิดความชํานาญ ล้วนเป็นการเพิ่มพูนคุณค่าในตัวทรัพยากรมนุษย์

8 สภาวะสิ่งแวดล้อม (Environment) สิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อพฤติกรรมมนุษย์ ตั้งแต่ อยู่ในครรภ์มารดาจนกระทั่งถึงวันตาย ในปัจจุบันภัยอันตรายที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนกําลังคืบคลานเข้ามา ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรโลก และการนําเอา วิทยาการใหม่ ๆ มาใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยในบางครั้งไม่ได้คํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น สภาพแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ หรือของโลกได้เลวร้ายลงตามลําดับ อันสืบเนื่องมาจากอากาศเป็นพิษ อากาศ บริสุทธิ์ สําหรับมนุษย์หายใจในปัจจุบันนี้ไม่บริสุทธิ์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของ มนุษย์ที่มองไม่เห็นทําให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อที่ 2. นี้ เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา ชุ่มนาเสียว

คําสั่ง ให้นักศึกษาทําให้ครบทุกข้อ

2.1 อธิบายคําว่า “Knowledge Worker” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมาให้

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Knowledge Worker คือ แรงงานที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเป็นแรงงานที่อยู่ภายใต้ กระแสโลกาภิวัตน์ได้ ซึ่งเป็นแรงงานที่หน่วยงานมีความต้องการมากที่สุด โดยคุณสมบัติของ Knowledge Worker – ประกอบด้วย เก่งคิด (Thinking), ขยันเขียน (Writing), ขยันอ่าน (Reading), ขยันพูด (Speaking), ขยันฟัง (Listening) และขยันปฏิบัติ (Doing) ตัวอย่างเช่น แรงงานที่นอกจากจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วยังต้อง มีความรู้ความสามารถที่เก่งภาษาอังกฤษอีกด้วย เป็นต้น

2.2 อธิบายคําว่า “Stock of Knowledge” ว่าสะท้อนเรื่องอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบมา ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-1 หน้า 19 – 21), (เอกสารหมายเลข 7-3328-2 หน้า 2, 17 – 21),

(คําบรรยาย) การเพิ่มความรู้ (Stock of Knowledge)

ทุนมนุษย์ (Human Capital) เป็นแนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยถือว่าการศึกษาเป็น สินค้าที่ใช้บริโภคอย่างหนึ่ง การศึกษาทําให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงาน การตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษา หรือให้การศึกษาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อผลผลิตและผลตอบแทนจากการทํางานอันสูงสุด ซึ่งเกิดจาก แรงงานผู้บริโภคการศึกษานั้น

การศึกษาเป็นปัจจัยสําคัญที่ก่อให้เกิดทักษะในด้านต่าง ๆ และการศึกษาเป็นกิจกรรมทาง เศรษฐกิจที่มีผลการศึกษาเป็นสินค้า (Gods) ที่เรียกว่า Human Capital หรือทุนมนุษย์ ซึ่งการลงทุนทางการศึกษา ก็คือ การเพิ่มความรู้ (Stock of Knowledge) ซึ่งประกอบไปด้วยทักษะ (Skills) ด้านต่าง ๆ แก่ผู้เข้ารับการศึกษา และเป็นการสะสมทุนมนุษย์ คือ การจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มทุนมนุษย์

การลงทุนในการศึกษาเป็นกระบวนการปรับปรุงคุณภาพทรัพยากรบุคคลให้มีความรู้ความชํานาญ สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม และข่าวสารใหม่ ๆ ได้ดี ทําให้เขาสามารถ ทํางานได้ดีมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้มีการศึกษาด้อยกว่า การลงทุนในการศึกษาจึงเป็นกิจกรรมที่เพิ่มความรู้ เพิ่มผลผลิตและรายได้ในอนาคต และหากการศึกษาสามารถทําให้ได้คนเก่ง คนดี และมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขนั้น แหละคือมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพที่เรียกว่า ทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญ ดังเช่น

Alvin Toffler กล่าวว่า ไม่มีใครซื้อหุ้นบริษัท Apple และ IBM เพียงเพราะว่าสองบริษัทนี้ มีทรัพย์สินที่เป็นวัตถุจับต้องได้ คือไม่มีใครสนใจตึกหรือคอมพิวเตอร์ แต่ผู้ซื้อหุ้นสนใจสายสัมพันธ์ อํานาจทาง การตลาด และทีมขายกับประสิทธิภาพของผู้บริหาร และความคิดใหม่ ๆ ที่ตัวพนักงานบริษัท สิ่งเหล่านี้คือ ทุนมนุษย์ อันเป็นผลพวงของการศึกษา

 

2.3 การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุกับแนวคิด Human Capital จะมีความเกี่ยวข้องกับทรัพยากรมนุษย์ในชาติกันอย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายมาเป็นประเด็น ๆ ให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

สังคมผู้สูงอายุกับการเป็นทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource)

สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ

ประเทศไทยกําลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยพบว่า หลังจากปี 2552 ประชากรที่อยู่ในวัยพึ่งพิง ได้แก่ เด็กและผู้สูงอายุ จะมีจํานวนมากกว่าประชากรในวัยแรงงาน และในปี 2560 จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประชากรเด็กน้อยกว่าผู้สูงอายุ สถานการณ์นี้เป็นผลมาจาก

การลดภาวะเจริญพันธุ์อย่างรวดเร็ว และการลดลงอย่างต่อเนื่องของระดับการตายของประชากร ทําให้จํานวน และสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แนวโน้มสังคมผู้สูงอายุมีมากขึ้นทําให้ปัจจัยการผลิตทางด้านแรงงานลดลง การออมลดลง รัฐบาลจําเป็นต้องเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการและการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นเพื่อดูแลและ ปฐมพยาบาลผู้สูงอายุมากขึ้น ทําให้การลงทุนลดลง รายได้ประชาชาติลดลง ทั้งนี้การที่แรงงานลดลงอาจแก้ไข โดยการนําเทคโนโลยีเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานคน หรือใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งจะมีผลทําให้เกิดการเคลื่อนย้าย แรงงานมากขึ้น หากไม่มีการเตรียมความพร้อม การจัดสรรทรัพยากรแรงงานที่จะลดลงจะมีผลกระทบต่อความมั่นคง ทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ทําให้รายได้ประชาชาติลดลงได้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนั้นโครงสร้างของประชากร เปลี่ยนแปลงไปมีสัดส่วนของผู้สูงอายุมากขึ้น ย่อมทําให้เกิดผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

ดังนั้นในการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ควรจะร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับบุคคล ชุมชน องค์การ และประเทศ โดยเฉพาะการร่วมกันกระตุ้นเพื่อให้ตระหนักถึงความสําคัญของ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยมีการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ มีการเตรียมวางแผนการออม การใช้ชีวิตในบั้นปลาย การร่วมมือกันในชุมชน การจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางด้านสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุ การปรับตัวทางด้าน จิตใจและสังคมของผู้สูงอายุ รวมทั้งการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและการออมเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อถึงวัย ผู้สูงอายุ ซึ่งสําหรับบางประเทศได้มีการขยายอายุผู้เกษียณอายุและเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทํามากขึ้นเพื่อ ไม่ให้รู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่า และเป็นภาระกับสังคมเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้สูงอายุ

ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในชาตินั้นนับเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสําคัญมาก ฉะนั้น ถ้าองค์การใดขาดทรัพยากรมนุษย์ ย่อมส่งผลให้การดําเนินงานขององค์การนั้นล่าช้า พบอุปสรรคนานาประการ ทําให้การดําเนินงานขององค์การไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์การไม่เกิดปัญหา เกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง

โดยที่การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการคาดการณ์ความต้องการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ขององค์การไว้ล่วงหน้าว่า ต้องการบุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างไร ระดับใด จํานวนเท่าใด เมื่อใด ด้วยวิธีการใด ต้องพัฒนา บุคคลให้มีความรู้ความสามารถอย่างไร และจะควบคุมจํานวนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การให้มีความเหมาะสม

สอดคล้องกับการดําเนินงานขององค์การได้อย่างไร ตลอดจนการกําหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อจะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบข้อที่ 1. นี้ เป็นของ รศ.ชลิดา ศรมณี

ให้นักศึกษาอธิบายเรื่อง “การวางแผนพัฒนามนุษย์ในชาติ” ว่าจะต้องพัฒนามนุษย์ทางด้านใดบ้าง ทั้งนี้เพื่อจะส่งผลถึงการพัฒนาชาติและส่งผลให้มนุษย์อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในชาติ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 1-3328-2 หน้า 5 – 10, 45 – 46), (คําบรรยาย)

การวางแผนพัฒนามนุษย์ในชาติ

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ซึ่งมองว่าเมื่อมีการพัฒนาที่ตัวคนแล้วก็จะ ทําให้เกิดการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ตามมาด้วย ทั้งนี้จะดูแลและพัฒนาคนในทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน ทั้งการศึกษาและ สุขภาพอนามัย การพัฒนาประเทศชาติให้เจริญได้นั้นต้องเน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพราะจะให้คนที่ มีความรู้ความสามารถก่อนแล้วถึงจะไปพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้ ฉะนั้นเวลาเราจะพัฒนาคนก็จะต้องพัฒนาทุกด้าน ของคนทั้งกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ จริยธรรมและศาสนาก่อน คนที่ได้รับการพัฒนาหมดทุกด้านดังกล่าวแล้ว ก็สามารถนําเอาความรู้ความสามารถมาพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดูแลครอบครัว ชุมชน สังคม การเมืองทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และพอทุกอย่างเจริญก้าวหน้าแล้วก็จะส่งผลกลับมาที่คน ทําให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน

การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเริ่มจากการพัฒนาคนก่อน ซึ่งมีความสําคัญที่จะต้องพัฒนาคนเป็น 2 ด้าน คือ

1 พัฒนาคนให้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนนําในการพัฒนาและบูรณาการให้เกิดความสมดุล อย่างถูกทาง และเป็นการอํานวยประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น พัฒนาคนให้มีสุขภาพดีมีความรับผิดชอบ มีความรู้ ความสามารถ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย เป็นต้น

2 พัฒนาคนเพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวมนุษย์เองทุกคน เช่น พัฒนาคนในเรื่องของคุณค่า ความเป็นคน พัฒนาคนให้มีความสุข มีพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญา มีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นต้น

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบและนําไปสู่ การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป อย่างในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้เน้นที่การพัฒนาคน เพื่อก้าวไปสู่วิสัยทัศน์การพัฒนาที่พึงประสงค์ในระยะยาว ซึ่งวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 จะเน้น การพัฒนาที่ตัวคนทั้งสิ้น ดังนี้

1 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของคนทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาให้มีสุขภาพอนามัย แข็งแรง มีความรู้ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชีพ และสามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง

2 เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมให้มีความมั่นคง และเสริมสร้างความเข้มแข็งของ ครอบครัวและชุมชน ให้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน รวมทั้งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการ พัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น

3 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มั่นคง และสมดุล เสริมสร้างโอกาสการพัฒนาศักยภาพของคนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาที่ เป็นธรรม

4 เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความ สมบูรณ์ สามารถจะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน

5 เพื่อปรับระบบบริหารจัดการ เปิดโอกาสให้องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาประเทศมากขึ้น

ดังนั้น การวางแผนพัฒนาประเทศซึ่งมีความสําคัญต่อคนและประเทศควรยึดหลักการปฏิบัติตาม ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกภาคส่วนทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มีคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มีการเชื่อมโยงทุกมิติของ การพัฒนาอย่างบูรณาการทั้งมิติตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อม เผชิญการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ขณะเดียวกันก็ให้ ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมในกระบวนการพัฒนาประเทศ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และความอยู่ดีมีสุขของคนไทย

 

ข้อ 2 ข้อสอบข้อที่ 2 นี้ เป็นของ ผศ.ดร.ปรัชญา ชุ่มนาเสียว

คําแนะนํา ทําให้ครบทุกข้อ

2.1 อธิบายคําว่า “Knowledge Worker” ว่าคืออะไร และยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Knowledge Worker คือ แรงงานที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเป็นแรงงานที่อยู่ภายใต้ กระแสโลกาภิวัตน์ได้ ซึ่งเป็นแรงงานที่หน่วยงานมีความต้องการมากที่สุด โดยคุณสมบัติของ Knowledge Worker ประกอบด้วย เก่งคิด (Thinking), ขยันเขียน (Writing), ขยันอ่าน (Reading), ขยันพูด (Speaking), ขยันฟัง (Listening) และขยันปฏิบัติ (Doing) ตัวอย่างเช่น แรงงานที่นอกจากจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วยังต้องมีความรู้ ความสามารถที่เก่งภาษาอังกฤษอีกด้วย เป็นต้น

2.2 อธิบายคําว่า “อุปสงค์และอุปทานแรงงาน” ว่าคืออะไร และยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 4 – 5)

อุปสงค์และอุปทานแรงงาน

อุปสงค์แรงงาน คือ ความต้องการด้านแรงงาน ส่วนอุปทาน คือ การตอบสนองต่อความต้องการ ด้านแรงงาน ซึ่งถ้าอุปสงค์มีมากกว่าอุปทานก็แสดงว่ามีการขาดแคลนเกิดขึ้น แต่ถ้าหากอุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ ก็แสดงว่ามีการเกินความต้องการเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น

– ถ้าอุปสงค์แรงงานในสาขาการแพทย์ คือ 6,500 คน และอุปทานคือ 6,000 คน แสดงว่าขาดแพทย์ที่ต้องการอีก 500 คน

– ถ้าอุปสงค์แรงงานในด้านครู คือ 40,000 คน และอุปทาน คือ 90,000 คน แสดงว่ามีครูเกินความต้องการอยู่ 50,000 คน

 

