LAW1103 (LAW1003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1103 (LAW1003) ป.พ.พ.ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นางสวย ต้องการซื้อที่ดินจากนายดวง ปรากฏว่านายดวงพานางสวยไปดูที่ดินที่จะขาย เมื่อถึงวันนัดทําสัญญาซื้อขายที่ดิน นายดวงได้โอนขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้นางสวยโดยเป็นที่ดิน คนละแปลงกับที่นายดวงพานางสวยไปดู

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวมีผลอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสําคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสําคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสําคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

มาตรา 158 “ความสําคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสําคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 156 ได้บัญญัติให้การแสดงเจตนาทํานิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะความสําคัญผิดในสิ่ง ซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรม ซึ่งได้แก่ ลักษณะของนิติกรรม ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาหรือนิติกรรมที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าความสําคัญผิดดังกล่าว ได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา ผู้นั้นจะถือเอาความสําคัญผิดนั้นมาใช้เป็น ประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (มาตรา 158)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสวยต้องการซื้อที่ดินจากนายดวง และนายดวงได้พานางสวยไปดู ที่ดินที่จะขายแล้วนั้น แต่ปรากฏว่าพอถึงวันนัดทําสัญญาซื้อขายที่ดิน นายดวงได้โอนขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้ นางสวยโดยเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่นายดวงพานางสวยไปดูนั้น ถือว่าการแสดงเจตนาทํานิติกรรมในรูปสัญญา ซื้อขายที่ดินของนางสวยดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในทรัพย์สิน (ที่ดิน) ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เพราะเป็นการแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินในแปลงซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของนางสวย และเป็นการสําคัญผิดในสิ่ง ซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรมตามมาตรา 156 อีกทั้งความสําคัญผิดดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของนางสวยแต่อย่างใด ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ

สรุป สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 2 นายเอกซึ่งเป็นชาวต่างชาติในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัท AAA จํากัด ได้ว่าจ้างนายโทซึ่งเป็นคนไทยและเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมายให้เข้ามาดูแลกิจการและผลประโยชน์ของบริษัท AAA จํากัด โดยตกลงให้นายโทเข้ามาเป็นกรรมการของบริษัท AAA จํากัด และมีอํานาจลงนาม ร่วมกับนายเอกจึงจะผูกพันบริษัท AAA จํากัด นายโทได้นําเอกสารต่าง ๆ ที่จัดทําขึ้นเป็นภาษาไทย มาให้นายเอกลงลายมือชื่อเพื่อนําไปดําเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนและเพิ่มหุ้น ตรวจสอบภายหลังปรากฏว่า นายโทหลอกให้นายเอกหลงเชื่อและเข้าใจผิดในการจดทะเบียนเพิ่มทุนและเพิ่มหุ้นดังกล่าวด้วยการไปจดทะเบียนเพิ่มทุนและโอนหุ้นให้แก่นายโทเอง ตลอดจนทําการเปลี่ยนแปลงอํานาจ กรรมการบริษัท AAA จํากัด ให้คงเหลือเฉพาะนายโทแต่เพียงผู้เดียว

ให้ท่านวินิจฉัยว่า การที่นายเอกในฐานะกรรมการของบริษัท AAA จํากัด ลงนามในเอกสารเปลี่ยนแปลง อํานาจกรรมการผู้มีอํานาจกระทําการแทนบริษัท AAA จํากัด เป็นนายโทแต่เพียงผู้เดียวนั้นมีผลทางกฎหมายเช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสําคัญผิดในลักษณะ ของนิติกรรม ความสําคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสําคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็น วัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกซึ่งเป็นชาวต่างชาติในฐานะกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัท AAA จํากัด ได้ว่าจ้างนายโทซึ่งเป็นคนไทยและเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมายให้เข้ามาดูแลกิจการและผลประโยชน์ของ บริษัท AAA จํากัด โดยตกลงให้นายโทเข้ามาเป็นกรรมการของบริษัท AAA จํากัด และมีอํานาจลงนามร่วมกับนายเอก จึงจะผูกพันบริษัท AAA จํากัด นายโทได้นําเอกสารต่าง ๆ ที่จัดทําขึ้นเป็นภาษาไทยมาให้นายเอกลงลายมือชื่อ เพื่อนําไปดําเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนและเพิ่มหุ้น ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบปรากฏว่า นายโทหลอกให้นายเอกหลงเชื่อและเข้าใจผิดในการจดทะเบียนเพิ่มทุนและเพิ่มหุ้นดังกล่าว และส่งผลให้นายโทไปจดทะเบียนเพิ่มทุนและโอนหุ้นให้แก่ตนเอง และทําการเปลี่ยนแปลงอํานาจกรรมการบริษัท AAA จํากัด ให้คงเหลือเพียงนายโทคนเดียวนั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่า นายเอกในฐานะกรรมการของบริษัท AAA จํากัด ลงนามในเอกสารเปลี่ยนแปลงอํานาจ กรรมการผู้มีอํานาจกระทําการแทนบริษัท AAA จํากัด เป็นนายโทแต่เพียงผู้เดียว เป็นการกระทําโดยสําคัญผิด ในสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรม เอกสารการเปลี่ยนแปลงอํานาจกรรมการของนายโทจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 (เทียบเคียงคําพิพากษาฎีกาที่ 1169/2562)

สรุป การที่นายเอกในฐานะกรรมการของบริษัท AAA จํากัด ลงนามในเอกสารเปลี่ยนแปลงอํานาจ กรรมการผู้มีอํานาจกระทําการแทนบริษัท AAA จํากัด เป็นนายโทแต่เพียงผู้เดียวนั้นมีผลเป็นโมฆะ เพราะเป็น กรณีที่นายเอกได้แสดงเจตนาโดยสําคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสําคัญแห่งนิติกรรมมาตรา 156

 

ข้อ 3 นายหนึ่งตกลงซื้อบ้านเลขที่ 12/34 จากนายสอง ต่อมานายหนึ่งพบว่าบ้านชํารุดบกพร่อง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นายสองเข้าไปแก้ไขซ่อมแซมส่วนที่ชํารุดบกพร่อง หลังจากนั้นนายหนึ่ง ให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 6 มิถุนายน 2562 แจ้งให้นายสองหยุดทําการแก้ไขส่วนที่ชํารุด บกพร่อง โดยนายหนึ่งจะหาบุคคลภายนอกมาแก้ไขเอง อยากทราบว่านายหนึ่งมีสิทธิเรียกร้องให้ นายสองรับผิดเพื่อชํารุดบกพร่องได้ตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ และภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 การที่นายหนึ่งนําคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 นั้น ฟ้องนายหนึ่งขาดอายุความหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทําเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชําระหนี้ ให้บางส่วน ชําระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทําการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับ สภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทําให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น” มาตรา 474 “ในข้อรับผิดเพื่อชํารุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่ เวลาที่ได้พบเห็นความชํารุดบกพร่อง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้ตกลงซื้อบ้านเลขที่ 12/34 จากนายสอง ต่อมานายหนึ่ง พบว่าบ้านชํารุดบกพร่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และนายสองได้เข้าไปแก้ไขซ่อมแซมส่วนที่ชํารุดบกพร่องนั้น ย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และเมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ ล่วงไปก่อนนั้นจึงไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคหนึ่ง

ต่อมาการที่นายหนึ่งให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 6 มิถุนายน 2562 แจ้งให้นายสองหยุด ทําการแก้ไขส่วนที่ชํารุดบกพร่อง โดยนายหนึ่งจะหาบุคคลภายนอกมาแก้ไขเองนั้น ย่อมเป็นเหตุให้อายุความ สะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดลง อายุความจึงต้องเริ่มนับใหม่ตั้งแต่เวลานั้น คือให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไปตามมาตรา 193/15 วรรคสอง ดังนั้น นายหนึ่งจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นายสองรับผิด เพื่อชํารุดบกพร่องได้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2562 และเมื่ออายุความในการฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายเพื่อ ความชํารุดบกพร่องมีกําหนดอายุความ 1 ปีตามมาตรา 474 การที่นายหนึ่งนําคดีมาฟ้องวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 จึงเกิน 1 ปี ดังนั้น ฟ้องนายหนึ่งจึงขาดอายุความ

สรุป นายหนึ่งมีสิทธิเรียกร้องให้นายสองรับผิดเพื่อชํารุดบกพร่องได้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2562 และการที่นายหนึ่งนําคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 ฟ้องของนายหนึ่งจึงขาดอายุความ

 

ข้อ 4 นางสาวแตงโมทําสัญญาขายเรือสปีดโบ๊ทเก่าของตนให้แก่นางสาวแตงไท 1 ลํา ราคา 10 ล้านบาท ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 กําหนดส่งมอบเรือสปีดโบ๊ทในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมี ข้อตกลงกําหนดเบี้ยปรับกันไว้ว่า ถ้านางสาวแตงโมไม่ส่งมอบเรือสปีดโบ๊ทให้แก่นางสาวแตงไท ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวแตงโมต้องเสียเบี้ยปรับให้แก่นางสาวแตงไทเป็นเงิน 1 ล้านบาท ปรากฏว่าเมื่อถึงวันกําหนดส่งมอบเรือสปีดโบ๊ท นางสาวแตงโมไม่ส่งมอบเรือสปีดโบ๊ท ให้แก่นางสาวแตงไท ดังนี้ อยากทราบว่านางสาวแตงไทจะเรียกเอาเบี้ยปรับและเรือสปีดโบ๊ท จากนางสาวแตงโมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 380 วรรคหนึ่ง “ถ้าลูกหนี้ได้สัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชําระหนี้ เจ้าหนี้จะเรียก เอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นแทนการชําระหนี้ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าหนี้แสดงต่อลูกหนี้ว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับฉะนั้นแล้ว ก็เป็นอันขาดสิทธิเรียกร้องชําระหนี้อีกต่อไป”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวแตงโมทําสัญญาขายเรือสปีดโบ๊ทเก่าของตนให้แก่นางสาวแตงไท 1 ลํา ราคา 10 ล้านบาท ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 และกําหนดส่งมอบเรือสปีดโบ๊ทในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีข้อตกลงกําหนดเบี้ยปรับกันไว้ว่า ถ้านางสาวแตงโมไม่ส่งมอบเรือสปีดโบ๊ทให้แก่นางสาวแตงไทใน วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวแตงโมต้องเสียเบี้ยปรับให้แก่นางสาวแตงไทเป็นเงิน 1 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันกําหนดส่งมอบ คือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวแตงโมผิดสัญญาไม่ส่งมอบเรือสปีดโบ๊ท ให้แก่นางสาวแตงไทนั้น ย่อมมีผลทําให้นางสาวแตงโมจะต้องจ่ายเบี้ยปรับให้แก่นางสาวแตงไทตามที่ตกลงไว้

แต่นางสาวแตงไทไม่มีสิทธิที่จะเรียกทั้งเบี้ยปรับและเรือสปีดโบ๊ทจากนางสาวแตงโม ถ้าจะเรียกเอาเบี้ยปรับ นางสาวแตงไทก็มีสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากนางสาวแตงโม 1 ล้านบาท แทนการส่งมอบเรือสปีดโบ๊ท เพราะ ถ้านางสาวแตงไทแสดงต่อนางสาวแตงโมว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับแล้วก็เป็นอันขาดสิทธิเรียกร้องให้ชําระหนี้คือ การส่งมอบเรือสปีดโบ๊ทอีกต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 380 แต่ถ้านางสาวแตงไทต้องการให้นางสาวแตงโมส่งมอบ เรือสปีดโบ๊ท นางสาวแตงไทก็ขาดสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับเช่นเดียวกัน นางสาวแตงไทจะต้องเลือกอย่างใด อย่างหนึ่ง จะเรียกทั้งเบี้ยปรับและให้ส่งมอบเรือสปีดโบ๊ทด้วยไม่ได้

สรุป นางสาวแตงไทจะเรียกเอาเบี้ยปรับและเรือสปีดโบ๊ทจากนางสาวแตงโมไม่ได้ จะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

LAW2107 (LAW2007) กฎหมายอาญา 2 s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2107 (LAW2007) กฎหมายอาญา 2

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ผู้กํากับการสถานีตํารวจสั่งให้ ร.ต.อ.บิวกิ้น ทําหน้าที่เก็บรักษาเงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานี ตํารวจ ร.ต.อ.บิวกิ้น นําเงินดังกล่าวไปฝากนายพีพีเพื่อนชายคนสนิทไว้ มิได้นํามาเก็บไว้ในตู้นิรภัยของทางราชการ เวลาผ่านไป 4 เดือน ผู้กํากับการสถานีตํารวจรู้เข้า จึงสั่งให้ ร.ต.อ.บิวกิ้น นําเงิน มาคืนแก่ทางราชการ ร.ต.อ.นิ้วกั้น ก็นําเงินมาคืนจนครบถ้วน ดังนี้ ร.ต.อ.บิวกิ้น มีความผิดเกี่ยวกับการปกครองประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 147 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการ หรือ รักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย ต้องระวางโทษ….”

