POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ตามทัศนะของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ต้องให้ความสําคัญที่

(1) ความรู้ในงาน

(2) แรงจูงใจ

(3) บุคลิกภาพ

(4) ความต้องการ

(5) ทั้งข้อ 2, 3 และ 4

ตอบ 5 (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก เห็นว่า มนุษย์มีความแตกต่างกันในพฤติกรรมดังนั้นการคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือการกําหนดคนให้เหมาะสมกับงานควรพิจารณา คุณลักษณะเฉพาะของบุคคล ได้แก่ พฤติกรรม บุคลิกภาพ จิตภาพ ทัศนคติ ความต้องการแรงจูงใจ ฯลฯ ให้เหมาะสมกับลักษณะของงาน จึงจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพ

2 ตามทัศนะของ Max Weber “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่

(1) ความรู้ในงาน

(2) แรงจูงใจ

(3) บุคลิกภาพ

(4) ความต้องการ

(5) ทั้งข้อ 1, 2, 3 และ 4

ตอบ 1 (คําบรรยาย), นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Henri Fayol ได้เสนอหลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือการกําหนดคนให้เหมาะสม กับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job” ในระบบคุณธรรม (Merit System)โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก

3 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เสนอให้พิจารณาปัจจัยด้านใดในการบริหารองค์การ

(1) บุคลิกภาพ

(2) คุณวุฒิ

(3) ประสบการณ์

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2 ประกอบ

4 ตัว “S” ใน “POSDCORS” เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด

(1) โครงสร้างองค์การ

(2) หน้าที่นักบริหาร

(3) แนวคิดทางการบริหาร

(4) สิ่งจูงใจ

(5) ทรัพยากรมนุษย์

ตอบ 5 หน้า 29, 55 – 56, 60 – 61, (คําบรรยาย) Luther Gulick ได้เขียนบทความ “Note on the Theory of organization” โดยเขาได้เสนอหน้าที่หรือภารกิจหลักในการบริหารงาน (Administrative Functions) ของนักบริหารไว้ 7 ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่า POSDCORB Model โดย S = Staffing (การบรรจุบุคคลเข้าทํางาน) หมายถึง การสรรหา การคัดเลือก และการบรรจุ แต่งตั้งบุคคสทํางานในตําแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ ซึ่งเป็นกิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ

5 Rational System Model เป็นวิธีการศึกษาของ

(1) Scientific Management

(2) Bureaucratic Model

(3) Quantitative Science

(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย

1 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model)และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)

2 นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎี กลุ่มการวิจัยดําเนินงาน (Operation Research)

6 สิ่งที่ ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่

(1) การควบคุมงาน

(2) การประเมินผลงาน

(3) การวางแผน

(4) การกําหนดอํานาจหน้าที่

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 60 – 62 ดร.ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ P = Policy (การกําหนดนโยบาย) หมายถึง แนวทางเบื้องต้นที่จะใช้ในการบริหารงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่) เป็นอํานาจที่มาจากตําแหน่งที่กําหนดไว้ในองค์การ

7 ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ไม่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง

(1) Fayol

(2) Weber

(3) Barnard

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 71 – 72 Chester I. Barnard ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์การไว้ในหนังสือชื่อ“The Functions of the Executive” ดังนี้

1 องค์การเป็นระบบของความร่วมมือระหว่างบุคคลที่จะต้องร่วมกันดําเนินภารกิจ ให้เกิดการทํางานร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ

2 อํานาจหน้าที่ควรกําหนดในรูปของ ความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่เป็นการกําหนดตายตัวจากบนลงล่าง

3 นําบทบาทขององค์การอรูปนัยหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การ และการบริหารองค์การ

4 บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจและกระตุ้น ให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายามในการทํางานอย่างเต็มที่

5 ผลตอบแทนทางวัตถุไม่ใช่สิ่ง ๆ เดียวที่สําคัญยิ่งในการจูงใจหรือเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ ฯลฯ

8 ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง

(1) Fayol

(2) Weber

(3) Barnard

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 37 – 39, 44 – 45, 57 – 60, (คําบรรยาย) นักวิชาการในกลุ่มคลาสสิก เช่น Frederick W. Taylor, Henri Fayol และ Max Weber มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ เช่น มีวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานเพียงวิธีเดียว (One Best Way) ที่จะทําให้การบริหาร เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง ประสิทธิภาพสูงสุด ในการทํางานเกิดจากการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน เป็นต้น

9 ใครที่เสนอเรื่อง “การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยามาคัดเลือกคนเข้าทํางาน”

(1) Taylor

(2) Cooke

(3) Weber

(4) McGregor

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 67 – 68, (คําบรรยาย) Hugo Munsterberg เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิกที่เสนอให้มีการนําเอาแบบทดสอบทางจิตวิทยาเข้ามาช่วยคัดเลือกคนเข้าทํางานในตําแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ โดยเห็นว่า การคัดเลือกคนหรือการกําหนดคนให้เหมาะสมกับงานนั้น ไม่ควรพิจารณาเฉพาะความรู้ความสามารถของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาที่ บุคลิกภาพหรือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลให้เหมาะสมกับลักษณะของงานด้วย จึงจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพ

10 ทุกข้อเป็นประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ ยกเว้น

(1) เกิดความรวดเร็วในการตัดสินใจ

(2) แก้ปัญหาข้อขัดแย้ง

(3) ช่วยสร้างความร่วมมือ

(4) ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว

(5) ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี

ตอบ 1 หน้า 63 ประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ (Committees) ได้แก่

1 ช่วยแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ

2 ช่วยสร้างความร่วมมือ หรือเพิ่มการมีส่วนร่วม

3 ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี

4 ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว

11 “สภาพแวดล้อมขององค์การที่เปรียบได้กับ สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น ” เรียกว่า

(1) Turbulent Field

(2) Placid Clustered Environment

(3) Placid Randomized Environment

(4) Disturbed-Reactive Environment

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 18, (คําบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ

1 Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น

2 Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น

3 Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของการติดต่อเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น

4 Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

12 “สภาพแวดล้อมขององค์การที่เปรียบได้กับ สภาพแวดล้อมของชาวเขาเร่ร่อน ” เรียกว่า

(1) Turbulent Field

(2) Placid Clustered Environment

(3) Placid Randomized Environment

(4) Disturbed-Reactive Environment

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

13 ในระบบคุณธรรม (Merit System) “การกําหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่

(1) ความรู้ความสามารถ

(2) การเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน

(3) บุคลิกภาพ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2 ประกอบ

14 จากหน้าที่ของนักบริหารที่ Henri Fayol เสนอไว้ 5 ประการเป็น POCCC C ทั้งสาม ได้แก่

(1) Commanding Controlling Correcting

(2) Controlling Correcting Coordinating

(3) Coordinating Concepting Correcting

(4) Commanding Coordinating Controlling

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 28 – 29, 55, (คําบรรยาย) Henri Fayol ได้เสนอกิจกรรมการบริหารหรือหน้าที่ของนักบริหารไว้ 5 ประการ ซึ่งเรียกว่า POCCC Model ประกอบด้วย

1 P = Planning (การวางแผน)

2 0 = Organizing (การจัดรูปงาน)

3 C = Commanding (การสั่งการ)

4 C = Coordinating (การประสานงาน)

5 C = Controlling (การควบคุมบังคับบัญชา)

15 “POSDCORB” เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด

(1) โครงสร้างองค์การ

(2) หน้าที่นักบริหาร

(3) แนวคิดทางการบริหาร

(4) สิ่งจูงใจ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ

16 ประเภทขององค์การที่พิจารณาจาก “กําเนิด” ได้แก่

(1) Formal Organization

(2) Primary Organization

(3) Public Organization

(4) Profit Organization

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 8 ประเภทขององค์การซึ่งพิจารณาจาก “กําเนิด” ขององค์การ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 องค์การเบื้องต้นหรือองค์การปฐมภูมิ (Primary Organization)

2 องค์การถาวรหรือองค์การทุติยภูมิ (Secondary Organization)

17 ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่

(1) ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา

(2) ประสิทธิภาพสูงสุด

(3) การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 25 – 29, (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด ได้แก่

1 เสถียรภาพคงที่ของระบบหรือสมดุลแบบสถิต

2 การแบ่งงานโดยเน้นความชํานาญเฉพาะด้าน

3 การคํานึงถึงสายการบังคับบัญชา กฎ และระเบียบ

4 การมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด

5 การกําหนดมาตรฐานของงาน

6 ความเชื่อในหลัก One Best Way

7 การใช้หลักเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ฯลฯ

18 ผลการศึกษาจาก “Hawthorne Experiments” ได้แก่

(1) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (2) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับทรัพยากรนำเข้า

(3) พบผลทางลบที่เกิดเนื่องมาจากความไม่เอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา

(4) พบอิทธิพลของภาวะผู้นําที่มีต่อผลิตภาพการทํางาน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 68 – 70, (คําบรรยาย) George Elton Mayo ได้ทําการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งพบผลการทดลองที่สําคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่ถูกเฝ้าดู ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไม่ยอมแพ้กันและกันขยันทํางานจนมีผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึง ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่มากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง

19 Operation Research หมายถึง

(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม

(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน (3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ

1 วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่“วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน

2 การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

20 Hawthorne Effect หมายถึง

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

(2) ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากกลุ่มต่างไม่ยอมแพ้กัน

(3) ผลทางลบที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากความไม่เอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา

(4) ปัญหาจากการทดลองที่ Western Electric Company

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18 ประกอบ

21 ตัวอย่างของกฎหมายปกครอง ได้แก่

(1) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534

(2) พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496

(3) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 23 – 24 กฎหมายปกครอง (Administrative Law) เป็นกฎหมายที่กําหนดขึ้นเพื่อให้องค์การสาธารณะทั้งหลายใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534, พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457, พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496, พ.ร.บ. สภาตําบลและ อบต, พ.ศ. 2537 เป็นต้น

22 การแบ่งประเภทขององค์การ โดย “พิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายใน”จัดเป็นการแบ่งประเภทขององค์การโดยยึดเกณฑ์แบบใด

(1) วัตถุประสงค์ในการดําเนินงาน

(2) กําเนิดขององค์การ

(3) หน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร

(4) ความเป็นเจ้าของ

(5) ความเป็นทางการ

ตอบ 5 หน้า 9, (คําบรรยาย) การแบ่งประเภทขององค์การโดยพิจารณาจากโครงสร้างขององค์การเป็นการพิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การรูปนัย (Format Organization)

2 องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)

23 “การกําหนดเวลาเข้าทํางาน เลิกงาน” ต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป จะเปลี่ยนแปลงตามอําเภอใจของผู้บริหารไม่ได้ เป็นข้อเสนอของนักวิชาการใด

(1) Taylor

(2) Gilbreths

(3) Cooke

(4) Weber

(5) Gantt

ตอบ 5 หน้า 42, (คําบรรยาย) Henry L. Gantt เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ที่เสนอแนวคิดในการสร้างวินัยในการทํางานและ การทํางานเป็นกิจวัตร โดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือ แผนกํากับหรือติดตามความก้าวหน้าของงาน รวมทั้งการกําหนดเวลาเข้าทํางาน เลิกงานโดยต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป และจะเปลี่ยนแปลงตามอําเภอใจของผู้บริหารไม่ได้

24 การยึดหลัก “เอกภาพในการบังคับบัญชา” มีข้อเสียอะไร

(1) สิ้นเปลืองบุคลากร

(2) เกิดความขัดแย้ง

(3) ประสิทธิภาพต่ำ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 50 – 51, 58, 186 – 187 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง หลักการที่กําหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทํางานในองค์การเดียวและจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อ ผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือมีนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางการบรหารที่ต้อง ระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าสั่งงานโดยตรง ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงานซ้ําซ้อนหรือเกิดความยุ่งยาก ในการทํางาน ตลอดจนการบอกปัดความรับผิดชอบ ส่วนข้อเสีย คือ ทําให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทํางานต่ำ

25 แนวคิดของ Max Weber ให้ความสําคัญที่ระบบใดขององค์การมากที่สุด (1) โครงสร้าง

(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์

(3) เทคโนโลยี

(4) สังคมจิตวิทยา

(5) ทักษะการบริหาร

ตอบ 1 หน้า 64 – 65, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory) เช่น Max Weber, Henri Fayol ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของระบบปิด โดยให้ความสําคัญกับระบบโครงสร้างขององค์การ แต่ละเลยระบบสังคมภายในองค์การหรือ ระบบสังคมจิตวิทยา เช่น ระบบของพฤติกรรมและความต้องการของบุคคลภายในองค์การ จึงทําให้แนวคิดของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิกประสบปัญหาในทางปฏิบัติและไม่สามารถ สร้างองค์การให้มีประสิทธิภาพในระยะยาวได้

26 ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X จะต้องใช้การบริหารแบบใด

(1) Management by Rules

(2) Management by Objectives

(3) Mechanistic Organization

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 77 – 78, (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X (มนุษย์ไม่ชอบทํางานและพยายามหลีกเลี่ยงงานเมื่อมีโอกาส) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังต่อไปนี้เพื่อแก้ไข พฤติกรรมที่บกพร่อง

1 การบริหารแบบเผด็จการ

2 การบริหารโดยยึดกฎระเบียบ (Management by Rules) คือ การใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด หรือใช้กฎระเบียบ ที่ได้มาตรฐาน

3 การบริหารโดยยึดกระบวนการ (Management by Procedure)

4 การบริหารแบบองค์การแบบเครื่องจักรกล (Mechanistic Organization)

5 การบริหารงานในลักษณะของพวกคลาสสิก เช่น ตัวแบบระบบราชการ (Bureaucracy หรือ Bureaucratic Model) การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ฯลฯ

27 ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด

(1) Management by Rules

(2) Management by Objectives

(3) Mechanistic Organization

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 78, (คําบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้

1 การบริหารแบบประชาธิปไตย

2 การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)

3 การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหาร ที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)

4 การทํางานเป็นทีม (Teamwork)

5 การบริหารแบบโครงการ (Project Management) ฯลฯ

28 การที่ผู้ปฏิบัติงานตั้งใจส่งใบลาในวันที่หน่วยงานมีภารกิจมาก Taylor เรียกพฤติกรรมนี้ว่า

(1) การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ

(2) การขาดสามัญสํานึก

(3) การขาดวินัยการทํางาน

(4) การเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 41, (คําบรรยาย พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนึ่งานโดยอาศัยระบบตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงานในองค์การเป็นเครื่องมือ เพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตน โดยพยายามทําให้เห็นว่า ตนเองมีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือพยายามทํางานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่ําของงาน โดยไม่ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทํางาน เท่าที่ระเบียบกําหนด หรือทํางานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิดระเบียบ ไม่ตกมาตรฐานขององค์การ เช่นการส่งใบลากิจในวันที่องค์การมีภารกิจมาก การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น

29 ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่บ่งชี้ถึง “ประสิทธิภาพ” ในการทํางาน

(1) ผลผลิต

(2) ทรัพยากรที่ใช้

(3) แผนที่วางไว้

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ใช้ในการบริหาร ส่วนประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จาก การบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการ ที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้นหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ก็แสดงว่า องค์การนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กําหนดไว้ได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล

30 Herzberg จัดเป็นนักวิชาการที่อยู่ในกลุ่มใด

(1) Scientific Management

(2) Situational Approach

(3) A Systems Approach

(4) Humanism

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 29 – 30, 67 – 82 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) หรือกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism หรือ Industrial Humanism) หรือกลุ่ม มนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) หรือกลุ่มนีโอคลาสสิก (Neo-Classical Organization Theory) หรือนักทฤษฎีการบริหารงานสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Management) มีแนวคิดและวิธีศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ดังนี้

1 ศึกษาองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) โดยให้ความสําคัญกับระบบสังคมภายในองค์การหรือระบบสังคมจิตวิทยามากที่สุด

2 ริเริ่มนําเสนอสิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน

3 เน้นการบริหารงานที่คํานึงถึงความสุขและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของ ผู้ปฏิบัติงานหรือสมาชิกในองค์การ

4 เน้นศึกษากลุ่มทางสังคม คุณลักษณะของปัจเจกบุคคล (ได้แก่ บุคลิกภาพ จิตภาพทัศนคติ และความต้องการของบุคคล) คุณลักษณะทางธรรมชาติของมนุษย์

5 พยายามนําระบบการบริหารแบบเครือญาติ (Paternalism) เข้ามาใช้ในองค์การ

6 นักทฤษฎี (นักวิชาการ) ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hugo Munsterberg, George Elton Mayo, Warren Bennis, Chester I. Barnard, A.H. Maslow, Douglas McGregor blay Frederick Herzberg ฯลฯ

31 ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง

(1) Organic Structure – หน่วยผลิตขนาดเล็กที่มีการผลิตเป็นกระบวนการ (2) Mechanistic Organization – Formal Organization

(3) Organic Structure – องค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง

(4) Fluid Structure – Adhocracy

(5) Mechanistic Structure – หน่วยผลิตที่ใช้แรงงานฝีมือ

ตอบ 5 หน้า 45 – 47, 111 – 112, (คําบรรยาย) จากแนวคิดของ Contingency Theory นั้น Burn และ Stalker สรุปว่า

1 Mechanistic Organization เป็นองค์การแบบเก่าหรือองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) หรือองค์การตามรูปแบบระบบราชการ (Bureaucratic Model) ที่เน้นโครงสร้างและความสัมพันธ์ตามแนวดิ่ง เช่น เน้นตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority) รวมทั้งมีความเป็นทางการสูง และเน้นการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีสภาพแวดล้อมคงที่ (Static) เช่น หน่วยราชการทุกรูปแบบ

2 Organic Organization หรือที่ Warren Bennis เรียกว่า Adhocracy เป็นโครงสร้าง แบบหลวม (Fluid Structure) ที่เน้นการกระจายอํานานความสัมพันธ์ ดามเนวราบ/แนวนอน และการใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง นอกจากนี้ Woodward ยังได้สรุปอีกว่า หน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและ ใช้เครื่องจักร เช่น โรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีโครงสร้างแบบ Mechanistic Structure สวนหน่วยผลิตขนาดเล็ก เช่น องค์การผลิตสินค้าหัตถกรรม และที่ผลิตเป็นกระบวนการหรือมีระบบการผลิตหลายขั้นตอน จะต้องมีโครงสร้างแบบ organic Structure

32 Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีว่าเป็น

(1) Political Environment

(2) Primary Environment

(3) Outer Environment

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ

1 สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี

2 สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

33 ตัว W ใน SWOT Analysis หมายถึง

(1) ความเข้มแข็งขององค์การ

(2) โอกาสขององค์การ

(3) ภัยจากปัจจัยภายนอก

(4) ระบบงานขององค์การ

(5) จุดอ่อนขององค์การ

ตอบ 5 หน้า 220 การวิเคราะห์หรือศึกษาศักยภาพขององค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis จะประกอบด้วย

1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่ S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ และ W = Weaknesses คือ จุดอ่อนขององค์การ

2 การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่ O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ และ T = Threats คือ ภัยหรือภาวะคุกคามที่มีต่อองค์การ

34 ใครที่เสนอเรื่อง “Hierarchy of Needs”

(1) Herzberg

(2) Cooke

(3) Munsterberg

(4) McGregor

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 75 – 76 A.H. Maslow ได้เสนอทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลําดับ จากต่ําสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้

1 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน

2 ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)

3 ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)

4 ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)

5 ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้

(Self-Realization’ Needs)

35 ข้อใดที่จัดเป็นสภาพแวดล้อมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีที่ Barton และ Chappell นําเสนอไว้

(1) การเมือง

(2) สังคม

(3) สื่อมวลชน

(4) สาธารณชนทั่วไป

(5) ฝ่ายนิติบัญญัติ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

36 “Herbert Kaufman พิจารณากิจกรรมในการบริหาร 4 ประการ ได้แก่

(1) การเป็นตัวแทนขององค์การ

(2) การจูงใจ

(3) ……………. และ (4) ” ทั้งสองประการที่ขาดหายไป ได้แก่

(1) การตัดสินใจ และการรับและกรองข้อมูลข่าวสาร

(2) การติดตามประเมินผล และการพัฒนาองค์การ

(3) การรับและกรองข้อมูลข่าวสาร และการพัฒนาองค์การ

(4) การตัดสินใจ และการจัดรูปงาน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 14 Herbert Kaufman ได้ศึกษาบทบาทของผู้บริหาร และชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารมีกิจกรรมที่สําคัญอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1 การวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ (Decision Making)

2 การรับและกรองข้อมูลข่าวสารหรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคม

3 การเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ

4 การจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่

37 ในการทดลองของ Mayo กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ผลการตรวจสอบผลงานของกลุ่มทั้งสองเป็นดังนี้

(1) ผลงานลดลงทั้งสองกลุ่ม

(2) ผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม

(3) กลุ่มทดลองมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า

(4) กลุ่มควบคุมมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า

(5) ผลงานของทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทิศทาง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18 ประกอบ

38 ใครที่เสนอเรื่อง “Time and Motion Study”

(1) Taylor

(2) Cooke

(3) Munsterberg

(4) Gantt

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 42, (คําบรรยาย) Frank และ Lilian Gilbreths เป็นผู้ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์หามาตรฐานของงานโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน (Time and Motion Study) เพื่อนําไปใช้ในการจัดกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

39 “……ระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell

(1) Political Environment

(2) Primary Environment

(3) External Environment

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐ กับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell (ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ)

40 แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นําไปสู่เป้าหมาย”

(1) Scientific Management

(2) Contingency Theory

(3) Industrial Humanism

(4) A System Approach

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 112 – 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”

41 “สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน” เป็นสิ่งจูงใจที่ริเริ่มนําเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด (1) กลุ่มนีโอคลาสสิก

(2) นักทฤษฎีการบริหาร

(3) นักทฤษฎีระบบราชการ

(4) นักบริหารเชิงปริมาณ

(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 30 ประกอบ

42 ข้อใดที่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง

(1) Gantt Chart – สร้างวินัยในการทํางาน

(2) Division of Work – ขยายความสามารถของมนุษย์

(3) Hygiene Factors – ถ้าไม่ได้รับจะไม่ยอมทํางาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 81 – 82, (Ps 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 19 – 20), (คําบรรยาย) การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยายความสามารถของมนุษย์ หรือช่วยเพิ่มความสามารถ ในการทํางานขององค์การ รวมทั้งทําให้เกิดระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (Exchange) ส่วนปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) ของ Frederick Herzberg เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงาน ในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน (ดูคําอธิบายข้อ 23 ประกอบ)

  1. แนวคิดของ Henri Fayol ให้ความสําคัญที่ระบบใดขององค์การมากที่สุด (1) โครงสร้าง

(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์

(3) เทคโนโลยี

(4) สังคมจิตวิทยา

(5) สิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 25 ประกอบ

44 กลุ่มนักวิชาการใดต่อไปนี้ที่ให้ความสําคัญในเรื่อง “การเมืองในองค์การ”

(1) A Systems Approach

(2) Administrative Theorists

(3) Scientific Management,

(4) Behavioral Science

(5) ไม่มีข้อใดถูก

 

 

ตอบ 5 หน้า 112 – 113, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการกระทํา (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริง หรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้ จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

45 ทุกข้อเป็นหลักเกณฑ์ที่ Max Weber นําเสนอ ยกเว้น

(1) ความชํานาญเฉพาะด้าน

(2) หลักความสามารถ

(3) แยกการเมืองออกจากการบริหาร

(4) สายการบังคับบัญชา

(5) การกระจายอํานาจ

ตอบ 5 หน้า 44 – 47, 139, 189, (คําบรรยาย) รูปแบบของระบบราชการ (Bureaucratic Model) หรือองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy Theory) หรือทฤษฎีองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization Theory) หรือทฤษฎี องค์การรูปสามเหลี่ยมพีระมิดของ Max Weber นั้น จะประกอบด้วย

1 การกําหนดสายการบังคับบัญชา (Hierarchy, Chain of Command หรือ Line of Authority)

  1. การกําหนดตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority)

3 การกําหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน (Rules and Regulations)

4 การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เช่น การแบ่งงานออกเป็นแผนกงานต่าง ๆ

5 การจัดทําคู่มือการทํางาน และคําบรรยายลักษณะงาน (Job Description)

6 การกําหนดเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

7 การคัดเลือกและเลื่อนขั้นโดยอาศัยหลักความสามารถตามระบบคุณธรรม (Merit on Selection and Promotion)

8 การมีระบบความสัมพันธ์ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Relationship) ตามสายการบังคับบัญชาและอํานาจหน้าที่ หรือตามแนวดิ่ง ฯลฯ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวทําให้เกิดการแยกการเมืองออกจากการบริหาร และระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

46 ทุกข้อเป็น “Motivator Factors” ตามทฤษฎีของ Herzberg ยกเว้น (1) เงินเดือน

(2) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน

(3) การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน

(4) ลักษณะของงาน

(5) ความรับผิดชอบ

ตอบ 1 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานได้ 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับ นับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2 ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ําจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับ จากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือนความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

47 ในการบริหารงาน คําว่า Red Tape หมายถึง

(1) การคั่งค้างของงาน

(2) ประสิทธิภาพของงาน

(3) หัวหน้างาน

(4) โครงสร้างหน่วยงาน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอน 5 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชาที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

48 Unity of Command หมายถึง

(1) หลักการที่ให้องค์การหนึ่ง ๆ ต้องมีวัตถุประสงค์หลักเพียงอย่างเดียว

(2) หลักการที่กําหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทํางานในองค์การเดียว

(3) หลักการที่ทุกแผนกงานต้องมีการสร้างทีมงาน

(4) หลักการที่กําหนดให้ทุก ๆ คนต้องมีหัวหน้าเพียงคนเดียว

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2, 4 ดูคําอธิบายข้อ 24 ประกอบ

49 ตามทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของ Maslow “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงาน” เรียกว่า

(1) Self-Realization Needs

(2) Ego Needs

(3) Social Needs

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34 ประกอบ

50 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Theory of Management) เสนอให้ใช้

(1) ระบบการบริหารที่เรียกว่า Paternalism

(2) ระบบการบริหารที่ใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการสร้างประสิทธิภาพ

(3) ระบบการบริหารที่เน้นการทํางานเป็นกิจวัตร

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 25 – 28, 37 – 39, 42 – 43, 55 – 56, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก(Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Management) เป็นกลุ่ม ที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” โดยได้ศึกษาทฤษฎีองค์การที่เป็น ทางการหรือทฤษฎีองค์การรูปนัย (Format Organization Theory) เพื่อค้นหาหลักเกณฑ์ หรือวิธีการทํางานที่ดีที่สุด ซึ่งนักทฤษฎีกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า มีวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงาน เพียงวิธีเดียว (One Best Way) ที่จะทําให้การบริหารเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นหน้าที่ ของนักบริหารที่จะต้องใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการค้นหา หรือสร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้กับงาน ตัวอย่างของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Frederick W. Taylor, Max Weber, Henri Fayol, Henry L. Gantt, Frank และ Lillian Gilbreths, Luther Gulick, Lyndall Urwick เป็นต้น (ดูคําอธิบายข้อ 23 และ 30 ประกอบ)

51 ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg

(1) เทคนิคและการควบคุมงาน

(2) สภาพการทํางาน

(3) ความก้าวหน้าในการงาน

(4) นโยบายและการบริหาร

(5) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 46 ประกอบ

52 “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ” เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด

(1) Industrial Humanism

(2) Contingency Theory

(3) Action Theory

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก ตอบ 2 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์(Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best way โดยแนวคิดนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสําคัญต่อ อิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมของ องค์การภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่า เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะ แตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบ ที่เหมาะสมสําหรับองค์การทุก ๆ ประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทําให้การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

53 นักวิชาการกลุ่มใดที่มองการบริหารว่า “เป็นสิ่งไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน”

(1) A Systems Approach

(2) Industrial Humanism

(3) Action Theory

(4) Quantitative Science

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52 ประกอบ

54 การบริหารงานที่ให้ความสําคัญเรื่อง “ความสุขของสมาชิกในองค์การ” เป็นการบริหารตามแนวคิด ของนักวิชาการกลุ่มใด

(1) Scientific Management

(2) Administrative Theorists

(3) Neo-Classical Organization Theory

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 30 ประกอบ

55 ข้อใดต่อไปนี้ที่ Kaufman ถือเป็น Pure Internal Management (1) การตัดสินใจ

(2) การหาข่าวสาร

(3) การจูงใจ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 14, (คําบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับภารกิจ 2 ลักษณะ คือ

1 Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียงร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้าน การจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่

2 External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลาทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและกรองข้อมูลข่าวสาร หรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด

56 การจําแนกประเภทของระบบในทัศนะของ Kenneth Boulding ระดับที่เริ่มจัดเป็นระดับของ ระบบทางกายภาพ ได้แก่ระดับใด

(1) ระดับที่ 4

(2) ระดับที่ 5

(3) ระดับที่ 6

(4) ระดับที่ 7

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 88 – 89 Kenneth Boulding จําแนกประเภทของระบบออกเป็น 9 ระดับ โดยระดับที่ 1 – 3 เป็นระบบทางกายภาพ ระดับที่ 4 – 6 เป็นระบบทางชีวภาพหรือระบบของพฤติกรรมศาสตร์ และระดับที่ 7 – 9 เป็นระบบทางสังคม

57 ใครเสนอว่า “องค์การเป็นระบบของการร่วมมือของปัจเจกบุคคลอย่างมีสํานึก”

(1) Barnard

(2) Simon

(3) Bennis

(4) McGregor

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 71 Chester I. Barnard เสนอว่า “องค์การเป็นระบบที่มีการประสานกิจกรรมต่าง ๆหรือมีการร่วมมือระหว่างปัจเจกบุคคลต่าง ๆ อย่างมีสํานึก”

58 Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น

(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างยึดหยุ่น

(2) เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอน

(3) เน้นการใช้ความรู้มากกว่าการใช้อํานาจหน้าที่

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 72, (คําบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy”(ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การ ที่มีลักษณะดังนี้

1 มีการจัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การ ที่เน้นการทํางานแบบเฉพาะกิจ

2 เน้นการกระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย

3 มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น

4 เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญ มากกว่าการใช้อํานาจหน้าที่ (Authority)

5 เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ

59 ทุกข้อเป็นรายละเอียดของทฤษฎีองค์การรูปสามเหลี่ยมพีระมิดของ Max Weber ยกเว้น

(1) หลักเอกภาพการบังคับบัญชา

(2) การกําหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน

(3) การกําหนดตําแหน่งและอํานาจหน้าที่

(4) การจูงใจโดยใช้ปัจจัยภายใน

(5) การคัดเลือกและเลื่อนขั้นโดยอาศัยหลักความสามารถ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 45 ประกอบ

60 นักวิชาการใดต่อไปนี้ที่ถือกําเนิดก่อนกลุ่มอื่น

(1) The Action Approach

(2) Scientific Management

(3) Quantitative Science

(4) Behavioral Science

(5) A Systems Approach

ตอบ 2

หน้า 113 – 114, (คําบรรยาย) Stephen P. Robbins ได้เสนอพัฒนาการของทฤษฎีองค์การ ไว้ 4 ช่วงเวลา

61 “ระบบราชการประกอบไปด้วยระบบของอํานาจและอิทธิพล ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้อํานาจและอิทธิพลนั้นไปอย่างไร” เป็นปัญหาของตัวแบบราชการด้านใด

(1) Formal Relationship

(2) Promotion

(3) Unity of Command

(4) Self-Perpetuation

(5) ทั้งข้อ 1, 2, 3 และ 4

ตอบ 4 หน้า 51 Bendix ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาของตัวแบบระบบราชการที่ต้องการจะขยายตัวและสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง (Self-Perpetuation) ไว้ว่า “ระบบราชการประกอบไปด้วย ระบบของอํานาจและอิทธิพล ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้อํานาจและอิทธิพลนั้นไปอย่างไร”

  1. “…ความรู้สึกทางใจของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้ ประสบการณ์ ความนึกคิดและความเชื่อของแต่ละบุคคล ” ที่กล่าวมาเป็นความหมายของ

(1) Perception

(2) Attitude

(3) Needs

(4) Personality

(5) Image

ตอบ 2 หน้า 75 ทัศนคติ (Attitude) หมายถึง ความรู้สึกทางใจของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้ ประสบการณ์ ความนึกคิด และความเชื่อของแต่ละบุคคล ความรู้สึกทางใจของ แต่ละบุคคลในเรื่องราวต่าง ๆ จะมีระดับที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ระดับที่เป็นความชอบ หรือไม่ขอบ ระดับที่เป็นประสบการณ์ที่ได้รับการไตร่ตรอง จนถึงระดับที่เป็นการนําไปปฏิบัติ ทัศนคติของบุคคลจึงเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลเกิดความคิดและพฤติกรรมไปในแนวทางใดแนวทางหนึ่ง

63 ใครที่เสนอให้องค์การมีโครงสร้างที่กระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย ยืดหยุ่น ใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญ”

(1) Barnard

(2) Simon

(3) Bennis

(4) McGregor

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 58 ประกอบ

64 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของ “ระบบ”

(1) Flexible Boundaries

(2) Negative Entropy

(3) Maximized Efficiency

(4) Dynamic Equilibrium

(5) Growth Through Internal Elaboration

ตอบ 3 หน้า 98 – 106 ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่

1 การวางแผนและจัดการ (Contrived)

2 ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)

3 การอยู่รอด (Negative Entropy)

4 การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา (Dynamic Equilibrium)