2.3 การลงทุนด้านการศึกษา และการลงทุนด้านสุขภาพอนามัย มีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง และจะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในองค์การได้อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ มาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 7-3328-1 หน้า 3, 17 – 20, 24), (คําบรรยาย)

สภาพปัญหาของทรัพยากรมนุษย์

การพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ได้ถูกครอบงําด้วยกระแสหลักของ กระบวนการพัฒนาตามประเทศทุนนิยมตะวันตกที่มุ่งเน้นความสําคัญของภาคเศรษฐกิจเป็นหลัก และให้ความสําคัญของมนุษย์เป็นเพียงแค่เครื่องมือหรือเน้นคนเป็นเพียงปัจจัยการผลิตเท่านั้น จึงทําให้เกิดปัญหามากมายที่มาพร้อมกับ กระบวนการพัฒนาที่ขาดสมดุลระหว่างระบบต่าง ๆ ในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหากระจายรายได้ ปัญหาความยากจน ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียหาย ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ปัญหาความล่มสลายของ ชุมชนชนบท ปัญหาความอ่อนล้าของคุณธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรม ปัญหาความไม่มั่นใจในระบบการเมือง การปกครอง การบริหารที่เป็นอยู่ ฯลฯ ดังคํากล่าวที่ว่า เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน

เมื่อผลของการพัฒนาเป็นเช่นนี้ก็ได้มีการทบทวนกระบวนการพัฒนาจากเดิมที่เน้นภาคเศรษฐกิจ เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มาเป็นการพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบ และนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

การลงทุนด้านการศึกษา

การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งที่สังคมหวังพึ่งพาให้เป็นเครื่องมือ เตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลของการศึกษา ที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะถูกผลักให้มองคนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์มากกว่าที่จะมองคนเป็นคนที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเอง การศึกษาจึงเอนเอียงไปในการทําคนให้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตที่มี คุณค่ามากกว่าจะเคารพในคุณค่าของความเป็นคน การศึกษาที่ผ่านมาจึงมิได้ส่งเสริมให้คนรอบรู้และเข้าใจชีวิตและ เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) มากกว่าการพัฒนามนุษย์ (Human Development)

การศึกษาจะมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมไทยในช่วงที่ ผ่านมาดูเหมือนว่ามีคนเก่งมากมายที่ช่วยกันทําให้เกิดความเจริญทุกด้าน แต่คนในสังคมมีความบกพร่องทางศีลธรรม

เพิ่มมากขึ้นทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในทุกองค์กร ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ควรทุ่มเทด้านความเก่ง (Manpower) เพียงเพื่อจะเพิ่มมูลค่าภายนอกของมนุษย์ (Economic Value Added)เท่านั้น แต่ต้องให้ความสนใจต่อความเป็นคนดี (Manhood) และการเพิ่มมูลค่าภายในของมนุษย์ (Social Value Added) ด้วย ถ้าการศึกษาได้สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านย่อมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดดุล ทางปัญญาและดุลทางเศรษฐกิจ และจะได้มีเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้นการศึกษาที่ควรจะ เป็นคือ การศึกษาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Oriented)

จะเห็นได้ว่าการศึกษามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวที่จะช่วยสร้าง และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาชาติได้ โดยสิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องเร่งดําเนินการ ก็คือ การสะสมทุนมนุษย์ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการลงทุนทางด้านการศึกษาภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

การลงทุนด้านสุขภาพอนามัย

สุขภาพอนามัยมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังคํากล่าวที่ว่า จิตใจที่มั่นคงจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) หรือคํากล่าวในพุทธสุภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ กล่าวคือ ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยที่ดี ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย ก็จะสามารถ ทํากิจกรรมใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จะศึกษาเล่าเรียนก็จะศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทํางานก็ทําได้ดี ซึ่งผู้ที่มีการศึกษาดีกว่ามักจะมีแนวโน้มที่จะสนใจรักษาสุขภาพอนามัยมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาด้อยกว่า

ดังนั้นจึงมักจะถือว่าการลงทุนด้านการศึกษาและการลงทุนด้านสุขภาพอนามัยเป็นการลงทุนร่วม (Joint Investment) คือจะเป็นการลงทุนที่สามารถเอื้อประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันได้

ประชาคมอาเซียนกับทรัพยากรมนุษย์

การก้าวหน้าไปสู่ประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งได้นั้นปัจจัยสําคัญที่สุดก็คือ ทรัพยากรมนุษย์ซึ่งควรที่จะมีความรู้และศักยภาพเท่าเทียมกันมากขึ้น และเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในภูมิภาค ประโยชน์ของการเป็นประชาคมอาเซียนก็คือ การได้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมาทดแทนศักยภาพแรงงาน และจัดระบบการรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานระหว่างประเทศ

ประเทศไทยจําเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนในการก่อให้เกิดความร่วมมือแบบหุ้นส่วนผลิตภาพ (Productivity) ของกําลังแรงงานทั้งในระดับแรงงานฝีมือ

การไหลเวียนของกําลังแรงงานข้ามพรมแดนระหว่างกันและกันในภูมิภาค ยึดหลัก “คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา” ส่งเสริมให้มีงานทํา มีศักยภาพสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน มีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ผลกระทบต่อประเทศไทยเมื่อเปิดแรงงานเสรีอาเซียน ปี 2558

– การไหลบ่าของแรงงานที่จะเข้ามาแข่งขัน

– แรงงานไทยจะขาดแคลนมากยิ่งขึ้น

– เกิดการสมองไหลไปทํางานในต่างประเทศ

– ลาว กัมพูชา พม่า จีน และอินเดียจะเข้ามาประเทศไทยมากยิ่งขึ้นนี้ คนไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้

– ใช้ภาษาอังกฤษให้คล่องในการสื่อสารได้

– ต้องเรียนรู้และสื่อสารภาษาประเทศเพื่อนบ้าน

– ต้องรู้จักอาเซียนมากกว่ารู้ว่าอาเซียนคืออะไร

– ต้องรู้จักวิธีการทํามาค้าขายกับประเทศในอาเซียน

– ต้องเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ทัศนคติประเทศในอาเซียนข้อตกลงการยอมรับร่วมกันในบุคลากรวิชาชีพ ซึ่งมี 7 อาชีพที่สามารถทํางานได้เสรีใน 10 ประเทศ อาเซียน ได้แก่ วิศวกร พยาบาล สถาปนิก การสํารวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และบัญชี

 

แรงงานไทยต้องปรับตัว ดังนี้

– การยกระดับมาตรฐานการศึกษา

– พัฒนาแนวคิดและวัฒนธรรมทางการเรียนรู้

– เน้นการลงมือทําได้จริง

– พัฒนาระบบสาธารณสุขและคุณภาพชีวิต

– พัฒนาวิสัยทัศน์และแนวคิดมุมมองให้กว้างไกลทันโลก

– ติดตามความเปลี่ยนแปลงทุกด้านของประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

– พัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสาร

– พัฒนาแนวทางคุ้มครองแรงงานให้เป็นมาตรฐานสากล

มิติที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ควรมีการเตรียมรับมือ ดังนี้

1 ปรับเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดเลือกสรรหาให้พร้อมต่อการรับมือกับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น ตั้งเกณฑ์การคัดเลือกพนักงานใหม่ให้มีคุณลักษณะ มีสมรรถนะ (Competency) ที่พร้อมจะทํางานในสภาพแวดล้อมที่เป็นสากลด้วย และมีการพัฒนาเงื่อนไขการจ้างงานที่เอื้อต่อการจ้างงานจากนอกประเทศเข้ามาในองค์กร

2 พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมภาคบังคับที่จะเอื้อให้พนักงานเกิดความต้องการพัฒนาทักษะที่พร้อมทํางานข้ามประเทศ

3 เตรียมนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งพนักงานไปประจําที่ต่างประเทศให้พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทน

4 สร้างเงื่อนไขในการเลื่อนตําแหน่ง โดยมีการวางเกณฑ์ของการเคยไปประจําที่ต่างประเทศหรือรับผิดชอบงานต่างประเทศเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการรับการพิจารณา

5 สร้างความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรที่จะเตรียมแรงงานทักษะให้มีความพร้อมต่อการเกิดขึ้นของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งแต่ยังอยู่ในสถาบันการศึกษา

 

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 3 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ให้นักศึกษาอธิบายคําศัพท์ที่ได้ศึกษามาในวิชาการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ ดังนี้ .

1.1 อธิบายคําว่า “ทรัพยากรมนุษย์” (Human Resource) ว่าคืออะไร และมีความสําคัญอย่างไร

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-2 หน้า 2)

ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) คือ ผลรวมของความรู้ ความชํานาญ ความถนัดของประชากรทั้งหมดในประเทศ ทั้งในด้านปริมาณ เช่น จํานวนการกระจายของประชากร กําลังแรงงาน ฯลฯ และ ด้านคุณภาพ เช่น ความรู้ ความชํานาญ ความถนัด คุณค่า แรงจูงใจ จิตใจ สุขภาพ ฯลฯ

ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในชาติมีความสําคัญต่อการผลิตสินค้าและบริการ และผลผลิตหรือ รายได้ประชากรชาติจะต่ําลงหากปราศจากการศึกษาอบรมและการดูแลด้านสุขภาพอนามัยที่ดี

1.2 อธิบายคําว่า “การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 3)

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) หมายถึง กระบวนการ เพิ่มความรู้ ความชํานาญ และความสามารถโดยรวมของประชากรในสังคมในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1 ด้านเศรษฐกิจ ช่วยอธิบายทฤษฎีทุนมนุษย์ที่เกี่ยวกับการคํานวณด้านการลงทุน (การศึกษา, อนามัย ฯลฯ) เปรียบเทียบกับรายได้และผลต่อสังคม

2 ด้านการเมือง ช่วยก่อให้เกิดวุฒิภาวะทางการเมืองโดยรวมในฐานะที่เป็นพลเมืองใน ระบอบประชาธิปไตย

3 ด้านสังคมและวัฒนธรรม ช่วยทําให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมทั้งการพัฒนาทางด้าน จิตใจ คุณธรรม และวัฒนธรรม

1.3 อธิบายคําว่า “Knowledge Worker” พร้อมยกตัวอย่างประกอบ แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Knowledge Worker คือ แรงงานที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเป็นแรงงานที่อยู่ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ได้ ซึ่งเป็นแรงงานที่หน่วยงานมีความต้องการมากที่สุด โดยคุณสมบัติของ Knowledge Worker ประกอบด้วย

เก่งคิด (Thinking), ขยันเขียน (Writing), ขยันอ่าน (Reading), ขยันพูด (Speaking), ขยันฟัง (Listening) และขยันปฏิบัติ (Doing)

ตัวอย่างเช่น แรงงานที่นอกจากจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ยังต้องมีความรู้ความสามารถที่เก่งภาษาอังกฤษอีกด้วย เป็นต้น

1.4 อธิบายคําว่า “Human Resource Planning” พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Human Resource Planning (การวางแผนทรัพยากรมนุษย์) หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ คาดคะเนความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตอย่างเป็นระบบ โดยระบุจํานวนคน ประเภทของบุคคลที่จะ ปฏิบัติงาน รวมถึงระดับทักษะ ความรู้ และความสามารถที่ต้องการ เพื่อให้องค์การมั่นใจได้ว่ามีบุคลากรที่มีคุณสมบัติ เหมาะสมและมีจํานวนเพียงพอกับการปฏิบัติงานที่คาดว่าจะมีในอนาคต พร้อมทั้งกําหนดแนวทางในการปฏิบัติ และมีแผนการใช้บุคลากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ ตัวอย่างเช่น การวางแผนกําลังคน เพื่อให้ได้ปริมาณ และคุณภาพที่ต้องการตามระยะเวลา และเป้าหมาย เป็นต้น

 

ข้อ 2 จงอธิบายลักษณะสภาพปัญหาของทรัพยากรมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมุ่งเน้นการพัฒนาคนเป็นจุดศูนย์กลางของการพัฒนา ด้วยการลงทุนด้านการศึกษา และสุขภาพอนามัย และ จะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เมื่อต้องเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-1 หน้า 3, 17 – 20, 24), (คําบรรยาย)

สภาพปัญหาของทรัพยากรมนุษย์

การพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ได้ถูกครอบงําด้วยกระแสหลักของ กระบวนการพัฒนาตามประเทศทุนนิยมตะวันตกที่มุ่งเน้นความสําคัญของภาคเศรษฐกิจเป็นหลัก และให้ความสําคัญ ของมนุษย์เป็นเพียงแค่เครื่องมือหรือเน้นคนเป็นเพียงปัจจัยการผลิตเท่านั้น จึงทําให้เกิดปัญหามากมายที่มาพร้อมกับกระบวนการพัฒนาที่ขาดสมดุลระหว่างระบบต่าง ๆ ในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหากระจายรายได้ ปัญหาความยากจน ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียหาย ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ปัญหาความล่มสลายของ ชุมชนชนบท ปัญหาความอ่อนล้าของคุณธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรม ปัญหาความไม่มั่นใจในระบบการเมือง การปกครอง การบริหารที่เป็นอยู่ ฯลฯ ดังคํากล่าวที่ว่า เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน

เมื่อผลของการพัฒนาเป็นเช่นนี้ก็ได้มีการทบทวนกระบวนการพัฒนาจากเดิมที่เน้นภาคเศรษฐกิจเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มาเป็นการพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบ และนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

การลงทุนด้านการศึกษา

การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งที่สังคมหวังพึ่งพาให้เป็นเครื่องมือ เตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลของการศึกษา ที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะถูกผลักให้มองคนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์มากกว่าที่จะมองคนเป็นคนที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเอง การศึกษาจึงเอนเอียงไปในการทําคนให้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตที่มี คุณค่ามากกว่าจะเคารพในคุณค่าของความเป็นคน การศึกษาที่ผ่านมาจึงมิได้ส่งเสริมให้คนรอบรู้และเข้าใจชีวิตและ เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) มากกว่าการพัฒนามนุษย์ (Human Development)

การศึกษาจะมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมไทยในช่วงที่ ผ่านมาดูเหมือนว่ามีคนเก่งมากมายที่ช่วยกันทําให้เกิดความเจริญทุกด้าน แต่คนในสังคมมีความบกพร่องทางศีลธรรม เพิ่มมากขึ้นทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในทุกองค์กร ดังนั้นการศึกษา จึงไม่ควรทุ่มเทด้านความเก่ง (Manpower) เพียงเพื่อจะเพิ่มมูลค่าภายนอกของมนุษย์ (Economic Value Added) เท่านั้น แต่ต้องให้ความสนใจต่อความเป็นคนดี (Manhood) และการเพิ่มมูลค่าภายในของมนุษย์ (Social Value Added) ด้วย ถ้าการศึกษาได้สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านย่อมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดดุล ทางปัญญาและดุลทางเศรษฐกิจ และจะได้มีเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้นการศึกษาที่ควรจะ เป็นคือ การศึกษาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Oriented)

จะเห็นได้ว่าการศึกษามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวที่จะช่วยสร้าง และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาชาติได้ โดยสิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องเร่งดําเนินการ ก็คือ การสะสมทุนมนุษย์ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการลงทุนทางด้านการศึกษาภายในประเทศ ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป .

การลงทุนด้านสุขภาพอนามัย

สุขภาพอนามัยมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังคํากล่าวที่ว่า จิตใจที่มั่นคงจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) หรือคํากล่าวในพุทธสุภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ กล่าวคือ ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยดี ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย ก็จะสามารถทํา กิจกรรมใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จะศึกษาเล่าเรียนก็จะศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทํางานก็ทําได้ดี ซึ่งผู้ที่มีการศึกษาดีกว่ามักจะมีแนวโน้มที่จะสนใจรักษาสุขภาพอนามัยมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาด้อยกว่า

ดังนั้นจึงมักจะถือว่าการลงทุนด้านการศึกษาและการลงทุนด้านสุขภาพอนามัยเป็นการลงทุนร่วม (Joint Investment) คือจะเป็นการลงทุนที่สามารถเอื้อประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันได้

ประชาคมอาเซียนกับทรัพยากรมนุษย์

การก้าวหน้าไปสู่ประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งได้นั้น ปัจจัยสําคัญที่สุดก็คือ ทรัพยากรมนุษย์

ซึ่งควรที่จะมีความรู้และศักยภาพเท่าเทียมกันมากขึ้น และเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในภูมิภาค

ประโยชน์ของการเป็นประชาคมอาเซียนก็คือ การได้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมาทดแทนศักยภาพแรงงาน และจัดระบบการรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานระหว่างประเทศ

ประเทศไทยจําเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนในการก่อให้เกิดความร่วมมือแบบหุ้นส่วนผลิตภาพ (Productivity) ของกําลังแรงงานทั้งในระดับแรงงานฝีมือ

การไหลเวียนของกําลังแรงงานข้ามพรมแดนระหว่างกันและกันในภูมิภาค ยึดหลัก “คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา” ส่งเสริมให้มีงานทํา มีศักยภาพสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน มีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผลกระทบต่อประเทศไทยเมื่อเปิดแรงงานเสรีอาเซียน ปี 2558

– การไหลบ่าของแรงงานที่จะเข้ามาแข่งขัน

– แรงงานไทยจะขาดแคลนมากยิ่งขึ้น

– เกิดการสมองไหลไปทํางานในต่างประเทศ

– ลาว กัมพูชา พม่า จีน และอินเดียจะเข้ามาประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

คนไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้

– ใช้ภาษาอังกฤษให้คล่องในการสื่อสารได้

– ต้องเรียนรู้และสื่อสารภาษาประเทศเพื่อนบ้าน

– ต้องรู้จักอาเซียนมากกว่ารู้ว่าอาเซียนคืออะไร

– ต้องรู้จักวิธีการทํามาค้าขายกับประเทศในอาเซียน

– ต้องเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ทัศนคติประเทศในอาเซียน

ข้อตกลงการยอมรับร่วมกันในบุคลากรวิชาชีพ ซึ่งมี 7 อาชีพที่สามารถทํางานได้เสรีใน 10 ประเทศ อาเซียน ได้แก่ วิศวกร พยาบาล สถาปนิก การสํารวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และบัญชี

แรงงานไทยต้องปรับตัว ดังนี้

– การยกระดับมาตรฐานการศึกษา

– พัฒนาแนวคิดและวัฒนธรรมทางการเรียนรู้

– เน้นการลงมือทําได้จริง

– พัฒนาระบบสาธารณสุขและคุณภาพชีวิต

– พัฒนาวิสัยทัศน์และแนวคิดมุมมองให้กว้างไกลทันโลก

– ติดตามความเปลี่ยนแปลงทุกด้านของประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

– พัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสาร

– พัฒนาแนวทางคุ้มครองแรงงานให้เป็นมาตรฐานสากล

มิติที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ควรมีการเตรียมรับมือ ดังนี้

1 ปรับเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดเลือกสรรหาให้พร้อมต่อการรับมือกับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น ตั้งเกณฑ์การคัดเลือกพนักงานใหม่ให้มีคุณลักษณะ มีสมรรถนะ (Competency) ที่พร้อมจะทํางานในสภาพแวดล้อมที่เป็นสากลด้วย และมีการพัฒนาเงื่อนไขการจ้างงานที่เอื้อต่อการจ้างงานนอกประเทศเข้ามาในองค์กร

2 พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมภาคบังคับที่จะเอื้อให้พนักงานเกิดความต้องการพัฒนาทักษะที่พร้อมทํางานข้ามประเทศ

3 เตรียมนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งพนักงานไปประจําที่ต่างประเทศให้พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทน

4 สร้างเงื่อนไขในการเลื่อนตําแหน่ง โดยมีการวางเกณฑ์ของการเคยไปประจําที่ต่างประเทศหรือรับผิดชอบงานต่างประเทศเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการรับการพิจารณา

5 สร้างความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรที่จะเตรียมแรงงานทักษะให้มีความพร้อมต่อการเกิดขึ้นของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งแต่ยังอยู่ในสถาบันการศึกษา

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษาอธิบายคําว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน” คืออะไร หากจะให้ประเทศไทยมีการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นจะทําได้อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-2 หน้า 5 – 8)

การพัฒนาที่ยั่งยืน คือ เป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ (Integrated) ที่ทําให้เกิดเป็นองค์รวม (Holistic) และมีดุลยภาพ (Balanced) โดยการใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ซึ่งปัจจัยที่จะทําให้เกิดการพัฒนา ที่ยั่งยืนในสังคมหรือประเทศไทยได้จะมี 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจ (Economy) นิเวศวิทย์ (Ecology) และมนุษย์ (Human)

การพัฒนาในช่วงที่ผ่านมาล้มเหลวเพราะไม่มีการพัฒนาในแต่ละด้านให้เกิดความสมดุล การพัฒนาที่แท้จริงและยั่งยืน ก็คือ การพัฒนาที่สมดุล มีบูรณาการ และเป็นองค์รวม ซึ่งจะต้องเน้นที่ตัวมนุษย์ให้ เข้ามาเป็นปัจจัยสําคัญในการบูรณาการ เพราะการพัฒนาทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ และนิเวศวิทย์ จะทําได้ก็ต่อเมื่อ มีมนุษย์เป็นตัวจัดการพัฒนา หากไม่มีมนุษย์จัดการก็พัฒนาไม่ได้ คือ หากมนุษย์ไม่พัฒนาตนเอง มนุษย์ก็จะพัฒนา สิ่งอื่นไม่ได้ด้วย

การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเริ่มจากการพัฒนามนุษย์ (Human Development) ก่อน ซึ่งมีความสําคัญที่จะต้องพัฒนามนุษย์เป็น 2 ด้าน คือ

1 พัฒนามนุษย์ให้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนนําในการพัฒนาและบูรณาการให้เกิดความสมดุล อย่างถูกทาง และเป็นการอํานวยประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น พัฒนามนุษย์ให้มีสุขภาพดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ความสามารถ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย เป็นต้น

2 พัฒนามนุษย์เพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวมนุษย์เองทุกคน เช่น พัฒนามนุษย์ในเรื่องของ คุณค่าความเป็นมนุษย์ พัฒนามนุษย์ให้มีความสุข มีพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญา มีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นต้น

ดังนั้นการพัฒนามนุษย์จะต้องทําการพัฒนาทุก ๆ ด้านไปพร้อมกัน คือ ด้านสุขภาพ ด้านความรู้ สติปัญญา พฤติกรรม และจิตใจด้วย ซึ่งจะส่งผลให้มนุษย์พัฒนาตัวมนุษย์เองเพื่อเศรษฐกิจและระบบนิเวศวิทย์ไปพร้อม ๆ กันได้ และนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

 

POL3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ ซ่อม 1/2557

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3328 การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยจํานวน 2 ข้อ ให้นักศึกษาทําทุกข้อ

ข้อ 1 ข้อสอบนี้เป็นของ รศ.ชลิดา (สมุดคําตอบสีดํา)

1.1 ให้นักศึกษาให้ความหมายของคําว่า “ทุนมนุษย์” (Human Capital) ว่าคืออะไร

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข ๓-3328-2 หน้า 2)

ทุนมนุษย์ (Human Capital) เป็นแนวความคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยถือว่าการศึกษาเป็น สินค้าที่ใช้บริโภคอย่างหนึ่ง การศึกษาทําให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงาน การตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษา หรือให้การศึกษาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อผลผลิตและผลตอบแทนจากการทํางานอันสูงสุด ซึ่งเกิดจาก แรงงานผู้บริโภคการศึกษานั้น

1.2 ให้นักศึกษาอธิบายคําว่า “กําลังคน” (Manpower) คืออะไร

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-2 หน้า 4)

กําลังคน (Manpower) คือ ประชากรที่อยู่ในกําลังแรงงานและนอกกําลังแรงงานที่ให้ประโยชน์ ทางเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้โดยพิจารณาว่าคนเป็นปัจจัยในการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิตและบริการอันเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม

1.3 หากต้องการจะให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง และชาวไทยมีความสุขการวางแผนพัฒนาชาติควรเป็นเช่นใด

แนวคําตอบ

(เอกสารหมายเลข 0-3328-2 หน้า 5 – 10, 45 – 46),

(คําบรรยาย)การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ซึ่งมองว่าเมื่อมีการพัฒนาที่ตัวคนแล้วก็จะ ทําให้เกิดการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ตามมาด้วย ทั้งนี้จะดูแลและพัฒนาคนในทุกเรื่องไปพร้อม ๆ กัน ทั้งการศึกษาและ สุขภาพอนามัย การพัฒนาประเทศชาติให้เจริญได้นั้นต้องเน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพราะจะให้คนที่มี ความรู้ความสามารถก่อนแล้วถึงจะไปพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้ ฉะนั้นเวลาเราจะพัฒนาคนก็จะต้องพัฒนาทุกด้านของคน ทั้งกาย สติปัญญา สังคม อารมณ์ จริยธรรมและศาสนาก่อน คนที่ได้รับการพัฒนาหมดทุกด้านดังกล่าวแล้วก็สามารถ นําเอาความรู้ความสามารถมาพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดูแลครอบครัว ชุมชน สังคม การเมือง ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และพอทุกอย่างเจริญก้าวหน้าแล้วก็จะส่งผลกลับมาที่คน ทําให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน

การพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องเริ่มจากการพัฒนาคนก่อน ซึ่งมีความสําคัญที่จะต้องพัฒนาคนเป็น 2 ด้าน คือ

1 พัฒนาคนให้มีคุณสมบัติที่จะเป็นแกนนําในการพัฒนาและบูรณาการให้เกิดความสมดุลอย่างถูกทาง และเป็นการอํานวยประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น พัฒนาคนให้มีสุขภาพดีมีความรับผิดชอบ มีความรู้ความสามารถ ขยันขันแข็ง มีระเบียบวินัย เป็นต้น

2 พัฒนาคนเพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวมนุษย์เองทุกคน เช่น พัฒนาคนในเรื่องของคุณค่าความเป็นคน พัฒนาคนให้มีความสุข มีพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญา มีชีวิตที่ดีงามสมบูรณ์ เป็นต้น

การพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบและนําไปสู่ การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป อย่างในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้เน้นที่การพัฒนาคน เพื่อก้าวไปสู่วิสัยทัศน์การพัฒนาที่พึงประสงค์ในระยะยาว ซึ่งวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 จะเน้นการ พัฒนาที่ตัวคนทั้งสิ้น ดังนี้

1 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของคนทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาให้มีสุขภาพอนามัยแข็งแรง มีความรู้ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชีพ และสามารถปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง

2 เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมให้มีความมั่นคง และเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ให้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน รวมทั้ง ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น

3 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มั่นคง และสมดุลเสริมสร้างโอกาสการพัฒนาศักยภาพของคนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาที่เป็นธรรม

4 เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ สามารถจะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน

5 เพื่อปรับระบบบริหารจัดการเปิดโอกาสให้องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน ชุมชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาประเทศมากขึ้น

ดังนั้น การวางแผนพัฒนาประเทศซึ่งมีความสําคัญต่อคนและประเทศควรยึดหลักการปฏิบัติ ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกภาคส่วนทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มีคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มีการเชื่อมโยงทุกมิติของ การพัฒนาอย่างบูรณาการทั้งมิติตัวคน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมือง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมเผชิญ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ขณะเดียวกันก็ให้ความสําคัญ กับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมในกระบวนการพัฒนาประเทศ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและ ความอยู่ดีมีสุขของคนไทย

 

