LAW1101 (LAW1001) หลักกฎหมายมหาชน s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 ให้อธิบายความหมายของหลักประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) และหลักการที่เป็นสาระสําคัญ ในการบริการสาธารณะ (Public Service) มีหลักการสําคัญอะไรบ้าง และภายใต้หลักการดังกล่าว ในการบังคับอํานาจรัฐ เป็นการกระทําผ่านการใช้อํานาจรัฐขององค์กรใดบ้าง (อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงการใช้อํานาจในการบริการสาธารณะของแต่ละองค์กร)

ธงคําตอบ

หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง หลักการใช้อํานาจรัฐเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ มิใช่การตอบสนองต่อความต้องการของปัจเจกบุคคลเพียงคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม และมิใช่การตอบสนองต่อความต้องการของรัฐหรือผู้ดําเนินการนั้นเอง หรืออาจกล่าวได้ว่าประโยชน์สาธารณะ คือความต้องการของปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่ตรงกัน และเป็นความต้องการที่ตรงกันจํานวนมากจน เป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม มีผลทําให้ความต้องการในลักษณะดังกล่าวเป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากประโยชน์ส่วนบุคคลของปัจเจกบุคคลหรือเอกชนแต่ละคนดังต่อไปนี้ คือ

หลักการที่เป็นสาระสําคัญในการบริการสาธารณะนั้น อย่างน้อยต้องมีหลักการที่สําคัญ

1 หลักความต่อเนื่องในการบริการสาธารณะ หมายถึง การจัดทําบริการสาธารณะ จะต้องมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดเวลา

2 หลักความเสมอภาคในการบริการสาธารณะ หมายถึง การไม่เลือกปฏิบัติ ต้องให้ ความเสมอภาคทั้งในด้านการให้บริการและการรับบุคคลเข้าทํางานในหน่วยงานของรัฐ

3 หลักการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการบริการสาธารณะ คือ จะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้เกิดความทันสมัยนั่นเอง

4 หลักการกํากับดูแลการบริการสาธารณะโดยรัฐ หมายถึง ในการดําเนินการจัดทําบริการ สาธารณะต่าง ๆ โดยหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของรัฐ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การจัดทําบริการสาธารณะบรรลุผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์

การใช้อํานาจรัฐในการจัดทําบริการสาธารณะ เป็นการกระทําผ่านการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร และองค์กรฝ่ายตุลาการ

1 การบริการสาธารณะโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ซึ่งมีอํานาจและหน้าที่ใน การบัญญัติหรือออกกฎหมายที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไปและใช้บังคับกับประชาชน ตลอดจนมีอํานาจและหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การใช้อํานาจทางปกครองและการบริการสาธารณะขององค์กรฝ่ายบริหาร

2 การบริการสาธารณะโดยองค์กรฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ซึ่งมีอํานาจและหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน การใช้อํานาจทางปกครอง และการจัดทําบริการสาธารณะ เพื่อตอบสนองความต้องการตลอดจนเพื่อใช้อํานาจรัฐในการพัฒนาประเทศภายใต้นโยบายของรัฐบาลของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นการใช้อํานาจเพื่อประโยชน์สาธารณะ

3 การบริการสาธารณะโดยองค์กรฝ่ายตุลาการ (ศาล) ปัจจุบันได้แก่ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอํานาจและหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีและอํานวยความยุติธรรมตามที่กฎหมายบัญญัติและกําหนดขอบเขตอํานาจของแต่ละศาลไว้ซึ่งจะแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการ ใช้อํานาจหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจนการอํานวย ความยุติธรรมให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งเป็นการใช้อํานาจเพื่อประโยชน์สาธารณะ

 

ข้อ 2 จงอธิบายว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความสําคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครอง หรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอํานาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครอง นั้นอาจจะอยู่ในชื่อของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกําหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาศคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทาง การเมืองโดยกําหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อํานาจอธิปไตยและการดําเนินงานของสถาบันสูงสุด ของรัฐที่ใช้อํานาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอํานาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

1 อํานาจนิติบัญญัติ เป็นอํานาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อํานาจนี้

2 อํานาจบริหาร เป็นอํานาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้อํานาจนี้

3 อํานาจตุลาการ เป็นอํานาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสําคัญที่ใช้ อํานาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทาง ปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครอง ที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทําเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหาร ส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อํานาจหน้าที่ ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคําสั่งทางปกครอง ให้อํานาจในการออกกฎ ให้อํานาจในการกระทําทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

จากหลักการต่าง ๆ ที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายปกครองซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อของกฎหมายใด ๆ ก็ตาม มีความสําคัญต่อการเมือง การปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวาง หล้าเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ รวมทั้งการบัญญัติถึงอํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐทั้งองค์กร ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร และองค์กรฝ่ายตุลาการ และยังได้บัญญัติถึงอํานาจหน้าที่ในทางปกครองของ ฝ่ายปกครอง ได้แก่ อํานาจหน้าที่ในการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ อํานาจในการออกกฎหรือคําสั่ง อํานาจ ในการกระทําทางปกครองและอํานาจในการทําสัญญาทางปกครอง ซึ่งกรณีดังกล่าวหากไม่มีกฎหมายมหาชน บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถที่จะดําเนินการใด ๆ ได้ ทั้งนี้เพราะ ตามหลักของกฎหมายมหาชน องค์กรของรัฐและฝ่ายปกครองจะกระทําการใด ๆ ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติ ให้อํานาจและหน้าที่ไว้เท่านั้น

ส่วนหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสําคัญต่อการเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินนั้นมีหลักการที่สําคัญ ๆ หลายประการ เช่น

1 หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ ไม่ว่า จะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้องเป็นการใช้ อํานาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อํานาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้

2 หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อํานาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เป็นการสนองตอบ ต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ

3 หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้อง เป็นการใช้อํานาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม และนอกจากนั้นยังมีหลักกฎหมายมหาชนที่มีความสําคัญต่อการเมืองการปกครอง และการ บริหารราชการแผ่นดินอีกหลายประการ เช่น หลักความซื่อสัตย์สุจริต หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดจะออกกฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายมหาชน ซึ่งได้แก่ พ.ร.บ. ระเบียบ บริหารราชการแผ่นดินได้กําหนดไว้ด้วย และนอกจากนั้นในการออกกฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ ดังกล่าวก็จะต้อง คํานึงถึงหลักกฎหมายมหาชนต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นด้วย

 

ข้อ 3 การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยมีความเกี่ยวข้องกับหลักกฎหมายมหาชนในเรื่องใดบ้าง ให้นักศึกษาระบุหลักกฎหมายมหาชนเหล่านั้นมาสัก 4 – 5 หลักการ พร้อมให้เหตุผลประกอบโดยละเอียด

ธงคําตอบ

ในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค และระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นนั้น เพื่อให้การบริหาร ราชการแผ่นดินและการบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมบรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากเจ้าหน้าที่ ของรัฐและองค์กรของรัฐจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กฎหมายมหาชนได้กําหนดไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐและ องค์กรของรัฐก็จะต้องได้ใช้อํานาจหน้าที่ในการดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ ระเบียบ หรือคําสั่งเพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทําบริการสาธารณะให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายมหาชนด้วย เพราะถ้าหากการใช้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือองค์กรของรัฐไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายมหาชนแล้ว นอกจากจะทําให้การบริหารราชการแผ่นดินและการจัดทําบริการสาธารณะไม่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ยังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาและข้อพิพาททางปกครองขึ้นมาก็ได้

ซึ่งหลักกฎหมายมหาชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยที่สําคัญ ๆได้แก่

1 หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และองค์กร ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้อง เป็นการใช้อํานาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อํานาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้

2 หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และองค์กร ของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อํานาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เป็นการสนองตอบต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ

3 หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และองค์กรของรัฐ ฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อํานาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

4 หลักความสุจริต หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และองค์กรของรัฐจะต้อง กระทําด้วยความเหมาะสมและตามสมควร โดยมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และจะต้องกระทําต่อ บุคคลทุกคนโดยเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

5 หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และ องค์กรของรัฐจะต้องกระทําเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ มีประสิทธิภาพและ คุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ อํานวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชน และมีผู้รับผิดชอบต่อ ผลงานของงาน เป็นต้น

LAW1101 (LAW1001) หลักกฎหมายมหาชน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายความหมายของกฎหมายมหาชน และกฎหมายมหาชนแตกต่างจากกฎหมายเอกชนอย่างไร

ธงคําตอบ

เมื่อพิจารณาจากความหมาย ลักษณะ และขอบเขตของกฎหมายมหาชนแล้ว สามารถที่จะ สรุปได้ว่า “กฎหมายมหาชน” เป็นกฎหมายที่มีสาระสําคัญดังต่อไปนี้ คือ

1 เป็นกฎหมายที่มีลักษณะในการกําหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของคู่กรณี โดยที่คู่กรณี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นองค์กรของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีการสร้างนิติสัมพันธ์กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยอาจ เป็นองค์กรของรัฐด้วยกัน หรืออาจเป็นคู่กรณีที่มีสภาพบุคคลตามกฎหมายเอกชนก็ได้

2 เป็นกฎหมายที่มีลักษณะในการมุ่งถึงประโยชน์ในการสร้างนิติสัมพันธ์ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะ

3 เป็นกฎหมายที่มีลักษณะในการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยไม่จําต้อง ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักความเสมอภาค กล่าวคือ คู่กรณีฝ่ายรัฐสามารถมีอํานาจบังคับเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นเอกชนได้ หากเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะ

4 เป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางกฎหมายเป็นการทั่วไป โดยคู่กรณีจะเจรจาหรือตกลง กันเองว่าจะนํากฎหมายใดมาใช้หรือไม่ใช้กฎหมายใดมิได้ (หากมีการทําข้อตกลงยกเว้นย่อมถือได้ว่ามีลักษณะ เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนได้)

5 เป็นกฎหมายที่กําหนดให้ศาลพิเศษมีอํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดี หากเกิด กรณีข้อพิพาทขึ้นศาลที่มีอํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดี คือ ศาลพิเศษ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น (ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามลักษณะข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี)

สําหรับความแตกต่างระหว่างหลักกฎหมายมหาชนกับหลักกฎหมายเอกชนนั้น สามารถแยกออกเป็นหัวข้อที่สําคัญ ๆ ได้ดังนี้

1 ความแตกต่างทางด้านองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์ (ทฤษฎีตัวการ)

กฎหมายมหาชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์ ได้แก่ รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

กฎหมายเอกชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทํานิติสัมพันธ์ ได้แก่ เอกชนที่เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

2 ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (ทฤษฎีผลประโยชน์)

กฎหมายมหาชน มีวัตถุประสงค์ในการดําเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะและการให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มีความมุ่งหมายถึงผลกําไรเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สิน แต่มุ่งหวังถึงความพึงพอใจและการตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมเป็นสําคัญ

กฎหมายเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการดําเนินงานเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละบุคคล โดยมีความมุ่งหมายถึงผลกําไรเป็นตัวเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ในลักษณะอื่นใดเพื่อประโยชน์ของปัจเจกบุคคล เป็นสําคัญ ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นกรณีที่เป็นเอกชนบางประเภทที่อาจดําเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังเช่น มูลนิธิหรือสมาคมการกุศล เป็นต้น

3 ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ (ทฤษฎีความไม่เท่าเทียมกัน)

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการใช้บังคับอํานาจที่มีอยู่เหนือนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกับปัจเจกบุคคล โดยวิธีการที่เป็น “การกระทําฝ่ายเดียว” และปรากฏออกมาในรูปแบบ “คําสั่ง” กล่าวคือ เป็นการกระทําที่ฝ่ายหนึ่ง (รัฐและผู้ปกครอง) สามารถกําหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือปัจเจกบุคคล) กระทําตาม โดยฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องกระทําตามอาจไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยก็ตาม กฎหมายเอกชน มีลักษณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความเป็นอิสระในการแสดงเจตนา หลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพในการทําสัญญา โดยคู่กรณีต้องมีความสมัครใจ (เจตนาเสนอสนองตรงกัน สัญญาจึงจะเกิด) และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่มีอํานาจเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะทําการบังคับอีกฝ่ายหนึ่งโดย ปราศจากความยินยอมมิได้

4 ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการนํานิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนําแนวความคิด วิเคราะห์การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชน โดยการสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้บังคับ (โดยปฏิเสธการนําแนวความคิดวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายเอกชนมาใช้บังคับโดยตรง)

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการนํานิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนําความคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายเอกชนที่มุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันเอง และมุ่งเน้นถึงการรักษาผลประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

5 ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงการประสานและสร้างความสมดุลระหว่างผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของส่วนรวมกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลหรือเอกชน ที่มุ่งถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามที่กฎหมายให้อํานาจหรือกําหนดไว้

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

6 ความแตกต่างทางด้านเขตอํานาจศาล

กฎหมายมหาชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ หรือข้อพิพาทระหว่างรัฐกับ ปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายมหาชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเฉพาะหรือ ศาลพิเศษในทางมหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น

กฎหมายเอกชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างปัจเจกบุคคล หรือเอกชนต่อปัจเจกบุคคล หรือเอกชนในทางกฎหมายเอกชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ดังเช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลภาษี เป็นต้น

 