5 กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)

6 กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)

7 การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration) ฯลฯ

(ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

65 ข้อใดเป็นทรัพยากรในการบริหาร

(1) Man

(2) Moral

(3) Material

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 3 – 5 ทรัพยากรในการบริหาร แบ่งออกเป็น 4 ประเภท หรือที่เรียกว่า 4 M ได้แก่

1 ทรัพยากรมนุษย์ (Man)

2 เงินทุน (Money)

3 วัสดุสิ่งของ (Material)

4 ความรู้ในการจัดการ (Management)

66 นักวิชาการใดต่อไปนี้ที่มียุทธวิธีในการศึกษาตามแนวทางของ “ระบบปิด”

(1) The Action Approach

(2) Scientific Management

(3) Quantitative Science

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ

67 “ระบบค่าจ้างต่อชิ้น” เป็นสิ่งจูงใจที่ริเริ่มนําเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด

(1) นักบริหารเชิงปริมาณ

(2) นักทฤษฎีการบริหาร

(3) นักทฤษฎีระบบราชการ

(4) กลุ่มนีโอคลาสสิก

(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์

ตอบ 5 หน้า 38 – 42, (คําบรรยาย) Frederick W. Taylor เป็นนักวิชาการกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีแนวคิดและผลงานที่สําคัญดังนี้

1 เป็นผู้สร้างทฤษฎีการจัดการโดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)

2 ริเริ่มแนวคิดการบริหารที่ คํานึงถึงผลิตภาพหรือประสิทธิภาพ (Efficiency) ในการปฏิบัติงานขององค์การเป็นหลัก

3 เสนอให้ใช้ระบบค่าจ้างต่อชิ้น (Piece Rate System) ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจภายนอกที่จะทําให้ มนุษย์ทํางานมากยิ่งขึ้น

4 เสนอให้มีผู้เชี่ยวชาญงานพิเศษ (Functional Foremen)เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบงานและเร่งรัดประสิทธิภาพของงานในขั้นตอนต่าง ๆ

68 ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้

(1) ระดับขององค์การ

(2) ประเภทของกิจการ

(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา

(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร

ตอบ 5 หน้า 184 185 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้ มีดังนี้

1 การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา

2 เทคนิคในการมอบหมายอํานาจหน้าที่

3 การวางแผนการปฏิบัติงานไว้ให้พร้อม

4 ลักษณะของงานในองค์การ

5 เทคนิคในการควบคุม

6 เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร

7ความจําเป็นในการติดต่อส่วนตัว

69 ข้อใดเป็นปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา

(1) ระดับขององค์การ

(2) ลักษณะงานในองค์การ

(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา

(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร

ตอบ 13 หน้า 181 – 182 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้

1 ระดับขององค์การ

2 ประเภทของกิจกรรม

3 ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

4 ลักษณะขององค์การ

5 ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

70 ข้อใดเป็นปัจจัยที่กําหนดขนาดของการกระจายอํานาจ

(1) ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ

(2) ขนาดขององค์การ

(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 170 – 174, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกําหนดขนาดของการกระจายอํานาจและการรวมอํานาจในองค์การ มีดังนี้

1 ความสําคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ

2 ความต้องการเป็นแบบเดียวกันทางด้านนโยบายหรือความเป็นเอกภาพในการบริหาร

3 ขนาดขององค์การ

4 ประวัติความเป็นมาของกิจการ

5 ปรัชญาของการบริหาร

6 ความต้องการความเป็นอิสระในการดําเนินงาน

7 จํานวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ

8 เทคนิคในการควบคุม

9 การกระจายของการปฏิบัติงานที่มีการแบ่งแยกงานไปตามสถานการณ์ที่ต่างออกไป

10 การเปลี่ยนแปลงขององค์การ

11 อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ

 

ตั้งแต่ข้อ 71 – 78 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Division of Work

(2) Departmentation

(3) Line Agency

(4) Staff Agency

(5) Auxiliary Agency

 

71 หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด ๆ

ตอบ 3 หน้า 197 – 201, (คําบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงานภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ

1 หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและหน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น

2 หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุน การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองวิชาการ หน่วยนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

3 หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (Housekeeping Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจรรมลักษณะ ของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น

72 หน่วยงานที่มิได้ดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

73 หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้านเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

74 งานสารบรรณ เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

75 การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงานเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 2 หน้า 191 การจัดแผนกงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่ มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถ ของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน

76 การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกรับไปปฏิบัติตามเป้าหมาย ที่องค์การได้วางไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 1 หน้า 189 การแบ่งงานกันทําหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทําโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถหรือ ความชํานาญเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การ ออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกรับไปปฏิบัติ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายที่องค์การ ได้วางไว้

77 กองวิชาการในกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานประเภทใด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

78 กองทัพบก เป็นหน่วยงานประเภทใด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

79 ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) การที่องค์การได้กําหนดกฏเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ ได้แก่ Formalization

(2) ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ได้แก่ Formalization

(3) การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ Centralization

(4) Hierarchy หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Chain of Command

(5) ไม่ถูกต้องทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 122 – 123 การออกแบบองค์การ (Organization Design) คือ การมุ่งหรือพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ

80 ข้อใดถูกต้อง

(1) การให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจเห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งใจไว้ เกี่ยวข้องกับ Chain of Command

(2) ในความเป็นจริง อํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการขาดหายไปเมื่อได้สั่งการให้ปฏิบัติจริงซึ่งอาจจะมาจากพฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวข้องกับ Delegation of Authority

(3) การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอํานาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา – เกี่ยวข้องกับ Delegation of Authority

(4) การให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจเห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งใจไว้ เกี่ยวข้องกับ Limits of Authority

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 153 การมอบหมายอํานาจหน้าที่ (Delegation of Authority) หมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอํานาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในทางปฏิบัติผู้บังคับบัญชามักจะมอบหมายอํานาจหน้าที่แก่หัวหน้างานระดับรองลงไปการมอบอํานาจหน้าที่นี้อาจจะมอบแก่บุคคลคนเดียวหรือหลายคนก็ได้

 

ตั้งแต่ข้อ 81 – 85 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Complexity

(2) Formalization

(3) Centralization

(4) Organization Design

(5) Authority

 

81 การที่องค์การได้กําหนดกฏเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 2 หน้า 122 ความเป็นทางการ (Formalization) ขององค์การนั้น พิจารณาจากการที่องค์การได้กําหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็นพื้นฐานที่นําไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ

82 ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 79 ประกอบ

83 ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ำ รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่น แต่ละสาขา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 1 หน้า 121 ความซับซ้อนขององค์การ (Complexity) คือ ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การจะมีการแบ่งแยกงาน (กิจกรรม) ซึ่งมีเป็นจํานวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการ แบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญแต่ละด้านของบุคลากร และมีการแบ่งเป็นระดับ ต่าง ๆ จากสูงลงมาสูต่ํา รวมทั้งอาจมีการแบ่งไปยังพื้นที่อื่น ๆ แต่ละสาขาด้วย

84 การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 3 หน้า 168 การรวมอํานาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆของสายการบังคับบัญชาได้รวมอํานาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทําจาก ระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอํานาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้ว จะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ตัดสินใจให้เป็นส่วนใหญ่

85 Power of Command เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

ตอบ 5 หน้า 146 อํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อํานาจหน้าที่นี้จะเป็นอํานาจหน้าที่ของ ผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่งที่เป็นทางการ ทําให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้ จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตของตําแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อํานาจหน้าที่ ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่า อํานาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกําหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตําแหน่งสูงและมีอํานาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น

 

ตั้งแต่ข้อ 86 – 90 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Span of Control

(2) Unity of Command

(3) Responsibility

(4) Hierarchy

(5) Specialization

 

86 การกําหนดลําดับขั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกําหนดลําดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใด อยู่ในลําดับอํานาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ํากว่าตําแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง

87 ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Authority มากที่สุด

ตอบ 3 คําอธิบายข้อ 85 ประกอบ

88 จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 1 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะ แสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกํากับดูแลหรือการบังคับบัญชา เพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความ รับผิดชอบที่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การกํากับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

89 การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 2 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารมากกว่า 1 คน

90 การแบ่งงานกันทําโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถ เรียกว่าอะไร

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 76 ประกอบ

 

ตั้งแต่ข้อ 91 – 95 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม

(1) Chain of Command

(2) Delegation of Authority

(3) Power to Command

(4) Limits of Authority

(5) Decentralization of Authority

 

91 Hierarchy หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 86 ประกอบ

92 การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอํานาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 80 ประกอบ

93 การให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจเห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 85 ประกอบ

94 ในความเป็นจริงอํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการขาดหายไปเมื่อได้สั่งการให้ปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะมาจากพฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 4 หน้า 149 – 150 ในความเป็นจริงอํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชามักจะขาดหายไปเมื่อได้มีการสั่งการให้ปฏิบัติจริง เพราะมีสาเหตุมาจากข้อจํากัดของอํานาจหน้าที่ (Limits of Authority) ในด้านต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีและ ศีลธรรมในสังคม สภาพทางภูมิศาสตร์ หลักชีววิทยา ฟิสิกส์ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ กฎหมายนโยบาย ความด้อยความสามารถของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น

95 ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอํานาจในการตัดสินใจและอํานาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 5 หน้า 169 การกระจายอํานาจ (Decentralization of Authority) หมายถึง ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอํานาจในการตัดสินใจและอํานาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยัง ผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ยกเว้นอํานาจหน้าที่บางอย่างซึ่งจําเป็นจะต้องสงวนไว้ที่ส่วนกลาง

96 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี

(1) ระดับชั้นไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป

(2) แต่ละสายต้องชัดเจน

(3) การดําเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก ,

(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ 4 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้

1 จํานวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

2 สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะต้องชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอํานาจในการสั่งงานผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ

3 สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

97 ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) Formal Authority

(2) Acceptance Theory

(3) Competence Theory

(4) Formal Position )

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 147 กลุ่มทฤษฎีว่าด้วย “อํานาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory)มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคําสั่งของตนได้เป็นเพราะ ผู้บังคับบัญชามีอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Format Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อํานาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอํานาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตําแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ แต่อํานาจ หน้าที่นี้ก็ยังมิใช่อํานาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ เพราะการใช้อํานาจ ยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นมาของอํานาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้อํานาจหน้าที่ อย่างเป็นทางการสามารถนําไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป

98 อํานาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนําให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) Formal Authority

(2) Acceptance Theory

(3) Competence Theory

(4) Formal Position

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อํานาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนําให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ โดยนักทฤษฎีที่กล่าวถึงอํานาจหน้าที่ในลักษณะนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon

99 Chester I, Barnard เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใดมากที่สุด

(1) Formal Authority

(2) Acceptance Theory

(3) Competence Theory

(4) Formal Position

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 98 ประกอบ

100 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา

(1) ระดับขององค์การ

(2) ประเภทของกิจกรรม

(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

(4) ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ

POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 Marshall E. Dimock กล่าวไว้ว่า “องค์การคือการจัดระเบียบโดยการนําเอาส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมารวมกันในรูปของส่วนรวม เพื่อให้มีการ…. และเป็นศูนย์อํานวยการให้การดําเนินงานลุล่วง ตามเป้าหมายที่กําหนดไว้” ที่ว่างไว้คือ

(1) ใช้อํานาจบริหารงาน

(2) ประสานงานระหว่างกัน

(3) ดําเนินการวางแผน

(4) ตรวจสอบและติดตาม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 1 Marshall E. Dimock กล่าวไว้ว่า “องค์การคือการจัดระเบียบโดยการนําเอาส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมารวมกันในรูปของส่วนรวม เพื่อให้มีการใช้อํานาจบริหารงานและเป็นศูนย์อํานวยการให้การดําเนินงานลุล่วงตามเป้าหมายที่กําหนดไว้”

2 “องค์การ หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยในการบริหาร อันได้แก่ ทรัพยากรที่เป็นมนุษย์เงิน……. เพื่อให้เกิดการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจเอาไว้” ที่ว่างไว้คือ

(1) วัสดุสิ่งของ และเทคโนโลยี

(2) เครื่องจักร

(3) ที่ดิน สิ่งก่อสร้าง

(4) สภาพทางสังคม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 2 องค์การ หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยในการบริหาร อันได้แก่ทรัพยากรที่เป็นมนุษย์ เงิน วัสดุสิ่งของ และเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดการดําเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจเอาไว้”

3 เงื่อนไขที่จําเป็นของการเกิดองค์การ

(1) มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเข้ามาทํางานร่วมกัน

(2) มีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการทํางานร่วมกัน และ……….. ที่ว่างไว้คือ

(1) มีกิจกรรมร่วมกันทั้งในลักษณะที่เป็นทางการเละไม่เป็นทางการ

(2) มีรูปแบบของความสัมพันธ์ภายในอันเกิดจากการจัดสรรทรัพยากรในการบริหาร (3) มีการวางแผนในการดําเนินงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 2, (คําบรรยาย) เงื่อนไขที่จําเป็นของการเกิดองค์การ มีดังนี้

1 มีบุคคล (Man) ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเข้ามาทํางานร่วมกัน

2 มีวัตถุประสงค์ (Objectives) หรือเป้าหมาย (Goals) ในการทํางานร่วมกัน

3 มีกิจกรรรม (Activities) หรือปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ร่วมกัน ทั้งในลักษณะที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ

4 มีรูปแบบของความสัมพันธ์ภายใน (Relations) อันเกิดจากการจัดสรรทรัพยากรในการบริหาร

4 Peter F. Drucker พิจารณาการบริหารในเชิงพฤติกรรมไว้ว่า “การบริหารคือศิลปะในการทํางานให้บรรลุ เป้าหมาย……” ที่ว่างไว้คือ

(1) ทางสังคม

(2) อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) อย่างมีดุลยภาพ

(4) ร่วมบผู้อื่น

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 2 Peter F. Drucker พิจารณาการบริหารในเชิงพฤติกรรมไว้ว่า “การบริหารคือศิลปะในการทํางานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้อื่น”

5 ในการวิเคราะห์องค์การที่เรียกว่า SWOT Analysis ปัจจัยใดที่จัดเป็น Internal Factor

(1) Weaknesses

(2) Strengths

(3) Threats

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 220 การวิเคราะห์หรือศึกษาศักยภาพขององค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis จะประกอบด้วย

1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่  S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ และ W = Weaknesses คือ จุดอ่อนขององค์การ

2 การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่

O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ และ T = Threats คือ ภัยหรือภาวะคุกคามที่มีต่อองค์การ

6 หลักการที่สําคัญที่จะทําให้องค์กาเรทั้งหลายสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ในระยะยาว ประกอบด้วย

(1) การสร้างความเสมอภาคเท่าเทียม

(2) การสร้างความยุติธรรม และ

(3) … ที่ว่างไว้คือ

(1) การคํานึงถึงหลักประสิทธิภาพ

(2) การให้ความสําคัญแก่กระบวนการยุติธรรม

(3) การคํานึงถึงหลักประสิทธิผล

(4) การให้ความสําคัญแก่สิ่งแวดล้อม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การในการบริหารงานสาธารณะ ได้แก่

1 ประสิทธิภาพ (Efficiency)

2 ประสิทธิผล (Effectiveness)

3 การสร้างความเสมอภาคเท่าเทียม (Equality)

4 การสร้างความยุติธรรม (Equity)

5 การให้ความสําคัญ แก่สิ่งแวดล้อม (Ecology) ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่ 3, 4เละ 5 ถือเป็นตัวชี้วัดคุณภาพในระยะยาวของการบริหารงานสาธารณะและเป็นหลักการสําคัญที่จะทําให้องค์การทั้งหลายสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ในระยะยาว

7 Operation Research หมายถึง

(1) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกเว์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน

(3) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม

(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ

1 วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน

2 การวิจัยดําเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทํานายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทํางานในองค์การ

8 Feedback ในการดําเนินงานขององค์การ ได้แก่

(1) ความสําเร็จของงาน

(2) ความล้มเหลวของงาน

(3) วัตถุประสงค์ขององค์การ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 261, (คําบรรยาย) Feedback ในการดําเนินงานขององค์การ หมายถึง ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากการดําเนินงานขององค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความพึงพอใจ (Positive Feedback) เช่น คําชมเชยหรือคํายกย่อง ประสิทธิภาพที่ได้รับความสําเร็จของงาน เป็นต้น

2 ข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงความไม่พึงพอใจ (Negative Feedback) เช่น คําตําหนิ บัตรสนเท่ห์ ความล้มเหลวของงาน เป็นต้น

9 Homeostasis เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอะไร

(1) ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต

(2) ที่อยู่อาศัยขององค์การ

(3) สิ่งแวดล้อมขององค์การ

(4) ความสมดุลของระบบทางกายภาพ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 259 – 261, (คําบรรยาย) กลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis) ถือเป็นลักษณะความสมดุลของระบบทางชีวภาพ หรือเป็นวงจรที่แสดงความสมดุลอันเกิดจากภาวะ ตามธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ส่วนกลไกการควบคุมโดยพิจารณาจากทิศทางและความพอเพียง ของข้อมูลข่าวสาร (Cybernetics) นั้น ถือเป็นลักษณะความสมดุลของระบบทางกายภาพที่เกิดจากการควบคุมข่าวสารและทรัพยากรให้เกิดความพอเพียง

10 การจําแนกประเภทของระบบในทัศนะของ Kenneth Boulding ระดับที่เริ่มจัดเป็นระดับของ ระบบทางชีวภาพ ได้แก่ระดับใด

(1) ระดับที่ 4

(2) ระดับที่ 5

(3) ระดับที่ 6

(4) ระดับที่ 7

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 88 89 Kenneth Boulding จําแนกประเภทของระบบออกเป็น 9 ระดับโดยระดับที่ 1 – 3 เป็นระบบทางกายภาพ ระดับที่ 4 – 6 เป็นระบบทางชีวภาพหรือระบบของพฤติกรรมศาสตร์ และระดับที่ 7 – 9 เป็นระบบทางสังคม

11 องค์การเป็นระบบทางสังคมเพราะเหตุใด

(1) มีวัฒนธรรม

(2) มีโครงสร้างที่คงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

(3) มีสมดุลแบบที่เป็นแบบพลวัต

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 89, 98 – 107, คําบรรยาย) องค์การจัดว่าเป็นระบบทางสังคม เนื่องจากมีลักษณะทางธรรมชาติที่แตกต่างไปจากระบบทางกายภาพหรือระบบทางชีวภาพ ดังนี้

1 มีโครงสร้างที่ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์มากกว่าโครงสร้างคงที่

2 มีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับสภาพแวดล้อม หรือมีความสมดุลแบบพลวัต

(Dynamic Equilipriurn)

3 มีวัฒนธรรมอันเป็นความสามารถในการที่จะถ่ายทอดวิทยาการต่าง ๆ ขององค์การให้แก่คนรุ่นใหม่ ๆ ได้สืบทอดต่อไป ฯลฯ

12 เหตุผลของการเกิด Informal Organization ได้แก่

(1) เพื่อค้นหา One Best Way

(2) เป็นการใช้แนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์

(3) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 10 – 11, (คําบรรยาย) เหตุผลความจําเป็นหรือประโยชน์ของการเกิดองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) ได้แก่

1 เป็นการตอบสนองต่อความต้องการทางสังคม เช่น ใช้เป็นที่หางานอดิเรกทํา แสดงออกทางรสนิยม เป็นต้น

2 ช่วยสร้างความรู้สึกที่ได้เป็นเจ้าของขึ้น

3 ค้นหาบุคคลที่มีพร ติกรรมคล้ายตน หรือการหาเพื่อน

4 เป็นที่ระบายความรู้สึก

5 เป็นโอกาสในการแสดงอิทธิพล

6 เป็นโอกาสในการแสดงออกทางวัฒนธรรมประเพณี

7 เพิ่มช่องทางการไหลเวียนของข่าวสาร และเป็นแหล่งในการหาข้อมูลข่าวสารและการติดต่อ ส่วนตัวเลือก (1) – (3) เป็นเหตุผลของการเกิดองค์การที่เป็นทางการ (Format Organization)

13 “……. พยายามที่จะจํากัดขอบเขตของการศึกษาเพื่อให้อยู่ในขอบเขตที่จะสามารถใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ ” ที่กล่าวมาเป็นวิธีการของนักทฤษฎีองค์การกลุ่มใด

(1) Scientific Management

(2) Bureaucratic Model

(3) Action Theory

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย

1 นักทฤษฎีองค์การ กลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model)และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)

2 นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้เก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎีกลุ่มการวิจัยดําเนินงาน (Operation Research)

14 ทุกข้อเป็นเรื่องของ Format Organization Theory ที่ Weber นําเสนอ ยกเว้น

(1) job Satisfaction

(2) Job Description

(3) Positions and Authority

(4) Hierarchy of Command

(5) Rules

ตอบ 1 หน้า 44 – 47, 139, 189, (คําบรรยาย) รูปแบบของระบบราชการ (Bureaucratic Model) หรือองค์ประกอบของโครงสร้างองค์กรที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy Theory) หรือทฤษฎีองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization Theory) หรือทฤษฎี องค์การรูปสามเหลี่ยมพีระมิดของ M.1x Weber นั้น จะประกอบด้วย

1 การกําหนดสายการบังคับบัญชา (Hierarchy, Chain of Command หรือ Line of Authority)

2 การกําหนดตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority)

3 การกําหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน (Rules and Regulations) 4 การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เช่น การแบ่งงานออกเป็นแผนกงานต่าง ๆ

5 การจัดทําคู่มือการทํางาน และคําบรรยายลักษณะงาน (Job Description)

6 การกําหนดเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

7 การคัดเลือกและเพื่อนขั้นโดยอาศัยหลักความสามารถตามระบบคุณธรรม (Merit on Selection and Fromotion)

8 ควรมีระบบความสัมพันธ์ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Relationship) ตามสายการบังคับบัญชาและอํานาจหน้าที่ หรือตามแนวตั้ง ฯลฯ ซึ่งรูปเเบบดังกล่าวทําให้เกิดการแยกการเมืองออกจากการบริหาร และระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

15 Gantt (Chart เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับด้านใดมากที่สุด

(1) การวางแผน

(2) การจัดรูปงาน

(3) การบริหารงานบุคคล

(4) การกําหนดนโยบาย

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 42, (คําบรรยาย) Henry L. (Gantt เป็นผู้ริเริ่มเสนอให้เกิดการทํางานเป็นกิจวัตรโดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทํางาน หรือแผนกํากับหรือติดตาม ความก้าวหน้าของงาน โดยการทําตารางเวลากําหนดว่างานหรือกิจกรรมใดควรเริ่มเวลาใด วันใด และสิ้นสุดเมื่อใด ดังนั้นแนวความคิดดังกล่าวจึงนับเป็นจุดเริ่มต้นประการหนึ่งของวิชาการวางแผน

16 สิ่งที่ทําให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป ทั้ง ๆ ที่ต่างได้รับการคัดเลือกเข้าทํางาน โดยใช้ข้อสอบเดียวกัน ได้แก่

(1) บุคลิกภาพ

(2) ทัศนคติ

(3) ความรู้ความสามารถ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 73 สิ่งที่ทําให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป ทั้ง ๆ ที่ต่างได้รับการคัดเลือกเข้าทํางานโดยใช้ข้อสอบเดียวกัน ได้แก่

1 บุคลิกภาพ (Personality)

2 การรับรู้หรือจิตภาพ (Perception)

3 ทัศนคติ (Attitude)

4 ความต้องการของบุคคล (Needs)

17 ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการในการควบคุมองค์การ ได้แก่

(1) การกําหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานในการดาเนินงาน

(2) การดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมาย

(3) การเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐาน

(4) การกําหนดเป้าหมาย

(5) การกําหนดนโยบายที่จําเป็น

ตอบ 2 หน้า 262 กระบวนการในการควบคุมองค์การ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ

1 การกําหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดําเนินงาน

2 การกําหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสําเร็จของงาน

3 การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้

4 การดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้

18 การที่บุคคลทุกคนภายในองค์การจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว เป็นหลักในเรื่องใด

(1) หลักของกฏและระเบียบ

(2) หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา

(3) หลักการแบ่งแยกหน้าที่กันทํางาน

(4) หลักการรวมอํานาจที่เหมาะสม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 50 – 51, 58, 1:36 – 187 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง หลักการที่กําหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทํางานในองค์การเดียวและจะต้องรับคําสั่งและรับผิดชอบต่อ ผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือมีนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารที่ต้อง ระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าสั่งงานโดยตรง ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงานซ้ําซ้อนหรือเกิดความยุ่งยาก ในการทํางาน ตลอดวนการบอกปัดความรับผิดชอบ ส่วนข้อเสีย คือ ทําให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทํางานต่ำ

19 ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X จะต้องใช้การบริหารแบบใด

(1) Management by Rules

(2) Management by Procedure

(3) Participative Management

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2 (5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 77 – 78, (คําบระยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X (มนุษย์ไม่ชอบการทํางานและพยายามหลีกเลี่ยงงานเมื่อมีโอกาส) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังต่อไปนี้เพื่อแก้ไข พฤติกรรมที่บกพร่อง

1 การบริหารแบบเผด็จการ

2 การบริหารโดยยึดกฎระเบียบ (Management by Rules) คือ การใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด หรือใช้กฎระเบียบที่ได้มาตรฐาน

3 การบริหารโดยยึดกระบวนการ (Management by Procedure)

4 การบริหารแบบองค์การแบบเครื่องจักรกล (Mechanistic Organization)

5 การบริหารงานในลักษณะของพวกคลาสสิก เช่น ตัวแบบระบบราชการ (Bureaucracy หรือ Bureaucratic Model) การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ฯลฯ

20 “Activity, Interaction และ Sentiment” ทั้งสามประการข้างต้นเป็นหลักที่ Homans เสนอให้ใช้ในการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การติดต่อสื่อสารในองค์การ

(2) พฤติกรรมขององค์การที่มีผลต่อประสิทธิภาพ

(3) พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลในกลุ่มสังคม

(4) การวางแผนองค์การ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 19 – 30 Homans เสนอว่า การศึกษาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลในกลุ่มสังคม(Social Groups) จะต้องพิจารณาคุณลักษณะของปัจเจกบุคคลในการดําเนินชีวิต 3 ประการด้วยกัน คือ

1 การกระทําของเขาในสังคม (Activity)

2 ความสัมพันธ์อันเกิดจากการกระทําของเขา (Interaction)

3 ความคิดเห็นส่วนต์วหรือสภาพทางอารมณ์และจิตใจของตัวเอง (Sentiment)

21 ประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ

(1) ช่วยสร้างความร่วมมือ

(2) แก้ปัญหาข้อขัดแย้ง

(3) เกิดความรวดเร็วในการตัดสินใจ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 63 ประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ (Committees) ได้แก่

1 ช่วยแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ

2 ช่วยสร้างความร่วมมือ หรือเพิ่มการมีส่วนร่วม

3 ทําให้เกิดการประสานงานที่ดี

4 ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว

22 “วิธีการใด ๆ ที่จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิด ความเห็น หรือประสบการณ์ของบุคคลขึ้นได้” ที่กล่าวมาเป็นนิยามของเรื่องใด

(1) การจูงใจ

(2) การวางแผน

(3) การตัดสินใจ

(4) การสื่อควกมเข้าใจ

(5) การควบคุม

ตอบ 4 หน้า 243 การสือข้อความหรือการสื่อความเข้าใจ (Communication) หมายถึง ตัวเชื่อมโยงที่จะทําให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล โดยอาจเป็นไปในรูปของคําพูด จดหมาย หรือวิธีการอื่นใดซึ่งจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเห็น หรือประสบการณ์ของบุคคลขึ้นได้

23 “ความพยายามที่จะปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาได้รู้ถึงปริมาณงานแท้จริงที่จะต้องทํา” จัดเป็นการหลีกเลี่ยงงาน โดยอาศัยระบบ ที่นําเสนอโดย

(1) Urwick

(2) Taylor

(3) Cooke

(4) Gilbreths

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 41, (คําบรรยาย) พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนึ่งานโดยอาศัยระบบตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงานในองค์การเป็นเครื่องมือ เพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตน โดยพยายามทําให้เห็นว่าตนเองมีงานล้นมืออยู่แล้ว หรือพยายามทํางานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์หรือมาตรฐานขั้นต่ำของงาน โดยไม่ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทํางาน เท่าที่ระเบียบกําหนด หรือทํางานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิดระเบียบ ไม่ตกมาตรฐานขององค์การ เช่นการส่งใบลากิจในวันที่องค์การมีภารกิจมาก การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น

24 “ความต้องการที่สามารถบรรลุได้ด้วยเวลาอันสั้น และความต้องการในแต่ละด้านต้องเป็นอิสระต่อกันไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงซึ่งกันและกัน” ที่กล่าวมาเป็นลักษณะความต้องการแบบใดของ Maslow

(1) สังคม

(2) การเป็นที่ยอมรับ

(3) ความปลอดภัย

(4) กายภาพ

(5) อุดมคติของตนเอง ตอบ 4 หน้า 75 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) ตามแนวคิดของ A.H. Maslow

เป็นความต้องการขั้นต่ําสุดของมนุษย์ ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในการดําเนินชีวิตของมนุษย์ ที่สามารถบรรลุได้ด้วยเวลาอันสั้น และความต้องการในแต่ละด้านต้องเป็นอิสระต่อกัน ไม่มี ความสัมพันธ์โดยตรงซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังถือเป็นความต้องการที่ขาดไม่ได้ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ความต้องการที่จะได้รับอาหาร การพักผ่อน อากาศ การออกกําลังกาย เป็นต้น

25 ถ้าผู้บริหารมีสมมติฐานว่า “มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” การขาดความรับผิดชอบในการทํางานของมนุษย์ เป็นเพราะ

(1) ระเบียบในการทํางานไม่รัดกุมเพียงพอ

(2) ผู้บริหารไม่กํากับดูแล

(3) มนุษย์ขาดโอกาสในการเรียนรู้

(4) ทั้งข้อ 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 91) Knowles and Saxberg เสนอว่า ถ้าเรามีสมมุติฐานว่า“มนุษย์มีความดีมาโดยกําเนิด” เราสามารถทํานายได้เลยว่าพฤติกรรมที่บกพร่องที่เขาแสดงออกมา ย่อมเป็นผลมาจากกระบวนการอบรมเลี้ยงดูและประสบการณ์ในอดีตของเขา เช่น ความต้องการ ภายในไม่ได้รับการบําบัด ขาดเสรีภาพ ขาดโอกาสในการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งเราอาจแก้ไขโดยใช้การอบรมและพัฒนา ใช้กลุ่มช่วยแก้ปัญหา หรือใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วมก็ได้

26 ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่บ่งชี้ถึง Effectiveness ในการทํางาน

(1) เวลา

(2) ทรัพยากรที่ใช้

(3) แผนที่วางไว้

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คําบรรยาย) ประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆจะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมาย หรือจุดประสงค์ที่กําหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการที่ได้วางเอาไว้ ส่วนประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือ ผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ ใช้ในการบริหาร ดังนั้นหากองค์การใดสามารถดําเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กําหนดไว้ได้ ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิภาพ

27 ใครที่เสนอเรื่อง “การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา มาคัดเลือกคนเข้าทํางาน”

(1) Taylor

(2) Cooke

(3) Weber

(4) McGregor

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ : หน้า 87 – 68, (คําบรรยาย) Hugo Munsterberg เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิกที่เสนอให้มีการนําเอา แบบทดสอบทางจิตวิทยาเข้ามาช่วยคัดเลือกคนเข้าทํางานในตําแหน่ง ต่าง ๆ ขององค์การ โดยเห็นว่า การคัดเลือกคนหรือการกําหนดคนให้เหมาะสมกับงานนั้นไม่ควรพิจารณาเฉพาะความรู้ความสามารถของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาที บุคลิกภาพหรือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลให้เหมาะสมกับลักษณะของงานด้วย จึงจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพ

28 Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารระดับสูงใช้เวลาของตนให้กับภารกิจที่เป็น Internal Management คิดเป็นร้อยละเท่าไรของเวลาทั้งหมด

(1) 10 – 20

(2) 25 – 30

(3) 45 – 50

(4) 65 – 70

(5) 85 – 90

ตอบ 1 หน้า 14, (คําบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับภารกิจ 2 ลักษณะ คือ

1 Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียง ร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่

2 External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลาทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและกรองข้อมูลข่าวสารหรือการแสวงหาข้อมุลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด

29 การแบ่งประเภทขององค์การ โดย “พิจารณาที่สรภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายใน”จัดเป็นการแบ่งประเภทขององค์การโดยยึดเกณฑ์แบบใด

(1) วัตถุประสงค์ในการดําเนินงาน

(2) กําเนิดขององค์การ

(3) หน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร

(4) โครงสร้างขององค์การ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 2, (คําบรรยาย) การแบ่งประเภทขององค์การโดยพิจารณาจากโครงสร้างขององค์การเป็นการพิจารณาที่สนาาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การรูปนัย (Format Organization)

2 องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)

30 “สภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนยุ่งยาก…….ผลของการติดต่อเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ ขึ้นได้” เรียกว่า

(1) Placid Clustered Environment

(2) Placid Randomized Environment

(3) Disturbed-Reactive Environment

(4) Turbulent Field

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 18, (คําบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ

1 Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทําให้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น

2 Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบ แต่เริ่มมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น

3 Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของการติดต่อ เป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น