ข้อ 2 ข้อสอบนี้เป็นของ ดร.ปรัชญา (สมุดคําตอบสีแดง)

2.1 อธิบายคําว่า “ทรัพยากรมนุษย์” (Human Resource) ว่าคืออะไร และมีความสําคัญอย่างไร

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข n-3328-2 หน้า 2)

ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) คือ ผลรวมของความรู้ ความชํานาญ ความถนัดของ ประชากรทั้งหมดในประเทศ ทั้งในด้านปริมาณ เช่น จํานวนการกระจายของประชากร กําลังแรงงาน ฯลฯ และ ด้านคุณภาพ เช่น ความรู้ ความชํานาญ ความถนัด คุณค่า แรงจูงใจ จิตใจ สุขภาพ ฯลฯ

ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในชาติมีความสําคัญต่อการผลิตสินค้าและบริการ และผลผลิตหรือ รายได้ประชากรชาติจะต่ำลงหากปราศจากการศึกษาอบรมและการดูแลด้านสุขภาพอนามัยที่ดี

2.2 อธิบายคําว่า “Human Resource Planning” พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

Human Resource Planning (การวางแผนทรัพยากรมนุษย์) หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ คาดคะเนความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตอย่างเป็นระบบ โดยระบุจํานวนคน ประเภทของบุคคลที่จะ ปฏิบัติงาน รวมถึงระดับทักษะ ความรู้ และความสามารถที่ต้องการ เพื่อให้องค์การมั่นใจได้ว่ามีบุคลากรที่มีคุณสมบัติ เหมาะสมและมีจํานวนเพียงพอกับการปฏิบัติงานที่คาดว่าจะมีในอนาคต พร้อมทั้งกําหนดแนวทางในการปฏิบัติ และมีแผนการใช้บุคลากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ ตัวอย่างเช่น การวางแผนกําลังคน เพื่อให้ได้ปริมาณ และคุณภาพที่ต้องการตามระยะเวลา และเป้าหมาย เป็นต้น

2.3 จงอธิบายลักษณะการลงทุนด้านการศึกษา จะส่งผลต่อการวางแผนทรัพยากรมนุษย์เมื่อต้องเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 0-3328-1 หน้า 3, 17 – 20, 24), (คําบรรยาย)

สภาพปัญหาของทรัพยากรมนุษย์

การพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ได้ถูกครอบงําด้วยกระแสหลักของ กระบวนการพัฒนาตามประเทศทุนนิยมตะวันตกที่มุ่งเน้นความสําคัญของภาคเศรษฐกิจเป็นหลัก และให้ความสําคัญ ของมนุษย์เป็นเพียงแค่เครื่องมือหรือเน้นคนเป็นเพียงปัจจัยการผลิตเท่านั้น จึงทําให้เกิดปัญหามากมายที่มาพร้อมกับ กระบวนการพัฒนาที่ขาดสมดุลระหว่างระบบต่าง ๆ ในสังคมไม่ว่าจะเป็นปัญหากระจายรายได้ ปัญหาความยากจน ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียหาย ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ปัญหาความล่มสลายของ ชุมชนชนบท ปัญหาความอ่อนล้าของคุณธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรม ปัญหาความไม่มั่นใจในระบบการเมือง การปกครอง การบริหารที่เป็นอยู่ ฯลฯ ดังคํากล่าวที่ว่า เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน

เมื่อผลของการพัฒนาเป็นเช่นนี้ก็ได้มีการทบทวนกระบวนการพัฒนาจากเดิมที่เน้นภาคเศรษฐกิจ เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มาเป็นการพัฒนาที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบ และ นําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

การลงทุนด้านการศึกษา

การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งที่สังคมหวังพึ่งพาให้เป็นเครื่องมือ เตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลของการศึกษา ที่ผ่านมาของประเทศไทยมักจะถูกผลักให้มองคนเป็นเพียงทรัพยากรมนุษย์มากกว่าที่จะมองคนเป็นคนที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเอง การศึกษาจึงเอนเอียงไปในการทําคนให้เป็นเพียงปัจจัยการผลิตที่มี คุณค่ามากกว่าจะเคารพในคุณค่าของความเป็นคน การศึกษาที่ผ่านมาจึงมิได้ส่งเสริมให้คนรอบรู้และเข้าใจชีวิตและ เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาที่ผ่านมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Development) มากกว่าการพัฒนามนุษย์ (Human Development)

การศึกษาจะมีบทบาทสําคัญยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะสังคมไทยในช่วงที่ ผ่านมาดูเหมือนว่ามีคนเก่งมากมายที่ช่วยกันทําให้เกิดความเจริญทุกด้าน แต่คนในสังคมมีความบกพร่องทางศีลธรรม เพิ่มมากขึ้นทั้งคนเก่งและคนไม่เก่ง จึงก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมายในทุกองค์กร ดังนั้นการศึกษา จึงไม่ควรทุ่มเทด้านความเก่ง (Manpower) เพียงเพื่อจะเพิ่มมูลค่าภายนอกของมนุษย์ (Economic Value Added) เท่านั้น แต่ต้องให้ความสนใจต่อความเป็นคนดี (Manhood) และการเพิ่มมูลค่าภายในของมนุษย์ (Social Value Added) ด้วย ถ้าการศึกษาได้สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งสองด้านย่อมจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการขาดดุล ทางปัญญาและดุลทางเศรษฐกิจ และจะได้มีเวลามาพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อไป ดังนั้นการศึกษาที่ควรจะ เป็นคือ การศึกษาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Oriented)

จะเห็นได้ว่าการศึกษามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวที่จะช่วยสร้าง และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับนานาชาติได้ โดยสิ่งที่สําคัญที่สุดที่จะต้องเร่งดําเนินการ ก็คือ การสะสมทุนมนุษย์ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการลงทุนทางด้านการศึกษาภายในประเทศ ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

การลงทุนด้านสุขภาพอนามัย

สุขภาพอนามัยมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังคํากล่าวที่ว่า จิตใจที่มั่นคงจะอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง (A sound mind is in a sound body) หรือคํากล่าวในพุทธสุภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ กล่าวคือ ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่มีสุขภาพอนามัยดี ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัย ก็จะสามารถ ทํากิจกรรมใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จะศึกษาเล่าเรียนก็จะศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทํางานก็ทําได้ดี ซึ่งผู้ที่มีการศึกษาดีกว่ามักจะมีแนวโน้มที่จะสนใจรักษาสุขภาพอนามัยมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาด้อยกว่า

ดังนั้นจึงมักจะถือว่าการลงทุนด้านการศึกษาและการลงทุนด้านสุขภาพอนามัยเป็นการลงทุนร่วม (Joint Investment) คือจะเป็นการลงทุนที่สามารถเอื้อประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันได้

ประชาคมอาเซียนกับทรัพยากรมนุษย์

การก้าวหน้าไปสู่ประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งได้นั้น ปัจจัยสําคัญที่สุดก็คือ ทรัพยากรมนุษย์ซึ่งควรที่จะมีความรู้และศักยภาพเท่าเทียมกันมากขึ้น และเกื้อหนุนซึ่งกันและกันในภูมิภาค

ประโยชน์ของการเป็นประชาคมอาเซียนก็คือ การได้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมาทดแทนศักยภาพแรงงาน และจัดระบบการรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานระหว่างประเทศ

ประเทศไทยจําเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนในการก่อให้เกิดความร่วมมือแบบหุ้นส่วนผลิตภาพ (Productivity) ของกําลังแรงงานทั้งในระดับแรงงานฝีมือการไหลเวียนของกําลังแรงงานข้ามพรมแดนระหว่างกันและกันในภูมิภาค ยึดหลัก “คน เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา” ส่งเสริมให้มีงานทํา มีศักยภาพสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน มีความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ผลกระทบต่อประเทศไทยเมื่อเปิดแรงงานเสรีอาเซียน ปี 2558

การไหลบ่าของแรงงานที่จะเข้ามาแข่งขัน

แรงงานไทยจะขาดแคลนมากยิ่งขึ้น

เกิดการสมองไหลไปทํางานในต่างประเทศ

ลาว กัมพูชา พม่า จีน และอินเดียจะเข้ามาประเทศไทยมากยิ่งขึ้น คนไทยต้องเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้

– ใช้ภาษาอังกฤษให้คล่องในการสื่อสารได้

– ต้องเรียนรู้และสื่อสารภาษาประเทศเพื่อนบ้าน

– ต้องรู้จักอาเซียนมากกว่ารู้ว่าอาเซียนคืออะไร

– ต้องรู้จักวิธีการทํามาค้าขายกับประเทศในอาเซียน

– ต้องเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ทัศนคติประเทศในอาเซียน

ข้อตกลงการยอมรับร่วมกันในบุคลากรวิชาชีพ ซึ่งมี 7 อาชีพที่สามารถทํางานได้เสรีใน 10 ประเทศ อาเซียน ได้แก่ วิศวกร พยาบาล สถาปนิก การสํารวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และบัญชีแรงงานไทยต้องปรับตัว ดังนี้

– การยกระดับมาตรฐานการศึกษา

– พัฒนาแนวคิดและวัฒนธรรมทางการเรียนรู้

– เน้นการลงมือทําได้จริง

– พัฒนาระบบสาธารณสุขและคุณภาพชีวิต

– พัฒนาวิสัยทัศน์และแนวคิดมุมมองให้กว้างไกลทันโลก

– ติดตามความเปลี่ยนแปลงทุกด้านของประเทศเพื่อนบ้าน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

– พัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสาร

– พัฒนาแนวทางคุ้มครองแรงงานให้เป็นมาตรฐานสากล

มิติที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ควรมีการเตรียมรับมือ ดังนี้

1 ปรับเกณฑ์และเงื่อนไขในการคัดเลือกสรรหาให้พร้อมต่อการรับมือกับการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น ตั้งเกณฑ์การคัดเลือกพนักงานใหม่ให้มีคุณลักษณะ มีสมรรถนะ (Competency) ที่พร้อมจะทํางานในสภาพแวดล้อมที่เป็นสากลด้วย และมีการพัฒนาเงื่อนไขการจ้างงานที่เอื้อต่อการจ้างงานจากนอกประเทศเข้ามาในองค์กร

2 พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมภาคบังคับที่จะเอื้อให้พนักงานเกิดความต้องการพัฒนาทักษะที่พร้อมทํางานข้ามประเทศ

3 เตรียมนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งพนักงานไปประจําที่ต่างประเทศให้พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับประโยชน์ตอบแทน

4 สร้างเงื่อนไขในการเลื่อนตําแหน่ง โดยมีการวางเกณฑ์ของการเคยไปประจําที่ต่างประเทศหรือรับผิดชอบงานต่างประเทศเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการรับการพิจารณา

5 สร้างความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรที่จะเตรียมแรงงานทักษะให้มีความพร้อมต่อการเกิดขึ้นของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งแต่ยังอยู่ในสถาบันการศึกษา

POL4100 หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4100 หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ตัวเลือกใดไม่ใช่วิธีการแบบวิทยาศาสตร์

(1) การอธิบายด้วยทฤษฎี

(2) การคาดเดาคําตอบล่วงหน้า

(3) การรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต

(4) แล้วแต่บริบท บางครั้งก็ใช้เหตุผล ถ้าไม่จําเป็นก็ไม่ใช้ประสาทสัมผัส

(5) ทุกข้อคือวิธีการแบบวิทยาศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 3 – 5 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) มี 5 ขั้นตอน ดังนี้

1 การสังเกตและระบุปัญหา (Observation and Problem Identification) เป็นการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และเกิดความสงสัยจนนําไปสู่การตั้งคําถามการวิจัย

2 การตั้งสมมุติฐาน (Assumption/Hypothesis) เป็นขั้นตอนหลังจากตั้งคําถามการวิจัยแล้วนักวิจัยจะต้องคาดเดาคําตอบล่วงหน้า ถ้าไม่ทําจะไม่สามารถกําหนดแนวทางในการค้นหา คําตอบได้

3 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) เช่น การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกต การเก็บข้อมูลจากเอกสารขั้นต้น การสอบถามผู้รู้โดยวิธีการสนทนากลุ่ม (Focus Group)

4 การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) เป็นการนําข้อมูลมาจัดเรียงหรือพิจารณาว่าข้อมูลดิบที่ได้นั้นสามารถนํามาใช้ตอบคําถามได้หรือไม่

5 การสรุปผล (Conclusion) เป็นการนําคําตอบที่ค้นพบได้มากล่าวอย่างย่อ ๆ ซ้ำอีกรอบหนึ่ง

2 ตัวเลือกข้อใดเกี่ยวข้องกับความหมายของการวิจัยมากที่สุด

(1) การค้นหาเรื่องหนึ่งอย่างซ้ํา ๆ จนกว่าจะเจอคําตอบที่ผู้วิจัยสงสัย

(2) การค้นพบคําตอบที่ไม่มีใครเคยตอบมาก่อน

(3) การค้นหาสัจธรรมหรือความจริงแท้ของโลกใบนี้

(4) การพยายามพิสูจน์ความเชื่อที่ไม่มีใครเคยพิสูจน์ได้มาก่อน

(5) ข้อ 2 และข้อ 3 ถูกทั้งสองข้อ

ตอบ 1 หน้า 3 การวิจัย (Research) หมายถึง การพยายามค้นหาคําตอบจากปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งผ่านการสังเกตอย่างรอบด้าน หรือการเก็บข้อมูลที่จะใช้นํามาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีแบบแผน ซึ่งข้อมูลที่ว่านี้อาจจะได้มาจากการค้นหาตามเอกสารต่าง ๆ หรือจากการลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์ หรือด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่ทําให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ต้องการ และเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็นํามาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ หรือขบคิดอย่างละเอียด จนได้มาซึ่งคําตอบที่ต้องการ