อธิบาย

องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 147 ประกอบด้วย

1 เป็นเจ้าพนักงาน

2 มีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด

3 เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่น หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย

4 โดยทุจริต

5 โดยเจตนา

“เจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าพนักงานที่จะมีความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการ หรือ รักษาทรัพย์ หากเจ้าพนักงานผู้นั้นไม่มีหน้าที่ดังกล่าวย่อมไม่เป็นความผิด ตามมาตรา 147

“หน้าที่ซื้อ” เช่น มีหน้าที่ซื้อพัสดุหรือเครื่องพิมพ์ดีดมาใช้ในสํานักงาน

“หน้าที่ทํา” เช่น มีหน้าที่ประดิษฐ์เครื่องใช้เครื่องยนต์ขึ้นใหม่ หรือมีหน้าที่ซ่อมแซม แก้ไข เครื่องใช้เครื่องยนต์ที่ชํารุดให้ดีขึ้น

“หน้าที่จัดการ” เช่น หน้าที่ในการจัดการโรงงาน จัดการคลังสินค้า เป็นต้น

“หน้าที่รักษา” เช่น เป็นเจ้าหน้าที่การเงินก็ย่อมต้องดูแลรักษาเงินที่ได้รับมานั้นด้วย

“เบียดบัง” หมายความว่า การเอาเป็นของตน หรือแสดงให้ปรากฏว่าตนเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น ตัวอย่างเช่น เอาทรัพย์นั้นไปใช้อย่างเจ้าของ หรือจําหน่ายทรัพย์นั้นไป

การเบียดบังที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้จะต้องเป็นการเบียดบังทรัพย์ ถ้าเบียดบังเอาอย่างอื่น เช่น แรงงาน กรณีนี้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 147 ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นก็ตาม และเป็นความผิดสําเร็จเมื่อเบียดบังเอาทรัพย์ไปแม้จะนํามาคืนในภายหลัง ก็ยังคงมีความผิด

อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นการเบียดบังทรัพย์ หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้น ผู้กระทําจะต้องกระทําโดยมีเจตนาตามมาตรา 59 และต้องมีเจตนาพิเศษ คือ โดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย กฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่น ถ้าผู้กระทําขาดเจตนาโดยทุจริตแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.บิวกิ้น ซึ่งได้รับคําสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทําหน้าที่เก็บรักษา เงินประกันตัวผู้ต้องหาของสถานีตํารวจได้นําเงินดังกล่าวไปฝากนายพีพีเพื่อนชายคนสนิท มิได้นํามาเก็บไว้ใน ตู้นิรภัยของทางราชการนั้น เมื่อ ร.ต.อ.บิวกิ้น เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่รักษาทรัพย์แล้วเอาทรัพย์ (เงินประกัน ตัวผู้ต้องหา) นั้นไป พฤติการณ์แสดงว่า ร.ต.อ.บิวกิ้น มีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินนั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นแล้ว แม้ต่อมาในภายหลัง ร.ต.อ.บิวกิ้น จะได้นําเงินมาคืนแก่ทางราชการจนครบ การกระทําของ ร.ต.อ.บิวกิ้น ก็เป็น การกระทําที่ครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 147 ทุกประการ ดังนั้น ร.ต.อ.บิวกิ้น จึงมีความผิดฐาน เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 147 (คําพิพากษาฎีกาที่ 473/2527)

สรุป ร.ต.อ.นิ้วกั้น มีความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 147

 

ข้อ 2 ก. เห็น ข. ถูกตํารวจจับตัวไปสถานีตํารวจข้อหาขายยาบ้าจึงมาพบ ค. แม่ของ ข. ที่บ้าน บอกให้ทราบเรื่อง ค. ตกใจขอให้ช่วยลูก ก. บอกว่าพอจะช่วยได้ต้องวิ่งตํารวจขอสองหมื่นบาทจะเอาไปให้ร้อยเวรทําสํานวนอ่อนปล่อยลูก ค. พูดว่าขอคิดดูก่อนตอนนี้ไม่มีเงินเลย ก. บอกว่าไม่เป็นไร มีเงิน เมื่อไหร่ค่อยมาให้ก็แล้วกัน ดังนี้ ก. จะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 143 “ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือ สมาชิกสภาเทศบาล โดยวิธีอันทุจริต หรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทําการหรือไม่กระทําการ ในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา 143 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้

1 เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น

2 เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล

3 โดยวิธีอันทุจริต หรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตน

4 ให้กระทําการหรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด

5 กระทําโดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้รับ และผู้รับได้รับเอาทรัพย์สิน หรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ผู้กระทํา และผู้กระทํา ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. บอก ค. ว่าสามารถช่วย ข. จากข้อหาขายยาบ้าได้โดยการวิ่งตํารวจ และขอเงิน ค. จํานวน 2 หมื่นบาท เพื่อเอาไปให้ร้อยเวรทําสํานวนอ่อนปล่อย ข. นั้น พฤติกรรมของ ก. ดังกล่าว ถือเป็นการเรียกทรัพย์สิน (เงิน 2 หมื่นบาท) จาก ค. แม่ของ ข. แล้ว และการเรียกเงินนี้เป็นการตอบแทนในการที่ ก. จะไปวิ่งเต้นร้อยเวร (ตํารวจ) ให้ทําสํานวนคดีอ่อนปล่อยตัว ข. ซึ่งเป็นวิธีอันทุจริตผิดกฎหมายและได้กระทํา ไปโดยเจตนา การกระทําของ ก. ครบองค์ประกอบความผิดทุกข้อตามหลักกฎหมายข้างต้น ดังนั้น ก. จึงมี ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา 143

สรุป

ก จะมีความผิดอาญาฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา 143

 

ข้อ 3 นายสุดหล่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทออโต้คาร์ โดยสัญญาเช่าซื้อมีกําหนดระยะเวลา 2 ปี หลังจากเช่าซื้อไปได้ 1 เดือน นายสุดหล่อเกิดความไม่พอใจในรถยนต์ จึงใช้น้ำมันเบนซิน ราดไปที่รถยนต์ จากนั้นก็จุดไฟโยนลงไป ปรากฏว่าไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหายทั้งคัน ดังนั้น นายสุดหล่อมีความผิดฐานวางเพลิงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

ความผิดตามมาตรา 217 ดังกล่าว แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1 วางเพลิงเผา

2 ทรัพย์ของผู้อื่น

3 โดยเจตนา

“วางเพลิงเผา” หมายถึง การกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไม่ว่าจะกระทําด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม เช่น ใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟเผา ใช้เลนส์ส่องทํามุมกับแสงอาทิตย์จนไฟลุกไหม้ขึ้น หรือใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันเพื่อให้เกิดไฟ เป็นต้น ซึ่งการทําให้เกิดเพลิงไหม้นี้จะไหม้เพียงบางส่วนหรือทั้งหมดก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา “ทรัพย์ของผู้อื่น”เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ ดังนั้นถ้าเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นต้องกระทํา “โดยเจตนา” คือ มีเจตนาหรือมีความตั้งใจ ที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา เช่น วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุดหล่อได้เช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทออโต้คาร์ และเนื่องจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อจนกว่าผู้เช่าซื้อจะชําระราคาครบถ้วน เมื่อนายสุดหล่อยังชําระราคาไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังเป็นของบริษัทออโต้คาร์ ซึ่งถือว่าเป็นของผู้อื่น

ดังนั้นการที่นายสุดหล่อใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์และจุดไฟโยนลงไป ทําให้ไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหาย ทั้งคัน จึงถือว่านายสุดหล่อได้วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว และเมื่อนายสุดหล่อได้กระทําไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล นายสุดหล่อจึงมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217

สรุป นายสุดหล่อมีความผิดอาญาฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217

 

ข้อ 4 นางสุดสวยเอานามบัตรที่พิมพ์ชื่อของพลตํารวจตรีสุดหล่อมากรอกข้อความว่า “ผู้ถือนามบัตรนี้ เป็นพรรคพวกกันขอให้ช่วยอนุเคราะห์ด้วย” พร้อมลงชื่อพลตํารวจตรีสุดหล่อ เพื่อจะนําไปยื่นต่อ เจ้าหน้าที่ในการติดต่อราชการกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ทั้งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก พลตํารวจตรีสุดหล่อ ดังนี้ นางสุดสวยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงค่าตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอน ข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร ที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด

(ข) เต็มหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ

(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2 โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3 ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสุดสวยเอานามบัตรที่พิมพ์ชื่อของพลตํารวจตรีสุดหล่อมากรอกข้อความ ว่า “ผู้ถือนามบัตรนี้เป็นพรรคพวกกันขอให้ช่วยอนุเคราะห์ด้วย” พร้อมลงชื่อพลตํารวจตรีสุดหล่อนั้น ถือเป็นการทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ เพราะข้อความในเอกสารนั้นแสดงว่า พลตํารวจตรีสุดหล่อเป็นผู้เขียน แต่ความจริงแล้ว นางสุดสวยเป็นผู้เขียน จึงเป็นลักษณะของเอกสารปลอม ซึ่งการกระทําของนางสุดสวยเป็นการกระทําที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่พลตํารวจตรีสุดหล่อและเป็นการกระทําโดยเจตนา อีกทั้งการทําเอกสารปลอมนั้นก็เพื่อที่จะนําไป ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ในการติดต่อราชการกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อันเป็นเจตนาพิเศษเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง การกระทําของนางสุดสวยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง

สรุป การกระทําของนางสุดสวยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง

LAW2108 (LAW2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2108 (LAW 2008) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 แมวทําสัญญาเป็นหนังสือให้หมีเช่าที่ดินของแมว สัญญาเช่ามีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป กําหนดชําระค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือนในอัตราเดือนละ 5,000 บาท โดยมีข้อสัญญาดังต่อไปนี้

“ข้อ 5 เมื่อครบกําหนดอายุสัญญานี้ และผู้เช่าประสงค์จะเช่าที่ดินต่อไปอีก 3 ปี ผู้เช่าต้องแจ้ง ผู้ให้เช่าภายในวันที่ 10 มกราคม 2564 โดยให้มาตกลงค่าเช่ากันใหม่” หมีได้เช่าที่ดินของแมวเรื่อยมาโดยมิได้แจ้งแมวถึงความประสงค์ที่จะเช่าที่ดินต่อไปแต่อย่างใด ในวันที่ 10 มกราคม 2565 แมวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หมูซึ่งเป็นบุตรชายของแมวจึงได้แจ้งให้หมี ออกจากที่ดินที่เช่าทันที โดยอ้างว่าสัญญาเช่าระงับลงแล้ว หมีไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่า โดยอ้างว่า ตนต้องเช่าที่ดินได้จนถึง 31 ธันวาคม 2566 โดยหมูไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกําหนดดังกล่าว ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวอ้างของหมูและหมีฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่า คู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่างแมวกับหมีมีกําหนดเวลา 3 ปี ได้ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมาย และใช้บังคับได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และข้อความตามสัญญาเช่าข้อ 5 ที่ว่า “เมื่อครบกําหนดอายุสัญญานี้ และผู้เช่าประสงค์จะเช่าที่ดินต่อไปอีก 3 ปี ผู้เช่าต้องแจ้งผู้ให้เช่าภายในวันที่ 10 มกราคม 2564 โดยให้มาตกลงค่าเช่ากันใหม่” นั้น ข้อความที่ว่า “ให้มาตกลงค่าเช่ากันใหม่” ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ที่จะเป็นคํามั่นจะให้เช่า อีกทั้งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าหมีได้มีการแจ้งหรือทําข้อตกลงใหม่กับแมวแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อครบกําหนดสัญญาเช่าในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 หมียังคงเช่าที่ดินของแมวเรื่อยมาโดยที่แมว ไม่ได้ทักท้วงนั้น ย่อมถือว่าแมวและหมีได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่โดยเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 570 และต่อมาเมื่อแมวผู้ให้เช่าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต สัญญาเช่าระหว่างแมวและหมีย่อมไม่ระงับ เนื่องจากมิใช่กรณีที่ผู้เช่าตาย ดังนั้น หมูซึ่งเป็นบุตรชายของแมวในฐานะทายาทจึงต้องรับช่วงต่อทั้งสิทธิและ หน้าที่ตามสัญญาที่เป็นมรดกด้วย

ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา หากหมูต้องการบอกเลิก สัญญาเช่าดังกล่าวจะต้องทําตามมาตรา 566 กล่าวคือ จะต้องบอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวล่วงหน้าก่อนชั่วกําหนด ระยะเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย ดังนั้น ในวันที่ 10 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่แมวเสียชีวิต การที่หมู ได้แจ้งบอกเลิกสัญญาเช่าโดยให้หมีออกจากที่ดินที่เช่าทันทีโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการที่หมูอ้างว่าสัญญาเช่าระงับลงแล้วนั้นเป็นข้อกล่าวอ้างที่ฟังไม่ขึ้น

แต่อย่างไรก็ดี การที่หมีไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่าโดยอ้างว่าตนต้องเช่าที่ดินได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยหมูไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนครบกําหนดดังกล่าวนั้น ข้อกล่าวอ้างของหมีก็ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน

สรุป ข้อกล่าวอ้างของทั้งหมูและหมีฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2 ปลาตกลงเข้าทําสัญญาเช่าอาคารหลังหนึ่งซึ่งก่อสร้างเพิ่งแล้วเสร็จจากกุ้งเป็นเวลา 10 ปี สัญญาเช่าทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายแต่มิได้นําไปจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกสิ้นเดือน เดือนละ 10,000 บาท และได้ตกลงให้ปลาจ่ายเงินกินเปล่า ให้แก่กุ้งอีก 200,000 บาท หลังจากทําการเช่าไปเป็นเวลา 4 ปี ปลาถึงแก่ความตาย กุ้งจึงเรียกให้ปูบุตรชายของปลาซึ่งอาศัยอยู่ในอาคารนั้นออกจากอาคาร โดยให้เวลาขนย้ายสัมภาระต่าง ๆ ออกจากอาคารทั้งหมดภายใน 7 วัน ดังนี้ ปูต้องทําตามที่กุ้งเรียกร้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่า ที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็นสัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา คือ สัญญาเช่า อสังหาริมทรัพย์ที่มีข้อตกลงเป็นการเพิ่มภาระขึ้นมากแก่ผู้เช่าให้ปฏิบัติยิ่งกว่าหน้าที่ของผู้เช่าปกติ โดยผู้เช่าได้ให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ให้เช่านอกเหนือไปจากค่าเช่า ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้เช่าจะได้เช่าทรัพย์สินเป็น ระยะเวลานาน เช่น สัญญาให้เช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างตึกแถว เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ให้เช่า โดยผู้ให้เช่ายอมให้เช่าเป็นเวลา 10 ปี นับแต่ก่อสร้างเสร็จ เป็นต้น ดังนี้ สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว จะไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 538 กล่าวคือ แม้จะไม่ได้ทําสัญญาเช่ากันโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือสัญญาเช่า จะไม่ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็สามารถใช้บังคับกันได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ปลาตกลงเข้าทําสัญญาเช่าอาคารหลังหนึ่งซึ่งก่อสร้างเพิ่งแล้วเสร็จ จากกุ้งเป็นเวลา 10 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท และได้ตกลงให้ปลาจ่ายเงินกินเปล่าให้แก่กุ้งอีก 200,000 บาทนั้น ถือเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ธรรมดามิใช่สัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ทั้งนี้เพราะการจ่ายเงินกินเปล่านั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเท่านั้น ดังนั้น สัญญาเช่าอาคารระหว่างปลากับกุ้ง จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 538 เมื่อสัญญาเช่าอาคารระหว่างปลากับกุ้งซึ่งมีกําหนดเวลา 10 ปี ได้ทําเป็น หนังสือลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย แต่มิได้นําไปจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าดังกล่าว จึงสามารถใช้บังคับกันได้เพียง 3 ปี ดังนั้น ภายหลังครบกําหนด 3 ปีแล้ว ปลาผู้เช่าถึงแก่ความตาย สัญญาเช่า ย่อมระงับลง เมื่อกุ้งเรียกให้ปูซึ่งเป็นบุตรชายของปลาซึ่งอาศัยในอาคารนั้นออกจากอาคาร ปูจึงต้องทําตามที่กุ้งเรียกร้องคือต้องออกจากอาคารนั้นไป