4 Turbulent Fielc เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

  1. “….ระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell

(1) Political Environment

(2) Primary Environment

(3) Secondary Environment

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทําหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐ กับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell

32 Herbert Kaufman ได้ศึกษาบทบาทของผู้บริหารและชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารมีกิจกรรมที่สําคัญอยู่ 4 ประการได้แก่ (1) …………. (2) การรับและกรองข้อมูลข่าวสาร

(3) การเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับ หน่วยงานอื่น ๆ และ

(4) การจูงจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่ ที่ว่างไว้คือ

(1) Policy Making

(2) Planning

(3) Decision Making

(4) Organizing

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 14 Herbert Kaufman ได้ศึกษาบทบาทของผู้บริหาร และชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารมีกิจกรรมที่สําคัญอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1 การวินิจฉัยสังการหรือการตัดสินใจ (Decision Making)

2 การรับและกรองข้อมูลข่าวสารหรียการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคม

3 การเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ

4 การจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดําเนินงานตามภาระหน้าที่

33 Secondary Environment หรือ External Environment ที่ Barton และ Chappell แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง

(1) เศรษฐกิจ สังคม การเมือง

(2) สังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ

(3) การเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี

(4) การเมือง สังคม เทคโนโลยี

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 14 – 17. Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ

1 สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี

2 สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

34 Chester I. Barnard เขียนหนังสือชื่อ

(1) Psychology and Industrial Efficiency

(2) Principles of Scientific Management

(3) The Human Problems of Industrial Civilization

(4) The Functions of the Executive

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 71 – 72 Chester I. Barnard ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์การไว้ในหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” ดังนี้

1 องค์การเป็นระบบของความร่วมมือระหว่างบุคคลที่จะต้องร่วมกันดําเนินภารกิจ ให้เกิดการทํางานร่วมกันอย่างมีดุลยภาพ

2 อํานาจหน้าที่ควรกําหนดในรูปของ ความรับผิดชอบของใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่เป็นการกําหนดตายตัวจากบนลงล่าง

3 นําบทบาทขององค์การอรูปนัยหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การ และการบริหารองค์การ

4 บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจและกระตุ้น ให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายามในการทํางานอย่างเต็มที่

5 ผลตอบแทนทางวัตถุไม่ใช่สิ่ง ๆ เดียวที่สําคัญยิ่งในการจูงใจหรือเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ ฯลฯ

35 สิ่งที่ ดร.ชุน กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่

(1) การควบคุมงาน

(2) การประเมินผลงาน

(3) การกําหนดอํานาจหน้าที่

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 60 – 62 ดร.ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSUCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ P = Policy (การกําหนดนโยบาย) หมายถึง แนวทางเบื้องต้นที่จะใช้ในการบริหารงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ และ A = Authority (การกําหนดอํานาจหน้าที่) เป็นอํานาจที่มาจากตําแหน่งที่กําหนดไว้ในองค์กร

36 หน่วยงานใดที่จัดเป็น หน่วยสนับสนุน (Staff Agency)

(1) หน่วยการเจ้าหน้าที่

(2) หน่วยพัสดุ

(3) หน่วยอาคารสถานที่

(4) ทั้งข้อ 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า : 98 หน่วยงานที่ปรึกษา (Staff Agency/Staff Officer) หรือหน่วยงานสนับสนุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 หน่วยงานที่ปรึกษาทางด้านวิชาการ (Technical Staff) เช่น กองวิชาการในกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงอื่น ๆ เป็นต้น

2 หน่วยงานที่ปรึกษา ทางด้านบริการ (Service Staff) เช่น หน่วยงานทางด้านการบริหารงานบุคคลหรือหน่วยงานการเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเงิน ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

37 “แผนที่เชื่อมโยงกัน มีการใช้ต่อเนื่องกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในระยะยาว” เรียกว่า

(1) Single-Use Plan

(2) Master Plan

(3) Standing Plan

(4) Operational Plan

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 220 แผนหลัก ขององค์การ (Standing Plan) หรือโครงสร้างแผนงานขององค์การ(Program Structures) หมายถึง แผนที่เชื่อมโยงกัน มีการใช้ต่อเนื่องกันเพื่อให้บรรลวัตถุประสงค์ในระยะยาว

38 การทดลองที่ฮอร์บอร์น พบว่า

(1) สภาพแวดล้อมทางกายภาพมีอิทธิพลโดยตรงต่อผลิตภาพในการทํางาน

(2) ความเข้มของแสงสว่างมีอิทธิพลอย่างมากต่อเลิตภาพในการทํางาน

(3) ระบบค่าจ้างต่อชิ้นมีอิทธิพลต่อผู้ปฏิบัติงาน

(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 68 – 71 การทดลองที่ฮอร์ทอร์น (Hawthorne Experiments) ของ Elton Mayo พบว่า

1 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ความเข้มของแสงสว่าง ไม่ได้มีอิทธิพลหรือมีความสัมพันธ์ โดยตรงกับผลิตภาพในการทํางาน

2 ระบบการจูงใจโดยให้ผลตอบแทนต่อชิ้นมีอิทธิพลต่อ การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพในการทํางานของกลุ่มน้อยกว่าความกดดัน การยอมรับ และสวัสดิการ ที่กลุ่มจะพึงได้รับ

3 ความสัมพันธ์ระหว่างกลมกับสมาชิกในกลุ่ม โดยกลุ่มจะมีอิทธิพล อย่างมากต่อผลิตภาพในการทํางานของสมาชิกในกลุ่ม

39 Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน Ideal Bureaucracy เป็น

(1) Management by Objectives

(2) Flexible Adhocracies

(3) Action Theory

(4) Industrial Humanism

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 72, (คําบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy” (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การ ที่มีลักษณะดังนี้

1 มีการจัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การ ที่เน้นการทํางานแบบเฉพาะกิจ

2 เน้นการกระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย

3 มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น

4 เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญ มากกว่าการใช้อํานาจหน้าที่ (Authority)

5 เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ

40 ข้อใดเป็นทัศนะของ Barnard

(1) นําบทบาทขององค์การรูปนัยเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การ

(2) ไม่ควรกําหนดอํานาจหน้าที่ไม่ตายตัวจากบนลงมาล่าง

(3) ผลตอบแทนทางวัตถุไม่ใช่สิ่ง ๆ เดียวที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 34 บระกอบ

41 ใครที่เชื่อว่า บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจ และกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายาม ในการทํางานอย่างเต็มที่

(1) Weber

(2) Barnard

(3) Si non

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34 ประกอบ

42 ใครที่เสนอให้ โครงสร้างองค์การมีลักษณะ “กระจายอํานาจและเป็นแบบประชาธิปไตย มีการจัดรูปในลักษณะที่ยืดหยุ่นได้ การใช้อํานาจหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นการใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญ”

(1) Warren Bennis

(2) Max Weber

(3) Hugo Munsterberg

(4) Elton Mayo

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39 ประกอบ

43 ใครที่เชื่อว่า อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง

(1) Fayol

(2) Weber

(3) Bernard

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 37 – 39, 40 – 45, 57 – 60, (คําบรรยาย) นักวิชาการในกลุ่มคลาสสิก เช่น Frederick W. Taylor, Henri Fayol และ Max Weber มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ เช่น มีวิธีที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานเพียงวิธีเดียว (One Best Way) ที่จะทําให้การบริหาร เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อํานาจหน้าที่ควรกําหนดตายตัวจากบนลงมาล่าง ประสิทธิภาพสูงสุดในการทํางานเกิดจากการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน เป็นต้น

44 Situational Approach ปฏิเสธหลักการในเรื่องใด

(1) One Best Way

(2) การใช้ทฤษฎีระบบ

(3) Contingency Theory

(4) The Social Psychology of Organizations

(5) มององค์การแบบ Organic Structure

ตอบ 1 หน้า 110 – 111, คําบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้ มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสําคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้เงื่อนไขของ : สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สามารถ เปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของ นักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบที่เหมาะสมสําหรับองค์การทุก ๆประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทําให้การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

45 ตามทฤษฎีของ Herzberg ข้อใดที่มีระดับของ Motivator Factors ต่ำที่สุด

(1) เงินเดือน

(2) ลักษณะของงาน

(3) ความรับผิดชอบ

(4) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน

(5) การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน

ตอบ 2 หน้า 81 – 82, (คําบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานได้ 2 ประการ คือ

1 ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทํางาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจ ให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสําเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน

2 ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ำจุนให้คนยินยอมทํางาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะ สร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทําให้พนักงานไม่ยอมทํางาน ซึ่งเรียงลําดับจากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทํางาน

46 ตามทฤษฎีของ Herzberg ข้อใดที่มีระดับของ Hygiene Factors สูงที่สุด

(1) เทคนิคและการควบคุมงาน

(2) สภาพการทํางาน

(3) นโยบายและการบริหาร

(4) ความก้าวหน้าในการงาน

(5) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45 ประกอบ

47 นักวิชาการกลุ่มใดที่มองการบริหารว่า “เป็นสิ่งไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน”

(1) A Systems Approach

(2) Industrial Humanism

(3) Contingency Theory

(4) Quantitative Science

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 44 ประกอบ

48 fluid Structure จะทําให้ความสัมพันธ์ในองค์การเป็นแบบใดเป็นส่วนใหญ่ (1) ตามแนวดิ่ง

(2) ตามแนวราบ

(3) เน้นการใช้อํานาจหน้าที่

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 45 – 47, 111 – 112, (คําบรรยาย) จากแนวคิดของ Contingency Theory นั้น Burn และ Stalker สรุปว่า

1 Mechanistic Organization เป็นองค์การแบบเก่าหรือองค์การ ที่เป็นทางการ (Format Organization) หรือองค์การตามรูปแบบระบบราชการ (Bureaucratic Model) ที่เน้นโครงสร้างและความสัมพันธ์ตามแนวดิ่ง เช่น เน้นตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ (Positions and Authority) รวมทั้งมีความเป็นทางการสูง และเน้นการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีสภาพแวดล้อมคงที่ (Static) เช่น หน่วยราชการทุกรูปแบบ

2 Organic Organization หรือที่ Warren Bennis เรียกว่า Adhocracy เป็นโครงสร้าง แบบหลวม (Fluid Structure) ที่เน้นการกระจายอํานาจ ความสัมพันธ์ตามแนวราบ/แนวนอน และการใช้ความรู้มากกว่าอํานาจหน้าที่ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง นอกจากนี้ Woodward ยังได้สรุปอีกว่า หน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและใช้เครื่องจักร เช่น โรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีโครงสร้างแบบ Mechanistic Structure ส่วนหน่วยผลิต ขนาดเล็ก เช่น องค์การผลิตสินค้าหัตถกรรม และที่ผลิตเป็นกระบวนการหรือมีระบบการผลิตหลายขั้นตอน จะต้องมีโครงสร้างแบบ Organic Structure

49 Political Nature of Organization เป็นแนวคิดแบบใด

(1) A Systems Approach

(2) Contingency Theory

(3) The Action Approach

(4) Formal Organization Theory

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 112 – 113, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการกระทํา (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริง หรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้ จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทําความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

50 แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นําไปสู่เป้าหมาย”

(1) Scientific Management

(2) Bureaucratic Model

(3) Industrial Humanism

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 112 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอํานาจ ที่ต่างเข้ามาทํางานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอํานาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การ เป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการ และความสนใจของผู้มีอํานาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสําคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”

  1. “ให้ความสนใจที่การเมืองและอํานาจเพื่อควบคุมองค์การ……. ” ที่กล่าวมาจัดเป็นรูปแบบที่เท่าไร ตามพัฒนาการของทฤษฎีองค์การของ Stephen P. Robbins

(1) รูปแบบที่ 1

(2) รูปแบบที่ 2

(3) รูปแบบที่ 3

(4) รูปแบบที่ 4

(5) รูปแบบที่ 5

ตอบ 4

52 ตามทัศนะของ Stephen P. Robbins ทฤษฎีองค์การในช่วง ค.ศ. 1960 – 1975 เป็นยุคของ ทฤษฎีองค์การกลุ่มใด

(1) Industrial Humanism

(2) Contingency Theory

(3) The Action Approach

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2

53 ในระบบคุณธรรม (Merit System) “การกําหนดอนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่

(1) ความรู้ความสามารถ

(2) การเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน

(3) บุคลึกภาพ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 1 (คําบรรยาย) นักทร ษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Henri Fayol ได้เสนอหลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตําแหน่งต่าง ๆ หรือการกําหนดคนให้เหมาะสม กับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job” ในระบบคุณธรรม (Merit System)โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก

54 ข้อใดเป็นผลการศึกษาที่สําคัญที่สุดของ Elton Mayo

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

(2) ความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทํางานกับทรัพยากรนําเข้า

(3) ผลทางลบที่เกิดเนื่องมาจากความไม่เอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา

(4) ผลทางบวกที่เกิดเนื่องจากการที่กลุ่มต่างไม่ยอมแพ้กันและกัน

(5) เงินเป็นแรงจูงใจในการเพิ่มผลิตภาพ

ตอบ 4 หน้า 68 – 70, (คําบรยาย) George Elton Mayo ได้ทําการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งพบผลการทดลองที่สําคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่ถูกเฝ้าดู ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไม่ยอมแพ้กันและกันขยันทํางานจนมีผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่มโดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึง ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่มากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง

55 ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่

(1) ความต้องการที่จะอยู่รอด

(2) เสถียรภาพคงที่ของระบบ

(3) การคิดล่วงหน้า

(4) บริบทที่ยืดหยุ่น

(5) สมดุลที่เป็นพลวัต

ตอบ 2 หน้า 25 – 29, (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด ได้แก่

1 เสถียรภาพคงที่ของระบบหรือสมดุลแบบสถิต

2 การแบ่งงานโดยเน้นความชํานาญเฉพาะด้าน

3 การคํานึงถึงสายการบังคับบัญชา กฎ และระเบียบ

4 การมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด

5 การกําหนดมาตรฐานของงาน

6 ความเชื่อในหลัก One Best Way ฯลฯ

56 ทุกข้อเป็น “Motivator Factors” ตามทฤษฎีของ Herzberg ยกเว้น

(1) เงินเดือน

(2) ความสําเร็จในหน้าที่การงาน

(3) การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน

(4) ลักษณะของงาน

(5) ความรับผิดชอบ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 45 ประกอบ

57 ข้อใดเป็น “ปัจจัยค้ําจุน” ตามทฤษฎีของ Herzberg

(1) เทคนิคและการควบคุมงาน

(2) สภาพการทํางาน

(3) ความก้าวหน้าในการงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 45 ประกอบ

58 Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมว่าเป็น (1) Political Environment

(2) Primary Environment

(3) Inner Environment

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 33 ประกอบ

59 ข้อใดที่จัดเป็นสภาพแวดล้อมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับสภาพแวดล้อมทาเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม ทางสังคมที่ Barton และ Chappell นําเสนอไว้

(1) การเมือง

(2) เทคโนโลยี

(3) สื่อมวลชน

(4) สาธารณชนทั่วไป

(5) ฝ่ายนิติบัญญัติ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 33 ประกอบ

60 ตัว T ใน SWOT Analysis หมายถึง

(1) ความเข้มแข็งขององค์การ

(2) โอกาสขององค์การ

(3) ภัยจากปัจจัยภายนอก

(4) ระบบงานขององค์การ

(5) จุดอ่อนขององค์การ

ตอบ 3 หน้า 220 การวิเคราะห์หรือศึกษาศักยภาพขององค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis จะประกอบด้วย

1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่

S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ และ

W = Weaknesses คือ จุดอ่อนขององค์การ

2 การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่

O = opportunities คือ โอกาสขององค์การ และ T = Threats คือ ภัยหรือภาวะคุกคามที่มีต่อองค์การ

61 กรณีใดที่เรียกว่าเป็นการศึกษาการตัดสินใจเชิงพรรณนา

(1) การศึกษารูปแบบการตัดสินใจที่ควรจะเป็น

(2) การศึกษากระบวนการการตัดสินใจที่ควรจะเป็น

(3) การศึกษาคุณสมบัติผู้นําที่ประสบความสําเร็จ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 234 235, (คําบรรยาย) รูปแบบของการศึกษาการตัดสินใจในองค์การ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1 การศึกษาการตัดสินใจเชิงพรรณนา (Descriptions of Behavior) เป็นการศึกษาการตัดสินใจจากสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นหรือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เช่น ศึกษาว่าการตัดสินใจ รูปแบบใดที่ได้เคยกระทําขึ้นในองค์การ ผลการตัดสินใจในอดีตเป็นอย่างไร อะไรคือลักษณะที่ สําคัญของผู้ที่ทําการตัดสินใจในองค์การ การตัดสินใจที่ผ่านมามีกระบวนการอย่างไร คุณสมบัติใด ของผู้นําที่ทําให้การตัดสินใจประสบความสําเร็จ เป็นต้น

2 การศึกษาการตัดสินใจเชิงปทัสถาน หรือโดยการให้ข้อเสนอแนะ (Normative Model Building หรือ Normative Approach) เป็นการศึกษาการตัดสินใจโดยการพยายามสร้างรูปแบบของการตัดสินใจที่ควรจะเป็น เช่น ศึกษาว่า สิ่งใดเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมและดีที่สุด การปรับปรุงการตัดสินใจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทําได้อย่างไร ผู้ที่ทําการตัดสินใจที่ดีควรมีพฤติกรรมอย่างไร กระบวนการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นอย่างไร เป็นต้น

62 ข้อใดที่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง

(1) Division of work – ขยายความสามารถของมนุษย์

(2) Gantt Chart – การทํางานที่เป็นกิจวัตร

(3) Motivator Factors – ค้ำจุนให้ยอมทํางาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 189 – 191, (PS 252 เลขพิมพ์ 30270 หน้า 19 – 20) การแบ่งงานกันทําตามความชํานาญ

เฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) มีประโยชน์ดังนี้

1 เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยายความสามารถของมนุษย์ หรือช่วยเพิ่มความสามารถ ในการทํางานขององค์การ

2 ทําให้เกิดระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (Exchange)

3 ทําให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการทํางาน

4 ช่วยแก้ปัญหาการทํางานซ้ำซ้อนและการเหลื่อมล้ำในการทํางานในหน้าที่ (ดูคําอธิบายข้อ 15 และ 45 ประกอบ)

63 “ระบบค่าจ้างต่อชิ้น” เป็นสิ่งจูงใจที่ริเริ่มนําเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด

(1) นักบริหารเชิงปริมาณ

(2) นักทฤษฎีการบริหาร

(3) นักทฤษฎีระบบราชการ

(4) กลุ่มนีโอคลาสสิก

(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์

ตอบ 5 หน้า 38 – 42, (คําบรรยาย) Frederick W. Taylor เป็นนักวิชาการกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีแนวคิดและผลงานที่สําคัญดังนี้

1 เป็นผู้สร้างทฤษฎีการจัดการโดยอาศัย หลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)

2 ริเริ่มแนวคิดการบริหารที่ คํานึงถึงผลิตภาพหรียประสิทธิภาพ (Efficiency) ในการปฏิบัติงานขององค์การเป็นหลัก

3 เสนอให้ใช้ระบบค่าจ้างต่อชิ้น (Piece Rate System) ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจภายนอกที่จะทําให้มนุษย์ทํางานมากยิ่งขึ้น

4 เสนอให้มีผู้เชี่ยวชาญงานพิเศษ (Functional Foremen) เพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบงานและเร่งรัดประสิทธิภาพของงานในขั้นตอนต่าง ๆ

64 Management Science หมายถึง

(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม

(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนําไปใช้ในการบริหารงาน

(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทํานายพฤติกรรมการทํางานในองค์การ (4) ทั้งขอ 1, 2 และ 3

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 7 ประกอบ

65 Line Officer คือ

(1) พนักงานที่มีอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการในตําแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ

(2) พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ขององค์การ

(3) พนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในงานเป็นพิเศษ

(4) นักวิเคราะห์แผน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 62 – 63, (คําบรรยาย) นักทฤษฎีการบริหารได้แบ่งประเภทของผู้ปฏิบัติงานออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 พนักงานปฏิบัติการ (Line Officer) คือ พนักงานที่มี อํานาจหน้าที่ในการสั่งการบังคับบัญชาและปฏิบัติหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ขององค์การ

2 พนักงานที่ปรึกษา (Staff Officer) คือ พนักงานที่ทําหน้าที่ช่วยสนับสนุนฝ่ายงานหลัก หรือเป็นผู้ให้คําแนะนำ ให้ข้อมูล และคอยช่วยเหลือพนักงานปฏิบัติการให้ทํางานได้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพนักงานที่ปรึกษาจึงมีส่วนสําคัญในการช่วยให้องค์การสามารถดําเนินงานไปได้จนบรรลุเป้าหมายขององค์การ

66 Natural System) Model เป็นวิธีการศึกษาของ…….

(1) Scientific Management

(2) Bureaucratic Model

(3) Quantitative Science

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 26 – 27, (คําบรรยาย) ตัวแบบระบบตามธรรมชาติ (Natural System Model) เป็นวิธิการศึกษาของกลุ่ม นักทฤษฎีหรือนักวิชาการที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ซึ่งได้แก่

1 กลุ่ม Behavioral Science

2 กลุ่ม A Systems Approach

3 กลุ่ม Contingency Theory หรือ Situational Approach

4 กลุ่ม The Action Theory หรือ The Action Approach

67 Unity of Command หมายถึง

(1) หล้าการที่ให้องค์การหนึ่ง ๆ ต้องมีวัตถุประสงค์หลักเพียงอย่างเดียว

(2) หลักการที่กําหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทํางานในองค์การเดียว

(3) หลักการที่ทุกแผนกงานต้องมีการสร้างทีมงาน

(4) หลักการที่กําหนดให้ทุก ๆ ตําแหน่งต้องมีคู่มียทํางาน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18 ประกอบ

68 วัตถุประสงค์ขององค์การมีลักษณะเป็นเช่นไร

(1) คือเป้าหมายปลายทางขององค์การ

(2) คือจุดหมายปลายทางขององค์การ

(3) คือจุดอ้างอิงถึงในการพยายามดําเนินงานขององค์การ

(4) คือความจําเป็นเบื้องแรกขององค์การเพื่อใช้ในการกําหนดนโยบาย ระเบียบในการทํางาน เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนกฎข้อบังคับต่าง ๆ ให้ได้ผล

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 129 130, (คําบรรยาย) วัตถุประสงค์ขององค์การ มีลักษณะดังนี้

1 คือ จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายปลายทางขององค์การ

2 คือ จุดอ้างอิงถึงในการพยายามดําเนินงานขององค์การ

3 คือ สิ่งจําเป็นสําหรับความพยายามในการทํางานร่วมกันในองค์การ

4 คือ ความจําเป็นเบื้องแรกขององค์การเพื่อใช้ในการกําหนดนโยบาย มาตรการการดําเนินงานระเบียบในการทํางาน เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนกฎข้อบังคับต่าง ๆ ให้ได้ผล

5 จะต้องกําหนดไว้ในเบื้องต้นเมื่อกําเนิดองค์การ ต้องแน่นอนและชัดแจ้งเสมอ รวมทั้งสามารถที่จะพัฒนา ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้เสมอตลอดอายุขัยขององค์การ ฯลฯ

69 การจัดองค์การที่ถูกต้องเหมาะสมจะเกิดประโยชน์อย่างไร

(1) ช่วยให้การบริหารงานบรรลุเป้าหมาย

(2) ช่วยให้การบริหารเป็นไปโดยสะดวกและง่ายขึ้น

(3) ช่วยแก้ปัญหางานซ้ำซ้อน

(4) ช่วยแก้ไขงานคั่งค้าง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 126, (คําบรรยาย) การจัดองค์การที่ถูกต้องเหมาะสมจะเกิดประโยชน์ ดังนี้

1 ช่วยให้การบริหารงานต่าง ๆ บรรลุเป้าหมาย เป็นไปโดยสะดวกและง่ายขึ้น

2 ช่วยแก้ปัญหางานคั่งค้าง ณ จุดใดโดยไม่จําเป็น

3 ช่วยแก้ปัญหาการทํางานซ้ําซ้อน

4 ช่วยให้เกิดความสะดวกในการควบคุมและติดตามงานให้เกิดประสิทธิภาพ

70 วัตถุประสงค์ขององค์การต้องจัดอย่างไรจึงมีลักษณะที่เหมาะสม

(1) ต้องมีลักษณะที่แน่นอนและจัดแจ้งเสมอ

(2) ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดอายุองค์การ

(3) วัตถุประสงค์ของสมาชิกและขององค์การจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Identical) เสมอ

(4) หากจะเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ขององค์การ จะต้องล้มหรือยกเลิกองค์การด้วย (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 68 ประกอบ

71 การจัดโครงสร้างขององค์การคืออะไร

(1) คือ การออกแบบโครงสร้างขององค์การนั้น ๆ

(2) คือ การมุ่งพยายามจัดและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์การให้มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในองค์การให้บรรลุเป้าหมายให้ได้

(3) คือ Organization Design

(4) คือ Organizing

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 61, 122 – 122, (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างองค์การ (Organizing) หรือบางที่อาจเรียกว่า การจัดองค์การ การจัดรูปงาน หรือการออกแบบองค์การ (Organization Design) หมายถึง การออกแบบโครงสร้างขององค์การนั้น ๆ โดยการแบ่งแยกกิจกรรมเป็นกลุ่มตามแนวนอน (Horizontal Differentiation) และการจัดเรื่องลำดับขั้นการบังคับบัญชาในแนวตั้ง (Vertical Differentiation) หรือหมายถึง การมงพยายามจัดและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์การให้ มีความเหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในองค์การให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ เช่น การจัดเรื่องระเบียบวินัยและข้อบังคับ สายการบังคับบัญชา ตําแหน่งและอํานาจหน้าที่ การแบ่งงานกันทํา เป็นต้น

72 ในแต่ละองค์การจะต้องมีการแบ่งแยกหน่วยงานต่าง ๆ จากกันเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นจึงสามารถแยกประเภทของหน่วยงานตามลักษณะของการปฏิบัติงานในองค์การ ได้เป็นประเภทอะไรบ้าง

(1) Line Agency

(2) Staff Agency

(3) Auxiliary Agency

(4) House-Keeping Agency

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 197 – 201, (คําบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงานภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ

1 หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือกองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เป็นต้น

2  หน่วยงานที่ปรึกษา หรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยเหลือส่งเสริม สนับสนุนงานหลักให้ดําเนินไปโดยบรรลุเป้าหมาย เช่น ภาควิชา ฝ่ายการเงิน ฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

3 หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House Keeping Agency) หมายถึง หนวยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในลักษณะของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ เป็นต้น

73 อํานาจหน้าที่ของหน่วยงานที่ปรึกษามีลักษณะแบบใด

(1) Authority to Command

(2) Authority to complain

(3) Authority of Advisory

(4) Authority to Control

(5) Authority of Dictator

ตอบ 3 หน้า 203 อํานาจหน้าที่ของหน่วยงานที่ปรึกษา (Staff Agency) คือ การให้ความคิดเห็นหรือให้คําปรึกษา (Authority of Ideas หรือ Authority of Advisory) แก่หน่วยงานหลัก ไม่มีอํานาจในการสั่งการหรือบังคับบัญชาหน่วยงานอื่น ๆ ในสายงานหลัก หากหน่วยงาน ที่ปรึกษาต้องการให้คําแนะนําได้รับการปฏิบัติตามจะต้องนําคําแนะนํานั้นไปเสนอต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการต่อไป

74 ปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยกําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา

(1) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

(2) ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

(3) ประเภทของกิจกรรม

(4) ระดับขององค์การ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 181 – 182 ปัจจัยที่กําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้

1 ระดับขององค์การ

2 ประเทของกิจกรรม

3 ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

4 ลักษณะขององค์การ

5 ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

75 Authority ในองค์การ คืออะไร

(1) คือ Power to Command

(2) คือ Chain of Information ในองค์การ

(3) คือ อํานาจหน้าที่ที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น การแอบอ้างว่าผู้มีอํานาจได้มอบอํานาจให้ตนออกคําสั่งต่าง ๆ ได้

(4) คือ อํานาจหน้าที่ในการสั่งการที่ได้มาโดยการข่มขู่หรือใช้คําสั่งบังคับ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 146 อํานาจหน้าที่ (Authority) ในองค์การ หมายถึง อํานาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทําหรือไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอํานาจ จะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประลงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อํานาจหน้าที่นี้ จะเป็นอํานาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตําแหน่ง (Position) ที่เป็นทางการ ทําให้ ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตของตําแหน่งหน้าที่ด้วย

76 ช่วงของการบังคับบัญชามีลักษณะอย่างไร

(1) มีลักษณะเช่นเดียวกับสายการบังคับบัญชาทุกประการ

(2) เป็นสิ่งที่จะแสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการควบคุมหรือบังคับบัญชาเพียงใดทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรมีผู้ใต้บังคับบัญชายคน หรือมีหน่วยงานที่อยู่ในความรับผิดชอบที่หน่วยงานจึงจะเป็นการเหมาะสม

(3) เป็นสิ่งที่แสดงให้ทราบว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งมีผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจในการบังคับบัญชาที่คน

(4) คือ ลําดับขั้นการบังคับบัญชาในองค์การ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชา คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งขวงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะแสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชา คนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการควบคุมหรือการบังคับบัญชาเพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่า ควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาก็คน หรือมีหน่วยงานภายในความรับผิดชอบที่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทําให้การควบคุมดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้เดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

77 ผู้รเริ่มเผยแพร่แนวคิดในการบริหารที่เรียกว่า Human Relations Approach คือผู้ใด

(1) Frederick Taylor

(2) Max Weber

(3) George Elton Mayo

(4) Herbert Simon

(5) Stephen P. Robbins

ตอบ 3 หน้า 72, (คําบรรยาย) George Elton Mayo เป็นผู้ริเริ่มเผยแพร่แนวคิดมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ให้ความสําคัญกับลักษณะความต้องการ ของปัจเจกบุคคลและ กลุ่มในองค์การ รวมถึงการดูแลจิตใจของผู้ปฏิบัติงานในองค์การ จึงทําให้ Mayo ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งมนุษยสัมพันธ์ในองค์การ”

78 องค์การจะจัดให้มีช่วงการควบคุมที่กว้างได้ในลักษณะใดบ้าง

(1) เบี้ยผู้บังคับบัญชามีจํานวนน้อยมากในองค์การ

(2) เมื่องานที่อยู่ภายใต้การดูแลบังคับบัญชานั้นเป็นงานยุ่งยาก ซับซ้อน

(3) เมื่อเป็นงานที่ต้องอาศัยความ ละเอียดถี่ถ้วนมาก ๆ

(4) เมื่องานอยู่ในระดับสูง ๆ ในองค์การ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 281 – 182, (คําบรรยาย) การจัดช่วงของการควบคุมหรือการบังคับบัญชาให้กว้างจะทําด้ในกรณีดังต่อไปนี้

1 เป็นงานที่อยู่ในระดับต่ำ ๆ ขององค์การ

2 งาน/กิจกรรมที่ ได้รับมอบหมายเป็นงาน/กิจกรรมธรรมดา ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ต้องอาศัยความละเอียดถี่ถ้วน

3 ผู้ใต้บังคับบัญชามีความสามารถมาก ต้องการความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน ไม่ต้องการ การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด

4 องค์การมีลักษณะกระจายอํานาจมากกว่ารวมอํานาจ

5 ผู้บังคับบัญชามีความสามารถมาก

6 ผู้บังคับบัญชามีจํานวนน้อยมากในองค์การ

79 อํานาจที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชา มักจะขาดหายไปในการปฏิบัติงานจริงด้วยสาเหตุใด

(1) อาจขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี

(2) อาจขัดกับหลักชีววิทยาได้

(3) อาจขัดกับหลักศีลธรรมได้

(4) อาจขัดกับสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนั้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 150 อํานาจหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชามักจะขาดหายไปเมื่อได้มีการสั่งการในการปฏิบัติงานจริง เพราะมีสาเหตุมาจากข้อจํากัดในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เช่น พฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมในสังคม สภาพทางภูมิศาสตร์ หลักชีววิทยา (เช่น สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้แรงยกของที่หนักเกินกําลังของผู้ยก) ฟิสิกส์ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ กฎหมาย (เช่น การสั่งงานโดยผิดข้อกฎหมาย) นโยบาย หรือความต้อยความสามารถของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น

80 ประโยชน์ของการรวมอํานาจในองค์การคืออะไร

(1) ทําให้มีโอกาสฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชาได้มาก

(2) ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาได้มาก

(3) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร

(4) เป็นการสนองความต้องการบริการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

(5) ปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ตอบ 3 หน้า 175 ประโยชน์ของการรวมอํานาจ (Centralization of Authority) ในองค์การ ได้แก่

1 ก่อให้เกิดเอกภาพนการปกครองและการบริหาร

2 ทําให้ทรัพยากรการบริหาร รวมอยู่ในที่เดียวกัน

3 เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา

4 ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

5 มีลักษณะของการประสานงานเป็นอย่างดี ซึ่งทําให้องค์การบรรลุถึงเป้าหมายได้

81 ใครเป็นผู้กล่าวว่า สายการบังคับบัญชาเป็นจุดกําเนิดของรูปองค์การแบบระบบราชการ โดยมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับความชอบธรรมและความสมเหตุสมผล

