LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายคิวทําสัญญาประกันชีวิตนายบาร์มเพื่อนสนิทด้วยเหตุมรณะกับ บมจ. ชื่นชมประกันชีวิต กําหนดนายโต๊ะเพื่อนนายบาร์มเป็นผู้รับผลประโยชน์ (นายคิวส่งมอบกรมธรรม์ให้นายโก๊ะ และนายโก๊ะมีหนังสือแสดงความจํานงถือเอาประโยชน์ตามสัญญาแล้ว) ระยะเวลาทําประกัน 5 ปี ทําสัญญาประกันได้ 7 เดือน นายบาร์มถูกนายคังคู่อริยิงเสียชีวิต นายโก๊ะจึงเรียกร้องเงินประกัน ตามสัญญา แต่บริษัทผู้รับประกันภัยปฏิเสธการจ่ายเงินให้แก่นายโต๊ะด้วยข้ออ้าง 2 ข้อ คือ

(1) นายคิวและนายบาร์มไม่มีส่วนได้เสีย บริษัทฯ ไม่ต้องจ่ายเงิน

(2) นายบาร์มถูกคู่อริคือนายคังยิงเสียชีวิต หากจะจ่ายเงิน บริษัทฯ จะจ่ายให้แก่ทายาท นายโก๊ะ ไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา

ให้นักศึกษาอธิบายข้ออ้างทั้ง 2 ข้อ ของ บมจ. ชื่นชมประกันชีวิต ว่าถูกต้องหรือไม่ และให้ตอบว่า นายโก๊ะจะได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้
คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่
ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”
มาตรา 896 “ถ้ามรณภัยเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันภัยหาอาจจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ไม่ แต่สิทธิของฝ่ายทายาทแห่งผู้มรณะในอันจะได้ค่าสินไหม ทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นหาสูญสิ้นไปด้วยไม่ แม้ทั้งจํานวนเงินอันจะพึงใช้ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นจะ
หวนกลับมาได้แก่ตนด้วย”

วินิจฉัย

(1) ในการทําสัญญาประกันชีวิตโดยอาศัยเหตุมรณะของบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งมิใช่ตัวของผู้เอาประกันภัยนั้น การพิจารณาส่วนได้เสียของผู้เอาประกันภัยกับเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 นั้น จะต้อง
เป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยนั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายคิวทําสัญญาประกันชีวิตนายบาร์มเพื่อนสนิทด้วยเหตุมรณะกับ บมจ. ชื่นชมประกันชีวิต โดยกําหนดให้นายโก๊ะเพื่อนของนายบาร์มเป็นผู้รับประโยชน์ และนายคิวได้ส่งมอบกรมธรรม์ให้นายโก๊ะ และนายโก๊ะมีหนังสือแสดงจํานงถือเอาประโยชน์ตามสัญญาแล้วนั้น เมื่อนายคิวเป็นเพียง
ผู้เอาประกันภัยแต่มิได้เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต จึงไม่เข้ากรณีที่จะต้องพิจารณาว่าผู้เอาประกันภัย มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 หรือไม่ ดังนั้น เมื่อนายบาร์มถูกนายคังคู่อริยิงเสียชีวิต ภายในอายุความคุ้มครองตามสัญญาประกันชีวิต บริษัทฯ จึงต้องจ่ายเงินให้แก่นายโต๊ะผู้รับประโยชน์ตามที่ ระบุไว้ในสัญญาตามมาตรา 862 ประกอบมาตรา 891 บริษัทฯ จะปฏิเสธการจ่ายเงินให้แก่นายโต๊ะโดยกล่าวอ้าง การไม่มีส่วนได้เสียระหว่างนายคิวและนายบาร์มไม่ได้

(2) การที่บริษัทฯ กล่าวอ้างว่านายบาร์มถูกคู่อริคือนายคงยิ่งเสียชีวิต หากจะจ่ายเงิน บริษัทฯ จะจ่าย ให้แก่ทายาทนั้น ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของบริษัทฯ ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อนายคิวผู้เอาประกันได้กําหนดตัวผู้รับประโยชน์คือนายโต๊ะไว้แล้ว สิทธิในการได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตด้วยเหตุมรณะของนายบาร์มจึงเป็น สิทธิของนายโก๊ะ ส่วนทายาทของนายบาร์มย่อมได้สิทธิในส่วนของค่าสินไหมทดแทนจากนายคงตามมาตรา 896

สรุป ข้ออ้างทั้ง 2 ข้อของ บมจ. ชื่นชมประกันชีวิตไม่ถูกต้อง และนายโต๊ะมีสิทธิได้รับเงินตาม
สัญญาประกันชีวิต

 

ข้อ 2 นายกบเจ้าของรถยนต์ ได้นํารถยนต์ไปทําสัญญาประกันวินาศภัยในความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้น กับรถยนต์นั้นกับบริษัท รวยดี ประกันวินาศภัย จํากัด จํานวนเงินเอาประกันภัย 5 แสนบาท และนายกบได้ทําสัญญาประกันภัยในความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นกับบุคคลภายนอกไว้ด้วยจํานวนเงินเอาประกันภัย 3 แสนบาท โดยในกรมธรรม์ประกันวินาศภัยในความเสียหายกับรถยนต์นั้นมีเงื่อนไขกําหนดไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้เอาประกันภัยนํารถยนต์นั้นไปรับจ้างหรือให้เช่า ปรากฏว่านายกบได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปรับจ้างส่งของให้กับนายเขียด วันเกิดเหตุด้วยความประมาทเลินเล่อของนายกบได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวนั้น ช่วงเวลาที่ไปส่งของให้กับนายเขียดเฉี่ยวชนนายอ๊อดได้รับบาดเจ็บ มีค่ารักษาพยาบาลจํานวน 50,000 บาท นายอ๊อดจึงมาเรียกให้บริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากนายกบได้ทําประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกไว้ แต่ถูกบริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าไม่อยู่ในส่วนที่ผู้รับประกันภัย จะต้องรับผิดเนื่องจากนายกบผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า ข้อปฏิเสธของ บริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่า จะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอา
ประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกบได้นํารถยนต์ไปทําประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท รวยดีประกัน วินาศภัย จํากัด ในความเสียหายที่เกิดกับตัวรถยนต์ที่เอาประกันรวมทั้งประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นประกันภัยค้ำจุนด้วยนั้น บุคคลที่ถือว่าเป็นคู่สัญญาคือนายกบ (ผู้เอาประกันภัย) และบริษัท รวยดีประกัน วินาศภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย) ซึ่งตามมาตรา 887 วรรคหนึ่งนั้น สัญญาประกันภัยค้ำจุน เป็นสัญญาซึ่งผู้รับ ประกันภัยได้ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลหนึ่ง
และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ

จากข้อเท็จจริง การที่นายกบได้ทําประกันภัยค้ำจุนในความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก ไว้ด้วยนั้น โดยไม่ได้มีเงื่อนไขความรับผิดแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อนายกบได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเฉี่ยวชนนายอ๊อด ได้รับบาดเจ็บมีค่ารักษาพยาบาลจํานวน 50,000 บาท นายอ๊อดจึงมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เนื่องจากเงื่อนไขที่กําหนดห้ามไม่ให้ผู้เอาประกันภัยนํารถยนต์ไปรับจ้างหรือให้เช่านั้น เป็นเงื่อนไขในส่วนประกัน ความเสียหายอันเกิดขึ้นกับตัวรถยนต์ ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอ๊อด จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าไม่อยู่ในส่วนที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดเนื่องจากนายกบผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในกรมธรรม์ไม่ได้

สรุป ข้อปฏิเสธของบริษัท รวยดีประกันวินาศภัย จํากัด ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 3 นายวอกกับนางนวลเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรชายหนึ่งคนคือนายเทพ โดยนายเทพ เอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะให้แก่นางนวลมารดาของตนไว้กับ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 จํานวนเงินเอาประกัน 5 ล้านบาท คุ้มครองตลอดชีพ ไม่ได้ระบุตัว ผู้รับประโยชน์ ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 นายเทพได้เอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะ ให้แก่นายวอกบิดาของตนอีกฉบับหนึ่งไว้กับ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิตเช่นกัน จํานวนเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท คุ้มครองตลอดชีพ ไม่ได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์ ปรากฏต่อมาว่า วันที่ 31 ธันวาคม 2564 นายวอกกับนางนวลทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะเหตุชู้สาวของนายวอก นางนวลเผลอใช้อาวุธปืน ยิงนายวอกถึงแก่ความตาย และด้วยความเสียใจนางนวลจึงยิงตัวตายตามไปด้วย หลังจากนั้น นายเทพจึงทําหนังสือถึง บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต ให้ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตทั้งสองฉบับแก่ตน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิตจะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่นายเทพ เนื่องจากเหตุการณ์ตายของนายวอกกับนางนวลได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของ บุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัย จําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือ ให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเทพบุตรชายของนายวอกและนางนวล เอาประกันชีวิตแบบอาศัย ความมรณะให้แก่นางนวลมารดาของตนไว้กับ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 จํานวนเงิน เอาประกัน 5 ล้านบาท และเอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะให้แก่นายวอกบิดาของตนอีกฉบับหนึ่งไว้กับ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิตเช่นกัน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 จํานวนเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท สัญญาทั้งสองฉบับ จึงเป็นสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะตามมาตรา 889 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกเอาประกันชีวิต คือนายวอกและนางนวลทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะเหตุชู้สาวของนายวอก นายนวลเผลอใช้อาวุธปืนยิงนายวอก ถึงแก่ความตาย และด้วยความเสียใจนางนวลจึงยิงตัวตายตามไปด้วย โดยเหตุเกิดในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และต่อมานายเทพได้ทําหนังสือถึง บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต ให้ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตทั้งสองฉบับแก่ตน ดังนี้ บริษัทฯ จะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่นายเทพได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

กรณีของนายวอก การที่นายวอกถึงแก่ความตายภายในอายุความคุ้มครองของสัญญาประกันชีวิต จากการกระทําโดยประมาทเลินเล่อของนางนวลนั้น ไม่ถือว่านายวอกได้กระทําอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครหรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 ดังนั้น นายเทพชอบที่จะเรียกร้องให้ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต รับผิดใช้เงินตามสัญญาจํานวน 2 ล้านบาทแก่ตนได้ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต จึงต้องใช้เงินให้แก่นายเทพในกรณีนี้

กรณีของนางนวล การที่นางนวลได้ยิงตัวตายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นั้น ถือว่านางนวล ผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้กระทําอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทําสัญญาประกันชีวิต ดังนั้น จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (1) บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต จึงสามารถอ้างเหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดใช้เงิน ตามสัญญาจํานวน 5 ล้านบาทแก่นายเทพได้ บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต จึงไม่ต้องใช้เงินให้แก่นายเทพในกรณีนี้

สรุป บมจ. ยั่งยืนประกันชีวิต จะต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตเฉพาะตามสัญญาประกันชีวิต กรณีของนายวอกแก่นายเทพจํานวน 2 ล้านบาท เพียงสัญญาเดียว

LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2112 (LAW 2012) ป.พ.พ. ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายพอยื่นคําขอทําสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะกับบริษัทมั่นคงประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท ความคุ้มครองตามสัญญาเป็นแบบตลอดชีพ ระบุ นางสวยภริยาของตนเป็นผู้รับประโยชน์ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2564 ในขณะที่ทําสัญญา แพทย์ ผู้ตรวจสุขภาพของนายพอแจ้งว่านายพอมีอาการหัวใจเต้นเร็วแต่ยังไม่พบว่าเป็นโรคร้ายแรงเกี่ยวกับหัวใจ ให้ทําการตรวจวินิจฉัยต่อ นายพอจึงระบุในคําขอเอาประกันชีวิตว่าตนไม่มีโรค ร้ายแรง ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 นายพอเข้าตรวจสุขภาพทรวงอกอีกครั้ง ต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 แพทย์ผู้ตรวจทําการติดต่อนายพอแจ้งว่านายพอเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (เป็นโรคร้ายแรงที่บริษัทมั่นคงประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) ไม่รับทํากระกันชีวิต) แต่นายพอไม่ได้ แจ้งไปยังบริษัทฯ ต่อมาในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 บริษัทฯ ได้ตอบรับคําขอเอาประกันชีวิตของ นายพอและออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้นายพอ 1 ฉบับ ปรากฏว่าในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 นายพอและนางสวยเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 นางสาวส้มทายาทเพียงคนเดียวของ นายพอจึงทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตของนายพอ

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางสาวส้มชอบที่จะได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตของนายพอจาก บริษัทมั่นคงประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ
ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้
คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคล อันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆuยะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้
ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายนั้น ในขณะทําสัญญาประกันภัย นอกจากผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุ ที่เอาประกันภัย (มาตรา 863) แล้ว ผู้เอาประกันภัยยังมีหน้าที่ที่จะต้องแถลงข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับ ประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ถ้าในขณะทําสัญญาผู้เอาประกันปกปิด ข้อความจริงหรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จ สัญญาประกันภัยย่อมตกเป็นโมฆียะ (มาตรา 865) ซึ่งหน้าที่ในการ แถลงข้อความจริงนั้นมิได้สิ้นสุดลงในชั้นยื่นคําขอเอาประกันภัยเท่านั้น แต่มีอยู่เรื่อยไปจนกว่าผู้รับประกันภัยจะรับทําสัญญาประกันภัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพอยื่นคําขอทําสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะกับบริษัท มั่นคงประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2564 ระบุนางสวยภริยาของตนเป็นผู้รับประโยชน์นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะทําสัญญานายพอได้ระบุในคําขอเอาประกันชีวิตว่าตนไม่มีโรคร้ายแรง เนื่องจากแพทย์ผู้ตรวจสุขภาพของนายพอแจ้งว่านายพอมีอาการหัวใจเต้นเร็วแต่ยังไม่พบว่าเป็นโรคร้ายแรงเกี่ยวกับหัวใจ
แต่ในระหว่างที่รอการสนองรับทําสัญญาประกันชีวิตของบริษัทฯ นายพอได้รับแจ้งจากแพทย์ผู้ตรวจว่านายพอ เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่บริษัทฯ ไม่รับทําประกันชีวิต แต่นายพอไม่ได้แจ้งไปยังบริษัทฯ จนทําให้ต่อมาบริษัทฯ ได้ตอบรับคําขอเอาประกันชีวิตของนายพอนั้น ถือว่านายพอผู้เอาประกันรู้อยู่แล้วละเว้นเสีย ไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจทําให้ผู้รับประกันบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็น โมฆียะตามมาตรา 865 ซึ่งบริษัทฯ สามารถบอกล้างให้ตกเป็นโมฆะได้ ดังนั้น ต่อมาเมื่อนายพอและนางสวย ได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 นางสาวส้มทายาทเพียงคนเดียวของนายพอจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตาม สัญญาประกันชีวิตของนายพอ

สรุป นางสาวส้มไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตของนายพอจากบริษัทมั่นคงประกันชีวิต จํากัด (มหาชน)

 

ข้อ 2 นายหมื่นเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่งได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปทําสัญญาประกันภัยในความ เสียหายที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์ กับบริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัย ห้าแสนบาท มีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญาประกันภัยได้ 5 เดือน นายเรืองมาติดต่อนายหมื่น เพื่อขอซื้อรถยนต์จากนายหมื่น และนัดทําสัญญาซื้อขายกันในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย ปรากฏว่าในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 นายหมื่นขับรถยนต์คันนั้น ไปทําธุระ แต่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทําให้เกิดเหตุขับไปเฉี่ยวชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางเป็นเหตุให้รถยนต์คันนั้นได้รับความเสียหายตีราคาความเสียหายเป็นจํานวนห้าหมื่นบาท โดยนายหมื่นยังไม่ได้เรียกค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด ซึ่งนายหมื่นได้มีการบอกกล่าว การโอนขายรถยนต์คันนั้นเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ แล้ว