สรุป ปูต้องทําตามที่กุ้งเรียกร้อง คือ ออกจากอาคารนั้นไป

 

ข้อ 3 อรต้องการประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ อรจึงได้ว่าจ้างปูเป้ให้มาช่วยบริการ เสิร์ฟอาหารเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 และจะจ่ายสินจ้างให้ทุกวันพุธ และอรได้ ประกาศรับสมัครหัวหน้าเชฟในเว็บไซต์รับสมัครงาน เคนจิซึ่งเป็นเชฟอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ได้เห็นประกาศดังกล่าวจึงเดินทางจากเชียงใหม่มาสมัครงานที่ร้านของอร อรพิจารณาแล้วตัดสินใจจ้างเคนจิโดยไม่มีกําหนดเวลาและจะจ่ายสินจ้างให้ทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาร้านอาหารของอร ประสบปัญหาขาดทุนเนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น อรจึงตัดสินใจปิดร้านอาหาร และต้องการเลิกสัญญาจ้างปูเป้และเคนจิในวันที่ 16 มิถุนายน 2555 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) หากอรบอกเลิกสัญญาจ้างปูเป้และเคนจิ โดยต้องการให้ปูเป้และเคนจิออกจากงานทันที ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565 อรสามารถทําได้หรือไม่ อย่างไร

(ข) หากเคนจิเรียกให้อรจ่ายค่าเดินทางกลับเชียงใหม่ให้แก่ตนด้วย อรต้องจ่ายค่าเดินทางให้เคนจิ ตามที่เคนจิเรียกร้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความ อย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความใน มาตราต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

มาตรา 586 “ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทาง ให้ไซร้ เมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง และถ้ามิได้กําหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว ท่านว่านายจ้างจําต้อง ใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่อรได้ว่าจ้างปูเป้ให้มาช่วยบริการเสิร์ฟอาหารเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 นั้น เดิมเป็นสัญญาจ้างที่มีกําหนดระยะเวลา แต่เมื่อระยะเวลาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว แต่ปูเป้ยังคงทํางานอยู่จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2565 โดยอรก็ไม่ทักท้วง ให้สันนิษฐานไว้ว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่โดยความอย่างเดียวกัน กับสัญญาเดิม ดังนั้น เมื่ออรจะบอกเลิกสัญญาจ้างปูเป้จึงต้องบอกเลิกสัญญาจ้างตามมาตรา 582 (มาตรา 581) คืออรจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า โดยหาการต้องการให้ปูเป้ออกจากงานทันทีในวันที่ 16 มิถุนายน 2565 อรสามารถทําได้โดยจ่ายสินจ้างให้ปูเป้จนครบจํานวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามมาตรา 582 วรรคสอง

ส่วนกรณีของเคนจิ ซึ่งอรได้ทําสัญญาจ้างโดยไม่มีกําหนดเวลานั้น เมื่ออรต้องการบอกเลิกสัญญาจ้าง และต้องการให้เคนจิออกจากงานทันที อรก็สามารถทําได้โดยการบอกเลิกสัญญาจ้างตามมาตรา 582 เช่นเดียวกับกรณีของปูเป้ เพียงแต่กรณีของปูเป้นั้น เมื่อมีการตกลงจ่ายสินจ้างให้ทุกวันพุธ (วันที่ 16 มิถุนายน 2565 เป็นวันพฤหัสบดี) อรจึงต้องจ่ายสินจ้างให้ปูเป้ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ส่วนทางเคนนั้น เมื่อมีการตกลงจ่ายสินจ้างให้ทุกวันที่ 25 ของเดือน อรจึงต้องจ่ายสินจ้างให้เคนจิถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565

(ข) หากเคนจิเรียกให้อรจ่ายค่าเดินทางกลับเชียงใหม่ เนื่องจากเคนจิอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่นั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเคนจิได้เดินทางจากเชียงใหม่มาสมัครงานที่ร้านของอรเอง เคนจิจึงมิใช่ลูกจ้างที่ผู้เป็นนายจ้าง ได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างได้ออกเงินค่าเดินทางให้ตามนัยของมาตรา 586 ดังนั้น อรซึ่งเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางให้เคนจิตามที่เคนจิเรียกร้อง

สรุป

(ก) อรให้ปูเป้และเคนจิออกจากงานทันทีในวันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565 ได้ แต่อร ต้องจ่ายสินจ้างให้ปูเป้จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2565 และจ่ายสินจ้างให้เคนจิจนถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565

(ข) อรไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางให้เคนจิตามที่เคนจิเรียกร้อง

LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1102 (LAW1002) หลักกฎหมายเอกชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคแรก แบ่งการตีความกฎหมายออกเป็น 2 ประการ มีอะไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

“การตีความกฎหมาย” คือ การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคําไม่ชัดเจนหรือกํากวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคําของกฎหมายนั้นมีความหมายว่าอย่างไร เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นําเอากฎหมายนั้นไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่ต้องการวินิจฉัยได้ต่อไป

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น

จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการตีความกฎหมายแพ่ง จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

1 การตีความตามตัวอักษร เป็นการตีความเพื่อหยั่งทราบความหมายของกฎหมายจากตัวอักษรที่บัญญัติไว้

(1) กรณีกฎหมายบัญญัติไว้ด้วยภาษาธรรมดา ก็ต้องเข้าใจว่ามีความหมายตามธรรมดาของถ้อยคํานั้น ๆ ตามที่บุคคลทั่วไปเข้าใจ (ค้นหาจากพจนานุกรมของราชบัณฑิตยสถาน)

(2) กรณีกฎหมายบัญญัติไว้ด้วยภาษาเทคนิคหรือวิชาการ ก็ต้องเข้าใจตามความหมายเทคนิคหรือวิชาการนั้นๆ

(3) ผู้บัญญัติกฎหมายมีความประสงค์ที่จะให้ถ้อยคําบางคํามีความหมายพิเศษไปกว่าที่เข้าใจกันในภาษาธรรมดา หรือภาษาเทคนิคหรือวิชาการ จึงมีการกําหนดคําวิเคราะห์ศัพท์หรือบทนิยามไว้

2 การตีความตามเจตนารมณ์ เป็นการตีความเพื่อหยั่งทราบความหมายของถ้อยคําในบทบัญญัติ ของกฎหมายจากความมุ่งหมายของบทบัญญัติกฎหมายนั้น

เหตุที่ต้องตีความตามความมุ่งหมายของกฎหมาย เนื่องจากการตีความตามตัวอักษรแล้วผลของการตีความอาจยังไม่มีความชัดเจนพอ หรืออาจเข้าใจได้หลายนัย ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้น สามารถดูได้จาก

(1) คําปรารภ (ของกฎหมายหรือร่างพระราชบัญญัติ)

(2) บันทึกหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ หรือบันทึกของรัฐสภา โดยเฉพาะวาระการพิจารณาเรียงตามมาตรา (วาระ 2 วาระ 3)

(3) หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ ปกติการตีความกฎหมายจะพิจารณา (1) (2) ประกอบกัน เพื่อหยั่งทราบความมุ่งหมายอันแท้จริง หากมีความขัดแย้งกันให้ยึดเอาการตีความตามเจตนารมณ์เป็นใหญ่

 

ข้อ 2 นายฟ้าใสเป็นพนักงานขับรถไฟบรรทุกตู้สินค้า วันที่ 20 พฤษภาคม 2562 นายสายรุ้งพี่ชายและ นายสายฟ้าน้องชายได้เดินทางด้วยรสบัสเพื่อไปทําบุญทอดกฐินที่วัดแจ่มใส ระหว่างทางก่อนถึงวัด เป็นทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ มีสัญญาณเตือนแต่ไม่มีเครื่องกั้น จุดเกิดเหตุมีรถบัสกําลังขวางทางรถไฟ จนเกิดอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัส ผู้โดยสารบางรายกระเด็นตกลงไปในแม่น้ำ ในเหตุการณ์นี้ มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และผู้บาดเจ็บประมาณ 25 ราย สูญหาย 5 ราย นายสายรุ้งได้หายไปไม่มีใคร พบศพ ส่วนนายสายฟ้าได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวที่ต่างจังหวัด ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2562 นายสายฟ้าได้ส่งอีเมลมาหานางพระจันทร์ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายว่าตอนนี้รักษาตัวจนหายดีแล้วจะเดินทางกลับมาหานางพระจันทร์ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวหรือพบเจอนายสายฟ้าอีกเลย ให้วินิจฉัยว่า

(1) มารดาของนายสายรุ้งจะไปร้องขอให้นายสายรุ้งเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ และหากได้จะไปใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

(2) นางพระจันทร์จะไปร้องขอให้นายสายฟ้าเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ และหากได้จะไปใช้สิทธิ ทางศาลได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลําเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิต อยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทําลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้น ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคําร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกําหนด 5 ปี หรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่รถไฟชนรสบัสตรงทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2562 ทําให้ ผู้โดยสารบางรายกระเด็นตกลงไปในแม่น้ำ และเหตุการณ์ดังกล่าวทําให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บประมาณ 25 ราย และสูญหาย 5 รายนั้น เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวทําให้นายสายรุ้งซึ่งเป็นผู้โดยสารมากับรสบัสได้หายไป ไม่มีใครพบศพ ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่นายสายรุ้งได้หายไปในกรณีพิเศษตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2562 ตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) ซึ่งเป็นกรณีที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางถูกทําลายไป ดังนั้น ระยะเวลาที่ผู้มีส่วนได้เสีย จะร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายสายรุ้งเป็นคนสาบสูญจึงต้องนับระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2562 ซึ่งจะครบกําหนด 2 ปี ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ดังนั้น ถ้าผู้มีส่วนได้เสียจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาล สั่งให้นายสายรุ้งเป็นคนสาบสูญนั้น จึงสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป

สําหรับผู้มีส่วนได้เสียนั้น มารดาของนายสายรุ้งถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามนัยของมาตรา 61

ดังนั้น มารดาของนายสายรุ้งสามารถที่จะไปร้องขอให้นายสายรุ้งเป็นคนสาบสูญได้ โดยสามารถที่จะไปใช้สิทธิ ทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป

(2) การที่นายสายฟ้าได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวที่ต่างจังหวัด และต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2562 นายสายฟ้าได้ส่งอีเมลมาหานางพระจันทร์ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายว่าตอนนี้รักษาตัวจนหายดีแล้ว และจะเดินทางกลับมาหานางพระจันทร์ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวหรือพบเจอนายสายฟ้าอีกเลยนั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่นายสายฟ้าได้หายไปในกรณีธรรมดาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่นางพระจันทร์ ได้รับการติดต่อจากนายสายฟ้าเป็นครั้งสุดท้ายทางอีเมล ดังนั้น ถ้านางพระจันทร์ซึ่งเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนายสายฟ้าและถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามนัยของมาตรา 61 จะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายสายฟ้าเป็นคนสาบสูญ ย่อมสามารถทําได้ แต่จะต้องรอให้นายสายฟ้าหายไปจนครบ 5 ปีก่อนตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะครบกําหนด 5 ปี ในวันที่ 1 มิถุนายน 2567 โดยนางพระจันทร์จะสามารถไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

สรุป

(1) มารดาของนายสายรุ้งสามารถไปร้องขอให้นายสายรุ้งเป็นคนสาบสูญได้ โดยเริ่มไปใช้ สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 เป็นต้น

(2) นางพระจันทร์สามารถไปร้องขอให้นายสายฟ้าเป็นคนสาบสูญได้ โดยเริ่มไปใช้สิทธิ ทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3 บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทํานิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1) นายหยกอายุย่างเข้า 20 ปี ไปเยี่ยมคุณยาย คุณยายเอ็นดูยกเงินให้ 500,000 บาท โดยบิดา มารดาไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใด

(2) นายเพชรคนเสมือนไร้ความสามารถ ยืมเงินจากนายพลอยพนักงานขับรถของบิดา จํานวน 200 บาท โดยนายนิลผู้พิทักษ์ไม่ได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใด

(3) นายแก้วเป็นคนวิกลจริตไปซื้อไข่ไก่ 1 โหล จากร้านเจ๊แดง เป็นเงิน 190 บาท ในขณะกําลัง วิกลจริต แต่เจ๊แดงไม่รู้ว่านายแก้วเป็นคนวิกลจริต

(4) นายน้ำใสคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากผู้อนุบาลให้ไปซื้อตั๋วรถไฟ มูลค่า 300 บาท เพื่อเดินทางไปเยี่ยมญาติ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทําลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆยะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 “ผู้เยาว์อาจทําการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทําลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทําในขณะที่บุคคลนั้นจริต กลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทําเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อน แล้วจึงจะทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า การใดกระทําลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้คือ

