LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2103 (LAW 2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิดฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายหมึกทําสัญญาเช่าบ้านกับนายกุ้ง สัญญามีกําหนด 1 ปี หลังจากทําสัญญาได้ 6 เดือน ปรากฏว่า นายหมึกค้างชําระค่าเช่าบ้านเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน นายกุ้งทวงถามให้นายหมึกชําระค่าเช่าบ้าน แต่นายหมึกก็ยังไม่ยอมชําระ วันเกิดเหตุช่วงเวลาที่นายหมึกออกไปทํางาน นายกุ้งได้มาปิดล็อค กุญแจบ้านเช่าหลังดังกล่าวเพื่อไม่ให้นายหมึกเข้าไปในบ้านได้ เมื่อนายหมึกกลับมาจึงไม่สามารถเข้าไปในบ้านเช่านี้ได้ นายหมึกจึงแจ้งไปยังนายกุ้งว่าการกระทําดังกล่าวของนายกุ้งนั้นทําให้ นายหมึกได้รับความเสียหาย แต่นายกุ้งโต้แย้งว่านายกุ้งมีสิทธิที่จะทําเช่นนั้นได้ เนื่องจากนายหมึก ไม่ยอมชําระค่าเช่า ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าการกระทําของนายกุ้งเป็นละเมิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทําอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

1 บุคคลกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2 ทําต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3 มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4 มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลของการกระทํา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมึกทําสัญญาเช่าบ้านกับนายกุ้งมีกําหนด 1 ปี หลังจากทําสัญญา ได้ 6 เดือน ปรากฏว่านายหมึกค้างชําระค่าเช่าบ้านเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน และเมื่อนายกุ้งทวงถามให้นายหมึก ชําระค่าเช่าบ้าน แต่นายหมึกก็ยังไม่ยอมชําระนั้น การไม่ชําระค่าเช่าบ้านดังกล่าวของนายหมึกถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่า ซึ่งตามกฎหมายเรื่องเช่าทรัพย์นายกุ้งย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริง ตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า นายกุ้งยังมิได้มีการบอกเลิกสัญญาเช่ากับนายหมึกแต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาเช่าระหว่าง นายหมึกกับนายกุ้งจึงยังไม่ระงับ นายหมึกจึงยังมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในบ้านที่เช่าได้ต่อไป

การที่นายกุ้งได้มาปิดล็อคกุญแจบ้านเช่าหลังดังกล่าวในช่วงเวลาที่นายหมึกออกไปทํางานเพื่อ ไม่ให้นายหมึกเข้าไปในบ้านได้นั้น นายกุ้งย่อมไม่มีสิทธิที่จะกระทําเช่นนั้น แต่เมื่อนายกุ้งได้กระทําการดังกล่าว การกระทําของนายกุ้งจึงถือเป็นการละเมิดสิทธิในการครอบครองและใช้ประโยชน์ในบ้านที่เช่าของนายหมึก ตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยจงใจต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมายและทําให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ดังนั้น นายกุ้งจึงต้องรับผิดในทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายหมึก

สรุป การกระทําของนายกุ้งเป็นละเมิดตามมาตรา 420

 

ข้อ 2 นายกะรอกได้นํารถยนต์ไปทําสีใหม่ที่อู่ของนายกระต่าย โดยนายกระรอกได้ให้นายกระต่ายขับรถยนต์คันที่นายกระรอกจะนํามาทําสีใหม่ไปส่งนายกระรอกที่บ้าน หลังจากส่งนายกระรอกเรียบร้อยแล้ว นายกระต่ายจึงขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับไปที่อู่ซ่อมรถของตน ระหว่างเดินทางกลับ นายกระต่ายขับรถด้วยความเร็วสูง ปรากฏว่านายกระทิงซึ่งขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงเช่นเดียวกัน และได้ขับตีคู่ขนาบข้างกันมา ทั้งสองจึงเกิดความคึกคะนองขับแข่งท้าทายกันด้วยความเร็วสูง ตลอดทาง จนถึงจุดเกิดเหตุบริเวณทางม้าลาย ซึ่งนางสาวกระแตกําลังเดินข้ามอยู่นั้น ทั้งนายกระต่าย และนายกระทิงต่างหยุดรถไม่ทัน ทําให้รถทั้งสองพุ่งเข้าชนนางสาวกระแต เป็นเหตุให้นางสาวกระแต ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านางสาวกระแตจะมีสิทธิฟ้องใครให้รับผิดทางละเมิดได้บ้าง และจะฟ้องให้นายกระรอกร่วมรับผิดกับนายกระต่ายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 428 “ผู้ว่าจ้างทําของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ บุคคลภายนอกในระหว่างทําการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทํา หรือในคําสั่งที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทําละเมิด ท่านว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณี ที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจําพวกที่ทําละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทําละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทําละเมิดร่วมกันด้วย ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ได้แก่

1 นายกระต่ายและนายกระทิงได้ทําการละเมิดหรือร่วมกันทําละเมิดต่อนางสาวกระแตหรือไม่ การที่นายกระต่ายและนายกระทิงขับรถด้วยความเร็วสูงและได้ขับตีคู่ขนาบข้างกันมา ทั้งสองเกิดความคึกคะนองขับแข่งท้าทายกันด้วยความเร็วสูงตลอดทาง จนถึงจุดเกิดเหตุบริเวณทางม้าลาย ซึ่งนางสาวกระแตกําลังเดินข้ามอยู่ ทั้งสองต่างหยุดรถไม่ทัน ทําให้รถทั้งสองพุ่งเข้าชนนางสาวกระแต เป็นเหตุให้ นางสาวกระแตได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น การกระทําของนายกระต่ายและนายกระทิงถือว่าเป็นการละเมิดต่อ นางสาวกระแต ตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้ เขาเสียหายต่อร่างกาย และการกระทําของทั้งสองมีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ดังนั้น ทั้งนายกระต่ายและนายกระทิงจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวกระแต

ส่วนกรณีที่จะถือว่านายกระต่ายและนายกระทิงได้ร่วมกันทําละเมิดต่อนางสาวกระแตหรือไม่นั้น กรณีที่จะถือว่าเป็นการร่วมกันทําละเมิดตามบัญญัติตามมาตรา 432 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทํา ได้ร่วมใจกันกระทํามาแต่ต้น แต่ตามข้อเท็จจริงนั้นทั้งสองมิได้มีเจตนาร่วมกันในการกระทําหรือร่วมมือร่วมใจกันกระทําการดังกล่าว จึงไม่ถือว่าทั้งสองร่วมกันทําละเมิดต่อนางสาวกระแต ดังนั้น ทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 301 และมาตรา 291

2 นายกระรอกจะต้องร่วมรับผิดกับนายกระต่ายหรือไม่

การที่นายกระรอกได้นํารถยนต์ไปทําสีใหม่ที่อู่ของนายกระต่าย โดยนายกระรอกได้ให้ นายกระต่ายขับรถยนต์คันที่นายกระรอกจะนํามาทําสีใหม่ไปส่งนายกระรอกที่บ้านนั้น เมื่อนายกระต่ายผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอกนั้น มิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการทํางานที่ผู้ว่าจ้างสั่งให้ทําหรือใน คําสั่งที่ผู้ว่าจ้างได้ให้ไว้แต่อย่างใด อีกทั้งเหตุที่ก่อให้เกิดความเสียหายก็เกิดขึ้นในขณะเดินทางกลับอู่โดยนายกระรอก เจ้าของรถไม่ได้นั่งไปด้วย ดังนั้น นายกระรอกเจ้าของรถจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับนายกระต่ายตามมาตรา 428 สรุป นางสาวกระแตสามารถฟ้องนายกระต่ายและนายกระทิงให้รับผิดฐานละเมิดได้ตามมาตรา 420 แต่จะฟ้องให้นายกระรอกร่วมรับผิดกับนายกระต่ายไม่ได้

 

ข้อ 3 นายรุ่งไปท่องเที่ยวและเข้าพักที่รีสอร์ทของนายรวย โดยรีสอร์ทแห่งนี้จัดให้มีคอกม้าและสวนหย่อม เพื่อให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดธรรมชาติ วันเกิดเหตุ ขณะที่นายรุ่งกําลังเดินพักผ่อนชมคอกม้าอยู่ภายใน รีสอร์ทนั้น นายชนปาก้อนหินและตะโกนเสียงดังเพื่อแกล้งมาให้ตกใจ ทําให้ม้าตัวหนึ่งตกใจมาก วิ่งเตลิดพุ่งเข้าชนรั้วคอกม้าเก่า ๆ เตี้ย ๆ เมื่อวิ่งออกมาก็พุ่งชนและเหยียบขาของนายรุ่ง เป็นเหตุให้ นายรุ่งขาหัก และม้ามีท่าทีจะเหยียบซ้ำ นายรุ่งจึงคว้าไม้ที่ตกอยู่บริเวณนั้นตีเข้าที่ม้าอย่างแรงหนึ่งที เป็นเหตุให้ม้าได้รับบาดเจ็บล้มลง ดังนี้ ใครต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายรุ่งและนายรวยบ้าง หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้ แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือ ตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่ว สัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือตั๋วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

มาตรา 450 วรรคสาม “ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิของตน หรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่านี้ หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้น เพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว ท่านว่าจําต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายชนปาก้อนหินและตะโกนเสียงดังเพื่อแกล้งมาให้ตกใจ ทําให้ม้าตัวหนึ่งวิ่งเตลิด พุ่งเข้าชนรั้วคอกม้าเก่า ๆ เตี้ย ๆ เมื่อวิ่งออกมาก็พุ่งชนและเหยียบขาของนายรุ่งที่กําลังเดินพักผ่อนชมคอกม้า อยู่ภายในรีสอร์ทเป็นเหตุให้นายรุ่งขาหักนั้น ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายรุ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ ดังนั้น นายรวยซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง และถ้านายรวยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายรุ่งแล้ว นายรวยย่อมสามารถไล่เบี้ยเอาจากนายชนผู้ที่เร้าหรือ ยั่วสัตว์นั้นได้ตามมาตรา 433 วรรคสอง

2 การที่ม้ามีท่าทีจะเหยียบนายรุ่ง นายรุ่งจึงคว้าไม้ที่ตกอยู่บริเวณนั้นตีเข้าที่ม้าอย่างแรงหนึ่งที เป็นเหตุให้ม้าได้รับบาดเจ็บล้มลงนั้น แม้การกระทําของนายรุ่งจะเป็นการละเมิดต่อนายรวยเจ้าของม้า ตามมาตรา 420 ก็ตาม แต่นายรุ่งก็สามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมตามมาตรา 450 วรรคสามได้ เนื่องจากเป็นการ ป้องกันภัยอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์คือม้านั้นเองเป็นต้นเหตุให้ตนต้องป้องกัน และเมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับม้านั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ นายรุ่งจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายรวย

สรุป นายรวยเจ้าของม้าต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายรุ่ง ส่วนนายชนผู้ที่เร้าหรือตั๋วสัตว์ต้องรับผิดต่อนายรวย

 

ข้อ 4 เด็กชายเรืองอาศัยอยู่กับนางพฤกษาซึ่งมีศักดิ์เป็นป้า โดยนางพฤกษาได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายเรื่อง มาตั้งแต่เกิด เนื่องจากพ่อแม่ของเด็กชายเรื่องเสียชีวิตหมดแล้ว วันเกิดเหตุ นางพฤกษาได้พาเด็กชายเรืองไปเดินห้างสรรพสินค้าของนายมั่งมี ขณะกําลังขึ้นบันไดเลื่อน ระบบของบันไดเลื่อนเกิดขัดข้อง จึงทําให้ขาของนางพฤกษาติดในช่องบันไดเลื่อนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง นางพฤกษา ทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตายในที่สุด ส่งผลให้เด็กชายเรืองขาดผู้อุปการะดูแล ดังนี้ ใครต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนางพฤกษาหรือไม่ และเด็กชายเรืองจะสามารถเรียกค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 437 “บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกําลัง เครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการ เสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง

ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงบุคคลผู้มีไว้ในครอบครองของตนซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางพฤกษาได้พาเด็กชายเรื่องไปเดินห้างสรรพสินค้าของนายมั่งมี และในขณะที่กําลังขึ้นบันไดเลื่อน ระบบของบันไดเลื่อนเกิดขัดข้อง ทําให้ขาของนางพฤกษาติดในช่องบันไดเลื่อน ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และนางพฤกษาทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตายนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ นางพฤกษานั้น ถือเป็นความเสียหายซึ่งเกิดจากทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยอาการกลไกของทรัพย์นั้น ตามมาตรา 437 วรรคสอง ดังนั้น ห้างสรรพสินค้าของนายมั่งมีซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์อันตรายนั้นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 437

ส่วนเด็กชายเรืองจะสามารถเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพได้นั้น จะต้องเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 หรือเป็นผู้ที่มีอํานาจในการจัดการศพตามมาตรา 1649 เท่านั้น แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเด็กชายเรืองมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางพฤกษาผู้ตายและ มิใช่ผู้ที่มีอํานาจในการจัดการศพ ดังนั้น เด็กชายเรืองจึงไม่สามารถเรียกค่าปลงศพได้

2 กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าเด็กชายเรืองมีศักดิ์เป็นหลานของนางพฤกษา ซึ่งนางพฤกษาไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการอุปการะ เลี้ยงดูเด็กชายเรืองแต่อย่างใด ดังนั้น เด็กชายเรืองจึงไม่สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้

สรุป ห้างสรรพสินค้าของนายมั่งมีจะต้องรับผิดทางละเมิดต่อนางพฤกษา และเด็กชายเรืองไม่สามารถเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้

LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 จันทร์และพุธเป็นเพื่อนบ้านกัน วันหนึ่ง สุนัขของจันทร์ได้หลุดออกจากบ้านของจันทร์และวิ่งไล่กัดพุธ ซึ่งเดินผ่านหน้าบ้านพอดี พุธตกใจจึงเป็นลมและถูกสุนัขของจันทร์กัดได้รับบาดเจ็บ จังหวะนั้นเอง ศุกร์เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี ศุกร์จึงได้ใช้ไม้ตีสุนัขของจันทร์เพื่อให้เลิกกัดพุธ ทําให้สุนัขของจันทร์หัวแตก ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ศุกร์จะต้องรับผิดต่อจันทร์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคล ผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 450 วรรคสาม “ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิของตน หรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่านี้ หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้น เพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว ท่านว่าจําต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สุนัขของจันทร์ได้หลุดออกจากบ้านของจันทร์และวิ่งไล่กัดพุธซึ่งเดินผ่าน หน้าบ้านพอดี ทําให้พุธตกใจจึงเป็นลมและถูกสุนัขของจันทร์กัดได้รับบาดเจ็บนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพุธ ถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามนัย มาตรา 433 วรรคหนึ่ง

การที่ศุกร์ซึ่งผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี ได้ใช้ไม้ตีสุนัขของจันทร์เพื่อให้เลิกกัดพุธทําให้สุนัขของพุธหัวแตกนั้น การกระทําของศุกร์ถือเป็นการกระทําโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหาย แก่ทรัพย์สิน จึงถือว่าศุกร์ได้กระทําละเมิดต่อจันทร์ตามาตรา 420 ซึ่งโดยหลักแล้วศุกร์จะต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จันทร์ แต่อย่างไรก็ตาม ศุกร์สามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมตามาตรา 450 วรรคสามได้ เนื่องจากเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉิน เพราะตัวทรัพย์ นั้นเองเป็นเหตุให้ต้องป้องกัน และเมื่อความเสียหายอันเกิดแก่สุนัขนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ ศุกร์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จันทร์

