LAW3112 (LAW3012) กฎหมายปกครอง s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3012 กฎหมายปกครอง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

1 นายแดงเป็นข้าราชการพลเรือนถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง นายเอกเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จึงมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่านายแดงกระทําผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวเป็น คําสั่งทางปกครองหรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย

ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้ “คําสั่งทางปกครอง” หมายความว่า

(1) การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

“การพิจารณาทางปกครอง” หมายความว่า การเตรียมการและการดําเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีคําสั่งทางปกครอง

วินิจฉัย

กรณีที่จะเป็นคําสั่งทางปกครองโดยนัยของมาตรา 5 (1) แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั้น จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 ต้องเป็นคําสั่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่

2 ต้องมีลักษณะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย

3 ต้องมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่าง บุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคล

4 ต้องก่อให้เกิดผลเฉพาะกรณีหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

5 ต้องมีผลโดยตรงไปสู่ภายนอกฝ่ายปกครอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่านายแดงกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่นั้น

แม้การออกคําสั่งดังกล่าวจะเป็นการใช้อํานาจของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย แต่การออกคําสั่งดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล (นายแดง) แต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการพิจารณาทางปกครองเพื่อสอบสวนว่านายแดงกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ เพื่อนําไปสู่การออกคําสั่งทางปกครองต่อไป ดังนั้น คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวจึงไม่เป็นคําสั่งทางปกครอง ตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

สรุป คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าว ไม่เป็นคําสั่งทางปกครองตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 นายขาวมายื่นคําขออนุญาตก่อสร้างโรงงานกับนายเขียวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอํานาจตามกฎหมาย และนายเขียวได้มีคําสั่งอนุญาตให้นายขาวก่อสร้างโรงงานได้ตามคําขอแต่ในระหว่างที่นายขาว ตระเตรียมหาซื้อวัสดุก่อสร้างเพื่อทําการก่อสร้างโรงงานนั้นปรากฏว่ากฎหมายผังเมืองมีการแก้ไขและพื้นที่อันเป็นที่ตั้งโรงงานนั้น กฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ห้ามมิให้ปลูกสร้างโรงงานอีกต่อไป โดยจัดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเขียวจะเพิกถอนคําสั่งอนุญาต ให้นายขาวก่อสร้างโรงงานที่ได้ออกไปก่อนหน้านั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลงโอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

มาตรา 53 วรรคสอง “คําสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับ คําสั่งทางปกครอง อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยให้มีผลตั้งแต่ขณะที่เพิกถอนหรือมีผลในอนาคตไปถึง ขณะใดขณะหนึ่งตามที่กําหนดได้เฉพาะเมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้

(4) บทกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากมีบทกฎหมายเช่นนี้ในขณะทําคําสั่งทางปกครองแล้ว เจ้าหน้าที่คงจะไม่ทําคําสั่งทางปกครองนั้น แต่การเพิกถอนในกรณีนี้ให้กระทําได้เท่าที่ผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือยังไม่ได้รับประโยชน์ตามคําสั่งทางปกครองดังกล่าว และหากไม่เพิกถอนจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวมายื่นคําขออนุญาตก่อสร้างโรงงานกับนายเขียวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่

ที่มีอํานาจตามกฎหมาย และนายเขียวได้มีคําสั่งอนุญาตให้นายขาวก่อสร้างโรงงานได้ตามคําขอนั้น คําสั่งดังกล่าว ถือเป็นคําสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่นายขาวผู้รับคําสั่งทางปกครองตามนัย มาตรา 5 และมาตรา 53 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างที่นายขาวตระเตรียมหาซื้อวัสดุก่อสร้างเพื่อทําการก่อสร้างโรงงานนั้น ปรากฏว่ากฎหมายผังเมืองมีการแก้ไข และพื้นที่อันเป็นที่ตั้งโรงงานนั้นกฎหมายผังเมืองฉบับใหม่ห้ามมิให้ ปลูกสร้างโรงงานอีกต่อไปโดยจัดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายขาวผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากคําสั่งทางปกครองดังกล่าว และหากไม่เพิกถอนจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะหรือต่อประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นได้ ดังนั้นนายเขียวจึงสามารถเพิกถอนคําสั่งอนุญาตให้นายขาว ก่อสร้างโรงงานที่ออกไปก่อนหน้านั้นได้ตามมาตรา 53 วรรคสอง (4)

สรุป นายเขียวสามารถเพิกถอนคําสั่งอนุญาตให้นายขาวก่อสร้างโรงงานที่ได้ออกไปก่อนหน้านั้น ได้ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3 สํานักงานประกันสังคมได้ทําสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกันสังคม ต่อมาโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวทําผิดสัญญาขอให้ท่านวินิจฉัยว่า สํานักงานประกันสังคมจะต้องฟ้องโรงพยาบาลดังกล่าวให้รับผิดตามสัญญา ได้ที่ศาลใด เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) บัญญัติว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง”

และตามมาตรา 3 ได้บัญญัติให้คํานิยามของ “สัญญาทางปกครอง” ไว้ว่า

“สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงาน ทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการ สาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สํานักงานประกันสังคมได้ทําสัญญากับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนเพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกันสังคมนั้นเป็นสัญญาที่ทําขึ้นระหว่างหน่วยงานทางปกครองกับเอกชน และเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ที่เป็นการให้จัดทําบริการสาธารณะ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยของมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และเมื่อต่อมาโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวทําผิดสัญญา จึงเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองขึ้นมา และเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ซึ่งทําให้สํานักงานประกันสังคมสามารถ ฟ้องให้โรงพยาบาลเอกชนนั้นรับผิดตามสัญญาต่อศาลปกครองได้

สรุป สํานักงานประกันสังคมสามารถฟ้องโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวให้รับผิดตามสัญญาได้ที่ ศาลปกครองตามนัยมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 3

 

ข้อ 4 นายเหลืองเป็นข้าราชการพลเรือนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกเจ้าหน้าที่ฟ้องและศาลตัดสินให้เป็นบุคคล ล้มละลาย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะดําเนินการ ตามกฎหมายกับนายเหลืองได้หรือไม่อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

มาตรา 36 ข. (6) “ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไป และไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

ข. ลักษณะต้องห้าม

(6) เป็นบุคคลล้มละลาย”

มาตรา 110 “ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีอํานาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือน สามัญออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการได้ในกรณีดังต่อไปนี้ 28

(3) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 36 ก. (1) หรือ (3) หรือ มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 ข. (1) (3) (6) หรือ (7)

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเหลืองเป็นข้าราชการพลเรือนมีหนี้สินล้นพ้นตัวจนถูกเจ้าหนี้ฟ้องและศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น ถือว่านายเหลืองมีลักษณะต้องห้ามมิให้รับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน ตามมาตรา 36 ข. (6) ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาของนายเหลืองซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จึงมีอํานาจสั่งให้ นายเหลืองออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการได้ตามมาตรา 110 (3)

สรุป ผู้บังคับบัญชาของนายเหลืองจะต้องสั่งให้นายเหลืองออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญ เหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามมาตรา 110 (3) ประกอบมาตรา 36 ข. (6)

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3103 (LAW 3003) ป.พ.พ.ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายเมฆได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.ฝน ด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงินสดอีก 2,000,000 บาท และให้สินสอดแก่บิดามารดาของ น.ส.ฝน เป็นเงินสดจํานวน 500,000 บาท น.ส.ฝน ได้ลาออกจากงาน เพราะวางแผนจะแต่งงานและย้ายไปอยู่กับนายเมฆที่ต่างจังหวัด ต่อมา น.ส.ฝน ทราบว่านายเมฆ ได้กลับไปอยู่กินกับ น.ส.ฟ้า คนรักเก่าซึ่งได้เคยเลิกรากันไปแล้ว น.ส.ฝน จึงไม่ต้องการสมรสกับนายเมฆและได้ทําการบอกเลิกสัญญาหมั้นกับนายเมฆ แต่นายเมฆไม่ยอมอ้างว่า น.ส.ฝน ทราบอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนทําการหมั้นว่าตนเคยอยู่กินกับ น.ส.ฟ้า มาก่อน ถ้า น.ส.ฝน ไม่ยอมสมรสด้วย จะฟ้อง น.ส.ฝน ฐานผิดสัญญาหมั้น ส่วน น.ส.ฝน ต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายเมฆและ น.ส.ฟ้า ดังนี้ นายเมฆ และ น.ส.ฝน จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้น คู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น

มาตรา 1445 “ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.ฝน ด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงินสด อีก 2,000,000 บาทนั้น เมื่อมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว การหมั้นย่อมสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง เมื่อ น.ส.ฝน ได้ลาออกจากงาน เพราะวางแผนจะแต่งงานและย้ายไปอยู่กับนายเมฆที่ต่างจังหวัด ต่อมาภายหลัง การหมั้น น.ส.ฝน ทราบว่านายเมฆได้กลับไปอยู่กินกับ น.ส.ฟ้า คนรักเก่าซึ่งได้เคยเลิกรากันไปแล้ว การที่ น.ส.ฝน ไม่ต้องการสมรสกับนายเมฆ และได้ทําการบอกเลิกสัญญาหมั้นกับนายเมฆนั้น น.ส.ฝน ย่อมสามารถทําได้ เพราะกรณีดังกล่าวถือว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้นตามมาตรา 1443 และ เมื่อ น.ส.ฝน มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้ตามกฎหมาย นายเมฆจึงไม่สามารถอ้างได้ว่า น.ส.ฝน ผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1439 นายเมฆจึงไม่สามารถฟ้อง น.ส.ฝน ฐานผิดสัญญาหมั้นได้

และเมื่อเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้นดังกล่าวนั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้น อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้น ดังนั้น น.ส.ฝน จึงฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายเมฆได้ตามมาตรา 1444 และค่าทดแทนที่ น.ส.ฝน สามารถเรียกจากนายเมฆได้คือค่าทดแทนตามมาตรา 1440

ส่วนกรณีของ น.ส.ฟ้า ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับนายเมฆคู่หมั้นของ น.ส.ฝนนั้น เมื่อ น.ส.ฟ้า ไม่รู้ว่า นายเมฆได้หมั้นกับ น.ส.ฝนแล้ว น.ส.ฝน จึงไม่สามารถเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ฟ้าได้ตามมาตรา 1445

สรุป นายเมฆจะฟ้อง น.ส.ฝน ฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้

น.ส.ฝน สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายเมฆได้ แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ฟ้า ไม่ได้

 

ข้อ 2 ณ สมรภูมิแห่งหนึ่ง สิบเอกไอ่ได้รู้จักกับ น.ส.กะรัตซึ่งเป็นพยาบาลประจําหน่วย และได้ช่วยเหลือ เกื้อกูลกันมาตลอดในสนามรบ ทั้งสองเกิดเห็นใจและรักใคร่ชอบพอกัน และต้องการร่วมเป็นร่วมตาย จึงได้แสดงเจตนาสมรสกันต่อหน้าสิบตรีชาคริต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดยสิบตรีชาคริต ได้จดแจ้งการแสดงเจตนาขอทําการสมรสของบุคคลทั้งสองไว้ อีก 1 สัปดาห์ต่อมา น.ส.กะรัต ได้เงินรางวัลจากการชนะเลิศการประกวดพยาบาลดีเด่นเป็นเงิน 50,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 ได้มีการประกาศยุติการรบ สิบเอกไอ่กับ น.ส.กะรัตจึงเดินทางกลับบ้าน และเย็นวันนั้นสิบเอกไอ่ได้ซื้อสร้อยคอทองคํา 2 บาท เพื่อเป็นของขวัญที่ตนได้กลับบ้าน ต่อมาวันที่ 25 ธันวาคม 2564 ทั้งสองคนจึงได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน โดยแสดงหลักฐานการแสดงเจตนาจะสมรสของตนต่อนายทะเบียน

ขอให้วินิจฉัยว่า

(ก) การสมรสระหว่างสิบเอกไอ่ กับ น.ส.กะรัต มีผลหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

(ข) เงินรางวัล 50,000 บาท และสร้อยคอทองคํา 2 บาท เป็นของใคร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1460 วรรคหนึ่ง “เมื่อมีพฤติการณ์พิเศษซึ่งไม่อาจทําการจดทะเบียนสมรสต่อ นายทะเบียนได้ เพราะชายหรือหญิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในอันตรายใกล้ความตาย หรืออยู่ใน ภาวะการรบหรือสงคราม ถ้าชายและหญิงนั้นได้แสดงเจตนาจะสมรสกันต่อหน้าบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะที่อยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ให้บุคคลดังกล่าวจดแจ้งการแสดงเจตนาขอทําการสมรสของชายและหญิงนั้นไว้เป็นหลักฐาน และต่อมาชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่อาจทําการจดทะเบียนต่อนายทะเบียนได้ โดยแสดงหลักฐานต่อนายทะเบียนและให้นายทะเบียนจดแจ้งวัน เดือน ปี สถานที่ที่แสดงเจตนาขอทําการสมรส และพฤติการณ์พิเศษนั้นไว้ในทะเบียนสมรส ให้ถือว่าวันแสดงเจตนาขอทําการสมรสต่อบุคคลดังกล่าวเป็นวัน จดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนแล้ว”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

วินิจฉัย

(ก) ตามอุทาหรณ์ การที่สิบเอกไอ่และ น.ส.กะรัตได้แสดงเจตนาจะสมรสกันนั้น เป็นการสมรส ที่เกิดในภาวะการรบซึ่งถือว่าเป็นการสมรสเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษซึ่งไม่อาจจดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนได้

ตามนัยของมาตรา 1460 และเมื่อทั้งสองคนได้มีการแสดงเจตนาจะสมรสกันต่อหน้าสิบตรีชาคริตซึ่งเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะซึ่งอยู่ ณ ที่นั้น และสิบตรีชาคริตได้จดแจ้งการแสดงเจตนาขอทําการสมรสของบุคคลทั้งสองไว้ เป็นหลักฐาน และต่อมาทั้งสองคนได้จดทะเบียนสมรสกันภายใน 90 วันนับแต่วันที่อาจทําการจดทะเบียนต่อ นายทะเบียนได้ โดยแสดงหลักฐานการแสดงเจตนาจะสมรสของตนต่อนายทะเบียน ดังนั้น การสมรสระหว่าง สิบเอกไอ่กับ น.ส.กะรัตจึงมีผลสมบูรณ์ และให้ถือว่าการสมรสมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ ทั้งสองคนแสดงเจตนาจะทําการสมรสกันต่อหน้าสิบตรีชาคริตตามมาตรา 1460 วรรคหนึ่ง