(1) Max Weber

(2) Frederick Taylor

(3) Elton Mayo

(4) Chester I. Barnard

(5) Kast E. Erement

ตอบ หน้า 139 Max Weber กล่าวว่า “สายการบังคับบัญชาเป็นจุดกําเนิดของรูปองค์การแบบระบบราชการ โดยมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับความชอบธรรมและความสมเหตุสมผลในการบริหารและการดําเนินงานขององค์การขนาดใหญ่”

82 การปฏิบัติงานในองค์การนั้น มักจะเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาเสมอ ทั้งนี้ให้นักศึกษาพิจารณาว่า สาเหตุของความขัดแย้งนั้น อาจเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด

(1) ฝ่ายหน่วยงานหลักไม่เข้าใจลักษณะการทํางานของหน่วยงานฝ่ายที่ปรึกษา และไม่พอใจว่าเข้าไปก้าวก่ายในงานของตน

(2) ฝ่ายหน่วยงานหลักคิดว่าฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษาคอยจ้องจับผิดและตรวจสอบการทํางานไปเสนอผู้บังคับบัญชา

(3) ฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษามักดูถูกฝ่ายงานหลักว่าด้อยค่าในทางสติปัญญา

(4) ฝ่ายที่ปรึกษาอาจให้คําปรึกษาชนิดที่นําไปปฏิบัติไม่ได้

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 204 ทุกข้อเป็ นสําเหตุของความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษานอกจากนี้ความขัดแย้งยังมีสาเหตุมาจาก

1 ฝ่ายหน่วยงานหลักไม่เชื่อคําแนะนําที่มาจากฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษา โดยฝังใจว่าเป็นคําแนะนําจากนักวิชาการที่มิได้ลงมือปฏิบัติหรือเผชิญกับปัญหาอย่างแท้จริง

2 ฝ่ายหน่วยงานหลักไม่พอใจว่าฝ่ายให้คําปรึกษามักได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ไม่ต้องรับผิดชอบ โดยผู้รับผิดชอบคือฝ่ายนําไปปฏิบัติ

3 ฝ่ายหน่วยงานหลักอิจฉาฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษาว่ามีความใกล้ชิดและมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นหรือนิจฉัยสั่งการของผู้บังคับบัญชา

4 ฝ่ายหน่วยงานหลักไม่พอใจที่จะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติงานจากแบบที่ตนเคยชิน

5 ฝ่ายหน่วยงานที่ปรึกษาไม่พอใจในสถานะของตนว่าไม่มั่นคงและไม่มีความสําคัญเท่าฝ่ายหน่วยงานหลัก

83 สายการบังคับบัญชาหมายถึงอะไร

(1) ขั้นตอนในการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทําความผิด โดยมีโทษตั้งแต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง

(2) ความสัมพันธ์ตามลําดับขั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การ

(3) สัมพันธภาพของการติดต่อสื่อข้อความอย่างไม่เป็นทางการจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้ปฏิบัติงานนอกเหนือจากที่กําหนดไว้ในตําแหน่งงานอย่างเป็นทางการ

(4) เป็นความหมายอย่างเดียวกับ “ช่วงการควบคุม”

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง ความสัมพันธ์ตามลําดับขั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การ เพื่อแสดงให้ทราบว่าสัมพันธภาพของการติดต่อสื่อข้อความจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา ในแต่ละองค์การแต่ละ หน่วยงานนั้นมีลักษณะการเดินทางอย่างเป็นทางการอย่างไร มีการควบคุมและการรับผิดชอบอย่างไร

84 อํานาจหน้าที่ของหน่วยงานหลัก (Line Agency) มีลักษณะอย่างไร

(1) เป็น Direct Line

(2) เป็นไปตามหลัก Scalar Principle

(3) มีลักษณะเป็น Formal Process

(4) เป็น Authority to Command

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 202 อํานาจหน้าที่ของหน่วยงานหลัก (Line Agency) เป็นอํานาจหน้าที่ตามกระบวนการที่เป็นทางการ (Formal Process) หรือเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา (Hierarchy) ซึ่งเป็น อํานาจหน้าที่ในการสั่งการ (Authority/Power to Command) โดยตรง (Direct Line)จากผู้บังคับบัญชาสู่ผู้ใต้บังคับบัญชาตามหลักของ Scalar Principle

85 แผนภูมิเกี่ยวกับ “ หน้าที่การงาน คืออะไร

(1) คือ Process Chart

(2) คือ Work Flow Chart

(3) คือ Functional Chart

(4) คือ Physical Layout

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 215 ประเภทของแผนภูมิหรือแผนผังขององค์การ มีดังนี้

1 แผนภูมิขององค์กรทั้งหมด (Ovel-All Organization Chart) คือ ภาพสําหรับแสดงโครงสร้างทั้งหมดขององค์การ เช่น แสดงกิจกรรม การแบ่งงาน ผู้รับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ สายการบังคับบัญชา เป็นต้น

2 แผนภูมิเกี่ยวกับหน้าที่การงาน (Functional Chart) คือ แผนภูมิที่จัดทําขึ้นเพื่อความสะดวกแก่การเข้าใจในกิจกรรมขององค์การ

3 แผนภูมิแสดงสถานที่ทําการ (Space and Physical Layout) คือ แผนผังที่แสดงว่าที่ทําการหรือห้องทํางานต่าง ๆ ในองค์การอยู่ที่ใดบ้าง

4 แผนภูมิแสดงความเคลื่อนไหวของงาน (Process or Work Flow Chart) คือ แผนภูมิที่แสดงว่างานชนิดต่าง ๆ นั้นเริ่มจากผู้ใด ยุติลงที่ผู้ใด และมีการเคลื่อนไหวไปอย่างใด

86 รูปแบบขององค์การที่เป็นแบบใหญ่โตมโหฬารเหมือนระบบราชการ คือองค์การแบบใด

(1) แบบ The Simle Structure

(2) แบบ The Machine Bureaucracy

(3) แบบ The Adhocracy

(4) แบบ The Project Structure

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 211 องค์การระบบราชการแบบเครื่องจักรกล (The Machine Bureaucracy) เป็นรูปแบบขององค์การที่มีลักษณะใหญ่โตมโหฬารเหมือนระบบราชการ และเป็นแบบระบบราชการ ในอุดมคติของ Max Weber ซึ่งมีลักษณะสําคัญดังนี้

1 เป็นองค์การที่มีการแบ่งแยกหน้าที่ , ตามความชํานาญพิเศษอย่างมาก

2 มีลักษณะเป็นทางการสูงในการปฏิบัติงาน

3 มีกฎระเบียบมากมาย

4 รวมอํานาจการตัดสินใจไว้ส่วนกลางค่อนข้างมาก ฯลฯ

87 หน่วยงานในองค์การที่รับผิดชอบต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ หรืออาจเรียกว่าเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหมนั้น เรียกได้ว่าเป็นหน่วยงานประเภทใด

(1) Compact Agency

(2) Staff Agency

(3) Lire Agency

(4) Contingency Agency

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 72 ประกอบ

88 ในแต่ละองค์การจะต้องมีการแบ่งแยกหน่วยงานต่าง ๆ จากกันเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะต่าง ๆได้อยางเหมาะสม ดังนั้นจึงสามารถแยกประเภทของหน่วยงานตามลักษณะของการปฏิบัติงานในองค์การ ได้เป็นประเภทอะไรบ้าง

(1) Line Agency

(2) Staff Agency

(3) Auxiliary Agency

(4) House-Keeping Agency

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 72  ประกอบ

89 อํานาจหน้าที่ของหน่วยงานหลัก (Line Agency) มีลักษณะอย่างไร

(1) เป็น Direct Line

(2) เป็นไปตามหลัก Scalar Principle

(3) มีลักษณะเป็น Formal Process

(4) เป็น Authority to Command

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ

90 ประโยชน์ของการรวมอํานาจในองค์การคืออะไร

(1) ทําให้มีโอกาสฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชาได้มาก

(2) ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาได้มาก

(3) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร

(4) เป็นการสนองความต้องการบริการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

(5) ปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 80 ประกอบ

91 การกระจายอํานาจคืออะไร

(1) การที่ผู้บริหารระดับรอง ๆ ในองค์การมีโอกาสตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ ที่มีความสําคัญมากขึ้น

(2) การลดบทบาทผู้ใต้บังคับบัญชาโดยเฉพาะการตัดสินใจ

(3) Centralization

(4) คือการทําให้เกิดเอกภาพในการปกครองและบริหาร

(5) คือการทําให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน

ตอบ 1 หน้า 168 169 การกระจายอํานาจในองค์การ (Decentralization of Authority) หมายถึง ความพยายามที่จะมอบหมายหน้าที่ไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ที่รองลงมาโดยให้การตัดสินใจ กระทําโดยผู้บริหารระดับต่ํามากขึ้น หรือให้ผู้บริหารระดับรอง ๆ ในองค์การได้มีโอกาสในการ ตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ ที่มีความสําคัญมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความสําคัญต่อบทบาทของผู้บริหารระดับรอง ๆ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา

92 การกระจายอํานาจในองค์การคืออะไร

(1) Centralization of Authority

(2) Decentralization of Authority

(3) Reconstruction of Power

(4) Deconstruction of Authority

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ คืออะไร

(1) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดังสูง ทําให้ได้มีเวลาทํางานสําคัญจําเป็นได้มากขึ้น

(2) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร

(3) ทําให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน

(4) เพิ่มอํานาจการตัดสินใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 175 ประโยชน์ของการกระจายอํานาจ มีดังนี้

1 ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูงทําให้ได้มีเวลาทํางานสําคัญจําเป็นได้มากขึ้น

2 เป็นการสนองการบริหารหรือความต้องการ ของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็ว

3 ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมของท้องถิ่น

4 มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มี ความสามารถ ทักษะ และฝึกฝนการตัดสินใจด้วย

5 โอกาสของการเติบโตหรือ ขยายองค์การมีทางเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

94 Specialization คืออะไร

(1) ความเหลื่อมล้ำในการทํางาน

(2) การแบ่งแยกงานตามความชํานาญเฉพาะด้าน

(3) การทํางานซ้ำซ้อน

(4) ความสิ้นเปลืองในงบประมาณที่ไม่มีการวางแผนก่อน

(5) ศิลปะในการปฏิบัติงานของพนักงาน

ตอบ 2 หน้า 189 การแบ่งงานกันทําหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทําตามความสามารถหรือความชํานาญพิเศษเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกยภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมาย ให้สมาชิกรับไปปฏิบัติ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายที่องค์การได้วางไว้

95 Formal Authority คือ

(1) อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการที่มีการกําหนดไว้แก่ตําแหน่งต่าง ๆ ในองค์การ

(2) อํานาจของผู้บังคับบัญชาเฉพาะเรื่องการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา

(3) ระเบียบวินัยในหน่วยงานที่กําหนดเป็นลายลักษณ์อักษรไว้

(4) การจัดสวัสดิการแก่พนักงาน

(5) การให้รางวัลดีเด่นแก่พนักงานอย่างเป็นทางการ

ตอบ 1 หน้า 147 อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Forma/Legal Authority) หรือที่เรียกว่า อํานาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) นั้น ถือเป็นอํานาจของ องค์การที่จัดตั้งขึ้นอยางมีแบบแผนและเป็นทางการตามกฎหมาย โดยจะกําหนดไว้แก่ตําแหน่ง ต่าง ๆ ในองค์การ ซึ่งมีลักษณะที่ลดหลั่นกันลงมาจากระดับสูงสุดขององค์การ รวมทั้งเป็นลักษณะ ของการมีแบบแผนที่ผู้บริหารได้รับมาควบคู่กับตําแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ (Formal Position) ซึ่งอํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการนี้ ถือเป็นอํานาจของผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชา ในองค์การบริหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ ธุรกิจเอกชน โรงพยาบาลสถาบันทางศาสนา ฯลฯ

96 วิธีการปรับปรุงเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษา ผู้บริหารควรทําอย่างใด

(1) สร้างความเข้าใจเรื่องการแบ่งงานและความรับผิดชอบ ตลอดจนอํานาจหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ ให้ชัดแจ้ง

(2) ให้ความสําคัญแก่ทั้งสองฝ่าย โดยไม่ลําเอียง รวมทั้งสนับสนุนทั้งสองฝ่ายในโอกาสอันควร

(3) ให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนตําเเหน่งระหว่างสองฝ่ายบ้าง จะได้ศึกษางานและการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งกันและกัน

(4) จัดให้สองฝ่ายได้ติดต่อกันเสมอ เพื่อความเข้าใจอันดีต่อกัน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 204 205 วิธีการปรับปรุงเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษา มีดังนี้

1 สร้างความเข้าใจเองการแบ่งงานและความรับผิดชอบ ตลอดจนอํานาจหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ ให้ชัดแจ้ง

2 ให้ความสําคัญแก่ทั้งสองฝ่ายโดยไมลําเอียง รวมทั้งสนับสนุนทั้งสองฝ่ายในโอกาสอันควร

3 ให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนตําแหน่งระหว่างสองฝ่ายบ้าง จะได้ศึกษางานและการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งกันและกัน

4 จัดให้ทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเสมอ ๆ เพื่อความเข้าใจอันดีต่อกัน

5 จัดให้ฝ่ายที่ปรึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง นอกจากความรู้ความชํานาญเฉพาะด้านที่มีอยู่

97 ช่วงของการบังคับบัญชาคืออะไร

(1) Spean of Contrast

(2) Span of Supervision

(3) Power to Command

(4) Span of Ideas

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76 ประกอบ

98 ปัจจัยอะไรที่เป็นปัจจัยกําหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา

(1) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา

(2) ความสามารถของผู้บังคับบัญชา

(3) ประเภทของกิจกรรม

(4) ระดับขององค์การ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 74 ประกอบ

  1. Informat Organ zation คืออะไร

(1) แผนภูมิขององค์การ

(2) องค์การอย่างไม่เป็นทางการ

(3) องค์การเอกชนทั้งหลาย

(4) องค์การระหว่างประเทศ

(5) องค์การในรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย

ตอบ 2 หน้า 9 – 10 องค์การอย่างไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) เป็นองค์การที่มีความไม่แน่นอนในวัตถุประสงค์ โครงสร้าง และระบบของความสัมพันธ์ภายใน มีการจัดการและมีการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ยืดหยุ่นได้ง่าย และยากที่จะระบุลักษณะเฉพาะ ลงไป การดําเนินการขององค์การประเภทนี้จึงไม่มีการกําหนดวัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้าแน่นอน และไม่มีการระบุอํานาจหน้าที่และตําแหน่งของสมาชิก ตัวอย่างขององค์การอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การเดินขบวนประท้วงการกระทําของรัฐบาล การจัดทําสโมสรเพื่อน เป็นต้น

100 อํานาจหน้าที่อย่างเป็นทางการในองค์การคืออะไร

(1) คือ อํานาจหน้าที่ที่ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงได้เสมอและอย่างรวดเร็ว

(2) คือ Unstable Authority

(3) คือ Situationalized Authority

(4) คือ Legal Authority

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 95 ประกอบ

 

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ

ข้อ 1 การแบ่งยุคทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 ยุคได้แก่อะไรบ้าง แต่ละยุคมีลักษณะและคุณสมบัติขององค์การอย่างไร เหมาะกับการนําไปใช้ในองค์การประเภทใด

แนวคําตอบ

  1. Richard Scott ได้แบ่งยุคทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 ยุค ได้แก่

1 สํานักเหตุผลนิยม หรือสํานักคลาสสิก

ลักษณะของสํานักเหตุผลนิยม ได้แก่

1 เป็นองค์การระบบปิด

2 อาศัยโครงสร้างเข้ามาควบคุมคน

3 การบริหารคํานึงถึงประสิทธิภาพและประหยัด

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักเหตุผลนิยม ได้แก่

1 เป็นกลุ่มสังคม ประกอบด้วยคน 2 คนขึ้นไปมารวมตัวกันและมีปฏิสัมพันธ์ในการทํางานและการรวมกลุ่มต้องมีการประสานกันอย่างมีสํานึก

2 มีขอบเขตที่ชัดเจน

3 มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง

4 มีการจัดแบ่งอํานาจหน้าที่

5 ใช้กฎระเบียบ การดําเนินการ การควบคุมและเทคนิค

6 ใช้การสื่อสารอย่างเป็นทางการ

7 เน้นความชํานาญเฉพาะด้านและการจัดแบ่งงาน

8 มีการว่าจ้างผู้มีทักษะ และมีความรู้ความชํานาญเข้ามาทํางานในองค์การ

การประยุกต์ใช้

แนวคิดของสํานักเหตุผลนิยมให้ความสําคัญกับโครงสร้างองค์การ จึงเหมาะที่จะนําไป ประยุกต์ใช้กับองค์การแบบราชการ (Bureaucracy) และองค์การที่เป็นทางการ (Format Organization)

2 สํานักธรรมชาตินิยม หรือสํานักนีโอคลาสสิก

ลักษณะของสํานักรวรมชาตินิยม ได้แก่

1 สนใจพฤติกรรมของคน

2 เห็นคนเป็นปัจจัยที่สําคัญขององค์การ

3 ถ้าคนมีประสิทธิภาพจะแก้ปัญหาขององค์การได้

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักธรรมชาตินิยม ได้แก่

1 ต้องมีโครงสร้างเชิงพฤติกรรม เช่น ลักษณะและพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลและกลุ่ม

2 ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของสมาชิกในการอุทิศเวลาในการทํางาน

3 แสวงหาความอยู่รอด

4 เน้นการมีส่วนร่วม

5 ใช้การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ การประยุกต์ใช้

แนวคิดของสํานักธรรมชาตินิยมเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้กับองค์การที่ไม่เป็นทางการ (Informal Organization) เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) กลุ่มให้คําปรึกษาทางกฎหมาย กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น

3 สํานักระบบเปิด

ลักษณะของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 เน้นคนและคํานึงถึงสิ่งแวดล้อมขององค์การ

2 เน้นให้องค์การต้องปรับตัวให้ทันกับสิ่งแวดล้อม และรู้จักการบริหารงานให้เป็นระบบในลักษณะบูรณาการ

3 ให้ความสําคัญกับข้อมูลป้อนกลับ

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 เป็นระบบที่มีลําดับชั้น

2 มีความสามารถในการดํารงรักษาตนเอง โดยอาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับสิ่งแวดล้อม

3 ระบบประกอบด้วยปัจจัยนําเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output)

4 ไม่มีขอบเขตชัดเจน

5 เป็นระบบที่ทํางานเองโดยอัตโนมัติ การประยุกต์ใช้

แนวคิดของสํานักระบบเปิดเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้กับองค์การสมัยใหม่ เช่น องค์การ แบบเครือข่าย (Network Organization) และองค์การเสมือนจริง (Virtual Organization) เป็นต้น

 

ข้อ 2 องค์การในอนาคตควรมีลักษณะอย่างไร จงอธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน แนวคําตอบ

รูปแบบการจัดองค์การที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นการจัดรูปองค์การแบบระบบ ราชการ (Bureaucracy) ตามแนวคิดของ Max Weber ซึ่งเชื่อว่าเป็นองค์การที่มีขีดความสามารถสูงและสามารถ ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในระยะหลังนี้พบว่าองค์การแบบระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้ว โดยมีนักวิชาการหลายท่านได้ออกมาโจมตีองค์การตามรูปแบบดังกล่าว เช่น Victor Thompson เห็นว่า องค์การ แบบระบบราชการมีลักษณะเป็น “โรคระบบราชการ” (Bureau Pathology) และ Warren Bennis เห็นว่า โครงสร้าง ขององค์การแบบระบบราชการมีลักษณะเป็น “การตายขององค์การที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่” (The Dead of Bureaucracy) ดังนั้นจึงมีความจําเป็นต้องหารูปแบบขององค์การแบบใหม่มาใช้ในการจัดโครงสร้างองค์การ เพื่อทําให้องค์การมีประสิทธิภาพ สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการแข่งขันกับองค์การอื่น สามารถแข่งขันกับความก้าวหน้าได้ รวมทั้งสามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย

นักวิชาการที่เสนอลักษณะขององค์การในอนาคต เช่น Toffler เสนอว่า รูปแบบขององค์การ ที่เข้ามาแทนที่องค์การแบบระบบราชการในอนาคตนั้น ควรมีลักษณะเป็น “องค์การเฉพาะกิจ” (Adhocracy) ซึ่งสามารถยกเลิกไปได้ง่ายเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจและเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่น

นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการเสนอว่า “ลักษณะงานขององค์การในอนาคต” ควรมีลักษณะดังนี้

1 เปลี่ยนจากแรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Work) เป็นแรงงานที่มีความรู้ความสามารถ(Knowledge Work)

2 เปลี่ยนจากงานที่ทําซ้ําซาก (Meaningless Repetitive Tasks) เป็นงานที่ทันสมัย และท้าทาย (Innovation and Caring)

3 เปลี่ยนจากงานที่ต่างคนต่างทํา (Individual Work) เป็นการทํางานเป็นทีม (Teamwork)

4 เปลี่ยนจากงานที่แบ่งตามขั้นตอน (Functional-Base Work) เป็นการทํางานแบบโครงการ (Project-Base Work)

5 เปลี่ยนจากงานที่ต้องอาศัยทักษะอย่างเดียว (Single-Skilled) เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้หลายอย่าง (Multi-Skilled)

6 เปลี่ยนจากการยึดถืออํานาจของผู้บังคับบัญชา (Power of Bosses) เป็นการยึดถืออํานาจของลูกค้าเป็นสําคัญ (Power of Customers)

7 เปลี่ยนจากความสัมพันธ์จากบนลงล่าง (Coordination from Above) เป็นความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกัน (Coordination Among Peers)

 

ข้อ 3 จงอธิบายเปรียบเทียบถึงความสอดคล้องของผลงานของนักคิดกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ โดยยกตัวอย่างผลงานมาอย่างน้อย 2 คน

แนวคําตอบ

นักคิดกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มที่ทําการศึกษาพฤติกรรมในองค์การ คือ ศึกษาเรื่อง ของการกระทําและการแสดงออกของมนุษย์ในองค์การทั้งในระดับบุคคลและกลุ่มบุคคล ตัวอย่างของนักคิด กลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ที่สําคัญ ได้แก่ Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Douglas Murray McGregor, Frederick Herzberg, McClelland เป็นต้น

ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างผลงานของ Abraham Maslow และ Frederick Herzberg มาอธิบาย ซึ่งนักคิดทั้งสองท่านนี้มีแนวคิดที่สอดคล้องกัน

Abraham Maslow

Maslow ได้เสนอ “ทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 5 ประการ” (Five Basic Needs Theory) โดยเห็นว่า ผู้บริหารจะสามารถสร้างแรงจูงใจแก่พนักงานได้หากคํานึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันไป ตามลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ดังนี้

1 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) คือ ปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหารและน้ํา ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม นอกจากนี้ปัจจุบันยังอาจหมายความรวมถึงการติดต่อสื่อสารด้วย

2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) คือ ความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน ความมั่นคงในการดํารงอยู่ เช่น การไม่ถูกไล่ออกจากงาน เป็นต้น

3 ความต้องการความรักและการยอมรับ (Love Needs หรือ Social Needs) คือ ความต้องการความรักทั้งเป็นผู้รับและผู้ให้ และการได้รับการยอมรับในสังคม

4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) คือ ความต้องการในการได้รับ การชื่นชมและการสรรเสริญจากสังคม

5 ความต้องการความสําเร็จที่เกิดจากตนเอง (Self-Actualization Needs) คือ ความ ต้องการทําในสิ่งที่ตนสามารถจะทําได้ เพื่อเป็นการสนองต่อความพอใจหรือความปรารถนาของตนเอง เช่น การบวช ความร่ํารวย เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Maslow นี้ เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการด้วยขั้นของความ ต้องการใดไปแล้ว ความต้องการขั้นนั้นจะไม่มีผลในการจูงใจมนุษย์คนนั้นอีก ดังนั้นองค์การสามารถนําแนวทาง ดังกล่าวไปพิจารณาตอบสนองเพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่คนงานได้โดยการตอบสนองตามระดับ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองความต้องการแต่ละระดับนั้น องค์การไม่ควรตอบสนองความต้องการนั้น ๆ เต็มที่ มิฉะนั้นแล้ว ความต้องการดังกล่าวจะไม่ใช่เป็นตัวมูลเหตุจูงใจให้คนงาน เพราะถูกมองว่าเป็นหน้าที่ขององค์การนั่นเอง

Frederick Herzberg

Herzberg ได้เสนอ “ทฤษฎีสองปัจจัย” (Two Factors Theory) โดยเห็นว่า ความต้องการ มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนงานโดยความต้องการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ปัจจัยจูงใจ (Motivation Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง ได้แก่ ความสําเร็จ ของงาน การได้รับการยอมรับผลงาน ความก้าวหน้าของงาน ความรับผิดชอบในงานที่มากขึ้น และลักษณะของงาน ที่ท้าทายน่าสนใจ ดังนั้นถ้าองค์การสามารถดําเนินการให้เกิดสิ่งนี้จะมีผลกระตุ้นให้คนงานทํางานได้ดีขึ้น แต่ถึงแม้ว่า จะไม่มีก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแต่อย่างใด

2 ปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ นโยบายขององค์การ การบริหารบังคับบัญชา กฎระเบียบเพื่อควบคุมการทํางาน สภาพหรือเงื่อนไขการทํางาน

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความมั่นคงในการทํางาน เงินเดือน สวัสดิการ เป็นต้น ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับ – เป็นหน้าที่ขององค์การที่จะต้องทําให้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีจะทําให้คนงานไม่พอใจ แต่จะไม่มีส่วนกระตุ้นให้เกิด การทํางานที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

การเปรียบเทียบความสอดคล้องกันระหว่างผลงานของ Maslow กับ Herzberg

1 ความต้องการระดับต่ํา ได้แก่ ความต้องการทางกายภาพ (ความต้องการขั้นที่ 1) และ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (ความต้องการขั้นที่ 2) ตามแนวคิดของ Maslow สอดคล้องกับปัจจัยอนามัย เช่น เงื่อนไขการทํางาน เงินเดือน ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา นโยบายและการบริหาร ตามแนวคิดของ Herzberg

2 ความต้องการระดับสูง ได้แก่ การได้รับการยอมรับ (ความต้องการขั้นที่ 3) การได้รับ การยกย่อง (ความต้องการขั้นที่ 4) และการทํางานให้สําเร็จด้วยตนเอง (ความต้องการขั้นที่ 5) ตามแนวคิดของ Maslow สอดคล้องกับปัจจัยจูงใจ เช่น ความสําเร็จของงาน การได้รับการยอมรับผลงาน ความก้าวหน้าของงาน ความรับผิดชอบในงาน และลักษณะของงาน ตามแนวคิดของ Herzberg

 

ข้อ 4 จงอธิบายถึงองค์ประกอบของโครงสร้างขององค์การมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์ประกอบของโครงสร้างองค์การ มี 4 องค์ประกอบ คือ

1 การแบ่งส่วนงาน (Division of Labor) คือ การจัดโครงสร้างองค์การตามแนวราบ เป็นการแบ่งแยกงานและการรวมกลุ่มงาน หรือเป็นการจําแนกประเภทของงานตามความชํานาญพิเศษหรือตาม ความถนัดในงานนั้น ๆ และปริมาณของกิจกรรมในองค์การ ซึ่งการแบ่งส่วนงานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความ สิ้นเปลืองและความเบื่อหน่ายของพนักงาน เนื่องจากงานจะมีลักษณะซ้ําซากจําเจ ลักษณะของการแบ่งส่วนงาน

มีดังนี้

1) การแบ่งงานตามวิชาชีพ (Personal Specialties) เป็นการแบ่งงานตามความถนัด เฉพาะทาง เช่น งานด้านบัญชี วิศวกร และวิทยาศาสตร์

2) การแบ่งงานตามกิจกรรมภายในองค์การ (Horizontal Specialization) เป็นการ แบ่งงานโดยพิจารณาจากกิจกรรมภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

(1) การแบ่งตามหน้าที่ เช่น การแบ่งเป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และฝ่ายจัดส่ง

(2) การแบ่งตามผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ขององค์การ เช่น หน่วยงานดูแลการผลิตผงซักฟอก หน่วยงานดูแลการผลิตยาสีฟัน

(3) การแบ่งตามพื้นที่ เช่น การแบ่งของธนาคาร

2 การจัดส่วนงาน (Hierarchy) คือ การจัดชั้นสายการบังคับบัญชา หรือการจัดโครงสร้าง องค์การในแนวดิ่ง เป็นการแบ่งหน่วยงานออกเป็นระดับโดยพิจารณาจากความสําคัญของงานว่าควรจะเป็นงาน ในระดับใด ซึ่งแต่ละระดับจะมีบทบาทและความสําคัญลดหลั่นกันลงมา การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีไม่ควรเกิน 5 ลําดับชั้น เพราะถ้ามีชั้นการบังคับบัญชามากจะเกิดปัญหาการสื่อสารหรือการบิดเบือนข้อมูล

3 ขอบเขตของการบังคับบัญชา (Span of Control) หรือขนาดของการควบคุม คือ จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งตามทฤษฎีแล้วผู้บังคับบัญชา 1 คน ควรมี ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เกิน 15 คน จึงจะทําให้การตัดสินใจและการสั่งการมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขนาดของการควบคุม จะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ความยากง่ายของงาน และความจําเป็นในสถานการณ์ต่าง ๆ

4 การมอบอํานาจในการตัดสินใจหรือการปฏิบัติงาน (Delegation of Authority) เป็นการพิจารณานโยบายขององค์การว่ามุ่งเน้นการกระจายอํานาจหรือการรวมอํานาจ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก จํานวนผู้ตัดสินใจในการบริหารงานในองค์การ หากองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจมากแสดงว่าองค์การเน้นการ กระจายอํานาจ แต่ถ้าองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวแสดงว่าองค์การเน้นการรวมอํานาจ ทั้งนี้จุดสําคัญ ของการมอบอํานาจและการกระจายอํานาจก็คือ ผู้บังคับบัญชาสามารถกระทําได้เฉพาะการมอบอํานาจในงาน หรือการกระจายอํานาจในการปฏิบัติงานเท่านั้น จะกระจายความรับผิดชอบไม่ได้

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ

ข้อ 1. มีแนวคิดในยุคต่าง ๆ ที่ได้นําเสนอเกี่ยวกับค่านิยมในการบริหารในระบบราชการ จึงให้นักศึกษาอธิบายความหมายของระบบราชการ ข้าราชการ และแนวทางหรือหลักการของระบบราชการ มาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

ความหมายของระบบราชการ

คําว่า ระบบราชการ (Bureaucracy) นั้น ได้มีนักวิชาการให้ความหมายไว้หลากหลาย ซึ่ง หากพิจารณาตามช่วงเวลา เราสามารถแบ่งความหมายของระบบราชการได้เป็น 2 ช่วง คือ ในอดีตระบบราชการ ถูกมองว่าเป็นองค์การที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะของการบริหารจัดการที่มีความสลับซับซ้อนบนพื้นฐานของ หลักเหตุผล ความสัมพันธ์ของคนในองค์การอยู่ภายใต้บรรทัดฐานของความเป็นทางการ โดยมิได้มุ่งประเด็น ความเป็นภารกิจของรัฐหรือเอกชน ดังจะเห็นได้จากคํานิยามของ Weber บิดาของระบบราชการ ซึ่งมองว่า ระบบราชการเป็นองค์การที่มีการดําเนินงานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบที่ชัดเจนตายตัว และความสัมพันธ์ที่ คํานึงถึงสายการบังคับบัญชา ซึ่งแตกต่างจากมุมมองในยุคใหม่ที่มองว่า ระบบราชการเป็นองค์การที่บริหารงาน เพื่อเสริมสร้างประโยชน์แก่สาธารณะเป็นสําคัญ ซึ่งพยายามแสดงถึงเจตนารมณ์ของผู้บริหารองค์การระบบราชการ ที่สะท้อนการตอบสนองความต้องการของสาธารณะ และโดยมากมุ่งเป้าประสงค์ไปที่การผลิตสินค้าและบริการสาธารณะ

ความหมายของข้าราชการ นักวิชาการได้ให้ความหมายของข้าราชการไว้หลากหลาย ดังนี้

1 ข้าราชการ หมายถึง บุคคลที่ปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีลักษณะของ การทํางานแบบถาวร และโดยมากมีสถานภาพเป็นพนักงานประจําหรือเป็นลูกจ้างทํางานเต็มเวลาของหน่วยงาน มีบทบาทในการใช้งบประมาณของแผ่นดิน เนื่องจากเป็นบุคคลที่ดําเนินงานในระบบราชการ

2 ข้าราชการ หมายถึง กลุ่มบุคคลที่ได้รับการเลือกสรรให้บรรจุในตําแหน่งโดยระบบ คุณธรรม ซึ่งอาศัยสมรรถนะในการปฏิบัติงานของบุคคลเป็นฐานสําคัญ และผลงานของบุคคลเหล่านี้ไม่สามารถ ประเมินค่าได้โดยตรงเหมือนกับการประเมินกําไรขาดทุนในทางเศรษฐศาสตร์ การสรรหาและคัดเลือกจะจัดให้มี การสอบแข่งขันและการสอบคัดเลือก

3 ข้าราชการ หมายถึง กลุ่มบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อการบริหารงานให้เป็นไปตาม นโยบายของฝ่ายการเมือง เป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะ มีอิสระในการตัดสินใจและใช้ทรัพยากร และเป็นบุคคลที่เสียสละเข้ามารับใช้ประชาชนเป็นอาชีพ

4 ข้าราชการ หมายถึง บุคคลที่ทํางานตามธรรมเนียมหรือปฏิบัติงานในส่วนของราชการ เป็นบุคคลซึ่งรับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินเดือน เช่น ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการการเมือง ข้าราชการครู ข้าราชการอัยการ ข้าราชการตุลาการ เป็นต้น