สรุป ศุกร์ไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์

 

ข้อ 2 นายดําเกิงเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยช่วงแรกที่เปิดให้บริการนั้นทางห้างฯของนายดําเกิงมีการให้บริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้า และทางห้างฯ เคยจัดให้มีการแจกบัตรสําหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างฯ ซึ่งหากไม่มีบัตรผ่านกรณีจะนํารถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของนายดําเกิง หลังจากเปิดให้บริการได้ระยะหนึ่งทางห้างฯ ของนายดําเกิงได้ยกเลิกวิธีการดังกล่าว โดยใช้กล้องวงจรปิดแทน โดยปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ ทั้งนี้ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ก็นํารถเข้ามาจอดตามปกติเวลาที่มาซื้อสินค้าภายในห้างฯ วันเกิดเหตุ นายเด่นได้นํารถยนต์มาจอดในห้างฯ เพื่อเข้าไปซื้อสินค้าภายในห้างฯ ปรากฏว่าได้มีคนร้ายเข้ามาโจรกรรมรถของนายเด่นไปได้ ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า นายดําเกิงเจ้าของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จะต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายเด่นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทําอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

1 บุคคลกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2 ทําต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3 มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4 มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลของการกระทํา

ดังนั้นในเบื้องต้น จึงจําต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ทําละเมิดมี “การกระทํา” หรือไม่ หากบุคคล ไม่มี “การกระทํา” ก็ไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สําหรับการกระทํานั้น หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับหรือทําโดยรู้สํานึก นอกจากนี้การกระทํายังหมายความรวมถึงการงดเว้น การเคลื่อนไหวอันพึงต้องทําเพื่อป้องกันมิให้ผลเกิดขึ้นด้วย ในส่วนของการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทําตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทําตามหน้าที่ที่จะต้องกระทําเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทํา

กรณีตามอุทาหรณ์ นายดําเกิงเจ้าของห้างสรรพสินค้าจะต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับนายเด่นในกรณีที่รถยนต์ของนายเด่นที่นํามาจอดในห้างฯ ของนายดําเกิงนั้นได้ถูกโจรกรรมไป เนื่องจากเดิมที่ห้างฯ ของนายดําเกิงได้เปิดให้บริการนั้นได้มีการจัดให้บริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและได้จัดให้มีการแจกบัตรสําหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างฯ ซึ่งหากไม่มีบัตรผ่านแล้วกรณีที่จะนํารถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของนายดําเกิง และแม้ภายหลังทางห้างฯ ของนายดําเกิงจะได้ ยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวงจรปิดแทนนั้น แม้จะได้ปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหาย หรือเสียหายใด ๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถแต่ก็ยังนํารถเข้ามาจอดก็ตาม ก็ถือเป็นเรื่องข้อกําหนดของทางห้างฯ นายดําเกิงฝ่ายเดียว ไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในทางละเมิดของ ห้างฯ นายดําเกิงแต่อย่างใด

ดังนั้น การที่รถยนต์ของนายเด่นที่นํามาจอดในห้างฯ ของนายดําเกิงถูกโจรกรรมไป ย่อมถือว่า เป็นความสูญหายหรือเสียหายที่เกิดจากการทําละเมิดของห้างฯ ของนายดําเกิงโดยการงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลนั้นขึ้น โดยถือว่าเป็นการงดเว้นการที่จะต้องกระทําตามหน้าที่ที่เกิดขึ้นจากการกระทําครั้งก่อน ของห้างฯ (เทียบเคียงคําพิพากษาฎีกาที่ 7471/2556) ดังนั้น นายดําเกิงเจ้าของห้างสรรพสินค้าจึงต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายเด่น

สรุป นายดําเกิงเจ้าของห้างฯ จะต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายเด่น

 

ข้อ 3 เด็กชายรุ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายกิตติ ที่นายกิตติอุปการะเลี้ยงดูและให้ใช้นามสกุล วันเกิดเหตุ เด็กชายรุ่งไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ปรากฏว่าพลุที่นายมืดใส่ไว้ในกระเป๋า สะพายด้านหลังเกิดประทุขึ้นมา แล้วสะเก็ดพลุกระเด็นไปโดนเด็กชายรุ่ง ส่งผลให้เด็กชายรุ่งได้รับ บาดเจ็บสาหัส รักษาตัวอยู่เดือนกว่าก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวถึงแก่ความตายในที่สุด ให้วินิจฉัยว่า

(ก) นายมืดต้องรับผิดทางละเมิดต่อเด็กชายรุ่งหรือไม่

(ข) หากข้อเท็จจริงปรากฏว่านายมืดใส่ซองช่วยงานศพจํานวน 5,000 บาทไปแล้ว นายกิตติ จะสามารถเรียกค่าปลงศพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 437 “บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกําลัง เครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง

ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงผู้มีไว้ในครอบครองของตน ซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพหรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่พลุที่นายมืดได้ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายด้านหลังเกิดประทุขึ้นมา แล้วสะเก็ดพลุกระเด็น ไปโดนเด็กชายรุ่งซึ่งกําลังวิ่งเล่นในสวนสาธารณะของหมู่บ้าน เป็นเหตุให้เด็กชายรุ่งถึงแก่ความตายนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้น ถือเป็นความเสียหายที่เกิดจากทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพตามมาตรา 437 วรรคสอง ดังนั้น นายมืดซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์อันตรายนั้น จึงต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น

(ข) การที่นายมืดใส่ซองช่วยงานศพจํานวน 5,000 บาท แม้เงินดังกล่าวจะมิได้ถูกมอบให้ในฐานะเป็นค่าเสียหาย ซึ่งส่งผลให้เงินดังกล่าวไม่สามารถนํามาหักจากค่าปลงศพที่ต้องจ่ายให้แก่ทายาทของผู้เสียหายก็ตาม

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายกิตติเป็นบิดานอกกฎหมายของเด็กชายรุ่ง นายกิตติจึงมิใช่ทายาทโดยธรรมของเด็กชายรุ่ง นายกิตติจึงไม่สามารถเรียกค่าปลงศพจากนายมืดตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งได้ ทั้งนี้ เพราะผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจากผู้ทําละเมิดตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งได้นั้น จะต้องเป็นทายาทและเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามาตรา 1629 ด้วย ดังนั้น นายกิตติจึงไม่สามารถเรียกค่าปลงศพจากนายมืดได้

สรุป

(ก) นายมืดต้องรับผิดทางละเมิดต่อเด็กชายรุ่งตามมาตรา 437

(ข) นายกิตติไม่สามารถเรียกค่าปลงศพจากนายมืดได้

 

ข้อ 4 ในปี พ.ศ. 2556 ภาณุประกอบธุรกิจอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ได้เช่าพื้นที่ดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 4 คูหา ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ซึ่งพรสันต์เป็นเจ้าของ เพื่อก่อสร้างและติดตั้งป้ายโฆษณาติดตั้งไฟ LED ขนาดใหญ่บนชั้นดาดฟ้าให้คนทั่วไปเห็นได้ในระยะไกล ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2562 เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนักเป็นเหตุให้ป้ายโฆษณาบางส่วนพังลงมาจากอาคารพาณิชย์หล่นไปทับบ้านและรถยนต์ของชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณติดกัน ชาวบ้านอ้างถึงเหตุ ความชํารุดบกพร่องและบํารุงรักษาไม่เพียงพอมาเรียกร้องให้พรสันต์ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น และพรสันต์ชี้แจงชาวบ้านว่า การที่ป้ายโฆษณาพังลงมานั้น เกิดจากลมพายุฝนตกหนักเป็นเหตุสุดวิสัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบ จากข้อเท็จจริงนี้พรสันต์ต้องรับผิด หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายตามกฎหมายละเมิด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 434 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ก่อสร้างไว้ชํารุดบกพร่องก็ดี หรือบํารุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ จําต้อง ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้วท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ภานุได้เช่าพื้นที่ดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ของพรสันต์เพื่อก่อสร้างและติดตั้งป้ายโฆษณาขนาดใหญ่บนชั้นดาดฟ้า ต่อมาได้เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนักเป็นเหตุให้ป้ายโฆษณาบางส่วนพังลงมาจากอาคารพาณิชย์หล่นไปทับบ้านและรถยนต์ของชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณติดกันนั้น เมื่อบ้านและรถยนต์ของชาวบ้านได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างพังลงมาและป้ายขนาดใหญ่ดังกล่าวได้ก่อสร้างมาประมาณ 6 ปีแล้ว ย่อมอาจจะเกิดความชํารุดบกพร่องหรือบํารุงรักษา ไม่เพียงพอต่อสิ่งปลูกสร้างนั้นได้ ดังนั้น ผู้ครองสิ่งปลูกสร้างนั้น ซึ่งคือภาณุจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 434 เพราะภานุเป็นผู้เช่าพื้นที่ดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์เพื่อปลูกสร้างป้ายโฆษณาขนาดใหญ่นั้น ไม่ใช่พรสันต์ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ และภานุเป็นผู้ที่จะต้องต่อสู้ว่าตนได้บํารุงรักษาป้ายโฆษณาอย่างเพียงพอ หรือที่ป้ายโฆษณาบางส่วนพังลงมาก็ไม่ได้เกิดจากความชํารุดบกพร่อง แต่เป็นเหตุสุดวิสัย

แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนที่เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนักนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติในช่วงฤดูฝนที่อาจเกิดเหตุการณ์ฝนฟ้าคะนอง ลมพัดแรงทําให้สิ่งปลูกสร้างหักโค่นล้มลงได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นทุกปีและเป็นภัยธรรมชาติที่อาจคาดการณ์และสามารถป้องกันได้ จึงมิใช่เหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่อย่างใด ดังนั้น กรณีที่เกิดความเสียหายขึ้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ภาณุซึ่งเป็นผู้ครองสิ่งปลูกสร้าง (ป้ายโฆษณา) จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่พรสันต์

สรุป ภาณุเป็นผู้ซึ่งจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น

ส่วนพรสันต์ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด

LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ร.ต.อ.มืด โกรธแค้นที่นายหล่อมาแย่งแฟนสาวของตนไป จึงแกล้งสั่งให้ ร.ต.ต.โชค ไปจับกุม นายหล่อในข้อหาว่ากระทําความผิดฐานลักทรัพย์ โดย ร.ต.ต.โชค ไม่ทราบว่าเป็นการแกล้งของ ร.ต.อ.มืด จึงได้ทําการจับกุมนายหล่อมาที่สถานีตํารวจ ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหล่อไม่เคยกระทํา ความผิดฐานลักทรัพย์ ให้วินิจฉัยว่า นายหล่อจะสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ใด ได้บ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 449 “บุคคลใดเมื่อกระทําการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทําตามคําสั่งอันชอบ ด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือจากบุคคลผู้ให้คําสั่งโดยละเมิดนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.มืดแกล้งสั่งให้ ร.ต.ต.โชคไปจับกุมนายหล่อในข้อหากระทําความผิดฐานลักทรัพย์ และ ร.ต.ต.โชคได้ทําการจับกุมนายหล่อมาที่สถานีตํารวจนั้น ถือว่า ร.ต.อ.มืดได้กระทํา โดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทําให้เขาเสียหายแก่เสรีภาพ (โดยใช้ ร.ต.ต.โชคเป็นเครื่องมือ) อันเป็นการละเมิดตามมาตรา 420 จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้น

และจากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.ต.โชคได้จับกุมนายหล่อทําให้นายหล่อได้รับความ เสียหายแก่เสรีภาพนั้น ร.ต.ต.โชคได้กระทําตามคําสั่งของ ร.ต.อ.มืด ผู้บังคับบัญชาและเข้าใจโดยสุจริตว่านายหล่อ กระทําความผิดฐานลักทรัพย์จริงไม่ทราบว่าเป็นการแกล้งของ ร.ต.อ.มืด จึงเป็นการกระทําตามคําสั่งอันชอบ ด้วยกฎหมาย ดังนั้น ร.ต.ต.โชคจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 449 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี นายหล่อผู้เสียหายสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก ร.ต.อ.มืด ผู้ให้คําสั่งโดยละเมิดนั้นได้ตามมาตรา 449 วรรคสอง

สรุป นายหล่อสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก ร.ต.อ.มืดได้ แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก ร.ต.ต.โชคไม่ได้

 

ข้อ 2 นายกิตติขับรถโดยประมาทชนนายซวยถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าบิดามารดาของนายซวย ถึงแก่ความตายไปหมดแล้ว เหลือญาติเพียงคนเดียวคือนายโชค ซึ่งเป็นปู่ของนายซวย โดยก่อนที่ นายซวยจะถูกทําละเมิดถึงตายนั้น นายซวยได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูนายโชคที่อายุมากแล้ว และไม่สามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้ ดังนี้ นายโชคจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพ จากนายกิตติได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงค่าตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกิตติขับรถโดยประมาทชนนายซวยถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายกิตติถือเป็นการทําละเมิดต่อนายซวยตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อ บุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ชีวิต และการกระทําของนายกิตติสัมพันธ์กับผลของการกระทํา คือความตายของนายซวย ดังนั้น นายกิตติจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อมาคือ นายโชคจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพจากนายกิตติได้หรือไม่

1 กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายโชคเป็นเพียงปู่ของนายซวย ซึ่งนายซวยไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูนายโชคแต่อย่างใด นายโชคจึงไม่ใช่ผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย นายโชคจึงฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายกิตติไม่ได้

2 กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจากผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 ดังนั้น เมื่อนายโชคเป็นปู่ของนายซวย และเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการศพในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (5) นายโชคจึงสามารถฟ้องเรียกค่าปลงศพได้ตามมาตรา 443 วรรคหนึ่ง

สรุป นายโชคจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายกิตติไม่ได้ แต่สามารถฟ้องเรียกค่าปลงศพได้

 

ข้อ 3 วันเกิดเหตุนางสาวพฤกษา บุตรของนางลิลลี่ ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ขณะที่เดินอยู่นั้นนายเก่า ได้แหย่สุนัขพันธุ์ร็อทไวเลอร์ของนายมึน ซึ่งมีนิสัยดุร้าย โมโหง่ายและตัวใหญ่ โดยนายมึนไม่ได้ ผูกเชือก ล่ามโซ่หรือใส่ตะกร้อครอบปากแต่อย่างใด เมื่อสุนัขของนายมึนถูกนายเก่าแหย่ก็โกรธ และวิ่งไล่กัดนายเก่า นายเก่าวิ่งผ่านไปทางที่นางสาวพฤกษาเดินเล่นอยู่เมื่อสุนัขวิ่งไล่ตามมาพบ จึงกัดนางสาวพฤกษาจนถึงแก่ความตายในทันที ข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนที่นางสาวพฤกษาจะถึงแก่ความตายนั้น ได้ช่วยเหลือในกิจการร้านอาหารของนางกุหลาบซึ่งเป็นป้า โดยทําหน้าที่เป็นคนเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะลูกค้า ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นางลิลลี่ซึ่งเป็นมารดาของนางสาวพฤกษาจะเรียกให้ใครรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้บ้าง และนางกุหลาบซึ่งเป็นป้าของนางสาวพฤกษาจะเรียก ค่าขาดแรงงานได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้ แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือ ตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่ว สัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือตั๋วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

