POL2310 ทฤษฎีองค์การ s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน (รวม 100 คะแนน)

ข้อ 1 จงอธิบายความสัมพันธ์ของระบบย่อยองค์การกับการจัดการมาให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

องค์การ หมายถึง การที่คนมารวมตัวกันเพื่อเข้าทํางานโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันและต้องการ ที่จะทํางานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งระบบย่อยขององค์การ ประกอบด้วย เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ คน โครงสร้าง เทคนิค และความรู้ข้อมูลข่าวสาร

การจัดการ หมายถึง การดําเนินงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ได้ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคํานึงถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเข้าช่วย ซึ่งกระบวนการจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การประสานงาน การจัดองค์การ การตัดสินใจ และการควบคุมงาน

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยองค์การกับการจัดการ มีดังนี้

1 ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย/วัตถุประสงค์กับการวางแผน หมายถึง เมื่อกําหนด เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การแล้ว ก็ต้องหาหนทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น โดยนักบริหารจะต้อง นําความรู้ในวิชาการวางแผนมาใช้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือ

1) การกําหนดเป้าหมาย

2) การอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน

3) การหาเครื่องมือที่จะมาช่วย พร้อมทั้งตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมาย

4) การพัฒนาหนทางที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์

2 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับการประสานงาน หมายถึง นักบริหารต้องมีภาวะผู้นํา และมีความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นํา เพื่อจูงใจให้กลุ่มคนมาบริหารองค์การให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ผู้บริหารต้อง มีความสามารถในการสื่อข้อความ เพราะการสื่อข้อความจะช่วยให้เข้าใจงานและสามารถทํางานได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง ช่วยให้เกิดประสิทธิผลที่ดีต่อองค์การ

3 ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับการจัดองค์การ หมายถึง การจัดองค์การเพื่อให้ องค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1) ปัญหารอบด้านขององค์การ

2) กระบวนการปฏิบัติงานที่มีความรวดเร็ว

3) การจัดสรรคนให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ

4) การติดต่อและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์การที่สอดคล้องกับ โครงสร้างองค์การ

5) การจัดโครงสร้างองค์การที่เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมีความยืดหยุ่น และจูงใจให้คนมีความเอาใจใส่ต่อการทํางาน

6) การปกครองบังคับบัญชาทุกระดับมีความสอดคล้องกัน

7) การให้อํานาจหน้าที่กับผู้รับผิดชอบที่เหมาะสมในการจัดโครงสร้างองค์การ

8) การจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับนโยบาย

9) การแบ่งส่วนงานที่มีความเหมาะสม

4 ความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคกับการตัดสินใจ หมายถึง เทคนิคการบริหารจะเป็น ประโยชน์ที่ทําให้องค์การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเทคนิคทางการบริหารมี 2 รูปแบบ คือ การตัดสินใจที่ใช้อยู่ เป็นประจํา (Programmed Decision-Making) และการตัดสินใจที่ไม่เกิดบ่อยนัก (Nonprogrammed Decision Making) ดังนั้นนักบริหารจะต้องรู้จักหลักการตัดสินใจในโอกาสต่าง ๆ เช่น

1) การตัดสินใจภายในภาวะที่แน่นอน (Certainty) คือ การตัดสินใจที่ทราบผลในแต่ละทางเลือก

2) การตัดสินใจในภาวะที่มีความเสี่ยง (Risk) คือ การตัดสินใจที่ทราบความเป็นไปของผลในแต่ละทางเลือก

3) การตัดสินใจในภาวะที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) คือ การตัดสินใจที่ไม่ทราบความเป็นไปของผลที่เกิดขึ้น

5 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลข่าวสารกับการควบคุมงาน หมายถึง นักบริหาร จะต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารในการกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งในการควบคุมงาน ทุกประเภทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยนักบริหารจะต้องใช้ระบบการควบคุมเพื่อตรวจสอบว่าการบริหารงานในองค์การ เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในแผนหรือไม่ ซึ่งการควบคุมงานจะทําให้องค์การสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

ข้อ 2 จงอธิบายการแบ่งยุคทฤษฎีองค์การ 3 ยุคมาพอสังเขป พร้อมทั้งยกตัวอย่างแนวคิดของนักทฤษฎีองค์การมาอย่างน้อยยุคละ 2 คน

แนวคําตอบ

  1. Richard Scott ได้แบ่งยุคทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 ยุค ได้แก่

1 สํานักเหตุผลนิยม หรือสํานักคลาสสิก

ลักษณะของสํานักเหตุผลนิยม ได้แก่

1 เป็นองค์การระบบปิด

2 อาศัยโครงสร้างเข้ามาควบคุมคน

3 การบริหารคํานึงถึงประสิทธิภาพและประหยัด

ฐานคติของสํานักเหตุผลนิยม ได้แก่

1 องค์การเป็นระบบที่มีเหตุผลและประกอบด้วยสมาชิกในองค์การที่มีเหตุผลและรู้สํานึกในสิ่งที่ตนเองกระทํา

2 การตัดสินใจหรือการกระทําใด ๆ ของคนมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3 การควบคุมสมาชิกเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดขององค์การ

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักเหตุผลนิยม ได้แก่

1 เป็นกลุ่มสังคม ประกอบด้วยคน 2 คนขึ้นไปมารวมตัวกันและมีปฏิสัมพันธ์ในการทํางานและการรวมกลุ่มต้องมีการประสานกันอย่างมีสํานึก

2 มีขอบเขตที่ชัดเจน

3 มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง

4 มีการจัดแบ่งอํานาจหน้าที่

5 ใช้กฎระเบียบ การดําเนินการ การควบคุมและเทคนิค

6 ใช้การสื่อสารอย่างเป็นทางการ

7 เน้นความชํานาญเฉพาะด้านและการจัดแบ่งงาน

8 มีการว่าจ้างมีทักษะ และมีความรู้ความชํานาญเข้ามาทํางานในองค์การ การประยุกต์ใช้แนวคิดของสํานักเหตุผลนิยมให้ความสําคัญกับโครงสร้างองค์การ จึงเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้ กับองค์การแบบราชการ (Bureaucracy) และองค์การที่เป็นทางการ (Format Organization)

นักทฤษฎีองค์การของสํานักเหตุผลนิยม เช่น

– Adam Smith เสนอหลักการแบ่งงานกันทํา (Division of Labor) โดยเห็นว่าการ แบ่งงานกันทําจะก่อให้เกิดผลดี 3 ประการ คือ เป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้กับการปฏิบัติงานของคนงาน ประหยัดเวลาในการผลิต และทําให้สามารถผลิตผลงานได้จํานวนมาก

– Frederick ‘W. Taylor เสนอหลักการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) เพื่อปรับปรุงวิธีการทํางานของคนงานให้มีประสิทธิภาพ โดย Taylor เสนอให้ฝ่ายจัดการหรือ ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ดังนี้

1) สร้างหลักการทํางานหรือวิธีการทํางานที่ดีที่สุด (One Best Way)

2) คัดเลือกคนงานตามเกณฑ์วิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คนที่เหมาะกับงานแต่ละประเภท

3) พัฒนาคนงานให้สามารถทํางานได้อย่างถูกต้อง

4) สร้างบรรยากาศการทํางานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

2 สํานักธรรมชาตินิยม หรือสํานักนีโอคลาสสิก ลักษณะของสํานักธรรมชาตินิยม ได้แก่

1 สนใจพฤติกรรมของคน

2 เห็นคนเป็นปัจจัยที่สําคัญขององค์การ

3 เห็นว่าถ้าคนมีประสิทธิภาพจะแก้ปัญหาขององค์การได้

ฐานคติของสํานักธรรมชาตินิยม ได้แก่

1 คนมีความต้องการที่หลากหลาย และความต้องการนี้เป็นแรงขับให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ

2 การควบคุมและการลงโทษไม่ใช่วิธีการที่จะทําให้องค์การบรรลุเป้าหมายที่กําหนด 3 วิธีการจูงใจที่ดีที่สุด คือ การจูงใจที่ตอบสนองความต้องการของคนในการได้รับการยอมรับและการตระหนักในศักยภาพและความสามารถในฐานะมนุษย์

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักธรรมชาตินิยม ได้แก่

1 ต้องมีโครงสร้างเชิงพฤติกรรม เช่น ลักษณะและพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลและกลุ่ม

2 ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของสมาชิกในการอุทิศเวลาในการทํางาน

3 แสวงหาความอยู่รอด

4 เน้นการมีส่วนร่วม

5 ใช้การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ

การประยุกต์ใช้

แนวคิดของสํานักธรรมชาตินิยมเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้กับองค์การที่ไม่เป็นทางการ (Informal Organization) เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) กลุ่มให้คําปรึกษาทางกฎหมาย กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น

นักทฤษฎีองค์การของสํานักธรรมชาตินิยม เช่น

– Elton Mayo เป็นนักทฤษฎีด้านมนุษยสัมพันธ์คนแรกที่ค้นพบเรื่องสําคัญเกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ในการทํางาน โดยเห็นว่าปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจไม่ได้มีความสําคัญมากกว่าความรู้สึกทาง ด้านจิตใจ เพราะถ้าหากคนที่ทํางานร่วมกันมีความรู้สึกที่ดีต่อกันและทํางานอย่างมีส่วนร่วมจะทําให้งานประสบ ความสําเร็จ

– Warren G. Bennis มีความเห็นว่าองค์การไม่จําเป็นต้องมีโครงสร้างที่เป็นทางการ ดังเช่นที่ Max Weber กล่าวไว้ Bennis กลับมีความเห็นว่าองค์การในยุคมนุษยสัมพันธ์ควรเป็นองค์การที่มีลักษณะ ความคล่องตัว

3 สํานักระบบเปิด

ลักษณะของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 เน้นคนและคํานึงถึงสิ่งแวดล้อมขององค์การ

2 เน้นให้องค์การต้องปรับตัวให้ทันกับสิ่งแวดล้อม และรู้จักการบริหารงานให้เป็นระบบในลักษณะบูรณาการ

3 ให้ความสําคัญกับข้อมูลป้อนกลับ ฐานคติของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 องค์การและสิ่งแวดล้อมภายนอกมีปฏิสัมพันธ์กัน

2 สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3 คนมีค่านิยมและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 เป็นระบบที่มีลําดับชั้น

2 มีความสามารถในการดํารงรักษาตนเอง โดยอาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับสิ่งแวดล้อม

3 ระบบประกอบด้วยปัจจัยนําเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output)

4 ไม่มีขอบเขตชัดเจน

5 เป็นระบบที่ทํางานเองโดยอัตโนมัติ

การประยุกต์ใช้

แนวคิดสํานักระบบเปิดเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้กับองค์การสมัยใหม่ น องค์การแบบ เครือข่าย (Network Organization) และองค์การเสมือนจริง (Virtual Organization) เป็นต้น

นักทฤษฎีองค์การของสํานักระบบเปิด เช่น

– Chester I. Barnard เสนอแนวคิดที่ทําให้เห็นว่าองค์การจะระสบความสําเร็จยอม ขึ้นอยู่กับการจัดสร้างระบบความร่วมมือ ผู้บริหารต้องให้ความสําคัญกับงานและคนในองค์การ ซึ่ง Barnard เสนอ หนังสือชื่อ “The Function of The Executive” และได้นําเสนอความคิดว่าผู้บริหารจะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาท ในการให้ความสะดวกในการติดต่อสื่อสารภายในองค์การและภายนอกองค์การ

– Herbert A. Simon ได้สร้างศาสตร์สาขาใหม่ คือ “วิทยาการจัดการ” โดยการนําเอา ความรู้ทางคณิตศาสตร์ สถิติ วิศวกรรม อุตสาหกรรม การบัญชี คอมพิวเตอร์ และการจัดการมาผสมผสานและ ประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต และเสนอแนวคิดว่าบทบาทที่สําคัญของผู้บริหาร คือ การตัดสินใจ โดยเขียนหนังสือ ชื่อ “Administrative Behavior”

 

ข้อ 3 ปัจจัยซึ่งกําหนดพฤติกรรมกลุ่มมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างแนวคิดการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสภาวะต่าง ๆ มา 2 แนวคิด

แนวคําตอบ

ปัจจัยกําหนดพฤติกรรมกลุ่ม มี 4 ประการ ได้แก่

1 โครงสร้างของกลุ่ม เป็นเรื่องของบทบาท ปทัสถาน และสถานภาพของคนในกลุ่ม โดยบทบาทแต่ละบทบาทจะเป็นสิ่งกําหนดว่าคนที่สวมบทบาทนั้นจะมีพฤติกรรมอย่างไร ส่วนการสร้างปทัสถาน ของกลุ่ม หมายถึง แนวทางปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในกลุ่ม และองค์การจะใช้เป็นเครื่องมือในการ ควบคุมคน ซึ่งการสร้างปทัสถานของกลุ่มสามารถกระทําได้หลายวิธี เช่น ผู้นํากลุ่มเป็นผู้กําหนดการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ในอดีต เป็นต้น

2 ลักษณะเฉพาะของกลุ่ม เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เราสามารถทําความเข้าใจพฤติกรรมกลุ่มได้ เช่น บุคลิกส่วนตัวของสมาชิกกลุ่มแต่ละคนเมื่อมารวมตัวกัน ลักษณะที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ การกําหนดรูปแบบ การแสดงออกทางอารมณ์ของสมาชิกองค์การให้สอดคล้องกับปทัสถานของกลุ่ม เช่น สมาชิกขององค์การที่มีหน้าที่ ให้บริการแก่ประชาชน ควรพูดจาให้สุภาพ หน้าตายิ้มแย้ม ให้การบริการที่เท่าเทียมแก่ประชาชน

3 การสื่อสารภายในกลุ่ม ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนในองค์การจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ กลุ่มคนในองค์การมีระบบการสื่อสารที่ดี ในขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนในองค์การส่วนมากก็มักจะ เกิดจากระบบการสื่อสารที่ไม่ดีเช่นกัน

4 ภาวะผู้นํา หมายถึง ความสามารถของผู้นําในการมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่นในกลุ่มให้มุ่ง ทํางานเพื่อบรรลุเป้าหมาย

แนวคิดการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสภาวะต่าง ๆ

การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสภาวะต่าง ๆ คือ การศึกษาเกี่ยวกับภาวะผู้นํา, อํานาจ อํานาจหน้าที่ และอิทธิพล, ความขัดแย้งในองค์การ, พฤติกรรมความเครียด และการพัฒนาองค์การ ซึ่งในที่นี้ จะขอนําเสนอแนวคิดการศึกษาพฤติกรรม 2 แนวคิด คือ ความขัดแย้งในองค์การ และพฤติกรรมความเครียด

– ความขัดแย้ง (Conflicts) หมายถึง การที่บุคคล 2 ฝ่ายขึ้นไปมีข้อมูล ค่านิยม ความเชื่อ ความคิดเห็น และความรู้สึกที่แตกต่างกันในด้านต่าง ๆ ดังนี้

– ด้านจิตวิทยา คือ การตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างคิดในจิตของตน – ด้านเศรษฐศาสตร์ คือ การแย่งชิงผลประโยชน์ – ด้านรัฐศาสตร์ คือ การแย่งชิงอํานาจ – ด้านสังคมวิทยา คือ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ – ด้านมานุษยวิทยา คือ ความเป็นมาที่แตกต่างกันของมนุษย์ – ด้านการจัดการ คือ ถ้ามองภาพดีจะเห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์

แต่ถ้ามองในแง่ไม่ดีจะเห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องของการทําลาย สาเหตุของความขัดแย้ง ได้แก่

1 ความแตกต่างกันด้านวัตถุประสงค์

2 การแข่งขันกันใช้ทรัพยากรที่มีจํากัด

3 การมีบทบาทที่แตกต่างกัน

5 การเปลี่ยนแปลงในองค์การที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ผลของความขัดแย้ง

ผลดี คือ ทําให้มีแนวความคิดที่จะรับมือกับปัญหา และปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไข ความ ขัดแย้งภายนอกช่วยกระตุ้นให้เกิดความสามัคคี

ในองค์การ

วิธีการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ได้แก่

1 ประนีประนอม

2 จัดหาทรัพยากรเพิ่มขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการ

3 ใช้กฎหมายหรือกฎระเบียบบังคับ

4 หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องความขัดแย้ง

พฤติกรรมความเครียด (Stress Behaviorat) หมายถึง สภาวะทางจิตใจที่ต้องเผชิญกับปัญหา ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากตัวเราหรือสภาพแวดล้อม โดยอาจเป็นสิ่งดีที่คาดว่าจะเกิดแต่ไม่เกิด หรือเป็นสิ่งไม่ดีที่ คาดว่าจะไม่เกิดแต่กลับเกิด เช่น มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย เป็นต้น

สาเหตุของความเครียดส่วนที่เกี่ยวกับองค์การ ได้แก่

1 นโยบายองค์การ เช่น พิจารณาผลงานไม่ยุติธรรม ได้รับการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม

กฎเกณฑ์ไม่มีความยืดหยุ่น

2 โครงสร้างขององค์การ เช่น ขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีโอกาสก้าวหน้าน้อยเน้นความเชี่ยวชาญมากเกินไป

3 สภาวะด้านกายภาพ เช่น ขาดความเป็นส่วนตัว อากาศไม่ดี

4 กระบวนการทํางาน เช่น กระบวนการติดต่อสื่อสารไม่เหมาะสม ข้อมูลย้อนกลับมีน้อยเป้าหมายขององค์การไม่ชัดเจน ระบบการควบคุมไม่ดี

5 สาเหตุอื่น ๆ เช่น ผู้ใต้บังคับบัญชาขาดประสิทธิภาพ งานที่ทําเสี่ยงอันตราย เกิดความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงาน

วิธีการบริหารความเครียด มี 2 วิธี คือ

1 เกี่ยวกับงาน เช่น กําหนดบทบาทในการทํางานของตนเองให้ชัดเจน รู้จักการแบ่งเวลาบริหารเวลาให้เหมาะสม มอบหมายงานให้คนอื่นทําบ้าง

2 เกี่ยวกับอารมณ์ เช่น คบกับคนที่ไม่เครียด หาวิธีคลายเครียด

 

ข้อ 4 จงอธิบายคําต่อไปนี้มาพอให้เข้าใจ

ก Organization

แนวคําตอบ

– Organization หรือองค์การ หมายถึง การรวมตัวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยผ่านกระบวนการจัดโครงสร้างและกําหนดกิจกรรม เพื่อก่อให้เกิด – การแบ่งงานกันทํา และส่งผลให้บรรลุยังจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งองค์การแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การแบบรูปนัย (Formal Organization) คือ องค์การ ที่มีการกําหนดโครงสร้างและรูปแบบไว้ชัดเจนตายตัว กล่าวคือ มีการกําหนดวัตถุประสงค์ อํานาจหน้าที่และ ความรับผิดชอบ สายการบังคับบัญชา การแบ่งงานกันทํา ขนาดการควบคุม เอกภาพในการบังคับบัญชา ตลอดจน มาตรการและวิธีการปฏิบัติงานที่ชัดเจนตายตัว ดังตัวอย่างขององค์การและหน่วยงานโดยทั่ว ๆ ไปทั้งภาครัฐและ ภาคเอกชน เช่น มหาวิทยาลัย ธนาคาร เป็นต้น –

2 องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การแบบอรูปนัย (Informal Organization) คือ องค์การ ที่ไม่มีการกําหนดโครงสร้างและรูปแบบใด ๆ ไว้ตายตัวทั้งสิ้น สมาชิกมีความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ มีการสื่อสาร ข้อความอย่างรวดเร็ว ยึดความสําคัญของอํานาจบารมีมากกว่าอํานาจหน้าที่ ซึ่งองค์การลักษณะนี้มักเกิดขึ้นจาก ความต้องการของสมาชิกที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากองค์การที่เป็นทางการ และมักแอบแฝงอยู่ในองค์การที่ เป็นทางการเสมอ เช่น กลุ่ม NGO, กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต่าง ๆ เป็นต้น

ข Bureaucracy

แนวคําตอบ

คําว่า Bureaucracy หรือระบบราชการ ได้มีนักวิชาการให้ความหมายไว้หลากหลาย ซึ่งหาก พิจารณาตามช่วงเวลา เราสามารถแบ่งความหมายของระบบราชการได้เป็น 2 ช่วง คือ ในอดีตระบบราชการถูกมองว่า เป็นองค์การที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะของการบริหารจัดการที่มีความสลับซับซ้อนบนพื้นฐานของหลักเหตุผล ความสัมพันธ์ของคนในองค์การอยู่ภายใต้บรรทัดฐานของความเป็นทางการ โดยมิได้มุ่งประเด็นของภารกิจของ ความเป็นรัฐหรือเอกชน ดังจะเห็นได้จากคํานิยามของ Max Weber บิดาของระบบราชการ ซึ่งมองว่าระบบราชการ เป็นองค์การที่มีการดําเนินงานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบที่ชัดเจนตายตัว และความสัมพันธ์ที่คํานึงถึง สายการบังคับบัญชา ซึ่งแตกต่างจากมุมมองในยุคใหม่ที่มองระบบราชการว่าเป็นองค์การที่บริหารงานเพื่อเสริมสร้าง ประโยชน์แก่สาธารณะเป็นสําคัญ ซึ่งพยายามแสดงถึงเจตนารมณ์ของผู้บริหารองค์การระบบราชการที่สะท้อน การตอบสนองความต้องการของสาธารณะ และโดยมากมุ่งเป้าประสงค์ไปที่การผลิตสินค้าและบริการสาธารณะ

ดังนั้นคุณลักษณะของข้าราชการในหน่วยงานราชการจึงมีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน กล่าวคือ ข้าราชการในอดีตจะต้องมีคุณลักษณะของการมุ่งเน้นการปฏิบัติงานบนพื้นฐาน ของความเป็นทางการ และคํานึงถึงกฎระเบียบที่เคร่งครัดตายตัว ส่วนข้าราชการในปัจจุบันมิใช่จะยึดติดแต่ กฎระเบียบเท่านั้น หากต้องมีความชํานาญเชี่ยวชาญและสามารถให้บริการสาธารณะได้เป็นอย่างดี จึงจะสามารถ ตอบสนองต่อภารกิจของระบบราชการตามความหมายในยุคใหม่

ค POSDCORB

แนวคําตอบ

Gulick และ Urwick ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration : Note on the Theory of Organization” โดยเสนอแนวความคิด กระบวนการบริหารที่เรียกว่า “POSDCORB” ซึ่งเป็นหน้าที่สําคัญของนักบริหาร 7 ประการ ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการ ก่อนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ เป็นการกําหนดโครงสร้างขององค์การโดยพิจารณา ให้เหมาะสมกับงาน เช่น การแบ่งงานเป็นกรม กอง หรือแผนก โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพของงานหรือจัด ตามลักษณะเฉพาะของงาน นอกจากนี้อาจพิจารณาในแง่ของการควบคุม หรือพิจารณาในแง่ของหน่วยงาน เช่น หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษา เป็นต้น

3 S = Staffing คือ การจัดหาบุคลากรมาปฏิบัติงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อให้ได้บุคลากรมาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ การจัดแบ่งหน่วยงานที่กําหนดเอาไว้

4 D = Directing คือ การอํานวยการ เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นํา มนุษยสัมพันธ์ การจูงใจ และการตัดสินใจ เป็นต้น

5 (O = Coordinating คือ การประสานงาน เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของ กระบวนการทํางานมีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

6 R = Reporting คือ การรายงาน เป็นกระบวนการและเทคนิคของการรายงานให้ ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน โดยมีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสารในองค์การอยู่ด้วย

7 B = Budgeting คือ การงบประมาณ เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทําบัญชี การควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง

ง Authority

แนวคําตอบ

Authority หรืออํานาจหน้าที่ หมายถึง อํานาจที่ได้รับจากการมอบหมาย ซึ่งเป็นอํานาจที่ จะต้องปฏิบัติตามและถือว่าเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรม

Max Weber เห็นว่า การได้มาซึ่งอํานาจหน้าที่มี 3 ประการ คือ

1 อํานาจจากประเพณีนิยม (Traditional Authority)

2 อํานาจจากบุคลิกภาพหรือบารมี (Charismatic Authority)

3 อํานาจตามหน้าที่ที่กฎหมายระบุไว้ (Legalistic Authority)

หลักเกณฑ์การมอบอํานาจหน้าที่ ได้แก่

1 มอบให้กับตําแหน่งไม่ใช่ตัวบุคคล

2 ผู้บริหารระดับสูงต้องปฏิบัติตามนโยบาย และมีการมอบอํานาจให้คนอื่นทําแทน

3 เป็นการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา

4 การมอบหมายควรมอบเป็นลําดับชั้น

5 การมอบหมายควรทําเป็นลายลักษณ์อักษรถ้าเป็นเรื่องสําคัญ

ปัญหาอุปสรรคของการมอบอํานาจหน้าที่ ได้แก่

1 เกิดจากผู้มอบอํานาจหน้าที่ เช่น กลัวการสูญเสียอํานาจ ไม่เห็นความสําคัญ มีความพอใจที่จะรวบอํานาจหน้าที่ไว้ด้วยตนเอง

2 เกิดจากผู้รับมอบอํานาจหน้าที่ เช่น ไม่เต็มใจรับ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีความรู้หรือไม่เข้าใจงานที่ได้รับมอบอํานาจหน้าที่

3 เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น ระเบียบกําหนดให้เป็นอํานาจเฉพาะตัว ความสามัคคีหรือความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์

แนวคิดเผด็จการ

วิธีแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการมอบอํานาจหน้าที่ ได้แก่

1 กําหนดเป้าหมายให้ผู้รับมอบเข้าใจชัดเจน

2 ให้ความรับผิดชอบกับอํานาจได้สัดส่วนกัน

3 ต้องมีศิลปะการจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา

4 กําหนดเครื่องมือในการควบคุมให้ดี

5 จัดให้มีการมอบหมายอย่างเป็นระบบ

จ The Changing Nature of Work

แนวคําตอบ

The Changing Nature of Work คือ การเปลี่ยนแปลงลักษณะงานขององค์การในอนาคต ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดโครงสร้างองค์การแบบ Bureaucracy นั้น ไม่มีความเหมาะสมกับองค์การในอนาคต จึงต้องมีการจัดรูปแบบองค์การใหม่หรือเรียกว่า Post Bureaucracy ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าเข้ามาทดแทน ดังนั้น ลักษณะงานขององค์การในอนาคตจึงเปลี่ยนจาก Bureaucracy ไปเป็น Post Bureaucracy ดังนี้

Bureaucracy

1 แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Work)

2 งานที่ทําซ้ําซาก (Meaningless Repetitive Tasks)

3 งานที่ต่างคนต่างทํา (Individual Work)

4 งานที่แบ่งตามขั้นตอน (Functional-Ease Work)

5 งานที่ต้องอาศัยทักษะอย่างเดียว (Single-Skilled)

6 ยึดถืออํานาจของผู้บังคับบัญชา (Power of Bosses)

7 มีความสัมพันธ์จากส่วนบนลงล่าง (Coordination

from Above)

 

Post Bureaucracy

1 แรงงานที่มีความรู้ความสามารถ (Knowledge Work)

2 งานที่ทันสมัยและท้าทาย (Innovation and Caring)

3 มีการทํางานเป็นทีม (Teamwork)

4 มีการทํางานแบบโครงการ (Project-Base Work)

5 งานที่ต้องอาศัยความรู้หลายอย่าง (Multi-Skilled)

6 ยึดถืออํานาจของลูกค้าเป็นสําคัญ (Power of Customers)

7 ความสัมพันธ์เกิดจากผู้ร่วมงานในระดับเดียวกัน

(Coordination Among Peers)

POL3100 กระบวนการนิติบัญญัติ 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3100 กระบวนการนิติบัญญัติ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 สมาชิกวุฒิสภาอังกฤษประเภทใดที่ได้รับเงินเดือน

(1) แบบสืบเชื้อสายจากตระกูลเก่า

(2) ขุนนางที่ได้รับแต่งตั้ง

(3) พระสังฆาธิราช

(4) หัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกา

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) สมาชิกวุฒิสภาหรือสภาขุนนาง (House of Lords) อังกฤษ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1 ขุนนางสืบเชื้อสาย (Hereditary Peers) เป็นขุนนางตระกูลเก่า ซึ่งสามารถสืบทอดสมาชิกภาพของตนให้แก่ทายาทได้

2 ขุนนางตลอดชีพ (Life Peers) เป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี สําหรับบุคคลที่ทําประโยชน์ให้แก่สาธารณะ สมาชิกประเภทนี้สืบทอดให้แก่ทายาทไม่ได้ แต่สามารถลาออกได้

3 ขุนนางโดยตําแหน่งที่เป็นนักบวช (Spiritual Peers) เป็นขุนนางที่มาจากตัวแทนศาสนา เสืบทอดให้แก่ทายาทไม่ได้ แต่จะดํารงตําแหน่งได้ตราบเท่าที่อยู่ในสมณศักดิ์ทางศาสนจักร

4 ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) เป็นขุนนางฝ่ายกฎหมาย ซึ่งจะดํารงตําแหน่งตลอดชีพและได้รับเงินเดือน เช่น หัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นต้น ขณะที่ขุนนางประเภทอื่น ๆ จะได้รับเพียสวัสดิการเท่านั้น

2 ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดีอเมริกา

(1) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

(2) แต่งตั้งเอกอัครราชทูต

(3) คัดเลือกผู้พิพากษาศาลสหพันธรัฐ

(4) บริหารระบบภัยพิบัติของมลรัฐที่ประสบภัย

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แก่

1 ประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล

2 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

3 แต่งตั้งเอกอัครราชทูต

4 คัดเลือกและแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสหพันธรัฐ

5 ยับยั้งร่างกฎหมาย

6 ทําสนธิสัญญาต่าง ๆ เป็นต้น

3 ข้อใดเป็นองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญ

(1) การบริหารราชการของส่วนราชการต่าง ๆ

(2) คุณสมบัติผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

(3) อํานาจของฝ่ายยุติธรรม

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (คําบรรยาย) องค์ประกอบของรัฐธรรมนูญ มีดังนี้

1 ระยะเวลาที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง

2 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

3 สิทธิและหน้าที่พลเมือง

4 ขอบเขตและขีดจํากัดของอํานาจรัฐบาล

5 อํานาจของฝ่ายยุติธรรม

6 แนวทางการจัดตั้งรัฐบาล การเข้าสู่และพ้นตําแหน่ง

7 บทบาทและอํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นต้น

4 ข้อใดไม่ใช่เกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย

(1) ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง

(2) ทุกพรรคการเมืองมีอิสระในการหาเสียงเลือกตั้ง

(3) ประชาชนสามารถจัดชุมนุมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้

(4) การลงคะแนนเลือกตั้ง 1 สิทธิ 1 เสียงเท่ากัน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย มีดังนี้

1 ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง (Political Accountability)

2 การแข่งขันทางการเมือง (Political Competition) โดยทุกพรรคการเมืองมีอิสระในการหาเสียงเลือกตั้ง

3 ความมีเสรีภาพทางการเมือง (Political Freedom) ประชาชนสามารถจัดชุมนุมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้

4 ความเสมอภาคทางการเมือง (Political Equality) ซึ่งจะเห็นได้จากการลงคะแนนเลือกตั้ง 1 สิทธิ 1 เสียงเท่ากัน

5 Majority Rule and Minority Rights หมายความว่า

(1) ตัดสินใจทางการเมืองด้วยเสียงเกินครึ่งหนึ่งของผู้มาลงคะแนน

(2) ตัดสินใจทางการเมืองด้วยเสียงของชนชั้นนําในสังคม

(3) ตัดสินใจทางการเมืองด้วยเสียงส่วนใหญ่ได้ทุกเรื่อง

(4) ตัดสินใจด้วยเสียงส่วนใหญ่แต่ปกป้องสิทธิของเสียงส่วนน้อย

(5) ตัดสินใจด้วยการใช้กําลังบีบบังคับ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) Majority Rule and Minority Rights หมายถึง หลักการปกครองโดยเสียงข้างมากโดยเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่าเป็นการตัดสินใจด้วยเสียงส่วนใหญ่แต่ปกป้องสิทธิของเสียงส่วนน้อยนั่นเอง

6 ประเทศใดมีระบบรัฐสภาเดี่ยว

(1) อังกฤษ

(2) อเมริกา

(3) อินโดนีเซีย

(4) จีน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) อินโดนีเซีย (Indonesia) เป็นประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และมีระบบรัฐสภาเดี่ยว คือ“สภาผู้แทนราษฎร”

7 อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แสดงออกผ่านรัฐธรรมนูญอย่างไร

(1) สัดส่วนของตัวแทนในรัฐสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

(2) สัดส่วนของตัวแทนในรัฐสภามาจากการเลือกกันเองของสภาวิชาชีพมากที่สุด

(3) สัดส่วนของตัวแทนในรัฐสภามาจากการสรรหามากที่สุด

(4) จํานวนประชาชนที่สามารถเสนอกฎหมายมีจํานวนมาก

(5) ข้อ 1 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) สามารถแสดงออกผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ในหลายลักษณะ เช่น

1 กําหนดสัดส่วนของตัวแทนประชาชนในรัฐสภาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

2 กําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีจํานวนมากขึ้น (แสดงนัยยะสําคัญว่าอํานาจของประชาชนน้อยลง) เป็นต้น

8 ข้อใดมีคุณูปการใหญ่หลวงต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในอังกฤษ

(1) Magna Carta

(2) Erasmus Mundus

(3) Jurassic Rex

(4) Bit of Rights

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) สิ่งที่เป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อพัฒนาการประชาธิปไตยในอังกฤษ คือ

1 Viagra Carta ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งรัฐธรรมนูญอังกฤษ และเป็นกุญแจสําคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างถึงสิทธิทางการเมืองทั่ว ๆ ไป สิทธิของเสรีชนช่วยให้อํานาจค่อย ๆ เปลี่ยนมือจากกษัตริย์มาสู่ตัวแทนของประชาชน

2 Bit of Rights หรือ “บัตรแห่งสิทธิ” คือ กฎหมายหรือบทบัญญัติที่เป็นการเปิดประตูแห่งความเป็นประชาธิปไตยในอังกฤษให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งพลเมืองจะมีสิทธิต่าง ๆติดตัวในฐานะเป็นประชาชนคนธรรมดา

9 การที่มีข้อบัญญัติรับรองว่า กษัตริย์จะไม่จับกุมผู้แทนราษฎรระหว่างการประชุมโดยไม่มีเหตุอันควรเพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ใช้อํานาจมากเกินไป ได้กลายมาเป็นหลักการใดในโลกสมัยใหม่

(1) การให้สิทธิเดินทางฟรี

(2) การได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูต

(3) เอกสิทธิ์คุ้มครอง

(4) สวัสดิการสมาชิกสภา

(5) กฎหมายการคุ้มครองพยาน

ตอบ 3 (คําบรรยาย) หลักการเอกสิทธิ์คุ้มครอง เกิดขึ้นครั้งแรกในอังกฤษ อันเป็นผลมาจากการมีข้อบัญญัติรับรองว่า “กษัตริย์จะไม่จับกุมผู้แทนราษฎรระหว่างการประชุมโดยไม่มีเหตุอันควร เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ใช้อํานาจมากเกินไป” ซึ่งได้กลายมาเป็นหลักการสําคัญในโลกสมัยใหม่(ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 125)

10 ลักษณะสําคัญของการใช้อํานาจร่วมระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร คือ

(1) สมาชิกวุฒิสภาสามารถดํารงตําแหน่งราชการประจําได้

(2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถดํารงตําแหน่งราชการประจําได้

(3) นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกรัฐสภา

(4) นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นลักษณะของการเชื่อมโยงอํานาจ(Fusion of Powers) หรือการใช้อํานาจร่วมระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร โดยจะให้ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เป็นสถาบันหลัก มีอํานาจควบคุมฝ่ายบริหาร และฝ่ายบริหารจะต้องมาจากฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น กรณีที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น

11 หากจะยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติภายหลังการรัฐประหาร จะต้องตราพระราชบัญญัติเพื่อยกเลิกสภาพบังคับเพราะประกาศคณะปฏิวัติเป็น

(1) พระบรมราชโองการ

(2) คําสั่งของรัฏฐาธิปัตย์

(3) คําสั่งในทางปกครอง

(4) คําสั่งของเผด็จการ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ประกาศของคณะปฏิวัติถือว่าเป็นคําสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ (ผู้มีอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ) และมีฐานะเป็นกฎหมาย ซึ่งจะมีสภาพบังคับเทียบเท่ารัฐธรรมนูญหรือ พระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา ดังนั้นการจะยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัตินั้นจะต้อง ดําเนินการเช่นเดียวกับการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกฎหมายธรรมดาทั่วไป คือ ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติออกมายกเลิก

12 การเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลเผด็จการเพื่อนําไปสู่การสร้างประชาธิปไตยในตะวันออกกลาง เรียกว่า

(1) Arab Sauna

(2) Arab Spring

(3) Arab Jihad

(4) Arab Spoil

(5) Arab Revolt

ตอบ 2 (คําบรรยาย) อาหรับสปริง (Arab Spring) คือ การเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลเผด็จการเพื่อนําไปสู่การสร้างประชาธิปไตยในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยมีการเดินขบวน การประท้วง รวมไปถึงการนัดหยุดงาน และมีการนําเทคโนโลยีการสื่อสารดิจิตอลอย่างเช่น เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์มาใช้เป็นเครื่องมือชุดใหม่ในทางการเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากการลุกฮือล้มรัฐบาลโดยประชาชนอียิปต์ ตูนิเซีย ลิเบีย ซีเรีย เป็นต้น

13 พระราชกําหนดมีศักดิ์เทียบเท่ากับ

(1) พระราชบัญญัติ

(2) พระบรมราชโองการ

(3) พระราชกฤษฎีกา

(4) ข้อบัญญัติท้องถิ่น

(5) เทศบัญญัติ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) พระราชกําหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและยินยอมของคณะรัฐมนตรี โดยอาศัยอํานาจตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เมื่อประกาศใช้แล้ว จะต้องเสนอให้รัฐสภาผ่านความเห็นชอบมีผลบังคับใช้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป ดังนั้นจึงมี ศักดิ์เทียบเท่ากับพระราชบัญญัติ แต่ถ้ารัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบพระราชกําหนดนั้นก็จะสิ้นสุดสภาพการบังคับใช้

14 หากวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสภาผู้แทนราษฎรไม่ทันภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญจะเกิดผลเช่นไร

(1) วุฒิสภาจะถูกตัดเงินเดือน

(2) ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป

(3) ร่างพระราชบัญญัตินั้นต้องถูกนําเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้ง

(4) ให้ถือร่างพระราชบัญญัตินั้นเสมือนว่าผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว

(5) ร่างพระราชบัญญัตินั้นจะต้องถูกนํามาพิจารณาในการประชุมวุฒิสภาสมัยถัดไป

ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 136 กําหนดให้ วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมาโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วย การเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน เว้นแต่วุฒิสภาจะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็น กรณีพิเศษซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน หากวุฒิสภายังพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินั้น หรือร่างพระราชบัญญัตินั้นได้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาแล้วนั่นเอง

15 ในการควบคุมการทํางานของฝ่ายบริหารด้วยการตั้งกระทู้ถาม ผู้ตั้งกระทู้สามารถกําหนดวิธีให้ผู้ถูกถาม ตอบกระทู้ได้ดังนี้

(1) ตอบด้วยวาจาในสภาผู้แทนราษฎร

(2) ตอบด้วยวาจาในที่ประชุมกรรมาธิการ

(3) ตอบในราชกิจจานุเบกษา

(4) เฉพาะข้อ 1 และ 2

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ในการควบคุมการทํางานของฝ่ายบริหารด้วยการตั้งกระทู้ถาม สมาชิกผู้ตั้งกระทู้จะเป็นผู้กําหนดว่าต้องการให้ผู้ถูกถามตอบกระทู้ด้วยวาจาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือตอบในราชกิจจานุเบกษาเป็นลายลักษณ์อักษร

16 การตั้งกระทู้ถามในเรื่องจําเป็นเร่งด่วนต่อนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจยื่นเรื่องร้องขอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยจะถามกระทู้ได้กี่ครั้งต่อสัปดาห์

(1) 1 ครั้ง

(2) 2 ครั้ง

(3) 3 ครั้ง

(4) 4 ครั้ง

(5) 5 ครั้ง

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การตั้งกระทู้ถามในเรื่องที่เป็นปัญหาสําคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนหรือเป็นเรื่องที่กระทบถึงประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาชน หรือที่เป็นเรื่องเร่งด่วนนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจแจ้งต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าจะถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโดยไม่ต้องระบุคําถาม ซึ่งจะกระทําได้ 1 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น

17 ในเดือนมีนาคม 2557 มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา แต่การรัฐประหารทําให้วุฒิสภา

(1) วุฒิสภาสิ้นสุดลง

(2) แปรสภาพเป็นสมัชชาแห่งชาติ

(3) แปรสภาพเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(4) แปรสภาพเป็นสภาปฏิรูป

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ภายหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศ คสช. ฉบับที่ 30/2557 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ให้วุฒิสภาสิ้นสุดลง และในกรณีที่มีกฎหมาย บัญญัติให้การดําเนินการเรื่องใดต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือ วุฒิสภา ให้เป็นอํานาจของหัวหน้า คสช. ในการให้ความเห็นชอบแทนรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาในเรื่องนั้น

18 การรัฐประหารครั้งล่าสุดเป็นการรัฐประหารครั้งที่ ในรอบหนึ่งทศวรรษ

(1) ครั้งที่ 1

(2) ครั้งที่ 2

(3) ครั้งที่ 3

(4) ครั้งที่ 4

(5) ครั้งที่ 5

ตอบ 2 (คําบรรยาย) การรัฐประหารล่าสุดในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งการรัฐประหารในครั้งนี้นับเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 2 ในรอบหนึ่งทศวรรษ (หรือในรอบ 10 ปี) ต่อจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และนับเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งกลุ่มต่อต้าน นอกประเทศอย่างเปิดเผยในชื่อ “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” ภายใต้การนําของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

19 ตามรัฐธรรมนูญเห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 การเข้าชื่อเพื่อยื่นเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีต้องใช้เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวน

(1) 1 ใน 3

(2) 1 ใน 4

(3) 1 ใน 5

(4) 1 ใน 6

(5) 2 ใน 3

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 158 กําหนดให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้

20 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กรณีร่างพระราชบัญญัติที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรและมีคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี อาจร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาได้โดยต้องดําเนินการอย่างใดจึงจะสามารถนําไปใช้เป็นกฎหมายได้

(1) ร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาโดยคะแนนเสียงต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง

(2) ร้องขอให้วุฒิสภาพิจารณาโดยตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาและเสนอความคิดเห็นเพื่อให้รัฐสภาลงมติ โดยคะแนนเสียงต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง

(3) ร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาโดยตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาและเสนอความคิดเห็นเพื่อให้รัฐสภาลงมติ โดยคะแนนเสียงต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง

(4) ร้องขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาโดยตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาและเสนอความคิดเห็นต่อสภาผู้แทนราษฎรลงมติ โดยคะแนนเสียงต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง

(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 145 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีระบุไว้ในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาตามมาตรา 176 ว่าจําเป็นต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ให้ความเห็นชอบ และคะแนนเสียงที่ไม่ให้ความเห็นชอบไม่ถึง กึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ คณะรัฐมนตรีอาจร้องขอให้ รัฐสภาพิจารณาโดยตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็น เพื่อให้รัฐสภาลงมติ ถ้ารัฐสภามีมติเห็นชอบโดยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง ก็ให้นําไปใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

21 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 หากร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่ามีหลักการขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถ รวมตัวกันเสนอความเห็นต่อประธานรัฐสภา โดยใช้จํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันเป็นจํานวนของทั้งสองสภารวมกัน

(1) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3

(2) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5

(3) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10

(4) ไม่น้อยกว่า 3 ใน 5

(5) ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 154 (1) ระบุไว้ว่า หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวน สมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี แล้วให้ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

22 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพื่อป้องกันมิให้เกิดเผด็จการรัฐสภาได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านตรวจสอบการทํางานของรัฐบาล โดย

(1) ใช้เสียง 1 ใน 4 ของ ส.ส. ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาลยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

(2) ใช้เสียง 1 ใน 3 ของ ส.ส. ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาลยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

(3) ใช้เสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาลยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

(4) ใช้เสียงทั้งหมดของ ส.ส. ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาลยืนอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2550 ได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านตรวจสอบการทํางานของรัฐบาลได้เพื่อป้องกันมิให้เกิดเผด็จการรัฐสภา โดยกําหนดให้ใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. ที่ไม่ได้อยู่ ฝ่ายรัฐบาลยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลได้ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้บริหารราชการแผ่นดินมาเกินกว่า 2 ปีแล้ว (มาตรา 160)

23 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 หากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านรัฐสภาแล้ว รัฐสภาจะต้องทําอย่างไร

(1) ปรึกษากัน แล้วแก้ไขเพิ่มเติมตามที่ทรงมีพระราชกระแส

(2) ปรึกษากัน หากยืนยันตามร่างเดิมต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา

(3) ไม่นําขึ้นพิจารณาอีก เพราะกระทําไม่ได้

(4) ไม่มีข้อถูก

(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 151 กําหนดให้ ร่าง พ.ร.บ. ใด พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทาน คืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่าง พ.ร.บ. นั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (รัฐสภา) แล้วให้นายกรัฐมนตรีนําร่าง พ.ร.บ. นั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง

24 ข้อใดคือเกณฑ์การได้มาซึ่งวุฒิสมาชิกของไทย ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(1) การเลือกตั้ง

(2) การเลือกจากบัญชีรายชื่อ

(3) การเลือกตั้งตามกลุ่มอาชีพ

(4) การเลือกโดยคณะกรรมการสรรหา

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 หน้า 23, (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 107 และ 109 กําหนดให้ วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาแบบเลือกตั้งโดยอ้อม (เลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือผลประโยชน์ร่วมกัน) จํานวน 200 คนซึ่งมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 5 ปี

25 การกําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมากขึ้น แสดงนัยยะสําคัญอะไร

(1) อํานาจของประชาชนมากขึ้น

(2) อํานาจของประชาชนน้อยลง

(3) โอกาสในการเข้ามีส่วนในการปกครองมากขึ้น

(4) ไม่มีนัยยะสําคัญ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7 ประกอบ

26 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 อํานาจนิติบัญญัติอยู่ที่องค์กรใด

(1) สภาปฏิรูปแห่งชาติ

(2) รัฐสภา

(3) หัวหน้า คสช.

(4) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(5) ข้อ 3 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 อํานาจนิติบัญญัติอยู่ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นสําคัญ โดยมีคณะรัฐมนตรีชั่วคราว รับผิดชอบการบริหารราชการแผ่นดิน และมีกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญทําหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

27 ข้อใดเป็นความแตกต่างระหว่างประชาพิจารณ์กับประชามติ

(1) ประชามติเป็นการแสดงอํานาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน

(2) ประชาพิจารณ์เป็นแนวทางที่รัฐใช้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

(3) ประชามติกําหนดให้รัฐต้องผูกพันปฏิบัติตามผลการออกเสียงประชามติ

(4) ประชาพิจารณ์ต้องการความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องนั้น ๆ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความแตกต่างระหว่างประชาพิจารณ์กับประชามติ มีดังนี้

1 ประชาพิจารณ์ตั้งอยู่บนฐานคติของการรักษาผลประโยชน์แก่ประชาชน ส่วนประชามติจะตั้งอยู่บนฐานคติของการแสดงอํานาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน

2 ประชาพิจารณ์เป็นแนวทางที่รัฐใช้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งส่วนประชามติจะเป็นกระบวนการที่รัฐขอปรึกษาหารือประชาชน เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ

3 ประชาพิจารณ์นั้นรัฐจะไม่ผูกพันและไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม ส่วนประชามติกําหนดให้รัฐต้องผูกพันปฏิบัติตามผลการออกเสียงประชามติ

4 ประชาพิจารณ์ต้องการความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องนั้น ๆ เพื่อลดความขัดแย้งจากการตัดสินใจของรัฐ ส่วนประชามตินั้นต้องการมติของประชาชนว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องนั้น ๆ

28 ข้อใดไม่ใช่หลักการของการทําประชาพิจารณ์

(1) มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับที่ประชุม

(2) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ที่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

(3) จัดทําประชาพิจารณ์ก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

(4) หน่วยงานรัฐต้องหยุดดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่จะทําประชาพิจารณ์ทั้งหมด

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักการของการทําประชาพิจารณ์ มีดังนี้

1 จะต้องกระทําก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

2 มีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ที่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

3 มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับที่ประชุม

4 การดําเนินการประชาพิจารณ์ต้องเป็นไปโดยเที่ยงตรงและเปิดเผย

5 ข้อสรุปจากการทําประชาพิจารณ์เป็นเพียงข้อเสนอแนะ หน่วยงานของรัฐไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม

29 ข้อใดเป็นอํานาจหน้าที่ของรัฐสภา

(1) การตรากฎหมาย

(2) การควบคุมบริหารราชการแผ่นดิน

(3) การให้ความเห็นชอบในเรื่องสําคัญ

(4) เฉพาะข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) อํานาจหน้าที่ของรัฐสภา ได้แก่

1 การตรากฎหมาย

2 การควบคุมบริหารราชการแผ่นดิน (การตั้งกระทู้ถาม, การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ)

3 การให้ความเห็นชอบในเรื่องสําคัญ (การประกาศสงคราม, การทําสัญญาระหว่างประเทศ)

4 การให้การรับรองตําแหน่งสําคัญ ฯลฯ

30 กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคําแนะนําเละยินยอมของรัฐสภา เรียกว่าอะไร

(1) พระราชกําหนด

(2) พระราชกฤษฎีกา

(3) พระราชานุญาต

(4) พระราชดําริ

(5) พระราชบัญญัติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติ หมายถึง กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่ต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของ รัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อน จึงนําขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

31 ประเทศไทยได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อใด

(1) 14 ตุลาคม 2475

(2) 6 ตุลาคม 2475

(3) 10 ธันวาคม 2475

(4) 24 ธันวาคม 2475

(5) 24 มิถุนายน 2475

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

32 พรรคการเมืองใดจงใจไม่ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557

(1) พรรคกิจสังคม

(2) พรรคประชาธิปัตย์

(3) พรรคอนาธิปัตย์

(4) พรรคเพื่อไทย

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 นั้น มีพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมดจํานวน 53 พรรค เช่น พรรครักประเทศไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคเพื่อไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังชล ฯลฯ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ประกาศไม่ลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งครั้งนี้

33 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment)

(1) การยอมรับระบบเหตุผล

(2) ศาสนจักรไม่มีอิทธิพลต่อความคิด

(3) อิทธิพลของพุทธศาสนา

(4) การมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 4

ตอบ 3 (คําบรรยาย) การเสื่อมถอยของทฤษฎีครองอํานาจแบบลัทธิเทวสิทธิ์ (Divine Right Theory)เกิดจากการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของเหล่าปัญญาชนในยุโรปและอาณานิคมบนทวีปอเมริกา ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปสังคมและส่งเสริมให้มีการยอมรับระบบเหตุผล มากกว่าการใช้หลักจารีต ความเชื่อ และการเปิดเผยจากพระเจ้า ทําให้ศาสนจักรไม่มีอิทธิพลต่อ ความคิด รวมไปถึงส่งเสริมการมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ หรือที่รู้จักกันในนามยุคเรืองปัญญาหรือยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightenment)

34 แนวคิดเรื่องสัญญาประชาคม (Social Contract) บอกว่าเราสามารถบรรลุถึงเสรีภาพในเงื่อนไขใด

(1) ในรัฐสังคมนิยมเท่านั้น

(2) ในรัฐสวัสดิการเท่านั้น

(3) ในรัฐแบบใดก็ได้

(4) ในรัฐประชาธิปไตยเท่านั้น

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ของ ชากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า สังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสัญญาประชาคม (Social Contract) สามารถทําให้บุคคลในฐานะสมาชิกของสังคมนั้น บรรลุถึงเสรีภาพได้ สัญญาประชาคมจึงเป็นเสมือนรัฐธรรมนูญที่ต้องอยู่เพื่อทุกส่วนในสังคมดังนั้นการบรรลุเสรีภาพจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขการปกครองแบบประชาธิปไตยเท่านั้น

35 เจตจํานงทั่วไป (General Win) ในทางทฤษฎี หมายถึง

(1) การมีส่วนร่วมทางการเมือง

(2) การเข้าไปใช้อํานาจการเมือง

(3) การยอมรับตัวแทนทางการเมือง

(4) การมีส่วนร่วมและกําหนดทิศทางของชุมชนที่สังกัด

(5) การมีส่วนร่วมทางการเมืองและยอมรับผู้นําการเมือง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เจตจํานงทั่วไป (General Wit) ในทางทฤษฎี หมายถึง การมีส่วนร่วมและกําหนดทิศทางของชุมชนที่สังกัด ซึ่งเป็นเรื่องของความเห็นพ้องต้องกันหรือมติเอกฉันท์ ของทุกคนในสังคม หรือบางครั้งอาจเป็นการตัดสินโดยเสียงข้างมากก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแต่ต้องเป็นเสียงข้างมากที่มุ่งผลประโยชน์ของคนทุกคนหรือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

36 ข้อใดไม่เป็นพื้นที่ในพรมแดนส่วนตัว (Private Sphere)

(1) การคลุมฮิญาบ

(2) E-mail

(3) รสนิยม

(4) ห้องทํางานส่วนตัวในมหาวิทยาลัย

(5) งานอดิเรก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) พื้นที่ในพรมแดนส่วนตัว (Private Sphere) เป็นพื้นที่ที่ถูกใช้โดยคนหนึ่งคนใดและมีลักษณะแบ่งแยกกันเด็ดขาด มักเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคล เข้าถึงได้ยากเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น ศาสนา (การคลุมฮิญาบ) ชีวิตครอบครัว รสนิยม งานอดิเรกห้องนอน E-mail ฯลฯ

37 รัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง

(1) รัฐที่แยกพื้นที่ส่วนตัวออกจากพื้นที่สาธารณะ

(2) รัฐที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม

(3) รัฐที่เอาหลักศาสนามาปกครอง

(4) รัฐที่นําเอานักบวชมาปกครอง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐฆราวาสหรือรัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง รัฐหรือประเทศที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกศาสนจักรออกจาก ฝ่ายอาณาจักรในโลกตะวันตก (โดยเฉพาะกรณีของอังกฤษ) โดยทั่วไปรัฐฆราวาสจะมีแนวทาง บริหารประเทศโดยใช้หลักทั่วไปทางโลกมาเป็นรากฐานของการปกครอง ไม่ต่อต้านความเชื่อหรือจํากัดศาสนาใด ๆ ตัวอย่างของรัฐดังกล่าวนี้ ได้แก่ ไทย เนปาล ฯลฯ

38 ข้อใดเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 (1) เข้าชื่อเสนอกฎหมาย

(2) เข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(3) พิจารณากฎหมายเกี่ยวกับเด็ก สตรี เยาชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ

(4) เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มผลประโยชน์ เช่น กลุ่มอาชีพ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 ได้แก่

1 การออกเสียงเลือกตั้ง

2 การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย (ร่าง พ.ร.บ. ในหมวดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ)

3 การเข้าชื่อเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

4 การเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

5 การมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับเด็ก สตรี เยาชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ

6 การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มผลประโยชน์ เช่น กลุ่มอาชีพ เป็นต้น

39 กระบวนการที่ประชาชนของประเทศอังกฤษออกเสียงสนับสนุนให้อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เรียกว่า

(1) ประชาพิจารณ์

(2) มหาชนสมมุติ

(3) ประชามติ

(4) เลือกตั้ง

(5) ประชาสังคม

ตอบ 3 (คําบรรยาย) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559 อังกฤษและกลุ่มประเทศในสหราชอาณาจักรได้มีการลงประชามติออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปหรืออียู (EU) ซึ่งผลปรากฏว่า คะแนนที่ต้องการออกจากอียูคิดเป็นร้อยละ 51.89 ส่วนคะแนนที่ต้องการอยู่กับอียูคิดเป็นร้อยละ 48.11

40 ฮันติงตัน อธิบายเรื่องการพัฒนาให้ทันสมัยว่า หากการเลื่อนชั้นทางสังคมไม่สมดุลกับการพัฒนาเศรษฐกิจจะทําให้เกิดความไม่พอใจทางสังคม และหากโอกาสในการพัฒนาตนเองไม่สมดุลก็จะนําไปสู่การมีส่วนร่วม ทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ไม่สมดุลกับการสร้างสถาบันการเมืองจะนําไปสู่

(1) การพัฒนาการเมือง

(2) ความปั่นป่วนของเศรษฐกิจ

(3) การสร้างสถาบันการเมือง

(4) การพัฒนาให้ทันสมัย

(5) ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง

ตอบ 5 (คําบรรยาย) แซมมวล ฮันติงตัน (Samuel Huntington) อธิบายเรื่องการพัฒนาให้ทันสมัยว่าหากการเลื่อนชั้นทางสังคมไม่สมดุลกับการพัฒนาเศรษฐกิจจะทําให้เกิดความไม่พอใจทางสังคม และหากโอกาสในการพัฒนาตนเองไม่สมดุลก็จะนําไปสู่การมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วม ทางการเมืองที่ไม่สมดุลกับการสร้างสถาบันการเมืองจะนําไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง แต่หากการมีส่วนร่วมทางการเมืองสมดุลกับการสร้างสถาบันการเมืองก็จะนําไปสู่การพัฒนาการเมือง (Political Development) นั่นเอง

41 คําอธิบายว่ามนุษย์เข้ามารวมเป็นสังคมการเมืองเพื่อเข้าถึงความดีรวมหมู่ (The Good หรือ Collective Good) เป็นคําอธิบายของ

(1) มองเตสกิเออ

(2) อริสโตเติล

(3) โทมัส ฮอบส์

(4) รุสโซ

(5) จอห์น ล็อค

ตอบ 2 (คําบรรยาย) อริสโตเติล อธิบายว่า มนุษย์เข้ามารวมเป็นสังคมการเมืองเพื่อเข้าถึงความดีรวมหมู่ (The Good หรือ Collective Good) โดยเกิดขึ้นจากความพยายามที่จะแสวงหา สิ่งสนองความปรารถนาในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งทางด้านศีลธรรม ซึ่งมิได้เป็นไปเพียงเพื่อให้มีการดํารงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น หากแต่ให้ชีวิตดํารงได้เป็นอย่างดีและพบกับชีวิตที่สมบูรณ์

42 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีวาระการดํารงตําแหน่งกี่ปี

(1) 7 ปี

(2) 6 ปี

(3) 5 ปี

(4) 4 ปี

(5) 3 ปี

ตอบ 1 หน้า 37 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 232 และ 233 กําหนดให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจํานวน 9 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรง แต่งตั้งตามคําแนะนําของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา โดยมี วาระการดํารงตําแหน่ง 7 ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว

43 การปฏิรูปประเทศ เป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใด (1) พ.ศ. 2540

(2) พ.ศ. 2550

(3) พ.ศ. 2557

(4) พ.ศ. 2560

(5) ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) “การปฏิรูปประเทศ” เป็นหมวด 16 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งการปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลดังนี้ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ

44 รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดมีลักษณะอย่างไร

(1) กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

(2) การแก้กฎหมายทําได้ง่าย

(3) เป็นไปตามเจตจํานงของผู้ปกครองสูงสุด

(4) ลําดับชั้นของกฎหมายไม่มีความจําเป็น

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 หน้า 5 รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุด มีลักษณะดังนี้

1 กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

2 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทําได้ยาก

45 ข้อใดแสดงว่าอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

(1) ตัวแทนจากวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งกันเองของสภาวิชาชีพ

(2) ตัวแทนในรัฐสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

(3) จํานวนประชากรที่ลงชื่อเสนอกฎหมายได้ต้องใช้จํานวนมากที่สุด

(4) ประชาชนออกเสียงประชามติแล้วให้รัฐแก้ไขได้เล็กน้อย

(5) การประกาศตัวเป็นองค์อธิปัตย์ของแกนนํากลุ่มผู้ชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจํานวนมาก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) สามารถแสดงออกผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ในหลายลักษณะ เช่น

1 กําหนดสัดส่วนของตัวแทนประชาชนในรัฐสภาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

2 กําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีจํานวนน้อยลง (แสดงนัยยะสําคัญว่าอํานาจของประชาชนมากขึ้น) เป็นต้น

46 ตําแหน่งใดต่อไปนี้ที่ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน

(1) ส.ส. ทุกคน

(2) ส.ว. ทุกคน

(3) อธิการบดี

(4) ปลัดกระทรวง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปลัดกระทรวงอธิการบดี รองอธิการบดี ฯลฯ

47 รัฐธรรมนูญ มีนัยยะสําคัญในเรื่องใด

(1) จํากัดอํานาจของรัฐบาล

(2) แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

(3) สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของรัฐ

(4) ถูกทุกข้อ

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 4 – 5, (คําบรรยาย) นัยยะสําคัญของรัฐธรรมนูญ มีดังนี้

1 จํากัดอํานาจและการกระทําของรัฐบาล

2 แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

3 สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของรัฐบาล

4 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

5 สถานะสูงสุดที่ไม่มีกฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้ง ฯลฯ

48 องค์กรท้องถิ่นใดหายไปในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(1) เทศบาล

(2) สภาท้องถิ่น

(3) องค์การบริหารส่วนตําบล

(4) กํานัน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) องค์กรท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 ได้แก่

1 ระดับหมู่บ้าน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้าน สภาท้องถิ่น

2 ระดับตําบล เช่น กํานั้น องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.)

3 ระดับอําเภอ เช่น เทศบาล เมืองพัทยา

4 ระดับจังหวัด เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นต้น

49 ข้อใดไม่ใช่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(1) กกต.

(2) ป.ป.ช.

(3) คตง.

(4) สตง

(5) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ตอบ 4 หน้า 35 – 39 องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 ประกอบด้วย 5 องค์กร ได้แก่

1 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

2 ผู้ตรวจการแผ่นดิน

3 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

4 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)

5 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

50 “พฤฒสภา” คือชื่อเดิมขององค์กรใด้

(1) องคมนตรี

(2) วุฒิสภา

(3) สภาผู้แทนราษฎร

(4) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(5) สภาปฏิรูปแห่งชาติ

ตอบ 2 หน้า 23 วุฒิสภาเกิดขึ้นครั้งแรกในชื่อ “ พฤฒสภา” ซึ่งกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ 2489 และต่อมาในรัฐธรรมนูญฯ 2490 จึงเปลี่ยนเป็น “วุฒิสภา” โดยพบว่าที่มาของ ส.ว. ตั้งแต่ เริ่มปรากฏจนกระทั่งปัจจุบันนั้นรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกําหนดให้มาจากการแต่งตั้ง ยกเว้น รัฐธรรมนูญฯ 2540 (มาจากการเลือกตั้ง) รัฐธรรมนูญฯ 2550 (มาจากการเลือกตั้งและสรรหา)และรัฐธรรมนูญฯ 2560 (มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม)

51 “The End of History” เป็นแนวคิดของใคร

(1) จอห์น ล็อค

(2) ฟรานซิส ฟูกยามา

(3) มองเตสกิเออ

(4) รุสโซ

(5) โทมัส ฮอบส์

ตอบ 2 หน้า 14, (คําบรรยาย) ฟรานซิส ฟูกยามา (Francis Fukuyama) ได้เขียนหนังสือชื่อ “การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์” (The End of History) เพื่อสนับสนุนแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย โดยเขาเชื่อว่า โลกทุกวันนี้ไม่ต้องศึกษาเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองอีกต่อไป เพราะเราได้มาถึง จุดสิ้นสุดของการแข่งขันทางอุดมการณ์แล้ว นับตั้งแต่สงครามเย็นยุติลงหลังการพังทลายของกําแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1990

52 องค์อธิปัตย์ตามแนวคิดสัญญาประชาคมของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อค ต่างกันอย่างไร

(1) การเพิกถอนอํานาจของผู้ให้อํานาจ

(2) ความเป็นเจ้าชีวิตของประชาชน

(3) การเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 หน้า 9, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ตามแนวคิดสัญญาประชาคมของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อค นั้นแตกต่างกันในประเด็นเรื่อง “การเพิกถอนอํานาจของผู้ให้อํานาจ” โดยโทมัส ฮอบส์ เห็นว่า เมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วไม่สามารถเพิกถอนได้ ไม่ว่าเขาจะควบคุมชีวิตเรา มากแค่ไหนก็ตาม แต่สําหรับ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่าอํานาจดังกล่าวสามารถเพิกถอนได้เมื่อเห็นว่าองค์อธิปัตย์ไม่อาจดูแลปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนได้

53 วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินให้เสร็จภายในกี่วัน .