(1) โดยหลัก ผู้เยาว์จะทํานิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทําขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกําหนดให้ ผู้เยาว์สามารถทําเองได้โดยลําพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทําเองเฉพาะตัว นิติกรรม ที่จําเป็นในการดํารงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่ อันใดอันหนึ่ง เป็นต้น

กรณีตามปัญหา การที่นายหยกอายุย่างเข้า 20 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ไปเยี่ยมคุณยาย คุณยาย เอ็นดูยกเงินให้ 500,000 บาท โดยบิดามารดาไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใดนั้น ถือเป็นนิติกรรมการให้โดยไม่มีเงื่อนไข หรือค่าภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น การที่นายหยกได้รับเงินนั้นไว้เป็นกรณีที่นายหยกผู้เยาว์ได้ทํานิติกรรม ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ทําให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งตามมาตรา 22 จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทําได้ ด้วยตนเอง และมีผลสมบูรณ์โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดา ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม

(2) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆ ได้โดยลําพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สําคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถ จะทําต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามปัญหา การที่นายเพชรคนเสมือนไร้ความสามารถได้ยืมเงินจากนายพลอย จํานวน 200 บาท โดยนายนิลผู้พิทักษ์ไม่ได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใดนั้น ถือเป็นกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถกู้ยืมเงิน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ ดังนั้น นิติกรรมการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

(3) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทํานิติกรรม ใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทํานิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทํานิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

กรณีตามปัญหา การที่นายแก้วคนวิกลจริตได้ไปซื้อไข่ไก่ 1 โหล จากร้านเจ๊แดง ในขณะที่ กําลังวิกลจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ๊แดงไม่ทราบว่านายแก้วเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายไข่ไก่ระหว่างนายแก้วกับเจ๊แดงดังกล่าว จึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

(4) โดยหลักของมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทํานิติกรรมใด ๆทั้งสิ้น (ต้องให้ผู้อนุบาลทําแทน) ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทํานิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจาก ผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามปัญหา การที่นายน้ำใสคนไร้ความสามารถได้ทํานิติกรรมโดยการไปซื้อตั๋วรถไฟมูลค่า 300 บาท ถึงแม้การทํานิติกรรมดังกล่าวของนายน้ำใสจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาล ก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

(1) การที่นายหยกผู้เยาว์รับเงินจากการให้ของคุณยาย 500,000 บาท มีผลสมบูรณ์

(2) การยืมเงินของนายเพชรคนเสมือนไร้ความสามารถเป็นโมฆียะ

(3) การซื้อไข่ไก่ของนายแก้วคนวิกลจริตมีผลสมบูรณ์

(4) การซื้อตั๋วรถไฟของนายน้ำใสคนไร้ความสามารถเป็นโมฆียะ

LAW1101 (LAW1001) หลักกฎหมายมหาชน s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1101 (LAW 1001) หลักกฎหมายมหาชน

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายเกี่ยวกับ “หลักประโยชน์สาธารณะ (Public Interest)” และ “หลักการพื้นฐานของการให้บริการสาธารณะ (Public Service)”

ธงคําตอบ

หลักประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) หมายถึง หลักการใช้อํานาจรัฐเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ มิใช่การตอบสนองต่อความต้องการของปัจเจกบุคคลเพียงคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม และมิใช่การตอบสนองต่อความต้องการของรัฐหรือผู้ดําเนินการนั้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ประโยชน์สาธารณะ คือ ความต้องการของปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่ตรงกัน และเป็นความต้องการที่ตรงกันของ คนจํานวนมากจนเป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม มีผลทําให้ความต้องการในลักษณะดังกล่าว เป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากประโยชน์ส่วนบุคคลของปัจเจกบุคคลหรือเอกชนแต่ละคน ส่วนหลักการพื้นฐานของการให้บริการสาธารณะ (Public Service) มีดังต่อไปนี้

1 หลักความต่อเนื่องในการบริการสาธารณะ หมายถึง การจัดทําบริการสาธารณะจะต้อง มีความสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดเวลา การกระทําใด ๆ ก็ตามที่ทําให้การบริการสาธารณะขาดความต่อเนื่องก็จะต้องห้าม

2 หลักการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในการบริการสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่เป็นบริการ สาธารณะที่ฝ่ายปกครองดําเนินการนั้น จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เกิดความทันสมัยและให้ทันต่อ ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่อยู่เสมอ

3 หลักความเสมอภาคในการบริการสาธารณะ หมายถึง ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ที่ให้บริการสาธารณะจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องให้ความเสมอภาค อย่างเท่าเทียมกันทั้งในด้านการให้บริการและการรับบุคคลเข้าทํางานในหน่วยงานของรัฐ

 

ข้อ 2 จงอธิบายความหมายของกฎหมายมหาชน และประเภทของกฎหมายมหาชนทั้งกฎหมายมหาชน ภายใน และกฎหมายมหาชนภายนอก

ธงคําตอบ

ความหมายของกฎหมายมหาชนนั้น ได้มีศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายมหาชนทั้งของไทยและ ต่างประเทศหลายท่าน ได้อธิบายไว้ดังนี้

ศาสตราจารย์มอริส ดูแวร์เช่ แห่งมหาวิทยาลัยปารีส ได้อธิบายไว้ว่า “กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงกฎเกณฑ์ทั้งหลายของกฎหมายที่เกี่ยวกับสถานะและอํานาจของผู้ปกครอง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง”

ศาสตราจารย์อองเดร เดอ โรมาแดร์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงทางกฎหมายปกครองกล่าวถึงกฎหมาย มหาชนไว้ว่า “กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่วางกฎเกณฑ์แก่สาธารณบุคคล อันได้แก่ รัฐ องค์การปกครอง และรวมตลอดถึงนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนอื่น ๆ ในด้านองค์กร การดําเนินงาน และความสัมพันธ์ระหว่าง สาธารณบุคคลด้วยกัน ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณบุคคลและเอกชน”

ศาสตราจารย์แบร์นาร์ บราเช่ ผู้สอนกฎหมายมหาชนของมหาวิทยาลัยปารีส ได้อธิบายถึง กฎหมายมหาชนไว้ว่า “กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของอํานาจสาธารณะและฝ่ายปกครอง รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรดังกล่าวกับเอกชน”

ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้อธิบายไว้ว่า “กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายที่กําหนด ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับราษฎร ในฐานะที่เป็นฝ่ายปกครองราษฎร กล่าวคือ ในฐานะที่รัฐมีฐานะเหนือราษฎร”

นอกจากนี้ยังมีคําจํากัดความ “กฎหมายมหาชน” ของนักกฎหมายไทยอีกท่านหนึ่ง คือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งท่านได้กล่าวอธิบายถึงกฎหมายมหาชนไว้ว่า “กฎหมายมหาชนนั้น อาจให้บทวิเคราะห์ศัพท์ ดังนี้คือ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายอันเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ประเทศแสดงตัวเป็นผู้บังคับปกครองในพระราชอาณาจักร โดยรักษาความสงบเรียบร้อย ระเบียบ การเก็บภาษีอากร และการที่ประเทศแสดงตัวนอกพระราชอาณาจักร เป็นผู้ทําการเกี่ยวพันกับประเทศอื่น”

จากคําอธิบายของศาสตราจารย์ทางกฎหมายมหาชนดังกล่าว จึงพอสรุปความหมายของกฎหมาย มหาชนได้ว่า “กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายที่กําหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ สาธารณะและอํานาจของรัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และผู้ปกครองกับพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครอง ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิทางปกครองเหนือพลเมือง ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน

กฎหมายมหาชน สามารถจําแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ กฎหมายมหาชนภายใน และกฎหมายมหาชนภายนอก

กฎหมายมหาชนภายใน เป็นกฎหมายที่กําหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ภายในรัฐเกี่ยวกับการ จัดระเบียบภายในรัฐ ประกอบด้วยสาขาย่อย ๆ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายการคลัง

กฎหมายมหาชนภายนอก เป็นกฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ กําหนดกฎเกณฑ์ ที่เกี่ยวกับสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในฐานะอธิปัตย์ที่เท่าเทียมกัน ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

 

ข้อ 3 ให้นักศึกษาตอบคําถามดังต่อไปนี้

(1) กฎหมายมหาชนเกี่ยวข้องกับการปฏิรูป (Reform) อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน และ

(2) การปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มีการปฏิรูปด้านใดบ้างจงอธิบาย

ธงคําตอบ

(1) คําว่า “ปฏิรูป” (Reform) หมายถึง ปรับปรุงให้สมควรหรือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่พึงประสงค์ หรือเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และหมายความรวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้แตกต่างไปจากเดิม ในทิศทางที่ดีขึ้น และเกิดประโยชน์มากกว่าที่ผ่านมา เช่น ถ้าพูดถึงการปฏิรูปประเทศ ย่อมหมายถึง การปรับเปลี่ยน โครงสร้างในแต่ละด้านอันเป็นองค์ประกอบสําคัญต่อการปกครองประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทั้งประเทศนั่นเอง

เนื่องจากในปัจจุบันภารกิจของรัฐสมัยใหม่มีมากมาย ทั้งภารกิจด้านเศรษฐกิจ และภารกิจด้านสังคมกระแสโลกาภิวัตน์ หรือกระแสการเปลี่ยนแปลงเชิงพัฒนาของสังคมโลกโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้จําเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนท่าทีในการตั้งรับและปรับตัวให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกจึงจําเป็นจะต้องมีการกําหนดวิสัยทัศน์ในการปฏิรูประบบการเมือง การปฏิรูปการปกครอง การปฏิรูประบบกฎหมาย การปฏิรูประบบราชการ และการปฏิรูปการศึกษา เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือในการปฏิรูปดังกล่าว ก็คือกฎหมายมหาชน ดังนั้น บทบาทที่สําคัญของกฎหมายมหาชน คือ บทบาท ในการปฏิรูปสังคมในด้านต่าง ๆ นั่นเอง

ตัวอย่าง บทบาทของกฎหมายมหาชนในการปฏิรูประบบการเมือง

เนื่องจากสภาพการเมืองในปัจจุบัน ระบบการเมืองทําให้เกิดปัญหาทางการเมืองหลายประการ เช่น มีการใช้เงินเป็นใหญ่ มีการผูกขาดทางการเมืองโดยคนจํานวนน้อย การที่คนดีมีความสามารถเข้าไปสู่ระบบ การเมืองได้ยาก การทุจริตประพฤติมิชอบ การเผด็จการโดยระบบรัฐสภา การต่อสู้เรื้อรังและความไร้เสถียรภาพ ทางการเมือง การขาดประสิทธิภาพทางการบริหารและทางนิติบัญญัติ การขาดสภาวะผู้นําทางการเมือง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว กฎหมายมหาชน เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เกี่ยวกับพรรคการเมือง จึงต้องมีบทบาทในการปฏิรูประบบการเมือง โดยการกําหนดมาตรการหลักที่สําคัญ ๆ เช่น

1 การปฏิรูประบบพรรคการเมือง โดยการทําพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย และรัฐต้องให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พรรคการเมืองเพื่อให้พรรคการเมืองเป็นอิสระจากผู้ให้เงินอุดหนุน

2 การปฏิรูประบบเลือกตั้ง โดยการขยายฐานผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้มีจํานวนมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพื่อให้การใช้เงินต้องใช้มากจนไม่น่าใช้ การปรับระบบเลือกตั้งโดยใช้ระบบผสม คือ ใช้ระบบ สัดส่วนตามบัญชีรายชื่อพรรค 100 คนทั่วประเทศ และใช้ระบบการเลือกตั้งเสียงข้างมากเซตละ 1 คน ซึ่งจะทําให้ ประชาชนมีคะแนนคนละ 2 เสียงเท่ากันทั้งประเทศ ซึ่งเป็นวิธีการที่จะเพิ่มโอกาสให้คนดีมีความสามารถเข้าสู่ การเมืองได้มากขึ้น และเป็นการลดการซื้อเสียง รวมทั้งให้มีการจัดตั้งองค์กรกลางขึ้นมาเพื่อควบคุมการเลือกตั้ง โดยมีความเป็นอิสระ และมีอํานาจตามกฎหมาย

3 สร้างองค์กรตรวจสอบและกระบวนการสอบสวนลงโทษ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรมและศาลปกครอง เป็นต้น

(2) การปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติไว้ในหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ มาตรา 258 มี 7 ด้าน ซึ่งแต่ละด้านรัฐธรรมนูญฯ ได้กําหนดให้มีการปฏิรูป ดังนี้

1 ด้านการเมือง ได้แก่ การให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกําหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดําเนิน กิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ การให้พรรคการเมืองดําเนินกิจกรรมโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เพื่อให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชน มีกลไกที่กําหนดให้ผู้ดํารง ตําแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรับผิดชอบต่อประชาชน และมีกลไกในการ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี เป็นต้น

2 ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ ให้มีการนําเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ ในการบริหารราชการแผ่นดิน และการจัดทําบริการสาธารณะ ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบการ บริหารงานของรัฐและแผนกําลังคนภาครัฐให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารงานบุคคลภาครัฐรวมทั้งให้มีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความคล่องตัว เปิดเผย ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน เป็นต้น

3 ด้านกฎหมาย ได้แก่ ให้ดําเนินการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยให้มีการใช้ระบบอนุญาตและระบบการดําเนินการโดยคณะกรรมการเพียง เท่าที่จําเป็น เพื่อให้การทํางานเกิดความคล่องตัว และไม่สร้างภาระแก่ประชาชนเกินความจําเป็น ปฏิรูประบบการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฎหมายเพื่อพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายให้เป็นผู้มีความรู้ และยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรมของนักกฎหมาย พัฒนาระบบฐานข้อมูลกฎหมายของรัฐโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลกฎหมายได้สะดวก และสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระของกฎหมายได้ง่าย เป็นต้น