ข้อ 2 จงอธิบายว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความสําคัญและเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครอง หรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอํานาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกําหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาศคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทาง การเมืองโดยกําหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อํานาจอธิปไตยและการดําเนินงานของสถาบันสูงสุด ของรัฐที่ใช้อํานาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอํานาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อํานาจ คือ

1 อํานาจนิติบัญญัติ เป็นอํานาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อํานาจนี้

2 อํานาจบริหาร เป็นอํานาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้อํานาจนี้

3 อํานาจตุลาการ เป็นอํานาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสําคัญที่ใช้ อํานาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทาง ปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครอง ที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทําเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหาร ส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อํานาจหน้าที่ ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคําสั่งทางปกครอง ให้อํานาจในการออกกฎให้อํานาจในการกระทําทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

ซึ่งในการใช้อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการใช้อํานาจทางปกครองในการออกกฎ ออกคําสั่งทางปกครอง หรือการกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่น และการทําสัญญาทางปกครองขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ก็เพื่อการ บริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทําบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมของประเทศ ซึ่งรวมทั้ง เพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นในการใช้อํานาจต่าง ๆ หรือการกระทําต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงาน ทางปกครอง เพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย ซึ่งมีการชนบัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ด้วย เพราะถ้าไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะ ไม่สามารถที่จะดําเนินการใด ๆ ได้

และนอกจากนั้น ในการใช้อํานาจต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะต้องได้ใช้อํานาจโดยถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักความสุจริต หลักประโยชน์สาธารณะ หลักความยุติธรรม และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยรามคําแหงซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะใช้อํานาจทางปกครองเพื่อออกกฎ เช่น ระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือ ออกคําสั่งทางปกครอง หรือกระทําการทางปกครองในรูปแบบอื่น หรือการทําสัญญาทางปกครองในการบริหาร มหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคนซึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยนั้นก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน

ซึ่งในที่นี้คือ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคําแหง ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองได้บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ด้วย และจะต้องใช้อํานาจและหน้าที่นั้นโดยถูกต้องตามหลักการต่าง ๆ ของกฎหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้นด้วย เพราะถ้า เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้ใช้อํานาจหน้าที่เกินขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือเป็นการใช้อํานาจโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อํานาจไว้ หรือได้ใช้อํานาจและหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนแล้ว ย่อมอาจ ก่อให้เกิดข้อพิพาทซึ่งเรียกว่า ข้อพิพาททางปกครองขึ้นมาได้ และเมื่อเกิดข้อพิพาททางปกครองหรือคดีปกครอง ขึ้นมาแล้ว ก็สามารถนําข้อพิพาทนั้นไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชน มีความสําคัญและเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

ข้อ 3 จงอธิบายจุดอ่อนและจุดแข็งของการควบคุมการใช้อํานาจรัฐในแบบวิธีการป้องกันและแบบแก้ไขมาโดยละเอียด

ธงคําตอบ

การควบคุมการใช้อํานาจรัฐ หมายถึง การควบคุมการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยสั่งการ หรือ การกระทําทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือฝ่ายปกครองนั่นเอง ซึ่งการควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

1 การควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบป้องกัน หมายความว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือ ฝ่ายปกครองจะได้วินิจฉัยสั่งการ หรือมีการกระทําในทางปกครองที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใด ควรมีระบบป้องกันหรือควบคุมการวินิจฉัยสั่งการหรือการกระทํานั้นเสียก่อน กล่าวคือมีกฎหมายกําหนด กระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคําสั่งนั้นออกไป

ซึ่งการควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบป้องกันดังกล่าวนี้ เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั่นเอง เช่น

(1) เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้โต้แย้งคัดค้าน คือ การให้โอกาสผู้ที่อาจได้รับความเสียหาย จากการกระทําของฝ่ายปกครอง สามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้

(2) มีการปรึกษาหารือ คือการให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ

(3) หลักการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอํานาจสั่งการทางปกครองจะต้องไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่จะสั่งการนั้น

(4) มีการไต่สวนทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีการที่กําหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนหา ข้อเท็จจริง โดยทําการรวบรวมความคิดเห็นของบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย แล้วทําเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะได้ตัดสินใจกระทําการที่จะมีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย

(5) เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะต้องแจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้คู่กรณีทราบตามความจําเป็นแก่กรณี

(6) ถ้าเป็นคําสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ จะต้องระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นคําอุทธรณ์หรือคําโต้แย้ง และระยะเวลาสําหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย

จุดอ่อน ของการควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบป้องกัน คือการขาดสภาพบังคับ และการถือปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงทําให้วิธีการดังกล่าวไม่ค่อยจะได้ผล แต่จุดแข็ง คือ ถือเป็นการควบคุม การใช้อํานาจรัฐก่อนที่จะมีการทํานิติกรรม หรือคําสั่งทางปกครอง อีกทั้งเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมการควบคุม โดยทางศาล เพราะฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคําสั่ง ทําให้การกระทําของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย

2 การควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบแก้ไข หมายความว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐได้สั่งการใด หรือวินิจฉัยเรื่องใดไปแล้ว หากกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดในทางที่มิชอบด้วยกฎหมายจึง กําหนดให้มีระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐแบบแก้ไขโดยองค์กรที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ โดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหาร และระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร

(1) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหาร เป็นระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยขึ้นอยู่กับการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ โดยอาจกระทําได้โดยการบังคับบัญชา และการกํากับดูแล ได้แก่

ก) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ ด้วยการควบคุมบังคับบัญชาและการกํากับดูแล

– การควบคุมบังคับบัญชา โดยผู้บังคับบัญชาทําการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสมในการกระทําของผู้ใต้บังคับบัญชา โดยอาจตรวจสอบเองหรือมีบุคคลมาร้องเรียน

– การกํากับดูแล โดยหน่วยงานของรัฐจะดําเนินการตรวจสอบ ความชอบด้วยกฎหมายของการกระทําของหน่วยงานตามสายการบังคับบัญชา

ข) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐ ด้วยการร้องทุกข์และการอุทธรณ์ภายใน หน่วยงาน โดยสามารถร้องทุกข์หรืออุทธรณ์คําสั่งไปยังผู้ออกคําสั่งนั้น

(2) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร ได้แก่

ก) การควบคุมโดยองค์กรทางการเมือง เช่น รัฐสภา เป็นต้น

ข) การควบคุมโดยองค์กรพิเศษ คือ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการ ตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น

(3) ระบบการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรศาล ได้แก่

ก) การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยศาลยุติธรรม

ข) การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยศาลปกครอง

ค) การควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยศาลรัฐธรรมนูญ

วิธีการควบคุมการใช้อํานาจรัฐที่ดีที่สุด คือ การควบคุมแบบแก้ไข (ภายหลัง) ที่เรียกว่า ใช้ระบบ ตุลาการ (ศาลคู่) นั่นคือ ศาลปกครอง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีระบบการพิจารณาที่ใช้ศาล และมีกฎหมายรองรับ ทําให้การพิจารณาพิพากษาเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างยิ่ง อาทิเช่น กฎหมายจัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กฎหมายว่าด้วยความรับผิดในทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539

ส่วนการควบคุมการใช้อํานาจรัฐโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหารหรือโดยองค์กรทางการเมืองถือเป็นจุดอ่อนของการควบคุมการใช้อํานาจรัฐในรูปแบบนี้ เพราะไม่ค่อยเกิดผลในทางปฏิบัติมากนัก

LAW1101 (LAW1001) หลักกฎหมายมหาชน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1101 (LAW 1001) หลักกฎหมายมหาชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 กฎหมายมหาชนคืออะไร ความยุติธรรมคืออะไร กฎหมายมีความสัมพันธ์กับความยุติธรรม

อย่างไรบ้าง จงอธิบายโดยละเอียด

ธงคําตอบ

กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายที่กําหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ “สถานะและอํานาจรัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครอง ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน”

สาขาของกฎหมายมหาชน ได้แก่ รัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง และกฎหมายการคลัง

ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองตามกฎหมายมหาชนนั้น เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง ซึ่งจะแตกต่างกับกฎหมายเอกชนที่ตั้งอยู่บน พื้นฐานแห่งความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของคู่กรณี และตั้งอยู่บนหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งการแสดงเจตนาและเสรีภาพในการทําสัญญา

รัฐธรรมนูญ คือ กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นกติกาการปกครองของรัฐ และเป็นกลไกการใช้อํานาจขององค์กรต่าง ๆ ทั้งองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรฝ่ายบริหาร องค์กรฝ่ายตุลาการ และ องค์กรของรัฐที่เป็นองค์กรอิสระ

กติกาหรือกฎเกณฑ์ที่เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศมีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งที่เป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการ และรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ซึ่งหากกติกาหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการปกครองประเทศเป็นกติกาที่ไม่ดีคือเป็นกฎเกณฑ์ที่กําหนดขึ้นตามอําเภอใจของผู้มีอํานาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะต้องมีการแก้ไขกติกาหรือกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายนั้น

ความสัมพันธ์ของกฎหมายมหาชนกับหลักความยุติธรรม

ความยุติธรรมคืออะไร เป็นสิ่งที่นักกฎหมายต้องพิจารณาและให้ความสําคัญอย่างมาก เพราะกฎหมายนั้นตราออกมาใช้บังคับเพื่อความเป็นธรรมในสังคม ความยุติธรรมนี้จะเอาอะไรมาเป็นปทัสถาน ของความยุติธรรมว่าพอดี หรือเพียงพอแล้ว เพราะเวลาพูดถึงความยุติธรรมถ้าใช้สามัญสํานึกของตัวเองเป็นหลัก บางเรื่องก็อาจจะเห็นว่าไม่เป็นธรรม แต่ถ้าเอาสังคมส่วนรวมเป็นที่ตั้งก็อาจเป็นธรรม เช่น กรณีออกกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ หากใช้บังคับแก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกใช้เฉพาะกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้ว เช่นนี้ก็ย่อมถือว่ากฎหมายนั้นมีความยุติธรรมแล้ว

โดยทั่วไป ความยุติธรรมเป็นสิ่งบางอย่างที่ “รู้สึก” ได้ หรือรับรู้ได้โดย “สัญชาตญาณ” แต่ก็ ยากที่จะอธิบาย หรือให้นิยามความหมายของสิ่งที่รู้สึกได้ดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม

ความหมายของคําว่า “ความยุติธรรม” มีความหลากหลาย รายละเอียดต่าง ๆ อาจศึกษา หาอ่านได้โดยตรงในวิชานิติปรัชญา ในที่นี้จะยกคําจํากัดความของนักกฎหมายหรือนักปราชญ์เพียงบางท่าน เช่น

เดวิด ฮูม (David Hume) อธิบายไว้ว่า ความยุติธรรมเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งที่มิได้ปรากฏขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เป็นคุณธรรมที่เกิดจากการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ (Artificial Virtue)

เพลโต (Plato : 427 – 347 B.C.) ปรัชญาเมธีชาวกรีกในงานเขียนเรื่อง “อุดมรัฐ” (The Republic) ได้ให้คํานิยามความยุติธรรมว่า หมายถึง การทํากรรมดี (Doing welt is Justice) หรือการทําในสิ่งที่ ถูกต้อง (Right Conduct)

อริสโตเติล (Aristotle) มองว่าความยุติธรรม คือ คุณธรรมทางสังคม (Social Virtue) ประการหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และคุณธรรมเรื่องความยุติธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง อริสโตเติล แบ่งความยุติธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ (Natural Justice) หมายถึง หลักความยุติธรรม ซึ่งมีลักษณะ เป็นสากล ไม่เปลี่ยนแปลง ใช้ได้ต่อมนุษย์ทุกคน ไม่มีขอบเขตจํากัด และอาจค้นพบได้โดย “เหตุผลบริสุทธิ์” ของมนุษย์

2 ความยุติธรรมตามแบบแผน (Conventional Justice) หมายถึง ความยุติธรรมซึ่ง เป็นไปตามตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง หรือธรรมนิยมปฏิบัติของแต่ละสังคมหรือชุมชน ความยุติธรรมลักษณะนี้อาจเข้าใจแตกต่างกันตามสถานที่และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาหรือตามความเหมาะสม

กฎหมายกับความยุติธรรมนั้นย่อมมีความสัมพันธ์กัน ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้วิชาความรู้ชั้นเนติบัณฑิต สมัยที่ 33 ปีการศึกษา 2523 ณ อาคารใหม่สวนอัมพร 24 ตุลาคม 2524 ตอนหนึ่งว่า “ตัวกฎหมายก็ไม่ใช่ความยุติธรรม เป็นแต่เพียงเครื่องมือที่ใช้ในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมเท่านั้น ดังนั้นนักกฎหมายในการใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายใช้เพื่อรักษาและอํานวยความยุติธรรม และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินก็มิได้มีวงแคบอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย”

และนอกจากนั้น ลอร์ดเดนนิ่ง (Lord Denning) และจอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้อธิบาย ความหมายของความยุติธรรมว่า คือ สิ่งที่ผู้มีเหตุมีผลและมีความรับผิดชอบต่อสังคมถือว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม และบุคคลที่มีเหตุผลนั้นต้อง “เป็นคนกลาง” ไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่วินิจฉัย โดยความเห็นของ Lord Brown- Wilkinson ในคดีปิโนเชต์ได้นําคําพิพากษาของลอร์ดเฮวาร์ดมาอ้างด้วยว่า “เป็นความสําคัญขั้นพื้นฐานที่ว่าไม่เพียงแต่จะทําให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทําให้คนเห็นปรากฏชัดเจนและปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่า มีความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง…” ในคําพิพากษานั้น