(ข) และเมื่อการสมรสระหว่างสิบเอกไอ่ และ น.ส.กะรัตมีผลสมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ดังนั้น การที่ น.ส.กะรัตได้เงินรางวัลจากการชนะเลิศการประกวดพยาบาลดีเด่นเป็นเงิน 50,000 บาท หลังวันที่ 1 ตุลาคม 2564 และสิบเอกไอ่ได้ซื้อสร้อยคอทองคํา 2 บาท ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เงินรางวัล 50,000 บาท และสร้อยคอทองคํา 2 บาท จึงเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มา ระหว่างสมรส

สรุป

(ก) การสมรสระหว่างสิบเอกไอ่ และ น.ส.กะรัต มีผลสมบูรณ์ และให้ถือว่าการสมรสมีผล ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564

(ข) เงินรางวัล 50,000 บาท และสร้อยคอทองคํา 2 บาท เป็นสินสมรส

 

ข้อ 3 นายใหญ่คบหาดูใจกับนางสาวเล็ก ก่อนที่ทั้งสองจะไปจดทะเบียนสมรสกัน นายใหญ่กับนางสาวเล็ก ทําสัญญากันว่า เมื่อสมรสกันแล้วให้นายใหญ่มีอํานาจจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดย นายใหญ่ นางสาวเล็ก และพยาน 2 คน ลงลายมือชื่อในสัญญานั้น วันต่อมานายใหญ่และนางสาวเล็ก ได้ไปจดทะเบียนสมรสกันโดยไม่ได้จดแจ้งข้อตกลงอันเป็นสัญญาก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสและไม่ได้นําสัญญาดังกล่าวแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส หลังจากนั้นนายใหญ่ถูกปลดออกจากงาน นายใหญ่ได้นําเงินชดเชยจากการออกจากงานจํานวน 500,000 บาท ไปซื้อที่ดิน 1 แปลง โดยใส่ชื่อ นายใหญ่ในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายใหญ่แอบคบกับนางสาวน้อย นางสาวน้อยขอเงินนายใหญ่เพื่อจะลงทุนค้าขาย นายใหญ่นําที่ดินที่ซื้อไว้ไปจดทะเบียนขายฝากกับนายจิ๋วในราคา 500,000 บาท เพื่อนําเงินมาให้นางสาวน้อย นายใหญ่บอกกับนายจิ๋วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของตน โดยนางเล็กไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการขายฝากที่ดินนั้น ต่อมานางสาวน้อยได้บอกนางเล็ก ว่าตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายใหญ่แล้ว และนายใหญ่จะหย่ากับนางเล็กเพื่อมาสมรสกับตน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางเล็กจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นางเล็กจะเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้อยโดยที่นางเล็กไม่ประสงค์จะหย่ากับนายใหญ่ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1466 “สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ ถ้ามิได้จดแจ้งข้อตกลงกันเป็นสัญญาก่อนสมรสนั้นไว้ ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือมิได้ทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยานอย่างน้อย สองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหา ริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวก็ได้

และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายใหญ่กับนางสาวเล็กได้ทําสัญญาก่อนสมรสว่าให้นายใหญ่ มีอํานาจจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าทั้งสองไม่ได้จดแจ้งข้อตกลงอันเป็นสัญญาก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือไม่ได้นําสัญญาก่อนสมรสดังกล่าวแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรสและได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้ สัญญาก่อนสมรสนั้นจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1466 ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สิน จึงต้อง บังคับตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

การที่นายใหญ่ได้นําเงินชดเชยจากการถูกปลดออกจากงานจํานวน 500,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสไปซื้อที่ดิน ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส เมื่อนายใหญ่นําที่ดินนั้นไปขายฝาก จึงเป็นการจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (1) ที่สามีและภริยา ต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนางเล็กไม่ได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการขายฝากที่ดินนั้น นางเล็กย่อมมีสิทธิฟ้องศาลขอเพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายใหญ่ได้บอกนายจิ๋วว่าที่ดินนั้นเป็นของตน และนายจิ๋วไม่ทราบว่า ที่ดินนั้นเป็นสินสมรส จึงถือว่านายจิ๋วซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต และเมื่อนายจิ๋วได้จ่ายเงินค่าที่ดิน ซึ่งถือเป็นค่าตอบแทนให้แก่นายใหญ่ จึงเข้าข้อยกเว้นของมาตรา 1480 ดังนั้น นางเล็กจึงฟ้องศาลให้เพิกถอน สัญญาขายฝากที่ดินไม่ได้

(ข) การที่นางสาวน้อยได้บอกกับนางเล็กว่าตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายใหญ่แล้ว และนายใหญ่จะหย่ากับนางเล็กเพื่อมาสมรสกับตนนั้น ถือว่านางสาวน้อยได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงตนว่า มีความสัมพันธ์กับนายใหญ่ในทํานองชู้สาวแล้ว ดังนั้น นางเล็กจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้อยได้ตาม มาตรา 1523 วรรคสอง โดยที่นางเล็กไม่ต้องหย่ากับนายใหญ่แต่อย่างใด

สรุป (ก) นางเล็กจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินไม่ได้

(ข) นางเล็กสามารถเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้อยโดยที่นางเล็กไม่ประสงค์จะหย่ากับนายใหญ่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ตกลงหย่ากันโดยมีการทําเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อนายไก่และนางไข่ และมีพยานสองคนลงชื่อเป็นพยาน หลังจากนั้นนางไข่ก็ไปอยู่กิน ร่วมกันฉันสามีภริยากับนายดํา และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายแดง ต่อมานายไก่เกิดความหึงหวง บอกให้นางไข่กลับบ้าน นางไข่ปฏิเสธ

(ก) การทําหนังสือหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(ข) นายไก่จะฟ้องนางไข่ว่ามีชู้ ยกย่องนายดําเป็นสามีอีกคนหนึ่ง โดยการฟ้องหย่าได้หรือไม่

(ค) เด็กชายแดงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายไก่และนางไข่ได้ตกลงหย่ากันโดยมีการทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และมีพยาน 2 คนลงชื่อเป็นพยานนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แต่เมื่อนายไก่และนางไข่ยังไม่ได้จดทะเบียนการหย่า การหย่าโดยความยินยอมระหว่างนายไก่และนางไข่จึงยังไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 1515)

(ข) การที่นางไข่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายดํานั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นางไข่มีชู้เพราะนางไข่ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่อยู่ ดังนั้น นายไก่ย่อมถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1)

(ค) เมื่อนายไก่และนางไข่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เพราะการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง (เนื่องจากการหย่ายังไม่สมบูรณ์) การที่นางไข่มีบุตร 1 คน คือเด็กชายแดง เด็กชายแดงย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางไข่ตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ เพราะเด็กชายแดงได้เกิดในขณะที่ นางไข่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536

สรุป (ก) การตกลงหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลไม่สมบูรณ์

(ข) นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ได้

(ค) เด็กชายแดงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3103 (LAW 3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายทองมาชอบพอรักใคร่กับนางสาวแพรวได้ตกลงที่จะทําสัญญาหมั้นในวันที่ 1 กันยายน เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายทองมาได้ส่งมอบแหวนเพชรให้แก่นางสาวแพรว แต่ไม่สามารถนํารถยนต์มามอบให้เป็นของหมั้นตามที่ตกลงกันไว้นายทองมาจึงเขียนสัญญากู้เป็นจํานวนเงิน 500,000 บาท มอบไว้ให้แทนโดยจะส่งมอบให้ภายหลัง นายทองมาและนางสาวแพรวได้อยู่กินกันฉันสามีภริยา จนนางสาวแพรวตั้งครรภ์ ครั้นอยู่กินกันถึง 7 เดือนเศษก็เกิดทะเลาะกันบ่อยครั้ง นายทองมาจึง แจ้งให้นางสาวแพรวไปทําการจดทะเบียนสมรส แต่นางสาวแพรวไม่ยินยอม นายทองมาจึงฟ้องว่านางสาวแพรวผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นทั้งหมด นางสาวแพรวก็ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ ด้วยว่าเป็นของหมั้นของตน เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) นายทองมาจะฟ้องว่านางสาวแพรวผิดสัญญาหมั้นและให้คืนของหมั้นทั้งหมดได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่นายทองมาชอบพอรักใคร่กับนางสาวแพรว จึงได้ตกลงทําสัญญาหมั้นกันโดยได้ส่งมอบ แหวนเพชรให้แก่นางสาวแพรว แต่ไม่สามารถนํารถยนต์มามอบให้เป็นของหมั้นตามที่ตกลงกันไว้ นายทองมาจึงเขียนสัญญากู้เป็นจํานวนเงิน 5 แสนบาท มอบไว้ให้แทนโดยจะส่งมอบให้ภายหลังนั้น การหมั้นระหว่างนายทองมากับนางสาวแพรวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง เนื่องจากได้มีการส่งมอบทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้น คือ แหวนเพชรให้แก่นางสาวแพรวแล้ว ส่วนเงิน 5 แสนบาท ที่ได้ทําสัญญากู้ไว้นั้น มีเจตนาจะ ให้กันในวันข้างหน้า ไม่ได้มีการส่งมอบให้แก่กันในวันหมั้น เงิน 5 แสนบาท จึงมิใช่ของหมั้นแต่อย่างใด

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายทองมาและนางสาวแพรวได้อยู่กินกันฉันสามีภริยาจนนางสาวแพรวตั้งครรภ์ และครั้นอยู่กินกันถึง 7 เดือนเศษก็เกิดทะเลาะกันบ่อยครั้งนั้น แสดงให้เห็นว่าทั้งสอง ได้ละเลยไม่นําพาต่อการจดทะเบียนสมรส ดังนั้น การที่นายทองมาได้แจ้งให้นางสาวแพรวไปทําการจดทะเบียน สมรสกัน แต่นางสาวแพรวไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรสนั้น นางทองมาจะถือว่านางสาวแพรวผิดสัญญาหมั้น และจะฟ้องเรียกเอาแหวนเพชรซึ่งเป็นของหมั้นคืนจากนางสาวแพรวตามมาตรา 1439 ไม่ได้

(2) การที่นายทองมาทําสัญญากู้เงินมอบไว้แทนรถยนต์นั้น เมื่อเงินจํานวน 5 แสนบาท ตาม สัญญากู้นั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นางสาวแพรวจะฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ โดยอ้างว่าเป็นของหมั้นของตนไม่ได้

สรุป

(1) นายทองมาจะฟ้องว่านางสาวแพรวผิดสัญญาหมั้นเพื่อเรียกคืนของหมั้นไม่ได้

(2) นางสาวแพรวจะฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้โดยอ้างว่าเป็นของหมั้นของตนก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2 นายนิพร อายุ 25 ปี รักกับนางสาวน้ำผึ้ง อายุ 18 ปี ซึ่งเป็นลูกน้องในบริษัท นายนิพรไม่ต้องการ ให้ใครทราบจึงทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวน้ำผึ้งโดยไม่บอกให้ใครทราบแม้กระทั้งญาติพี่น้อง บิดามารดาของทั้งสองฝ่าย หนึ่งปีต่อมาบิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้งจึงทราบก็ไม่พอใจ เพราะต้องการให้นางสาวน้ำผึ้งทําการสมรสกับนายทองแท่งซึ่งมีฐานะดี จึงต้องการฟ้องให้เพิกถอน การสมรส และเมื่อศาลเพิกถอนการสมรสแล้ว บิดามารดาจะให้ความยินยอมแก่นางสาวน้ำผึ้ง ให้จดทะเบียนสมรสกับนายทองแท่งทันที เช่นนี้

(ก) บิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้ง จะฟ้องขอเพิกถอนการสมรสได้หรือไม่

(ข) การสมรสของนายทองแท่งกับนางสาวน้ำผึ้ง จะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา”

มาตรา 1453 “หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทําการสมรสใหม่ได้

ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน…”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวใน มาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้ สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์

การฟ้องขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้ ให้มีอายุความหนึ่งปีนับแต่วันทราบการสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนิพร อายุ 25 ปี รักกับนางสาวน้ำผึ้ง อายุ 18 ปี และได้ทําการจดทะเบียนสมรสกัน โดยไม่บอกให้ใครทราบแม้กระทั่งญาติพี่น้องบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่ นางสาวน้ำผึ้งซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ทําการสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดา การสมรสระหว่างนายนิพรกับนางสาวน้ำผึ้งจึงเป็นโมฆียะตามมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 (1) และมาตรา 1509 และกรณีดังกล่าวนั้น

(ก) ถ้าหนึ่งปีต่อมาบิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้งทราบและไม่พอใจ จึงต้องการฟ้องขอเพิกถอน การสมรสระหว่างนายนิพรและนางสาวน้ำผึ้งนั้น บิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้งซึ่งเป็นบุคคลที่อาจให้ความยินยอม ตามมาตรา 1454 ย่อมสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 เพราะสิทธิ์เพิกถอนการสมรสยังไม่ระงับเนื่องจากนางสาวน้ำผึ้งยังมีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ และไม่ปรากฏว่านางสาวน้ำผึ้งมีครรภ์ อีกทั้ง บิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้งได้ใช้สิทธิฟ้องขอเพิกถอนการสมรสภายในอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสมรสดังกล่าว

(ข) เมื่อศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสแล้ว การสมรสระหว่างนายนิพรและนางสาวน้ำผึ้ง ย่อมสิ้นสุดลงตามมาตรา 1501 และนางสาวน้ำผึ้งจะทําการสมรสใหม่ได้ก็ต่อเมื่อการสิ้นสุดการสมรสนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 310 วัน ตามมาตรา 1453 ดังนั้น การที่บิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้งได้ยินยอมให้นางสาวน้ำผึ้ง จดทะเบียนสมรสกับนายทองแท่งทันทีนั้น ย่อมเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1453 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อการสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1453 นั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่อย่างใด ดังนั้น การสมรสของนายทองแท่งกับนางสาวน้ำผึ้งจึงมีผลสมบูรณ์

สรุป

(ก) บิดามารดาของนางสาวน้ำผึ้ง สามารถฟ้องขอเพิกถอนการสมรสระหว่างนายนิพรกับ นางสาวน้ำผึ้งได้