มาตรา 445 “ในกรณีทําให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยก็ดี ในกรณีทําให้ เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทําการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก๋าได้แหย่สุนัขพันธุ์ร็อทไวเลอร์ของนายมึน ซึ่งมีนิสัยดุร้าย โมโหง่าย และตัวใหญ่ โดยนายมึนไม่ได้ผูกเชือกล่ามโซ่หรือใส่ตะกร้อครอบปากแต่อย่างใด ทําให้สุนัขโกรธและวิ่งไล่กัด นายเก่า เมื่อนายเก่าวิ่งผ่านไปทางที่นางสาวพฤกษาเดินเล่นอยู่ สุนัขซึ่งวิ่งไล่ตามมาจึงกัดนางสาวพฤกษาจนถึงแก่ ความตายทันทีนั้น ถือว่าความเสียหายที่เกิดกับนางสาวพฤกษาเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ ดังนั้น นายมึนผู้เป็นเจ้าของสัตว์จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง นายมันจะอ้างว่าตนได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่การเลี้ยงแล้วไม่ได้ เพราะนายมึนรู้อยู่แล้วว่าสุนัขของตนมีนิสัยดุร้าย โมโหง่าย แต่นายมันก็ไม่ได้ผูกเชือก ล่ามโซ่หรือใส่ตะกร้อครอบปากไว้ แต่อย่างไรก็ดี นายมึนมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่นายเก่า ผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นได้ตามมาตรา 433 วรรคสอง

ส่วนกรณีที่นางสาวพฤกษาได้ช่วยเหลือในกิจการร้านอาหารของนางกุหลาบซึ่งเป็นป้าก่อนถึงแก่ความตาย โดยทําหน้าที่เป็นคนเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะลูกค้าโดยไม่ได้รับสินจ้างนั้น ไม่ถือว่านางสาวพฤกษาผู้เสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทําการงานให้เป็นคุณแก่นางกุหลาบในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของนางกุหลาบ แต่อย่างใด ดังนั้น นางกุหลาบจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดแรงงานตามมาตรา 445

สรุป นางลิลลี่มารดาของนางสาวพฤกษาสามารถเรียกให้นายมึนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้แต่นางกุหลาบป้าของนางสาวพฤกษาจะเรียกค่าขาดแรงงานไม่ได้

 

ข้อ 4 นายหมอชิตเป็นบิดานอกกฎหมายของเด็กชายครรชิต อายุ 12 ปี กําลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างที่นายหมอชิตและเด็กชายครรชิตกําลังเดินไปโรงเรียน ต้นมะม่วงที่ปลูกอยู่ในบ้านของ นายมิตรที่เพิ่งถูกขุดมาจากที่อื่น แต่ไม่ได้มีการใช้ไม้ค้ำจุนให้ดี ได้เอนลงมาทับเด็กชายครรชิต ที่เดินผ่านมา เป็นเหตุให้เด็กชายครรชิตถึงแก่ความตาย ให้วินิจฉัยว่าใครต้องรับผิดในทางละเมิดต่อ เด็กชายครรชิตหรือไม่ และนายหมอชิตจะสามารถเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 434 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง อย่างอื่นก่อสร้างไว้ชํารุดบกพร่องก็ดี หรือบํารุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดเสียหายฉะนั้นแล้ว ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ให้ใช้บังคับตลอดถึงความบกพร่องในการปลูกหรือค้ำจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่ต้นมะม่วงที่ปลูกอยู่ในบ้านของนายมิตรที่เพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากที่อื่น แต่ไม่ได้มีการใช้ ไม้ค้ำจุนให้ดี ได้เอนลงมาทับเด็กชายครรชิตที่เดินผ่านมาเป็นเหตุให้เด็กชายครรชิตถึงแก่ความตายนั้น ถือได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความเสียหายอันเกิดจากความบกพร่องในการค้ำจุนต้นไม้ ดังนั้น นายมิตรจึงต้อง รับผิดในทางละเมิดต่อเด็กชายครรชิตตามมาตรา 434 วรรคหนึ่งประกอบวรรคสอง

(2) เมื่อนายหมอชิตเป็นบิดานอกกฎหมายของเด็กชายครรชิต นายหมอชิตจึงมิใช่ทายาท โดยธรรมของเด็กชายครรชิต นายหมอชิตจึงไม่สามารถเรียกค่าปลงศพจากนายมิตรตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งได้ เพราะผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจากผู้ทําละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตายและมีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ตามมาตรา 1629 และนายหมอชิตก็ไม่สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสามได้เช่นกัน เพราะผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เท่านั้น แต่นายหมอชิตเป็นบิดานอกกฎหมายของเด็กชายครรชิต ซึ่งเด็กชายครรชิตไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู นายหมอชิตแต่อย่างใด นายหมอชิตจึงไม่ใช่ผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย

สรุป นายมิตรจะต้องรับผิดในทางละเมิดต่อเด็กชายครรชิต และนายหมอชิตจะเรียกค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะไม่ได้

LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายป๊อบจูงสุนัขที่ตนเป็นเจ้าของอยู่นั้น ไปขโมยเนื้อย่างของเด็กหญิงนานา เมื่อนายอาร์ทบิดาของเด็กหญิงนานาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้ใช้ไม้ตีสุนัข ทําให้สุนัขได้รับบาดเจ็บและสุนัข ได้รับความเจ็บปวดจึงวิ่งเตลิดไปชนป้ายโฆษณาหน้าร้านขายของที่ตั้งอยู่บริเวณทางเท้า ทําให้ป้ายโฆษณาของนางอึ่งอ่างหล่นกระแทกพื้นแล้วกระเด็นไปทับเด็กชายน้อยถึงแก่ความตายทันที

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโหน่งซึ่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมเด็กชายน้อยจะเรียกร้องให้นายป๊อบ เด็กหญิงนานา และนายอาร์ท ร่วมกันรับผิดต่อตนเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพและ ค่าขาดไร้อุปการะในความตายของเด็กชายน้อยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคล ผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 449 “บุคคลใดเมื่อกระทําการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทําตามคําสั่งอันชอบ ด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้น ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นายป๊อบจูงสุนัขที่ตนเป็นเจ้าของอยู่นั้น ไปขโมยเนื้อย่างของเด็กหญิงนานา ถือว่านายป๊อบได้กระทําการอันเป็นการละเมิดต่อเด็กหญิงนานาตามมาตรา 420 แล้ว เพราะเป็นการกระทําโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ ดังนั้น นายป๊อบ ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เด็กหญิงนานา แต่นายป๊อบไม่ต้องรับผิดต่อเด็กหญิงนานาตามมาตรา 433 เพราะมิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์

ประเด็นที่ 2 การที่นายอาร์ทบิดาของเด็กหญิงนานาได้ใช้ไม้ตีสุนัขทําให้สุนัขได้รับบาดเจ็บนั้น แม้การกระทําของนายอาร์ทจะเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยจงใจต่อบุคคลอื่น ทําให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินก็ตาม แต่เมื่อนายอาร์ทได้กระทําเพื่อป้องกันสิทธิของเด็กหญิงนานาให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายอาร์ทจึงเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายอาร์ท จึงสามารถอ้างได้ว่าตนได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคหนึ่ง นายอาร์ทจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายป๊อบ

และเมื่อนายอาร์ทสามารถอ้างเหตุการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ดังนั้น การที่สุนัขซึ่งได้รับความเจ็บปวดได้วิ่งเตลิดไปชนป้ายโฆษณา ทําให้ป้ายโฆษณาของนางอึ่งอ่างหล่นกระแทกพื้นแล้วกระเด็นไปทับเด็กชายน้อยถึงแก่ความตายทันที เด็กชายน้อยซึ่งเป็นผู้เสียหายย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จากนายป๊อบผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ตามมาตรา 449 วรรคสอง แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเด็กหญิงนานาและนายอาร์ทไม่ได้

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเด็กชายน้อยได้รับความเสียหายต่อชีวิต ตามมาตรา 433 ได้กําหนดให้นายโหน่ง ซึ่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมเด็กชายน้อยและเป็นผู้เสียหายทางอ้อม เป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก นายป๊อบได้เพียงแต่นายโหน่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อเป็นค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะในความตายของเด็กชายน้อยได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจาก ผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 ดังนั้น เมื่อนายโหน่งเป็นเพียงผู้รับบุตรบุญธรรมเด็กชายน้อย ซึ่งตามกฎหมายแล้วนายโหน่งมิใช่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของเด็กชายน้อยผู้ตาย นายโหน่งจึงเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพไม่ได้

2 กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เท่านั้น ได้แก่ สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้ง ผู้รับบุตรบุญธรรม และบุตรบุญธรรมด้วย แต่ในกรณีของบุตรนั้นจะต้องเป็นบุตรผู้เยาว์ หรือบุตรที่ทุพพลภาพ หาเลี้ยงตนเองไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น เมื่อนายโหน่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมเด็กชายน้อย นายโหน่งจึงมีสิทธิเรียกค่า สินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะจากนายป๊อบได้

สรุป

นายโหน่งซึ่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมเด็กชายน้อยสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะจากนายป๊อบได้ แต่จะเรียกค่าปลงศพไม่ได้

 

ข้อ 2 นายเป้งหัดขับรถยนต์อยู่ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ระหว่างหัดขับนั้น รถยนต์เกิดขัดข้องทําให้นายเป้งควบคุมรถยนต์ไม่ได้และพุ่งเข้าชนรั้วบ้าน แปลงดอกไม้ภายในบ้าน และตัวบ้านของนายไท เสียหาย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 30,000 บาท ดังนี้ นายเป้งจะปฏิเสธความรับผิดเนื่องจากรถยนต์ ขัดข้องได้หรือไม่ และนายไทจะยึดรถยนต์ของนายเป้งเพื่อเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนจากนายเป้งได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 437 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดิน ด้วยกําลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า การเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง”

มาตรา 452 วรรคหนึ่ง “ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ามาทําความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทน อันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้ และถ้าจําเป็น โดยพฤติการณ์ แม้จะฆ่าสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเป้งหัดขับรถยนต์อยู่ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และระหว่างหัดขับนั้น รถยนต์เกิดขัดข้องทําให้นายเป้งควบคุมรถยนต์ไม่ได้และพุ่งเข้าชนรั้วบ้าน แปลงดอกไม้ภายในบ้าน และตัวบ้าน ของนายไทเสียหาย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 30,000 บาทนั้น กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะ อันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกล และการที่รถยนต์ของนายเบ้งเกิดขัดข้องนั้นก็มิได้เกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยที่ นายเป้งจะสามารถนําขึ้นมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้ ดังนั้น นายเป้งซึ่งเป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแล ยานพาหนะคือรถยนต์นั้น จึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 437 วรรคหนึ่ง

และตามมาตรา 452 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่น อันเข้ามาทําความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้

แต่เมื่อตามอุทาหรณ์ทรัพย์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นเป็นรถยนต์ของนายเป้งซึ่งไม่ใช่สัตว์ที่เข้ามาทําความ

เสียหายในอสังหาริมทรัพย์ของนายไท ดังนั้น นายไทจึงไม่สามารถยึดรถยนต์ของนายเป้งเพื่อเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนจากนายเป้งได้

สรุป นายเป้งจะปฏิเสธความรับผิดเนื่องจากรถยนต์ขัดข้องไม่ได้ และนายไทจะยึดรถยนต์ของนายเป้งเพื่อเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนจากนายเป้งไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 3 นายเท่งเป็นเจ้าของตึก 3 ชั้น โดยได้แบ่งให้นายเก่งเช่าชั้น 2 และนายเข่งเช่าชั้น 3 โดยชั้น 1 นั้น นายเท่งได้เปิดเป็นร้านซักอบรีดเสื้อผ้า และดูแลกิจการด้วยตนเอง วันเกิดเหตุนายเก่งได้ลืมปิดหน้าต่างทําให้เกิดลมพัดแรงและกระแทกหน้าต่างจนหน้าต่างเกิดพังหลุดลงมา แล้วหล่นไปโดน รถยนต์ของนางแหม่มได้รับความเสียหาย ดังนี้

(ก) หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าหน้าต่างมีความชํารุดอยู่ก่อนแล้วแต่ยังไม่ได้มีการซ่อมแซม เช่นนี้ ใครจะต้องมารับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางแหม่ม

(ข) หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าหน้าต่างที่ชํารุดนั้นนายเก่งผู้เช่าได้แจ้งนายเก่งให้เข้ามาซ่อมแซมแล้วแต่นายเท่งยังไม่ซ่อมแซม เช่นนี้ ใครจะต้องมารับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางแหม่ม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 434 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ก่อสร้างไว้ชํารุดบกพร่องก็ดี หรือบํารุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ จําต้อง ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้ว

ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกนิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเก่งเป็นเจ้าของตึก 3 ชั้น โดยได้แบ่งให้นายเก่งเช่าชั้น 2 และให้นายเข่งเช่าชั้น 3 โดยชั้น 1 นั้น นายเท่งได้เปิดเป็นร้านซักอบรีดเสื้อผ้าและดูแลกิจการด้วยตนเองนั้น ย่อมถือว่านายเท่งเป็นเจ้าของ และอยู่ในฐานะเป็นผู้ครอบครองโรงเรือนหรือตึกดังกล่าวอยู่ และการที่นายเก่งได้ลืมปิดหน้าต่างทําให้เกิดลมพัดแรงและกระแทกหน้าต่างที่มีความชํารุดอยู่ก่อนแล้วแต่ยังไม่ได้มีการซ่อมแซมพังหลุดลงมาแล้วหล่นไปโดนรถยนต์ของนางแหม่มได้รับความเสียหายนั้น ความเสียหายดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะเหตุที่โรงเรือนชํารุดบกพร่องหรือบํารุงรักษาไม่เพียงพอ ดังนั้นนายเท่งซึ่งเป็นผู้ครอบครองโรงเรือนหรือตึกดังกล่าว จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางแหม่มตามมาตรา 434 วรรคหนึ่ง

(ข) หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่หน้าต่างมีความชํารุดนั้น นายเก่งผู้เช่าได้แจ้งนายเก่งให้เข้ามา ซ่อมแซมแล้ว แต่นายเท่งยังไม่ซ่อมแซม เช่นนี้ กรณีที่หน้าต่างหลุดพังลงมาแล้วหล่นไปโดนรถยนต์ของนางแหม่ม ได้รับความเสียหายนั้น ความเสียหายดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทําละเมิดของนายเท่ง ตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อ (ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง) ต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน และการกระทําของนายเท่งที่ไม่ใช้ความระมัดระวังนั้นมีความสัมพันธ์กับผลของการกระทํา ดังนั้น กรณีนี้นายเก่งจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางแหม่มเช่นเดียวกัน

สรุป ทั้ง (ก) และ (ข) นายเก่งจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางแหม่ม

 