 

ข้อ 2 จงอธิบายอย่างละเอียดว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความเกี่ยวข้องและสําคัญแก่ตัวนักศึกษาอย่างไร

ธงคําตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครอง หรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอํานาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมาย ปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกําหนด ประมวล กฎหมาย หรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาศคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐ ในทางการเมืองโดยกําหนดโครงสร้างของรัฐระบอบการปกครอง การใช้อํานาจอธิปไตย และการดําเนินงานของ สถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อํานาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอํานาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อํานาจ คือ

1 อํานาจนิติบัญญัติ เป็นอํานาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อํานาจนี้

2 อํานาจบริหาร เป็นอํานาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ใช้อํานาจนี้

3 อํานาจตุลาการ เป็นอํานาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสําคัญที่ใช้ อํานาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครอง ที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทําเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหาร ส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อํานาจหน้าที่ ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคําสั่งทางปกครอง ให้อํานาจในการออกกฎ ให้อํานาจในการกระทําทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

ซึ่งในการใช้อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจตุลาการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการใช้อํานาจทางปกครองในการออกกฎ ออกคําสั่งทางปกครอง หรือการกระทําทางปกครองในรูปแบบอื่น และการทําสัญญาทางปกครองขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ก็เพื่อการ บริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทําบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมของประเทศ ซึ่งรวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นในการใช้อํานาจต่าง ๆ หรือการกระทําต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐ หรือหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ด้วย เพราะถ้าไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะไม่สามารถที่จะดําเนินการใด ๆ ได้ และนอกจากนั้น ในการใช้อํานาจต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะต้องได้ใช้อํานาจโดยถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย ซึ่งได้แก่

1 หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐ ไม่ว่า จะเป็นองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ จะต้องเป็นการใช้ อํานาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้เท่านั้น จะใช้อํานาจหน้าที่นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้

2 หลักประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้องเป็นการใช้อํานาจหน้าที่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ใช่เป็นการสนองตอบ ต่อความต้องการของคนบางกลุ่มบางพวกหรือเพื่อใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ

3 หลักความยุติธรรม หมายถึง การใช้อํานาจหน้าที่ขององค์กรของรัฐฝ่ายต่าง ๆ จะต้อง เป็นการใช้อํานาจหน้าที่กับบุคคลทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคกัน และจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

และนอกจากนั้นยังมีหลักกฎหมายมหาชนหรือหลักกฎหมายปกครองที่มีความสําคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดินอีกหลายประการ เช่น หลักความซื่อสัตย์สุจริต หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยรามคําแหงซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะใช้อํานาจทางปกครองเพื่อออกกฎ เช่น ระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือ ออกคําสั่งทางปกครอง หรือกระทําการทางปกครองในรูปแบบอื่น หรือการทําสัญญาทางปกครองในการบริหาร มหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคนซึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยนั้นก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน

ซึ่งในที่นี้คือ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคําแหง ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองได้บัญญัติให้อํานาจและหน้าที่ไว้ด้วย และจะต้องใช้อํานาจและหน้าที่นั้นโดยถูกต้องตามหลักการต่าง ๆ ของกฎหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้นด้วย เพราะถ้า เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้ใช้อํานาจหน้าที่เกินขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือเป็นการใช้อํานาจโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อํานาจไว้ หรือได้ใช้อํานาจและหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนแล้ว ย่อมอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทซึ่งเรียกว่า ข้อพิพาททางปกครองขึ้นมาได้ และเมื่อเกิดข้อพิพาททางปกครองหรือคดีปกครอง ขึ้นมาแล้ว ก็สามารถนําข้อพิพาทนั้นไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความเกี่ยวข้องและสําคัญแก่ ตัวข้าพเจ้า ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3 ทําไมจึงต้องควบคุมการใช้อํานาจรัฐ ในทางทฤษฎี การควบคุมการใช้อํานาจรัฐที่ดีมีองค์ประกอบ อะไรบ้าง และเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติใดบ้าง ให้นักศึกษาระบุมาสัก 4 – 5 พระราชบัญญัติ พร้อมทั้งอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค กล่าวคือ รัฐมีเอกสิทธิ์ทางปกครองอยู่เหนือเอกชนนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของกฎหมายมหาชนที่มีความเหนือกว่าในอํานาจรัฐ ซึ่งได้มา จากประชาชนในการที่รัฐย่อมมีอํานาจในการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกนิติกรรมหรือสัญญาทางปกครองที่ รัฐเห็นว่าเป็นนิติกรรมหรือสัญญาทางปกครองที่ไม่เกิดประโยชน์ในการจัดทําบริการสาธารณะ หรือไม่เกิดผลดี แก่สาธารณชนได้ แต่การใช้อํานาจรัฐดังกล่าวต้องเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย

และเนื่องจากกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่ให้อํานาจรัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอยู่เหนือประชาชน ดังนั้นหากไม่มีการควบคุม เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายได้ ซึ่งการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายคือการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐ หน่วยงานของรัฐ กระทําการหรืองดเว้นกระทําการใช้อํานาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือใช้อํานาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน การควบคุมการใช้อํานาจรัฐที่ดี มีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 ระบบขององค์กรและกระบวนการตรวจสอบการกระทําของรัฐและเจ้าหน้าที่นั้น ควรมี ระบบที่ครอบคลุมกิจการของรัฐทุกด้าน เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นไปโดยทั่วถึงอย่างแท้จริง

2 ระบบควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น ต้องเหมาะสมกับสภาพกิจกรรมของรัฐที่ถูกควบคุม และต้องมั่นใจว่าระบบควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้นต้องสร้างสมดุลภาพของความจําเป็นในการใช้อํานาจรัฐ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่ละคนให้ได้

3 องค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบควบคุมนั้น ต้องมีลักษณะเป็นอิสระที่จะตรวจสอบควบคุม กิจกรรมที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําได้ โดยองค์กรควบคุมนั้นเองจะต้องถูกตรวจสอบได้ด้วย

4 จะต้องมีการปรับปรุงกลไกทั้งหลายที่ประชาชนจะสามารถใช้สิทธินําเรื่องมาสู่องค์กร ทั้งหลายได้โดยกว้างขวางขึ้น อันจะทําให้ระบบการควบคุมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สําหรับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้อํานาจรัฐนั้น มีหลายฉบับ เช่น

1 พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 โดย พ.ร.บ. ฉบับนี้จะใช้บังคับแก่การกระทําละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อบุคคลภายนอกหรือต่อหน่วยงาน ของรัฐ โดยจะกําหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าการกระทําละเมิดนั้นจะเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม

2 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็น พ.ร.บ.ที่มีวัตถุประสงค์ ในการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานราชการแผ่นดินของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง กับการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครอง ให้มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ ประชาชน เช่น การวางกรอบวิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกกฎหรือคําสั่งทางปกครอง รูปแบบและผล ของคําสั่ง การอุทธรณ์คําสั่ง การเพิกถอนคําสั่ง วิธีการแจ้งคําสั่ง ระยะเวลาและอายุความ เป็นต้น

3 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เป็น พ.ร.บ.ที่ใช้ควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้อํานาจทางปกครองหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ หรือคําสั่ง หรือการกระทําใด ๆ เอกชนผู้ได้รับความเสียหายก็สามารถฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้โดยอาศัยกลไกของกฎหมายฉบับนี้

พระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับ จะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและมีความสําคัญในเรื่องการ ควบคุมการใช้อํานาจรัฐเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐฯ เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมการใช้อํานาจรัฐ โดยควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐมิให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทําการใด ๆ ไม่ว่าจะโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกหรือต่อหน่วยงานของรัฐ และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมการใช้อํานาจทางปกครอง ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะการใช้อํานาจทางปกครองในการออกคําสั่งทางปกครองว่าจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น

ในกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทําการใด ๆ เนื่องจากการใช้อํานาจรัฐและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น แก่บุคคลภายนอก หรือเจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้อํานาจทางปกครองออกกฎหรือคําสั่ง และเป็นกฎหรือคําสั่งที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ดังนี้บุคคลที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับความเดือดร้อนจากการใช้อํานาจหรือจากการกระทําของ เจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าว ย่อมสามารถฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือให้ศาลปกครองสั่งให้เพิกถอน กฎหรือคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นได้ โดยอาศัยสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ นั่นเอง

LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2108 (LAW 2008) ป.พ.พ.ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 แดงได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดงมีกําหนดเวลา 6 ปี มีข้อตกลงว่าขาวเช่าอาคารพาณิชย์เพื่อทําเป็นร้านเสริมสวยและตัดผมเท่านั้น ขาวเช่าอาคารได้เพียง 1 ปี แดงขายอาคารนี้ให้แก่ดํา การซื้อขายทําโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้นอีก 6 เดือน ขาวได้ใช้อาคารนี้เปลี่ยนมาใช้ทําเป็นภัตตาคาร ดําทราบ ดังนั้นจึงบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีและให้ขาวขนของออกจากอาคารที่เช่าให้เสร็จใน 1 เดือน ขาวไม่ปฏิบัติตาม ดําจึงฟ้องเรียกอาคารคืน การกระทําของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปว่าขาวทําร้านเสริมสวยและตัดผมมาจนครบ 6 ปี และสัญญาเช่า แดงได้ให้คํามั่นจะให้เช่าไว้ว่าจะให้ขาวเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อขาวเช่าครบ 6 ปี ขาวขอเช่า แต่ดํา ปฏิเสธได้หรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 552 “อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยม ปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสีย ไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดง มีกําหนดเวลา 6 ปี โดยมีข้อตกลงว่า ขาวเช่าอาคารพาณิชย์เพื่อทําเป็นร้านเสริมสวยและตัดผมเท่านั้น สัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวย่อมมีผลสมบูรณ์และสามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 538

การที่ขาวได้เช่าอาคารดังกล่าวได้เพียง 1 ปี แดงได้ขายอาคารนี้ให้แก่ดํา และการซื้อขายนั้น ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับโอนย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนซึ่งมีต่อขาวผู้เข่าด้วยตาม มาตรา 569 กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าอาคารดังกล่าวต่อไปจนครบ 6 ปี

การที่ขาวผู้เช่าได้ใช้อาคารที่เช่าเปลี่ยนมาใช้ทําเป็นภัตตาคาร ย่อมถือว่าขาวได้นําทรัพย์สินที่เช่า ไปใช้เพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่กําหนดไว้ในสัญญา ดังนี้ ดําย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 554 ประกอบมาตรา 552 แต่ดําจะต้องบอกกล่าวให้ขาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาก่อน และถ้าผู้เช่า ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม ดําผู้ให้เช่าก็สามารถบอกเลิกสัญญาเช่านั้นได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อทราบ ดําได้บอกเลิกสัญญาเช่าทันที และให้ขาวขนของออกจากอาคารที่เช่าให้เสร็จใน 1 เดือน โดยไม่มีการบอกกล่าว ให้ขาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาก่อน และเมื่อขาวไม่ปฏิบัติตาม ดําจึงฟ้องเรียกอาคารคืนนั้น การกระทําของดําจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าหากขาวทําร้านเสริมสวยและตัดผมมาจนครบกําหนด 6 ปี และตามสัญญา เช่านั้น แดงได้ให้คํามั่นจะให้เช่าไว้ว่าจะให้ขาวเช่าต่อไปอีก 3 ปีนั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า เท่านั้น ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่ผูกพันดําผู้โอน ดังนั้น เมื่อขาวผู้เช่าได้เช่าอาคารมาจนครบ 6 ปีแล้ว สัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวย่อมระงับลง และเมื่อขาวขอเช่าต่อ แต่ดําปฏิเสธ การปฏิบัติของดํา จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การที่ดําบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนกรณีที่ขาวขอเข่าต่อ ดําสามารถปฏิเสธได้