4 ด้านกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ให้มีการกําหนดระยะเวลาดําเนินงานในทุกขั้นตอนของ กระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ชักช้า มีกลไกการช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ มีการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่าง พนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม กําหนดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายให้ชัดเจนเพื่อมิให้คดีขาดอายุความ เสริมสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรขององค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในกระบวนการยุติธรรม ให้มุ่งอํานวยความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยสะดวกและรวดเร็ว เป็นต้น

5 ด้านการศึกษา ได้แก่ ดําเนินการจัดให้เด็กทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใดจะต้องได้รับ การศึกษาภาคบังคับอย่างน้อย 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ให้จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลด ความเหลื่อมล้ําในการศึกษา ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับ ความสามารถและประสิทธิภาพในการสอน เป็นต้น

6 ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการนําความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ปรับปรุงระบบภาษีให้มีความเป็นธรรม เพื่อส่งเสริมสหกรณ์และผู้ประกอบการแต่ละขนาดให้มีความสามารถในการแข่งขันอย่างเหมาะสม เป็นต้น

7 ด้านอื่น ๆ เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้มีการจัดระบบบริหาร ทรัพยากรที่ดีและมีประสิทธิภาพ และด้านสาธารณสุข โดยให้มีการปรับระบบหลักประกันสุขภาพให้ประชาชน ได้รับสิทธิและประโยชน์จากการบริหารจัดการ และการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและสะดวกเท่าเทียมกัน เป็นต้น

LAW3112 (LAW3012) กฎหมายปกครอง s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3112 (LAW 3012) กฎหมายปกครอง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 คณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์เงื่อนไขและจํานวนเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลง มีมติให้นายแดงเป็นผู้ไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพและได้ออกประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิและไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย และแจ้งให้ทราบ โดยวิธีจัดส่งประกาศให้นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ปิดประกาศ ณ ที่ว่าการอําเภอ ที่ทําการ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านตามลําดับ ขอให้ท่านวินิจฉัยว่ามติของคณะกรรมการดังกล่าวเป็นนิติกรรมทาง ปกครองประเภทใดหรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “กฎ” หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติ ท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใด หรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

“คําสั่งทางปกครอง” หมายความว่า

(1) การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่า จะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการ รับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

วินิจฉัย

กรณีที่จะเป็นคําสั่งทางปกครองโดยนัยของมาตรา 5 (1) แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั้น จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 ต้องเป็นคําสั่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่

2 ต้องมีลักษณะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย

3 ต้องมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่าง บุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิ หรือหน้าที่ของบุคคล

4 ต้องก่อให้เกิดผลเฉพาะกรณีหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

5 ต้องมีผลโดยตรงไปสู่ภายนอกฝ่ายปกครอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์เงื่อนไขและจํานวนเงินชดเชยพิเศษ แทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพจังหวัดลพบุรี มีมติให้นายแดงเป็นผู้ไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพ และได้ออกประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิและไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย และได้แจ้งให้ทราบ โดยวิธีจัดส่งประกาศให้นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ปิดประกาศ ณ ที่ว่าการอําเภอ ที่ทําการกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามลําดับนั้น มติของคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของนายแดง

ในการได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ โดยตรง และเมื่อมตินั้นได้ออกโดยการใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ โดยมุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งและมีผลใช้บังคับกับบุคคลใดเป็นการเฉพาะเจาะจง

ดังนั้น มติของ คณะกรรมการฯ ดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมทางปกครองประเภทคําสั่งทางปกครอง ตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

สรุป มติของคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว เป็นนิติกรรมทางปกครองประเภท คําสั่งทางปกครอง

 

ข้อ 2 นายเขียวร้องต่อคณะกรรมการสภาทนายความว่า นายขาวทนายความของตนยักยอกเงินคณะกรรมการสภาทนายพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีมูลจึงมีคําสั่งไม่รับคํากล่าวหาคดีมารยาททนายความ แต่เนื่องจากข้อบังคับมารยาททนายความไม่ได้กําหนดเรื่องอุทธรณ์คําสั่งไว้โดยเฉพาะ ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเขียวจะฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งไม่รับคํากล่าวหาคดีมารยาททนายความต่อศาลปกครองโดยตรงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 3 “วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กําหนดในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายใดกําหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ และมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กําหนด ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งที่กําหนดในพระราชบัญญัตินี้ ในกฎหมาย”

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ”

มาตรา 44 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ภายใต้บังคับมาตรา 48 ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองใด ไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี และไม่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณี อุทธรณ์คําสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครองภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว

คําอุทธรณ์ต้องทําเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย”

และตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

มาตรา 42 วรรคสอง “ในกรณีที่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไข ความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทําได้ต่อเมื่อมีการ ดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลา อันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกําหนด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเขียวร้องต่อคณะกรรมการสภาทนายความซึ่งเป็นหน่วยงานทาง ปกครองว่า นายขาวทนายความของตนยักยอกเงิน แต่คณะกรรมการสภาทนายความพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีมูล จึงมีคําสั่งไม่รับคํากล่าวหาคดีมรรยาททนายความดังกล่าวนั้น คําสั่งไม่รับคํากล่าวหาคดีมรรยาททนายความของ คณะกรรมการสภาทนายความดังกล่าวถือเป็นคําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

และด้วยเหตุที่ข้อบังคับมรรยาททนายความไม่ได้กําหนดเรื่องการอุทธรณ์คําสั่งไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น การอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวของนายเขียวจึงต้องนําเรื่องการอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 44 ประกอบมาตรา 3 มาใช้บังคับ กล่าวคือ นายเขียวจะต้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าว โดยทําเป็นหนังสือยื่นต่อคณะกรรมการสภาทนายความภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายเขียวไม่ได้อุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด แต่นายเขียวจะฟ้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคําสั่งไม่รับคํากล่าวหาคดีมรรยาททนายความโดยตรงเลยนั้น นายเขียวไม่อาจทําได้เพราะ ต้องห้ามตามมาตรา 42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งได้ วางหลักไว้ว่า การฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น

จะกระทําได้ก็ต่อเมื่อได้มีการดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้แล้ว คือได้มีการอุทธรณ์ คําสั่งทางปกครองนั้นแล้วนั่นเอง ดังนั้น เมื่อนายเขียวไม่ได้อุทธรณ์คําสั่งของคณะกรรมการสภาทนายความไว้ ก่อนแต่อย่างใด นายเขียวจึงไม่สามารถนําคดีนั้นไปยื่นฟ้องเพื่อให้ศาลปกครองเพิกถอนคําสั่งดังกล่าวได้

สรุป นายเขียวจะฟ้องขอให้เพิกถอนถอนคําสั่งไม่รับคํากล่าวหาคดีมรรยาททนายความต่อศาลปกครองโดยตรงไม่ได้ เนื่องจากไม่มีการอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวไว้ก่อน

 

ข้อ 3 โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งทําสัญญาซื้อขายเครื่องมือจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ต่อมาปรากฏว่า โรงพยาบาลดังกล่าวได้ผิดสัญญาบางข้อเกิดขึ้น ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า บริษัทเอกชนรายนี้จะฟ้องให้ โรงพยาบาลรับผิดตามสัญญาได้ที่ศาลใด เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) บัญญัติว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง”

และตามมาตรา 3 ได้บัญญัติให้คํานิยามของ “สัญญาทางปกครอง” ไว้ว่า

“สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทํา บริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทธรณ์ การที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้ทําสัญญา ซื้อขายเครื่องมือจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งนั้น แม้สัญญาดังกล่าวจะเป็นสัญญาที่ทําขึ้นระหว่างหน่วยงานทาง ปกครองฝ่ายหนึ่งกับบริษัทเอกชนอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อเป็นสัญญาที่คู่สัญญามีเจตนาที่จะผูกพันตนบนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคกัน อีกทั้งวัตถุประสงค์ของสัญญานั้นก็ไม่ใช่สัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือสัญญา ที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาทางปกครองตามนัยของมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา คดีปกครอง พ.ศ. 2542 ดังนั้น เมื่อต่อมาปรากฏว่าโรงพยาบาลดังกล่าวได้ผิดสัญญาบางข้อเกิดขึ้น ข้อพิพาท เกี่ยวกับการผิดสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง จึงไม่อยู่ในอํานาจพิจารณา พิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ดังนั้น ถ้าบริษัทเอกชนรายนี้จะฟ้องให้โรงพยาบาลรับผิด ตามสัญญา จึงต้องฟ้องโรงพยาบาลที่ศาลยุติธรรม จะนําคดีไปฟ้องที่ศาลปกครองไม่ได้

สรุป บริษัทเอกชนรายนี้จะต้องฟ้องโรงพยาบาลให้รับผิดตามสัญญาได้ที่ศาลยุติธรรม

 

ข้อ 4 คนงานของเทศบาลแห่งหนึ่งทําการลอกคลองและทําความสะอาดถนน ทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ นายเหลืองได้รับความเสียหายเสื้อผ้าสกปรกและต้องผิดนัดในการเจรจาธุรกิจ เนื่องจากต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปเจรจาธุรกิจสําคัญไม่ทันเกิดความเสียหาย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเหลือง จะฟ้องเทศบาลให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้ที่ศาลใด เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)

“ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําสั่งทางปกครองหรือคําสั่งอื่น หรือ จากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร”

วินิจฉัย

ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) กรณีที่จะถือว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับ การกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเรียกว่า “ละเมิดทางปกครอง” และจะเป็น คดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ ดังนี้ คือ

1 เป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และ

2 เป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ คือ

(1) การใช้อํานาจตามกฎหมาย

(2) การออกกฎ คําสั่งทางปกครอง หรือคําสั่งอื่น

(3) การละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ

(4) การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คนงานของเทศบาลแห่งหนึ่งได้ทําการลอกคลองและทําความสะอาดถนนและได้ทําโดยประมาทเป็นเหตุให้นายเหลืองได้รับความเสียหายเสื้อผ้าสกปรกและต้องผิดนัดในการเจรจาธุรกิจนั้น การกระทําของคนงานของเทศบาลดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการกระทําละเมิดเนื่องจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนด และไม่ใช่เป็นการละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีอื่น ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแต่อย่างใด แต่เป็นการละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่ว ๆ ไปของคนงานที่ไม่ได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณี จึงไม่ใช่การทําละเมิดทางปกครอง แต่เป็นละเมิดทางแพ่ง ดังนั้น ข้อพิพาทดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) หากนายเหลืองจะฟ้องให้เทศบาลรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีดังกล่าว นายเหลืองจะต้องฟ้องเทศบาลเป็นคดีแพ่งต่อศาลยุติธรรม

สรุป นายเหลืองจะต้องฟ้องเทศบาลให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ศาลยุติธรรม

LAW3112 (LAW3012) กฎหมายปกครอง s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3112 กฎหมายปกครอง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายแดงเป็นพนักงานการรถไฟถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาจึงตั้งคณะกรรมการ สอบสวนวินัยนายแดง เมื่อพิจารณาระเบียบของการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 120 ว่าด้วย การสอบสวนเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2541 แล้ว ปรากฏว่า ระเบียบดังกล่าวมิได้มีข้อกําหนดใดที่ให้สิทธิแก่ผู้ถูกสอบสวนในการมีทนายความหรือที่ปรึกษาเข้ามาในกระบวนการสอบสวน นายแดงจึงมาปรึกษาท่านที่เป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงว่าตนประสงค์จะนําทนายความเข้ามาในกระบวนการสอบสวนนี้ ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า นายแดง จะนําทนายความเข้ามาในกระบวนการสอบสวนทางวินัยของตนได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 3 “วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กําหนดในพระราชบัญญัตินี้

เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายใดกําหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่องใดไว้โดยเฉพาะและมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ํากว่าหลักเกณฑ์ที่กําหนดใน พระราชบัญญัตินี้ ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งที่กําหนดใน กฎหมาย”

มาตรา 23 “ในการพิจารณาทางปกครองที่คู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหน้าที่ คู่กรณีมีสิทธินําทนายความหรือที่ปรึกษาของตนเข้ามาในการพิจารณาทางปกครองได้

การใดที่ทนายความหรือที่ปรึกษาได้ทําลงต่อหน้าคู่กรณีให้ถือว่าเป็นการกระทําของคู่กรณี เว้นแต่คู่กรณีจะได้คัดค้านเสียแต่ในขณะนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่มาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้บัญญัติ ให้สิทธิแก่คู่กรณีที่จะนําทนายความเข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองที่คู่กรณีต้องมาปรากฏตัวต่อหน้า เจ้าหน้าที่ได้นั้น ถือเป็นหลักประกันความเป็นธรรมแก่คู่กรณีอย่างหนึ่ง ดังนั้น เมื่อระเบียบของการรถไฟแห่งประเทศไทยมิได้มีข้อกําหนดใดที่ให้สิทธิแก่ผู้ถูกสอบสวนในการมีทนายความหรือที่ปรึกษาเข้ามาในกระบวนการ สอบสวน ระเบียบดังกล่าวจึงมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 23 ดังนั้นการสอบสวนความผิดวินัยของการรถไฟแห่งประเทศไทยจึงต้องนํามาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติ ดังกล่าวมาใช้บังคับตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ กล่าวคือ นายแดงสามารถนํา ทนายความเข้ามาในกระบวนการสอบสวนทางวินัยของตนได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้ความเห็นแก่นายแดงดังที่อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 ชาวบ้านที่จังหวัดอ่างทองเลี้ยงปลาในกระชังริมแม่น้ำ ต่อมาปรากฏว่าปลาที่เลี้ยงตายหมดนับแสนตัว ชาวบ้านจึงมาร้องเรียนอธิบดีกรมโรงงานให้มีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานผงชูรส ที่ตั้งใกล้บริเวณนั้น โดยอ้างว่าโรงงานผงชูรสได้ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำทําให้น้ำบริเวณนั้นเน่าเสีย และทําให้ปลาที่เลี้ยงตายจนหมด อธิบดีกรมโรงงานเชื่อในคํากล่าวอ้างของชาวบ้านและเห็นชาวบ้านเดือดร้อนจริง จึงมีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานผงชูรสทันที ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งของอธิบดีกรมโรงงานดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ”