(ข) การสมรสของนายทองแท่งกับนางสาวน้ำผึ้งมีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 3 นายกิตติได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือนก่อนที่นายกิตติจะมาทําการจดทะเบียนสมรส กับนางสาวพิมพ์พา ต่อมานายกิตติได้ทะเลาะเบาะแว้งกับนางสาวพิมพ์พาจึงได้แยกกันอยู่และวางแผนไว้ว่าจะหย่ากัน นายกิตติจึงได้ใช้ชีวิตอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือน เมื่อนายกิตติ ได้เดินทางไปทํางานในสถานที่ต่าง ๆ นางสาวดวงเดือนได้เดินทางไปด้วย โดยพักห้องพักเดียวกัน รับประทานอาหารพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ ของนายกิตติตลอดเวลา นางสาวพิมพ์พาต้องการฟ้องหย่า แต่นายกิตติต่อสู้ว่านางสาวพิมพ์พาทราบมาก่อนแล้วว่า นายกิตติได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ นางสาวดวงเดือนก่อนที่จะมาจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิมพ์พาประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง

ถ้านางสาวพิมพ์พาไม่ต้องการฟ้องหย่านายกิตติ แต่ต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดวงเดือน เช่นนี้ ทั้งสองกรณีท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้…”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายกิตติได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือนก่อนที่นายกิตติจะมาทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิมพ์พา โดยที่นางสาวพิมพ์พาก็ทราบมาก่อนแล้วว่านายกิตติได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือนก่อนที่จะมาจดทะเบียนสมรสกับตนนั้น มิได้หมายความว่าภายหลังจากการสมรสกันแล้ว

นางสาวพิมพ์พาได้ยินยอมให้นายกิตติอยู่กันฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือนได้อีกแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายกิตติได้ทะเลาะเบาะแว้งกับนางสาวพิมพ์พาจึงได้แยกกันอยู่และวางแผนไว้ว่าจะหย่ากัน แล้วนายกิตติจึงได้ใช้ชีวิตอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือนอีกนั้น นางสาวพิมพ์พาย่อมสามารถฟ้องหย่านายกิตติได้ตาม มาตรา 1516 (1) เพราะเป็นกรณีที่ถือได้ว่านายกิตติสามีได้ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาและเป็นชู้ และร่วมประเวณีกับ ผู้อื่นเป็นอาจิณ นายกิตติจะอ้างมาตรา 1517 วรรคหนึ่งที่ว่านางสาวพิมพ์พาได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่า นายกิตติได้ อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดวงเดือนมาก่อน มาต่อสู้นางสาวพิมพ์พาไม่ได้

(2) การที่นายกิตติได้เดินทางไปทํางานในสถานที่ต่าง ๆ โดยนางสาวดวงเดือนได้เดินทางไปด้วย และได้พักห้องเดียวกัน รวมทั้งรับประทานอาหารพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ ของนายกิตติตลอดเวลานั้น นางสาวพิมพ์พา ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดวงเดือนได้ แม้ว่านางสาวพิมพ์พาไม่ต้องการฟ้องหย่านายกิตติเพราะถือว่านางสาวดวงเดือนได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับนายกิตติสามีของนางสาวพิมพ์พาในทํานองชู้สาวตามมาตรา 1523 วรรคสอง

สรุป นางสาวพิมพ์พาสามารถฟ้องหย่านายกิตติได้ตามมาตรา 1516 (1) หรือถ้าไม่ต้องการ ฟ้องหย่านายกิตติก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดวงเดือนได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง

 

ข้อ 4 ในปี พ.ศ. 2561 นายอํานาจได้ยกบ้านและที่ดินให้แก่นางสาวพิทยา ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 นายอํานาจได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิทยา และเมื่ออยู่กินฉันสามีภริยากันแล้วนายอํานาจ ยิ่งหลงรักนางสาวพิทยามากขึ้น จึงยกที่ดินเปล่าอีก 1 แปลงให้แก่นางสาวพิทยาในปี พ.ศ. 2563 โดยนางสาวพิทยาขอให้ทําสัญญาระบุไว้ว่าห้ามไม่ให้บอกล้างสัญญาที่ยกที่ดินดังกล่าวไว้ด้วย ต่อมานางสาวพิทยาได้ทําสัญญาให้นายพิชัยเช่าบ้านและที่ดินมีกําหนดเวลา 10 ปี โดยได้รับค่าเช่า เป็นจํานวนเงิน 1 ล้านบาท และได้ทําสัญญาให้นายเจริญเช่าที่ดินเปล่ามีกําหนดเวลา 20 ปี โดยได้รับค่าเช่าเป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท นายอํานาจไม่พอใจนางสาวพิทยาที่นําไปให้เช่าโดย ไม่ปรึกษาสามีก่อน จึงบอกล้างการยกบ้านและที่ดิน และที่ดินเปล่า และต้องการฟ้องเพิกถอน การทําสัญญาเช่าทั้งสองสัญญาเช่า แต่นางสาวพิทยาต่อสู้ว่าได้ทําสัญญาระบุว่าห้ามไม่ให้บอกล้าง สัญญายกที่ดินดังกล่าวไว้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้

แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายอํานาจได้ยกบ้านและที่ดินให้แก่นางสาวพิทยาในปี พ.ศ. 2561 ก่อนที่จะได้ จดทะเบียนสมรสกันในปี พ.ศ. 2562 นั้น ถือว่าบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของนางสาวพิทยา เพราะเป็นทรัพย์สินที่นางสาวพิทยามีอยู่ก่อนสมรสตามมาตรา 1471 (1) และแม้ว่าบ้านและที่ดินดังกล่าว นางสาวพิทยาจะได้มาจากการยกให้โดยเสน่หาจากนายอํานาจ และเมื่อไม่ปรากฏว่านางสาวพิทยาประพฤติเนรคุณ ต่อนายอํานาจผู้ให้แต่อย่างใด ดังนั้น นายอํานาจจะเรียกถอนคืนการให้ตามมาตรา 531 ไม่ได้

การที่นางสาวพิทยาได้ทําสัญญาให้นายพิชัยเช่าบ้านและที่ดินมีกําหนด 10 ปี โดยได้รับค่าเช่า เป็นจํานวนเงิน 1 ล้านบาทนั้น นางสาวพิทยาย่อมสามารถทําสัญญาให้เช่าได้เองโดยลําพัง โดยไม่ต้องปรึกษา นายอํานาจสามี เนื่องจากเป็นการจัดการเกี่ยวกับสินส่วนตัวตามมาตรา 1473 ดังนั้น นายอํานาจจะฟ้องเพิกถอน การทําสัญญาเช่ากรณีนี้ไม่ได้

(2) การที่นายอํานาจยกที่ดินเปล่าให้แก่นางสาวพิทยาอีก 1 แปลงในปี พ.ศ. 2563 นั้น ถือว่า เป็นการทําสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 และมีผลทําให้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของนางสาวพิทยาตามมาตรา 1471 (3) นางสาวพิทยาจึงสามารถทําสัญญาให้นายเจริญเช่าได้โดยลําพังตาม มาตรา 1473 ดังนั้น นายอํานาจจึงไม่สามารถเพิกถอนการทําสัญญาเช่ากรณีนี้ได้เช่นเดียวกัน

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการให้ที่ดินเปล่าดังกล่าวแก่นางสาวพิทยาเป็นสัญญาระหว่างสมรส ดังนั้น นายอํานาจย่อมสามารถบอกล้างการยกที่ดินเปล่า 1 แปลงให้แก่นางสาวพิทยาได้ตามมาตรา 1469 นางสาวพิทยาจะต่อสู้ว่าได้มีการทําสัญญาระบุว่าห้ามไม่ให้บอกล้างการยกที่ดินดังกล่าวไว้ไม่ได้ เพราะข้อตกลง ดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย (มาตรา 1469) โดยชัดแจ้ง ข้อตกลงนั้นจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 ดังนั้น นายอํานาจจึงมีสิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสดังกล่าวได้

สรุป นายอํานาจมีสิทธิบอกล้างการยกที่ดินเปล่าให้แก่นางสาวพิทยาได้ แต่จะบอกล้างการ ยกบ้านและที่ดินไม่ได้ และจะฟ้องเพิกถอนการทําสัญญาเช่าทั้งสองสัญญาเช่าไม่ได้ด้วย

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายชาติชายและนางสาวนิชาชอบพอรักใคร่กัน ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกันแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร จึงได้ไปพบพนักงานตํารวจโดยมีบิดามารดาของนางสาวนิชาอยู่ด้วย นายชาติชายได้ยินยอมมอบเงิน 30,000 บาทให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อเป็นการขอขมา และได้ทําบันทึกต่อหน้าพนักงานตํารวจว่าจะทําการจดทะเบียนสมรสภายในสองเดือนและรับผิดชอบเลี้ยงดู นางสาวนิชาอย่างดี ถ้าไม่ทําตามสัญญาจะชดใช้ให้เป็นจํานวนเงิน 60,000 บาท ปรากฏว่าเมื่อครบ กําหนดสองเดือนตามสัญญานายชาติชายไม่ทําการจดทะเบียนสมรสด้วย นางสาวนิชาจึงต้องการ ฟ้องฐานผิดสัญญาหมั้นและให้ชดใช้เงินให้ด้วย เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมี พฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้” มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายและนางสาวนิชาชอบพอรักใคร่กันและได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกันแล้วแต่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร จึงได้ไปพบพนักงานตํารวจโดยมีบิดามารดาของ นางสาวนิชาอยู่ด้วย และนายชาติชายได้ยินยอมมอบเงิน 30,000 บาทให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อเป็นการขอขมา และได้ ทําบันทึกต่อหน้าพนักงานตํารวจว่าจะทําการจดทะเบียนสมรสภายใน 2 เดือน และรับผิดชอบเลี้ยงดูนางสาวนิชา อย่างดีนั้น การมอบเงิน 30,000 บาทให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อเป็นการขอขมานั้น ไม่ถือว่าเป็นการส่งมอบทรัพย์สิน ให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น เงิน 30,000 บาทจึงมิใช่ของหมั้นตามนัยของมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และเงิน 30,000 บาทดังกล่าวก็มิใช่สินสอดตามนัยของมาตรา 1437 วรรคสาม เพราะมิใช่ทรัพย์สิน ซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ดังนั้น การที่นายชาติชายได้มอบ เงิน 30,000 บาทให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อเป็นการขอขมานั้น จึงไม่ทําให้เกิดสัญญาหมั้นได้

เมื่อการที่นายชาติชายได้มอบเงิน 30,000 บาท ให้แก่ฝ่ายหญิงและได้ทําบันทึกต่อหน้าพนักงาน ตํารวจว่าจะทําการจดทะเบียนสมรสภายใน 2 เดือน และรับผิดชอบเลี้ยงดูนางสาวนิชาอย่างดี ถ้าไม่ทําตามสัญญา จะชดใช้ให้เป็นจํานวนเงิน 60,000 บาทนั้น มิใช่เป็นการทําสัญญาหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น

เมื่อครบกําหนด 2 เดือนตามสัญญา การที่นายชาติชายไม่ทําการจดทะเบียนสมรสด้วย จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ นายชาติชายผิดสัญญาหมั้น และเมื่อไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น นางสาวนิชาจึงไม่สามารถฟ้องนายชาติชาย ฐานผิดสัญญาหมั้นและให้ชดใช้เงินให้ด้วยตามมาตรา 1439 ได้

สรุป นางสาวนิชาจะฟ้องนายชาติชายฐานผิดสัญญาหมั้นและให้ชดใช้เงินให้ด้วยนั้นไม่ได้

 

ข้อ 2 นายเมฆจดทะเบียนสมรสกับนางเดือน ต่อมานายเมฆมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ น.ส.ฝน ซึ่งเป็นคนวิกลจริตและได้จดทะเบียนสมรสกัน หลังจากจดทะเบียนสมรส น.ส.ฝน ก็หายจากอาการวิกลจริต หลังจากนั้นนายเมฆและนางเดือนได้ร่วมกันจดทะเบียนรับ น.ส.น้ำ มาเป็นบุตรบุญธรรม วันหนึ่ง นายเมฆทะเลาะกับนางเดือนอย่างรุนแรง นายเมฆกับนางเดือนจึงจดทะเบียนหย่ากัน และนายเมฆ ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.น้ำ

ดังนี้ การจดทะเบียนสมรสของนายเมฆกับนางเดือน น.ส.ฝน และน.ส.น้ำ มีผลในทางกฎหมาย อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1449 “การสมรสจะกระทํามิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่ง ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ”

มาตรา 1451 “ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน มาตรา 1598/32 “การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกเมื่อมีการสมรสฝ่าฝืนมาตรา 1451

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆจดทะเบียนสมรสกับนางเดือนซึ่งการสมรสมีผลสมบูรณ์ตาม มาตรา 1457 ต่อมานายเมฆมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ น.ส.ฝน ซึ่งเป็นคนวิกลจริตและได้จดทะเบียนสมรสกันนั้น การสมรสระหว่างนายเมฆและ น.ส.ฝน เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1449 เพราะเป็นการสมรส ในขณะที่หญิงเป็นบุคคลวิกลจริต อีกทั้งเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452 เพราะเป็นการสมรส ในขณะที่นายเมฆมีคู่สมรสอยู่แล้ว ดังนั้น การสมรสระหว่างนายเมฆและ น.ส.ฝน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

การที่นายเมฆจดทะเบียนสมรสกับนางเดือนและการสมรสมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1457 นั้น

ต่อมา เมื่อนายเมฆและนางเดือนได้จดทะเบียนหย่ากัน การสมรสระหว่างนายเมฆและนางเดือนย่อมเป็นอันสิ้นสุดลง ตามมาตรา 1501 และต่อมาเมื่อนายเมฆผู้รับบุตรบุญธรรมได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.น้ำ บุตรบุญธรรม แม้จะเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1451 แต่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว ตกเป็นโมฆะหรือโมฆยะแต่อย่างใด เพียงแต่มาตรา 1598/32 ได้บัญญัติแต่เพียงว่าให้การรับบุตรบุญธรรม เป็นอันยกเลิกไปเท่านั้น อีกทั้งการสมรสระหว่างนายเมฆและ น.ส.น้ำก็มิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452 แต่อย่างใดด้วย ดังนั้นการสมรสระหว่างนายเมฆและน.ส.น้ำจึงมีผลสมบูรณ์