ข้อ 2 ทิชาทําสัญญาเช่าบ้านหลังหนึ่งที่กําลังจะเริ่มก่อสร้างจากคิวเพื่ออยู่อาศัยมีกําหนด 10 ปี โดยทิชา ตกลงให้เงินช่วยค่าก่อสร้างแก่คิวเป็นเงิน 500,000 บาทในวันทําสัญญา และกําหนดค่าเช่างวดละ 5,000 บาท ชําระทุกวันที่ 20 ของเดือน สัญญาเช่าทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย แต่ไม่ได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หลังจากทิชาเข้าอยู่อาศัยในบ้านได้ 4 ปี คิวได้ โอนขายบ้านนั้นให้พาย โดยพายรับทราบถึงสัญญาเช่าระหว่างคิวและทิชา พายจึงแจ้งให้ทิชา ออกจากบ้านไปทันทีที่รับโอนบ้านจากคิว ทิชาปฏิเสธโดยอ้างว่าพายต้องรับโอนซึ่งสิทธิหน้าที่ของคิว ในฐานะผู้ให้เช่าบ้านไปด้วยเนื่องจากสัญญาเช่ายังไม่ครบกําหนด ดังนี้ ข้ออ้างของทิชาฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้องบังคับคดี กันได้ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่า ที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ทิชาได้ทําสัญญาเช่าบ้านหลังหนึ่งที่กําลังก่อสร้างจากคิวเพื่ออยู่อาศัย มีกําหนด 10 ปี โดยทิชาตกลงให้เงินช่วยค่าก่อสร้างแก่คิวเป็นเงิน 500,000 บาทในวันทําสัญญานั้น ทําให้ สัญญาเช่าฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา ซึ่งสัญญาเช่าต่างตอบแทนฯนั้น จะผูกพันผู้รับโอนก็ต่อเมื่อสัญญาเช่าซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ทําถูกต้องตามมาตรา 538 กล่าวคือ ถ้าเป็นสัญญาเช่าที่มีระยะเวลา 10 ปี จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย เมื่อปรากฏว่า สัญญาเช่าบ้านระหว่างทิชาและคิวได้ทําเป็นหนังสือ แต่ไม่ได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่ผูกพันพายผู้รับโอนแม้พายจะได้ทราบถึงสัญญาเช่าระหว่างทิชาและคิวอยู่แล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่อพายได้แจ้งให้ทิชาออกจากบ้านไปทันทีที่รับโอนบ้านจากคิวหลังจากที่ทิชาได้เข้าอยู่อาศัยในบ้านได้ 4 ปีแล้ว การที่ทิชาปฏิเสธโดยอ้างว่าพายต้องรับโอนซึ่งสิทธิและหน้าที่ของคิวในฐานะผู้ให้เช่าบ้านไปด้วย เนื่องจากสัญญาเช่ายังไม่ครบกําหนดนั้น ข้ออ้างของทิชาย่อมฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของทิชาฟังไม่ขึ้น

ข้อ 3 นายเอกว่าจ้างนายโทมาจากประเทศอิตาลี โดยออกค่าเดินทางจากประเทศอิตาลีมายังกรุงเทพฯ เพื่อให้มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวในร้านอาหารอิตาเลี่ยนของตน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 1 มกราคม 2564 ตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนก่อนวันที่ 25 ของเดือน เมื่อครบกําหนด วันที่ 1 มกราคม 2564 แล้ว นายเอกมิได้เลิกจ้างนายโท ยังคงให้นายโททํางานต่อไป ทั้งยังยอม จ่ายค่าจ้างให้นายโทด้วย แต่เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังคงแพร่ระบาด อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กิจการของนายเอกไม่อาจดําเนินการได้ด้วยดีนัก เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 นายเอกจึงบอกเลิกการจ้างด้วยวาจาไปยังนายโท อยากทราบว่า การบอกกล่าวเลิกสัญญาของนายเอกเป็นผลให้สัญญาเลิกกันเมื่อใด และนายเอกจะต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามคําเรียกร้องของนายโทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความ ในมาตราต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

มาตรา 586 “ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ไซร้ เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กําหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว ท่านว่านายจ้างจําต้อง ใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้ แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้ คือ

(1) สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทําหรือความผิดของลูกจ้าง และ

(2) ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ว่าจ้างนายโทมาจากประเทศอิตาลี โดยออกค่าเดินทางจาก ประเทศอิตาลีมายังกรุงเทพฯ เพื่อให้มาเป็นหัวหน้าพ่อครัวในร้านอาหารอิตาเลี่ยนของตน ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2564 โดยตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนก่อนวันที่ 25 ของเดือน เมื่อครบกําหนดวันที่ 1 มกราคม 2564 แล้ว นายเอกมิได้เลิกจ้างนายโท ยังคงให้นายโททํางานต่อไป ทั้งยังยอมจ่ายค่าจ้างให้นายโท ด้วยนั้น กรณีนี้ย่อมถือว่านายเอกและนายโทได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิมตาม มาตรา 581 และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาการจ้าง ดังนั้น ถ้าต่อมานายเอกต้องการบอกเลิกสัญญา จึงต้องปฏิบัติตามมาตรา 582 สัญญาจ้างจึงจะสิ้นสุดลง

การที่นายเอกบอกเลิกสัญญาจ้างนายโทในวันที่ 30 สิงหาคม 2554 นั้น การบอกเลิกสัญญาจ้าง ของนายเอกย่อมเป็นผลให้สัญญาจ้างเลิกกันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไป คือวันที่ 24 ตุลาคม 2564

และเมื่อสัญญาจ้างได้สิ้นสุดลง โดยหลักนายจ้างมีหน้าที่ต้องออกเงินค่าเดินทางขากลับให้แก่ลูกจ้างที่มาจากต่างถิ่น ตามมาตรา 586 แต่จํากัดเพียงเฉพาะสัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทําหรือความผิดของลูกจ้าง และลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามา แต่เมื่อข้อเท็จจริงนายเอกจ้างนายโทมาจากประเทศอิตาลีโดยออกค่าเดินทาง จากประเทศอิตาลีมายังกรุงเทพฯ ดังนั้น การที่นายโทเรียกเงินค่าตั๋วเดินทางกลับไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมิใช่การเรียกร้องค่าเดินทางกลับไปยังถิ่นที่นายเอกจ้างมา นายเอกจึงไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทาง ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามคําเรียกร้องของนายโท

สรุป การบอกกล่าวเลิกสัญญาของนายเอกเป็นผลให้สัญญาเลิกกันในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 และนายเอกไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามคําเรียกร้องของนายโท

LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ s/63

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2108 (LAW 2008) ป.พ.พ. ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 จิ๋วและโก๋เป็นเพื่อนกัน จิ๋วจึงให้โก๋เช่าบ้านพร้อมที่ดินแปลงหนึ่งของตนเพื่ออยู่อาศัย มีกําหนด เวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 ชําระค่าเช่าทุกเดือนในอัตราเดือนละ 5,000 บาท หลังจากที่โก๋เช่าบ้านพร้อมที่ดินไปได้ 2 ปี โก้ผิดนัดไม่ชําระค่าเช่า 3 เดือน เนื่องจากโก๋ตกงาน จิ๋วจึงบอกเลิกสัญญากับโก๋ทันที และให้โก๋ออกจากบ้านและที่ดินที่เช่า แต่โก๋ปฏิเสธ จิ๋วจึงนําคดีมาฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ และขอให้ศาลสั่งขับไล่โก๋

(ก) หากสัญญาเช่าบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวตกลงด้วยวาจา ถ้าท่านเป็นศาลในคดีนี้ ท่านจะวินิจฉัย คดีเช่นไร เพราะเหตุใด

(ข) หากสัญญาเช่าบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวทําเป็นหนังสือ ถ้าท่านเป็นศาลในคดีนี้ ท่านจะวินิจฉัย คดีเช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้องบังคับคดี กันได้ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่า ที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่จิ๋วให้โก๋เช่าบ้านพร้อมที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ มีกําหนดเวลา 3 ปี และตกลงกัน ด้วยวาจานั้น สัญญาเช่าบ้านพร้อมที่ดินระหว่างจิ๋วและโก๋ เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดคือโก๋ แม้สัญญาเช่าจะสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ดังนั้น การที่โก๋ผิดนัดไม่ชําระค่าเช่า 3 เดือน จิ๋วจึงไม่สามารถฟ้องร้องให้โก๋ชําระค่าเช่าที่ค้างชําระได้

ส่วนการที่จิ๋วฟ้องขอให้ศาลขับไล่โก๋ออกจากบ้านและที่ดินที่เช่านั้น มิใช่เป็นการฟ้องเพื่อให้บังคับตามสัญญาเช่าแต่อย่างใด ดังนั้น แม้สัญญาเช่าจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญก็ตาม จิ๋วผู้เป็นเจ้าของบ้านและที่ดินก็สามารถฟ้องร้องขับไล่โก๋ได้

(ข) การที่จิ๋วให้โก๋เช่าบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวโดยทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือนั้น สัญญาเช่าย่อมมีผลสมบูรณ์และสามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 538 แต่อย่างไรก็ดี มาตรา 560 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า ถ้าค่าเช่านั้นได้กําหนดชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีก จึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้

การที่โก๋ได้ตกลงจะชําระค่าเช่าแก่จิ๋วเป็นรายเดือน แล้วต่อมาผิดนัดชําระค่าเช่า 3 เดือนนั้น โดยหลักแล้วจิ๋วย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่าเป็นรายเดือน ดังนั้น จิ๋วจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จิ๋วจะต้องบอกกล่าวให้โก๋นําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยจะต้องให้เวลาแก่โก๋นําค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งหากโก๋ไม่ยอมชําระอีก จิ๋วจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง แต่ตามข้อเท็จจริง จิ๋วได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโก๋ทันที โดยไม่มีการบอกกล่าวให้โก๋นําค่าเช่าที่ค้างชําระมาชําระก่อน การบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าทันทีของจิ๋วจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สัญญาเช่าจึงยังไม่ระงับ จิ๋วจึงยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าจากโก๋ได้

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลในคดีนี้ จะวินิจฉัยทั้ง 2 กรณีดังนี้คือ

(ก) จะยกฟ้องคดีที่จิ๋วฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ แต่จะรับฟ้องคดีฟ้องขับไล่ของจิ๋ว

(ข) จะยกฟ้องทั้งคดีฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ และคดีฟ้องขับไล่ของจิ๋ว

ข้อ 2 ทิชาทําสัญญาเช่าซื้อบ้านหลังหนึ่งจากคิวในราคา 1,000,000 บาท สัญญาทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย แต่ยังไม่ได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยกําหนดค่าเช่าซื้องวดละ 100,000 บาท ชําระทุกวันที่ 20 ของเดือน มีกําหนด 10 งวด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ในวันทําสัญญา ทิชาได้ให้ค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 200,000 บาท หลังจากที่ทิชาชําระค่าเช่าซื้องวดที่ 7 แล้ว ทิชาก็ไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้ออีกเลย ในวันที่ 21 ตุลาคม 2563 คิวจึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่ที่ชา ทันที ดังนี้ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของคิวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 572 วรรคสอง “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ

ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้รับเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ทิชาทําสัญญาเช่าซื้อบ้านหลังหนึ่งจากคิว ในราคา 1,000,000 บาท โดยทําสัญญากันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย แต่ยังไม่ได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ถือว่าสัญญาเช่าซื้อบ้านระหว่างทิชาและคิวได้ทําถูกต้องตามแบบที่มาตรา 572 วรรคสอง ได้กําหนดไว้แล้ว เพราะตามมาตรา 572 ไม่ได้กําหนดว่าสัญญาเช่าซื้อจะต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ดังนั้น

สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย

เมื่อในสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว ได้ตกลงให้ทิชาชําระค่าเช่าซื้อทุกวันที่ 20 ของเดือน มีกําหนด 10 งวด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป โดยในวันทําสัญญา ทิชาได้ให้ค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 200,000 บาท และหลังจากทิชาชําระค่าเช่าซื้องวดที่ 7 แล้ว ทิชาก็ไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้ออีกเลยนั้น เมื่อนําค่าเช่าล่วงหน้า 200,000 บาท มาหักออกจากยอดที่ไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อก่อนแล้ว ย่อมถือว่าทิชาได้ชําระค่าเช่าซื้อจนถึงงวดที่ 9 แล้ว และยังคงผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้องวดที่ 10 ที่มีกําหนดชําระวันที่ 20 ตุลาคม 2563 เพียงงวดเดียวเท่านั้น จึงถือเป็นกรณี ที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินเพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงิน 2 คราวติด ๆ กัน อันจะทําให้คิวมีสิทธิบอกเลิก สัญญาเช่าซื้อตามมาตรา 574 วรรคหนึ่งได้ ดังนั้น การที่คิวบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีในวันที่ 21 ตุลาคม 2563 และฟ้องขับไล่ทิชานั้น การกระทําของคิวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของตัวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3 (ก) จงอธิบายเหตุที่นายจ้างจะไล่ลูกจ้างออกได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหม ทดแทน และยกตัวอย่างประกอบให้เข้าใจพอสังเขป

(ข) ผู้ว่าจ้างทําของจะบอกเลิกสัญญากับผู้รับจ้างทําของในกรณีที่การที่จ้างยังทําไม่เสร็จได้หรือไม่และผู้ว่าจ้างทําของต้องดําเนินการอย่างไรในการบอกเลิกสัญญา จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบให้เข้าใจพอสังเขป

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 583 “ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นําพาต่อคําสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทําความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทําประการอื่น อันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้”

จากบัญญัติมาตรา 583 จะเห็นได้ว่า นายจ้างจะไล่ลูกจ้างออกได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

หรือให้สินไหมทดแทนได้ ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

1 ลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย

2 ลูกจ้างละเลยไม่นําพาต่อคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างเป็นอาจิณ

3 ลูกจ้างละทิ้งการงานไปเสีย

4 ลูกจ้างกระทําความผิดอย่างร้ายแรง

5 ลูกจ้างกระทําโดยประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต

ตัวอย่าง นาย ก. ได้ทําสัญญาจ้างนาย ข. เป็นลูกจ้างมีกําหนดเวลา 5 ปี โดยตกลงจ่ายสินจ้าง ทุก ๆ วันสิ้นเดือน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ปรากฏว่าในเดือนเมษายน 2564 นาย ข. ได้มาทํางานสาย ถึง 10 ครั้ง และนาย ก. ก็ได้ทําการตักเตือนเป็นหนังสือให้ทราบแล้วว่าตามระเบียบของที่ทํางานนั้นต้องมาทํางาน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. แต่นาย ข. ก็ยังมาทํางานสายอีกหลายครั้ง ดังนี้ ถือว่านาย ข. ได้ละเลยไม่นําพาต่อคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายเป็นอาจิณ นาย ก. ย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างนาย ข. ได้ทันที โดยมิพักต้อง บอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทน

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

จากบัญญัติมาตรา 605 จะเห็นได้ว่า กรณีสัญญาจ้างทําของนั้น ผู้ว่าจ้างทําของจะบอกเลิกสัญญา กับผู้รับจ้างทําของในกรณีที่การที่จ้างยังทําไม่เสร็จได้ แต่ผู้ว่าจ้างจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อ ความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้น

ตัวอย่าง พรทําสัญญาจ้างเพ็ญให้ตัดเย็บหน้ากากผ้าจํานวน 10,000 ชิ้น โดยจะจ่ายสินจ้าง ให้เพ็ญเมื่องานเสร็จเป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อเพ็ญดําเนินการตัดเย็บหน้ากากผ้าไปแล้ว 2,000 ชิ้น พรเห็นว่า แบบที่ว่าจ้างให้เพ็ญตัดเย็บนั้น มีขายมากเกินไปในท้องตลาด ซึ่งอาจจะขายไม่หมดตามจํานวนที่คาดไว้ ดังนั้น พรจึงสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างกับเพ็ญได้ แต่พรจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญานั้นให้แก่เพ็ญ

LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก๋วยจั๊บและก๋วยเตี๋ยวเป็นเพื่อนสนิทกัน ก๋วยจั๊บจึงให้ก๋วยเตี๋ยวเช่าบ้านพร้อมที่ดินแปลงหนึ่งของตน สัญญาเช่าตกลงด้วยวาจามีกําหนดเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 ธันวาคม 2564 ชําระค่าเช่าทุกเดือนในอัตราเดือนละ 10,000 บาท หลังจากที่ก๋วยเตี๋ยวเช่าบ้านพร้อมที่ดินไปได้ 2 ปี ก๋วยเตี๋ยวผิดนัดไม่ชําระค่าเช่า 3 เดือน เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวตกงาน ก๋วยจั๊บจึงบอกเลิกสัญญา กับก๋วยเตี๋ยวทันที และให้ก๋วยเตี๋ยวออกจากบ้านและที่ดินที่เช่า แต่ก๋วยเตี๋ยวปฏิเสธ ก๋วยจั๊บจึงนํา คดีมาฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระและขอให้ศาลสั่งขับไล่ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวต่อสู้ขอให้ศาลยกฟ้อง โดยอ้างว่าสัญญาเช่าทําไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และการบอกเลิกสัญญาเช่าทําโดยมิชอบ ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลในคดีนี้ ท่านจะวินิจฉัยคดีเช่นไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้องบังคับ คดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็น การเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ก๋วยจั๊บให้ก๋วยเตี๋ยวเช่าบ้านพร้อมที่ดินมีกําหนดเวลา 3 ปี และตกลงกัน ด้วยวาจานั้น สัญญาเช่าบ้านพร้อมที่ดินระหว่างก๋วยจั๊บกับก๋วยเตี๋ยวเมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ (ก๋วยเตี๋ยว) จึงไม่สามารถที่จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ดังนั้นการที่ก๋วยเตี๋ยว ผิดนัดไม่ชําระค่าเช่า 3 เดือน ก๋วยจับจึงไม่สามารถฟ้องร้องให้ก๋วยเตี๋ยวชําระค่าเช่าได้

ส่วนการที่ก๋วยจั๊บฟ้องขอให้ศาลขับไล่ก๋วยเตี๋ยวออกจากบ้านและที่ดินที่เช่านั้น มิใช่เป็นการฟ้อง

เพื่อให้บังคับตามสัญญาเช่าแต่อย่างใด ดังนั้น แม้สัญญาเช่าจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ก๋วยจั๊บผู้เป็นเจ้าของบ้านและที่ดินก็สามารถฟ้องขับไล่ก๋วยเตี๋ยวได้

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลในคดีนี้ จะวินิจฉัยยกฟ้องคดีที่ก๋วยจั๊บฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ แต่ จะรับฟ้องคดีฟ้องขับไล่ของก๋วยจั๊บ

 

ข้อ 2 (ก) ไบรท์ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้กินเช่าบ้านของไบรท์มีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือนในอัตราเดือนละ 10,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่า วินได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้เป็นจํานวน 30,000 บาท วินเข้าไปอยู่ใน บ้านที่เช่าจนถึงเดือนมีนาคม 2563 แต่วินไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับไบรท์เลยตั้งแต่เริ่มทําสัญญา ดังนั้น ในวันที่ 1 มีนาคม 2563 ไบรท์จึงมีหนังสือแจ้งให้วินนําค่าเช่ามาชําระให้เสร็จสิ้น ภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว มิฉะนั้นให้ถือเอาหนังสือบอกกล่าวเป็น การบอกเลิกสัญญา เมื่อครบกําหนด 15 วันแล้ว วินก็ไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับไบรท์ ดังนั้น วันที่ 17 มีนาคม 2563 ไบรท์จึงฟ้องขับไล่วินออกจากบ้านที่เช่า การบอกเลิกสัญญาเช่า ของไบรท์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพราะเหตุใด (นักศึกษาจะต้องอธิบายเหตุผลประกอบด้วย มิฉะนั้นจะไม่ได้คะแนน)

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้อง บอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ไบรท์ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้กินเช่าบ้านของไบรท์มีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือนในอัตราเดือนละ 10,000 บาทนั้น ถือเป็นสัญญาเช่าที่มีการตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายเดือน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าวินไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับไบรท์เลย นับแต่เริ่มทําสัญญา ดังนี้เมื่อหักค่าเช่าล่วงหน้าที่วินให้ไว้ 30,000 บาท จึงถือว่าวินยังไม่ได้ชําระค่าเช่าในวันที่ 5 มกราคม และ 5 กุมภาพันธ์ 2563 และการที่ไบรท์มีหนังสือแจ้งให้วินนําค่าเช่ามาชําระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว มิฉะนั้นให้ถือเอาหนังสือบอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญานั้น ย่อมถือได้ว่า ผู้ให้เช่าได้บอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนแล้วว่าให้ชําระค่าเช่าภายในกําหนดเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้นเมื่อครบกําหนด 15 วันแล้ววินก็ยังไม่ได้ชําระค่าเช่าให้แก่ไบรท์ และไบรท์ได้ฟ้องขับไล่วินออกจากบ้านที่ให้เช่าในวันที่ 17 มีนาคม 2563 การบอกเลิกสัญญาเช่าของไบรท์จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 560

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้รีบ เป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่วินผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน คือไม่ชําระ ค่าเช่าซื้อในเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ดังนั้นไบรท์ผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของไบรท์จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป (ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของไบรท์ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของไบรท์ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3 แบมทําสัญญาจ้างให้ออยตัดเย็บหน้ากากผ้าตามแบบจํานวน 10,000 ชิ้น โดยจะจ่ายสินจ้าง ให้แก่ออยเมื่องานเสร็จเป็นเงินรวม 100,000 บาท ออยเห็นว่ามีงานต้องทําเป็นจํานวนมากจึงทํา สัญญาจ้างบีมเป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา โดยให้สินจ้างสัปดาห์ละ 2,000 บาท กําหนดจ่าย สินจ้างกันทุกวันศุกร์ เมื่อออยดําเนินการตัดเย็บหน้ากากผ้าไปแล้ว 2,000 ชิ้น แบมเห็นว่าแบบที่ ว่าจ้างให้ออยตัดเย็บนั้นมีขายเยอะเกินไปในท้องตลาดจึงขายไม่ออกตามจํานวนที่คาดไว้ แบมจึงบอกเลิกสัญญากับออย

(ก) แบมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างกับออยหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ออยเห็นว่าไม่ค่อยมีงานให้บีมทําแล้ว จึงบอกเลิกสัญญาจ้างกับบีมในวันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 ดังนี้ ทีมต้องทํางานให้ออยถึงวันที่เท่าใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทํา การงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ

แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้เมื่อ เสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิก

สัญญาจ้างได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้น ให้กับผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แบมทําสัญญาจ้างให้ออยตัดเย็บหน้ากากผ้าตามแบบจํานวน 10,000 ชิ้น โดยจะจ่ายสินจ้างให้แก่ออยเมื่องานเสร็จเป็นเงินรวม 100,000 บาทนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อออยดําเนินการตัดเย็บหน้ากากผ้าไปแล้ว 2,000 ชิ้น แบมเห็นว่าแบบที่ว่าจ้างให้ออยตัดเย็บนั้นมีขายเยอะเกินไป ในท้องตลาดจึงขายไม่ออกตามจํานวนที่คาดไว้จึงบอกเลิกสัญญาจ้างกับออยนั้น แบมย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้าง กับออยได้ แต่แบมจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญานั้นให้แก่ ออยด้วยตามมาตรา 605

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง

เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย

จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ออยทําสัญญาจ้างบีมเป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลาโดยให้สินจ้าง สัปดาห์ละ 2,000 บาท กําหนดจ่ายสินจ้างทุกวันศุกร์นั้น ถือว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเมื่อเป็น สัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดเวลาจึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 582 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าออยจะบอกเลิกสัญญาจ้าง จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ออยได้บอกเลิกสัญญากับทีมในวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ย่อมถือว่าเป็น การบอกเลิกสัญญาของการจ่ายสินจ้างในศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนด จ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า คือ เลิกสัญญากันในวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ดังนั้น บีมจึงต้องทํางานให้ออย ต่อไปจนถึงวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563

สรุป (ก) แบมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างกับออยได้ แต่แบมจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับออย ในความเสียหายซึ่งเกิดจากการบอกเลิกสัญญาจ้างนั้นด้วย

(ข) ออยบอกเลิกสัญญากับบีมในวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 บีมต้องทํางานให้ออยจนถึง วันที่ 17 กรกฎาคม 2563

LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 แดงได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดง มีกําหนดเวลา 6 ปี ตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน และสัญญาเช่าข้อ 5 ระบุว่า “หากสัญญาเช่า ครบ 6 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าอาคารพาณิชย์ต่อไป อีก 3 ปี” หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า

(ก) ในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ขาวได้แจ้งความประสงค์ไปยังแดงว่าขาวต้องการเช่าอาคาร ต่อไปอีก 3 ปี แต่แดงอ้างว่าไม่มีคํามั่นจะให้เช่าแล้ว จึงไม่ต้องปฏิบัติตาม การปฏิเสธของแดง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ขาวเช่าอาคารพาณิชย์มาได้ 1 ปีเท่านั้น แดงได้ขายอาคารพาณิชย์ให้กับดํา การซื้อขา ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ทําให้ขาวเข่าอาคารพาณิชย์จนครบ 6 ปี ครั้นถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ดําฟ้องขับไล่ขาวออกจากอาคาร และให้ขาวส่งมอบอาคารคืน เพราะขาวยังอยู่ในอาคารพาณิชย์ โดยที่ดํามิได้บอกเลิกสัญญาเช่าก่อน คําอ้างว่าครบกําหนดเวลาเช่า 6 ปีแล้ว ดังนี้ การกระทํา ของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้องบังคับ คดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็น การเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือ แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่า อาคารพาณิชย์ของแดงมีกําหนดเวลา 6 ปีนั้น สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงและขาวมีผลสมบูรณ์ แต่สามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538 ดังนั้น แม้ในสัญญาเช่าข้อ 5 จะระบุว่า “หากสัญญาเช่าครบ 6 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าอาคารพาณิชย์ต่อไป อีก 3 ปี” ก็ตาม แต่เมื่อการเช่าดังกล่าวนั้นได้มีการเช่ากันครบ 3 ปีแล้ว สัญญาเช่าและคํามั่นจะให้เช่า ดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับกันอีกต่อไป เมื่อขาวได้แจ้งความประสงค์ไปยังแดงในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ว่า ขาวต้องการเช่าอาคารต่อไปอีก 3 ปี แต่แดงอ้างว่าไม่มีคํามั่นจะให้เช่าแล้ว จึงไม่ต้องปฏิบัติตามนั้น การปฏิเสธ ของแดงจึงชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่า

คู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้อง บอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงและขาวมีผลสมบูรณ์ และสามารถ ใช้บังคับกันได้ 3 ปีนั้น เมื่อปรากฏว่าขาวได้เช่าอาคารพาณิชย์มาได้ 1 ปี แดงได้ขายอาคารพาณิชย์ที่ให้ขาวเช่า ให้แก่ดํา โดยการซื้อขายทําโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่า ระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยดําผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่า นั้นด้วย กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์นั้นต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง

และเมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีแล้ว แต่ยังคงให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ดังกล่าวต่อไปจน ครบกําหนด 6 ปี ถือว่าสัญญาเช่า 3 ปีหลังนั้น เป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 570 ซึ่งสิทธิและ หน้าที่ของคู่สัญญาให้นําสัญญาเดิมมาใช้บังคับ และเมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลา ดําย่อมมีสิทธิบอกเลิก สัญญาเช่าได้ แต่ต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้อง บอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 2 เดือน ตามมาตรา 566 แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ดําได้ฟ้องขับไล่ขาวออกจากอาคาร และให้ขาวส่งมอบอาคารคืนโดยที่ดํายังมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าก่อน โดยอ้างว่า ครบกําหนดเวลาเช่า 6 ปีนั้น การกระทําของดําย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตํายังไม่ได้บอกกล่าวให้ขาว รู้ตัวก่อนล่วงหน้าตามมาตรา 566