ข้อ 4 นายหินและนายปูนเป็นลูกจ้างของนายทะเล ผู้ประกอบการเดินรถสองแถว วันเกิดเหตุนายทะเล สั่งให้นายหินไปขับรถสองแถวรับส่งผู้โดยสารบนถนนรามคําแหง โดยมีนายปูนเป็นผู้เก็บค่าโดยสารนายหินขับรถสองแถวด้วยความประมาทชนเสาไม้ที่ปักริมทางแฉลบจะไปชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงซึ่งทําให้ผู้โดยสารทุกคนรู้สึกหวาดเสียวเป็นอย่างมาก นายอ่อนซึ่งเป็นผู้โดยสารบนรถสองแถวคนหนึ่ง เห็นว่ารถสองแถวกําลังจะชนเสาไฟฟ้า จึงกระโดดลงจากรถในระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้นายอ่อนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้โดยสารอื่นบนรถสองแถวได้รับบาดเจ็บ นายดําซึ่งเป็นชาวบ้านบริเวณนั้น เห็นเหตุการณ์จึงเกิดความไม่พอใจ เลยตะโกนต่อว่านายหินและนายปูน นายหินและนายปูนโกรธ จึงร่วมกันทําร้ายร่างกายของนายดําจนได้รับอันตรายแก่กาย ให้วินิจฉัยว่า นายหิน นายปูน และ นายทะเล ต้องรับผิดทางละเมิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทําไปในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทําละเมิด ท่านว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณี ที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจําพวกที่ทําละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทําละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทําละเมิดร่วมกันด้วย ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหินขับรถสองแถวด้วยความประมาทชนเสาไม้ที่ปักริมทางแฉลบ จะไปชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง ทําให้นายอ่อนซึ่งเป็นผู้โดยสารบนรถสองแถวคนหนึ่งเห็นว่ารถสองแถวกําลังจะชนเสาไฟฟ้าจึงกระโดดลงจากรถในระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้นายอ่อนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้โดยสารอื่นบนรถสองแถวได้รับบาดเจ็บนั้น การกระทําของนายหินถือเป็นการทําละเมิดต่อนายอ่อนและผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายต่อร่างกาย ดังนั้น นายหินจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายอ่อนและผู้โดยสารคนอื่น ๆ และแม้ว่าจาก ข้อเท็จจริง นายอ่อนจะกระโดดลงจากรถก่อนก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทําในระยะกระชั้นชิดกับภยันตรายที่จะเกิดขึ้นและในที่สุดก็ได้เกิดขึ้น และเป็นการกระทําเพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายเฉพาะหน้า จึงถือว่าการกระทําของนายอ่อนเป็นผลอันเกิดใกล้ชิดและเนื่องมาจากเหตุขับรถโดยประมาทของนายหิน

และเมื่อนายหินเป็นลูกจ้างของนายทะเล ได้กระทําละเมิดในระหว่างที่ปฏิบัติงานตามคําสั่ง ของนายจ้างจึงเป็นการกระทําละเมิดในทางการที่จ้าง ดังนั้น นายทะเลซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมกันรับผิดกับ นายหินลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่นายหินได้ทําให้เกิดความเสียหายแก่นายอ่อนและผู้โดยสารคนอื่น ๆ ด้วยตามมาตรา 425

ส่วนกรณีที่นายดําได้ตะโกนต่อว่านายหินและนายปูน จนทําให้นายหินและนายปูนโกรธจึงร่วมกัน ทําร้ายร่างกายของนายดําจนได้รับอันตรายแก่กายนั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ บุคคลอื่นโดยร่วมกันทําละเมิด ดังนั้น นายหินและนายปูนจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อนายดําตามมาตรา 420 ประกอบ มาตรา 432

และเมื่อการกระทําละเมิดของนายหินและนายปูนดังกล่าว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกวัตถุประสงค์ ของนายทะเลผู้เป็นนายจ้าง และมิใช่กิจการในหน้าที่ที่นายหินและนายปูนได้รับมอบหมาย จึงมิใช่เป็นการทําละเมิด ในทางการที่จ้างของนายทะเล ดังนั้น นายทะเลจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับนายหินและนายปูนในความเสียหายที่เกิดแก่นายดําแต่อย่างใด เพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 425

สรุป นายหินต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายอ่อน ผู้โดยสารอื่น และนายดํา

นายปูนต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายดํา

นายทะเลต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายอ่อนและผู้โดยสารอื่น

LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายดําเกิงเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยช่วงแรก

ที่เปิดให้บริการนั้นทางห้างฯ ของนายดําเกิงมีการให้บริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถให้กับลูกค้า ที่เข้ามาซื้อสินค้า และทางห้างฯ เคยจัดให้มีการแจกบัตรสําหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างฯซึ่งหากไม่มีบัตรผ่านกรณีที่จะนํารถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของนายดําเกิง หลังจากเปิดให้บริการได้ระยะหนึ่งทางห้างฯ ของนายดําเกิงได้ยกเลิกวิธีการดังกล่าวโดยใช้กล้องวงจรปิดแทน โดยปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ ทั้งลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ก็นํารถเข้ามาจอดตามปกติเวลาที่มาซื้อสินค้า

ภายในห้างฯ วันเกิดเหตุ นายเด่นได้นํารถยนต์มาจอดในห้างฯ เพื่อเข้าไปซื้อสินค้าภายในห้างฯปรากฏว่าได้มีคนร้ายเข้ามาโจรกรรมรถของนายเด่นไปได้

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านายดําเกิงเจ้าของห้างสรรพสินค้าดังกล่าวจะต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายเด่นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี สรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

การกระทําอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

1 บุคคลกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2 ทําต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3 มีความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4 มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลของการกระทํา

ดังนั้นในเบื้องต้น จึงจําต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ทําละเมิดมี “การกระทํา” หรือไม่ หากบุคคล ไม่มี “การกระทํา” ก็ไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สําหรับการกระทํานั้น หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับหรือทําโดยรู้สํานึก นอกจากนี้การกระทํายังหมายความรวมถึงการงดเว้น การเคลื่อนไหวอันพึงต้องทําเพื่อป้องกันมิให้ผลเกิดขึ้นด้วย ในส่วนของการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทํา

ตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทําตามหน้าที่ที่จะต้องกระทําเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้น ไม่ถือว่าเป็นการกระทํา

กรณีตามอุทาหรณ์ นายดําเกิงเจ้าของห้างสรรพสินค้าจะต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับนายเด่นในกรณีที่รถยนต์ของนายเด่นที่นํามาจอดในห้างฯ ของนายดําเกิงนั้นได้ถูกโจรกรรมไป เนื่องจากเดิมทีห้างฯ ของนายดําเกิงได้เปิดให้บริการนั้นได้มีการจัดให้บริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าและได้จัดให้มีการแจกบัตรสําหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างฯ ซึ่งหากไม่มีบัตรผ่านแล้วกรณีที่จะนํารถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของนายดําเกิง และแม้ภายหลังทางห้างฯ ของนายดําเกิงจะได้ ยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวงจรปิดแทนนั้น แม้จะได้ปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหาย หรือเสียหายใด ๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถแต่ก็ยังนํารถเข้ามาจอดก็ตาม ก็ถือเป็นเรื่องข้อกําหนดของทางห้างฯ นายดําเกิงฝ่ายเดียว ไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในทางละเมิดของ ห้างฯ นายดําเกิงแต่อย่างใด

ดังนั้น การที่รถยนต์ของนายเด่นที่นํามาจอดในห้างฯ ของนายดําเกิงถูกโจรกรรมไป ย่อมถือว่า เป็นความสูญหายหรือเสียหายที่เกิดจากการทําละเมิดของห้างฯ ของนายดําเกิงโดยการงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลนั้นขึ้น โดยถือว่าเป็นการงดเว้นการที่จะต้องกระทําตามหน้าที่ที่เกิดขึ้นจากการกระทําครั้งก่อนของห้างฯ (เทียบเคียงคําพิพากษาฎีกาที่ 7471/2556) ดังนั้น นายดําเกิงเจ้าของห้างสรรพสินค้าจึงต้องรับผิด ทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายเด่น

สรุป นายดําเกิงเจ้าของห้างฯ จะต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายเด่น

 

ข้อ 2 นายเอว่าจ้างบริษัท การช่าง จํากัด สร้างอาคาร 5 ชั้น บริษัท การช่าง จํากัด มอบหมายให้นายแมน วิศวกรประจําบริษัทออกแบบและควบคุมการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ระหว่างการก่อสร้างชั้นที่ 4 ปรากฏว่าอาคารได้ถล่มลงมาเนื่องจากความผิดพลาดในการคํานวณน้ำหนักเป็นเหตุให้นายโชคถึงแก่ความตาย

จงวินิจฉัยว่า ทายาทของ นายโชคจะมีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลใดรับผิดในทางละเมิดได้บ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทําไปในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 428 “ผู้ว่าจ้าง ทําของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ บุคคลภายนอกในระหว่างทําการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทํา หรือในคําสั่ง ที่ตนให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่อาคารได้ถล่มลงมาเนื่องจากความผิดพลาดในการคํานวณน้ำหนักของนายแมนวิศวกรประจําบริษัท การช่าง จํากัด เป็นเหตุให้นายโชคถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าความเสียหายถึงแก่ชีวิตของนายโชคเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทําละเมิดของนายแมนตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทํา โดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทําให้เขาได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทําของนายแมน ดังนั้น นายแมนจึงต้องรับผิดในทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายโชค

สําหรับบริษัท การช่าง จําากัดนั้น เมื่อการกระทําของนายแมนดังกล่าว ได้กระทําไปในขณะเป็นลูกจ้างของบริษัท การช่าง จํากัด และได้กระทําไปในทางการที่จ้าง ดังนั้น บริษัท การช่าง จํากัด ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงต้องร่วมกันรับผิดกับนายแมนซึ่งเป็นลูกจ้างในผลแห่งละเมิดนั้นตามมาตรา 425

ส่วนนายเอซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างให้บริษัท การช่าง จํากัด สร้างอาคาร 5 ชั้นดังกล่าวไม่ต้องรับผิด เพื่อความเสียหายในกรณีที่บริษัท การช่าง จํากัด ผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทําการงาน ที่ว่าจ้างตามมาตรา 428, เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทํางานที่ผู้ว่าจ้าง สั่งให้ทําหรือในคําสั่งที่ผู้ว่าจ้างให้ไว้แต่อย่างใด

ดังนั้น ทายาทของนายโชคมีสิทธิเรียกร้องให้นายแมน และบริษัท การช่าง จํากัด รับผิดในทาง ละเมิดได้ตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 425 แต่จะเรียกร้องให้นายเอรับผิดในทางละเมิดไม่ได้

สรุป

ทายาทของนายโชคมีสิทธิเรียกร้องให้นายแมน และบริษัท การช่าง จํากัด รับผิดในทาง ละเมิดได้ แต่จะเรียกร้องให้นายเอรับผิด ไม่ได้

 

ข้อ 3 นายแดงเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง วันเกิดเหตุสุนัขหลุดจากคอกออกมาเดินเล่นริมถนน นายเอกขว้างก้อนหินไปที่สุนัขแต่ก้อนหินไม่ถูกสุนัข สุนัขเข้าใจว่านายโทซึ่งเดินผ่านมาพอดีเป็นคนขว้าง จึงวิ่ง เข้าไปกัดนายโทได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นนายเอกได้ขว้างก้อนหินไปที่สุนัขอีกครั้งหนึ่ง ก้อนหินไม่ถูกสุนัขแต่สุนัขมองเห็นว่านายเอกเป็นคนขว้าง จึงวิ่งเข้ามาจะกัดนายเอก นายเอกจึงใช้ไม้ตีไปที สุนัข ปรากฏว่าสุนัขได้รับบาดเจ็บ เสียค่ารักษาพยาบาลไป 500 บาท ให้ตอบคําถามดังต่อไปนี้

(1) การที่นายโทได้รับบาดเจ็บ นายโทจะเรียกร้องให้ใครรับผิดในทางละเมิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(2) การที่นายเอกใช้ไม้ตี สุนัขได้รับบาดเจ็บ นายเอกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดง เจ้าของสุนัขหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้ แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือ ตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือตั๋วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

มาตรา 450 วรรคสาม “ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิ์ ของตน หรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่านี้ หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้น เพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว ท่านว่าจําต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกว่านิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายแดงเลี้ยงสุนัข และสุนัขหลุดจากคอกออกมาเดินเล่นริมถนน นายเอกขว้างก้อนหินไปที่สุนัขทําให้สุนัขวิ่งเข้าไปกัดนายโทได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่าความเสียหายที่นายโทได้รับเป็นความเสียหายที่ เกิดขึ้นเพราะสัตว์ ดังนั้น นายแดงเจ้าของสุนัขจึงต้องรับผิดตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง นายโทจึงสามารถเรียกร้อง ให้นายแดงเจ้าของสุนัขรับผิดในทางละเมิดได้

และเมื่อนายแดงได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโทไปแล้ว นายแดงย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากนายเอกผู้ที่เร้าหรือตั๋วสัตว์โดยละเมิดได้ตามมาตรา 433 วรรคสอง

(2) การที่นายเอกได้ขว้างก้อนหินไปที่สุนัขอีกครั้งหนึ่ง ทําให้สุนัขได้วิ่งเข้ามาจะกัดนายเอก ทําให้นายเอกได้ใช้ไม้ตีไปที่สุนัขและสุนัขได้รับบาดเจ็บเสียค่ารักษาพยาบาลไป 500 บาทนั้น นายเอกจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดงเจ้าของสุนัข เพราะการกระทําของนายเอกคือการใช้ไม้ตีไปที่สุนัขนั้น

มิใช่การกระทําเพื่อจะป้องกันสิทธิของตนจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ แต่เป็น ภยันตรายที่เกิดขึ้นเพราะความผิดของนายเอกเองที่ใช้ก้อนหินขว้างไปที่สุนัขตามมาตรา 450 วรรคสาม

สรุป

(1) การที่นายโทได้รับบาดเจ็บ นายโทสามารถเรียกร้องให้นายแดงรับผิดในทางละเมิดได้ และนายแดงมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากนายเอกได้

(2) การที่นายเอกใช้ไม้ตีสุนัขได้รับบาดเจ็บ นายเอกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ นายแดงเจ้าของสุนัข

 

ข้อ 4 นายหมอกอายุ 18 ปี บิดามารดาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่นายหมอกอายุ 16 ปี นายหมอกจึงอยู่ใน การอุปการะเลี้ยงดูของนายเมฆซึ่งเป็นลุง วันเกิดเหตุนายหมอกเดินทางไปต่างจังหวัดกับเพื่อนระหว่างทางมีรถยนต์ซึ่งนายพายุขับมาด้วยความเร็วสูงและด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ของนายพายุทําให้รถยนต์คันดังกล่าวชนกับรถยนต์ที่นายหมอกนั่งมากับเพื่อนทําให้นายหมอกถึงแก่ความตายทันที เพื่อนของนายหมอกบาดเจ็บสาหัส

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านายเมฆมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายพายุในกรณีที่นายหมอกถึงแก่ ความตายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพายุขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงและด้วยความประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง ทําให้รถยนต์คันดังกล่าวชมกับรถยนต์ที่นายหมอกนั่งมากับเพื่อนทําให้นายหมอกถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายพายุเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อ บุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและการกระทําของนายพายุสัมพันธ์กับผลของการกระทํา คือความตายของนายหมอก ดังนั้น นายพายุจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนวรรคสามนั้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ นายเมฆซึ่งเป็นลุงของนายหมอกจะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจาก นายพายุในกรณีที่นายหมอกถึงแก่ความตายได้หรือไม่ ซึ่งกรณีค่าขาดไร้อุปการะตามบทบัญญัติมาตรา 443 สามนั้น กฎหมายได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น ซึ่งได้แก่ สามีกับภริยาหรือบิดามารดากับบุตร เมื่อนายหมอกผู้ตายไม่มีหน้าที่ที่จะต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูนายเมฆ ซึ่งเป็นลุงตามกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น นายเมฆจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายพายุตามมาตรา 443 วรรคสาม