สรุป การสมรสระหว่างนายเมฆกับนางเดือนมีผลสมบูรณ์ แต่การสมรสได้สิ้นสุดลงแล้ว การสมรสระหว่างนายเมฆกับ น.ส.ฝน มีผลเป็นโมฆะ การสมรสระหว่างนายเมฆกับ น.ส.น้ำ มีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 3 นายเก่งและนางอ้อมเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย หลังจากสมรสนายเก่งและนางอ้อมทําสัญญา ให้นายเก่งเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายเก่งจับสลาก ในงานฉลองปีใหม่ของบริษัทได้รับรางวัลเป็นจักรยานเสือภูเขาราคาแพง นายเก่งให้จักรยานคันดังกล่าวแก่นางสาวเก๋เพื่อนร่วมงานของนายเก่ง โดยที่ไม่บอกนางอ้อมเพราะรู้ว่านางอ้อม ไม่ชอบนางสาวเก๋และนางอ้อมคงไม่เห็นด้วย หลังจากนั้นนายเก่งได้รับมรดกจากบิดาเป็นที่ดิน 1 แปลงในฐานะผู้รับพินัยกรรม นายเก่งได้ขายที่ดินดังกล่าวให้กับนายพงษ์ในราคาที่ต่ำกว่าราคา ที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป โดยที่นางอ้อมไม่ได้รู้เห็นและไม่ได้ให้ความยินยอมแต่อย่างใด

ดังนี้ เมื่อนางอ้อมทราบเรื่องทั้งหมด นางอ้อมจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมให้รถจักรยานและ การขายที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งและนางอ้อมเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ได้ทําสัญญาระหว่าง สมรสให้นายเก่งเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้น สัญญาระหว่างสมรสดังกล่าว ใช้บังคับไม่ได้ เพราะตามมาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1465 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า สามีและ ภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญา ก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1465 ดังนั้น ในการจัดการสินสมรสของนายเก่งและนางอ้อมจึงต้องบังคับ ตามบทบัญญัติในหมวดนี้

การที่นายเก่งจับสลากในงานฉลองปีใหม่ของบริษัทได้รับรางวัลเป็นจักรยานเสือภูเขาราคาแพงนั้น

รถจักรยานดังกล่าวถือเป็นสินสมรสเพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสตามมาตรา 1474 (1) การที่ นายเก่งให้จักรยานคันดังกล่าวแก่นางสาวเก๋เพื่อนร่วมงานของนายเก่งโดยไม่บอกนางอ้อมนั้น เป็นกรณีที่นายเก่ง ได้ทํานิติกรรมตามมาตรา 1476 (5) โดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นางอ้อมจึงสามารถ ฟ้องศาลให้เพิกถอนนิติกรรมการให้รถจักรยานดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่นายเก่งได้รับมรดกจากบิดาเป็นที่ดิน 1 แปลงในฐานะผู้รับพินัยกรรมนั้น เมื่อพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าเป็นสินสมรส ที่ดินดังกล่าวจึงถือเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1471 (3) นายเก่งจึงมีอํานาจในการจัดการ สินส่วนตัวนั้นได้โดยลําพังตามมาตรา 1473 ดังนั้น เมื่อนายเก่งได้ขายที่ดินดังกล่าวให้กับนายพงษ์ แม้จะขาย ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป และโดยที่นางอ้อมไม่ได้รู้เห็นและไม่ได้ให้ความยินยอมก็ตาม นางอ้อมก็จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินนั้นตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งไม่ได้

สรุป นางอ้อมสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้รถจักรยานของนายเก่งได้ แต่นางอ้อมจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนการขายที่ดินของนายเก่งไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคนคือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่ไปหลงรักนางแมวเพื่อนร่วมงาน โดยนางแมวรู้ดีว่านายไก่มีภริยาโดยพฤตินัยอยู่แล้วคือนางไข่ นายไก่จึงมาตกลงกับนางไข่ว่าตนก็รักนางไข่ไม่เสื่อมคลายและจะไปจดทะเบียนสมรสกับนางไข่ ถ้านางไข่ยินยอมให้ตนไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางแมว นางไข่ก็ยินยอมตามข้อเสนอ ต่อมานางไข่เห็นว่านายไก่จะหลงรักนางแมวมากเกินไปจนลืมตนและลูก จึงมาปรึกษาท่านว่า

(1) จะฟ้องหย่านายไก่ว่ามีภริยาน้อยได้หรือไม่ และ

(2) เด็กชายเป็ดเป็นลูกชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้น จะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1547 “เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อ บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน คือ เด็กชายเป็ด แต่ต่อมาเมื่อนายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ย่อมถือว่านายไก่และนางไข่เป็นสามีและภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1457 ดังนั้น การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางแมวนั้น ย่อมถือว่า เป็นกรณีที่นายไก่ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาตามมาตรา 1516 (1) นางไข่จึงสามารถถือเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางแมวนั้น นางไข่ได้ยินยอมหรืออนุญาตนายไก่แล้ว ดังนั้น นางไข่จึงอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อที่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เด็กชายเปิดเป็นลูกที่เกิดก่อนที่นายไก่และนางไข่จะได้จดทะเบียนสมรส ซึ่งโดยหลักแล้ว ย่อมเป็นลูกโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546 แต่เมื่อต่อมานายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียนสมรสกันย่อมถือว่าเด็กชายเป็ดเป็นลูกโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ด้วยตามมาตรา 1547 นับแต่วันที่นายไก่และนางไข่จดทะเบียนสมรสกันย้อนไปนับแต่เด็กชายเปิดเกิด

สรุป

(1) นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ว่ามีภริยาน้อยไม่ได้

(2) เด็กชายเปิดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไข่ตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกและเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ เมื่อนายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียน สมรสกัน และมีผลย้อนไปนับแต่เด็กชายเป็ดเกิด

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายสมบัติ อายุ 22 ปี รักใคร่ชอบพอกับนางสาวอุไร อายุ 16 ปี 10 เดือน จึงได้ทําสัญญาหมั้น โดยบิดามารดาของนางสาวอุไรให้ความยินยอม นายสมบัติได้ส่งมอบแหวนเพชร 1 วง และเงิน 200,000 บาท ให้แก่นางสาวอุไร และได้ส่งมอบเงิน 300,000 บาท ให้แก่บิดามารดาของนางสาวอุไร นายสมบัติได้ทําพิธีสมรสโดยทราบดีว่านางสาวอุไรยังไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ แต่บิดามารดา ของนางสาวอุไรให้ความยินยอม เมื่อได้อยู่กินกันมากว่า 5 เดือน นางสาวอุไรตั้งครรภ์ นายสมบัติ จึงขอให้นางสาวอุไรไปทําการจดทะเบียนสมรส แต่นางสาวอุไรไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรสด้วย แต่ยินยอมอยู่กินกับนายสมบัติ นายสมบัติอ้างว่าได้ทําการหมั้นหมายแล้ว จัดพิธีสมรสแล้ว และบิดามารดาของนางสาวอุไรก็ได้ให้ความยินยอมแล้ว ถ้าไม่ทําการจดทะเบียนสมรสด้วยก็จะฟ้องเรียกของหมั้นและสินสอดคืนจากนางสาวอุไรและบิดามารดาของนางสาวอุไร เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว

การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอน ทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมบัติอายุ 22 ปี รักใคร่ชอบพอกับนางสาวอุไร อายุ 16 ปี 10 เดือน จึงได้ทําสัญญาหมั้นโดยบิดามารดาของนางสาวอุไรให้ความยินยอม และนายสมบัติได้ส่งมอบแหวนเพชร 1 วง และเงิน 200,000 บาท ให้แก่นางสาวอุไร และได้ส่งมอบเงิน 300,000 บาท ให้แก่บิดามารดาของนางสาวอุไรนั้น แม้ว่าการหมั้นดังกล่าวนางสาวอุไรซึ่งเป็นผู้เยาว์จะได้รับความยินยอมจากบิดามารดาตามมาตรา 1436 แล้วก็ตาม แต่เมื่อนางสาวอุไรมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงเป็นการหมั้นที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1435 ดังนั้น การหมั้นระหว่างนายสมบัติกับนางสาวอุไรจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 วรรคสอง

เมื่อการหมั้นระหว่างนายสมบัติกับนางสาวอุไรตกเป็นโมฆะ ดังนั้นแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท ที่นายสมบัติให้แก่นางสาวอุไรจึงไม่ใช่ของหมั้นตามนัยของมาตรา 1437 วรรคแรก และเงิน 300,000 บาท ที่นายสมบัติให้แก่บิดามารดาของนางสาวอุไรก็ไม่ใช่สินสอดตามนัยของมาตรา 1437 วรรคสาม แม้ว่าบิดามารดาของนางสาวอุไรจะได้ยินยอมให้นายสมบัติจัดพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอุไรก็ตาม การที่นายสมบัติขอให้นางสาวอุไรไปทําการจดทะเบียนสมรส แต่นางสาวอุไรไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรสด้วยนั้น ก็ไม่ถือว่านางสาวอุไรเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ถือว่ามีการหมั้น ระหว่างนายสมบัติและนางสาวอุไรตามนัยของมาตรา 1439 (เพราะการหมั้นเป็นโมฆะ) ดังนั้น นายสมบัติจะถือเอาเหตุที่นางสาวอุไรไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรสเพื่อเรียกเอาของหมั้นคืนจากนางสาวอุไรตามมาตรา 1439 และเรียกเอาสินสอดคืนจากบิดามารดาของนางสาวอุไรตามมาตรา 1437 วรรคสามไม่ได้

สรุป นายสมบัติจะเรียกของหมั้นและสินสอดคืนจากนางสาวอุไรและบิดามารดาของนางสาวอุไรไม่ได้

 

ข้อ 2 นายสมคิดได้ทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวสุขใจในวันที่ 1 เมษายน ต่อมานายสมคิด ทราบความจริงว่านางสาวสุขใจได้มีสามีมาก่อนและได้จดทะเบียนหย่ากันแล้วในวันที่ 1 มีนาคม นายสมคิดไม่พอใจที่นางสาวสุขใจหลอกลวงปกปิดความจริงจึงทําหนังสือหย่ากับนางสาวสุขใจ โดยลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายและมีพยานสองคนลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยในวันที่ 20 เมษายน หนึ่งเดือนต่อมาในวันที่ 20 พฤษภาคม นายสมคิดได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิทยา แต่มาทราบภายหลังว่านางอรสามารดาของนางสาวพิทยานั้นเป็นน้องสาวของนายพิจิตรบิดาของนายสมคิด จึงทําให้การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางสาวพิทยาเป็นโมฆะตามมาตรา 1450 เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1450 “ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี เป็นพี่น้องร่วม บิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะทําการสมรสกันไม่ได้ ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายโลหิตโดยไม่คํานึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1453 “หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น จะทําการสมรสใหม่ได้ ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน เว้นแต่…”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมคิดได้ทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวสุขใจในวันที่ 1 เมษายน และต่อมาได้ทราบความจริงว่านางสาวสุขใจได้มีสามีมาก่อนและได้จดทะเบียนหย่ากันแล้วในวันที่ 1 มีนาคมนั้น การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางสาวสุขใจย่อมถือว่าเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1453 กล่าวคือ นางสาวสุขใจได้ทําการสมรสใหม่ภายใน 310 วันนับแต่การสมรสเดิมได้สิ้นสุดลง แต่อย่างไรก็ตาม การฝ่าฝืน เงื่อนไขแห่งการสมรสตามมาตรา 1453 นั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการสมรสจะตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่ อย่างใด ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางสาวสุขใจจึงยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

การที่นายสมคิดไม่พอใจนางสาวสุขใจที่หลอกลวงปกปิดความจริง จึงได้ทําหนังสือหย่ากับ นางสาวสุขใจโดยลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายและมีพยานสองคนลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยในวันที่ 20 เมษายนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แล้วก็ตาม แต่เมื่อนายสมคิดและนางสาวสุขใจยังไม่ได้ จดทะเบียนการหย่าตามมาตรา 1515 ดังนั้น การหย่าระหว่างนายสมคิดกับนางสาวสุขใจจึงไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด จึงถือว่านายสมคิดและนางสาวสุขใจยังคงเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่เช่นเดิม

ส่วนการที่นายสมคิดได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิทยาในวันที่ 20 พฤษภาคม แต่มาทราบ ในภายหลังว่านางอรสามารดาของนางสาวพิทยาเป็นน้องสาวของนายพิจิตรบิดาของนายสมคิดนั้น ก็ไม่ถือว่า เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1450 อันจะทําให้การสมรสนั้นตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 แต่อย่างใด เพราะมิได้เป็นการสมรสระหว่างพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดา แต่อย่างไรก็ตาม

การที่นายสมคิดได้ทําการสมรสกับนางสาวพิทยานั้น ถือว่านายสมคิดได้ทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ (นางสาวสุขใจ) ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางสาวพิทยาจึงเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 1452 จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

สรุป การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางสาวพิทยามิได้ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1450 แต่ ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495

 

ข้อ 3 นายสาครเป็นสามีภริยากับนางแตงไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 นายสาครได้แอบไปอยู่กินฉันสามี ภริยากับนางสาวพิสมัยจนมีบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อนางแตงไทยทราบก็ต้องการฟ้องหย่านายสาคร แต่บิดามารดาของนางแตงไทยได้ทําการไกล่เกลี่ยไม่ให้มีการฟ้องร้องกันโดยให้คํานึงถึงบุตรซึ่งนางแตงไทยก็ตกลงยินยอม โดยได้ทําการตกลงกันว่านายสาครห้ามเกี่ยวข้องกับนางสาวพิสมัย และหญิงอื่นอีก ต่อมาในปี พ.ศ. 2563 นายสาครได้กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนางแตงไทยอีก นางแตงไทยต้องการฟ้องหย่านายสาคร แต่นายสาครได้กล่าวอ้างว่านางแตงไทยได้ให้อภัยแล้วโดยบิดามารดาของนางแตงไทยได้เป็นผู้ทําการไกล่เกลี่ยซึ่งนางแตงไทยก็ตกลงยินยอม เช่นนี้ นางแตงไทยจะสามารถทําการฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1518 “สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทําการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทําของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสาครเป็นสามีภริยากับนางแตงไทย และต่อมาในปี พ.ศ. 2561 นายสาครได้แอบไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวพิสมัยจนมีบุตรด้วยกัน 1 คนนั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุฟ้องหย่า ตามมาตรา 1516 (1) แล้ว เพราะเป็นกรณีที่สามีอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยา แต่อย่างไรก็ดีเมื่อนางแตงไทย ทราบและต้องการฟ้องหย่านั้น บิดามารดาของนางแตงไทยได้ทําการไกล่เกลี่ยไม่ให้มีการฟ้องร้องกัน โดยให้ คํานึงถึงบุตรซึ่งนางแตงไทยก็ตกลงยินยอมนั้น กรณีเช่นนี้ ถือว่านางแตงไทยได้กระทําการอันแสดงให้เห็นว่า ได้ให้อภัยในการกระทําของนายสาครแล้ว ดังนั้น ย่อมมีผลทําให้สิทธิฟ้องหย่าของนางแตงไทยหมดไปตามมาตรา 1518