(1) 15 วัน

(2) 30 วัน

(3) 45 วัน

(4) 60 วัน

(5) 90 วัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 14 ประกอบ

54 ใครมีสิทธิเลือกตั้ง

(1) ภิกษุ

(2) อยู่ระหว่างสู้คดีถูกเพิกถอนสิทธิ

(3) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา

(4) นักโทษ

(5) จิตฟันเฟือน

ตอบ 3 (คําบรรยาย) “รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 95 กําหนดให้ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

1 มีสัญชาติไทย

2 มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีในวันเลือกตั้ง

3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง และมาตรา 96 กําหนดให้ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้งเป็นบุคคลต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

1 เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

2 อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่

3 ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (เป็นนักโทษ)

4 วิกลจริตหรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบ

55 ข้อใดคือประชาธิปไตยทางตรง

(1) การรับฟังความคิดเห็นจากประธานชุมชน

(2) การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(3) การสรรหาวุฒิสภา

(4) การรับฟังข่าวสาร

(5) การไปลงประชามติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบการปกครองโดยที่พลเมืองสามารถมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจใด ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยคนกลางหรือผู้ทําหน้าที่แทนตน เช่น การไปลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมาย การถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง เป็นต้น

56 การกําหนดความสัมพันธ์ของ “ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” มักยึดหลักความได้สัดส่วน และความเหมาะสม ระหว่างข้อใด

(1) ความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

(2) ประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

(3) อํานาจของรัฐสภากับอํานาจองค์กรอิสระ

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 5 หน้า 13, (คําบรรยาย) การกําหนดพื้นฐานความสัมพันธ์ของ “ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” นั้นมักยึดหลักแห่งความได้สัดส่วนและหลักแห่งความเหมาะสม เพื่อ

1 เป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

2 สร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

57 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กรณีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหรือมิได้พระราชทานคืนให้กับรัฐสภา จะสามารถประกาศเป็นกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร

(1) ไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการตราพระราชบัญญัติ (2) ได้ เมื่อรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมด

(3) ไม่ได้ เพราะต้องมีพระปรมาภิไธยเท่านั้นจึงจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ (4) ได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าอีกครั้ง และหากมิได้ลงพระปรมาภิไธยใน 30 วันนายกรัฐมนตรีสามารถนําพระราชบัญญัตินั้นไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ (5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 146 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติใดพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีก ครั้งหนึ่ง และหากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนําพระราชบัญญัติ นั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

58 คํากล่าวที่ว่า “เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน” คือข้อใด

(1) ประชาธิปไตยผูกโยงกับจํานวนประชาชน

(2) เสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจก

(3) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยเป็นแนวคิดที่ไม่สามารถไปด้วยกัน

(4) ประชาธิปไตยไม่สามารถทําให้เกิดเผด็จการรัฐสภาได้

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เนื่องจากประชาธิปไตยนั้นจะผูกโยงกับจํานวนประชาชน (เน้นส่วนใหญ่) ส่วนเสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจก แต่อย่างไร ก็ตามทั้งสองด้านจะเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน

59 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) รัฐมีอํานาจมาก ประชาชนจะมีอํานาจน้อยลง

(2) รัฐถูกจํากัดอํานาจมาก ประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น

(3) ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลในการครอบครองของรัฐได้โดยสะดวกถ้ามิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับตามกฎหมายบัญญัติ

(4) บุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด รัฐไทยไม่สามารถถอนสัญชาติแต่สามารถเนรเทศได้

(5) ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐเมื่อถูกบุคลากรของรัฐละเมิดได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชนในสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญ สามารถพิจารณาได้ดังนี้

1 สิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น รัฐมีอํานาจมาก ประชาชนจะมีอํานาจน้อยลง 2 จํากัดอํานาจรัฐต่อประชาชนอย่างไร เช่น รัฐถูกจํากัดอํานาจมาก ประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น

3 ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐได้อย่างไร เช่น ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลในการครอบครอง ของรัฐได้โดยสะดวกถ้ามิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับตามกฎหมายบัญญัติ, ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐเมื่อถูกบุคลากรของรัฐละเมิดได้ เป็นต้น

60 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อใด

(1) 5 พ.ค. 2560

(2) 6 เมษายน 2560

(3) 24 มิถุนายน 2460

(4) 10 ธันวาคม 2560

(5) 1 ธันวาคม 2560

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ

61 ใครเป็นผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

(1) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ (ประธาน คกก. ร่างรัฐธรรมนูญ)

(2) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี)

(3) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (ประธานองคมนตรี)

(4) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.)

(5) นายวีระพล ตั้งสุวรรณ (ประธานศาลฎีกา)

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 60 ประกอบ

62 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีวุฒิสภาในวาระแรกจํานวนกี่คน

(1) 200 คน

(2) 250 คน

(3) 300 คน

(4) 350 คน

(5) 400 คน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 บทเฉพาะกาล มาตรา 269 กําหนดให้ในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่ คสช. ถวายคําแนะนําโดยอายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้มีกําหนด 5 ปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

63 ข้อใดคือความหมายของหลักนิติรัฐ

(1) องค์กรเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบควรมีอํานาจเด็ดขาดทั้งบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

(2) ปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

(3) เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนเท่าที่ผู้ปกครองกําหนด

(4) กระบวนการพิจารณาไต่สวนคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่

(5) กฎหมายต้องมีความชัดเจนและมีความแน่นอนมากพอที่ประชาชนจะเข้าใจได้

ตอบ 2 หน้า 19, (คําบรรยาย) หลักนิติรัฐ หมายถึง การปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายของรัฐต่อประชาชนในรัฐอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคในคนทุกกลุ่ม โดยรัฐทุกรัฐมุ่งหวังให้ประชาชน ปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้ภายในรัฐ ซึ่งในความหมายอย่างแคบนั้นจะไม่คํานึงถึงที่มาของกฎหมาย กล่าวคือ ประชาชนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

64 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(1) อายุไม่เกิน 70 ปี

(2) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) เคยเป็น ส.ส. เมื่อ 12 ปีก่อน

(4) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี

(5) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

ตอบ 5 หน้า 33 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 201 202 และ 216 กําหนดให้ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไปดังต่อไปนี้

1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี

2 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

4 มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

5 มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะ 10 ปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา, เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ฯลฯ

65 การเสนอพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินต้องได้รับความเห็นชอบจากใครก่อนจึงจะสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้

(1) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(2) นายกรัฐมนตรี

(3) กระทรวงการคลัง

(4) ป.ป.ช.

(5) เมื่อผู้เสนอ พ.ร.บ. นั้นเป็นผู้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วไม่จําเป็นต้องมีผู้เห็นชอบ

ตอบ 2 หน้า 54 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 133 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

(3) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม (2) หรือ (3) เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคํารับรองของนายกรัฐมนตรี

 

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามข้อ 66. – 70.

(1) ถูก

(2) ผิด

 

66 หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรีมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้ยุติลง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 265 วรรค 2 กําหนดให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 นั่นแสดงว่า หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ 2560 อํานาจของ นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ยังคงอยู่

67 การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 จะกระทําไม่ได้ถ้ามีวุฒิสมาชิกเห็นชอบจํานวนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 256 (3) กําหนดให้ การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียง เห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา (วุฒิสมาชิก) เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

68 บุคคลที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท สามารถไปสมัครเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระได้ทุกคน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 64 ประกอบ

69 โทมัส ฮอบส์ เชื่อว่าเมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วไม่สามารถเพิกถอนได้

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 52 ประกอบ

70 “หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร” ไม่เคยถูกขุดขึ้นมาก่อน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร เป็นหมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า ซึ่งภายหลังได้ถูกปรับเปลี่ยนและเคยถูกขุด ขึ้นมาหลายครั้ง เช่น มีการนําสีดํามาราดทับ ถูกขีดจนเป็นรอยจํานวนมาก เคยถูกขุดและหายไปในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถูกนํากลับมาในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นต้น

 

ข้อ 71 – 87 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการ ให้นักศึกษาพิจารณา 2 ข้อความ แล้ว ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด

(2) ถ้าข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก

(3) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้งสองข้อ

(4) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้งสองข้อ

 

71 (1) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีอํานาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 บัญญัติให้กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 1 และ 8 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ กรรมาธิการสามัญ ซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

72 (1) การดําเนินการของคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคหนึ่ง

(2) กรณีคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ จะต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคสอง ด้วย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 128 วรรค 1 และ 2 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภารองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด ในส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่ามีสาระสําคัญเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือคนพิการหรือ ทุพพลภาพ ต้องกําหนดให้บุคคลประเภทดังกล่าวหรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทํางานเกี่ยวกับบุคคลประเภทนั้นโดยตรง ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วย…

73 (1) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภามีบทบาทเท่ากับเป็นรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

ตอบ 3 (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อ สอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภานั้นจะมีบทบาทคล้ายกับรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

74 (1) การแบ่งประเภทของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ได้แบ่งตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ เช่น

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย หรือการพิจารณาร่างกฎหมาย 2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการพัฒนา

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตรา และสอดคล้องการปฏิบัติงานรัฐบาล (2) คณะกรรมาธิการในรัฐสภา อาจมีการแต่งตั้งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

ตอบ 2 หน้า 27, 31 คณะกรรมาธิการในรัฐสภามี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คณะกรรมาธิการสามัญ และคณะกรรมาธิการวิสามัญ นอกจากนี้เราอาจจะแบ่งประเภทของคณะกรรมาธิการในรัฐสภาได้ ตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ ดังนี้

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ หรือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานคลัง

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตราสอดส่องการปฏิบัติงานของรัฐบาล เป็นต้น

75 (1) ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา คณะกรรมาธิการมักมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติอย่างชัดแจ้งโดยเฉพาะความสามารถในการทํางานอย่างรวดเร็ว

(2) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการ เนื่องจากการทํางานของรัฐสภาตามความเป็นจริงนั้นจําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับหลักความต้องการของนักการเมือง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการมีอยู่ 4 ประการ คือ

1 เพื่อการแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

2 จําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับความต้องการของราษฎร

3 เป็นการละลายความเป็นพรรคการเมือง

4 การสอบสวนข้อเท็จจริงและรับเรื่องราวร้องทุกข์ ถือเป็น “หน้าที่พิเศษ” ของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย) ซึ่งในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนานั้นพบว่า คณะกรรมาธิการมักไม่ค่อยมีอิทธิพล ต่อกระบวนการนิติบัญญัติมากนัก เนื่องจากความสามารถในการทํางานค่อนข้างต่ำ

76 (1) การทํางานในขั้น “คณะกรรมาธิการ” ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญแม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง

(2) “หน้าที่พิเศษ” ที่ถือว่าเป็นหน้าที่ประจําตามปกติธรรมดาของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย คือ การแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) “การละลายความเป็นพรรคการเมือง” หนึ่งในเหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการนั้นพบว่า การทํางานในขันคณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง (ดูคําอธิบายข้อ 75 ประกอบ)

77 (1) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยรัฐสภา (2) การปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการ ไม่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใดมิได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการพิเศษที่มีอํานาจในการคัดเลือก

3 แต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการนั้นถือว่าเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาดผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้

78 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการเป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็นผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้

(2) กรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรส จะได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก ความเหมาะสมต่อหน้าที่ ความมีอาวุโสเป็นหลัก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้“ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการ” เป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็น ผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้ ส่วนคณะกรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรสนั้นจะ ได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิกความเหมาะสมต่อหน้าที่ และความมีอาวุโสเป็นหลัก

79 (1) ในระบบรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา หากเป็นร่างรัฐบัญญัติธรรมดาเข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session)เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา และคณะกรรมาธิการเต็มสภา

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

3 คณะกรรมาธิการร่วม

4 คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา

5 คณะกรรมาธิการเต็มสภา ซึ่งในระบบรัฐสภาของสหรัฐฯ หากเป็นร่างรัฐบัญญัติที่มีความสลับซับซ้อน (เรื่องใหญ่ เรื่องที่ ประชาชนสนใจมาก) เข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการ จัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session) เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

80 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภา คณะกรรมาธิการสามัญคณะกรรมาธิการร่วม และคณะกรรมาธิการร่วมพระราชบัญญัติมหาชน

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมาธิการสามัญสกอต (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการเต็มสภา

2 คณะกรรมาธิการสามัญ

3 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

4 คณะกรรมาธิการร่วม

5 คณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติเอกชน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมาธิการสามัญสกอต” (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

81 (1) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว (2) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ จะเป็นคณะกรรมาธิการที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

3 คณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ส่วนคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษนั้นจะเป็นคณะกรรมาธิการ ที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

82 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม

(2) คณะกรรมาธิการสามัญของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส มี 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องหลัก ๆ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

3 คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อสภา ซึ่งมักเข้าไป เกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

83 (1) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อประธานาธิบดี

(2) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84 (1) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน

(2) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่นอาจขอให้รัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติ รายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอาจขอให้รัฐมนตรี หรือผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

85 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(2) ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาญี่ปุ่นจะมาจากการแต่งตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย), คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้นจะมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

86 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา(ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ)

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสี่ บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกผู้พิพากษาหรือตุลาการมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ) โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 4 บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสาร จากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือ ในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ แต่การเรียกเช่นว่านั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการ

87 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา จะต้องคํานึงถึงหลักการกระจายอํานาจเป็นหลัก

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสาม บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการ จะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยนั้นมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา ซึ่งจะต้องคํานึงถึงหลักแบ่งงานกันทําเป็นหลัก โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 3 บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือ มอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

 

ข้อ 88 – 95 ให้นักศึกษาพิจารณาประเภทของคณะกรรมาธิการรัฐสภาไทย แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) คณะกรรมาธิการสามัญ

(2) คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(3) คณะกรรมาธิการร่วม

(4) คณะกรรมาธิการเต็มสภา

(5) คณะกรรมาธิการชั่วคราว

 

88 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 27 – 28 คณะกรรมาธิการสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หรือคณะบุคคลที่วุฒิสภาแต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น และตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจาณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

89 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้

ตอบ 2 หน้า 31 คณะกรรมาธิการวิสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ หรือคณะบุคคลที่วุฒิสภาแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้ เป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ โดยจะแต่งตั้งขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะและจะสลายตัวเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ

90 กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้

ตอบ 3 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการร่วม หมายถึง กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะ กรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา

91 คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการเต็มสภา หมายถึง คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุม จะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

92 คณะกรรมาธิการ…จะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว . .

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 คณะกรรมาธิการจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขของวุฒิสภา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

94 คณะกรรมาธิการแต่งตั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 89 ประกอบ

95 คณะกรรมาธิการ ตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

 

ข้อ 96 – 100 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในฝ่ายนิติบัญญัติ การตราพระราชบัญญัติ ให้นักศึกษาพิจารณาข้อความแล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความนี้ ถูก

(2) ถ้าข้อความนี้ ผิด

 

96 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 133 บัญญัติว่า ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อนและจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน และต้องเป็นไปตามมาตรา 77 ด้วย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 65 ประกอบ

 

97 กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดขั้นตอนเป็น 4 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณา

3 ขั้นแปรบัญญัติ

4 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

ตอบ 2 หน้า 54 – 55 กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะพิจารณาเป็น 3 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณาหรือขั้นแปรญัตติ

3 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

98 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา กรณีเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไปต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 14 ประกอบ

99 หากประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 148 (1) กําหนดให้ หาก ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ ทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้น โดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็น ดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ โดยไม่ชักช้า

100 ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติ ก็ทรงมีอํานาจยับยั้งได้ โดยส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังรัฐสภา หรือเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้โดยไม่ทรงพระราชทานคืนมายังรัฐสภา จนล่วงพ้นเวลา 90 วันไปแล้ว

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 57 ประกอบ

POL3100 กระบวนการนิติบัญญัติ s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3100 กระบวนการนิติบัญญัติ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ข้อใดเป็นเกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย

(1) ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง

(2) ความเข้มแข็งของภาคประชาชน

(3) ความสามารถในการตรวจสอบนักการเมืองของ ป.ป.ช.

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก (5) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14) เกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย ได้แก่

1 ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง (Political Accountability)

2 การแข่งขันทางการเมือง (Political Competition)

3 ความมีเสรีภาพทางการเมือง (Political Freedom)

4 ความเสมอภาคทางการเมือง (Political Equality)

2 การปฏิรูปประเทศ เป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใด (1) พ.ศ. 2540

(2) พ.ศ. 2550

(3) พ.ศ. 2557

(4) พ.ศ. 2560

(5) ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) “การปฏิรูปประเทศ” เป็นหมวด 16 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งการปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลดังนี้ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ

3 รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดมีลักษณะอย่างไร

(1) กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

(2) การแก้กฎหมายทําได้ง่าย

(3) เป็นไปตามเจตจํานงของผู้ปกครองสูงสุด

(4) ลําดับชั้นของกฎหมายไม่มีความจําเป็น

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 5) รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุด มีลักษณะดังนี้

1 กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

2 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทําได้ยาก

4 ข้อใดแสดงว่าอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

(1) ตัวแทนจากวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งกันเองของสภาวิชาชีพ

(2) ตัวแทนในรัฐสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

(3) จํานวนประชากรที่ลงชื่อเสนอกฎหมายได้ต้องใช้จํานวนมากที่สุด

(4) ประชาชนออกเสียงประชามติแล้วให้รัฐแก้ไขได้เล็กน้อย

(5) การประกาศตัวเป็นองค์อธิปัตย์ของแกนนํากลุ่มผู้ชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจํานวนมาก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) สามารถแสดงออกผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ในหลายลักษณะ เช่น

1 กําหนดสัดส่วนของตัวแทนประชาชนในรัฐสภาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

2 กําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีจํานวนน้อยลง (แสดงนัยยะสําคัญว่าอํานาจของประชาชนมากขึ้น) เป็นต้น

5 หลักการประชาพิจารณ์ไม่ใช่ข้อใดต่อไปนี้

(1) รัฐตัดสินใจดําเนินโครงการแล้วจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (2) รัฐผูกพันต้องปฏิบัติตามความคิดเห็นของประชาชน

(3) ต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับประชาชน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักการของการทําประชาพิจารณ์ มีดังนี้

1 จะต้องกระทําก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

2 มีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ที่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

3 มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับประชาชน

4 การดําเนินการประชาพิจารณ์ต้องเป็นไปโดยเที่ยงตรงและเปิดเผย

5 ข้อสรุปจากการทําประชาพิจารณ์เป็นเพียงข้อเสนอแนะ หน่วยงานของรัฐไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม

6 รัฐธรรมนูญ มีนัยยะสําคัญในเรื่องใด

(1) จํากัดอํานาจของรัฐบาล

(2) แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

(3) สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของรัฐ

(4) ถูกทุกข้อ

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 5), (คําบรรยาย) นัยยะสําคัญของรัฐธรรมนูญ มีดังนี้

1 จํากัดอํานาจและการกระทําของรัฐบาล

2 แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

3 สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของรัฐบาล

4 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

5 สถานะสูงสุดที่ไม่มีกฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้ง ฯลฯ

7 สมาชิกองค์กรท้องถิ่นใดหายไปในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(1) เทศบาล

(2) สภาท้องถิ่น

(3) องค์การบริหารส่วนตําบล

(4) กํานัน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) สมาชิกองค์กรท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 ได้แก่

1 ระดับหมู่บ้าน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน สมาชิกสภาท้องถิ่น

2 ระดับตําบล เช่น กํานัน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.)

3 ระดับอําเภอ เช่น สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาเมืองพัทยา

4 ระดับจังหวัด เช่น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)สมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) เป็นต้น

8 ข้อใดไม่ใช่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(1) กกต.

(2) ป.ป.ช.

(3) คตง.

(4) สตง.

(5) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 35 – 39) องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ประกอบด้วย 5 องค์กร ได้แก่

1 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

2 ผู้ตรวจการแผ่นดิน

3 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

4 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)

5 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

9 “The End of History” เป็นแนวคิดของใคร

(1) จอห์น ล็อค

(2) ฟรานซิส ฟูกยามา

(3) มองเตสกิเออ

(4) รุสโซ

(5) โทมัส ฮอบส์

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (คําบรรยาย) ฟรานซิส ฟูกยามา (Francis Fukuyama)ได้เขียนหนังสือชื่อ “การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์” (The End of History) เพื่อสนับสนุนแนวคิด เสรีนิยมประชาธิปไตยโดยเขาเชื่อว่า โลกทุกวันนี้ไม่ต้องศึกษาเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองอีก ต่อไป เพราะเราได้มาถึงจุดสิ้นสุดของการแข่งขันทางอุดมการณ์แล้ว นับตั้งแต่สงครามเย็นยุติลงหลังการพังทลายของกําแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1990

10 องค์อธิปัตย์ตามแนวคิดสัญญาประชาคมของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อค ต่างกันอย่างไร

(1) การเพิกถอนอํานาจของผู้ให้อํานาจ

(2) ความเป็นเจ้าชีวิตของประชาชน

(3) การเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ตามแนวคิดสัญญาประชาคมของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อค นั้นแตกต่างกันในประเด็นเรื่อง “การเพิกถอนอํานาจของผู้ให้อํานาจ” โดยโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าเมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วไม่สามารถเพิกถอนได้ ไม่ว่าเขาจะควบคุมชีวิตเรามากแค่ไหนก็ตาม แต่สําหรับ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่าอํานาจดังกล่าวสามารถเพิกถอนได้เมื่อเห็นว่าองค์อธิปัตย์ไม่อาจดูแลปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนได้

11 วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินให้เสร็จภายในกี่วัน

(1) 15 วัน

(2) 30 วัน

(3) 45 วัน

(4) 60 วัน

(5) 90 วัน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 55) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 136 กําหนดให้ วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมาโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้า เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน เว้นแต่วุฒิสภา จะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน หากวุฒิสภายังพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินั้น

12 ใครมีสิทธิเลือกตั้ง

(1) ภิกษุ

(2) อยู่ระหว่างสู้คดีถูกเพิกถอนสิทธิ

(3) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา

(4) นักโทษ

(5) จิตฟันเฟือน

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 95 กําหนดให้ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

1 มีสัญชาติไทย

2 มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีในวันเลือกตั้ง

3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง และมาตรา 96 กําหนดให้ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้งเป็นบุคคลต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

1 เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

2 อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่

3 ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (เป็นนักโทษ)

4 วิกลจริตหรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบ

13 ข้อใดคือประชาธิปไตยทางตรง

(1) การรับฟังความคิดเห็นจากประธานชุมชน

(2) การเลือกุสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(3) การสรรหาวุฒิสภา

(4) การรับฟังข่าวสาร

(5) การไปลงประชามติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบการปกครองโดยที่พลเมืองสามารถมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจใด ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยคนกลางหรือผู้ทําหน้าที่แทนตน เช่น การไปลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมาย การถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง เป็นต้น

14 การกําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายน้อยลง แสดงนัยยะอะไร

(1) อํานาจของประชาชนมากขึ้น

(2) อํานาจของประชาชนน้อยลง

(3) โอกาสการเข้ามีส่วนร่วมในการปกครองน้อยลง

(4) ไม่มีนัยยะสําคัญ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ

15 ประเทศไทยได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อใด

(1) 24 ธันวาคม 2475

(2) 24 มิถุนายน 2475

(3) 10 ธันวาคม 2475

(4) 14 ตุลาคม 2475

(5) 6 ตุลาคม 2475

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 66 – 67) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

16 ข้อใดคือพื้นที่ส่วนตัว (Private Sphere)

(1) ห้องทํางานในมหาวิทยาลัย

(2) การโพสต์บนเฟซบุ๊ค

(3) ไลน์กลุ่ม

(4) การคลุมฮิญาบ

(5) ห้อง Study ในห้องสมุด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) พื้นที่ส่วนตัว (Private Sphere) เป็นพื้นที่ที่ถูกใช้โดยคนหนึ่งคนใด และมีลักษณะแบ่งแยกกันเด็ดขาด มักเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคล เข้าถึงได้ยากเพราะต้องการความ เป็นส่วนตัว เช่น ศาสนา (การคลุมฮิญาบ) ชีวิตครอบครัว รสนิยม งานอดิเรก ห้องนอน อีเมล(E-mail) ฯลฯ

17 กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนเรียกว่า

(1) พระราชกฤษฎีกา

(2) พระราชานุญาต

(3) พระราชบัญญัติ

(4) พระราชกําหนด

(5) พระราชดําริ

ตอบ 4 หน้า 98 – 99, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 56) พระราชกําหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วน ได้แก่ กรณีฉุกเฉิน ที่มีความจําเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือมีความจําเป็น ต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา

18 การตัดสินใจด้วยเสียงส่วนใหญ่แต่ปกป้องเสียงส่วนน้อย คือข้อใด

(1) Secular State

(2) Human Rights

(3) Parliamentary System

(4) Social Contract

(5) Majority Rule and Minority Rights

ตอบ 5 (คําบรรยาย) Majority Rule and Minority Rights หมายถึง หลักการปกครองโดยเสียงข้างมากโดยเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่าเป็นการตัดสินใจด้วยเสียงส่วนใหญ่แต่ปกป้องสิทธิของเสียงส่วนน้อยนั่นเอง

19 ประเทศใดที่สามารถนํา “ตํารากฎหมายที่สําคัญ” มาเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้

(1) อังกฤษ

(2) สหรัฐอเมริกา

(3) สวีเดน

(4) ฝรั่งเศส

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ที่มาของหลักในการพิจารณาคดีของอังกฤษ ได้แก่ ตํารากฎหมายที่สําคัญกฎหมายจารีตประเพณี ขนบธรรมเนียมหรือหลักปฏิบัติ เป็นต้น

20 การกําหนดความสัมพันธ์ของ “ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” มักยึดหลักความได้สัดส่วนและความเหมาะสม ระหว่างข้อใด

(1) ความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

(2) ประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

(3) อํานาจของรัฐสภากับอํานาจองค์กรอิสระ

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13), (คําบรรยาย) การกําหนดพื้นฐานความสัมพันธ์ของ“ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” นั้นมักยึดหลักแห่งความได้สัดส่วนและ หลักแห่งความเหมาะสม เพื่อ

1 เป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

2 สร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

21 ข้อใดไม่ใช่ปัญหาของการทําประชาพิจารณ์ในประเทศไทย

(1) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ไม่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้เสีย

(2) จัดทําประชาพิจารณ์ก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

(3) ไม่มีผู้เชี่ยวชาญมาชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน

(4) ผู้มาร่วมบางส่วนไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการได้

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ปัญหาของการทําประชาพิจารณ์ในประเทศไทย ได้แก่

1 การคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ไม่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้เสีย 2 รัฐตัดสินใจดําเนินโครงการก่อนจัดทําประชาพิจารณ์

3 ไม่มีผู้เชี่ยวชาญมาชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน

4 ผู้มาร่วมบางส่วนไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการได้

5 ความไม่เป็นกลางของคณะกรรมการประชาพิจารณ์

6 ปัญหาในเรื่องงบประมาณ เป็นต้น

22 คํากล่าวที่ว่า “เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน” คือข้อใด

(1) ประชาธิปไตยผูกโยงกับจํานวนประชาชน

(2) เสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจก

(3) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยเป็นแนวคิดที่ไม่สามารถไปด้วยกัน

(4) ประชาธิปไตยไม่สามารถทําให้เกิดเผด็จการรัฐสภาได้

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เนื่องจากประชาธิปไตยนั้นจะผูกโยงกับจํานวนประชาชน (เน้นส่วนใหญ่) ส่วนเสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจกแต่อย่างไรก็ตามทั้งสองด้านจะเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน

23 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของยุครู้แจ้ง (Enlightenment)

(1) การยอมรับระบบเหตุผล

(2) ปฏิเสธอํานาจในการปกครองของศาสนจักร

(3) การมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์

(4) การเชื่อในบารมีของผู้นําสูงสุด

(5) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ยุครู้แจ้ง (Enlightenment) หรือ “ยุคเรืองปัญญา” คือ ยุคที่มีการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของเหล่าปัญญาชนในยุโรปและอาณานิคมบนทวีปอเมริกาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปสังคม ส่งเสริมการมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้มีการยอมรับระบบเหตุผลมากกว่าการใช้หลักจารีต การเชื่อในบารมีของผู้นําสูงสุดและ การเปิดเผยจากพระเจ้า ซึ่งส่งผลให้ศาสนจักรไม่มีอิทธิพลต่อความคิดและถือเป็นการปฏิเสธอํานาจในการปกครองของศาสนจักรนั่นเอง

24 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) รัฐมีอํานาจมาก ประชาชนจะมีอํานาจน้อยลง

(2) รัฐถูกจํากัดอํานาจมาก ประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น

(3) ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลในการครอบครองของรัฐได้โดยสะดวกถ้ามิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับตามกฎหมายบัญญัติ

(4) บุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด รัฐไทยไม่สามารถถอนสัญชาติแต่สามารถเนรเทศได้

(5) ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐเมื่อถูกบุคลากรของรัฐละเมิดได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชนในสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญ สามารถพิจารณาได้ดังนี้

1 สิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น รัฐมีอํานาจมาก ประชาชนจะมีอํานาจน้อยลง 2 จํากัดอํานาจรัฐต่อประชาชนอย่างไร เช่น รัฐถูกจํากัดอํานาจมาก ประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น

3 ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐได้อย่างไร เช่น ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลในการครอบครอง ของรัฐได้โดยสะดวกถ้ามิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับตามกฎหมายบัญญัติ,ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐเมื่อถูกบุคลากรของรัฐละเมิดได้ เป็นต้น

25 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อใด

(1) 5 พฤษภาคม 2560

(2) 6 เมษายน 2560

(3) 24 มิถุนายน 2460

(4) 10 ธันวาคม 2560

(5) 1 ธันวาคม 2560

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร(รัชกาลที่ 10) ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ

26 ใครเป็นผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

(1) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ (ประธาน คกก. ร่างรัฐธรรมนูญ)

(2) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี)

(3) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (ประธานองคมนตรี)

(4) นายพรเพชร วิชิตชลชัย (ประธาน สนช.)

(5) นายวีระพล ตั้งสุวรรณ (ประธานศาลฎีกา)

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 25 ประกอบ

27 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีวุฒิสภาในวาระแรกจํานวนกี่คน

(1) 200 คน

(2) 50 คน

(3) 300 คน

(4) 350 คน

(5) 400 คน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 บทเฉพาะกาล มาตรา 269 กําหนดให้ในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่ คสช. ถวายคําแนะนําโดยอายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้มีกําหนด 5 ปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

28 ข้อใดคือความหมายของหลักนิติรัฐ

(1) องค์กรเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบควรมีอํานาจเด็ดขาดทั้งบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

(2) ปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

(3) เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนเท่าที่ผู้ปกครองกําหนด (4) กระบวนการพิจารณาไต่สวนคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ (5) กฎหมายต้องมีความชัดเจนและมีความแน่นอนมากพอที่ประชาชนจะเข้าใจได้ ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 19), (คําบรรยาย) หลักนิติรัฐ หมายถึง การปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายของรัฐต่อประชาชนในรัฐอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคในคนทุกกลุ่ม โดยรัฐทุกรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนบฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้ภายในรัฐ ซึ่งในความหมายอย่างแคบนั้น จะไม่คํานึงถึงที่มาของกฎหมาย กล่าวคือ ประชาชนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

29 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(1) อายุไม่เกิน 70 ปี

(2) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) เคยเป็น ส.ส. เมื่อ 12 ปีก่อน

(4) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี

(5) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 201, 202 และ 216กําหนดให้ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไป ดังต่อไปนี้

1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี

2 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

4 มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

5 มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะ 10 ปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา,เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ฯลฯ

30 ในความขัดแย้งทางการเมืองไทยตั้งแต่ช่วง 2540 จนถึงปัจจุบันมีการใช้สัญลักษณ์ทาง “สี” แทนกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มต่าง ๆ คําว่า “สลิ่ม” มีจุดเริ่มต้นจากผู้ชุมนุมกลุ่มใด

(1) กปปส.”

(2) นปช.

(3) พธม.

(4) กปปส. และ นปช. รวมกัน

(5) ประชาชนพิทักษ์ชาติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) “สลิ่ม” มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ชุมนุมกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ (ไม่แบ่งสี) โดยการนําของ นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “กลุ่มเสื้อหลากสี” การเคลื่อนไหวของกลุ่มได้สร้าง ปฏิกิริยาโต้ตอบจากคนเสื้อแดง/พรรคเพื่อไทยว่าคนเสื้อหลากสีก็คือเสื้อเหลืองจําแลง เพราะเห็นว่า ทั้งอุดมการณ์ การกระทํา และการแสดงออกไม่ต่างกับเสื้อเหลือง การดูแคลนคนเสื้อหลากสีของ คนเสื้อแดงจึงแทนด้วยคําว่า สลิม ด้วยเหตุผลที่ว่าสลิม (ซาหริ่ม) เป็นขนมที่มีเส้นหลากหลายสีสันและเป็นการล้อไปกับสภาพเสื้อที่หลากหลายของกลุ่มเสื้อหลากสีนั้นเอง

31 แนวคิดเรื่องของสัญญาประชาคมเชื่อว่าการบรรลุเสรีภาพจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขการปกครองแบบใด

(1) ในรัฐแบบใดก็ได้

(2) ในรัฐสวัสดิการเท่านั้น

(3) ในรัฐประชาธิปไตยเท่านั้น

(4) ในรัฐสังคมนิยมเท่านั้น

(5) ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่านั้น

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ซอง ชากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า สังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสัญญาประชาคม (Social Contract) สามารถทําให้บุคคลในฐานะสมาชิกของสังคมนั้นบรรลุ ถึงเสรีภาพได้ สัญญาประชาคมจึงเป็นเสมือนรัฐธรรมนูญที่ต้องอยู่เพื่อทุกส่วนในสังคม ดังนั้นการบรรลุเสรีภาพจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขการปกครองแบบประชาธิปไตยเท่านั้น

32 การเสนอพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินต้องได้รับความเห็นชอบจากใครก่อนจึงจะสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้

(1) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(2) นายกรัฐมนตรี

(3) กระทรวงการคลัง

(4) ป.ป.ช.

(5) เมื่อผู้เสนอ พ.ร.บ. นั้นเป็นผู้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วไม่จําเป็นต้องมีผู้เห็นชอบ ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 133 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม 2 หรือ 3 เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคํารับรองของนายกรัฐมนตรี

33 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกามีวาระการดํารงตําแหน่งที่ปี

(1) 4 ปี

(2) 6 ปี

(3) 2 ปี

(4) 5 ปี

ตอบ  3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 80), (คําบรรยาย) รัฐสภาหรือสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย 2 สภา คือ

1 สภาผู้แทนราษฎรที่มีสมาชิกจํานวน 435 คน มีวาระการดํารงตําแหน่ง 2 ปี

2 วุฒิสภาที่มีสมาชิกจํานวน 100 คน มีวาระการดํารงตําแหน่ง 6 ปี

34 ข้อใดถูกต้อง

(1) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน

(2) นายกรัฐมนตรีของอังกฤษมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(3) นายกรัฐมนตรีของรัสเซียมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(4) นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย)

ข้อเลือก 1 ผิด ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านทางคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College)

ข้อเลือก 2 ผิด นายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้นมาจากหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในสภาโดยการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์

ข้อเลือก 3 ผิด นายกรัฐมนตรีรัสเซียนั้นมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี

ข้อเลือก 4 ผิด นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสนั้นมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี

35 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร วาระใดเป็นการพิจารณารับหลักการ

(1) วาระที่ 1

(2) วาระการนําเสนอของกรรมาธิการ

(3) วาระที่ 2

(4) วาระที่ 3

(5) วาระที่ 4

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 54 – 55) กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะพิจารณาเป็น 3 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณาหรือขั้นแปรญัตติ

3 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

36 เจตจํานงของประชาชนสามารถแสดงออกได้ทางใดบ้าง

(1) ประชามติ

(2) ประชาพิจารณ์

(3) การเลือกตั้ง

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เจตจํานงของประชาชนถือเป็นที่มามูลฐานแห่งอํานาจของรัฐบาล ซึ่งประชาชนนั้นสามารถแสดงออกได้โดยการลงประชามติ (การรับร่างรัฐธรรมนูญ, การออกจากสมาชิก EU)และการเลือกตั้ง ส.ส., ส.ว.)

37 พื้นที่สาธารณะหมายถึงข้อใด

(1) บาทวิถีหน้าบ้าน

(2) เฟซบุ๊ค

(3) สวนรถไฟ

(4) ห้อง Study ในห้องสมุด

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) พื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) เป็นการใช้พื้นที่ทํากิจกรรมร่วมกัน โดยไม่ได้จํากัดการมีส่วนร่วมหรือการเข้าในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมักเป็นพื้นที่เปิดที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องหรือตัดสินใจ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างเท่าเทียมกัน เช่น ถนน ทางเดิน ทางเท้า (บาทวิถีหน้าบ้าน) สนามสวนสาธารณะ (สวนรถไฟ) ห้อง Study ในห้องสมุด สื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ค, ไลน์กลุ่ม) ฯลฯ

38 สภาขุนนางอังกฤษประเภทนักบวช มีวาระการดํารงกี่ปี

(1) 4 ปี

(2) 6 ปี

(3) ตามระยะเวลาการบวช

(4) ตามระยะเวลาที่อยู่ในตําแหน่งที่กําหนด

(5) ตลอดชีพ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) สภาขุนนางของอังกฤษ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1 ขุนนางสืบเชื้อสาย (Hereditary Peers) มาจากการสืบทอดตําแหน่งทางสายโลหิต – และมีวาระการดํารงตําแหน่งตลอดชีพ

2 ขุนนางตลอดชีพ (Life Peers) มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี และสามารถดํารงตําแหน่งได้ตลอดชีวิต แต่สืบทอดให้ทายาทไม่ได้

3 ขุนนางโดยตําแหน่งที่เป็นนักบวช (Spiritual Peers) มาจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ เช่น บิชอปและอาร์ชบิชอปต่าง ๆ โดยจะมีวาระตามระยะเวลาที่อยู่ในตําแหน่งที่กําหนด

4 ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) เป็นสมาชิกที่มีความรู้ด้านกฎหมายและทําหน้าที่เป็นตุลาการศาลสูงสุด โดยจะมีวาระการดํารงตําแหน่งตลอดชีพ และถือเป็นขุนนางประเภทเดียวเท่านั้นที่ได้รับเงินเดือน

39 Brexit คืออะไร

(1) กระบวนการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการออกจากสหภาพยุโรปของประชาชนชาวอังกฤษ

(2) โครงการรณรงค์เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป

(3) กระบวนการประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต่อกรณีแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

(4) กระบวนการประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต่อกรณีการรับผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง

(5) โครงการรณรงค์เพื่อต่อต้านการสร้างมัสยิดในอังกฤษ

ตอบ 3 (คําบรรยาย) Brexit (มาจากคําว่า British + Exit) คือ กระบวนการประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต่อกรณีแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปหรืออียู (EU)

40 รัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง

(1) รัฐที่แยกพื้นที่ส่วนตัวออกจากพื้นที่สาธารณะ

(2) รัฐที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม

(3) รัฐที่เอานักปรัชญามาปกครอง

(4) รัฐที่แยกเอาศาสนาออกจากอํานาจในการปกครอง

(5) รัฐที่ระบุให้ผู้ปกครองต้องนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐฆราวาสหรือรัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง รัฐหรือประเทศที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกศาสนจักรออกจากฝ่ายอาณาจักร ในโลกตะวันตก (โดยเฉพาะกรณีของอังกฤษ) โดยทั่วไปรัฐฆราวาสจะมีแนวทางบริหารประเทศ โดยใช้หลักทั่วไปทางโลกมาเป็นรากฐานของการปกครอง ไม่ต่อต้านความเชื่อหรือจํากัดศาสนาใด ๆ ตัวอย่างของรัฐดังกล่าวนี้ ได้แก่ ไทย เนปาล ฯลฯ

41 ข้อใดเป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

(1) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

(2) แต่งตั้งผู้ว่าการมลรัฐ

(3) จัดการศึกษาให้ทุกมลรัฐ

(4) ยับยั้งกฎหมายของมลรัฐที่เห็นว่าไม่ชอบ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 หน้า 29 – 30, (คําบรรยาย) หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แก่

1 ประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล

2 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

3 แต่งตั้งเอกอัครราชทูต

4 คัดเลือกและแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสหพันธรัฐ

5 ยับยั้งร่างกฎหมาย

6 ทําสนธิสัญญาต่าง ๆ เป็นต้น

42 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อมีทั้งหมดกี่คน

(1) 100 คน

(2) 150 คน

(3) 200 คน

(4) ตามจํานวนจังหวัด

(5) ไม่มี ส.ส. แบบนี้

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 21) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 83 กําหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน ดังนี้

1 สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 350 คน

2 สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองจํานวน 150 คน

43 “พฤฒิสภา” ที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 เปรียบเทียบได้กับองค์กรใด

(1) องคมนตรี

(2) ศาลรัฐธรรมนูญ

(3) วุฒิสภา

(4) สภาพัฒนาการเมือง

(5) สนช.

ตอบ 3 หน้า 138, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23) วุฒิสภาเกิดขึ้นครั้งแรกในชื่อ “พฤฒสภา”ซึ่งกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ 2489 และต่อมาในรัฐธรรมนูญฯ 2490 จึงเปลี่ยนเป็น “วุฒิสภา” โดยพบว่าที่มาของ ส.ว. ตั้งแต่เริ่มปรากฏจนกระทั่งปัจจุบันนั้นรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกําหนดให้ มาจากการแต่งตั้ง ยกเว้นรัฐธรรมนูญฯ 2540 (มาจากการเลือกตั้ง) รัฐธรรมนูญฯ 2550 (มาจากการเลือกตั้งและสรรหา) และรัฐธรรมนูญฯ 2560 (มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม)

44 ประเทศใดที่ลงประชามติให้ผู้ปกครองมีอํานาจเหนือกว่ารัฐสภา

(1) อังกฤษ

(2) ฝรั่งเศส

(3) อเมริกา

(4) รัสเซีย

(5) จีน

ตอบ 4 (คําบรรยาย) บอริส เยลต์ชิน (Boris Yeltsin) ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซียได้ฉีกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่เดิมและห้ามการต่อต้านทางการเมืองชั่วคราว ภายหลังรัฐสภาขณะนั้น พยายามถอดเขาออกจากตําแหน่ง โดยเยลต์ซินได้ริเริ่มรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้ประธานาธิบดี มีอํานาจเหนือกว่ารัฐสภา และมีการลงประชามติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบร้อยละ 58.5

45 “ม็อบมือถือ” เป็นชื่อเรียกการชุมนุมของประชาชนเมื่อปี พ.ศ. ใด

(1) พ.ศ. 2514

(2) พ.ศ. 2516

(3) พ.ศ. 2535

(4) พ.ศ. 2540

(5) พ.ศ. 2557

ตอบ 3 (คําบรรยาย) “ม็อบมือถือ” เป็นชื่อเรียกการชุมนุมของประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬระหว่างวันที่ 17 – 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทั้งนี้เพราะพบว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง นักธุรกิจหรือบุคคลในวัยทํางาน และได้มีการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการติดต่อสื่อสารในการชุมนุมครั้งนี้

46 หลักนิติธรรมคือข้อใด

(1) กฎหมายต้องบังคับเป็นการทั่วไปใช้กับทุกคนเสมอกัน

(2) กฎหมายต้องไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง

(3) กฎหมายที่ประกาศใช้แล้วต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน

(4) กฎหมายต้องมีความมั่นคงพอสมควร

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) หลักนิติธรรมมีลักษณะสําคัญ ดังนี้

1 กฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไปและใช้กับทุกคนเสมอภาคกัน

2 กฎหมายต้องไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง

3 กฎหมายที่ประกาศใช้แล้วต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน

4 กฎหมายต้องมีความมั่นคงและต่อเนื่อง

5 ห้ามยกเว้นความรับผิดให้แก่การกระทําในอนาคต เป็นต้น

47 ผู้มีสิทธิเสนอพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 คือข้อใด

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวน 10 คนขึ้นไป

(3) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวน 10,000 ชื่อขึ้นไป

(4) องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 52) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 131 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี โดยข้อเสนอแนะของศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

48 การรัฐประหารครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นเมื่อใด

(1) พ.ศ. 2475

(2) พ.ศ. 2476

(3) พ.ศ. 2490

(4) พ.ศ. 2494

(5) พ.ศ. 2500

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 63 – 64), (คําบรรยาย) การรัฐประหารในประเทศไทยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย มีดังนี้

1 การรัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476 โดย พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา

2 การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 โดยพลโทผิน ชุณหะวัณ

3 การรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

4 การรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

5 การรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ฯลฯ

49 รัฐธรรมนูญฉบับใดใช้ระยะเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญนานที่สุด

(1) ฉบับที่ 1

(2) ฉบับที่ 8

(3) ฉบับที่ 3

(4) ฉบับที่ 7

(5) ฉบับที่ 16

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 8 และถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาในการร่างนานที่สุด โดยเริ่มร่างเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2502ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2511 ใช้เวลา 9 ปีเศษ และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511

50 การขัดกันแห่งผลประโยชน์คือข้อใด

(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ดํารงตําแหน่งในหน่วยราชการใด ๆ

(2) สมาชิกสภานิติบัญญัติยังดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวง

(3) บุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการที่นอกเหนือไปจากการปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ

(4) รัฐมนตรีแจ้ง ป.ป.ช. ว่า โอนหุ้นของบริษัทให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ผู้อื่นถือแทน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ตัวอย่างการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มีดังนี้

1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังดํารงตําแหน่งในหน่วยราชการ

2 สมาชิกสภานิติบัญญัติยังดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวง

3 บุตรของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานได้รับสัมปทานงานจากหน่วยงานนั้น ๆ

4 รัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ได้แจ้ง ป.ป.ช. ว่าโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นถือแทน(รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 187 วรรค 2) ฯลฯ

51 ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 กรณีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหรือมิได้พระราชทานคืนให้กับรัฐสภา จะสามารถประกาศเป็นกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร

(1) ไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการตราพระราชบัญญัติ

(2) ได้ เมื่อรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมด

(3) ไม่ได้ เพราะต้องมีพระปรมาภิไธยเท่านั้นจึงจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้

(4) ได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าอีกครั้ง และหากมิได้ลงพระปรมาภิไธยใน 30 วัน นายกรัฐมนตรี สามารถนําพระราชบัญญัตินั้นไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 146 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติใดพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีก ครั้งหนึ่ง และหากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนําพระราชบัญญัติ นั้นประภาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

52 ข้อใดต่อไปนี้คือสิทธิที่เสียไปเมื่อไม่ไปเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

(1) สิทธิในการยื่นเสนอกฎหมายเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ

(2) สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้าน

(3) สิทธิคัดค้านการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(4) สิทธิในการไปเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป

(5) สิทธิในการไปเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) สิทธิที่เสียไปเมื่อไม่ไปเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 72 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2550 มาตรา 26 มีดังต่อไปนี้

1 สิทธิยื่นคําร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.

2 สิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ส. ส.ว.สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น

3 สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

53 ข้อใดคือกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา

(1) พระราชกําหนด

(2) พระราชกฤษฎีกา

(3) พระราชบัญญัติ

(4) พระราชอัธยาศัย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53), (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติ หมายถึง กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่ต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของรัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อน จึงนําขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

54 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีวาระการดํารงตําแหน่งกี่ปี

(1) 7 ปี

(2) 6 ปี

(3) 5 ปี

(4) 4 ปี

(5) 3 ปี

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 37) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 232 และ 233 กําหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจํานวน 9 คน ซึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคําแนะนําของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการ สรรหา โดยมีวาระการดํารงตําแหน่ง 7 ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว

55 ตําแหน่งใดต่อไปนี้ที่ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน

(1) ส.ส. ทุกคน

(2) ส.ว. ทุกคน

(3) อธิการบดี

(4) ปลัดกระทรวง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว.ประธานศาลฎีกา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปลัดกระทรวง อธิการบดี รองอธิการบดี ฯลฯ

56 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ให้สิทธิประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างไร (1) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 50,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(2) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 10,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข (3) ประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 50,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(4) ประชาชนเข้าซื้อกันไม่น้อยกว่า 10,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ผู้มีสิทธิเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3 ส.ส. และ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

57 ข้อใดไม่ใช่ข้อบกพร่องของสภาพธรรมชาติตามแนวคิดของจอห์น ล็อค

(1) มนุษย์แต่ละคนอาจมองข้อบังคับต่างกัน

(2) มนุษย์อาจถือเหตุผลประโยชน์ของตนเป็นกฎธรรมชาติให้ผู้อื่นต้องปฏิบัติตาม (3) อาจใช้อารมณ์ในการตัดสินกันเองได้

(4) ความไม่ยุติธรรมอาจทําให้ผู้เสียประโยชน์ตอบโต้โดยไม่คํานึงถึงหลักการได้

(5) มนุษย์ทําตามความอยาก หิวและตัณหา

ตอบ 5 (คําบรรยาย) จอห์น ล็อค เห็นว่า สภาพธรรมชาติมีข้อบกพร่องใน 3 ประการ คือ

1 มนุษย์แต่ละคนอาจมองข้อบังคับต่างกัน และอาจถือเหตุผลประโยชน์ของตนเป็นกฎธรรมชาติให้ผู้อื่นต้องปฏิบัติตาม

2 การที่มนุษย์ตัดสินกันเอง อาจใช้อารมณ์และเกิดการแก้แค้นกันเองได้

3 ความไม่ยุติธรรมอาจทําให้ฝ่ายผู้เสียประโยชน์ออกมาตอบโต้โดยไม่คํานึงถึงหลักการได้

58 การออกเสียงประชามติคือข้อใด

(1) อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

(2) การมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับตัดสินใจ

(3) แสดงออกซึ่งเจตจํานงร่วม

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การออกเสียงประชามติ (Referendum) คือ การนําร่างกฎหมาย ร่างรัฐธรรมนูญและนโยบายที่สําคัญของประเทศไปผ่านการตัดสินใจเพื่อแสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ โดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย ซึ่งถือเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับตัดสินใจและแสดงออกซึ่งเจตจํานงร่วมต่อแนวทางการปกครองประเทศ

59 ข้อใดคือความแตกต่างระหว่างประชาพิจารณ์กับประชามติ

(1) ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ กับประชาชน

(2) ความผูกพันปฏิบัติของรัฐตามผลการออกเสียงของประชาชน

(3) การสร้างกระบวนการให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้อย่างทั่วถึง

(4) การไม่ตัดสินใจต่อผลในเรื่องนั้น ๆ ล่วงหน้า

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความแตกต่างระหว่างประชาพิจารณ์กับประชามติ มีดังนี้

1 ประชาพิจารณ์นั้นรัฐจะไม่ผูกพันและไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามส่วนประชามติกําหนดให้รัฐต้องผูกพันปฏิบัติตามผลการออกเสียงประชามติ

2 ประชาพิจารณ์ตั้งอยู่บนฐานคติของการรักษาผลประโยชน์แก่ประชาชนส่วนประชามติจะตั้งอยู่บนฐานคติของการแสดงอํานาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน

3 ประชาพิจารณ์เป็นแนวทางที่รัฐใช้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งส่วนประชามติจะเป็นกระบวนการที่รัฐขอปรึกษาหารือประชาชน เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ

4 ประชาพิจารณ์ต้องการความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องนั้น ๆ เพื่อลดความขัดแย้งจากการตัดสินใจของรัฐ ส่วนประชามตินั้นต้องการมติของประชาชนว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องนั้น ๆ

60 คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มีจํานวนกี่คน

(1) 3 คน

(2) 5 คน

(3) 7 คน

(4) 9 คน

(5) 11 คน

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33), (คําบรรยาย) คณะกรรมการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีจํานวนทั้งหมด 9 คน ประกอบด้วย

1 ประธานศาลฎีกา

2 ประธานสภาผู้แทนราษฎร

3 ผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

4 ประธานศาลปกครองสูงสุด

5 บุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่องค์กรอิสระที่ต้องมีการสรรหาอีก 5 คน

 

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามข้อ 61 – 70

(1) ถูก

(2) ผิด

 

61 หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรีมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)พ.ศ. 2557 ได้ยุติลง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 วรรค 2 กําหนดให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557… นั่นแสดงว่า หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ. 2557 ยังคงอยู่

62 การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 จะกระทําไม่ได้ถ้ามีวุฒิสมาชิกเห็นชอบจํานวนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 256 (3) กําหนดให้ การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียง เห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา (วุฒิสมาชิก) เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

63 บุคคลที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท สามารถไปสมัครเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระได้ทุกคน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 29 ประกอบ

64 โทมัส ฮอบส์ เชื่อว่าเมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วไม่สามารถเพิกถอนได้

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 10 ประกอบ

65 “หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร” ไม่เคยถูกขุดขึ้นมาก่อน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร เป็นหมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า ซึ่งภายหลังได้ถูกปรับเปลี่ยนและเคยถูกขุด ขึ้นมาหลายครั้ง เช่น มีการนําสีมาราดทับ ถูกขีดจนเป็นรอยจํานวนมาก เคยถูกขุดและหายไปในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถูกนํากลับมาในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นต้น

66 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ข้าราชการไม่สามารถดํารงตําแหน่งวุฒิสภาได้ ยกเว้นเฉพาะในวาระแรกเท่านั้น

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (คําบรรยาย) ลักษณะต้องห้ามของผู้ดํารงตําแหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 เป็นข้าราชการ

2 เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

3 เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ฯลฯ ยกเว้นเฉพาะในวาระแรก เท่านั้นที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถเป็นข้าราชการ/ดํารงตําแหน่งหรือหน้าที่ในหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นผู้บริหารท้องถิ่นได้

67 จอห์น ล็อค และโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าสภาพธรรมชาติ (State of Nature) เป็นสภาวะสงคราม

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9) โทมัส ฮอบส์ เห็นว่า ภาวะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นภาวะสงคราม แต่สําหรับ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่าภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นภาวะที่มนุษย์ มีความสมบูรณ์และมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการโดยคนอื่นไม่สามารถเข้ามารุกล้ำได้

68 รัฐสภาของอังกฤษไม่สามารถยกเลิกกฎหมายของรัฐสภาสกอตแลนด์ได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐสภาสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สามารถยกเลิกกฎหมายของสถาบันนิติบัญญัติลําดับรองได้ ซึ่งสถาบันนิติบัญญัติลําดับรองได้แก่ รัฐสภาสกอตแลนด์ รัฐสภาแห่งเวลส์ และรัฐสภาไอร์แลนด์เหนือ

69 คณะกู้บ้านกู้เมืองและกบฏบวรเดช คือกลุ่มเดียวกัน

ตอบ 1 (คําบรรยาย) กบฏบวรเดช หรือ “คณะกู้บ้านกู้เมือง” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 นับเป็นการกบฏครั้งแรกในรัฐไทยสมัยใหม่ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างระบอบเก่าและระบอบใหม่ จากข้อโต้แย้งในเรื่องเค้า โครงการเศรษฐกิจแห่งชาติของนายปรีดี พนมยงค์ และชนวนสําคัญที่สุดคือ ข้อโต้แย้งในเรื่อง พระเกียรติยศและพระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ ซึ่งเป็นผลนําไปสู่การนํากําลังทหารก่อกบฏโดยมี พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็นแม่ทัพ

70 องค์กรที่มีอํานาจถอดถอนนายกรัฐมนตรีคือวุฒิสภา

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 49) รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 270 วรรค 1 กําหนดให้ผู้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด… วุฒิสภามีอํานาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตําแหน่งได้

 

ข้อ 71 – 87 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการ ให้นักศึกษาพิจารณา 2 ข้อความ แล้วใช้ตัวเลือก ต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด

(2) ถ้าข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก

(3) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้งสองข้อ

(4) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้งสองข้อ

 

71 (1) ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 129 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ

(2) ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ตามมาตรา 128 บัญญัติให้กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิก – สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 129 วรรค 1 และ 2 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการ สามัญ กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตาม หรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

72 (1) ปัจจุบันการดําเนินการของคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อ 82 ให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้น 35 คณะ

(2) กรณีคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ จะต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 128 วรรคสอง ด้วย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ปัจจุบันการดําเนินการของคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ในหมวด 4 กรรมาธิการ ข้อ 82 ให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการสามัญขึ้น 35 คณะ แต่ละคณะมีกรรมาธิการจํานวน 15 คน ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 128 วรรค 2 กําหนดให้ ในส่วนที่ เกี่ยวกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร วินิจฉัยว่ามีสาระสําคัญเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือคนพิการหรือทุพพลภาพ ต้อง กําหนดให้บุคคลประเภทดังกล่าวหรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทํางานเกี่ยวกับบุคคลประเภทนั้นโดยตรง ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วย…

73 (1) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ(Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภามีบทบาทเท่ากับเป็นรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

ตอบ 3 หน้า 77, (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่ง คือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภานั้น จะมีบทบาทคล้ายกับรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

74 (1) การแบ่งประเภทของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ได้แบ่งตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ เช่น

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย หรือการพิจารณาร่างกฎหมาย

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการพัฒนา

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตรา และสอดคล้องการปฏิบัติงานรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการในรัฐสภา อาจมีการแต่งตั้งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

ตอบ 2 หน้า 77, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27, 31) คณะกรรมาธิการในรัฐสภามี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คณะกรรมาธิการสามัญ และคณะกรรมาธิการวิสามัญ นอกจากนี้เราอาจจะแบ่งประเภท ของคณะกรรมาธิการในรัฐสภาได้ตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ ดังนี้

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ หรือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานคลัง

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตราสอดส่องการปฏิบัติงานของรัฐบาล เป็นต้น

75 (1) ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา คณะกรรมาธิการมักมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติอย่างชัดแจ้งโดยเฉพาะความสามารถในการทํางานอย่างรวดเร็ว

(2) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการ เนื่องจากการทํางานของรัฐสภาตามความเป็นจริงนั้นจําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับหลักความต้องการของนักการเมือง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการมีอยู่ 4 ประการ คือ

1 เพื่อการแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

2 จําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับความต้องการของราษฎร

3 เป็นการละลายความเป็นพรรคการเมือง

4 การสอบสวนข้อเท็จจริงและรับเรื่องราวร้องทุกข์ ถือเป็น “หน้าที่พิเศษ” ของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย) ซึ่งในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนานั้นพบว่า คณะกรรมาธิการมักไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติมากนัก เนื่องจากความสามารถในการทํางานค่อนข้างต่ำ

76 (1) การทํางานในขั้น “คณะกรรมาธิการ” ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญแม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง

(2) “หน้าที่พิเศษ” ที่ถือว่าเป็นหน้าที่ประจําตามปกติธรรมดาของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย คือ การแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) “การละลายความเป็นพรรคการเมือง” หนึ่งในเหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการนั้นพบว่า การทํางานในขั้นคณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง (ดูคําอธิบายข้อ 75 ประกอบ)

77 (1) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยรัฐสภา

(2) การปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการ ไม่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใดมิได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา 1 – 1

2 แต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการพิเศษที่มีอํานาจในการคัดเลือก

3 แต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการนั้นถือว่าเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้

78 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการเป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็นผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้

(2) กรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรส จะได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก ความเหมาะสมต่อหน้าที่ ความมีอาวุโสเป็นหลัก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้“ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการ” เป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็น ผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้ ส่วนคณะกรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรสนั้นจะ ได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิกความเหมาะสมต่อหน้าที่ และความมีอาวุโสเป็นหลัก

79 (1) ในระบบรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา หากเป็นร่างรัฐบัญญัติธรรมดาเข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session)เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา และคณะกรรมาธิการเต็มสภา

ตอบ 2 หน้า 84, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 84), (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

3 คณะกรรมาธิการร่วม

4 คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา

5 คณะกรรมาธิการเต็มสภา ซึ่งในระบบรัฐสภาของสหรัฐฯ หากเป็นร่างรัฐบัญญัติที่มีความสลับซับซ้อน (เรื่องใหญ่ เรื่องที่ ประชาชนสนใจมาก) เข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session) เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

80 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภา คณะกรรมาธิการสามัญคณะกรรมาธิการร่วม และคณะกรรมาธิการร่วม พระราชบัญญัติมหาชน

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมาธิการสามัญ สกอต (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการเต็มสภา

2 คณะกรรมาธิการสามัญ

3 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

4 คณะกรรมาธิการร่วม

5 คณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติเอกชน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมาธิการสามัญสกอต” (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

81 (1) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

(2) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ จะเป็นคณะกรรมาธิการที่ได้รับแต่งตั้ง มาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

3 คณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ส่วนคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษนั้นจะเป็นคณะกรรมาธิการ ที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

82 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม

(2) คณะกรรมาธิการสามัญของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาล หรือสภาร้องขอให้พิจารณา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส มี 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องหลัก ๆ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

3 คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อสภา ซึ่งมักเข้าไป เกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

83 (1) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อประธานาธิบดี

(2) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84 (1) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน

(2) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่นอาจขอให้รัฐมนตรีหรือผู้เทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอาจขอให้รัฐมนตรีหรือ ผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

85 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(2) ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาญี่ปุ่นจะมาจากการแต่งตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้นจะมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

86 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ)

(2) ร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับลงประชามติ) 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 129 วรรคสี่ บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกผู้พิพากษาหรือตุลาการมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ)โดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 129 วรรค 4 บัญญัติให้อํานาจ คณะกรรมาธิการ เรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดง ความเห็นในกิจการที่กระทําหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้แต่การเรียกเช่นว่านั้นมีให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการ

87 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา จะต้องคํานึงถึงหลักการกระจายอํานาจเป็นหลัก

(2) ร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับลงประชามติ) 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 129 วรรคสาม บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยนั้นมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา ซึ่งจะต้องคํานึงถึงหลักแบ่งงานกันทําเป็นหลัก โดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 129 วรรค 3 บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทน มิได้

 

ข้อ 88 – 95 ให้นักศึกษาพิจารณาประเภทของคณะกรรมาธิการรัฐสภาไทย แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) คณะกรรมาธิการสามัญ

(2) คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(3) คณะกรรมาธิการร่วม

(4) คณะกรรมาธิการเต็มสภา

 

88 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27 – 28) คณะกรรมาธิการสามัญ หมายถึงคณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หรือคณะบุคคลที่ วุฒิสภาแต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น และตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการ ทํากิจการหรือเพื่อพิจาณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

89 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้

ตอบ 2 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 31) คณะกรรมาธิการวิสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ หรือคณะบุคคล ที่วุฒิสภาแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ โดยจะแต่งตั้งขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรี ร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะและจะสลายตัวเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ

90 กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้

ตอบ 3 หน้า 118, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการร่วม หมายถึง กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ ซึ่งจะ เกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา

91 คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ

ตอบ 4 หน้า 119 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการเต็มสภา หมายถึง คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

92 คณะกรรมาธิการ…จะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 คณะกรรมาธิการจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขของวุฒิสภา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

94 คณะกรรมาธิการแต่งตั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 89 ประกอบ

95 คณะกรรมาธิการ…ตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

 

ข้อ 96 – 100 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในฝ่ายนิติบัญญัติ การตราพระราชบัญญัติ ให้นักศึกษาพิจารณาข้อความแล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความนี้ ถูก

(2) ถ้าข้อความนี้ ผิด

 

96 ตามร่างรัฐธรรมนูญ (ฉบับลงประชามติ) 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 133 บัญญัติว่า ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 มาตรา 133 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน เข้าชื่อเสนอกฎหมายตามหมวดสิทธิและ เสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวดหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

97 กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดขั้นตอนเป็น 4 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณา

3 ขั้นแปรบัญญัติ

4 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ

98 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา กรณีเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไปต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

99 หากประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 148 (1) กําหนดให้ หาก ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง สองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้น โดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็น ดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

100 ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติ ก็ทรงมีอํานาจยับยั้งได้ โดยส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังรัฐสภา หรือเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้โดยไม่ทรงพระราชทานคืนมายังรัฐสภา จนล่วงพ้นเวลา 90 วันไปแล้ว

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 51 ประกอบ

POL3100 กระบวนการนิติบัญญัติ 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3100 กระบวนการนิติบัญญัติ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ข้อใดเป็นเกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย

(1) ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง

(2) ความเข้มแข็งของภาคประชาชน

(3) ความสามารถในการตรวจสอบนักการเมืองของ ป.ป.ช.