ดังนั้น เมื่อครบกําหนดวันนัดทําสัญญาซื้อขาย นายเรืองได้มาทําสัญญาตามนัดไว้ และแม้นายเรือง
จะเห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหายแต่ก็ต้องการที่จะซื้อเพราะเห็นว่ารถยนต์คันนี้ มีประกัน นายเรืองก็สามารถเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด นั้นชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนได้ ในฐานะผู้รับโอนสิทธิมาโดยสัญญาซื้อขาย

จงวินิจฉัยว่า นายเรืองมีสิทธิเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 306 วรรคหนึ่ง “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชําระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คําบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือ”

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและบอกกล่าว การโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอน เช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมื่นซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ได้นํารถยนต์ไปทําสัญญาประกันภัย ในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์กับบริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด มีกําหนดเวลา 1 ปี และหลังจากทํา สัญญาประกันภัยได้ 5 เดือน นายหมื่นได้ตกลงขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายเรือง และนัดทําสัญญาซื้อขายกัน ในวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 นายหมื่นได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเฉี่ยวชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางเป็นเหตุให้รถยนต์คันนั้นได้รับความเสียหาย ตีราคาความเสียหายเป็นจํานวนเงินห้าหมื่นบาท โดยนายหมื่นยังไม่ได้เรียกค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท ยั่งยืน ประกันวินาศภัย จํากัด ซึ่งนายหมื่นได้มีการบอกกล่าวการโอนขายรถยนต์นั้นเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ แล้ว

และเมื่อครบกําหนดวันนัดทําสัญญาซื้อขาย นายเรืองได้มาทําสัญญาตามที่นัดไว้นั้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ นายเรือง จะมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่นได้หรือไม่

กรณีดังกล่าว นายเรืองย่อมไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหม ทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่นได้ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์การโอน วัตถุที่เอาประกันภัยตามมาตรา 875 วรรคสอง เนื่องจากนายเรืองได้รับโอนรถยนต์ที่เอาประกันภัยมาภายหลัง ที่เกิดวินาศภัยแล้ว สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยจึงไม่โอนตามไปด้วย ซึ่งตามมาตรา 875 วรรคสองนั้น การโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยย่อมโอนตามไปด้วยนั้นจะต้องเป็นการโอน
ก่อนเกิดวินาศภัยเท่านั้น ดังนั้น หากเกิดวินาศภัยขึ้นแล้วและภายหลังมีการโอนเกิดขึ้นก็จะต้องทําตามมาตรา 306 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ จะต้องทําเป็นหนังสือระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอนและมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือ ไปยังลูกหนี้ (ผู้รับประกันภัย) ก่อน สิทธิที่มีอยู่จึงจะโอนตามไปด้วย

สรุป นายเรืองไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ ได้ซื้อมาจากนายหมื่น

ข้อ 3 นายปรีชาและนางบุญมีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย นายปรีชาได้ทําสัญญากู้เงินจากนายเจริญ มาจํานวน 200,000 บาท เพื่อใช้จ่ายในกิจการค้าของตน ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2563 นายปรีชา ได้ทําสัญญาเอาประกันชีวิตนางบุญมีต่อบริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 500,000 บาท โดยทําสัญญาแบบอาศัยเหตุมรณะ ระบุให้นายปรีชาเป็นผู้รับประโยชน์โดยได้ชําระ เบี้ยประกันไปจํานวน 50,000 บาท วันที่ 25 สิงหาคม 2564 นางบุญมีประสบอุบัติเหตุระหว่าง เดินทางไปเที่ยวกับเพื่อน ทําให้นางบุญมีถึงแก่ความตาย นายปรีชาจึงแจ้งไปยังบริษัท เมืองดี ประกันชีวิต จํากัด เพื่อขอรับเงินประกันตามสัญญา และนอกจากนั้นนายเจริญเจ้าหนี้ของนายปรีชา ก็ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด ใช้เงินให้แก่นายเจริญก่อนในฐานะเจ้าหนี้ ของผู้เอาประกันภัย

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนายปรีชาและ นายเจริญหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง”
มาตรา 897 วรรคสอง “ถ้าได้เอาประกันภัยไว้โดยกําหนดว่าให้ใช้เงินแก่บุคคลคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะเจาะจง ท่านว่าเฉพาะแต่จํานวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วเท่านั้นจักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปรีชาและนางบุญมีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และนายปรีชา ได้ทําสัญญาเอาประกันชีวิตนางบุญมีต่อบริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 500,000 บาท โดยทําสัญญาแบบอาศัยเหตุมรณะ และระบุให้นายปรีชาเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ถือว่าเป็นการประกันชีวิตของผู้อื่น และเมื่อนายปรีชามีความสัมพันธ์กับนางบุญมีในฐานะคู่สมรส จึงถือว่านายปรีชามีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ ตามมาตรา 863 และมาตรา 889 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อนางบุญมีถึงแก่ความตาย บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จึงต้องใช้เงินตามสัญญาให้แก่นายปรีชาผู้รับประโยชน์ จํานวน 500,000 บาท

ส่วนกรณีของนายเจริญซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายปรีชานั้น บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด ไม่ต้อง ใช้เงินให้กับนายเจริญเนื่องจากกรณีตามมาตรา 897 วรรคสองนั้น จะใช้กับกรณีที่ผู้เอาประกันภัยได้ทําสัญญา ประกันชีวิตตนเอง และเมื่อผู้เอาประกันถึงแก่ความตาย เฉพาะจํานวนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ ส่งไปแล้วจึงจะตกเข้ากองมรดกของผู้เอาประกันภัยซึ่งเจ้าหนี้สามารถเอาไปใช้หนี้ได้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่องเอาประกันชีวิตผู้อื่น ย่อมไม่มีโอกาสที่เงินประกันภัยหรือเบี้ยประกันภัยจะตกเข้ากองมรดกของผู้เอาประกันชีวิตได้
เพราะผู้เอาประกันชีวิตยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามสัญญานั้น

สรุป
บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนายปรีชาแต่ไม่ต้องใช้ให้แก่นายเจริญ

LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายหงส์มีอาการปวดที่ท้องจึงไปพบแพทย์ แพทย์ตรวจแล้วพบว่านายหงส์เป็นมะเร็งลําไส้ระยะ เริ่มต้น นายหงส์จึงทําประกันชีวิตตนเองกับบริษัท ไทยรักประกันชีวิต จํากัด ด้วยเหตุมรณะ ระยะเวลา 10 ปี จํานวนเงินประกันห้าแสนบาท โดยไม่เปิดเผยให้บริษัทประกันชีวิตทราบว่า ตนเป็นโรคมะเร็ง นายหงส์กําหนดให้นางอ้อยภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้รับประโยชน์ และนายหงส์ได้มอบกรมธรรม์ให้นางอ้อยไว้และบอกให้นางอ้อยนํากรมธรรม์ไปรับเงินห้าแสนบาทจากบริษัทประกันชีวิต นายหงส์เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและแพทย์ทําการผ่าตัดนําส่วนของลําไส้ที่เป็นมะเร็งออกและลงความเห็นว่านายหงส์สามารถรักษาหายได้เพราะมะเร็งยังไม่ลุกลามไปมาก ผ่านไปเป็นเวลา 1 ปี นายหงส์และนางอ้อยหย่าขาดจากกัน นายหงส์จดทะเบียนสมรสใหม่กับนางบุปผา นายหงส์จึงแจ้งไปยังบริษัท ไทยรักประกันชีวิต จํากัด เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์ จากนางอ้อยเป็นนางบุปผา

หลังจากนั้นอีก 7 เดือน นายหงส์ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนเสียชีวิต นางบุปผาจึงเรียกร้องเงินห้าแสนบาทจากบริษัทประกัน แต่นางอ้อยคัดค้านว่านายหงส์ส่งมอบ กรมธรรม์ให้ตนเองแล้วนางบุปผาไม่มีสิทธิ ส่วนบริษัท ไทยรักประกันชีวิต จํากัด ก็ปฏิเสธการจ่าย อ้างว่านายหงส์ไม่เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการเป็นมะเร็งลําไส้กับบริษัทและใช้สิทธิบอกล้างสัญญา เพื่อให้สัญญาฯ เป็นโมฆะ แต่นางบุปผาและนางอ้อยอ้างว่านายหงส์ไม่ได้ตายเพราะโรคมะเร็ง จึงเรียกร้องให้บริษัทฯ จ่ายเงินเอาประกัน

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า บริษัท ไทยรักประกันชีวิต จํากัด บอกล้างสัญญาได้หรือไม่ นางอ้อยหรือนางบุปผา จะมีสิทธิในเงินห้าแสนบาทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้เงินใช้ให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวน
อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคล อันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่ง
อาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง
ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่
ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 892 “ในกรณีบอกล้างสัญญาตามความในมาตรา 865 ผู้รับประกันภัยต้องคืนค่าไถ่ถอน กรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหงส์ได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองกับบริษัท ไทยรักประกันชีวิต จํากัด ด้วยเหตุมรณะระยะเวลา 10 ปี จํานวนเงินเอาประกัน 5 แสนบาท โดยระบุให้นางอ้อยภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทําได้เพราะถือว่านายหงส์ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่จะมีการทําสัญญาประกันชีวิตนั้น นายหงส์ซึ่งมีอาการปวดที่ท้องได้ไปพบแพทย์ แพทย์ตรวจแล้วพบว่านายหงส์เป็นมะเร็งลําไส้ระยะเริ่มต้น นายหงส์จึงได้ทํา สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวโดยไม่เปิดเผยให้บริษัทประกันชีวิตทราบว่าตนเป็นโรคมะเร็ง ดังนี้ แม้ว่านายหงส์ได้
เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและแพทย์ได้ทําการผ่าตัดนําส่วนของลําไส้ที่เป็นมะเร็งออกและลงความเห็นว่านายหงส์สามารถรักษาหายได้เพราะมะเร็งยังไม่ลุกลามไปมาก และต่อมานายหงส์ได้ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนเสียชีวิตไม่ได้ตายเพราะโรคมะเร็งก็ตาม แต่การที่นายหงส์เป็นมะเร็งซึ่งเป็นโรคร้ายแรงแต่ไม่เปิดเผยข้อความจริงดังกล่าวให้บริษัทไทยรักประกันชีวิตจํากัดทราบ กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 865 วรรคหนึ่ง ที่ทําให้สัญญาประกัน ชีวิตดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตั้งแต่เริ่มแรก บริษัทฯ จึงสามารถบอกล้างสัญญาเพื่อให้สัญญาประกันชีวิตนั้นตกเป็น โมฆะได้ และเมื่อบริษัทฯ ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาภายในระยะเวลาที่สามารถบอกล้างได้ตามมาตรา 865 วรรคสอง สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ บริษัทฯ จึงไม่ต้องใช้เงินให้แก่ผู้รับประโยชน์

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ในการทําสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว นายหงส์ได้ระบุให้นางอ้อย ภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 862 และต่อมานายหงส์ได้โอนประโยชน์แห่งสัญญานั้น ให้แก่นางบุปผาโดยถูกต้องตามมาตรา 891 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่นางบุปผาก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงิน 5 แสนบาท ในฐานะผู้รับประโยชน์ เนื่องจากสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวได้ถูกบริษัทฯ บอกล้างให้ตกเป็นโมฆะแล้วนั่นเอง นางบุปผาจะมีสิทธิก็แต่เฉพาะค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ในฐานะทายาทตามมาตรา 892 เท่านั้น

สรุป
บริษัท ไทยรักประกันชีวิต จํากัด สามารถบอกล้างสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวได้ และนางอ้อยหรือนางบุปผาจะไม่มีสิทธิในเงิน 5 แสนบาทนั้นแต่อย่างใด

 

ข้อ 2 นายหมึกเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง ได้นํารถยนต์ไปทําสัญญาประกันวินาศภัยกับบริษัท รุ่งดี ประกันภัย จํากัด เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอา ประกันทุกกรณี จํานวนเงินซึ่งเอาประกันหนึ่งล้านบาท มีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญาประกัน วินาศภัยได้ 5 เดือน ปรากฏว่านายหมึกได้ขับรถยนต์ด้วยความคึกคะนองและประมาทเลินเล่อ ขับรถไปชนเสาไฟฟ้า รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นเงินสองแสนบาท โดยเหตุความเสียหายนั้น เกิดขึ้นวันที่ 25 มกราคม 2561 นายหมึกจึงไปเรียกให้บริษัท รุ่งดีประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหม ทดแทนแต่ถูกปฏิเสธโดยบริษัทฯ อ้างว่าไม่อยู่ในส่วนที่ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดในความเสียหาย ดังกล่าว ต่อมาวันที่ 25 มกราคม 2563 นายหมึกจึงฟ้องให้บริษัท รุ่งดีประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหม ทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์คันดังกล่าว แต่บริษัท รุ่งดีประกันภัย จํากัด ต่อสู้ว่า การฟ้องของนายหมึกนั้นเลยกําหนดอายุความแล้ว แต่นายหมึกอ้างว่ายังไม่เลยกําหนดอายุความ ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของบริษัท รุ่งดีประกันภัย จํากัด ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด อธิบาย โดยยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 879 วรรคหนึ่ง “ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุ ไว้ในสัญญานั้น ได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับ ประโยชน์”

มาตรา 882 วรรคหนึ่ง “ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกําหนด สองปีนับแต่วันวินาศภัย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมึกเป็นเจ้าของรถยนต์ได้นํารถยนต์ไปทําสัญญาประกันวินาศภัย กับบริษัท รุ่งดีประกันภัย จํากัด เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถที่ เอาประกันทุกกรณี จํานวนเงินซึ่งเอาประกัน 1 ล้านบาท มีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญาประกันวินาศภัย ได้ 5 เดือน นายหมึกได้ขับรถยนต์ด้วยความคึกคะนองและประมาทเลินเล่อขับรถไปชนเสาไฟฟ้า รถยนต์ได้รับ ความเสียหายเป็นเงิน 2 แสนบาทนั้น เมื่อความวินาศภัยดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของ นายหมึกผู้เอาประกันเท่านั้น มิใช่เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนั้นกรณีดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วย บทบัญญัติมาตรา 879 วรรคหนึ่งที่จะทําให้ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด บริษัทฯ จะปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่อยู่ใน ส่วนที่ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าวไม่ได้ บริษัทฯ จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายหมึก และเมื่อความวินาศภัยดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 2561 และนายหมึกได้ฟ้องให้บริษัทฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์คันดังกล่าวในวันที่ 25 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นการฟ้องคดี ในขณะที่ยังไม่เกินอายุความ 2 ปีนับแต่วันวินาศภัยตามมาตรา 882 วรรคหนึ่ง เพราะเป็นการฟ้องขณะ ครบกําหนดอายุความพอดี นายหมึกจึงสามารถฟ้องได้ ดังนั้น การที่บริษัทฯ ต่อสู้ว่าการฟ้องคดีของนายหมึกนั้น เลยอายุความแล้ว ข้อต่อสู้ของบริษัทฯ จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป
ข้อต่อสู้ของบริษัท รุ่งดีประกันภัย จํากัดที่ว่าการฟ้องคดีของนายหมึกนั้นเลยอายุความแล้วฟังไม่ขึ้น