สรุป (ก) การปฏิเสธของแดงชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การกระทําของดําไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 2 (ก) น้ําเงินได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินของน้ําเงินมีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 15 ของเดือน เป็นค่าเช่า เดือนละ 25,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่าเหลืองได้ชําระเงินมัดจําค่าเช่าไว้ 75,000 บาท หลังจากนั้นเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าให้น้ําเงินอีกเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้น น้ําเงินจึงบอกเลิก สัญญาเช่ากับเหลืองในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 และให้เหลืองส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 พร้อมกับชําระเงินค่าเช่าที่ค้างด้วย การบอกเลิกสัญญาของน้ําเงิน ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้อง บอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่น้ําเงินทําสัญญาเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินของน้ําเงินมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 15 ของแต่ละเดือน ๆ ละ 25,000 บาท และในวันทําสัญญาเช่าเหลืองได้วางเงินมัดจําค่าเช่าไว้เป็นเงิน 75,000 บาท แต่เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าให้น้ําเงิน อีกเลยจนถึงปัจจุบันนั้น การที่เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่า 5 เดือน เมื่อหักค่าเช่า (มัดจํา) ออก 3 เดือน ตามที่เหลือง ได้ชําระไว้ ย่อมถือว่าเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่า 2 เดือนติดต่อกัน คือ เดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีผลทําให้ น้ําเงินมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน น้ําเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลา แก่เหลืองนําค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองไม่ยอมชําระอีก น้ําเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตาม มาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่น้ําเงินบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันทีในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 และ ให้เหลืองส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ําเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่น้ําเงินสามารถเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ 2 เดือนได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่เหลืองผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน 2563 นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่เหลืองผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น น้ําเงิน ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ําเงินจึงชอบด้วยกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม น้ําเงินจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่เหลืองยังไม่ชําระในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2563 จํานวน 50,000 บาท ไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายมาตรา 574 วรรคหนึ่ง หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน ค่าเช่าซื้อสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และ ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ใช้มาแล้วเท่านั้น จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระเพราะผิดนัดหรือผิดสัญญาดังกล่าวไม่ได้

สรุป (ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของน้ําเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่น้ําเงินสามารถ เรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ 2 เดือนได้

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของน้ําเงินชอบด้วยกฎหมาย แต่น้ําเงินจะเรียกค่าเช่าซื้อ ที่เหลืองค้างชําระ 2 เดือนไม่ได้ ดังนั้น คําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3 (ก) นายพิชิตทําสัญญาจ้างนายสมัยเป็นลูกจ้างตําแหน่งช่างเครื่อง โดยตกลงทําสัญญาด้วยวาจา ทําเป็นสัญญาจ้างมีกําหนดระยะเวลาจ้างอย่างต่ํา 6 เดือน และไม่เกิน 2 ปี ให้เริ่มสัญญาตั้งแต่ เดือนมกราคม 2563 มีข้อสัญญาว่าให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ปรากฏว่าในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 นายจ้างได้ทําหนังสือบอกกล่าวแก่นายสมัยว่าจะทําการ เลิกสัญญาจ้างนายสมัยด้วยเหตุผลเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ไม่มีลูกค้าสั่งซื้อสินค้า และจะ เลิกสัญญาจ้างในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 นายสมัยเห็นว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากสัญญาจ้าง ยังไม่ครบกําหนด คือ เดือนธันวาคม 2564 เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) “ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระ” ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 7 จ้างทําของ ได้กําหนด “หน้าที่และความรับผิด” ของผู้รับจ้างทําของไว้อย่างไรบ้างตามมาตราใด ให้อธิบายตามสมควร

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง

เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย

จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิชิตทําสัญญาจ้างนายสมัยเป็นลูกจ้างตําแหน่งช่างเครื่อง โดยตกลง ทําสัญญาจ้างด้วยวาจา และตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือนนั้น ถือเป็นสัญญาจ้าง แรงงานตามมาตรา 575 ซึ่งสามารถทําได้ เพราะการทําสัญญาจ้างแรงงานนั้น กฎหมายไม่ได้กําหนดแบบไว้ ดังนั้นการทําสัญญาจ้างแรงงานจึงอาจตกลงกันด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ และเมื่อมีการทําสัญญาจ้าง มีกําหนดระยะเวลาจ้างอย่างต่ํา 6 เดือน และไม่เกิน 2 ปี ซึ่งนายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างภายในกําหนดเวลาดังกล่าว เมื่อใดก็ได้ กําหนดเวลานั้นจึงไม่ใช่กําหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอน จึงเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ตามนัยมาตรา 582 (คําพิพากษาฎีกาที่ 1604/2528)

การที่นายจ้างได้ทําหนังสือบอกกล่าวแก่นายสมัยในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ว่าจะทําการเลิก สัญญาจ้างนายสมัยด้วยเหตุผลเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ไม่มีลูกค้าสั่งซื้อสินค้า และจะเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 นั้น ไม่ถูกต้องตามมาตรา 582 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะในกรณีที่เป็นสัญญาจ้างไม่มีกําหนด ระยะเวลานั้น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้าง คราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า ดังนั้น การบอกกล่าว เลิกจ้างของนายจ้างดังกล่าว จึงให้ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 589 “ถ้าสัมภาระสําหรับทําการงานที่กล่าวนั้นผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหา ท่านว่าต้องจัดหาชนิดที่ดี”

มาตรา 595 “ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระไซร้ ความรับผิดชอบของผู้รับจ้างในการบกพร่องนั้น ท่านให้บังคับด้วยบทแห่งประมวลกฎหมายนี้ ลักษณะซื้อขาย”

มาตรา 603 “ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระ และการที่จ้างทํานั้นพังทลาย หรือบุบสลายลงก่อน ได้ส่งมอบกันถูกต้องไซร้ ท่านว่าความวินาศอันนั้นตกเป็นพับแก่ผู้รับจ้าง หากความวินาศนั้นมิได้เป็นเพราะการ กระทําของผู้ว่าจ้าง

ในกรณีเช่นว่านี้ สินจ้างก็เป็นอันไม่ต้องใช้”

ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า สัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระ กฎหมาย ได้กําหนดหน้าที่และความรับผิดของผู้รับจ้างทําของไว้ 3 ประการดังนี้คือ

1 ผู้รับจ้างจะต้องจัดหาสัมภาระที่ดี (มาตรา 589) คือต้องจัดหาสัมภาระที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เหมาะสมกับการใช้งาน สามารถนํามาสร้างงานได้โดยไม่บกพร่อง

2 ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระแล้วจัดหาสัมภาระที่ไม่ดีหรือไม่มีคุณภาพทําให้งานบกพร่อง เช่น ถ้าสัมภาระที่ผู้รับจ้างจัดหามาชํารุดบกพร่องไม่ว่าผู้รับจ้างจะรู้ถึงความชํารุดบกพร่องนั้นหรือไม่ ผู้รับจ้าง ต้องรับผิดชอบ จะอ้างว่าตนไม่รู้ไม่ได้ (มาตรา 595 ประกอบมาตรา 472)

3 ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระ และการที่จ้างทํานั้นพังทลายหรือบุบสลายลงก่อนได้ส่งมอบกัน ถูกต้อง ความเสียหายที่เกิดขึ้นตกเป็นพับแก่ผู้รับจ้าง หากความเสียหายนั้นมิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดหรือ การกระทําของผู้ว่าจ้าง ทั้งนี้เพราะ ผู้รับจ้างยังคงเป็นเจ้าของสัมภาระอยู่ จนกว่าจะได้ส่งมอบแก่ผู้ว่าจ้าง และกรณีดังกล่าวนี้ ผู้รับจ้างไม่อาจได้รับสินจ้าง หรือหากได้รับไปแล้วบางส่วน ก็ต้องคืนให้แก่ผู้ว่าจ้าง (มาตรา 603)

LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 แดงได้ทําสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าที่ดินของแดงมีกําหนดเวลา 10 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายปีเป็นค่าเช่าปีละหนึ่งล้านบาท สัญญาเช่ามีสาระสําคัญดังนี้คือ

ข้อ 3 “ผู้เช่าตกลงเช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารพาณิชย์ของผู้เช่าเท่านั้นโดยจะไม่นําที่ดินไปใช้ เป็นการอย่างอื่น”

ข้อ 4 “หากสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีแล้วผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะไปจดทะเบียนการเช่าที่ดิน ให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 10 ปี โดยเรียกค่าเช่าเพิ่มปีละ 100,000 บาท”

(ก) ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้เช่าได้รับพื้นที่ดินที่ผู้ให้เช่าส่งมอบให้แล้ว แต่ผู้เช่ามิได้ก่อสร้างอาคาร พาณิชย์แต่ผู้เช่าได้นําที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าเพื่อวางวัสดุก่อสร้างบ้าง และให้ผู้อื่นเช่าที่ดินที่เช่า เป็นที่จอดรถยนต์ ในกรณีเช่นนี้ผู้ให้เช่ามาปรึกษาท่านเพื่อบอกเลิกสัญญาเช่า ท่านจะให้คําปรึกษาผู้ให้เช่าว่าอย่างไร

(ข) หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปจากข้อ (ก) คือผู้เช่าได้สร้างอาคารพาณิชย์ตามสัญญาเช่าและได้อยู่ในอาคารพาณิชย์ได้เพียง 5 ปี ผู้ให้เช่าได้ขายที่ดินที่เช่านี้ให้กับดํา ครั้นผู้เช่าได้เช่าที่ดิน มาจนครบ 10 ปีพอดี ซึ่งตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ขาวจึงแจ้งให้ดําไปจดทะเบียนการเช่า ให้ขาวเช่าที่ดินแปลงนี้ต่อไปอีก 10 ปีตามสัญญาข้อ 4 ดําจะต้องปฏิบัติตามความต้องการของขาวหรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 544 “ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิของตนอันมีในทรัพย์สินนั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนให้แก่บุคคลภายนอก ท่านว่าหาอาจทําได้ไม่ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาเช่า

ถ้าผู้เช่าประพฤติฝ่าฝืนบทบัญญัติอันนี้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 552 อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เข่าละเลยเสีย ไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินผู้รับโอนยอมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เข่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงทําสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าที่ดินของแดงมีกําหนด เวลา 10 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายปีเป็นค่าเช่าปีละหนึ่งล้านบาทนั้น สัญญาเช่าดังกล่าวมีผลสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย สามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ตามมาตรา 538

เมื่อสัญญาเช่ามีสาระสําคัญตามข้อ 3 ว่า “ผู้เช่าตกลงเช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารพาณิชย์ของผู้เช่าเท่านั้นโดยจะไม่นําที่ดินไปใช้เป็นการอย่างอื่น” แต่เมื่อผู้เช่าได้รับพื้นที่ดินที่ผู้ให้เช่าส่งมอบให้แล้ว ผู้เช่ามิได้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์แต่ได้นําที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าเพื่อวางวัสดุก่อสร้าง และให้ผู้อื่นเช่าที่ดินที่เช่าเป็นที่จอดรถยนต์นั้น ผู้ให้เช่าย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ 2 กรณี คือ

1 การที่ขาวได้นําที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงอันเป็นการผิดสัญญาเช่าตามข้อ 3 นั้น แดงผู้ให้เช่า ย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนตามมาตรา 544 หรือ

2 การที่ขาวผู้เช่าได้นําทรัพย์สินที่เช่าไปใช้เพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่กําหนดไว้ในสัญญา แดงผู้ให้เช่าย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 552 ประกอบมาตรา 554 โดยแดงจะต้องบอกกล่าวให้ ชาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาก่อน เมื่อมีการบอกกล่าวแล้วแต่ผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม แดงผู้ให้เช่า บอกเลิกสัญญาเช่านั้นได้

(ข) การที่ขาวผู้เช่าได้สร้างอาคารพาณิชย์ตามสัญญาเช่าและได้อยู่ในอาคารพาณิชย์ได้ 5 ปี แล้วแดง ให้เช่าได้ขายที่ดินที่เช่านี้ให้กับค่า ดังนี้ ผู้รับโอนย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนซึ่งมีต่อขาว ผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าที่ดินแปลงนี้ต่อไปจนครบกําหนด 10 ปีตามสัญญาเช่า ส่วนข้อตกลงในข้อ 4 ที่ว่า “หากสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะไปจดทะเบียนการเช่าที่ดิน ให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 10 ปี โดยเรียกค่าเช่าเพิ่มปีละ 100,000 บาท” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่ผูกพันดําผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อขาวผู้เช่าได้เช่าที่ดินมาจนครบ 10 ปีแล้ว สัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวย่อมระงับลง และเมื่อขาวได้แจ้งให้ดําไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว เช่าที่ดินแปลงนี้ต่อไปอีก 10 ปี โดยอ้างสัญญาข้อ 4 ดําจึงไม่ต้องปฏิบัติตามความต้องการของขาวแต่อย่างใด

สรุป (ก) ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 544 หรืออาจบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 52 ประกอบมาตรา 554

(2) เมื่อขาวแจ้งให้ทําไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าที่ดินต่อไปอีก 10 ปี ไม่ต้องปฏิบัติตามความต้องการของขาว

 