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14) เกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย ได้แก่

1 ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง (Political Accountability)

2 การแข่งขันทางการเมือง (Political Competition)

3 ความมีเสรีภาพทางการเมือง (Political Freedom)

4 ความเสมอภาคทางการเมือง (Political Equality)

2 การปฏิรูปประเทศ เป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใด (1) พ.ศ. 2540

(2) พ.ศ. 2550

(3) พ.ศ. 2557

(4) พ.ศ. 2560

(5) ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) “การปฏิรูปประเทศ” เป็นหมวด 16 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งการปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลดังนี้ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ

3 รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดมีลักษณะอย่างไร

(1) กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

(2) การแก้กฎหมายทําได้ง่าย

(3) เป็นไปตามเจตจํานงของผู้ปกครองสูงสุด

(4) ลําดับชั้นของกฎหมายไม่มีความจําเป็น

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 5) รัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุด มีลักษณะดังนี้

1 กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

2 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทําได้ยาก

4 ข้อใดแสดงว่าอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

(1) ตัวแทนจากวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งกันเองของสภาวิชาชีพ

(2) ตัวแทนในรัฐสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

(3) จํานวนประชากรที่ลงชื่อเสนอกฎหมายได้ต้องใช้จํานวนมากที่สุด

(4) ประชาชนออกเสียงประชามติแล้วให้รัฐแก้ไขได้เล็กน้อย

(5) การประกาศตัวเป็นองค์อธิปัตย์ของแกนนํากลุ่มผู้ชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจํานวนมาก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) สามารถแสดงออกผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ในหลายลักษณะ เช่น

1 กําหนดสัดส่วนของตัวแทนประชาชนในรัฐสภาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

2 กําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีจํานวนน้อยลง (แสดงนัยยะสําคัญว่าอํานาจของประชาชนมากขึ้น) เป็นต้น

5 หลักการประชาพิจารณ์ ไม่ใช่ข้อใดต่อไปนี้

(1) รัฐตัดสินใจดําเนินโครงการแล้วจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (2) รัฐผูกพันต้องปฏิบัติตามความคิดเห็นของประชาชน

(3) ต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับประชาชน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักการของการทําประชาพิจารณ์ มีดังนี้

1 จะต้องกระทําก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

2 มีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ที่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

3 มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับประชาชน

4 การดําเนินการประชาพิจารณ์ต้องเป็นไปโดยเที่ยงตรงและเปิดเผย

5 ข้อสรุปจากการทําประชาพิจารณ์เป็นเพียงข้อเสนอแนะ หน่วยงานของรัฐไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม

6 รัฐธรรมนูญ มีนัยยะสําคัญในเรื่องใด

(1) จํากัดอํานาจของรัฐบาล

(2) แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

(3) สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของรัฐ

(4) ถูกทุกข้อ

(5) เฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 5), (คําบรรยาย) นัยยะสําคัญของรัฐธรรมนูญ มีดังนี้

1 จํากัดอํานาจและการกระทําของรัฐบาล

2 แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

3 สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของรัฐบาล

4 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

5 สถานะสูงสุดที่ไม่มีกฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้ง ฯลฯ

7 องค์กรท้องถิ่นใดหายไปในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(1) เทศบาล

(2) สภาท้องถิ่น

(3) องค์การบริหารส่วนตําบล

(4) กํานัน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) องค์กรท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 ได้แก่

1 ระดับหมู่บ้าน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้าน สภาท้องถิ่น

2 ระดับตําบล เช่น กํานั้น องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.)

3 ระดับอําเภอ เช่น เทศบาล เมืองพัทยา

4 ระดับจังหวัด เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นต้น

8 ข้อใดไม่ใช่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(1) กกต.

(2) ป.ป.ช.

(3) คตง.

(4) สตง.

(5) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 35 – 39) องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 ประกอบด้วย 5 องค์กร ได้แก่

1 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

2 ผู้ตรวจการแผ่นดิน

3 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

4 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)

5 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

9 ใครมีสิทธิเลือกตั้ง

(1) ภิกษุ

(2) อยู่ระหว่างสู้คดีถูกเพิกถอนสิทธิ

(3) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา

(4) นักโทษ

(5) จิตฟั่นเฟือน

ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 95 กําหนดให้ บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

1 มีสัญชาติไทย

2 มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีในวันเลือกตั้ง

3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง และมาตรา 96 กําหนดให้ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้งเป็นบุคคลต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

1 เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

2 อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่

3 ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (เป็นนักโทษ)

4 วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

10 องค์อธิปัตย์ตามแนวคิดสัญญาประชาคมของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อค ต่างกันอย่างไร

(1) การเพิกถอนอํานาจของผู้ให้อํานาจ

(2) ความเป็นเจ้าชีวิตของประชาชน

(3) การเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ตามแนวคิดสัญญาประชาคมของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อค นั้นแตกต่างกันในประเด็นเรื่อง “การเพิกถอนอํานาจของผู้ให้อํานาจ” โดยโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าเมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วไม่สามารถเพิกถอนได้ ไม่ว่าเขาจะควบคุมชีวิตเรามากแค่ไหนก็ตาม แต่สําหรับ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่าอํานาจดังกล่าวสามารถเพิกถอนได้เมื่อเห็นว่าองค์อธิปัตย์ไม่อาจดูแลปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนได้

11 วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินให้เสร็จภายในกี่วัน (1) 15 วัน

(2) 30 วัน

(3) 45 วัน

(4) 60 วัน

(5) 90 วัน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 55) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 136 กําหนดให้ วุฒิสภา ต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมาโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้า เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน เว้นแต่วุฒิสภา จะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน หากวุฒิสภายังพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินั้น

12 “The End of History” เป็นแนวคิดของใคร

(1) จอห์น ล็อค

(2) ฟรานซิส ฟูกู้ยามา

(3) มองเตสกิเออ

(4) รุสโซ

(5) โทมัส ฮอบส์

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (คําบรรยาย) ฟรานซิส ฟูกยามา (Francis Fukuyama) ได้เขียนหนังสือชื่อ “การสิ้นสุดของประวัติศาสตร์” (The End of History) เพื่อสนับสนุนแนวคิด เสรีนิยมประชาธิปไตยโดยเขาเชื่อว่า โลกทุกวันนี้ไม่ต้องศึกษาเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองอีก ต่อไป เพราะเราได้มาถึงจุดสิ้นสุดของการแข่งขันทางอุดมการณ์แล้ว นับตั้งแต่สงครามเย็นยุติลงหลังการพังทลายของกําแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1990

13 ข้อใดคือประชาธิปไตยทางตรง

(1) การรับฟังความคิดเห็นจากประธานชุมชน

(2) การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(3) การสรรหาวุฒิสภา

(4) การรับฟังข่าวสาร

(5) การไปลงประชามติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบการปกครองโดยที่พลเมืองสามารถมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจใด ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยคนกลางหรือผู้ทําหน้าที่แทนตน เช่น การไปลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมาย การถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง เป็นต้น

14 การกําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายน้อยลง แสดงนัยยะอะไร

(1) อํานาจของประชาชนมากขึ้น

(2) อํานาจของประชาชนน้อยลง

(3) โอกาสการเข้ามีส่วนร่วมในการปกครองน้อยลง

(4) ไม่มีนัยยะสําคัญ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ

15 ประเทศไทยได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อใด

(1) 24 ธันวาคม 2475

(2) 24 มิถุนายน 2475

(3) 10 ธันวาคม 2475

(4) 14 ตุลาคม 2475

(5) 6 ตุลาคม 2475

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 66 – 67) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

16 ข้อใดคือพื้นที่ส่วนตัว (Private Sphere)

(1) ห้องทํางานในมหาวิทยาลัย

(2) การโพสต์บนเฟซบุ๊ค

(3) ไลน์กลุ่ม

(4) การคลุมฮิญาบ

(5) ห้อง Study ในห้องสมุด

ตอบ 4 (คําบรรยาย) พื้นที่ส่วนตัว (Private Sphere) เป็นพื้นที่ที่ถูกใช้โดยคนหนึ่งคนใด และมีลักษณะแบ่งแยกกันเด็ดขาด มักเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคล เข้าถึงได้ยากเพราะต้องการความ เป็นส่วนตัว เช่น ศาสนา (การคลุมฮิญาบ) ชีวิตครอบครัว รสนิยม งานอดิเรก ห้องนอน อีเมล(E-mail) ฯลฯ

17 กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนเรียกว่า

(1) พระราชกฤษฎีกา

(2) พระราชานุญาต

(3) พระราชบัญญัติ

(4) พระราชกําหนด

(5) พระราชดําริ

ตอบ 4 หน้า 98 – 99, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 56) พระราชกําหนด คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วน ได้แก่ กรณีฉุกเฉินที่มี ความจําเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือมีความจําเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา

18 การตัดสินใจด้วยเสียงส่วนใหญ่แต่ปกป้องเสียงส่วนน้อย คือข้อใด

(1) Secular State

(2) Human Rights

(3) Parliamentary System

(4) Social Contract

(5) Majority Rule and Minority Rights

ตอบ 5 (คําบรรยาย) Majority Rule and Minority Rights หมายถึง หลักการปกครองโดยเสียงข้างมากโดยเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่าเป็นการตัดสินใจด้วยเสียงส่วนใหญ่แต่ปกป้องสิทธิของเสียงส่วนน้อยนั่นเอง

19 ประเทศใดที่สามารถนํา “ตํารากฎหมายที่สําคัญ” มาเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้

(1) อังกฤษ

(2) สหรัฐอเมริกา

(4) ฝรั่งเศส

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ที่มาของหลักในการพิจารณาคดีของอังกฤษ ได้แก่ ตํารากฎหมายที่สําคัญกฎหมายจารีตประเพณี ขนบธรรมเนียมหรือหลักปฏิบัติ เป็นต้น

20 การกําหนดความสัมพันธ์ของ “ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” มักยึดหลักความได้สัดส่วนและความเหมาะสม ระหว่างข้อใด

(1) ความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

(2) ประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

(3) อํานาจของรัฐสภากับอํานาจองค์กรอิสระ

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13), (คําบรรยาย) การกําหนดพื้นฐานความสัมพันธ์ของ“ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” นั้นมักยึดหลักแห่งความได้สัดส่วนและ หลักแห่งความเหมาะสม เพื่อ

1 เป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

2 สร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

21 ข้อใดไม่ใช่ปัญหาของการทําประชาพิจารณ์ในประเทศไทย

(1) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ไม่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้เสีย

(2) จัดทําประชาพิจารณ์ก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

(3) ไม่มีผู้เชี่ยวชาญมาชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน

(4) ผู้มาร่วมบางส่วนไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการได้

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ปัญหาของการทําประชาพิจารณ์ในประเทศไทย ได้แก่

1 การคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ไม่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้เสีย 2 รัฐตัดสินใจดําเนินโครงการก่อนจัดทําประชาพิจารณ์

3 ไม่มีผู้เชี่ยวชาญมาชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน

4 ผู้มาร่วมบางส่วนไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการได้

5 ความไม่เป็นกลางของคณะกรรมการประชาพิจารณ์

6 ปัญหาในเรื่องงบประมาณ เป็นต้น

22 คํากล่าวที่ว่า “เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน” คือข้อใด

(1) ประชาธิปไตยผูกโยงกับจํานวนประชาชน

(2) เสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจก

(3) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยเป็นแนวคิดที่ไม่สามารถไปด้วยกัน

(4) ประชาธิปไตยไม่สามารถทําให้เกิดเผด็จการรัฐสภาได้

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เนื่องจากประชาธิปไตยนั้นจะผูกโยงกับจํานวนประชาชน (เน้นส่วนใหญ่) ส่วนเสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจกแต่อย่างไรก็ตามทั้งสองด้านจะเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน

23 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของยุครู้แจ้ง (Enlightenment)

(1) การยอมรับระบบเหตุผล

(2) ปฏิเสธอํานาจในการปกครองของศาสนจักร

(3) การมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์

(4) การเชื่อในบารมีของผู้นําสูงสุด

(5) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ยุครู้แจ้ง (Enlightenment) หรือ “ยุคเรืองปัญญา” คือ ยุคที่มีการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของเหล่าปัญญาชนในยุโรปและอาณานิคมบนทวีปอเมริกาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปสังคม ส่งเสริมการมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้มีการยอมรับระบบเหตุผลมากกว่าการใช้หลักจารีต การเชื่อในบารมีของผู้นําสูงสุดและ การเปิดเผยจากพระเจ้า ซึ่งส่งผลให้ศาสนจักรไม่มีอิทธิพลต่อความคิดและถือเป็นการปฏิเสธอํานาจในการปกครองของศาสนจักรนั้นเอง

24 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) รัฐมีอํานาจมาก ประชาชนจะมีอํานาจน้อยลง

(2) รัฐถูกจํากัดอํานาจมาก ประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น

(3) ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลในการครอบครองของรัฐได้โดยสะดวกถ้ามใช้ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับตามกฎหมายบัญญัติ

(4) บุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด รัฐไทยไม่สามารถถอนสัญชาติแต่สามารถเนรเทศได้

(5) ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐเมื่อถูกบุคลากรของรัฐละเมิดได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชนในสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญ สามารถพิจารณาได้ดังนี้

1 สิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น รัฐมีอํานาจมาก ประชาชนจะมีอํานาจน้อยลง 2 จํากัดอํานาจรัฐต่อประชาชนอย่างไร เช่น รัฐถูกจํากัดอํานาจมาก ประชาชนจะมีเสรีภาพมากขึ้น

3 ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐได้อย่างไร เช่น ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลในการครอบครอง ของรัฐได้โดยสะดวกถ้ามิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับตามกฎหมายบัญญัติ,ประชาชนสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐเมื่อถูกบุคลากรของรัฐละเมิดได้ เป็นต้น

25 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อใด

(1) 5 พ.ค. 2560

(2) 6 เมษายน 2560

(3) 24 มิถุนายน 2460

(4) 10 ธันวาคม 2560

(5) 1 ธันวาคม 2560

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศไทย โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ

26 ใครเป็นผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

(1) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ (ประธาน คกก. ร่างรัฐธรรมนูญ)

(2) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี)

(3) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (ประธานองคมนตรี)

(4) นายพรเพชร วิชิตชลชัย (ประธาน สนช.)

(5) นายวีระพล ตั้งสุวรรณ (ประธานศาลฎีกา)

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 25 ประกอบ

27 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีวุฒิสภาในวาระแรกจํานวนกี่คน

(1) 200 คน

(2) 250 คน

(3) 300 คน

(4) 350 คน

(5) 400 คน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 บทเฉพาะกาล มาตรา 269 กําหนดให้ ในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่ คสช. ถวายคําแนะนําโดยอายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้มีกําหนด 5 ปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

28 ข้อใดคือความหมายของหลักนิติรัฐ

(1) องค์กรเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบควรมีอํานาจเด็ดขาดทั้งบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

(2) ปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

(3) เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนเท่าที่ผู้ปกครองกําหนด (4) กระบวนการพิจารณาไต่สวนคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ (5) กฎหมายต้องมีความชัดเจนและมีความแน่นอนมากพอที่ประชาชนจะเข้าใจได้ ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 19), (คําบรรยาย) หลักนิติรัฐ หมายถึง การปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายของรัฐต่อประชาชนในรัฐอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคในคนทุกกลุ่ม โดยรัฐทุกรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้ภายในรัฐ ซึ่งในความหมายอย่างแคบนั้น จะไม่คํานึงถึงที่มาของกฎหมาย กล่าวคือ ประชาชนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจาก ผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

29 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(1) อายุไม่เกิน 70 ปี

(2) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) เคยเป็น ส.ส. เมื่อ 12 ปีก่อน

(4) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี

(5) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 201, 202 และ 216 กําหนดให้ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไป ดังต่อไปนี้

1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี

2 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

4 มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

5 มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะ 10 ปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา,เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ฯลฯ

30 ในความขัดแย้งทางการเมืองไทยตั้งแต่ช่วง 2540 จนถึงปัจจุบันมีการใช้สัญลักษณ์ทาง “สี” แทนกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มต่าง ๆ คําว่า “สลิม” มีจุดเริ่มต้นจากผู้ชุมนุมกลุ่มใด

(1) กปปส.

(2) นปช.

(3) พธม.

(4) กปปส. และ นปช. รวมกัน

(5) ประชาชนพิทักษ์ชาติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) “สลิ่ม” มีจุดเริ่มต้นมาจากผู้ชุมนุมกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ (ไม่แบ่งสี) โดยการนําของ นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “กลุ่มเสื้อหลากสี” การเคลื่อนไหวของกลุ่มได้สร้าง ปฏิกิริยาโต้ตอบจากคนเสื้อแดง/พรรคเพื่อไทยว่าคนเสื้อหลากสีก็คือเสื้อเหลืองจําแลง เพราะเห็นว่า ทั้งอุดมการณ์ การกระทํา และการแสดงออกไม่ต่างกับเสื้อเหลือง การดูแคลนคนเสื้อหลากสีของ คนเสื้อแดงจึงแทนด้วยคําว่า สลิ่ม ด้วยเหตุผลที่ว่าสลิ่ม (ซาหริ่ม) เป็นขนมที่มีเส้นหลากหลายสีสันและเป็นการล้อไปกับสภาพเสื้อที่หลากหลายของกลุ่มเสื้อหลากสีนั่นเอง

31 แนวคิดเรื่องของสัญญาประชาคมเชื่อว่าการบรรลุเสรีภาพจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขการปกครองแบบใด

(1) ในรัฐแบบใดก็ได้

(2) ในรัฐสวัสดิการเท่านั้น

(3) ในรัฐประชาธิปไตยเท่านั้น

(4) ในรัฐสังคมนิยมเท่านั้น

(5) ในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่านั้น

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ซอง ชากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า สังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสัญญาประชาคม (Social Contract) สามารถทําให้บุคคลในฐานะสมาชิกของสังคมนั้นบรรลุ ถึงเสรีภาพได้ สัญญาประชาคมจึงเป็นเสมือนรัฐธรรมนูญที่ต้องอยู่เพื่อทุกส่วนในสังคม ดังนั้นการบรรลุเสรีภาพจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขการปกครองแบบประชาธิปไตยเท่านั้น

32 การเสนอพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินต้องได้รับความเห็นชอบจากใครก่อนจึงจะสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้

(1) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(2) นายกรัฐมนตรี

(3) กระทรวงการคลัง

(4) ป.ป.ช.

(5) เมื่อผู้เสนอ พ.ร.บ. นั้นเป็นผู้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วไม่จําเป็นต้องมีผู้เห็นชอบ

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 133 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม 2 หรือ 3 เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคํารับรองของนายกรัฐมนตรี

33 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกามีวาระการดํารงตําแหน่งกี่ปี

(1) 4 ปี

(2) 6 ปี

(3) 2 ปี

(4) 5 ปี

(5) 7 ปี

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 80), (คําบรรยาย) รัฐสภาหรือสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย 2 สภา คือ

1 สภาผู้แทนราษฎรที่มีสมาชิกจํานวน 435 คน มีวาระการดํารงตําแหน่ง 2 ปี

2 วุฒิสภาที่มีสมาชิกจํานวน 100 คน มีวาระการดํารงตําแหน่ง 6 ปี

34 ข้อใดถูกต้อง

(1) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน

(2) นายกรัฐมนตรีของอังกฤษมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(3) นายกรัฐมนตรีของรัสเซียมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(4) นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) ข้อเลือก 1 ผิด ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านทางคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ข้อเลือก 2 ผิด นายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้นมาจากหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในสภาโดยการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ ข้อเลือก 3 ผิด นายกรัฐมนตรีรัสเซียนั้นมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี ข้อเลือก 4 ผิด นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสนั้นมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี

35 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร วาระใดเป็นการพิจารณารับหลักการ

(1) วาระที่ 1

(2) วาระการนําเสนอของกรรมาธิการ

(3) วาระที่ 2

(4) วาระที่ 3

(5) วาระที่ 4

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 54 – 55) กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นจะพิจารณาเป็น 3 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณาหรือขั้นแปรญัตติ

3 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

36 เจตจํานงของประชาชนสามารถแสดงออกได้ทางใดบ้าง

(1) ประชามติ

(2) ประชาพิจารณ์

(3) การเลือกตั้ง

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เจตจํานงของประชาชนถือเป็นที่มามูลฐานแห่งอํานาจของรัฐบาล ซึ่งประชาชนนั้นสามารถแสดงออกได้โดยการลงประชามติ (การรับร่างรัฐธรรมนูญ การออกจากสมาชิก EU) และการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว.)

37 พื้นที่สาธารณะหมายถึงข้อใด

(1) บาทวิถีหน้าบ้าน

(2) เฟซบุ๊ค

(3) สวนรถไฟ

(4) ห้อง Study ในห้องสมุด

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) พื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) เป็นการใช้พื้นที่ทํากิจกรรมร่วมกัน โดยไม่ได้จํากัด “ การมีส่วนร่วมหรือการเข้าในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมักเป็นพื้นที่เปิดที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องหรือตัดสินใจสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างเท่าเทียมกัน เช่น ถนน ทางเดิน ทางเท้า (บาทวิถีหน้าบ้าน) สนามสวนสาธารณะ (สวนรถไฟ) ห้อง Study ในห้องสมุด สื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ค, ไลน์กลุ่ม) ฯลฯ

38 สภาขุนนางอังกฤษประเภทนักบวช มีวาระการดํารงกี่ปี

(1) 4 ปี

(2) 6 ปี

(3) ตามระยะเวลาการบวช

(4) ตามระยะเวลาที่อยู่ในตําแหน่งที่กําหนด

(5) ตลอดชีพ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) สภาขุนนางของอังกฤษ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1 ขุนนางสืบเชื้อสาย (Hereditary Peers) มาจากการสืบทอดตําแหน่งทางสายโลหิตและมีวาระการดํารงตําแหน่งตลอดชีพ

2 ขุนนางตลอดชีพ (Life Peers) มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี และสามารถดํารงตําแหน่งได้ตลอดชีวิต แต่สืบทอดให้ทายาทมได้

  1. ขุนนางโดยตําแหน่งที่เป็นนักบวช (Spiritual Peers) มาจากคริสตจักรแห่งอังกฤษ เช่น บิชอปและอาร์ชบิชอปต่าง ๆ โดยจะมีวาระตามระยะเวลาที่อยู่ในตําแหน่งที่กําหนด

4 ขุนนางกฎหมาย (Law Lords) เป็นสมาชิกที่มีความรู้ด้านกฎหมายและทําหน้าที่เป็นตุลาการศาลสูงสุด โดยจะมีวาระการดํารงตําแหน่งตลอดชีพ และถือเป็นขุนนางประเภทเดียวเท่านั้นที่ได้รับเงินเดือน

39 Brexit คืออะไร

(1) กระบวนการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการออกจากสหภาพยุโรปของประชาชนชาวอังกฤษ

(2) โครงการรณรงค์เพื่อเรียกร้องให้อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป

(3) กระบวนการประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต่อกรณีแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป

(4) กระบวนการประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต่อกรณีการรับผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง

(5) โครงการรณรงค์เพื่อต่อต้านการสร้างมัสยิดในอังกฤษ

ตอบ 3 (คําบรรยาย) Brexir (มาจากคําว่า British + Exit) คือ กระบวนการประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต่อกรณีแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปหรืออียู (EU)

40 รัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง

(1) รัฐที่แยกพื้นที่ส่วนตัวออกจากพื้นที่สาธารณะ

(2) รัฐที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม

(3) รัฐที่เอานักปรัชญามาปกครอง

(4) รัฐที่แยกเอาศาสนาออกจากอํานาจในการปกครอง

(5) รัฐที่ระบุให้ผู้ปกครองต้องนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐฆราวาสหรือรัฐโลกาวิสัย (Secular State) หมายถึง รัฐหรือประเทศที่แยกเอาศาสนาออกจากกฎเกณฑ์ทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกศาสนจักรออกจากฝ่ายอาณาจักร ในโลกตะวันตก (โดยเฉพาะกรณีของอังกฤษ) โดยทั่วไปรัฐฆราวาสจะมีแนวทางบริหารประเทศ โดยใช้หลักทั่วไปทางโลกมาเป็นรากฐานของการปกครอง ไม่ต่อต้านความเชื่อหรือจํากัดศาสนา ใด ๆ ตัวอย่างของรัฐดังกล่าวนี้ ได้แก่ ไทย เนปาล ฯลฯ

41 ข้อใดเป็นหน้าที่ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

(1) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

(2) จัดการศึกษาให้ทุกมลรัฐ

(3) แต่งตั้งผู้ว่าการมลรัฐ

(4) ยับยั้งกฎหมายของมลรัฐที่เห็นว่าไม่ชอบ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 หน้า 29 – 30, (คําบรรยาย) หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แก่

1 ประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล

2 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

3 แต่งตั้งเอกอัครราชทูต

4 คัดเลือกและแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสหพันธรัฐ

5 ยับยั้งร่างกฎหมาย

6 ทําสนธิสัญญาต่าง ๆ เป็นต้น

42 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อมีทั้งหมดกี่คน

(1) 100 คน

(2) 150 คน

(4) ตามจํานวนจังหวัด

(5) ไม่มี ส.ส. แบบนี้

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 21) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 83 กําหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน ดังนี้

1 สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 350 คน

2 สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองจํานวน 150 คน

43 “พฤฒสภา” ที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 เปรียบเทียบได้กับองค์กรใด

(1) องคมนตรี

(2) ศาลรัฐธรรมนูญ

(3) วุฒิสภา

(4) สภาพัฒนาการเมือง

(5) สนช.

ตอบ 3 หน้า 138, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23) วุฒิสภาเกิดขึ้นครั้งแรกในชื่อ “ พฤฒสภา”ซึ่งกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ 2489 และต่อมาในรัฐธรรมนูญฯ 2490 จึงเปลี่ยนเป็น “วุฒิสภา โดยพบว่าที่มาของ ส.ว. ตั้งแต่เริ่มปรากฎจนกระทั่งปัจจุบันนั้นรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกําหนดให้ มาจากการแต่งตั้ง ยกเว้นรัฐธรรมนูญฯ 2540 (มาจากการเลือกตั้ง) รัฐธรรมนูญฯ 2550 (มาจากการเลือกตั้งและสรรหา) และรัฐธรรมนูญฯ 2560 (มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม)

44 ประเทศใดที่ลงประชามติให้ผู้ปกครองมีอํานาจเหนือกว่ารัฐสภา

(1) อังกฤษ

(2) ฝรั่งเศส

(3) อเมริกา

(4) รัสเซีย

(5) จีน

ตอบ 4 (คําบรรยาย) บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซียได้ฉีกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่เดิมและห้ามการต่อต้านทางการเมืองชั่วคราว ภายหลังรัฐสภาขณะนั้น พยายามถอดเขาออกจากตําแหน่ง โดยเยลต์ซินได้ริเริ่มรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้ประธานาธิบดี มีอํานาจเหนือกว่ารัฐสภา และมีการลงประชามติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบร้อยละ 58.5

45 “ม็อบมือถือ” เป็นชื่อเรียกการชุมนุมของประชาชนเมื่อปี พ.ศ. ใด

(1) พ.ศ. 2514

(2) พ.ศ. 2516

(3) พ.ศ. 2535

(4) พ.ศ. 2540

(5) พ.ศ. 2557

ตอบ 3 (คําบรรยาย) “ม็อบมือถือ” เป็นชื่อเรียกการชุมนุมของประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทั้งนี้เพราะพบว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง นักธุรกิจหรือบุคคลในวัยทํางาน และได้มีการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการติดต่อ สื่อสารในการชุมนุมครั้งนี้

46 หลักนิติธรรมคือข้อใด

(1) กฎหมายต้องบังคับเป็นการทั่วไปใช้กับทุกคนเสมอกัน

(2) กฎหมายต้องไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง

(3) กฎหมายที่ประกาศใช้แล้วต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน

(4) กฎหมายต้องมีความมั่นคงพอสมควร

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) หลักนิติธรรมมีลักษณะสําคัญ ดังนี้

1 กฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไปและใช้กับทุกคนเสมอภาคกัน

2 กฎหมายต้องไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง

3 กฎหมายที่ประกาศใช้แล้วต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน

4 กฎหมายต้องมีความมั่นคงและต่อเนื่อง

5 ห้ามยกเว้นความรับผิดให้แก่การกระทําในอนาคต เป็นต้น

47 ผู้มีสิทธิเสนอพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 คือข้อใด

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวน 10 คนขึ้นไป

(3) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวน 10,000 ชื่อขึ้นไป

(4) องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 52) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 131 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี โดยข้อเสนอแนะของศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

48 การปฏิวัติครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นเมื่อใด

(1) พ.ศ. 2475

(2) พ.ศ. 2476

(3) พ.ศ. 2490

(4) พ.ศ. 2494

(5) พ.ศ. 2500

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 63 – 64), (คําบรรยาย) การรัฐประหาร (หรือการปฏิวัติที่เรามักจะเรียกกันจนติดปาก) ในประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบ ประชาธิปไตย มีดังนี้

1 การรัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476 โดย พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา

2 การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 โดยพลโทผิน ชุณหะวัณ

3 การรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน 2494 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

4 การรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

5 การรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ฯลฯ

49 รัฐธรรมนูญฉบับใดใช้ระยะเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญนานที่สุด

(1) ฉบับที่ 1

(2) ฉบับที่ 8

(3) ฉบับที่ 3

(4) ฉบับที่ 7

(5) ฉบับที่ 16

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 8 และถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาในการร่างนานที่สุด โดยเริ่มร่างเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2502 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2511 ใช้เวลา 9 ปีเศษ และได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2511

50 การขัดกันแห่งผลประโยชน์คือข้อใด

(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ดํารงตําแหน่งในหน่วยราชการใด ๆ

(2) สมาชิกสภานิติบัญญัติยังดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวง

(3) บุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการที่นอกเหนือไปจากการปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ

(4) รัฐมนตรีแจ้ง ป.ป.ช. ว่า โอนหุ้นของบริษัทให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ผู้อื่นถือแทน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ตัวอย่างการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มีดังนี้

1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังดํารงตําแหน่งในหน่วยราชการ

2 สมาชิกสภานิติบัญญัติยังดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวง

3 บุตรของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานได้รับสัมปทานงานจากหน่วยงานนั้น ๆ

4 รัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ได้แจ้ง ป.ป.ช. ว่าโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นถือแทน(รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 187 วรรค 2) ฯลฯ

51 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กรณีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นขอบร่างพระราชบัญญัติหรือมิได้พระราชทานคืนให้กับรัฐสภา จะสามารถประกาศเป็นกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร

(1) ไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการตราพระราชบัญญัติ (2) ได้ เมื่อรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมด

(3) ไม่ได้ เพราะต้องมีพระปรมาภิไธยเท่านั้นจึงจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ (4) ได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าอีกครั้ง และหากมิได้ลงพระปรมาภิไธยใน 30 วันนายกรัฐมนตรีสามารถนําพระราชบัญญัตินั้นไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 146 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติในพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีก ครั้งหนึ่ง และหากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนําพระราชบัญญัติ นั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

52 ข้อใดต่อไปนี้คือสิทธิที่เสียไปเมื่อไม่ไปเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550

(1) สิทธิในการยื่นเสนอกฎหมายเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ

(2) สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้าน

(3) สิทธิคัดค้านการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(4) สิทธิในการไปเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป

(5) สิทธิในการไปเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) สิทธิที่เสียไปเมื่อไม่ไปเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 72 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2550 มาตรา 26 มีดังต่อไปนี้

1 สิทธิยื่นคําร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.

2 สิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ส. ส.ว.สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น

3 สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

53 ข้อใดคือกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา

(1) พระราชกําหนด

(2) พระราชกฤษฎีกา

(3) พระราชบัญญัติ

(4) พระราชอัธยาศัย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53), (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติ หมายถึง กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่ต้อง ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของรัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อน จึงนํา ขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

54 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีวาระการดํารงตําแหน่งกี่ปี

(1) 7 ปี

(2) 6 ปี

(3) 5 ปี

(4) 4 ปี

(5) 3 ปี

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 37) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 232 และ 233 กําหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจํานวน 9 คน ซึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคําแนะนําของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการ สรรหา โดยมีวาระการดํารงตําแหน่ง 7 ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว

55 ตําแหน่งใดต่อไปนี้ที่ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน

(1) ส.ส. ทุกคน

(2) ส.ว. ทุกคน

(3) อธิการบดี

(4) ปลัดกระทรวง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินปลัดกระทรวง อธิการบดี รองอธิการบดี ฯลฯ

56 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ให้สิทธิประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างไร

(1) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 50,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข (2) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 10,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(3) ประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 50,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(4) ประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 10,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ผู้มีสิทธิเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3 ส.ส. และ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

57 ข้อใดไม่ใช่ข้อบกพร่องของสภาพธรรมชาติตามแนวคิดของจอห์น ล็อค

(1) มนุษย์แต่ละคนอาจมองข้อบังคับต่างกัน

(2) มนุษย์อาจถือเหตุผลประโยชน์ของตนเป็นกฎธรรมชาติให้ผู้อื่นต้องปฏิบัติตาม (3) อาจใช้อารมณ์ในการตัดสินกันเองได้

(4) ความไม่ยุติธรรมอาจทําให้ผู้เสียประโยชน์ตอบโต้โดยไม่คํานึงถึงหลักการได้

(5) มนุษย์ทําตามความอยาก หิวและตัณหา

ตอบ 5 (คําบรรยาย) จอห์น ล็อค เห็นว่า สภาพธรรมชาติมีข้อบกพร่องใน 3 ประการ คือ

1 มนุษย์แต่ละคนอาจมองข้อบังคับต่างกัน และอาจถือเหตุผลประโยชน์ของตนเป็นกฎธรรมชาติให้ผู้อื่นต้องปฏิบัติตาม

2 การที่มนุษย์ตัดสินกันเอง อาจใช้อารมณ์และเกิดการแก้แค้นกันเองได้

3 ความไม่ยุติธรรมอาจทําให้ฝ่ายผู้เสียประโยชน์ออกมาตอบโต้โดยไม่คํานึงถึงหลักการได้

58 การออกเสียงประชามติ ไม่ใช่ข้อใด

(1) อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

(2) การมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับตัดสินใจ

(3) แสดงออกซึ่งเจตจํานงร่วม

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) การออกเสียงประชามติ (Referendum) คือ การนําร่างกฎหมาย ร่างรัฐธรรมนูญและนโยบายที่สําคัญของประเทศไปผ่านการตัดสินใจเพื่อแสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ โดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย ซึ่งถือเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับตัดสินใจและแสดงออกซึ่งเจตจํานงร่วมต่อแนวทางการปกครองประเทศ

59 ข้อใดคือความแตกต่างระหว่างประชาพิจารณ์กับประชามติ

(1) ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ กับประชาชน

(2) ความผูกพันปฏิบัติของรัฐตามผลการออกเสียงของประชาชน

(3) การสร้างกระบวนการให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้อย่างทั่วถึง

(4) การไม่ตัดสินใจต่อผลในเรื่องนั้น ๆ ล่วงหน้า

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความแตกต่างระหว่างประชาพิจารณ์กับประชามติ มีดังนี้

1 ประชาพิจารณ์นั้นรัฐจะไม่ผูกพันและไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามส่วนประชามติกําหนดให้รัฐต้องผูกพันปฏิบัติตามผลการออกเสียงประชามติ

2 ประชาพิจารณ์ตั้งอยู่บนฐานคติของการรักษาผลประโยชน์แก่ประชาชนส่วนประชามติจะตั้งอยู่บนฐานคติของการแสดงอํานาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน

3 ประชาพิจารณ์เป็นแนวทางที่รัฐใช้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งส่วนประชามติจะเป็นกระบวนการที่รัฐขอปรึกษาหารือประชาชน เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติ

4 ประชาพิจารณ์ต้องการความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องนั้น ๆ เพื่อลดความขัดแย้งจากการตัดสินใจของรัฐ ส่วนประชามตินั้นต้องการมติของประชาชนว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องนั้น ๆ

60 คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีจํานวนกี่คน

(1) 3 คน

(2) 5 คน

(3) 7 คน

(4) 9 คน

(5) 11 คน

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33), (คําบรรยาย) คณะกรรมการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีจํานวนทั้งหมด 9 คน ประกอบด้วย

1 ประธานศาลฎีกา

2 ประธานสภาผู้แทนราษฎร

3 ผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

4 ประธานศาลปกครองสูงสุด

5 บุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่องค์กรอิสระที่ต้องมีการสรรหาอีก 5 คน

 

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามข้อ 61 – 70

(1) ถูก

(2) ผิด

 

61 หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรีมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) – พ.ศ. 2557 ได้ยุติลง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 วรรค 2 กําหนดให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบเห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557. นั่นแสดงว่า หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ยังคงอยู่

62 การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 จะกระทําไม่ได้ถ้ามีวุฒิสมาชิกเห็นชอบจํานวนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 256 (3) กําหนดให้ การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียง เห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา (วุฒิสมาชิก) เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

63 บุคคลที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท สามารถไปสมัครเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระได้ทุกคน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 29 ประกอบ

64 โทมัส ฮอบส์ เชื่อว่าเมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วไม่สามารถเพิกถอนได้

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 10 ประกอบ

65 “หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร” ไม่เคยถูกขุดขึ้นมาก่อน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) หมุดกอกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร เป็นหมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า ซึ่งภายหลังได้ถูกปรับเปลี่ยนและเคยถูกขุด ขึ้นมาหลายครั้ง เช่น มีการนําสีดํามาราดทับ ถูกขีดจนเป็นรอยจํานวนมาก เคยถูกขุดและหายไปในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถูกนํากลับมาในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นต้น

66 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ข้าราชการไม่สามารถดํารงตําแหน่งวุฒิสภาได้ ยกเว้นเฉพาะในวาระแรกเท่านั้น

ตอบ 1

(เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (คําบรรยาย) ลักษณะต้องห้ามของผู้ดํารงตําแหน่งสมาชิก วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 เป็นข้าราชการ

2 เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

3 เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ฯลฯ ยกเว้นเฉพาะในวาระแรกเท่านั้นที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถเป็นข้าราชการ/ดํารงตําแหน่งหรือหน้าที่ในหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นผู้บริหารท้องถิ่นได้

67 จอห์น ล็อค และโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าสภาพธรรมชาติ (State of Nature) เป็นสภาวะสงคราม

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9) โทมัส ฮอบส์ เห็นว่า ภาวะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นภาวะสงคราม แต่สําหรับ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่าภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นภาวะที่มนุษย์มีความสมบูรณ์และมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการโดยคนอื่นไม่สามารถเข้ามารุกล้ำได้

68 รัฐสภาของอังกฤษไม่สามารถยกเลิกกฎหมายของรัฐสภาสกอตแลนด์ได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐสภาสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สามารถยกเลิกกฎหมายของสถาบันนิติบัญญัติลําดับรองได้ ซึ่งสถาบันนิติบัญญัติลําดับรองได้แก่ รัฐสภาสกอตแลนด์ รัฐสภาแห่งเวลส์ และรัฐสภาไอร์แลนด์เหนือ

69 คณะกู้บ้านกู้เมืองและกบฏบวรเดช คือกลุ่มเดียวกัน

ตอบ 1 (คําบรรยาย) กบฏบวรเดช หรือ “คณะกู้บ้านกู้เมือง” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 นับเป็นการกบฏครั้งแรกในรัฐไทยสมัยใหม่ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างระบอบเก่าและระบอบใหม่ จากข้อโต้แย้งในเรื่องเค้า โครงการเศรษฐกิจแห่งชาติของนายปรีดี พนมยงค์ และชนวนสําคัญที่สุดคือ ข้อโต้แย้งในเรื่อง พระเกียรติยศและพระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่ ซึ่งเป็นผลนําไปสู่การนํากําลังทหารก่อกบฏโดยมี พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็นแม่ทัพ

70 นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกถอดถอนออกจากตําแหน่งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ด้วยข้อหาเรื่องทุจริตโครงการรับจํานําข้าว

ตอบ 2 (คําบรรยาย) เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคําวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตําแหน่ง กรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เนื่องจากใช้สถานะหรือ ตําแหน่งนายกรัฐมนตรีเข้าไปแทรกแซงการบรรจุแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น

 

ข้อ 71 – 87 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการ ให้นักศึกษาพิจารณา 2 ข้อความ แล้วใช้ตัวเลือก ต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด

(2) ถ้าข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก

(3) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้งสองข้อ 1

(4) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้งสองข้อ

 

71 (1) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีอํานาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 บัญญัติให้กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละ พรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 1 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 1 และ 8 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ…. กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจาก ผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

72 (1) การดําเนินการของคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคหนึ่ง

(2) กรณีคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ จะต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคสอง ด้วย

ตอบ 3 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 128 วรรค 1 และ 2 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด… ในส่วนที่เกี่ยวกับ การตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่า มีสาระสําคัญเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือคนพิการหรือทุพพลภาพ ต้องกําหนดให้ บุคคลประเภทดังกล่าวหรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทํางานเกี่ยวกับบุคคลประเภทนั้นโดยตรงร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วย

73 (1) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ(Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภามีบทบาทเท่ากับเป็นรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

ตอบ 3 หน้า 77, (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่ง คือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภานั้น จะมีบทบาทคล้ายกับรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

74 (1) การแบ่งประเภทของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ได้แบ่งตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ เช่น

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย หรือการพิจารณาร่างกฎหมาย

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการพัฒนา

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตรา และสอดคล้องการปฏิบัติงานรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการในรัฐสภา อาจมีการแต่งตั้งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

ตอบ 2 หน้า 77, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27, 31) คณะกรรมาธิการในรัฐสภามี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คณะกรรมาธิการสามัญ และคณะกรรมาธิการวิสามัญ นอกจากนี้เราอาจจะแบ่งประเภท ของคณะกรรมาธิการในรัฐสภาได้ตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ ดังนี้

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ หรือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานคลัง

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตราสอดส่องการปฏิบัติงานของรัฐบาล เป็นต้น

75 (1) ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา คณะกรรมาธิการมักมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติอย่างชัดแจ้งโดยเฉพาะความสามารถในการทํางานอย่างรวดเร็ว

(2) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการ เนื่องจากการทํางานของรัฐสภาตามความเป็นจริงนั้นจําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับหลักความต้องการของนักการเมือง

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการมีอยู่ 4 ประการ คือ

1 เพื่อการแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

2 จําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับความต้องการของราษฎร

3 เป็นการละลายความเป็นพรรคการเมือง

4 การสอบสวนข้อเท็จจริงและรับเรื่องราวร้องทุกข์ (ถือเป็น “ หน้าที่พิเศษ” ของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย) ซึ่งในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนานั้นพบว่า คณะกรรมาธิการมักไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติมากนัก เนื่องจากความสามารถในการทํางานค่อนข้างต่ำ

76 (1) การทํางานในขั้น “คณะกรรมาธิการ” ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญแม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในคณะกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง

(2) “หน้าที่พิเศษ” ที่ถือว่าเป็นหน้าที่ประจําตามปกติธรรมดาของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย คือ การแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) “การละลายความเป็นพรรคการเมือง” หนึ่งในเหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการนั้นพบว่า การทํางานในขั้นคณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง (ดูคําอธิบายข้อ 75 ประกอบ)

77 (1) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยรัฐสภา

(2) การปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการ ไม่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใดมิได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการพิเศษที่มีอํานาจในการคัดเลือก

3 แต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการนั้นถือว่าเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้

78 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการเป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็นผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้

(2) กรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรส จะได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก ความเหมาะสมต่อหน้าที่ ความมีอาวุโสเป็นหลัก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้“ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการ” เป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็น ผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้ ส่วนคณะกรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรสนั้นจะ ได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิกความเหมาะสมต่อหน้าที่ และความมีอาวุโสเป็นหลัก

79 (1) ในระบบรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา หากเป็นร่างรัฐบัญญัติธรรมดาเข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session)เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้ (2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา และคณะกรรมาธิการเต็มสภา

ตอบ 2 หน้า 84, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 84), (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

3 คณะกรรมาธิการร่วม

4 คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา

5 คณะกรรมาธิการเต็มสภา ซึ่งในระบบรัฐสภาของสหรัฐฯ หากเป็นร่างรัฐบัญญัติที่มีความสลับซับซ้อน (เรื่องใหญ่ เรื่องที่ ประชาชนสนใจมาก) เข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session) เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

80 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภา คณะกรรมาธิการสามัญคณะกรรมาธิการร่วม และคณะกรรมาธิการร่วมพระราชบัญญัติมหาชน

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมาธิการสามัญสกอต (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการเต็มสภา

2 คณะกรรมาธิการสามัญ

3 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

4 คณะกรรมาธิการร่วม

5 คณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติเอกชน

นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมาธิการสามัญสกอต” (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

81 (1) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

(2) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ จะเป็นคณะกรรมาธิการที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

 

 

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

3 คณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ส่วนคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษนั้นจะเป็นคณะกรรมาธิการ ที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

82 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม

(2) คณะกรรมาธิการสามัญของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

ตอบ 1 (คําบรรยาย), คณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส มี 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องหลัก ๆ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

3 คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อสภา ซึ่งมักเข้าไป เกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

83 (1) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อประธานาธิบดี

(2) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงาน – เดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84 (1) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน

(2) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่นอาจขอให้รัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอาจขอให้รัฐมนตรีหรือ ผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็ อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

 

85 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(2) ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาญี่ปุ่นจะมาจากการแต่งตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้นจะมาจากการเลือกตั้ง ของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

86 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา(ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ)

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสี บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกผู้พิพากษาหรือตุลาการมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ) โดยรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 129 วรรค 4 บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสาร “จากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือ ในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ แต่การเรียกเช่นว่านั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการ

87 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา จะต้องคํานึงถึงหลักการกระจายอํานาจเป็นหลัก

(2) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสาม บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยนั้นมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา ซึ่งจะต้องคํานึงถึงหลักแบ่งงานกันทําเป็นหลัก โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 3 บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

 

ข้อ 88 – 95 ให้นักศึกษาพิจารณาประเภทของคณะกรรมาธิการรัฐสภาไทย แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) คณะกรรมาธิการสามัญ

(2) คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(3) คณะกรรมาธิการร่วม

(4) คณะกรรมาธิการเต็มสภา

(5) คณะกรรมาธิการชั่วคราว

 

88 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27 – 28) คณะกรรมาธิการสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หรือคณะบุคคลที่วุฒิสภา แต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น และตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจาณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

89 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้

ตอบ 2 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 31) คณะกรรมาธิการวิสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ หรือคณะบุคคล ที่วุฒิสภาแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ โดยจะแต่งตั้งขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรี ร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะและจะสลายตัวเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ

90 กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ ตอบ 3 หน้า 118, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการร่วม หมายถึง กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ ซึ่งจะ เกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา

91 คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ

ตอบ 4 หน้า 119, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการเต็มสภา หมายถึง คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

92 คณะกรรมาธิการ…จะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 คณะกรรมาธิการจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขของวุฒิสภา ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

94 คณะกรรมาธิการแต่งตั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 89 ประกอบ

95 คณะกรรมาธิการ…ตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

 

ข้อ 96 – 100 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในฝ่ายนิติบัญญัติ  การตราพระราชบัญญัติให้นักศึกษาพิจารณาข้อความแล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความนี้ ถูก

(2) ถ้าข้อความนี้ ผิด

 

96 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 33 บัญญัติว่า ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อนและจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน และต้องเป็นไปตามมาตรา 77 ด้วย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

97 กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดขั้นตอนเป็น 4 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณา

3 ขั้นแปรบัญญัติ

4 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ

98 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา กรณีเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไปต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

99 หากประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 148 (1) กําหนดให้ หาก ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง สองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้น โดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็น ดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

100 ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติ ก็ทรงมีอํานาจยับยั้งได้ โดยส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังรัฐสภา หรือเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้โดยไม่ทรงพระราชทานคืนมายังรัฐสภา จนล่วงพ้นเวลา 90 วันไปแล้ว

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 51 ประกอบ

POL3100 กระบวนการนิติบัญญัติ 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3100 กระบวนการนิติบัญญัติ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 การเสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะนําร่างกฎหมาย ไปส่งที่ใด

(1) ประธานกรรมาธิการที่รับผิดชอบ

(2) ประธานวุฒิสภา

(3) นําไปแสดงต่อประธานสภาฯ

(4) ประธานสภาผู้แทนราษฎร

(5) ฝ่ายธุรการของสภาฯ

ตอบ 4 หน้า 82 – 83, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 84) การเสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกานั้นกระทํากันอย่างง่าย ๆ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะนําร่างกฎหมาย ไปใส่ไว้ในกล่องรับร่างกฎหมายที่โต๊ะของประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่วนในวุฒิสภานั้นจะส่งต่อ หัวหน้าหน่วยงานธุรการ และจะเสนอร่างต่อประธานสภาโดยวุฒิสมาชิกจะลุกขึ้นยืนและกล่าวแถลงต่อประธานวุฒิสภา

2 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงสละราชสมบัติเมื่อใด

(1) 10 ธ.ค. 2475

(2) 24 มิ.ย. 2475

(3) 2 มี.ค. 2477

(4) 24 มิ.ย. 2477

(5) 12 ต.ค. 2476

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 68) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ได้ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 หลังจากทรงยื่นข้อเสนอเป็นพระราชบันทึกต่อ รัฐบาลที่มีประเด็นเกี่ยวกับพระราชอํานาจทั้งด้านตุลาการ นิติบัญญัติ และบริหารบางประเด็น แต่รัฐบาลไม่อาจสนองพระราชบันทึกตามที่ทรงมีพระราชประสงค์

3 ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ในการตรวจสอบและควบคุมการบริหารงานขององค์กรนิติบัญญัติ

(1) การพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

(2) การยื่นกระทู้ถาม

(3) การให้ความเห็นชอบการประกาศสงคราม

(4) การเสนอญัตติ

(5) การอภิปราย

ตอบ 3 (คําบรรยาย) หน้าที่ในการตรวจสอบและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินขององค์กรนิติบัญญัติ ได้แก่

1 การตั้งกระทู้ถาม

2 การเสนอญัตติ

3 การอภิปรายไม่ไว้วางใจ

4 การตั้งกรรมาธิการ

5 การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น

4 ลักษณะของพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินคือข้อใด

(1) ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงระเบียบอันเกี่ยวกับภาษี

(2) ว่าด้วยเรื่องการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน

(3) ว่าด้วยเรื่องการค้ำประกันเงินกู้

(4) ว่าด้วยเรื่องการเพิ่มเก็บอัตราภาษีสุรา

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 55) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 134 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้

1 การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการ บังคับเกี่ยวกับภาษีหรืออากร

2 การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือ การโอนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน

3 การกู้เงิน การค้ำประกัน การใช้เงินกู้ หรือการดําเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ

4 เงินตรา

5 ข้อใดเป็นเงื่อนไขของการออกพระราชกําหนด

(1) ผู้เสนอคือหัวหน้า คสช.

(2) ผู้เสนอคือคณะรัฐมนตรี

(3) ผู้เสนอคือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(4) เมื่อเป็นกรณีฉุกเฉินความจําเป็นรีบด่วน

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 56) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 172 วรรค 2 กําหนดให้การตราพระราชกําหนดให้กระทําได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้

6 อํานาจหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

(1) เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560

(2) เมื่อมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(3) เมื่อ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญฯ 2560 แล้วเสร็จ

(4) เมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก

(5) เมื่อคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 เข้ารับตําแหน่ง

ตอบ 5 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 265 วรรค 1 กําหนดให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ดํารงตําแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่

7 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนเท่าใดสามารถเข้าชื่อยื่นความเห็นต่อประธานสภาฯ ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าพระราชกําหนดใดไม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560

(1) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของรัฐสภา

(2) ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนฯ

(3) ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสภาผู้แทนฯ

(4) ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของรัฐสภา

(5) ทั้งหมดที่มีอยู่ในสภาผู้แทนฯ

ตอบ 3 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 173 วรรค 1 กําหนดให้ ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้อนุมัติพระราชกําหนดใด ส.ส. หรือ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกําหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา 172 วรรค 1 และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งความเห็น ไปยังศาลรัฐธรรมนูญภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นเพื่อวินิจฉัย และให้รอการพิจารณาพระราชกําหนดนั้นไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับแจ้งคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

8 ข้อใดไม่ใช่นัยยะสําคัญของรัฐธรรมนูญ

(1) อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

(2) สถานะสูงสุดที่ไม่มีกฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้งได้

(3) สร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจของประชาชน

(4) แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 5), (คําบรรยาย) นัยยะสําคัญของรัฐธรรมนูญ มีดังนี้

1 อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

2 สถานะสูงสุดที่ไม่มีกฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้งได้

3 แสดงโครงสร้างของรัฐ

4 แสดงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชน ฯลฯ

9 การกําหนดความสัมพันธ์ของ “ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” มักยึดหลักความได้สัดส่วน และความเหมาะสม ระหว่างข้อใด

(1) ประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

(2) ความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

(3) อํานาจของรัฐสภากับอํานาจองค์กรอิสระ

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า, 13), (คําบรรยาย) การกําหนดพื้นฐานความสัมพันธ์ของ“ผู้ใช้อํานาจรัฐ” กับ “ประชาชนในฐานะปัจเจก” นั้นมักยึดหลักแห่งความได้สัดส่วนและ หลักแห่งความเหมาะสม เพื่อ

1 เป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและการใช้อํานาจรัฐ

2 สร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์ของปัจเจกและประโยชน์ของสาธารณะ

10 คํากล่าวที่ว่า “เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน” คือข้อใด

(1) ประชาธิปไตยผูกโยงกับจํานวนประชาชน

(2) เสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจก

(3) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยเป็นแนวคิดที่ไม่สามารถไปด้วยกัน

(4) ประชาธิปไตยไม่สามารถทําให้เกิดเผด็จการรัฐสภาได้

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 (คําบรรยาย) เสรีนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เนื่องจากประชาธิปไตยนั้นจะผูกโยงกับจํานวนประชาชน เน้นส่วนใหญ่) ส่วนเสรีนิยมคือการจํากัดอํานาจของรัฐต่อปัจเจกแต่อย่างไรก็ตามทั้งสองด้านจะเป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน

11 ข้อใดคือความหมายของหลักนิติรัฐ

(1) องค์กรเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบควรมีอํานาจเด็ดขาดทั้งบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

(2) ปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

(3) เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนเท่าที่ผู้ปกครองกําหนด (4) กระบวนการพิจารณาไต่สวนคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่

(5) กฎหมายต้องมีความชัดเจนและมีความแน่นอนมากพอที่ประชาชนจะเข้าใจได้ ตอบ 2 เอกสารประกอบการสอน หน้า 19), (คําบรรยาย) หลักนิติรัฐ หมายถึง การปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายของรัฐต่อประชาชนในรัฐอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคในคนทุกกลุ่ม โดยรัฐทุกรัฐ มุ่งหวังให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้ภายในรัฐ ซึ่งในความหมายอย่างแคบนั้น จะไม่คํานึงถึงที่มาของกฎหมาย กล่าวคือ ประชาชนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

12 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะต้องห้ามของกระทู้

(1) เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

(2) เป็นการออกความเห็น

(3) เป็นปัญหาข้อกฎหมาย

(4) เป็นเรื่องคลุมเครือ

(5) เป็นเรื่องที่เคยมีผู้เสนอมาก่อน

ตอบ 1 หน้า 115, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 46) ลักษณะต้องห้ามของกระทู้ มีดังนี้

1 เป็นเชิงประชด เสียดสี หรือกลั่นแกล้งใส่ร้าย

2 คลุมเครือ หรือเข้าใจยาก

3 เป็นเรื่องที่มีประเด็นคําถามซ้ำกับกระทู้ถามซึ่งมีผู้เสนอมาก่อน

4 เป็นการออกความเห็น

5 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย

6 เป็นเรื่องไม่มีสาระสําคัญ ฯลฯ

13 ปัจจุบันประเทศใดต่อไปนี้มีระบบ นิติบัญญัติแบบสภาเดี่ยว

(1) อินโดนีเซีย

(2) ไทย

(3) กัมพูชา

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ปัจจุบันประเทศที่มีระบบนิติบัญญัติแบบสภาเดี่ยว ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย สวีเดน เดนมาร์ก อิสราเอล กานา เซเนกัล โมนาโค ลักเซมเบอร์ก ฯลฯ

14 หลักการสําคัญที่เป็นสาระสําคัญอันต้องกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่คือข้อใด

(1) วิธีปฏิบัติทางปกครองของส่วนราชการต่าง ๆ

(2) สิทธิ เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของพลเมือง

(3) การตรวจสอบการใช้อํานาจ

(4) ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมือง

(5) องค์กรสถาบันสําคัญทางการเมือง

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 12, 76), (คําบรรยาย) หลักการและสาระสําคัญที่ต้องกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มีดังนี้

1 สิทธิ เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของพลเมือง

2 การตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ

3 ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมือง

4 องค์กรสถาบันสําคัญทางการเมือง ฯลฯ

15 ข้อใดไม่ใช่คณะกรรมการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(1) ผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

(2) ประธานศาลปกครองสูงสุด

(3) ประธานศาลฎีกา

(4) ประธานสภาผู้แทนราษฎร

(5) ประธานวุฒิสภา

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33) คณะกรรมการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 ประกอบด้วย

1 ประธานศาลฎีกา

2 ประธานสภาผู้แทนราษฎร

3 ผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

4 ประธานศาลปกครองสูงสุด

5 บุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่องค์กรอิสระที่ต้องมีการสรรหา

16 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 กําหนดจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้จํานวนกี่คน

(1) 500 คน

(2) 350 คน

(3) 700 คน

(4) 550 คน

(5) 750 คน

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 21) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 83 กําหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 500 คน ดังนี้

1 สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจํานวน 350 คน

2 สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองจํานวน 150 คน

17 บุคคลในข้อใดที่ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(1) หญิงข้ามเพศอายุ 25 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง

(2) ชายที่ได้รับสัญชาติไทยโดยการแต่งงาน

(3) หญิงอายุ 55 ปีผู้มีหุ้นในกิจการขายตรงในสื่อออนไลน์

(4) นักการเมืองที่เคยรับโทษจําคุกในคดีลหุโทษเมื่อ 5 ปีก่อนวันเลือกตั้ง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 21 – 22) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 97 กําหนดให้บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

2 มีอายุไม่เกิน 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง ฯลฯ

และมาตรา 98 กําหนดให้ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.

1 ติดยาเสพติดให้โทษ

2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ

4 เคยได้รับโทษจําคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 10 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิด อันได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ฯลฯ

18 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของการเป็นตัวแทนในกระบวนการนิติบัญญัติ

(1) อํานาจอธิปไตยยังเป็นของประชาชน

(2) ได้รับความยินยอมให้ใช้อํานาจแทนประชาชนจากการเลือกตั้ง

(3) ประชาชนสามารถตรวจสอบการทํางานของตัวแทนได้

(4) มีระยะเวลาที่กําหนดความเป็นตัวแทนที่แน่นอน

(5) ได้อํานาจในการออกกฎหมายจากนายกรัฐมนตรี

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความหมายของการเป็นตัวแทนในกระบวนการนิติบัญญัติ คือ

1 อํานาจยังเป็นของปวงชน

2 ได้รับความยินยอมให้ใช้อํานาจแทนประชาชนจากการ เลือกตั้ง

3 ประชาชนสามารถตรวจสอบการทํางานของตัวแทนได้

4 มีระยะเวลาที่กําหนดความเป็นตัวแทนที่แน่นอน ฯลฯ

19 จํานวนของสมาชิกวุฒิสภาและวาระการดํารงตําแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 คือข้อใด

(1) 200 คน, 6 ปี

(2) 200 คน, 5 ปี

(3) 150 คน, 6 ปี

(4) 150 คน, 5 ปี

(5) 200 คน, 7 ปี

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 107 และ 109 กําหนดให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 200 คน โดยมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 5 ปีนับแต่วันประกาศผลการเลือก

20 การปกครองระบบรัฐสภามีหลักการสําคัญคือการดุลอํานาจ หมายความว่าอย่างไร

(1) มีการแยกอํานาจการออกกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมายและการลงโทษตามกฎหมาย

(2) มีการแยกฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายข้าราชการออกจากกัน

(3) มีการแยกกรรมาธิการเป็นหลายคณะเพื่อแบ่งความรับผิดชอบ

(4) มีการแยกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาออกจากกัน

(5) มีการแยกการปกครองออกเป็นส่วนกลางและส่วนภูมิภาคออกจากกัน

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 19), (คําบรรยาย) หลักการสําคัญของการปกครองระบบรัฐสภา ได้แก่

1 หลักการดุลอํานาจ หมายถึง เมื่อมีการแยกอํานาจออกเป็น 3 อํานาจ นั่นคือ อํานาจการออกกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย และการลงโทษตามกฎหมาย แต่ละอํานาจต่างจะมีอิสระในตัวเอง และมีความสัมพันธ์กับอํานาจอื่นตามหลักแห่งการดุลอํานาจ

2 หลักแห่งความรับผิดชอบทางการเมือง หมายถึง การที่บุคคลที่ดํารงตําแหน่งทางการเมืองสามารถยืนยันผลการปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง หากไม่สามารถยืนยันได้ย่อมไม่ชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไป

21 การปกครองระบอบใดที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอํานาจในการปกครองแต่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล

(1) ระบอบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

(2) ระบอบประธานาธิบดี

(3) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(4) ระบอบกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(5) ระบอบราชาธิปไตย

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15) ระบอบกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หมายถึง การปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอํานาจในการปกครองแต่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล หรือเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า “ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ”

22 แนวคิด “กระแส 3 คลื่น” ของการขยายตัวของระบอบประชาธิปไตย เป็นแนวคิดของใคร

(1) Huntington

(2) Montesquieu

(3) Fukuyama

(4) Rousseau

(5) Locke

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13 – 14) Samuel Huntington ได้สรุปพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย หรือ “กระแส 3 คลื่น” (Three Wave) ไว้ดังนี้

1 คลื่นลูกที่ 1 ค.ศ. 1828 – 1926 เกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและการแพร่ระบาดของการปฏิวัติในประเทศและแคว้นต่าง ๆ ของยุโรป

2 คลื่นลูกที่ 2 ค.ศ. 1943 – 1962 เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

3 คลื่นลูกที่ 3 ค.ศ. 1974 เกิดการโค่นล้มเผด็จการพลเรือนของโปรตุเกส การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ การพังทลายของกําแพงเบอร์ลิน เป็นต้น

23 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีวุฒิสภาในวาระแรกจํานวนกี่คน

(1) 200 คน

(2) 250 คน

(3) 300 คน

(4) 350 คน

(5) 400 คน

ตอบ 2 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 269 กําหนดให้ในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่ คสช. ถวายคําแนะนํา โดยอายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้มีกําหนด 5 ปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

24 ข้อใดคือความหมายของหลักนิติรัฐ

(1) องค์กรเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบควรมีอํานาจเด็ดขาดทั้งบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

(2) ปฏิบัติตามกฎหมายที่ตราขึ้นจากผู้ปกครองโดยเคร่งครัด

(3) เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนเท่าที่ผู้ปกครองกําหนด (4) กระบวนการพิจารณาไต่สวนคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่

(5) กฎหมายต้องมีความชัดเจนและมีความแน่นอนมากพอที่ประชาชนจะเข้าใจได้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

25 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(1) อายุไม่เกิน 70 ปี

(2) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) เคยเป็น ส.ส. เมื่อ 12 ปีก่อน

(4) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี

(5) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 33) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 201, 202 และ 216 กําหนดให้ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไป ดังต่อไปนี้

1 มีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี

2 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด

3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

4 มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

5 มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6 ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว.ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะ 10 ปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา, เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ฯลฯ

26 เจตจํานงของประชาชนสามารถแสดงออกได้ทางใดบ้าง

(1) ประชามติ

(2) ประชาพิจารณ์

(3) การเลือกตั้ง

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 (คําบรรยาย) เจตจํานงของประชาชนถือเป็นที่มามูลฐานแห่งอํานาจของรัฐบาล ซึ่งประชาชนนั้นสามารถแสดงออกได้โดยการลงประชามติ (การรับร่างรัฐธรรมนูญ, การออกจากสมาชิก EU)และการเลือกตั้ง (ส.ส., ส.ว.)

27 ผู้มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ได้แก่ข้อใด

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) สมาชิกสภานิติบัญญัติ

(3) หัวหน้า คสช.