ข้อ 3 นายวอกทําสัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้กับบริษัท นิยมประกันภัย จํากัด ในวันที่ 1 กันยายน 2563 กรมธรรม์คุ้มครองกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 200,000 บาท กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 200,000 บาท และทําสัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลอีกฉบับไว้กับบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด ในวันที่ 2 กันยายน 2563 กรมธรรม์คุ้มครองกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 100,000 บาท กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 100,000 บาท โดยทั้งสองกรมธรรม์มิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์เอาไว้ แต่นายวอกมีทายาทเพียงคนเดียวคือ นายสุด ปรากฏว่านายวอกประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย จากการขับรถโดยประมาทของนายต่อ บริษัท นิยมประกันภัย จํากัด ทําการจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ นายสุด 200,000 บาท แต่บริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด ปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญญาโดยอ้างว่า นายสุดได้รับเงินจากบริษัท นิยมประกันภัย จํากัด ซึ่งเป็นผู้รับประกันลําดับแรกไปเต็มจํานวนแล้ว ส่วนนายต่อได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่านายสุดได้ค่าเสียหายจากบริษัท นิยมประกันภัยจํากัด แล้ว ตนไม่จําต้องรับผิดต่อนายสุดอีก

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยตามกฎหมายประกันภัยว่า นายสุดทายาทเพียงคนเดียวของนายวอกจะสามารถ เรียกให้บริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด และนายต่อรับผิดต่อตนได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ
ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 896 “ถ้ามรณภัยเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันภัยหาอาจจะ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ไม่ แต่สิทธิของฝ่ายทายาทแห่งผู้มรณะในอันจะได้ค่าสินไหม ทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นหาสูญสิ้นไปด้วยไม่ แม้ทั้งจํานวนเงินอันจะพึงใช้ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นจะ
หวนกลับมาได้แก่ตนด้วย”

วินิจฉัย

สัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ซึ่งมีเงื่อนไขการจ่ายเงินในกรณีบาดเจ็บรวมทั้งเสียชีวิตนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้เงินในกรณีที่ผู้เอาประกันอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย ถือเป็นการใช้เงินโดยอาศัยความมรณะ ของบุคคล เป็นการประกันชีวิตตามนัยของมาตรา 889 ดังนั้นการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลในส่วนที่มีการจ่ายเงิน จากกรณีผู้เอาประกันถึงแก่ความตายจากอุบัติเหตุที่นายวอกทําไว้กับบริษัท นิยมประกันภัย จํากัด และบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด จึงเป็นสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 889 ซึ่งผู้รับประโยชน์หรือทายาทของผู้เอาประกัน ชอบที่จะได้รับเงินเต็มจํานวนจากผู้รับประกันภัยทุกราย โดยจะไม่อยู่ในบังคับที่ต้องมีการจ่ายเงินตามลําดับ ผู้รับประกันก่อนหลังดังเช่นประกันวินาศภัยตามมาตรา 870

ตามอุทาหรณ์ การที่นายวอกทําสัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้กับบริษัท นิยมประกันภัย จํากัด ในวันที่ 1 กันยายน 2563 กรมธรรม์คุ้มครองกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 200,000 บาท กรณีเสียชีวิตจาก อุบัติเหตุ 200,000 บาท และทําสัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลอีกฉบับไว้กับบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด ในวันที่ 2 กันยายน 2563 กรมธรรม์คุ้มครองกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 100,000 บาท กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 100,000 บาท โดยทั้งสองกรมธรรม์มิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์เอาไว้นั้น เมื่อนายวอกประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย

จากการขับรถโดยประมาทของนายต่อ นายสุดซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวของนายวอกจึงชอบที่จะได้รับเงินตามสัญญาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลจากบริษัท นิยมประกันภัย จํากัด 200,000 บาท และจากบริษัท ชํานาญ ประกันภัย จํากัด 100,000 บาท การที่บริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด ปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญญาโดยอ้างว่า นายสุดได้รับเงินจากบริษัท นิยมประกันภัย จํากัด ซึ่งเป็นผู้รับประกันลําดับแรกไปเต็มจํานวนแล้วนั้น ข้ออ้างของ บริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายสุดสามารถเรียกให้บริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด รับผิดต่อตนอีก 100,000 บาทได้

และในกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายเพราะความผิดของบุคคลภายนอก และผู้เอาประกันมิได้ระบุผู้รับประโยชน์เอาไว้ ทายาทของผู้เอาประกันชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ อีกทางหนึ่งนอกเหนือจากจํานวนเงินอันจะพึงใช้ตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 896 ดังนั้นนายสุดจึงสามารถ เรียกให้นายต่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ นายต่อจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่านายสุดได้ค่าเสียหายจาก บริษัท นิยมประกันภัย จํากัดแล้ว ตนจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายสุดอีกหาได้ไม่

สรุป นายสุดทายาทเพียงคนเดียวของนายวอกสามารถเรียกให้บริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด
และนายต่อรับผิดต่อตนได้ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายนัทจะต้องเดินทางไปทํางานที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 2 ปี จึงได้นํากุญแจบ้านของตนไปฝาก ไว้กับนายนิวเพื่อนบ้าน พร้อมบอกให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยในบ้านของตนด้วย หลังจากที่นายนัทเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น นายนิวเห็นว่ากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่นายนัททําไว้หมดอายุความคุ้มครองแล้ว จึงติดต่อไปยังบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด เพื่อขอทําประกันอัคคีภัย บ้านของนายนัท แต่บริษัทฯ ปฏิเสธคําขอเอาประกันของนายนิวโดยอ้างว่านายนิวไม่ใช่เจ้าของบ้าน โดยแท้จริง จึงไม่สามารถทําประกันอัคคีภัยบ้านของนายนัทได้ นายนิวต่อสู้ว่าการปฏิเสธของ บริษัทฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยตามกฎหมายประกันภัยว่าการปฏิเสธของบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 869 “อันคําว่า “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดา ซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้”

วินิจฉัย

เนื่องจากสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านเป็นสัญญาประกันวินาศภัยตามนัยของมาตรา 869 ซึ่งถือว่า เป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องนําบทบัญญัติในหมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นด้วย สัญญาประกันภัยจึงจะมีผลผูกพัน คู่สัญญา (มาตรา 683)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนัทจะต้องเดินทางไปทํางานที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 2 ปี จึงได้นํากุญแจบ้านของตนไปฝากไว้กับนายนิวเพื่อนบ้านพร้อมบอกให้ช่วยดูแลความเรียบร้อยในบ้านของตนด้วยนั้น ย่อมถือว่านายนิวเป็นผู้รับฝากทรัพย์ของนายนัทจากการส่งมอบการครอบครองโดยปริยายและมีหน้าที่รักษาทรัพย์
(บ้าน) ของนายนัทไว้ในอารักขาของตน ดังนั้น แม้นายนิวจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าว แต่ก็ถือว่า นายนิวมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยตามมาตรา 863

การที่นายนิวเห็นว่ากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่นายนัททําไว้หมดอายุความคุ้มครองแล้ว จึงได้
ติดต่อไปยังบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด เพื่อขอทําประกันอัคคีภัยบ้านของนายนัท แต่บริษัทฯ ปฏิเสธคําขอ เอาประกันของนายนิวโดยอ้างว่านายนิวไม่ใช่เจ้าของบ้านโดยแท้จริง จึงไม่สามารถทําประกันอัคคีภัยบ้านของนายนัทได้นั้น ข้ออ้างของบริษัทฯ ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การปฏิเสธของบริษัท ชํานาญประกันภัย จํากัด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 นายเอี่ยมเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง นายเอี่ยมใช้รถยนต์คันดังกล่าวมาได้ปีกว่า หลังจากนั้น นายเอี่ยมได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวไปให้กับนางอรทัย วันที่ 25 มิถุนายน 2562 ภายหลังจาก ทําสัญญาซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว ในวันนั้นเองนายเอี่ยมก็ได้ทําสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับ ตัวรถที่เอาประกันรวมทั้งความรับผิดต่อบุคคลที่สามด้วย จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยสองแสนบาท มีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญา วันที่ 24 มิถุนายน 2563 นายอ่องขับรถบรรทุกโดยความประมาทเลินเล่อชนกับรถยนต์ของนางอรทัยได้รับความเสียหาย ตีราคาความเสียหายเป็นเงิน หนึ่งแสนบาท ปรากฏว่าบริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ได้นํารถยนต์ของนางอรทัยไปซ่อม และสามารถนํากลับไปใช้ได้แล้ว

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า บริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายอ่องได้ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 880 วรรคหนึ่ง “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอี่ยมซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่งได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้กับนางอรทัยไปแล้ว และภายหลังจากการทําสัญญาซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว นายเอี่ยมก็ได้ทําสัญญาประกันภัย รถยนต์คันดังกล่าวไว้กับบริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด นั้น จะเห็นได้ว่าในขณะที่ทําสัญญาประกันภัย นายเอี่ยมไม่ได้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว และแม้ว่าการประกันภัยจะได้ทําในนามของนายเอี่ยมเอง ก็ไม่ถือว่านายเอี่ยมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาประกันภัยจึงไม่ผูกพันคู่สัญญา (มาตรา 863)

และเมื่อสัญญาประกันภัยไม่ผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น การที่นายอ่องขับรถบรรทุกโดยความประมาท เลินเล่อชนกับรถยนต์ของนางอรทัยได้รับความเสียหาย และบริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ได้นํารถยนต์ของ นางอรทัยไปซ่อมและสามารถนํากลับไปใช้ได้แล้ว บริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ก็จะใช้สิทธิตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง เพื่อเข้ารับช่วงสิทธิของนายเอี่ยมในการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายอ่องไม่ได้ (ฎีกาที่ 115/2511และ 961/2522)

สรุป บริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายอ่อง

 

ข้อ 3 นายชัยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางแวว นายชัยทําสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบอาศัย ความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง วงเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท ระบุนางแววเป็น ผู้รับประโยชน์ระยะเวลา 20 ปี อีก 1 ปีต่อมานายชัยโต้เถียงกับนางแววอย่างรุนแรงสาเหตุเกิดจาก นายชัยเกิดความหวาดระแวงว่านางแววจะกลับไปอยู่กับสามีเก่า และสมคบกันวางแผนฆ่าตนเอง เพื่อเอาเงินประกันชีวิต นางแววเกิดความเสียใจจึงหนีไปอยู่กับน้องสาว ครั้นต่อมาบริษัทประกันได้ออกกรมธรรม์และส่งมาให้แล้ว นายชัยได้ทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองต้องการเปลี่ยนผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกลูกชายซึ่งเกิดกับภรรยาคนก่อน หลังจากนั้นอีก 2 ปีในระหว่างที่ สัญญามีผลบังคับนายชัยขับรถไปต่างจังหวัดรถคว่ําเป็นเหตุให้นายชัยถึงแก่ความตาย นางแววทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์จึงยื่นขอรับเงินประกัน แต่บริษัทประกันภัยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้นายเอกไปแล้ว

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นางแววมีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่
ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 891 วรรคหนึ่งนั้น แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กําหนดตัวผู้รับประโยชน์ตาม
สัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้ (โอนสิทธิ เรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย) เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการ ต่อไปนี้ ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก คือ

1 ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2 ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์ แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชัยทําหนังสือแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้รับ ประโยชน์เป็นนายเอกลูกชายนั้น ถือเป็นการโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งคือ จากนางแววเป็นนายเอก เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางแววผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย เนื่องจากหนีไปอยู่กับน้องสาว และไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองประสงค์จะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยนั้น ดังนั้น การโอนประโยชน์ในสัญญาประกันภัยที่นายชัยได้กระทํานั้นจึงมีผลสมบูรณ์ นายเอกจึงเป็นผู้รับโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยตามมาตรา 891 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า นายชัยประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย การที่บริษัทประกันภัยจ่ายเงินประกันภัยตามที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาให้ นายเอกนั้นจึงชอบด้วยกฎหมาย นางแววไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิต

สรุป นางแววไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิต

LAW2112 (LAW2012) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 มงคลเป็นบุตรชายคนเดียวของกัมพลซึ่งเป็นเจ้าของบ้านราคา 1.5 ล้านบาท กัมพลไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่ให้มงคลอาศัยอยู่และบอกมงคลว่าหากกัมพลตายให้บ้านหลังนี้ตกเป็นของมงคล มงคลกังวลว่าบ้านหลังนี้อาจเกิดไฟไหม้ได้รับความเสียหาย จึงทําประกันอัคคีภัยบ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน ในฐานะผู้อาศัยและเป็นผู้ที่จะเป็นเจ้าของบ้านต่อไปในอนาคตกับบริษัท มิตรมั่นคงประกันภัย จํากัด จํานวนเงินประกัน 1 ล้านบาท ระยะเวลาการคุ้มครอง 3 ปี มงคลทําประกันภัยได้ 1 ปี เกิดไฟไหม้บ้านรวมทรัพย์สินภายในประเมินมูลค่าความเสียหายเท่ากับ 8 แสนบาท มงคลจึงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท มิตรมั่นคงประกันภัย จํากัด แต่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายอ้างว่า มงคลไม่มีส่วนได้เสีย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทฯ รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 869 “อันคําว่า “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดา ซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้”

วินิจฉัย

เนื่องจากสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านเป็นสัญญาประกันวินาศภัยตามนัยของมาตรา 869 ซึ่งถือว่า เป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องนําบทบัญญัติในหมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นด้วย สัญญาประกันภัยจึงจะมีผลผูกพัน คู่สัญญา (มาตรา 683)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มงคลทําประกันอัคคีภัยบ้านและทรัพย์สินภายในบ้านในฐานะผู้อาศัยและเป็นผู้ที่จะเป็นเจ้าของบ้านต่อไปในอนาคตกับบริษัท มิตรมั่นคงประกันภัย จํากัด จํานวนเงินประกัน 1 ล้านบาท ระยะเวลาการคุ้มครอง 3 ปี และเมื่อมงคลทําประกันภัยได้ 1 ปี เกิดไฟไหม้บ้านรวมทั้งทรัพย์สินภายในประเมิน มูลค่าความเสียหายเท่ากับ 8 แสนบาทนั้น เมื่อมงคลมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น เพราะบ้านเป็นของกัมพลซึ่งเป็นบิดาของมงคลและมงคลอยู่ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น ดังนั้น สัญญาประกันภัยจึงไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 863 และเมื่อมงคลเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท มิตรมั่นคงประกันภัย จํากัด แต่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายโดยอ้างว่ามงคลไม่มีส่วนได้เสีย ข้ออ้างของบริษัทฯ จึงรับฟังได้

สรุป ข้ออ้างของบริษัท มิตรมั่นคงประกันภัย จํากัด ที่ว่ามงคลไม่มีส่วนได้เสียนั้นรับฟังได้

 

ข้อ 2 นายหมอกเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งโดยได้นํารถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปทําสัญญาประกัน วินาศภัยกับบริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด จํานวนวงเงินซึ่งเอาประกันภัย 1 ล้านบาท ปรากฏว่าในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย นายพายุได้ขับรถยนต์มาเฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกของนายหมอกโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกได้รับความเสียหาย แต่นายพายุตกลงที่จะรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายหมอกโดยได้ทําสัญญาประนีประนอม ยอมความไว้ในเบื้องต้น โดยตีราคาความเสียหายรถยนต์บรรทุกดังกล่าวจํานวน 3 แสนห้าหมื่นบาท ปรากฏว่าหลังจากทําสัญญาประนีประนอมยอมความนายพายุมิได้มาปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับนายหมอก ดังนี้จงวินิจฉัยว่า

(ก) นายหมอกมีสิทธิเรียกให้บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนในความ
เสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) หากปรากฏว่าบริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด ได้นํารถยนต์บรรทุกของนายหมอก ไปซ่อมให้โดยจ่ายค่าซ่อมนั้นไปให้กับอู่ซ่อมรถยนต์บรรทุกดังกล่าวจํานวน 4 แสนบาท บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด สามารถรับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายพายุได้ จํานวนเท่าใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 880 วรรคหนึ่ง “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับประกันภัยได้ใช้ ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยไปเรียกร้องเอาจาก บุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมอกได้นํารถยนต์บรรทุกของตนไปทําสัญญาประกันวินาศภัยกับ บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด จํานวนวงเงินซึ่งเอาประกันภัย 1 ล้านบาท ปรากฏว่าในระหว่างอายุสัญญา ประกันภัย นายพายุได้ขับรถยนต์มาเฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกของนายหมอกโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกได้รับความเสียหายนั้น กรณีนี้ถือว่าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของนายพายุซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว ดังนั้น