ข้อ 2 (ก) ม่วงทําสัญญาเป็นหนังสือให้เขียวเช่าที่ดินของม่วงมีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 15 ของแต่ละเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่าเขียวได้วางเงินมัดจําค่าเช่าไว้เป็นเงิน 75,000 บาท เขียวได้รับส่งมอบที่ดินจากม่วงแล้วเขียวไม่ได้ชําระค่าเช่าให้ม่วงอีกเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเขียวทันที และให้เขียวออกจากที่ดินไปภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 พร้อมกับเรียกค่าเช่าที่เขียวค้างชําระ ดังนี้การกระทําของม่วงชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) หากข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้อง บอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ทรงทําสัญญาเป็นหนังสือให้เขียวเช่าที่ดินของม่วงมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่ วันที่ 1 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 15 ของแต่ละเดือน ๆ ละ 25,000 บาท และในวันทําสัญญาเช่าเขียวได้วางเงินมัดจําค่าเช่าไว้เป็นเงิน 75,000 บาท แต่เขียวไม่ได้ชําระค่าเช่าให้ม่วงอีกเลย จนถึงปัจจุบันนั้น การที่เขียวไม่ได้ชําระค่าเช่า 5 เดือน เมื่อหักค่าเช่า (มัดจํา) ออก 3 เดือน ตามที่เขียวได้ชําระไว้ ย่อมถือว่าเขียวไม่ได้ชําระค่าเช่า 2 เดือนติดต่อกัน คือ เดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ซึ่งมีผลทําให้ม่วงมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ม่วงจะบอก เลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เขียวนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เขียวนําค่าเช่า มาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเขียวไม่ยอมชําระอีก ม่วงจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่ม่วงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเขียวทันทีในวันที่ 21 ตุลาคม 2562 และให้เขียวออกจากที่ดินที่เช่า ภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของม่วงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ม่วงสามารถเรียกค่าเช่าที่ค้างชําระ 2 เดือนได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้รับเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่เขียวผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าในเดือนกันยายนและ ตุลาคม 2562 นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่เขียวผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น ม่วงผู้ให้เช่าซื้อ จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของเขียวจึงชอบด้วยกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม ม่วงจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่เขียวยังไม่ชําระในเดือนกันยายนและตุลาคม 2562 จํานวน 50,000 บาท ไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายมาตรา 574 วรรคหนึ่ง หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ สองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และรับเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ใช้มาแล้วเท่านั้น จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระเพราะผิดนัดหรือผิดสัญญาดังกล่าวไม่ได้

สรุป (ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ม่วงสามารถเรียก ค่าเช่าที่ค้างชําระ 2 เดือนได้

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของม่วงชอบด้วยกฎหมาย แต่ม่วงจะเรียกค่าเช่าซื้อที่เขียวค้างชําระ 2 เดือนไม่ได้ ดังนั้น คําตอบจึงแตกต่างกัน

ข้อ 3

(ก) นายพิชิตทําสัญญาจ้างนายสมัยเป็นลูกจ้างช่วยงานช่างเครื่อง โดยทําเป็นสัญญาจ้างมีกําหนด ระยะเวลาจ้างอย่างต่ำ1 ปี และไม่เกิน 2 ปี ให้เริ่มสัญญาตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 มีข้อสัญญา ให้ชําระสินจ้างเดือนละ 14,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ปรากฏว่าในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ฝ่ายนายจ้างได้ประชุมกันและให้ทําการเลิกจ้างนายสมัยและลูกจ้างคนอื่นอีก 8 คน ด้วยเหตุผลเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก นายพิชิตจึงมีหนังสือบอกกล่าวนายสมัยและลูกจ้างทั้งหมดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 และเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 นายสมัยและลูกจ้างคนอื่น อีก 8 คน เห็นว่าไม่ถูกต้อง เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายสุริยาได้พูดตกลงกับนายธนชาติว่าให้นายธนชาติทําการต่อรถบรรทุกน้ำมันให้ 1 คัน ราคา 2 ล้านบาท โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นส่วน ๆ ตามความสําเร็จของงานตามที่ตกลงกัน เมื่อต่อรถบรรทุกน้ํามันเสร็จก็ได้ให้ลูกน้องของนายสุริยามาทําการตรวจสอบความเรียบร้อยเพื่อส่งมอบให้แก่นายสุริยาในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าในคืนนั้นเองได้เกิดฝนฟ้าคะนองฟ้าผ่า รถบรรทุกน้ำมันไฟไหม้หมดทั้งคัน นายธนชาติได้เรียกร้องสินจ้างอีก 1 ล้านบาทที่ยังไม่ได้ รับชําระ (ได้รับไปแล้ว 1 ล้านบาท) เช่นนี้

ก) นายสุริยาต่อสู้ว่า ไม่พูดตกลงกับนายธนชาติโดยไม่ได้ทําสัญญาเป็นหนังสือ จึงฟ้องร้องไม่ได้

และ

ข) นายสุริยาจะต้องชําระสินจ้าง 2 ล้านบาทให้นายธนชาติหรือไม่ เพราะเหตุใดตามมาตราใด

จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง

เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิชิตทําสัญญาจ้างนายสมัยเป็นลูกจ้างช่วยงานช่างเครื่อง โดยทําเป็นสัญญาจ้างโดยตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 14,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือนนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ตามมาตรา 575 และเมื่อมีการทําสัญญาจ้างมีกําหนดระยะเวลาจ้างอย่างต่ํา 1 ปี และไม่เกิน 2 ปี ซึ่งนายจ้าง มีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างภายในกําหนดเวลาดังกล่าวเมื่อใดก็ได้ กําหนดเวลานั้นจึงไม่ใช่กําหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอน จึงเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาตามนัยมาตรา 582 (คําพิพากษาฎีกาที่ 1604/2528)

การที่นายจ้างได้ประชุมกันในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 และให้ทําการเลิกจ้างนายสมัยและลูกจ้าง คนอื่นอีก 8 คน ด้วยเหตุผลเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก และนายพิชิตได้มีหนังสือบอกกล่าวนายสมัยและลูกจ้างทั้งหมด ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 นั้น ย่อมถือว่าเป็นการบอกกล่าวในเดือนกรกฎาคม 2562 อันถือว่าเป็นการบอกกล่าว ล่วงหน้าเพื่อให้มีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้างได้ในวันที่ 31 สิงหาคม 2562 ดังนั้น การที่นายพิชิตได้บอกกล่าว ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 โดยให้ถือว่าเป็นการเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 จึงไม่ถูกต้องตามมาตรา 582

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 567 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 603 “ถ้าผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระ และการที่จ้างทํานั้นพังทลายหรือบุบสลายลง ก่อนที่ได้ส่งมอบกันถูกต้องไซร้ ท่านว่าความวินาศภัยอันนั้นตกเป็นพับแก่ผู้รับจ้าง หากความวินาศภัยนั้นมิได้ เป็นเพราะการกระทําของผู้ว่าจ้าง

ในกรณีเช่นว่านี้ สินจ้างก็เป็นอันไม่ต้องใช้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสุริยาได้พูดตกลงกับนายธนชาติว่าให้นายธนชาติทําการต่อรถบรรทุกน้ำมัน ให้ 1 คัน ราคา 2 ล้านบาท โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นส่วน ๆ ตามความสําเร็จของงานตามที่ตกลงกันนั้น ระหว่างนายสุริยากับนายธนชาติถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อนายธนชาติต่อรถบรรทุกน้ํามันเสร็จก็ได้ให้ลูกน้องของนายสุริยามาตรวจสอบความเรียบร้อยเพื่อส่งมอบให้แก่ นายสุริยาในวันรุ่งขึ้น แต่ปรากฏว่าในคืนนั้นเองได้เกิดฝนฟ้าคะนองฟ้าผ่ารถบรรทุกน้ํามันไฟไหม้หมดทั้งคัน และ นายธนชาติได้เรียกร้องสินจ้างอีก 1 ล้านบาทที่ยังไม่ได้รับชําระ (ได้รับชําระไปแล้ว 1 ล้านบาท) ดังนี้

ก) การที่นายสุริยาต่อสู้ว่าได้พูดตกลงกับนายธนชาติโดยไม่ได้ทําสัญญาเป็นหนังสือจึงฟ้องร้อง ไม่ได้นั้น นายสุริยาไม่สามารถต่อสู้ได้ เนื่องจากสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 นั้น ไม่มีแบบ ดังนั้นสัญญาจ้าง ทําของจึงอาจทําเป็นหนังสือสัญญาหรืออาจตกลงด้วยวาจาก็ได้

ข) การที่รถบรรทุกน้ำมันได้พังทลายหรือบุบสลายลงทั้งหมดเนื่องจากเหตุดังกล่าวข้างต้น และความวินาศภัยนั้นก็มิได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของนายสุริยาผู้ว่าจ้าง และตามสัญญาจ้างนั้นนายธนชาติก็เป็น ผู้จัดหาสัมภาระเอง อีกทั้งความวินาศภัยได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการส่งมอบการที่จ้างทํานั้น ดังนั้น ความวินาศภัย ดังกล่าวจึงตกเป็นพับแก่นายธนชาติผู้รับจ้างตามมาตรา 63 นายธนชาติจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับสินจ้างอีก 1 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้รับชําระ และนายธนชาติจะต้องส่งคืนสินจ้างที่ได้รับไปแล้ว 1 ล้านบาทแก่นายสุริยาด้วย

สรุป

(ก) การบอกกล่าวของนายพิชิตในวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 และให้มีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้าง ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ไม่ถูกต้อง

(ข) ก) นายสุริยาจะต่อสู้ว่าได้พูดตกลงกับนายธนชาติโดยไม่ได้ทําสัญญาเป็นหนังสือ จึงฟ้องร้องไม่ได้นั้น ไม่อาจต่อสู้ได้

ข) นายสุริยา ไม่ต้องชําระสินจ้าง 2 ล้านบาทให้แก่นายธนชาติ และนายธนชาติก็ต้อง ส่งคืนสินจ้างที่ได้รับไปแล้วจํานวน 1 ล้านบาทด้วย

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายเบี้ยวกู้ยืมเงินนายซื่อโดยทําสัญญากู้ยืมกันไว้ เมื่อถึงกําหนดชําระเงินตกลงกันไม่ได้ ทั้งคู่ จึงไปหา ร.ต.อ.สะอาด ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนให้ช่วยตัดสิน ร.ต.อ.สะอาดตัดสินให้นายเบี้ยว ใช้เงินคืนนายซื่อ นายเบี้ยวจึงด่า ร.ต.อ.สะอาดต่อหน้าว่า “ไอเย็ดแม่มึง มึงลําเอียงเข้าข้างไอ้ซื่อ ตัดสินไม่ยุติธรรม” ดังนี้ นายเบี้ยวมีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้

1 ดูหมิ่น

2 เจ้าพนักงาน

3 ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

4 โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือ ด่าแช่ง ต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอว่า “อ้ายเย็ดแม่” “ตํารวจชาติหมา” หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงาน อยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ

2 กรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ

(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่

ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเบี้ยวด่า ร.ต.อ.สะอาดต่อหน้าว่า “ไอเย็ดแม่มึง มึงลําเอียงเข้าข้าง ไอ้ซื่อ ตัดสินไม่ยุติธรรม” นั้น แม้ถ้อยคําดังกล่าวจะเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาทอันถือว่าเป็นการดูหมิ่น ร.ต.อ.สะอาดซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่เมื่อ ร.ต.อ.สะอาดเป็นพนักงานสอบสวน คดีอาญาเท่านั้น ไม่มีหน้าที่และอํานาจตัดสินคดีแพ่งแต่อย่างใด การกระทําของนายเบี้ยวจึงไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น เจ้าหนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ ดังนั้น นายเบี้ยวจึงไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

สรุป นายเบี้ยวไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

ข้อ 2 นายจันทร์และนางแรมได้รับที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของบิดาร่วมกันจํานวน 1 แปลง และ มีการนําออกให้ผู้อื่นเช่าทํานาแล้วตกลงเอาค่าเช่ามาแบ่งปันกัน แต่นายจันทร์เก็บเงินค่าเช่าจากผู้เช่าแล้วไม่ยอมแบ่งให้กับนางแรม เมื่อถูกนางแรมทวงถามฝ่ายนายจันทร์กลับท้าให้นางแรมไปฟ้องเอา นางแรมจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจันทร์เป็นจําเลยต่อศาลในข้อหายักยอกเงินค่าเช่านา ตาม ป.อ. มาตรา 352 ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลจึงรับไว้พิจารณา ต่อมานายจันทร์ กลับเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางแรมต่อศาลเดียวกันในข้อหาฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 กล่าวหาว่า นางแรมเอาความอันเป็นเท็จมาฟ้องตนต่อศาล แต่ศาลเห็นว่าคําฟ้องของนายจันทร์ไม่มีมูลจึง ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ให้วินิจฉัยว่า นายจันทร์มีความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรมตามประมวล กฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 175 “ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทําความผิดอาญา หรือว่ากระทํา ความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานฟ้องเท็จตามมาตรา 175 มีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 เอาความอันเป็นเท็จ

2 ฟ้องผู้อื่นต่อศาล

3 ว่ากระทําความผิดอาญา หรือว่ากระทําความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์เก็บเงินค่าเช่าที่ดินจากผู้เช่าแล้วไม่ยอมแบ่งให้กับนางแรมตามข้อตกลง เมื่อถูกนางแรมทวงถามฝ่ายนายจันทร์กลับท้าให้นางแรมไปฟ้องเอานั้น พฤติการณ์ของนายจันทร์ ย่อมทําให้นางแรมเข้าใจได้ว่านายจันทร์เบียดบังเอาเงินค่าเช่าที่ดินไปเป็นของตนเองโดยทุจริต ดังนั้น การที่นางแรม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจันทร์เป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลกล่าวหานายจันทร์ไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นการเอาความอันเป็นเท็จฟ้องนายจันทร์แต่อย่างใด