(4) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวน 5,000 คน

(5) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวน 10 คน

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 133 กําหนดให้ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน เข้าชื่อเสนอกฎหมายตามหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวดหน้าที่ของรัฐ

ทั้งนี้ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

28 วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเงินให้แล้วเสร็จภายในกี่วัน

(1) 30 วัน

(2) 45 วัน

(3) 60 วัน

(4) 90 วัน

(5) แล้วแต่ทําความตกลงกับรัฐบาล

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 55) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 136 กําหนดให้ วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมาโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้า เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน เว้นแต่วุฒิสภา จะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษซึ่งต้องไม่เกิน 30 วัน หากวุฒิสภายังพิจารณาไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินั้น

29 การถอดถอนบุคคลออกจากตําแหน่ง ต้องมีพฤติกรรมใดต่อไปนี้

(1) ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ

(2) มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ

(3) ส่อว่าจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 49), (คําบรรยาย) การถอดถอนบุคคลออกจากตําแหน่งตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 ต้องมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้

1 มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ

2 ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่

3 ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ

4 ส่อว่ากระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

5 ส่อว่าจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

6 ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

30 สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งทําหน้าที่แทนทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีการพิจารณาพระราชบัญญัติอย่างไร

(1) 3 วาระ คือ รับหลักการ พิจารณาเรียงลําดับมาตรา และให้ความเห็นชอบ

(2) 3 วาระ คือ รับหลักการ กรรมาธิการ และให้ความเห็นชอบเรียงมาตรา

(3) 2 วาระ คือ พิจารณาเรียงมาตรา และให้ความเห็นชอบ

(4) 3 วาระ คือ พิจารณาเรียงมาตรา กรรมาธิการ และให้ความเห็นชอบ

(5) 4 วาระ คือ รับหลักการ เรียงมาตรา กรรมาธิการ และให้ความเห็นชอบ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้นจะกระทําเป็น 3 วาระ คือ

1 รับหลักการ

2 พิจารณาเรียงลําดับมาตรา (โดยคณะกรรมาธิการที่สภาตั้ง)

3 ให้ความเห็นชอบ

31 ตําแหน่งใดที่ไม่อยู่ในอํานาจการถอดถอนของวุฒิสภา

(1) ประธานศาลฎีกา

(2) พนักงานอัยการ

(3) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

(4) ผู้พิพากษา

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 49), (คําบรรยาย) ตําแหน่งที่อยู่ในอํานาจการถอดถอนของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ ฯลฯ

32 พระราชบัญญัติในข้อใดไม่ใช่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(1) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลปกครอง

(2) ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

(3) ว่าด้วยพรรคการเมือง

(4) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 52) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 130 กําหนดให้มี พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ดังต่อไปนี้

1 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

3 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

4 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

5 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

33 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รัฐสภาต้องพิจารณาในกําหนดระยะเวลาเท่าใด

(1) 60 วัน

(2) 90 วัน

(3) 120 วัน

(4) 150 วัน

(5) 180 วัน

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 52) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 132 (1) กําหนดให้ การเสนอร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญให้เสนอต่อรัฐสภา และให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลา 180 วัน หากยังพิจารณาไม่เสร็จ ภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่างที่เสนอ

34 หลักนิติธรรม ไม่ใช่คือข้อใด

(1) กฎหมายต้องไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง

(2) กฎหมายต้องบังคับเป็นการทั่วไปใช้กับทุกคนเสมอกัน

(3) กฎหมายที่ประกาศใช้แล้วต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน

(4) กฎหมายสามารถเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักนิติธรรมมีลักษณะสําคัญ ดังนี้

1 กฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไปและใช้กับทุกคนเสมอภาคกัน

2 กฎหมายต้องไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง

3 กฎหมายที่ประกาศใช้แล้วต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน

4 กฎหมายต้องมีความถาวรต่อเนื่อง

5 ห้ามยกเว้นความรับผิดให้แก่การกระทําในอนาคต เป็นต้น

35 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ ไม่ใช่คือข้อใด

(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังดํารงตําแหน่งในหน่วยราชการ

(2) สมาชิกสภานิติบัญญัติยังดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวง

(3) บุตรของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานได้รับสัมปทานงานจากหน่วยงานนั้น ๆ (4) รัฐมนตรีแจ้ง ป.ป.ช. ว่าโอนหุ้นของบริษัทให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ผู้อื่นถือแทน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตัวอย่างการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มีดังนี้

1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังดํารงตําแหน่งในหน่วยราชการ

2 สมาชิกสภานิติบัญญัติยังดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวง

3 บุตรของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานได้รับสัมปทานงานจากหน่วยงานนั้น ๆ

4 รัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท เว้นแต่ได้แจ้ง ป.ป.ช. ว่าโอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นถือแทน(รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 187 วรรค 2) ฯลฯ )

36 ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 กรณีพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหรือมิได้พระราชทาน คืนให้กับรัฐสภา จะสามารถประกาศเป็นกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร

(1) ไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการตราพระราชบัญญัติ (2) ได้ เมื่อรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมด

(3) ไม่ได้ เพราะต้องมีพระปรมาภิไธยเท่านั้นจึงจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้

(4) ได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าอีกครั้ง และหากมิได้ลงพระปรมาภิไธยใน 30 วัน นายกรัฐมนตรี สามารถนําพระราชบัญญัตินั้นไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 146 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาต้อง ปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนําขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอีกครั้งหนึ่ง และหากมิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนําพระราชบัญญัตินั้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

37 ข้อใดต่อไปนี้คือสิทธิที่เสียไปเมื่อไม่ไปเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

(1) สิทธิในการยื่นเสนอกฎหมายเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ

(2) สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้าน

(3) สิทธิคัดค้านการสรรหาผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ

(4) สิทธิในการไปเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป

(5) สิทธิในการไปเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) สิทธิที่เสียไปเมื่อไม่ไปเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 72 และ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2550 มาตรา 26 มีดังต่อไปนี้

1 สิทธิยื่นคําร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.

2 สิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ส. ส.ว.สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น

3 สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

38 ข้อใดคือกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา

(1) พระราชกําหนด

(2) พระราชกฤษฎีกา

(3) พระราชบัญญัติ

(4) พระราชอัธยาศัย

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 53), (คําบรรยาย) พระราชบัญญัติ หมายถึง กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่ต้อง ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของรัฐสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก่อน จึงนํา ขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

39 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีวาระการดํารงตําแหน่งกี่ปี

(1) 7 ปี

(2) 6 ปี

(3) 5 ปี

(4) 4 ปี

(5) 3 ปี

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 37) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 232 และ 233 กําหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจํานวน 9 คน ซึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคําแนะนําของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการ สรรหา โดยมีวาระการดํารงตําแหน่ง 7 ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว

40 ตําแหน่งใดต่อไปนี้ที่ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน

(1) ส.ส. ทุกคน

(2) ส.ว. ทุกคน

(3) อธิการบดี

(4) ปลัดกระทรวง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปลัดกระทรวงอธิการบดี รองอธิการบดี ฯลฯ

41 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ให้สิทธิประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างไร

(1) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 50,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(2) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าซื้อกันไม่น้อยกว่า 10,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(3) ประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 50,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(4) ประชาชนเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 10,000 ชื่อ เสนอขอแก้ไข

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ผู้มีสิทธิเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 คณะรัฐมนตรี

2 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

3 ส.ส. และ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

4 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

42 ข้อใดเป็นเกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย

(1) ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง

(2) ความเข้มแข็งของภาคประชาชน

(3) ความสามารถในการตรวจสอบนักการเมืองของ ป.ป.ช.

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14) เกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตย ได้แก่

1 ความพร้อมรับผิดชอบทางการเมือง (Political Accountability)

2 การแข่งขันทางการเมือง (Political Competition)

3 ความมีเสรีภาพทางการเมือง (Political Freedom)

4 ความเสมอภาคทางการเมือง (Political Equality)

43 การปฏิรูปประเทศ เป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใด (1) พ.ศ. 2540

(2) พ.ศ. 2550

(3) พ.ศ. 2557

(4) พ.ศ. 2560

(5) ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) “การปฏิรูปประเทศ” เป็นหมวด 16 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งการปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผลดังนี้ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจและด้านอื่น ๆ

44 หลักการประชาพิจารณ์ไม่ใช่ข้อใดต่อไปนี้

(1) ต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับประชาชน

(2) รัฐตัดสินใจดําเนินโครงการแล้วจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (3) รัฐผูกพันต้องปฏิบัติตามความคิดเห็นของประชาชน

(4) ข้อ 1 และ 3

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) หลักการของการทําประชาพิจารณ์ มีดังนี้

1 จะต้องกระทําก่อนการตัดสินใจดําเนินโครงการ

2 มีการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ที่สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

3 มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลกับประชาชน

4 การดําเนินการประชาพิจารณ์ต้องเป็นไปโดยเที่ยงตรงและเปิดเผย

5 ข้อสรุปจากการทําประชาพิจารณ์เป็นเพียงข้อเสนอแนะ หน่วยงานของรัฐไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม

45 ข้อใดคือประชาธิปไตยทางตรง

(1) การรับฟังความคิดเห็นจากประธานชุมชน

(2) การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(3) การสรรหาวุฒิสภา

(4) การรับฟังข่าวสาร

(5) การไปลงประชามติ

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) เป็นรูปแบบการปกครองโดยที่พลเมืองสามารถมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจใด ๆ ได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยคนกลางหรือผู้ทําหน้าที่แทนตน เช่น การไปลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมาย การถอดถอนผู้ได้รัน คือกตั้ง เป็นต้น

46 การกําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายน้อยลง แสดงนัยยะอะไร

(1) อํานาจของประชาชนมากขึ้น

(2) อํานาจของประชาชนน้อยลง

(3) โอกาสการเข้ามีส่วนร่วมในการปกครองน้อยลง

(4) ไม่มีนัยยะสําคัญ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) สามารถแสดงออกผ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ในหลายลักษณะ เช่น

1 กําหนดสัดส่วนของตัวแทนประชาชนในรัฐสภาให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงมากที่สุด

2 กําหนดจํานวนประชาชนที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีจํานวนน้อยลง (แสดงนัยยะสําคัญว่าอํานาจของประชาชนมากขึ้น) เป็นต้น

47 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อกันจํานวนเท่าใด จึงสามารถเสนอเรื่องให้ถอดถอนบุคคลออกจากตําแหน่งได้

(1) ไม่น้อยกว่า 10,000 คน

(2) ไม่น้อยกว่า 20,000 คน

(3) ไม่น้อยกว่า 50,000 คน

(4) ประชาชนไม่มีสิทธิยื่นถอดถอน

(5) ไม่จํากัดจํานวน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 49), (คําบรรยาย) ผู้มีสิทธิเสนอเรื่องให้ถอดถอนบุคคลออกจากตําแหน่งได้ตามรัฐธรรมนูญฯ 2550 มีดังนี้

1 ส.ส. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

2 ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

3 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน

48 ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว หลังได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องรอกี่วัน ก่อนนําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายให้พระมหากษัตริย์พิจารณา

(1) 20 วัน

(2) 15 วัน

(3) 10 วัน

(4) 5 วัน

(5) ให้นําขึ้นทูลเกล้าในวันถัดไปทันที

ตอบ 4 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 145 กําหนดให้ ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีรอไว้ 5 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา ถ้าไม่มีกรณีต้องดําเนินการตามมาตรา 148 ให้นําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 20 วันนับแต่วันพ้นกําหนดเวลาดังกล่าว

49 การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของสภาผู้แทนราษฎร โดยการยื่นญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 นั้นต้องให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อกันจํานวนเท่าใดของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่อยู่ในสภาผู้แทนฯ

(1) 2 ใน 3

(2) กึ่งหนึ่ง

(3) 1 ใน 5

(4) 3 ใน 5

(5) 1 ใน 3

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 46) รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 151 วรรค 1 กําหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ สภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ

50 รัฐธรรมนูญฉบับใดที่ถูกเรียกว่า “รัฐธรรมนูญใต้ทุ่ม”

(1) 2489

(2) 2490

(3) 2502

(4) 2517

(5) 2534

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 71) รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2490 ถูกเรียกว่า รัฐธรรมนูญใต้ตุ่มหรือตุ่มแดง ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่ทําการร่าง น.อ.กาจ กาจสงคราม ผู้อํานวยการร่างได้นําไป ซ่อนไว้ใต้ตุ่มในบ้าน โดยเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลค้นพบและกล่าวหาว่าเป็นกบฏ

51 วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการปฏิวัติ/รัฐประหารของใคร

(1) คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ

(2) คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(3) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ

(4) คณะปฏิรูปการปกครองและสร้างความปรองดองแห่งชาติ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24, 64) การรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งประกอบด้วย กองทัพบก กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ

52 “House of Lords” เป็นสภาสูงของประเทศอะไร

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) ฝรั่งเศส

(3) จีน

(4) อังกฤษ

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 78 – 80) รัฐสภาของประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย 2 สภา คือ

1 วุฒิสภา (สภาสูง) ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “สภาขุนนาง” (House of Lords)

2 สภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “สภาสามัญชน” (House of Commons)

53 ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้มาจากการเลือกของใคร

(1) วุฒิสภา

(2) ผู้แทนราษฎร

(3) ประชาชนโดยตรง

(4) คณะผู้เลือกตั้ง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 80), (คําบรรยาย) ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านกลุ่มคนที่เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) ทําหน้าที่ตัดสินชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้นําประเทศ แทนการให้ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งโดยตรงโดยแต่ละรัฐจะมีจํานวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับจํานวนประชากรของรัฐนั้น ๆ

54 ข้อใดไม่ใช่หลักการขององค์กรอิสระ

(1) มีอิสระในเรื่องงบประมาณ

(2) ปราศจากอคติ

(3) มีความเที่ยงธรรม

(4) ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 32 – 33) หลักการสําคัญขององค์กรอิสระ ได้แก่

1 ความเป็นอิสระ เช่น มีอิสระในเรื่องงบประมาณ ที่มาและการเข้าสู่ตําแหน่งการกําหนดนโยบายและการดําเนินงาน เป็นต้น

2 ความเป็นกลาง เช่น ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง ปราศจากอคติ เป็นต้น

3 ดํารงความยุติธรรม เช่น มีความเที่ยงธรรม ชอบธรรม เป็นต้น

55 “พฤฒสภา” คือชื่อเดิมขององค์กรใด

(1) องคมนตรี

(2) วุฒิสภา

(3) สภาผู้แทนราษฎร

(4) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(5) สภาปฏิรูปแห่งชาติ

ตอบ 2 หน้า 138, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23) วุฒิสภาเกิดขึ้นครั้งแรกในชื่อ “พฤฒสภา”ซึ่งกําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ 2489 และต่อมาในรัฐธรรมนูญฯ 2490 จึงเปลี่ยนเป็น “วุฒิสภา” ” โดยพบว่าที่มาของ ส.ว. ตั้งแต่เริ่มปรากฏจนกระทั่งปัจจุบันนั้นรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกําหนดให้ มาจากการแต่งตั้ง ยกเว้นรัฐธรรมนูญฯ 2540 (มาจากการเลือกตั้ง) รัฐธรรมนูญฯ 2550 (มาจาก การเลือกตั้งและสรรหา) และรัฐธรรมนูญฯ 2560 (มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม)

56 ข้อไม่ใช่หน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(1) ระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

(2) กําหนดวันเลือกตั้งและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น

(3) ถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง

(4) ยกเลิกการเลือกตั้ง

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 36) อํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 จัดหรือดําเนินการให้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. การเลือก ส.ว. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และการออกเสียงประชามติ

2 ควบคุมดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

3 ยกเลิกการเลือกตั้งหรือการเลือก หรือการออกเสียงประชามติ

4 ระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

5 ยื่นคําร้องต่อศาลฎีกาให้สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ฯลฯ

57 ข้อใดเป็นคุณสมบัติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

(1) เป็นผู้มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์

(2) รับราชการในตําแหน่งอธิบดีผู้พิพากษามาแล้ว 3 ปี

(3) เป็นผู้มีความชํานาญด้านการเงินการคลังมาแล้ว 5 ปี

(4) เคยประกอบวิชาชีพกฎหมายมาแล้ว 10 ปี

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 37 – 38) คุณสมบัติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีดังนี้

1 เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

2 รับราชการหรือเคยรับราชการในตําแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี

3 เป็นผู้มีความชํานาญด้านบริหาร การเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจ ในระดับไม่ต่ำกว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจํากัดมาแล้วไม่น้อยกว่า 20 ปี

4 เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับ โดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อ ฯลฯ

58 กบฎนายสิบ เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ใด

(1) 2476

(2) 2478

(3) 2481

(4) 2491

(5) 2492

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 63) กบฏที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้แก่

1 กบฏบวรเดช (11 ตุลาคม 2476)

2 กบฏนายสิบ (3 สิงหาคม 2478)

3 กบฏพระยาทรงสุรเดช (29 มกราคม 2481)

4 กบฏเสนาธิการ (1 ตุลาคม 2491)

5 กบฏวังหลวง (26 กุมภาพันธ์ 2492) ฯลฯ

59 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 สภานิติบัญญัติแห่งชาติสามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดย

(1) การอภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจ

(2) การอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ

(3) การประชุมลับ

(4) การตั้งกระทู้ถาม

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 5 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 มาตรา 16 กําหนดให้ ในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติสมาชิกทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใดอันเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้ เมื่อมีปัญหาสําคัญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด จะเข้าชื่อ เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงจากคณะรัฐมนตรีก็ได้ แต่จะลงมติไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจมิได้

60 อริสโตเติลไม่นิยมชมชอบแนวการปกครองแบบใด

(1) ราชาธิปไตย

(2) คณาธิปไตย

(3) อภิชนาธิปไตย

(4) Polity

(5) ประชาธิปไตย

ตอบ 5 (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ไม่นิยมชมชอบแนวการปกครองแบบประชาธิปไตย(Democracy) เพราะเชื่อว่าการปกครองโดยคนหลายคนโดยเฉพาะคนจน ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่นั้นจะทําให้ขาดความมีระเบียบวินัย และก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม

 

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามข้อ

61 – 70

(1) ถูก

(2) ผิด

 

61 หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรีมาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ยังคงอยู่

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ 2560 วรรค 2 กําหนดให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) 2557 นั่นแสดงว่า หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ 2560 อํานาจของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ยังคงอยู่

62 การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 จะกระทําไม่ได้ถ้ามีวุฒิสมาชิกเห็นชอบจํานวนน้อยกว่า 1 ใน 3 ของวุฒิสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา

ตอบ 1 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 256 (3) กําหนดให้ การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วย ในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภา (วุฒิสมาชิก) เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

63 พระราชกฤษฎีกาสามารถออกมาเพื่อใช้กับฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียวไม่บังคับกับประชาชนทั่วไปได้

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 58) การตราพระราชกฤษฎีกา แบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ

1 พระราชกฤษฎีกาที่รัฐธรรมนูญกําหนดให้ตราพระราชกฤษฎีกาในกิจการที่สําคัญอันเกี่ยวกับ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

2 พระราชกฤษฎีกาที่ออกมาเพื่อใช้กับฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียวไม่บังคับใช้กับประชาชนทั่วไป

3 พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายแม่บท

64 โทมัส ฮอบส์ เชื่อว่าเมื่อประชาชนมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์แล้วสามารถเพิกถอนได้

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9) โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เชื่อว่า เมื่อทุกคนให้อํานาจกับองค์อธิปัตย์แล้วไม่มีสิทธิที่จะต่อต้านอํานาจของเขาไม่ว่าเขาจะควบคุมชีวิตเรา มากแค่ไหนก็ตาม เพราะองค์อธิปัตย์เท่านั้นที่จะทําให้เราไม่ต้องกลับไปอยู่ในภาวะธรรมชาติอีก ดังนั้นสัญญาประชาคมจึงเป็นสัญญาที่มิอาจถอนคืน ต่อต้าน ตั้งคําถามหรือตรวจสอบใด ๆ ได้

65 “หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร” เคยถูกขุดขึ้นมาก่อน

ตอบ 1 (คําบรรยาย) หมุดก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญหรือหมุดคณะราษฎร เป็นหมุดทองเหลืองฝังอยู่กับพื้นถนนบนลานพระบรมรูปทรงม้าด้านสนามเสือป่า ซึ่งภายหลังได้ถูกปรับเปลี่ยนและเคยถูกขุด ขึ้นมาหลายครั้ง เช่น มีการนําสีดํามาราดทับ ถูกขีดจนเป็นรอยจํานวนมาก เคยถูกขุดและหายไปใน สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถูกนํากลับมาในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นต้น

66 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ข้าราชการไม่สามารถดํารงตําแหน่งวุฒิสภาได้ ยกเว้นเฉพาะในวาระแรกเท่านั้น

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (คําบรรยาย) ลักษณะต้องห้ามของผู้ดํารงตําแหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฯ 2560 มีดังนี้

1 เป็นข้าราชการ

2 เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

3.เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ฯลฯ

ยกเว้นเฉพาะในวาระแรก เท่านั้นที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถเป็นข้าราชการ/ดํารงตําแหน่งหรือหน้าที่ในหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นผู้บริหารท้องถิ่นได้

67 จอห์น ล็อค และโทมัส ฮอบส์ เห็นว่าสภาพธรรมชาติ (State of Nature) เป็นสภาวะสงคราม

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9) โทมัส ฮอบส์ เห็นว่า ภาวะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นภาวะสงคราม แต่สําหรับ จอห์น ล็อค กลับเห็นว่าภาวะธรรมชาติของมนุษย์เป็นภาวะที่มนุษย์มีความสมบูรณ์และมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการโดยคนอื่นไม่สามารถเข้ามารุกล้ำได้

68 รัฐสภาของอังกฤษสามารถยกเลิกกฎหมายของรัฐสภาสกอตแลนด์ได้

ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐสภาสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) สามารถยกเลิกกฎหมายของสถาบันนิติบัญญัติลําดับรองได้ ซึ่งสถาบันนิติบัญญัติลําดับรองได้แก่ รัฐสภาสกอตแลนด์ รัฐสภาแห่งเวลส์ และรัฐสภาไอร์แลนด์เหนือ

69 องค์กรที่มีอํานาจถอดถอนนายกรัฐมนตรีคือวุฒิสภา

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 49) รัฐธรรมนูญฯ 2550 มาตรา 270 วรรค 1 กําหนดให้ผู้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด. วุฒิสภามีอํานาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตําแหน่งได้

70 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 นั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ได้มีคําสั่งแต่งตั้งกรรมการ ยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน จํานวน 70 คน มีวาระการดํารงตําแหน่ง 5 ปี โดยให้ได้รับค่าตอบแทนค่าใช้จ่ายและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกําหนด

 

ข้อ 71 – 87 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการ ให้นักศึกษาพิจารณา 2 ข้อความ แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความที่ 1 ถูก และข้อความที่ 2 ผิด

(2) ถ้าข้อความที่ 1 ผิด และข้อความที่ 2 ถูก

(3) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ถูกทั้งสองข้อ

(4) ถ้าข้อความที่ 1 และข้อความที่ 2 ผิดทั้งสองข้อ

 

71 (1) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีอํานาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ

(2) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 บัญญัติให้กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 1 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 1 และ 8 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจเลือกสมาชิกเต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ… กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจํานวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของ

– จํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร

72 (1) การดําเนินการของคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคหนึ่ง

(2) กรณีคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ จะต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 128 วรรคสอง ด้วย

ตอบ 3 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 128 วรรค 1 และ 2 กําหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอํานาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด… ในส่วนที่เกี่ยวกับ การตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่า มีสาระสําคัญเกี่ยวกับ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือคนพิการหรือทุพพลภาพ ต้องกําหนดให้ บุคคลประเภทดังกล่าวหรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทํางานเกี่ยวกับบุคคลประเภทนั้นโดยตรงร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วย

73 (1) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ : (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภามีบทบาทเท่ากับเป็นรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

ตอบ 3 หน้า 77, (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่สําคัญของฝ่ายนิติบัญญัติในรูปรัฐสภาประการหนึ่ง คือ การแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (Committee) เพื่อพิจารณาปัญหากฎหมายเฉพาะเรื่อง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อสอดคล้องกับงานหลายฝ่ายของรัฐบาล โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภานั้นจะมีบทบาทคล้ายกับรัฐสภาขนาดเล็ก (Little Legislature)

74 (1) การแบ่งประเภทของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ได้แบ่งตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ เช่น

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย หรือการพิจารณาร่างกฎหมาย

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารการพัฒนา

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตรา และสอดคล้องการปฏิบัติงานรัฐบาล

(2) คณะกรรมาธิการในรัฐสภา อาจมีการแต่งตั้งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

ตอบ 2 หน้า 77, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27, 31) คณะกรรมาธิการในรัฐสภามี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ คณะกรรมาธิการสามัญ และคณะกรรมาธิการวิสามัญ นอกจากนี้เราอาจจะแบ่งประเภท ของคณะกรรมาธิการในรัฐสภาได้ตามกิจกรรมที่ถือปฏิบัติอยู่ ดังนี้

1 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการร่างพระราชบัญญัติ หรือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ

2 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานคลัง

3 คณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการสอบสวน ตรวจตราสอดส่องการปฏิบัติงานของรัฐบาล เป็นต้น

75 (1) ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนา คณะกรรมาธิการมักมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติอย่างชัดแจ้งโดยเฉพาะความสามารถในการทํางานอย่างรวดเร็ว

(2) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการ เนื่องจากการทํางานของรัฐสภาตามความเป็นจริงนั้นจําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับหลักความต้องการของนักการเมือง

ตอบ 4  (คําบรรยาย) เหตุผลของการที่ต้องมีคณะกรรมาธิการมีอยู่ 4 ประการ คือ

1 เพื่อการแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

2 จําเป็นต้องผสมผสานหลักทางเทคนิคกับความต้องการของราษฎร

3 เป็นการละลายความเป็นพรรคการเมือง

4 การสอบสวนข้อเท็จจริงและรับเรื่องราวร้องทุกข์ (ถือเป็น “หน้าที่พิเศษ” ของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย) ซึ่งในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนานั้นพบว่า คณะกรรมาธิการมักไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อกระบวนการนิติบัญญัติมากนัก เนื่องจากความสามารถในการทํางานค่อนข้างต่ำ

76 (1) การทํางานในขั้น “คณะกรรมาธิการ” ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง

(2) “หน้าที่พิเศษ” ที่ถือว่าเป็นหน้าที่ประจําตามปกติธรรมดาของคณะกรรมาธิการในประเทศไทย คือ การแสวงหาข้อมูลและกลั่นกรองเรื่องให้สภา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) “การละลายความเป็นพรรคการเมือง” หนึ่งในเหตุผลของการที่ต้องมี

– คณะกรรมาธิการนั้นพบว่า การทํางานในขั้นคณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญ แม้จะเป็นสมาชิกสภาต่างจากพรรคการเมืองก็ตาม เมื่อต้องมาทํางานในกรรมาธิการชุดเดียวกันมักจะมีบรรยากาศของความปรองดอง (ดูคําอธิบายข้อ 75 ประกอบ)

77 (1) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยรัฐสภา

(2) การปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการ ไม่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ที่ผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใดมิได้

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมาธิการทั่วโลกมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ

1 แต่งตั้งโดยผู้ที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาของรัฐสภา

2 แต่งตั้งโดยคณะกรรมาธิการพิเศษที่มีอํานาจในการคัดเลือก

3 แต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการนั้นถือว่าเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาดผู้ใดจะนําไปฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้

78 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการ เป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็นผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้

(2) กรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรส จะได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก ความเหมาะสมต่อหน้าที่ ความมีอาวุโสเป็นหลัก

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาได้เปิดโอกาสให้มีการใช้ “ตําแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการ” เป็นรางวัลตอบแทนแก่สมาชิกสภาอยู่แทนทําหน้าที่เป็น ผลประโยชน์แก่พรรคการเมืองได้ ส่วนคณะกรรมาธิการแต่ละคณะในสภาคองเกรสนั้นจะ ได้รับเลือกเข้าดํารงตําแหน่งกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก ความเหมาะสมต่อหน้าที่ และความมีอาวุโสเป็นหลัก

79 (1) ในระบบรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา หากเป็นร่างรัฐบัญญัติธรรมดาเข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้วคณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session)เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญคณะกรรมาธิการร่วม คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา และคณะกรรมาธิการเต็มสภา

ตอบ 2 หน้า 84, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 84), (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

3 คณะกรรมาธิการร่วม

4 คณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา

5 คณะกรรมาธิการเต็มสภา ซึ่งในระบบรัฐสภาของสหรัฐฯ หากเป็นร่างรัฐบัญญัติที่มีความสลับซับซ้อน (เรื่องใหญ่ เรื่องที่ประชาชนสนใจมาก) เข้าสู่คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องแล้ว คณะกรรมาธิการจะสามารถทําการจัดประชุมที่เรียกว่า การประชุมลับ (Executive Session) เพื่อที่จะกําหนดระเบียบวาระได้

80 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภา คณะกรรมาธิการสามัญคณะกรรมาธิการร่วม และคณะกรรมาธิการร่วมพระราชบัญญัติมหาชน

(2) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมาธิการสามัญ สกอต (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาอังกฤษ มี 5 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการเต็มสภา

2 คณะกรรมาธิการสามัญ

3 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

4 คณะกรรมาธิการร่วม

5 คณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติเอกชน

นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมาธิการชุดพิเศษชุดหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมาธิการสามัญสกอต” (Scottish Standing Committee) ซึ่งมีกรรมาธิการทุกคนเป็นชาวสกอต และทําหน้าที่พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสกอตแลนด์เท่านั้น

81 (1) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้ 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

(2) คณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ จะเป็นคณะกรรมาธิการที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนาง เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการวิสามัญ (Select Committee) ของรัฐสภาอังกฤษ สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสมัยประชุม

2 คณะกรรมาธิการชั่วคราว

3 คณะกรรมาธิการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ

ส่วนคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee) ของรัฐสภาอังกฤษนั้นจะเป็นคณะกรรมาธิการที่ได้รับแต่งตั้งมาจากสภาสามัญและสภาขุนนางเพื่อร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง

82 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส จะประกอบด้วยคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม

(2) คณะกรรมาธิการสามัญของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของฝรั่งเศส มี 3 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องหลัก ๆ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบร่างกฎหมายตามที่รัฐบาลหรือสภาร้องขอให้พิจารณา

3 คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุม เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อสภา ซึ่งมักเข้าไป เกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

83 (1) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส เป็นคณะกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นเพื่อที่สภาจะสามารถดําเนินการสอบสวนหรือรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอข้อสรุปต่อประธานาธิบดี

(2) คณะกรรมาธิการสอบสวนและควบคุมของฝรั่งเศส มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่สําคัญและดําเนินงานเดียวกับกระทรวงการยุติธรรม และจะถูกยุบทันทีที่ศาลได้ดําเนินคดีในข้อเท็จจริงที่คณะกรรมาธิการพิจารณาอยู่

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84 (1) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติรายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน

(2) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่นอาจขอให้รัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระบบกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น สามารถเปิดให้มีการซักถามในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (Public Hearing) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติ รายได้ และร่างพระราชบัญญัติที่สําคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งอาจขอให้รัฐมนตรี หรือผู้แทนรัฐบาลชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการได้ ขณะเดียวกันรัฐมนตรีหรือผู้แทนรัฐบาลก็อาจจะขอเข้าพูดที่ประชุมคณะกรรมาธิการก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการขอมาก็ได้

85 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(2) ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาญี่ปุ่นจะมาจากการแต่งตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาญี่ปุ่น มี 2 ประเภท คือ

1 คณะกรรมาธิการสามัญ

2 คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญนั้นจะมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกในคณะกรรมาธิการด้วยกัน และในทางปฏิบัติจะได้รับการคัดเลือกโดยญัตติ ขอให้รับรองในคณะกรรมาธิการ

86 (1) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ)

(2) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสี่ บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกผู้พิพากษาหรือตุลาการมาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยเป็นแบบผสม คือมีทั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจําสภา (ระบบสหรัฐอเมริกา) และคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งตั้งขึ้นชั่วคราว (ระบบอังกฤษ) โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 4 บัญญัติให้อํานาจคณะกรรมาธิการ เรียกเอกสาร จากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทําหรือ ในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้ แต่การเรียกเช่นว่านั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการ

87 (1) คณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา จะต้องคํานึงถึงหลักการกระจายอํานาจเป็นหลัก

(2) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 129 วรรคสาม บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระบบคณะกรรมาธิการของรัฐสภาไทยนั้นมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมของสภา ซึ่งจะต้องคํานึงถึงหลักแบ่งงานกันทําเป็นหลัก โดยรัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 129 วรรค 3 บัญญัติเรื่องการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอํานาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทําการแทนมิได้

 

ข้อ 88 – 95 ให้นักศึกษาพิจารณาประเภทของคณะกรรมาธิการรัฐสภาไทย แล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) คณะกรรมาธิการสามัญ

(2) คณะกรรมาธิการวิสามัญ

(3) คณะกรรมาธิการร่วม

(4) คณะกรรมาธิการเต็มสภา

(5) คณะกรรมาธิการชั่วคราว

 

88 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27 – 28) คณะกรรมาธิการสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หรือคณะบุคคลที่ วุฒิสภาแต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น และตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการ ทํากิจการหรือเพื่อพิจาณาสอบสวน หรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

89 คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้

ตอบ 2 หน้า 118, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 31) คณะกรรมาธิการวิสามัญ หมายถึง คณะบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ หรือคณะบุคคล ที่วุฒิสภาแต่งตั้งจากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้ โดยจะแต่งตั้งขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรี ร้องขอ หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ และจะสลายตัวเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ

90 กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้

ตอบ 3 หน้า 118, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการร่วม หมายถึง กรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่งตั้งขึ้น จากผู้ที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ ซึ่งจะ เกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วยกับการเก้ไขของวุฒิสภา

91 คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธานในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ

ตอบ 4 หน้า 119, (คําบรรยาย) คณะกรรมาธิการเต็มสภา หมายถึง คณะกรรมาธิการที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการโดยประธาน ในที่ประชุมจะทําหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

92 คณะกรรมาธิการจะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีสภาได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 แล้ว

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 คณะกรรมาธิการ…จะเกิดขึ้นเฉพาะกรณีที่วุฒิสภามีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามิใช่เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจึงไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขของวุฒิสภา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90 ประกอบ

94 คณะกรรมาธิการแต่งตั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นญัตติขอให้ตั้ง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 89 ประกอบ

95 คณะกรรมาธิการ ตั้งไว้เป็นการถาวรตลอดอายุของสภา เพื่อการทํากิจการหรือเพื่อพิจารณาสอบสวนหรือศึกษาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในอํานาจหน้าที่ของรัฐสภาแล้วรายงานต่อสภา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 88 ประกอบ

 

ข้อ 96 – 100 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับกระบวนการนิติบัญญัติในฝ่ายนิติบัญญัติ : การตราพระราชบัญญัติ

ให้นักศึกษาพิจารณาข้อความแล้วใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ถ้าข้อความนี้ ถูก

(2) ถ้าข้อความนี้ ผิด

 

96 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 133 บัญญัติว่า ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย

1 คณะรัฐมนตรี

2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่า 20 คน

3 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน และต้องเป็นไปตามมาตรา 77 ด้วย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 27 ประกอบ

97 กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภา กรณีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดขั้นตอนเป็น 4 วาระ

คือ 1 ขั้นรับหลักการ 2 ขั้นพิจารณา 3 ขั้นแปรบัญญัติ 4 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 54 55) (คําบรรยาย) กระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภากรณีการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎรนั้นได้กําหนดขั้นตอนเป็น 3 วาระ คือ

1 ขั้นรับหลักการ

2 ขั้นพิจารณาหรือขั้นแปรญัตติ

3 ขั้นลงมติเห็นชอบให้ส่งต่อไปยังวุฒิสภา

98 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา กรณีเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทั่วไปต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 28 ประกอบ

99 หากประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติมีข้อความขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

ตอบ 2 รัฐธรรมนูญฯ 2560 มาตรา 148 (1) กําหนดให้ หาก ส.ส. ส.ว. หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตาม บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือ ประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

100 ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติ ก็ทรงมีอํานาจยับยั้งได้ โดยส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนมายังรัฐสภา หรือเก็บร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้โดยไม่ทรงพระราชทานคืนมายังรัฐสภา จนล่วงพ้นเวลา 90 วันไปแล้ว

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 36 ประกอบ

POL3101  วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3101  วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทั้ง 4 ข้อ แต่ละข้อต้องเขียนแสดงออกซึ่งความคิดเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน คาดหวังคําตอบข้อละประมาณ 3 – 5 หน้า

ข้อ 1 การเปรียบเทียบคืออะไร ทําอย่างไร ?

ทําไมจึงต้องศึกษาเปรียบเทียบ ?

ศึกษาอะไรบ้าง ?

มีประโยชน์อย่างไร ? มีความเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ อย่างไร ?

ศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในรัฐศาสตร์ คล้ายศึกษาอย่างไรในวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ?

คนในโลกมักเปรียบเทียบเรื่องใดมากที่สุด ?

โครงสร้าง คืออะไร ?

สําคัญอย่างไร ?

และจงเปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบตามแนวคิดของ David Easton กับของ Gabriel Almond อธิบายให้ละเอียดโดยยกตัวอย่างเกิดขึ้นจริงในชีวิต

สังคมการเมืองไทย

แนวคําตอบ

การเปรียบเทียบ คือ การศึกษาวิเคราะห์ความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคุณลักษณะ ต่าง ๆ ซึ่งการศึกษาเปรียบเทียบนั้นไม่จําเป็นในการตัดสินว่า ระบบการเมืองใดหรือสถาบันการเมืองใดดีที่สุด แต่เพื่อการเรียนรู้มากขึ้นว่า ทําไม (why) หรืออย่างไร (how) ในความเหมือนหรือความแตกต่าง และความเหมือน หรือความแตกต่างนั้นได้ส่งผลกระทบอะไรบ้าง

เหตุผลที่ต้องศึกษาเปรียบเทียบ ได้แก่

1 เพื่อให้เห็นสาระสําคัญของความเหมือนและความแตกต่างในประเด็นและรายละเอียด ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

2 เพื่อการเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น ทําให้เกิดความรู้ในเชิงเปรียบเทียบ (ความเหมือน – ความต่าง) การมองเห็นจุดแข็ง จุดอ่อน ก่อให้เกิดความรู้อย่างเป็นระบบ ซึ่งสามารถพยากรณ์ความโน้มเอียง ต่าง ๆ ที่จะเป็นไปในอนาคตได้ด้วย

3 การศึกษาเปรียบเทียบยิ่งกว้างขวาง ครอบคลุมมากเท่าใดก็ยิ่งก่อให้เกิดความรู้ความ เข้าใจที่ถูกต้องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

4 สามารถมองเห็นภาพรวมในการทํางานของระบบต่าง ๆ ได้ชัดเจน * ลักษณะการศึกษาเปรียบเทียบ พิจารณาได้จาก

1 ความเหมือนและความแตกต่าง

ความเหมือน (Similarities) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกัน หรือคล้ายกันของสิ่งที่นํามา เปรียบเทียบ ส่วนความแตกต่าง (Differences) จะเป็นลักษณะที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจมีลักษณะของความแตกต่างกันน้อย แตกต่างกันมาก หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น ดูว่ารัฐธรรมนูญฯ 2550 มีเนื้อหาใน – ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แตกต่างกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร เป็นต้น

โดยส่วนที่ซ่อนอยู่ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ก็คือ องค์ความรู้หรือข้อมูลนั่นเอง ถ้าเรามีความรู้เฉพาะรัฐธรรมนูญฯ 2550 เพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างก็ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากข้อมูลที่นํามา เปรียบเทียบมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น

2 หน่วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) คือ กรอบของการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษา ทางการเมือง เพื่อให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่แน่นอน ซึ่งก็คือ การเลือกหน่วยที่จะทําการเปรียบเทียบนั่นเอง โดยอาจจะเป็นปัจจัยบุคคล องค์กร สถาบัน หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้หลักความเหมือนหรือความแตกต่าง และใช้ปัจจัยดังกล่าวในการเปรียบเทียบ สําหรับตัวอย่างของหน่วยการวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น ผู้นํา บทบาท องค์กร สถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง เป็นต้น

หน่วยการวิเคราะห์นั้นถือว่ามีความสําคัญมากในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ เพราะจะทําให้สามารถศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากมุมมองในการอธิบายการเมืองนั้น มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก หากไม่มีหน่วยการวิเคราะห์ก็จะไม่ทราบว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหน หรืออาจทําให้ การวิเคราะห์ไม่มีกรอบที่ชัดเจน ซึ่งทําให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน :

– ผู้ศึกษาจะต้องตั้งปัญหาพื้นฐานถามตัวเองก่อนว่า ควรจะนําหน่วยการวิเคราะห์อะไร มาใช้ในการศึกษาทางการเมือง เช่น ถ้าต้องการจะศึกษาผู้นํา หน่วยการวิเคราะห์ก็คือ ตัวผู้นํา โดยอาจจะมุ่งไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปรียบเทียบความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนในแง่ของ บุคลิกภาพ ดังนั้นหน่วยการวิเคราะห์ตรงนี้ก็คือตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่าในการศึกษาเปรียบเทียบ อาจจะวิเคราะห์หน่วยเหนือขึ้นไป เช่น กลุ่มทางสังคม สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ

3 ระดับการวิเคราะห์

ระดับการวิเคราะห์ (Level of Analysis) เป็นการจัดชั้นและระดับของระบบการเมือง เพื่อทําให้เกิดความชัดเจนที่ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ถึงหน้าที่และโครงสร้างของระบบการเมืองนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การแบ่งระดับการเมืองไทยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น

– ในการเปรียบเทียบที่มีการจัดระดับในการวิเคราะห์นั้น จะทําให้การศึกษาเปรียบเทียบ สามารถมองเห็นหรือเปรียบเทียบให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นได้ ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้นจะต้องเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

4 การแจกแจงข้อมูล

การแจกแจงข้อมูล (Classification) เป็นการจัดระบบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อจะ ทําให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือน (Similarities) และความแตกต่าง (Differences) ของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดทิศทางในการเลือกสรร การรวบรวม การจัดระบบระเบียบของข้อมูล และสร้าง กรอบความคิด ยุทธวิธีในการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การศึกษาข้อมูลในเรื่องการมีส่วนร่วม ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อมูลที่ได้ควรจะต้องมีการจัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ในการ เลือกตั้ง การเสนอกฎหมาย ฯลฯ โดยจะต้องใช้ข้อมูลที่มีการแจกแจงอย่างเดียวกันมาพิจารณา

สิ่งที่มักนํามาศึกษาเปรียบเทียบ

1 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการเมือง

2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

4 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ

6 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

7 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมือง

8 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง

9 การวิเคราะห์เปรียบเทียบสภาผู้แทนราษฎร

10 การวิเคราะห์เปรียบเทียบวุฒิสภา เป็นต้น

ประโยชน์ของการเปรียบเทียบ

1 ช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นการเมืองและการปกครองของประเทศอื่นได้ชัดเจนและลึกซึ้ง ยิ่งขึ้น อันจะนํามาสู่ความเข้าใจต่อการเมืองของประเทศตัวเองที่ดีกว่าเดิม เมื่อผู้ศึกษาสามารถเชื่อมโยงอิทธิพล ความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างประเทศเหล่านั้นกับประเทศตัวเองได้

2 ช่วยให้ผู้ศึกษาหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อชาติตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentrism) ใน การตัดสินผู้อื่น อันนําไปสู่การเปิดใจกว้างต่อการปกครองที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพราะรูปแบบการเมืองและการ ปกครองของประเทศที่ผู้ศึกษาอาศัยอยู่นั้นไม่ได้มีลักษณะเฉพาะตัวมาตั้งแต่ต้น หากแต่ได้รับอิทธิพลและได้ ผสมผสานกับรูปแบบการเมืองการปกครองของประเทศอื่นมานาน

3 ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจภาวะปัจจุบัน รวมไปถึงกฎเกณฑ์สากลเกี่ยวกับการเมืองโลก

4 ช่วยให้ผู้ศึกษามีทางเลือกหรือการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่หลากหลายกว่าเดิมจาก การเรียนรู้ถึงบริบท และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศต่าง ๆ เป็นต้น

ในส่วนของความเป็นศาสตร์นั้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือเป็นสังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่ง ไม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษาเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัยรูปแบบ แบบแผน พฤติกรรม และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคมหรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบ การเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดเครื่องมือหนึ่งของวิชา รัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากความคิดและสติปัญญา โดยการตรึกตรองและ การวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผล ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตัวแปรที่ควบคุมได้ แล้วจึงทําการทดสอบเพื่อหาข้อสรุป ที่ต้องการ

2 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้ทําการศึกษา ซึ่งได้แก่ การดู การฟัง การสัมผัส เป็นต้น โดยจะต้องปลอดจากค่านิยมหรือตัดอคติออกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้

ความคล้ายของการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบในรัฐศาสตร์และการศึกษาในวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์

1 การเลือกปัญหา (Problem Selection) จะเกี่ยวพันกับการสร้างทฤษฎีเพื่อเป็น องค์ประกอบของการสร้างปัญหาที่จะวิเคราะห์ว่าปัญหานั้น ๆ ควรมีตัวแปรอะไรเข้าไปเกี่ยวพันบ้าง และเมื่อมี ตัวแปรเหล่านั้นแล้วจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์อะไรบ้าง ผู้ที่จะสร้างทฤษฎีทางสังคมจะต้องเลือกปัญหาที่มี ผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในสังคม และต้องเป็นประเด็นที่คนส่วนมากให้ความสนใจ ผู้เลือกปัญหามาศึกษา จะต้องเป็นผู้มีจิตนาการที่กว้างไกลและมีความสํานึกต่อปัญหาสังคมนั้น ทั้งนี้เพราะปัญหาสังคมที่ล้ำลึกบางครั้งเกิดจากสภาพสามัญสํานึกของนักทฤษฎีที่มีความรู้สึกว่าประเด็นนั้น ๆ สําคัญนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ บุคคล ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบจะต้องอาศัยทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ทางสังคมเข้ามาช่วยอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคม

2 การสังเกตอย่างเป็นระบบ (Systematic Observation) จะช่วยในการสร้างตัวแบบใน การเปรียบเทียบ ซึ่งจะต้องมีการจัดลําดับข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ และที่สําคัญจะต้องมีการพรรณนาข้อมูลที่ได้มา ในเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ นักสังคมศาสตร์นั้น ๆ จะต้องเป็นผู้มีจินตนาการ รู้จักจัดสรรข้อมูล และที่สําคัญจะต้อง สามารถอธิบายข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างเป็นระบบ มิใช่แต่นักวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่จะต้องมีความสามารถในการ พรรณนาข้อมูลที่ค้นคว้ามา นักเคมี นักชีววิทยา และนักฟิสิกส์ก็จะต้องมีความสามารถในการสังเกตและพรรณนา ข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตอย่างเป็นระบบด้วย เมื่อข้อมูลที่จัดเก็บมาอย่างเป็นระบบนั้นถูกนํามาวิเคราะห์ ก็จะ สามารถตั้งเป็นสมมุติฐานและทําการทดสอบต่อไปได้นั่นเอง

คนในโลกมักเปรียบเทียบในประเด็นที่สําคัญดังนี้

1 การพัฒนา ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน และชี้วัดความเป็นอยู่ของประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการพัฒนานั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ เช่น

– การพัฒนาเศรษฐกิจ คือ การทําให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจและสังคม

– การพัฒนาการศึกษา คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการ เรียนรู้ของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา

– การพัฒนาสังคม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สุขภาพอนามัย การศึกษา การมีงานทํา มีรายได้เพียงพอในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนอย่างมีระบบ

2 ความเป็นประชาธิปไตย ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ คือ ต้องยึดถืออํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องมีการเลือกตั้ง ยึดหลักของเสียงข้างมาก สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพและการรับฟัง ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง มีเสรีภาพ ในการแสดงออก มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณา ความเป็นประชาธิปไตยได้จากเรื่องต่าง ๆ เช่น

– หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ การบริหารกิจการบ้านเมืองและ สังคมที่ดี เป็นแนวทางสําคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึง ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรู้รักสามัคคี และ รวมกันเป็นพลังก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหลักธรรมาภิบาลนั้นจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้ หลักความคุ้มค่า และ หลักคุณธรรม

– หลักสิทธิมนุษยชน (Human Right) คือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและ การกระทําที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิที่ได้มาพร้อมกับการเกิด และเป็นสิทธิติดตัวบุคคลนั้น ตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ในเขตปกครองใด หรือเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ ซึ่งไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในชีวิต เป็นต้น

3 สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน และเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผลกระทบ

จากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทําลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมยังถือว่าเป็น – วงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ สิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา น้ำ ดิน ฟ้า อากาศ ทรัพยากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน เทคโนโลยี

การตัดต่อพันธุกรรม ชุมชนเมือง ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมศาสนา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

โครงสร้าง คือ แบบแผนของกิจกรรมที่ทํากันสม่ำเสมอ โดยผู้ที่กระทํากิจกรรมจะมีบทบาท แตกต่างกันไป แต่เมื่อรวมบทบาทของกิจกรรมเหล่านี้เข้าด้วยกันจะได้เป็นโครงสร้างนั้น ๆ เช่น โครงสร้างของรัฐสภา ประกอบด้วย ประธานสภา รองประธานสภา เลขาธิการ และสมาชิก ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีบทบาทแตกต่างกันไป แต่เมื่อ เรารวมเอาบทบาทของส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว เราก็จะได้โครงสร้างของรัฐสภานั้นเอง

– โครงสร้างก็เปรียบได้กับสรีระร่างกายของคน ส่วนภายในสรีระนั้นก็ประกอบด้วยหน้าที่ต่าง ๆ เช่น ระบบการหายใจ ระบบหมุนเวียนของเลือด ระบบการขับถ่าย ระบบของการย่อย ระบบการเคลื่อนไหว เป็นต้น ซึ่งการทําหน้าที่ของระบบต่าง ๆ เหล่านี้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพื่อทําให้โครงสร้างสามารถดํารงอยู่ได้

เปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบของ David Easton และ Gabriel Almond David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มี ความสัมพันธ์เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสร้างระบบที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และพฤติกรรมของระบบการเมืองได้

1 ปัจจัยนําเข้า (Input) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1) การเรียกร้อง (Demand) อาจจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของการเรียกร้องเอง เช่น กรณีประชาชนที่เดือดร้อน ในเรื่องที่ทํากินและปัญหาหนี้นอกระบบ ถ้าประชาชนเพียงคนเดียวเรียกร้องรัฐบาลอาจจะไม่รับฟัง หรือรับฟังแต่ไม่ ตอบสนอง ในทางตรงกันข้าม ถ้าประชาชนจํานวนมากรวมตัวกันเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชุมนุมเดินขบวนปิดถนน ฯลฯ ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็จะมีผลเกิดขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนําไปพิจารณาต่อไป

2) การสนับสนุน (Support) สามารถแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ

– การสนับสนุนประชาคมทางการเมือง คือ การที่สมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในระบบการเมือง มีความผูกพันกันในแง่ของความตั้งใจร่วมมือร่วมแรงกันในการแก้ไขปัญหาของระบบการเมือง ซึ่งจะแสดงออกโดยการแบ่งงานกันทํา เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนักศึกษา กลุ่มสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุน ประชาคมทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคมร่วมกันนั่นเอง

– การสนับสนุนระบอบการเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง ความชอบธรรมของระบอบการเมืองในการทําให้สมาชิกยอมรับ เช่น ระบอบประชาธิปไตยมีความชอบธรรมที่จะ ให้สมาชิกของสังคมยอมรับในกฎกติกา รัฐธรรมนูญ และรูปแบบการปกครองด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามระบอบ การเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนจะมีผลเสียอย่างมาก นั่นคือ มีผลทําให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรง เกิดจลาจลขึ้นได้

– การสนับสนุนผู้มีอํานาจหน้าที่ทางการเมือง หมายถึง การสนับสนุนบุคคล ที่เข้าไปทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือรัฐบาล โดยดูจากความพึงพอใจของสมาชิกต่อการตัดสินใจของระบบ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ํามัน หรือดูจากความพอใจต่อนโยบาย รถยนต์คันแรก เป็นต้น

2 ระบบการเมือง (System) ประกอบด้วย

1) ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) ทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งต่อไปสู่ระบบ การเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างผู้เฝ้าประตู เช่น กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นต้น

2) รัฐบาลหรือรัฐสภา ผู้ตัดสินใจ)

3 ปัจจัยนําออก (Output) อาจสรุปได้ดังนี้ คือ

1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบ การเมือง เช่น เศรษฐกิจตกต่ํา อัตราการว่างงานสูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเมือง

2) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการเมืองเอง ซึ่ง Output ประเภทนี้จะมีผล ต่อระบบการเมืองและสภาพแวดล้อมของระบบ

จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ผ่านออกมาจากระบบนั้น จะมีลักษณะบังคับ เช่น ประกาศ คําสั่ง ข้อบังคับ กฎหมาย ฯลฯ นอกจากนี้การดําเนินการยังมีผลผูกพันเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยประโยชน์และ ความสะดวกแก่คนบางกลุ่มในระบบนั้นเอง

4 การสะท้อนป้อนกลับ (Feedback) ก็คือ การป้อนข้อมูลย้อนกลับเพื่อนํามาสู่กระบวนการ Input อีกครั้งหนึ่งว่า Output ที่ออกไปนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

5 สิ่งแวดล้อม (Environment) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิด กับระบบการเมืองมาก ประกอบด้วย

– สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสภาพทั่วไป เช่น อาคาร สิ่งปลูกสร้างชุมชน ถนน ลําคลอง ฯลฯ

– สิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความมีเหตุผลการร่วมมือร่วมใจกัน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

– สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาและสังคม ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมในสังคม โครงสร้างทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างด้านประชากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำของโลก ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

ส่วน Almond นั้นเชื่อว่าถ้าผู้ศึกษาเปรียบเทียบให้ความสําคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและการ แสดงออกของคนจะช่วยให้การศึกษาเปรียบเทียบก้าวสู่ขั้นที่ก้าวหน้าไปจากการศึกษาเดิมที่ให้ความสําคัญกับ กฎหมายและพิธีการ และจากหน่วยการวิเคราะห์เดิมที่ศึกษาสถาบันทางการเมืองเป็นหลัก นักรัฐศาสตร์ก็จะหันมา สนใจ “บทบาท” (Role) และ “โครงสร้าง” (Structure) ซึ่ง Almond ได้ให้คําจํากัดความของบทบาทว่าเป็นหน่วยที่มี การปะทะสัมพันธ์ในระบบการเมือง และแบบแผนของการปะทะสัมพันธ์ก็คือระบบนั่นเอง

Almond ได้รับอิทธิพลทางความคิดในการวางแผนเปรียบเทียบระบบการเมืองจาก David Easton ในหนังสือชื่อ “ระบบการเมือง” (The Political System)

Almond เห็นว่า หน้าที่ (Function) ของระบบการเมืองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1 หน้าที่ในการส่งปัจจัยเข้าสู่ระบบ (Input Functions) ได้แก่

1) การอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) ซึ่งถือว่าเป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

2) การคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบการเมือง (Political Recruitment) ซึ่งหมายถึง การคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ทางการเมือง

3) การเป็นปากเสียงของผลประโยชน์ที่ชัดเจน (Interest Articulation) หมายถึง การแสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยที่ตัดสินใจกําหนด นโยบายต่อไป

4) การรวบรวมผลประโยชน์ (Interest Aggregation) ก็คือ การสมานฉันท์ของ การเรียกร้องที่เสนอเข้าสู่ในระบบการเมือง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

5) การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) คือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยน ข่าวสารของส่วนต่าง ๆ ในระบบและระหว่างระบบ

2 หน้าที่ในการส่งปัจจัยออกจากระบบการเมือง (Output Functions) ได้แก่

1) การออกกฎระเบียบ (Rule Making) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ 2) การบังคับใช้กฎระเบียบ (Rule Application) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายบริหาร

3) การตีความกฎระเบียบ (Rule Adjudication) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายตุลาการ โดย Almond มีความเห็นสอดคล้องกับ Easton นั่นคือ การเรียกร้องและการสนับสนุน

– การเรียกร้อง แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ

1) การเรียกร้องให้มีการจัดสรรสินค้าและบริการ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มสถานศึกษา เพิ่มสถานพยาบาล ฯลฯ

2) การเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมความประพฤติ เช่น การขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า คุ้มครองลิขสิทธิ์ ปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ

3) การเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในระบอบการเมือง เช่น เรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) การเรียกร้องให้มีการสื่อสารและได้รับทราบข้อมูลจากระบบการเมือง เช่นต้องการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การยืนยันสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายว่าไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน ฯลฯ

– การสนับสนุน มีอยู่ 4 ประการ คือ

1) การสนับสนุนทางวัตถุ เช่น การสนับสนุนในรูปตัวเงิน การจ่ายภาษีให้รัฐโดย ” ไม่บิดพลิ้ว การเข้ารับราชการทหาร ฯลฯ

2) การเคารพกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เช่น การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

3) การสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้งการออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) สนใจข่าวสารของรัฐ เคารพผู้มีอํานาจทางการเมือง สัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง

พิธีการของสังคม

 

ข้อ 2 มีประกาศแผนฯ ปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ตามยุทธศาสตร์ชาติ (เช่น พัฒนาให้มีครามรู้ความเข้าใจการเมืองการปกครอง, พัฒนาโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้ทันสมัย, ทบทวนหรือยกเลิกกฎหมาย ที่ล้าสมัย, กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้, ยกระดับผลิตภาพ ความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น, รักษา ฟื้นฟูให้สมบูรณ์และยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ) มาตรการนั้นจะทําให้ประเทศไทยมีการพัฒนาที่แท้จริงหรือไม่ ? (หรือเป็นเพียง “ทันสมัย แต่ ด้อยพัฒนา”) ทําไม ? การพัฒนาที่แท้จริงคืออะไร ? จงอธิบายและระบุตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริง อย่างน้อย 3 ตัวให้เห็นชัด และสังคมไทยจําเป็นต้องมีการปลูกฝังกล่อมเกลาผู้คนในสังคมให้มีวิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมการเมืองที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาที่แท้จริง ต้องปลูกฝังกล่อมเกลาอย่างไรบ้าง ? เป้าหมายสุดท้ายเป็นอย่างไร ? ใครอาจจะเป็นผู้ปลูกฝังกล่อมเกลา (Change agents) ได้ จงระบุ และอธิบาย

แนวคําตอบ

สาระสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (ปี 2560 – 2579) ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ เป้าหมายอนาคตของชาติที่คนไทยทุกคนต้องการบรรลุร่วมกัน รวมทั้งยุทธศาสตร์หลัก / นโยบายแห่งชาติและ มาตรการเฉพาะ ซึ่งเป็นแนวทาง ทิศทาง และวิธีการที่ทุกองค์กรและคนไทยทุกคนต้องมุ่งดําเนินการไปพร้อมกัน อย่างประสานสอดคล้องเพื่อให้บรรลุซึ่งสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการ คือ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง และ ยั่งยืน ในทุกสาขาของกําลังอํานาจแห่งชาติ อันได้แก่ การเมืองภายในประเทศ การเมืองต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคนไทยทุกคนอยู่ดีมีสุข

รัฐบาลจึงได้ประกาศแผน ฯ ปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ตามยุทธศาสตร์ชาติ เช่น พัฒนาให้มี ความรู้ความเข้าใจการเมืองการปกครอง, พัฒนาโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้ทันสมัย, ทบทวนหรือยกเลิกกฎหมาย ที่ล้าสมัย, กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้, ยกระดับผลิตภาพ ความสามารถใน การแข่งขันสูงขึ้น, รักษา ฟื้นฟูให้สมบูรณ์ละยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

มาตรการดังกล่าวนั้นสามารถทําให้ประเทศไทยเกิดการพัฒนาที่แท้จริงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีประเด็นการพัฒนาที่สําคัญในอนาคต หากประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้าน ต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องดังต่อไปนี้ คือ

1 การพัฒนาคน / ทรัพยากรมนุษย์ในทุกช่วงวัย เป็นการพัฒนาในทุกมิติทั้งด้านความรู้ ทักษะ ทัศนคติ สุขภาพกายและจิตใจ และจิตวิญญาณอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไทยเป็นคนมีคุณภาพอย่างแท้จริง

2 การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการให้บริการทางสังคมเป็นไปอย่างทั่วถึง

3 การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการที่มุ่งสู่คุณภาพ มาตรฐาน และความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจศักยภาพสูงบนฐานของการเพิ่มผลิตภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสําหรับการพัฒนา เศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม

4 การปฏิรูปภาครัฐและกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสร้างความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ให้บริการคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

5 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้ก้าวหน้าทันโลก สามารถ ตอบโจทย์การผลิตและบริการที่มีมูลค่าสูงและแข่งขันได้ และมีคุณค่าทําให้คุณภาพชีวิตดีโดยการสร้างสภาวะ แวดล้อมและปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อก้าวผ่านจากการเป็นผู้ซื้อ เทคโนโลยีไปสู่การเป็นผู้ผลิตและขายเทคโนโลยี เป็นต้น

– การพัฒนาที่แท้จริง คือ กระบวนการที่ทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ยังทําให้เกิดการกระจายรายได้ ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค นั่นคือ ประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน และนําไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยถ้วนหน้า 6 ตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริง ได้แก่

1 ความมั่นคงทางการเมือง หรือบางครั้งอาจใช้คําว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” ก็ได้ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก

– ความต่อเนื่องของระบบการเมือง ซึ่งเราพบว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือมีความ มั่นคงทางการเมือง มักจะมีความต่อเนื่องทางการเมือง ไม่มีการแทรกแซงของทหาร กลไกทางการเมืองดําเนินไป ตามกฎหมายที่กําหนดไว้ ขณะที่การเมืองในประเทศที่กําลังพัฒนามักมีปัญหาเรื่องของการแทรกแซงของทหาร หรือถูกแทรกแซงจากภายนอกซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขทางการเมือง

– ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มักถูกเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางการเมืองเสมอ เนื่องจากประเทศใดที่มีเศรษฐกิจไม่ดี มีคนว่างงานจํานวนมาก รายได้ของประชาชนน้อยลง สินค้ามีราคาแพงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน ดังนั้นเสถียรภาพหรือความมั่นคงทางการเมืองย่อมลดลงถ้าเศรษฐกิจตกต่ํา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตค่อนข้างสูงก็จะทําให้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลมีมากเช่นกัน

– สังคม ปัญหาสังคมมักเชื่อมโยงกับปัญหาทางเศรษฐกิจ และนําไปสู่ปัญหาทาง การเมืองของประเทศ ตัวอย่างเช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของยาเสพติด ปัญหาของคนว่างงาน ปัญหาของผู้ไร้ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

2 สถาบันทางการเมือง

– รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกฎหมายสูงสุด และเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญของ ประเทศ เนื่องจากรัฐธรรมนูญจะเป็นตัววางกรอบโครงสร้างทั้งหมดทางการเมืองที่จะพูดถึงในเรื่องสิทธิ อํานาจหน้าที่ และที่มาของสถาบันตัวอื่น ๆ รวมทั้งสมาชิกทางการเมืองในแบบต่าง ๆ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงต้องมีความชอบธรรม ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมและวิถีการดําเนินชีวิตของคนในชาติ นอกจากนี้จะต้องไม่มีความเอนเอียง หรืออํานวยประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกยับยั้งและเกิดการรวมกลุ่มของประชาชน เพื่อต่อต้าน ดังนั้นการมีรัฐธรรมนูญที่ดีจึงก่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ

– สภาถือเป็นสถาบันทางการเมือง ซึ่งเราให้ความสนใจในเรื่องที่มาและอํานาจหน้าที่ ของสภาว่ามีอะไรบ้าง สมาชิกมาจากการสรรหาหรือการแต่งตั้ง สัดส่วนของ ส.ส. และ ส.ว. เป็นเท่าใด สิ่งเหล่านี้ จะถูกนํามาพิจารณาทั้งสิ้น นอกจากนี้เรายังมองไปถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสภาว่ามีลักษณะเช่นไร

– พรรคการเมือง ถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญที่จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรค ที่มีนโยบายและอุดมการณ์ของตนเองได้มีบทบาทในการสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อเป็นตัวแทนให้กับ

ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ในสภา พรรคการเมืองที่มีโอกาสทําหน้าที่บริหารประเทศ จะต้องรู้จักวางแนวทางในการ ทําหน้าที่เมื่อเป็นรัฐบาล มีนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศชาติเสมอ

3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาการเมือง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ประเทศมีสภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา การเมืองก็มักจะขับเคลื่อนไปได้ยาก ฉะนั้นถ้าประเทศใดก็ตามที่มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการศึกษาที่ดี และมีความรู้ การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ยาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า ประเทศใดมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา ประชาชนอดอยาก ขาดการศึกษา การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ง่าย ดังนั้น จะเห็นว่าการพัฒนาทางการเมืองจึงมักจะถูกเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเสมอโดยทั้ง 2 ตัวแปรมักแยกกันไม่ออก เป็นต้น

การปลูกฝังกล่อมเกลาคนในสังคมให้มีวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมการเมืองที่จะก่อให้เกิด การพัฒนาอย่างแท้จริง มีดังนี้

1 ภาครัฐจะต้องมุ่งเน้นสร้างประชาธิปไตยทางการเมือง และประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยเร็ว รวมทั้งมีระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมคุ้มครองความมั่นคงให้แก่ประชาชน ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้พรรคการเมือง บางพรรคนําไปใช้เป็นเงื่อนไขกับประชาชน เพื่อนําไปใช้เป็นนโยบายประชานิยมในการนําตนเข้าไปสู่อํานาจ หรือ ซื้อเวลาให้ตนอยู่ในอํานาจเท่านั้น

2 ภาครัฐจะต้องรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน เพื่อส่งเสริมในเรื่องการสร้างจิตสํานึก ทางการเมือง วัฒนธรรม ค่านิยม การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเรียนรู้ประชาธิปไตยร่วมกันระหว่างพลเมือง โดยเฉพาะชาวบ้านในชนบท ชนชั้นกลางในเมือง นิสิตและนักศึกษา

3 เปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยมีกฎหมายรองรับ อีกทั้งรัฐบาล ภาครัฐ และภาคการศึกษาจะต้องส่งเสริมและผลักดันให้มีกิจกรรมเพื่อสังคมของนักเรียน นักศึกษาตามมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างจิตสํานึกทางการเมืองที่ดีให้แก่ประชาชนและสังคม