(ก) นายหมอกย่อมมีสิทธิเรียกให้บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน ในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวได้ เนื่องจากแม้ว่านายพายุจะได้ทําสัญญาประนีประนอม ยอมความไว้ในเบื้องต้นแล้วก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าหลังจากทําสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว นายพายุ ก็มิได้มาปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด จึงยังคงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้กับนายหมอกในความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าว ซึ่งเป็นความรับผิดตามสัญญาประกันวินาศภัย

(ข) การที่นายพายุตกล ที่จะรับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายหมอกโดยได้ทําสัญญาประนีประนอมยอมความไว้โดยได้ตีราคาความเสียหายรถยนต์บรรทุกดังกล่าวจํานวน 3 แสน 5 หมื่นบาทนั้น หากปรากฏว่า บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด ได้นํารถยนต์บรรทุกของนายหมอกไปซ่อมให้โดยจ่ายค่าซ่อม

ให้กับอู่ซ่อมรถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปจํานวน 4 แสนบาท บริษัทฯ ย่อมสามารถรับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายพายุได้ตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง แต่บริษัทฯ จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายพายุได้เพียง 3 แสน 5 หมื่นบาทเท่านั้น เพราะแม้ว่าบริษัทฯ จะสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยได้ก็ตาม แต่ก็สามารถรับช่วงสิทธิได้ไม่เกินจํานวนที่นายหมอกเจ้าของรถยนต์บรรทุกมีสิทธิเรียกร้องเอากับนายพายุได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น

สรุป

(ก) นายหมอกมีสิทธิเรียกให้บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน ในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวได้ตามสัญญาประกันวินาศภัย

(ข) บริษัท มีทรัพย์ประกันวินาศภัย จํากัด สามารถรับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายพายุได้ 3 แสน 5 หมื่นบาท

 

ข้อ 3 นายอู๊ดทําสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะของตนเองไว้กับบริษัท อุ่นใจ จํากัด จํานวน เงินเอาประกัน 800,000 บาท ระบุนายวอกและนายยมเป็นผู้รับประโยชน์แต่นายอู๊ดเป็นผู้เก็บ กรมธรรม์ฉบับดังกล่าวไว้เอง ภายในอายุความคุ้มครองของสัญญาฯ นายยมและนายอู๊ดเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง นายอู๊ดจึงแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อทําการเปลี่ยนนางหมอนเป็นผู้รับประโยชน์แทนนายยม ทําให้นายยมเกิดความคับแค้นใจอย่างมาก นายยมจึงหลอกให้นายวอกนํากล่องพัสดุ ที่บรรจุระเบิดไปมอบให้แก่นายอู๊ด โดยบอกกับนายวอกว่าข้างในกล่องเป็นเป็นพัสดุที่นายอู๊ดสั่งซื้อไว้ นายวอกจึงนํากล่องพัสดุดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่นายอู๊ด ปรากฏว่ากล่องพัสดุดังกล่าว เกิดระเบิดขึ้นทําให้นายอู๊ดถึงแก่ความตาย เมื่อทราบถึงความตายของนายอู๊ด นายวอกและนางหมอน จึงทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อขอรับประโยชน์ตามสัญญาฯ แต่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามสัญญาฯ แก่ผู้รับประโยชน์ทั้งสองคน โดยอ้างว่าความตายของนายอู๊ดเกิดจากเจตนาฆ่าของ ผู้รับประโยชน์ บริษัทฯ ในฐานะผู้รับประกันไม่ต้องรับผิด

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การปฏิเสธของบริษัท อุ่นใจ จํากัด ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้
คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”
มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของ บุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัย
และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว ถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือ
ให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอู๊ดทําสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะของตนเองไว้กับบริษัท อุ่นใจ จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 800,000 บาท โดยระบุให้นายวอกและนายยมเป็นผู้รับประโยชน์นั้นย่อมสามารถ ทําได้เพราะถือว่านายอู๊ดผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อนายอู๊ดผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตายภายในอายุความคุ้มครองของสัญญาฯ บริษัทฯ จึงต้องใช้ เงินจํานวน 800,000 บาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นตามมาตรา 889 ประกอบมาตรา 862 สําหรับสิทธิในการได้รับประโยชน์จากการจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตของผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่ผู้รับประโยชน์ได้รับมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตจากผู้เอาประกันชีวิตและได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้นตามมาตรา 891

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอู๊ดผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เก็บกรมธรรม์ฉบับดังกล่าวไว้เองมิได้ส่งมอบกรมธรรม์ให้นายวอกและนายยม เก็บรักษาไว้ ประกอบกับนายวอกและนายยมยังมิได้แสดงความจํานงว่าจะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต โดยการทําหนังสือบอกกล่าวไปยังบริษัทฯ ผู้รับประกันภัย ดังนั้น นายอู๊ดจึงมีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงให้นางหมอนมาเป็นผู้รับประโยชน์แทนนายยมได้ตามมาตรา 891 ซึ่งมีผลทําให้นายยมขาดจากการเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตนั้น

และเมื่อนายยมได้หลอกให้นายวอกนํากล่องพัสดุที่บรรจุระเบิดไปมอบให้นายอู๊ดและกล่องพัสดุ ดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้นทําให้นายอู๊ดถึงแก่ความตายจึงเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกได้ฆ่าผู้เอาประกันภัยตายโดยเจตนา
มิใช่เป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2) อันจะทําให้ผู้รับประกันภัย ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด อีกทั้งนายวอกก็มิได้มีเจตนาฆ่าผู้เอาประกันภัยเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่ากล่องพัสดุ ดังกล่าวเป็นพัสดุ

ดังนั้น เมื่อนายวอกและนางหมอนผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตฉบับนี้ได้ทราบถึง ความตายของนายอู๊ดผู้เอาประกันภัย จึงได้ทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ ผู้รับประกันภัยเพื่อขอรับประโยชน์ แต่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญญาฯ แก่ผู้รับประโยชน์ทั้งสองคน โดยอ้างว่าความตายของนายอู๊ดเกิดจากเจตนาฆ่าของผู้รับประโยชน์ บริษัทฯ ในฐานะผู้รับประกันไม่ต้องรับผิด การปฏิเสธของบริษัทฯ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัทฯ จะต้องจ่ายเงินตามสัญญาฯ ให้แก่ผู้รับประโยชน์ทั้งสองคน

สรุป

การปฏิเสธการจ่ายเงินของบริษัท อุ่นใจ จํากัด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3103 (LAW3003) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายหล่อทําสัญญาหมั้นกับนางสาวสวยด้วยแหวนเพชรและเงินสดจํานวน 5,000,000 บาท นายหล่อ ได้ส่งมอบแหวนเพชรให้แล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินสดให้เพราะยังไม่มีเงิน ต่อมานางสาวนิดหน่อย ซึ่งเคยอยู่กินกับนายหล่อมาก่อนได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตร นายหล่อจึงจดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตรของตนกับนางสาวนิดหน่อย หลังจากนั้นเมื่อถึงวันจดทะเบียนสมรส นายหล่อได้ส่งมอบเงินของหมั้น 5,000,000 บาท ให้แก่นางสาวสวยตามสัญญา แต่นางสาวสวยทราบความจริงเรื่องบุตรของนายหล่อกับนางสาวนิดหน่อย

ดังนี้ ถ้านางสาวสวยไม่ยอมสมรสกับนายหล่อ นายหล่อจะเรียกของหมั้นคืนและฟ้องเรียกค่าทดแทน ต่อชื่อเสียง และการเตรียมการสมรสได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย” มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพ
หรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน
แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น”
วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหล่อทําสัญญาหมั้นกับนางสาวสวยด้วยแหวนเพชรและเงินสดจํานวน 5,000,000 บาท นายหล่อได้ส่งมอบแหวนเพชรให้แล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งมอบเงินสดให้เพราะยังไม่มีเงินนั้น การหมั้น ย่อมสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง เนื่องจากได้มีการส่งมอบของหมั้น คือแหวนเพชรให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว

การที่นางสาวนิดหน่อยซึ่งเคยอยู่กินกับนายหล่อมาก่อนได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตร นายหล่อจึง
จดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตรของตนกับนางสาวนิดหน่อยนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้นตามมาตรา 1443 แล้ว แต่ไม่ถือว่าเป็นการกระทําชั่วอย่างร้างแรง ของชายคู่หมั้นซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้น อันเป็นเหตุให้หญิงคู่หมั้นมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยให้ถือเสมือนว่าชายคู่หมั้นเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1444 ดังนั้น นางสาวสวยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้ โดยไม่ต้องคืนของหมั้นตามมาตรา 1443

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสาวสวยยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาหมั้น เมื่อถึงวันจดทะเบียนสมรส นายหล่อได้ส่งมอบเงินของหมั้น 5,000,000 บาท ให้แก่นางสาวสวย แต่นางสาวสวยปฏิเสธ ไม่ยอมสมรสกับนายหล่อ จึงถือว่านางสาวสวยเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ดังนั้น นายหล่อจึงสามารถ เรียกของหมั้นคืนได้ตามมาตรา 1439 และสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงและการเตรียมการสมรสได้ตามมาตรา 1440

สรุป นายหล่อสามารถเรียกคืนของหมั้นและฟ้องเรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงและการเตรียมการสมรสได้

 

ข้อ 2 นายสองเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนางพร ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นายสอง กับนางพรได้ไปจดทะเบียนหย่ากัน ต่อมาในวันที่ 1 มกราคม 2565 นายสองไปจดทะเบียนสมรส กับนางสาวก้อยซึ่งเป็นฝาแฝดคนพี่ โดยนายสองเข้าใจผิดคิดว่านางสาวก้อยคือนางสาวกั้งฝาแฝด คนน้องซึ่งเป็นคนรักของตน ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นายสองรู้ความจริงว่าตนไม่ได้สมรส กับนางสาวกั้งซึ่งเป็นบุคคลที่ตนประสงค์จะสมรสด้วย ดังนั้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 นายสองจึงมายื่นคําร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการสมรส ส่วนนางพรก็ไปจดทะเบียนสมรสใหม่กับนายธวัช ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายสองมายื่นคําร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายสองกับนางสาวก้อยได้หรือไม่
เพราะเหตุใด

(ข) การสมรสระหว่างนางพรกับนายธวัชมีผลเช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1453 “หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่น จะทําการสมรสใหม่ได้ ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน เว้นแต่…”

มาตรา 1503 “เหตุที่ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะ ในกรณีที่คู่สมรสทําการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509

มาตรา 1505 “การสมรสที่ได้กระทําไปโดยคู่สมรสฝ่ายหนึ่งสําคัญผิดตัวคู่สมรส การสมรสนั้น
เป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะสําคัญผิดตัวคู่สมรสเป็นอันระงับเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เก้าสิบวันนับแต่วันสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายสองและนางพรได้จดทะเบียนหย่ากันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 และนายสองได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาวก้อยในวันที่ 1 มกราคม 2565 นั้น ไม่ถือว่าเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ ตามมาตรา 1452 แต่การที่นายสองได้สมรสกับนางสาวก้อยนั้น เป็นเพราะนายสองเข้าใจผิดคิดว่านางสาวก้อย คือนางสาวทั้งฝาแฝดคนน้องซึ่งเป็นคนรักของตน จึงถือว่านายสองได้กระทําไปโดยสําคัญผิดตัวคู่สมรส ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสองกับนางสาวก้อยจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1505 วรรคหนึ่ง ซึ่งนายสองย่อมสามารถ ร้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1503

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสองได้รู้ความจริงว่าตนไม่ได้สมรสกับนางสาวกั้งซึ่งเป็นบุคคลที่ตนประสงค์จะสมรสด้วย คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 แต่ได้มายื่นคําร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการสมรส ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ซึ่งเป็นเวลาที่การสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้ว 90 วันนับแต่วันสมรส ทําให้สิทธิขอเพิกถอน การสมรสเพราะสําคัญผิดตัวคู่สมรสเป็นอันระงับไปแล้วตามมาตรา 1505 วรรคสอง ดังนั้น นายสองจึงไม่มีสิทธิ ที่จะยื่นคําร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างตนกับนางสาวก้อย

(ข) การที่นางพรได้จดทะเบียนสมรสใหม่กับนายธวัชในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 นั้น ถือเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1453 เพราะหญิงที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทําการสมรสใหม่ได้ก็ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน แต่อย่างไรก็ตามไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการสมรส ที่ฝ่าฝืนมาตรา 1453 นั้น จะมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะ ดังนั้น การสมรสระหว่างนางพรกับนายธวัชจึงมีผลสมบูรณ์

สรุป
(ก) นายสองจะยื่นคําร้องขอต่อศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายสองกับนางสาวก้อย ไม่ได้
(ข) การสมรสระหว่างนางพรกับนายธวัชมีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 3 นายก่อและนางขวัญเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายก่อและนางขวัญทะเลาะกันอย่างรุนแรง
ทั้งสองตัดสินใจแยกกันอยู่ และนายก่อออกจากบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดตามลําพัง ต่อมานางขวัญ ประสบอุบัติเหตุขาหัก นางขวัญยืมเงินนายอ้นจํานวน 50,000 บาท มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของตน โดยนางขวัญไม่บอกนายก่อเรื่องการกู้ยืมเงิน หลังจากนั้นนายก่อได้นําบ้านที่นายก่อมีมาก่อนสมรส ไปให้บุคคลอื่นเช่า ได้ค่าเช่าเป็นเงินจํานวน 20,000 บาท นายก่อนําเงินค่าเช่าทั้งหมดไปให้นายพงษ์ น้องเขยของนายก่อยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย โดยที่นายพงษ์ไม่ทราบว่านายก่อนําเงินค่าเช่าบ้านมาให้ตนยืม และนางขวัญก็ไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้ยืมเงินนั้นแต่อย่างใด ดังนี้

(ก) นายก่อจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ 50,000 บาท ที่นางขวัญไปกู้ยืมมาจากนายอ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นางขวัญจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายก่อให้ยืมเงินแก่นายพงษ์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน
(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน
(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหา ริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน
สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับ
ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต
และเสียค่าตอบแทน”
มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้น ให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรส ดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว และการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายก่อและนางขวัญเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย แม้นายก่อและนางขวัญทะเลาะกัน อย่างรุนแรง และทั้งสองตัดสินใจแยกกันอยู่ โดยนายก่อออกจากบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดตามลําพังนั้น ย่อมถือว่า ทั้งสองยังคงเป็นสามีภริยากันอยู่ตามกฎหมาย และการที่นางขวัญประสบอุบัติเหตุขาหักจึงไปยืมเงินจากนายอ้น 50,000 บาท เพื่อมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของตน ถือเป็นหนี้ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว จึงเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (1) ดังนั้น นายก่อจึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวกับนางขวัญด้วย