แนวทางหรือหลักการของระบบราชการ

หากพิจารณาแนวคิดของนักคิดในยุคต่าง ๆ เกี่ยวกับค่านิยมของการบริหารในระบบราชการ สามารถสรุปแนวทางหรือหลักการของระบบราชการได้ดังนี้

1 หลักเหตุผล (Rationality) ระบบราชการที่มีสมรรถนะสูงจะต้องเป็นระบบราชการ ที่อาศัยหลักเหตุผลในการดําเนินการตัดสินใจ ซึ่งเป็นข้อสรุปที่สอดคล้องกันของนักคิดรัฐประศาสนศาสตร์ตั้งแต่ ยุคคลาสสิกจนถึงยุคสมัยใหม่ เนื่องจากนักคิดส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าการบริหารงานในภาครัฐเป็นเรื่องที่มี ความสลับซับซ้อน ดังนั้นการจะแก้ปัญหาในการบริหารได้จําเป็นจะต้องอาศัยหลักเหตุผล เช่น ข้อเสนอของ Taylor ซึ่งได้พยายามที่จะนําเอาหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน โดยเชื่อว่าหลักวิทยาศาสตร์ จะสามารถสร้างการบริหารงานที่มีเหตุผลจนนําไปสู่การบรรลุประสิทธิผลขององค์การได้ หรือผลงานของ Weber ได้นําเสนอการใช้หลักเหตุผลในการบริหารงานในองค์การขนาดใหญ่ เช่น การบริหารงานที่คํานึงถึงกฎระเบียบ แบบแผนที่ชัดเจนตายตัว การบริหารงานที่คํานึงถึงความสัมพันธ์ที่เป็นทางการตามที่ระบุไว้ในสายการบังคับบัญชา เป็นต้น แม้แต่แนวคิดการบริหารงานในยุคปัจจุบันก็ยังให้ความสําคัญกับการบริหารงานตามหลักเหตุผล เช่น การนําเสนอหลักการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์แบบเป็นระบบ หรือการบริหารงาน ที่อาศัยคณิตศาสตร์ เป็นต้น

2 หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) การบริหารงานที่ต้องคํานึงถึงหลักประสิทธิภาพ ได้แก่ การมีสมรรถนะ (Competence) การเพิ่มผลผลิต (Productivity) การมีสมรรถภาพ (Capable) หรือ การบริหารงานที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แรงงาน หรือวัสดุอุปกรณ์ให้น้อยที่สุด ถือเป็นหลักการที่สําคัญในการ บริหารงานในระบบราชการ ด้วยเหตุนี้แนวคิดการบริหารงานของนักคิดในยุคต่าง ๆ จึงพยายามคิดค้นแนวทาง เพื่อทําให้เกิดบระสิทธิภาพในการบริหารงานไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของนักคิดยุคคลาสสิกที่นําเสนอให้มีการแบ่งงาน กันทําตามความถนัด การสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงานโดยจายค่าตอบแทนเป็นรายชิ้น แนวคิดของนักคิดยุคสมัยใหม่ ที่นําเสนอการจูงใจโดยคํานึงถึงคุณค่าทางจิตใจ หรือแนวคิดของนักคิดในยุคปัจจุบันที่นําเสนอการบริหารงาน ภายใต้ระบบประกันคุณภาพ ได้แก่ ISO 9000, 9001, 9002 และ PSO รวมทั้งการบริหารงานโดยการควบคุมคุณภาพแบบครบวงจร (TQM) เป็นต้น

3 ยึดหลักการในการปฏิบัติงาน (Principle Mindedness) ระบบราชการที่มี ประสิทธิภาพและคํานึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมจะต้องบริหารงานโดยอาศัยหลักกฎหมาย เพื่อให้ ความเสมอภาคแก่บุคคลทั่วไป โดยไม่คํานึงถึงเรื่องส่วนตัว ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของ Weber มองว่า การบริหาร ราชการในประเทศที่พัฒนาแล้ว ข้าราชการจะยึดหลัก Principle Mindedness กล่าวคือ จะละทิ้งเรื่องส่วนตัว สนใจเรื่องส่วนรวม ซึ่งตรงกันข้ามกับการบริหารราชการในประเทศกําลังพัฒนาที่มักมีการเลือกใช้กฎหมาย และข้าราชการคํานึงถึงเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

4 หลักการมีส่วนร่วมในการบริหาร (Participation) หลักการนี้ถือเป็นความแตกต่าง ที่ชัดเจนของแนวคิดการบริหารราชการของนักคิดในอดีตและปัจจุบัน กล่าวคือ นักคิดในยุคคลาสสิกมุ่งเน้นการ แบ่งงานกันทําและการเคร่งครัดกับการทํางานที่ยึดติดกับสายการบังคับบัญชาจึงส่งผลให้การบริหารงานในองค์การ มีลักษณะของการรวมอํานาจ แต่นักคิดในยุคปัจจุบันให้ความสําคัญกับความเป็นประชาธิปไตยจึงส่งผลให้แนวคิด การบริหารงานอยู่บนพื้นฐานของการกระจายอํานาจและเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

5 หลักผลประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) ถือเป็นองค์ประกอบสําคัญที่ช่วยให้ การบริหารในระบบราชการมีความชอบธรรมและได้รับการสนับสนุนจากสังคม ในอดีตนักคิดในยุคคลาสสิก ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องของผลประโยชน์สาธารณะ แต่กลุ่มนักคิดสมัยใหม่กลับพยายามนําเสนอการบริหาร ที่คํานึงถึงผลประโยชน์สาธารณะ และการบริหารที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาของสังคม เช่น ข้อเสนอของ Ostrom เป็นการนําเสนอการบริหารแบบประชาธิปไตย คํานึงถึงการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์สาธารณะ

6 หลักความเสมอภาคทางสังคม (Social Equity) เป็นแนวคิดที่ได้เสนอเพื่อช่วยเหลือ ประชาชนที่เสียเปรียบทางสังคม โดยเห็นว่าประชาชนในประเทศควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน ตามหลักการดังกล่าว เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่เสียเปรียบมีโอกาสมากขึ้น ส่งผลให้สังคมน่าอยู่ และเป็นการคํานึงถึงคนส่วนน้อย ซึ่ง สอดคล้องกับข้อสังเกตของนักคิดสมัยใหม่ เช่น Rehfuss และ Shick ที่เสนอให้การบริหารงานในภาครัฐมุ่งเน้น การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม

 

ข้อ 2 ให้นําเสนอแนวคิดทฤษฎีของนักคิดยุคพฤติกรรมศาสตร์มา 2 แนวคิดโดยละเอียด

แนวคําตอบ

นักคิดยุคพฤติกรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มที่ทําการศึกษาพฤติกรรมในองค์การ คือ ศึกษาเรื่องของ การกระทําและการแสดงออกของมนุษย์ในองค์การทั้งในระดับบุคคลและกลุ่มบุคคล ตัวอย่างของนักคิด ยุคพฤติกรรมศาสตร์ที่สําคัญ ได้แก่ Hugo Munsterberg, Elton Mayo, Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Douglas Murray McGregor, Frederick Herzberg, David McClelland, Victor H. Vroom, J. Stacy Adams เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะนําเสนอแนวคิดทฤษฎีของนักคิดยุคพฤติกรรมศาสตร์ 2 แนวคิด ดังนี้

1 Elton Mayo

Mayo เป็นหัวหน้า Department of Industrial Relations Research ของบัณฑิตมหาวิทยาลัย ด้านการบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ร่วมกับ J.F. Roethlisberger ทําการทดลองเกี่ยวกับการทํางาน ของพนักงานภายใต้การทดลองชื่อ “Hawthorne Experiment” ซึ่งประกอบด้วยโครงการดังนี้

1 The Illumination Study

2 The Relay Assembly Test Room Study

3 The Interviewing Programs

4 The Blank Writing Observation Room Study

ผลจากการทดลอง พบว่า

1 คนมีความต้องการทางสังคม ต้องการเพื่อน และต้องการให้ผู้อื่นได้รับรู้ในพฤติกรรม หรือความสําคัญของตน ในการทํางานทุกคนมีความสําคัญกับงานเท่าเทียมกัน ดังนั้นการให้ความสําคัญจึงควรมี การเปลี่ยนแปลง เช่น จากการควบคุมมาเป็นการปรึกษาหารือ การรวมอํานาจมาเป็นการกระจายอํานาจ การบริหารงานคนเดียวมาเป็นการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม เป็นต้น

2 กลุ่มจะมีอยู่ในทุกระดับขององค์การ บุคคลในองค์การยินยอมที่จะให้กลุ่มครอบงํา พฤติกรรมของกลุ่มจะมีความหมายมากกว่าพฤติกรรมของคน นักบริหารจึงหันมาสนใจพฤติกรรมของกลุ่มมากกว่าพฤติกรรมของคน เพราะการทํางานกับคนจํานวนมากเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการบริหารที่จะทําให้งานที่ยากกลายเป็น งานที่ง่ายจึงต้องติดต่อกับกลุ่ม

3 พบความสําคัญขององค์การที่ไม่เป็นทางการ เพราะการทํางานตามรูปแบบองค์การ ที่เป็นทางการมักยึดติดกับกฎระเบียบ ข้อบังคับ ส่วนองค์การที่ไม่เป็นทางการจะทําให้การปฏิบัติงานรู้จักการ ผ่อนคลายความตึงเครียดในบางโอกาส

4 ผู้นํามี 2 ลักษณะ คือ ผู้นําที่ชอบออกคําสั่ง และผู้นําที่มีความเข้าใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ คือ ผู้บังคับบัญชาที่สามารถเร่งรัดงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ในขณะเดียวกัน ต้องทําความเข้าใจในความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย

5 องค์การควรหารูปแบบที่มีความเหมาะสมในการส่งเสริมให้คนมีความเป็นอิสร วนรอ ในการปฏิบัติงาน และมีการจูงใจจากภายในองค์การ

การศึกษาที่ Hawthorne ของ Mayo ทําให้ Mayo เป็นนักคิดยุคพฤติกรรมศาสตร์คนแรกที่ ค้นพบเรื่องสําคัญว่าพฤติกรรมของมนุษย์ ในการทํางานนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์หรือการจูงใจ ทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับความพอใจทางด้านจิตใจด้วย นอกจากนี้การศึกษาของ Mayo ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความสําคัญในการศึกษาฤติกรรมของคนกับความสัมพันธ์ในงานที่ทํา การศึกษาครั้งนี้ จึงเป็นแนวความคิดที่ตรงกันข้ามกับการจัดการงบบวิทยาศาสตร์ เพราะการทํางานเป็นกลุ่มจะทําให้คนงาน มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่จะทํางานร่วมกัน และทําให้ผลของงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

2 Douglas  McGregor

McCregor เสนอขาษฎี X และทฤษฎี Y ไว้ในหนังสือชื่อ “The Human Side of Enterprise” โดยมีฐานคติในการอนในวง 2 แบบ คือ

1 กาะฎี X ถือว่า

– คนทั่วไปเกียจคร้าน ชอบเลี่ยงงาน

– ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีความรับผิดชอบ

– เห็นแก่ตัวเพิกเฉยต่อความต้องการขององค์การ

2 ทฤษฎี Y ถือว่า

– คนชอบทํางาน ไม่ได้เกียจคร้าน

– การควบคุมภายนอกไม่ใช่วิถีทางที่จะได้มาซึ่งงาน คนสามารถที่จะหาแนวทางและควบคุมตนเองได้

– ความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติงานตามศักยภาพเป็นรางวัลที่มีความสําคัญที่จะทําให้คนมีความรู้สึกผูกพันกับองค์การ

– คนโดยทั่วไปจะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรับผิดชอบต่อไป

– คนส่วนใหญ่อาศัยภาวะสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในองค์การ

ทฤษฎี Y คือ “ภาพพจน์ของคน” ในแนวมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นคนจึงควรควบคุมตนเองได้ การควบคุมตนเองหมายถึงการปรับปรุงองค์การในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกระจายอํานาจ การมอบอํานาจหน้าที่ การขยายงาน การมีส่วนร่วม และการบริหารงานโดยยึดเป้าหมาย จึงเห็นได้ว่าข้อเสนอ

– ปรับปรุงของ McGregor เป็นการย้ำให้เห็นความสําคัญของคน และช่วยให้คนหลุดพ้นจากการควบคุมของ องค์การ ซึ่งเป็น “มหลักของมนุษย์ที่เห็นว่าคนมาก่อนองค์การ

การมองคนในองค์การตามทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ McGregor ช่วยให้เราแยกแยะคนได้ ทําให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดีหรือนายที่ดี ซึ่งการมองแบบนี้เรียกว่า “Polarization” แต่ในสภาพความเป็นจริง เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นประเภท X หรือประเภท Y แต่อาจจะบอกได้ว่าค่อนข้างไปทาง X หรือ Y มากกว่า ดังนั้นการมองคนเป็น Polarization จึงเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรกที่ช่วย ทําให้สามารถจําแนกประเภทของคนได้

 

ข้อ 3 จงอธิบายถึงองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การตามข้อเสนอของ Mintzberg ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

แนวคําตอบ

Mintzberg ได้เสนอองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การซึ่งประกอบด้วย 5 ส่วน ดังนี้

1 Strategic Apex คือ ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการกําหนดกลยุทธ์ และนโยบาย หรือทิศทางขององค์การ

2 Middle Line คือ ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่คอยประสานระหว่างผู้บริหารระดับสูง กับผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ซึ่งในปัจจุบันผู้บริหารระดับกลางถูกลดบทบาทลงและมีจํานวนน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ในองค์การภาคเอกชน แต่ในทางตรงข้ามองค์การภาครัฐกลับมีคนกลุ่มนี้จํานวนมาก

3 Operating Core คือ ผู้ปฏิบัติการในระดับล่างเป็นกลุ่มคนที่มีความสําคัญในกระบวนการ ผลิต โดยมีหน้าที่ในการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งผู้ปฏิบัติการในระดับล่างนี้ถือเป็น ส่วนของโครงสร้างที่มีจํานวนมากที่สุดและมีโอกาสเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในองค์การ

4 Technostructure คือ ผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคการดําเนินงานขององค์การ เช่น วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี นักเทคนิคการแพทย์ นักวิจัยการตลาด เป็นต้น

5 Support Staff คือ ฝ่ายอํานวยการ มีหน้าที่อํานวยความสะดวกแก่ฝ่ายงานหลัก เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายธุรการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ Mintzberg ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ส่วนที่จัดว่าเป็นส่วนของ “สายงานหลัก” ขององค์การ จะประกอบไปด้วยส่วนที่ 1, 2 และ 3 เท่านั้น ในส่วนที่ 4 และ 5 เป็นเพียง “ฝ่ายสนับสนุน” ไม่มีบทบาทตาม สายการบังคับบัญชาชัดเจน ซึ่งบางองค์การอาจใช้บุคคลภายนอกมาปฏิบัติงานในส่วนนี้ได้

 

ข้อ 4 จงอธิบายเปรียบเทียบแนวความคิดเกี่ยวกับการจูงใจมาอย่างน้อย 2 แนวคิดโดยละเอียด

แนวคําตอบ

การจูงใจ (Motivation) หมายถึง การสร้างแรงปรารถนาในตัวคนให้กระทําบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้การกระทํานั้นเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของปัจเจกบุคคล หรือหมายถึงความสามารถในการชักจูง ให้บางคนเกิดความคล้อยตาม ซึ่งนักคิดกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์มองว่า การจูงใจถือเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่มีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การนอกเหนือจากค่านิยม ทัศนคติ บุคลิก มุมมอง การเรียนรู้ และเป็นปัจจัยที่มีส่วนสําคัญต่อการเกิดผลสําเร็จของงาน โดยแนวคิดการจูงใจนี้ได้รับความสนใจจากนักคิด กลุ่มพฤติกรรมศาสตร์หลายท่าน เช่น Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Douglas Murray McGregor, Frederick Herzberg, David McClelland, Victor H. Vroom, J. Stacy Adams เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะขอยก แนวคิดของ Abraham Maslow และ Frederick Herzberg มาอธิบายและเปรียบเทียบให้เห็นถึงความสอดคล้องกันของแนวคิด

Abraham Maslow

Maslow เสนอ “ทฤษฎีลําดับขั้นของความต้องการ” (Hierarchy of Needs Theory) หรือ “ทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 5 ประการ” (Five Basic Needs Theory) โดยเห็นว่า ผู้บริหารจะสามารถ สร้างแรงจูงใจแก่พนักงานได้หากคํานึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันไปตามลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ดังนี้

1 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) คือ ปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหารและน้ํา ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม นอกจากนี้ปัจจุบันยังอาจหมายความรวมถึงการติดต่อสื่อสารด้วย

2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) คือ ความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน ความมั่นคงในการดํารงอยู่ เช่น การไม่ถูกไล่ออกจากงาน เป็นต้น

3 ความต้องการความรักและการยอมรับ (Love Needs หรือ Social Needs) คือ วาามต้องการความรักทั้งเป็นผู้รับและผู้ให้ และการได้รับการยอมรับในสังคม

4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) คือ ความต้องการในการ ได้รับการชื่นชมและการสรรเสริญจากสังคม

5 ความต้องการความสําเร็จที่เกิดจากตนเอง (Self-Actualization Needs) คือ ความ ต้องการทําในสิ่งที่ตนสามารถจะทําได้ เพื่อเป็นการสนองต่อความพอใจหรือความปรารถนาของตนเอง เช่น การบวช ความร่ํารวย เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Maslow นี้ เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการด้วยขั้นของความ ต้องการใดไปแล้ว ความต้องการขั้นนั้นจะไม่มีผลในการจูงใจมนุษย์คนนั้นอีก ดังนั้นองค์การสามารถนําแนวทาง ดังกล่าวไปพิจารณาตอบสนองเพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่คนงานได้โดยการตอบสนองตามระดับ อย่างไรก็ตาม

การตอบสนองความต้องการแต่ละระดับนั้น องค์การไม่ควรตอบสนองความต้องการนั้น ๆ เต็มที่ มิฉะนั้นแล้ว ความต้องการดังกล่าวจะไม่ใช่เป็นตัวมูลเหตุจูงใจให้คนงาน เพราะถูกมองว่าเป็นหน้าที่ขององค์การนั่นเอง

Frederick Herzberg

Herzberg ได้เสนอ “ทฤษฎีสองปัจจัย” (Two Factors Theory) โดยเห็นว่า ความต้องการ มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนงานโดยความต้องการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ปัจจัยจงใจ (Autotivation Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง ได้แก่ ความสําเร็จ ของงาน การได้รับการยอมรับผลงาน ความก้าวหน้าของงาน ความรับผิดชอบในงานที่มากขึ้น และลักษณะของงาน ที่ท้าทายน่าสนใจ ดังนั้นถ้าองค์การสามารถดําเนินการให้เกิดสิ่งนี้จะมีผลกระตุ้นให้คนงานทํางานได้ดีขึ้น แต่ถึงแม้ว่า จะไม่มีก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแต่อย่างใด

2 ปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ นโยบายขององค์การ การบริหารบังคับบัญชา กฎระเบียบเพื่อควบคุมการทํางาน สภาพหรือเงื่อนไขการทํางาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความมั่นคงในการทํางาน เงินเดือน สวัสดิการ เป็นต้น ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับ เป็นหน้าที่ขององค์การที่จะต้องทําให้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีจะทําให้คนงานไม่พอใจ แต่จะไม่มีส่วนกระตุ้นให้เกิด การทํางานที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

การเปรียบเทียบความสอดคล้องกันระหว่างแนวคิดของ Maslow กับ Herzberg

1 ความต้องการระดับต่ำ ได้แก่ ความต้องการทางกายภาพ (ความต้องการขั้นที่ 1) และ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (ความต้องการขั้นที่ 2) ตามแนวคิดของ Maslow สอดคล้องกับปัจจัยอนามัย เช่น เงื่อนไขการทํางาน เงินเดือน ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา นโยบายและการบริหาร ตามแนวคิดของ Herzberg

2 ความต้องการระดับสูง ได้แก่ การได้รับการยอมรับ (ความต้องการขั้นที่ 3) การได้รับ การยกย่อง (ความต้องการขั้นที่ 4) และการทํางานให้สําเร็จด้วยตนเอง (ความต้องการขั้นที่ 5) ตามแนวคิดของ Maslow สอดคล้องกับปัจจัยจูงใจ เช่น ความสําเร็จของงาน การได้รับการยอมร ผลงาน ความก้าวหน้าของงาน ความรับผิดชอบในงาน และลักษณะของงาน ตามแนวคิดของ Herzberg

 

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ

ข้อ 1 พฤติกรรมองค์การคืออะไร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์การ จงอธิบายมาให้เข้าใจโดยละเอียด

แนวคําตอบ

ความหมายของพฤติกรรมองค์การ

Gibson, Ivancevich and Downelly ให้ความหมายว่า พฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ ทัศนคติ และผลการปฏิบัติงานภายในสภาพแวดล้อมขององค์การ โดยใช้ทฤษฎี วิธีการ และหลักการของวิชาสาขาจิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยามาผสมผสานเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการรับรู้ของคน ค่านิยม ความสามารถในการเรียนรู้ การกระทําต่าง ๆ ในขณะที่กําลังทํางานอยู่ในองค์การ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ ผลกระทบของสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การที่มีผลต่อองค์การ ทรัพยากรบุคคล จุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ต่าง ๆ ภายนอกด้วย

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์การ ได้แก่

1 บุคลากร ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านความรู้ความสามารถ การบรู้ การเรียนรู้ ทัศนคติ ค่านิยม และบุคลิกภาพ จึงส่งผลให้บุคลากรที่ทํางานในองค์การมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม องค์การที่แตกต่างกันออกไปด้วย

2 โครงสร้าง หมายถึง การจัดกลุ่มงานเข้าด้วยกันตามจุดมุ่งหมายขององค์การและตาม หน้าที่ มีสายการบังคับบัญชา มีการจัดสรรอํานาจหน้าที่ระหว่างตําแหน่งหน้าที่การบริหารต่าง ๆ หรืออาจกล่าว ได้ว่า โครงสร้างเป็นแบบแผนของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ในองค์การที่สร้างขึ้นมา โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้

โครงสร้างองค์การจะช่วยขจัดความไม่ชัดเจนต่าง ๆ ของบทบาทหน้าที่ ทําให้การปฏิบัติงาน ขององค์การสามารถบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ ก่อให้เกิดความร่วมมือในการทํางานในองค์การ การจัดองค์การ มีระเบียบขั้นตอนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ปัญหาข้อบกพร่องในการดําเนินงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นโครงสร้างองค์การจึงเป็นพื้นฐานที่สําคัญในการบริหาร ถ้าองค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม มีการจัดโครงสร้าง ที่ชัดเจนสมดุลกับปริมาณงานที่มีอยู่ในองค์การแล้ว ก็จะช่วยให้การบริหารงานในองค์การประสบความสําเร็จ

3 เทคโนโลยี ถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสําคัญในการทํางาน โดยในปัจจุบันมีการนํา เครื่องจักรมาใช้แทนที่คนงานระดับล่าง ทําให้การผลิตหรือการทํางานมีความรวดเร็วขึ้น การนําเทคโนโลยีมาใช้ใน การทํางานทําให้องค์การต้องมีการออกแบบองค์การใหม่ และบุคคลในองค์การจะต้องมีการฝึกฝนพัฒนาตนเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นองค์การจึงจําเป็นต้องมีการพัฒนา องค์การด้วยวิธีการดังนี้

1) การจัดการคุณภาพ (Total Quality Management หรือ TQM) เป็นการพัฒนา กระบวนการทํางานให้ต่อเนื่องกัน เพื่อลดความแตกต่างระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน ตลอดจนให้มีมาตรฐานใน การผลิตและการให้บริการในแนวเดียวกัน ซึ่งจะทําให้ต้นทุนในการผลิตลดลงและผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น

2) การรื้อปรับระบบ (Reengineering) เป็นการปรับระบบในองค์การโดยการคิดใหม่ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน มีการทํางานและกระบวนการใหม่ ๆ โดยนําเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการทํางาน

3) ระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Manufacturing System) เป็นระบบ การผลิตที่จะสามารถผลิตสินค้าที่มีปริมาณน้อย แต่ใช้ต้นทุนต่ําหรือมีต้นทุนต่อหน่วยเหมือนกับการผลิตจํานวนมาก ในการผลิตแบบนี้องค์การสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยที่องค์การไม่จําเป็นที่จะต้องผลิตสินค้า ในปริมาณมากอีกต่อไป

4) การพ้นสมัยของคนงาน (Worker Obsolescence) หมายถึง ความสําคัญของ พนักงานลดลง เนื่องจากการนําเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการที่สูงขึ้นเข้ามาใช้แทนที่ ทําให้งานมีลักษณะต้องทําซ้ําและ ทําเหมือนกันทุกวัน กลายเป็นงานที่มีความสําคัญมากยิ่งขึ้น เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ชาให้งานกลายเป็นงาน ในระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยทําให้ผลผลิตมากขึ้นโดยการใช้พนักงานเพียงไม่กี่คน แต่เป็นพนักงานที่มีความชํานาญ ในการทํางานที่แตกต่างไปจากเดิม

4 สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อองค์การแตกต่างกันออกไป โดยสิ่งแวดล้อม ของการบริหารองค์การแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อองค์การของรัฐทุก ๆ องค์การ มีลักษณะเป็นสิ่งแวดล้อมร่วมของสังคมที่ทุก ๆ หน่วยงานจะต้องเผชิญ เช่น ลักษณะของวัฒนธรรมประเพณี ค่านิยมของคนในชาติ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา ภูมิศาสตร์ของประเทศ เป็นต้น

2) สิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลโดยตรงและมักจะมีความ สัมพันธ์ต่อองค์การในลักษณะที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น จํานวนทรัพยากรที่จําเป็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการ บริหารงานในหน่วยงานนั้น ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานนั้น ๆ กับองค์การอื่น ๆ ในสังคม

 

ข้อ 2 ให้เลือกตอบเพียง 1 ข้อ

ก จงอธิบายหลักการบริหารจากแนวคิดของ Henri Fayol มาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

Henri Fayol เป็นนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส เขาได้เสนอกระบวนการบริหารของนักบริหาร ไว้ 5 ประการ หรือเรียกว่า “POCCC” ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ

3 C = Commanding คือ การบังคับบัญชา

4 C = Coordinating คือ การประสานงาน

5 C = Controlling คือ การควบคุมงาน นอกจากนี้ Fayol ยังได้เสนอหลักการบริหารทั่วไป 14 ประการ ได้เก่

1 การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

2 การมีเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction)

3 การแบ่งงานกันทํา (Division of Work)

4 การรวมอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง (Centralization)

5 อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility) 6 ความเสมอภาค (Equity)

7 สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain)

8 การให้ผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration)

9 การมีระเบียบข้อบังคับ (Order)

  1. ความมีระเบียบวินัย (Discipline)

11 ความคิดริเริ่ม (Initiative)

12 ผลประโยชน์ของบุคคลควรจะเป็นรองจากผลประโยชน์สวนราม (Subordination of Individual Interest to the General Interest)

13 ความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Stability of Tenure of Pers(in)

14 ความสามัคคีเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน (Esprit de Corps)

จากหลักการบริหารดังกล่าวจะเห็นได้ว่า Fayol ยอมรับองค์การที่เป็นทางการ โดยใช้ประโยชน์ จากการแบ่งงานกันทํา และเน้นความสําคัญขององค์การ คือ ความเป็นระเบียบ ความมั่นคง ความคิดริเริ่ม และ ความสามัคคี นอกจากนี้หลักการบริหารของ Fayol นับเป็นหลักการของทฤษฎีที่สมบูรณ์ครั้งแรกที่ช่วยให้ผู้บริหาร สามารถวางระเบียบแบบแผนและหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมทรัพยากรต่าง ๆ และบุคคลเข้ามา รวมอยู่ในองค์การให้สามารถทํางานโดยมีประสิทธิภาพจนบรรลุเป้าหมายที่กําหนดได้

 

ข “ค่านิยมของระบบราชการ” มีอะไรบ้าง เกี่ยวข้องกับ “The Changing Nature of Work” หรือไม่อย่างไร จงอธิบาย

แนวคําตอบ

ค่านิยมของระบบราชการ

หากพิจารณาแนวคิดของนักคิดในยุคต่าง ๆ เกี่ยวกับค่านิยมของการบริหารในระบบราชการ สามารถสรุปแนวทางหรือหลักการของระบบราชการได้ดังนี้

1 หลักเหตุผล (Rationality) ระบบราชการที่มีสมรรถนะสูงจะต้องเป็นระบบราชการ ที่อาศัยหลักเหตุผลในการดําเนินการตัดสินใจ ซึ่งเป็นข้อสรุปที่สอดคล้องกันของนักคิดรัฐประศาสนศาสตร์ตั้งแต่ ยุคคลาสสิกจนถึงยุคสมัยใหม่ เนื่องจากนักคิดส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าการบริหารงานในภาครัฐเป็นเรื่องที่มี ความสลับซับซ้อน ดังนั้นการจะแก้ปัญหาในการบริหารได้จําเป็นจะต้องอาศัยหลักเหตุผล เช่น ข้อเสนอของ Taylor ซึ่งได้พยายามที่จะนําเอาหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน โดยเชื่อว่าหลักวิทยาศาสตร์ จะสามารถสร้างการบริหารงานที่มีเหตุผลจนนําไปสู่การบรรลุประสิทธิผลขององค์การได้ หรือผลงานของ Weber ได้นําเสนอการใช้หลักเหตุผลในการบริหารงานในองค์การขนาดใหญ่ เช่น การบริหารงานที่คํานึงถึงกฎระเบียบ แบบแผนที่ชัดเจนตายตัว การบริหารงานที่คํานึงถึงความสัมพันธ์ที่เป็นทางการตามที่ระบุไว้ในสายการบังคับบัญชา เป็นต้น แม้แต่แนวคิดการบริหารงานในยุคปัจจุบันก็ยังให้ความสําคัญกับการบริหารงานตามหลักเหตุผล เช่น การนําเสนอหลักการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวิเคราะห์แบบเป็นระบบ หรือการบริหารงาน ที่อาศัยคณิตศาสตร์ เป็นต้น

2 หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) การบริหารงานที่ต้องคํานึงถึงหลักประสิทธิภาพ ได้เก่ การมีสมรรถนะ (Competence) การเพิ่มผลผลิต (Productivity) การมีสมรรถภาพ (Capable) หรือ การบริหารงานที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แรงงาน หรือวัสดุอุปกรณ์ให้น้อยที่สุด ถือเป็นหลักการที่สําคัญในการ บริหารงานในระบบราชการ ด้วยเหตุนี้แนวคิดการบริหารงานของน้าติดในยุคต่าง ๆ จึงพยายามคิดค้นแนวทาง เพื่อทําให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของนักคิดยุคคลาสสิกที่นําเสนอให้มีการแบ่งงาน กันทําตามความถนัด การสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงานโดยจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายชิ้น แนวคิดของนักคิดยุคสมัยใหม่ ที่นําเสนอการจูงใจโดยคํานึงถึงคุณค่าทางจิตใจ หรือแนวคิดของนักคิดในยุคปัจจุบันที่นําเสนอการบริหารงาน ภายใต้ระบบประกันคุณภาพ ได้แก่ ISO 9000, 9001, 9002 และ PSO รวมทั้งการบริหารงานโดยการควบคุม คุณภาพแบบครบวงจร (TQM) เป็นต้น

3 ยึดหลักการในการปฏิบัติงาน (Principle Mindedness) ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ และคํานึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมจะต้องบริหารงานโดยอาศัยหลักกฎหมาย เพื่อให้ความเสมอภาค แก่บุคคลทั่วไป โดยไม่คํานึงถึงเรื่องส่วนตัว ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของ Weber มองว่า การบริหารราชการใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว ข้าราชการจะยึดหลัก Principle Mindedness กล่าวคือ จะละทิ้งเรื่องส่วนตัว สนใจเรื่อง ส่วนรวม ซึ่งตรงกันข้ามกับการบริหารราชการในประเทศกําลังพัฒนาที่มักมีการเลือกใช้กฎหมาย และข้าราชการ คํานึงถึงเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

4 หลักการมีส่วนร่วมในการบริหาร (Participation) หลักการนี้ถือเป็นความแตกต่าง ที่ชัดเจนของแนวคิดการบริหารราชการของนักคิดในอดีตและปัจจุบัน กล่าวคือ นักคิดในยุคคลาสสิกมุ่งเน้นการ แบ่งงานกันทําและการเคร่งครัดกับการทํางานที่ยึดติดกับสายการบังคับบัญชาจึงส่งผลให้การบริหารงานในองค์การ

มีลักษณะของการรวมอํานาจ แต่นักคิดในยุคปัจจุบันให้ความสําคัญกับความเป็นประชาธิปไตยจึงส่งผลให้แนวคิด การบริหารงานอยู่บนพื้นฐานของการกระจายอํานาจและเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน –

5 หลักผลประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) ถือเป็นองค์ประกอบสําคัญที่ช่วยให้ การบริหารในระบบราชการมีความชอบธรรมและได้รับการสนับสนุนจากสังคม ในอดีตนักคิดในยุคคลาสสิก ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องของผลประโยชน์สาธารณะ แต่กลุ่มนักคิดสมัยใหม่กลับพยายามนําเสนอการบริหาร ที่คํานึงถึงผลประโยชน์สาธารณะ และการบริหารที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาของสังคม เช่น ข้อเสนอของ (Ostrom เป็นการนําเสนอการบริหารแบบประชาธิปไตย คํานึงถึงการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์สาเธารณะ