4 ในด้านภาคการศึกษาจะต้องปลูกฝังจิตสํานึกทางการเมือง โดยมีวิชาสิทธิตามรัฐธรรมนูญ สิทธิพลเมือง และอุดมการณ์ทางการเมือง บรรจุในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ

5 ในด้านภาคกฎหมายจะต้องมีกฎหมายป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงที่เข้มข้น ผู้ที่ซื้อสิทธิ หรือขายเสียงต้องมีโทษความผิดที่หนัก เพื่อป้องกันวัฒนธรรมการซื้อสิทธิขายเสียง

6 ภาครัฐและภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป กํากับ และรณรงค์จริยธรรมคุณธรรม ทุกภาคส่วนในสังคมไทย โดยไม่ผ่ากความหวังไว้กับองค์กรอิสระ มากกว่าการสร้างภาคพลเมืองให้เข้มแข็ง เป็นต้น

เป้าหมายสุดท้าย มีลักษณะดังนี้

– ประชาชนรู้จักแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนถูกและสิ่งไหนผิด สามารถรับรู้และเข้าใจอารมณ์ ทั้งของตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์

– ประชาชนเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความคิดรู้จักใช้เหตุผล การเชื่อมโยง และรู้จักแสวงหาความรู้ เพิ่มเติมให้กับตนเอง หรือรู้จักพัฒนาความสามารถของตนเองในการทํางานเพื่อองค์กรและนําไปสู่การพัฒนาของ ประเทศในอนาคต

– ประชาชนมีค่านิยมที่เน้นวัฒนธรรม อาทิ ความภูมิใจในการเป็นคนไทย การเคารพ ผู้อาวุโส เสียสละเวลาทํางานเพื่อส่วนรวม ปฏิบัติตามหลักศาสนา และการประกอบอาชีพสุจริต

– ประชาชนมีการขับเคลื่อนตนเองไปในทางที่ดี เพื่อกําจัดการกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ซึ่งประชาชนจะต้องมีคุณธรรมทางด้านดี อาทิ ความซื่อสัตย์ ความดี ความรัก ความเคารพ ความศรัทธา การให้อภัย และอารมณ์ขัน สิ่งเหล่านี้สามารถทําให้ประชาชนรับและยอมรับแรงกดดันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้

– ประชาชนมีความเป็นพลเมือง (Citizenship) ซึ่งเป็นเรื่องของการมีสิทธิ เสรีภาพ การมีส่วนร่วมในสังคม รวมไปถึงการมีอิสรภาพ การพึ่งตนเองได้ การเคารพสิทธิ มีความรับผิดชอบต่อสังคม เคารพกติกาบ้านเมือง ไม่ใช้ความรุนแรง มีจิตสาธารณะ เป็นต้น

ผู้ปลูกฝังกล่อมเกลา (Change agents) ได้แก่

– ครอบครัว การสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อในการสร้างความรู้ทางการเมือง โดยครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยแรกในการฝึก ให้เด็กได้รับรู้สภาพและเป็นการปูพื้นฐานทางการเมือง นักรัฐศาสตร์เปรียบเทียบได้ให้ความสําคัญกับครอบครัว และบทบาทของครอบครัวในการสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กเป็นอย่างมาก ซึ่งครอบครัวจะช่วยในเรื่องการ หล่อหลอมทางการเมืองได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ

1) ครอบครัวจะช่วยถ่ายทอดทัศนะของพ่อแม่ต่อเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้สภาพ ความคิดและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นจากทัศนคติของพ่อแม่ เช่น ถ้าพ่อแม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือเปิดโอกาสและพูดคุยการเมืองให้กับเด็กแล้ว เด็กคนนั้นก็จะได้รับรู้และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ แม้ว่า บางครั้งในสังคมไทยอาจจะมีบางครอบครัวที่มีความเผด็จการกับลูก ๆ อยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมี ความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าเผด็จการ

2) พ่อแม่จะมีลักษณะเป็นตัวแบบให้กับเด็ก โดยเด็กจะมีการเลียนแบบจากสิ่งที่ พ่อแม่กระทํา เช่น พฤติกรรมในการกิน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อื่น ความมีน้ําใจ การมีส่วนร่วม การมีนิสัย ชอบการเลือกตั้ง ชอบแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เด็กจะเรียนรู้และตามแบบจากพ่อแม่

3) บทบาทและสิ่งที่เด็กคาดหวังที่จะกระทําเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จะมีความสัมพันธ์กับ การแสดงออกทางการเมืองของเขา เด็กจะแสดงออกทางการเมืองอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความหวังที่เขาได้รับเมื่อ ครอบครัวสั่งสอน เขาอาจมีเป้าหมายที่จะเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเขาเติบโตขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลผูกพันกับระบบการเมืองแทบทั้งสิ้น

– โรงเรียน นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างให้เกิดสังคมที่ดี และเป็นหน่วยสร้าง การกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งโดยทั่วไปเด็กมีโอกาสได้รับอิทธิพล ในการเรียนรู้จากโรงเรียนค่อนข้างมาก เนื่องจากระยะเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมีเวลานาน จึงเป็นผลให้ความรู้ ทางการเมืองที่เด็ก ๆ จะได้รับมีการสะสมมานานจนสามารถฝังอยู่ในความทรงจํา

ในสังคมไทยนั้นระบบโรงเรียนและการจัดการเรียนการสอนนับว่ามีอิทธิพลต่อความเชื่อ ของเด็กมาก เด็กมักจะเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ เนื่องจากมีโอกาสอยู่ในโรงเรียนมากกว่าที่บ้าน เมื่อเด็กมีการศึกษา มากขึ้นโอกาสที่เขาจะได้รับรู้ความเป็นไปทางการเมืองก็จะมากกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา เนื่องจากเขาสามารถศึกษา เพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ บทความ การสนทนาทางวิชาการ ฯลฯ ซึ่งคนที่ด้อยการศึกษาอาจไม่ได้รับ ในรายละเอียดได้มากเท่ากับคนที่มีการศึกษา นอกจากนี้โรงเรียนยังช่วยในการสร้างค่านิยมของระบอบประชาธิปไตย ให้เยาวชนผูกพันกับระบอบประชาธิปไตยได้อีกด้วย

– สื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ ต่างก็เข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันของประชาชนมากขึ้น ซึ่งในการสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการอบรมหรือเป็นช่องทางในการเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นการนําเสนอข้อมูลของสื่อมวลชนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อ การพัฒนาการเมืองของไทย เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและนําเสนอข่าวสารที่บิดเบือน จากข้อเท็จจริงแล้ว อาจทําให้ประชาชนหรือเยาวชนสับสนกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นได้

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษาหยิบยกประเด็นทางการเมืองประเด็นใดประเด็นหนึ่งขึ้นมาวิเคราะห์ โดยเลือกใช้แนวทางการศึกษา (Approach) ของการเมืองเปรียบเทียบแนวทางใดแนวทางหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม จะใช้ในการอธิบาย โดยให้บรรยายถึงลักษณะของประเด็นปัญหาหรือเหตุการณ์ วิเคราะห์สาเหตุ และบอกถึงแนวทางแก้ปัญหาหรือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แนวคําตอบ

“การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร” ถือเป็นประเด็นทางการเมืองหนึ่งที่สําคัญซึ่งมัก เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศโลกที่สาม หลังจากประเทศมหาอํานาจส่วนใหญ่ได้ปลดปล่อยประเทศในอาณานิคม ของตนออกมาเป็นประเทศเอกราชที่เกิดใหม่ ซึ่งประเทศเอกราชเหล่านี้มักมีแนวทางการพัฒนารูปแบบของ ระบอบการปกครองเหมือนกับประเทศแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย แต่การพัฒนาไปสู่ ความเป็นประชาธิปไตยกลับไม่ประสบความสําเร็จ เกิดช่องว่างของอํานาจทางการเมือง โดยทหารมักจะเป็น กลุ่มทางสังคมที่มีพลัง มีประสิทธิภาพ เเละมีเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง

บทบาททางการเมืองของทหาร มีวิวัฒนาการดังนี้

ช่วงที่ 1 ระหว่างปี ค.ศ. 1930 นักรัฐศาสตร์ในสหรัฐอเมริกามีปฏิกิริยาต่อต้านการขยายตัว ของระบอบการปกครองแบบเผด็จการในยุโรป เกิดทฤษฎีและรูปแบบของนายทหารประจําการ ซึ่งจะสร้างสรรค์ อํานาจเผด็จการและใช้ความรุนแรงในรูปแบบใหม่

ช่วงที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้ง 2 สงบ แนวทางการศึกษาบทบาททางการเมืองของทหารได้ มุ่งเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือน ทหารได้พัฒนาตนเองในลักษณะของทหารอาชีพ

ช่วงที่ 3 มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนในสังคมกําลังพัฒนาในเชิง เปรียบเทียบเกี่ยวกับสาเหตุผลักดันให้ทหารใช้อํานาจเข้าแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง นักวิชาการ ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า สาเหตุสําคัญมาจากความล้มเหลวของการปกครองแบบรัฐสภาและความไม่มี ประสิทธิภาพในการปกครองของรัฐบาลพลเรือน

ช่วงที่ 4 แนวการศึกษาที่มุ่งวิเคราะห์บทบาทของ “ทหารอาชีพ” ในประเทศตะวันตก – เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาบทบาทของทหารในประเทศกําลังพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของทหารซึ่งอาจจะ ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมือง

ช่วงที่ 5 มีการนําเอารูปแบบของการศึกษาที่เชื่อว่า “ทหารเป็นนักพัฒนาหัวก้าวหน้าและ เป็นสมัยใหม่” มาใช้อธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของประเทศกําลังพัฒนา โดยให้ความสําคัญแก่บทบาททหาร ต่อกระบวนการการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสมัยใหม่ และการพัฒนาการเมือง

ช่วงที่ 6 ทหารมีบทบาทเป็นองค์กรที่คอยเหนี่ยวรั้งการพัฒนาทางการเมือง จึงเริ่มหันมาให้ ความสนใจศึกษาและค้นคว้าหามาตรการที่จะทําให้ทหารเป็นพลเรือนมากขึ้น ซึ่งนักวิชาการเริ่มให้ความสนใจ กับปัญหาการก้าวออกจากอํานาจ และผลักดันให้ทหารกลับไปเป็นทหารอาชีพตามเดิม

สาเหตุของการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร

1 ความเปราะบางของรัฐบาลพลเรือนทําให้ทหารเข้าแทรกแซงทางการเมืองได้โดยง่าย ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลเข้ามาโดยไม่ชอบธรรม มีการทุจริตการเลือกตั้ง ผู้นําพลเรือนมีความอ่อนแอขาดประสิทธิภาพ ในการบริหารประเทศ การปกครองระบอบประชาธิปไตยล้มเหลว ประชาชนเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งประชาชนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตย เกิดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ปัญหาได้

2 องค์กรของทหารมีการจัดองค์กรที่เป็นระเบียบและเข้มแข็ง และมีอาวุธอยู่ในมือ ทําให้ สามารถแทรกแซงทางการเมืองได้ดีกว่ากลุ่มพลังทางสังคมกลุ่มอื่น

3 ทหารมีผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองซึ่งอาจจะขัดกับรัฐบาลพลเรือน เมื่อรัฐบาลพลเรือน ไม่ทําตามที่ทหารต้องการหรือขัดกับผลประโยชน์ของทหาร ทหารก็มีแนวโน้มจะเข้าแทรกแซงได้

4 ทหารมีความทะเยอทะยานส่วนตัวและต้องการขึ้นสู่อํานาจทางการเมือง ซึ่งในบางครั้ง ทหารมักถูกใช้ให้ทําหน้าที่ปราบปรามจลาจลแทนตํารวจ ทําให้โอกาสของการใช้กําลังรุนแรงในการล้มรัฐบาล ทําได้ง่าย

5 เกิดช่องว่างทางสังคม เป็นผลให้ทหารต้องเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง เพราะผู้นํา พลเรือนมัวแต่แย่งชิงอํานาจกัน ทําให้ไม่รู้ว่าอํานาจแท้จริงเป็นของใคร

6 ทหารไม่ยอมรับอํานาจและความชอบธรรมของรัฐบาลพลเรือน

7 ประชาชนไม่ตื่นตัวทางการเมือง เป็นต้น ฃ

แนวทางแก้ปัญหาการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร

1 กลไกด้านสังคม สังคมต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ กล่าวคือ สังคมต้องสร้างองค์ความรู้ ในเรื่องกิจการทหาร และการป้องกันประเทศให้แก่สังคม ซึ่งถือเป็นวิธีหนึ่งในการทําให้สังคมมีความเข้มแข็ง ทั้งนี้เพราะหากสังคมไม่มีความเข้มแข็งแล้ว การทําประชาธิปไตยให้เข้มแข็งคงเป็นไปได้ยาก

2 กลไกด้านการเมือง กล่าวคือ ต้องสร้างความเป็นสถาบันให้เกิดแก่องค์กรในสังคมการเมือง โดยคาดหวังว่า เมื่อสถาบันมีความเข้มแข็ง ประชาธิปไตยก็จะเข้มแข็ง ซึ่งทําให้โอกาสที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาท ในการแทรกแซงการเมืองโดยตรงอย่างในอดีตจะเกิดขึ้นได้ยาก

3 กลไกการสร้างความเข้มแข็งของกองทัพ การพัฒนากองทัพด้วยการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ระบอบประชาธิปไตยจะยอมรับไม่ได้ แต่ต้องให้สังคมมีส่วนเข้ามารับรู้ สามารถตรวจสอบได้ โปร่งใส หรือสร้างกําลังพลในกองทัพให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นทหารอาชีพ ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับ การเมือง การให้ความรู้แก่ทหารจะทําให้ทหารมีความเข้าใจในเรื่องของกิจการทหาร ซึ่งจะส่งผลให้กองทัพมี ความเข้มแข็งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอีก

 

ข้อ 4 ให้นักศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทยว่าเป็นอย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง และนักศึกษามีข้อเสนออย่างไรเพื่อนําไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนต่อไป ในอนาคต

แนวคําตอบ

การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมาจะครบ 86 ปี ใน พ.ศ. 2561 นับตั้งแต่ เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 พบว่าคนไทยจํานวนมากยังขัดแย้งกันทั้งในเรื่องวิธีการและเป้าหมาย ของประชาธิปไตยอยู่ ซึ่งความไม่ชัดเจนในเรื่องประชาธิปไตยนี้เองได้ส่งผลต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่ ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง และยังเป็นอุปสรรคสําคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยสําหรับสังคมไทย

ปัญหาการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย

การเป็นรัฐอุปถัมภ์ คือ การผูกขาดอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 เป็นการถ่ายโอนอํานาจจาก ระบอบเก่าสู่ระบอบใหม่ เป็นรัฐใหม่ที่ใช้ระบอบรัฐธรรมนูญนิยมหรือประชาธิปไตยบนความแข็งแกร่งของระบบ ราชการที่มีอยู่ก่อนแล้ว ความจําเป็นของระบอบใหม่ที่ต้องมีผู้นําจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงถูกใช้เพื่อสร้าง ความชอบธรรมให้กับการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลยังคงผูกขาดอํานาจและบทบาทไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด ประชาชน จึงถูกครอบงําและถูกกํากับเพียงทําหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย เสียภาษีและไปเลือกตั้ง ทําให้ประชาชนโดยทั่วไป เข้าใจว่า “ประชาธิปไตยคือการไปเลือกตั้ง” เป็นเพียงพลเมืองที่ผู้มีหน้าที่ตามที่รัฐกําหนดให้ จึงยังไม่มีพลเมือง ที่ไปมีส่วนร่วมในการกําหนดการมีอํานาจและการสืบทอดอํานาจทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึง จํากัดอยู่เพียงระดับการเลือกตั้ง นอกจากนี้การมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางสังคมของประชาชนก็มีขอบเขตจํากัด อยู่เพียงการไปเข้าร่วมในโครงการของทางราชการ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น จึงทําให้ ประชาชนถอยห่างจากการเมือง และคอยรอรับความช่วยเหลือจากทางราชการ ซึ่งเป็นลักษณะของประชาชนที่ อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของผู้ที่เหนือกว่า และขาดความเชื่อมั่นในการพึ่งตัวเอง

แม้ว่าจะมีการกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่นนับตั้งแต่ปี 2540 แต่การกําหนดอํานาจ ดังกล่าวนี้มิได้เกิดจากการเข้าไปมีส่วนร่วมคิดและกําหนดจากประชาชนในท้องถิ่นทั้งในเรื่องของอํานาจหน้าที่ และการเงิน การคลัง ทําให้อํานาจของท้องถิ่นยังถูกยึดโยงอยู่ที่อํานาจส่วนกลาง นั่นคือ นักการเมืองในส่วน ปกครองท้องถิ่นเองก็มีพฤติกรรมทางการเมืองไม่แตกต่างจากส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้งระดับชาติ ทําให้เกิด ระบบอุปถัมภ์ใหม่กดทับความอ่อนแอของประชาชนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเป็นผู้ขาดอํานาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมนี้ ยังได้ มีการกําหนดและบงการความสัมพันธ์อาณาบริเวณของการเมืองและเศรษฐกิจออกจากกัน มิได้กระตุ้นส่งเสริม พลังต่าง ๆ ในประชาสังคม หากแต่จํากัดและควบคุมโดยอาศัยมาตรการทางกฎหมาย กฎระเบียบ และประกาศ ข้อบังคับต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง อันเป็นการแยกประชาสังคมออกจากการเมือง และมีผลทําให้ เฉื่อยชาและเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมือง ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวยังคงเป็นข้อปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน

1  การใช้อํานาจและระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยจึงมีอยู่มากในระบบราชการ เช่น การมี เส้นสายเพื่อเข้าสู่ตําแหน่งมากกว่าพิจารณาจากความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะในปัจจุบันจะเห็นว่านักการเมือง ที่อยู่ในอํานาจจะมีอิทธิพลสูงและใช้อํานาจของตนในการโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม โดยอ้างความ เหมาะสมเมื่อประเทศไทยเร่งรัดพัฒนาประเทศเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เกิดวัฒนธรรมบริโภค นักธุรกิจมุ่ง

หากําไรอย่างขาดสติ นักการเมืองส่วนใหญ่ก็ใช้อํานาจทางการเมืองหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง ทําให้การเมือง กลายเป็นเรื่อง “ธุรกิจการเมือง” เกิดเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งธุรกิจและการเมือง และมีการคอร์รัปชั่นง่าย และมากขึ้น จนทําให้เรื่องคอร์รัปชั่นกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้

2 การรัฐประหาร ถือเป็นสาเหตุสําคัญที่ไม่อาจนําไปสู่การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ของไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเผด็จการทหาร หรือ “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 โดยพบว่าคณะรัฐประหารทุกยุคมักแสดงท่าที่เห็นด้วยกับแนวทางประชาธิปไตย หลังการ รัฐประหารจึงสนับสนุนให้เกิดสถาบันทางการเมืองประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ทั้งรัฐธรรมนูญ รัฐสภา พรรคการเมือง และการเลือกตั้ง แต่ปัญหาของเผด็จการก็คือ การใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทาง การเมือง อีกทั้งยังเป็นการทําลายหรือสกัดกั้นกระบวนการพัฒนาระบบประชาธิปไตย และเป็นการผลิตซ้ํา ๆ ของเผด็จการทหารให้แก่การเมืองของคนไทยอีกด้วย

– ดังนั้นวงจรรัฐประหารจึงเปรียบเสมือนวงจรเผด็จการที่หล่อเลี้ยงไว้ด้วยวัฒนธรรม อํานาจนิยม (Authoritarian Culture) โดยพยายามสร้างและรักษาความชอบธรรมทางการเมืองจากความ อ่อนแอและขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ถูกล้มเลิกไป เมื่อสถานการณ์เอื้ออํานวยจากความอ่อนแอของสถาบัน การเมืองทั้งหลาย รวมทั้งพฤติกรรมคอร์รัปชั่นของนักการเมืองนั่นเอง

3 การศึกษา กล่าวคือ การศึกษาไทยมักถูกออกแบบและกํากับโดยระบอบการเมือง หรือผู้นําทางการเมืองนั่นเอง ซึ่งรัฐบาลไทยในอดีตก็ได้เน้นการกล่อมเกลาให้ราษฎรได้เข้าใจหน้าที่ของตนเพื่อ ตอบสนองต่อรัฐโดยมีรัฐเป็นศูนย์กลาง การจัดการศึกษาในเมืองหลวงจึงเน้นหนักไปในการสร้างคนเพื่อรับใช้ กลไกหลักของรัฐ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี ขณะที่การขยายการศึกษาไปยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศเป็นการสร้าง พลเมืองที่ดี การจัดการศึกษาที่รวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางเช่นนี้ได้ละเลยความสําคัญของความเป็นชุมชน ความเป็น พหุสังคมที่มีศาสนา ภาษา เชื้อชาติ และวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันในประเทศ ด้วยเหตุนี้ท้องถิ่นจึงไม่ได้มีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษาเรียนรู้ในแบบวิถีชุมชนเพื่อรักษาอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย ซึ่งทําให้ชุมชนอ่อนแอและไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงการกระจายโอกาสทางการศึกษาที่ขาดความเสมอภาค และเท่าเทียมในพื้นที่ที่ห่างไกล

นอกจากนี้ บรรยากาศการเรียนรู้ในระบบการศึกษาไทยในระยะยาวนั้น เป็นการสอน ตามความสนใจของผู้สอนที่มุ่งป้อนวิชาความรู้เพื่อให้ผู้เรียนเชื่อฟัง จดจํา และทําตาม ไม่ได้ฝึกฝนให้ทําและ นําไปคิด เพื่อนําสู่การปฏิบัติและแสดงออก เป็นการเน้นวิชาการแต่ขาดการส่งเริ่มทักษะทางสังคม ผู้เรียนจึงถูก แยกส่วนออกจากอาณาบริเวณทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถเชื่อมโยงบทบาทของตนกับสังคม ภายนอกได้ และไม่สามารถสร้างจิตสํานึกของการเป็นเจ้าของสังคมที่เขามีชีวิตอยู่ และไม่มีความพร้อมที่จะ รับผิดชอบในภายภาคหน้า การศึกษาทําให้คนไทยรู้จักแต่เพียงการเลือกตั้งและรูปแบบการปกครอง แต่ยังขาด ทักษะชีวิต การคิด การใช้ชีวิตในแบบสังคมประชาธิปไตยที่ต้องการการแสดงออกถึงวุฒิภาวะในการใช้ความคิด การมีเหตุมีผล การมีความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นได้จริง

การศึกษาที่รวมศูนย์อํานาจไว้ที่รัฐบาลยังส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมของคนที่ไม่ค่อย เข้าใจบทบาทของรัฐบาลที่มีต่อความเป็นอยู่ของตนเอง และไม่สนใจเรื่องส่วนร่วม นักเรียนจึงมุ่งแข่งขันกันเรียน มุ่งหาเลี้ยงชีพเพื่อประโยชน์ของตนเท่านั้น ทิ้งภาระทางสังคมการเมืองไว้กับนักการเมือง อันเป็นค่านิยมของ การบูชายกย่องผู้มีความสําเร็จทางเศรษฐกิจ มากกว่าการให้ความสําคัญกับการสร้างคนที่มีความรู้คู่คุณธรรม ที่พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม

4 สถาบันครอบครัว กล่าวคือ การเลี้ยงดูเด็กของคนไทยนั้นไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร เพราะส่วนใหญ่เราจะสอนเด็กแบบอํานาจนิยม ใช้ระบบอาวุโสเป็นใหญ่ ผูกขาดความถูกผิดทุกอย่างที่เด็กต้องเชื่อ ฟังและปฏิบัติตามโดยขาดเหตุผล ต้องคอยเอาใจผู้ใหญ่ พ่อ แม่ และผู้อาวุโสทุก ๆ คนที่อยู่ในครอบครัว ไม่รู้จัก รับผิดชอบตัวเอง ไม่มีวินัย จัดการตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ติดกับคตินิยมที่ว่า “เด็กดีคือผู้ที่เชื่อฟัง ผู้ใหญ่”

การอบรมเลี้ยงดูนั้นจะช่วยสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็ก ด้วยการสร้าง สมดุลระหว่างการใช้เสรีภาพ ความรับผิดชอบและความมีวินัย โดยเฉพาะการสร้างนิสัยให้เป็น “ผู้มีวินัย” ที่ ควบคุมตัวเองได้ เพราะวินัยถือเป็นสิ่งสําคัญมากในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองตนเอง ดังนั้นถ้าประชาชนขาดความรับผิดชอบและไม่มีวินัยแล้ว ย่อม หมายถึงการไม่สามารถบังคับหรือควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบ กติกาที่ตนเองและผู้อื่นร่วมกันกําหนดขึ้นได้ ซึ่ง ส่งผลทําให้ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในการปกครองอย่างเหมาะสมได้เช่นกัน การเป็นผู้มีวินัยนั้นยังเป็นผู้ที่มีความ ซื่อตรงต่อหน้าที่ของตน คือ มีความรับผิดชอบต่อสถานภาพต่าง ๆ ที่ตนเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของชุมชน ของครอบครัว และพลเมืองของประเทศ ดังนั้นการมีวินัยจึงมีความจําเป็นมากสําหรับสังคมไทย เพราะคนไทย โดยทั่วไปนั้นมักขาดวินัย ดังคํากล่าวที่ว่า “ทําอะไรตามใจคือไทยแท้” และชอบหลบหลีกกฎหมายหรือระเบียบ ของสังคม เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจร การหลีกเลี่ยงภาษี เป็นต้น

แนวทางในการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยให้มีความมั่นคงยั่งยืน

1 พัฒนาความรู้ความเข้าใจและเจตคติให้แก่ประชาชนทุกระดับ ในการเรียนรู้และฝึกฝน ทักษะการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งประชาชนจะต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่ถูกอิทธิพล ของใครชักจูง กระบวนการเรียนรู้นี้ต้องถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัย และพัฒนา ให้มีความลึกซึ้งมากขึ้นในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ครูผู้สอนในสถานศึกษาทุกระดับจะต้องเป็นกลไกสําคัญในการ

หล่อหลอมเยาวชนไทยให้เข้าใจและมีเจตคติที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตย การเผยแพร่ความรู้ในกลุ่มประชาชนทั่วไป ก็เป็นกิจกรรมที่ต้องทําควบคู่กันไป เพราะหลักการของประชาธิปไตยนั้นประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของสิทธิ หรือ เป็นเจ้าของเสียงในการเลือก “คน” ที่จะมาทําหน้าที่แทนตน

2 ฝึกฝนการเข้าร่วมกระบวนการตัดสินใจให้กับประชาชนทุกระดับ เพราะการเข้าร่วมใน กระบวนการตัดสินใจเป็นลักษณะสําคัญประการหนึ่งของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และเป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนทราบถึงความต้องการของตนเองและนักปกครองไม่สามารถละเลยความต้องการนี้ได้ การฝึกเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจควรหล่อหลอมตั้งแต่ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน โดยบูรณาการให้เข้า กับวิถีของคนในชุมชนและฝึกจนเป็นปกติวิสัย ซึ่งจะมีผลให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนทาง การเมืองและมีความรู้สึกเป็นอิสระในรตัดสินใจ ประชาชนจะรู้สึกเป็นนายของตัวเองเพิ่มขึ้น และเมื่อเขา เหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองของประเทศ สํานึกในความเป็นประชาธิปไตยจะช่วยจรรโลงให้เกิดความยั่งยืน ในสังคม

3 ผู้บริหารประเทศต้องยึดขันติธรรมทางการเมือง ความยั่งยืนของการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยไม่ใช่การยึด “เสียงข้างมาก” ว่าเป็นฝ่ายถูกต้อง หรือมีสิทธิและอํานาจในการลิดรอนเสรีภาพหรือ คุกคามกลุ่มเสียงส่วนน้อย เพราะการกระทําดังกล่าวจะทําให้กลุ่มเสียงข้างน้อยไม่ได้รับประโยชน์ นํามาซึ่งความ ไม่สงบสุขของประเทศได้ ดังนั้นหลักขันติธรรมทางการเมืองจึงหมายถึงการยอมรับความหลากหลายในสังคม ไม่ปล่อย ให้เสียงข้างมากกดขี่กลุ่มเสียงข้างน้อย โดยผู้บริหารประเทศต้องมีการส่งเสริมฉันทามติที่สมดุลในสังคม การยอมรับ ความแตกต่างของกันและกัน โดยเฉพาะความแตกต่างด้านความรู้สึกนึกคิด และการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น

ตราบใดที่ความแตกต่างนั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือสังคม ผู้มีวัฒนธรรมทางการเมืองย่อมแสดง ความอดกลั้น และเคารพในความแตกต่างของผู้อื่นได้ ซึ่งจะนําไปสู่การสร้างเอกภาพในความแตกต่างของการอยู่ ร่วมกันในสังคม

4 การจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้การศึกษาตอบสนองความเป็นอยู่ในชีวิตประจําวันมากขึ้น โดยขยายฐานการศึกษาที่ไร้ขีดจํากัด กล่าวคือ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเป็นธรรม ทั้งกลุ่มเยาวชน หรือบุคคลที่ไม่มีที่อยู่อาศัยแน่นอน การศึกษาต้องเปิดโอกาสสําหรับบุคคลทุกช่วงอายุและทุกสถานะ เพราะเมื่อ บุคคลได้รับการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจในการแก้ปัญหา หรือลงความเห็น ต่าง ๆ จะเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น

5 ความรับผิดชอบต่อสาธารณะและความโปร่งใส สถาบันของรัฐหรือนักปกครองต้อง รับผิดชอบการกระทําของตน นอกจากจะต้องรับผิดชอบในการทํางานเพื่อประโยชน์ของประชาชนแล้ว ยังต้อง รับผิดชอบต่อฝ่ายตุลาการที่มีความเป็นอิสระ และรับผิดชอบต่อสถาบันกลางอื่น ๆ ที่ทําหน้าที่ในการตรวจสอบ การทํางานของรัฐบาล เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้รับประโยชน์จากนโยบายที่แท้จริง ป้องกันการตกอยู่ในภาวะ สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียผลประโยชน์ที่ตนพึงได้รับ

6 มีการกระจายอํานาจเพื่อไม่ให้อํานาจกระจุกอยู่ที่ส่วนกลางเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทําให้ ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับการตอบสนองความต้องการได้อย่างเหมาะสมตามสิทธิอันพึงได้รับ เกิดการกระจาย ของงบประมาณ อันจะส่งผลต่อการกระจายทรัพยากร การพัฒนาสาธารณูปโภค การพัฒนาการคมนาคม การพัฒนา สุขภาพ และการพัฒนาการศึกษา ทําให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงใน กระบวนการประชาธิปไตย เปิดโอกาสในการพัฒนาการเมืองท้องถิ่น ซึ่งจะเอื้อให้เกิดความสามัคคีในกลุ่มคน ของภาคส่วนนั้น ๆ มีการจัดตั้งกลุ่มประชาสังคมที่เข้มแข็งเป็นกลไกสําคัญที่ทําให้ประชาธิปไตยดําเนินต่อไปได้ อย่างต่อเนื่อง หากภาครัฐสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มประชาสังคมได้อย่างราบรื่น ย่อมเป็นการลดช่องว่างระหว่าง ภาครัฐและประชาชนได้ การขับเคลื่อนประชาธิปไตยย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนา ประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืนนั่นเอง

POL3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ s/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ

คําสั่ง ข้อสอบมีทั้งหมด 5 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทําเพียง 4 ข้อ คาดหวังคําตอบเป็นข้อเขียนแสดงความรู้ ความคิด และยกตัวอย่าง

ข้อ 1 การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบมีลักษณะความเป็นมาอย่างไร ?

ศึกษาอย่างไรได้บ้าง ?

มีประโยชน์อย่างไร ? มีขั้นตอนกระบวนการอย่างไร ?

ทําการเปรียบเทียบอะไรบ้าง ?

มีความเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ อย่างไร ?

มหกรรมหรือกิจกรรมโลกเปรียบเทียบอะไรบ้าง ?

แนวคําตอบ

ลักษณะความเป็นมาของการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ

ในสมัยกรีกตอนต้น นักปรัชญาการเมืองเช่น อริสโตเติลได้ใช้เทคนิคการศึกษาเปรียบเทียบ รูปแบบของรัฐบาลและแนวทางการปกครองของนครรัฐต่าง ๆ เช่น เอเธนส์ สปาร์ต้า เป็นต้น โดยมีการรวบรวม รัฐธรรมนูญของนครรัฐต่าง ๆ ถึง 158 รัฐธรรมนูญด้วยกัน และได้ทําการจัดลําดับขั้นพื้นฐานของรัฐบาลในรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น รัฐบาลที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง การปกครองแบบอภิชนาธิปไตย และการปกครองแบบประชาธิปไตย ในเวลาต่อมานักรัฐศาสตร์คนสําคัญ ๆ เช่น โพลิเบียส และซิซิโรได้ถ่ายทอดความรู้จากกรีกเป็นภาษาโรมันโดยใช้ การเปรียบเทียบ โดยโพลิเบียสได้เน้นถึงคุณค่าของรูปแบบการปกครองที่มีการผสมผสานกันโดยรวมเอารูปแบบ ทั้ง 3 ที่อริสโตเติลนําเสนอเข้าด้วยกัน ซึ่งมีการนําหลักกฎหมายธรรมชาติและหลักความยุติธรรมเข้ากับแนวคิด ตามแบบฉบับกฎหมายโรมัน

– ในสมัยกลาง นักรัฐศาสตร์ เช่น มาเคียเวลลี่ ได้นําแนวการศึกษาเปรียบเทียบที่อริสโตเติล เคยศึกษามาวิเคราะห์ใหม่ โดยใช้แนวการเขียนแบบรัฐศาสตร์ยุคใหม่เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งก็คือ การใช้หลักการสังเกต การเมืองในรัฐต่าง ๆ และบางรัฐในยุโรป โดยมีสมมุติฐาน คือ มีปัจจัยอะไรที่ทําให้รัฐมีความมั่นคง และผู้ปกครอง มีความสามารถในการปกครอง

ในศตวรรษที่ 18 นั้น มองเตสกิเออ ได้ศึกษาธรรมชาติของเสรีภาพที่มนุษย์จะพึงมี โดยเสนอ หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) การสังเกตระบบการปกครองของอริสโตเติล และใช้หลักการ จัดลําดับชั้น (Classification) ของระบบการเมืองต่าง ๆ

ในศตวรรษที่ 19 นั้น มีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงประวัติศาสตร์เกิดขึ้น และมีการนําหลักการ พัฒนาทางการเมืองมาเป็นแนวในการศึกษาเปรียบเทียบ

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การศึกษาวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบจะเน้นในเรื่องหน้าที่และ ขอบเขตของรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ มาเป็นตัวประกอบในการศึกษา แม้ว่าการศึกษาหน้าที่และขอบเขตของรัฐบาล ในประเทศต่าง ๆ จะมีลักษณะเดิมคือ นําเอาหลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และโครงสร้างของรัฐบาลมาใช้วิเคราะห์ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นก้าวใหม่ที่สําคัญของรัฐศาสตร์เปรียบเทียบในยุคหลังสงคราม

สําหรับในปัจจุบันนั้นนักรัฐศาสตร์ทางการปกครองเปรียบเทียบสนใจที่จะศึกษาวิธีการ เปรียบเทียบมากกว่าที่จะมุ่งศึกษาถึงความเป็นมาของการปกครองเปรียบเทียบและทฤษฎีทางการเปรียบเทียบ

ลักษณะการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ พิจารณาได้จาก

1 ความเหมือนและความแตกต่าง

ความเหมือน (Similarities) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกัน หรือคล้ายกันของสิ่งที่นํามา เปรียบเทียบ ส่วนความแตกต่าง (Differences) จะเป็นลักษณะที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจมีลักษณะของความ แตกต่างกันน้อย แตกต่างกันมาก หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น การเมืองการปกครองของไทยและของพม่า ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ระบบการเมืองการปกครองของไทยเป็นระบบประชาธิปไตยแบบ รัฐสภา ในขณะที่ระบบการเมืองการปกครองของพม่าเป็นระบบรวมศูนย์อํานาจโดยรัฐบาลทหาร เป็นต้น

โดยส่วนที่ซ่อนอยู่ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ก็คือ องค์ความรู้หรือข้อมูลนั่นเอง ถ้าเรามีความรู้เฉพาะเรื่องการเมืองไทยเพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้เรื่องการเมือง ของประเทศอื่น ในการเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างก็ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากข้อมูลที่นํามา เปรียบเทียบมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น

2 หน่วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

– หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) คือ กรอบของการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษา ทางการเมือง เพื่อให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่แน่นอน ซึ่งก็คือ การเลือกหน่วยที่จะทําการเปรียบเทียบ นั่นเอง โดยอาจจะเป็นปัจจัยบุคคล องค์กร หรือสถาบัน รวมไปถึงกลุ่มองค์กรเอกชน (NGO) พฤติกรรมต่าง ๆ และกลุ่มประเทศ ซึ่งอาจใช้หลักความเหมือนหรือความแตกต่างและใช้ปัจจัยดังกล่าวในการเปรียบเทียบ สําหรับ ตัวอย่างของหน่วยการวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น ผู้นํา บทบาทองค์กร สถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง เป็นต้น

หน่วยการวิเคราะห์นั้นถือว่ามีความสําคัญมากในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ เพราะจะทําให้สามารถศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากมุมมองในการอธิบายการเมืองนั้น มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก หากไม่มีหน่วยการวิเคราะห์ก็จะไม่ทราบว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหน หรืออาจทําให้ การวิเคราะห์ไม่มีกรอบที่ชัดเจน ซึ่งทําให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน

ผู้ศึกษาจะต้องตั้งปัญหาพื้นฐานถามตัวเองก่อนว่า ควรจะนําหน่วยการวิเคราะห์อะไร มาใช้ในการศึกษาทางการเมือง เช่น ถ้าต้องการจะศึกษาผู้นํา หน่วยการวิเคราะห์ก็คือ ตัวผู้นํา โดยอาจจะมุ่งไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปรียบเทียบความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนในแง่ของ บุคลิกภาพ ดังนั้นหน่วยการวิเคราะห์ตรงนี้ก็คือตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่าในการศึกษาเปรียบเทียบ อาจจะวิเคราะห์หน่วยเหนือขึ้นไป เช่น กลุ่มทางสังคม สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น การนําเอาพรรคการเมืองเป็นหน่วยการวิเคราะห์ ทางการเมือง โดยเปรียบเทียบในแง่โครงสร้างของพรรคการเมืองหรือดูในเรื่องนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง หรือ ดูในเรื่องอุดมการณ์ของแต่ละพรรคการเมือง หรือดูในแง่ของความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมือง เป็นต้น

3 ระดับการวิเคราะห์

ระดับการวิเคราะห์ (Level of Analysis) เป็นการจัดชั้นและระดับของระบบการเมือง เพื่อทําให้เกิดความชัดเจนที่ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ถึงหน้าที่และโครงสร้างของระบบการเมืองนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การแบ่งระดับการเมืองไทยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

(1) ระดับชาติ คือ ส่วนกลาง โดยมีรัฐบาลกลางอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญและเป็นหลักของการบริหารประเทศ

2) ระดับภูมิภาค คือ ส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดและอําเภอ

3) ระดับท้องถิ่น คือ ส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.), องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.), เทศบาล, กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา

ในการเปรียบเทียบที่มีการจัดระดับในการวิเคราะห์นั้น จะทําให้การศึกษาเปรียบเทียบ สามารถมองเห็นหรือเปรียบเทียบให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นได้ ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้นจะต้องเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

4 การแจกแจงข้อมูล

การแจกแจงข้อมูล (Classification) เป็นการจัดระบบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อจะทําให้ – ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือน (Similar ties) และความแตกต่าง (Differences) ของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดทิศทางในการเลือกสรร การรวบรวม การจัดระบบระเบียบของข้อมูล และสร้างกรอบความคิด ยุทธวิธีในการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการศึกษาข้อมูลของประเทศพม่าเกี่ยวกับ บทบาทของนักศึกษา ข้อมูลที่ได้จะต้องมีการจัดระเบียบในเรื่องของขบวนการนักศึกษาก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เคยเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ มีผลกระทบอะไรบ้าง ซึ่งอาจเปรียบเทียบกับบทบาทของนักศึกษาไทยก็ได้ แต่จะต้อง ใช้ข้อมูลที่มีการแจกแจงอย่างเดียวกันมาพิจารณา

ประโยชน์ของการศึกษาเปรียบเทียบ

1 ทําให้เราสามารถศึกษาได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถลงในรายละเอียดของการศึกษา เปรียบเทียบ และช่วยให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน

2 ทําให้เห็นมุมมองที่กว้างมากขึ้น อันจะนําไปสู่การศึกษาและเกิดการพัฒนาในองค์ความรู้ จากระดับประเทศไปยังระดับนานาชาติ หรือระดับสากลต่อไป

3 ทําให้ได้รับการยอมรับและสร้างความสัมพันธ์ในระหว่างประเทศที่ดี รวมทั้งยังเป็น แนวทางในการศึกษาให้กับการพัฒนากระบวนการศึกษาเปรียบเทียบให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

4 ช่วยเสริมสร้างให้กับวิชารัฐศาสตร์มีชีวิตชีวา เกิดการปะทะสัมพันธ์ของนักวิชาการ ทางสังคมศาสตร์ซึ่งไม่ได้จํากัดแต่นักรัฐศาสตร์ และที่สําคัญได้สร้างและปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยที่เป็นระบบขึ้น รวมทั้งยังสามารถให้การอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรทางสังคมศาสตร์ได้ค่อนข้างชัดเจน

ขั้นตอนกระบวนการของการศึกษาเปรียบเทียบ

ในขั้นตอนกระบวนการของการศึกษาเปรียบเทียบนั้น นักวิชาการการเมืองเปรียบเทียบได้ พยายามสร้างเอกลักษณ์ของการศึกษาเปรียบเทียบ โดยพิจารณาจากพื้นฐานความคิดทางตะวันตกหลาย ๆ ด้าน ด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นได้รับอิทธิพลจากปรัชญาเชิงประจักษ์ โดยเห็นว่าระเบียบวิธีการแสวงหาความจริงใน สังคมนั้นเกิดจากการสัมผัสของประสาททั้ง 5 เป็นสําคัญ ซึ่งเป็นสาระสําคัญของวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นที่การทดลองและการสังเกตเป็นสําคัญ

สิ่งที่มักนํามาทําการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ

1 การวิเคราะห์เปรียบเทียบพรรคการเมืองในยุคต่าง ๆ

2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบตุลาการในยุคต่าง ๆ

3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการปกครองส่วนท้องถิ่น อบต. และ อบจ.

4 การวิเคราะห์เปรียบเทียบชนชั้นในยุคต่าง ๆ

5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารในยุคต่าง ๆ

6 การวิเคราะห์เปรียบเทียบสื่อมวลชนในยุคต่าง ๆ

7 การวิเคราะห์เปรียบเทียบวัฒนธรรมการเมืองในยุคต่าง ๆ

8 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในยุคต่าง ๆ

9 การวิเคราะห์เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ

10 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคณะกรรมการการเลือกตั้งในยุคต่าง ๆ เป็นต้น

 

ในส่วนของความเป็นศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ (Science) นั้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือเป็น สังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษาเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัยรูปแบบ แบบแผน พฤติกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคมหรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบการเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุด เครื่องมือหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากความคิดและสติปัญญา โดยการตรึกตรองและ การวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผล ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตัวแปรที่ควบคุมได้ แล้วจึงทําการทดสอบเพื่อหาข้อสรุป ที่ต้องการ

2 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้ทําการศึกษา ซึ่งได้แก่ การดู การฟัง การสัมผัส เป็นต้น โดยจะต้องปลอดจากค่านิยมหรือตัดอคติออกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้

มหกรรมหรือกิจกรรมโลกเปรียบเทียบเน้นศึกษาในประเด็นที่สําคัญ 3 เรื่อง คือ

1 การพัฒนา ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน และชี้วัดความเป็นอยู่ของประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการพัฒนานั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ เช่น

– การพัฒนาเศรษฐกิจ คือ การทําให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม

– การพัฒนาการศึกษา คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการ เรียนรู้ของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา

– การพัฒนาสังคม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย อาหาร – เครื่องนุ่งห่ม สุขภาพอนามัย การศึกษา การมีงานทํา มีรายได้เพียงพอในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนอย่างมีระบบ

2 ความเป็นประชาธิปไตย ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ คือ ต้องยึดถืออํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องมีการเลือกตั้ง ยึดหลักของเสียงข้างมาก สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพและการรับฟัง ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง มีเสรีภาพ ในการแสดงออก มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณา ความเป็นประชาธิปไตยได้จากเรื่องต่าง ๆ เช่น

– หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี เป็นแนวทางสําคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึง ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรู้รักสามัคคี และ รวมกันเป็นพลังก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหลักธรรมาภิบาลนั้นจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้ หลักความคุ้มค่า และหลักคุณธรรม

– หลักสิทธิมนุษยชน (Human Right) คือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและ การกระทําที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิที่ได้มาพร้อมกับการเกิด และเป็นสิทธิติดตัวบุคคลนั้น ตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ในเขตปกครองใด หรือเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ ซึ่งไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในชีวิต เป็นต้น

3 สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน และเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผลกระทบ จากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทําลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมยังถือว่าเป็น วงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ สิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา น้ํา ดิน ฟ้า อากาศทรัพยากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม ชุมชนเมือง ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม – ศาสนา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

 

ข้อ 2 โครงสร้าง (Structure) คืออะไร ?

แบ่งออกเป็นลักษณะอย่างไรบ้าง ?

หน้าที่ (Function) คืออะไร ?

แบ่งออกเป็นลักษณะอย่างไรบ้าง ?

และให้เขียนอธิบายลักษณะการทําหน้าที่ของระบบการเมือง โดยยกรูปแบบแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ซึ่งพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบของ Gabriel Almond หรือ David Easton เลือกทําเพียงหนึ่งแนวคิดเท่านั้น

แนวคําตอบ

โครงสร้าง (Structure) คือ แบบแผนของกิจกรรมที่ทํากันสม่ำเสมอ โดยผู้ที่กระทํากิจกรรมจะ มีบทบาทแตกต่างกันไป แต่เมื่อรวมบทบาทของกิจกรรมเหล่านี้เข้าด้วยกันจะได้เป็นโครงสร้างนั้น ๆ เช่น โครงสร้าง ของรัฐสภา ประกอบด้วย ประธานสภา รองประธานสภา เลขาธิการ และสมาชิก ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีบทบาทแตกต่าง กันไป แต่เมื่อเรารวมเอาบทบาทของส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว เราก็จะได้โครงสร้างของรัฐสภานั่นเอง

 

ลักษณะของโครงสร้าง แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1 โครงสร้างที่เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น อุดมการณ์ ความเชื่อ ความคิด ค่านิยม ความชอบ ทัศนคติ ความงมงาย การรับรู้ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยากเนื่องจากจะต้องใช้ระยะเวลาในการปลูกฝังหรือถ่ายทอดที่ค่อนข้างยาวนาน และมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นจึงทําให้โครงสร้างที่เป็น นามธรรมมีการปรับเปลี่ยน แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าเมื่อใด ก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วก็จะยังคงอยู่

2 โครงสร้างที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ วัดได้ หรือสัมผัสได้ เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นต้น ซึ่งถือเป็น โครงสร้างที่เปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรับปรุงได้ง่ายกว่าโครงสร้างที่เป็นนามธรรม กล่าวคือ ถ้าต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็สามารถกระทําได้ทันที

3 โครงสร้างกึ่งนามธรรมถึงรูปธรรม เป็นทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ซึ่งบังคับให้เรา คิดอยากจะทําหรือไม่ทําให้ชอบหรือไม่ชอบ ให้เชื่อหรือไม่เชื่อ โดยทั่วไปแล้วมักแฝงไว้ด้วยเจตนารมณ์ของโครงสร้าง เหล่านั้นเสมอ ตัวอย่างของโครงสร้างกึ่งนามธรรมถึงรูปธรรม เช่น กฎหมาย ประกาศ คสช. สัญลักษณ์ สถาบัน (ศาลรัฐธรรมนูญ) กลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น

หน้าที่ (Function) คือ กิจกรรม (Activity), วัตถุประสงค์ (Purpose) และผลที่ตามมา (Consequence) หรือในบางครั้งอาจหมายถึงตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรอื่น ๆ ซึ่งอาจใช้อธิบายถึงคุณค่า ในตัวของมันเอง หรือเป็นคุณค่าที่เกิดตามตัวแปรอื่นก็ได้ โดยนักสังคมศาสตร์ได้สรุปเกี่ยวกับหน้าที่ไว้ 3 ประการ ดังนี้

1 หน้าที่คือการศึกษาระบบทั้งระบบ เช่น ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ระบบอุตสาหกรรม ฯลฯ โดยถือว่าระบบต่าง ๆ เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis)

2 หน้าที่นิยมจะมีความสําคัญมาก-น้อยแตกต่างกันออกไป เมื่อเป็นดังกล่าวหน้าที่ บางอย่างจึงมีความจําเป็นสําหรับระบบทั้งหมด (The Whole System)

3 หน้าที่บางประการมีลักษณะพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Interdependent) ต่อโครงสร้าง หลาย ๆ โครงสร้าง กล่าวคือ หลายระบบต้องพึ่งพิงจากหน้าที่ดังกล่าว

ลักษณะทั่วไปทั้ง 3 ประการของหน้าที่ดังกล่าวเป็นเหตุให้นักสังคมศาสตร์เห็นว่าในระบบใด ระบบหนึ่งเป็นระบบสังคมหรือระบบการศึกษา ต่างก็มีหน้าที่หลักของแต่ละระบบอยู่ เช่น ในระบบหนึ่ง ๆ ก็จะต้อง มีวัฒนธรรมทําหน้าที่เป็นองค์ประกอบให้ระบบสังคมนั้น ๆ ดํารงอยู่ได้ วัฒนธรรมดังกล่าวอาจประกอบไปด้วย ภาษา ศาสนา ฯลฯ

แนวคิดทฤษฎีระบบของ Gabriel Almond

Almond เห็นว่า ระบบ (System) มีความสําคัญกว่ากระบวนการ (Process) ทางการเมือง เช่น หน่วยทางการเมืองต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

Almond เชื่อว่า ถ้าผู้ศึกษาเปรียบเทียบให้ความสําคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและการแสดงออก ของคนจะช่วยให้การศึกษาเปรียบเทียบก้าวสู่ขั้นที่ก้าวหน้าไปจากการศึกษาเดิมที่ให้ความสําคัญกับกฎหมายและ พิธีการ และจากหน่วยการวิเคราะห์เดิมที่ศึกษาสถาบันทางการเมืองเป็นหลัก นักรัฐศาสตร์ก็จะหันมาสนใจ “บทบาท” (Role) และ “โครงสร้าง” (Structure) ซึ่ง Almond ได้ให้คําจํากัดความของบทบาทว่าเป็นหน่วยที่มีการปะทะสัมพันธ์ ในระบบการเมือง และแบบแผนของการปะทะสัมพันธ์ก็คือระบบนั้นเอง

จากประเด็นดังกล่าวนั้นจึงเป็นจุดเริ่มทางความคิดของทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ที่ Almond ได้ นําเสนอและเป็นหน่วยใหม่ในการวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ โดย Almond เสนอ “ระบบการเมือง” แทนความหมายเก่า ทางรัฐศาสตร์ที่ใช้อยู่เดิม คือ รัฐธรรมนูญ เหตุผลก็เพื่อเลี่ยงการศึกษารัฐศาสตร์ยุคเดิมที่มุ่งแต่ศึกษาแนวกฎหมายและ สถาบันเป็นสําคัญ นอกจากนี้ Almond ยังได้กําหนดคุณลักษณะของการเปรียบเทียบระบบการเมืองไว้ 4 ประเด็น คือ

1 ในระบบการเมืองทุกระบบต่างก็จะต้องมีโครงสร้างทางการเมือง

2 มีหน้าที่ปฏิบัติเหมือนกันในทุก ๆ ระบบการเมือง

3 โครงสร้างทางการเมืองทุกระบบมีลักษณะที่เรียกว่า “ความหลากหลายของหน้าที่”

4 ในระบบการเมืองทั้งหมดจะมีการผสมผสานในหลาย ๆ วัฒนธรรม

Almond เห็นว่า ระบบการเมืองเป็นการศึกษาถึงขอบเขตทั้งหมดของกิจกรรมทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละแห่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วระบบการเมืองจะมีหน้าที่หลายประการ ทั้งนี้เพราะระบบการเมือง เกี่ยวข้องกับความชอบธรรมในการใช้อํานาจลงโทษ หรือบังคับสมาชิกของระบบการเมือง ซึ่งหน้าที่ (Function) ของระบบการเมืองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1 หน้าที่ในการส่งปัจจัยเข้าสู่ระบบ (Input Functions) ได้แก่

1) การอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

2) การคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบการเมือง (Political Recruitment) ซึ่งหมายถึง การคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ทางการเมือง

3) การเป็นปากเสียงของผลประโยชน์ที่ชัดเจน (Interest Articulation) หมายถึง การแสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยที่ตัดสินใจกําหนด นโยบายต่อไป

4) การรวบรวมผลประโยชน์ Interest Aggregation) ก็คือ การสมานฉันท์ของ การเรียกร้องที่เสนอเข้าสู่ในระบบการเมือง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

5) การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) คือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยน ข่าวสารของส่วนต่าง ๆ ในระบบและระหว่างระบบ

2 หน้าที่ในการส่งปัจจัยออกจากระบบการเมือง (Output Functions) ได้แก่

1) การออกกฎระเบียบ (Rule Making) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ 2) การบังคับใช้กฎระเบียบ (Rule Application) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายบริหาร

3) การตีความกฎระเบียบ (Rule Adjudication) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายตุลาการ

นอกจากนั้น Almond ยังมีความเห็นสอดคล้องกับความคิดของ Easton นั่นคือ การเรียกร้อง และการสนับสนุน

– การเรียกร้อง แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ

1) การเรียกร้องให้มีการจัดสรรสินค้าและบริการ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มสถานศึกษา เพิ่มสถานพยาบาล ฯลฯ

2) การเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมความประพฤติ เช่น การขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า คุ้มครองลิขสิทธิ์ ปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ

3) การเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในระบอบการเมือง เช่น เรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) การเรียกร้องให้มีการสื่อสารและได้รับทราบข้อมูลจากระบบการเมือง เช่น

ต้องการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การยืนยันสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายว่า

ไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน ฯลฯ

– การสนับสนุน มีอยู่ 4 ประการ คือ

1) การสนับสนุนทางวัตถุ เช่น การสนับสนุนในรูปตัวเงิน การจ่ายภาษีให้รัฐโดยไม่บิดพลิ้ว การเข้ารับราชการทหาร ฯลฯ

2) การเคารพกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เช่น การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

3) การสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้งการออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) สนใจข่าวสารของรัฐ เคารพผู้มีอํานาจทางการเมือง สัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้ง

พิธีการของสังคม

จะเห็นได้ว่า ทั้งข้อเรียกร้องและการสนับสนุนรัฐบาล ล้วนเป็นเรื่องของการกําหนดนโยบาย สาธารณะของประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น นอกจากนี้ Almond ยังเห็นว่า ระบบการเมือง ทุกระบบจะต้องมีปะทะสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม 2 ด้าน คือ

1 สิ่งแวดล้อมภายใน ซึ่งได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ สภาพทรัพยากรของประเทศ ระบบการศึกษา ระบบเทคนิควิทยาของประเทศ

2 สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งได้แก่ การทูต สงคราม การค้าระหว่างประเทศ การสื่อสารระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ เป็นต้น

แนวคิดทฤษฎีระบบของ David Easton

David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสร้างระบบที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และพฤติกรรมของระบบการเมืองได้

1 ปัจจัยนําเข้า (Input) หมายถึง ปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลหรือวัตถุดิบที่เข้าสู่ระบบเพื่อ ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและตัดสินใจออกมาในรูปของนโยบาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ซึ่งปัจจัยนําเข้านี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1) การเรียกร้อง (Demand) อาจจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของการเรียกร้องเอง เช่น กรณีประชาชนที่เดือดร้อน ในเรื่องที่ทํากินและปัญหาหนี้นอกระบบ ถ้าประชาชนเพียงคนเดียวเรียกร้องรัฐบาลอาจจะไม่รับฟัง หรือรับฟังแต่ไม่ ตอบสนอง ในทางตรงกันข้าม ถ้าประชาชนจํานวนมากรวมตัวกันเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชุมนุมเดินขบวนปิดถนน ฯลฯ ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็จะมีผลเกิดขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนําไปพิจารณาต่อไป

2) การสนับสนุน (Support) หมายถึง การที่สมาชิกของสังคมการเมืองให้การสนับสนุน ระบบตลอดจนการดําเนินการของระบบการเมือง ซึ่งการให้การสนับสนุนนี้อาจจะอยู่ในรูปของการแสดงออกที่สามารถ เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบของบ้านเมือง การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น โดยการ สนับสนุนนี้สามารถแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ

– การสนับสนุนประชาคมทางการเมือง คือ การที่สมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในระบบการเมือง มีความผูกพันกันในแง่ของความตั้งใจร่วมมือร่วมแรงกันในการแก้ไขปัญหาของระบบการเมือง ซึ่งจะแสดงออกโดยการแบ่งงานกันทํา เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนักศึกษา กลุ่มสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุน ประชาคมทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคมร่วมกันนั่นเอง

– การสนับสนุนระบอบการเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง ความชอบธรรมของระบอบการเมืองในการทําให้สมาชิกยอมรับ เช่น ระบอบประชาธิปไตยมีความชอบธรรมที่จะ ให้สมาชิกของสังคมยอมรับในกฎกติกา รัฐธรรมนูญ และรูปแบบการปกครองด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามระบอบ การเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนจะมีผลเสียอย่างมาก นั้นคือ มีผลทําให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรง เกิดจลาจลขึ้นได้

– การสนับสนุนผู้มีอํานาจหน้าที่ทางการเมือง หมายถึง การสนับสนุนบุคคล ที่เข้าไปทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือรัฐบาล โดยดูจากความพึงพอใจของสมาชิกต่อการตัดสินใจของระบบ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ํามัน หรือดูจากความพอใจต่อนโยบาย รถยนต์คันแรก เป็นต้น

2 ระบบการเมือง (System) หรือผู้ตัดสินใจ ประกอบด้วย

1) ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) ทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งต่อไปสู่ระบบ การเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างผู้เฝ้าประตู เช่น กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นต้น

2) รัฐบาลหรือรัฐสภา (ผู้ตัดสินใจ)

3 ปัจจัยนําออก (Output) เป็นผลของการตัดสินใจของผู้มีอํานาจหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การจัดสรรสิ่งที่มีค่าในระบบการเมืองนั้น ซึ่งสาเหตุของการเกิด Output อาจสรุปได้ดังนี้ คือ

(1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบการเมือง เช่น เศรษฐกิจตกต่ํา อัตราการว่างงานสูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเมือง

2) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการเมืองเอง ซึ่ง Output ประเภทนี้จะมีผล ต่อระบบการเมืองและสภาพแวดล้อมของระบบ

จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ผ่านออกมาจากระบบนั้น จะมีลักษณะบังคับ เช่น ประกาศ คําสั่ง ข้อบังคับ กฎหมาย ฯลฯ นอกจากนี้การดําเนินการยังมีผลผูกพันเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยประโยชน์และ ความสะดวกแก่คนบางกลุ่มในระบบนั่นเอง

4 การสะท้อนป้อนกลับ (Feedback) ก็คือ การป้อนข้อมูลย้อนกลับเพื่อนํามาสู่กระบวนการ Input อีกครั้งหนึ่งว่า Output ที่ออกไปนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

5 สิ่งแวดล้อม (Environment) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิด กับระบบการเมืองมาก ประกอบด้วย

-สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสภาพทั่วไป เช่น อาคาร สิ่งปลูกสร้างชุมชน ถนน ลําคลอง ฯลฯ

– สิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความมีเหตุผล

– การร่วมมือร่วมใจกัน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

– สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาและสังคม ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมในสังคม โครงสร้างทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างด้านประชากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ําของโลก ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

หมายเหตุ นักศึกษาเลือกตอบนักคิดคนใดคนหนึ่งเท่านั้น

 

ข้อ 3 การพัฒนาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

สังคมการเมืองไทยมีการพัฒนาที่แท้จริงหรือไม่ อย่างไร ?

ใช้สิ่งใดเป็นดัชนีชี้วัดการพัฒนา ?

ทันสมัยแต่ด้อยพัฒนาคืออะไร ?