(ข) การที่นายก่อได้นําบ้านที่นายก่อมีมาก่อนสมรสไปให้บุคคลอื่นเช่า นายก่อย่อมสามารถทําได้ เนื่องจากเป็นการจัดการสินส่วนตัวตามมาตรา 1471 (1) และมาตรา 1473 แต่เงินค่าเช่าจํานวน 20,000 บาทนั้น ถือเป็นดอกผลของสินส่วนตัว จึงเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (3) เมื่อนายก่อนําเงินค่าเช่าบ้านทั้ง 20,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นายพงษ์ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย ถือเป็นการทํานิติกรรมตามมาตรา 1476 (4) ที่สามีภริยา ต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายพงษ์จะเป็นบุคคลภายนอกที่กระทําการโดยสุจริต เพราะนายพงษ์ไม่ทราบว่านายก่อได้นําเงินค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นสินสมรสมาให้ตนยืม แต่เมื่อการที่นายพงษ์ยืมเงินจากนายก่อนั้น นายพงษ์ไม่ได้เสียดอกเบี้ยแต่อย่างใด จึงไม่ถือว่านายพงษ์ ได้เสียค่าตอบแทน ดังนั้น เมื่อการกู้ยืมเงินดังกล่าว นางขวัญไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอม นางขวัญจึงมีสิทธิ ฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินแก่นายพงษ์ได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป
(ก) นายก่อจะต้องร่วมรับผิดในหนี้จํานวน 50,000 บาท ที่นางขวัญไปกู้ยืมมาจากนายอ้น
(ข) นางขวัญจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายก่อให้ยืมเงินแก่นายพงษ์ได้

 

ข้อ 4 นายสิงห์และนางสร้อยเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย นางสร้อยแอบไปคบกับนายกล้าแฟนเก่า จนทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นร่วมประเวณีกัน เมื่อนายสิงห์ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น นายสิงห์ ได้ให้นางสร้อยเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางสร้อยตัดสินใจว่าจะอยู่กับนายสิงห์โดยสัญญาว่าจะเลิกติดต่อกับนายกล้าตลอดไป นายสิงห์และนางสร้อยจึงกลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิมโดยที่นางสร้อย ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับนายกล้าอีก 8 เดือนต่อมา นางสร้อยคลอดบุตรออกมาชื่อ ด.ญ.นิด นายสิงห์ได้ยินเพื่อนบ้านนินทาเรื่องที่นางสร้อยเคยมีชู้กับนายกล้า และสงสัยกันว่า ด.ญ.นิด อาจเป็นลูกของนายกล้า เพราะ ด.ญ.นิด มีใบหน้าที่ไม่เหมือนนายสิงห์ นายสิงห์รู้สึกอับอายและโกรธขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมานายสิงห์ไปร่วมประเวณีกับนางสาวแก้ว โดยนายสิงห์พานางสาวแก้วไปพบกับเพื่อน ๆ และแนะนําว่านางสาวแก้วเป็นภริยาอีกคนของตน แต่นายสิงห์ไม่เคยให้เงินแก่นางสาวแก้วไว้ใช้จ่ายเพราะเห็นว่านางสาวแก้วมีฐานะดีอยู่แล้ว ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายสิงห์จะฟ้องหย่านางสร้อยโดยอ้างเหตุว่านางสร้อยมีชู้ได้หรือไม่ และ ด.ญ.นิด เป็นบุตร ที่ชอบด้วยกฎหมายของใคร เพราะเหตุใด

(ข) นางสร้อยจะฟ้องหย่านายสิงห์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1518 “สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทําการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทําของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นางสร้อยภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสิงห์ ได้แอบไปคบหากับนายกล้าแฟนเก่า จนทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นร่วมประเวณีกันนั้น ถือได้ว่านางสร้อยมีชู้แล้ว จึงเข้าเหตุที่ทําให้นายสิงห์ สามารถฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายสิงห์ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น นายสิงห์ได้ให้ นางสร้อยเลือกว่าจะอยู่กับใคร ซึ่งนางสร้อยตัดสินใจว่าจะอยู่กับนางสิงห์โดยสัญญาว่าจะเลิกติดต่อกับนายกล้า ตลอดไป และนายสิงห์กับนางสร้อยจึงกลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิมนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่นายสิงห์ได้ให้อภัยในการกระทําของนางสร้อยซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว ทําให้สิทธิในการฟ้องหย่าของนายสิงห์หมดไปตาม มาตรา 1518 ดังนั้น นายสิงห์จะฟ้องหย่านางสร้อยโดยอ้างเหตุว่านางสร้อยมีชู้อีกไม่ได้ แม้ว่านายสิงห์จะได้ยิน เพื่อนบ้านนินทาเรื่องที่นางสร้อยเคยมีชู้ก็ตาม เนื่องจากนางสร้อยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับนายกล้าอีกเลย

ส่วนบุตรคือ ด.ญ.นิด ซึ่งได้เกิดในระหว่างที่นางสร้อยเป็นภริยาของนายสิงห์ ย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนางสร้อย และให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสิงห์ตาม มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ด.ญ.นิด จึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสิงห์และนางสร้อย

(ข) การที่นายสิงห์ไปร่วมประเวณีกับนางสาวแก้ว และนายสิงห์พานางสาวแก้วไปพบกับเพื่อนๆ และแนะนําว่านางสาวแก้วเป็นภริยาอีกคนของตนนั้น ถือว่านายสิงห์ได้ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาซึ่งเข้าเหตุที่ทําให้ นางสร้อยสามารถฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) แม้ว่านายสิงห์จะไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูนางสาวแก้วเพราะไม่เคย ให้เงินนางสาวแก้วไว้ใช้จ่ายก็ตาม ดังนั้น นางสร้อยจึงสามารถฟ้องหย่านายสิงห์โดยอ้างเหตุที่นายสิงห์ยกย่อง นางสาวแก้วฉันภริยาได้ตามมาตรา 1516 (1)

สรุป
(ก) นายสิงห์จะฟ้องหย่านางสร้อยโดยอ้างเหตุว่านางสร้อยมีชู้ไม่ได้ และ ด.ญ.นิด เป็นบุตร ที่ชอบด้วยกฎหมายของนายสิงห์และนางสร้อย

(ข) นางสร้อยสามารถฟ้องหย่านายสิงห์ได้

LAW2104 (LAW2004) กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2104 (LAW2004) กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 จงอธิบายความหมายและลักษณะสําคัญของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีและรัฐธรรมนูญลายลักษณ์ อักษร พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญทั้ง 2 รูปแบบ และให้นักศึกษาวิเคราะห์ ว่ารัฐธรรมนูญจารีตประเพณีเหมาะสมกับระบบการเมืองการปกครองในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี (รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) หมายถึง รัฐธรรมนูญที่ ไม่ได้มีการจัดทําขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นบรรทัดฐานที่มาจากจารีตประเพณีในทางการเมืองการปกครอง ที่ก่อตัวและพัฒนาขึ้นอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ของแต่ละรัฐ ซึ่งรัฐที่มีระบบการเมืองการปกครองภายใต้ บรรทัดฐานเหล่านี้แต่มิได้สถาปนารัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรขึ้น ย่อมหมายความว่ารัฐดังกล่าวปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

ในอดีตรัฐธรรมนูญทั้งหลายล้วนปรากฏตัวในรูปแบบของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีทั้งสิ้น ซึ่งรัฐธรรมนูญเหล่านี้ก่อตัวขึ้นโดยการรวบรวมจารีตประเพณีในทางการเมืองการปกครองเข้าด้วยกัน เช่น ในประเทศฝรั่งเศสก่อนการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1789 การดําเนินงานของบรรดาสถาบันการเมืองทั้งหลายล้วนอยู่ ภายใต้บรรทัดฐานต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้อยู่ในรูปของกฎหมายลายลักษณ์อักษร หากแต่ปรากฏตัวอยู่ในรูปแบบของ บรรทัดฐานที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนกระทั่งถึงจุดที่ผู้ปกครองยอมรับและจําเป็นต้องปฏิบัติตาม โดยไม่อาจฝ่าฝืน รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีจึงเป็นผลผลิตแห่งบรรดาจารีตประเพณีในทางการเมืองการปกครอง

ซึ่งในปัจจุบันรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะปรากฏตัวอยู่ในรูปแบบลายลักษณ์อักษร เหลือเพียงบางรัฐที่ยังคงปกครอง ภายใต้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี เช่น ประเทศอังกฤษ และซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร หมายถึง รัฐธรรมนูญที่มีการจัดทําขึ้นในรูปแบบของเอกสารที มีลักษณะเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรถือเป็นรูปแบบของ
รัฐธรรมนูญสมัยใหม่อันเป็นที่นิยมทั่วโลกโดยเฉพาะในบรรดาประเทศยุโรปภาคพื้นทวีป

นอกจากบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแล้ว ในระบบกฎหมายของ
บางประเทศ (เช่น ประเทศไทย) ยังมีการออกแบบบทบัญญัติลายลักษณ์อักษรที่มิได้อยู่ในรูปของบทบัญญัติ ในรัฐธรรมนูญ แต่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง บทบัญญัติดังกล่าวนี้เรียกว่า “กฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญ” ซึ่งโดยทั่วไปจะปรากฏอยู่ในรูปของรัฐบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสําหรับประเทศที่เป็นราชอาณาจักร)

ซึ่งแนวคิดในการออกแบบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้น เริ่มมาจากเจตนาในการกําหนดรายละเอียดหรือขยายเนื้อความของรัฐธรรมนูญให้มีความชัดเจน แน่นอนขึ้น เพื่อประโยชน์ในการบังคับการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเนื่องจากผู้ร่างไม่สามารถระบุบรรดารายละเอียดปลีกย่อยลงไปในรัฐธรรมนูญได้ทั้งหมด จึงอาจจะกล่าวได้ว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เปรียบเสมือนส่วนเติมเต็มของรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีจะมีลักษณะที่แตกต่างกับรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร อย่างน้อย
3 ประการ ดังต่อไปนี้คือ

1 เนื่องจากรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบ การเมืองการปกครอง ข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละรัฐจึงนําไปสู่รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี
ที่มีลักษณะแตกต่างกันตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีจึงไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของเจตจํานงที่จะก่อตั้งระบบการเมืองการปกครองที่ผ่านการออกแบบอย่างเป็นระบบแบบแผนมาตั้งแต่แร กลไกทางการเมืองต่าง ๆ ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่กลไกที่ผ่านการวิเคราะห์ผลดีผลเสีย หรือผ่านการวางแผน ให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ ในทางการเมืองมาแต่แรก กรณีจึงแตกต่างจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่

ซึ่งผู้ร่างจะต้องทําการคิดวิเคราะห์ข้อมูลและผลกระทบทางการเมืองการปกครองให้ชัดเจนเสียก่อน
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้น เกิดจากการออกแบบอย่างเป็นระบบ ส่วนรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีนั้นเกิดจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์โดยมิได้ผ่าน การออกแบบของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด ๆ แต่ก่อตัวขึ้นเองตามวิวัฒนาการทางการเมืองการปกครองของรัฐ

2 รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีมักก่อให้เกิดปัญหาความไม่ชัดเจนในการใช้การตีความรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความไม่ต่อเนื่องหรือทางตันในทางการเมือง ในกรณีที่เกิดปัญหาซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของรัฐนั้น ๆ รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีย่อมไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้โดยง่าย กรณีจึงแตกต่างจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่ได้ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบ ความเสี่ยงที่จะประสบกับปัญหาดังกล่าวย่อมมีน้อย หรืออาจไม่มีเลยก็ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่นั้น เปิดโอกาส ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อยู่เสมอ

3 รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีไม่มีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบ เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่ก่อตัวขึ้นจากทางปฏิบัติต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองซึ่งมักเป็นทางปฏิบัติที่อยู่ ในความควบคุมของกษัตริย์หรือชนชั้นสูง ประชาชนจึงไม่มีส่วนร่วมใด ๆ ในการสถาปนารัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย กรณีจึงแตกต่างจากรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรสมัยใหม่ซึ่งมักจะถูกสถาปนาขึ้นโดยความยินยอมของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย (โดยผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือผ่านการออกเสียงประชามติ รับรองร่างรัฐธรรมนูญ)

เมื่อพิจารณาลักษณะทั้ง 3 ประการของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีแล้วจะพบว่า รัฐธรรมนูญ ในรูปแบบดังกล่าวย่อมไม่สอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองสมัยใหม่อีกต่อไป เนื่องจากการปกครองใน
ยุคปัจจุบันนั้นให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเป็นหลักทั้งในทางรูปแบบและในทางเนื้อหา นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ในปัจจุบันทั้งทางด้านสังคม การเมือง หรือเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้น อย่างรวดเร็วและมีลักษณะต่อเนื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยจึงเป็นเรื่องที่ ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้

 

ข้อ 2 จงอธิบายรูปแบบการสถาปนารัฐธรรมนูญโดยจําแนกตามผู้ทรงอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม (Pouvcir constituant originaire) และให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่อไปนี้

(ก) อะไรคือสาเหตุหลักของปัญหาเกี่ยวกับความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบในการ
สถาปนารัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย

(ข) หากนักศึกษาเป็นผู้ทรงอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม นักศึกษาจะสถาปนารัฐธรรมนูญ
อย่างไร

ธงคำตอบ

อํานาจในการก่อตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับนั้นเรียกว่า “อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม” อํานาจดังกล่าวเป็นอํานาจที่ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่แต่เดิมโดยไม่ได้รับมาจากผู้ใด และเนื่องจากเป็น
อํานาจที่มิได้อยู่ภายใต้อาณัติของผู้อื่น อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมจึงเป็นอํานาจที่มีลักษณะไร้ขีดจํากัด

กล่าวคือ ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญไม่ถูกผูกพันว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะต้องมีลักษณะเช่นไร หรือแม้แต่อยู่ภายใต้ กฎเกณฑ์อื่นใดในโลก

1 การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบเผด็จการ

ในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบอบคณาธิปไตย เป็นต้น อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมย่อมอยู่ในมือของผู้ปกครองหรือคณะผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว

การจัดทํารัฐธรรมนูญจึงไม่มีกระบวนการที่เชื่อมโยงกับประชาชน แต่เป็นการจัดทําโดยผู้ปกครองฝ่ายเดียวและมอบให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง ผู้ปกครองจึงเป็นผู้กําหนดสถานะและอํานาจขององค์กรผู้ใช้อํานาจรัฐ ซึ่งย่อมหมายความรวมถึง สถานะและอํานาจของผู้ปกครองเองด้วย ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1814, รัฐธรรมนูญโปรตุเกส ปี ค.ศ. 1826 และรัฐธรรมนูญเสปนปี ค.ศ. 1834 เป็นต้น

การจัดทํารัฐธรรมนูญแบบเผด็จการในบางกรณีอาจนําไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ หากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ มีบทบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนเป็นสําคัญ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ปกครองที่มีอํานาจ เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือย่อมไม่มีเจตนาที่จะสละอํานาจดังกล่าวให้กับประชาชนหากไม่ใช่กรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในโลกปัจจุบันยังคงปรากฏการจัดทํารัฐธรรมนูญแบบเผด็จการอยู่โดยเฉพาะในประเทศโลกที่สาม
ซึ่งมักจะมีการทํารัฐประหารโดยกองทัพ โดยภายหลังการยึดอํานาจรัฐบาลประชาธิปไตยมักจะมีการฉีกรัฐธรรมนูญเดิม และจัดทํารัฐธรรมนูญใหม่โดยกองทัพหรือผู้ที่กองทัพแต่งตั้ง จากนั้นผู้ก่อการรัฐประหารมักประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ที่ตนเองจัดทําขึ้นใหม่โดยไม่ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยใด ๆ ทั้งสิ้น

2 การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบผสม (กึ่งเผด็จการถึงประชาธิปไตย)

การจัดหารัฐธรรมนูญแบบผสมเกิดขึ้นได้ในกรณีที่อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมอยู่ในมือของ ทั้งผู้ปกครองในระบอบเผด็จการและประชาชน กล่าวคือ เป็นรัฐธรรมนูญอันเป็นผลมาจากการต่อสู้หรือต่อรองกัน ระหว่างผู้ปกครองเดิม (กษัตริย์หรือผู้เผด็จการ) และประชาชน (ผู้แทนประชาชนหรือคณะปฏิวัติในนามของ ประชาชน) จนได้ข้อสรุปตกลงร่วมกัน