และต่อมาในปี พ.ศ. 2563 การที่นายสาครได้กลับไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนางแตงไทยอีก และ นางแตงไทยต้องการฟ้องหย่านายสาครนั้น นางแตงไทยไม่สามารถจะฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากนายสาครได้ เนื่องจากสิทธิฟ้องหย่าด้วยเหตุดังกล่าวนั้นได้หมดไปแล้ว

สรุป นางแตงไทยจะทําการฟ้องหย่านายสาครและเรียกค่าทดแทนไม่ได้

 

ข้อ 4 นายเจริญกับนางแพรวาเป็นสามีภริยากัน ต่อมานายอนุชิตบิดานางแพรวาได้ยกที่ดิน 1 แปลงให้ นางแพรวาโดยทําถูกต้องตามกฎหมาย นางแพรวาได้ทําสัญญาให้นายศักดาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวนี้ มีกําหนดเวลา 30 ปี โดยทําถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับค่าเช่าเป็นจํานวนเงิน 8 ล้านบาท ต่อมา นางแพรวาได้ทําสัญญาให้นายสมบูรณ์กู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นจํานวนเงิน 4 ล้านบาท เมื่อนายเจริญ ทราบก็ไม่พอใจที่ไม่ทําการปรึกษาสามีก่อนและทําสัญญาไปโดยลําพัง จึงต้องการฟ้องเพิกถอนการให้เช่าที่ดินและการให้กู้ยืมเงิน

เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(4) ให้กู้ยืมเงิน

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเจริญกับนางแพรวาเป็นสามีภริยากัน ต่อมานายอนุชิตบิดานางแพรวา ได้ยกที่ดิน 1 แปลงให้นางแพรวาโดยทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น แม้ที่ดินดังกล่าวจะเป็นทรัพย์สินที่นางแพรวา ได้มาในระหว่างสมรส แต่เมื่อเป็นทรัพย์สินที่นางแพรวาได้มาโดยการให้โดยเสน่หา ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของนางแพรวาตามมาตรา 1471 (3) ดังนั้น การที่นางแพรวาได้ทําสัญญาให้นายศักดาเช่าที่ดิน แปลงดังกล่าวนี้มีกําหนดเวลา 30 ปี โดยทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น นางแพรวาสามารถทําสัญญาให้เช่าที่ดินได้ โดยลําพัง เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นสินส่วนตัว นางแพรวาจึงสามารถทําได้ตามมาตรา 1473 นายเจริญจะฟ้องเพิกถอนการให้เช่าที่ดินตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งไม่ได้

ส่วนค่าเช่าที่ดินที่นางแพรวาได้รับเป็นจํานวนเงิน 8 ล้านบาทนั้น ถือเป็นดอกผลของสินส่วนตัว จึงถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (3) ดังนั้น การที่นางแพรวาได้นําเงินดังกล่าวเป็นจํานวน 4 ล้านบาท ให้นายสมบูรณ์กู้ยืมโดยลําพังนั้น นางแพรวาไม่สามารถจะทําได้ เนื่องจากการให้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นสินสมรสนั้น สามีและภริยาจะต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อนตามมาตรา 1476 (4) ดังนั้น นายเจริญจึงสามารถฟ้องเพิกถอนการทําสัญญาให้นายสมบูรณ์กู้ยืมเงินได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป นายเจริญจะฟ้องเพิกถอนการให้เช่าที่ดินไม่ได้ แต่สามารถฟ้องเพิกถอนการให้กู้ยืมเงินได้

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ในเดือนเมษายน นายพิษณุได้พานางสาวทิพวรรณแฟนสาวไปที่ร้านขายเพชรและซื้อแหวนเพชร ราคา 300,000 บาท สวมให้นางสาวทิพวรรณต่อหน้าพนักงานขายโดยตกลงกันว่าจะทําการสมรสกัน ในเดือนพฤศจิกายน นางสาวทิพวรรณเห็นว่านายพิษณุรักตนจริง จึงได้ลาออกจากงานไปช่วย ทํางานที่บ้านของนายพิษณุและไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนายพิษณุ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน นายพิษณุไม่ยอมจดทะเบียนสมรสแต่กลับพานางสาวเพชรามาอยู่กินฉันสามีภริยาและขับไล่ให้นางสาวทิพวรรณกลับบ้านของตน

(ก) นางสาวทิพวรรณได้ไปตรวจร่างกายจึงทราบว่ากําลังตั้งครรภ์อยู่ จึงต้องการฟ้องให้นายพิษณุ ทําการจดทะเบียนสมรสตามสัญญาได้หรือไม่ และ

(ข) จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนางสาวทิพวรรณจะฟ้องนายพิษณุได้หรือไม่ และจะมีสิทธิอะไรบ้างเพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิษณุได้พานางสาวทิพวรรณแฟนสาวไปที่ร้านขายเพชรและซื้อ แหวนเพชรราคา 300,000 บาท สวมให้นางสาวทิพวรรณต่อหน้าพนักงานขายโดยตกลงกันว่าจะทําการสมรสกัน ในเดือนพฤศจิกายนนั้น เมื่อมีการส่งมอบของหมั้นคือแหวนเพชรให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นแล้ว ย่อมถือว่าเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์แล้วตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1439 ประกอบมาตรา 1440

(ก) การที่นางสาวทิพวรรณได้ไปตรวจร่างกายจึงทราบว่ากําลังตั้งครรภ์อยู่จึงต้องการฟ้องให้ นายพิษณุทําการจดทะเบียนสมรสตามสัญญาหมั้น ย่อมไม่สามารถทําได้ เนื่องจากมาตรา 1438 ได้บัญญัติไว้ว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้

(ข) การที่นางสาวทิพวรรณเห็นว่านายพิษณุรักตนจริง จึงได้ลาออกจากงานไปช่วยทํางานที่บ้าน ของนายพิษณุและไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนายพิษณุ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน นายพิษณุไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนางสาวทิพวรรณแต่กลับพานางสาวเพชรามาอยู่กินฉันสามีภริยาและขับไล่ให้นางสาวทิพวรรณกลับบ้านของตนนั้น ย่อมถือว่านายพิษณุเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ดังนั้น นางสาวทิพวรรณจึงสามารถฟ้องนายพิษณุให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้โดยไม่ต้องคืนของหมั้นให้แก่นายพิษณุ และค่าทดแทนที่นางสาวทิพวรรณ มีสิทธิเรียกร้องเอาจากนายพิษณุได้นั้น ได้แก่

1 ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายต่อกายและชื่อเสียงของนางสาวทิพวรรณตามมาตรา1440 (1)

2 ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายเนื่องจากการที่นางสาวทิพวรรณได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรสตามมาตรา 1440 (3)

ซึ่งในการเรียกค่าทดแทนดังกล่าวนั้น ตามมาตรา 1440 วรรคสอง ได้กําหนดไว้ว่า ศาลอาจชี้ขาดว่าของหมั้นที่ตกเป็นสิทธิแก่หญิงนั้นให้เป็นค่าทดแทนทั้งหมดหรือเป็นส่วนหนึ่งของค่าทดแทนที่นางสาวทิพวรรณจึงได้รับก็ได้

สรุป

(ก) นางสาวทิพวรรณจะฟ้องให้นายพิษณุทําการจดทะเบียนสมรสตามสัญญาไม่ได้

(ข) นางสาวทิพวรรณสามารถฟ้องนายพิษณุกรณีผิดสัญญาหมั้นได้ และมีสิทธิเรียกให้ นายพิษณุรับผิดใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 1440 (1) และ (3) ได้ โดยไม่ต้องคืนของหมั้นให้แก่นายพิษณุ

 

ข้อ 2 นายเมฆจดทะเบียนสมรสกับนางเดือน แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ทั้งสองคนจึงร่วมกันจดทะเบียนรับ น.ส.ฝน เป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาทั้งสองคนไม่ต้องการเป็นสามีภริยากัน จึงทําหนังสือตกลงว่า จะหย่ากันโดยมีบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายลงชื่อเป็นพยานในหนังสือฉบับนี้ หลังจากนั้นนายเมฆ ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ฝน ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตน ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก) การสมรสระหว่างนายเมฆและนางเดือนยังคงมีผลในทางกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) การสมรสระหว่างนายเมฆและ น.ส.ฝน มีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1451 “ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458เป็นโมฆะ”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเมฆจดทะเบียนสมรสกับนางเดือน แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ทั้งสองจึงร่วมกันจดทะเบียน รับ น.ส.ฝน เป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาทั้งสองคนไม่ต้องการเป็นสามีภริยากัน จึงทําหนังสือตกลงกันว่าจะหย่ากัน โดยมีบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายลงชื่อเป็นพยานในหนังสือฉบับนี้นั้น แม้หนังสือหย่านั้นจะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 วรรคสองแล้วก็ตาม แต่เมื่อยังมิได้จดทะเบียนการหย่าตามมาตรา 1515 ดังนั้น การหย่าระหว่างนายเมฆ กับนางเดือนจึงยังมีผลไม่สมบูรณ์ และให้ถือว่าการสมรสระหว่างนายเมฆและนางเดือนยังไม่สิ้นสุดลงตามมาตรา 1457 ประกอบมาตรา 1501

(ข) ต่อมาการที่นายเมฆไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ฝน ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมนั้น แม้จะเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1451 ซึ่งห้ามมิให้ผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมสมรสกันก็ตาม แต่การสมรสกรณีนี้ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การสมรสเป็นโมฆะแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการสมรสระหว่างนายเมฆกับ นางเดือนยังมีผลตามกฎหมายอยู่ การจดทะเบียนสมรสระหว่างนายเมฆกับ น.ส.ฝน จึงเป็นการจดทะเบียน สมรสซ้อน คือเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ตามมาตรา 1452 ดังนั้น การสมรสระหว่างนายเมฆและ น.ส.ฝน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

สรุป

(ก) การสมรสระหว่างนายเมฆและนางเดือนยังมีผลในทางกฎหมายยังไม่สิ้นสุดลง

(ข) การสมรสระหว่างนายเมฆและ น.ส.ฝน มีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายขมและนางหวานเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายขมได้ให้แหวนเพชรที่นายชมมีมาก่อนสมรส แก่นางหวาน สิบปีต่อมานายขมและนางหวานทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองตกลงแยกกันอยู่ นายขมไปคบกับนางสาวเปรี้ยว นายขมได้มาขอแหวนเพชรคืนจากนางหวานเพื่อที่นายขมจะนําไปให้ นางสาวเปรี้ยว แต่นางหวานไม่ยอมคืนให้นายขม ต่อมานายขมนําเงินที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปซื้อบ้านและที่ดิน 1 แปลง โดยใส่ชื่อนายขมในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นนายขมทําหนังสือและจดทะเบียนสิทธิอาศัยในบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นเวลา 10 ปี ให้กับนายจืดและ นางพริกซึ่งเป็นบิดาและมารดาของนางสาวเปรี้ยว โดยนางหวานไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมแต่อย่างใด ต่อมานายขมทําสัญญาให้นายจืดเช่ารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสเพื่อทําเป็นรถแท็กซี่เป็น ระยะเวลา 5 ปี โดยนายจืดก็ทราบว่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นสินสมรสของนายชมและนางหวาน แต่นางหวานไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้เช่ารถยนต์นั้น นางหวานมาทราบเรื่องราว ต่าง ๆ ภายหลัง นางหวานโกรธมาก ดังนี้

(ก) นางหวานจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยในบ้านและที่ดินและการให้เช่ารถยนต์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นายขมจะบอกล้างนิติกรรมการให้แหวนเพชรกับนางหวานเพื่อที่จะนําไปให้นางสาวเปรี้ยว ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน (1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับฃความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายขมและนางหวานเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายและทั้งสองตกลงแยกกันอยู่นั้น ยังถือว่าทั้งสองยังเป็นสามีภริยากันอยู่เมื่อนายขมถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ย่อมถือว่าเงินรางวัลดังกล่าว เป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส และเมื่อนายขมได้นําเงิน ที่เป็นสินสมรสไปซื้อบ้านและที่ดิน 1 แปลง บ้านและที่ดินดังกล่าวก็ถือว่าเป็นสินสมรสเช่นเดียวกัน แม้จะใส่ชื่อนายขมในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม

การที่นายขมได้ทําหนังสือและจดทะเบียนสิทธิอาศัยในบ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นเวลา 10 ปี ให้กับนายจืดและนางพริกซึ่งเป็นบิดาและมารดาของนางสาวเปรี้ยวนั้น ถือเป็นการทํานิติกรรมตามมาตรา 1476 (2) ที่สามีและภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เมื่อนายขม ได้ทํานิติกรรมดังกล่าวโดยนางหวานไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมด้วย นางหวานจึงสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยในบ้านและที่ดินที่เป็นสินสมรสดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่นายขมทําสัญญาให้นายจืดเช่ารถยนต์ที่เป็นสินสมรสเป็นเวลา 5 ปี โดยไม่ได้รับ ความยินยอมจากนางหวานนั้น เมื่อรถยนต์เป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ จึงไม่ใช่การทํานิติกรรม ตามมาตรา 1476 (3) ที่สามีและภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายขมจึงมีอํานาจในการจัดการให้นายจืดเช่ารถยนต์ที่เป็นสินสมรสเป็นเวลา 5 ปีตามลําพังได้ นางหวานจึงไม่สามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่ารถยนต์ดังกล่าวได้