มาตรา 30 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้อง ให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชาวบ้านจังหวัดอ่างทองเลี้ยงปลาในกระชังริมแม่น้ำ ได้มาร้องเรียนอธิบดี กรมโรงงานให้มีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานผงชูรสที่ตั้งใกล้บริเวณนั้น โดยอ้างว่าโรงงานผงชูรสได้ปล่อยน้ำเสีย ลงในแม่น้ำทําให้น้ำในบริเวณนั้นเน่าเสีย และทําให้ปลาที่เลี้ยงตายจนหมด อธิบดีกรมโรงงานเชื่อในคํากล่าวอ้าง ของชาวบ้านและเห็นชาวบ้านเดือดร้อนจริง จึงมีคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานผงชูรสทันทีนั้น คําสั่งเพิกถอน ใบอนุญาตดังกล่าวถือเป็นคําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ฯ เพราะเป็นคําสั่งที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลคือเจ้าของโรงงานผงชูรส

และเมื่อก่อนที่อธิบดีกรมโรงงานจะออกคําสั่งทางปกครองดังกล่าว อธิบดีกรมแรงงานไม่ได้ให้ เจ้าของโรงงานผงชูรสได้มีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐาน ของตน คําสั่งของอธิบดีกรมโรงงานดังกล่าวจึงเป็นคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

สรุป คําสั่งของอธิบดีกรมโรงงานดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3 มหาวิทยาลัยรามทําการตระเตรียมงานรับปริญญาบัตรของนักศึกษาที่จบการศึกษา จึงได้ ทําสัญญากับนายเขียวให้ทําการตกแต่งสวนหย่อมหน้าคณะนิติศาสตร์ให้ดูสวยงาม ต่อมามีการ ผิดสัญญาบางข้อเกิดขึ้น โดยนายเขียวอ้างว่าทางมหาวิทยาลัยผิดสัญญา ขอให้ท่าน วินิจฉัยว่า นายเขียวจะฟ้องมหาวิทยาลัยให้รับผิดตามสัญญาได้ที่ศาลใด เพราะเหตุใดขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) บัญญัติว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง”

และตามมาตรา 3 ได้บัญญัติให้คํานิยามของ “สัญญาทางปกครอง” ไว้ว่า

“สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงาน ทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการ สาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้ทําสัญญากับ นายเขียวให้ทําการตกแต่งสวนหย่อมหน้าคณะนิติศาสตร์ให้ดูสวยงามนั้น แม้สัญญาดังกล่าวจะเป็นสัญญาที่ทําขึ้น ระหว่างหน่วยงานทางปกครองฝ่ายหนึ่งกับนายเขียวซึ่งเป็นเอกชนอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อวัตถุประสงค์ของ สัญญานั้นไม่ใช่สัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง ตามนัยของมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ดังนั้นต่อมา เมื่อมีการผิดสัญญาบางข้อเกิดขึ้น โดยนายเขียวอ้างว่าทางมหาวิทยาลัยผิดสัญญา ข้อพิพาทเกี่ยวกับ การผิดสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองจึงไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ดังนั้น ถ้านายเขียวจะฟ้องมหาวิทยาลัยให้รับผิดตามสัญญา นายเขียวจะต้องฟ้องมหาวิทยาลัยที่ศาลยุติธรรม จะนําคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองไม่ได้

สรุป นายเขียวจะฟ้องมหาวิทยาลัยให้รับผิดตามสัญญาได้ที่ศาลยุติธรรม

 

ข้อ 4 นายดําเป็นข้าราชการพลเรือนไปงานสังสรรค์กับเพื่อน ในระหว่างขับรถกลับบ้านถูกตํารวจจับในความผิดฐานเมาสุราในระหว่างขับรถ ศาลตัดสินโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก 10 วัน หากท่าน เป็นผู้บังคับบัญชานายดําจะดําเนินการตามกฎหมายกับนายดําได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

มาตรา 110 “ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีอํานาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือน สามัญออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการได้ในกรณีดังต่อไปนี้

(8) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดต้องรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกใน ความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือต้องรับโทษจําคุกโดยคําสั่งของศาลซึ่งยังไม่ถึงกับ จะต้องถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนไปงานสังสรรค์กับเพื่อน ในระหว่าง ขับรถกลับบ้านถูกตํารวจจับในความผิดฐานเมาสุราในระหว่างขับรถ และศาลได้ตัดสินโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้ จําคุก 10 วันนั้น ความผิดที่นายดําได้กระทําถือเป็นความผิดลหุโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 102 ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของนายดํา ข้าพเจ้าจะมีคําสั่งให้นายดําออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จ บํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามมาตรา 110 (8)

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของนายดํา ข้าพเจ้าจะมีคําสั่งให้นายดําออกจากราชการ เพื่อรับบําเหน็จบํานาญตามมาตรา 110 (8)

 

LAW3112 (LAW3012) กฎหมายปกครอง 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

LAW 3012 กฎหมายปกครอง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. (ก) ธนาคารออมสินเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. ธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 ประสงค์ จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท มหาชน จํากัด แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่าคําสั่งของธนาคารออมสินโดยนายแดงผู้อํานวยการธนาคารออมสินที่สั่งซื้อ หุ้นสามัญของบริษัท มหาชน จํากัด ดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นคําสั่งทางปกครอง หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

(ข) นายเขียวเรียนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในฟิลิปปินส์ มาสมัครรับราชการและได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ต่อมา ก.พ. ตรวจสอบ พบว่า ปริญญาตรีที่นายเขียวศึกษาจบมานั้น ก.พ. ไม่รับรอง ดังนั้นหากท่านเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะดําเนินการทางกฎหมายกับนายเขียวได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย

ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้ “คําสั่งทางปกครอง” หมายความว่า

(1) การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ”

วินิจฉัย

กรณีที่จะเป็นคําสั่งทางปกครองโดยนัยของมาตรา 5 (1) แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั้น จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 ต้องเป็นคําสั่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่

2 ต้องมีลักษณะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย

3 ต้องมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่าง บุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล

4 ต้องก่อให้เกิดผลเฉพาะกรณีหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

5 ต้องมีผลโดยตรงไปสู่ภายนอกฝ่ายปกครอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ธนาคารออมสินซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. ธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 และเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยนายแดงผู้อํานวยการธนาคารออมสินได้มีคําสั่งให้ซื้อหุ้นสามัญ ของบริษัท มหาชน จํากัด แห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น คําสั่งให้ซื้อหุ้นฯ ดังกล่าวเป็นเพียง การทําคําสนองรับคําเสนอขายหุ้นตามกระบวนการทําสัญญาซื้อขายตามหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น มิได้เป็นการใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่อันจะถือว่าเป็นการทําคําสั่งทางปกครองแต่อย่างใด ดังนั้น คําสั่งของธนาคารออมสินฯ ดังกล่าว จึงไม่เป็นคําสั่งทางปกครอง

สรุป คําสั่งของธนาคารออมสินที่สั่งซื้อหุ้นสามัญของบริษัท มหาชน จํากัด ดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่เป็นคําสั่งทางปกครอง

(ข) หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

มาตรา 62 วรรคสาม “ในกรณีที่ ก.พ. กําหนดให้ปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิใด เป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ให้หมายถึงปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือคุณวุฒิที่ ก.พ. รับรอง

มาตรา 67 “ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งใด ตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 63 มาตรา 64 และมาตรา 65 หากภายหลังปรากฏว่า ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 36 หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะสําหรับ ตําแหน่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุมัติจาก ก.พ. ตามมาตรา 62 ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอํานาจและหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้น….”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเขียวเรียนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในฟิลิปปินส์ มาสมัครรับราชการและได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และต่อมา ก.พ. ตรวจสอบพบว่า ปริญญาตรีที่นายเขียวศึกษาจบมานั้น ก.พ. ไม่รับรอง ย่อมถือว่าเป็นการขาดคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุมัติจาก ก.พ. ตามมาตรา 62 และเมื่อเป็นการตรวจสอบพบภายหลังจากที่ นายเขียวได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว กรณีดังกล่าวย่อมเข้าลักษณะตามบทบัญญัติมาตรา 67 กล่าวคือ นายเขียวเป็นผู้ที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญแล้ว ต่อมาภายหลังปรากฏว่านายเขียว ขาดคุณสมบัติเฉพาะตําแหน่งนั้น ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะต้องสั่งให้นายเขียวออกจากราชการทันที

แต่อย่างไรก็ตาม การสั่งให้นายเขียวออกจากราชการได้ทันทีนั้น ตามมาตรา 67 ได้บัญญัติไว้ว่า จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่นายเขียวได้ปฏิบัติไปตามอํานาจและหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้น ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจะเรียกเงินเดือนและ ประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้นไม่ได้

สรุป ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะต้องสั่งให้นายเขียวออกจากราชการทันทีแต่จะเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้นไม่ได้

 

ข้อ 2 ในการพิจารณาว่าคดีใดเป็นคดีปกครองมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไรบ้าง และคดีที่อยู่ใน อํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มีกี่ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา

ธงคําตอบ

1 ในการพิจารณาว่าคดีใดเป็นคดีปกครองนั้น มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอยู่ 3 ประการ คือ

(1) จะต้องพิจารณาถึงคู่พิพาทในคดี กล่าวคือ คู่พิพาทในคดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย จะต้องเป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามคํานิยามในมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ดังนั้น ถ้าคู่พิพาทในคดีเป็นบุคคลอื่นซึ่งมิใช่หน่วยงานทางปกครองหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ คดีนั้นก็จะมิใช่คดีปกครอง

(2) ข้อพิพาทในคดีจะต้องเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อํานาจทางปกครองตามกฎหมาย หรืออันเนื่องมาจากการดําเนินกิจการทางปกครอง

(3) ในการพิจารณาว่าคดีใดเป็นคดีปกครองนั้น จะต้องพิจารณารายละเอียดจากบทบัญญัติของ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ หรือกฎหมายอื่นประกอบด้วย

2 คดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มีอยู่ 6 ประเภท ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ดังนี้ คือ

(1) คดีที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกกฎหรือคําสั่งโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขอให้ศาลสั่งเพิกถอนกฎหรือคําสั่งดังกล่าว หรือฟ้องว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการปกครองอย่างอื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและขอให้ศาลสั่งห้ามการกระทําดังกล่าว

(2) คดีที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่ กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และขอให้ศาลสั่งให้หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด

(3) คดีที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําละเมิดหรือมีความ รับผิดอย่างอื่นอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย จากกฎ จากคําสั่งทางปกครอง จากการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติหรือจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และขอให้ศาลสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้เงินหรือให้ส่งมอบทรัพย์สิน หรือให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

(5) คดีที่มีกฎหมายกําหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทําหรือละเว้นกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใด

(6) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่กฎหมายกําหนดให้อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครอง

 

ข้อ 3 นายเอก (ผู้เช่า) ทําสัญญาเช่าที่ดินกับบริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จํากัด (ผู้ให้เช่า) บริเวณพื้นที่ ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และได้ทําการก่อสร้างอาคารลงบนพื้นที่ดินที่ได้เช่าดังกล่าว ต่อมานายกเทศบาลเมืองปากช่องมีคําสั่งให้ระงับการก่อสร้างอาคารไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับอนุญาต ก่อสร้างอาคาร นายเอกได้ยื่นคําขอใบอนุญาตก่อสร้างตามแบบ ข. 1 แห่งพระราชบัญญัติควบคุม อาคาร พ.ศ. 2522 โดยได้แนบสัญญาเช่าที่ดินกับบริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จํากัด ประกอบ แบบ ข. ซึ่งเป็นรายการเอกสารสําคัญที่ต้องแนบประกอบด้วย แต่ในสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าว มิได้ระบุว่าบริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จํากัด (ผู้ให้เช่า) เป็นเจ้าของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิใด ๆ นายกเทศมนตรีเมืองปากช่องจึงมีคําสั่งปฏิเสธการอนุญาตก่อสร้างอาคารแก่นายเอก โดยให้เหตุผลว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่มีเอกสารสิทธิ นายเอกเห็นว่าคําสั่งปฏิเสธดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตนเองมีสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาเช่าถูกต้อง และในบริเวณใกล้เคียงยังมีบุคคลอื่น ดําเนินการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้ คําสั่งปฏิเสธดังกล่าวอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ และตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 บัญญัติว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่อง ดังต่อไปนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คําสั่ง หรือการกระทําอื่นใดเนื่องจากการกระทําโดยไม่มีอํานาจหรือคําสั่งนอกเหนืออํานาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็น สาระสําคัญที่กําหนดไว้สําหรับการกระทํานั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จําเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกเทศมนตรีเมืองปากช่องซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อํานาจตามกฎหมายควบคุมอาคารปฏิเสธการอนุญาตการก่อสร้างอาคารแก่นายเอก ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานภาพ ของสิทธิหรือหน้าที่ของนายเอก คําสั่งปฏิเสธการอนุญาตการก่อสร้างอาคารดังกล่าว จึงเป็นคําสั่งทางปกครอง ตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

แต่อย่างไรก็ดี การที่นายเอกยื่นคําขอรับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารตามแบบ ข. 1 โดยแนบสัญญา เช่าที่ดินระหว่างนายเอกกับบริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จํากัด โดยมิได้ระบุว่าบริษัทฯ เป็นเจ้าของที่ดิน ที่มีเอกสารสิทธินั้น นายกเทศมนตรีเมืองปากช่องก็ชอบที่จะปฏิเสธการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารและเป็นแบบรายการอันเป็นสาระสําคัญที่กําหนดไว้ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ ส่วนกรณีที่นายเอกอ้างว่านายกเทศมนตรีเมืองปากช่องเลือกปฏิบัตินั้น นายเอกจะอ้างได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่นายเอกผู้ถูกปฏิบัติมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่ได้รับสิทธินั้น แต่ถ้ากรณีนั้นนายเอกไม่มีสิทธิตามกฎหมายแล้ว นายเอกจะอ้างว่ามีบุคคลอื่นฝ่าฝืนกฎหมายดําเนินการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกันยังไม่ถูกดําเนินการอันเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหาได้ไม่