ในอดีตการจัดทํารัฐธรรมนูญแบบผสมมักเกิดขึ้นในกรณีที่มีการเปลี่ยนราชวงศ์หรือการก่อตั้ง
ราชวงศ์ใหม่ เช่น รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสปี ค.ศ. 1830 เป็นต้น ส่วนในปัจจุบันการจัดทํารัฐธรรมนูญแบบผสมมักจะเป็นกรณีที่คณะรัฐประหารเสนอร่างรัฐธรรมนูญ (ที่มิได้มาจากการร่างโดยผู้แทนของประชาชน) ให้ประชาชน เป็นผู้รับรองผ่านกระบวนการประชามติ เช่น กรณีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี พ.ศ. 2560

3 การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบประชาธิปไตย

ในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมย่อมเป็นของปวงชน กล่าวคือ ประชาชนหรือผู้แทนของประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบ ประชาธิปไตยในปัจจุบันอาจแบ่งแยกได้เป็น 2 กระบวนการหลัก ได้แก่ การร่างรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ และการรับรองร่างรัฐธรรมนูญโดยผ่านกระบวนการประชามติ

การสถาปนารัฐธรรมนูญในรูปแบบประชาธิปไตยสามารถกระทําได้ทั้งสิ้น 3 วิธี ดังนี้

วิธีที่หนึ่ง ก่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาดังกล่าวร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จจึงนําร่างรัฐธรรมนูญไปเสนอให้ประชาชนรับรองโดยผ่านกระบวนการประชามติ

วิธีที่สอง ก่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาดังกล่าวร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประชามติอีก

วิธีที่สาม ฝ่ายบริหารซึ่งเข้าสู่ตําแหน่งด้วยวิธีการอันชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย (ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปโดยชอบด้วยระบอบประชาธิปไตย) จัดทําร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และเสนอร่างดังกล่าวให้ประชาชน เป็นผู้รับรองโดยผ่านกระบวนการประชามติ

(ก) สาเหตุหลักของปัญหาที่เกี่ยวกับความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบในการสถาปนารัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยนั้น คือการทํารัฐประหารโดยกองทัพนั่นเอง โดยภายหลังจากที่กองทัพ ได้ทําการรัฐประหารโดยการยึดอํานาจรัฐบาลประชาธิปไตยแล้ว มักจะมีการฉีกรัฐธรรมนูญเดิม และจัดทํา รัฐธรรมนูญใหม่โดยกองทัพหรือผู้ที่กองทัพแต่งตั้ง จากนั้นผู้ก่อการรัฐประหารมักประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่ตนเอง จัดทําขึ้นโดยไม่ผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยใด ๆ ทั้งสิ้น

(ข) หากข้าพเจ้าเป็นผู้ทรงอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ข้าพเจ้าจะสถาปนารัฐธรรมนูญ ในรูปแบบประชาธิปไตย ทั้งนี้เพราะรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้น อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ดั้งเดิมย่อมเป็นของปวงชน กล่าวคือ ประชาชนหรือผู้แทนของประชาชนเท่านั้นจะเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ และการสถาปนารัฐธรรมนูญนั้นจะใช้วิธีที่ 1 คือให้มีการก่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก สภาร่างรัฐธรรมนูญ และเมื่อสภาดังกล่าวได้ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ก็ให้นําร่างรัฐธรรมนูญนั้นไปเสนอให้
ประชาชนรับรองโดยผ่านกระบวนการประชามติ

 

ข้อ 3 หากนักศึกษาเป็นผู้ทรงอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญลําดับรอง (Pouvoir constituent derive) ท่านจะใช้อํานาจดังกล่าวให้มีผลต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หากข้าพเจ้าเป็นผู้ทรงอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญลําดับรอง (อํานาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ) ข้าพเจ้าจะใช้อํานาจดังกล่าวเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นการส่งเสริม การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในบางประเด็นดังนี้ คือ

1 ในหมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามมาตรา 50 (7) ที่ว่าบุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยแก้ไขให้การเลือกตั้งเป็นสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กล่าวคือ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งระดับประเทศหรือ ระดับท้องถิ่น สามารถที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่าเขาควรจะไปใช้สิทธิดังกล่าวหรือไม่ ไม่ใช่กําหนดให้เป็นหน้าที่ เพราะการกําหนดว่าบุคคล “มีหน้าที่” กับคําว่า “สิทธิเลือกตั้ง” นั้นมีลักษณะเป็นการย้อนแย้งกันอยู่ ดังนั้น จึงไม่ควรจะกําหนดให้เป็นหน้าที่ ควรจะให้เป็นสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจริง ๆ เพียงแต่อาจจะกําหนดไว้ว่าถ้าเขาไม่ไปใช้สิทธิดังกล่าวแล้วเขาจะเสียสิทธิอะไรบ้างก็พอ

2 ในหมวด 7 ส่วนที่ 2 เกี่ยวกับสภาผู้แทนราษฎรนั้น จะแก้ไขให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น จะไม่ให้มีสมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ทั้งนี้เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของ ประชาชนที่จะไปทําหน้าที่แทนประชาชนที่เลือกเขาจริง ๆ ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อ
ของพรรคการเมืองนั้น อาจจะไม่ใช่บุคคลที่ประชาชนต้องการก็ได้

3 ในส่วนที่ 3 เกี่ยวกับวุฒิสภานั้น ประชาชนโดยตรงเท่านั้น โดยให้ถือจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีจํานวนกี่คนก็ได้ขึ้นอยู่กับจํานวน ประชาชนที่มีอยู่ในแต่ละจังหวัด ซึ่งถ้าหากสมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรงแล้ว ก็ถือได้ว่าจะแก้ไขสมาชิกวุฒิสภาทุกคนต้องมาจากการเลือกตั้งของสมาชิกวุฒิสภาเป็นตัวแทนของประชาชนได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้มาจาก การเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการเลือกหรือจากการสรรหาของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดแล้ว การทําหน้าที่ ของสมาชิกวุฒิสภาก็จะคํานึงถึงแต่ผลประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เลือกตนเข้ามาเพื่อเป็นการตอบแทน โดยไม่คํานึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนแต่อย่างใด (ดังจะเห็นได้จากการที่สมาชิกวุฒิสภาไม่ยอมแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญทั้ง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เป็นต้น)

4 การสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภานั้น นอกจากจะเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญฯ กําหนดไว้แล้ว จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมโดยกําหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (จํานวน พอสมควร) สามารถที่จะเข้าชื่อเพื่อถอดถอนออกจากตําแหน่งได้

5 ในหมวด 8 เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีนั้น จะแก้ไขเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีนั้นนอกจากจะ แต่งตั้งจากบุคคล งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบแล้ว นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย รวมทั้งผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีอย่างน้อยกึ่งหนึ่งจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยเช่นเดียวกัน

6 ในหมวด 11 เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 204 จะแก้ไขเพิ่มเติมให้บุคคลที่จะเข้ามาดํารงตําแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

7 ในหมวด 12 เกี่ยวกับองค์กรอิสระ จะแก้ไขเพิ่มเติมให้บุคคลที่จะเข้ามาดํารงตําแหน่งใน องค์กรอิสระต่าง ๆ จะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อและได้รับการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

และที่สําคัญที่ต้องแก้ไขแน่นอนคือในหมวดที่ 15 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญใน มาตรา 256 คือจะแก้ไขญัตติในการขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อ รัฐสภานั้น ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ และวาระที่ 3 การลงมตินั้น จะต้องได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดของทั้งสองสภารวมกันเท่านั้น โดยไม่ต้องมีการกําหนดว่าต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะถ้าในรัฐธรรมนูญยังมีการกําหนดว่าการ แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 แล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นและในเรื่องอื่น ๆ ที่ควรจะได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ก็คงจะไม่สามารถทําได้หรือ อาจทําได้ยากแน่นอน ดังจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน แม้จะมีการเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 หลายครั้งก็ตาม แต่ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อมีการเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาแล้ว มักจะไม่ผ่าน วาระที่ 1 หรือแม้จะผ่านวาระที่ 1 แต่ก็ไม่ผ่านวาระที่ 3 เนื่องจากไม่ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภา จํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 นั่นเอง (ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า สมาชิกวุฒิสภา ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรงเท่านั้น)

หมายเหตุ คําตอบข้อนี้นักศึกษาอาจแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้ แต่จะต้องเป็นความเห็น
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนด้วย

 

ข้อ 4 จงอธิบายรูปแบบการยกเลิกรัฐธรรมนูญ และให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นว่าการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ในรูปแบบใดเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในประเทศไทย

ธงคําตอบ

รูปแบบของการยกเลิกรัฐธรรมนูญสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยตรง

การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยตรง หมายถึง การกระทําให้รัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งสิ้นผลไป โดยการประกาศยกเลิกโดยตรง การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยตรงมักเป็นผลมาจากการรัฐประหาร เนื่องจากเมื่อเกิดการรัฐประหารเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองเดิม ผู้ก่อการรัฐประหารย่อมเป็นผู้ถืออํานาจรัฐในทางข้อเท็จจริง ส่งผลให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีอํานาจยกเลิกรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น อาจกล่าว ได้ว่าโดยทั่วไปการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยตรงก็คือการทําให้รัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งสิ้นสุดลงโดยผลแห่งกําลังในทางข้อเท็จจริง

2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยอ้อม

แม้รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏบทบัญญัติว่าด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญเอาไว้ (เว้นแต่ ในกรณีของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวซึ่งอาจกําหนดให้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวสิ้นผลลงเมื่อมีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับถาวร) แต่การยกเลิกรัฐธรรมนูญก็อาจเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีที่เรียกว่าการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยอ้อม ซึ่งหมายถึงการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการกระทําที่มิได้มุ่งหมายต่อการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่กลับส่งผล เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งสามารถจําแนกการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยอ้อมออกเป็น 4 รูปแบบดังต่อไปนี้

2.1 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญ : รัฐธรรมนูญทุกฉบับล้วนประกอบไปด้วยเนื้อหาส่วนที่เป็นสาระสําคัญซึ่งอาจแตกต่างกันในรายละเอียด แต่โดยหลักแล้วจะต้องถือว่าบทบัญญัติว่าด้วยรูปของรัฐ ระบอบการปกครอง และรูปแบบของสถาบันการเมืองเป็นสาระสําคัญของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อบรรดาบทบัญญัติดังกล่าว เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ (จากสาธารณรัฐเป็นราชอาณาจักรหรือจากราชอาณาจักร เป็นสาธารณรัฐ) เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการ อาจกระทําโดย ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนทั้งหมด เป็นต้น) หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสถาบันการเมือง (เปลี่ยนจากระบบสภาเดี่ยวเป็นระบบสภาคู่ เปลี่ยนจากระบบรัฐสภาเป็นระบบประธานาธิบดี เป็นต้น) แม้การแก้ไขเช่นว่านี้จะได้กระทําตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกําหนดไว้ทุกประการ และแม้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะมิได้กําหนดข้อจํากัดในการแก้ไขบทบัญญัติส่วนใดส่วนหนึ่งไว้ก็ตาม กรณีเช่นนี้ จะต้องถือว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่บังคับใช้อยู่ และเป็น การสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปโดยปริยายเนื่องจากเป็นการทําลายหลักการสําคัญของรัฐธรรมนูญฉบับเดิม

2.2 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ : การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะต้องดําเนินตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่กําหนดเอาไว้ในบทบัญญัติ ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และเนื่องจากบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญคือบทบัญญัติ ว่าด้วยการใช้อํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญลําดับรอง การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว ย่อมเป็นการทําลายอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญอันเป็นบ่อเกิดแห่งรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่างเช่น บทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกําหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในขั้นตอนสุดท้ายต้องผ่านกระบวนการ

ออกเสียงประชามติ แต่กลับมิได้มีการนําร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไปให้ประชาชนออกเสียง ประชามติก่อนการประกาศใช้ย่อมถือได้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยไม่เคารพบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยปริยาย

2.3 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ : การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแตกต่างจากกรณีของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติในส่วนดังกล่าว ในกรณีนี้แม้รัฐธรรมนูญ จะมิได้บัญญัติห้ามมิให้แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติในส่วนดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการทําลายอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญลําดับรองซึ่งปรากฏอยู่ในรูปของบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่างเช่น บทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กําหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในขั้นตอนสุดท้ายต้องผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติ แต่เสียงข้างมากในรัฐสภาไม่เห็นด้วยกับกระบวนการดังกล่าวเนื่องจากสร้างความยุ่งยากและความเสี่ยงในทางการเมืองในอนาคต จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยยกเลิกบทบัญญัติที่กําหนดให้ต้องนําร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไปผ่านกระบวนการประชามติ ย่อมถือได้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยปริยาย

การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยอ้อมทั้ง 3 รูปแบบข้างต้น เป็นการพิจารณาจากแง่มุม ในทางทฤษฎี แต่การกระทําทั้ง 3 กรณีมิได้ส่งผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญในทางปฏิบัติแต่อย่างใด หรือกล่าว อีกนัยหนึ่งคือรัฐธรรมนูญที่ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมทั้ง 3 กรณีก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดิม

2.4 การยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ : การประกาศ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตรงอาจกระทําได้โดยมิต้องอาศัยกําลังทหารในนามของคณะรัฐประหารหรือกําลังของประชาชนในนามของคณะปฏิวัติ ยกตัวอย่างเช่น มีการร่างรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นร่างดังกล่าว ได้ผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติโดยประชาชนและมีการประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กรณีเช่นนี้ ย่อมถือว่าเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเติมโดยไม่จําต้องประกาศให้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อพิจารณาการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยอ้อมทั้ง 4 รูปแบบแล้ว จะพบว่า 3 รูปแบบแรก เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญอันเป็นผลมาจากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจึงเป็นหนึ่งกลไกที่สําคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ทั้งในแง่ของการประกัน ความมั่นคงของรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมกับยุคสมัย และในแง่ของการหลีกเลี่ยงการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยอ้อม

สําหรับประเทศไทยนั้น การรัฐประหารนับเป็นสาเหตุแห่งการยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยตรงที่พบได้บ่อยและชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะการรัฐประหารโดยใช้กําลังทหารเข้ายึดอํานาจรัฐ ซึ่งกรณีหลังนี้มักเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศกําลังพัฒนาบางประเทศ การยกเลิกรัฐธรรมนูญด้วยวิธีดังกล่าว ย่อมไม่มีประเด็นในทางกฎหมายที่สลับซับซ้อนให้พิจารณา เนื่องจากเป็นกรณีที่มีการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้ง

LAW2103 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2103 (LAW2003) ป.พ.พ.ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ในพื้นที่ธุรกิจย่านใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง บริษัท เมตาแอท จํากัด โดยนายณัฐ กรรมการผู้จัดการ ทําสัญญาเช่าพื้นที่ชั้นดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์รวม 4 คูหา และได้ติดตั้งป้ายโฆษณาดิจิทัลขนาดใหญ่ ประเภทไดโอดเปล่งแสง (Light-emitting diode หรือ LED) มีความสูง 8 เมตร ผู้ที่อยู่อาศัย จํานวนมากที่อาศัยอยู่ในชั้น 3 และชั้น 4 ของอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้ามซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับ ป้ายโฆษณาดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนจากแสงจ้าที่มาจากการฉายภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนของป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ดังกล่าว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข อ่อนเพลีย ได้รับผลกระทบทางสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทําให้ผู้สูงอายุตาพร่ามัว เพราะถูกแสง ส่องสว่างตลอดเวลาจนถึงขั้นหกล้มได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และการไปซื้อผ้าและแผ่นทึบแสงที่ทําจากวัสดุต่าง ๆ มาติดตั้งเพื่อปิดกั้นแสงจ้า นอกจากนี้ ยังพบว่าการติดตั้งสิ่งปลูกสร้างป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ดังกล่าวเข้าข่ายการก่อสร้างดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารอีกด้วย จากเหตุการณ์นี้ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องในทางละเมิดโดยอาศัยข้อกฎหมายใดได้บ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 421 “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย”