สรุป นายเมฆไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายพายุ

LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 แก้วเป็นเจ้าของสุนัขดุอยู่หนึ่งตัว วันเกิดเหตุสุนัขของแก้ววิ่งเข้าไปในบ้านของขวดเพื่อไปขโมยเนื้อย่างในครัวของขวด เมื่อขวดเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้ใช้ไม้ตีสุนัข ทําให้สุนัขได้รับบาดเจ็บ และสุนัขได้รับความเจ็บปวดจึงวิ่งเตลิดไปชนระฆังใหญ่ในวัดไทร ทําให้เกิดเสียงดังอย่างมาก และทําให้โอ่ง (อายุ 15 ปี) ที่ยืนเล่นอยู่ใกล้ระฆังมากถึงกับอาการหูอักเสบและกลายเป็นคนหูหนวกถาวร ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าใครจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยง รับรักษาไว้แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือ ตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 450 วรรคสาม “ถ้าบุคคลทําบุบสลาย หรือทําลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะป้องกันสิทธิของตน หรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ บุคคลเช่นว่านี้ หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้น เพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว ท่านว่าจําต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่สุนัขดุของแก้ววิ่งเข้าไปในบ้านของขวดเพื่อไปขโมยเนื้อย่างในครัวของขวดนั้น ถือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์คือสุนัขของแก้ว ซึ่งตามกฎหมายแก้วผู้เป็นเจ้าของสัตว์จะต้องรับผิด ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ขวดตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง และตามข้อเท็จจริงแก้วก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสุนัขดุนั้นแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีนี้ขวดจึงมีสิทธิเรียกให้แก้วรับผิดในเหตุละเมิดที่เกิดกับตนได้

ประเด็นที่ 2 การที่ขวดได้ใช้ไม้ตีสุนัขของแก้วทําให้สุนัขได้รับบาดเจ็บนั้น การกระทําของขวด ถือเป็นการกระทําโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน จึงถือว่าขวดได้กระทําละเมิดต่อแก้วตามมาตรา 420 แต่อย่างไรก็ตาม ขวดก็สามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมตามมาตรา 450 วรรคสามได้

เนื่องจากเป็นการกระทําเพื่อป้องกันภัยอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์คือสุนัขดุนั้นเองเป็นต้นเหตุให้ตนต้อง ป้องกัน และเมื่อความเสียหายอันเกิดแก่สุนัขนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ ขวดจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่แก้ว ดังนั้น กรณีนี้แก้วจึงเรียกให้ขวดรับผิดในเหตุละเมิดที่เกิดกับตนไม่ได้

ประเด็นที่ 3 การที่สุนัขของแก้ววิ่งเตลิดไปชนระฆังใหญ่ในวัดไทร ทําให้เกิดเสียงดังมากและทําให้ โอ่งที่เล่นอยู่ใกล้ระฆังมากถึงกับอาการหูอักเสบและกลายเป็นคนหูหนวกถาวรนั้น ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโอ่งนั้น เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ แก้วซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์คือสุนัขจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่โอ่งตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีนี้โอ่งจึงเรียกให้แก้วรับผิดในเหตุละเมิดที่เกิดกับตนได้

สรุป ขวดและโอ่งสามารถเรียกให้แก้วรับผิดในเหตุละเมิดที่เกิดกับตนได้ แต่แก้วจะเรียกให้ขวด รับผิดในเหตุละเมิดกับตนไม่ได้

 

ข้อ 2 จากข้อเท็จจริงตามข้อ 1 หากปรากฏว่า

(ก) โอ่งถูกพาส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสามวัน จากนั้นเกิดการติดเชื้อจากหูเข้าเส้นโลหิต และโอ่งทนบาดเจ็บไม่ไหวได้ถึงแก่ความตาย และถ้าหากว่าโอ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายของอ่าง เป็นบุตรบุญธรรมของไห และเป็นลูกจ้างของเหยือก ให้วินิจฉัยว่าอ่าง ไห และเหยือก จะมีสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีที่โอ่งถึงแก่ความตายได้หรือไม่ อย่างไร

(ข) สุนัขของแก้วได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการ แก้วจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหาย ที่ไม่อาจตีราคาเป็นเงินได้ตามมาตรา 416 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยโซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 445 “ในกรณีทําให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทําให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทําการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”

มาตรา 446 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทําให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทําให้เขา เสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีก ก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือ ได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ข้อ

1 แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่โอ่งถูกพาส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นเกิดการติดเชื้อจากหูเข้าเส้นโลหิต และโอ่งทนบาดเจ็บไม่ไหวได้ถึงแก่ความตายนั้น สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน (โดยผู้เสียหายทางอ้อม) จะมีขึ้น ตามมาตรา 443 ได้แก่ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ (มาตรา 443 วรรคหนึ่ง) ค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้ก่อนตาย (มาตรา 443 วรรคสอง) และค่าขาดไร้อุปการะ (มาตรา 443 วรรคสาม) รวมทั้งมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน คือค่าขาดแรงงานในครัวเรือนและในอุตสาหกรรมตาม มาตรา 445 ด้วย

ส่วนอ่าง ไห และเหยือก จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของอ่าง เมื่ออ่างเป็นบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของโอ่ง ดังนั้น อ่างจึงไม่มีสิทธิเรียกค่า สินไหมทดแทนใด ๆ ตามมาตรา 443 เพราะผู้มีสิทธิในการเรียกค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการ ปลงศพตามมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้ก่อนตาย ตามมาตรา 443 วรรคสองนั้น จะต้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายเท่านั้น เมื่ออ่างไม่ใช่บิดาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของโอ่ง อ่างจึงไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ดังนั้น อ่างจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว

ส่วนการเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสามนั้น กฎหมายได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น ได้แก่สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมด้วย ดังนั้นเมื่ออ่างมิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของโอ่ง อ่างจึงไม่มีสิทธิ เรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสาม และเมื่ออ่างมิใช่ผู้ใช้อํานาจปกครองบุตร (เนื่องจากอ่างมิใช่บิดา โดยชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งโอ่งอยู่ภายใต้อํานาจปกครองของให้ผู้รับบุตรบุญธรรม) อ่างจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดแรงงานในครัวเรือนตามมาตรา 445

กรณีของไห เมื่อโอ่งเป็นบุตรบุญธรรมของไห โอ่งจึงอยู่ภายใต้อํานาจปกครองของไห และถือว่าไหเป็นผู้ใช้อํานาจปกครองบุตรบุญธรรม ซึ่งตามกฎหมายครอบครัว บุตรบุญธรรมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรม ดังนั้น ไหจึงมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสาม และค่าขาดแรงงานในครัวเรือนตามมาตรา 445 ได้ แต่ไหไม่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ และค่ารักษาพยาบาลก่อนตายตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เพราะไม่ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของโอ่ง

กรณีของเหยือก เมื่อเหยือกมิใช่บิดาหรือทายาทของโอ่ง เป็นเพียงนายจ้างของโอ่งเท่านั้น ดังนั้น เหยือกจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 และจะเรียกค่าขาดแรงงานในอุตสาหกรรม ตามมาตรา 445 ก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อโอ่งได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว สัญญาจ้างย่อมระงับสิ้นไป สิทธิของนายจ้างในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 จึงหมดไปด้วย

(ข) การที่สุนัขของแก้วได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการนั้น แก้วจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ ไม่อาจตีราคาเป็นเงินได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ เพราะการเรียกค่าสินไหม ทดแทนตามมาตรานี้ ใช้เฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนและทําให้คนได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรือ อนามัยหรือเสียเสรีภาพเท่านั้น ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสัตว์

สรุป

(ก) ไหมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้เฉพาะตามมาตรา 443 วรรคสาม และมาตรา 445 เท่านั้น จะเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งและวรรคสองไม่ได้ส่วนอ่างและเหยือกไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ได้เลย

(ข) แก้วจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้

 

ข้อ 3 นายทะเลได้เข้าฟังการชุมนุมเลือกตั้งสมาชิกสหกรณ์ของตําบล นายทะเลพบว่านายหิน คู่อริ ของตนได้ลงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานสหกรณ์ด้วย และพบว่าพรรคพวกของนายหินอีก 6 คน ก็ลงสมัครเลือกตั้งเช่นเดียวกัน นายทะเลไม่พอใจจึงตะโกนขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนที่มาชุมนุมว่า “พวกมันมีเหี้ย 7 ตัว” เมื่อนายหินและพรรคสืบทราบว่านายทะเลเป็นคนตะโกน จึงดําเนินการ ฟ้องคดีต่อศาล ให้วินิจฉัยว่าการกระทําของนายทะเลมีความผิดหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 423 “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทํามาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่น ก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตน มิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้

ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทําให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทะเลได้เข้าฟังการชุมนุมเลือกตั้งสมาชิกสหกรณ์ของตําบล นายทะเล พบว่านายหิน คู่อริของตนได้ลงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานสหกรณ์ด้วย และพบว่าพรรคพวกของนายหินอีก 6 คน ก็ลงสมัครเลือกตั้งเช่นเดียวกัน นายทะเลไม่พอใจจึงตะโกนขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนที่มาชุมนุมว่า “พวกมันมีเหี้ย 7 ตัว” นั้น แม้คํากล่าวของนายทะเลดังกล่าวจะเป็นการกล่าวกระทบถึงนายหินและพรรคพวก แต่ก็มิใช่การนําความเท็จ หรือข้อความที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับตัวนายหินและพรรคพวกมากล่าว หากแต่เป็นการด่าด้วยความรู้สึกเกลียดชังว่านายหินและพรรคพวกเป็นคนไม่ดี โดยเปรียบเทียบเหมือนสัตว์ซึ่งไม่ใช่เป็นการนําข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงมากล่าว จึงไม่ถือว่านายทะเลได้กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงอันเป็น ความผิดตามมาตรา 423 แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ดี การพูดด้วยถ้อยคําดังกล่าวต่อประชาชนที่มาฟังการชุมนุมนั้น ประชาชนที่ฟัง ย่อมรู้สึกได้ว่านายหินและพรรคพวกเป็นคนไม่ดี ไม่เหมาะสมกับตําแหน่งประธานสหกรณ์หรือสมาชิกสหกรณ์ อันเข้าลักษณะเป็นการกระทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดต่อกฎหมายตามมาตรา 420 ทําให้นายหินและพรรคพวก เสียชื่อเสียงอันเป็นสิทธิอย่างหนึ่ง จึงถือได้ว่านายทะเลได้กระทําละเมิดต่อนายหินและพรรคพวก และจําต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 891/2557)

สรุป

การกระทําของนายทะเลมีความผิดฐานละเมิดตามมาตรา 420 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 423

 

ข้อ 4 นายเทืองและนางขวัญ เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยนายเทืองรับราชการอยู่ในหน่วยงานของรัฐหน่วยงานหนึ่ง วันเกิดเหตุ นายเทืองขับรถยนต์เดินทางไปราชการที่จังหวัดนครสวรรค์

ปรากฏว่าด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายเท่งซึ่งขับรถบรรทุกชนท้ายรถยนต์ ของนายเทือง ทําให้นายเทืองได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 เดือน

ต่อมานายเทืองถึงแก่ความตาย ดังนี้ หากนายเทืองได้เบิกค่ารักษาพยาบาลของนายเทืองก่อนตายจากหน่วยงานที่นายเทืองทํางานอยู่เนื่องจากมีสวัสดิการที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในส่วนนี้ได้ จงวินิจฉัยว่า นางขวัญสามารถเรียกค่ารักษาพยาบาลก่อนตายในกรณีของนายเทืองจากนายเท่ง ได้อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเท่งขับรถบรรทุกด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงชนท้ายรถยนต์ของนายเทือง ทําให้นายเทืองได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 เดือน และ ต่อมานายเทืองถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าความตายของนายเทืองเกิดจากการกระทําละเมิดของนายเท่งตาม มาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต ดังนั้น นายเท่งจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 เช่น ค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะ เป็นต้น

และจากข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่า นายเทืองมิได้ตายในทันที ดังนั้น ค่าสินไหมทดแทนที่นายเท่งจะต้องใช้ให้แก่ทายาทของนายเทืองให้รวมถึงค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้ เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วยตามมาตรา 443 วรรคสอง โดยไม่ต้องคํานึงว่าผู้ตายจะมีสิทธิเบิก ค่ารักษาพยาบาลจากหน่วยงานของตนได้หรือไม่ ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายเทืองได้เบิกค่ารักษาพยาบาลของนายเทืองก่อนตายจากหน่วยงานที่นายเทืองทํางานอยู่เนื่องจากมีสวัสดิการที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล ในส่วนนี้ได้ก็ตาม นางขวัญซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทของนายเทืองผู้ตายสามารถเรียก ค่ารักษาพยาบาลก่อนตายจากนายเท่งได้อีก เพราะถือว่าเป็นสิทธิตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้

สรุป นางขวัญสามารถเรียกค่ารักษาพยาบาลก่อนตายในกรณีของนายเทืองจากนายเท่งได้

LAW2103 (LAW2003)กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2103 (LAW2003)กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายดําหลงรักนางสาวขาวมานาน แต่นางสาวขาวได้คบหากับนายเขียวอยู่แล้วไม่ได้ชื่นชอบนายดํานางสาวขาวจึงพยายามหลบหน้านายดํามาโดยตลอด นายดําพยายามติดตามตื้อให้นางสาวขาวรับความรัก โดยเข้าใจไปเองว่าที่นางสาวขาวไม่รับความรักเนื่องจากนายฟ้าซึ่งเป็นบิดาของนางสาวขาวกีดกันเพื่อให้นางสาวขาวคบหากับนายเขียว วันเกิดเหตุนายดําถืออาวุธปืนติดตัวออกมาเพื่อเจอกับนายฟ้า และนายดําได้พูดขู่เข็ญนายฟ้าว่า “มึงอยากตายหรือ” ทําให้นายฟ้าตกใจกลัวเป็นอย่างมาก แต่นายดําก็มิได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายฟ้าแต่อย่างใด หลังจากนั้นนายดําได้เดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางพบนายเขียวโดยบังเอิญ จึงใช้ปืนยิงนายเขียว นายเขียวกระโดดหลบกระสุน โดยกระสุนปืนของนายดําไม่ถูกนายเขียวแต่อย่างใด แต่ปรากฏว่าขณะกระโดดหลบนั้นศีรษะของ นายเขียวได้กระแทกพื้นจนนายเขียวถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยว่า

(ก) กรณีนายห้านั้น หากต่อมานายฟ้าได้ยื่นฟ้องนายดําว่าได้กระทําละเมิด นายดําต่อสู้ว่า ตนมิได้ใช้ปืนยิงนายฟ้า นายฟ้าจึงมิได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของ นายดําฟังขึ้นหรือไม่ อย่างไร

(ข) กรณีนายเขียวนั้น นายดําต้องรับผิดเพื่อละเมิดในความตายของนายเขียวหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทําอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทําต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลของการกระทํา

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายฟ้าได้ยื่นฟ้องนายดําว่าได้กระทําละเมิด แต่นายดําได้ต่อสู้ว่าตนมิได้ใช้ปืนยิงนายฟ้า นายฟ้าจึงมิได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของนายดําฟังขึ้นหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ความว่า นายดําถืออาวุธปืนติดตัวออกมาเพื่อพบกับนายฟ้า และนายดําได้พูดขู่เข็ญนายฟ้าว่า “มึงอยากตายหรือ” การกระทําของนายดําดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทําโดยจงใจทําให้นายฟ้าเสียหาย ซึ่งเป็นการกระทํา ละเมิดต่อนายฟ้าตามมาตรา 420 แล้ว เพราะแม้ว่านายดําจะมิได้ยิงอาวุธปืนก็ตาม แต่การที่นายดําใช้อาวุธปืน ข่มขู่นายฟ้าเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของนายฟ้าแล้ว เพราะเป็นการทําให้นายฟ้าตกใจกลัวอันเป็นความเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจ ดังนั้น ข้อต่อสู้ของนายดํา ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น (เทียบเคียงคําพิพากษาฎีกาที่ 4571/2556)