จงอธิบายและเสนอมาตรการที่ควร ดําเนินการเพื่อให้ประเทศไทยมีการพัฒนาทางการเมืองไทยอย่างแท้จริง (ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี, ไทยแลนด์ 4.0 ฯลฯ)

แนวคําตอบ

การพัฒนาที่แท้จริง คือ กระบวนการที่ทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ยังทําให้เกิดการกระจายรายได้ ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค นั่นคือ ประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน และนําไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยถ้วนหน้า

ในสังคมไทยนั้นถือว่ายังไม่มีการพัฒนาที่แท้จริง แม้ว่าประเทศไทยจะมีการใช้แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาแล้วหลายฉบับก็ตาม กล่าวคือ การทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง โดยพบว่า ไม่มีการกระจายรายได้ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค ซึ่งประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งยังไม่ได้ให้ความสําคัญในเรื่องของการพัฒนาคนเท่าที่ควร

ดัชนีชี้วัดการพัฒนา ได้แก่

1 ความมั่นคงทางการเมือง หรือบางครั้งอาจใช้คําว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” ก็ได้ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก

– ความต่อเนื่องของระบบการเมือง ซึ่งเราพบว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือมีความ มั่นคงทางการเมือง มักจะมีความต่อเนื่องทางการเมือง ไม่มีการแทรกแซงของทหาร กลไกทางการเมืองดําเนินไป ตามกฎหมายที่กําหนดไว้ ขณะที่การเมืองในประเทศที่กําลังพัฒนามักมีปัญหาเรื่องของการแทรกแซงของทหาร หรือถูกแทรกแซงจากภายนอกซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขทางการเมือง

– ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มักถูกเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางการเมืองเสมอ เนื่องจากประเทศใดที่มีเศรษฐกิจไม่ดี มีคนว่างงานจํานวนมาก รายได้ของประชาชนน้อยลง สินค้ามีราคาแพงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน ดังนั้นเสถียรภาพหรือความมั่นคงทางการเมืองย่อมลดลงถ้าเศรษฐกิจตกต่ํา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตค่อนข้างสูงก็จะทําให้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลมีมากเช่นกัน

– สังคม ปัญหาสังคมมักเชื่อมโยงกับปัญหาทางเศรษฐกิจ และนําไปสู่ปัญหาทาง การเมืองของประเทศ ตัวอย่างเช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของยาเสพติด ปัญหาของคนว่างงาน ปัญหาของผู้ไร้ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

2 สถาบันทางการเมือง

– รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกฎหมายสูงสุด และเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญของ ประเทศ เนื่องจากรัฐธรรมนูญจะเป็นตัววางกรอบโครงสร้างทั้งหมดทางการเมืองที่จะพูดถึงในเรื่องสิทธิ อํานาจหน้าที่ และที่มาของสถาบันตัวอื่น ๆ รวมทั้งสมาชิกทางการเมืองในแบบต่าง ๆ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงต้องมีความชอบธรรม ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมและวิถีการดําเนินชีวิตของคนในชาติ นอกจากนี้จะต้องไม่มีความเอนเอียง หรืออํานวยประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกยับยั้งและเกิดการรวมกลุ่มของประชาชน เพื่อต่อต้าน ดังนั้นการมีรัฐธรรมนูญที่ดีจึงก่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ

– สภา ถือเป็นสถาบันทางการเมือง ซึ่งเราให้ความสนใจในเรื่องที่มาและอํานาจหน้าที่ ของสภาว่ามีอะไรบ้าง สมาชิกมาจากการสรรหาหรือการแต่งตั้ง สัดส่วนของ ส.ส. และ ส.ว. เป็นเท่าใด สิ่งเหล่านี้ จะถูกนํามาพิจารณาทั้งสิ้น นอกจากนี้เรายังมองไปถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสภาว่ามีลักษณะเช่นไร

– พรรคการเมือง ถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญที่จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรค ที่มีนโยบายและอุดมการณ์ของตนเองได้มีบทบาทในการสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อเป็นตัวแทนให้กับ ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ในสภา พรรคการเมืองที่มีโอกาสทําหน้าที่บริหารประเทศ จะต้องรู้จักวางแนวทางในการ ทําหน้าที่เมื่อเป็นรัฐบาล มีนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศชาติเสมอ

3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาการเมือง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ประเทศมีสภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา การเมืองก็มักจะขับเคลื่อนไปได้ยาก ฉะนั้นถ้าประเทศใดก็ตามที่มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการศึกษาที่ดี และมีความรู้ การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ยาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า ประเทศใดมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา ประชาชนอดอยาก ขาดการศึกษา การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ง่าย ดังนั้น จะเห็นว่าการพัฒนาทางการเมืองจึงมักจะถูกเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเสมอโดยทั้ง 2 ตัวแปรมักแยกกันไม่ออก เป็นต้น

“ทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา” คือ ลักษณะของการทําตามสมัยที่นิยมกัน หรือกลุ่มชนในแต่ละยุค แต่ละสมัยในการดํารงชีวิต เช่น การแต่งกาย การใช้สอย การกิน การปฏิบัติตน ฯลฯ ซึ่งคนที่ทําตามกันนี้จะเรียกว่า คนทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันกลับหาเนื้อหาสาระสําคัญที่ควรจะเป็นไม่ได้ ทําตามแต่เปลือกไม่ได้เอาแก่นสําคัญ มาด้วย หรือทําตามทั้ง ๆ ที่ผิด ไม่มีการแยกแยะจึงทําผิดตามไปด้วย หรืออาจกล่าวได้ว่ามีแต่ปริมาณแต่ขาด คุณภาพเมื่อเปรียบกับสังคมที่พัฒนาแล้ว

ตัวอย่างของความทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา เช่น

– การที่คนไทยใส่สูท (อย่างตะวันตก) ประชุมงานระดับโลก แต่การตัดสินใจยังใช้ความรู้สึกการคาดเดา มากกว่าที่จะใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมหรือคู่มือที่ผ่านการวิจัยและพัฒนามาแล้ว

– การที่คนไทยมีรถยนต์หรูหรือยี่ห้อดัง ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่กลับพบว่าไม่มีรถยี่ห้อของคนไทยสักที ทั้งที่เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่มีรถยนต์เข้ามาในประเทศ

– การได้รับโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนที่สูง หรือศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่มีความเสื่อมถอยทางปัญญา เชื่อโฆษณา ติดความหรูหรา ซื้อของที่ ไร้ค่าในราคาแพง มีนิสัยฟุ่มเฟือย ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนมีคุณค่า/ไร้คุณค่าซื้อแค่ตามแฟชั่นเท่านั้น

– โรงพยาบาลนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เพียงเพื่อหวังผลทางธุรกิจการแพทย์ โดยไม่ได้ศึกษาถึงผลกระทบที่มีต่อผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการ

– การมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โต แต่กลับพบว่ามีสินค้าถูกปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลงที่ขายปนกับอาหาร

– การปลูกบ้านที่สวยงามใหญ่โต หรือสร้างถนนหนทางใหม่ ซึ่งไปขวางทางน้ำจนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกปี

– การใช้โทรศัพท์เกินความจําเป็น โทรคุยนานทําให้เสียเงินโดยไม่จําเป็น

– การร้องเรียนผ่านเว็บ แต่เป็นการกลั่นแกล้งกัน ใส่ร้ายกัน

– การมีเครื่องมือเตือนภัยมากมาย แต่ใช้งานไม่เป็น ฯลฯ การดําเนินการเพื่อให้มีการพัฒนาทางการเมืองไทยอย่างแท้จริง

สาระสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (ปี 2560 – 2579) ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ เป้าหมายอนาคตของชาติที่คนไทยทุกคนต้องการบรรลุร่วมกัน รวมทั้งยุทธศาสตร์หลัก / นโยบายแห่งชาติและ มาตรการเฉพาะ ซึ่งเป็นแนวทาง ทิศทาง และวิธีการที่ทุกองค์กรและคนไทยทุกคนต้องมุ่งดําเนินการไปพร้อมกัน อย่างประสานสอดคล้องเพื่อให้บรรลุซึ่งสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการ คือ ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง และ ยั่งยืน ในทุกสาขาของกําลังอํานาจแห่งชาติ อันได้แก่ การเมืองภายในประเทศ การเมืองต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคนไทยทุกคนอยู่ดีมีสุข

รัฐบาลจึงได้ประกาศแผน ฯ.ปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ตามยุทธศาสตร์ชาติ เช่น พัฒนาให้มี ความรู้ความเข้าใจการเมืองการปกครอง, พัฒนาโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้ทันสมัย, ทบทวนหรือยกเลิกกฎหมาย ที่ล้าสมัย, กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้, ยกระดับผลิตภาพ ความสามารถใน การแข่งขันสูงขึ้น, รักษา ฟื้นฟูให้สมบูรณ์ละยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

มาตรการดังกล่าวนั้นสามารถทําให้ประเทศไทยเกิดการพัฒนาที่แท้จริงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในอนาคต หากประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง โดยมีประเด็นการพัฒนาที่สําคัญดังต่อไปนี้ คือ

1 การพัฒนาคน / ทรัพยากรมนุษย์ในทุกช่วงวัย เป็นการพัฒนาในทุกมิติทั้งด้านความรู้ ทักษะ ทัศนคติ สุขภาพกายและจิตใจ และจิตวิญญาณอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไทยเป็นคนมีคุณภาพอย่างแท้จริง

2 การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการให้บริการทางสังคมเป็นไปอย่างทั่วถึง

3 การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการที่มุ่งสู่คุณภาพ มาตรฐาน และความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจศักยภาพสูงบนฐานของการเพิ่มผลิตภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสําหรับการพัฒนา เศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม

4 การปฏิรูปภาครัฐและกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสร้างความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ให้บริการคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

5 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้ก้าวหน้าทันโลก สามารถ ตอบโจทย์การผลิตและบริการที่มีมูลค่าสูงและแข่งขันได้ และมีคุณค่าทําให้คุณภาพชีวิตดีโดยการสร้างสภาวะ แวดล้อมและปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อก้าวผ่านจากการเป็นผู้ซื้อ เทคโนโลยีไปสู่การเป็นผู้ผลิตและขายเทคโนโลยี เป็นต้น

 

ข้อ 4 การพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริงเกี่ยวโยงกับการกล่อมเกลาทางสังคมการเมือง (Political Socialization) อย่างไร ?

อธิบายถึงกระบวนการกล่อมเกลาในแง่ IQ, EQ และจริยะ ควรเน้นไป ในเรื่องใดบ้าง ?

และผู้ใดเป็น Change agents ที่ทําการปลูกฝังกล่อมเกลาให้สมาชิกในสังคม เป็นไปตามแบบที่ต้องการ

แนวคําตอบ

ความเกี่ยวโยงของการกล่อมเกลาทางสังคมการเมือง (Political Socialization) กับ การพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง มีดังนี้

1 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะเป็นวิธีการที่สังคมส่งผ่านความโน้มเอียงทาง การเมืองในรูปแบบต่าง ๆ อันได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมจากรุ่นหนึ่งไปยังคนรุ่นถัดไป หากไม่มี กระบวนการดังกล่าวแล้วสมาชิกใหม่ของระบบการเมืองซึ่งโดยส่วนใหญ่ได้แก่เด็ก ๆ ก็จะต้องค้นหาแบบแผน ของความโน้มเอียงทางการเมืองใหม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างแท้จริงคงเกิดขึ้นได้ยาก

2 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะช่วยสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในรูปแบบใหม่ขึ้นมา เมื่อบริบทของสังคมการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีหน้าที่สําคัญในการสอดประสานกับวัฒนธรรมทางการเมือง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งก็คือ การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข และการธํารงรักษาไว้ ซึ่งวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศชาติต่อไป

3 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะทําให้เกิดการเรียนรู้ในการแสดงบทบาทของ ตนเองในอนาคต เกิดการเชื่อมโยงจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม แม้ว่าในปัจจุบันยังมิได้อยู่ในสถานภาพเช่นนั้น แต่ก็มีความตั้งใจและแนวโน้มที่จะพยายามลงมือกระทําตามบทบาทหน้าที่นั้น ๆ ซึ่งจะทําให้เกิดความกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้ถึงบทบาทหน้าที่ดังกล่าว ด้วยการรับเอาการกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองของหน่วยตัวแทนต่าง ๆ เข้ามา เพื่อให้ตนเองสามารถแสดงบทบาทในอนาคตของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

4 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะถูกนําไปใช้เป็นพื้นฐานสําคัญของการวางแผน การเรียนรู้และพัฒนาทางด้านการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองของประชาชนไทย ซึ่งเป็นส่วนสําคัญประการหนึ่งของ การปฏิรูปทางการเมือง ที่จําเป็นจะต้องให้ความสําคัญกับการปฏิรูปที่ “คน” ซึ่งเป็นสมาชิกของระบบการเมือง นอกเหนือไปจากการปฏิรูปที่ตัวระบบ (System) เช่น การสร้างสรรค์รัฐธรรมนูญ การสร้างความเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง ให้กับพรรคการเมือง การพัฒนาระบบการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม การพัฒนาระบบการตรวจสอบการ ใช้อํานาจของรัฐ ฯลฯ อันจะนําไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบต่อไปในอนาคต เป็นต้น

กระบวนการกล่อมเกลาในแง่ IQ (ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา), EQ (ความฉลาดทางอารมณ์) และจริยะ (ความประพฤติ/กิริยาที่ควรประพฤติ) นั้นควรจะมุ่งเน้นไปในเรื่องดังต่อไปนี้

1 ประชาชนรู้จักแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนถูกและสิ่งไหนผิด สามารถรับรู้และเข้าใจอารมณ์ทั้งของ ตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์

2 ประชาชนเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความคิด รู้จักใช้เหตุผล การเชื่อมโยง และรู้จักแสวงหาความรู้ เพิ่มเติมให้กับตนเอง หรือรู้จักพัฒนาความสามารถของตนเองในการทํางานเพื่อองค์กรและนําไปสู่การพัฒนาของ ประเทศในอนาคต

3 ประชาชนมีค่านิยมที่เน้นวัฒนธรรม อาทิ ความภูมิใจในการเป็นคนไทย การเคารพ ผู้อาวุโส เสียสละเวลาทํางานเพื่อส่วนรวม ปฏิบัติตามหลักศาสนา และการประกอบอาชีพสุจริต

4 ประชาชนมีการขับเคลื่อนตนเองไปในทางที่ดี เพื่อกําจัดการกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ซึ่งประชาชนจะต้องมีคุณธรรมทางด้านดี อาทิ ความซื่อสัตย์ ความดี ความรัก ความเคารพ ความศรัทธา การให้อภัย และอารมณ์ขัน สิ่งเหล่านี้สามารถทําให้ประชาชนรับและยอมรับแรงกดดันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้

5 ประชาชนมีความเป็นพลเมือง (Citizenship) ซึ่งเป็นเรื่องของการมีสิทธิ เสรีภาพ การมีส่วนร่วมในสังคม รวมไปถึงการมีอิสรภาพ การพึ่งตนเองได้ การเคารพสิทธิ มีความรับผิดชอบต่อสังคม เคารพกติกาบ้านเมือง ไม่ใช้ความรุนแรง มีจิตสาธารณะ เป็นต้น

ผู้กระทําการ (Change agents) ที่จะปลูกฝังกล่อมเกลาให้สมาชิกในสังคมเป็นไปตาม แบบที่ต้องการ มีดังนี้

– ครอบครัว ภารกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยนั้นจําเป็นต้องใช้สื่อ ในการสร้างความรู้ทางการเมือง โดยเฉพาะครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยแรกในการฝึกให้เด็กได้รับรู้สภาพและเป็น การปูพื้นฐานทางการเมือง นักรัฐศาสตร์เปรียบเทียบได้ให้ความสําคัญกับครอบครัวและบทบาทของครอบครัว ในการสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กเป็นอย่างมาก ซึ่งครอบครัวจะช่วยในเรื่องการกล่อมเกลาทางการเมืองได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ

1) ครอบครัวจะช่วยถ่ายทอดทัศนะของพ่อแม่ต่อเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้สภาพ ความคิดและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นจากทัศนคติของพ่อแม่ เช่น ถ้าพ่อแม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือเปิดโอกาสและพูดคุยการเมืองให้กับเด็กแล้ว เด็กคนนั้นก็จะได้รับรู้และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ แม้ว่า บางครั้งในสังคมไทยอาจจะมีบางครอบครัวที่มีความเผด็จการกับลูก ๆ อยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมี ความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าเผด็จการ

2) พ่อแม่จะมีลักษณะเป็นตัวแบบให้กับเด็ก โดยเด็กจะมีการเลียนแบบจากสิ่งที่ พ่อแม่กระทํา เช่น พฤติกรรมในการกิน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อื่น ความมีน้ําใจ การมีส่วนร่วม การมีนิสัย ชอบการเลือกตั้ง ชอบแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เด็กจะเรียนรู้และตามแบบจากพ่อแม่

3) บทบาทและสิ่งที่เด็กคาดหวังที่จะกระทําเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จะมีความสัมพันธ์กับ การแสดงออกทางการเมืองของเขา เด็กจะแสดงออกทางการเมืองอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความหวังที่เขาได้รับเมื่อ ครอบครัวสั่งสอน เขาอาจมีเป้าหมายที่จะเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเขาเติบโตขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลผูกพันกับระบบการเมืองแทบทั้งสิ้น

– โรงเรียน นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างให้เกิดสังคมที่ดี และเป็นหน่วยสร้าง การกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยของไทย ซึ่งโดยทั่วไปเด็กมีโอกาสได้รับอิทธิพลในการเรียนรู้ จากโรงเรียนค่อนข้างมาก เนื่องจากระยะเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมีเวลานาน จึงเป็นผลให้ความรู้ทางการเมืองที่เด็ก ๆ จะได้รับมีการสะสมมานานจนสามารถฝังอยู่ในความทรงจํา

-ในสังคมไทยนั้นระบบโรงเรียนและการจัดการเรียนการสอนนับว่ามีอิทธิพลต่อความเชื่อ ของเด็กมาก เด็กมักจะเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ เนื่องจากมีโอกาสอยู่ในโรงเรียนมากกว่าที่บ้าน เมื่อเด็กมีการศึกษา มากขึ้นโอกาสที่เขาจะได้รับรู้ความเป็นไปทางการเมืองก็จะมากกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา เนื่องจากเขาสามารถศึกษา เพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ บทความ การสนทนาทางวิชาการ ฯลฯ ซึ่งคนที่ด้อยการศึกษาอาจไม่ได้รับ ในรายละเอียดได้มากเท่ากับคนที่มีการศึกษา นอกจากนี้โรงเรียนยังช่วยในการสร้างค่านิยมของระบอบประชาธิปไตย ให้เยาวชนผูกพันกับระบอบประชาธิปไตยได้อีกด้วย

– สื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ ต่างก็เข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันของประชาชนมากขึ้น ซึ่งในการสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคม ประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการอบรมหรือเป็นช่องทางในการเผยแพร่และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นการนําเสนอข้อมูลของสื่อมวลชนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการ พัฒนาการเมืองของไทย เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและนําเสนอข่าวสารที่บิดเบือนจาก ข้อเท็จจริงแล้ว อาจทําให้ประชาชนหรือเยาวชนสับสนกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นได้

 

ข้อ 5 สังคมไทยมีชนชั้นหรือไม่ ?

ตอบทั้งในแง่ทฤษฎีและความเป็นจริง ตามทฤษฎีชนชั้นนําอธิบายลักษณะชนชั้นนําไว้ว่าอย่างไร ?

และในสังคมไทยมีชนชั้นนําหรือไม่ อย่างไร ?

และกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองหรือไม่ ชนชั้นหรือชนชั้นนําเกี่ยวโยงอย่างไร ? อาจยกตัวอย่างกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองที่นักศึกษารู้จักประกอบคําอธิบาย

แนวคําตอบ

ในสังคมไทยนั้นถือว่าเป็นสังคมที่มีชนชั้น แม้ว่าโดยทฤษฎีและหลักการของระบอบประชาธิปไตย นั้นจะพบว่า ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยและมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งได้ วางหลักการไว้ว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ และได้รับความคุ้มครอง มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันภายใต้ กฎหมาย ไม่ว่าชายหรือหญิง หรือคนเชื้อชาติใดศาสนาใด ต่างก็มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

โดยหลักการและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นย่อมแตกต่างกัน เพราะโดยธรรมชาติจะมีคนบางคน ที่มีศักยภาพเหนือกว่าคนทั่วไป มีความกระตือรือร้น มีความเป็นผู้นํา มีการแสดงออกในการเป็นผู้นํา ทําให้มี บุคลิกลักษณะที่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่คนจํานวนนี้จะเป็นคนจํานวนน้อยในสังคมที่เราเรียกว่า ชนชั้นนํา แม้ว่า ในสังคมไทยของเราจะเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่การแบ่งชนชั้นในสังคมก็ยังเกิดขึ้น อันเป็นผลเนื่องมาจากโลก ทุกวันนี้เป็นโลกแห่งทุนนิยมที่มีเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนทางสังคมและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัด และทําให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมขึ้น

ดังนั้นการที่จะรู้ว่าใครเป็นชนชั้นไหนในสังคมนั้นสามารถดูได้จากบทบาทหน้าที่ และฐานะ ทางสังคมและเศรษฐกิจ

ชนชั้นในสังคมไทย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ชนชั้นสูง เช่น นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการชั้นสูง ขุนนางเก่า เป็นต้น

2 ชนชั้นกลาง เช่น พนักงาน ข้าราชการทั่วไป เป็นต้น

3 ชนชั้นล่าง เช่น คนหาเช้ากินค่ํา กรรมกรผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร (ชาวไร่และชาวนา) ผู้ที่มีฐานะยากจนและมีการศึกษาน้อย เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Halen Lynd ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “Middletown” ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ สถานภาพ (Status) ของคนในสังคม โดยมีสมมุติฐานในการศึกษาก็คือ ตัวขี้เกี่ยวกับสถานภาพของคนในสังคม คือความสามารถทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าชนชั้นมีความสัมพันธ์กับสถานภาพ และเชื่อมโยงกับการที่คนในชุมชน

คิดหรือสนทนากัน ซึ่งจะให้ความรู้ในสถานภาพของกลุ่มชนในสังคม เนื่องจากการศึกษาดังกล่าวจะมีตัวแปรใน การกําหนดสถานภาพของคนในสังคม เช่น ความมั่งคั่ง สถานภาพทางครอบครัว ทรัพย์สิน เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Ralf Dahrendorf ได้ให้คําจํากัดความในเรื่องชนชั้นว่า ชนชั้นเป็นเรื่องของกลุ่ม ที่ขัดแย้งเนื่องจากการแจกแจงอํานาจหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสมาคมหรือกลุ่ม โดยเห็นว่าอํานาจหน้าที่ (Authority) ถือเป็นอํานาจอันชอบธรรม และความสัมพันธ์ของอํานาจจะขึ้นอยู่กับฐานของอํานาจหลายฐานด้วยกัน เช่น จากการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้ควบคุมวิถีการผลิต นอกจากนั้นอํานาจหน้าที่จะเกี่ยวข้องกับตําแหน่ง ทางสังคมและการมีบทบาทในสังคมของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งเขากล่าวว่า พื้นฐานของความไม่เท่าเทียมกันของโครงสร้าง ในสังคมที่เป็นตัวก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมก็คือความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องอํานาจและหน้าที่ ซึ่งจะมีส่วนสําคัญ ในการจัดองค์กรทางสังคม

ตามทฤษฎีของ Marx อธิบายว่า สังคมมีการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน คือ มีชนชั้นปกครองและ ชนชั้นที่ถูกปกครอง เช่น ในอดีตมีชนชั้นกษัตริย์และชนชั้นไพร่ ปัจจุบันมีชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่ง ชนชั้นปกครองจะขูดรีดเอากําไรส่วนเกินจากชนชั้นที่ถูกปกครอง และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะไม่เกิดใน ระดับปัจเจกบุคคล แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งโครงสร้าง แม้ว่า Marx จะกล่าวไว้ว่าท้ายที่สุดของ การเปลี่ยนแปลงแล้วจะไม่มีชนชั้นเกิดขึ้น แต่ก็เป็นเพียงอุดมคติที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่ที่เกิดขึ้นจริงก็คือ สังคมมีชนชั้นปกครองและชนชั้นถูกปกครอง เช่น นายทุนและกรรมกรผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

ชนชั้นหรือชนชั้นนําเกี่ยวโยงกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมือง ดังนี้

1 ชนชั้นหรือชนชั้นนําที่ต้องการเข้ามาเล่นการเมืองในระดับชาตินั้น จําเป็นต้องอาศัย กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองเป็นบันไดเข้ามาสู่อํานาจ เพราะพรรคการเมืองต่าง ๆ เหล่านี้จะมีบทบาทสําคัญใน ระบบการเมือง เป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจํานวนมาก เป็นสื่อกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่าง ประชาชนกับรัฐบาล รวมทั้งเป็นเครื่องมือที่สําคัญที่จะชักนําให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง หรือเป็น ฐานเสียงให้กับตนเองได้นั่นเอง

2 ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติความเชื่อทางการเมืองที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของ ชนชั้นนําที่เป็นคนกลุ่มน้อย ประชาชนทั่วไปไม่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรก นักการเมือง มีแต่แสวงหาอํานาจและผลประโยชน์ให้กับตัวเองจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งหรือไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นจึงทําให้ การเมืองเป็นเรื่องระหว่างชนชั้นนํากับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

3 พรรคการเมืองส่วนใหญ่มักรวบรวมสมาชิกเพื่อหวังสร้างอํานาจต่อรองกับรัฐบาล หรือ มุ่งหวังไปสู่การชนะการเลือกตั้งมากกว่ามุ่งเน้นไปที่อุดมการณ์ ดังนั้นจึงมักคัดเลือกสมาชิกทั้งในชนชั้นหรือชนชั้นนํา ที่สามารถเรียกคะแนนเสียงและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับพรรค รวมไปถึงสามารถสนับสนุนในเรื่องเงินทุนและ การช่วยเหลือด้านต่าง ๆ แก่พรรคได้ด้วย

4 นโยบายของพรรคการเมืองนั้น มักมีที่มาจากผลประโยชน์ทั้งของชนชั้นหรือชนชั้นนําเสมอ โดยเฉพาะการต่อรองที่ลงตัวในเรื่องตําแหน่งทางการเมือง

5 กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองจะเป็นที่รวบรวมผลประโยชน์ของชนชั้นหรือชนชั้นนํา ตัวอย่างเช่น พรรคสามัคคีธรรมเป็นพรรคของพวกนายทหารหลังการยึดอํานาจของ รสช. พรรคชาติไทยเคยเป็น พรรคของเหล่านายทหารและข้าราชการสายราชครู พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคของพวกนักธุรกิจที่ต้องการเข้ามามี บทบาททางการเมือง เป็นต้น

ตัวอย่างของกลุ่มการเมืองในสังคมไทย เช่น

– คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นกลุ่มการเมืองซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยตัวแทน กลุ่มองค์กรประชาชนในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น กลุ่มนักวิชาการ นําโดย ศ.ดร.สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ เครือข่าย นักศึกษาประชวชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่มประชาคมนักธุรกิจสีลม เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย กองทัพธรรม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ฯลฯ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการของกลุ่ม

– กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” เป็น กลุ่มการเมืองที่มีบทบาทสําคัญในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2552 โดยเป็นการรวมตัวจากหลายองค์กรทั่วประเทศ และ ได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ภายใต้จุดประสงค์ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี โดยมีแกนนําคนสําคัญ ได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.ต.จําลอง ศรีเมือง

ภายหลังการประชุมร่วมกันของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนแนวร่วมได้แสดงความเห็นถึง การจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งประชาชนที่เข้าร่วมประชุมมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “พรรคการเมืองใหม่” นั่นเอง

– กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เป็นกลุ่มการเมืองของกลุ่มผู้ต่อต้านการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2550 เพื่อขับไล่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติภายหลังจากการรัฐประหาร แต่ได้ยุติการชุมนุม เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550 หลังจากที่พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

แต่ภายหลังได้กลับมารวมตัวกันอีก เพื่อต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 จนเกิดเหตุการณ์ปะทะกันทําให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ และหลังการเปลี่ยนขั้ว รัฐบาล โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่ม นปช. ก็ได้กลับมาชุมนุมเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อขับไล่ รัฐบาล จนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง และยกกําลังทหารปิดล้อมผู้ชุมนุม จนต้องยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2553 ได้มีการชุมนุมใหญ่อีกครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน จนกระทั่งถูกสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หลังจากนั้นในช่วง ปลายปีก็มีการชุมนุมเป็นระยะ ๆ และมีความเกี่ยวโยงกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน

POL3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ

คําสั่ง ข้อสอบมีทั้งหมด 4 ข้อ คาดหวังคําตอบเป็นข้อเขียนแสดงความรู้ ความคิด หรือยกตัวอย่างประมาณข้อละ 3 – 5 หน้ากระดาษ

จงอธิบาย อภิปราย ขยายความ รวมทั้งยกตัวอย่างประเด็นต่าง ๆ ต่อไปนี้

ข้อ 1 การบริหารประเทศไทยในปัจจุบัน รัฐบาลได้กําหนดแนวทางและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะใช้พัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จะใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบได้หรือไม่ ?

ศึกษาอย่างไร ?

ศึกษา วิเคราะห์อะไรได้บ้าง ?

หากเทียบกับนานาอารยประเทศ เช่น สหประชาชาติ สนใจเน้นวิเคราะห์อะไร ? ศึกษาเปรียบเทียบอะไร ?

และในการศึกษาเปรียบเทียบ มีประโยชน์และมีความเป็นศาสตร์อย่างไร ?

ให้เปรียบเทียบระหว่างรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์

แนวคําตอบ

การบริหารประเทศไทยในปัจจุบันนั้น รัฐบาลได้กําหนดแนวทางและร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อที่จะ ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ซึ่งเราสามารถใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบได้ เช่น การวิเคราะห์ เปรียบเทียบระหว่างรัฐธรรมนูญฯ 2540 หรือรัฐธรรมนูญฯ 2550 กับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หรือจะใช้ข้อมูลและ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทั้งในอดีต – ปัจจุบัน มาทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบในประเด็นที่เราสนใจศึกษาก็ได้

ลักษณะการศึกษาเปรียบเทียบ พิจารณาได้จาก

1 ความเหมือนและความแตกต่าง

ความเหมือน (Similarities) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกัน หรือคล้ายกันของสิ่งที่นํามาเปรียบเทียบ ส่วนความแตกต่าง (Differences) จะเป็นลักษณะที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจมีลักษณะของความ แตกต่างกันน้อย แตกต่างกันมาก หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น ดูว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีเนื้อหาใน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แตกต่างกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร เป็นต้น

โดยส่วนที่ซ่อนอยู่ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ก็คือ องค์ความรู้ หรือข้อมูลนั่นเอง ถ้าเรามีความรู้เฉพาะรัฐธรรมนูญฯ 2550 เพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้เรื่องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างก็ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากข้อมูลที่นํามา เปรียบเทียบมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น

2 หน่วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) คือ กรอบของการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษา ทางการเมือง เพื่อให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่แน่นอน ซึ่งก็คือ การเลือกหน่วยที่จะทําการเปรียบเทียบนั่นเอง โดยอาจจะเป็นปัจจัยบุคคล องค์กร สถาบัน หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้หลักความเหมือนหรือความแตกต่าง และใช้ปัจจัยดังกล่าวในการเปรียบเทียบ สําหรับตัวอย่างของหน่วยการวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น ผู้นํา บทบาท องค์กร สถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง เป็นต้น

หน่วยการวิเคราะห์นั้นถือว่ามีความสําคัญมากในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ เพราะจะทําให้สามารถศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากมุมมองในการอธิบายการเมืองนั้น มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก หากไม่มีหน่วยการวิเคราะห์ก็จะไม่ทราบว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหน หรืออาจทําให้ การวิเคราะห์ไม่มีกรอบที่ชัดเจน ซึ่งทําให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน

ผู้ศึกษาจะต้องตั้งปัญหาพื้นฐานถามตัวเองก่อนว่า ควรจะนําหน่วยการวิเคราะห์อะไร มาใช้ในการศึกษาทางการเมือง เช่น ถ้าต้องการจะศึกษาผู้นํา หน่วยการวิเคราะห์ก็คือ ตัวผู้นํา โดยอาจจะมุ่งไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปรียบเทียบความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนในแง่ของ บุคลิกภาพ ดังนั้นหน่วยการวิเคราะห์ตรงนี้ก็คือตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่าในการศึกษาเปรียบเทียบ อาจจะวิเคราะห์หน่วยเหนือขึ้นไป เช่น กลุ่มทางสังคม สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ

3 ระดับการวิเคราะห์

ระดับการวิเคราะห์ (Level of Analysis) เป็นการจัดชั้นและระดับของระบบการเมือง เพื่อทําให้เกิดความชัดเจนที่ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ถึงหน้าที่และโครงสร้างของระบบการเมืองนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การแบ่งระดับการเมืองไทยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น

ในการเปรียบเทียบที่มีการจัดระดับในการวิเคราะห์นั้น จะทําให้การศึกษาเปรียบเทียบ สามารถมองเห็นหรือเปรียบเทียบให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นได้ ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้นจะต้องเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

4 การแจกแจงข้อมูล

การแจกแจงข้อมูล (Classification) เป็นการจัดระบบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อจะ ทําให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือน (Similarities) และความแตกต่าง (Differences) ของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดทิศทางในการเลือกสรร การรวบรวม การจัดระบบระเบียบของข้อมูล และสร้าง กรอบความคิด ยุทธวิธีในการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การศึกษาข้อมูลในเรื่องการมีส่วนร่วม ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อมูลที่ได้ควรจะต้องมีการจัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ในการ เลือกตั้ง การเสนอกฎหมาย ฯลฯ โดยจะต้องใช้ข้อมูลที่มีการแจกแจงอย่างเดียวกันมาพิจารณา

สิ่งที่มักนํามาศึกษาเปรียบเทียบ

1 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการเมือง

2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

4 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ

6 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

7 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมือง

8 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง

9 การวิเคราะห์เปรียบเทียบสภาผู้แทนราษฎร

10 การวิเคราะห์เปรียบเทียบวุฒิสภา เป็นต้น

สังคมนานาอารยประเทศ เช่น สหประชาชาติ) เน้นการศึกษาเปรียบเทียบในประเด็น ที่สําคัญ 3 เรื่อง คือ

1 การพัฒนา ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน และชี้วัดความเป็นอยู่ของประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการพัฒนานั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนา ในด้านต่าง ๆ เช่น

– การพัฒนาเศรษฐกิจ คือ การทําให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม

– การพัฒนาการศึกษา คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการเรียนรู้ ของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วม ของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา

– การพัฒนาสังคม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สุขภาพอนามัย การศึกษา การมีงานทํา มีรายได้เพียงพอในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนอย่างมีระบบ

2 ความเป็นประชาธิปไตย ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ คือ ต้องยึดถืออํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องมีการเลือกตั้ง ยึดหลักของเสียงข้างมาก  สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพและการรับฟัง ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง มีเสรีภาพ ในการแสดงออก มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณา ความเป็นประชาธิปไตยได้จากเรื่องต่าง ๆ เช่น

– หลักธรรมาภิบาย (Good Governance) คือ การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม ที่ดี เป็นแนวทางสําคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรู้รักสามัคคี และรวมกันเป็นพลัง ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหลักธรรมาภิบาลนั้นจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้ หลักความคุ้มค่า และหลักคุณธรรม

– หลักสิทธิมนุษยชน (Human Right) คือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและการ กระทําที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิที่ได้มาพร้อมกับการเกิด และเป็นสิทธิติดตัวบุคคลนั้นตลอดไปไม่ว่า จะอยู่ในเขตปกครองใด หรือเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ ซึ่งไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในชีวิต เป็นต้น

3 สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน และเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผลกระทบ จากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทําลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมยังถือว่าเป็น วงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ สิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา น้ํา ดิน ฟ้า อากาศ ทรัพยากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน เทคโนโลยี การตัดต่อพันธุกรรม ชุมชนเมือง ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

ประโยชน์ของการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

1 ทําให้เราสามารถศึกษาได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถลงในรายละเอียดของการศึกษา เปรียบเทียบ และช่วยให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน

2 ทําให้เห็นมุมมองที่กว้างมากขึ้น อันจะนําไปสู่การศึกษาและเกิดการพัฒนาในองค์ ความรู้จากระดับประเทศไปยังระดับนานาชาติ หรือระดับสากลต่อไป

3 ทําให้ได้รับการยอมรับและสร้างความสัมพันธ์ในระหว่างประเทศที่ดี รวมทั้งยังเป็น แนวทางในการศึกษาให้กับการพัฒนากระบวนการศึกษาเปรียบเทียบให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

4 ช่วยเสริมสร้างให้กับวิชารัฐศาสตร์มีชีวิตชีวา เกิดการปะทะสัมพันธ์ของนักวิชาการ ทางสังคมศาสตร์ซึ่งไม่ได้จํากัดแต่นักรัฐศาสตร์ และที่สําคัญได้สร้างและปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยที่เป็นระบบขึ้น รวมทั้งยังสามารถให้การอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรทางสังคมศาสตร์ได้ค่อนข้างชัดเจน

ในส่วนของความเป็นศาสตร์นั้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือเป็นสังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่ง ไม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษาเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัยรูปแบบ แบบแผน พฤติกรรม และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคมหรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบ การเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดเครื่องมือหนึ่งของวิชา รัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากความคิดและสติปัญญา โดยการตรึกตรองและ การวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผล ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตัวแปรที่ควบคุมได้ แล้วจึงทําการทดสอบเพื่อหาข้อสรุป ที่ต้องการ

2 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้ทําการศึกษา ซึ่งได้แก่ การดู การฟัง การสัมผัส เป็นต้น โดยจะต้องปลอดจากค่านิยมหรือตัดอคติออกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้

รัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์

รัฐศาสตร์ (Political Science) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง กระบวนการ ทางการเมือง สถาบันทางการเมือง รวมถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางการเมือง การศึกษารัฐศาสตร์เป็นการศึกษา ในลักษณะของสหวิทยาการ โดยอาศัยองค์ความรู้ในศาสตร์สาขาอื่นมาช่วยในการอธิบายหรือประกอบใน การศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

รัฐศาสตร์นั้นจะมีการแบ่งการศึกษาเป็นสาขาต่าง ๆ เช่น ปรัชญาการเมือง ประวัติศาสตร์การเมือง ทฤษฎีการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง การบริหารรัฐกิจ หรือการบริหารจัดการสาธารณะหรือรัฐประศาสนศาสตร์ การเมืองเปรียบเทียบ (Comparative Politics) การพัฒนาการเมือง สถาบันทางการเมือง การเมืองระหว่างประเทศ การปกครองและการบริหารรัฐ การเมืองการปกครองท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งสาขาต่าง ๆ เหล่านี้จะแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละ สถาบันว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไร อย่างไรก็ตามหากจะเรียกว่าการจัดกระบวนวิชาใดนั้นเป็นรัฐศาสตร์ หรือไม่นั้น จะต้องใช้มโนทัศน์ “การเมือง” เป็นมโนทัศน์เป็นหลัก

รัฐศาสตร์จะมีสาขาย่อยที่เป็นหลักอย่างน้อย 3 สาขา คือ การปกครอง การบริหารกิจการ สาธารณะ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

การประกอบอาชีพทางด้านรัฐศาสตร์ เช่น ข้าราชการในกระทรวง ปลัดอําเภอ การทูต บริษัท ต่าง ๆ เป็นต้น

นิติศาสตร์ (Jurisprudence) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับหลักกฎหมาย โดยจะเน้นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายปกครอง รัฐธรรมนูญ ฯลฯ

หลักสูตรนิติศาสตร์อาจแตกต่างกันตามสถาบันการศึกษา โดยจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ

1 กฎหมายแพ่งและอาญา/เอกชน ซึ่งจะมีมาตราและองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจน สําหรับวิเคราะห์ เช่น กฎหมายประกันภัย กฎหมายเกี่ยวกับการกระทําผิดของเด็กและเยาวชน การบัญชีสําหรับ นักกฎหมาย และกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

2 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่ไม่ค่อยมีมาตรา เน้นการตีความและสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

3 กฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล กฎหมายอาญา ระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

การประกอบอาชีพทางด้านนิติศาสตร์ เช่น ทนายความ ผู้พิพากษา อัยการ นิติกรบริษัทต่าง ๆ

รัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐและกฎหมายเป็นเรื่องที่ไม่อาจแยกจากกันได้ โดยนิติศาสตร์นั้นเป็นวิชาที่เน้นการศึกษาตัวบทและการบังคับใช้กฎหมาย ส่วน รัฐศาสตร์เป็นเรื่องของการเมืองการปกครอง ซึ่งจะอาศัยกฎเกณฑ์ของกฎหมายเป็นเครื่องกําหนดกับศาสตร์แห่ง อํานาจซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาพฤติกรรม หรือการกระทําทางการเมือง ตลอดจนวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

ทางการเมืองภายใต้กรอบของกฎหมาย ในแง่ของรูปแบบและปรากฏการณ์ซึ่งเป็นความหมายโดยรวมของ รัฐศาสตร์นั้นเอง

ความสัมพันธ์ของวิขาทั้งสองนั้นไม่สามารถกล่าวได้ว่าวิชาใดเป็นที่มาของอีกสาขาหนึ่ง และ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าวิชาใดสําคัญกว่าอีกวิชาหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพราะวิชาทั้งสองนั้นมีกําเนิดและวิวัฒนาการร่วมกันมา ควบคู่กับการเจริญเติบโตของสังคมมวลมนุษยชาติ

 

ข้อ 2 โครงสร้าง (Structure) คืออะไร ?

แบ่งออกเป็นลักษณะอย่างไรบ้าง ?

หน้าที่ (Function) คืออะไร ?

แบ่งออกเป็นลักษณะอย่างไรบ้าง ?

อธิบายแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ซึ่งพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบของ David Easton หรือของ Gabriel Almond อธิบายถึง Output และ Input ด้วย ?

แนวคําตอบ

โครงสร้าง (Structure) คือ แบบแผนของกิจกรรมที่ทํากันสม่ำเสมอ โดยผู้ที่กระทํากิจกรรมจะมีบทบาทแตกต่างกันไป แต่เมื่อรวมบทบาทของกิจกรรมเหล่านี้เข้าด้วยกันจะได้เป็นโครงสร้างนั้น ๆ เช่น โครงสร้างของ รัฐสภา ประกอบด้วย ประธานสภา รองประธานสภา เลขาธิการ และสมาชิก ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีบทบาทแตกต่างกันไป แต่เมื่อเรารวมเอาบทบาทของส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว เราก็จะได้โครงสร้างของรัฐสภานั่นเอง

ลักษณะของโครงสร้าง แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1 โครงสร้างที่เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น อุดมการณ์ ความเชื่อ ความคิด ค่านิยม ความชอบ ทัศนคติ ความงมงาย การรับรู้ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยากเนื่องจากจะต้อง ใช้ระยะเวลาในการปลูกฝังหรือถ่ายทอดที่ค่อนข้างยาวนาน และมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นจึงทําให้โครงสร้างที่เป็น นามธรรมมีการปรับเปลี่ยน แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าเมื่อใด ก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วก็จะยังคงอยู่

2 โครงสร้างที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ วัดได้ หรือสัมผัสได้ เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นต้น ซึ่งถือเป็น โครงสร้างที่เปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรับปรุงได้ง่ายกว่าโครงสร้างที่เป็นนามธรรม กล่าวคือ ถ้าต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็สามารถกระทําได้ทันที

3 โครงสร้างกึ่งนามธรรมถึงรูปธรรม เป็นทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ซึ่งบังคับให้เรา คิดอยากจะทําหรือไม่ทํา ให้ชอบหรือไม่ชอบ ให้เชื่อหรือไม่เชื่อ โดยทั่วไปแล้วมักแฝงไว้ด้วยเจตนารมณ์ของโครงสร้าง เหล่านั้นเสมอ ตัวอย่างของโครงสร้างกึ่งนามธรรมถึงรูปธรรม เช่น กฎหมาย ประกาศ คสช. สัญลักษณ์ สถาบัน (ศาลรัฐธรรมนูญ) กลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น

หน้าที่ (Function) คือ กิจกรรม (Activity), วัตถุประสงค์ (Purpose), ผลที่ตามมา (Consequence) หรือในบางครั้งอาจหมายถึงตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรอื่น ๆ ซึ่งอาจใช้อธิบายถึงคุณค่าในตัวของมันเอง หรือเป็นคุณค่าที่เกิดตามตัวแปรอื่นก็ได้ โดยนักสังคมศาสตร์ได้สรุปเกี่ยวกับหน้าที่ไว้ 3 ประการ ดังนี้

1 หน้าที่คือการศึกษาระบบทั้งระบบ เช่น ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ระบบอุตสาหกรรม ฯลฯ โดยถือว่าระบบต่าง ๆ เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis)

2 หน้าที่นิยมจะมีความสําคัญมาก-น้อยแตกต่างกันออกไป เมื่อเป็นดังกล่าวหน้าที่ บางอย่างจึงมีความจําเป็นสําหรับระบบทั้งหมด (The whole System)

3 หน้าที่บางประการมีลักษณะพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Interdependent) ต่อโครงสร้าง หลาย ๆ โครงสร้าง กล่าวคือ หลายระบบต้องพึ่งพิงจากหน้าที่ดังกล่าว

ลักษณะทั่วไปทั้ง 3 ประการของหน้าที่ดังกล่าวเป็นเหตุให้นักสังคมศาสตร์เห็นว่าในระบบใด ระบบหนึ่งเป็นระบบสังคมหรือระบบการศึกษา ต่างก็มีหน้าที่หลักของแต่ละระบบอยู่ เช่น ในระบบหนึ่ง ๆ ก็จะต้อง มีวัฒนธรรมทําหน้าที่เป็นองค์ประกอบให้ระบบสังคมนั้น ๆ ดํารงอยู่ได้ วัฒนธรรมดังกล่าวอาจประกอบไปด้วย ภาษา ศาสนา ฯลฯ

แนวคิดทฤษฎีระบบของ David Easton

David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมืองเพื่อสร้างระบบ ที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และ พฤติกรรมของระบบการเมืองได้

ทฤษฎีระบบการเมืองของ David Easton นั้นถือว่าจะต้องมีตัวแปรต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยนําเข้า (Input) เพื่อนําข้อมูลเข้าสู่กระบวนการของระบบการเมือง และต่อจากนั้นระบบจะต้องมีปัจจัยนําออก (Output) หมุนเวียนกันไปเพื่อให้ระบบมีการต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะแวดล้อมกับระบบจะต้องประกอบไปด้วย ดุลยภาพของตัวแปรนําเข้ากับตัวแปรที่นําออกมา ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นการหมุนเวียนกันของโครงสร้างและ หน้าที่

David Easton ให้ความเห็นว่า ปัจจัยนําเข้าจะต้องประกอบด้วย การเรียกร้อง (Lee (1) และการสนับสนุน (Support) ปัจจัยเหล่านี้จะเข้าไปแทรกอยู่ในแวดวงของระบบการเมือง ซึ่งจะมีกลุ่มผู้ประกอบ

พรรคการเมือง ทําหน้าที่เป็น “ผู้เฝ้าประตู” (Gate Keeper) หรือเป็นผู้รวบรวมการเรียกร้องต่าง ๆ เพื่อเป็นเกม ในการตัดสินใจของรัฐบาล

ระบบการเมืองของ David Easton สามารถสรุปได้ดังนี้

1 ปัจจัยนําเข้า (Input) หมายถึง ปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลหรือวัตถุดิบที่เข้าสู่ระบบ เพื่อผ่านการพิจารณากลั่นกรองและตัดสินใจออกมาในรูปของนโยบาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ซึ่งปัจจัยนําเข้านี้แบ่งออก ได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ –

1) การเรียกร้อง (Demand) อาจจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของการเรียกร้องเอง เช่น กรณีประชาชนที่เดือดร้อน ในเรื่องที่ทํากินและปัญหาหนี้นอกระบบ ถ้าประชาชนเพียงคนเดียวเรียกร้องรัฐบาลอาจจะไม่รับฟัง หรือรับฟังแต่ไม่ ตอบสนอง ในทางตรงกันข้าม ถ้าประชาชนจํานวนมากรวมตัวกันเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชุมนุมเดินขบวนปิดถนน ฯลฯ ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็จะมีผลเกิดขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนําไปพิจารณาต่อไป

2) การสนับสนุน (Support) หมายถึง การที่สมาชิกของสังคมการเมืองให้การ สนับสนุนระบบตลอดจนการดําเนินการของระบบการเมือง ซึ่งการให้การสนับสนุนนี้อาจจะอยู่ในรูปของการแสดงออก ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบของบ้านเมือง การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เจ โดยการสนับสนุนนี้สามารถแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ

– การสนับสนุนประชาคมทางการเมือง คือ การที่สมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในระบบการเมือง มีความผูกพันกันในแง่ของความตั้งใจร่วมมือร่วมแรงกันในการแก้ไขปัญหาของระบบการเมือง ซึ่งจะแสดงออกโดยการแบ่งงานกันทํา เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนักศึกษา กลุ่มสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุน ประชาคมทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคมร่วมกันนั่นเอง

– การสนับสนุนระบอบการเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรอง ความชอบธรรมของระบอบการเมืองในการทําให้สมาชิกยอมรับ เช่น ระบอบประชาธิปไตยมีความชอบธรรมที่จะให้สมาชิกของสังคมยอมรับในกฎกติกา รัฐธรรมนูญ และรูปแบบการปกครองด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามระบอบ การเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนจะมีผลเสียอย่างมาก นั่นคือ มีผลทําให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรง เกิดจลาจลขึ้นไป

– การสนับสนุนผู้มีอํานาจหน้าที่ทางการเมือง หมายถึง การสนับสนุนบุคคล ที่เข้าไปทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือรัฐบาล โดยดูจากความพึงพอใจของสมาชิกต่อการตัดสินใจของระบบ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ํามัน หรือดูจากความพอใจต่อนโยบาย รถยนต์คันแรก เป็นต้น

2 ระบบการเมือง (System) หรือผู้ตัดสินใจ ประกอบด้วย

1) ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) ทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งต่อไปสู่ระบบ การเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างผู้เฝ้าประตู เช่น กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นต้น

2) รัฐบาลหรือรัฐสภา (ผู้ตัดสินใจ)

3 ปัจจัยนําออก (Output) เป็นผลของการตัดสินใจของผู้มีอํานาจหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การจัดสรรสิ่งที่มีค่าในระบบการเมืองนั้น ซึ่งสาเหตุของการเกิด Output อาจสรุปได้ดังนี้ คือ

1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบ การเมือง เช่น เศรษฐกิจตกต่ํา อัตราการว่างงานสูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเมือง

2) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการเมืองเอง ซึ่ง Output ประเภทนี้จะมีผล ต่อระบบการเมืองและสภาพแวดล้อมของระบบ

– จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ผ่านออกมาจากระบบนั้น จะมีลักษณะบังคับ เช่น ประกาศ คําสั่ง ข้อบังคับ กฎหมาย ฯลฯ นอกจากนี้การดําเนินการยังมีผลผูกพันเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยประโยชน์และ ความสะดวกแก่คนบางกลุ่มในระบบนั้นเอง

4 การสะท้อนป้อนกลับ (Feedback) ก็คือ การป้อนข้อมูลย้อนกลับเพื่อนํามาสู่กระบวนการ Input อีกครั้งหนึ่งว่า Output ที่ออกไปนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

5 สิ่งแวดล้อม (Environment) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิด กับระบบการเมืองมาก ประกอบด้วย

– สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสภาพทั่วไป เช่น อาคาร สิ่งปลูกสร้างชุมชน ถนน ลําคลอง ฯลฯ

– สิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความมีเหตุผลการร่วมมือร่วมใจกัน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

– สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาและสังคม ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมในสังคม โครงสร้างทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างด้านประชากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำของโลก ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

แนวคิดทฤษฎีระบบของ Gabriel Almond

Almond เห็นว่า ระบบ (System) มีความสําคัญกว่ากระบวนการ (Process) ทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ เนื่องจากระบบจะศึกษาถึงทั้งหมดของการเมืองในสังคมต่าง ๆ ซึ่งรวมเอา หน่วยทางการเมืองต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

Almond เชื่อว่า ถ้าผู้ศึกษาเปรียบเทียบให้ความสําคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและการแสดงออก ของคนจะช่วยให้การศึกษาเปรียบเทียบก้าวสู่ขั้นที่ก้าวหน้าไปจากการศึกษาเดิมที่ให้ความสําคัญกับกฎหมายและ พิธีการ และจากหน่วยการวิเคราะห์เดิมที่ศึกษาสถาบันทางการเมืองเป็นหลัก นักรัฐศาสตร์ก็จะหันมาสนใจ “บทบาท” (Role) และ “โครงสร้าง” (Structure) ซึ่ง Almond ได้ให้คําจํากัดความของบทบาทว่าเป็นหน่วยที่มีการปะทะสัมพันธ์ ในระบบการเมือง และแบบแผนของการปะทะสัมพันธ์ก็คือระบบนั้นเอง

จากประเด็นดังกล่าวนั้นจึงเป็นจุดเริ่มทางความคิดของทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ที่ Almond ได้นําเสนอและเป็นหน่วยใหม่ในการวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ โดย Almond เสนอ “ระบบการเมือง” แทนความหมายเก่า ทางรัฐศาสตร์ที่ใช้อยู่เดิม คือ รัฐธรรมนูญ เหตุผลก็เพื่อเลี่ยงการศึกษารัฐศาสตร์ยุคเดิมที่มุ่งแต่ศึกษาแนวกฎหมาย และสถาบันเป็นสําคัญ นอกจากนี้ Almond ยังได้กําหนดคุณลักษณะของการเปรียบเทียบระบบการเมืองไว้ 4 ประเด็นคือ

1 ในระบบการเมืองทุกระบบต่างก็จะต้องมีโครงสร้างทางการเมือง

2 มีหน้าที่ปฏิวัติเหมือนกันในทุก ๆ ระบบการเมือง

3 โครงสร้างทางการเมืองทุกระบบมีลักษณะที่เรียกว่า “ความหลากหลายของหน้าที่”

4 ในระบบการเมืองทั้งหมดจะมีการผสมผสานในหลาย ๆ วัฒนธรรม

Almond เห็นว่า ระบบการเมืองเป็นการศึกษาถึงขอบเขตทั้งหมดของกิจกรรมทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละแห่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วระบบการเมืองจะมีหน้าที่หลายประการ ทั้งนี้เพราะระบบการเมือง เกี่ยวข้องกับความชอบธรรมในการใช้อํานาจลงโทษ หรือบังคับสมาชิกของระบบการเมือง ซึ่งหน้าที่ (Function) ของระบบการเมืองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1 หน้าที่ในการส่งปัจจัยเข้าสู่ระบบ (Input Functions) ได้แก่

1) การอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) ซึ่งถือว่าเป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

2) การคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบการเมือง (Political Recruitment) ซึ่งหมายถึง การคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ทางการเมือง

3) การเป็นปากเสียงของผลประโยชน์ที่ชัดเจน (Interest Articulation) หมายถึง การแสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยที่ตัดสินใจกําหนด นโยบายต่อไป

4) การรวบรวมผลประโยชน์ (Interest Aggregation) ก็คือ การสมานฉันท์ของ การเรียกร้องที่เสนอเข้าสู่ในระบบการเมือง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

5) การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) คือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยน ข่าวสารของส่วนต่าง ๆ ในระบบและระหว่างระบบ

2 หน้าที่ในการส่งปัจจัยออกจากระบบการเมือง (Output Functions) ได้แก่

1) การออกกฎระเบียบ (Rule Making) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ 2) การบังคับใช้กฎระเบียบ (Rule Application) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายบริหาร

3) การตีความกฎระเบียบ (Rule Adjudication) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายตุลาการ

นอกจากนั้น Almond ยังมีความเห็นสอดคล้องกับความคิดของ Easton นั่นคือ การเรียกร้อง และการสนับสนุน

– การเรียกร้อง แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ

1) การเรียกร้องให้มีการจัดสรรสินค้าและบริการ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มสถานศึกษา เพิ่มสถานพยาบาล ฯลฯ

2) การเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมความประพฤติ เช่น การขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า คุ้มครองลิขสิทธิ์ ปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ

3) การเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในระบอบการเมือง เช่น เรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) การเรียกร้องให้มีการสื่อสารและได้รับทราบข้อมูลจากระบบการเมือง เช่นต้องการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การยืนยันสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายว่าไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน ฯลฯ

– การสนับสนุน มีอยู่ 4 ประการ คือ

1) การสนับสนุนทางวัตถุ เช่น การสนับสนุนในรูปตัวเงิน การจ่ายภาษีให้รัฐโดยไม่บิดพลิ้ว การเข้ารับราชการทหาร ฯลฯ

2) การเคารพกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เช่น การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

3) การสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้งการออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) สนใจข่าวสารของรัฐ เคารพผู้มีอํานาจทางการเมือง สัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้งพิธีการของสังคม

จะเห็นได้ว่า ทั้งข้อเรียกร้องและการสนับสนุนรัฐบาล ล้วนเป็นเรื่องของการกําหนดนโยบาย สาธารณะของประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น นอกจากนี้ Almond ยังเห็นว่า ระบบการเมือง ทุกระบบจะต้องมีปะทะสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม 2 ด้าน คือ

1 สิ่งแวดล้อมภายใน ซึ่งได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ สภาพทรัพยากรของประเทศ ระบบการศึกษา ระบบเทคนิควิทยาของประเทศ

2 สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งได้แก่ การค้าระหว่างประเทศ การทูต สงคราม การสื่อสารระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ เป็นต้น

หมายเหตุ นักศึกษาเลือกตอบนักคิดคนใดคนหนึ่งเท่านั้น

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษาเปรียบเทียบระหว่างดาราช่อง 7 อั้ม พัชราภา กับดาราช่อง 3 ชมพู่ อารยา ในแง่ของ IQ และ EQ มาโดยเข้าใจ

แนวคําตอบ

ในแง่ของ IO

– พัชราภา ไชยเชื้อ มีชื่อเล่นว่า “อั้ม” เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2521 โดยมีชื่อแรกเกิดว่า “ไข่มุก” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “พัชราภา” ในภายหลัง มีบิดาชื่อ นายวรวุฒิ ไชยเชื้อ และมารดาชื่อ นางสุภาพร ไชยเชื้อ โดยเธอเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัวพัชราภาจบการศึกษาระดับอุดมศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัย รังสิต

พัชราภาเข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี พ.ศ. 2540 ขณะอายุได้ 19 ปี จากการประกวด Miss Hack 1997 หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม “สาวแฮ็คส์” นั่นเอง ซึ่งเธอได้รับรางวัลชนะเลิศและเป็นสาวแฮ็คส์คนแรกของ เวทีประกวดนี้ โดยมีผลงานชิ้นแรกคือ เป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอเพลง “ไม่ใช่คนในฝัน” ของศิลปิน ต้น อาภากร และในปีเดียวกันก็ได้มีผลงานละครเรื่อง “มณีเนื้อแท้” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ช่อง 7 สี) จากนั้นก็มีผลงานออกมาเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ. 2546 เธอได้รับบทบาทในการเป็นพิธีกรครั้งแรกในรายการ “จ้อจี้” โดยเป็นพิธีกรคู่กับ จิ้ม ชวนชื่น และในปีนั้นเธอได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง “เฟค โกหกทั้งเพ” หลังจากนั้น ก็มีผลงานภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง พัชราภา ถือว่าเป็นนักแสดงชาวไทยที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก ทั้งงานละคร อีเว้นท์ โฆษณา และเป็นนักแสดงหญิงที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย

อารยา เอ ฮาร์เก็ต มีชื่อเล่นว่า “ชมพู่” เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2524 มีบิดาชื่อ นายเจมส์ เอ ฮาร์เก็ต และมารดาชื่อ นางวารี เอ. ฮาร์เก็ต โดยเธอเป็นบุตรสาวคนเดียว ของครอบครัว เช่นเดียวกับพัชราภา

อารยา จบการศึกษา ระดับอุดมศึกษา คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัย รังสิต ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกันกับพัชราภา

อารยา เข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี พ.ศ. 2541 ขณะอายุได้ 17 ปี จากการประกวด Miss Motor Show ต่อมาได้รับการติดต่อจาก รัมภา ภิรมย์ภักดี ผู้เขียนบทประจําบริษัทดาราวิดีโอ และได้เซ็นสัญญา กับบริษัทดาราวิดีโอ โดยมีผลงานละครเรื่องแรกคือ “เพลงพราย” ทางช่อง 7 สี ประกบกับ บี สวิช เพชรวิเศษศิริ จากนั้นก็มีผลงานมาโดยตลอด นอกจากนี้เธอยังได้รับโอกาสให้มาร้องเพลงประกอบละครหลายเรื่อง และยังได้ เล่นละครเวทีเรื่อง “ม่านประเพณี” และพากย์ภาพยนตร์การ์ตูน รวมถึงเป็นพิธีกรบนเวทีการประกวดและงานสําคัญ ต่าง ๆ ของช่อง 7 จนได้มาเป็นพิธีกรหลายรายการ เช่น เจาะโลกมายา จมูกมด และ 7 กะรัต อีกทั้งยังมีโอกาส ได้เล่นเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอของศิลปินหลายคน เช่น รู้ตัวบ้างไหม ของแร็พเตอร์, ฉันขอโทษ ของ แอน ธิติมา, สมน้ำหน้า ของมอส ฯลฯ ในปี พ.ศ. 2551 เธอก็ได้ตัดสินใจย้ายจากช่อง 7 ไปอยู่ช่อง 3 และโด่งดังจากบท “เรยา” ในละครเรื่อง “ดอกส้มสีทอง” และในปี พ.ศ. 2553 ก็มีโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง “สาระแนสิบล้อ” หลังจากนั้น ก็มีผลงานภาพยนตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง

อารยายังได้รับโอกาสให้เป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ ของธงไชย แมคอินไตย์ 10 รอบ และคอนเสิร์ตอื่น ๆ อีกหลายคอนเสิร์ต อารยาถือเป็นดาราแนวหน้าของเมืองไทยอีกคน ซึ่งมีทั้งงานละคร อีเว้นท์ โฆษณา และมีค่าตัวที่สูงไม่แพ้อย่างรุ่นพี่อั้ม พัชราภา

ในปี พ.ศ. 2558 อารยาได้เข้าพิธีสมรสกับน็อต วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์ เจ้าของธุรกิจหลอดไฟ เรเซอร์ แฟนหนุ่มที่คบหาเป็นแฟนกันมากว่า 6 ปี โดยมีพิธีจัดขึ้นแบบส่วนตัวภายในครอบครัว

-ในแง่ของ EQ

ในมุมของ “ความเซ็กซี่” พบว่าทั้งสองคนได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดของเมืองไทย ซึ่ง ต่างก็โดดเด่นและโด่งดังจากบท “นางร้าย” ด้วยกันทั้งคู่ โดยอั้ม พัชราภา นั้นได้แจ้งเกิดเต็มตัวจากละครเรื่อง “คมพยาบาท” ซึ่งมาพร้อม ๆ กับความเซ็กซี่ที่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ ความเซ็กซี่น่าจะเป็น ภาพลักษณ์ของนางร้าย ไม่ใช่แนวทางของนางเอก

ในมุมของการย้ายช่องของชมพู่ อารยา แม้จะถูกมองว่าเป็นนางเอกช่อง 7 สี แต่กลับไม่เคย ได้เซ็นสัญญากับวิกหมอชิต เธอเป็นเพียงนางเอกสังกัดช่อง 7 ที่เซ็นสัญญากับค่าย “ดาราวิดีโอ” เท่านั้น จึงไม่แปลก ที่เธอจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับช่อง 3 จนได้รับการพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งในภาพลักษณ์นางเอก-นางร้าย ในละครดังเรื่อง “ดอกส้มสีทอง” ทางช่อง 3 นั้นเอง

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจของนางเอกทั้งสองคือ ทั้งสองคนต่างก็มีแฟนหนุ่มตระกูลเดียวกันอย่าง “รังษีสิงห์พิพัฒน์” ซึ่งพบว่าความรักของ ชมพู่ อารยา กับ น็อต วิศรุต ดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนมีพิธีแต่งงานเกิดขึ้น ขณะที่ความรักของ อั้ม พัชราภา กับโน้ต วิเศษ กลับไม่ราบรื่น จนทําให้ต้องเลิกรากันไป

การวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างอั้ม พัชราภา กับชมพู่ อารยา ในแง่ของ IQ และ EQ ที่ได้กล่าว ไว้ในข้างต้นนั้นเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น ที่ถูกนํามาวิเคราะห์เปรียบเทียบ นอกเหนือจากนี้เราอาจนําเอาแบบแผน รูปแบบการดําเนินชีวิต พฤติกรรม ความคล้ายความต่างในด้านอื่น ๆ ของคนทั้งสองมาใช้ในการเปรียบเทียบก็ได้

 

ข้อ 4 พรรคการเมืองคืออะไร ?

มีลักษณะและหน้าที่สําคัญอะไรบ้าง ?

และที่มาของวุฒิสมาชิกปี 2550 กับปี 2559 ทั้งทางตรงและทางอ้อมมีที่มาอย่างไร ?

และจากคําพูดที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” : “ร่วมด้วยช่วยกัน” นักศึกษามีความคิดเห็นอย่างไร ?