มาตรา 444 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทําให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น ผู้ต้องเสียหายชอบ ที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือ
แต่บางส่วน ทั้งในเวลาปัจจุบันนั้นและในเวลาอนาคตด้วย

วินิจฉัย

การกระทําอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

1. บุคคลกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
2. ทําต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลของการกระทํา
ตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท เมตาแอท จํากัด โดยนายณัฐ กรรมการผู้จัดการ ทําสัญญาเช่าพื้นที่ ชั้นดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์รวม 4 คูหา และได้ติดตั้งป้ายโฆษณาดิจิทัลขนาดใหญ่ประเภทไดโอดเปล่งแสง (LED) ซึ่งมีความสูง 8 เมตร ทําให้ผู้ที่อยู่อาศัยจํานวนมากที่อาศัยอยู่ในชั้น 3 และชั้น 4 ของอาคารพาณิชย์ฝั่งตรงข้าม

ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับป้ายโฆษณาดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนจากแสงจ้าที่มาจากการฉายภาพเคลื่อนไหวตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนของป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ดังกล่าว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข อ่อนเพลีย ได้รับผลกระทบทางสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทําให้ผู้สูงอายุตาพร่ามัว เพราะถูกแสงส่องสว่าง ตลอดเวลาจนถึงขั้นหกล้มได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการไปซื้อผ้าและ แผ่นทึบแสงที่ทําจากวัสดุต่าง ๆ มาติดตั้งเพื่อปิดกั้นแสงจ้านั้น การกระทําของบริษัทฯ และกรรมการผู้จัดการ ถือเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายแก่ร่างกายและอนามัย และการกระทํานั้นมีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ประกอบกับเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยทําให้เดือดร้อนหรือรําคาญ ซึ่งเป็นการอันมิชอบ ด้วยกฎหมายตามมาตรา 421 ดังนั้น บริษัทและกรรมการผู้จัดการจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สําหรับ ค่าใช้จ่ายที่ผู้เสียหายต้องเสียไปตามมาตรา 444 คือ ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายที่ไปซื้อวัสดุทึบแสงมาปิดกั้น แสงจ้า รวมถึงผู้ที่ต้องรับผิดควรต้องกระทําหรือการงดเว้นที่เหมาะสมเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นอีกทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาอนาคตด้วย

ส่วนกรณีการติดตั้งสิ่งปลูกสร้างป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ดังกล่าวที่เข้าข่ายการก่อสร้างดัดแปลงโดย
ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องไปรับผิดต่างหากเป็นอีกส่วนหนึ่ง

สรุป จากเหตุการณ์ดังกล่าวผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องในทางละเมิดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 420 และ 421 โดยสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายได้ตามมาตรา 444

 

ข้อ 2 นายช่วงเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกได้มอบรถยนต์บรรทุกดังกล่าวให้แก่นายม่วงบุตรชายไปครอบครอง และใช้สอย วันเกิดเหตุนายพ่วงลูกจ้างของนายม่วงได้ขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเพื่อไปส่งของที่อําเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา นายพ่วงขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากเร่งรีบเพื่อที่จะไปส่งของให้ถึงอําเภอปากช่องโดยเร็ว เพราะนายพ่วงนัดกับนางสาวบ่วงแฟนสาวเอาไว้ ปรากฏว่าเวลาดังกล่าว มีช้างป่าเดินข้ามถนนมาโดยที่นายพ่วงไม่ได้ระมัดระวังทําให้นายพ่วงต้องเหยียบเบรกกะทันหัน รถยนต์บรรทุกจึงเสียหลักพุ่งชนรถจักรยานยนต์ของนายง่วงที่ขับสวนมาอีกฝั่งหนึ่ง ทําให้นายง่วง ได้รับบาดเจ็บสาหัสและรถจักรยานยนต์เสียหายทั้งคัน

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านายช่วง นายพ่วง และ นายม่วง ต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายง่วงหรือไม่อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทําไป ในทางการที่จ้างนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายพ่วงลูกจ้างของนายม่วงได้ขับรถยนต์บรรทุกเพื่อไปส่งของ โดยนายพ่วง ได้ขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อมีช้างป่าเดินข้ามถนนมาทําให้นายพ่วงซึ่งไม่ได้ระมัดระวังต้องเหยียบเบรกกะทันหัน
รถยนต์บรรทุกจึงเสียหลักพุ่งชนรถจักรยานยนต์ของนายง่วงที่ขับสวนมาอีกฝั่งหนึ่ง ทําให้นายง่วงได้รับบาดเจ็บสาหัส และรถจักรยานยนต์เสียหายทั้งคันนั้น ความเสียหายแก่ร่างกายและแก่ทรัพย์สินของนายง่วงเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทําละเมิดของนายพ่วงตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อ ต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทําให้เขาได้รับความเสียหาย และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทําของนายพ่วง ดังนั้นนายพ่วงจึงต้องรับผิดในทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายง่วง

สําหรับนายม่วงนั้น เมื่อปรากฏว่าในขณะที่นายพ่วงทําละเมิดนั้น นายพ่วงได้ขับรถยนต์บรรทุก ของนายม่วงซึ่งเป็นนายจ้างเพื่อไปส่งของ จึงถือว่านายพ่วงได้ทําละเมิดในขณะที่อยู่ในระหว่างการปฏิบัติงาน ในทางการที่จ้าง ดังนั้น นายม่วงซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกันกับนายพ่วงลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่ง นายพ่วงได้กระทําไปในทางการที่จ้างนั้นด้วยตามมาตรา 425 ส่วนนายช่วงเมื่อไม่ใช่นายจ้างของนายพ่วง
จึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายง่วง

สรุป นายพ่วงและนายม่วงต้องรับผิดทางละเมิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายง่วงตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 425 ส่วนนายช่วงไม่ต้องรับผิด

 

ข้อ 3 นางอังกอร์เป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์ดุตัวหนึ่ง นางอังกอร์กําลังไปเที่ยวต่างจังหวัดจึงฝากนายบังเลี้ยงสุนัขดังกล่าวไว้ชั่วคราว วันเกิดเหตุ นายบังพาสุนัขไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ โดยล่ามโซ่ไว้ อย่างแน่นหนา สุนัขตื่นผู้คนแล้วตกใจ จึงวิ่งเข้ากัดนายโชคถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายโชคอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวดี มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ นายมีชัย อายุ 23 ปี ทํางานเป็นวิศวกรอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าใครต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายโชคบ้างหรือไม่ และนางสาวดีกับนายมีชัยสามารถเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้ แทนเจ้าของจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือ ตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่ว สัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือตั๋วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

มาตรา 443 “ในกรณีทําให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่าย อันจําเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย
ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ ทํามาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทําให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่า
บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายอังกอร์ซึ่งเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์ดุตัวหนึ่งได้ฝากนายบังเลี้ยงสุนัขดังกล่าวไว้ ชั่วคราว ในวันเกิดเหตุ นายบังพาสุนัขไปเดินเล่นในสวนสาธารณะโดยล่ามโซ่ไว้อย่างแน่นหนา แต่สุนัขตื่นผู้คน แล้วตกใจ จึงวิ่งเข้ากัดนายโชคถึงแก่ความตายนั้น ความเสียหายที่เกิดกับนายโชคถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะสัตว์ ดังนั้น นายบังซึ่งเป็นผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนนายอังกอร์ จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนทาง ละเมิดตามมาตรา 433 วรรคหนึ่ง ส่วนนายอังกอร์ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใดเนื่องจากมิใช่ผู้ดูแลสัตว์ตามความจริงในขณะเกิดความเสียหาย

ส่วนกรณีที่นางสาวดีและนายมีชัยจะสามารถเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่
แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

1 กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจาก ผู้กระทําละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629 ดังนั้น นางสาวดีซึ่งเป็นภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายโชคจึงมิใช่ทายาท จึงไม่สามารถเรียกค่าปลงศพได้ ส่วน นายมีชัยซึ่งเป็นบุตรของนายโชคสามารถเรียกค่าปลงศพได้

2 กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทําละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เท่านั้น เมื่อนางสาวดีไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายโชค และนายมีชัยแม้จะเป็นบุตรของนายโชคแต่ได้ บรรลุนิติภาวะแล้ว ดังนั้น ทั้งสองจึงไม่ใช่ผู้ที่ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดอุปการะได้

สรุป นายบังต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายโชค ส่วนนายอังกอร์ไม่ต้องรับผิด นางสาวดีไม่สามารถเรียกค่าปลงศพได้ แต่นายมีชัยสามารถเรียกค่าปลงศพได้ทั้งนางสาวดีและนายมีชัยไม่สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้

 

ข้อ 4 นายพายุเป็นเจ้าของเรือยนต์มุกนาวีที่ได้รับอนุญาตผู้ประกอบการเดินเรือโดยสารในเส้นทางท่าเรือ แหลมบาลีฮาย – เกาะล้าน นายพายุและคนประจําเรือต้องถูกกักตัวเนื่องจากต้องสงสัยว่าติดเชื้อ โควิต-19 จึงไม่อาจเดินเรือโดยสารได้ จึงได้ร้องขอให้นายสมุทรซึ่งเป็นผู้ประกอบการเดินเรือที่
ได้รับอนุญาตอีกรายหนึ่งนําเรือยนต์มุกนาวีไปรับส่งผู้โดยสารแทนตนเมื่อมีการติดต่อจองเรือเข้ามา และมีจํานวนผู้โดยสารมากพอ นายสมุทรตกลงเดินเรือให้นายพายุตามที่ร้องขอ ต่อมาในช่วง วันหยุดยาวเดือนธันวาคม นายสมุทรสั่งให้นายธรณีซึ่งเป็นลูกจ้างของตนให้ไปขับเรือยนต์มุกนาวี (เป็นผู้ควบคุมเรือ) รับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากท่าเรือแหลมบาลีฮายไปเกาะล้าน ขณะที่ใกล้ถึงเกาะล้าน นายธรณีค่อย ๆ ขับเรือเข้าสู่ท่าเรือด้วยความระมัดระวัง แต่ปรากฏว่าเรือไปชนเข้ากับหินโสโครก อย่างแรง โดยที่ตนอาจมองเห็นได้ ส่งผลให้ปั๊มน้ำเสียหาย น้ำจึงทะลักเข้าไปในเรือ ทําให้เรือมุกนาวี เอียงและค่อย ๆ จมลง แม้ว่านายธรณีและลูกเรือ (คนประจําเรือ) ได้พยายามตะโกนบอกให้ผู้โดยสาร ไปยืนรวมกันในตําแหน่งที่ปลอดภัยแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด ในที่สุดเรือมุกนาวีอับปางลง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่โดยสารเรือมาในเรือลํานั้น จํานวน 3 ราย จมน้ําเสียชีวิต จากเหตุการณ์นี้มีผู้ใดบ้างที่ต้องรับผิดต่อผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติดังกล่าว จงอธิบายตามข้อกฎหมายละเมิดที่เกี่ยวข้อง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทําไป ในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 427 “บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม”

มาตรา 437 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า
การเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมุทรสั่งให้นายธรณีซึ่งเป็นลูกจ้างของตนให้ไปขับเรือยนต์มุกนาวี รับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากท่าเรือแหลมบาลีฮายไปเกาะล้าน ขณะใกล้ถึงเกาะล้าน นายธรณีค่อย ๆ ขับเรือเข้าสู่ท่าเรือ ด้วยความระมัดระวัง แต่ปรากฏว่าเรือไปชนเข้ากับหินโสโครกอย่างแรง โดยที่ตนอาจมองเห็นได้ ส่งผลให้ปั๊มน้ำเสียหาย น้ำจึงทะลักเข้าไปในเรือทําให้เรือมุกนาวีเอียงและค่อย ๆ จมลง แม้ว่านายธรณีและลูกเรือได้พยายาม ตะโกนบอกให้ผู้โดยสารไปยืนรวมกันในตําแหน่งที่ปลอดภัยแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด จนในที่สุดเรือมุกนาวี อับปางลง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่โดยสารเรือมาในเรือลํานั้น จํานวน 3 ราย จมน้ำเสียชีวิตนั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่ผู้โดยสารที่เสียชีวิตทั้ง 3 รายนั้นได้เกิดจากการกระทําโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อ ของนายธรณี กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 437 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ นายธรณีซึ่งเป็นผู้ควบคุมเรือ จึงต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายจากการที่ผู้โดยสารที่มากับเรือเสียชีวิตทั้ง 3 ราย เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้น เป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงอันเกิดขึ้นจากยานพาหนะอันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกลซึ่งคือ เรือยนต์มุกนาวี

และเมื่อนายธรณีเป็นลูกจ้างของนายสมุทรซึ่งนายสมุทรเป็นผู้สั่งให้ไปขับเรือยนต์มุกนาวีรับกลุ่ม นักท่องเที่ยวดังกล่าว ดังนั้น เมื่อเกิดละเมิดขึ้นในระหว่างที่ลูกจ้างได้กระทําการงานไปในทางการที่จ้าง นายสมุทร จึงต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างคือนายธรณีตามมาตรา 425

นอกจากนี้ การที่นายสมุทรตกลงเดินเรือยนต์มุกนาวีรับเดินเรือขนส่งผู้โดยสารให้นายพายุตามที่ นายพายุได้ร้องขอ ย่อมถือว่านายสมุทรเป็นตัวแทนที่ทํากิจการให้แก่นายพายุซึ่งเป็นตัวการ เมื่อเกิดละเมิดขึ้น โดยนายสมุทรและลูกจ้างของนายสมุทรในระหว่างนั้นภายในขอบอํานาจตัวแทน นายพายุในฐานะตัวการจึงต้อง ร่วมรับผิดกับนายสมุทรในผลแห่งละเมิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นด้วยตามมาตรา 427 ดังนั้น นายธรณี นายสมุทร และนายพายุ จึงต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดต่อผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 3 รายดังกล่าว
ดังกล่าว

สรุป นายธรณี นายสมุทร และนายพายุ ต้องรับผิดต่อผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นชาวต่างชาติทั้ง 3 ราย

LAW2102 (LAW2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2102 (LAW2002) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายหมีทําสัญญาให้นายแมวกู้ยืมเงินจํานวน 200,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่าถ้านายแมวมีเงินเมื่อใดค่อยนํามาชําระคืนให้แก่นายหมีที่บริษัทของนายหมี ต่อมาในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 นายแมวแวะมาทําธุระแถวบริษัทของนายหมี นายแมวจึงได้นําเงินจํานวน 200,000 บาท มาชําระคืนให้แก่นายหมี แต่นายหมีติดประชุมกับลูกค้ารายใหญ่ จึงไม่สะดวกลงมารับชําระหนี้ และขอให้นายแมวกลับบ้านไปก่อน ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าใครตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชําระหนี้นั้นมิได้กําหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชําระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชําระหนี้ของตนได้โดยพลัน ดุจกัน
ถ้าได้กําหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชําระหนี้ ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชําระหนี้ก่อนกําหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกําหนดชําระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คําเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชําระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
ถ้าได้กําหนดเวลาชําระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชําระหนี้ตามกําหนดไซร้ ท่านว่า ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ก่อนการชําระหนี้ ซึ่งได้กําหนดเวลาลงไว้อาจคํานวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 212 “ถ้ามิได้กําหนดเวลาชําระหนี้ไว้ก็ดี หรือถ้าลูกหนี้มีสิทธิที่จะชําระหนี้ได้ก่อนเวลากําหนดก็ดี การที่เจ้าหนี้มีเหตุขัดข้องชั่วคราวไม่อาจรับชําระหนี้ที่เขาขอปฏิบัติแก่ตนได้นั้นหาทําให้เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ เว้นแต่ลูกหนี้จะได้บอกกล่าวการชําระหนี้ไว้ล่วงหน้าโดยเวลาอันสมควร