3 องค์ความรู้ใดใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์มากที่สุด

(1) Behaviorism

(2) History

(3) Lavy

(4) Philosophy

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 1 หน้า 23 ปฏิฐานนิยม (Positivism) ได้แก่ แนวคิดที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือการวิจัยเชิงปริมาณเป็นเครื่องมือ โดยมีความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สามารถอธิบายได้ด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ และมนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วย ประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยเฉพาะเมื่อสาขาวิชารัฐศาสตร์รับเอาแนวคิดแบบพฤติกรรมศาสตร์ (Behaviorism) ในช่วงตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

4 เมื่อได้คําตอบหลังจากกําหนดคําถามการวิจัยเรียบร้อยแล้ว นักวิจัยต้องทําอะไรต่อไป

(1) Data Collection

(2) Data Analysis

(3) Review Literature

(4) Data Synthetic

(5) Conclusion

ตอบ 3 หน้า 20 – 22 ขั้นตอนการวิจัยทางรัฐศาสตร์ มี 5 ขั้นตอน ดังนี้

1 การกําหนดปัญหาการวิจัย (Research Question)

2 การทบทวนวรรณกรรม (Review Literature)

3 การตั้งสมมติฐาน (Assumption / Hypothesis)

4 การออกแบบการวิจัย (Designing Research)

5 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Coltecting Data)

6 การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)

7 การจัดทําและนําเสนอรายงานการวิจัย (Reporting)

5 เมื่อได้คําตอบหลังจากทบทวนวรรณกรรมเรียบร้อยแล้ว นักวิจัยต้องทําอะไรต่อไป

(1) Data Collection

(2) Data Analysis

(3) Problem Statement

(4) Data Synthetic

(5) Assumption

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ

 

ข้อ 6 – 12 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ตอบในแต่ละข้อ โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม

(1) Data Collection

(2) Assumption

(3) Data Analysis

(4) Observation and Problem Identification

(5) Conclusion

 

6 นําข้อมูลมาจัดเรียงหรือพิจารณาว่าข้อมูลดิบที่ได้นั้นสามารถนํามาใช้ตอบคําถามได้หรือไม่

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

7 เป็นการกําหนดคําตอบล่วงหน้าว่าน่าจะเป็นเช่นไร

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

8 ขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัย

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

9 ขั้นตอนแรกของการวิจัย

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

10 การแจกแบบสอบถามจํานวน 400 ชุด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

11 การค้นคว้าจากเอกสารชั้นรองในห้องสมุด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

12 การนําคําตอบที่ค้นพบได้มากล่าวอย่างย่อ ๆ ซ้ําอีกรอบหนึ่ง

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1 และ 4 ประกอบ

13 สาขาความรู้ใดมีอิทธิพลต่อรัฐศาสตร์สมัยใหม่น้อยที่สุด

(1) ชีววิทยา

(2) ปรัชญาการเมือง

(3) ฟิสิกส์

(4) จิตวิทยา

(5) วิทยาศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 29, 44, 47 แนวการวิเคราะห์หรือกรอบการวิเคราะห์ (Approach) มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลว่า การเข้าไปใกล้ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สําคัญอย่างมากต่อการศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่ หรือ ในการทําวิจัยทางรัฐศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ ทั้งในแง่ของ การแสวงหาความรู้ในแนวชีววิทยา ฟิสิกส์ และความรู้ด้านจิตวิทยา เนื่องจากกรอบการวิเคราะห์จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นตัวกําหนดมุมมองในการทําวิจัย ซึ่งถ้าเปรียบไปแล้วแนวการวิเคราะห์ก็คือเข็มทิศหรือแผนที่ของการวิจัย

14 ปรากฏการณ์ใด ๆ ก็ตาม เกิดขึ้นจากการทํางานของระบบการเมือง แนวคิดดังกล่าวนี้ตรงกับ Approach ใด มากที่สุด

(1) Political Philosophy Approach

(2) Group Approach

(3) System Approach

(4) Development Approach

(5) Power Approach

ตอบ 3 หน้า 50 แนวการวิเคราะห์เชิงระบบ (System Approach/ Functional Approach) เชื่อว่าในทุกสังคมนั้นมีลักษณะเป็นระบบที่ทําการรักษาตนเองให้อยู่รอดเสมอ ๆ ปรากฏการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นจากการทํางานของระบบการเมือง โดยได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดในทางชีววิทยา (Biology) ที่มองสังคมหรือรัฐก็เหมือนร่างกายที่ประกอบไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ทํางานสอดประสานกัน เมื่อใดก็ตามที่อวัยวะหนึ่งทํางานผิดพลาด ร่างกายก็จะรวนไปทั้งหมด เช่นเดียวกัน กับสังคม อันประกอบไปด้วยกลไกทางสังคมต่าง ๆ ซึ่งจําเป็นต่อการรักษาระบบให้ทํางานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพได้

15 Approach ใดได้รับอิทธิพลจากสาขาความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ (1) Political Philosophy Approach

(2) Group Approach

(3) System Theory

(4) Development Approach

(5) Rational Choice Approach

ตอบ 5 หน้า 48 แนวการวิเคราะห์แบบการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (Rational Approach) หรือบางทีก็เรียกว่า Rational Choice Approach จะมีสมมุติฐานที่สําคัญคือ มนุษย์ทุกคนเป็นมนุษย์ ที่มีเหตุมีผล เวลาจะทําอะไรแล้วจะคํานวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไร และ เสียประโยชน์อย่างไร และเมื่อคํานวณดูผลลัพธ์ในทางต่าง ๆ ที่น่าจะเป็นแล้ว คน ๆ นั้นก็จะ ทําตามในทางที่ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุด (Maximize Utility) หรือในกรณีที่ตนเองไม่มีทาง จะได้ประโยชน์ คน ๆ นั้นก็จะเลือกวิธีการที่ตนเองจะเสียเปรียบน้อยที่สุด (Maximin) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากวิธีคิดในทางเศรษฐศาสตร์

16 ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Transitional Period มากที่สุด

(1) ยุคย้อนกลับแห่งการศึกษาการเมืองแบบยุโรป

(2) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์

(3) ยุคที่เริ่มเปลี่ยนไปสู่การศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่

(4) เน้นการใช้เครื่องมือทางสถิติเป็นหลัก

(5) ทุกข้อไม่เกี่ยวข้องกับ Transitional Period

ตอบ 3 หน้า 11 – 12, 15 ยุคเปลี่ยนผ่านสู่รัฐศาสตร์สมัยใหม่ (Transitional Period) เป็นยุคที่มีการก่อตั้งสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (American Political Science Association : APSA) ในปี ค.ศ. 1908 โดยนักรัฐศาสตร์อเมริกันเริ่มมองว่า วิธีการศึกษาแบบเก่า หรือการศึกษาเชิงโครงสร้าง ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงออกมาได้ ดังนั้นการศึกษาในยุคนี้จึงเป็นการเริ่ม กรุยทางไปสู่ศักราชใหม่ของรัฐศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์การเมือง อย่างไรก็ตาม วิธีการศึกษา แบบเก่าคือ สถาบันนิยม ยังคงมีอิทธิพลอยู่ เพียงแต่เริ่มมีการท้าทายจากวิธีการศึกษาแบบอเมริกัน

17 เป็นวิธีการศึกษาการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด

(1) ปรัชญาการเมือง

(2) กฎหมาย

(3) พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์

(4) พฤติกรรมของมนุษย์

(5) ข้อ 1 และข้อ 2 ถูกทั้งสองข้อ

ตอบ 1 หน้า 9, 50, (คําบรรยาย) การศึกษาแนวปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) นับว่าเป็นแนวที่เก่าแก่ที่สุดของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งการศึกษาแนวนี้มีลักษณะเป็นการ พรรณนาหรืออธิบาย พร้อมทั้งมีการให้คําแนะนําหรือเสนอมาตรการเอาไว้ด้วย และยังเป็นการศึกษาแนวปทัสถาน (Normative) คือ มีลักษณะของการใช้ค่านิยมส่วนตัวของผู้ศึกษามากที่สุด

18 “คําอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ผ่านการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ เกี่ยวข้องกับ ตัวเลือกใดมากที่สุด

(1) Methodology

(2) ระเบียบวิธีวิจัย

(3) Political Theory

(4) Normative

(5) ข้อ 1 และข้อ 2 ถูกทั้งสองข้อ

ตอบ 5 หน้า 17 ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) หมายถึง องค์ความรู้ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับวิธีการต่างๆที่นํามาใช้ในการวิจัย ตลอดจนจะเป็นการศึกษาถึงแนวคิดพื้นฐาน ความเชื่อต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ การวิจัยในแต่ละแบบ ซึ่งในการศึกษาทางรัฐศาสตร์สมัยใหม่สามารถนํามาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ผ่านการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ

19 การสํารวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) Political Philosophy

(2) Normative Research

(3) Survey Research

(4) Research Proposal

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 3 หน้า 18 – 19 การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) เป็นการวิจัยที่เน้นการสํารวจข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ลงลึกมากนัก โดยจัดทําแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ตัวแทนของหน่วยในการศึกษา การวิจัยนี้จะไม่เน้นการอธิบายหรือวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการ เกิดขึ้นของข้อมูล แต่จะมุ่งเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตเห็นได้ง่าย ตัวอย่างเช่น การสํารวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งของไทยในแต่ละปี การสํารวจสํามะโนครัว (Census) การสํารวจรายได้ เป็นต้น

20 โครงร่างของการวิจัย ที่นักวิจัยจะต้องนําเสนอก่อนที่จะเริ่มทําวิจัย

(1) Pure Research

(2) Applied Research

(3) Survey Research

(4) Research Proposal

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 4 หน้า 65 โครงร่างการวิจัย (Research Proposal) เป็นกระบวนการเบื้องต้นที่ผู้วิจัยต้องจัดทําแผนในการวิจัยเพื่อให้ผู้สอนหรือกรรมการพิจารณาโครงร่างก่อนที่จะทําการวิจัย

 

ข้อ 21 – 25 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ตอบในแต่ละข้อ โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม

(1) Documentary Research

(2) Dependent Variable

(3) Independent Variable

(4) Survey Research

(5) Unit of Analysis

 

21 ถ้าต้องการศึกษาหมอกควันในเขตกรุงเทพมหานครเปรียบเทียบระหว่างปี พ.ศ. 2562 กับ พ.ศ. 2563ด้วยวิธีการดูรายงานของทางรัฐบาลเปรียบเทียบ “การดูรายงานของรัฐบาล” ในทางการวิจัยเรียกว่าเป็นวิธีการอะไร

ตอบ 1 หน้า 18 การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เป็นการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารโดยกําหนดประเด็นที่ต้องการศึกษา และทําการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตํารา เอกสารการวิจัย เอกสารทางราชการ หนังสือพิมพ์ หนังสือ วารสารต่าง ๆ โบราณวัตถุ ศิลาจารึก เป็นต้น

22 มุ่งเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตเห็นได้ง่าย ตัวอย่างของการวิจัยเช่นนี้ก็เช่น การสํารวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งของไทยในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 ว่ามีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนที่คน

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19 ประกอบ

23 นักอ่านจารึกได้ทํางานค้นหาว่าภาษาที่เขียนในจารึกนั้นเป็นภาษาอะไร การวิจัยในลักษณะนี้คืองานวิจัยประเภทใด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

24 เป็นตัวแปรที่ผู้ศึกษาได้ทําการเปลี่ยนไปมาเพื่อจะดูผลที่ตามมา ตอบ 2 หน้า 127, (คําบรรยาย) ตัวแปรที่กําหนดความสัมพันธ์โดยตรง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรือตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุหรือเป็นความสัมพันธ์ตั้งต้นที่ก่อให้เกิดผล เป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดตัวแปรตาม โดยผู้ศึกษาสามารถ เปลี่ยนไปมาเพื่อจะดูผลที่ตามมามักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็นตัวอักษร X เช่น ระดับการศึกษาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนน, ภูมิหลังของบุคคล, การอยู่อาศัยในท้องถิ่น เป็นต้น

2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นผลหรือเปลี่ยนแปลงตามอิทธิพลของตัวแปรอื่น มักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็นตัวอักษร Y เช่น ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ, การมีส่วนร่วมทางการเมือง, ความพึงพอใจในการทํางาน, ประสิทธิผลในการทํางาน เป็นต้น

25 การสํารวจรายได้ทั่วประเทศของประชาชนในเขตจังหวัดนครปฐม การวิจัยประเภทนี้เรียกว่าอะไร

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19 ประกอบ

 

ข้อ 26 – 31 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ตอบในแต่ละข้อ โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม

(1) Research Question

(2) Observation

(3) Research Objective

(4) Approach

(5) Method

 

26 โดยรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ แปลว่า “การเข้าไปใกล้ ๆ” ในทางรัฐศาสตร์เรียกแนวการวิเคราะห์

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 13 ประกอบ

27 การรับรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 1 ประกอบ

28 วิธีการตั้งประโยคต้องใช้คําขึ้นต้น คําว่า “เพื่อ” โดยการตั้งนั้นต้องเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ 3 หน้า 56 – 57 วัตถุประสงค์ในการวิจัย (Research Objective) คือ การบอกจุดมุ่งหมายในการทําวิจัยว่าจะทําไปเพื่ออะไร ซึ่งจะมีวิธีการตั้งประโยคด้วยการใช้คําขึ้นต้นคําว่า “เพื่อ” เช่น เพื่อสํารวจ เพื่อพรรณนา เพื่ออธิบาย เพื่อสร้างความเข้าใจ เป็นต้น

29 ต้องตั้งด้วยประโยคประเภท “อะไร ทําไม ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร” ตอบ 1 หน้า 54 – 55 คําถามการวิจัย (Research Question) หมายถึง คําถามที่ต้องการหาคําตอบจากปรากฏการณ์ที่นํามาศึกษาวิจัย โดยจะต้องเป็นคําถามที่ยังไม่มีคําตอบ หรือเป็นคําถามที่ ไม่สามารถหาคําตอบได้โดยง่าย หรือมีคําตอบแต่ยังไม่ชัดเจน ใช้คําถามปลายเปิดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ควรตั้งในลักษณะปลายปิด และจะต้องเป็นคําถามที่น่าสนใจที่จะหาคําตอบด้วย มักจะตั้ง ด้วยประโยคประเภท “อะไร ทําไม ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร”