(ข) การที่นายขมได้ให้แหวนเพชรที่นายขมมีมาก่อนสมรสซึ่งเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1471 (1) แก่นางหวานนั้น ถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 นายขมจึงมีสิทธิบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็น สามีภริยากันได้ และเมื่อนายขมได้บอกล้างสัญญาระหว่างสมรสดังกล่าวแล้ว แหวนเพชรดังกล่าวก็จะกลับมาเป็น สินส่วนตัวของนายขม และนายขมก็มีสิทธิจัดการแหวนเพชรโดยเอาไปให้นางสาวเปรี้ยวได้ตามมาตรา 1473

สรุป

(ก) นางหวานจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยในบ้านและที่ดินได้แต่จะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่ารถยนต์ไม่ได้

(ข) นายขมสามารถบอกล้างนิติกรรมการให้แหวนเพชรกับนางหวานเพื่อที่จะนําไปให้นางสาวเปรี้ยวได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานายดําเข้ามาสนิทสนมกับครอบครัวนายไก่และนางไข่ นายไก่สังเกตว่าภริยาของตนจะสนิทสนมกับนายดําเกินไปจึงตกลงหย่ากัน โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย มีลูกสาว 2 คนลงนามเป็นพยานและไม่ขัดข้องที่นางไข่ จะอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายดํา ต่อมานางไข่มีลูกกับนายดําคือเด็กชายแดง ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว

(ก) การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(ข) การที่นางไข่ไปมีเพศสัมพันธ์กับนายดําจนมีลูกกับนายดํา นายไก่จะใช้เป็นเหตุฟ้องหย่านางไข่ได้หรือไม่

(ค) เด็กชายแดงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายไก่และนางไข่ได้ตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และมีลูกสาว 2 คนลงนามเป็นพยานนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แต่เมื่อนายไก่และนางไข่ยังไม่ได้ จดทะเบียนการหย่า การหย่าโดยความยินยอมระหว่างนายไก่และนางไข่จึงยังไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 1515)

(ข) การที่นางไข่ได้ไปอยู่กินและมีเพศสัมพันธ์กับนายดํานั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นางไข่มีชู้เพราะนางไข่ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่อยู่ โดยหลักนายไก่ย่อมถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่า การที่นางไข่ไปมีเพศสัมพันธ์และอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายดํานั้น นายไก่ได้รู้เห็นเป็นใจและยินยอมด้วย ดังนั้น นายไก่จะยกเอาเหตุดังกล่าวขึ้นมาเพื่อฟ้องหย่านางไข่ไม่ได้ตาม มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(ค) เมื่อนายไก่และนางไข่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เพราะการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง (เนื่องจากการหย่ายังไม่สมบูรณ์) การที่นางไข่มีบุตร 1 คน คือเด็กชายแดง เด็กชายแดงย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางไข่ตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ เพราะเด็กชายแดงได้เกิดในขณะที่นางไข่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536

สรุป

(ก) การตกลงหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลไม่สมบูรณ์

(ข) นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ไม่ได้

(ค) เด็กชายแดงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายสุชาติได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัย ต่อมานางสาวอรทัยได้จดทะเบียนสมรสกับนายวุฒิชัยซึ่งเป็นญาติกับนายสุชาติ ต่อมานายสุชาติได้ทําสัญญาหมั้นนางสาวปราณีด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 300,000 บาท โดยมีญาติพี่น้องและนายวุฒิชัยกับนางสาวอรทัยมาร่วมแสดง ความยินดีด้วย ปรากฏว่าต่อมานายสุชาติได้ไปเที่ยวเตร่พบกับนางสาวอรทัยและได้เกินเลยไปมี ความสัมพันธ์ทางเพศกัน เช่นนี้

(ก) เมื่อนางสาวปราณีทราบว่านายสุชาติได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนางสาวอรทัย ก็เห็นว่านายสุชาติไม่เหมาะสมที่จะมีครอบครัวด้วย นางสาวปราณีไม่ต้องการจดทะเบียนสมรสกับนายสุชาติได้หรือไม่ (แต่นายสุชาติยังต้องการสมรสกับนางสาวปราณี) เพราะเหตุตาม กฎหมายใด จงอธิบาย

(ข) นางสาวปราณีต้องการเรียกร้องค่าทดแทนจากนายสุชาติได้หรือไม่ เพราะเหตุตามกฎหมายใด จงอธิบาย

(ค) นางสาวปราณีต้องการเรียกร้องค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้หรือไม่ เพราะเหตุตาม กฎหมายใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น”

มาตรา 1445 “ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุชาติได้ทําสัญญาหมั้นนางสาวปราณีด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 300,000 บาทนั้น เมื่อมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว การหมั้นย่อมสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และจากข้อเท็จจริงการที่นายสุชาติได้ไปเที่ยวเตร่พบกับนางสาวอรทัยซึ่งได้จดทะเบียนสมรสกับนายวุฒิชัยแล้ว และได้เกินเลยไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกันนั้น เช่นนี้

(ก) เมื่อนางสาวปราณีทราบว่านายสุชาติคู่หมั้นได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนางสาวอรทัย และเห็นว่านายสุชาติไม่เหมาะสมที่จะมีครอบครัวด้วย การที่นางสาวปราณไม่ต้องการจดทะเบียนสมรสกับ นายสุชาตินั้น ย่อมสามารถทําได้ โดยนางสาวปราณีกล่าวอ้างได้ว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิง ไม่สมควรสมรสกับชายนั้นตามมาตรา 1443

(ข) การที่นางสาวปราณีต้องการเรียกร้องค่าทดแทนจากนายสุชาตินั้น ย่อมสามารถทําได้ โดยอ้างว่าเหตุสําคัญอันเกิดแก่นายสุชาติคู่หมั้นนั้นเป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรงของนายสุชาติซึ่งได้ กระทําภายหลังการหมั้น คือ การที่นายสุชาติได้ไปเที่ยวเตร่พบกับนางสาวอรทัยและได้เกินเลยไปมีความสัมพันธ์ ทางเพศกันนั้น ถือเป็นการกระทําที่เป็นชู้หรือมีชู้กับภริยาผู้อื่นซึ่งถือเป็นการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ดังนั้นนายสุชาติจึงต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่นางสาวปราณีเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1444

(ค) การที่นางสาวปราณีต้องการเรียกร้องค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยนั้น ย่อมสามารถทําได้ เนื่องจากนางสาวอรทัยได้ร่วมประเวณีกับนายสุชาติคู่หมั้นของนางสาวปราณีโดยรู้ถึงการหมั้นระหว่างนายสุชาติกับนางปราณีแล้ว ดังนั้น นางสาวปราณีจึงสามารถเรียกร้องค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้ เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นกับนายสุชาติตามมาตรา 1443 แล้ว

สรุป

(ก) นางสาวปราณีไม่ต้องการจดทะเบียนสมรสกับนายสุชาติได้กับนายสุชาติแล้ว

(ข) นางสาวปราณีสามารถเรียกร้องค่าทดแทนจากนายสุชาติได้

(ค) นางสาวปราณีสามารถเรียกร้องค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้น

 

ข้อ 2 นางสาวภัสสร อายุ 19 ปี ได้จดทะเบียนสมรสกับนายอนุชิต อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่โดยไม่บอกให้ใครทราบ สองเดือนต่อมานายอนุชิตได้ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยแฟนเก่าโดยไม่ทราบว่านางสาวภัสสรได้ตั้งครรภ์แล้วหนึ่งเดือน นางสาวภัสสรเสียใจมากจึงได้ จดทะเบียนสมรสกับนายประสม อายุ 25 ปี ซึ่งมีฐานะดีตามที่บิดามารดาของนางสาวภัสสรได้ แนะนําและยินยอมให้ทําการสมรสกันโดยถูกต้อง เมื่อนายอนุชิตทราบว่านางสาวภัสสรตั้งครรภ์ จึงต้องการฟ้องว่าการสมรสของนายประสมผิดกฎหมาย แต่นายประสมก็กล่าวอ้างว่าได้ จดทะเบียนสมรสโดยบิดามารดาของนางสาวภัสสรยินยอมถูกต้องทุกประการ เช่นนี้ท่านเห็นว่า การสมรสของทั้งสองกรณีมีผลเป็นอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา

การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอน การสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวภัสสรอายุ 19 ปีซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้จดทะเบียนสมรสกับนายอนุชิต อายุ 21 ปีซึ่งเป็นเพื่อนโดยไม่บอกให้ใครทราบนั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ได้สมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจาก บิดามารดา จึงเป็นการสมรสที่เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 (1) ดังนั้น การสมรสระหว่างนางสาวภัสสรและนายอนุชิตจึงตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 1509 บิดามารดาของนางสาวภัสสรสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิขอให้เพิกถอนการสมรสตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่งนั้น ย่อมเป็นอันระงับ เมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ (มาตรา 1510 วรรคสอง) ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าสองเดือนต่อมานางสาวภัสสรได้ตั้งครรภ์แล้วหนึ่งเดือน บิดามารดาของนางสาวภัสสรจึงขอเพิกถอนการสมรสอีกไม่ได้ จึงมีผลทําให้การสมรสระหว่างนางสาวภัสสรและนายอนุชิตมีผลสมบูรณ์

เมื่อการสมรสระหว่างนางสาวภัสสรกับนายอนุชิตมีผลสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อนางสาวภัสสรได้มา จดทะเบียนสมรสกับนายประสมอีกแม้จะได้รับความยินยอมจากบิดามารดาก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อ บทบัญญัติมาตรา 1452 คือเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ ดังนั้น การสมรสระหว่างนางสาวภัสสรกับ นายประสมจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

สรุป การสมรสระหว่างนางสาวภัสสรกับนายอนุชิตมีผลสมบูรณ์ ส่วนการสมรสระหว่างนางสาวภัสสร กับนายประสมเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายชาติชายได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอุสาและได้มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน ต่อมานายชาติชาย ก็ได้รู้จักรักใคร่กับนางสาวแตงไทยซึ่งเป็นเพื่อนรู้จักกับนางสาวอุสาดี นายชาติชายได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวแตงไทย ภายหลังการสมรสนายชาติชายยังมีความสัมพันธ์กับนางสาวอุสาอยู่อีก และอุปการะเลี้ยงดูเนื่องจากมีบุตรด้วยกัน นางสาวแตงไทยทะเลาะเบาะแว้งกับนายชาติชาย แต่นายชาติชายกล่าวอ้างว่านางสาวแตงไทยรู้จักและทราบเรื่องการมีบุตรกับนางสาวอุสาทุกอย่าง ก่อนจดทะเบียนสมรสอยู่แล้ว จึงไม่สามารถฟ้องหย่าได้ เช่นนี้ นางสาวแตงไทยจะสามารถฟ้องหย่า และมีวิธีที่จะเรียกค่าทดแทนจากทั้งนายชาติชายและนางสาวอุสาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวแตงไทย และภายหลังการสมรสนายชาติชายยังมีความสัมพันธ์กับนางสาวอุสาอยู่อีกและอุปการะเลี้ยงดูเนื่องจากมีบุตรด้วยกันนั้น

ถือว่าเป็นกรณีที่นายชาติชายสามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยา ดังนั้น นางสาวแตงไทยย่อมถือเป็น เหตุที่จะฟ้องหย่านายชาติชายได้ตามมาตรา 1516 (1) ส่วนการที่นายชาติชายกล่าวอ้างว่านางสาวแตงไทยรู้จัก และทราบเรื่องการมีบุตรกับนางสาวอุสา ทุกอย่างก่อนการจดทะเบียนอยู่แล้วจึงไม่สามารถฟ้องหย่าได้นั้น ไม่อาจถือว่าเป็นการยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําของนายชาติชายซึ่งจะเป็นเหตุยกเว้นทําให้นางสาวแตงไทย ไม่สามารถฟ้องหย่าตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด

ส่วนการที่นางสาวแตงไทยจะเรียกค่าทดแทนจากทั้งนายชาติชายและนางสาวอุสานั้น นางสาวแตงไทยสามารถทําได้โดยวิธีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ นางสาวแตงไทยจะต้องฟ้องหย่านายชาติชาย ตามมาตรา 1516 (1) ก่อน และเมื่อศาลได้พิพากษาให้หย่ากันแล้ว นางสาวแตงไทยก็จะมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก นายชาติชายและนางสาวอุสาได้

สรุป นางสาวแตงไทยสามารถฟ้องหย่านายชาติชายได้ และสามารถเรียกค่าทดแทนจากนายชาติชาย และนางสาวอุสาได้ เมื่อนางสาวแตงไทยฟ้องหย่านายชาติชายเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) และศาลได้พิพากษา ให้หย่ากันแล้ว

 

ข้อ 4 นายสุรชัยเป็นสามีภริยากับนางแพรวตา ภายหลังการสมรสนายสุรชัยเห็นว่านางแพรวตาต้องทําธุรกิจการค้าจึงได้ทําหนังสือยินยอมให้นางแพรวตาสามารถทําการจัดการสินสมรสทั้งหมดตามมาตรา 1476 ได้โดยลําพัง ต่อมานางแพรวตาได้รับมรดกที่ดินมาจึงไปให้เช่ามีกําหนด 30 ปี ได้รับเงินค่าเช่ามา 5 ล้านบาท นางแพรวตานําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อที่ดินมา 1 แปลงและให้เงิน 400,000 บาทแก่นายอภิชาตน้องชาย นายสุรชัยไม่พอใจที่นางแพรวตาไม่ปรึกษาหารือกับตนก่อนดําเนินการจึงต้องการฟ้องเพิกถอนการซื้อที่ดินและการให้เงินดังกล่าว เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดินสิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุรชัยซึ่งเป็นสามีภริยากับนางแพรวตาได้ทําหนังสือยินยอมภายหลัง การสมรสให้นางแพรวตาสามารถทําการจัดการสินสมรสทั้งหมดตามมาตรา 1476 ได้โดยลําพังนั้น หนังสือให้ความยินยอมดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้เพราะกรณีที่สามีและภริยาจะตกลงในเรื่องการจัดการสินสมรสให้แตกต่าง ไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้นั้น จะต้องได้ทําสัญญากันไว้ก่อนสมรสตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1465 และมาตรา 1466 (มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อนายสุรชัยและนางแพรวตาไม่ได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายสุรชัยและนางแพรวตาในเรื่องการจัดการสินสมรสจึงต้องบังคับตามมาตรา 1476