6 หลักความเสมอภาคทางสังคม (Social Equity) เป็นแนวคิดที่ได้เสนอเพื่อช่วยเหลือ ประชาชนที่เสียเปรียบทางสังคม โดยเห็นว่าประชาชนในประเทศควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน ตามหลักการดังกล่าว เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่เสียเปรียบมีโอกาสมากขึ้น ส่งผลให้สังคมน่าอยู่ และเป็นการคํานึงถึงคนส่วนน้อย ซึ่ง สอดคล้องกับข้อสังเกตของนักคิดสมัยใหม่ เช่น Rehfuss และ Shick ที่เสนอให้การบริหารงานในภาครัฐมุ่งเน้น การสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม

จากค่านิยมของระบบราชการดังกล่าว ทําให้โครงสร้างองค์การแบบระบบราชการหรือองค์การ แบบ Bureaucracy โดยเฉพาะตามแนวคิดของนักคิดยุคคลาสสิก มีการบริหารงานที่คํานึงถึงระเบียบแบบแผน ที่ชัดเจนตายตัว คํานึงถึงความสัมพันธ์ที่เป็นทางการตามสายการบังคับบัญชา มีการแบ่งงานกันทําตามความถนัด มีการรวมศูนย์อํานาจ ฯลฯ ซึ่งลักษณะโครงสร้างองค์การดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีความเหมาะสมกับ องค์การในอนาคต ดังนั้นจึงต้องมีการจัดโครงสร้างองค์การใหม่และมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะงาน (The Changing Nature of Work) ขององค์การแบบ Eureaucracy ไปเป็นแบบ Post Bureaucracy เพื่อให้การบริหารงาน ในองค์การมีประสิทธิภาพ สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการแข่งขันกับองค์การอื่น และ สามารถแข่งขันกับความก้าวหน้าได้

การเปลี่ยนแปลงลักษณะของงานจาก Bureaucracy ไปเป็น Post Bureaucracy มีลักษณะดังนี้

Bureaucracy

1 แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Work)

2 งานที่ทําซ้ำซาก (Meaningless Repetitive Tasks)

3 งานที่ต่างคนต่างทํา (Individual Work)

4 งานที่แบ่งตามขั้นตอน (Functional-Ease Work)

5 งานที่ต้องอาศัยทักษะอย่างเดียว (Single-Skilled)

6 ยึดถืออํานาจของผู้บังคับบัญชา (Power of Bosses)

7 มีความสัมพันธ์จากส่วนบนลงลาง (Coordination from Above)

Post Bureaucracy

1 แรงงานที่มีความรู้ความสามารถ (Knowledge Work)

2 งานที่ทันสมัยและท้าทาย (Innovation and Caring)

3 มีการทํางานเป็นทีม (Teamwork)

4 มีการทํางานแบบโครงการ (Project-Base Work)

5 งานที่ต้องอาศัยความรู้หลายอย่าง (Multi-Skilled)

6 ยึดถืออํานาจของลูกค้าเป็นสําคัญ (Power of Customers)

7 ความสัมพันธ์เกิดจากผู้ร่วมงานในระดับเดียวกัน (Coordination Among Peers)

 

ข้อ 3 จงอธิบายถึงมิติของโครงสร้างองค์การว่าประกอบไปด้วยมิติใดบ้างตามข้อเสนอของ Mintzberg

แนวคําตอบ

Mintzberg ได้เสนอมิติของโครงสร้างองค์การซึ่งประกอบด้วย 5 มิติ ดังนี้

1 Strategic Apex คือ ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการกําหนดกลยุทธ์ และนโยบาย หรือทิศทางขององค์การ

2 Middle Line คือ ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่คอยประสานระหว่างผู้บริหารระดับสูง กับผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ซึ่งในปัจจุบันผู้บริหารระดับกลางถูกลดบทบาทลงและมีจํานวนน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ในองค์การภาคเอกชน แต่ในทางตรงข้ามองค์การภาครัฐกลับมีคนกลุ่มนี้จํานวนมาก

3 Operating Core คือ ผู้ปฏิบัติการในระดับล่างเป็นกลุ่มคนที่มีความสําคัญในกระบวนการ ผลิต โดยมีหน้าที่ในการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งผู้ปฏิบัติการในระดับล่างนี้ถือเป็น ส่วนของโครงสร้างที่มีจํานวนมากที่สุดและมีโอกาสเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในองค์การ

4 Technostructure คือ ผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคการดําเนินงานขององค์การ เช่น วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี นักเทคนิคการแพทย์ นักวิจัยการตลาด เป็นต้น

5 Support Staff คือ ฝ่ายอํานวยการ มีหน้าที่อํานวยความสะดวกแก่ฝ่ายงานหลัก เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายธุรการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ Mintzberg ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มิติที่จัดว่าเป็นส่วนของ “สายงานหลัก” ขององค์การ จะประกอบไปด้วยส่วนที่ 1, 2 และ 3 เท่านั้น ส่วนมิติที่ 4 และ 5 เป็นเพียง “ฝ่ายสนับสนุน” ไม่มีบทบาทตาม สายการบังคับบัญชาชัดเจน ซึ่งบางองค์การอาจใช้บุคคลภายนอกมาปฏิบัติงานแทน

 

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ

1 พฤติกรรมองค์การคืออะไร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์การ จงอธิบายมาให้เข้าใจโดยละเอียด

แนวคําตอบ

ความหมายของพฤติกรรมองค์การ

Gibson, Ivancevich and Downelly ให้ความหมายว่า พฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ ทัศนคติ และผลการปฏิบัติงานภายในสภาพแวดล้อมขององค์การ โดยใช้ทฤษฎี วิธีการ และหลักการของวิชาสาขาจิตวิทยา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยามาผสมผสานเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการรับรู้ของคน ค่านิยม ความสามารถในการเรียนรู้ การกระทําต่าง ๆ ในขณะที่กําลังทํางานอยู่ในองค์การ รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ ผลกระทบของสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การที่มีผลต่อองค์การ ทรัพยากรบุคคล จุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ และกลยุทธ์ต่าง ๆ ภายนอกด้วย

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมองค์การ ได้แก่

1 บุคลากร ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านความรู้ความสามารถ การรับรู้ การเรียนรู้ ทัศนคติ ค่านิยม และบุคลิกภาพ จึงส่งผลให้บุคลากรที่ทํางานในองค์การมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม องค์การที่แตกต่างกันออกไปด้วย

2 โครงสร้าง หมายถึง การจัดกลุ่มงานเข้าด้วยกันตามจุดมุ่งหมายขององค์การและตาม หน้าที่ มีสายการบังคับบัญชา มีการจัดสรรอํานาจหน้าที่ระหว่างตําแหน่งหน้าที่การบริหารต่าง ๆ หรืออาจกล่าว ได้ว่า โครงสร้างเป็นแบบแผนของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ในองค์การที่สร้างขึ้นมา โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้

โครงสร้างองค์การจะช่วยขจัดความไม่ชัดเจนต่าง ๆ ของบทบาทหน้าที่ ทําให้การปฏิบัติงาน ขององค์การสามารถบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ ก่อให้เกิดความร่วมมือในการทํางานในองค์การ การจัดองค์การ มีระเบียบขั้นตอนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ปัญหาข้อบกพร่องในการดําเนินงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นโครงสร้างองค์การจึงเป็นพื้นฐานที่สําคัญในการบริหาร ถ้าองค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม มีการจัดโครงสร้าง ที่ชัดเจนสมดุลกับปริมาณงานที่มีอยู่ในองค์การแล้ว ก็จะช่วยให้การบริหารงานในองค์การประสบความสําเร็จ

3 เทคโนโลยี ถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสําคัญในการทํางาน โดยในปัจจุบันมีการนํา เครื่องจักรมาใช้แทนที่คนงานระดับล่าง ทําให้การผลิตหรือการทํางานมีความรวดเร็วขึ้น การนําเทคโนโลยีมาใช้ใน การทํางานทําให้องค์การต้องมีการออกแบบองค์การใหม่ และบุคคลในองค์การจะต้องมีการฝึกฝนพัฒนาตนเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นองค์การจึงจําเป็นต้องมีการพัฒนา องค์การด้วยวิธีการดังนี้

1) การจัดการคุณภาพ (Total Quality Management หรือ TQM) เป็นการพัฒนา กระบวนการทํางานให้ต่อเนื่องกัน เพื่อลดความแตกต่างระหว่างผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน ตลอดจนให้มีมาตรฐานใน การผลิตและการให้บริการในแนวเดียวกัน ซึ่งจะทําให้ต้นทุนในการผลิตลดลงและผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น

2) การรื้อปรับระบบ (Reengineering) เป็นการปรับระบบในองค์การโดยการคิดใหม่ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน มีการทํางานและกระบวนการใหม่ ๆ โดยนําเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการทํางาน

3) ระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น (Flexible Manufacturing System) เป็นระบบ การผลิตที่จะสามารถผลิตสินค้าที่มีปริมาณน้อย แต่ใช้ต้นทุนตําหรือมีต้นทุนต่อหน่วยเหมือนกับการผลิตจํานวนมาก ในการผลิตแบบนี้องค์การสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยที่องค์การไม่จําเป็นที่จะต้องผลิตสินค้า ในปริมาณมากอีกต่อไป

4) การพ้นสมัยของคนงาน (Worker Obsolescence) หมายถึง ความสําคัญของ พนักงานลดลง เนื่องจากการนําเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการที่สูงขึ้นเข้ามาใช้แทนที่ ทําให้งานมีลักษณะต้องทําซ้ำและทําเหมือนกันทุกวัน กลายเป็นงานที่มีความสําคัญมากยิ่งขึ้น เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ทําให้งานกลายเป็นงาน ในระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยทําให้ผลผลิตมากขึ้นโดยการใช้พนักงานเพียงไม่กี่คน แต่เป็นพนักงานที่มีความชํานาญ ในการทํางานที่แตกต่างไปจากเดิม

4 สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อองค์การแตกต่างกันออกไป โดยสิ่งแวดล้อม ของการบริหารองค์การแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1) สิ่งแวดล้อมโดยทั่วไป เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อองค์การของรัฐทุก ๆ องค์การ มีลักษณะเป็นสิ่งแวดล้อมร่วมของสังคมที่ทุก ๆ หน่วยงานจะต้องเผชิญ เช่น ลักษณะของวัฒนธรรมประเพณี ค่านิยมของคนในชาติ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา ภูมิศาสตร์ของประเทศ เป็นต้น

2) สิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลโดยตรงและมักจะมีความ สัมพันธ์ต่อองค์การในลักษณะที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น จํานวนทรัพยากรที่จําเป็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการ บริหารงานในหน่วยงานนั้น ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานนั้น ๆ กับองค์การอื่น ๆ ในสังคม

 

ข้อ 2 จงอธิบายถึงมิติของโครงสร้างองค์การว่าประกอบไปด้วยมิติใดบ้างตามข้อเสนอของ Mintzberg

แนวคําตอบ

1 Strategic Apex คือ ผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการกําหนดกลยุทธ์ และนโยบาย หรือทิศทางขององค์การ

2 Middle Line คือ ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่คอยประสานระหว่างผู้บริหารระดับสูง กับผู้ปฏิบัติในระดับล่าง ซึ่งในปัจจุบันผู้บริหารระดับกลางถูกลดบทบาทลงและมีจํานวนน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ในองค์การภาคเอกชน แต่ในทางตรงข้ามองค์การภาครัฐกลับมีคนกลุ่มนี้จํานวนมาก

3 Operating Core คือ ผู้ปฏิบัติการในระดับล่าง เป็นกลุ่มคนที่มีความสําคัญในกระบวนการ เจิต โดยมีหน้าที่ในการผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งผู้ปฏิบัติการในระดับล่างนี้ถือเป็น ส่วนของโครงสร้างที่มีจํานวนมากที่สุดและมีโอกาสเปลี่ยนแปลงบ่อยที่สุดในองค์การ

4 Technostructure คือ ผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคนิคการดําเนินงานขององค์การ เช่น วิศวกร โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี นักเทคนิคการแพทย์ นักวิจัยการตลาด เป็นต้น

5 Support Staff คือ ฝ่ายอํานวยการ มีหน้าที่อํานวยความสะดวกแก่ฝ่ายงานหลัก เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายธุรการ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ Mintzberg ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มิติที่จัดว่าเป็นส่วนของ “สายงานหลัก” ขององค์การ จะประกอบไปด้วยส่วนที่ 1, 2 และ 3 เท่านั้น ส่วนมิติที่ 4 และ 5 เป็นเพียง “ฝ่ายสนับสนุน” ไม่มีบทบาทตาม สายการบังคับบัญชาชัดเจน ซึ่งบางองค์การอาจใช้บุคคลภายนอกมาปฏิบัติงานแทน

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษาอธิบายและเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของแนวคิดวิทยาศาสตร์การจัดการของเทเลอร์ (Frederick W. Taylor) กับแนวคิดหลักการบริหารของฟาโยล (Henri Fayol)

แนวคําตอบ

แนวคิดวิทยาศาสตร์การจัดการของเทเลอร์ (Frederick w. Taylor) เทเลอร์เสนอหลักวิทยาศาสตร์การจัดการ (Scientific Management) เพื่อปรับปรุงวิธีการ ทํางานของคนงานให้มีประสิทธิภาพ โดยเทเลอร์เสนอให้ฝ่ายจัดการหรือฝ่ายบริหารมีหน้าที่ดังนี้

1 สร้างหลักการทํางานหรือวิธีการทํางานที่ดีที่สุด (One Best Way) เพื่อใช้สําหรับการทํางานตามขั้นตอนต่าง ๆ ของงานแทนหลักความเคยชินซึ่งคนงานเคยใช้ปฏิบัติกันสืบมา

2 การคัดเลือกคนงานตามกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท โดยฝ่ายจัดการมีหน้าที่มอบหมายประเภทของงานที่คนงานแต่ละคนถนัดที่สุดและทํางานได้ดีที่สุด

3 พัฒนาคนงานโดยการสอนให้คนงานสามารถทํางานได้อย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ – การจัดการ

4 สร้างบรรยากาศการร่วมมือในการทํางานอย่างฉันมิตรระหว่างฝ่ายจัดการและฝ่ายคนงาน

การพัฒนาสร้างเกณฑ์การทํางานตามหลักวิทยาศาสตร์นั้นอาศัยการทดลองอย่างละเอียดตาม หลักของการศึกษาเรื่องเวลาและการเคลื่อนไหว (Time and Motion Study) เพราะเชื่อว่าหากมีการออกแบบงาน ให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายของคนงานให้น้อยที่สุด และมีเวลาการทํางานน้อยที่สุด จะนําไปสู่ประสิทธิภาพสูงสุด ในการทํางาน

แนวคิดหลักการบริหารของฟาโยล (Henri Fayol) ฟาโยล ได้เสนอหลักการบริหารทั่วไป 14 ประการ ได้แก่

1 การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

2 การมีเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction)

3 การแบ่งงานกันทํา (Division of Work)

4 การรวมอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง (Centralization)

5 อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility) 6 ความเสมอภาค (Equity)

7 สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain)

8 การให้ผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration)

9 การมีระเบียบข้อบังคับ (Order)

10 ความมีระเบียบวินัย (Discipline)

11 ความคิดริเริ่ม (Initiative)

12 ผลประโยชน์ของบุคคลควรจะเป็นรองจากผลประโยชน์ส่วนรวม (Subordination of Individual Interest to the General Interest)

13 ความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Stability of Tenure of Person)

14 ความสามัคคีเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน (Esprit de Corps)

 

นอกจากนี้ฟาโยลยังได้เสนอกระบวนการบริหารของนักบริหารไว้ 5 ประการ หรือเรียกว่า “POCCC” ประกอบด้วย

1 P = Planning คือ การวางแผน

2 0 = Organizing คือ การจัดองค์การ

3 C = Commanding คือ การบังคับบัญชา

4 C = Coordinating คือ การประสานงาน

5 C = Controlling คือ การควบคุมงาน

หลักการบริหารของฟาโยลเป็นหลักการบริหารสากลที่สามารถนํามาใช้ได้กับองค์การทุกประเภท และนับเป็นหลักการของทฤษฎีที่สมบูรณ์ครั้งแรกที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางระเบียบแบบแผนและหลักเกณฑ์ ที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมทรัพยากรต่าง ๆ และบุคคลเข้ามารวมอยู่ในองค์การให้สามารถทํางานโดยมี ประสิทธิภาพจนบรรลุเป้าหมายที่กําหนดได้

เปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของแนวคิดวิทยาศาสตร์การจัดการของเทเลอร์ กับแนวคิดหลักการบริหารของฟาโยล

ความเหมือน ทั้งสองแนวคิดต่างเป็นแนวคิดในยุคคลาสสิก ซึ่งมีจุดเน้นที่สําคัญ เช่น 1 เน้นประสิทธิภาพในการทํางาน

2 มององค์การในระบบปิด คือ มองเฉพาะเรื่องปัจจัยภายในองค์การ ละเลยเรื่องของปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ

3 มองคนเป็นสัตว์เศรษฐกิจ คือ คนทํางานเพราะต้องการผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ เช่น เงินเดือน โบนัส เป็นสําคัญ

4 เน้นการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน ความต่าง

หน่วยในการวิเคราะห์ทั้งสองแนวคิดแตกต่างกัน โดยเทเลอร์มุ่งเน้นการค้นหาวิธีการทํางาน ที่ดีที่สุดในการทํางานของกลุ่มคนงานในโรงงาน แต่ฟาโยลให้ความสําคัญกับการกําหนดหลักการบริหารสําหรับนักบริหาร

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ ๆ

ข้อ 1 จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับการจัดการมีอะไรบ้าง จงอธิบายมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์การ หมายถึง การที่คนมารวมตัวกันเพื่อเข้าทํางานโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันและต้องการ ที่จะทํางานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งระบบย่อยขององค์การ ประกอบด้วย เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ คน โครงสร้าง เทคนิค และความรู้ข้อมูลข่าวสาร

การจัดการ หมายถึง การดําเนินงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ได้ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคํานึงถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเข้าช่วย ซึ่งกระบวนการจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การประสานงาน การจัดองค์การ การตัดสินใจ และการควบคุมงาน

ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับการจัดการ มีดังนี้

1 ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย/วัตถุประสงค์กับการวางแผน หมายถึง เมื่อกําหนด เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การแล้ว ก็ต้องหาหนทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น โดยนักบริหารจะต้อง นําความรู้ในวิชาการวางแผนมาใช้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือ

1) การกําหนดเป้าหมาย

2) การอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน

3) การหาเครื่องมือที่จะมาช่วย พร้อมทั้งตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคในการ บรรลุเป้าหมาย

4) การพัฒนาทางเลือกที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์

2 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับการประสานงาน หมายถึง นักบริหารต้องมีภาวะผู้นํา และมีความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นํา เพื่อจูงใจให้กลุ่มคนมาบริหารองค์การให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ผู้บริหารต้อง มีความสามารถในการสื่อข้อความ เพราะการสื่อข้อความจะช่วยให้เข้าใจงานและสามารถทํางานได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง ช่วยให้เกิดประสิทธิผลที่ดี

3 ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับการจัดองค์การ หมายถึง การจัดองค์การเพื่อให้ องค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1) ปัญหารอบด้านขององค์การ

2) กระบวนการปฏิบัติงานที่มีความรวดเร็ว

3) การจัดสรรคนให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ

4) การติดต่อและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์การที่สอดคล้องกับโครงสร้างองค์การ

5) การจัดโครงสร้างองค์การที่เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่น และจูงใจให้คนมีความเอาใจใส่ต่อการทํางาน

6) การปกครองบังคับบัญชาทุกระดับมีความสอดคล้องกัน

7) การให้อํานาจหน้าที่กับผู้รับผิดชอบที่เหมาะสมในการจัดโครงสร้างองค์การ

8) การจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับนโยบาย

9) การแบ่งส่วนงานที่มีความเหมาะสม

4 ความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคกับการตัดสินใจ หมายถึง เทคนิคการบริหารจะเป็น ประโยชน์ที่ทําให้องค์การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเทคนิคทางการบริหารมี 2 รูปแบบ คือ การตัดสินใจที่ใช้อยู่ เป็นประจํา (Programmed Decision-Making) และการตัดสินใจที่ไม่เกิดบ่อยนัก (Nonprogrammed Decision Making) ดังนั้นนักบริหารจะต้องรู้จักหลักการตัดสินใจในโอกาสต่าง ๆ เช่น

1) การตัดสินใจภายใต้ภาวะที่แน่นอน (Certainty) คือ การตัดสินใจที่ทราบผลในแต่ละทางเลือก

2) การตัดสินใจในภาวะที่มีความเสี่ยง (Risk) คือ การตัดสินใจที่ทราบความเป็นไปของผลในแต่ละทางเลือก

3) การตัดสินใจในภาวะที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) คือ การตัดสินใจที่ไม่ทราบความเป็นไปของผลที่เกิดขึ้น

5 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลข่าวสารกับการควบคุมงาน หมายถึง นักบริหาร จะต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารในการกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งในการควบคุมงาน ทุกประเภทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยนักบริหารจะต้องใช้ระบบการควบคุมเพื่อตรวจสอบว่าการบริหารงานในองค์การ เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในแผนหรือไม่ ซึ่งการควบคุมงานจะทําให้องค์การสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

ข้อ 2 จากแนวคิดของนักทฤษฎีองค์การทําให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้นําแนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ไปปฏิบัติ ดังนั้นจึงให้นักศึกษาเลือกนําเสนอนักคิด 3 ท่านพร้อมอธิบายผลงานมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

1 Max Weber

Weber นักทฤษฎีองค์การชาวเยอรมัน ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของระบบราชการ” เขาเสนอว่า การจัดองค์การแบบระบบราชการ (Bureaucracy) เป็นวิธีการจัดองค์การที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า วิธีอื่นใด ซึ่งลักษณะขององค์การแบบระบบราชการมีดังนี้

1 มีการควบคุมกันโดยการแบ่งลําดับชั้นของการบังคับบัญชา (Hierarchy)

2 การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎระเบียบ (Rule and Regulation) 3 มีการจัดคนที่มีความรู้ความชํานาญเข้าด้วยกัน (Specialization)

4 มีการบริหารงานโดยไม่อาศัยเรื่องส่วนตัว (Impersonality)

5 เน้นการยึดถือความสามารถทางวิชาการ (Technical Competence)

6 เน้นความสําคัญของการพัฒนาบุคคล (Training and Development)

7 แยกผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากองค์การ (Individual Interest, Official)

 

จุดเด่นของแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เป็นการควบคุมโดยอาศัยการจัดโครงสร้างการบังคับบัญชาลดหลั่นกันลงมา

2 ไม่สนใจตัวบุคคล

3 เน้นที่ตัวบทกฎหมายและความมีเหตุผลเพื่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ

4 เน้นความสําคัญของโครงสร้าง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม สนใจแต่การบริหารภายในองค์การ

ข้อดีจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 องค์การมีประสิทธิภาพในการทํางาน (Efficiency)

2 มีความเสมอภาค (Equity)

ข้อเสียจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เกิดความแปลกแยกต่อองค์การ งาน และกฎระเบียบ (Alienation)

2 เกิดความเฉื่อยชา ไม่มีประสิทธิภาพ

3 เกิดความล่าช้า (Red Tape)

4 เกิดความไม่คล่องตัว (Rigidity)

5 เน้นความสําคัญของกฎ ระเบียบ และข้อบังคับมากเกินไป จนมองข้ามความสําคัญในด้านอื่น

6 แบ่งแยกงานกันตามความถนัดมากจนเกินไป

7 ขาดการประสานงาน (Lack of Coordination)

8 มีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resistance to Change)

นอกจากนี้ Weber ยังได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการครอบงํา (Domination) โดยเห็นว่า ผู้นํา หรือนักบริหารจะบริหารงานให้มีประสิทธิภาพได้ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายินยอมที่จะปฏิบัติตาม และ ต้องมีระบบการบริหารมาดําเนินการให้คําสั่งมีผลใช้บังคับได้ ซึ่งลักษณะของการครอบงํา มี 3 รูปแบบ คือ

1 การครอบงําโดยอาศัยจารีตประเพณี (Traditional Domination)

2 การครอบงําโดยใช้บารมี (Charismatic Domination)

3 การครอบงําโดยวิธีกฎหมายและการมีเหตุผล (Legal Domination)

  1. Luther Gulick และ Lyndall Urwick

Gulick และ Urwick ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration : Note on the Theory of Organization” โดยเสนอแนวความคิด กระบวนการบริหารที่เรียกว่า “POSDCORB” ซึ่งเป็นหน้าที่สําคัญของนักบริหาร 7 ประการ ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการ ก่อนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

2 0 = Organizing คือ การจัดองค์การ เป็นการกําหนดโครงสร้างขององค์การโดย พิจารณาให้เหมาะสมกับงาน เช่น การแบ่งงานเป็นกรม กอง หรือแผนก โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพของงาน หรือจัดตามลักษณะเฉพาะของงาน นอกจากนี้อาจพิจารณาในแง่ของการควบคุม หรือพิจารณาในแง่ของ หน่วยงาน เช่น หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษา เป็นต้น

3 S = Staffing คือ การจัดหาบุคลากรมาปฏิบัติงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อให้ได้บุคลากรมาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ การจัดแบ่งหน่วยงานที่กําหนดเอาไว้

4 D = Directing คือ การอํานวยการ เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นํา มนุษยสัมพันธ์ การจูงใจ และการตัดสินใจ เป็นต้น

5 C – Coordinating คือ การประสานงาน เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของ กระบวนการทํางานมีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

6 R = Reporting คือ การรายงาน เป็นกระบวนการและเทคนิคของการรายงาน ให้ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน โดยมีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสารในองค์การ อยู่ด้วย

7 B = Budgeting คือ การงบประมาณ เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทําบัญชี การควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง

สาระสําคัญของแนวคิด POSDCORB คือ “ประสิทธิภาพ” ซึ่ง Gulick และ Urwick เห็นว่า ประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดของการบริหาร และเพื่อให้การบริหารงานในทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการแบ่งงานตามความเหมาะสมและความจําเป็นหรือความถนัดของคนงาน โดยแบ่งหน่วยงานออก ตามกระบวนการ วัตถุประสงค์ ลูกค้า และพื้นที่ ซึ่งทุกหน่วยงานจะต้องจัดรูปแบบองค์การเป็นรูปสามเหลี่ยม พีระมิด และมีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นกันลงมา

3 Douglas Murray McGregor

ไว้ในหนังสือชื่อ “The Human Side of Enterprise” โดยมีฐานคติในการมองคนในองค์การ 2 แบบ คือ

1 ทฤษฎี X ถือว่า

– คนทั่วไปเกียจคร้าน ชอบเลี่ยงงาน

– ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีความรับผิดชอบ

– เห็นแก่ตัวเพิกเฉยต่อความต้องการขององค์การ

2 ทฤษฎี Y ถือว่า

– คนชอบทํางาน ไม่ได้เกียจคร้าน

– การควบคุมภายนอกไม่ใช่วิถีทางที่จะได้มาซึ่งงาน คนสามารถที่จะหาแนวทางและควบคุมตนเองได้

– ความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติงานตามศักยภาพเป็นรางวัลที่มีความสําคัญที่จะทําให้คนมีความรู้สึกผูกพันกับองค์การ

– คนโดยทั่วไปจะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรับผิดชอบต่อไป

– คนส่วนใหญ่อาศัยภาวะสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในองค์การ

ทฤษฎี Y คือ “ภาพพจน์ของคน” ในแนวมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นคนจึงควรควบคุมตนเองได้ การควบคุมตนเองหมายถึงการปรับปรุงองค์การในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกระจายอํานาจ การมอบอํานาจหน้าที่ การขยายงาน การมีส่วนร่วม และการบริหารงานโดยยึดเป้าหมาย จึงเห็นได้ว่าข้อเสนอ การปรับปรุงของ McGregor เป็นการย้ําให้เห็นความสําคัญของคน และช่วยให้คนหลุดพ้นจากการควบคุมของ องค์การ ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของมนุษย์ที่เห็นว่าคนมาก่อนองค์การ

การมองคนในองค์การตามทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ McGregor ช่วยให้เราแยกแยะคนได้ ทําให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดีหรือนายที่ดี ซึ่งการมองแบบนี้เรียกว่า “Polarization” แต่ในสภาพความเป็นจริง เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นประเภท X หรือประเภท Y แต่อาจจะบอกได้ว่าค่อนข้างไปทาง X หรือ Yมากกว่า ดังนั้นการมองคนเป็น Polarization จึงเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรกที่ช่วย ทําให้สามารถจําแนกประเภทของคนได้

 

ข้อ 3 จงอธิบายเปรียบเทียบถึงความสอดคล้องของผลงานของนักคิดกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ โดยยกตัวอย่างผลงานมาอย่างน้อย 2 คน

แนวคําตอบ

นักคิดกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ เป็นกลุ่มที่ทําการศึกษาพฤติกรรมในองค์การ คือ ศึกษาเรื่อง ของการกระทําและการแสดงออกของมนุษย์ในองค์การทั้งในระดับบุคคลและกลุ่มบุคคล ตัวอย่างของนักคิด กลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ที่สําคัญ ได้แก่ Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Douglas Murray McGregor, Frederick Herzberg, McClelland เป็นต้น

ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างผลงานของ Abraham Maslow และ Frederick Herzberg มาอธิบาย

1 ซึ่งนักคิดทั้งสองท่านนี้มีแนวคิดที่สอดคล้องกัน

Abraham Maslow

Maslow ได้เสนอ “ทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 5 ประการ” (Five Basic Needs Theory) โดยเห็นว่า ผู้บริหารจะสามารถสร้างแรงจูงใจแก่พนักงานได้หากคํานึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันไป ตามลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์ ดังนี้

1 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) คือ ปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหารและน้ํา ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม นอกจากนี้ปัจจุบันยังอาจหมายความรวมถึงการติดต่อสื่อสารด้วย

2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) คือ ความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน ความมั่นคงในการดํารงอยู่ เช่น การไม่ถูกไล่ออกจากงาน เป็นต้น

3 ความต้องการความรักและการยอมรับ (Love Needs หรือ Social Needs) คือ ความต้องการความรักทั้งเป็นผู้รับและผู้ให้ และการได้รับการยอมรับในสังคม

4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) คือ ความต้องการในการได้รับ การชื่นชมและการสรรเสริญจากสังคม

5 ความต้องการความสําเร็จที่เกิดจากตนเอง (Self-Actualization Needs) คือ ความ ต้องการทําในสิ่งที่ตนสามารถจะทําได้ เพื่อเป็นการสนองต่อความพอใจหรือความปรารถนาของตนเอง เช่น การบวช ความร่ํารวย เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Maslow นี้ เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการด้วยขั้นของความ ต้องการใดไปแล้ว ความต้องการขั้นนั้นจะไม่มีผลในการจูงใจมนุษย์คนนั้นอีก ดังนั้นองค์การสามารถนําแนวทาง ดังกล่าวไปพิจารณาตอบสนองเพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่คนงานได้โดยการตอบสนองตามระดับ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองความต้องการแต่ละระดับนั้น องค์การไม่ควรตอบสนองความต้องการนั้น ๆ เต็มที่ มิฉะนั้นแล้ว ความต้องการดังกล่าวจะไม่ใช่เป็นตัวมูลเหตุจูงใจให้คนงาน เพราะถูกมองว่าเป็นหน้าที่ขององค์การนั้นเอง

Frederick Herzberg

Herzberg ได้เสนอ “ทฤษฎีสองปัจจัย” (Two Factors Theory) โดยเห็นว่า ความต้องการ มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนงานโดยความต้องการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ปัจจัยจูงใจ (Motivation Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง ได้แก่ ความสําเร็จ ของงาน การได้รับการยอมรับผลงาน ความก้าวหน้าของงาน ความรับผิดชอบในงานที่มากขึ้น และลักษณะของงาน ที่ท้าทายน่าสนใจ ดังนั้นถ้าองค์การสามารถดําเนินการให้เกิดสิ่งนี้จะมีผลกระตุ้นให้คนงานทํางานได้ดีขึ้น แต่ถึงแม้ว่า จะไม่มีก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแต่อย่างใด

2 ปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ นโยบายขององค์การ การบริหารบังคับบัญชา กฎระเบียบเพื่อควบคุมการทํางาน สภาพหรือเงื่อนไขการทํางาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความมั่นคงในการทํางาน เงินเดือน สวัสดิการ เป็นต้น ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนกับ เป็นหน้าที่ขององค์การที่จะต้องทําให้เกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีจะทําให้คนงานไม่พอใจ แต่จะไม่มีส่วนกระตุ้นให้เกิด การทํางานที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

การเปรียบเทียบความสอดคล้องกันระหว่างผลงานของ Maslow กับ Herzberg

1 ความต้องการระดับต่ำ ได้แก่ ความต้องการทางกายภาพ (ความต้องการขั้นที่ 1) และ ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (ความต้องการขั้นที่ 2) ตามแนวคิดของ Maslow สอดคล้องกับปัจจัยอนามัย เช่น เงื่อนไขการทํางาน เงินเดือน ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา นโยบายและการบริหาร ตามแนวคิดของ Herzberg

2 ความต้องการระดับสูง ได้แก่ การได้รับการยอมรับ (ความต้องการขั้นที่ 3) การได้รับ การยกย่อง (ความต้องการขั้นที่ 4) และการทํางานให้สําเร็จด้วยตนเอง (ความต้องการขั้นที่ 5) ตามแนวคิดของ Maslow สอดคล้องกับปัจจัยจูงใจ เช่น ความสําเร็จของงาน การได้รับการยอมรับผลงาน ความก้าวหน้าของงาน ความรับผิดชอบในงาน และลักษณะของงาน ตามแนวคิดของ Herzberg

 

ข้อ 4 จงอธิบายถึงองค์ประกอบของโครงสร้างขององค์การมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์ประกอบของโครงสร้างองค์การ มี 4 องค์ประกอบ คือ

1 การแบ่งส่วนงาน (Division of Labor) คือ การจัดโครงสร้างองค์การตามแนวราบ เป็นการแบ่งแยกงานและการรวมกลุ่มงาน หรือเป็นการจําแนกประเภทของงานตามความชํานาญพิเศษหรือ ตามความถนัดในงานนั้น ๆ และปริมาณของกิจกรรมในองค์การ ซึ่งการแบ่งส่วนงานมากเกินไปอาจก่อให้เกิด ความสิ้นเปลืองและความเบื่อหน่ายของพนักงาน เนื่องจากงานจะมีลักษณะซ้ําซากจําเจ ลักษณะของการแบ่งส่วนงาน มีดังนี้

1) การแบ่งงานตามวิชาชีพ (Personal Specialties) เป็นการแบ่งงานตามความถนัด เฉพาะทาง เช่น งานด้านบัญชี วิศวกร และวิทยาศาสตร์

2) การแบ่งงานตามกิจกรรมภายในองค์การ (Horizontal Specialization) เป็นการ แบ่งงานโดยพิจารณาจากกิจกรรมภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

(1) การแบ่งตามหน้าที่ เช่น การแบ่งเป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และฝ่ายจัดส่ง

(2) การแบ่งตามผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ขององค์การ เช่น หน่วยงานดูแลการผลิต ผงซักฟอก หน่วยงานดูแลการผลิตยาสีฟัน

(3) การแบ่งตามพื้นที่ เช่น การแบ่งของธนาคาร

2 การจัดส่วนงาน (Hierarchy) คือ การจัดชั้นสายการบังคับบัญชา หรือการจัดโครงสร้าง องค์การในแนวดิ่ง เป็นการแบ่งหน่วยงานออกเป็นระดับโดยพิจารณาจากความสําคัญของงานว่าควรจะเป็นงาน ในระดับใด ซึ่งแต่ละระดับจะมีบทบาทและความสําคัญลดหลั่นกันลงมา การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีไม่ควรเกิน 5 ลําดับชั้น เพราะถ้ามีชั้นการบังคับบัญชามากจะเกิดปัญหาการสื่อสารหรือการบิดเบือนข้อมูล

3 ขอบเขตของการบังคับบัญชา (Span of Control) หรือขนาดของการควบคุม คือ จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งตามทฤษฎีแล้วผู้บังคับบัญชา 1 คน ควรมี ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เกิน 15 คน จึงจะทําให้การตัดสินใจและการสั่งการมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขนาดของการควบคุม จะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ความยากง่ายของงาน และความจําเป็นในสถานการณ์ต่าง ๆ .