(ข) นายดําต้องรับผิดเพื่อละเมิดในความตายของนายเขียวหรือไม่ อย่างไร กรณีนี้เห็นว่า การที่นายดําใช้อาวุธปืนยิงนายเขียว นายเขียวกระโดดหลบกระสุนทําให้กระสุนปืนของนายดําไม่ถูกนายเขียว

แต่ปรากฏว่าขณะกระโดดหลบนั้นศีรษะของนายเขียวได้กระแทกพื้นจนนายเขียวถึงแก่ความตายนั้น ความตายของนายเขียวถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทําโดยจงใจของนายดําที่กระทําต่อนายเขียวโดยผิดกฎหมาย ทําให้นายเขียวเสียหายต่อชีวิต และผลที่เกิดขึ้นคือความตายของนายเขียวนั้นมีความสัมพันธ์กับการกระทําของนายดํา เพราะการที่นายเขียวได้กระโดดหลบกระสุนจนศีรษะกระแทกพื้นถึงแก่ความตายนั้น ก็เป็นการกระทําเพื่อหลีกเลี่ยงภยันตรายเฉพาะหน้าเนื่องจากการที่นายดําใช้อาวุธปืนยิงตน ดังนั้น จึงถือว่านายดําได้กระทําละเมิด ต่อนายเขียวตามมาตรา 420 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความตายของนายเขียว (เทียบเคียง คําพิพากษาฎีกาที่ 895/2509, 1436/2511)

สรุป

(ก) ข้อต่อสู้ของนายดําฟังไม่ขึ้น

(ข) นายดําต้องรับผิดเพื่อละเมิดในความตายของนายเขียว

 

ข้อ 2 ด.ช.ซน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหล่อและนางสวย มีภูมิลําเนาอยู่จังหวัดอุดรธานี นายหล่อและนางสวยได้ส่ง ด.ช.ซนมาเรียนหนังสือที่จังหวัดชัยภูมิ โดยฝากให้พักอาศัยอยู่กับนายซวย ซึ่งเป็นตาของ ด.ช.ซน ด.ช.ซนชอบเล่นปืนของนายซวยเป็นอย่างมากและแอบนําปืนไปยิงต้นไม้เล่นอยู่เป็นประจํา โดยนายซวยเก็บปืนไว้ใต้หมอนในห้องนอน โดยมิได้ถอดแมกกาซีนออกและมิได้ห้ามปรามมิให้ ด.ช.ซนเข้าไป วันหนึ่ง ด.ช.ซนแอบเอาปืนดังกล่าวไปยิงต้นไม้เล่นในทุ่งนา กระสุนปืนพลาดเลยไปถูกนายเฮงซึ่งกําลังเดินอยู่กลางทุ่งนาถึงแก่ความตาย ดังนี้ นายเฮงจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ใดได้บ้าง อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทําละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทําอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จําต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทําลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ด.ช.ซน เอาปืนไปยิงต้นไม้เล่นในทุ่งนา แต่กระสุนพลาดไปถูกนายเฮง ถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของ ด.ช.ซน ถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทําให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทําของ ด.ช.ซน จึงถือว่า ด.ช.ซนได้กระทําละเมิดต่อ นายเฮงตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเฮง แม้ว่า ด.ช.ซนจะเป็นผู้เยาว์อันถือว่า เป็นผู้ไร้ความสามารถก็ตาม (มาตรา 429)

และข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่ ด.ช.ซนทําละเมิดนั้น ด.ช.ซนอยู่ในความดูแลของนายซวยคุณตาของตน นายซวยจึงถือว่าเป็นผู้รับดูแลตามมาตรา 430 และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายซวยได้รู้ว่า ด.ช.ซนหลานของตนชอบเล่นปืนและเอาปืนไปยิงต้นไม้เล่นเป็นประจํา แต่นายซวยได้กระทําเพียงเก็บปืนไว้ ใต้หมอนในห้องนอนโดยมิได้ถอดแมกกาซีนออก และมิได้ห้ามปรามมิให้ ด.ช.ซนเข้าไปเพื่อป้องกันเหตุร้าย อันอาจจะเกิดจากอาวุธปืนนั้นย่อมถือว่านายซวยมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล นายซวยจึงเป็นผู้ที่ขาดความระมัดระวังในการดูแลหลานซึ่งเป็นผู้เยาว์และเป็นผู้ไร้ความสามารถ ดังนั้น นายซวยจึงต้อง ร่วมกันรับผิดกับ ด.ช.ซนตามมาตรา 430 (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 985/2515)

ส่วนกรณีของนายหล่อและนางสวย บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด.ช.ซน แม้จะมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอบรม ดูแลว่ากล่าวสั่งสอนบุตรผู้เยาว์ก็ตาม แต่ในขณะเกิดเหตุนั้น ด.ช.ซนซึ่งเป็นบุตร ได้อยู่ในความดูแลของนายซวยซึ่งเป็นคุณตา นายหล่อและนางสวยมิได้ปกครองดูแลอยู่ ดังนั้น จะถือว่านายหล่อ และนางสวยขาดความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทําอยู่นั้นมิได้ นายหล่อและนางสวยจึงไม่ต้อง ร่วมรับผิดกับ ด.ช.ซนในผลแห่งละเมิดนั้นตามมาตรา 429

สรุป

นายเฮงสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจาก ด.ช.ซนและนายซวยได้ แต่จะเรียกร้องจากนายหล่อและนางสวยไม่ได้

 

ข้อ 3 นางแหวนเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์สีดําชื่อน้องน้ำหวาน ซึ่งมีนิสัยดุร้าย วันเกิดเหตุ นางแหวนได้พาน้องน้ำหวานมาเดินเล่นในสวนสาธารณะโดยมิได้ทําการล่ามโซ่ หรือผูกเชือกไว้แต่อย่างใด น้องน้ำหวานเกิดอาการตื่นคนจึงวิ่งเข้าไปชนนางเพชรจนล้มลงศีรษะกระแทกพื้น เป็นเหตุให้นางเพชรได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสมองฟันเฟือนไม่สามารถประกอบการงานได้อีกต่อไป นางเพชรมีบุตรสาวอยู่ 1 คน ชื่อ ด.ญ.พลอย ซึ่งเกิดมาพิการแต่กําเนิดไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ด.ญ.พลอยจึงขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนางแหวนเจ้าของสุนัข ให้วินิจฉัยว่า นางแหวน จะต้องรับผิดเพื่อละเมิด และต้องใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่ ด.ญ.พลอยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคล ผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 443 วรรคสาม “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องขาดไร้อุปการะ ตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางแหวนเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์สีดําชื่อน้องน้ำหวานซึ่งมีนิสัยดุร้าย ได้พาน้องน้ำหวานมาเดินเล่นในสวนสาธารณะโดยมิได้ทําการล่ามโซ่ หรือผูกเชือกไว้แต่อย่างใด และน้องน้ำหวานเกิดอาการตื่นคนจึงวิ่งเข้าไปชนนางเพชรจนล้มลงศีรษะกระแทกพื้น เป็นเหตุให้นางเพชร ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสมองฟันเฟือนไม่สามารถประกอบการงานได้อีกต่อไปนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่นางเพชรดังกล่าวถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ นางแหวนซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์และมิได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่นางเพชรตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง

ส่วนการเรียกค่าขาดไร้อุปการะนั้น ทายาทของผู้ถูกทําละเมิดจะมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้ อุปการะได้ก็ต่อเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ถูกทําละเมิดจนเสียชีวิตเท่านั้น (ตามมาตรา 443 วรรคสาม) เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางเพชรนั้น เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ร่างกายเท่านั้น มิใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ดังนั้น ด.ญ.พลอยจึงไม่สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนางแหวนได้

สรุป นางแหวนจะต้องรับผิดเพื่อละเมิดต่อนางเพชร แต่ไม่ต้องใช้ค่าขาดไร้อุปการะแก่ด.ญ.พลอย

 

ข้อ 4 นายร้อยและนางพันอยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายสิบ เมื่อนางพันคลอดเด็กชายสิบแล้ว ต่อมาถึงแก่ความตาย นายร้อยได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายสิบตลอดมา นายร้อยยินยอมให้เด็กชายสิบใช้นามสกุล และส่งเสียเด็กชายสิบให้ได้เรียนหนังสือ วันเกิดเหตุ นายเมาขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนายร้อยถึงแก่ความตาย ดังนี้ เด็กชายสิบจะเรียกร้อง ค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะจากนายเมาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาด ประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมาขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนายร้อยถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายเมาถือเป็นการทําละเมิดต่อนายร้อยตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ชีวิต และการกระทําของนายเมาสัมพันธ์กับผลของการกระทํา คือความตายของนายร้อย ดังนั้น นายเมาจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อมาคือ เด็กชายสิบจะเรียกร้องค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะจากนายเมาได้หรือไม่

1 กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพ จากผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 จากข้อเท็จจริง การที่นายร้อยและนางพันอยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายสิบนั้น ถือว่าเด็กชายสิบเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายร้อย แต่เมื่อนายร้อยยินยอมให้ เด็กชายสิบใช้นามสกุลและส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือ ย่อมถือว่าเด็กชายสิบเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤตินัยแล้ว จึงส่งผลให้เด็กชายสิบเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทของนายร้อยผู้ตายตาม ป.พ.พ.มาตรา 1627 และมาตรา 1629 (1) ดังนั้น เมื่อนายเมาได้ทําละเมิดจนทําให้นายร้อยถึงแก่ความตาย เด็กชายสิบจึงเรียกร้อง ค่าปลงศพจากนายเมาได้ตามมาตรา 443 วรรคหนึ่ง

2 กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เท่านั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายร้อยมิได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายสิบผู้เยาว์ นายร้อยจึงไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายสิบซึ่งเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เด็กชายสิบจึงไม่มีสิทธิเรียกร้อง ค่าขาดไร้อุปการะจากนายเมาตามมาตรา 443 วรรคท้าย

สรุป เด็กชายสิบเรียกร้องค่าปลงศพจากนายเมาได้ แต่จะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากนายเมาไม่ได้

LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2103 (LAW2003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นางบุญปิดป้ายประกาศหน้าบ้านว่า “ห้ามจอดรถขวางทางเข้าบ้าน” วันเกิดเหตุนางศรีขับรถมาจอด บนถนนสาธารณะแต่ขวางทางเข้าบ้านของนางบุญ และล็อคเกียร์ไว้ทําให้ไม่สามารถเคลื่อนรถออกจากที่ได้ นางบุญจึงบีบแตรเสียงดังเป็นเวลาสิบนาทีติดต่อกัน ทําให้นายแสงซึ่งกําลังนอนหลับอยู่บริเวณ ข้างบ้านของนางบุญต้องตื่นและเกิดความไม่พอใจ จึงลุกขึ้นเดินไปบอกนางบุญว่า “จะบีบแตรทําไม หนวกหูน่ารําคาญ เอาขวานนี้ไปจามรถมันเลย” นางบุญกําลังโมโหอยู่ จึงนําขวานนั้นไปจามที่รถของนางศรี ทําให้รถของนางศรีได้รับความเสียหาย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าใครทําละเมิดต่อใครบ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 421 “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทําละเมิด ท่านว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณี ที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจําพวกที่ทําละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทําละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทําละเมิดร่วมกันด้วย

ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น”

มาตรา 449 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดเมื่อกระทําการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทําตามคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ ค่าสินไหมทดแทนไม่”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 421 เป็นบทบัญญัติว่าด้วย “การใช้สิทธิเกินส่วน” คือเป็นการใช้สิทธิเกินไปกว่า สิทธิที่ตนมีอยู่ ซึ่งหมายถึง การกระทําที่บุคคลผู้กระทํามีสิทธิที่จะกระทําได้ตามกฎหมาย แต่ได้ใช้สิทธินั้นเกิน ส่วนที่ตนมีไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิโดยจงใจแกล้งผู้อื่น การใช้สิทธิเกินส่วนโดยไม่สุจริต หรือการใช้สิทธิโดยก่อให้เกิด ความรําคาญแก่ผู้อื่น ย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นก็จะต้องรับผิด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางศรีใช้สิทธิจอดรถบนถนนสาธารณะแต่ขวางทางเข้าบ้านของนางบุญ และล็อคเกียร์ไว้ทําให้ไม่สามารถเคลื่อนรถออกจากที่ได้นั้น ย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นซึ่งเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 421 แล้ว เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

เนื่องจากรู้อยู่ว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จึงถือว่าเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน และเข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ว่าเป็นผู้ผิดละเมิด จึงต้องรับผิดต่อนางบุญ

การที่นางบุญใช้ขวานจามไปที่รถของนางศรีนั้น ถือว่าเป็นการกระทําโดยจงใจเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของนางศรี จึงเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา 420 และนางบุญจะอ้างว่าเป็น การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 449 วรรคหนึ่งไม่ได้ เพราะเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะ และได้กระทําไปเกินสมควรแก่เหตุ

ส่วนนายแสงซึ่งได้บอกกับนางบุญว่า “จะบีบแตรทําไม หนวกหูน่ารําคาญ เอาขวานนี้ไปจามรถมันเลย” ทําให้นางบุญซึ่งกําลังโมโหอยู่ จึงนําขวานไปตามที่รถของนางศรีนั้น ถือว่านายแสงเป็นผู้ยุยงให้นางบุญ กระทําละเมิดต่อนางศรีตามมาตรา 432 วรรคสอง จึงต้องร่วมกันรับผิดกับนางศรีตามมาตรา 432 วรรคหนึ่ง

สรุป นางศรีได้กระทําละเมิดต่อนางบุญตามมาตรา 421 ประกอบมาตรา 420 นางบุญได้กระทําละเมิดต่อนางศรีตามมาตรา 420 นายแสงได้กระทําละเมิดร่วมกับนางบุญต่อนางศรีตามมาตรา 432

 

ข้อ 2 จากเหตุการณ์ในข้อ 1 หากปรากฏว่านางบุญนํารถออกจากบ้านไม่ได้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถพา นายหยก (อายุ 15 ปี) ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตนที่กําลังป่วยหนักอยู่นั้นไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลได้ทันเวลา และในเวลานั้นก็ไม่สามารถหารถรับจ้างไปส่งได้ นายหยกจึงได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านางบุญจะเรียกร้องค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพของนายหยกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายอันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย”

มาตรา 1598/29 “การรับบุตรบุญธรรมไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะ ทายาทโดยธรรมเพราะเหตุการรับบุตรบุญธรรมนั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับ การปลงศพนั้น จะต้องเป็นทายาทของผู้ตายและเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 จากเหตุการณ์ในข้อ 1 แม้การกระทําของนางศรีจะเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน และการกระทําดังกล่าวเป็นเหตุให้นายหยกซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของนางบุญถึงแก่ความตายเพราะไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลไม่ทันนั้น นางบุญซึ่งเป็นผู้รับบุตรธรรมก็จะเรียกร้องค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพของ นายหยกจากนางศรีไม่ได้ เพราะนางบุญมิใช่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย (มาตรา 1598/29)

สรุป นางบุญจะเรียกร้องค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพของนายหยกไม่ได้

 