30 วิธีการเก็บข้อมูล

ตอบ 5 หน้า 26 คําว่า Method หมายถึง วิธีการของคน ๆ หนึ่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเพื่อนํามาทําความเข้าใจหรือใช้อธิบายบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งอาจจะแปลเป็นภาษาไทยว่า “วิธีการ”

31 เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 13 ประกอบ

 

ข้อ 32 – 35 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ตอบในแต่ละข้อ โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม

(1) Institutional Approach

(2) Rational Choice Approach

(3) Historical Approach

(4) Political Culture

(5) Psychological Approach

 

32 ถ้าเรารู้กติกาของกีฬา เราก็จะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้เล่นได้ไม่ยาก วิธีคิดดังกล่าวคล้ายกับแนวคิดของ Approach ใด

ตอบ 1 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) แนวการวิเคราะห์แบบสถาบันนิยม (Institutionalism/Institutional Approach) เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ที่เน้นหนักในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ และอิทธิพล ของโครงสร้างทางการเมืองที่มีต่อการเมือง โดยเชื่อว่าโครงสร้างทางการเมืองหรือสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เป็นตัวกําหนดพฤติกรรมของมนุษย์ นักรัฐศาสตร์สมัยใหม่แนวสถาบันนิยม

33 ทัศนคติ แบบแผน หรือมุมมองทางการเมืองของคนในแต่ละสังคมนั้นแตกต่างกัน และก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคม วิธีคิดดังกล่าวคล้ายกับแนวคิดของ Approach ใด

ตอบ 5 หน้า 47 แนวการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา (Psychological Approach) มีความเชื่อพื้นฐานว่าสาเหตุในการกระทําเรื่องใด ๆ ของมนุษย์ทุกคนนั้นมีที่มาจากปัจจัยในด้านจิตวิทยาเป็นหลัก ซึ่งมองว่าปัจจัยทางจิตวิทยาต่าง ๆ เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ ความคิดเห็น มุมมองทางการเมือง ค่านิยม ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การตัดสินใจของผู้มาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นต้น

34 มนุษย์จะเลือกตัวเลือกที่ก่อให้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด วิธีคิดดังกล่าวคล้ายกับแนวคิดของ Approach ใด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 15 ประกอบ

35 ถ้าอยากเข้าใจเหตุการณ์ทํารัฐประหารปี พ.ศ. 2557 จําเป็นต้องย้อนกลับไปดูการทํารัฐประหารปี พ.ศ. 2549

ตอบ 3 หน้า 49 แนวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ (Historical Approach) มีสมมุติฐานว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นมีที่มาจากพัฒนาการที่คลี่คลายตามลําดับเหตุการณ์อันเชื่อมโยง มาจากเหตุการณ์ที่สําคัญ ๆ ก่อนหน้านั้น ด้วยเหตุนี้เองนักรัฐศาสตร์ที่ศึกษาปรากฏการณ์ ทางการเมืองต่าง ๆ ตามช่วงเวลาในอดีตหรือปัจจุบัน นักรัฐศาสตร์ก็จําเป็นที่จะต้องย้อนกลับ ไปดูวิวัฒนาการของเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้าในช่วงยาว แล้วพิจารณาดูว่าเหตุการณ์ไหนเป็นเหตุการณ์ตั้งต้นที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์ในปัจจุบัน

36 คําถามที่ใช้มาตรวัดแบบ Likert Scale จัดเป็นคําถามในลักษณะใด

(1) Check-list Question

(2) Multiple choice Question

(3) Multi-response Question

(4) Rank Priority Question

(5) Ranking Scale Question

ตอบ 5 หน้า 146 – 147, (คําบรรยาย) คําถามในลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale Question) จัดเป็นแบบสอบถามปลายปิดชนิดหนึ่ง โดยแบบที่นิยมใช้และรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ มาตรวัดแบบ Likert Scale, มาตรวัดแบบ Gutman Scale, มาตรวัดแบบ Osgood Scale และมาตรวัดแบบ Thurstone Scale เป็นต้น

37 ข้อใดไม่ใช่เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเครื่องมือวัด

(1) ประสิทธิภาพ

(2) ความเชื่อถือได้

(3) การมีความหมาย

(4) ความเป็นปรนัย

(5) ทํานายอนาคตได้อย่างแน่นอน

ตอบ 5 หน้า 152 – 157, คําบรรยาย) คุณภาพของเครื่องมือวัด มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้

1 ความเชื่อถือได้ (Reliability)

2 ความแม่นตรง (Validity)

3 ความเป็นปรนัย (Objectivity)

4 ความแม่นยํา (Precision)

5 การมีประสิทธิภาพสูง (Efficiency)

6 ความไวในการแบ่งแยก (Sensibility)

7 การมีความหมายของการวัด (Meaningfulness)

8 การนําเครื่องมือนั้นไปปฏิบัติได้ง่าย (Practicality)

38 ในการทดสอบความเชื่อถือได้ (Reliability) ต้องพิจารณาในเรื่องใด

(1) ความมีเสถียรภาพ

(2) การทดแทนซึ่งกันและกันได้

(3) การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(4) ข้อ 1. และข้อ 3. ถูกเท่านั้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 152 การทดสอบความเชื่อถือได้ (Reliability) มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้

1 ความมีเสถียรภาพ (Stability)

2 การทดแทนซึ่งกันและกันได้ (Equivalence)

3 การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity)

39 ข้อใดเป็นข้อจํากัดของการใช้แบบสอบถาม

(1) สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย

(2) ต้องอาศัยผู้มีความรู้ความชํานาญเป็นพิเศษ

(3) เกิดความลําเอียงหรืออคติได้ง่าย

(4) ไม่สามารถเก็บข้อมูลกับผู้ที่อ่านเขียนหนังสือไม่ได้

(5) สามารถกลับไปซักถามต่อได้

ตอบ 4 หน้า 63, (คําบรรยาย) ข้อจํากัดของการส่งแบบสอบถาม มีดังนี้

1 ไม่แน่ใจว่าได้ข้อมูลตรงกับความจริงหรือไม่ ถ้าเครื่องมือวัดไม่ดีพอ

2 มีลักษณะยืดหยุ่นน้อย

3 มักได้แบบสอบถามกลับคืนมาจํานวนน้อย

4 ไม่สามารถใช้กับประชากรที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้

5 ไม่สามารถกลับไปซักถามต่อได้ เป็นต้น

40 ข้อใดเป็นลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ

(1) ต้องการทดสอบทฤษฎี

(2) เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา

(3) เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข

(4) สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์

(5) มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา

ตอบ 2 หน้า 19, (คําบรรยาย) ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ

1 เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม

2 เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก

3 เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษาเป็นกรณีศึกษา

4 ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ

5 คํานึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย

6 จะใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ เป็นต้น

41 ข้อใดเป็นลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ

(1) เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม

(2) เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก

(3) ต้องการทดสอบทฤษฎี

(4) ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ

(5) คํานึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย

ตอบ 3 หน้า 19 – 20, (คําบรรยาย) ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ คือ

1 ต้องการทดสอบทฤษฎีด้วยเครื่องมือทางสถิติ

2 เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข

3 มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา

4 เป็นการเลือกประชากรทั้งหมด

5 มีวิธีการเก็บข้อมูล โดยใช้การสอบถามและการสัมภาษณ์ตามแนวเป็นหลัก

6 สรุปจากข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาได้โดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์ เป็นต้น

42 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ

(1) ต้องการทดสอบทฤษฎี

(2) เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา

(3) เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข

(4) สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์

(5) มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 40 และ 41 ประกอบ

43 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ

(1) เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม

(2) เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก

(3) ต้องการทดสอบทฤษฎี

(4) ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ

(5) คํานึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 40 และ 41 ประกอบ

44 การใช้ตรรกะหรือแนวทางในความเป็นเหตุและผลที่กําหนดวิธีการในการแก้ไขปัญหาและใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์มาเป็นข้อพิสูจน์ความถูกต้องของแนวคิดเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) Scientific Approach

(2) Empirical Approach

(3) Rational Approach

(4) Objective Truth

(5) Subjective Truth

ตอบ 1 (คําบรรยาย) แนวทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Approach) เป็นการใช้ตรรกะหรือแนวทางในความเป็นเหตุและผลที่กําหนดวิธีการในการแก้ปัญหา และใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์มาเป็นข้อพิสูจน์ความถูกต้องของแนวคิด

45 คําตอบในหนังสือหน้าหนึ่งในแต่ละวันตลอดสัปดาห์ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) Scientific Approach

(2) Empirical Approach

(3) Rational Approach

(4) Objective Truth

(5) Subjective Truth

ตอบ 2 (คําบรรยาย) แนวทางเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) คือ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความจริงที่สังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 และนํามาพิสูจน์ความเชื่อว่าสิ่งที่สัมผัสได้นั้นถูกต้อง เช่น การนับจํานวนคําว่า “ประชาธิปไตย” ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในประเทศไทยตลอดปี พ.ศ. 2560  เป็นต้น

46 สิ่งที่ทุกคนรับรู้ร่วมกันและเหมือนกันทุกๆ คน เรียกว่าอะไร

(1) Scientific Approach

(2) Empirical Approach

(3) Rational Approach

(4) Objective Truth

(5) Subjective Truth

ตอบ 4 หน้า 38, (คําบรรยาย) ความจริงแบบวัตถุวิสัยหรือปรนัย (Objective Truth) คือ สิ่งที่ทุกคนรับรู้ร่วมกันและเหมือนกันทุกๆ คน ส่วนความจริงแบบอัตวิสัย/จิตวิสัยหรืออัตนัย(Subjective Truth) คือ สิ่งที่รับรู้เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งแฝงไปด้วยอคติและค่านิยมของแต่ละบุคคล

47 สิ่งที่ทุกคนรับรู้เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เรียกว่าอะไร

(1) Scientific Approach

(2) Empirical Approach

(3) Rational Approach

(4) Objective Truth

(5) Subjective Truth

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ

48 การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือแนวคิดเพื่อการทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ เกี่ยวข้องกับ เรื่องใดมากที่สุด

(1) การสํารวจและการทบทวนวรรณกรรม

(2) ขอบข่ายและการตั้งปัญหาวิจัย

(3) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ

(4) การเลือกรูปแบบการวิจัย

(5) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง

ตอบ 3 หน้า 124, (คําบรรยาย) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ เป็นการกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือแนวคิดเพื่อการทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ การพิสูจน์โดยรวบรวมข้อมูล มายืนยันตามสมมุติฐานที่กําหนด เพื่อทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการวิจัยเชิงปริมาณจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีสมมุติฐาน

49 การกําหนดวิธีการที่สัมพันธ์กับปัญหา เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด (1) การสํารวจและการทบทวนวรรณกรรม

(2) ขอบข่ายและการตั้งปัญหาวิจัย

(3) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ

(4) การเลือกรูปแบบการวิจัย

(5) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การเลือกรูปแบบการวิจัย เป็นการกําหนดวิธีการศึกษาที่สัมพันธ์กับปัญหากรอบความคิด และเลือกวิธีการเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกับสมมติฐาน โดยการเลือกรูปแบบ การวิจัยต้องเลือกวิธีการศึกษาโดยกําหนดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทํา ตั้งแต่การเลือกตัวแปรการเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและเลือกวิธีวิเคราะห์ข้อมูลที่จะตอบปัญหาการวิจัย

50 การกําหนดพื้นที่เป้าหมาย และกําหนดหน่วยในการศึกษา เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การสํารวจและการทบทวนวรรณกรรม

(2) ขอบข่ายและการตั้งปัญหาวิจัย

(3) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ

(4) การเลือกรูปแบบการวิจัย

(5) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง

ตอบ 5 163, (คําบรรยาย) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง เป็นการกําหนดหน่วยในการศึกษาหรือหน่วยที่ใช้ในการเก็บข้อมูลอาจเป็นคุณสมบัติของบุคคล กลุ่ม องค์การ สังคม หรือพื้นที่แล้วแต่เป้าหมายการวิจัย ซึ่งจะมีผลต่อการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลและจะแตกต่างไปตามเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

51 การแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็นสภาพความเป็นจริงเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด

(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล

(3) การวิเคราะห์ข้อมูล

(4) การเขียนรายงานการวิจัย

(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด เป็นการแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็นสภาพความเป็นจริงเพื่อช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้

52 การสังเกต การสัมภาษณ์ และการออกแบบสอบถาม เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด

(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล

(3) การวิเคราะห์ข้อมูล

(4) การเขียนรายงานการวิจัย

(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย

ตอบ 2 (คําบรรยาย) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นกระบวนการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบปัญหาการวิจัยโดยมีวิธีการต่าง ๆ คือ การได้ข้อมูลปฐมภูมิ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และการได้ข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ การรวบรวมเอกสารหรืองานวิจัย เป็นต้น

53 การเปรียบเทียบข้อมูลหรือการใช้สถิติ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด

(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล

(3) การวิเคราะห์ข้อมูล

(4) การเขียนรายงานการวิจัย

(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนําข้อมูลที่รวบรวมมาได้มาวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบข้อมูลหรือใช้สถิติเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่จะตอบปัญหาการวิจัย

54 การจัดทําแผนในการวิจัย เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด

(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล

(3) การวิเคราะห์ข้อมูล

(4) การเขียนรายงานการวิจัย

(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 20 ประกอบ

55 เมื่อทราบความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ จากกรอบทฤษฎีผ่านการตรวจสอบความเป็นจริงจนแน่ใจว่าถูกต้อง สามารถนําไปสรุปในเรื่องใดได้