4 การมอบอํานาจในการตัดสินใจหรือการปฏิบัติงาน (Delegation of Authority) เป็นการพิจารณานโยบายขององค์การว่ามุ่งเน้นการกระจายอํานาจหรือการรวมอํานาจ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก จํานวนผู้ตัดสินใจในการบริหารงานในองค์การ หากองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจมากแสดงว่าองค์การเน้นการ กระจายอํานาจ แต่ถ้าองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวแสดงว่าองค์การเน้นการรวมอํานาจ ทั้งนี้จุดสําคัญ ของการมอบอํานาจและการกระจายอํานาจก็คือ ผู้บังคับบัญชาสามารถกระทําได้เฉพาะการมอบอํานาจในงาน หรือการกระจายอํานาจในการปฏิบัติงานเท่านั้น จะกระจายความรับผิดชอบไม่ได้

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน

ข้อ 1 ให้นําเสนอแนวคิดทฤษฎีของนักคิดยุคดั้งเดิมมา 3 แนวคิด

แนวคําตอบ

ทฤษฎีองค์การยุคดั้งเดิมหรือยุคคลาสสิก เป็นทฤษฎีที่ให้ความสําคัญกับโครงสร้างขององค์การ โดยมีความเชื่อว่า โครงสร้างสามารถควบคุมพฤติกรรมของคนได้ ซึ่งเป็นการมองเฉพาะภายในองค์การ และเน้น ประสิทธิภาพของานจนมองคนเป็นเครื่องจักร ซึ่งนักทฤษฎี/นักคิดยุคดั้งเดิมที่สําคัญ ได้แก่ Adam Smith, Max Weber, Frederick W. Taylor, Luther Gulick & Lyndall Urwick, Henri Fayol, James Mooney & Alan Reiley เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะนําเสนอแนวคิดทฤษฎีของนักคิดยุคดั้งเดิม 3 แนวคิด ดังนี้

1 Frederick W. Taylor

Taylor เสนอ “ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” (Scientific Management) เขาได้รับการ ยกย่องว่าเป็น “บิดาของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” เนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มการนําเอาหลักวิทยาศาสตร์มาใช้ทดแทน จารีตประเพณีอันเป็นความเคยชินในการทํางาน โดยหันมายึดหลักการที่สําคัญที่สุด คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ ในการผลิตด้วยการคิดค้นการทํางานตามหลักวิทยาศาสตร์

สาระสําคัญของทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์

1 การอาศัยเทคนิคทําให้ได้งานมากที่สุดเพื่อเข้าสู่หลัก “One Best Way”

2 การค้นหาหลักเกณฑ์ในการทํางาน โดย

– สรรหาคนด้วยหลักวิทยาศาสตร์

– การศึกษาและพัฒนาบุคคลเพื่อทําตามเทคนิคที่กําหนด

– ความร่วมมือระหว่างหัวหน้างานและคนงานเป็นสิ่งจําเป็น

3 ควรมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในกลุ่ม มีการแบ่งงานกันทําระหว่างฝ่ายจัดการและคนงาน

4 ทํางานให้ได้ผลผลิตที่สูงสุดมากกว่าจะกําหนดผลผลิตที่เข้มงวด

5 ควรมีการพัฒนาคนงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

หลักการที่สําคัญ

1 ต้องสร้างหลักการทํางานที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลัก Time and Motion Study แล้วกําหนดเป็น One Best Way เพื่อทําให้เกิดวิธีการทํางานที่มีประสิทธิภาพ

2 มีการเลือกคนที่เหมาะสม

3 มีกระบวนการพัฒนาคน

4 สร้างการมีส่วนร่วม (Friendly Cooperation) ให้เกิดขึ้นในองค์การ

ทฤษฎีการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของ Taylor เป็นทฤษฎีที่เน้น “โครงสร้าง” โดยเห็นว่า หากมีโครงสร้างในการทํางานที่ดี มีการจัดแบ่งงานที่ดีที่สุดในสถานที่ปฏิบัติงาน และมีการวิเคราะห์เพื่อหา One Best Way มาใช้ในการทํางานในองค์การแล้วจะก่อให้เกิดการทํางานที่มีประสิทธิภาพและประหยัด จึงกล่าวได้ว่าการบริหารงาน ที่ยึดหลักทฤษฎีนี้สนใจเฉพาะการบริหารรายในโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อม มองคนเหมือนเครื่องจักรที่ต้องจูงใจให้ทํางาน ด้วยเงิน (Money Incentive) จึงมีลักษณะเป็นองค์การในระบบปิด

2 Luther Gulick & Lyndall Urwick

Gulick & Urwick ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration : Note on the Theory of Organization” โดยเสนอแนวความคิด กระบวนการบริหารที่เรียกว่า “POSDCORB” ซึ่งเป็นหน้าที่สําคัญของนักบริหาร 7 ประการ ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการ ก่อนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ เป็นการกําหนดโครงสร้างขององค์การโดยพิจารณา ให้เหมาะสมกับงาน เช่น การแบ่งงานเป็นกรม กอง หรือแผนก โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพของงานหรือจัด ตามลักษณะเฉพาะของงาน นอกจากนี้อาจพิจารณาในแง่ของการควบคุม หรือพิจารณาในแง่ของหน่วยงาน เช่น หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษา เป็นต้น

3 S = Staffing คือ การจัดหาบุคลากรมาปฏิบัติงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อให้ได้บุคลากรมาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ การจัดแบ่งหน่วยงานที่กําหนดเอาไว้

4 D = Directing คือ การอํานวยการ เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นํา มนุษยสัมพันธ์ การจูงใจ และการตัดสินใจ เป็นต้น

5 CO = Coordinating คือ การประสานงาน เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของ กระบวนการทํางานมีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

6 R = Reporting คือ การรายงาน เป็นกระบวนการและเทคนิคของการรายงานให้ ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน โดยมีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสารในองค์การอยู่ด้วย

7 B = Budgeting คือ การงบประมาณ เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทําบัญชี การควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง

สาระสําคัญของแนวคิด POSDCORB คือ “ประสิทธิภาพ” ซึ่ง Gulick & Urwick เห็นว่า ประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดของการบริหาร และเพื่อให้การบริหารงานในทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพจะต้อง มีการแบ่งงานตามความเหมาะสมและความจําเป็นหรือความถนัดของคนงาน โดยแบ่งหน่วยงานออกตาม กระบวนการ วัตถุประสงค์ ลูกค้า และพื้นที่ ซึ่งทุกหน่วยงานจะต้องจัดรูปแบบองค์การเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด และมีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นกันลงมา

3 Henri Fayol

Fayol เป็นนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส เขาได้เสนอกระบวนการบริหารของนักบริหารไว้ 5 ประการ หรือเรียกว่า “POCCC” ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ

3 C = Commanding คือ การบังคับบัญชา

4 C = Coordinating คือ การประสานงาน

5 C = Controlling คือ การควบคุมงาน นอกจากนี้ Fayol ยังได้เสนอหลักการบริหารทั่วไป 14 ประการ ได้แก่

1 การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)

2 การมีเอกภาพในการสั่งการ (Unity of Direction)

3 การแบ่งงานกันทํา (Division of Work)

4 การรวมอํานาจไว้ที่ส่วนกลาง (Centralization)

5 อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility) 6 ความเสมอภาค (Equity)

7 สายการบังคับบัญชา (Scalar Chain)

8 การให้ผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration)

9 การมีระเบียบข้อบังคับ (Order)

10 ความมีระเบียบวินัย (Discipline)

11 ความคิดริเริ่ม (Initiative)

12 ผลประโยชน์ของบุคคลควรจะเป็นรองจากผลประโยชน์ส่วนรวม (Subordination of Individual Interest to the General Interest)

13 ความมั่นคงในหน้าที่การงาน (Stability of tenure of Person)

14 ความสามัคคีเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน (Esprit de Corps)

จากหลักการบริหารดังกล่าวจะเห็นได้ว่า Fayol ยอมรับองค์การที่เป็นทางการ โดยใช้ประโยชน์ จากการแบ่งงานกันทํา และเน้นความสําคัญขององค์การ คือ ความเป็นระเบียบ ความมั่นคง ความคิดริเริ่ม และ ความสามัคคี นอกจากนี้หลักการบริหารของ Fayol นับเป็นหลักการของทฤษฎีที่สมบูรณ์ครั้งแรกที่ช่วยให้ผู้บริหาร สามารถวางระเบียบแบบแผนและหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรวบรวมทรัพยากรต่าง ๆ และบุคคลเข้ามา รวมอยู่ในองค์การให้สามารถทํางานโดยมีประสิทธิภาพจนบรรลุเป้าหมายที่กําหนดได้

 

ข้อ 2 จงอธิบายถึงลักษณะของการบริหารงานในระบบราชการตามแนวความคิดของ Max Weber

แนวคําตอบ

Max Weber นักทฤษฎีองค์การชาวเยอรมัน ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของระบบราชการ” เขาเสนอว่า การจัดองค์การแบบระบบราชการ (Bureaucracy) เป็นวิธีการจัดองค์การที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า วิธีอื่นใด ซึ่งการบริหารงานในระบบราชการตามแนวคิดของ Weber มีลักษณะดังนี้

1 มีการควบคุมกันโดยการแบ่งลําดับชั้นของการบังคับบัญชา (Hierarchy)

2 การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎระเบียบ (Rule and Regulation) 3 มีการจัดคนที่มีความรู้ความชํานาญเข้าด้วยกัน (Specialization)

4 มีการบริหารงานโดยไม่อาศัยเรื่องส่วนตัว (Impersonality)

5 เน้นการยึดถือความสามารถทางวิชาการ (Technical Competence)

6 เน้นความสําคัญของการพัฒนาบุคคล (Training and Development)

7 แยกผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากองค์การ (Individual Interest, Official)

จุดเด่นของแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เป็นการควบคุมโดยอาศัยการจัดโครงสร้างการบังคับบัญชาลดหลั่นกันลงมา

2 ไม่สนใจตัวบุคคล

3 เน้นที่ตัวบทกฎหมายและความมีเหตุผลเพื่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ

4 เน้นความสําคัญของโครงสร้าง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม สนใจแต่การบริหารภายในองค์การ

ข้อดีจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 องค์การมีประสิทธิภาพในการทํางาน (Efficiency)

2 มีความเสมอภาค (Equity)

ข้อเสียจากแนวคิดของ weber ได้แก่

1 เกิดความแปลกแยกต่อองค์การ งาน และกฎระเบียบ (Alienation)

2 เกิดความเฉื่อยชา ไม่มีประสิทธิภาพ

3 เกิดความล่าช้า (Red Tape)

4 เกิดความไม่คล่องตัว (Rigidity)

5 เน้นความสําคัญของกฎ ระเบียบ และข้อบังคับมากเกินไป จนมองข้ามความสําคัญในด้านอื่น

6 แบ่งแยกงานกันตามความถนัดมากจนเกินไป

7 ขาดการประสานงาน (Lack of Coordination)

8 มีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resistance to Change)

 

ข้อ 3 จงอธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การ พร้อมทั้งระบุชื่อนักคิดอย่างน้อย

1 ทฤษฎี

แนวคําตอบ

Gibson ได้เสนอองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การ ซึ่งมี 4 องค์ประกอบ คือ

1 การแบ่งส่วนงาน (Division of Labor) คือ การจัดโครงสร้างองค์การตามแนวราบ เป็นการแบ่งแยกงานและการรวมกลุ่มงาน หรือเป็นการจําแนกประเภทของงานตามความชํานาญพิเศษหรือ ตามความถนัดในงานนั้น ๆ และปริมาณของกิจกรรมในองค์การ ซึ่งการแบ่งส่วนงานมากเกินไปอาจก่อให้เกิด ความสิ้นเปลืองและความเบื่อหน่ายของพนักงาน เนื่องจากงานจะมีลักษณะซ้ําซากจําเจ ลักษณะของการแบ่ง ส่วนงานมีดังนี้

1) การแบ่งงานตามวิชาชีพ (Personal Specialties) เป็นการแบ่งงานตามความถนัด เฉพาะทาง เช่น งานด้านบัญชี วิศวกร และวิทยาศาสตร์

2) การแบ่งงานตามกิจกรรมภายในองค์การ (Horizontal Specialization) เป็น การแบ่งงานโดยพิจารณาจากกิจกรรมภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

(1) การแบ่งตามหน้าที่ เช่น การแบ่งเป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และฝ่ายจัดส่ง

(2) การแบ่งตามผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ขององค์การ เช่น หน่วยงานดูแลการผลิต ผงซักฟอก หน่วยงานดูแลการผลิตยาสีฟัน

(3) การแบ่งตามพื้นที่ เช่น การแบ่งของธนาคาร

2 การจัดส่วนงาน (Hierarchy) คือ การจัดชั้นสายการบังคับบัญชา หรือการจัดโครงสร้าง องค์การในแนวดิ่ง เป็นการแบ่งหน่วยงานออกเป็นระดับโดยพิจารณาจากความสําคัญของงานว่าควรจะเป็นงาน ในระดับใด ซึ่งแต่ละระดับจะมีบทบาทและความสําคัญลดหลั่นกันลงมา การจัดสายการบังคับบัญชาที่ดีไม่ควรเกิน 5 ลําดับชั้น เพราะถ้ามีชั้นการบังคับบัญชามากจะเกิดปัญหาการสื่อสารหรือการบิดเบือนข้อมูล

3 ขอบเขตของการบังคับบัญชา (Span of Control) หรือขนาดของการควบคุม คือ จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ รับผิดชอบโดยตรง การมีขนาดของการควบคุมที่เหมาะสมจะทําให้ การตัดสินใจและการสั่งการมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขนาดของการควบคุมจะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับความสามารถของ ผู้ปฏิบัติงาน ความยากง่ายของงาน และความจําเป็นในสถานการณ์ต่าง ๆ

4 การมอบอํานาจในการตัดสินใจหรือการปฏิบัติงาน (Delegation of Authority) เป็นการพิจารณานโยบายขององค์การว่ามุ่งเน้นการกระจายอํานาจหรือการรวมอํานาจ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จาก จํานวนผู้ตัดสินใจในการบริหารงานในองค์การ หากองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจมากแสดงว่าองค์การเน้นการ * * มาจ แต่ถ้าองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวแสดงว่าองค์การเน้นการรวมอํานาจ ทั้งนี้ จุดสําคัญของการมอบอํานาจและการกระจายอํานาจก็คือ ผู้บังคับบัญชาสามารถกระทําได้เฉพาะการมอบอํานาจ ในงานหรือการกระจายอํานาจในการปฏิบัติงานเท่านั้น จะกระจายความรับผิดชอบไม่ได้

 

ข้อ 4 จงอธิบายแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมและการจูงใจในองค์การมาอย่างน้อย 1 ทฤษฎี

แนวคําตอบ

การจูงใจ (Motivation) หมายถึง การสร้างแรงปรารถนาในตัวคนให้กระทําบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้การกระทํานั้นเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของปัจเจกบุคคล หรือหมายถึงความสามารถในการชักจูง ให้บางคนเกิดความคล้อยตาม ซึ่งนักคิดกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์มองว่า การจูงใจถือเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การนอกเหนือจากค่านิยม ทัศนคติ บุคลิก มุมมอง การเรียนรู้ และเป็น ปัจจัยที่มีส่วนสําคัญต่อการเกิดผลสําเร็จของงาน โดยแนวคิดการจูงใจนี้ได้รับความสนใจจากนักคิดกลุ่ม พฤติกรรมศาสตร์หลายท่าน เช่น Abraham Maslow, Clayton Alderfer, Douglas Murray McGregor, Frederick Herzberg, David McClelland, Victor H. Vroom, J. Stacy Adams เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะนําเสนอ แนวคิดของ Abraham Maslow

Abraham Maslow เสนอ “ทฤษฎีลําดับขั้นของความต้องการ” (Hierarchy of Needs Theory) หรือ “ทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 5 ประการ” (Five Basic Needs Theory) โดยเห็นว่า ผู้บริหารจะสามารถสร้างแรงจูงใจแก่พนักงานได้หากคํานึงถึงความต้องการที่แตกต่างกันไปตามลําดับขั้นความต้องการ ของมนุษย์ ดังนี้

1 ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) คือ ปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหารและน้ํายารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม นอกจากนี้ปัจจุบันยังอาจหมายความรวมถึงการติดต่อสื่อสารด้วย

2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) คือ ความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน ความมั่นคงในการดํารงอยู่ เช่น การไม่ถูกไล่ออกจากงาน เป็นต้น

3 ความต้องการความรักและการยอมรับ (Love Needs หรือ Social Needs) คือ ความต้องการความรักทั้งเป็นผู้รับและผู้ให้ และการได้รับการยอมรับในสังคม

4 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) คือ ความต้องการในการ ได้รับการชื่นชมและการสรรเสริญจากสังคม

5 ความต้องการความสําเร็จที่เกิดจากตนเอง (Self-Actualization Needs) คือ ความ ต้องการทําในสิ่งที่ตนสามารถจะทําได้ เพื่อเป็นการสนองต่อความพอใจหรือความปรารถนาของตนเอง เช่น การบวช ความร่ํารวย เป็นต้น

ตามทฤษฎีของ Maslow นี้ เมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการด้วยขั้นของความ ต้องการใดไปแล้ว ความต้องการขั้นนั้นจะไม่มีผลในการจูงใจมนุษย์คนนั้นอีก ดังนั้นองค์การสามารถนําแนวทาง ดังกล่าวไปพิจารณาตอบสนองเพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่คนงานได้โดยการตอบสนองตามระดับ อย่างไรก็ตาม การตอบสนองความต้องการแต่ละระดับนั้น องค์การไม่ควรตอบสนองความต้องการนั้น ๆ เต็มที่ มิฉะนั้นแล้ว ความต้องการดังกล่าวจะไม่ใช่เป็นตัวมูลเหตุจูงใจให้คนงาน เพราะถูกมองว่าเป็นหน้าที่ขององค์การนั่นเอง

POL2310 ทฤษฎีองค์การ 1/2557

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบเป็นแบบอัตนัยมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ ๆ

ข้อ 1 จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับการจัดการมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์การ หมายถึง การที่คนมารวมตัวกันเพื่อเข้าทํางานโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันและต้องการที่ จะทํางานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งระบบย่อยขององค์การ ประกอบด้วย เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ คน โครงสร้าง เทคนิค และความรู้ข้อมูลข่าวสาร

การจัดการ หมายถึง การดําเนินงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ได้ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคํานึงถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเข้าช่วย ซึ่งกระบวนการจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การประสานงาน การจัดองค์การ การตัดสินใจ และการควบคุมงาน

ความสัมพันธ์ขององค์การและการจัดการ มีดังนี้

1 ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย/วัตถุประสงค์กับการวางแผน หมายถึง เมื่อกําหนด เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การแล้ว ก็ต้องหาหนทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น โดยนักบริหารจะต้อง นําความรู้ในวิชาการวางแผนมาใช้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือ

1) การกําหนดเป้าหมาย

2) การอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน

3) การหาเครื่องมือที่จะมาช่วย พร้อมทั้งตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคในการ บรรลุเป้าหมาย

4) การพัฒนาทางเลือกที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์

2 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับการประสานงาน หมายถึง นักบริหารต้องมีภาวะผู้นํา และมีความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นํา เพื่อจูงใจให้กลุ่มคนมาบริหารองค์การให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ผู้บริหารต้อง มีความสามารถในการสื่อข้อความ เพราะการสือข้อความจะช่วยให้เข้าใจงานและสามารถทํางานได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง ช่วยให้เกิดประสิทธิผลที่ดี

3 ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับการจัดองค์การ หมายถึง การจัดองค์การเพื่อให้ องค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1) ปัญหารอบด้านขององค์การ

2) กระบวนการปฏิบัติงานที่มีความรวดเร็ว

3) การจัดสรรคนให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ

4) การติดต่อและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์การที่สอดคล้องกับโครงสร้างองค์การ

5) การจัดโครงสร้างองค์การที่เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่น และจูงใจให้คนมีความเอาใจใส่ต่อการทํางาน

6) การปกครองบังคับบัญชาทุกระดับมีความสอดคล้องกัน

7) การให้อํานาจหน้าที่กับผู้รับผิดชอบที่เหมาะสมในการจัดโครงสร้างองค์การ

8) การจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับนโยบาย

9) การแบ่งส่วนงานที่มีความเหมาะสม

4 ความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคกับการตัดสินใจ หมายถึง เทคนิคการบริหารจะเป็น ประโยชน์ที่ทําให้องค์การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเทคนิคทางการบริหารมี 2 รูปแบบ คือ การตัดสินใจที่ใช้อยู่ เป็นประจํา (Programmed Decision-Making) และการตัดสินใจที่ไม่เกิดบ่อยนัก (Nonprogrammed Decision Making) ดังนั้นนักบริหารจะต้องรู้จักหลักการตัดสินใจในโอกาสต่าง ๆ เช่น

1) การตัดสินใจภายใต้ภาวะที่แน่นอน (Certainty) คือ การตัดสินใจที่ทราบผลในแต่ละทางเลือก

2) การตัดสินใจในภาวะที่มีความเสี่ยง (Risk) คือ การตัดสินใจที่ทราบความเป็นไปของผลในแต่ละทางเลือก

3) การตัดสินใจในภาวะที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) คือ การตัดสินใจที่ไม่ทราบ

ความเป็นไปของผลที่เกิดขึ้น

5 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลข่าวสารกับการควบคุมงาน หมายถึง นักบริหาร จะต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารในการกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งในการควบคุมงาน ทุกประเภทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยนักบริหารจะต้องใช้ระบบการควบคุมเพื่อตรวจสอบว่าการบริหารงานในองค์การ เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในแผนหรือไม่ ซึ่งการควบคุมงานจะทําให้องค์การสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

ข้อ 2 จากการศึกษาวิชาทฤษฎีองค์การให้นักศึกษาเลือกนําเสนอนักคิด 3 ท่านพร้อมอธิบายผลงานมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

1 Max Weber

Weber นักทฤษฎีองค์การชาวเยอรมัน ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของระบบราชการ” เขาเสนอว่า การจัดองค์การแบบระบบราชการ (Bureaucracy) เป็นวิธีการจัดองค์การที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า วิธีอื่นใด ซึ่งลักษณะขององค์การแบบระบบราชการมีดังนี้

1 มีการควบคุมกันโดยการแบ่งสําดับชั้นของการบังคับบัญชา (Hierarchy)

2 การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎระเบียบ (Rule and Regulation)

3 มีการจัดคนที่มีความรู้ความชํานาญเข้าด้วยกัน (Specialization)

4 มีการบริหารงานโดยไม่อาศัยเรื่องส่วนตัว (Impersonality)

5 เน้นการยึดถือความสามารถทางวิชาการ (Technical Competence)

6 เน้นความสําคัญของการพัฒนาบุคคล (Training and Development) 7 แยกผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากองค์การ (Individual Interest, Official)

จุดเด่นของแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เป็นการควบคุมโดยอาศัยการจัดโครงสร้างการบังคับบัญชาลดหลั่นกันลงมา

2 ไม่สนใจตัวบุคคล

3 เน้นที่ตัวบทกฎหมายและความมีเหตุผลเพื่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ

4 เน้นความสําคัญของโครงสร้าง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม สนใจแต่การบริหารภายในองค์การ ข้อดีจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 องค์การมีประสิทธิภาพในการทํางาน (Efficiency)

2 มีความเสมอภาค (Equity)

ข้อเสียจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เกิดความแปลกแยกต่อองค์การงาน และกฎระเบียบ. (Alienation)

2 เกิดความเฉื่อยชา ไม่มีประสิทธิภาพ

3 เกิดความล่าช้า (Red Tape)

4 เกิดความไม่คล่องตัว (Rigidity)

5 เน้นความสําคัญของกฎ ระเบียบ และข้อบังคับมากเกินไป จนมองข้ามความสําคัญในด้านอื่น

6 แบ่งแยกงานกันตามความถนัดมากจนเกินไป

7 ขาดการประสานงาน (Lack of Coordination)

8 มีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resistance to Change)

นอกจากนี้ Weber ยังได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการครอบงํา (Domination) โดยเห็นว่า ผู้นํา หรือนักบริหารจะบริหารงานให้มีประสิทธิภาพได้ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายินยอมที่จะปฏิบัติตาม และ ต้องมีระบบการบริหารมาดําเนินการให้คําสั่งมีผลใช้บังคับได้ ซึ่งลักษณะของการครอบงํา มี 3 รูปแบบ คือ

1 การครอบงําโดยอาศัยจารีตประเพณี (Traditional Domination)

2 การครอบงําโดยใช้บารมี (Charismatic Domination)

3 การครอบงําโดยวิธีกฎหมายและการมีเหตุผล (Legal Domination)

 

2 Luther Gulick และ Lyndall Urwick

Gulick และ Urwick ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration : Note on the Theory of Organization” โดยเสนอแนวความคิด กระบวนการบริหารที่เรียกว่า “POSDCORB” ซึ่งเป็นหน้าที่สําคัญของนักบริหาร 7 ประการ ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการ ก่อนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ เป็นการกําหนดโครงสร้างขององค์การโดย พิจารณาให้เหมาะสมกับงาน เช่น การแบ่งงานเป็นกรม กอง หรือแผนก โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพของงาน หรือจัดตามลักษณะเฉพาะของงาน นอกจากนี้อาจพิจารณาในแง่ของการควบคุม หรือพิจารณาในแง่ของ หน่วยงาน เช่น หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษา เป็นต้น

3 S = Staffing คือ การจัดหาบุคลากรมาปฏิบัติงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั้นเอง ทั้งนี้เพื่อให้ได้บุคลากรมาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ การจัดแบ่งหน่วยงานที่กําหนดเอาไว้

4 D = Directing คือ การอํานวยการ เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นํา มนุษยสัมพันธ์ การจูงใจ และการตัดสินใจ เป็นต้น

5 CO – Coordinating คือ การประสานงาน เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของ กระบวนการทํางานมีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

6 R = Reporting คือ การรายงาน เป็นกระบวนการและเทคนิคของการรายงานให้ ” ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน โดยมีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสารในองค์การอยู่ด้วย

7 B = Budgeting คือ การงบประมาณ เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทําบัญชี การควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง

สาระสําคัญของแนวคิด POSDCORB คือ “ประสิทธิภาพ” ซึ่ง Gulick และ Urwick เห็นว่า ประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดของการบริหาร และเพื่อให้การบริหารงานในทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการแบ่งงานตามความเหมาะสมและความจําเป็นหรือความถนัดของคนงาน โดยแบ่งหน่วยงานออก ตามกระบวนการ วัตถุประสงค์ ลูกค้า และพื้นที่ ซึ่งทุกหน่วยงานจะต้องจัดรูปแบบองค์การเป็นรูปสามเรเลียม พีระมิด และมีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นกันลงมา

  1. Douglas Murray McGregor McGregor

McGregor  เสนอทฤษฎี x และทฤษฎี y ไว้ในหนังสือชื่อ “The Human Side of Enterprise” โดยมีฐานคติในการมองคนในองค์การ 2 แบบ คือ

1 ทฤษฎี X ถือว่า

– คนทั่วไปเกียจคร้าน ชอบเสี่ยงงาน – ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีความรับผิดชอบ

– เห็นแก่ตัวเพิกเฉยต่อความต้องการขององค์การ

2 ทฤษฎี Y ถือว่า

– คนชอบทํางาน ไม่ได้เกียจคร้าน

– การควบคุมภายนอกไม่ใช่วิถีทางที่จะได้มาซึ่งงาน คนสามารถที่จะหาแนวทางและควบคุมตนเองได้

– ความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติงานตามศักยภาพเป็นรางวัลที่มีความสําคัญที่จะทําให้คนมีความรู้สึกผูกพันกับองค์การ

– คนโดยทั่วไปจะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรับผิดชอบต่อไป

– คนส่วนใหญ่อาศัยภาวะสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในองค์การ

ทฤษฎี Y คือ “ภาพพจน์ของคน” ในแนวมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นคนจึงควรควบคุมตนเองได้ การควบคุมตนเองหมายถึงการปรับปรุงองค์การในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกระจายอํานาจ การมอบอํานาจหน้าที่ การขยายงาน การมีส่วนร่วม และการบริหารงานโดยยึดเป้าหมาย จึงเห็นได้ว่าข้อเสนอ การปรับปรุงของ McGregor เป็นการย้ําให้เห็นความสําคัญของคน และช่วยให้คนหลุดพ้นจากการควบคุมของ องค์การ ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของมนุษย์ที่เห็นว่าคนมาก่อนองค์การ

การมองคนในองค์การตามทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ McGregor ช่วยให้เราแยกแยะคนได้ ทําให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดีหรือนายที่ดี ซึ่งการมองแบบนี้เรียกว่า “Polarization” แต่ในสภาพความเป็นจริง เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นประเภท X หรือประเภท Y แต่อาจจะบอกได้ว่าค่อนข้างไปทาง X หรือ Y มากกว่า ดังนั้นการมองคนเป็น Polarization จึงเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรกที่ช่วย ทําให้สามารถจําแนกประเภทของคนได้

 

ข้อ 3 จงอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างองค์การเป็นทางการกับองค์การไม่เป็นทางการมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์การ หมายถึง การรวมตัวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีจุดมุ่งหมายร่วมกันอย่างใด อย่างหนึ่ง โดยผ่านกระบวนการจัดโครงสร้างและกําหนดกิจกรรม เพื่อก่อให้เกิดการแบ่งงานกันทํา และส่งผลให้ บรรลุยังจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งองค์การแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ องค์การเป็นทางการ (Formal Organization) และองค์การไม่เป็นทางการ (Informal organization)

ความแตกต่างระหว่างองค์การเป็นทางการและองค์การไม่เป็นทางการ

องค์การเป็นทางการ เป็นการรวมตัวเพื่อร่วมมือกันทํางานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยในการ ทํางานนั้นจะมีการกําหนดโครงสร้างและรูปแบบไว้ชัดเจนตายตัว คือ มีการกําหนดอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ สายการบังคับบัญชา การแบ่งงานกันทํา ขนาดการควบคุม เอกภาพในการบังคับบัญชา ตลอดจนมาตรการและ วิธีการปฏิบัติงานที่ชัดเจนตายตัว ดังตัวอย่างขององค์การและหน่วยงานโดยทั่ว ๆ ไปทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น มหาวิทยาลัย ธนาคาร เป็นต้น