ข้อ 3 นายหมื่นได้จดทะเบียนรับ ด.ญ.จันทร์ไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย วันเกิดเหตุ นายหมื่นถูกนายเถื่อน อายุ 17 ปี ยิงเข้าที่กลางอกจนถึงแก่ความตาย นายเถื่อนเป็นบุตรนอกสมรสของนายโหด นายโหดก็ทราบว่าบุตรชายของตนมีนิสัยชอบทะเลาะวิวาทอยู่เป็นประจําแต่ก็ไม่เคย ว่ากล่าวตักเตือนหรือห้ามปราม ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าใครต้องรับผิดต่อความตายของนายหมื่นบ้าง และ ด.ญ.จันทร์สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทําละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทําอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จําต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทําลงในระหว่างที่อยู่ ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเถื่อนอายุ 17 ปี ใช้ปืนยิงนายหมื่นถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายเถื่อนถือเป็นการทําละเมิดต่อนายหมื่นตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดย ผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายต่อชีวิต ดังนั้น นายเถื่อนจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน

สําหรับนายโหดนั้น แม้นายโหดจะเป็นบิดานอกกฎหมายของนายเถื่อนซึ่งเป็นผู้เยาว์ จะไม่ต้องรับผิดร่วมกับนายเถื่อนตามมาตรา 429 ก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามถือว่านายโหดเป็นผู้ดูแลนายเถื่อนตามความเป็นจริง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายโหดมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเนื่องจากนายโหดทราบอยู่แล้วว่าบุตรชายของตนมีนิสัยชอบทะเลาะวิวาทอยู่เป็นประจํา แต่ก็ไม่เคยว่ากล่าวตักเตือนหรือห้ามปรามนายเถื่อนเลย

ดังนั้น นายโหดจึงต้องร่วมกันรับผิดกับนายเถื่อนในผลแห่งละเมิดที่นายเถื่อนได้กระทําลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตนตามมาตรา 430

ส่วนการเรียกค่าขาดไร้อุปการะนั้น ตามมาตรา 443 วรรคท้ายได้กําหนดไว้ว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว ซึ่งในกรณีของ ด.ญ.จันทร์นั้น เมื่อนายหมื่นได้จดทะเบียนรับ ด.ญ.จันทร์ไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย

และตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/28 วรรคท้าย ได้บัญญัติให้นําบทบัญญัติในลักษณะ 2 หมวด 2 แห่งบรรพ 5 มาใช้บังคับระหว่างบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย กล่าวคือ ผู้รับบุตรบุญธรรมย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู บุตรบุญธรรมตามมาตรา 1564 ประกอบมาตรา 1598/28 วรรคท้าย ดังนั้น เมื่อนายหมื่นถูกกระทําละเมิด ถึงแก่ความตาย ด.ญ.จันทร์ ย่อมขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย ด.ญ.จันทร์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะได้ตามมาตรา 443 วรรคท้าย

สรุป นายเถื่อนและนายโหดต้องร่วมกันรับผิดต่อความตายของนายหมื่น และ ด.ญ.จันทร์สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้

 

ข้อ 4 นายปรีชาและนางเพ้อฝันเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกันสองคนคือนางสาวแจง อายุ 21 ปี และนายเท่ง อายุ 18 ปี แต่นางสาวแจงนั้นพิการทางสมองมาตั้งแต่เกิดไม่สามารถดูแลตนเองได้ ต่อมานายปรีชาและนางเพ้อฝันหย่าขาดจากกัน นายเจริญสงสารจึงได้จดทะเบียนรับ นางสาวแจงไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย วันเกิดเหตุนายเอี่ยมได้ขับรถบรรทุก ไปส่งของที่จังหวัดนครสวรรค์ แต่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทําให้นายเอี่ยมขับรถไปชนนายปรีชา และนายเจริญที่เดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกันถึงแก่ความตาย และรถบรรทุกยังได้เสียหลักไปชน บริเวณที่นายแหลมผูกวัวซึ่งเช่ามาจากนางบ้าบิ่น ทําให้เชือกที่ผูกวัวเอาไว้ขาด วัววิ่งหนีเตลิดเข้าไปในไร่ข้าวโพดของนางบ้าบิ่นจนข้าวโพดในไร่ล้มเสียหาย นางบ้าบิ่นจึงได้จับวัวดังกล่าวไว้เพื่อยึดไว้เป็นประกันในการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายแหลมในความเสียหายที่เกิดขึ้น จงวินิจฉัยว่า

(1) ใครบ้างที่เป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะจากนายเอี่ยม

(2) นายแหลมต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางบ้าบิ่นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้น ทําละเมิดจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 452 วรรคหนึ่ง “ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ามาทําความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทน อันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้ และถ้าจําเป็นโดยพฤติการณ์ แม้จะฆ่าสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทําได้”

วินิจฉัย

1 กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอี่ยมได้ขับรถบรรทุกด้วยความประมาทเลินเล่อชนนายปรีชา และนายเจริญถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายเอี่ยมเป็นการทําละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทํา โดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขาเสียหายแก่ชีวิต และการกระทําของนายเอี่ยมสัมพันธ์กับผลของการกระทํา คือความตายของนายปรีชาและนายเจริญ นายเอี่ยมจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

สําหรับประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ ใครบ้างที่เป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายเอี่ยมนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจาก ผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629

กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เท่านั้น ได้แก่ สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งผู้รับบุตรบุญธรรม และบุตรบุญธรรมด้วย แต่ในกรณีของบุตรนั้นจะต้องเป็นบุตรผู้เยาว์ หรือบุตรที่ทุพพลภาพ หาเลี้ยงตนเองไม่ได้เท่านั้น

(1) ในกรณีความตายของนายปรีชา ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพ คือนางสาวแจงและนายเท่งซึ่งเป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 (1) ส่วนผู้มีสิทธิเรียก ค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะคือนางสาวแจงซึ่งเป็นบุตรที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ และนายเท่งซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์

(2) ในกรณีความตายของนายเจริญ ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพ คือนางสาวแจงซึ่งเป็นทายาทและมีสิทธิรับมรดกของนายเจริญตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627

ส่วนผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะคือนางสาวแจงซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้

2 การที่รถบรรทุกที่นายเอี่ยมขับได้เสียหลักไปชนบริเวณที่นายแหลมผูกวัวซึ่งเช่ามาจาก นางบ้าบิน ทําให้เชือกที่ผูกวัวเอาไว้ขาด และวัวได้วิ่งเข้าไปในไร่ข้าวโพดของนางบ้าบิ่นจนข้าวโพดในไร่ล้มเสียหายและนางบ้าบินได้จับวัวไว้เพื่อยึดไว้เป็นประกันในการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายแหลมในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น นายแหลมไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางบ้าบิ่น เนื่องจากไม่ต้องด้วยมาตรา 452 วรรคหนึ่ง เพราะวัวซึ่งเป็นสัตว์ที่เข้ามาทําความเสียหายแก่ไร่ข้าวโพดของนางบ้าบินนั้นไม่ใช่สัตว์ของผู้อื่นแต่เป็นสัตว์ของนางบ้าบิ่นเอง อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากการทําละเมิดของนายแหลมแต่อย่างใด

สรุป

1 ผู้มีสิทธิเรียกค่าปลงศพจากนายเอี่ยม ในกรณีความตายของนายปรีชาคือนางสาวแจง และนายเก่ง ส่วนในกรณีความตายของนายเจริญคือนางสาวแจง

ผู้มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายเอี่ยม ในกรณีความตายของนายปรีชาคือ นางสาวแจงและนายเท่ง ส่วนในกรณีความตายของนายเจริญคือนางสาวแจง

2 นายแหลมไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางบ้าบิ่น

LAW2102 (LAW2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2102 (LAW 2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 จันทร์เป็นลูกหนี้ตามสัญญาเช่า อังคารเป็นเจ้าหนี้ สัญญาเช่ากําหนดให้จันทร์ชําระค่าเช่าจํานวน เงินสองหมื่นบาทให้แก่อังคารในวันที่ 30 มกราคม 2564 โดยชําระที่บ้านของอังคาร เมื่อถึงกําหนดวันที่ 30 มกราคม 2564 ปรากฏว่าจันทร์ได้ชําระหนี้ให้แก่อังคารจํานวนสองหมื่นบาทด้วยเงินสด แต่อังคารปฏิเสธไม่ยอมรับโดยอ้างว่าไม่สะดวกจะรับ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าอังคารตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชําระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุ อันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 208 วรรคหนึ่ง “การชําระหนี้จะให้สําเร็จเป็นผลอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการ ชําระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 207 กรณีที่จะถือว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ2 ประการ คือ

1 ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบแล้ว และ

2 เจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เป็นลูกหนี้ตามสัญญาเช่า และอังคารเป็นเจ้าหนี้ โดยสัญญาเช่า กําหนดให้จันทร์ชําระค่าเช่าเป็นเงินจํานวน 20,000 บาท ให้แก่อังคารในวันที่ 30 มกราคม 2564 โดยชําระที่บ้านของอังคารนั้น เมื่อถึงกําหนดวันที่ 30 มกราคม 2564 ปรากฏว่าจันทร์ได้ชําระหนี้ให้แก่อังคารจํานวน 20,000 บาท ด้วยเงินสด ย่อมถือว่าจันทร์ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบตามมาตรา 208 วรรคหนึ่งแล้ว การที่อังคารปฏิเสธไม่ยอมรับโดยอ้างว่าไม่สะดวกจะรับนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ อังคารเจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคหนึ่ง

สรุป อังคารเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2 จันทร์เช่าปั๊มน้ำมันของอังคารมาดําเนินกิจการ พุธทําละเมิดให้หลังคาปั๊มน้ำมันเสียหาย จันทร์ ได้ใช้ค่าซ่อมแซมจํานวนเงินสองแสนบาทให้แก่อังคารแล้ว ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าจันทร์จะเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียจํานวนสองแสนบาทนั้นให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้ มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่ง เป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆ ด้วยอํานาจกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บัญญัติความหมายของการรับช่วงสิทธิไว้ แต่เมื่อพิจารณาจาก บทบัญญัติมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 227 แล้ว อาจให้ความหมายของการรับช่วงสิทธิได้ว่า หมายถึงการที่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่เจ้าหนี้เดิมในมูลหนี้และมีส่วนได้เสียอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าชําระหนี้ให้แก่ เจ้าหนี้มีผลทําให้บุคคลภายนอกดังกล่าวได้รับสิทธิหรือเข้าสวมสิทธิของเจ้าหนี้เดิมที่มีอยู่ด้วยอํานาจแห่งกฎหมาย และเมื่อเข้ารับช่วงสิทธิแล้วก็ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายของเจ้าหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ดังนั้น การรับช่วงสิทธิจึงมิได้ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 2766/2551)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เช่าปั๊มน้ำมันของอังคารมาดําเนินกิจการ จันทร์ย่อมเป็นเพียงผู้เช่าธรรมดา ไม่มีหน้าที่ใดที่จะต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่า ในกรณีที่พุธได้ทําละเมิดให้หลังคาปั๊มน้ำมันเสียหาย ดังนั้น แม้จันทร์จะได้ใช้ค่าซ่อมแซมจํานวน 200,000 บาท ให้แก่อังคารแล้ว จันทร์ก็ไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้ที่จะเข้ารับช่วง สิทธิของอังคารเจ้าของปั๊มน้ำมันที่จะไปเรียกร้องให้พุธรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 227 นั้น จะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ซึ่งในกรณีนี้คืออังคารเจ้าของปั๊มน้ำมัน

สรุป จันทร์ไม่อยู่ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิ จึงไม่สามารถเรียกร้องให้พุธผู้ทําละเมิดรับผิดชดใช้ค่า สินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวน 200,000 บาท ให้แก่ตนได้

 

ข้อ 3 ต้นเป็นหนี้เอกหนึ่งล้านบาท ทรัพย์สินของต้นมีไม่พอชําระหนี้ ต่อมาต้นได้รับมรดกที่ดินมา 10 ไร่ ต้นกลับยกที่ดินดังกล่าวให้กลางและปลาย ซึ่งเป็นน้องของตนโดยเสน่หา กลางและปลายแยกส่วน ของตนได้คนละ 5 ไร่ กลางนําส่วนของตนไปจํานองไก่ ไก่รับจํานองไว้โดยสุจริต ส่วนของปลาย นําเอาไปขายให้ไข่ ไข่รับซื้อไว้โดยรู้ว่ามีหนี้ผูกพันกันอยู่ เอกจะบังคับชําระหนี้เอากับต้นลูกหนี้ ได้อย่างไรบ้าง ยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทําลง ทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทํานิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทําให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

มาตรา 238 “การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของ บุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่ง ความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านห้ามมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา”

มาตรา 239 “การเพิกถอนนั้นย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ต้นเป็นหนี้เอก 1 ล้านบาท และทรัพย์สินของต้นมีไม่พอชําระหนี้ ต่อมา ต้นได้รับมรดกเป็นที่ดินมา 10 ไร่ ต้นกลับยกที่ดินดังกล่าวให้แก่กลางและปลายซึ่งเป็นน้องของตนโดยเสน่หา โดยกลางและปลายแยกส่วนของตนได้คนละ 5 ไร่นั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ต้นลูกหนี้ได้ทํานิติกรรมอันมีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน และทําให้เจ้าหนี้คือเอกเสียเปรียบเนื่องจากต้นไม่มีทรัพย์สินใด ๆ แล้ว อีกทั้งเป็นนิติกรรมการให้ โดยเสน่หา ดังนั้น เอกเจ้าหนี้ชอบที่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 แต่เอกจะต้องฟ้องต้นลูกหนี้รวมทั้งกลางและปลายผู้ได้ลาภงอกเป็นจําเลยร่วมกันด้วย และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ได้ลาภงอกได้ทํานิติกรรมหรือโอนทรัพย์ไปยังบุคคลภายนอกด้วย ซึ่งกรณีนี้คือไก่และไข่ ดังนั้น เอกจึงต้องฟ้องไก่และไข่เข้ามาเป็นจําเลยร่วมด้วยตามมาตรา 238

แต่อย่างไรก็ตาม แม้เอกจะมีสิทธิฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ได้ก็ตาม แต่การเพิกถอน ดังกล่าวจะไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของไก่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับจํานองที่ดินจากกลางโดยสุจริตก่อนฟ้องคดีขอเพิกถอนตามมาตรา 238 ดังนั้น เมื่อมีการเพิกถอนย่อมมีผลทําให้ที่ดินกลับมาเป็นของต้นโดยติดภาระจํานองมาด้วย ส่วนการที่ปลายนําที่ดินไปขายต่อให้ไข่ และไข่ซื้อไว้โดยรู้ว่ามีหนี้ผูกพันอยู่ จึงถือว่าไข่ได้รับทรัพย์สินมา โดยไม่สุจริต เมื่อมีการเพิกถอนทําให้ที่ดินกลับมาเป็นของต้น ทําให้เอกเจ้าหนี้สามารถขอบังคับชําระหนี้เอากับที่ดินของต้นต่อไปได้ตามมาตรา 239

สรุป เอกจะบังคับชําระหนี้เอากับต้นได้โดยการฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉล (นิติกรรมการให้) เพื่อให้ทรัพย์สิน (ที่ดิน) กลับมาเป็นของต้นลูกหนี้ และขอบังคับชําระหนี้เอากับที่ดินดังกล่าวต่อไป

 