ดังนั้น เมื่อคําสั่งปฏิเสธการอนุญาตก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อยู่ใน อํานาจที่ศาลปกครองจะพิจารณาพิพากษาได้ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

สรุป คําสั่งปฏิเสธการอนุญาตก่อสร้างอาคารดังกล่าว ไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

 

ข้อ 4 กรุงเทพมหานครได้ประกาศผลสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและเนื่องจากกรณีนี้กฎหมายไม่ได้กําหนดขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์โต้แย้งไว้ กรุงเทพมหานครจึงกําหนดให้ ผู้สมัครสอบซึ่งไม่ปรากฏชื่อสามารถยื่นคําขอทราบเหตุผลการไม่ผ่านคัดเลือกได้ภายใน 7 วัน วันรุ่งขึ้นนายแดงซึ่งไม่ปรากฏชื่อในประกาศฯ ได้มีหนังสือขอทราบเหตุผลฯ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้มีหนังสือแจ้งให้ทราบในวันถัดมาว่าเนื่องจากไม่ผ่านการทดสอบความเหมาะสมกับตําแหน่ง เพราะในการตรวจสอบประวัติเคยทุจริตในการสอบระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคําแหงวันต่อมานายแดงได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครและผู้ว่าฯ เป็นคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนประกาศผลสอบคัดเลือกฯ เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ประกาศให้นายแดง เป็นผู้สอบคัดเลือกได้ ดังนี้หากท่านเป็นศาลปกครองจะมีคําสั่งหรือคําพิพากษาในคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในการตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

มาตรา 44 วรรคหนึ่ง “ภายใต้บังคับมาตรา 48 ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดย รัฐมนตรี และไม่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองเป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คําสั่ง ทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทําคําสั่งทางปกครองภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว”

และตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 บัญญัติว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่อง ดังต่อไปนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คําสั่ง หรือการกระทําอื่นใดเนื่องจากการกระทําโดยไม่มีอํานาจหรือนอกเหนือ อํานาจหน้าที่ หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสําคัญ ที่กําหนดไว้สําหรับการกระทํานั้น…..

มาตรา 42 วรรคสอง “ในกรณีที่มีกฎหมายกําหนดขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไขความ เดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทําได้ต่อเมื่อมีการดําเนินการ ตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควร หรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกําหนด”

มาตรา 72 “ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคําสั่ง หรือสั่งห้ามการกระทําทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 (1) …”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ หากข้าพเจ้าเป็นศาลปกครองจะมีคําสั่งหรือคําพิพากษาในคดีนี้อย่างไรนั้นแยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และเป็นหน่วยงานทางปกครอง ได้ประกาศผลสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุบุคคลเป็นเจ้าหน้าที่การเงินนั้น ประกาศผลสอบคัดเลือกฯ ดังกล่าว ถือเป็นคําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ

2 การที่นายแดงซึ่งไม่ปรากฏชื่อในประกาศผลสอบฯ ได้มีหนังสือขอทราบเหตุผลการไม่ผ่าน คัดเลือกนั้น ไม่ถือว่าเป็นการยื่นอุทธรณ์คําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครองฯ และการที่กรุงเทพมหานครได้แจ้งให้ทราบถึงเหตุผลของการสอบไม่ผ่านการคัดเลือกของนายแดงนั้น จึงไม่อาจถือว่าเป็นการแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้นายแดงทราบ

3 การที่นายแดงจะยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครและผู้ว่าฯ เป็นคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ ศาลเพิกถอนประกาศผลสอบคัดเลือกฯ ดังกล่าว เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 (1) ประกอบมาตรา 72 (1) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ นั้น นายแดงจะต้องอุทธรณ์คําสั่ง (ประกาศ) นั้นก่อนตามมาตรา 42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ แม้ว่ากรณีนี้กฎหมายไม่ได้กําหนดขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์ โต้แย้งไว้ก็ตาม นายแดงก็จะต้องอุทธรณ์คําสั่งนั้นก่อนตามหลักเกณฑ์ทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ

4 เมื่อข้อเท็จจริงกรณีตามอุทาหรณ์ปรากฏว่านายแดงได้ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานครและผู้ว่าฯ เป็นคดีต่อศาลปกครอง โดยมิได้ดําเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายก่อนนําคดีมาฟ้องศาลปกครองตาม มาตรา 42 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ (ไม่ได้อุทธรณ์คําสั่งนั้นก่อน) ดังนั้น นายแดงจึงไม่อาจนําคดี มาฟ้องต่อศาลปกครองได้ และเมื่อนายแดงได้ยื่นฟ้องกรณีนี้เป็นคดีต่อศาลปกครอง หากข้าพเจ้าเป็นศาลปกครอง ข้าพเจ้าจะมีคําสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณา

สรุป หากข้าพเจ้าเป็นศาลปกครอง ข้าพเจ้าจะมีคําสั่งไม่รับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา

LAW3112 (LAW3012) กฎหมายปกครอง 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3012 กฎหมายปกครอง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 รัฐวิสาหกิจคืออะไร แบ่งได้เป็นกี่ประเภท จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา

ธงคําตอบ

“รัฐวิสาหกิจ” คือ นิติบุคคลที่รัฐได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับกับการกระจายอํานาจทางบริการและเป็น การบริการสาธารณะทางด้านอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม

และนิติบุคคลที่รับเอาการบริการสาธารณะด้าน อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมไปทําเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การประปา เป็นต้น

มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ได้บัญญัติให้คํานิยามของรัฐวิสาหกิจ ไว้ว่า “รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า

(ก) องค์การของรัฐบาลหรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ

(ข) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ

(ค) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการ และ/หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ก) และ/หรือ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ

(ง) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการ และ/หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ค) และ/หรือ (ก) และ/หรือ (ข) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ

(จ) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการ และ/หรือรัฐวิสาหกิจตาม (ง) และ/หรือ (ก) และ/หรือ (ข) และ/หรือ (ค) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่าร้อยละห้าสิบ

การแบ่งประเภทตามที่มาทางกฎหมาย

ถ้าแบ่งประเภทของรัฐวิสาหกิจตามที่มาทางกฎหมาย อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

1 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายมหาชน ซึ่งยังแยกออกเป็น 2 ประเภทย่อยคือ

(ก) รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติเฉพาะหรือกฎหมายที่เรียกชื่ออย่างอื่น ที่มีระดับเดียวกับพระราชบัญญัติ (พระราชกําหนด ประกาศของคณะปฏิวัติ) เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งรัฐวิสาหกิจประเภทนี้จะได้รับมอบหมายให้มีอํานาจมหาชนในการดําเนินการใด ๆ ต่อทรัพย์สินหรือสิทธิของบุคคล เช่น เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ วางท่อ ปักเสาไฟฟ้าในที่ดินของเอกชน

(ข) รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วย การจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ. 2496 เช่น องค์การคลังสินค้า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น บริษัทการบินไทย จํากัด

2 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเอกชน ซึ่งยังแยกออกเป็น 2 ประเภทย่อย คือ

(ก) รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น บริษัท ขนส่ง จํากัด

(ข) รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจํากัด พ.ศ. 2535 เช่น บริษัท

3 รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นในส่วนราชการโดยมติคณะรัฐมนตรีและไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล เช่น โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต

 

ข้อ 2 ก. ในการสรรหาคณบดีคณะวิทยาการจัดการของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ได้มีการดําเนินการ สรรหาเพื่อเสนอสภามหาวิทยาลัยพิจารณาเลือกและแต่งตั้งนายแดงเป็นคณะบดีไปแล้ว ต่อมา ปรากฏว่าสภามหาวิทยาลัยดังกล่าวได้มีมติให้ดําเนินการสรรหาบุคคลผู้มีความเหมาะสมที่จะดํารงตําแหน่งคณะบดีคณะวิทยาการจัดการใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า มติของสภามหาวิทยาลัยดังกล่าวเป็นคําสั่งทางปกครองหรือไม่ เพราะ เหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ข. นางสาวตุ๊กตาได้ศึกษาและจบปริญญาตรีพยาบาลศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้สอบแข่งขันและได้รับการบรรจุเข้าทํางานราชการในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ความปรากฏ ในภายหลังว่าปริญญาตรีพยาบาลศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยที่นางสาวตุ๊กตาจบมานั้น ก.พ. ไม่รับรอง

ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะดําเนินการตาม กฎหมายกับนางสาวตุ๊กตาได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

วินิจฉัย

กรณีที่จะเป็นคําสั่งทางปกครองโดยนัยของมาตรา 5 (1) แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 นั้น จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ คือ

1 ต้องเป็นคําสั่งที่ออกโดยเจ้าหน้าที่

2 ต้องมีลักษณะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมาย

3 ต้องมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่าง บุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิ 1 หรือหน้าที่ของบุคคล

4 ต้องก่อให้เกิดผลเฉพาะกรณีหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

5 ต้องมีผลโดยตรงไปสู่ภายนอกฝ่ายปกครอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ได้มีการดําเนินการสรรหาคณบดีคณะ วิทยาการจัดการเพื่อเสนอสภามหาวิทยาลัยพิจารณาเลือกและแต่งตั้งนายแดงเป็นคณบดีไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่า สภามหาวิทยาลัยดังกล่าวได้มีมติให้ดําเนินการสรรหาบุคคลผู้มีความเหมาะสมที่จะดํารงตําแหน่งคณบดีคณะวิทยาการจัดการใหม่อีกครั้งหนึ่งนั้น มติของสภามหาวิทยาลัยดังกล่าวเป็นเพียงการเตรียมการและการดําเนินการ เพื่อให้มีการสรรหาบุคคลผู้มีความเหมาะสมที่จะดํารงตําแหน่งคณบดี ๆ เท่านั้น ยังไม่มีผลในทางกฎหมายที่จะไป กระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่อย่างใด ดังนั้น มติของสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว จึงไม่เป็นคําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

(ข) หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

มาตรา 62 วรรคสาม “ในกรณีที่ ก.พ. กําหนดให้ปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิใด เป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ให้หมายถึงปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือคุณวุฒิที่ ก.พ. รับรอง

มาตรา 67 “ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งใด ตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 63 มาตรา 64 และมาตรา 65 หากภายหลังปรากฏว่า ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 36 หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะ สําหรับตําแหน่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุมัติจาก ก.พ. ตามมาตรา 62 … ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตาม มาตรา 57 สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตาม อํานาจและหน้าที่ และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมี คําสั่งให้ออกนั้น…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวตุ๊กตาได้ศึกษาและจบปริญญาตรีพยาบาลศาสตร์บัณฑิตจาก มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้สอบแข่งขันและได้รับการบรรจุเข้าทํางานราชการในโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ความปรากฏในภายหลังว่าปริญญาตรีพยาบาลศาสตร์บัณฑิตของมหาวิทยาลัยที่นางสาวตุ๊กตาจบมานั้น ก.พ. ไม่รับรอง ย่อมถือว่าเป็นการขาดคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุมัติจาก ก.พ. ตามมาตรา 62 และเมื่อมีการตรวจสอบพบในภายหลังจากที่นางสาวตุ๊กตาได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว กรณีดังกล่าวย่อมเข้าลักษณะตามบทบัญญัติมาตรา 67 กล่าวคือ นางสาวตุ๊กตาเป็นผู้ที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญแล้ว ต่อมาภายหลังปรากฏว่านางสาวตุ๊กตาขาดคุณสมบัติเฉพาะตําแหน่งนั้น ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะต้องสั่งให้นางสาวตุ๊กตาออกจากราชการทันที

แต่อย่างไรก็ตาม การสั่งให้นางสาวตุ๊กตาออกจากราชการได้ทันทีนั้น ตามมาตรา 67 ได้บัญญัติไว้ว่า จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่นางสาวตุ๊กตาได้ปฏิบัติไปตามอํานาจและหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้น ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจะเรียก เงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้นไม่ได้

สรุป ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 จะต้องสั่งให้นางสาวตุ๊กตาออกจากราชการทันที แต่จะเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคําสั่งให้ออกนั้นไม่ได้

 

ข้อ 3 การจัดองค์กรของรัฐในรูปแบบที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น องค์การมหาชน มีเหตุผล และความจําเป็นที่ไม่เหมาะกับรูปแบบของส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจอย่างไร จงอธิบาย หลักการจัดองค์กรแต่ละรูปแบบพร้อมเหตุผลมาโดยละเอียด

ธงคําตอบ

โดยทั่วไปองค์กรที่จัดทําบริการสาธารณะนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1 บริการสาธารณะที่จัดทําโดยรัฐ ซึ่งถ้าเป็นระบบราชการ ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และที่ไม่อยู่ในระบบราชการ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ

ในการจัดทําบริการสาธารณะโดยองค์กรในระบบราชการนั้น จะมีระเบียบ บุคลากร ที่อยู่ ภายใต้การบังคับบัญชา หรือการกํากับดูแล ทําให้การจัดทําบริการสาธารณะไม่เกิดความคล่องตัว จึงทําให้มีการ จัดตั้งองค์กรเพื่อการจัดทําบริการสาธารณะที่มีความคล่องตัวเกิดขึ้นที่เรียกกันว่ารัฐวิสาหกิจ แต่การดําเนินกิจการ ของรัฐวิสาหกิจ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหาผลกําไรเป็นสําคัญ