แนวคําตอบ

พรรคการเมือง (Political Party) หมายถึง องค์กรทางการเมืองที่รวมกลุ่มบุคคลที่มีแนว ความคิดเห็นหรือหลักการบางอย่างที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อกําหนดประเด็นปัญหาและคัดเลือกบุคคลเข้าสมัครรับ เลือกตั้งและหวังที่จะชนะการเลือกตั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าไปควบคุมการดําเนินงานและนโยบายของรัฐบาล หรือต้องการเป็นรัฐบาลเข้าบริหารประเทศตามนโยบายที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของกลุ่ม

ลักษณะสําคัญของพรรคการเมือง

1 พรรคการเมืองต้องมีความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนต้องไม่ขึ้นอยู่กับชีวิตหรืออํานาจของ ผู้นําพรรคการเมือง กล่าวคือ เป็นพรรคที่รวมตัวกันโดยยึดหลักการหรีอุดมการณ์เป็นหลัก ต้องไม่ยึดถือบุคลิกภาพ หรืออํานาจของผู้นําเป็นหลักในการรวมตัวกัน

2 พรรคการเมืองจะต้องมีองค์การหรือสาขาแผ่กระจายไปในระดับท้องถิ่น และมีขาย การติดต่อกันระหว่างสํานักงานใหญ่กับสาขาพรรคในท้องถิ่น กล่าวคือ พรรคจะต้องมีระบบการติดต่อกับประชาชน อย่างต่อเนื่อง สาขาของพรรคในท้องถิ่นนับเป็นองค์การพื้นฐานสําคัญของพรรคการเมือง ทั้งนี้เพราะจะทําหน้าที่ เป็นสื่อประสานหรือตัวเชื่อมโยงระหว่างพรรคกับประชาชนและกลุ่มต่าง ๆ

3 ผู้นําพรรคการเมืองต้องมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะรวมอํานาจการตัดสินนโยบาย ของตนแต่ผู้เดียวหรือเข้าร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ไม่เพียงแต่จะใช้อิทธิพลเข้าแทรกแซงนโยบายเท่านั้น กล่าวคือ บรรดาผู้นําพรรคการเมืองจะต้องมีความมุ่งหมายที่จะให้พรรคการเมืองของตนเป็นรัฐบาลเพื่อเข้าควบคุมบุคลากร และนโยบายในการบริหารประเทศ

4 พรรคการเมืองต้องพยายามหาคะแนนเสียงเมื่อมีการเลือกตั้ง และหาความสนับสนุน จากมหาชนทั่วไปเมื่อไม่มีการเลือกตั้ง กล่าวคือ พรรคจะต้องพยายามขยายแนวความคิดของพรรคและให้ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการเมือง ชี้แง่มุมของปัญหาต่าง ๆ แก่ประชาชนตลอดเวลา ตลอดจนเสนอแนวนโยบายให้ประชาชนเลือก

หน้าที่สําคัญของพรรคการเมือง มีดังนี้

1 หน้าที่เลือกสรรบุคคลเข้าสมัครรับเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ที่พรรคการเมืองทั่ว ๆ ไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้พรรคได้มีโอกาสควบคุมการใช้อํานาจหน้าที่ในตําแหน่งต่าง ๆ และดําเนินนโยบายของรัฐบาลให้เป็นไป ตามนโยบายของตน

หน้าที่ในการเลือกสรรบุคคลเข้าสมัครรับเลือกตั้งนี้ นับว่าเป็นส่วนสําคัญที่ช่วยประชาชน ในการเลือกตั้ง เพราะบุคคลที่พรรคคัดเลือกให้เข้าสมัครรับเลือกตั้งนั้นได้รับการพิจารณากลั่นกรองโดยพรรค มาแล้วว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถหรือเหมาะสมกับตําแหน่ง ดังนั้นประเทศที่มีพรรคการเมืองที่มีความมั่นคง ประชาชนผู้เลือกตั้งจึงมักจะไม่คํานึงถึงตัวบุคคลมากนัก แต่จะพิจารณาถึงพรรคที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสังกัดว่าพรรคใด จะรักษาผลประโยชน์ของเขาหรือมีแนวนโยบายตรงกับความคิดเห็นของเขามากกว่า

2 หน้าที่เสนอนโยบาย ชี้ประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไข หน้าที่สําคัญอีกประการหนึ่ง ของพรรคการเมืองก็คือ การแสดงออกหรือแถลงซึ่งนโยบายการปกครองบ้านเมืองว่าจะดําเนินการไปในทางใด อุดมการณ์ที่พรรคยึดถือนั้นยึดถืออะไร เช่น รูปแบบการปกครองแบบใด เป็นต้น นอกจากนั้นพรรคจะต้องชี้ให้เห็นถึง ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ โดยจะยกประเด็นต่าง ๆ เช่น ทางการศึกษา ทางต่างประเทศ ทางเศรษฐกิจ รวมทั้ง ข้อขัดแย้งต่าง ๆ มาอภิปราย แล้วเสนอแนวทางหรือนโยบายที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วย

นโยบายหรือโครงการที่พรรคการเมืองได้เสนอต่อประชาชนนั้น จะเป็นการผูกมัดและ เป็นคํามั่นของพรรคที่ต้องปฏิบัติเมื่อได้อํานาจหรือได้รับเลือกตั้ง ฉะนั้นประชาชนก็จะยึดเอานโยบายหรือโครงการ ต่าง ๆ ที่พรรคประกาศนี้มาเป็นส่วนหนึ่งสําหรับวินิจฉัยในการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเลือก ผู้แทนได้ดีและง่ายขึ้น

3 หน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับองค์การของรัฐ โดยพรรคการเมืองนั้นจะเป็น จุดรวมของบุคคลต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรค ซึ่งมาจากบุคคลหลายอาชีพและจากภูมิภาค ต่าง ๆ พรรคการเมืองจึงอยู่ในฐานะรับรู้ปัญหาและความต้องการของสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคเป็นอย่างดี นอกจากนั้นพรรคการเมืองที่แท้จริงโดยปกติจะคอยสํารวจตรวจสอบมติสาธารณะอยู่เสมอว่า ประชาชนมีปัญหา หรือต้องการอะไร เพราะพรรคจะมีสาขาอยู่อย่างกว้างขวาง มีองค์การต่าง ๆ ที่เข้าไปเชื่อมโยงกับกลุ่มชาวนา ชาวไร่ นักศึกษา กรรมกร และกลุ่มอาชีพต่าง ๆ

พรรคการเมืองจึงต้องทําหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนที่คอยรับรู้ปัญหาและความต้องการ ของประชาชน และถ่ายทอดความต้องการของประชาชนไปยังองค์การของรัฐด้วย

4 หน้าที่ในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อพรรคใดชนะเลือกตั้งหรือได้เสียงข้างมาก พรรคการเมือง นั้นก็จะมีหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล โดยประเทศที่มีระบบประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดีก็จะเลือกตั้งเฉพาะประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีเท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีหรือตําแหน่งทางการเมืองอื่น ๆ ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้ง

ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พรรคที่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภามีหน้าที่ คัดเลือกบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ เพื่อบริหารประเทศ ซึ่งโดยปกติหัวหน้าพรรคและผู้นําระดับสูง ของพรรคจะไปดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ไม่มีพรรคใดมีเสียงข้างมากจนจัดตั้งรัฐบาลได้โดยลําพัง พรรคเดียว ก็จะมีการตกลงกันในระหว่างพรรคที่มีความคิดและนโยบายใกล้เคียงกัน เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลผสมต่อไป

5 หน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน พรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับการเลือกตั้งน้อยหรือ ไม่ได้เข้าร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะทําหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งมีหน้าที่คือ วิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาล กล่าวคือ ชี้ข้อบกพร่องในการดําเนินงานของรัฐบาล คอยท้วงติง คัดค้านการกระทําที่ไม่ชอบหรือขัดต่อมติของมหาชน ควบคุมการบริหารให้เป็นไปตามนโยบายที่สภารับรอง ตลอดจนยับยั้งมิให้รัฐบาลใช้อํานาจเกินขอบเขต

ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภานั้น พรรคฝ่ายค้านยังมีหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลเงา (Shadow Cabinet) เพื่อเป็นการเตรียมบุคลากรไว้ล่วงหน้าสําหรับการเป็นรัฐบาลในอนาคต ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ ถือเป็นคณะผู้บริหารของฝ่ายค้านที่จะคอยติดตามปัญหาและความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในหน้าที่ของกระทรวงที่ตน ถูกกําหนดไว้

6 หน้าที่ในการปลุกระดมมวลชนให้เข้ามีส่วนร่วมในทางการเมือง กล่าวคือ พรรคการเมือง เป็นองค์กรที่รวบรวมบุคคลที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน แล้วเสนอแนวความคิดเห็นนั้นต่อ ประชาชน ให้ประชาชนเห็นชอบโดยการรณรงค์หาเสียง สนับสนุนด้านการเงิน โดยวิธีชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก หรือเป็นผู้สนับสนุนพรรค เพื่อช่วยในการรณรงค์หาเสียง หรือให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่พรรค รวมทั้งเข้ามาเป็น ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค

ที่มาของวุฒิสมาชิกปี 2550 กับปี 2559

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กําหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 150 คน โดยมีที่มา 2 ประเภท ได้แก่

1 สมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในแต่ละจังหวัด ซึ่งรัฐธรรมนูญ ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และในแต่ละจังหวัดจะมีสมาชิกวุฒิสภาได้จังหวัดละ 1 คน 77 จังหวัด = 77 คน) โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้หนึ่งเสียงและให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนน โดยตรงและลับ

2 สมาชิกวุฒิสภาจากการสรรหา ซึ่งรัฐธรรมนูญกําหนดให้มีจํานวนเท่ากับ 150 คน หักด้วย จํานวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง (นั่นคือ 150 – 77 = 73 คน) โดยให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิก วุฒิสภาดําเนินการสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสม จากผู้ได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรต่าง ๆ ในภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่นที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่ของวุฒิสภาเป็น สมาชิกวุฒิสภา

ตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2559 (ฉบับลงประชามติ) ได้กําหนดให้ มีสมาชิกวุฒิสภาจํานวน 200 คน มาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทํางานหรือเคยทํางานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม เป็นจํานวน 20 ด้าน โดยการแบ่งกลุ่มต้องคํานึงว่าประชาชนทุกคนสามารถสมัครเข้าสังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ และให้ผู้สมัครสมาชิก วุฒิสภาทุกกลุ่มเลือกกันเอง โดยจะเริ่มคัดเลือกตั้งแต่ระดับอําเภอ พอได้ตัวแทนระดับอําเภอ ก็ไปคัดเลือกกันเอง ต่อในระดับจังหวัด จากนั้นค่อยไปคัดเลือกกันเองต่อในระดับประเทศจนได้สมาชิกวุฒิสภาครบ 200 คน

ความคิดเห็นจากคําพูดที่ว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น” และ “ร่วมด้วยช่วยกัน”

“เงินไม่มา กาไม่เป็น” เป็นคํากล่าวที่สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในท้องที่ชนบทนั้น แท้จริงแล้ว มิได้ให้ความสนใจในการใช้สิทธิเลือกตั้งเท่าที่ควร ส่วนใหญ่นั้นมักจะ “นอนหลับทับสิทธิ์” กล่าวคือ ถ้าไม่มีการนําเงิน มาให้เพื่อจูงใจให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดหรือพรรคการเมืองใดแล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ดังกล่าวก็จะไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือไม่ไปกากบาทในบัตรเลือกตั้ง จนกว่าจะได้รับผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากับการ เดินทางหรือคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปหากต้องไปใช้สิทธิดังกล่าว

แม้ว่ารัฐธรรมนูญฯ 2540 พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยกําหนดให้การใช้สิทธิเลือกตั้งเป็น “หน้าที่” มิใช่ “สิทธิ” ดังเช่นในอดีต โดยเห็นว่าถ้าเป็น “สิทธิ” ของประชาชน ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะใช้สิทธิ ของตนหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้ากําหนดให้เป็น “หน้าที่” แล้ว หากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ก็จะมีสภาพบังคับ (Sanction) ตามมา โดยบัญญัติไว้ว่า “บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บุคคลซึ่งไม่ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุผลอันสมควรที่ทําให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ย่อมเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ” แต่ก็ ไม่ได้ทําให้การซื้อสิทธิขายเสียงลดน้อยลงไปได้

ส่วนคํากล่าวที่ว่า “ร่วมด้วยช่วยกัน” นั้นถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลในการให้ความร่วมมือ ออกไปเลือกผู้สมัครของคนในชนบท ทั้งนี้เพราะการใช้เงินหว่านซื้อเสียงโดยไม่สามารถสร้างสายสัมพันธ์ทางศีลธรรม กับชาวบ้านได้อย่างต่อเนื่องและแน่นแฟ้น อาจกลับทําให้พ่ายแพ้ หากผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถสร้างอัตลักษณ์ ท้องถิ่นนิยมหรือจังหวัดนิยม โดยการพัฒนาเขตที่อยู่อาศัยพื้นที่ของตนให้มีความเจริญ ถนนหนทางดี น้ำไหล ไฟสว่าง ก็จะทําให้ประชาชนเกิดความภูมิใจในพื้นที่ของตน หากทําเช่นนั้นได้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะ ชนะการเลือกตั้ง โดยไม่จําเป็นต้องอาศัยแต่เงินเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่าประชาชนมักชื่นชอบผู้สมัครที่มาจากท้องถิ่นเดียวกัน โดยคาดหวังว่าเมื่อผู้ลงสมัครเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนแล้ว จะเข้ามาสนใจทุกข์สุขของชาวบ้าน และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ มากกว่าผู้สมัครต่างถิ่น

POL3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทั้ง 4 ข้อ แต่ละข้อต้องเขียนแสดงออกซึ่งความคิดเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน คาดหวังคําตอบข้อละประมาณ 3 – 5 หน้า

ข้อ 1 (ก) การเปรียบเทียบคืออะไร ?

ศึกษาอะไรบ้าง ?

อย่างไร ?

มีประโยชน์อย่างไร ?

มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างไร ?

เทียบกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ (เคมี ชีวะ ฟิสิกส์) อย่างไร ?

สังคมโลกสนใจเปรียบเทียบเรื่องอะไรเป็นสําคัญ ? และ

(ข) จงเปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบ ตามแนวคิดของ David Easton กับของ Gabriel Almond อธิบายให้ละเอียดโดยยกตัวอย่างเกิดขึ้นจริงในชีวิตสังคมการเมืองไทย

แนวคําตอบ

การเปรียบเทียบ คือ การศึกษาวิเคราะห์ความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคุณลักษณะ ต่าง ๆ ซึ่งการศึกษาเปรียบเทียบนั้นไม่จําเป็นในการตัดสินว่า ระบบการเมืองใดหรือสถาบันการเมืองใดดีที่สุด แต่เพื่อการเรียนรู้มากขึ้นว่า ทําไม (why) หรืออย่างไร (how) ในความเหมือนหรือความแตกต่าง และความเหมือน หรือความแตกต่างนั้นได้ส่งผลกระทบอะไรบ้าง

ลักษณะการศึกษาเปรียบเทียบ พิจารณาได้จาก

1 ความเหมือนและความแตกต่าง

– ความเหมือน (Similarities) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกัน หรือคล้ายกันของสิ่งที่นํามา เปรียบเทียบ ส่วนความแตกต่าง (Differences) จะเป็นลักษณะที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจมีลักษณะของความ แตกต่างกันน้อย แตกต่างกันมาก หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น ดูว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีเนื้อหาใน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แตกต่างกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร เป็นต้น

โดยส่วนที่ซ่อนอยู่ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ก็คือ องค์ความรู้หรือข้อมูลนั่นเอง ถ้าเรามีความรู้เฉพาะรัฐธรรมนูญฯ 2550 เพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างก็ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากข้อมูลที่นํามา เปรียบเทียบมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น

2 หน่วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) เป็นกรอบของการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษา ทางการเมือง เพื่อให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่แน่นอน ซึ่งก็คือ การเลือกหน่วยที่จะทําการเปรียบเทียบนั่นเอง โดยอาจจะเป็นปัจจัยบุคคล องค์กร สถาบัน หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้หลักความเหมือนหรือความแตกต่าง และใช้ปัจจัยดังกล่าวในการเปรียบเทียบ สําหรับตัวอย่างของหน่วยการวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น ผู้นํา บทบาท องค์กร สถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง เป็นต้น

– หน่วยการวิเคราะห์นั้นถือว่ามีความสําคัญมากในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ เพราะจะทําให้สามารถศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากมุมมองในการอธิบายการเมืองนั้น มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก หากไม่มีหน่วยการวิเคราะห์ก็จะไม่ทราบว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหน หรืออาจทําให้ การวิเคราะห์ไม่มีกรอบที่ชัดเจน ซึ่งทําให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน

ผู้ศึกษาจะต้องตั้งปัญหาพื้นฐานถามตัวเองก่อนว่า ควรจะนําหน่วยการวิเคราะห์อะไร มาใช้ในการศึกษาทางการเมือง เช่น ถ้าต้องการจะศึกษาผู้นํา หน่วยการวิเคราะห์ก็คือ ตัวผู้นํา โดยอาจจะมุ่งไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปรียบเทียบความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนในแง่ของ บุคลิกภาพ ดังนั้นหน่วยการวิเคราะห์ตรงนี้ก็คือตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่าในการศึกษาเปรียบเทียบ อาจจะวิเคราะห์หน่วยเหนือขึ้นไป เช่น กลุ่มทางสังคม สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ

3 ระดับการวิเคราะห์

ระดับการวิเคราะห์ (Level of Analysis) เป็นการจัดชั้นและระดับของระบบการเมือง เพื่อทําให้เกิดความชัดเจนที่ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ถึงหน้าที่และโครงสร้างของระบบการเมืองนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การแบ่งระดับการเมืองไทยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น

ในการเปรียบเทียบที่มีการจัดระดับในการวิเคราะห์นั้น จะทําให้การศึกษาเปรียบเทียบ สามารถมองเห็นหรือเปรียบเทียบให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นได้ ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้นจะต้องเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

4 การแจกแจงข้อมูล

การแจกแจงข้อมูล (Classification) เป็นการจัดระบบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อจะ ทําให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือน (Similarities) และความแตกต่าง (Differences) ของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่าง ชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดทิศทางในการเลือกสรร การรวบรวม การจัดระบบระเบียบของข้อมูล และสร้าง กรอบความคิด ยุทธวิธีในการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การศึกษาข้อมูลในเรื่องการมีส่วนร่วม ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อมูลที่ได้ควรจะต้องมีการจัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ในการ เลือกตั้ง การเสนอกฎหมาย ฯลฯ โดยจะต้องใช้ข้อมูลที่มีการแจกแจงอย่างเดียวกันมาพิจารณา

สิ่งที่มักนํามาศึกษาเปรียบเทียบ

1 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการเมือง

2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

4 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ

6 การวิเคราะห์เปรียบเทียบด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

7 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมือง

8 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง

9 การวิเคราะห์เปรียบเทียบสภาผู้แทนราษฎร

10 การวิเคราะห์เปรียบเทียบวุฒิสภา เป็นต้น

ประโยชน์ของการเปรียบเทียบ

1 ช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นการเมืองและการปกครองของประเทศอื่นได้ชัดเจนและลึกซึ้ง ยิ่งขึ้น อันจะนํามาสู่ความเข้าใจต่อการเมืองของประเทศตัวเองที่ดีกว่าเดิม เมื่อผู้ศึกษาสามารถเชื่อมโยงอิทธิพล ความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างประเทศเหล่านั้นกับประเทศตัวเองได้

2 ช่วยให้ผู้ศึกษาหลีกเลี่ยงการใช้เชื้อชาติตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentrism) ใน การตัดสินผู้อื่น อันนําไปสู่การเปิดใจกว้างต่อการปกครองที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพราะรูปแบบการเมืองและการปกครองของประเทศที่ผู้ศึกษาอาศัยอยู่นั้นไม่ได้มีลักษณะเฉพาะตัวมาตั้งแต่ต้น หากแต่ได้รับอิทธิพลและได้ ผสมผสานกับรูปแบบการเมืองการปกครองของประเทศอื่นมานาน

3 ช่วยให้ผู้ศึกษามีทางเลือกหรือการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่หลากหลายกว่าเดิมจากการเรียนรู้ถึงบริบท และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศต่าง ๆ

4 ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจภาวะปัจจุบัน รวมไปถึงกฎเกณฑ์สากลเกี่ยวกับการเมืองโลก เป็นต้น

ความเป็นวิทยาศาสตร์ของการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือเป็นสังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษา เหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัยรูปแบบ แบบแผน พฤติกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคม หรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบการเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษา เปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ที่สุดเครื่องมือหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากความคิดและสติปัญญา โดยการตรึกตรองและ การวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผล ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตัวแปรที่ควบคุมได้ แล้วจึงทําการทดสอบเพื่อหาข้อสรุป ที่ต้องการ

2 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้ทําการศึกษา ซึ่งได้แก่ การดู การฟัง การสัมผัส เป็นต้น โดยจะต้องปลอดจากค่านิยมหรือตัดอคติออกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้

เทียบกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ (เคมี ชีวะ ฟิสิกส์) ได้ดังนี้

1 การเลือกปัญหา (Problem Selection) จะเกี่ยวพันกับการสร้างทฤษฎีเพื่อเป็น องค์ประกอบของการสร้างปัญหาที่จะวิเคราะห์ว่าปัญหานั้น ๆ ควรมีตัวแปรอะไรเข้าไปเกี่ยวพันบ้าง และเมื่อมี ตัวแปรเหล่านั้นแล้วจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์อะไรบ้าง ผู้ที่จะสร้างทฤษฎีทางสังคมจะต้องเลือกปัญหาที่มี ผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ในสังคม และต้องเป็นประเด็นที่คนส่วนมากให้ความสนใจ ผู้เลือกปัญหามาศึกษา จะต้องเป็นผู้มีจิตนาการที่กว้างไกลและมีความสํานึกต่อปัญหาสังคมนั้น ทั้งนี้เพราะปัญหาสังคมที่ล้ําลึกบางครั้ง เกิดจากสภาพสามัญสํานึกของนักทฤษฎีที่มีความรู้สึกว่าประเด็นนั้น ๆ สําคัญนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ บุคคล ดังนั้นการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบจะต้องอาศัยทั้งศิลปะ และวิทยาศาสตร์ทางสังคมเข้ามาช่วยอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคม

2 การสังเกตอย่างเป็นระบบ (Systematic Observation) จะช่วยในการสร้างตัวแบบใน การเปรียบเทียบ ซึ่งจะต้องมีการจัดลําดับข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ และที่สําคัญจะต้องมีการพรรณนาข้อมูลที่ได้มา ในเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ นักสังคมศาสตร์นั้น ๆ จะต้องเป็นผู้มีจินตนาการ รู้จักจัดสรรข้อมูล และที่สําคัญจะต้อง สามารถอธิบายข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างเป็นระบบ มิใช่แต่นักวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่จะต้องมีความสามารถในการ พรรณนาข้อมูลที่ค้นคว้ามา นักเคมี นักชีววิทยา และนักฟิสิกส์ก็จะต้องมีความสามารถในการสังเกตและพรรณนา ข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตอย่างเป็นระบบด้วย เมื่อข้อมูลที่จัดเก็บมาอย่างเป็นระบบนั้นถูกนํามาวิเคราะห์ ก็จะ สามารถตั้งเป็นสมมุติฐานและทําการทดสอบต่อไปได้นั่นเอง

สังคมโลกมักเปรียบเทียบในประเด็นที่สําคัญดังนี้

1 การพัฒนา ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน และชี้วัดความเป็นอยู่ของประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการพัฒนานั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ เช่น

– การพัฒนาเศรษฐกิจ คือ การทําให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจและสังคม

– การพัฒนาการศึกษา คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการ เรียนรู้ของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา

– การพัฒนาสังคม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สุขภาพอนามัย การศึกษา การมีงานทํา มีรายได้เพียงพอในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค

– ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนอยางมีระบบ

2 ความเป็นประชาธิปไตย ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ คือ ต้องยึดถืออํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องมีการเลือกตั้ง ยึดหลักของเสียงข้างมาก สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพและการรับฟัง ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง มีเสรีภาพ ในการแสดงออก มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณา ความเป็นประชาธิปไตยได้จากเรื่องต่าง ๆ เช่น

– หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ การบริหารกิจการบ้านเมืองและ สังคมที่ดี เป็นแนวทางสําคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึง ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรู้รักสามัคคี และ รวมกันเป็นพลังก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหลักธรรมาภิบาลนั้นจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้ หลักความคุ้มค่า และ หลักคุณธรรม

– หลักสิทธิมนุษยชน (Human Right) คือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและ การกระทําที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิที่ได้มาพร้อมกับการเกิด และเป็นสิทธิติดตัวบุคคลนั้น ตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ในเขตปกครองใด หรือเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ ซึ่งไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในชีวิต เป็นต้น

3 สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน และเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผลกระทบ จากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทําลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมยังถือว่าเป็น วงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ สิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา น้ํา ดิน ฟ้า อากาศ

ทรัพยากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน เทคโนโลยี

การตัดต่อพันธุกรรม ชุมชนเมือง ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม

ศาสนา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

เปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบของ David Easton และ Gabriel Almond David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มี ความสัมพันธ์เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสร้างระบบที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และพฤติกรรมของระบบการเมืองได้

2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม ชุมชนเมือง ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม

ศาสนา การเมืองการปกครอง ฯลฯ % เปรียบเทียบตัวแบบโครงสร้างหรือระบบของ David Easton และ Gabriel Almond

David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มี ความสัมพันธ์เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสร้างระบบที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และพฤติกรรมของระบบการเมืองได้

 

1 ปัจจัยนําเข้า (Input) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1) การเรียกร้อง (Demand) อาจจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของการเรียกร้องเอง เช่น กรณีประชาชนที่เดือดร้อน ในเรื่องที่ทํากินและปัญหาหนี้นอกระบบ ถ้าประชาชนเพียงคนเดียวเรียกร้องรัฐบาลอาจจะไม่รับฟัง หรือรับฟังแต่ไม่ ตอบสนอง ในทางตรงกันข้าม ถ้าประชาชนจํานวนมากรวมตัวกันเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชุมนุมเดินขบวนปิดถนน ฯลฯ ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็จะมีผลเกิดขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนําไปพิจารณาต่อไป

2) การสนับสนุน (Support) สามารถแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ

– การสนับสนุนประชาคมทางการเมือง คือ การที่สมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในระบบการเมือง มีความผูกพันกันในแง่ของความตั้งใจร่วมมือร่วมแรงกันในการแก้ไขปัญหาของระบบการเมือง ซึ่งจะแสดงออกโดยการแบ่งงานกันทํา เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนักศึกษา กลุ่มสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุน ประชาคมทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคมร่วมกันนั้นเอง

– การสนับสนุนระบอบการเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง ความชอบธรรมของระบอบการเมืองในการทําให้สมาชิกยอมรับ เช่น ระบอบประชาธิปไตยมีความชอบธรรมที่จะ ให้สมาชิกของสังคมยอมรับในกฎกติกา รัฐธรรมนูญ และรูปแบบการปกครองด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามระบอบ การเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนจะมีผลเสียอย่างมาก นั่นคือ มีผลทําให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรง เกิดจลาจลขึ้นได้

– การสนับสนุนผู้มีอํานาจหน้าที่ทางการเมือง หมายถึง การสนับสนุนบุคคล ที่เข้าไปทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือรัฐบาล โดยดูจากความพึงพอใจของสมาชิกต่อการตัดสินใจของระบบ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ํามัน หรือดูจากความพอใจต่อนโยบาย รถยนต์คันแรก เป็นต้น

 

2 ระบบการเมือง (System) ประกอบด้วย

1) ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) ทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งต่อไปสู่ระบบ การเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างผู้เฝ้าประตู เช่น กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นต้น

2) รัฐบาลหรือรัฐสภา (ผู้ตัดสินใจ)

3 ปัจจัยนําออก (Output) อาจสรุปได้ดังนี้ คือ

1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบ การเมือง เช่น เศรษฐกิจตกต่ํา อัตราการว่างงานสูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเมือง

2) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการเมืองเอง ซึ่ง Output ประเภทนี้จะมีผล ต่อระบบการเมืองและสภาพแวดล้อมของระบบ

– จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ผ่านออกมาจากระบบนั้น จะมีลักษณะบังคับ เช่น ประกาศ คําสั่ง ” ข้อบังคับ กฎหมาย ฯลฯ นอกจากนี้การดําเนินการยังมีผลผูกพันเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยประโยชน์และ ความสะดวกแก่คนบางกลุ่มในระบบนั้นเอง

4 การสะท้อนป้อนกลับ (Feedback) ก็คือ การป้อนข้อมูลย้อนกลับเพื่อนํามาสู่กระบวนการ Input อีกครั้งหนึ่งว่า Output ที่ออกไปนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

5 สิ่งแวดล้อม (Environment) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิด กับระบบการเมืองมาก ประกอบด้วย

– สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสภาพทั่วไป เช่น อาคาร สิ่งปลูกสร้างชุมชน ถนน ลําคลอง ฯลฯ – สิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความมีเหตุผล

การร่วมมือร่วมใจกัน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น – สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาและสังคม ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมในสังคม โครงสร้างทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างด้านประชากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ําของโลก ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

ส่วน Almond นั้นเชื่อว่าถ้าผู้ศึกษาเปรียบเทียบให้ความสําคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและการ แสดงออกของคนจะช่วยให้การศึกษาเปรียบเทียบก้าวสู่ขั้นที่ก้าวหน้าไปจากการศึกษาเดิมที่ให้ความสําคัญกับ กฎหมายและพิธีการ และจากหน่วยการวิเคราะห์เดิมที่ศึกษาสถาบันทางการเมืองเป็นหลัก นักรัฐศาสตร์ก็จะหันมา สนใจ “บทบาท” (Role) และ “โครงสร้าง” (Structure) ซึ่ง Almond ได้ให้คําจํากัดความของบทบาทว่าเป็นหน่วยที่มีการปะทะสัมพันธ์ในระบบการเมือง และแบบแผนของการบะทะสัมพันธ์ก็คือระบบนั่นเอง

Almond ได้รับอิทธิพลทางความคิดในการวางแผนเปรียบเทียบระบบการเมืองจาก David Easton ในหนังสือชื่อ “ระบบการเมือง” (The Political System) โดยเขาให้หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์ระบบการเมืองไว้ดังนี้

 

Almond เห็นว่า หน้าที่ (Function) ของระบบการเมืองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

  1. หน้าที่ในการส่งปัจจัยเข้าสู่ระบบ (Input Functions) ได้แก่

1) การอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) ซึ่งถือว่าเป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

2) การคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบการเมือง (Political Recruitment) ซึ่งหมายถึง การคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ทางการเมือง

3) การเป็นปากเสียงของผลประโยชน์ที่ชัดเจน (Interest Articulation) หมายถึง การแสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยที่ตัดสินใจกําหนด นโยบายต่อไป

4) การรวบรวมผลประโยชน์ (Interest Aggregation) ก็คือ การสมานฉันท์ของ การเรียกร้องที่เสนอเข้าสู้ในระบบการเมือง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

5) การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) คือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยน ข่าวสารของส่วนต่าง ๆ ในระบบและระหว่างระบบ

2 หน้าที่ในการส่งปัจจัยออกจากระบบการเมือง (Output Functions) ได้แก่

1) การออกกฎระเบียบ (Rule Making) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ 2) การบังคับใช้กฎระเบียบ (Rule Application) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายบริหาร

3) การตีความกฎระเบียบ (Rule Adjudication) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายตุลาการ โดย Almond มีความเห็นสอดคล้องกับ Easton นั่นคือ การเรียกร้องและการสนับสนุน

– การเรียกร้อง แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ

1) การเรียกร้องให้มีการจัดสรรสินค้าและบริการ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่ม

สถานศึกษา เพิ่มสถานพยาบาล ฯลฯ

2) การเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมความประพฤติ เช่น การขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า คุ้มครองลิขสิทธิ์ ปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ

3) การเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในระบอบการเมือง เช่น เรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) การเรียกร้องให้มีการสื่อสารและได้รับทราบข้อมูลจากระบบการเมือง เช่น ต้องการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การยืนยันสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายว่าไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน ฯลฯ

– การสนับสนุน มีอยู่ 4 ประการ คือ

1) การสนับสนุนทางวัตถุ เช่น การสนับสนุนในรูปตัวเงิน การจ่ายภาษีให้รัฐโดยไม่บิดพลิ้ว การเข้ารับราชการทหาร ฯลฯ

2) การเคารพกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เช่น การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

3) การสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้งการออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) สนใจข่าวสารของรัฐ เคารพผู้มีอํานาจทางการเมือง สัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้งพิธีการของสังคม

 

ข้อ 2 (ก) การพัฒนาที่แท้จริงคืออะไร ? ขณะนี้ประเทศไทยประกาศการปฏิรูปประเทศมากมาย เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12, Thailand 4.0, Digital Thailand เป็นต้น ทั้งหมดดังกล่าวจะทําให้สังคมไทยมีการพัฒนาที่แท้จริงหรือเป็นเพียง “การทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา” ? ทําไม ?

จงอธิบายและระบุตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริงให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรม และ

(ข.) สังคมไทยจําเป็นต้องกล่อมเกลาปลูกฝังผู้คนในสังคมในมิติใดบ้าง เพื่อให้เกิดมีวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมตามตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริงที่ระบุในข้อ

ก และใครหรือองค์กรใดบ้างจะทําหน้าที่ เป็นผู้ปลูกฝังกล่อมเกลา (Change agents) ระบุและอธิบายให้ชัดเจน

แนวคําตอบ

การพัฒนาที่แท้จริง คือ กระบวนการที่ทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ยังทําให้เกิดการกระจายรายได้ ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค นั่นคือ ประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน และนําไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยถ้วนหน้า

สาระสําคัญหนึ่งในการปฏิรูปประเทศ ก็คือ ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (ปี 2560 – 2579) อันประกอบด้วย วิสัยทัศน์ เป้าหมายอนาคตของชาติที่คนไทยทุกคนต้องการบรรลุร่วมกัน รวมทั้งยุทธศาสตร์หลัก หรือนโยบายแห่งชาติและมาตรการเฉพาะ ซึ่งเป็นแนวทาง ทิศทาง และวิธีการที่ทุกองค์กรและคนไทยทุกคนต้อง มุ่งดําเนินการไปพร้อมกันอย่างประสานสอดคล้องเพื่อให้บรรลุซึ่งสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการ คือ ประเทศไทย มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ในทุกสาขาของกําลังอํานาจแห่งชาติ ได้แก่ การเมืองภายในประเทศ การเมือง ต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และคนไทยทุกคนอยู่ดีมีสุข

รัฐบาลจึงได้ประกาศแผน ฯ ปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ตามยุทธศาสตร์ชาติ เช่น พัฒนาให้มี ความรู้ความเข้าใจการเมืองการปกครอง, พัฒนาโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้ทันสมัย, ทบทวนหรือยกเลิกกฎหมาย ที่ล้าสมัย, กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้, ยกระดับผลิตภาพ ความสามารถใน การแข่งขันสูงขึ้น, รักษา ฟื้นฟูให้สมบูรณ์ละยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

มาตรการดังกล่าวนั้นสามารถทําให้ประเทศไทยเกิดการพัฒนาที่แท้จริงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีประเด็นการพัฒนาที่สําคัญในอนาคต หากประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้าน ต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องดังต่อไปนี้ คือ

1 การพัฒนาคน / ทรัพยากรมนุษย์ในทุกช่วงวัย เป็นการพัฒนาในทุกมิติทั้งด้านความรู้ ทักษะ ทัศนคติ สุขภาพกายและจิตใจ และจิตวิญญาณอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไทยเป็นคนมีคุณภาพอย่างแท้จริง

2 การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ําและสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการให้บริการทางสังคมเป็นไปอย่างทั่วถึง

3 การปรับโครงสร้างภาคการผลิตและบริการที่มุ่งสู่คุณภาพ มาตรฐาน และความยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจศักยภาพสูงบนฐานของการเพิ่มผลิตภาพ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสําหรับการพัฒนา เศรษฐกิจและการพัฒนาสังคม

4 การปฏิรูปภาครัฐและกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อสร้างความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ให้บริการคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

5 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้ก้าวหน้าทันโลก สามารถ ตอบโจทย์การผลิตและบริการที่มีมูลค่าสูงและแข่งขันได้ และมีคุณค่าทําให้คุณภาพชีวิตดีโดยการสร้างสภาวะ แวดล้อมและปัจจัยสนับสนุนที่เอื้อต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อก้าวผ่านจากการเป็นผู้ซื้อ เทคโนโลยีไปสู่การเป็นผู้ผลิตและขายเทคโนโลยี เป็นต้น

6 ตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริง ได้แก่

1 ความมั่นคงทางการเมือง หรือบางครั้งอาจใช้คําว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” ก็ได้ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก

– ความต่อเนื่องของระบบการเมือง ซึ่งเราพบว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือมีความ มันคงทางการเมือง มักจะมีความต่อเนื่องทางการเมือง ไม่มีการแทรกแซงของทหาร กลไกทางการเมืองดําเนินไป ตามกฎหมายที่กําหนดไว้ ขณะที่การเมืองในประเทศที่กําลังพัฒนามักมีปัญหาเรื่องของการแทรกแซงของทหาร หรือถูกแทรกแซงจากภายนอกซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขทางการเมือง

– ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มักถูกเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางการเมืองเสมอ เนื่องจากประเทศใดที่มีเศรษฐกิจไม่ดี มีคนว่างงานจํานวนมาก รายได้ของประชาชนน้อยลง สินค้ามีราคาแพงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน ดังนั้นเสถียรภาพหรือความมั่นคงทางการเมืองย่อมลดลงถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตค่อนข้างสูงก็จะทําให้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลมีมากเช่นกัน

– สังคม ปัญหาสังคมมักเชื่อมโยงกับปัญหาทางเศรษฐกิจ และนําไปสู่ปัญหาทาง การเมืองของประเทศ ตัวอย่างเช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของยาเสพติด ปัญหาของคนว่างงาน ปัญหาของผู้ไร้ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

2 สถาบันทางการเมือง

– รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกฎหมายสูงสุด และเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญของ ประเทศ เนื่องจากรัฐธรรมนูญจะเป็นตัววางกรอบโครงสร้างทั้งหมดทางการเมืองที่จะพูดถึงในเรื่องสิทธิ อํานาจหน้าที่ และที่มาของสถาบันตัวอื่น ๆ รวมทั้งสมาชิกทางการเมืองในแบบต่าง ๆ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงต้องมีความชอบธรรม ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมและวิถีการดําเนินชีวิตของคนในชาติ นอกจากนี้จะต้องไม่มีความเอนเอียง หรืออํานวยประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกยับยั้งและเกิดการรวมกลุ่มของประชาชน เพื่อต่อต้าน ดังนั้นการมีรัฐธรรมนูญที่ดีจึงก่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ

– สภา ถือเป็นสถาบันทางการเมือง ซึ่งเราให้ความสนใจในเรื่องที่มาและอํานาจหน้าที่ ของสภาว่ามีอะไรบ้าง สมาชิกมาจากการสรรหาหรือการแต่งตั้ง สัดส่วนของ ส.ส. และ ส.ว. เป็นเท่าใด สิ่งเหล่านี้ จะถูกนํามาพิจารณาทั้งสิ้น นอกจากนี้เรายังมองไปถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสภาว่ามีลักษณะเช่นไร

– พรรคการเมือง ถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญที่จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรค ที่มีนโยบายและอุดมการณ์ของตนเองได้มีบทบาทในการสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อเป็นตัวแทนให้กับประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ในสภา พรรคการเมืองที่มีโอกาสทําหน้าที่บริหารประเทศ จะต้องรู้จักวางแนวทางในการ

– ทําหน้าที่เมื่อเป็นรัฐบาล มีนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศชาติเสมอ

3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาการเมือง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ประเทศมีสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองก็มักจะขับเคลื่อนไปได้ยาก ฉะนั้นถ้าประเทศใดก็ตามที่มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการศึกษาที่ดี และมีความรู้ การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ยาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า ประเทศใดมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา ประชาชนอดอยาก ขาดการศึกษา การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ง่าย ดังนั้น จะเห็นว่าการพัฒนาทางการเมืองจึงมักจะถูกเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเสมอโดยทั้ง 2 ตัวแปรมักแยกกันไม่ออก เป็นต้น

การกล่อมเกลาปลูกฝังผู้คนในสังคมเพื่อให้มีวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมตามตัวชี้วัดการพัฒนา ที่แท้จริง มีดังนี้

1 ภาครัฐจะต้องมุ่งเน้นสร้างประชาธิปไตยทางการเมือง และประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยเร็ว รวมทั้งมีระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมคุ้มครองความมั่นคงให้แก่ประชาชน ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้พรรคการเมือง บางพรรคนําไปใช้เป็นเงื่อนไขกับประชาชน เพื่อนําไปใช้เป็นนโยบายประชานิยมในการนําตนเข้าไปสู่อํานาจ หรือ ซื้อเวลาให้ตนอยู่ในอํานาจเท่านั้น

2 ภาครัฐจะต้องรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน เพื่อส่งเสริมในเรื่องการสร้างจิตสํานึก ทางการเมือง วัฒนธรรม ค่านิยม การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเรียนรู้ประชาธิปไตยร่วมกันระหว่างพลเมือง โดยเฉพาะชาวบ้านในชนบท ชนชั้นกลางในเมือง นิสิตและนักศึกษา

3 เปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยมีกฎหมายรองรับ อีกทั้งรัฐบาล ภาครัฐ และภาคการศึกษาจะต้องส่งเสริมและผลักดันให้มีกิจกรรมเพื่อสังคมของนักเรียน นักศึกษาตามมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างจิตสํานึกทางการเมืองที่ดีให้แก่ประชาชนและสังคม

4 ในด้านภาคการศึกษาจะต้องปลูกฝังจิตสํานึกทางการเมือง โดยมีวิชาสิทธิตามรัฐธรรมนูญ สิทธิพลเมือง และอุดมการณ์ทางการเมือง บรรจุในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ

5 ในด้านภาคกฎหมายจะต้องมีกฎหมายป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงที่เข้มข้น ผู้ที่ซื้อสิทธิ หรือขายเสียงต้องมีโทษความผิดที่หนัก เพื่อป้องกันวัฒนธรรมการซื้อสิทธิขายเสียง

6 ภาครัฐและภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป กํากับ และรณรงค์จริยธรรมคุณธรรม ทุกภาคส่วนในสังคมไทย โดยไม่ฝากความหวังไว้กับองค์กรอิสระ มากกว่าการสร้างภาคพลเมืองให้เข้มแข็ง เป็นต้น

ผู้ที่จะทําหน้าที่เป็นผู้ปลูกฝังกล่อมเกลา (Change agents) ได้แก่

– ครอบครัว การสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อในการสร้างความรู้ทางการเมือง โดยครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยแรกในการฝึก ให้เด็กได้รับรู้สภาพและเป็นการปูพื้นฐานทางการเมือง นักรัฐศาสตร์เปรียบเทียบได้ให้ความสําคัญกับครอบครัว และบทบาทของครอบครัวในการสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กเป็นอย่างมาก ซึ่งครอบครัวจะช่วยในเรื่องการ หล่อหลอมทางการเมืองได้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ

1) ครอบครัวจะช่วยถ่ายทอดทัศนะของพ่อแม่ต่อเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้สภาพ ความคิดและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นจากทัศนคติของพ่อแม่ เช่น ถ้าพ่อแม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือเปิดโอกาสและพูดคุยการเมืองให้กับเด็กแล้ว เด็กคนนั้นก็จะได้รับรู้และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ แม้ว่า บางครั้งในสังคมไทยอาจจะมีบางครอบครัวที่มีความเผด็จการกับลูก ๆ อยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมี ความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าเผด็จการ

2) พ่อแม่จะมีลักษณะเป็นตัวแบบให้กับเด็ก โดยเด็กจะมีการเลียนแบบจากสิ่งที่ พ่อแม่กระทํา เช่น พฤติกรรมในการกิน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อื่น ความมีน้ําใจ การมีส่วนร่วม การมีนิสัย ชอบการเลือกตั้ง ชอบแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เด็กจะเรียนรู้และตามแบบจากพ่อแม่

3) บทบาทและสิ่งที่เด็กคาดหวังที่จะกระทําเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จะมีความสัมพันธ์กับ การแสดงออกทางการเมืองของเขา นั่นคือ เด็กจะแสดงออกทางการเมืองอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความหวังที่เขาได้รับ เมื่อครอบครัวสั่งสอน เขาอาจมีเป้าหมายที่จะเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเขาเติบโต ขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลผูกพันกับระบบการเมืองแทบทั้งสิ้น

– โรงเรียน นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างให้เกิดสังคมที่ดี และเป็นหน่วยสร้าง การกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งโดยทั่วไปเด็กมีโอกาสได้รับอิทธิพล ในการเรียนรู้จากโรงเรียนค่อนข้างมาก เนื่องจากระยะเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมีเวลานาน จึงเป็นผลให้ความรู้ ทางการเมืองที่เด็ก ๆ จะได้รับมีการสะสมมานานจนสามารถฝังอยู่ในความทรงจํา

ในสังคมไทยนั้นระบบโรงเรียนและการจัดการเรียนการสอนนับว่ามีอิทธิพลต่อความเชื่อ ของเด็กมาก เด็กมักจะเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ เนื่องจากมีโอกาสอยู่ในโรงเรียนมากกว่าที่บ้าน เมื่อเด็กมีการศึกษามากขึ้นโอกาสที่เขาจะได้รับรู้ความเป็นไขทางการเมืองก็จะมากกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา เนื่องจากเขาสามารถศึกษา เพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ บทความ การสนทนาทางวิชาการ ฯลฯ ซึ่งคนที่ต้อยการศึกษาอาจไม่ได้รับ ในรายละเอียดได้มากเท่ากับคนที่มีการศึกษา นอกจากนี้โรงเรียนยังช่วยในการสร้างค่านิยมของระบอบประชาธิปไตย ให้เยาวชนผูกพันกับระบอบประชาธิปไตยได้อีกด้วย

– สื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ ต่างก็เข้ามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันของประชาชนมากขึ้น ซึ่งในการสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาวัฒนธรรมทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการอบรมหรือเป็นช่องทางในการเผยแพร่

และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นการนําเสนอข้อมูลของสื่อมวลชนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อ การพัฒนาการเมืองของไทย เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและนําเสนอข่าวสารที่บิดเบือน จากข้อเท็จจริงแล้ว อาจทําให้ประชาชนหรือเยาวชนสับสนกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นได้

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษาหยิบยกประเด็นทางการเมืองประเด็นใดประเด็นหนึ่งขึ้นมาวิเคราะห์ โดยเลือกใช้แนวทางการศึกษา (Approach) ของการเมืองเปรียบเทียบแนวทางใดแนวทางหนึ่งที่เห็นว่าเหมาะสม จะใช้ในการอธิบาย โดยให้บรรยายถึงลักษณะของประเด็นปัญหาหรือเหตุการณ์ วิเคราะห์สาเหตุ และบอกถึงแนวทางแก้ปัญหาหรือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แนวคําตอบ

“การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร” ถือเป็นประเด็นทางการเมืองหนึ่งที่สําคัญซึ่งมัก เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศโลกที่สาม หลังจากประเทศมหาอํานาจส่วนใหญ่ได้ปลดปล่อยประเทศในอาณานิคม ของตนออกมาเป็นประเทศเอกราชที่เกิดใหม่ ซึ่งประเทศเอกราชเหล่านี้มักมีแนวทางการพัฒนารูปแบบของ ระบอบการปกครองเหมือนกับประเทศแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาให้เป็นประชาธิปไตย แต่การพัฒนาไปสู่ ความเป็นประชาธิปไตยกลับไม่ประสบความสําเร็จ เกิดช่องว่างของอํานาจทางการเมือง โดยทหารมักจะเป็น กลุ่มทางสังคมที่มีพลัง มีประสิทธิภาพ และมีเทคโนโลยีที่สามารถเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองได้

บทบาททางการเมืองของทหาร มีวิวัฒนาการดังนี้

ช่วงที่ 1 ระหว่างปี ค.ศ. 1930 นักรัฐศาสตร์ในสหรัฐอเมริกามีปฏิกิริยาต่อต้านการขยายตัว ของระบอบการปกครองแบบเผด็จการในยุโรป เกิดทฤษฎีและรูปแบบของนายทหารประจําการ ซึ่งจะสร้างสรรค์ อํานาจเผด็จการและใช้ความรุนแรงในรูปแบบใหม่

ช่วงที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้ง 2 สงบ แนวทางการศึกษาบทบาททางการเมืองของทหารได้ มุ่งเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือน ทหารได้พัฒนาตนเองในลักษณะของทหารอาชีพ

– ช่วงที่ 3 มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนในสังคมกําลังพัฒนาในเชิง

– เปรียบเทียบเกี่ยวกับสาเหตุผลักดันให้ทหารใช้อํานาจเข้าแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า สาเหตุสําคัญมาจากความล้มเหลวของการปกครองแบบรัฐสภาและความไม่มี ประสิทธิภาพในการปกครองของรัฐบาลพลเรือน

ช่วงที่ 4 แนวการศึกษาที่มุ่งวิเคราะห์บทบาทของ “ทหารอาชีพ” ในประเทศตะวันตก เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาบทบาทของทหารในประเทศกําลังพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของทหารซึ่งอาจจะ ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเมือง

ช่วงที่ 5 มีการนําเอารูปแบบของการศึกษาที่เชื่อว่า “ทหารเป็นนักพัฒนาหัวก้าวหน้าและ เป็นสมัยใหม่” มาใช้อธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของประเทศกําลังพัฒนา โดยให้ความสําคัญแก่บทบาททหาร ต่อกระบวนการการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสมัยใหม่ และการพัฒนาการเมือง

ช่วงที่ 6 ทหารมีบทบาทเป็นองค์กรที่คอยเหนี่ยวรั้งการพัฒนาทางการเมือง จึงเริ่มหันมาให้ ความสนใจศึกษาและค้นคว้าหามาตรการที่จะทําให้ทหารเป็นพลเรือนมากขึ้น ซึ่งนักวิชาการเริ่มให้ความสนใจ กับปัญหาการก้าวออกจากอํานาจ และผลักดันให้ทหารกลับไปเป็นทหารอาชีพตามเดิม

สาเหตุของการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร

1 ความเปราะบางของรัฐบาลพลเรือนทําให้ทหารเข้าแทรกแซงทางการเมืองได้โดยง่าย ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลเข้ามาโดยไม่ชอบธรรม มีการทุจริตการเลือกตั้ง ผู้นําพลเรือนมีความอ่อนแอขาดประสิทธิภาพ ในการบริหารประเทศ การปกครองระบอบประชาธิปไตยล้มเหลว ประชาชนเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งประชาชนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตย เกิดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ปัญหาได้

2 องค์กรของทหารมีการจัดองค์กรที่เป็นระเบียบและเข้มแข็ง และมีอาวุธอยู่ในมือ ทําให้ สามารถแทรกแซงทางการเมืองได้ดีกว่ากลุ่มพลังทางสังคมกลุ่มอื่น

3 ทหารมีผลประโยชน์ของกลุ่มตนเองซึ่งอาจจะขัดกับรัฐบาลพลเรือน เมื่อรัฐบาลพลเรือน ไม่ทําตามที่ทหารต้องการหรือขัดกับผลประโยชน์ของทหาร ทหารก็มีแนวโน้มที่จะเข้าแทรกแซง

4 ทหารมีความทะเยอทะยานส่วนตัวและต้องการขึ้นสู่อํานาจทางการเมือง ซึ่งในบางครั้ง หารมักถูกใช้ให้ทําหน้าที่ปราบปรามจลาจลแทนตํารวจ ทําให้โอกาสของการใช้กําลังรุนแรงในการล้มรัฐบาล เท่าได้ง่าย

5 เกิดช่องว่างทางสังคม เป็นผลให้ทหารต้องเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง เพราะผู้นํา พลเรือนมัวแต่แย่งชิงอํานาจกัน ทําให้ไม่รู้ว่าอํานาจแท้จริงเป็นของใคร

6 ทหารไม่ยอมรับอํานาจและความชอบธรรมของรัฐบาลพลเรือน

7 ประชาชนไม่ตื่นตัวทางการเมือง เป็นต้น

แนวทางแก้ปัญหาการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร

1 กลไกด้านสังคม สังคมต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ กล่าวคือ สังคมต้องสร้างองค์ความรู้ ในเรื่องกิจการทหาร และการป้องกันประเทศให้แก่สังคม ซึ่งถือเป็นวิธีหนึ่งในการทําให้สังคมมีความเข้มแข็ง ทั้งนี้เพราะหากสังคมไม่มีความเข้มแข็งแล้ว การทําประชาธิปไตยให้เข้มแข็งคงเป็นไปได้ยาก

2 กลไกด้านการเมือง กล่าวคือ ต้องสร้างความเป็นสถาบันให้เกิดแก่องค์กรในสังคมการเมือง โดยคาดหวังว่า เมื่อสถาบันมีความเข้มแข็ง ประชาธิปไตยก็จะเข้มแข็ง ซึ่งทําให้โอกาสที่กองทัพจะเข้ามามีบทบาท ในการแทรกแซงการเมืองโดยตรงอย่างในอดีตจะเกิดขึ้นได้ยาก

3 กลไกการสร้างความเข้มแข็งของกองทัพ การพัฒนากองทัพด้วยการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ใช่สิ่งที่ระบอบประชาธิปไตยจะยอมรับไม่ได้ แต่ต้องให้สังคมมีส่วนเข้ามารับรู้ สามารถตรวจสอบได้ โปร่งใส หรือสร้างกําลังพลในกองทัพให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นทหารอาชีพ ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับ การเมือง การให้ความรู้แก่ทหารจะทําให้ทหารมีความเข้าใจในเรื่องของกิจการทหาร ซึ่งจะส่งผลให้กองทัพมีความเข้มแข็งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอีก

 

ข้อ 4 ให้นักศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทยว่าเป็นอย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง และนักศึกษามีข้อเสนออย่างไรเพื่อนําไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืน

แนวคําตอบ

การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ผ่านมาจะครบ 86 ปี ใน พ.ศ. 2561 นับตั้งแต่ เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 พบว่าคนไทยจํานวนมากยังขัดแย้งกันทั้งในเรื่องวิธีการและเป้าหมาย ของประชาธิปไตยอยู่ ซึ่งความไม่ชัดเจนในเรื่องประชาธิปไตยนี้เองได้ส่งผลต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่ ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง และยังเป็นอุปสรรคสําคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยสําหรับสังคมไทย

ปัญหาการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย

1 การเป็นรัฐอุปถัมภ์ คือ การผูกขาดอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 เป็นการถ่ายโอนอํานาจจากระบอบเก่าสู่ ระบอบใหม่ เป็นรัฐใหม่ที่ใช้ระบอบรัฐธรรมนูญนิยมหรือประชาธิปไตยบนความแข็งแกร่งของระบบราชการที่มี อยู่ก่อนแล้ว ความจําเป็นของระบอบใหม่ที่ต้องมีผู้นําจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรม ให้กับการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลยังคงผูกขาดอํานาจและบทบาทไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด ประชาชนจึงถูกครอบงํา และถูกกํากับเพียงทําหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย เสียภาษีและไปเลือกตั้ง ทําให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจว่า “ประชาธิปไตย คือ การไปเลือกตั้ง” เป็นเพียงพลเมืองที่ผู้มีหน้าที่ตามที่รัฐกําหนดให้ จึงยังไม่มีพลเมืองที่ ไปมีส่วนร่วมในการกําหนดการมีอํานาจเละการสืบทอดอํานาจทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงจํากัด อยู่เพียงระดับการเลือกตั้ง นอกจากนี้การมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางสังคมของประชาชนก็มีขอบเขตจํากัดอยู่เพียง การไปเข้าร่วมในโครงการของทางราชการ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น จึงทําให้ประชาชน ถอยห่างจากการเมือง และคอยรอรับความช่วยเหลือจากทางราชการ ซึ่งเป็นลักษณะของประชาชนที่อยู่ภายใต้การ อุปถัมภ์ของผู้ที่เหนือกว่า และขาดความเชื่อมั่นในการพึ่งตัวเอง

แม้ว่าจะมีการกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่นนับตั้งแต่ปี 2540 แต่การกําหนดอํานาจ ดังกล่าวนี้มิได้เกิดจากการเข้าไปมีส่วนร่วมคิดและกําหนดจากประชาชนในท้องถิ่นทั้งในเรื่องของอํานาจหน้าที่ และการเงิน การคลัง ทําให้อํานาจของท้องถิ่นยังถูกยึดโยงอยู่ที่อํานาจส่วนกลาง นั่นคือ นักการเมืองในส่วน ปกครองท้องถิ่นเองก็มีพฤติกรรมทางการเมืองไม่แตกต่างจากส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้งระดับชาติ ทําให้เกิด ระบบอุปถัมภ์ใหม่กดทับความอ่อนแอของประชาชนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเป็นผู้ขาดอํานาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมนี้ ยังได้ มีการกําหนดและบงการความสัมพันธ์อาณาบริเวณของการเมืองและเศรษฐกิจออกจากกัน มิได้กระตุ้นส่งเสริม พลังต่าง ๆ ในประชาสังคม หากแต่จํากัดและควบคุมโดยอาศัยมาตรการทางกฎหมาย กฎระเบียบ และประกาศ ข้อบังคับต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง อันเป็นการแยกประชาสังคมออกจากการเมือง และมีผลทําให้ เนื้อยซาและเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมือง ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าวยังคงเป็นข้อปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน

การใช้อํานาจและระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยจึงมีอยู่มากในระบบราชการ เช่น การมี เส้นสายเพื่อเข้าสู่ตําแหน่งมากกว่าพิจารณาจากความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะในปัจจุบันจะเห็นว่านักการเมือง ที่อยู่ในอํานาจจะมีอิทธิพลสูงและใช้อํานาจของตนในการโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม โดยอ้างความ เหมาะสมเมื่อประเทศไทยเร่งรัดพัฒนาประเทศเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เกิดวัฒนธรรมบริโภค นักธุรกิจมุ่ง หากําไรอย่างขาดสติ นักการเมืองส่วนใหญ่ก็ใช้อํานาจทางการเมืองหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง ทําให้การเมืองกลายเป็นเรื่อง “ธุรกิจการเมือง” เกิดเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งธุรกิจและการเมือง และมีการคอร์รัปชั่นง่าย และมากขึ้น จนทําให้เรื่องคอร์รัปชั่นกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้

2 การรัฐประหาร ถือเป็นสาเหตุสําคัญที่ไม่อาจนําไปสู่การพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ของไทย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเผด็จการทหาร หรือ “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทยนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 โดยพบว่าคณะรัฐประหารทุกยุคมักแสดงท่าที่เห็นด้วยกับแนวทางประชาธิปไตย หลังการ รัฐประหารจึงสนับสนุนให้เกิดสถาบันทางการเมืองประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ทั้งรัฐธรรมนูญ รัฐสภา พรรคการเมือง และการเลือกตั้ง แต่ปัญหาของเผด็จการก็คือ การใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทาง การเมือง อีกทั้งยังเป็นการทําลายหรือสกัดกั้นกระบวนการพัฒนาระบบประชาธิปไตย และเป็นการผลิตซ้ํา ๆ ของเผด็จการทหารให้แก่การเมืองของคนไทยอีกด้วย

ดังนั้นวงจรรัฐประหารจึงเปรียบเสมือนวงจรเผด็จการที่หล่อเลี้ยงไว้ด้วยวัฒนธรรม อํานาจนิยม (Authoritarian Culture) โดยพยายามสร้างและรักษาความชอบธรรมทางการเมืองจากความ อ่อนแอและขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ถูกล้มเลิกไป เมื่อสถานการณ์เอื้ออํานวยจากความอ่อนแอของสถาบัน การเมืองทั้งหลาย รวมทั้งพฤติกรรมคอร์รัปชั่นของนักการเมืองนั่นเอง

3 การศึกษา กล่าวคือ การศึกษาไทยมักถูกออกแบบและกํากับโดยระบอบการเมือง หรือผู้นําทางการเมืองนั่นเอง ซึ่งรัฐบาลไทยในอดีตก็ได้เน้นการกล่อมเกลาให้ราษฎรได้เข้าใจหน้าที่ของตนเพื่อ ตอบสนองต่อรัฐโดยมีรัฐเป็นศูนย์กลาง การจัดการศึกษาในเมืองหลวงจึงเน้นหนักไปในการสร้างคนเพื่อรับใช้ กลไกหลักของรัฐ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี ขณะที่การขยายการศึกษาไปยังส่วนต่าง ๆ ของประเทศเป็นการสร้าง พลเมืองที่ดี การจัดการศึกษาที่รวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางเช่นนี้ได้ละเลยความสําคัญของความเป็นชุมชน ความเป็น พหุสังคมที่มีศาสนา ภาษา เชื้อชาติ และวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันในประเทศ ด้วยเหตุนี้ท้องถิ่นจึงไม่ได้มีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษาเรียนรู้ในแบบวิถีชุมชนเพื่อรักษาอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย ซึ่งทําให้ชุมชนอ่อนแอและไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงการกระจายโอกาสทางการศึกษาที่ขาดความเสมอภาค และเท่าเทียมในพื้นที่ที่ห่างไกล

– นอกจากนี้ บรรยากาศการเรียนรู้ในระบบการศึกษาไทยในระยะยาวนั้น เป็นการสอน ตามความสนใจของผู้สอนที่มุ่งป้อนวิชาความรู้เพื่อให้ผู้เรียนเชื่อฟัง จดจํา และทําตาม ไม่ได้ฝึกฝนให้ทําและ นําไปคิด เพื่อนําสู่การปฏิบัติและแสดงออก เป็นการเน้นวิชาการแต่ขาดการส่งเริ่มทักษะทางสังคม ผู้เรียนจึงถูก แยกส่วนออกจากอาณาบริเวณทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถเชื่อมโยงบทบาทของตนกับสังคม ภายนอกได้ และไม่สามารถสร้างจิตสํานึกของการเป็นเจ้าของสังคมที่เขามีชีวิตอยู่ และไม่มีความพร้อมที่จะ รับผิดชอบในภายภาคหน้า การศึกษาทําให้คนไทยรู้จักแต่เพียงการเลือกตั้งและรูปแบบการปกครอง แต่ยังขาด ทักษะชีวิต การคิด การใช้ชีวิตในแบบสังคมประชาธิปไตยที่ต้องการการแสดงออกถึงวุฒิภาวะในการใช้ความคิด การมีเหตุมีผล การมีความรับผิดชอบให้เกิดขึ้นได้จริง ๆ

การศึกษาที่รวมศูนย์อํานาจไว้ที่รัฐบาลยังส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมของคนที่ไม่ค่อย เข้าใจบทบาทของรัฐบาลที่มีต่อความเป็นอยู่ของตนเอง และไม่สนใจเรื่องส่วนรวม นักเรียนจึงมุ่งแข่งขันกันเรียน มุ่งหาเลี้ยงชีพเพื่อประโยชน์ของตนเท่านั้น ทิ้งภาระทางสังคมการเมืองไว้กับนักการเมือง อันเป็นค่านิยมของ การบูชายกย่องผู้มีความสําเร็จทางเศรษฐกิจ มากกว่าการให้ความสําคัญกับการสร้างคนที่มีความรู้คู่คุณธรรม ที่พร้อมเสียสละเพื่อส่วนรวม

4 สถาบันครอบครัว กล่าวคือ การเลี้ยงดูเด็กของคนไทยนั้นไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร เพราะส่วนใหญ่เราจะสอนเด็กแบบอํานาจนียม ใช้ระบบอาวุโสเป็นใหญ่ ผูกขาดความถูกผิดทุกอย่างที่เด็กต้องเชื่อ ฟังและปฏิบัติตามโดยขาดเหตุผล ต้องคอยเอาใจผู้ใหญ่ พ่อ แม่ และผู้อาวุโสทุก ๆ คนที่อยู่ในครอบครัว ไม่รู้จัก รับผิดชอบตัวเอง ไม่มีวินัย จัดการตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ติดกับคตินิยมที่ว่า “เด็กดีคือผู้ที่เชื่อฟัง ผู้ใหญ่”

การอบรมเลี้ยงดูนั้นจะช่วยสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็ก ด้วยการสร้าง สมดุลระหว่างการใช้เสรีภาพ ความรับผิดชอบและความมีวินัย โดยเฉพาะการสร้างนิสัยให้เป็น “ผู้มีวินัย” ที่ ควบคุมตัวเองได้ เพราะวินัยถือเป็นสิ่งสําคัญมากในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองตนเอง ดังนั้นถ้าประชาชนขาดความรับผิดชอบและไม่มีวินัยแล้ว ย่อม หมายถึงการไม่สามารถบังคับหรือควบคุมตัวเองให้อยู่ในกรอบ กติกาที่ตนเองและผู้อื่นร่วมกันกําหนดขึ้นได้ ซึ่ง ส่งผลทําให้ไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในการปกครองอย่างเหมาะสมได้เช่นกัน การเป็นผู้มีวินัยนั้นยังเป็นผู้ที่มีความ ชื่อตรงต่อหน้าที่ของตน คือ มีความรับผิดชอบต่อสถานภาพต่าง ๆ ที่ตนเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของชุมชน ของครอบครัว และพลเมืองของประเทศ ดังนั้นการมีวินัยจึงมีความจําเป็นมากสําหรับสังคมไทย เพราะคนไทย โดยทั่วไปนั้นมักขาดวินัย ดังคํากล่าวที่ว่า “ทําอะไรตามใจคือไทยแท้” อีกทั้งยังชอบหลบหล็กกฎหมายหรือ ระเบียบของสังคม เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจร การหลีกเลี่ยงภาษี เป็นต้น

6 แนวทางในการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยให้มีความมั่นคงยั่งยืน

1 พัฒนาความรู้ความเข้าใจและเจตคติให้แก่ประชาชนทุกระดับ ในการเรียนรู้และฝึกฝน ทักษะการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งประชาชนจะต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่ถูกอิทธิพล ของใคร่ชักจูง กระบวนการเรียนรู้นี้ต้องถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัย และพัฒนา ให้มีความลึกซึ้งมากขึ้นในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ครูผู้สอนในสถานศึกษาทุกระดับจะต้องเป็นกลไกสําคัญในการหล่อหลอมเยาวชนไทยให้เข้าใจและมีเจตคติที่ถูกต้องในเรื่องประชาธิปไตย การเผยแพร่ความรู้ในกลุ่มประชาชนทั่วไป ก็เป็นกิจกรรมที่ต้องทําควบคู่กันไป เพราะหลักการของประชาธิปไตยนั้นประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของสิทธิ หรือ เป็นเจ้าของเสียงในการเลือก “คน” ที่จะมาทําหน้าที่แทนตน

2 ฝึกฝนการเข้าร่วมกระบวนการตัดสินใจให้กับประชาชนทุกระดับ เพราะการเข้าร่วมใน กระบวนการตัดสินใจเป็นลักษณะสําคัญประการหนึ่งของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และเป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนทราบถึงความต้องการของตนเองและนักปกครองไม่สามารถละเลยความต้องการนี้ได้ การฝึกเข้าร่วมในกระบวนการตัดสินใจควรหล่อหลอมตั้งแต่ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน โดยบูรณาการให้เข้า กับวิถีของคนในชุมชนและฝึกจนเป็นปกติวิสัย ซึ่งจะมีผลให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนทาง การเมืองและมีความรู้สึกเป็นอิสระในการตัดสินใจ ประชาชนจะรู้สึกเป็นนายของตัวเองเพิ่มขึ้น และเมื่อเขา เหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองของประเทศ สํานึกในความเป็นประชาธิปไตยจะช่วยจรรโลงให้เกิดความยั่งยืน ในสังคม

3 ผู้บริหารประเทศต้องยึดขันติธรรมทางการเมือง และความยั่งยืนของการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การยึด “เสียงข้างมาก” ว่าเป็นฝ่ายถูกต้อง หรือให้มีสิทธิมีอํานาจในการลิดรอนเสรีภาพ หรือคุกคามกลุ่มเสียงส่วนน้อย เพราะการกระทําดังกล่าวจะทําให้กลุ่มเสียงข้างน้อยไม่ได้รับประโยชน์ นํามาซึ่ง ความไม่สงบสุขของประเทศได้ ดังนั้นหลักขันติธรรมทางการเมืองจึงหมายถึงการยอมรับความหลากหลายในสังคม ไม่ปล่อยให้เสียงข้างมากกดขี่กลุ่มเสียงข้างน้อย โดยผู้บริหารประเทศต้องมีการส่งเสริมฉันทามติที่สมดุลในสังคม

การยอมรับความแตกต่างของกันและกัน โดยเฉพาะความแตกต่างด้านความรู้สึกนึกคิด และการแสดงออกซึ่ง ความคิดเห็น ตราบใดที่ความแตกต่างนั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือสังคม ผู้มีวัฒนธรรมทางการเมือง ย่อมแสดงความอดกลั้น และเคารพในความแตกต่างของผู้อื่นได้ ซึ่งจะนําไปสู่การสร้างเอกภาพในความแตกต่างของ การอยู่ร่วมกันในสังคม

4 การจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้การศึกษาตอบสนองความเป็นอยู่ในชีวิตประจําวันมากขึ้น โดยขยายฐานการศึกษาที่ไร้ขีดจํากัด กล่าวคือ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเป็นธรรม ทั้งกลุ่มเยาวชน หรือบุคคลที่ไม่มีที่อยู่อาศัยแน่นอน การศึกษาต้องเปิดโอกาสสําหรับบุคคลทุกช่วงอายุและทุกสถานะ เพราะเมื่อ บุคคลได้รับการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ตัดสินใจในการแก้ปัญหา หรือลงความเห็น ต่าง ๆ จะเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น

5 ความรับผิดชอบต่อสาธารณะและความโปร่งใส สถาบันของรัฐหรือนักปกครองต้อง รับผิดชอบการกระทําของตน นอกจากจะต้องรับผิดชอบในการทํางานเพื่อประโยชน์ของประชาชนแล้ว ยังต้อง รับผิดชอบต่อฝ่ายตุลาการที่มีความเป็นอิสระ และรับผิดชอบต่อสถาบันกลางอื่น ๆ ที่ทําหน้าที่ในการตรวจสอบ การทํางานของรัฐบาล เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ได้รับประโยชน์จากนโยบายที่แท้จริง ป้องกันการตกอยู่ในภาวะ สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียผลประโยชน์ที่ตนจึงได้รับ

6 มีการกระจายอํานาจเพื่อไม่ให้อํานาจกระจุกอยู่ที่ส่วนกลางเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทําให้ ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับการตอบสนองความต้องการได้อย่างเหมาะสมตามสิทธิอันพึงได้รับ เกิดการกระจาย ของงบประมาณ อันจะส่งผลต่อการกระจายทรัพยากร การพัฒนาสาธารณูปโภค การพัฒนาการคมนาคม การพัฒนา สุขภาพ และการพัฒนาการศึกษา ทําให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงใน กระบวนการประชาธิปไตย เปิดโอกาสในการพัฒนาการเมืองท้องถิ่น ซึ่งจะเอื้อให้เกิดความสามัคคีในกลุ่มคน ของภาคส่วนนั้น ๆ มีการจัดตั้งกลุ่มประชาสังคมที่เข้มแข็งเป็นกลไกสําคัญที่ทําให้ประชาธิปไตยดําเนินต่อไปได้ อย่างต่อเนื่อง หากภาครัฐสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มประชาสังคมได้อย่างราบรื่น ย่อมเป็นการลดช่องว่างระหว่าง ภาครัฐและประชาชนได้ และหากการขับเคลื่อนประชาธิปไตยดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ก็จะนําไปสู่การ พัฒนาประชาธิปไตยที่มันคงยั่งยืนนั่นเอง

POL3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3101 วิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบ

คําสั่ง

ข้อสอบมีทั้งหมด 5 ข้อ ให้นักศึกษาเลือกทํา 4 ข้อ คาดหวังคําตอบเป็นข้อเขียนแสดงความรู้ ความคิด และยกตัวอย่าง

ข้อ 1 การศึกษาการเมืองเปรียบเทียบมีความเป็นมาอย่างไร ?