ข้อ 4 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 นายหล่อและนางสวยได้ร่วมกันทําสัญญาซื้อรถยนต์มือสองจากเต็นท์รถยนต์ของนายเม้งในราคา 300,000 บาท โดยนายหล่อและนางสวยได้ตกลงเลือกรถยนต์ ฮอนด้าซีวิค สีดํา รุ่นปี 2018 เลขทะเบียน กก 2244 จากรถยนต์มือสองสภาพดีกว่า 500 คัน ตกลง ส่งมอบรถยนต์วันที่ 7 มกราคม 2565 ตามฤกษ์ที่หมอดูชื่อดังแนะนํา โดยไม่ได้มีการกําหนดสถานที่ส่งมอบไว้แต่อย่างใด พร้อมกับที่นายหล่อและนางสวยจะได้ชําระราคารถยนต์ทั้งหมดให้กับนายเม้งในการซื้อรถยนต์ดังกล่าวนั้นนายหล่อและนางสวยได้ทําข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่านางสวยไม่ต้อง รับผิดแต่อย่างใดเลยในหนี้จํานวนนี้ เมื่อถึงกําหนดนัด นายเม้งได้แจ้งให้นางสวยมารับรถยนต์ คันดังกล่าวที่เต็นท์รถยนต์ของนายเม้งพร้อมชําระราคาค่ารถยนต์ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตน นางสวยปฏิเสธอ้างว่านายเม้งจะต้องนํารถยนต์คันดังกล่าวมาส่งมอบให้แก่ตนและนายหล่อที่บ้านซึ่งเป็นภูมิลําเนาปัจจุบันตามที่อยู่ซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญา อีกทั้งนางสวยไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ในหนี้ค่ารถยนต์จํานวน 300,000 บาท เนื่องจากได้ทําข้อตกลงไว้กับนายหล่อตั้งแต่ต้นว่านางสวย ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใดเลยในหนี้จํานวนนี้ นายเม้งจึงต้องทวงถามค่ารถยนต์ค้างชําระจากนายหล่อ เท่านั้น ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก) นายเม้งจะต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายหล่อและนางสวย ณ สถานที่ใด

(ข) นายเม้งมีสิทธิเรียกร้องให้นางสวยเพียงคนเดียวชําระหนี้ค่ารถยนต์ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตนได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทําการชําระหนี้โดยทํานองซึ่งแต่ละคนจําต้องชําระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชําระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชําระเสร็จสิ้นเชิง”

มาตรา 324 “เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชําระหนี้ ณ สถานที่ใดไซร้ หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ท่านว่าต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น ส่วนการชําระหนี้โดยประการอื่น ท่านว่าต้องชําระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลําเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหล่อและนางสวยได้ร่วมกันทําสัญญาซื้อรถยนต์มือสองจาก เต็นท์รถยนต์ของนายเม้งในราคา 300,000 บาท โดยตกลงส่งมอบรถยนต์กันในวันที่ 7 มกราคม 2565 โดยไม่ได้ มีการกําหนดสถานที่ส่งมอบไว้แต่อย่างใดนั้น เมื่อนายเม้งผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ให้กับนายหล่อและนางสวยผู้ซื้อ นายเม้งจึงต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายหล่อและนางสวย ณ เต็นท์รถยนต์ของ นายเม้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาที่ก่อให้เกิดหนี้นั้น ตามมาตรา 324

(ข) เมื่อนายหล่อและนางสวยได้ร่วมกันทําสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากนายเม้ง นายหล่อ และนางสวยจึงตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมโดยต้องร่วมกันรับผิดในค่ารถยนต์จํานวน 300,000 บาท โดยนายเม้งเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้นายหล่อและนางสวยลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งรับผิดชําระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือโดยส่วนก็ได้ ตามแต่ละเลือกตามมาตรา 291 และแม้ว่านายหล่อและนางสวยลูกหนี้ร่วมจะได้ทําข้อตกลงระหว่างกันเองว่า นางสวยจะไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด ๆ เลยในหนี้จํานวนนี้ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นต่อสู้กับเจ้าหนี้ได้ ดังนั้น นายเม้งเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกให้นางสวยเพียงคนเดียวชําระหนี้ค่ารถยนต์ ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตนได้

สรุป

(ก) นายเม้งจะต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายหล่อและนางสวย ณ เต็นท์รถยนต์ของนายเม้ง

(ข) นายเม้งมีสิทธิเรียกให้นางสวยเพียงคนเดียวชําระหนี้ค่ารถยนต์ทั้งหมดจํานวน 300,000 บาท ให้แก่ตนได้

LAW2102 (LAW2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2102 (LAW2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 นายกิตติทําสัญญาจ้างนายธรรม ซึ่งมีอาชีพทนายความ เพื่อฟ้อง นายพฤกษ์ให้ชําระหนี้จํานวน 500,000 บาท แก่นายกิตติ โดยตกลงว่าจะชําระค่าจ้างทั้งหมด จํานวน 50,000 บาท ในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคําพิพากษา ต่อมานายธรรมก็ดําเนินการฟ้องคดีและสืบพยานจนคดีเสร็จการพิจารณาและศาลชั้นต้นนัดฟังคําพิพากษาในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 เมื่อถึงวันนัดฟังคําพิพากษา นายธรรมไปฟังคําพิพากษา ส่วนนายกิตติไม่ไป ปรากฏว่าศาลชั้นต้น มีคําพิพากษาให้นายกิตติชนะคดี หลังจากนั้นในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 นายธรรมได้แจ้งผลคดีให้ นายกิตติทราบและขอให้ชําระค่าจ้าง แต่นายกิตติก็ไม่ยอมชําระเงิน ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายกิตติ ต้องรับผิดชําระค่าจ้างและต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดแก่นายธรรมหรือไม่ นับตั้งแต่เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชําระหนี้นั้นมิได้กําหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวง ก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชําระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชําระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน ถ้าได้กําหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชําระหนี้ ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชําระหนี้ก่อนกําหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกําหนดชําระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คําเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชําระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กําหนดเวลาชําระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชําระหนี้ตามกําหนดไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

ก่อนการชําระหนี้ ซึ่งได้กําหนดเวลาลงไว้อาจคํานวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกิตติทําสัญญาจ้างนายธรรม ซึ่งมีอาชีพทนายความ เพื่อฟ้องนายพฤกษ์ ให้ชําระหนี้จํานวน 500,000 บาท แก่นายกิตติ โดยตกลงว่าจะชําระค่าจ้างทั้งหมดจํานวน 50,000 บาท ในวันที่ ศาลชั้นต้นอ่านคําพิพากษานั้น ข้อตกลงที่กําหนดว่าจะชําระค่าจ้างในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคําพิพากษานั้น ถือเป็น หนี้ที่มีกําหนดเวลาชําระแต่มิใช่กําหนดเวลาชําระตามวันแห่งปฏิทินที่คู่สัญญาจะรู้ได้เลยในขณะตกลงกันว่าหมายถึงวันใดตามวันแห่งปฏิทิน ดังนั้น นายกิตติจะตกเป็นผู้ผิดนัดก็ต่อเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ และนายธรรม เจ้าหนี้ได้ให้คําเตือนแล้ว

ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นได้อ่านคําพิพากษาให้นายกิตติชนะคดีในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 และนายธรรม ได้แจ้งผลคดีให้นายกิตติทราบ และขอให้ชําระค่าจ้างในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 แต่นายกิตติไม่ยอมชําระเงิน กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าหนี้ดังกล่าวได้ถึงกําหนดชําระแล้ว และเจ้าหนี้ได้เตือนให้ลูกหนี้ชําระหนี้แล้ว ดังนั้น เมื่อ นายกิตติลูกหนี้ไม่ชําระหนี้ จึงถือว่านายกิตติตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะเข้าเตือนแล้ว ตามมาตรา 203 วรรคสอง ประกอบมาตรา 204 วรรคหนึ่ง นายกิตติจึงต้องรับผิดชําระค่าจ้าง และต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดแก่นายธรรม ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

สรุป นายกิตติต้องรับผิดชําระค่าจ้าง และต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดแก่นายธรรมตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

 

ข้อ 2 นายทะเลได้ยืมรถยนต์ของนายรวยเพื่อขับไปทํางานเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน หลังจากยืมได้เพียง หนึ่งสัปดาห์ นายมึนได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทพุ่งเข้าชนรถยนต์คันที่นายทะเลยืมมา เป็นเหตุให้กระโปรงท้ายและไฟท้ายของรถยนต์เสียหาย นายทะเลรีบนํารถยนต์คันดังกล่าวไปซ่อมให้เรียบร้อยก่อนจะส่งคืนให้แก่นายรวยตามสัญญา เสียค่าซ่อมไปจํานวน 30,000 บาท ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายทะเลจะสามารถเรียกเงินค่าซ่อมคืนจากนายมึนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้ มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆ ด้วยอํานาจกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บัญญัติความหมายของการรับช่วงสิทธิไว้ แต่เมื่อพิจารณาจาก บทบัญญัติมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 227 แล้ว อาจให้ความหมายของการรับช่วงสิทธิได้ว่า หมายถึง การที่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่เจ้าหนี้เดิมในมูลหนี้และมีส่วนได้เสียอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าชําระหนี้ให้แก่ เจ้าหนี้ มีผลทําให้บุคคลภายนอกดังกล่าวได้รับสิทธิหรือเข้าสวมสิทธิของเจ้าหนี้เดิมที่มีอยู่ด้วยอํานาจแห่งกฎหมาย และเมื่อเข้ารับช่วงสิทธิแล้วก็ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายของเจ้าหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

ดังนั้น การรับช่วงสิทธิจึงมีได้ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ (ฎีกาที่ 2766/2551)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทะเลได้ยืมรถยนต์ของนายรวยเพื่อขับไปทํางานเป็นระยะเวลา หนึ่งเดือนนั้น การยืมรถยนต์ดังกล่าวเป็นการยืมใช้คงรูป ซึ่งผู้ยืมจะต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมก็ต่อเมื่อผู้ยืมได้เอาทรัพย์ ที่ยืมไปใช้ในการอย่างอื่นนอกจากการเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไป ให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ (ป.พ.พ. มาตรา 643) แต่ตามข้อเท็จจริง นายทะเล ซึ่งเป็นเพียงผู้ยืมรถคันที่ถูกชน ไม่ได้เป็นเจ้าของรถและไม่ปรากฏเหตุใด ๆ ที่นายทะเลผู้ยืมจะต้องรับผิด นายทะเล ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายรวย ดังนั้น แม้ว่านายทะเลจะได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปซ่อมและเสียค่าซ่อม ไปจํานวน 30,000 บาท นายทะเลก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของรถที่จะไปเรียกร้องให้นายมึน รับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 227 นั้น จะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิ มีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ซึ่งในกรณีนี้คือ นายรวยเจ้าของรถ

สรุป นายทะเลไม่อยู่ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิ จึงไม่สามารถเรียกเงินค่าซ่อมคืนจากนายมึนได้

 

ข้อ 3 นายมั่งมีให้นายหินและนายปูนกู้ยืมเงินไปจํานวน 200,000 บาท เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายหินได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวให้แก่นายซ่าในราคา 500,000 บาท ซึ่งนายซ่ารู้อยู่แล้วว่านายหินเป็นหนี้นายมั่งมี ต่อมานายมั่งมีทราบเรื่องจึงต้องการ ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว แต่นายหินต่อสู้ว่านายปูนซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมอีก คนหนึ่งมีทรัพย์สินเพียงพอชําระหนี้ให้แก่นายมั่งมี เนื่องจากนายปูนมีเงินสดจํานวน 300,000 บาท และมีบ้านพร้อมที่ดินรวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท นายมั่งมีจึงไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายมั่งมีจะสามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทําลง ทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทํานิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทําให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทําการชําระหนี้โดยทํานองซึ่งแต่ละคนจําต้องชําระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชําระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้ จะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชําระเสร็จสิ้นเชิง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมั่งมีให้นายหินและนายปูนกู้ยืมเงินไปจํานวน 200,000 บาทนั้น ย่อมถือว่านายหินและนายปูนตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมของนายมั่งมี และนายมั่งมีเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิบังคับชําระ หนี้เอาจากลูกหนี้คนใดคนหนึ่งโดยสิ้นเชิงได้ ตามมาตรา 291

การที่นายหินลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวให้แก่นายซ่าในราคา 500,000 บาท ซึ่งนายซ่ารู้อยู่แล้วว่านายหินเป็นหนี้นายมั่งมี การกระทําของนายหินจึงถือ เป็นการทํานิติกรรมที่นายหินลูกหนี้ได้กระทําลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงเป็นนิติกรรมอันเป็น การฉ้อฉลเจ้าหนี้ตามมาตรา 237 ดังนั้น นายมั่งมีเจ้าหนี้จึงสามารถฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างนายหิน กับนายซ่าได้ นายหินจะต่อสู้ว่านายปูนลูกหนี้ร่วมอีกคนมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชําระหนี้ให้แก่นายมั่งมีหาได้ไม่

สรุป นายมั่งมีสามารถฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวได้ ตามมาตรา 237 ประกอบมาตรา 291

 

ข้อ 4 ในวันที่ 1 มกราคม 2564 นายโชคซึ่งเป็นเจ้าของสวนสัตว์ ได้ตกลงซื้อขายช้างที่เป็นกรรมสิทธิ์ ร่วมกันของนายเมฆและนายหมอก ซึ่งทั้งสองฝ่ายทําถูกต้องตามแบบของกฎหมายทุกประการ โดยมิได้กําหนดเวลาส่งมอบกันไว้ ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2564 นายโชคได้ทําการทวงถามให้นายเมฆส่งมอบช้างตัวดังกล่าวให้แก่ตน แต่นายเมฆเพิกเฉย ไม่ยอมส่งมอบช้างให้แก่นายโชค โดยนายหมอกไม่ทราบเรื่องการทวงถามดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายเมฆและนายหมอกตกเป็นลูกหนี้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 295 “ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่อง ท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั่นเอง

ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คําบอกกล่าวการผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชําระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กําหนดอายุความหรือการที่อายุความ สะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน”

มาตรา 301 “ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชําระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโชคซึ่งเป็นเจ้าของสวนสัตว์ได้ตกลงซื้อขายช้างที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ของนายเมฆและนายหมอกนั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชําระมิได้ เนื่องจากช้างดังกล่าว เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ ซึ่งตามมาตรา 301 ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ดังนั้น นายเมฆและนายหมอกจึงต้องร่วมกันรับผิดในการส่งมอบช้างให้แก่นายโชค และเมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่มิได้มีกําหนดเวลาส่งมอบกันไว้ การที่นายโชคได้ทวงถามให้นายเมฆส่งมอบช้างตัวดังกล่าวให้แก่ตน แต่นายเมฆเพิกเฉยไม่ยอมส่งมอบช้างให้แก่นายโชค ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ได้ทําการเตือนให้นายเมฆลูกหนี้ร่วมคนหนึ่ง ชําระหนี้ เมื่อนายเมฆไม่ชําระหนี้ จึงถือว่านายเมฆลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด (ตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 204 วรรคหนึ่ง)

และโดยหลักแล้ว การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งตกเป็นผู้ผิดนัดย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปเพื่อคุณและโทษ แต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ไม่สามารถจะแบ่งกันชําระได้ จึงเป็นการขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง ดังนั้น การที่นายเมฆลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งตกเป็นผู้ผิดนัด จึงส่งผลถึง ลูกหนี้ร่วมคนอื่นคือนายหมอกด้วย กล่าวคือ ให้ถือว่านายหมอกตกเป็นผู้ผิดนัดด้วยตามมาตรา 295

สรุป นายเมฆและนายหมอกตกเป็นลูกหนี้ผิดนัด

WordPress Ads
error: Content is protected !!