ส่วนองค์การไม่เป็นทางการ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า องค์การแฝง เป็นการรวมตัวกันโดยอาศัย ระบบความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว ความรู้จักคุ้นเคย มีการดําเนินกิจกรรมร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันอย่างใด อย่างหนึ่ง โดยจะไม่มีการกําหนดโครงสร้างและรูปแบบใด ๆ ไว้ตายตัวทั้งสิ้น ซึ่งองค์การลักษณะนี้มักเกิดขึ้นจาก ความต้องการของสมาชิกที่ไม่ได้รับการตอบสนองจากองค์การที่เป็นทางการ และมักแอบแฝงอยู่ในองค์การที่เป็น ทางการเสมอ เช่น กลุ่ม NGO, กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต่าง ๆ เป็นต้น

 

ข้อ 4 จงอธิบายถึงองค์ประกอบของโครงสร้างขององค์การมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์ประกอบของโครงสร้างองค์การ มี 4 องค์ประกอบ คือ

1 การแบ่งส่วนงาน (Division of Labor) คือ การจัดโครงสร้างองค์การตามแนวราบ เป็นการแบ่งแยกงานและการรวมกลุ่มงาน หรือเป็นการจําแนกประเภทของงานตามความชํานาญพิเศษหรือตามความ ถนัดในงานนั้น ๆ และปริมาณของกิจกรรมในองค์การ ซึ่งการแบ่งส่วนงานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความสิ้นเปลือง และความเบื่อหน่ายของพนักงาน เนื่องจากงานจะมีลักษณะซ้ําซากจําเจ ลักษณะของการแบ่งส่วนงานมีดังนี้

1) การแบ่งงานตามวิชาชีพ (Personal Specialties) เป็นการแบ่งงานตามความถนัด เฉพาะทาง เช่น งานด้านบัญชี วิศวกร และวิทยาศาสตร์

2) การแบ่งงานตามกิจกรรมภายในองค์การ (Horizontal Specialization) เป็นการ แบ่งงานโดยพิจารณาจากกิจกรรมภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

(1) การแบ่งตามหน้าที่ เช่น การแบ่งเป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และฝ่ายจัดส่ง

(2) การแบ่งตามผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ขององค์การ เช่น หน่วยงานดูแลการผลิต

– ผงซักฟอก หน่วยงานดูแลการผลิตยาสีฟัน

(3) การแบ่งตามพื้นที่ เช่น การแบ่งของธนาคาร

2 การจัดส่วนงาน (Hierarchy) คือ การจัดชั้นสายการบังคับบัญชา หรือการจัดโครงสร้าง องค์การในแนวดิ่ง เป็นการแบ่งหน่วยงานออกเป็นระดับโดยพิจารณาจากความสําคัญของงานว่าควรจะเป็นงาน ในระดับใด ซึ่งแต่ละระดับจะมีบทบาทและความสําคัญลดหลั่นกันลงมา การจัดสายการบังคับบัญชาที่ที่ไม่ควรเกิน 5 ลําดับชั้น เพราะถ้ามีชั้นการบังคับบัญชามากจะเกิดปัญหาการสื่อสารหรือการบิดเบือนข้อมูล

3 ขอบเขตของการบังคับบัญชา (Span of Control) หรือขนาดของการควบคุม คือ จํานวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งตามทฤษฎีแล้วผู้บังคับบัญชา 1 คน ควรมี ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เกิน 15 คน จึงจะทําให้การตัดสินใจและการสั่งการมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขนาดของการควบคุม จะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ความยากง่ายของงาน และความจําเป็นในสถานการณ์ต่าง ๆ

4 การมอบอํานาจในการตัดสินใจหรือการปฏิบัติงาน (Delegation of Authority) เป็นการพิจารณานโยบายขององค์การว่าม งเน้นการกระจายอํานาจหรือการรวมอํานาจ ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากจํานวนผู้ตัดสินใจในการบริหารงานในองค์การ หากองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจมากแสดงว่าองค์การเน้นการ กระจายอํานาจ แต่ถ้าองค์การมีจํานวนผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวแสดงว่าองค์การเน้นการรวมอํานาจ ทั้งนี้จุดสําคัญ ของการมอบอํานาจและการกระจายอํานาจก็คือ ผู้บังคับบัญชาสามารถกระทําได้เฉพาะการมอบอํานาจในงาน หรือการกระจายอํานาจในการปฏิบัติงานเท่านั้น จะกระจายความรับผิดชอบไม่ได้

POL2310 ทฤษฎีองค์การ s/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2310 ทฤษฎีองค์การ

คําสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทําทุกข้อ ๆ ละ 25 คะแนน (รวม 100 คะแนน)

ข้อ 1 จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยองค์การกับการจัดการมาโดยละเอียด

แนวคําตอบ

องค์การ หมายถึง การที่คนมารวมตัวกันเพื่อเข้าทํางานโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันและต้องการ ที่จะทํางานให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งระบบย่อยขององค์การ ประกอบด้วย เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ คน โครงสร้าง เทคนิค และความรู้ข้อมูลข่าวสาร

การจัดการ หมายถึง การดําเนินงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ได้ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคํานึงถึงการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเข้าช่วย ซึ่งกระบวนการจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน การประสานงาน การจัดองค์การ การตัดสินใจ และการควบคุมงาน

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยองค์การกับการจัดการ มีดังนี้

1 ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย/วัตถุประสงค์กับการวางแผน หมายถึง เมื่อกําหนด เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การแล้ว ก็ต้องหาหนทางเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น โดยนักบริหารจะต้อง นําความรู้ในวิชาการวางแผนมาใช้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือ

1) การกําหนดเป้าหมาย

2) การอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน

3) การหาเครื่องมือที่จะมาช่วย พร้อมทั้งตระหนักถึงปัญหาและอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมาย

4) การพัฒนาทางเลือกที่จะบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์

2 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับการประสานงาน หมายถึง นักบริหารต้องมีภาวะผู้นํา และมีความรู้เกี่ยวกับภาวะผู้นํา เพื่อจูงใจให้กลุ่มคนมาบริหารองค์การให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ผู้บริหารต้อง มีความสามารถในการสื่อข้อความ เพราะการสื่อข้อความจะช่วยให้เข้าใจงานและสามารถทํางานได้ง่ายขึ้น รวมทั้ง ช่วยให้เกิดประสิทธิผลที่ดี

3 ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับการจัดองค์การ หมายถึง การจัดองค์การเพื่อให้ องค์การมีโครงสร้างที่เหมาะสม ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1) ปัญหารอบด้านขององค์การ

2) กระบวนการปฏิบัติงานที่มีความรวดเร็ว

3) การจัดสรรคนให้เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์การ

4) การติดต่อและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในองค์การที่สอดคล้องกับ โครงสร้างองค์การ

5) การจัดโครงสร้างองค์การที่เอื้ออํานวยต่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมีความยืดหยุ่น และจูงใจให้คนมีความเอาใจใส่ต่อการทํางาน

6) การปกครองบังคับบัญชาทุกระดับมีความสอดคล้องกัน

7) การให้อํานาจหน้าที่กับผู้รับผิดชอบที่เหมาะสมในการจัดโครงสร้างองค์การ

8) การจัดโครงสร้างให้สอดคล้องกับนโยบาย

9) การแบ่งส่วนงานที่มีความเหมาะสม

4 ความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคกับการตัดสินใจ หมายถึง เทคนิคการบริหารจะเป็น ประโยชน์ที่ทําให้องค์การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเทคนิคทางการบริหารมี 2 รูปแบบ คือ การตัดสินใจที่ใช้อยู่ เป็นประจํา (Programmed Decision-Making) และการตัดสินใจที่ไม่เกิดบ่อยนัก (Nonprogrammed Decision Making) ดังนั้นนักบริหารจะต้องรู้จักหลักการตัดสินใจในโอกาสต่าง ๆ เช่น

1) การตัดสินใจภายใต้ภาวะที่แน่นอน (Certainty) คือ การตัดสินใจที่ทราบผลในแต่ละทางเลือก

2) การตัดสินใจในภาวะที่มีความเสี่ยง (Risk) คือ การตัดสินใจที่ทราบความเป็นไปของผลในแต่ละทางเลือก

3) การตัดสินใจในภาวะที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) คือ การตัดสินใจที่ไม่ทราบความเป็นไปของผลที่เกิดขึ้น

5 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ข้อมูลข่าวสารกับการควบคุมงาน หมายถึง นักบริหาร จะต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารในการกําหนดนโยบายและการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งในการควบคุมงาน ทุกประเภทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยนักบริหารจะต้องใช้ระบบการควบคุมเพื่อตรวจสอบว่าการบริหารงานในองค์การ เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในแผนหรือไม่ ซึ่งการควบคุมงานจะทําให้องค์การสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

ข้อ 2 ทฤษฎีองค์การสํานักคลาสสิก สํานักนีโอคลาสสิก และสํานักระบบเปิด มีแนวทางการศึกษาแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

แนวคําตอบ

  1. Richard Scott ได้แบ่งทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 สํานัก ดังนี้

1 สํานักคลาสสิก หรือสํานักเหตุผลนิยม

สํานักคลาสสิก หรือสํานักเหตุผลนิยม เป็นสํานักที่ให้ความสําคัญกับโครงสร้างที่เป็นทางการ ขององค์การ โดยมีความเชื่อว่า โครงสร้างสามารถควบคุมพฤติกรรมของคนได้ ซึ่งเป็นการมองเฉพาะภายในองค์การ เน้นประสิทธิภาพของงานจนมองคนเป็นเครื่องจักร ลักษณะองค์การของสํานักนี้จึงเป็นองค์การระบบปิด

ฐานคติของสํานักคลาสสิก ได้แก่

1 องค์การเป็นระบบที่มีเหตุผลและประกอบด้วยสมาชิกในองค์การที่มีเหตุผลและรู้สํานึกในสิ่งที่ตนเองกระทํา

2 การตัดสินใจหรือการกระทําใด ๆ ของคนมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด

3 การควบคุมสมาชิกเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดขององค์การ

สาระสําคัญของแนวคิด ได้แก่

1 เน้นความเฉพาะเจาะจงของวัตถุประสงค์ โดยเชื่อว่าหากองค์การมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแล้ว การกําหนดทิศทางการทํางานหรือการเลือกตัดสินใจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การเป็นสิ่งที่สามารถทําได้

2 เน้นความเป็นทางการของโครงสร้างองค์การ โดยเชื่อว่าโครงสร้างที่เป็นทางการจะทําให้พฤติกรรมต่าง ๆ ของคนอยู่ในระเบียบวินัย

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักคลาสสิก ได้แก่

1 เป็นกลุ่มสังคม

2 มีขอบเขตที่ชัดเจน

3 มีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง

4 มีการจัดแบ่งอํานาจหน้าที่

5 ใช้กฎ ระเบียบ การดําเนินการ การควบคุมและเทคนิค

6 ใช้การสื่อสารอย่างเป็นทางการ

7 เน้นความชํานาญเฉพาะด้านและการจัดแบ่งงาน

8 มีการว่าจ้างผู้มีทักษะ

แนวคิดของสํานักคลาสสิกให้ความสําคัญกับโครงสร้างองค์การ จึงเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้ กับองค์การแบบราชการ (Bureaucracy) และองค์การที่เป็นทางการ (Format Organization)

นักทฤษฎีองค์การของสํานักคลาสสิก ได้แก่ Max Weber, Frederick W. Taylor, Luther Gulick & Lyndall Urwick, Henri Fayol

 

2 สํานักนีโอคลาสสิก หรือสํานักธรรมชาตินิยม

สํานักนีโอคลาสสิก หรือสํานักธรรมชาตินิยม สํานักนี้ไม่เห็นด้วยกับสํานักคลาสสิก โดยเฉพาะ เรื่องโครงสร้าง เพราะถือว่าโครงสร้างเป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์การเท่านั้น แต่สิ่งที่สําคัญในองค์การคือ “คน” ดังนั้นการศึกษาของสํานักนีโอคลาสสิกจึงแตกต่างกับสํานักคลาสสิก เพราะสํานักนีโอคลาสสิกให้ความสนใจ พฤติกรรมของคน โดยเห็นว่าคนเป็นปัจจัยที่สําคัญขององค์การ และถ้าคนมีประสิทธิภาพจะทําให้สามารถแก้ปัญหา ขององค์การได้ ซึ่งสํานักนี้ได้แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ทฤษฎีย่อย คือ ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation School) และทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanism)

ฐานคติของสํานักนีโอคลาสสิก ได้แก่

1 คนมีความต้องการที่หลากหลาย และความต้องการนี้เป็นแรงขับให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ

2 การควบคุมและการลงโทษไม่ใช่วิธีการที่จะทําให้องค์การบรรลุเป้าหมายที่กําหนด

3 วิธีการจูงใจที่ดีที่สุด คือ การจูงใจที่ตอบสนองความต้องการของคนในการได้รับการยอมรับและการตระหนักในศักยภาพและความสามารถในฐานะมนุษย์

สาระสําคัญของแนวคิด ได้แก่

1 เน้นความสลับซับซ้อนของวัตถุประสงค์ โดยเห็นว่าองค์การไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงประการเดียวที่จะเป็นกรอบของพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในองค์การ

2 เน้นโครงสร้างที่ไม่เป็นทางการ โดยเชื่อว่าการมีโครงสร้างที่ไม่เป็นทางการจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักนีโอคลาสสิก ได้แก่

1 ต้องมีโครงสร้างเชิงพฤติกรรม

2 ขึ้นอยู่กับความเต็มใจของสมาชิกในการอุทิศเวลาในการทํางาน

3 แสวงหาความอยู่รอด

4 เน้นการมีส่วนร่วม

5 ใช้การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ

แนวคิดของสํานักนีโอคลาสสิกเหมาะที่จะนําไปประยุกต์ใช้กับองค์การที่ไม่เป็นทางการ (Informal organization) เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) กลุ่มให้คําปรึกษาทางกฎหมาย กลุ่มสหกรณ์ เป็นต้น

นักทฤษฎีองค์การสํานักนีโอคลาสสิก ได้แก่ Hugo Munsterberg, Elton Mayo, Douglas Murray McGregor, Abraham H. Maslow, Frederick Herzberg เป็นต้น

3 สํานักระบบเปิด

สํานักระบบเปิด จะเน้นคนและคํานึงถึงสิ่งแวดล้อมขององค์การ ซึ่งแตกต่างจากสํานักคลาสสิก ที่ไม่ได้ให้ความสําคัญกับคน และสํานักนีโอคลาสสิกที่สนใจเฉพาะคนแต่ไม่ได้คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม การศึกษาของ สํานักระบบเปิดให้ความสําคัญกับองค์การระบบเปิด โดยเน้นให้องค์การต้องปรับตัวให้ทันกับสิ่งแวดล้อมและ รู้จักการบริหารงานให้เป็นระบบในลักษณะบูรณาการ และให้ความสําคัญกับข้อมูลป้อนกลับ ซึ่งในปัจจุบันนี้ ทฤษฎีระบบเปิดสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานประจําและงานโครงการ

ฐานคติของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 องค์การและสิ่งแวดล้อมภายนอกมีปฏิสัมพันธ์กัน

2 สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3 คนมีค่านิยมและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน

สาระสําคัญของแนวคิด ได้แก่

1 ระบบต้องมีระบบย่อย เช่น วัตถุประสงค์ คน โครงสร้าง เทคนิค ความรู้ข้อมูลข่าวสารซึ่งระบบย่อยเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์และติดต่อซึ่งกันและกัน

2 มีลักษณะเป็นภาพรวม

3 มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสิ่งแวดล้อม

4 ให้ความสําคัญกับการแปรเปลี่ยนข้อมูลจากปัจจัยนําเข้ามาเป็นปัจจัยนําออก

5 ช่วยในการจัดแบ่งส่วนต่าง ๆ ขององค์การตามความแตกต่าง มีสถานภาพที่คงที่ คือ การให้องค์การมีความสมดุลกับสภาพแวดล้อม

6 เน้นความสําคัญของความแตกต่างระหว่างองค์การกับสิ่งแวดล้อม

คุณสมบัติขององค์การตามแนวคิดของสํานักระบบเปิด ได้แก่

1 เป็นระบบที่มีลําดับชั้น

2 มีความสามารถในการดํารงรักษาตนเอง โดยอาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับสิ่งแวดล้อม

3 ระบบประกอบด้วยปัจจัยนําเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output)

4 ไม่มีขอบเขตชัดเจน

5 เป็นระบบที่ทํางานเองโดยอัตโนมัติ

นักทฤษฎีองค์การของสํานักระบบเปิด ได้แก่ Katz and Kahn, Chester L. Barnard, Herbert A Simon, Amitai Etzioni เป็นต้น

 

ข้อ 3 ให้เลือกนักคิดมา 3 ท่านพร้อมทั้งอธิบายผลงานของท่านมาพอให้เข้าใจ

แนวคําตอบ

1 Max Weber

Weber นักทฤษฎีองค์การชาวเยอรมัน ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของระบบราชการ” เขาเสนอว่า การจัดองค์การแบบระบบราชการ (Bureaucracy) เป็นวิธีการจัดองค์การที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า วิธีอื่นใด ซึ่งลักษณะขององค์การแบบระบบราชการมีดังนี้

1 มีการควบคุมกันโดยการแบ่งลําดับชั้นของการบังคับบัญชา (Hierarchy)

2 การปฏิบัติงานทุกขั้นตอนเป็นไปตามกฎระเบียบ (Rule and Regulation) 3 มีการจัดคนที่มีความรู้ความชํานาญเข้าด้วยกัน (Specialization)

4 มีการบริหารงานโดยไม่อาศัยเรื่องส่วนตัว (Impersonality)

5 เน้นการยึดถือความสามารถทางวิชาการ (Technical Competence)

6 เน้นความสําคัญของการพัฒนาบุคคล (Training and Development)

7 แยกผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากองค์การ (Individual Interest, Official)

จุดเด่นของแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เป็นการควบคุมโดยอาศัยการจัดโครงสร้างการบังคับบัญชาลดหลั่นกันลงมา

2 ไม่สนใจตัวบุคคล

3 เน้นที่ตัวบทกฎหมายและความมีเหตุผลเพื่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ

4 เน้นความสําคัญของโครงสร้าง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม สนใจแต่การบริหารภายในองค์การ

ข้อดีจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 องค์การมีประสิทธิภาพในการทํางาน (Efficiency)

2 มีความเสมอภาค (Equity)

ข้อเสียจากแนวคิดของ Weber ได้แก่

1 เกิดความแปลกแยกต่อองค์การ งาน และกฎระเบียบ (Alienation)

2 เกิดความเฉื่อยชา ไม่มีประสิทธิภาพ

3 เกิดความล่าช้า (Red Tape)

4 เกิดความไม่คล่องตัว (Rigidity)

5 เน้นความสําคัญของกฎ ระเบียบ และข้อบังคับมากเกินไป จนมองข้ามความสําคัญในด้านอื่น

6 แบ่งแยกงานกันตามความถนัดมากจนเกินไป

7 ขาดการประสานงาน (Lack of Coordination)

8 มีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resistance to Change)

นอกจากนี้ Weber ยังได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการครอบงํา (Domination) โดยเห็นว่า ผู้นํา หรือนักบริหารจะบริหารงานให้มีประสิทธิภาพได้ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายินยอมที่จะปฏิบัติตาม และ ต้องมีระบบการบริหารมาดําเนินการให้คําสั่งมีผลใช้บังคับได้ ซึ่งลักษณะของการครอบงํา มี 3 รูปแบบ คือ

1 การครอบงําโดยอาศัยจารีตประเพณี (Traditional Domination)

2 การครอบงําโดยใช้บารมี (Charismatic Domination)

3 การครอบงําโดยวิธีกฎหมายและการมีเหตุผล (Legal Domination)

 

2 Luther Gulick และ Lyndall Urwick

Gulick และ Urwick ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration : Note on the Theory of organization” โดยเสนอแนวความคิด กระบวนการบริหารที่เรียกว่า “POSDCORB” ซึ่งเป็นหน้าที่สําคัญของนักบริหาร 7 ประการ ได้แก่

1 P = Planning คือ การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการ ก่อนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ

2 O = Organizing คือ การจัดองค์การ เป็นการกําหนดโครงสร้างขององค์การโดย พิจารณาให้เหมาะสมกับงาน เช่น การแบ่งงานเป็นกรม กอง หรือแผนก โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพของงาน หรือจัดตามลักษณะเฉพาะของงาน นอกจากนี้อาจพิจารณาในแง่ของการควบคุม หรือพิจารณาในแง่ของ หน่วยงาน เช่น หน่วยงานหลัก และหน่วยงานที่ปรึกษา เป็นต้น

3 S = Staffing คือ การจัดหาบุคลากรมาปฏิบัติงาน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อให้ได้บุคลากรมาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ การจัดแบ่งหน่วยงานที่กําหนดเอาไว้

4 D = Directing คือ การอํานวยการ เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นํา มนุษยสัมพันธ์ การจูงใจ และการตัดสินใจ เป็นต้น

5 Co – Coordinating คือ การประสานงาน เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของ กระบวนการทํางานมีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น

6 R = Reporting คือ การรายงาน เป็นกระบวนการและเทคนิคของการรายงานให้ ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน โดยมีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสารในองค์การอยู่ด้วย

7 B = Budgeting คือ การงบประมาณ เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทําบัญชี การควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง

สาระสําคัญของแนวคิด POSDCORB คือ “ประสิทธิภาพ” ซึ่ง Gulick และ Urwick เห็นว่า ประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุดของการบริหาร และเพื่อให้การบริหารงานในทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการแบ่งงานตามความเหมาะสมและความจําเป็นหรือความถนัดของคนงาน โดยแบ่งหน่วยงานออก ตามกระบวนการ วัตถุประสงค์ ลูกค้า และพื้นที่ ซึ่งทุกหน่วยงานจะต้องจัดรูปแบบองค์การเป็นรูปสามเหลี่ยม พีระมิด และมีสายการบังคับบัญชาที่ลดหลั่นกันลงมา

3 Douglas Murray McGregor

McGregor เสนอทฤษฎี X และทฤษฎี Y ไว้ในหนังสือชื่อ “The Human Side of Enterprise” โดยมีฐานคติในการมองคนในองค์การ 2 แบบ คือ

1 ทฤษฎี X ถือว่า

– คนทั่วไปเกียจคร้าน ชอบเลี้ยงงาน

– ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีความรับผิดชอบ

– เห็นแก่ตัวเพิกเฉยต่อความต้องการขององค์การ

2 ทฤษฎี Y ถือว่า

– คนชอบทํางาน ไม่ได้เกียจคร้าน – การควบคุมภายนอกไม่ใช่วิถีทางที่จะได้มาซึ่งงาน คนสามารถที่จะหาแนวทางและควบคุมตนเองได้

– ความพึงพอใจที่ได้ปฏิบัติงานตามศักยภาพเป็นรางวัลที่มีความสําคัญที่จะทําให้คนมีความรู้สึกผูกพันกับองค์การ

– คนโดยทั่วไปจะเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรับผิดชอบต่อไป

– คนส่วนใหญ่อาศัยภาวะสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาในองค์การ

ทฤษฎี Y คือ “ภาพพจน์ของคน” ในแนวมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดี ดังนั้นคนจึงควรควบคุมตนเองได้ การควบคุมตนเองหมายถึงการปรับปรุงองค์การในเรื่องต่าง ๆ เช่น การกระจายอํานาจ การมอบอํานาจหน้าที่ การขยายงาน การมีส่วนร่วม และการบริหารงานโดยยึดเป้าหมาย จึงเห็นได้ว่าข้อเสนอ การปรับปรุงของ McGregor เป็นการย้ําให้เห็นความสําคัญของคน และช่วยให้คนหลุดพ้นจากการควบคุมของ องค์การ ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของมนุษย์ที่เห็นว่าคนมาก่อนองค์การ

การมองคนในองค์การตามทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของ McGregor ช่วยให้เราแยกแยะคนได้ ทําให้เรารู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดีหรือนายที่ดี ซึ่งการมองแบบนี้เรียกว่า “Polarization” แต่ในสภาพความเป็นจริง เราไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นประเภท X หรือประเภท Y แต่อาจจะบอกได้ว่าค่อนข้างไปทาง X หรือ Y มากกว่า ดังนั้นการมองคนเป็น Polarization จึงเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามก็ถือว่าทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรกที่ช่วย ทําให้สามารถจําแนกประเภทของคนได้

 

ข้อ 4 จงอธิบายคําต่อไปนี้มาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ก. ความขัดแย้ง

แนวคําตอบ

ความขัดแย้ง (Conflicts) หมายถึง การที่บุคคล 2 ฝ่ายขึ้นไปมีข้อมูล ค่านิยม ความเชื่อ ความคิดเห็น และความรู้สึกที่แตกต่างกันในด้านต่าง ๆ ดังนี้

– ด้านจิตวิทยา คือ การตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างคิดในจิตของตน

– ด้านเศรษฐศาสตร์ คือ การแย่งชิงผลประโยชน์

– ด้านรัฐศาสตร์ คือ การแย่งชิงอํานาจ

– ด้านสังคมวิทยา คือ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ

– ด้านมานุษยวิทยา คือ ความเป็นมาที่แตกต่างกันของมนุษย์

– ด้านการจัดการ คือ ถ้ามองภาพดีจะเห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์แต่ถ้ามองในแง่ไม่ดีจะเห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องของการทําลาย

สาเหตุของความขัดแย้ง ได้แก่

1 ความแตกต่างกันด้านวัตถุประสงค์

2 การแข่งขันกันใช้ทรัพยากรที่มีจํากัด

3 การมีบทบาทที่แตกต่างกัน

4 การมีพื้นฐานส่วนตัวที่แตกต่างกัน เช่น ค่านิยม ความเชื่อ พฤติกรรมส่วนตัว

5 การเปลี่ยนแปลงในองค์การที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง

ผลของความขัดแย้ง

ผลดี คือ ทําให้มีแนวความคิดที่จะรับมือกับปัญหา และปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไข ความ ขัดแย้งภายนอกช่วยกระตุ้นให้เกิดความสามัคคี

ผลเสีย คือ ในองค์การขาดความร่วมมือ ขาดการยอมรับซึ่งกันและกัน และสูญเสียบุคลากร ในองค์การ

วิธีการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ได้แก่

1 ประนีประนอม

2 จัดหาทรัพยากรเพิ่มขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการ

3 ใช้กฎหมายหรือกฎระเบียบบังคับ

4 หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องความขัดแย้ง

 

ข. อํานาจ

แนวคําตอบ

อํานาจ (Power) หมายถึง ขีดความสามารถซึ่งบุคคลคนหนึ่งมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของคนอีกคนหนึ่ง

อํานาจประกอบด้วย

1 ศักยภาพที่ไม่จําเป็นต้องให้เกิดประสิทธิผล

2 มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน

3 มีข้อสมมติฐานว่าบุคคลที่มีอํานาจด้อยกว่าต้องรู้จักสํารวมพฤติกรรม

John Frence และ Bertram Raven ได้จําแนกประเภทของอํานาจไว้ 5 ประเภท คือ

1 อํานาจที่ได้รับการยอมรับ (Legitimate Power) คือ ความสามารถของบุคคลในการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นโดยอาศัยตําแหน่งหน้าที่

2 อํานาจในการให้รางวัล (Reward Power) คือ ความสามารถของบุคคลในการให้รางวัล แก่ผู้อื่น เช่น ขึ้นเงินเดือนหรือค่าจ้าง เลื่อนขั้น เลื่อนตําแหน่ง

3 อํานาจในการบังคับ (Coercive Power) คือ อํานาจในการลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตาม เช่น ไม่เลื่อนขั้นหรือเลื่อนตําแหน่ง โยกย้ายไปทํางานที่แย่ลง

4 อํานาจที่มาจากความเชี่ยวชาญ (Expert Power) คือ อํานาจในการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นโดยอาศัยความเชี่ยวชาญพิเศษ

5 อํานาจจากบุคลิกลักษณะ (Referent Power) คือ บุคลิกลักษณะพิเศษของแต่ละบุคคล ยุทธวิธีในการได้มาซึ่งอํานาจ ได้แก่

1 ความมีเหตุผล (Reason)

2 ความเป็นมิตร (Friendliness)

3 การรวมกัน (Coalition)

4 การต่อรอง (Bargaining)

5 ใช้วิธีการบังคับ (Assertiveness)

6 ใช้อํานาจหน้าที่ที่สูงกว่า (Higher Authority)

7 บังคับมิให้ละเมิด (Sanctions)

 

ค. อํานาจหน้าที่

แนวคําตอบ

อํานาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อํานาจที่ได้รับจากการมอบหมาย ซึ่งเป็นอํานาจที่ จะต้องปฏิบัติตามและถือว่าเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรม

Max Weber เห็นว่า การได้มาซึ่งอํานาจหน้าที่มี 3 ประการ คือ

1 อํานาจจากประเพณีนิยม (Traditional Authority)

2 อํานาจจากบุคลิกภาพหรือบารมี (Charismatic Authority)

3 อํานาจตามหน้าที่ที่กฎหมายระบุไว้ (Legalistic Authority)

หลักเกณฑ์การมอบอํานาจหน้าที่ ได้แก่

1 มอบให้กับตําแหน่งไม่ใช่ตัวบุคคล

2 ผู้บริหารระดับสูงต้องปฏิบัติตามนโยบาย และมีการมอบอํานาจให้คนอื่นทําแทน

3 เป็นการพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา

4 การมอบหมายควรมอบเป็นลําดับชั้น

5 การมอบหมายควรทําเป็นลายลักษณ์อักษรถ้าเป็นเรื่องสําคัญ

ปัญหาอุปสรรคของการมอบอํานาจหน้าที่ ได้แก่

1 เกิดจากผู้มอบอํานาจหน้าที่ เช่น กลัวการสูญเสียอํานาจ ไม่เห็นความสําคัญ มีความพอใจที่จะรวบอํานาจหน้าที่ไว้ด้วยตนเอง

2 เกิดจากผู้รับมอบอํานาจหน้าที่ เช่น ไม่เต็มใจรับ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีความรู้ในงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่เข้าใจงานที่ได้รับมอบอํานาจหน้าที่

3 เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น ระเบียบกําหนดให้เป็นอํานาจเฉพาะตัว ความสามัคคีหรือความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ แนวคิดเผด็จการ

วิธีแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการมอบอํานาจหน้าที่ ได้แก่

1 กําหนดเป้าหมายให้ผู้รับมอบเข้าใจชัดเจน

2 ให้ความรับผิดชอบกับอํานาจได้สัดส่วนกัน

3 ต้องมีศิลปะการจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา

4 กําหนดเครื่องมือในการควบคุมให้ดี

5 จัดให้มีการมอบหมายอย่างเป็นระบบ

 

ง. อิทธิพล

แนวคําตอบ

อิทธิพล (Influence) หมายถึง การปฏิบัติการทางสังคมที่บุคคลหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งสามารถ ชักจูงให้บุคคลอีกคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งให้กระทําหรือไม่กระทําอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งในสภาพปกติฝ่ายหลังจะ ไม่กระทําเช่นนั้น

วิธีการที่จะมีอิทธิพล เช่น ทางร่างกาย การถูกบังคับ ด้านความเชี่ยวชาญ และอิทธิพลด้านบารมี

คุณลักษณะของผู้ใช้อิทธิพล เช่น มีความเชี่ยวชาญ อยู่ในตําแหน่งที่สามารถให้คุณให้โทษได้ หรือในขณะที่มีกฎหมายรองรับ และมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในองค์การ

 

จ. พฤติกรรมความเครียด

แนวคําตอบ

พฤติกรรมความเครียด (Stress Behavioral) หมายถึง สภาวะทางจิตใจที่ต้องเผชิญกับปัญหา ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากตัวเราหรือสภาพแวดล้อม โดยอาจเป็นสิ่งดีที่คาดว่าจะเกิดแต่ไม่เกิด หรือเป็นสิ่งไม่ดีที่ คาดว่าจะไม่เกิดแต่กลับเกิด เช่น มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย เป็นต้น

สาเหตุของความเครียดส่วนที่เกี่ยวกับองค์การ ได้แก่

1 นโยบายองค์การ เช่น พิจารณาผลงานไม่ยุติธรรม ได้รับการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมกฎเกณฑ์ไม่มีความยืดหยุ่น

2 โครงสร้างขององค์การ เช่น ขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีโอกาสก้าวหน้าน้อยเน้นความเชี่ยวชาญมากเกินไป

3 สภาวะด้านกายภาพ เช่น ขาดความเป็นส่วนตัว อากาศไม่ดี

4 กระบวนการทํางาน เช่น กระบวนการติดต่อสื่อสารไม่เหมาะสม ข้อมูลย้อนกลับมีน้อยเป้าหมายขององค์การไม่ชัดเจน ระบบการควบคุมไม่ดี

5 สาเหตุอื่น ๆ เช่น ผู้ใต้บังคับบัญชาขาดประสิทธิภาพ งานที่ทําเสี่ยงอันตราย เกิดความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงาน

วิธีการบริหารความเครียด มี 2 วิธี คือ

1 เกี่ยวกับงาน เช่น กําหนดบทบาทในการทํางานของตนเองให้ชัดเจน รู้จักการแบ่งเวลาบริหารเวลาให้เหมาะสม มอบหมายงานให้คนอื่นทําบ้าง

2 เกี่ยวกับอารมณ์ เช่น คบกับคนที่ไม่เครียด หาวิธีคลายเครียด

WordPress Ads
error: Content is protected !!