ต่อมาการที่นายจันทร์กลับมาเป็นโจทก์ฟ้องนางแรมต่อศาลเดียวกันโดยกล่าวหาว่านางแรมเอาความอันเป็นเท็จมาฟ้องตนต่อศาล ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องที่นํามาฟ้องนางแรมนั้นเป็นความเท็จ การกระทําของนายจันทร์ จึงเป็นฟ้องเท็จตามมาตรา 175 และเมื่อนายจันทร์ฟ้องเท็จแล้ว แม้ศาลจะได้ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม การกระทําของนายจันทร์ก็เป็นความผิดสําเร็จตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ดังนั้น นายจันทร์จึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จตามมาตรา 175

สรุป นายจันทร์มีความผิดฐานฟ้องเท็จตามมาตรา 175

ข้อ 3 ชาวบ้าน 20 คน ได้จัดขบวนแห่นาคเพื่อจะไปอุปสมบทที่วัดแห่งหนึ่ง ระหว่างทางที่ขบวนแห่นาคมาถึงหน้าตลาด จําเลยเมาสุราได้ยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด เป็นเหตุให้ขบวนแห่นาคเกิดความโกลาหลวุ่นวาย ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับศาสนาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 207 “ผู้ใดก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือ กระทําพิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษ….”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานก่อให้เกิดความวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิกชนตามมาตรา 207 ประกอบด้วย

1 ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชน

2 เวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทําพิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ

3 โดยชอบด้วยกฎหมาย

4 โดยเจตนา

สําหรับการก่อให้เกิดความวุ่นวายที่จะมีความผิดดังกล่าวข้างต้นนั้น จะต้องเกิดในเวลาประชุมกัน ในเวลานมัสการ หรือในเวลากระทําพิธีกรรม และต้องเป็นเรื่องตามศาสนาด้วย เช่น เวลาสวดมนต์ไหว้พระ เวลาทําพิธีบรรพชาอุปสมบท และไม่จํากัดสถานที่ว่าจะต้องทําในสถานที่ใด อาจจะเป็นในบ้านก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาแล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยยิงปืนขึ้นฟ้า แม้จะทําให้ขบวนแห่นาคเกิดความโกลาหลวุ่นวาย แต่เมื่อปรากฏว่าการแห่นาคเป็นเพียงการกระทําตามประเพณีนิยม ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนา การกระทําของจําเลย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 207 เพราะการจะเป็นความผิดตามมาตรา 207 ได้นั้น จะต้องเป็นการก่อให้เกิดการวุ่นวายในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทําพิธีกรรมทางศาสนา

สรุป จําเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับศาสนาตามมาตรา 207

ข้อ 4 นางสาวหมิงมีรถยนต์ 3 คัน คันที่หนึ่งยี่ห้อ Audi หมายเลขทะเบียน ตก 5555 คันที่สองยี่ห้อ BMW หมายเลขทะเบียน สธ 9999 และคันที่สามยี่ห้อ Maserati ยังไม่มีหมายเลขทะเบียน

นางสาวหมิงได้ขับรถยนต์ยี่ห้อ Audi ผ่านมหาวิทยาลัยรามคําแหงซึ่งมีน้ำท่วมขังอยู่จนเป็นเหตุให้ ป้ายทะเบียนหลุดหายไป เมื่อกลับถึงบ้านจึงได้ทําแผ่นป้ายทะเบียนขึ้นมาเองโดยมีตัวอักษรและ ตัวเลข ตก 5555 และนําไปติดไว้กับรถยนต์คันดังกล่าว

ในเวลาต่อมา นางสาวหมิงได้นําแผ่นป้ายทะเบียน สธ 9999 ของรถยนต์ยี่ห้อ BMW ซึ่งเป็น รถยนต์คันเก่าและไม่ค่อยได้ใช้งานไปติดไว้กับรถยนต์ยี่ห้อ Maserati ที่เพิ่งซื้อมาใหม่

ให้วินิจฉัยว่า นางสาวหมิงมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอน ข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร ที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ…

มาตรา 268 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ

(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3 ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4 โดยเจตนา

“ตาม อุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก การที่นางสาวหมิงได้ทําแผ่นป้ายทะเบียนปลอมขึ้นใหม่โดยมีตัวอักษรและตัวเลข ตก 5555 เหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนเดิมที่หลุดหายไปนั้น แม้จะเป็นการปลอมเอกสารที่ทางราชการทําขึ้น เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่การที่นางสาวหมิงได้นําแผ่นป้ายทะเบียนปลอมมาติดไว้กับรถยนต์ยี่ห้อ Audi คันดังกล่าวของนางสาวหมิงเองนั้น ไม่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้อื่นหรือประชาชน ดังนั้นนางสาวหมิงจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และเมื่อ นางสาวหมิงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว จึงไม่จําต้องวินิจฉัยต่อไปว่าได้กระทําความผิดตามมาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคหนึ่งหรือไม่

กรณีที่ 2 การที่นางสาวหมิงได้นําแผ่นป้ายทะเบียน สธ 9999 ของรถยนต์ยี่ห้อ BMW ไปติดไว้กับ รถยนต์ยี่ห้อ Maserati เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีหมายเลขทะเบียน สธ 9999 นั้น เมื่อแผ่นป้าย ทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่แท้จริงซึ่งทางราชการออกให้แก่รถยนต์คันอื่น และข้อเท็จจริง ก็ไม่ปรากฏว่านางสาวหนึ่งได้ทําการเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขหมายเลขทะเบียนให้ผิดไปจากของจริง แต่อย่างใด ดังนั้นแม้การกระทําของนางสาวหมิงน่าจะเกิดความเสียหายแก่ราชการก็ตาม กรณีนี้นางสาวหมิง ก็ไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และเมื่อนางสาวหมิงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว จึงไม่จําต้องวินิจฉัยต่อไปว่าได้กระทําความผิดตามมาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคหนึ่งหรือไม่

สรุป นางสาวหมิงไม่มีความผิดอาญาฐานปลอมเอกสารทั้ง 2 กรณี

LAW2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2108 (2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 แดนทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ดิวเช่าบ้านของแดนเพื่ออยู่อาศัยโดยไม่มีกําหนดระยะเวลาการเช่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 คู่สัญญาตกลงชําระค่าเช่าทุกสิ้นเดือนในอัตราเดือนละ 5,000 บาท หลังจากทําสัญญาเช่าได้ 2 ปี ดิวได้ใช้บ้านที่เช่านั้นในการเปิดธุรกิจร้านอาหาร แดนเห็นว่าดิวทําผิด สัญญาจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับดิวทันทีในวันที่ 16 มกราคม 2562

ให้ท่านวินิจฉัยว่า การที่แดนบอกเลิกสัญญาเช่าเพราะการกระทําดังกล่าวของดิวนั้น เป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 552 “อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยม ปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสีย ไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่า คู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 558 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าบ้านระหว่างแดนและดิวซึ่งไม่มีกําหนดระยะเวลาการเช่านั้น เมื่อได้มีการทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือ สัญญาเช่าดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 538

การที่ดิวเช่าบ้านของแดนเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่หลังจากทําสัญญาเช่าได้ 2 ปี ดิวได้ใช้บ้าน ที่เช่านั้นเปิดทําธุรกิจเป็นร้านอาหารซึ่งมิได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาเช่า กรณีนี้ถือว่า ดิวผู้เช่าได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาตามมาตรา 552 ซึ่งแดนผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิตามมาตรา 554 กล่าวคือ สามารถบอกกล่าวให้ดิวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาและถ้าดิวผู้เช่า ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม แดนผู้ให้เช่าก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าแดนผู้ให้เช่ามิได้บอกกล่าวให้ดิวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามสัญญาก่อนแต่อย่างใด แต่แดนได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับดิวในทันทีในวันที่ 16 มกราคม 2562 การบอกเลิกสัญญาเช่าดังกล่าวของแดนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 554

อนึ่ง ในกรณีดังกล่าว แดนไม่ต้องบอกเลิกสัญญาเช่าโดยใช้มาตรา 566 โดยการบอกกล่าวให้ อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องที่ตัวผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามมาตรา 552

สรุป การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดนเพราะการกระทําดังกล่าวของดิวนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 (ก) ส้มทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ชมพูเช่าที่ดินของส้มมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 25 ของเดือนในอัตราเดือนละ 20,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่า ชมพูได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้เป็นจํานวน 40,000 บาท ชมพูเข้าไปอยู่ในที่ดินที่เช่าจนถึงเดือนมีนาคม 2562 แต่ชมพูไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับส้มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ดังนั้น ส้มจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับชมพูในวันที่ 1 มีนาคม 2562 และฟ้องขับไล่ชมพูในวันที่ 14 มีนาคม 2562 การบอกเลิกสัญญาเช่าของส้มชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างออกไปหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่าต้อง บอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชมพูเช่าที่ดินของส้มมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ในอัตราเดือนละ 20,000 บาท และในวันทําสัญญาเช่า ชมพูได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้เป็นจํานวน 40,000 บาทนั้น เมื่อปรากฏว่าชมพูไม่ได้ชําระเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2561 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ดังนี้ การที่ชมพูได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือนแล้วนั้น ย่อมถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่ส้มแล้ว 2 เดือน คือเดือนพฤศจิกายน 2561 และเดือนธันวาคม 2561 จึงถือว่า กรณีนี้ชมพูไม่ได้ชําระค่าเช่าให้แก่ส้มในวันที่ 25 มกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2562 รวม 2 เดือน จึงมีผลทําให้ ส้มมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้น ส้มจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ ส้มจะต้องบอกกล่าวให้ชมพูนําค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาชมพูไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าชมพูไม่นําค่าเช่ามาชําระ ส้มจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 ดังนั้น การที่ส้มได้บอกเลิก สัญญาเช่ากับชมพูทันทีในวันที่ 1 มีนาคม 2562 และฟ้องขับไล่ชมพูในวันที่ 14 มีนาคม 2562 นั้น การบอกเลิก สัญญาเช่าของส้มจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้รับเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (1) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ชมพูผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าในเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2562 นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่ชมพูผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น ส้มผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของส้มจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป (ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของส้มไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของส้มชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3 บอยทําสัญญาจ้างให้บัวตัดเย็บเสื้อผ้าตามแบบจํานวน 5,000 ชุด โดยจะจ่ายสินจ้างให้แก่บัว เมื่องานเสร็จเป็นเงินรวม 500,000 บาท บัวเห็นว่ามีงานต้องทําเป็นจํานวนมากจึงทําสัญญาจ้างบี เป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา โดยให้สินจ้างเดือนละ 15,000 บาท กําหนดจ่ายสินจ้างกัน ทุกวันที่ 20 ของเดือน เมื่อบัวดําเนินการตัดเย็บเสื้อผ้าไปแล้ว 1,000 ชุด บอยเห็นว่าแบบที่ว่าจ้างให้บัวตัดเย็บนั้นไม่เป็นที่นิยมในตลาดจึงบอกเลิกสัญญากับบัว

(ก) บอยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างกับบัวหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) บัวเห็นว่าไม่ค่อยมีงานให้ทําแล้ว จึงบอกเลิกสัญญาจ้างกับบีในวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 ดังนี้ ต้องทํางานให้บัวถึงวันที่เท่าใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้เมื่อ เสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้น ให้กับผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บอยทําสัญญาให้บัวตัดเย็บเสื้อผ้าตามแบบจํานวน 5,000 ชุด โดยจะจ่ายสินจ้างให้แก่บัวเมื่องานเสร็จเป็นเงินรวม 500,000 บาทนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อบัวดําเนินการตัดเย็บเสื้อผ้าไปแล้ว 1,000 ชุด บอยเห็นว่าแบบที่ว่าจ้างให้บัวตัดเย็บนั้นไม่เป็นที่นิยมในตลาด จึงบอกเลิกสัญญาจ้างกับบัวนั้น บอยย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างกับบัวได้ แต่บอยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญานั้นให้แก่บัวด้วยตามมาตรา 605

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง

เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย

จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บัวทําสัญญาจ้างเป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลาโดยให้สินจ้างเดือนละ 15,000 บาท กําหนดจ่ายสินจ้างทุกวันที่ 20 ของเดือนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเมื่อเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดเวลาจึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 582 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าบัวจะบอกเลิกสัญญาจ้าง จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บัวได้บอกเลิกสัญญากับบีในวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 ย่อมถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาของการจ่ายสินจ้างในวันที่ 20 พฤษภาคม 2562 เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า คือ เลิกสัญญากันในวันที่ 20 มิถุนายน 2562 ดังนั้น บีจึงต้องทํางานให้บัวต่อไป จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2562 จึงจะชอบด้วยกฎหมาย

สรุป (ก) บอยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างกับบัวได้ แต่บอยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับบัว ในความเสียหายซึ่งเกิดจากการบอกเลิกสัญญาจ้างนั้นด้วย

(ข) บัวบอกเลิกสัญญากับบีในวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 บีต้องทํางานให้บัวจนถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2562 จึงจะชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!