(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้

(2) การบรรยาย

(3) การอธิบาย

(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

(5) การตั้งปัญหาการวิจัย

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

56 การกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน เรียกว่าอะไร

(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้

(2) การบรรยาย

(3) การอธิบาย

(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

(5) การตั้งปัญหาการวิจัย

ตอบ 3 หน้า 122 การอธิบาย หมายถึง ความพยายามที่จะตอบคําถามว่าทําไม เช่น ทําไมคนถึงยากจน ทําไมระบบราชการถึงไม่มีประสิทธิภาพ โดยจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกันซึ่งเป็นแก่นสําคัญในการศึกษารัฐศาสตร์

57 การกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา เพื่อให้ผู้สนใจได้เห็นภาพตามลักษณะที่ผู้วิจัย กล่าวถึง เรียกว่าอะไร

(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้

(2) การบรรยาย

(3) การอธิบาย

(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

(5) การตั้งปัญหาการวิจัย

ตอบ 2 หน้า 122 การบรรยาย หมายถึง ความพยายามในการตอบคําถามว่า ใคร ทําอะไร ที่ไหนเมื่อไร และอย่างไร ซึ่งเป็นการกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาผู้สนใจได้เห็นภาพตามลักษณะที่ผู้วิจัย

58 การตั้งปัญหาในลักษณะที่ยังไม่มีผู้ศึกษามาก่อน และผู้วิจัยสนใจศึกษา โดยทําการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นและจัดเป็นระบบ เรียกว่าอะไร

(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้

(2) การบรรยาย

(3) การอธิบาย

(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

(5) การตั้งปัญหาการวิจัย

ตอบ 1 (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ (Exploration)เป็นการตั้งปัญหาในลักษณะที่ยังไม่มีผู้ศึกษามาก่อน และผู้วิจัยสนใจในการศึกษา โดยทําการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและจัดเป็นระบบ

59 การเชื่อมโยงระหว่างกรอบแนวคิดกับสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) Variable

(2) Concept

(3) Hypothesis

(4) Attribute

(5) Measurement

ตอบ 5 หน้า 140, (คําบรรยาย) มาตรวัด (Measurement) คือ กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างกรอบแนวคิดกับสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ มาสู่ตัวบ่งชี้ในสถานการณ์ที่เป็นจริง

60 แนวคิดที่มีมากกว่า 1 ค่า เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) Variable

(2) Concept

(3) Hypothesis

(4) Attribute

(5) Measurement

ตอบ 1 หน้า 124 ตัวแปร (Variable) หมายถึง แนวคิดที่มีมากกว่า 1 ค่า เช่น เพศ (แบ่งเป็นเพศชาย เพศหญิง), อาชีพ (แบ่งเป็นรับราชการ ธุรกิจส่วนตัว รับจ้าง) เป็นต้น

61 ชุดของตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันตามกรอบของทฤษฎี เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) Variable

(2) Concept

(3) Hypothesis

(4) Attribute

(5) Measurement

ตอบ 2 หน้า 124 แนวคิด (Concept) หมายถึง ชุดของตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันตามกรอบของทฤษฎี ภายใต้แนวคิดหนึ่ง ๆ จะประกอบไปด้วยตัวแปรต่าง ๆ ตามแต่ละสาขาวิชา

62 คุณลักษณะที่แบ่งแยกประเภทของตัวแปร เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) Variable

(2) Concept

(3) Hypothesis

(4) Attribute

(5) Measurement

ตอบ 4 หน้า 124 คุณค่าของตัวแปร (Attribute) หมายถึง คุณลักษณะที่แบ่งแยกประเภทของตัวแปร

63 ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์เชิงพรรณนา

(1) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง

(2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี

(3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ของประชาชนกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง

(4) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 17, 161 การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) การวิจัยที่มุ่งค้นหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยการวิจัยเช่นนี้ไม่ต้องการที่จะตอบคําถามประเภทว่าอะไรเป็นสาเหตุของ ปรากฏการณ์ทางการเมืองหนึ่ง ๆ หรือปรากฏการณ์ทางการเมืองหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีปัจจัยอะไรที่ทําให้เกิด ยกตัวอย่างการวิจัยประเภทนี้ เช่น ศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี การวิจัยว่าตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน มีการทํารัฐประหารทั้งหมดกี่ครั้งและใครเป็นหัวหน้าผู้ก่อการทํารัฐประหาร เป็นต้น

64 วิธีการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เป็นระบบ มีเหตุผลและเป็นวัตถุวิสัย เพื่อที่จะบรรยาย อธิบาย หรือทํานาย ปรากฏการณ์ ที่สามารถสังเกตเห็นได้ เรียกวิธีการนั้นว่าอะไร

(1) ทฤษฎี

(2) สมมุติฐาน

(3) ศาสตร์

(4) องค์ความรู้

(5) กรอบแนวคิด

ตอบ 3 หน้า 122 ศาสตร์ หมายถึง วิธีการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เป็นระบบ มีเหตุมีผลและเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) เพื่อที่จะบรรยาย อธิบาย และทํานายปรากฏการณ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้

65 กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมในการศึกษากับสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตได้ ได้แก่

(1) กรอบแนวความคิด

(2) มาตรวัด

(3) ตัวบ่งชี้เชิงประจักษ์

(4) นิยามความหมาย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59 ประกอบ

66 ข้อใดต่อไปนี้เป็นวัตถุประสงค์ของการเขียนรายงานการวิจัย

(1) การแสดงความสามารถอันโดดเด่นของนักวิจัย

(2) การแสดงอาณาเขตของงานวิจัยเพื่อมิให้ผู้อื่นทําหัวข้อคล้ายกัน

(3) การจับจองพื้นที่ของประเด็นที่ทําการศึกษา

(4) การป้องกันผู้อื่นนําไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ

(5) การเผยแพร่นวัตกรรมหรือข้อค้นพบใหม่ในวงวิชาการ

ตอบ 5 หน้า 70 การเขียนรายงานการวิจัย เป็นการนําความรู้ที่ได้จากการศึกษามารวบรวม หรือเป็นการจัดทําแผนในการวิจัย และเขียนเป็นรายงานเพื่อเผยแพร่ความรู้นวัตกรรมหรือข้อค้นพบใหม่ในวงวิชาการต่อไป

 

ข้อ 67 – 72 ขอให้นักศึกษาใช้ตัวเลือกดังต่อไปนี้ ตอบคําถาม

(1) รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์

(2) รายงานการวิจัยฉบับสั้น

(3) บทความวิจัยลงพิมพ์ในวารสาร

(4) บทความพิเศษตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์

(5) รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย

 

67 รายงานการวิจัยฉบับใดเป็นรายงานที่มีความหนามากที่สุดในบรรดาการเขียนรายงานทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 71 – 75 รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เป็นรายงานโดยละเอียดมีรูปแบบเคร่งครัดส่วนใหญ่ใช้ศัพท์ทางวิชาการ เป็นการนําเสนอที่ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ จนพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม สมบูรณ์แบบ ซึ่งประกอบด้วย ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบตอนท้าย โดยเป็นรายงานที่มีความหนามากที่สุดในบรรดาการเขียนรายงานทั้งหมด มักจะปรากฏประวัติผู้วิจัยและภาคผนวกโดยละเอียด

68 รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักมีความยาวอยู่ระหว่าง 15 – 25 หน้ากระดาษ A4

ตอบ 3 หน้า 76 – 77 บทความการวิจัยลงพิมพ์ในวารสาร เป็นรายงานการวิจัยที่มักมีความยาวอยู่ระหว่าง 15 – 25 หน้า ซึ่งวารสารทางวิชาการฉบับต่าง ๆ ได้รับการจัดประเภทโดยหน่วยงานศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index : TCI)

69 รายงานการวิจัยประเภทใดที่ผู้วิจัยมักมีเป้าหมายเพื่อรายงานผลการวิจัยแก่ผู้ให้ทุนหรือหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะ ๆ

ตอบ 5 หน้า 79 รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย เป็นรายงานการวิจัยที่ผู้วิจัยมักมีเป้าหมายเพื่อรายงานผลการวิจัยแก่ผู้ที่ให้ทุน หรือหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะ ๆ มักจะเขียนขึ้นในขณะที่ งานวิจัยยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งอาจมีเฉพาะส่วนที่ว่าด้วยหลักการ เหตุผลและวิธีการ และอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยก็ได้ หรือมีผลการวิจัยแล้วแต่เป็นผลการวิจัยเบื้องต้น

70 รายงานการวิจัยประเภทใดประกอบไปด้วย ส่วนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนท้าย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 67 ประกอบ

71 รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักมีความยาวประมาณ 50 หน้ากระดาษ A4

ตอบ 2 หน้า 76 รายงานการวิจัยฉบับสั้น เป็นรายงานการวิจัยที่มีรายละเอียดย่อส่วนลงมาจากรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ โดยมีความยาวประมาณ 50 หน้า

72 รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักเขียนขึ้นในขณะที่งานวิจัยยังไม่เสร็จสมบูรณ์

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

73 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัย

(1) ปกหลักจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโครงการวิจัย

(2) รายละเอียดที่ปรากฏบนปกในต้องมีความแตกต่างจากปกหลักเพื่อมิให้ซ้ำซ้อน

(3) ในกรณีของงานวิทยานิพนธ์ หน้าอนุมัติอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้

(4) บทย่อความควรทําเป็นสองภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

(5) สารบัญเนื้อหาและสารบัญรูปภาพไม่จําเป็นต้องแยกออกมาจากกัน

ตอบ 4 หน้า 71 ส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ มีดังนี้

1 ปกหลัก เป็นส่วนที่สําคัญที่ต้องมีโดยระบุคําว่า “รายงานการวิจัย”

2 หน้าปกใน จะมีเนื้อหารายละเอียดเช่นเดียวกับปกหลัก

3 หน้าอนุมัติ จะระบุถึงคําอนุมัติจากต้นสังกัด

4 บทคัดย่อภาษาไทย

5 บทคัดย่อภาษาอังกฤษ

6 หน้าประกาศคุณปการหรือกิตติกรรมประกาศ

7 สารบัญ

8 สารบัญตาราง (ถ้ามี)

9 สารบัญภาพ (ถ้ามี)

10 คําอธิบายสัญลักษณ์และคําย่อที่ใช้ในการวิจัย

 

ข้อ 74 – 80 ขอให้นักศึกษาใช้ตัวเลือกดังต่อไปนี้ ตอบคําถาม

(1) บทที่ 1

(2) บทที่ 2

(3) บทที่ 3

(4) บทที่ 4

(5) บทที่ 5

 

74 ผลการวิจัยที่ผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาและรวบรวมมา ควรปรากฏอยู่ในบทใด

ตอบ 4 หน้า 72 – 73 รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วยเนื้อหา 5 บท ดังนี้คือ

บทที่ 1 บทนํา ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาวัตถุประสงค์ สมมุติฐานในการวิจัย ขอบเขต ข้อจํากัด ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับและนิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นบทที่เกี่ยวข้องกับการทบทวนวรรณกรรม เอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัยหรือระเบียบวิธี (Methodology) ที่ใช้ในการวิจัยหรือระเบียบวิธีวิจัยประกอบด้วย ประเภทการวิจัย ประชากร (Population) กลุ่มตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและวิธีการรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล

บทที่ 4 ผลการวิจัยหรือผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นบทที่มีเนื้อหาเป็นการนําเสนอผลการวิจัยที่ผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาหรือรวบรวมมา

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ

75 การทบทวนเอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรปรากฏอยู่ในบทใด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

76 วัตถุประสงค์ สมมติฐาน ขอบเขต และข้อจํากัดของงานวิจัย ควรปรากฏอยู่ในบทใด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

77 หากนักศึกษาต้องการอธิบายถึงขั้นตอนในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาควรรายงานไว้ในบทใด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

78 การอภิปรายผล และข้อเสนแนะจากการวิจัย ควรปรากฏอยู่ในบทใด

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

79 หากอาจารย์ถามนักศึกษาว่า “งานวิจัยฉบับนี้มีความสําคัญอย่างไร เพราะเหตุใดนักศึกษาต้องศึกษาและใช้เวลาในการทํางานวิจัยฉบับนี้ขึ้นมา ” นักศึกษาจะให้อาจารย์ท่านนั้นไปอ่านงานวิจัยบทใด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

80 หากนายภพธรอยากทราบว่า เพราะเหตุใดผลงานวิจัยที่คุณไปรยาได้ทํานั้น จึงได้ผลการศึกษาที่แตกต่างจากงานวิจัยของผู้ที่ทําไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นายภพธรควรศึกษาที่งานวิจัยบทใดของคุณไปรยา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

81 การเรียงงานวิจัยตามรายชื่อบุคคลหรือปีที่มีการเผยแพร่ต่อๆกันไปเรื่อยๆ เรียกว่าอะไร

(1) ขนมเปียกปูน

(2) ขนมชั้น

(3) ขนมสาลี

(4) ขนมปัง

(5) ขนมขลับ

ตอบ 2 หน้า 73 การเรียงงานวิจัยตามรายชื่อบุคคลหรือปีที่มีการเผยแพร่ต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ เรียกว่าขนมชั้น หรือคอนโดงานวิจัย

82 หากนายเอกมัยต้องการทราบว่านายหมอชิตไปทําการคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาหรือไม่ นายเอกมัยต้องใช้โปรแกรมใดในการตรวจสอบผลงานของนายหมอชิต

(1) Turn it down

(2) Turn it up

(3) อักขราวิสุทธิ์

(4) อักขราบริสุทธิ์

(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

ตอบ 3 หน้า 102 โปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ใช้ในการตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการ และตรวจสอบงานเขียนเพื่อค้นหาข้อความที่อาจจะเป็นการลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่น