2 บริการสาธารณะที่จัดทําโดยหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานดังกล่าว ได้แก่ องค์การมหาชนนั้นเอง ซึ่งในการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐที่เรียกว่าองค์การมหาชนนั้น ก็เพื่อให้หน่วยงานดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคล เพื่อดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะ โดยไม่แสวงหาผลกําไร ดังเช่นรัฐวิสาหกิจ แต่เน้นความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูง มีความเป็นอิสระในการตัดสินใจของผู้บริหาร องค์กร อีกทั้งเป็นการเหมาะกับกิจการบางลักษณะที่มีความสําคัญสูง และมีเทคนิควิธีการเฉพาะซึ่งต้องการ ความรวดเร็วของการตัดสินใจและประสิทธิภาพของการปฏิบัติการอย่างทันท่วงที จึงไม่เหมาะกับองค์กรใน รูปแบบของส่วนราชการที่มีระเบียบบุคลากรที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชา หรือรัฐวิสาหกิจที่มุ่งเน้นการดําเนินกิจการเพื่อแสวงหาผลกําไรเป็นหลัก

3 บริการสาธารณะที่จัดทําโดยเอกชน คือเอกชนเป็นผู้จัดตั้งองค์กรขึ้นมา แล้วรัฐจะมอบ อํานาจในการจัดทําบริการสาธารณะให้แก่องค์กรดังกล่าว เช่น การมอบอํานาจให้แก่องค์กรวิชาชีพ หรือการให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชน เป็นต้น

 

ข้อ 4 เนื่องจากมีบุคคลซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยได้ลักลอบสวมชื่อบุคคลสัญชาติไทยเป็นจํานวนมาก อําเภอ แม่อายพิจารณาสอบสวนแล้วจึงได้มีคําสั่งให้จําหน่ายชื่อนายทองออกจากฐานข้อมูลทางทะเบียนบ้าน (ท.ร. 14) และบัตรประจําตัวประชาชน ทําให้นายทองซึ่งเดิมที่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเคยมีบัตรประจําตัวประชาชนต้องถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนและไม่มีสัญชาติไทย รวมทั้งต้องคืนบัตรประจําตัวประชาชนให้กับทางราชการด้วย และต้องเปลี่ยนสถานะจากสัญชาติไทยไปเป็นชนกลุ่มน้อย ทั้งนี้โดยเจ้าหน้าที่เห็นว่ากรณีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐจึงไม่ได้เปิดโอกาสให้นายทองมีสิทธิโต้แย้งชี้แจงหรือแสดงพยานหลักฐานแต่อย่างใด

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมาย ประกอบเหตุผลในคําตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผล เป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อ สถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

มาตรา 30 “ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณี มีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน

ความในวรรคหนึ่งมิให้นํามาใช้บังคับในกรณีดังต่อไปนี้ เว้นแต่เจ้าหน้าที่จะเห็นสมควรปฏิบัติเป็นอย่างอื่น

(1) เมื่อมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ

(2) เมื่อจะมีผลทําให้ระยะเวลาที่กฎหมายหรือกฎกําหนดไว้ในการทําคําสั่งทางปกครองต้องล่าช้าออกไป

(3) เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่คู่กรณีนั้นเองได้ให้ไว้ในคําขอ คําให้การ หรือคําแถลง จากนั้น

(4) เมื่อโดยสภาพเห็นได้ชัดในตัวว่าการให้โอกาสดังกล่าวไม่อาจกระทําได้

(5) เมื่อเป็นมาตรการบังคับทางปกครอง

(6) กรณีอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง

ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ให้โอกาสตามวรรคหนึ่ง ถ้าจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ้าหน้าที่อําเภอแม่อายซึ่งมีอํานาจตามกฎหมาย ได้มีคําสั่งให้จําหน่าย ชื่อนายทองออกจากฐานข้อมูลทางทะเบียนบ้าน (ท.ร. 14) และบัตรประจําตัวประชาชน ทําให้นายทองซึ่งเดิม ที่เคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและเคยมีบัตรประจําตัวประชาชน ต้องถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนบ้านและไม่มี สัญชาติไทย รวมทั้งต้องคืนบัตรประจําตัวประชาชนให้กับทางราชการด้วย และต้องเปลี่ยนสถานะจากสัญชาติไทย ไปเป็นชนกลุ่มน้อยนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลคือนายทองแล้ว

คําสั่งดังกล่าวจึงเป็นคําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 5 ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งทางปกครองโดยไม่เปิดโอกาสให้นายทองได้มีสิทธิโต้แย้งชี้แจงหรือแสดงพยานหลักฐานแต่อย่างใด

คําสั่งของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว จึงเป็นคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง และการที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นกรณีที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐนั้น กรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 30 วรรคสอง และวรรคสาม ที่จะทําให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่งแต่อย่างใด

สรุป คําสั่งของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3112 (LAW3012) กฎหมายปกครอง s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3012 กฎหมายปกครอง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายแดงยื่นคําขอตั้งสถานบริการ เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายมีคําสั่งอนุญาตให้นายแดงตั้งสถานบริการ โดยสําคัญผิดว่าที่ตั้งสถานบริการดังกล่าวอยู่ห่างไกลจากสถานศึกษา แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว 14199 ตั้งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยซึ่งผิดกฎหมาย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่จะออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการโดยไม่ต้องแจ้งให้นายแดงได้มีโอกาสทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา 5 “คําสั่งทางปกครอง หมายความว่า การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

มาตรา 53 วรรคสอง “คําสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับ คําสั่งทางปกครอง อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วน โดยให้มีผลตั้งแต่ขณะที่เพิกถอนหรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กําหนดได้เฉพาะเมื่อมีกรณีดังต่อไปนี้

(5) อาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะหรือต่อประชาชนอันจําเป็นต้องป้องกันหรือขจัดเหตุดังกล่าว”

มาตรา 30 “ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณี มีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนเป็นอย่างอื่น

ความในวรรคหนึ่งมิให้นํามาใช้บังคับในกรณีดังต่อไปนี้ เว้นแต่เจ้าหน้าที่จะเห็นสมควรปฏิบัติ

(1) เมื่อมีความจําเป็นรีบด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง แก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 30 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่จะออกคําสั่งทางปกครองใด และคําสั่ง ทางปกครองนั้นอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ผู้ออกคําสั่งทางปกครองนั้นจะต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และต้องให้คู่กรณีได้มีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน เว้นแต่ จะเข้าข้อยกเว้นที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 30 วรรคสอง และวรรคสาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงยื่นคําขอตั้งสถานบริการ และเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายมีคําสั่งอนุญาต ให้นายแดงตั้งสถานบริการนั้น คําสั่งดังกล่าวถือเป็นคําสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์ แก่นายแดงผู้รับคําสั่งทางปกครองตามนัยของมาตรา 5 และมาตรา 53 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

และเมื่อต่อมาเจ้าหน้าที่ทราบว่าได้ออกคําสั่งให้นายแดงตั้งสถานบริการโดยสําคัญผิดว่าที่ตั้งสถานบริการดังกล่าวอยู่ห่างไกลจากสถานศึกษา แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วตั้งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยซึ่งผิดกฎหมาย และเจ้าหน้าที่จะออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการนั้น เมื่อคําสั่งถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการ ถือเป็นคําสั่งทางปกครอง เพราะเป็นการใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของ สิทธิหรือหน้าที่ของนายแดง โดยหลักแล้วเจ้าหน้าที่จะต้องให้นายแดงได้มีโอกาสทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และให้นายแดงมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 5

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหน้าที่จะออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการของนายแดงดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่มีความจําเป็นรีบด่วนที่จะต้องเพิกถอนคําสั่งนั้น เพราะหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะหรือต่อประชาชนอันจําเป็นต้องป้องกันหรือขจัดเหตุดังกล่าว กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นที่เจ้าหน้าที่สามารถออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการโดยไม่ต้องแจ้งให้นายแดงได้มีโอกาสทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐาน ของตนได้ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 53 วรรคสอง (5) ประกอบมาตรา 30 วรรคสอง (1)

สรุป เจ้าหน้าที่จะออกคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตั้งสถานบริการโดยไม่ต้องแจ้งให้นายแดงได้มีโอกาสทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนได้

 

ข้อ 2 นายเขียวเป็นข้าราชการพลเรือนถูกผู้บังคับบัญชามีคําสั่งย้ายไปปฏิบัติราชการในจังหวัดนราธิวาสนายเขียวเห็นว่าตนถูกกลั่นแกล้ง จึงมาปรึกษาท่านในฐานะเป็นนักกฎหมายที่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดีว่าจะอุทธรณ์คําสั่งของผู้บังคับบัญชาดังกล่าวได้หรือไม่ อย่างไร ขอให้ท่านตอบและอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551

มาตรา 114 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดถูกสั่งลงโทษตาม พ.ร.บ. นี้ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการตาม มาตรา 110 (1) (3) (5) (6) (7) และ (8) ผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบหรือ ถือว่าทราบคําสั่ง”

มาตรา 122 “ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ต่อตนของผู้บังคับบัญชา และเป็นกรณีที่ไม่อาจอุทธรณ์ตามหมวด 9 การอุทธรณ์ได้ ผู้นั้นมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดไว้ในหมวดนี้

มาตรา 123 วรรคหนึ่ง “การร้องทุกข์ที่เหตุเกิดจากผู้บังคับบัญชา ให้ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชา ชั้นเหนือขึ้นไปตามลําดับ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเขียวซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนถูกผู้บังคับบัญชามีคําสั่งย้ายไปปฏิบัติ ราชการในจังหวัดนราธิวาสนั้น ถือว่าคําสั่งดังกล่าวของผู้บังคับบัญชาไม่ใช่คําสั่งลงโทษทางวินัย หรือเป็นคําสั่ง ให้ออกจากราชการตามมาตรา 110 (1) (3) (5) (6) (7) และ (8) ตามพระราชบัญญัตินี้แต่อย่างใด ดังนั้นนายเขียว จะอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวของผู้บังคับบัญชาไม่ได้ (ตามมาตรา 114 วรรคหนึ่ง)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเขียวมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติต่อตนของผู้บังคับบัญชา โดยเห็นว่าคําสั่งดังกล่าวนั้นเป็นการกลั่นแกล้งตน ดังนี้นายเขียวย่อมสามารถใช้สิทธิร้องทุกข์ได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (ตามมาตรา 122) และเมื่อเหตุของการที่นายเขียวจะร้องทุกข์นั้น เกิดจากผู้บังคับบัญชา ดังนั้นนายเขียวจึงต้องร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปตามลําดับ (ตามมาตรา 123 วรรคหนึ่ง)

สรุป นายเขียวจะต้องไปร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปตามลําดับจะอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 3 นายขาวเป็นแพทย์โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งทําการผ่าตัดต้อกระจกให้คนไข้ แต่ด้วยความประมาทเลินเล่อของนายขาวทําให้คนไข้ตาบอด ขอให้ท่านวินิจฉัยว่าคนไข้จะฟ้องโรงพยาบาลและนายขาว ให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้ที่ศาลใด เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)

“ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําสั่งทางปกครองหรือคําสั่งอื่น หรือ จากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร”

วินิจฉัย

ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) กรณีที่จะถือว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับ การกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเรียกว่า “ละเมิดทางปกครอง” และจะเป็น คดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ ดังนี้ คือ

1 เป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐ และ

2 เป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้

คือ

(1) การใช้อํานาจตามกฎหมาย

(2) การออกกฎ คําสั่งทางปกครอง หรือคําสั่งอื่น

(3) การละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติ

(4) การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวซึ่งเป็นแพทย์โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งทําการผ่าตัดต้อกระจกให้คนไข้ แต่ด้วยความประมาทเลินเล่อของนายขาวทําให้คนไข้ตาบอดนั้น การกระทําของนายขาวไม่ถือว่าเป็น การละเมิดเนื่องจากการใช้อํานาจตามกฎหมายหรือการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนด และไม่ใช่เป็น การละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีอื่น ๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่เป็นการละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่ว ๆ ไปของแพทย์ (นายขาว) ซึ่งไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณี จึงไม่ใช่เป็นการกระทําละเมิดทางปกครอง ข้อพิพาทดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณา ดังนั้น หากคนไข้จะฟ้อง โรงพยาบาลและนายขาวให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในกรณีดังกล่าว จึงต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลยุติธรรม

สรุป คนไข้จะต้องฟ้องโรงพยาบาลและนายขาวให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อศาลยุติธรรม

 

ข้อ 4 เพื่อเตรียมการสําหรับการรับปริญญาของมหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์จึงได้ทําสัญญา กับนายเขียว เพื่อให้มาจัดสวนหย่อมหน้าคณะนิติศาสตร์เพื่อความสวยงาม ต่อมานายเขียวผิดสัญญาไม่ทําการจัดสวนหย่อมให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลา คณะนิติศาสตร์จะฟ้องนายเขียวให้รับผิด ตามสัญญาได้ที่ศาลใด เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) บัญญัติว่า “ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง”

และตามมาตรา 3 ได้บัญญัติให้คํานิยามของ “สัญญาทางปกครอง” ไว้ว่า

“สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงาน ทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการ สาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คณะนิติศาสตร์ซึ่งเป็นส่วนราชการของมหาวิทยาลัยได้ทําสัญญากับนายเขียวเพื่อให้มาจัดสวนหย่อมหน้าคณะนิติศาสตร์เพื่อความสวยงามนั้น แม้เป็นสัญญาที่ทําขึ้นระหว่าง หน่วยงานทางปกครองฝ่ายหนึ่งกับนายเขียวซึ่งเป็นเอกชนอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อวัตถุประสงค์ของสัญญานั้น ไม่ใช่สัญญาที่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน หรือสัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาทางปกครองตามนัยของ มาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ดังนั้นต่อมาเมื่อนายเขียว ผิดสัญญาไม่ทําการจัดสวนหย่อมให้แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลา ข้อพิพาทเกี่ยวกับการผิดสัญญาดังกล่าว

จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองจึงไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) คณะนิติศาสตร์จึงต้องฟ้องให้นายเขียวรับผิดตามสัญญาที่ศาลยุติธรรม จะนําคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองไม่ได้

สรุป คณะนิติศาสตร์จะฟ้องนายเขียวให้รับผิดตามสัญญาได้ที่ศาลยุติธรรม

WordPress Ads
error: Content is protected !!