การที่นางแพรวตาได้รับมรดกเป็นที่ดินมานั้น ที่ดินดังกล่าวถือเป็นสินส่วนตัวของนางแพรวตา ตามมาตรา 1471 (3) แต่ค่าเช่าจํานวน 5 ล้านบาท ถือเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (3) เพราะเป็นดอกผล ของสินส่วนตัว และเมื่อนางแพรวตาได้นําเงินที่ได้รับจากค่าเช่าที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสจํานวน 3 ล้านบาทไปซื้อที่ดินมา 1 แปลงนั้น ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1476 ดังนั้น นางแพรวตาจึงสามารถทําได้โดยลําพัง โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากนายสุรชัย นายสุรชัยจึงไม่สามารถฟ้องเพิกถอนการซื้อที่ดินได้

ส่วนการที่นางแพรวตาได้นําเงินจากค่าเช่าที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสจํานวน 400,000 บาทให้แก่ นายอภิชาตน้องชายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสุรชัยนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1476 (5) ดังนั้น นายสุรชัยจึงสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป นายสุรชัยจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่ดินไม่ได้ แต่สามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เงินดังกล่าวได้

LAW2107 (LAW2007) กฎหมายอาญา 2 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2107 (LAW 2007) กฎหมายอาญา 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ดําไปติดต่อราชการขอทําบัตรประชาชนที่อําเภอแห่งหนึ่ง ขาวปลัดอําเภอมีหน้าที่ออกบัตร ประชาชนตามระเบียบของกระทรวงฯ กําลังดําเนินการให้ ดําเห็นว่าขาวบริการให้ไม่ทันใจล่าช้า จึงพูดว่าช่วยลัดคิวให้หน่อย ขาวบอกกับดำว่าต้องเป็นไปตามลําดับก่อนหลังของผู้มาใช้บริการ ดําโกรธไม่พอใจจึงเดินออกมาจากอําเภอ ระหว่างลงบันได ดําพบแม่ค้าน้ำปั่นใต้ที่ทําการจึงพูด กับแม่ค้าว่า “ป้ารู้จักไอ้ปลัดขาวใช่ไหม ฝากไปบอกมันด้วยว่าไม่รู้เสียแล้วว่ากูเป็นใคร กูทนรอมัน มานานแล้วไอ้ปลัดสัตว์หมา” แม่ค้าน้ำปั่นวิ่งขึ้นไปบนอําเภอบอกข้อความนี้แก่ขาว ดังนี้ ดํามี ความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้

  1. ดูหมิ่น
  2. เจ้าพนักงาน
  3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
  4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือ ด่าแช่ง ต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอว่า “อ้ายเย็ดแม่” “ตํารวจชาติหมา” หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงาน อยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 กรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ

(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่

ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําไปติดต่อราชการเพื่อขอทําบัตรประชาชนที่อําเภอแห่งหนึ่ง โดยมีขาว ปลัดอําเภอมีหน้าที่ออกบัตรประชาชนกําลังดําเนินการให้ ดําเห็นว่าขาวบริการให้ไม่ทันใจล่าช้าจึงพูดว่าช่วยลัดคิว ให้หน่อย ขาวบอกกับคําว่าต้องเป็นไปตามลําดับก่อนหลังของผู้มาใช้บริการ ดําโกรธไม่พอใจจึงเดินออกมาจาก อําเภอ และระหว่างลงบันไดดําได้พูดกับแม่ค้าน้ำปั่นว่า “ป้ารู้จักไอ้ปลัดขาวใช่ไหม ฝากไปบอกมันด้วยว่าไม่รู้เสียแล้ว ว่ากูเป็นใคร กูทนรอมันมานานแล้วไอ้ปลัดสัตว์หมา” นั้น จะเห็นได้ว่าคําพูดของดําที่ว่า “ไอ้ปลัดสัตว์หมา” นั้น เป็นคําที่มีลักษณะเป็นการดูถูกเหยียดหยามขาวซึ่งเป็นปลัดอําเภอ และแม้ว่าดําจะพูดกับแม่ค้าน้ำปั่นโดยที่ขาวไม่ได้ยินเพราะเป็นการพูดลับหลัง ก็ถือว่าเป็นการดูหมิ่นขาวซึ่งเป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 136 ดําจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

สรุป ดํามีความผิดอาญาฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

 

ข้อ 2 นายเขียวไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวนว่า มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายแดง ข้อเท็จจริง ได้ความว่า ไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายแดงแต่ประการใด ซึ่งนายเขียวก็ทราบดี ดังนี้ นายเขียวมีความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 173 “ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือ เจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทําความผิด ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้

  1. รู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น
  2. แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา
  3. ว่าได้มีการกระทําความผิด
  4. โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับคดีอาญา ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว ต้องปรับตามบทมาตรา 172 มิใช่มาตรา 173

ซึ่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

และการแจ้งตามมาตรา 173 นี้ อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญเพราะไม่ใช่ องค์ประกอบแห่งความผิด เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทําผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทําผิดแล้ว ย่อมเป็นความผิดสําเร็จทันที ทั้งนี้ผู้กระทําผิดจะต้องได้กระทําโดยมีเจตนาด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเขียวไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายแดง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีคนร้ายลักทรัพย์ที่บ้านของนายแดงแต่ประการใดนั้น ถือเป็นกรณีที่นายเขียวรู้ว่า มิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น

แต่ไปแจ้งความแก่พนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น และได้กระทําไปโดยมีเจตนา การกระทําของนายเขียวจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ดังนั้น นายเขียวจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

สรุป นายเขียวมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

 

ข้อ 3 นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะวางเพลิงเผาตึก ที่ทําการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง นายห้าคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการกระทําครั้งนี้ และไม่ไปร่วมทําการตามที่นัดหมาย ส่วนนายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ถูกตํารวจจับได้ ในระหว่างกําลังหิ้วน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟมาวางข้างตึกคณะนิติศาสตร์ ดังนี้ บุคคลทั้งห้า มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน และมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 219 “ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218 ต้อง ระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทําความผิดนั้น ๆ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนประการใดหรือไม่ เห็นว่า

ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

  1. สมคบกัน
  2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
  3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
  4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ

(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูงเป็น อัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทํา ความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่ กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษา หารือกันว่าจะวางเพลิงเผาตึกที่ทําการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง แต่นายห้าคัดค้านไม่เห็นด้วยและไม่ไปร่วมทําการตามที่นัดหมายนั้น ไม่ถือว่าเป็นการสมคบกันครบห้าคนในความผิดฐานเป็นซ่องโจร เพราะคําว่าสมคบนั้น หมายถึง การปรึกษาหารือแล้วตกลงร่วมกันที่จะกระทําความผิด แต่เมื่อนายห้าไม่ได้ ตกลงร่วมกันด้วยกับพวกอีกสี่คน ผู้ที่สมคบกันกระทําความผิดจึงมีเพียงสี่คน ดังนั้น บุคคลทั้งห้าจึงไม่มีความผิด ฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่ เห็นว่า

ความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

  1. ตระเตรียม
  2. เพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218
  3. โดยเจตนา

โดยทั่วไปแล้ว การตระเตรียมการยังไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะยังไม่ลงมือกระทําความผิด แต่การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น มีผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน อย่างร้ายแรง ดังนั้นการตระเตรียมการเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น จึงเป็นความผิดแล้ว และต้องระวางโทษ เท่ากับพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217 หรือมาตรา 218 แล้วแต่กรณี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ถูกตํารวจจับได้ในระหว่าง กําลังหิ้วน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟมาวางข้างตึกนิติศาสตร์นั้น การกระทําของบุคคลทั้งสี่ย่อมถือว่าอยู่ในขั้น ตระเตรียมการวางเพลิงแล้ว เพราะเป็นการกระทําด้วยประการใด ๆ อันนําไปสู่การกระทําความผิดสําเร็จได้ และถือว่าเป็นการตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (มหาวิทยาลัยรามคําแหง คือเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ) ตามมาตรา 213 (4) ซึ่งได้กระทําโดยมีเจตนา ดังนั้น บุคคลทั้งสี่จึงมีความผิดฐาน ตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 ส่วนนายห้าไม่มีความผิดฐานนี้ด้วย เพราะไม่ได้ร่วมกระทําผิด

สรุป บุคคลทั้งห้าไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 แต่นายหนึ่ง นายสอง นายสามและนายสี่ มีความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219

 

ข้อ 4 นายแดงซื้อรถยนต์มือสองจํานวน 1 คัน จากนายม่วงในราคา 300,000 บาท โดยชําระเงินสด ในวันทําสัญญากึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือนายแดงสั่งจ่ายเช็คผู้ถือจํานวน 1 ฉบับ ชําระหนี้ให้แก่นายม่วง โดยนายแดงประทับตราปลอมของธนาคารไทยนิยม จํากัด (มหาชน) และลงลายมือชื่อของ กรรมการธนาคารดังกล่าวด้านหลังเช็คผู้ถือเพื่อแสดงว่ามีการสลักหลังรับรองเช็ค ต่อมาเช็ค ฉบับดังกล่าวถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน นายม่วงจึงทวงถามให้ธนาคารไทยนิยม จํากัด (มหาชน) ชําระหนี้ตามเช็ค ให้วินิจฉัยว่า นายแดงมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอน ข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร ที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ….”

มาตรา 268 “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่ บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

ถ้าผู้กระทําความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

  1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ

(ค) ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

  1. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
  2. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
  3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงซื้อรถยนต์จากนายม่วงและได้ชําระเงินสดในวันทําสัญญากึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือนายแดงสั่งจ่ายเช็คผู้ถือจํานวน 1 ฉบับ ชําระหนี้ให้แก่นายม่วง โดยนายแดงประทับตราปลอมของ ธนาคารไทยนิยม จํากัด (มหาชน) และลงลายมือชื่อของกรรมการธนาคารดังกล่าวด้านหลังเช็คผู้ถือเพื่อแสดงว่า มีการสลักหลังรับรองเช็คนั้น การกระทําของนายแดงที่ประทับตราปลอมของธนาคารฯ และลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร (เช็ค) น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และเมื่อได้กระทําโดยเจตนาเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร ที่แท้จริง จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายแดงจึงมีความผิด ฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264

และเมื่อนายแดงได้ยื่นเช็คฉบับดังกล่าวชําระหนี้ให้กับนายม่วง จึงเป็นกรณีที่นายแดงได้ใช้เอกสาร อันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 นายแดงจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง แต่เมื่อนายแดงเป็นทั้งผู้ปลอมเอกสารและเป็นผู้ใช้เอกสารปลอม ดังนั้น จึงต้องลงโทษ นายแดงฐานใช้เอกสารปลอมเพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง

สรุป นายแดงมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 และฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268

LAW2107 (LAW2007) กฎหมายอาญา2 s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2107 (LAW 2007) กฎหมายอาญา 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายสุดหล่อลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ตํารวจสายตรวจไปพบเข้าจึงล้อมจับ นายสุดหล่อได้สับคัทเอ้าท์ลงทําให้ไฟฟ้าทั้งหลังดับ แล้วจึงอาศัยความมืดหลบหนีไป ดังนี้ นายสุดหล่อมีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 138 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตาม กฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 138 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ

1 ต่อสู้หรือขัดขวาง

2 เจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่

3 โดยเจตนา

“ต่อสู้” หมายถึง การใช้กําลังขัดขืน เพื่อไม่ให้การกระทําของเจ้าพนักงานสําเร็จผล เช่น สะบัดมือ ให้พ้นจากการจับกุม หรือดิ้นจนหลุด

“ขัดขวาง” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าพนักงานหรือทําให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลําบาก เพื่อไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้นประสบความสําเร็จ เช่น ตํารวจจะวิ่งเข้าไปจับนาย ก. นาย ก. จึงเอาท่อนไม้ไปขวางไว้ เป็นต้น

โดยการกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ อาจจะเป็นการต่อสู้อย่างเดียว หรือขัดขวางอย่างเดียวหรืออาจเป็นทั้งการต่อสู้และขัดขวางก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตํารวจสายตรวจไปพบนายสุดหล่อกําลังลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน จึงล้อมจับ และนายสุดหล่อได้ดับไฟแล้วหนีไปนั้น การกระทําดังกล่าวของนายสุดหล่อมิได้เป็นการต่อสู้หรือ ขัดขวางตํารวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ อันจะเป็นความผิดตามมาตรา 138 แต่ประการใด เพราะนายสุดหล่อเพียงแต่ดับไฟเพื่อหนีตํารวจไปเท่านั้น ดังนั้น นายสุดหล่อจึงไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

สรุป นายสุดหล่อไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

 

ข้อ 2 อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยสุจริต จงอธิบายหลัก กฎหมายอย่างละเอียด และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ….”