83 ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ “ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย”

(1) ชื่อภาษาอังกฤษคือ Thai-Journal Citation Index หรือ TCI

(2) ทําหน้าที่คํานวณและรายงานค่า Journal Impact Factors ของวารสารวิชาการไทย

(3) ดําเนินการจัดวารสารวิชาการออกเป็น 4 กลุ่ม

(4) วารสารในกลุ่มที่ 1 จะถูกคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูล ASEAN Citation Index ต่อไป

(5) ทําการวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อนําไปสู่การยกระดับผลงานวิจัยไทยในเวทีนานาชาติ

ตอบ 3 หน้า 77 – 78 ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index หรือ TCI)เป็นศูนย์ที่ทําการวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อนําไปสู่การยกระดับผลงานวิจัยไทยในเวที นานาชาติ และทําหน้าที่คํานวณและรายงานค่า Journal Impact Factors ของวารสารวิชาการไทย โดยดําเนินการจัดวารสารวิชาการออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งวารสารในกลุ่มที่ 1 จะถูกคัดเลือกเข้าสู่ ฐานข้อมูล ASEAN Citation Index ต่อไป

84 ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการเขียนบทคัดย่อ (Abstract)

(1) บทคัดย่อที่ดีควรทําเป็นภาษาเดียวเท่านั้น

(2) เป้าหมายหลักของการเขียนบทคัดย่อคือการนําไปใช้ในการบริหารงาน

(3) บทคัดย่อที่ดีควรมีความยาวมากกว่า 5 หน้าขึ้นไป

(4) บทคัดย่อที่ดีควรแสดงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้มีความครบถ้วนชัดเจน

(5) บทคัดย่อที่ดีไม่ควรแสดงผลการศึกษาเนื่องจากผู้อ่านจะไม่อยากติดตามอ่านต่อ

ตอบ 4 หน้า 96 บทคัดย่อ (Abstract) มีลักษณะดังนี้

1 บทคัดย่อช่วยให้ผู้อ่านทราบสาระสังเขปของงานวิจัยทั้งหมดโดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด

2 บทคัดย่อที่ดีควรแสดงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้มีความครบถ้วนชัดเจน

3 บทคัดย่อควรทําเป็นสองภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

4 ควรมีความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4

85 ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเขียนบทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

(1) เป้าหมายหลักของการเขียนบทคัดย่อคือการนําไปใช้ในการบริหารงาน

(2) ไม่ควรระบุสิ่งที่ไม่ปรากฏในเนื้อเรื่องและนําเอาชื่อเรื่องมากล่าวซ้ำ (3) ควรพยายามรักษาบทสรุปสําหรับผู้บริหารให้มีความยาวไม่เกิน 3 – 5 หน้ากระดาษ A4

(4) ต้องไม่ปรากฏรูปภาพหรือตารางใดๆในบทสรุปผู้บริหาร

(5) ต้องไม่ปรากฏบัญชีรายชื่อเอกสารอ้างอิงในบทสรุปสําหรับผู้บริหาร ตอบ 4 หน้า 98 การเขียนบทสรุปสําหรับผู้บริหารมีข้อควรระวังอยู่ 4 ประการ

1 ไม่ควรระบุสิ่งที่ไม่ปรากฏในเนื้อเรื่องและนําเอาชื่อเรื่องมากล่าวซ้ำ

2 อาจมีรูปภาพและตารางในบทสรุปผู้บริหารเท่าที่จําเป็นได้

3 ต้องไม่ปรากฏบัญชีรายชื่อเอกสารอ้างอิงในบทสรุปสําหรับผู้บริหาร 4 ควรพยายามรักษาบทสรุปสําหรับผู้บริหารให้มีความยาวไม่เกิน 3 – 5 หน้ากระดาษ A4และถ้าเป็นบทสรุปเพื่อสื่อมวลชนไม่ควรมีความยาวเกินกว่า 2 หน้ากระดาษ A4

86 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่เทคนิคการเขียนรายงานการวิจัย

(1) ความถูกต้อง

(2) ความกํากวมระมัดระวัง

(3) การอ้างอิง

(4) ถ้อยคําสุภาพ

(5) ความตรงประเด็น

ตอบ 2 หน้า 100 เทคนิคในการเขียนรายงานการวิจัย มีดังนี้

1 การจัดรูปแบบ

2 ความเป็นเอกภาพ

3 ความถูกต้อง

4 ความแจ่มแจ้งชัดเจน

5 ความตรงประเด็น

6 ความสํารวมระมัดระวัง

7 ถ้อยคําสุภาพ

8 การอ้างอิง

87 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ควรปรากฏอยู่ในการนําเสนอผลงานวิจัยด้านโปสเตอร์

(1) ชื่อเรื่อง (Title)

(2) ภาคผนวก (Annex)

(3) บทนําและเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Introduction and Related Literatures)

(4) วิธีดําเนินการวิจัย (Research Method)

(5) ผลการวิจัย (Research Results)

ตอบ 2 หน้า 104 องค์ประกอบของการนําเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบโปสเตอร์ มักประกอบด้วยเนื้อหา 5 ส่วนหลัก ดังนี้

1 ชื่อเรื่อง (Title)

2 บทคัดย่อ (Summary)

3 บทนําและเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Introduction and Related Literatures)

4 วิธีดําเนินการวิจัย (Research Methods)

5 ผลการวิจัย (Research Results)

88 คําใดต่อไปนี้หมายถึง “การนําเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา”

(1) Oral presentation

(2) Mouth presentation

(3) Speaking presentation

(4) Talking presentation

(5) Poster presentation

ตอบ 1 หน้า 105 การนําเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา (Oral Presentation) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเชิงวิชาการ ซึ่งเป็นการรายงานข้อค้นพบจากการวิจัยและข้อเสนอแนะด้วยวาจา ต่อที่ประชุม และนําเสนอโดยไม่มีรูปแบบที่เคร่งครัด ความยาวไม่มากเกินไป ซึ่งผู้วิจัยควรที่จะเตรียมตัวนําเสนอเฉพาะช่วงที่นําเสนอเท่านั้น เพื่อความสมจริง อาจจะนําเสนอด้วยแบบสไลด์หรือ Power Point ก็ได้

 

ข้อ 89 – 90 ขอให้นักศึกษาใข้ตัวเลือกดังต่อไปนี้ ตอบคําถาม

(1) งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ

(2) งานวิจัยเชิงนโยบาย

(3) งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

(4) งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน

(5) งานวิจัยเชิงวัฒนธรรม

 

89 อาจารย์แจ๊สต้องการทราบว่าระบบประกันคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวเพื่อนําเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ งานวิจัยของอาจารย์แจ๊สจัดเป็นงานวิจัยประเภทใด

ตอบ 2 หน้า 110 – 111 งานวิจัยเชิงนโยบาย เป็นงานวิจัยที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงนโยบายในด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ตลอดจนการนํานโยบายไปปฏิบัติ เพื่อนําไปสู่การประเมินผลกระทบและการผลักดันผลสัมฤทธิ์ของนโยบายสาธารณะ (Public Policy) ตัวอย่างของงานวิจัยนี้เช่น แนวทางในการแก้ไขปัญหาของรถไฟฟ้าในช่วงเวลาเร่งด่วน,แนวทางในการพัฒนาพุน้ำร้อนเค็มคลองท่อมจังหวัดกระบี่อย่างยั่งยืน เป็นต้น

90 ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษต้องการให้มีนักวิจัยถึงกระบวนการแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินทํากันเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้คนในพื้นที่และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น งานวิจัยดังกล่าว จัดเป็นงานวิจัยประเภทใด

ตอบ 4 หน้า 113 งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน เป็นงานวิจัยที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาในท้องถิ่นให้มีความเจริญอย่างเหมาะสม ซึ่งผลงานวิจัยที่ได้ออกมาจะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาของชุมชน ปัญหาในท้องถิ่น และการเสริมสร้างพลังทางสังคมให้แก่ชุมชนต่าง ๆ ตัวอย่างของงานวิจัยนี้ เช่น การวางแผนแบบมีส่วนร่วมเพื่อความมั่นคงด้านน้ำในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นต้น

91 ข้อใดเป็นสิ่งจําเป็นในการสร้างมาตรวัด

(1) ทฤษฎี

(2) นิยามปฏิบัติการ

(3) ตัวแปร

(4) ดัชนีชี้วัด

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 115 สิ่งจําเป็นในการสร้างมาตรวัด คือ การกําหนดนิยามปฏิบัติการของตัวแปรและตัวชี้วัดหรือดัชนีชี้วัดที่สัมพันธ์กัน ต่อจากนั้นจึงกําหนดข้อคําถามที่ตรงกับตัวชี้วัด ก็จะได้มาตรวัดตัวแปรตามที่ต้องการ

92 เพศเป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal scale

(2) Ordinal scale

(3) Interval scale

(4) Ratio scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 145 Nominal Scale เป็นวิธีการวัดที่ง่ายที่สุด เพียงแต่การกําหนดเกณฑ์แบ่งแยกประชากรที่ศึกษาออกเป็นกลุ่ม แล้วตั้งชื่อให้แต่ละกลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกันให้อยู่ในกลุ่ม เดียวกัน ตัวเลขหรือสัญลักษณ์เป็นเพียงแต่ชื่อไม่สามารถเอามาคํานวณทางเลขคณิตได้ เช่น เพศ สถานภาพการสมรส ภูมิลําเนา อาชีพ เป็นต้น

93 อายุเป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal scale

(2) Ordinal scale

(3) Interval scale

(4) Ratio scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 146 Patio Scale เป็นการวัดที่มีคุณสมบัติของมาตรวัดแบบช่วงทุกประการ แต่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมคือ มีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์ที่แท้จริง เช่น อายุ น้ำหนัก ความสูง เงินเดือน รายได้ เป็นต้น

94 การศึกษาเป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal scale

(2) Ordinal scale

(3) Interval scale

(4) Ratio scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 146 Ordinal Scale เหมือนกับการแบ่งกลุ่ม แต่สามารถจัดอันดับอัตราความแตกต่างระหว่างกันและกันได้ ซึ่งอาจใช้ข้อความว่า มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่แสดงไม่มีผลต่อการคํานวณ แต่จะบอกความสําคัญเท่านั้น ไม่สามารถบอก ปริมาณและความแตกต่างได้ เช่น ระดับการศึกษา เกรด ความคิดเห็น ความพึงพอใจ เป็นต้น

95 จุดประสงค์ในการใช้สถิติ t-Test ใช้เพื่อทดสอบอะไร

(1) ทดสอบระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม

(2) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม

(3) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

(4) ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 189 สถิติ t-Test ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม โดยมีเงื่อนไขในการใช้คือ ต้องมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ ข้อมูลของตัวแปรตามต้องมีระดับการวัดเป็น Interval Scale ขึ้นไป และใช้เพื่อทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างตัวแปร

96 จุดประสงค์ในการใช้สถิติ F-Test ใช้เพื่อทดสอบอะไร

(1) ทดสอบระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม

(2) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม

(3) ทดสอบคนความพันธ์ระหว่างตัวแปร

(4) ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 129 สถิติ F-Test หรือ Oneway ANOVA ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม โดยมีเงื่อนไขในการใช้เหมือน t-Test แต่ไม่จําเป็นต้องมีการแจกแจงแบบ โค้งปกติ

97 จุดประสงค์ในการใช้สถิติ Correlation ใช้เพื่อทดสอบอะไร

(1) ทดสอบระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม

(2) ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม

(3) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

(4) ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 190 สถิติ Correlation ใช้เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยข้อมูลทั้งตัวแปรอิสระและตัวแปรตามต้องมีระดับการวัดเป็น Interval Scale แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ตัวใดเป็นเหตุหรือตัวใดเป็นผล ทราบแต่เพียงความสัมพันธ์ของตัวแปรและขนาดของความสัมพันธ์เท่านั้น

98 Rating Scale เป็นมาตรวัดระดับใด

(1) Nominal scale

(2) Ordinal scale

(3) Interval scale

(4) Ratio Scale

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 146, (คําบรรยาย) Rating Scale เป็นมาตรวัดระดับ Ordinal Scale ที่ใช้ในการกําหนดค่าคะแนนให้กับข้อคําถามที่ใช้วัดตัวแปรต่าง ๆ โดยมีคะแนนแตกต่างกันตามลักษณะของตัวแปร เช่น 3 5 7 9 หรือ 11 ดังนั้นการใช้ Rating Scale ผู้ให้คะแนนควรมีความรู้ในการให้คะแนนเป็นอย่างดี

99 เทคนิคการทดสอบสหสัมพันธ์เฉลี่ยระหว่างข้อ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การทดสอบทฤษฎี

(2) การทดสอบความแม่นตรงของมาตรวัด

(3) การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด

(4) ไม่มีข้อใดถูก

(5) ถูกทั้งข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3

ตอบ 3 หน้า 152 153 เทคนิคการทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด มีดังนี้

1 เทคนิคการทดสอบ (Test-Retest)

2 เทคนิคการทดสอบแบบแบ่งครึ่ง (Split-Half)

3 เทคนิคการทดสอบคู่ขนาน (Parallel Form)

4 เทคนิคการทดสอบสหสัมพันธ์เฉลี่ยระหว่างข้อ (Average Inter Correlation)

100 Content Validity เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

(1) การทดสอบทฤษฎี

(2) การทดสอบความแม่นตรงของมาตรวัด

(3) การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด

(4) ไม่มีข้อใดถูก

(5) ถูกทั้งข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3

ตอบ 2 หน้า 156 Zeller & Cammines จําแนกความแม่นตรงของมาตรวัดออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ความแม่นตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)

2 ความแม่นตรงที่สัมพันธ์กับมาตรฐาน (Criterion-Related Validity)

3 ความแม่นตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity)

WordPress Ads
error: Content is protected !!