ศึกษาอย่างไร ?

ศึกษาอะไรได้บ้าง ?

มีประโยชน์อย่างไร ?

มีความเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่อย่างไร ?

การศึกษาเปรียบเทียบในโลกปัจจุบัน มักจะทําการเปรียบเทียบอะไรบ้าง ?

(อาจจะระบุอธิบายขยายความเพียงเรื่องเดียว แต่อธิบายขยายความอย่างน้อย 3 ประเด็น)

แนวคําตอบ

ความเป็นมาของการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ

ในสมัยกรีกตอนต้น นักปรัชญาการเมืองเช่น อริสโตเติลได้ใช้เทคนิคการศึกษาเปรียบเทียบ รูปแบบของรัฐบาลและแนวทางการปกครองของนครรัฐต่าง ๆ เช่น เอเธนส์ สปาร์ต้า เป็นต้น โดยมีการรวบรวม รัฐธรรมนูญของนครรัฐต่าง ๆ ถึง 158 รัฐธรรมนูญด้วยกัน และได้ทําการจัดลําดับขั้นพื้นฐานของรัฐบาลในรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น รัฐบาลที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง การปกครองแบบอภิชนาธิปไตย และการปกครองแบบประชาธิปไตย ในเวลาต่อมานักรัฐศาสตร์คนสําคัญ ๆ เช่น โพลิเบียส และซิซีโรได้ถ่ายทอดความรู้จากกรีกเป็นภาษาโรมันโดยใช้ การเปรียบเทียบ โดยโพลิเบียสได้เน้นถึงคุณค่าของรูปแบบการปกครองที่มีการผสมผสานกันโดยรวมเอารูปแบบ ทั้ง 3 ที่อริสโตเติลนําเสนอเข้าด้วยกัน ซึ่งมีการนําหลักกฎหมายธรรมชาติและหลักความยุติธรรมเข้ากับแนวคิด ตามแบบฉบับกฎหมายโรมัน

ในสมัยกลาง นักรัฐศาสตร์ เช่น มาเคียเวลลี่ ได้นําแนวการศึกษาเปรียบเทียบที่อริสโตเติล เคยศึกษามาวิเคราะห์ใหม่ โดยใช้แนวการเขียนแบบรัฐศาสตร์ยุคใหม่เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งก็คือ การใช้หลักการสังเกต การเมืองในรัฐต่าง ๆ และบางรัฐในยุโรป โดยมีสมมุติฐาน คือ มีปัจจัยอะไรที่ทําให้รัฐมีความมั่นคง และผู้ปกครอง มีความสามารถในการปกครอง

ในศตวรรษที่ 18 นั้น มองเตสกิเออ ได้ศึกษาธรรมชาติของเสรีภาพที่มนุษย์จะพึงมี โดยเสนอ หลักการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) การสังเกตระบบการปกครองของอริสโตเติล และใช้หลักการ จัดลําดับชั้น (Classification) ของระบบการเมืองต่าง ๆ

ในศตวรรษที่ 19 นั้น มีการศึกษาเปรียบเทียบเชิงประวัติศาสตร์เกิดขึ้น และมีการนําหลักการ พัฒนาทางการเมืองมาเป็นแนวในการศึกษาเปรียบเทียบ

การหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การศึกษาวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบจะเน้นในเรื่องหน้าที่และ ขอบเขตของรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ มาเป็นตัวประกอบในการศึกษา แม้ว่าการศึกษาหน้าที่และขอบเขตของรัฐบาล ในประเทศต่าง ๆ จะมีลักษณะเดิมคือ นําเอาหลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และโครงสร้างของรัฐบาลมาใช้วิเคราะห์ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นก้าวใหม่ที่สําคัญของรัฐศาสตร์เปรียบเทียบในยุคหลังสงคราม

สําหรับในปัจจุบันนั้นนักรัฐศาสตร์ทางการปกครองเปรียบเทียบสนใจที่จะศึกษาวิธีการ เปรียบเทียบมากกว่าที่จะมุ่งศึกษาถึงความเป็นมาของการปกครองเปรียบเทียบและทฤษฎีทางการเปรียบเทียบ

ลักษณะการศึกษาการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ พิจารณาได้จาก

1 ความเหมือนและความแตกต่าง

ความเหมือน (Similarities) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกัน หรือคล้ายกันของสิ่งที่นํามา เปรียบเทียบ ส่วนความแตกต่าง (Differences) จะเป็นลักษณะที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจมีลักษณะของความ แตกต่างกันน้อย แตกต่างกันมาก หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น การเมืองการปกครองของไทยและของพม่า ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ระบบการเมืองการปกครองของไทยเป็นระบบประชาธิปไตยแบบ รัฐสภา ในขณะที่ระบบการเมืองการปกครองของพม่าเป็นระบบรวมศูนย์อํานาจโดยรัฐบาลทหาร เป็นต้น

โดยส่วนที่ซ่อนอยู่ในเรื่องความเหมือนและความแตกต่างในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ก็คือ องค์ความรู้ หรือข้อมูลนั่นเอง ถ้าเรามีความรู้เฉพาะเรื่องการเมืองไทยเพียงอย่างเดียวแต่ไม่รู้เรื่องการเมือง ของประเทศอื่น ในการเปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างก็ไม่สามารถทําได้ เนื่องจากข้อมูลที่นํามา เปรียบเทียบมีเพียงด้านเดียวเท่านั้น

2 หน่วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) คือ กรอบของการวิเคราะห์ที่ใช้ในการศึกษา ทางการเมือง เพื่อให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่แน่นอน ซึ่งก็คือ การเลือกหน่วยที่จะทําการเปรียบเทียบ นั่นเอง โดยอาจจะเป็นปัจจัยบุคคล องค์กร หรือสถาบัน รวมไปถึงกลุ่มองค์กรเอกชน (NGO) พฤติกรรมต่าง ๆ และกลุ่มประเทศ ซึ่งอาจใช้หลักความเหมือนหรือความแตกต่างและใช้ปัจจัยดังกล่าวในการเปรียบเทียบ สําหรับ ตัวอย่างของหน่วยการวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น ผู้นํา บทบาท องค์กร สถาบันต่าง ๆ ทางการเมือง เป็นต้น

หน่วยการวิเคราะห์นั้นถือว่ามีความสําคัญมากในการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบ เพราะจะทําให้สามารถศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากมุมมองในการอธิบายการเมืองนั้น มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก หากไม่มีหน่วยการวิเคราะห์ก็จะไม่ทราบว่าควรจะเริ่มศึกษาจากตรงไหน หรืออาจทําให้ การวิเคราะห์ไม่มีกรอบที่ชัดเจน ซึ่งทําให้การวิเคราะห์ดําเนินไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน

ผู้ศึกษาจะต้องตั้งปัญหาพื้นฐานถามตัวเองก่อนว่า ควรจะนําหน่วยการวิเคราะห์อะไร มาใช้ในการศึกษาทางการเมือง เช่น ถ้าต้องการจะศึกษาผู้นํา หน่วยการวิเคราะห์ก็คือ ตัวผู้นํา โดยอาจจะมุ่งไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรีหรือเปรียบเทียบความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนในแง่ของ บุคลิกภาพ ดังนั้นหน่วยการวิเคราะห์ตรงนี้ก็คือตัวนายกรัฐมนตรีนั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่าในการศึกษาเปรียบเทียบ อาจจะวิเคราะห์หน่วยเหนือขึ้นไป เช่น กลุ่มทางสังคม สถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น การนําเอาพรรคการเมืองเป็นหน่วยการวิเคราะห์ ทางการเมือง โดยเปรียบเทียบในแงโครงสร้างของพรรคการเมืองหรือดูในเรื่องนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง หรือ ดูในเรื่องอุดมการณ์ของแต่ละพรรคการเมือง หรือดูในแง่ของความนิยมของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมือง เป็นต้น

3 ระดับการวิเคราะห์

ระดับการวิเคราะห์ (Level of Analysis) เป็นการจัดชั้นและระดับของระบบการเมือง เพื่อทําให้เกิดความชัดเจนที่ผู้ศึกษาจะวิเคราะห์ถึงหน้าที่และโครงสร้างของระบบการเมืองนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การแบ่งระดับการเมืองไทยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

1) ระดับชาติ คือ ส่วนกลาง โดยมีรัฐบาลกลางอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญและเป็นหลักของการบริหารประเทศ

2) ระดับภูมิภาค คือ ส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดและอําเภอ 3) ระดับท้องถิ่น คือ ส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.), องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.), เทศบาล, กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา

ในการเปรียบเทียบที่มีการจัดระดับในการวิเคราะห์นั้น จะทําให้การศึกษาเปรียบเทียบ สามารถมองเห็นหรือเปรียบเทียบให้เห็นในทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่นได้ ซึ่งในการเปรียบเทียบนั้นจะต้องเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

4 การแจกแจงข้อมูล

การแจกแจงข้อมูล (Classification) เป็นการจัดระบบข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อจะทําให้ ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือน (Similarities) และความแตกต่าง (Differences) ของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดทิศทางในการเลือกสรร การรวบรวม การจัดระบบระเบียบของข้อมูล และสร้างกรอบความคิด ยุทธวิธีในการวิจัยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการศึกษาข้อมูลของประเทศพม่าเกี่ยวกับ บทบาทของนักศึกษา ข้อมูลที่ได้จะต้องมีการจัดระเบียบในเรื่องของขบวนการนักศึกษาก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เคย เปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ มีผลกระทบอะไรบ้าง ซึ่งอาจเปรียบเทียบกับบทบาทของนักศึกษาไทยก็ได้ แต่จะต้องใช้ ข้อมูลที่มีการแจกแจงอย่างเดียวกันมาพิจารณา

สิ่งที่มักนํามาศึกษาการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ

1 การวิเคราะห์เปรียบเทียบพรรคการเมืองในยุคต่าง ๆ

2 การวิเคราะห์เปรียบเทียบตุลาการในยุคต่าง ๆ

3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการปกครองส่วนท้องถิ่น อบต. และ อบจ.

4 การวิเคราะห์เปรียบเทียบชนชั้นในยุคต่าง ๆ

5 การวิเคราะห์เปรียบเทียบรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารในยุคต่าง ๆ

6 การวิเคราะห์เปรียบเทียบสื่อมวลชนในยุคต่าง ๆ

7 การวิเคราะห์เปรียบเทียบวัฒนธรรมการเมืองในยุคต่าง ๆ

8 การวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในยุคต่าง ๆ

9 การวิเคราะห์เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ

10 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคณะกรรมการการเลือกตั้งในยุคต่าง ๆ เป็นต้น

 

ประโยชน์ของการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

1 ทําให้เราสามารถศึกษาได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถลงในรายละเอียดของการศึกษา เปรียบเทียบ และช่วยให้ผู้ศึกษาสังเกตเห็นความเหมือนและความแตกต่างของข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน

2 ทําให้เห็นมุมมองที่กว้างมากขึ้น อันจะนําไปสู่การศึกษาและเกิดการพัฒนาในองค์ความรู้ จากระดับประเทศไปยังระดับนานาชาติ หรือระดับสากลต่อไป

3 ทําให้ได้รับการยอมรับและสร้างความสัมพันธ์ในระหว่างประเทศที่ดี รวมทั้งยังเป็น แนวทางในการศึกษาให้กับการพัฒนากระบวนการศึกษาเปรียบเทียบให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

4 ช่วยเสริมสร้างให้กับวิชารัฐศาสตร์มีชีวิตชีวา เกิดการปะทะสัมพันธ์ของนักวิชาการ ทางสังคมศาสตร์ซึ่งไม่ได้จํากัดแต่นักรัฐศาสตร์ และที่สําคัญได้สร้างและปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัยที่เป็นระบบขึ้น รวมทั้งยังสามารถให้การอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรทางสังคมศาสตร์ได้ค่อนข้างชัดเจน

ในส่วนของความเป็นศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ (Science) นั้น การวิเคราะห์เปรียบเทียบถือ เป็นสังคมศาสตร์อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีห้องทดลองที่จะทําการศึกษาเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่จะศึกษาโดยอาศัย รูปแบบ แบบแผน พฤติกรรมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละสังคมหรือในแต่ละประเทศ เสมือนเป็นห้องทดลอง ขนาดใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบการเมืองระหว่างประเทศ วิธีการศึกษาเปรียบเทียบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือที่เก่าแก่ ที่สุดเครื่องมือหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งความเป็นศาสตร์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาจากลักษณะสําคัญ 2 ประการ คือ

1 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากความคิดและสติปัญญา โดยการตรึกตรองและ การวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผล ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตัวแปรที่ควบคุมได้ แล้วจึงทําการทดสอบเพื่อหาข้อสรุป ที่ต้องการ

2 เป็นการศึกษาวิเคราะห์ที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้ทําการศึกษา ซึ่งได้แก่ การดู การฟัง การสัมผัส เป็นต้น โดยจะต้องปลอดจากค่านิยมหรือตัดอคติออกไปแล้ว เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง และ เชื่อถือได้

การศึกษาเปรียบเทียบในโลกปัจจุบันมักจะทําการเปรียบเทียบในประเด็นที่สําคัญดังนี้

1 การพัฒนา ซึ่งเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย ที่ชัดเจน และชี้วัดความเป็นอยู่ของประชากรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการพัฒนานั้นจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ เช่น

– การพัฒนาเศรษฐกิจ คือ การทําให้รายได้ที่แท้จริงต่อคนเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น เวลานาน เพื่อทําให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจและสังคม

– การพัฒนาการศึกษา คือ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการ เรียนรู้ของประชาชน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ รวมไปถึงส่งเสริม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา

– การพัฒนาสังคม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และวัฒนธรรม เพื่อประชาชนจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งทางด้านที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สุขภาพอนามัย การศึกษา การมีงานทํา มีรายได้เพียงพอในการครองชีพ ประชาชนได้รับความเสมอภาค ความยุติธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งนี้ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอนอย่างมีระบบ

2 ความเป็นประชาธิปไตย ประเทศที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยนั้น จะมีลักษณะที่สําคัญ คือ ต้องยึดถืออํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ต้องมีการเลือกตั้ง ยึดหลักของเสียงข้างมาก สิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพและการรับฟัง ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง มีเสรีภาพ ในการแสดงออก มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล นอกจากนี้เรายังสามารถพิจารณา ความเป็นประชาธิปไตยได้จากเรื่องต่าง ๆ เช่น

– หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ การบริหารกิจการบ้านเมืองและ สังคมที่ดี เป็นแนวทางสําคัญในการจัดระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึง ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความรู้รักสามัคคี และ รวมกันเป็นพลังก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยหลักธรรมาภิบาลนั้นจะมีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบตรวจสอบได้ หลักความคุ้มค่า และ หลักคุณธรรม

– หลักสิทธิมนุษยชน (Human Right) คือ สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและ การกระทําที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิที่ได้มาพร้อมกับการเกิด และเป็นสิทธิติดตัวบุคคลนั้น ตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ในเขตปกครองใด หรือเชื้อชาติ ภาษา ศาสนาใด ๆ ซึ่งไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ เช่น สิทธิในร่างกาย สิทธิในชีวิต เป็นต้น

3 สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งมีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน และเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผลกระทบ จากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทําลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมยังถือว่าเป็น วงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ สิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา น้ำ ดิน ฟ้า อากาศ ทรัพยากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ บ้านเรือน ถนน สนามบิน เขื่อน เทคโนโลยี การตัดต่อพันธุกรรม ชุมชนเมือง ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

 

ข้อ 2 Structure คืออะไร ?

แบ่งออกเป็นลักษณะอย่างไรบ้าง ?

Function คืออะไร ?

แบ่งออกเป็นลักษณะอย่างไรบ้าง ?

เขียนแผนภูมิและอธิบายแนวคิดทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ซึ่งพัฒนาเป็นทฤษฎีระบบของ David Easton หรือของ Gabriel Almond คนใดคนหนึ่งคนเดียวเท่านั้น

แนวคําตอบ

Structure คือ แบบแผนของกิจกรรมที่ทํากันสม่ําเสมอ โดยผู้ที่กระทํากิจกรรมจะมีบทบาท แตกต่างกันไป แต่เมื่อรวมบทบาทของกิจกรรมเหล่านี้เข้าด้วยกันจะได้เป็นโครงสร้างนั้น ๆ เช่น โครงสร้างของรัฐสภา ประกอบด้วย ประธานสภา รองประธานสภา เลขาธิการ และสมาชิก ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีบทบาทแตกต่างกันไป แต่เมื่อ เรารวมเอาบทบาทของส่วนประกอบทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว เราก็จะได้โครงสร้างของรัฐสภานั่นเอง

ลักษณะของโครงสร้าง แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1 โครงสร้างที่เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น อุดมการณ์ ความเชื่อ ความคิด ค่านิยม ความชอบ ทัศนคติ ความงมงาย การรับรู้ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยากเนื่องจากจะต้อง ใช้ระยะเวลาในการปลูกฝังหรือถ่ายทอดที่ค่อนข้างยาวนาน และมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นจึงทําให้โครงสร้างที่เป็น นามธรรมมีการปรับเปลี่ยน แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าเมื่อใด ก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้ว จะยังคงอยู่

2 โครงสร้างที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ วัดได้ หรือสัมผัสได้ เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นต้น ซึ่งถือเป็น โครงสร้างที่เปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรับปรุงได้ง่ายกว่าโครงสร้างที่เป็นนามธรรม กล่าวคือ ถ้าต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็สามารถกระทําได้ทันที

3 โครงสร้างกึ่งนามธรรมถึงรูปธรรม เป็นทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ซึ่งบังคับให้เรา คิดอยากจะทําหรือไม่ทํา ให้ชอบหรือไม่ชอบ ให้เชื่อหรือไม่เชื่อ โดยทั่วไปแล้วมักแฝงไว้ด้วยเจตนารมณ์ของโครงสร้าง เหล่านั้นเสมอ ตัวอย่างของโครงสร้างกึ่งนามธรรมถึงรูปธรรม เช่น กฎหมาย ประกาศ คสช. สัญลักษณ์ สถาบัน (ศาลรัฐธรรมนูญ) กลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น

Function คือ กิจกรรม (Activity), วัตถุประสงค์ (Purpose), ผลที่ตามมา (Consequence) หรือในบางครั้งอาจหมายถึงตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรอื่น ๆ ซึ่งอาจใช้อธิบายถึงคุณค่าในตัวของมันเอง หรือเป็นคุณค่าที่เกิดตามตัวแปรอื่นก็ได้ โดยนักสังคมศาสตร์ได้สรุปเกี่ยวกับหน้าที่ไว้ 3 ประการ ดังนี้

1 หน้าที่คือการศึกษาระบบทั้งระบบ เช่น ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ระบบเศรษฐกิจ ระบบอุตสาหกรรม ฯลฯ โดยถือว่าระบบต่าง ๆ เป็นหน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis)

2 หน้าที่นิยมจะมีความสําคัญมาก-น้อยแตกต่างกันออกไป เมื่อเป็นดังกล่าวหน้าที่ บางอย่างจึงมีความจําเป็นสําหรับระบบทั้งหมด (The Whole System)

3 หน้าที่บางประการมีลักษณะพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Interdependent) ต่อโครงสร้าง หลาย ๆ โครงสร้าง กล่าวคือ หลายระบบต้องพึ่งพิงจากหน้าที่ดังกล่าว

ลักษณะทั่วไปทั้ง 3 ประการของหน้าที่ดังกล่าวเป็นเหตุให้นักสังคมศาสตร์เห็นว่าในระบบใด ระบบหนึ่งเป็นระบบสังคมหรือระบบการศึกษา ต่างก็มีหน้าที่หลักของแต่ละระบบอยู่ เช่น ในระบบหนึ่ง ๆ ก็จะต้อง มีวัฒนธรรมทําหน้าที่เป็นองค์ประกอบให้ระบบสังคมนั้น ๆ ดํารงอยู่ได้ วัฒนธรรมดังกล่าวอาจประกอบไปด้วย ภาษา ศาสนา ฯลฯ

แนวคิดทฤษฎีระบบของ David Easton

David Easton นั้นได้เสนอแนะการวิเคราะห์การเมืองเปรียบเทียบโดยดูหน่วยการวิเคราะห์ เชิงระบบ ซึ่งเขาเห็นว่าการใช้ระบบในการวิเคราะห์การเมืองจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ที่มี ความสัมพันธ์เข้ากันและเรียกว่า “การเมือง” ได้ การศึกษาของเขาช่วยสร้างศาสตร์แห่งการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสร้างระบบที่เชื่อมโยงการเมืองในที่ต่าง ๆ ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบในเชิงปรากฏการณ์ทางการเมือง สรีระของสังคม และพฤติกรรมของระบบการเมืองได้

1 ปัจจัยนําเข้า (Input) หมายถึง ปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลหรือวัตถุดิบที่เข้าสู่ระบบเพื่อ ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและตัดสินใจออกมาในรูปของนโยบาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ซึ่งปัจจัยน้ําเข้านี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1) การเรียกร้อง (Demand) อาจจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ ทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของการเรียกร้องเอง เช่น กรณีประชาชนที่เดือดร้อน ในเรื่องที่ทํากินและปัญหาหนี้นอกระบบ ถ้าประชาชนเพียงคนเดียวเรียกร้องรัฐบาลอาจจะไม่รับฟัง หรือรับฟังแต่ไม่ ตอบสนอง ในทางตรงกันข้าม ถ้าประชาชนจํานวนมากรวมตัวกันเรียกร้องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชุมนุมเดินขบวนปิดถนน ฯลฯ ข้อเรียกร้องดังกล่าวก็จะมีผลเกิดขึ้น กล่าวคือ รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีจะรับฟังและนําไปพิจารณาต่อไป

2) การสนับสนุน (Support) หมายถึง การที่สมาชิกของสังคมการเมืองให้การสนับสนุน ระบบตลอดจนการดําเนินการของระบบการเมือง ซึ่งการให้การสนับสนุนนี้อาจจะอยู่ในรูปของการแสดงออกที่สามารถ เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบของบ้านเมือง การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น โดยการ สนับสนุนนี้สามารถแยกได้เป็น 3 ส่วน คือ

– การสนับสนุนประชาคมทางการเมือง คือ การที่สมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ในระบบการเมือง มีความผูกพันกันในแง่ของความตั้งใจร่วมมือร่วมแรงกันในการแก้ไขปัญหาของระบบการเมือง ซึ่งจะแสดงออกโดยการแบ่งงานกันทํา เช่น กลุ่มชาวนา กลุ่มนักศึกษา กลุ่มสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุน ประชาคมทางการเมืองนั้นจะเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคมร่วมกันนั่นเอง

– การสนับสนุนระบอบการเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง ความชอบธรรมของระบอบการเมืองในการทําให้สมาชิกยอมรับ เช่น ระบอบประชาธิปไตยมีความชอบธรรมที่จะ ให้สมาชิกของสังคมยอมรับในกฎกติกา รัฐธรรมนูญ และรูปแบบการปกครองด้วย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามระบอบ การเมืองไม่ได้รับการสนับสนุนจะมีผลเสียอย่างมาก นั่นคือ มีผลทําให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรง เกิดจลาจลขึ้นได้

– การสนับสนุนผู้มีอํานาจหน้าที่ทางการเมือง หมายถึง การสนับสนุนบุคคล ที่เข้าไปทําหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือรัฐบาล โดยดูจากความพึงพอใจของสมาชิกต่อการตัดสินใจของระบบ เช่น การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเก็บภาษีเข้ากองทุนน้ํามัน หรือดูจากความพอใจต่อนโยบาย รถยนต์คันแรก เป็นต้น

ระบบการเมือง (System) หรือผู้ตัดสินใจ ประกอบด้วย

1) ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) ทําหน้าที่รวบรวมข้อมูลก่อนที่จะส่งต่อไปสู่ระบบ การเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ ตัวอย่างผู้เฝ้าประตู เช่น กลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นต้น

2) รัฐบาลหรือรัฐสภา (ผู้ตัดสินใจ)

3 ปัจจัยนําออก (Output) เป็นผลของการตัดสินใจของผู้มีอํานาจหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การจัดสรรสิ่งที่มีค่าในระบบการเมืองนั้น ซึ่งสาเหตุของการเกิด Output อาจสรุปได้ดังนี้ คือ

1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของระบบ การเมือง เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ อัตราการว่างงานสูง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเมือง

2) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในระบบการเมืองเอง ซึ่ง Output ประเภทนี้จะมีผล ต่อระบบการเมืองและสภาพแวดล้อมของระบบ

จะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ผ่านออกมาจากระบบนั้น จะมีลักษณะบังคับ เช่น ประกาศ คําสั่ง ข้อบังคับ กฎหมาย ฯลฯ นอกจากนี้การดําเนินการยังมีผลผูกพันเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ก็เพื่อเอื้ออํานวยประโยชน์และ ความสะดวกแก่คนบางกลุ่มในระบบนั่นเอง

4 การสะท้อนป้อนกลับ (Feedback) ก็คือ การป้อนข้อมูลย้อนกลับเพื่อนํามาสู่กระบวนการ Input อีกครั้งหนึ่งว่า Output ที่ออกไปนั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผลเป็นอย่างไร

5 สิ่งแวดล้อม (Environment) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิด กับระบบการเมืองมาก ประกอบด้วย

– สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสภาพทั่วไป เช่น อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ชุมชน ถนน ลําคลอง ฯลฯ

– สิ่งแวดล้อมทางชีววิทยา เป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความมีเหตุผลการร่วมมือร่วมใจกัน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

– สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยาและสังคม ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมในสังคม โครงสร้างทางสังคม ระบบเศรษฐกิจ โครงสร้างด้านประชากร ฯลฯ

2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำของโลก ปัญหาที่เกิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

แนวคิดทฤษฎีระบบของ Gabriel Almond

Almond เห็นว่า ระบบ (System) มีความสําคัญกว่ากระบวนการ (Process) ทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ เนื่องจากระบบจะศึกษาถึงทั้งหมดของการเมืองในสังคมต่าง ๆ ซึ่งรวมเอา หน่วยทางการเมืองต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

Almond เชื่อว่า ถ้าผู้ศึกษาเปรียบเทียบให้ความสําคัญกับการศึกษาพฤติกรรมและการแสดงออก ของคนจะช่วยให้การศึกษาเปรียบเทียบก้าวสู่ขั้นที่ก้าวหน้าไปจากการศึกษาเดิมที่ให้ความสําคัญกับกฎหมายและ พิธีการ และจากหน่วยการวิเคราะห์เดิมที่ศึกษาสถาบันทางการเมืองเป็นหลัก นักรัฐศาสตร์ก็จะหันมาสนใจ “บทบาท” (Role) และ “โครงสร้าง” (Structure) ซึ่ง Almond ได้ให้คําจํากัดความของบทบาทว่าเป็นหน่วยที่มีการปะทะสัมพันธ์ ในระบบการเมือง และแบบแผนของการปะทะสัมพันธ์ก็คือระบบนั่นเอง

จากประเด็นดังกล่าวนั้นจึงเป็นจุดเริ่มทางความคิดของทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ที่ Almond ได้ – นําเสนอและเป็นหน่วยใหม่ในการวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ โดย Almond เสนอ “ระบบการเมือง” แทนความหมายเก่า

ทางรัฐศาสตร์ที่ใช้อยู่เดิม คือ รัฐธรรมนูญ เหตุผลก็เพื่อเลี่ยงการศึกษารัฐศาสตร์ยุคเดิมที่มุ่งแต่ศึกษาแนวกฎหมายและ สถาบันเป็นสําคัญ นอกจากนี้ Almond ยังได้กําหนดคุณลักษณะของการเปรียบเทียบระบบการเมืองไว้ 4 ประเด็น คือ

1 ในระบบการเมืองทุกระบบต่างก็จะต้องมีโครงสร้างทางการเมือง

2 มีหน้าที่ปฏิวัติเหมือนกันในทุก ๆ ระบบการเมือง

3 โครงสร้างทางการเมืองทุกระบบมีลักษณะที่เรียกว่า “ความหลากหลายของหน้าที่”

4 ในระบบการเมืองทั้งหมดจะมีการผสมผสานในหลาย ๆ วัฒนธรรม

Almond ได้รับอิทธิพลทางความคิดในการวางแผนเปรียบเทียบระบบการเมืองจาก David Easton ในหนังสือชื่อ “ระบบการเมือง” (The Political System) โดยเขาให้หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์ระบบการเมืองไว้ดังนี้

Almond เห็นว่า ระบบการเมืองเป็นการศึกษาถึงขอบเขตทั้งหมดของกิจกรรมทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละแห่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วระบบการเมืองจะมีหน้าที่หลายประการ ทั้งนี้เพราะระบบการเมือง เกี่ยวข้องกับความชอบธรรมในการใช้อํานาจลงโทษ หรือบังคับสมาชิกของระบบการเมือง ซึ่งหน้าที่ (Function) ของระบบการเมืองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ

1 หน้าที่ในการส่งปัจจัยเข้าสู่ระบบ (Input Functions) ได้แก่

1) การอบรมกล่อมเกลาทางการเมือง (Political Socialization) ซึ่งถือว่าเป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเมือง และการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

2) การคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบการเมือง (Political Recruitment) ซึ่งหมายถึง  การคัดเลือกหรือสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ต่าง ๆ ทางการเมือง

3) การเป็นปากเสียงของผลประโยชน์ที่ชัดเจน (Interest Articulation) หมายถึง การแสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม เพื่อให้รัฐบาลหรือหน่วยที่ตัดสินใจกําหนดนโยบายต่อไป

4) การรวบรวมผลประโยชน์ (Interest Aggregation) ก็คือ การสมานฉันท์ของ การเรียกร้องที่เสนอเข้าสู่ในระบบการเมือง ซึ่งสามารถเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันของกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ หรือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

5) การสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) คือ การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนข่าวสารของส่วนต่าง ๆ ในระบบและระหว่างระบบ

2 หน้าที่ในการส่งปัจจัยออกจากระบบการเมือง (Output Functions) ได้แก่

1) การออกกฎระเบียบ (Rule Making) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ 2) การบังคับใช้กฎระเบียบ (Rule Application) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายบริหาร

3) การตีความกฎระเบียบ (Rule Adjudication) ซึ่งหมายถึง อํานาจของฝ่ายตุลาการ

นอกจากนั้น Almond ยังมีความเห็นสอดคล้องกับความคิดของ Easton นั่นคือ การเรียกร้อง และการสนับสนุน

– การเรียกร้อง แบ่งได้เป็น 4 ประการ คือ 1) การเรียกร้องให้มีการจัดสรรสินค้าและบริการ เช่น เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มสถานศึกษา เพิ่มสถานพยาบาล ฯลฯ

2) การเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมความประพฤติ เช่น การขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า คุ้มครองลิขสิทธิ์ ปราบปรามโจรผู้ร้าย ฯลฯ

3) การเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในระบอบการเมือง เช่น เรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) การเรียกร้องให้มีการสื่อสารและได้รับทราบข้อมูลจากระบบการเมือง เช่นต้องการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ การยืนยันสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายว่าไม่ผิดจนกว่าศาลจะตัดสิน ฯลฯ

การสนับสนุน มีอยู่ 4 ประการ คือ

1) การสนับสนุนทางวัตถุ เช่น การสนับสนุนในรูปตัวเงิน การจ่ายภาษีให้รัฐโดยไม่บิดพลิว การเข้ารับราชการทหาร ฯลฯ

2) การเคารพกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ เช่น การให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

3) การสนับสนุนในลักษณะที่เป็นการเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้งการออกเสียงลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

4) สนใจข่าวสารของรัฐ เคารพผู้มีอํานาจทางการเมือง สัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้งพิธีการของสังคม

จะเห็นได้ว่า ทั้งข้อเรียกร้องและการสนับสนุนรัฐบาล ล้วนเป็นเรื่องของการกําหนดนโยบาย สาธารณะของประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น นอกจากนี้ Almond ยังเห็นว่า ระบบการเมือง ทุกระบบจะต้องมีปะทะสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม 2 ด้าน คือ

1 สิ่งแวดล้อมภายใน ซึ่งได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ สภาพทรัพยากรของประเทศ ระบบการศึกษา ระบบเทคนิควิทยาของประเทศ

2 สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ ซึ่งได้แก่ การค้าระหว่างประเทศ การทูต สงคราม การสื่อสารระหว่างประเทศ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ เป็นต้น

หมายเหตุ นักศึกษาเลือกตอบนักคิดคนใดคนหนึ่งเท่านั้น

 

ข้อ 3 การพัฒนาคืออะไร ?

การพัฒนาที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?

การเมืองไทยจะพัฒนาอย่างแท้จริงอย่างไรบ้าง ?

มีตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริงอะไร ?

ทันสมัยแต่ด้อยพัฒนาคืออะไร ?

แนวคําตอบ

การพัฒนา (Development) คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น โดยมี เป้าหมายที่ชัดเจน

การพัฒนาที่แท้จริง คือ กระบวนการที่ทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ นอกจากนี้ยังทําให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค นั่นคือ ประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเท่าเทียมกัน และนําไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชนโดยถ้วนหน้า

ในสังคมไทยนั้นถือว่ายังไม่มีการพัฒนาที่แท้จริง แม้ว่าประเทศไทยจะมีการใช้แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาแล้วหลายฉบับก็ตาม กล่าวคือ การทําให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในลักษณะที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการผลิต โครงสร้างทางสังคม ค่านิยม ทัศนคติ การศึกษา ระบบการปกครอง และการใช้ทรัพยากรที่สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการของประเทศยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง โดยพบว่า ไม่มีการกระจายรายได้ที่เป็นไปอย่างเสมอภาค ซึ่งประชากรส่วนใหญ่จะต้องได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งยังไม่ได้ให้ความสําคัญในเรื่องของการพัฒนาคนเท่าที่ควร

การพัฒนาการเมืองไทยให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง มีดังนี้

1 ภาครัฐจะต้องมุ่งเน้นสร้างประชาธิปไตยทางการเมือง และประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยเร็ว รวมทั้งมีระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมคุ้มครองความมั่นคงให้แก่ประชาชน ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้พรรคการเมือง บางพรรคนําไปใช้เป็นเงื่อนไขกับประชาชน เพื่อนําไปใช้เป็นนโยบายประชานิยมในการนําตนเข้าไปสู่อํานาจ หรือซื้อเวลาให้ตนอยู่ในอํานาจเท่านั้น

2 ภาครัฐจะต้องรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน เพื่อส่งเสริมในเรื่องการสร้างจิตสํานึก ทางการเมือง วัฒนธรรม ค่านิยม การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเรียนรู้ประชาธิปไตยร่วมกันระหว่างพลเมือง โดยเฉพาะชาวบ้านในชนบท ชนชั้นกลางในเมือง นิสิตและนักศึกษา

3 เปิดโอกาสให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยมีกฎหมายรองรับ อีกทั้ง รัฐบาล ภาครัฐ และภาคการศึกษาจะต้องส่งเสริมและผลักดันให้มีกิจกรรมเพื่อสังคมของนักเรียน นักศึกษาตาม มหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อช่วยสร้างจิตสํานึกทางการเมืองที่ดีให้แก่ประชาชนและสังคม

4 ในด้านภาคการศึกษาจะต้องปลูกฝังจิตสํานึกทางการเมือง โดยมีวิชาสิทธิตามรัฐธรรมนูญ สิทธิพลเมือง และอุดมการณ์ทางการเมือง บรรจุในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ

5 ในด้านภาคกฎหมายจะต้องมีกฎหมายป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงที่เข้มข้น ผู้ที่ซื้อสิทธิหรือขายเสียงต้องมีโทษความผิดที่หนัก เพื่อป้องกันวัฒนธรรมการซื้อสิทธิขายเสียง

6 ภาครัฐและภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป กํากับ และรณรงค์จริยธรรมคุณธรรม ทุกภาคส่วนในสังคมไทย โดยไม่ฝากความหวังไว้กับองค์กรอิสระ มากกว่าการสร้างภาคพลเมืองให้เข้มแข็ง เป็นต้น

เกณฑ์หรือตัวชี้วัดการพัฒนาที่แท้จริง ได้แก่

1 ความมั่นคงทางการเมือง หรือบางครั้งอาจใช้คําว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” ก็ได้ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก

– ความต่อเนื่องของระบบการเมือง ซึ่งเราพบว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือมีความ มั่นคงทางการเมือง มักจะมีความต่อเนื่องทางการเมือง ไม่มีการแทรกแซงของทหาร กลไกทางการเมืองดําเนินไป ตามกฎหมายที่กําหนดไว้ ขณะที่การเมืองในประเทศที่กําลังพัฒนามักมีปัญหาเรื่องของการแทรกแซงของทหาร หรือถูกแทรกแซงจากภายนอกซึ่งไม่ใช่เงื่อนไขทางการเมือง

– ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มักถูกเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางการเมืองเสมอ เนื่องจากประเทศใดที่มีเศรษฐกิจไม่ดี มีคนว่างงานจํานวนมาก รายได้ของประชาชนน้อยลง สินค้ามีราคาแพงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน ดังนั้นเสถียรภาพหรือความมั่นคงทางการเมืองย่อมลดลงถ้าเศรษฐกิจตกต่ํา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตค่อนข้างสูงก็จะทําให้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลมีมากเช่นกัน

– สังคม ปัญหาสังคมมักเชื่อมโยงกับปัญหาทางเศรษฐกิจ และนําไปสู่ปัญหาทาง การเมืองของประเทศ ตัวอย่างเช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของยาเสพติด ปัญหาของคนว่างงาน ปัญหาของผู้ไร้ที่อยู่อาศัย เป็นต้น

2 สถาบันทางการเมือง

– รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกฎหมายสูงสุด และเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญของ ประเทศเนื่องจากรัฐธรรมนูญจะเป็นตัววางกรอบโครงสร้างทั้งหมดทางการเมืองที่จะพูดถึงในเรื่องสิทธิ อํานาจหน้าที่ และที่มาของสถาบันตัวอื่น ๆ รวมทั้งสมาชิกทางการเมืองในแบบต่าง ๆ ดังนั้นรัฐธรรมนูญจึงต้องมีความชอบธรรม ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมและวิถีการดําเนินชีวิตของคนในชาติ นอกจากนี้จะต้องไม่มีความเอนเอียง หรืออํานวยประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกยับยั้งและเกิดการรวมกลุ่มของประชาชน เพื่อต่อต้าน ดังนั้นการมีรัฐธรรมนูญที่ดีจึงก่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ

– สภา ถือเป็นสถาบันทางการเมือง ซึ่งเราให้ความสนใจในเรื่องที่มาและอํานาจหน้าที่ ของสภาว่ามีอะไรบ้าง สมาชิกมาจากการสรรหาหรือการแต่งตั้ง สัดส่วนของ ส.ส. และ ส.ว. เป็นเท่าใด สิ่งเหล่านี้ จะถูกนํามาพิจารณาทั้งสิ้น นอกจากนี้เรายังมองไปถึงพฤติกรรมของสมาชิกในสภาว่ามีลักษณะเช่นไร

– พรรคการเมืองถือว่าเป็นสถาบันทางการเมืองที่สําคัญที่จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรค ที่มีนโยบายและอุดมการณ์ของตนเองได้มีบทบาทในการสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อเป็นตัวแทนให้กับ ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ในสภา พรรคการเมืองที่มีโอกาสทําหน้าที่บริหารประเทศ จะต้องรู้จักวางแนวทางในการ ทําหน้าที่เมื่อเป็นรัฐบาล มีนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศชาติเสมอ

3 การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ถือเป็นหัวใจของการพัฒนาการเมือง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ประเทศมีสภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา การเมืองก็มักจะขับเคลื่อนไปได้ยาก ฉะนั้นถ้าประเทศใดก็ตามที่มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี

ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการศึกษาที่ดี และมีความรู้ การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ยาก ในทางตรงกันข้าม ถ้า – ประเทศใดมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา ประชาชนอดอยาก ขาดการศึกษา การซื้อสิทธิขายเสียงก็มักจะทําได้ง่าย ดังนั้น จะเห็นว่าการพัฒนาทางการเมืองจึงมักจะถูกเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเสมอโดยทั้ง 2 ตัวแปรมักแยกกันไม่ออก เป็นต้น

ทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา คือ ลักษณะของการทําตามสมัยที่นิยมกัน หรือกลุ่มชนในแต่ละยุค แต่ละสมัยในการดํารงชีวิต เช่น การแต่งกาย การใช้สอย การกิน การปฏิบัติตน ฯลฯ ซึ่งคนที่ทําตามกันนี้จะเรียกว่า คนทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันกลับหาเนื้อหาสาระสําคัญที่ควรจะเป็นไม่ได้ ทําตามแต่เปลือกไม่ได้เอาแก่นสําคัญ มาด้วย หรือทําตามทั้ง ๆ ที่ผิด ไม่มีการแยกแยะจึงทําผิดตามไปด้วย หรืออาจกล่าวได้ว่ามีแต่ปริมาณแต่ขาด คุณภาพเมื่อเปรียบกับสังคมที่พัฒนาแล้ว

ตัวอย่างของความทันสมัยแต่ด้อยพัฒนา เช่น การที่คนไทยใส่สูท (อย่างตะวันตก) ประชุมงานระดับโลก แต่การตัดสินใจยัง ใช้ความรู้สึก การคาดเดา มากกว่าที่จะใช้มาตรฐานอุตสาหกรรมหรือคู่มือที่ผ่าน การวิจัยและพัฒนามาแล้ว

– การที่คนไทยมีรถยนต์หรูหรือยี่ห้อดัง ๆ ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่กลับพบว่าไม่มีรถยี่ห้อของคนไทยสักที ทั้งที่เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่มีรถยนต์เข้ามาในประเทศ

– การได้รับโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนที่สูง หรือศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่มีความเสื่อมถอยทางปัญญา เชื่อโฆษณา ติดความหรูหรา ซื้อของที่ไร้ค่าในราคาแพง มีนิสัยฟุ่มเฟือย ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนมีคุณค่า/ไร้คุณค่า ซื้อแค่ตามแฟชั่นเท่านั้น

– การใช้โทรศัพท์เกินความจําเป็น โทรคุยนานทําให้เสียเงินโดยไม่จําเป็น

– โรงพยาบาลนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เพียงเพื่อหวังผลทางธุรกิจการแพทย์

โดยไม่ได้ศึกษาถึงผลกระทบที่มีต่อผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการ

– การร้องเรียนผ่านเว็บ แต่เป็นการกลั่นแกล้งกัน ใส่ร้ายกัน

– การมีเครื่องมือเตือนภัยมากมาย แต่ใช้งานไม่เป็น

– การมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โต แต่กลับพบว่ามีสินค้าถูกปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลงที่ขายปนกับอาหาร

– การปลูกบ้านที่สวยงามใหญ่โต หรือสร้างถนนหนทางใหม่ ซึ่งไปขวางทางน้ำจนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ทุกปี ฯลฯ

 

ข้อ 4 การพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริงเกี่ยวโยงกับการกล่อมเกลาทางสังคมการเมือง (Political Socialization) อย่างไร ?

อธิบายถึงกระบวนการกล่อมเกลาในแง่ IQ, EQ และจริยะ ควรเน้นไป ในเรื่องใดบ้าง ? และผู้ใดเป็น Change agents ที่จะทําการปลูกฝังกล่อมเกลาให้สมาชิกในสังคมเป็นไปตามแบบที่ต้องการ

แนวคําตอบ

ความเกี่ยวโยงของการกล่อมเกลาทางสังคมการเมือง (Political Socialization) กับ การพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง มีดังนี้

1 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะเป็นวิธีการที่สังคมส่งผ่านความโน้มเอียงทาง การเมืองในรูปแบบต่าง ๆ อันได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมจากรุ่นหนึ่งไปยังคนรุ่นถัดไป หากไม่มี กระบวนการดังกล่าวแล้วสมาชิกใหม่ของระบบการเมืองซึ่งโดยส่วนใหญ่ได้แก่เด็ก ๆ ก็จะต้องค้นหาแบบแผน ของความโน้มเอียงทางการเมืองใหม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างแท้จริงคงเกิดขึ้นได้ยาก

2 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะช่วยสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในรูปแบบใหม่ขึ้นมา เมื่อบริบทของสังคมการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีหน้าที่สําคัญในการสอดประสานกับวัฒนธรรมทางการเมือง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งก็คือ การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข และการธํารงรักษาไว้ ซึ่งวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศชาติต่อไป

3 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะทําให้เกิดการเรียนรู้ในการแสดงบทบาทของ ตนเองในอนาคต เกิดการเชื่อมโยงจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม แม้ว่าในปัจจุบันยังมิได้อยู่ในสถานภาพเช่นนั้น แต่ก็มีความตั้งใจและแนวโน้มที่จะพยายามลงมือกระทําตามบทบาทหน้าที่นั้น ๆ ซึ่งจะทําให้เกิดความกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้ถึงบทบาทหน้าที่ดังกล่าว ด้วยการรับเอาการกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองของหน่วยตัวแทนต่าง ๆ เข้ามา เพื่อให้ตนเองสามารถแสดงบทบาทในอนาคตของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

4 การกล่อมเกลาทางสังคมการเมืองจะถูกนําไปใช้เป็นพื้นฐานสําคัญของการวางแผน การเรียนรู้และพัฒนาทางด้านการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองของประชาชนไทย ซึ่งเป็นส่วนสําคัญประการหนึ่งของ การปฏิรูปทางการเมือง ที่จําเป็นจะต้องให้ความสําคัญกับการปฏิรูปที่ “คน” ซึ่งเป็นสมาชิกของระบบการเมือง นอกเหนือไปจากการปฏิรูปที่ตัวระบบ (System) เช่น การสร้างสรรค์รัฐธรรมนูญ การสร้างความเป็นสถาบันที่เข้มแข็ง ให้กับพรรคการเมือง การพัฒนาระบบการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม การพัฒนาระบบการตรวจสอบการ ใช้อํานาจของรัฐ ฯลฯ อันจะนําไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบต่อไปในอนาคต เป็นต้น

กระบวนการกล่อมเกลาในแง่ IQ (ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา), EQ (ความฉลาดทางอารมณ์) และจริยะ (ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ) นั้นควรจะมุ่งเน้นไปในเรื่องดังต่อไปนี้

1 ประชาชนรู้จักแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนถูกและสิ่งไหนผิด สามารถรับรู้และเข้าใจอารมณ์ทั้งของ ตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์

2 ประชาชนเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความคิด รู้จักใช้เหตุผล การเชื่อมโยง และรู้จักแสวงหาความรู้ เพิ่มเติมให้กับตนเอง หรือรู้จักพัฒนาความสามารถของตนเองในการทํางานเพื่อองค์กรและนําไปสู่การพัฒนาของ ประเทศในอนาคต

3 ประชาชนมีค่านิยมที่เน้นวัฒนธรรม อาทิ ความภูมิใจในการเป็นคนไทย การเคารพ ผู้อาวุโส เสียสละเวลาทํางานเพื่อส่วนรวม ปฏิบัติตามหลักศาสนา และการประกอบอาชีพสุจริต

4 ประชาชนมีการขับเคลื่อนตนเองไปในทางที่ดี เพื่อกําจัดการกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ซึ่งประชาชนจะต้องมีคุณธรรมทางด้านดี อาทิ ความซื่อสัตย์ ความดี ความรัก ความเคารพ ความศรัทธา การให้อภัย และอารมณ์ขัน สิ่งเหล่านี้สามารถทําให้ประชาชนรับและยอมรับแรงกดดันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้

5 ประชาชนมีความเป็นพลเมือง (Citizenship) ซึ่งเป็นเรื่องของการมีสิทธิ เสรีภาพ การมีส่วนร่วมในสังคม รวมไปถึงการมีอิสรภาพ การพึ่งตนเองได้ การเคารพสิทธิ มีความรับผิดชอบต่อสังคม เคารพกติกาบ้านเมือง ไม่ใช้ความรุนแรง มีจิตสาธารณะ เป็นต้น

ผู้กระทําการ (Change agents) ที่จะปลูกฝังกล่อมเกลาให้สมาชิกในสังคมเป็นไปตาม แบบที่ต้องการ มีดังนี้

– ครอบครัว การกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยนั้นจําเป็นต้องใช้สื่อใน การสร้างความรู้ทางการเมือง โดยเฉพาะครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยแรกในการฝึกให้เด็กได้รับรู้สภาพและเป็นการ ปูพื้นฐานทางการเมือง นักรัฐศาสตร์เปรียบเทียบได้ให้ความสําคัญกับครอบครัวและบทบาทของครอบครัวในการ สร้างประสบการณ์ให้กับเด็กเป็นอย่างมาก ซึ่งครอบครัวจะช่วยในเรื่องการกล่อมเกลาทางการเมืองได้ 3 แนวทาง ด้วยกัน คือ

1) ครอบครัวจะช่วยถ่ายทอดทัศนะของพ่อแม่ต่อเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้สภาพ ความคิดและโอกาสในการแสดงความคิดเห็นจากทัศนคติของพ่อแม่ เช่น ถ้าพ่อแม่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย คือเปิดโอกาสและพูดคุยการเมืองให้กับเด็กแล้ว เด็กคนนั้นก็จะได้รับรู้และมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย ฯลฯ แม้ว่า บางครั้งในสังคมไทยอาจจะมีบางครอบครัวที่มีความเผด็จการกับลูก ๆ อยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมี ความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าเผด็จการ

2) พ่อแม่จะมีลักษณะเป็นตัวแบบให้กับเด็ก โดยเด็กจะมีการเลียนแบบจากสิ่งที่ พ่อแม่กระทํา เช่น พฤติกรรมในการกิน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อื่น ความมีน้ําใจ การมีส่วนร่วม การมีนิสัย ชอบการเลือกตั้ง ชอบแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เด็กจะเรียนรู้และตามแบบจากพ่อแม่

3) บทบาทและสิ่งที่เด็กคาดหวังที่จะกระทําเมื่อเป็นผู้ใหญ่ จะมีความสัมพันธ์กับ การแสดงออกทางการเมืองของเขา เด็กจะแสดงออกทางการเมืองอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความหวังที่เขาได้รับเมื่อ ครอบครัวสั่งสอน เขาอาจมีเป้าหมายที่จะเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเขาเติบโตขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลผูกพันกับระบบการเมืองแทบทั้งสิ้น

– โรงเรียน นับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างให้เกิดสังคมที่ดี และเป็นหน่วยสร้าง การกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยของไทย ซึ่งโดยทั่วไปเด็กมีโอกาสได้รับอิทธิพลในการเรียนรู้ จากโรงเรียนค่อนข้างมาก เนื่องจากระยะเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมีเวลานาน จึงเป็นผลให้ความรู้ทางการเมืองที่เด็ก ๆ จะได้รับมีการสะสมมานานจนสามารถฝังอยู่ในความทรงจํา

ในสังคมไทยนั้นระบบโรงเรียนและการจัดการเรียนการสอนนับว่ามีอิทธิพลต่อความเชื่อ ของเด็กมาก เด็กมักจะเชื่อฟังครูมากกว่าพ่อแม่ เนื่องจากมีโอกาสอยู่ในโรงเรียนมากกว่าที่บ้าน เมื่อเด็กมีการศึกษา มากขึ้นโอกาสที่เขาจะได้รับรู้ความเป็นไปทางการเมืองก็จะมากกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา เนื่องจากเขาสามารถศึกษา เพิ่มเติมได้จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ บทความ การสนทนาทางวิชาการ ฯลฯ ซึ่งคนที่ด้อยการศึกษาอาจไม่ได้รับ ในรายละเอียดได้มากเท่ากับคนที่มีการศึกษา นอกจากนี้โรงเรียนยังช่วยในการสร้างค่านิยมของระบอบประชาธิปไตย ให้เยาวชนผูกพันกับระบอบประชาธิปไตยได้อีกด้วย

– สื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ ต่างก็เข้ามามีบทบาทใน เชีวิตประจําวันของประชาชนมากขึ้น ซึ่งในการสร้างสังคมที่ดีและการกล่อมเกลาทางการเมืองในสังคม ประชาธิปไตยจําเป็นต้องใช้สื่อมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการอบรมหรือเป็นช่องทางในการเผยแพร่และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นการนําเสนอข้อมูลของสื่อมวลชนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการ พัฒนาการเมืองของไทย เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองและนําเสนอข่าวสารที่บิดเบือนจาก ข้อเท็จจริงแล้ว อาจทําให้ประชาชนหรือเยาวชนสับสนกับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับและก่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นได้

 

ข้อ 5 สังคมไทยมีชนชั้นหรือไม่ ?

รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นชนชั้นไหน ?

ตอบทั้งเชิงทฤษฎี (อย่างน้อย 3 ทฤษฎี)

และตอบตามความเป็นจริงในสังคมด้วย

และอธิบายอีกประเด็นหนึ่งว่า ชนชั้นหรือชนชั้นนําเกี่ยวโยง กับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองหรือไม่ อย่างไร ?

อาจยกตัวอย่างกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่นักศึกษารู้จักประกอบคําอธิบาย

แนวคําตอบ

ในสังคมไทยนั้นถือว่าเป็นสังคมที่มีชนชั้น แม้ว่าโดยทฤษฎีและหลักการของระบอบประชาธิปไตย นั้นจะพบว่า ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยและมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งได้ วางหลักการไว้ว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ และได้รับความคุ้มครอง มีความเสมอภาค เท่าเทียมกันภายใต้ กฎหมาย ไม่ว่าชายหรือหญิง หรือคนเชื้อชาติใดศาสนาใด ต่างก็มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

โดยหลักการและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นย่อมแตกต่างกัน เพราะโดยธรรมชาติจะมีคนบางคน ที่มีศักยภาพเหนือกว่าคนทั่วไป มีความกระตือรือร้น มีความเป็นผู้นํา มีการแสดงออกในการเป็นผู้นํา ทําให้มี บุคลิกลักษณะที่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่คนจํานวนนี้จะเป็นคนจํานวนน้อยในสังคมที่เราเรียกว่า ชนชั้นนํา แม้ว่า ในสังคมไทยของเราจะเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่การแบ่งชนชั้นในสังคมก็ยังเกิดขึ้น อันเป็นผลเนื่องมาจากโลก ทุกวันนี้เป็นโลกแห่งทุนนิยมที่มีเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนทางสังคมและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัด และทําให้เกิดการแบ่งชนชั้นทางสังคมขึ้น

การที่จะรู้ว่าใครเป็นชนชั้นไหนในสังคมนั้นสามารถดูได้จากบทบาทหน้าที่ และฐานะทาง สังคมและเศรษฐกิจ

ชนชั้นในสังคมไทยแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

1 ชนชั้นสูง เช่น นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการชั้นสูง ขุนนางเก่า เป็นต้น

2 ชนชั้นกลาง เช่น พนักงาน ข้าราชการทั่วไป เป็นต้น

3 ชนชั้นล่าง เช่น คนหาเช้ากินค่ํา กรรมกรผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร (ชาวไร่และชาวนา) ผู้ที่มีฐานะยากจนและมีการศึกษาน้อย เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Halen Lynd ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “Middletown” ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ สถานภาพ (Status) ของคนในสังคม โดยมีสมมุติฐานในการศึกษาก็คือ ตัวขี้เกี่ยวกับสถานภาพของคนในสังคม คือความสามารถทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าชนชั้นมีความสัมพันธ์กับสถานภาพ และเชื่อมโยงกับการที่คนในชุมชน คิดหรือสนทนากัน ซึ่งจะให้ความรู้ในสถานภาพของกลุ่มชนในสังคม เนื่องจากการศึกษาดังกล่าวจะมีตัวแปรใน การกําหนดสถานภาพของคนในสังคม เช่น ความมั่งคั่ง สถานภาพทางครอบครัว ทรัพย์สิน เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Ralf Dahrendorf ได้ให้คําจํากัดความในเรื่องชนชั้นว่า ชนชั้นเป็นเรื่องของกลุ่ม ที่ขัดแย้งเนื่องจากการแจกแจงอํานาจหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสมาคมหรือกลุ่ม โดยเห็นว่าอํานาจหน้าที่ (Authority) ถือเป็นอํานาจอันชอบธรรม และความสัมพันธ์ของอํานาจจะขึ้นอยู่กับฐานของอํานาจหลายฐานด้วยกัน เช่น จากการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือผู้ควบคุมวิถีการผลิต นอกจากนั้นอํานาจหน้าที่จะเกี่ยวข้องกับตําแหน่ง ทางสังคมและการมีบทบาทในสังคมของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งเขากล่าวว่า พื้นฐานของความไม่เท่าเทียมกันของโครงสร้าง ในสังคมที่เป็นตัวก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมก็คือความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องอํานาจและหน้าที่ ซึ่งจะมีส่วนสําคัญ ในการจัดองค์กรทางสังคม

ตามทฤษฎีของ Marx อธิบายว่า สังคมมีการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน คือ มีชนชั้นปกครองและ ชนชั้นที่ถูกปกครอง เช่น ในอดีตมีชนชั้นกษัตริย์และชนชั้นไพร่ ปัจจุบันมีชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่ง ชนชั้นปกครองจะขูดรีดเอากําไรส่วนเกินจากชนชั้นที่ถูกปกครอง และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะไม่เกิดใน ระดับปัจเจกบุคคล แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งโครงสร้าง แม้ว่า Marx จะกล่าวไว้ว่าท้ายที่สุดของ การเปลี่ยนแปลงแล้วจะไม่มีชนชั้นเกิดขึ้น แต่ก็เป็นเพียงอุดมคติที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่ที่เกิดขึ้นจริงก็คือ สังคมมีชนชั้นปกครองและชนชั้นถูกปกครอง เช่น นายทุนและกรรมกรผู้ใช้แรงงาน เป็นต้น

ชนชั้นหรือชนชั้นนําเกี่ยวโยงกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมือง ดังนี้

1 ชนชั้นหรือชนชั้นนําที่ต้องการเข้ามาเล่นการเมืองในระดับชาตินั้น จําเป็นต้องอาศัย กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองเป็นบันไดเข้ามาสู่อํานาจ เพราะพรรคการเมืองต่าง ๆ เหล่านี้จะมีบทบาทสําคัญใน ระบบการเมือง เป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจํานวนมาก เป็นสื่อกลางที่จะเชื่อมโยงระหว่าง ประชาชนกับรัฐบาล รวมทั้งเป็นเครื่องมือที่สําคัญที่จะชักนําให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง หรือเป็น ฐานเสียงให้กับตนเองได้นั่นเอง

2 ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติความเชื่อทางการเมืองที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของชนชั้นนํา ที่เป็นคนกลุ่มน้อย ประชาชนทั่วไปไม่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังเห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องสกปรก นักการเมืองมีแต่ แสวงหาอํานาจและผลประโยชน์ให้กับตัวเองจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งหรือไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นจึงทําให้ การเมืองเป็นเรื่องระหว่างชนชั้นนํากับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

3 พรรคการเมืองส่วนใหญ่มักรวบรวมสมาชิกเพื่อหวังสร้างอํานาจต่อรองกับรัฐบาล หรือ มุ่งหวังไปสู่การชนะการเลือกตั้งมากกว่ามุ่งเน้นไปที่อุดมการณ์ ดังนั้นจึงมักคัดเลือกสมาชิกทั้งในชนชั้นหรือชนชั้นนํา ที่สามารถเรียกคะแนนเสียงและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับพรรค รวมไปถึงสามารถสนับสนุนในเรื่องเงินทุนและ การช่วยเหลือด้านต่าง ๆ แก่พรรคได้ด้วย

4 นโยบายของพรรคการเมืองนั้นมักมีที่มาจากผลประโยชน์ทั้งของชนชั้นหรือชนชั้นนําเสมอ โดยเฉพาะการต่อรองที่ลงตัวในเรื่องตําแหน่งทางการเมือง

5 กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองจะเป็นที่รวบรวมผลประโยชน์ของชนชั้นหรือชนชั้นนํา ตัวอย่างเช่น พรรคสามัคคีธรรมเป็นพรรคของพวกนายทหารหลังการยึดอํานาจของ รสช. พรรคชาติไทยเคยเป็น พรรคของเหล่านายทหารและข้าราชการสายราชครู พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคของพวกนักธุรกิจที่ต้องการเข้ามามี บทบาททางการเมือง เป็นต้น

ตัวอย่างของกลุ่มการเมืองในสังคมไทย เช่น

– คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นกลุ่มการเมืองซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยตัวแทน กลุ่มองค์กรประชาชนในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น กลุ่มนักวิชาการ นําโดย ศ.ดร.สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ เครือข่าย นักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กลุ่มประชาคมนักธุรกิจสีลม เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย กองทัพธรรม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ฯลฯ โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการของกลุ่ม

– กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” เป็น กลุ่มการเมืองที่มีบทบาทสําคัญในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2552 โดยเป็นการรวมตัวจากหลายองค์กรทั่วประเทศ และ ได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ภายใต้จุดประสงค์ในการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี โดยมีแกนนําคนสําคัญ ได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.ต.จําลอง ศรีเมือง

ภายหลังการประชุมร่วมกันของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนแนวร่วมได้แสดงความเห็นถึง การจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งประชาชนที่เข้าร่วมประชุมมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้มีการจัดตั้ง พรรคการเมืองขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “พรรคการเมืองใหม่” นั่นเอง

– กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” เป็นกลุ่มการเมืองของกลุ่มผู้ต่อต้านการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2550 เพื่อขับไล่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติภายหลังจากการรัฐประหาร แต่ได้ยุติการชุมนุม เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550 หลังจากที่พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

แต่ภายหลังได้กลับมารวมตัวกันอีก เพื่อต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 จนเกิดเหตุการณ์ปะทะกันทําให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ และหลังการเปลี่ยนขั้ว รัฐบาล โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่ม นปช. ก็ได้กลับมาชุมนุมเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อขับไล่รัฐบาล จนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง และยกกําลังทหารปิดล้อมผู้ชุมนุม จนต้องยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

ในปี พ.ศ. 2553 มีการชุมนุมใหญ่อีกครั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน จนกระทั่งถูกสลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หลังจากนั้นในช่วงปลายปีก็มีการชุมนุม เป็นระยะ ๆ และมีความเกี่ยวโยงกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน

WordPress Ads
error: Content is protected !!