อธิบาย

มาตรานี้ กฎหมายบัญญัติการกระทําอันเป็นความผิดอยู่ 2 ความผิดด้วยกัน กล่าวคือ ความผิดแรก เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

(ก) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

1 เป็นเจ้าพนักงาน

2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3 เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

4 โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือน จากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การงดเว้นกระทําการตามหน้าที่ อันเป็นการมิชอบ

เช่น เจ้าพนักงานตํารวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นต้น

ดังนั้นถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่ หรือเป็นการชอบ ด้วยหน้าที่ ก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหาย ในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่า ต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอ ที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําต้องปฏิบัติหรือ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

1 เป็นเจ้าพนักงาน

2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

3 โดยทุจริต

4 โดยเจตนา

“โดยทุจริต” หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง หรือผู้อื่น ทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นถ้าผู้กระทําขาดเจตนาทุจริตแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทําโดยมิชอบและโดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็นความผิด “ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เกินจํานวนที่ต้องเสีย แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะ ในการรังวัดแล้ว มิได้นําเงินลงบัญชี ทั้งมิได้ดําเนินการให้ ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

ข้อ 3 ชาย 11 คน ชุมนุมกันที่หน้าโรงงานแป้งมัน กล่าวโจมตีและด่าทอเจ้าของโรงงานที่ปล่อยน้ำเน่าลงคลอง จากนั้นได้เผาโรงงาน และขู่ว่าถ้าเจ้าของโรงงานไม่ยอมย้ายโรงงานไปจะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึงตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าชาย 11 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ชาย 11 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนประการใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้ กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1 มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป

2 ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

3 โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป

2 ผู้ใดไม่เลิก

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชาย 11 คน ได้ชุมนุมกันที่หน้าโรงงานแป้งมันและได้เผาโรงงาน อีกทั้ง ได้ขู่ว่าถ้าเจ้าของโรงงานไม่ยอมย้ายโรงงานไปจะฆ่าให้ตายนั้น การกระทําของชายทั้ง 11 คน ดังกล่าว ถือว่าเป็น การมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่ง อย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา ดังนั้น การกระทําของชายทั้ง 11 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งทุกประการ ชายทั้ง 11 คน จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกัน ทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215

การกระทําของชายทั้ง 11 คน ไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิดตาม มาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า จะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตาม มาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป ชาย 11 คนนั้น มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4 นายแดงกู้เงินจากนาย ก. จํานวน 100,000 บาท นายแดงทําสัญญากู้ส่งมอบให้นาย ก. เก็บรักษาไว้ วันเกิดเหตุ นาย ก. นําสัญญากู้ขึ้นมาอ่าน พบว่าสัญญากู้ไม่ได้มีพยานลงนามในสัญญา นาย ก. จึงขอให้นายขาวช่วยลงนามเป็นพยานในสัญญากู้ นายขาวจึงเซ็นชื่อลงไปในสัญญากู้และเขียน ข้อความต่อท้ายว่า “พยานผู้ให้การรับรอง” ข้อเท็จจริงได้ความว่า การที่นายขาวเซ็นชื่อในฐานะ พยานนั้น นายแดงผู้กู้ไม่ได้ยินยอมด้วยแต่ประการใด ดังนี้ นายขาวมีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอน ข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร ที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ

(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3 ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4 โดยเจตนา

ในเรื่องการปลอมเอกสาร ที่เป็นการเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ใน เอกสารที่แท้จริง หมายความว่า มีเอกสารที่แท้จริงอยู่แล้ว ต่อมามีการเติม ตัดทอน หรือแก้ไขข้อความ เพื่อให้ เข้าใจว่ามีการกระทํานั้น ๆ มาก่อนแล้ว ดังนั้นการเติม ตัดทอนหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ จะเป็นความผิดฐาน ปลอมเอกสารก็ต่อเมื่อกระทําต่อเอกสารที่แท้จริง ถ้ากระทําต่อเอกสารปลอม ย่อมไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร “เติม” หมายถึง การเพิ่มข้อความในเอกสารที่แท้จริง

“ตัดทอน” หมายถึง ตัดข้อความบางตอนออกจากเอกสารที่แท้จริง

“แก้ไข” หมายถึง การกระทําทุกอย่างอันเป็นการแก้ไขข้อความให้ผิดไปจากข้อความเดิม นอกจากนี้การเติม ตัดทอน หรือแก้ไข ข้อความในเอกสารที่แท้จริงจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อผู้กระทํา ไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ ถ้าหากว่าผู้กระทํามีอํานาจที่จะกระทําได้แล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

อย่างไรก็ตามจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้ผู้กระทําต้องกระทําโดยเจตนา และการกระทํานั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชนด้วย แม้ความเสียหายจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม ทั้งนี้จะต้องมีเจตนา พิเศษเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวได้เซ็นชื่อลงไปในสัญญากู้และเขียนข้อความต่อท้ายว่า “พยานผู้ให้การรับรอง” ถือได้ว่าเป็นการเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริง และนายขาวได้กระทําไปโดยไม่มีอํานาจ เพราะนายแดงผู้กู้ไม่ได้ยินยอมด้วยแต่ประการใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาบทบัญญัติตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง เรื่องหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายก็มิได้บังคับว่าต้องมีลายมือชื่อ ผู้ให้กู้ยืมหรือพยานด้วยแต่อย่างใด เมื่อมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมในหลักฐานนั้น แม้ไม่มีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมหรือพยาน ก็สามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้ สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ดังนั้น การที่นายขาวเซ็นชื่อและเขียนข้อความเพิ่มเติมในภายหลัง การกระทําดังกล่าวจึงไม่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่นายแดงผู้กู้ยืมเงินได้ นายขาวจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง (คําพิพากษาฎีกาที่ 1126/2505)

เมื่อการกระทําดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง จึงไม่จําต้องพิจารณาบทบัญญัติ มาตรา 265 แต่อย่างใด แม้สัญญากู้ยืมจะเป็นเอกสารสิทธิตามมาตรา 265 ก็ตาม

สรุป นายขาวไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264, 265

LAW2107 (LAW2007) กฎหมายอาญา 2 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2107 (LAW2007) กฎหมายอาญา 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นางสมศรีถูกฟ้องเป็นจําเลย นางสมศรีทราบว่า ส.ต.ต.สมชายจะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวของตนให้ ส.ต.ต.สมชาย เพื่อให้ ส.ต.ต.สมชายเบิกความผิดจากความจริง ส.ต.ต.สมชายจับนางสมศรี ดังนี้ จะตั้งข้อหาว่านางสมศรีกระทําความผิดอย่างใดได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ

หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้

1 ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้

2 ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด

3 แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล

4 เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่

5 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสมศรีถูกฟ้องเป็นจําเลย และนางสมศรีทราบว่า ส.ต.ต.สมชาย จะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวของตนให้ ส.ต.ต.สมชาย เพื่อให้ ส.ต.ต.สมชายเบิกความ ผิดจากความเป็นจริงนั้น ถือเป็นการให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการที่ ส.ต.ต.สมชายต้องไป เบิกความต่อศาลในฐานะพยานตามหมายเรียกของศาลนั้น เป็นการกระทําหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่กระทําในหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ดังนั้น แม้ว่านางสมศรีจะยกลูกสาวให้โดยรู้อยู่แล้วว่า ส.ต.ต.สมชาย เป็นเจ้าพนักงาน แต่ไม่มีเจตนาพิเศษคือไม่ได้เป็นการจูงใจเพื่อให้เจ้าพนักงานกระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ของเจ้าพนักงาน ดังนั้น การกระทําของนางสมศรีจึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 นางสมศรีจึงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน

สรุป นางสมศรีไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2 นายอ้วนทําสัญญากู้ยืมเงินนางเพรียวจํานวน 100,000 บาท แต่เมื่อครบกําหนดชําระเงินคืน นายอ้วนไม่ต้องการชําระหนี้จึงทําคําฟ้องเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนางเพรียวเป็นจําเลยต่อศาลอาญากล่าวหาว่า นางเพรียวปลอมลายมือชื่อของนายอ้วนในสัญญากู้ยืม ขอให้ศาลอาญาลงโทษนางเพรียว ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ต่อมาศาลอาญาไต่สวนคําฟ้อง ของนายอ้วนแล้ว เชื่อว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นลายมือชื่อของนายอ้วนจริงไม่ใช่ลายมือชื่อปลอม จึงมีคําสั่งว่าคดีไม่มีมูล และพิพากษายกฟ้อง ให้วินิจฉัยว่านายอ้วนมีความผิดฐานฟ้องเท็จตาม ประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 175 “ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทําความผิดอาญา หรือว่ากระทํา ความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานฟ้องเท็จตามมาตรา 175 มีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 เอาความอันเป็นเท็จ

2 ฟ้องผู้อื่นต่อศาล

3 ว่ากระทําความผิดอาญา หรือว่ากระทําความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ้วนทําสัญญากู้ยืมเงินจากนางเพรียวจํานวน 100,000 บาท แต่เมื่อครบกําหนดชําระเงินคืนนายอ้วนไม่ต้องการชําระหนี้ จึงทําคําฟ้องเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนางเพรียวเป็นจําเลยต่อ ศาลอาญากล่าวหาว่านางเพรียวปลอมลายมือชื่อของนางอ้วนในสัญญากู้ยืม ขอให้ศาลอาญาลงโทษนางเพรียว ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 นั้น เมื่อนายอ้วนทําสัญญากู้ยืมเงินจาก นางเพรียวจริง แต่กลับฟ้องว่านางเพรียวปลอมลายมือชื่อของตน ข้อความที่นายอ้วนกล่าวในฟ้องจึงเป็นเท็จ และเป็นความผิดสําเร็จฐานฟ้องเท็จนับแต่นายอ้วนยื่นฟ้องต่อศาล แม้ต่อมาศาลอาญาจะมีคําสั่งว่าคดีไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้องก็ไม่ทําให้ความผิดฐานฟ้องเท็จที่สําเร็จไปแล้วกลับกลายเป็นไม่มีความผิดแต่อย่างใด

ดังนั้น การกระทําของนายอ้วน คือ การเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทําความผิด อาญา และได้กระทําโดยเจตนานั้น จึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 175 นายอ้วนจึงมีความผิด ฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175

สรุป นายอ้วนมีความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175

 

ข้อ 3 ดำเป็นข้าราชการในมหาวิทยาลัยของรัฐ มีหน้าที่จัดซื้อทีวีเครื่องละ 20,000 บาท จํานวน 20 เครื่อง ตามระเบียบราชการ ตกลงซื้อทีวีตามหน้าที่กับพ่อค้าผู้ขายในราคาเครื่องละ 30,000 บาท จํานวน 20 เครื่อง โดยบอกกับพ่อค้าว่าให้เอาทีวีอีก 2 เครื่อง ไปติดไว้ที่บ้านของตนด้วย พ่อค้านําทีวี ไปติดให้ตามที่ตกลง ดังนี้ ดําจะมีความผิดฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 1 (1) “โดยทุจริต หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเองหรือผู้อื่น”

มาตรา 1 (16) “เจ้าพนักงาน หมายความว่า บุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงาน หรือ ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ไม่ว่าเป็นประจําหรือครั้งคราว และไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่”

มาตรา 151 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อํานาจใน ตําแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษ……”

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทุจริตตามาตรา 151 มีองค์ประกอบดังนี้

1 เป็นเจ้าพนักงาน

2 มีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ

3 ใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทุจริต

4 เป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์สินนั้น

5 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําซึ่งเป็นข้าราชการในมหาวิทยาลัยของรัฐและถือเป็นเจ้าพนักงาน ตามนัยของมาตรา 1 (16) มีหน้าที่จัดซื้อทีวีเครื่องละ 20,000 บาท จํานวน 20 เครื่อง ตามระเบียบราชการ ได้กระทําการโดยใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่ซื้อทีวีตามหน้าที่กับพ่อค้าผู้ขายในราคาเครื่องละ 30,000 บาท จํานวน 20 เครื่อง ซึ่งเป็นราคาแพงกว่าราคาที่ราชการกําหนด อันเป็นการเสียหายแก่ราชการ (รัฐ) ทั้งให้พ่อค้า นําทีวีไปติดให้เปล่าที่บ้านตนอีก 2 เครื่องด้วยนั้น ถือเป็นการกระทําโดยเจตนา และโดยทุจริตตามนัยของ มาตรา 1 (1) กล่าวคือ เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเอง ดังนั้น การกระทําของนายดําจึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 151 นายดําจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อํานาจ ในตําแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151

สรุป นายดํามีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151

 

ข้อ 4 นายทองกู้ยืมเงินจากนางเดือนจํานวน 500,000 บาท และครบกําหนดชําระหนี้แล้ว แต่นายทอง ยังไม่มีเงินจะจ่ายคืน นายทองกลัวว่านางเดือนจะยึดเอาที่ดิน น.ส.3ก เลขที่ 123 ของตนซึ่งได้รับ เป็นมรดกมาจากบิดาแล้วนําออกขายเพื่อใช้หนี้แทน นายทองจึงร่วมกันกับนายเงินทําสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวขึ้นมา โดยนายทองลงลายมือชื่อของตนเองในช่องผู้ขายและนายเงินลงลายมือของตนเองในช่องผู้ซื้อ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะซื้อขายกันจริงเพียงแต่ทําเอกสารสัญญาซื้อขาย ไว้หลอกลวงนางเดือนเท่านั้น ให้วินิจฉัยว่านายทองและนายเงินมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารตาม ประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบดังนี้

1 กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ

(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3 ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทองกู้ยืมเงินจากนางเดือนจํานวน 500,000 บาท และครบกําหนด ชําระหนี้แล้ว แต่นายทองยังไม่มีเงินจะจ่ายคืน นายทองกลัวว่านางเดือนจะยึดเอาที่ดิน น.ส.3ก เลขที่ 123 ของตน ซึ่งได้รับมรดกมาจากบิดาแล้วนําออกขายเพื่อใช้หนี้แทน นายทองจึงร่วมกันกับนายเงินทําสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวขึ้นมา โดยนายทองลงลายมือชื่อของตนเองในช่องผู้ขายและนายเงินลงลายมือชื่อของตนเองในช่องผู้ซื้อ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะซื้อขายกันจริงเพียงแต่ทําเอกสารสัญญาซื้อขายไว้หลอกลวงนางเดือนนั้น เป็นกรณีที่นายทองและนายเงินได้ลงลายมือชื่อของตนเองในเอกสารซึ่งบุคคลทั้งสองมีอํานาจที่จะกระทําได้เพราะไม่ได้เอาสิทธิของผู้อื่นมาใช้และไม่ได้ทําในนามของบุคคลอื่น สัญญาซื้อขายที่ดินจึงเป็นเอกสารที่แท้จริง ของนายทองและนายเงิน มิใช่เอกสารปลอม เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นเอกสารปลอม จะต้องเป็นเอกสารที่ผู้ทําเอกสารไม่มีอํานาจกระทําได้ และได้กระทําขึ้นมาเพื่อแสดงว่าเป็นการกระทําของผู้อื่นซึ่งมิใช่เป็นของผู้ที่ทําเอกสารนั้น และแม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะซื้อขายกันจริง เพียงแต่ทําเอกสารสัญญาซื้อขายไว้หลอกลวงนางเดือนเท่านั้น ก็เป็นเพียงการทําเอกสารเท็จเท่านั้น ไม่ทําให้เป็นเอกสารปลอมแต่อย่างใด

เมื่อการกระทําของนายทองและนายเงินไม่ใช่เป็นการทําเอกสารปลอม จึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารตามาตรา 264 ดังนั้น นายทองและนายเงิน จึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264

สรุป นายทองและนายเงินไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264

WordPress Ads
error: Content is protected !!