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ใครตกเป็นผู้ผิดนัด แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของนายแมวลูกหนี้
การที่นายหมีได้ทําสัญญาให้นายแมวกู้ยืมเงินจํานวน 200,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่าถ้านายแมว มีเงินเมื่อใดค่อยนํามาชําระหนี้คืนให้แก่นายหมีที่บริษัทของนายหมีนั้น ถือเป็นหนี้ที่มีการกําหนดเวลาชําระหนี้ โดยมีเงื่อนไขไม่แน่นอน จึงมีผลเท่ากับว่าไม่ได้มีการกําหนดเวลาชําระหนี้กันไว้ตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จึงถือว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่ถึงกําหนดชําระโดยพลัน ซึ่งลูกหนี้มีสิทธิชําระหนี้ของตนได้โดยพลัน และเจ้าหนี้ย่อม มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชําระหนี้ได้โดยพลันเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ดีเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหมีเจ้าหนี้ยังมิได้เตือนให้นายแมวลูกหนี้ชําระหนี้แต่อย่างใด ดังนั้น กรณีดังกล่าวจึงยังไม่ถือว่านายแมวลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง

กรณีของนายหมีเจ้าหนี้
การที่นายแมวลูกหนี้ได้แวะมาทําธุระแถวบริษัทของนายหมีในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 นายแมวได้นําเงินจํานวน 200,000 บาท มาชําระคืนให้แก่นายหมีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายหมีติดประชุมกับลูกค้ารายใหญ่ จึงไม่สะดวกลงมารับชําระหนี้ และขอให้นายแมวกลับบ้านไปก่อน เป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีเหตุขัดข้องชั่วคราวไม่อาจรับชําระหนี้ที่เขาขอปฏิบัติแก่ตนได้ หาทําให้เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดไม่ เว้นแต่ลูกหนี้จะได้บอกกล่าว การชําระหนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแมวมิได้มีการบอกกล่าวนายหมีล่วงหน้าแต่อย่างใด นายหมีจึงยังไม่ตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดตามมาตรา 212

สรุป ทั้งนายหมีเจ้าหนี้ และนายแมวลูกหนี้ ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2 นายหนึ่งทําสัญญายืมรถยนต์จากนายสองกําหนดส่งคืนที่บ้านของนายสองในวันที่ 1 มีนาคม 2565 เมื่อถึงกําหนดนัด นายหนึ่งนํารถยนต์มาคืนนายสองที่บ้าน แต่ปรากฏว่านายสองไปเที่ยวต่างจังหวัด นายหนึ่งจึงไม่สามารถคืนรถยนต์ให้แก่นายสองได้ ต่อมาในวันที่ 15 มีนาคม 2565 ขณะที่นายหนึ่ง ยังมิได้คืนรถยนต์ให้แก่นายสองได้เกิดไฟไหม้รถยนต์คันดังกล่าวเสียหายทั้งคัน โดยไฟลุกไหม้มาจากบ้านข้างเคียงซึ่งไม่ใช่ความผิดของนายหนึ่งเลย ภายหลังจากนั้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 นายสองกลับมาจากต่างจังหวัด
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายหนึ่งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสองจากการที่ไม่มีรถยนต์ ส่งคืนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 205 “ตราบใดการชําระหนี้นั้นยังมิได้กระทําลงเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่ง ซึ่งลูกหนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่”
มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชําระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชําระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุ อันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”
มาตรา 208 วรรคหนึ่ง “การชําระหนี้จะให้สําเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการ ชําระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”
มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชําระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น ภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชําระหนี้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งทําสัญญายืมรถยนต์จากนายสองกําหนดส่งคืนที่บ้านของนายสอง ในวันที่ 1 มีนาคม 2565 เมื่อถึงกําหนดนัด นายหนึ่งนํารถยนต์มาคืนนายสองที่บ้าน แต่ปรากฏว่านายสองไปเที่ยว ต่างจังหวัด นายหนึ่งจึงไม่สามารถคืนรถยนต์ให้แก่นายสองได้ เป็นกรณีที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชําระหนี้โดยชอบแล้ว
แต่เจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ยอมรับชําระหนี้โดยปราศจากมูลกฎหมายจะอ้างได้ นายสองจึงตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดตาม มาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคหนึ่ง และการที่นายหนึ่งไม่สามารถคืนรถยนต์ให้แก่นายสองได้นั้น ถือเป็น กรณีที่มีพฤติการณ์ภายนอกเข้ามาขัดขวางชั่วคราวตามมาตรา 205 จึงไม่ทําให้นายหนึ่งลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด
ต่อมาในวันที่ 15 มีนาคม 2565 ขณะที่นายหนึ่งยังมิได้คืนรถยนต์ให้แก่นายสองนั้น ได้เกิดไฟไหม้รถยนต์คันดังกล่าวเสียหายทั้งคัน โดยไฟลุกไหม้มาจากบ้านข้างเคียงซึ่งไม่ใช่ความผิดของนายหนึ่งเลย ย่อมถือเป็น กรณีที่การชําระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้น ย่อมมีผลทําให้ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชําระหนี้นั้นตามมาตรา 219 นายหนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่นายสองจากการที่ไม่มีรถยนต์ส่งคืน

สรุป นายหนึ่งไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสองจากการที่ไม่มีรถยนต์ส่งคืน

 

ข้อ 3 นายกิตติเจ้าของที่ดินทําสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่งกับนายเรื่องราคา 300,000 บาท ปรากฏว่าก่อนวันนัดโอนไม่กี่วัน นายกิตติกลับนําที่ดินดังกล่าวไปทําสัญญาจํานองกับนายพฤกษาแลกกับเงินจํานวน 250,000 บาท โดยนายพฤกษารู้ว่านายกิตติทําสัญญาซื้อขายไปกับนายเรื่องแล้ว ให้วินิจฉัยว่า นายเรืองจะใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้บ้าง หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 วรรคหนึ่ง “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ ได้กระทําลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทํา นิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทําให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้ บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล ซึ่งเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ ตามมาตรา 237 วรรคหนึ่งนั้น จะต้องเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทําลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ กล่าวคือ เป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทําหลังจากที่ลูกหนี้ได้เป็นหนี้เจ้าหนี้แล้ว และเป็นนิติกรรมซึ่งเมื่อลูกหนี้ ได้ทําแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชําระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกิตติเจ้าของที่ดินทําสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่งกับนายเรื่องราคา 300,000 บาทนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าเมื่อนายเรืองซื้อที่ดินของนายกิตติแล้ว นายเรืองจึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะ เรียกร้องให้นายกิตติปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย เมื่อนายกิตติเอาที่ดินแปลงที่ขายให้นายเรืองไปจํานองแก่นายพฤกษาก่อนวันนัดโอนไม่กี่วัน ทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้นายเรืองซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ และนายพฤกษารับจํานองที่ดินไว้ โดยทราบแล้วว่านายกิตติได้ขายให้บุคคลอื่นไปแล้ว ซึ่งเป็นการรู้ถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้นายเรืองซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบนั้นด้วย นายเรืองจึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมจํานองดังกล่าวตามมาตรา 237

สรุป นายเรืองสามารถใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ โดยการร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมจํานองดังกล่าวตามมาตรา 237

 

ข้อ 4 นายหนึ่งเป็นเจ้าหนี้ในหนี้เงินจํานวน 600,000 บาท โดยมีนายสองและนายสามเป็นลูกหนี้ร่วมกันในสัญญากู้ฉบับนี้ ครั้นเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายหนึ่งได้ฟ้องนายสองเพียงคนเดียวให้ชําระหนี้เต็มจํานวน นายสองสู้ว่า นายสองต้องรับผิดเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นความรับผิดของนายสาม ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งฟ้องเรียกให้นายสองชําระหนี้ได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทําการชําระหนี้โดยทํานองซึ่งแต่ละคนจําต้องชําระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชําระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้ จะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชําระเสร็จสิ้นเชิง”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งเป็นเจ้าหนี้ในหนี้เงินจํานวน 600,000 บาท โดยมีนายสองและนายสามเป็นลูกหนี้ร่วมกันในสัญญากู้ฉบับนี้นั้น ตามมาตรา 291 ได้กําหนดให้นายหนึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกชําระหนี้เอาจากลูกหนี้คนใดคนหนึ่งจนสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก โดยลูกหนี้ทุกคนยังคงต้องผูกพันรับผิดในหนี้นั้นจนกว่าจะได้มีการชําระให้เสร็จสิ้น ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระและนายหนึ่งได้ฟ้อง นายสองเพียงคนเดียวให้ชําระหนี้เต็มจํานวน นายหนึ่งย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 291 นายสองจะต่อสู้ว่า นายสองต้องรับผิดเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครั้งหนึ่งให้เป็นความรับผิดของนายสามนั้นหาได้ไม่

สรุป นายหนึ่งสามารถฟ้องเรียกให้นายสองชําระหนี้เต็มจํานวนคือ 600,000 บาทได้

LAW2101 (LAW2001) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2101 (LAW2001) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 “ทรัพย์สิทธิ” และ “บุคคลสิทธิ” คืออะไร มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบให้เห็นชัดเจน

ธงคําตอบ

ทรัพยสิทธิ (Real Rights) หมายถึง สิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน เป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือ ทรัพย์สินนั้นในอันจะบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์สินนั้นได้โดยตรง ซึ่งทรัพย์สิทธิดังกล่าวนี้มักจะถูกบัญญัติก่อตั้งเอาไว้ ในบรรพ 4 เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิอาศัย ภาระติดพันในอสังหา ริมทรัพย์ ภาระจํายอม เป็นต้น รวมถึงสิทธิจํานองและสิทธิจํานําด้วย

ตัวอย่างของสิทธิที่เรียกว่าทรัพยสิทธิ เช่น นาย ก. มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันหนึ่ง นาย ก. ย่อมมี อํานาจตามมาตรา 1336 ที่จะใช้สอย จําหน่าย หรือเอารถคันนั้นออกให้เช่าได้ หรือถ้ามีคนเอารถยนต์ของนาย ก. ไป นาย ก. มีสิทธิติดตามเอาคืนได้ เพราะทรัพยสิทธิเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือตัวทรัพย์บังคับเอากับทรัพย์โดยตรง

บุคคลสิทธิ (Personal Rights) หมายถึง สิทธิที่มีอยู่เหนือบุคคล ซึ่งอยู่ในรูปของสิทธิเรียกร้อง ให้คู่สัญญากระทําการหรืองดเว้นกระทําการ เป็นสิทธิที่เกิดจากสัญญาเป็นหลัก เป็นสิทธิที่คู่สัญญาก่อตั้งขึ้น ทําให้บังคับได้เฉพาะคู่สัญญาจะไปบังคับเอาแก่บุคคลอื่นไม่ได้ เช่น นายดําทําสัญญาจ้างนายแดงมาร้องเพลง ในงานวันเกิดของตน ถึงวันงานนายแดงไม่มาร้องเพลง นายดําจะไปบังคับให้นายขาวซึ่งเป็นลูกชายของนายแดง และเป็นนักร้องเหมือนกันมาร้องเพลงแทนนายแดงไม่ได้ เพราะสิทธิที่นายดํามีต่อนายแดงเป็นเพียงบุคคลสิทธิใช้บังคับเฉพาะแก่คู่สัญญาเท่านั้น

ข้อแตกต่างระหว่าง “ทรัพยสิทธิ” และ “บุคคลสิทธิ

1 ทรัพยสิทธิจะมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน ส่วนบุคคลสิทธิจะมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นการกระทํา หรืองดเว้นกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง

2 ทรัพยสิทธิก่อตั้งขึ้นด้วยอาศัยอํานาจของกฎหมายเท่านั้น ส่วนบุคคลสิทธิก่อตั้งขึ้นด้วย นิติกรรมสัญญาหรือนิติเหตุ

3 ทรัพยสิทธิก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลทั่วไป ส่วนบุคคลสิทธิจะก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะที่จะต้องกระทําการหรืองดเว้นการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นไปตามความผูกพันของตนที่ก่อให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะโดยนิติกรรมหรือโดยนิติเหตุ

4 ทรัพยสิทธิไม่อาจสิ้นสุดไปโดยการไม่ใช้ ไม่มีอายุความสิ้นสิทธิ เช่น การที่เรามีกรรมสิทธิ์ ในที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งแม้เราจะไม่ใช้เราก็ยังมีกรรมสิทธิ์อยู่ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ เช่น ในเรื่อง ภาระจํายอมหากมิได้ใช้ 10 ปี ย่อมสิ้นสุดไป ส่วนบุคคลสิทธินั้นอาจเสียสิทธิไปโดยการไม่ใช้ เช่น สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ

 

ข้อ 2 ที่ดินของนายไก่และนายไข่อยู่ติดกันโดยทิศตะวันตกของที่ดินของนายไก่ติดถนนสุขุมวิทตลอดแนว นายไก่ทําสัญญากับนายไข่เป็นหนังสือให้นายไข่ได้สิทธิในการใช้ทางเดินและถนนกว้าง 3 เมตร ซึ่งตั้งอยู่กลางที่ดินของนายไก่ในการออกสู่ถนนสุขุมวิทอย่างทางภาระจํายอม ในเวลาต่อมา นายไก่ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายช้างโดยนายช้างรับรู้ถึงสัญญาระหว่างนายไก่และนายไข่เมื่อนายช้างเข้ามาในที่ดิน นายช้างประสงค์จะย้ายทางเดินและถนนตามสัญญาระหว่างนายไก่และนายไข่ดังกล่าวไปไว้ติดทางทิศเหนือของที่ดินตลอดแนว และลดความกว้างของถนนเหลือ 2.5 เมตร เพื่อที่นายช้างจะได้สามารถสร้างบ้านหลังใหญ่พร้อมสวนดอกไม้กลางที่ดินได้ อย่างไรก็ดีนายไข่ได้ขัดขวางมิให้นายช้างดําเนินการดังกล่าว

ดังนี้ นายช้างสามารถดําเนินการตามที่ประสงค์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น

ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทําเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1336 “ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจําหน่ายทรัพย์สิน ของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจํายอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1392 “ถ้าภาระจํายอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียก ให้ย้ายไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทําให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทาง นิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อ บุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ทําสัญญากับนายไข่เป็นหนังสือให้นายไข่ได้สิทธิในการใช้ทางเดิน และถนนกว้าง 3 เมตร ซึ่งตั้งอยู่กลางที่ดินของนายไก่ในการออกสู่ถนนสุขุมวิทอย่างภาระจํายอมนั้น ถือเป็นกรณี ที่นายไข่ได้ภาระจํายอมซึ่งเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และโดยผลแห่งกฎหมายของนิติกรรมนี้ เมื่อไม่มีการนําไปจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ แต่ในระหว่างคู่กรณียังมีผลผูกพันกันในฐานะบุคคลสิทธิ์ ดังนั้น เมื่อนายไก่ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายช้าง แม้ว่านายช้างจะรับรู้ถึงสัญญาระหว่างนายไก่และนายไข่ นายไข่ก็จะนําการได้มาซึ่งภาระจํายอมดังกล่าวขึ้นต่อสู้ นายช้างบุคคลภายนอกไม่ได้ กล่าวคือ นายช้างไม่ต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าวแต่อย่างใด

และเมื่อการได้ภาระจํายอมโดยทางนิติกรรมของนายไข่ไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ และไม่มีผลผูกพันนายช้างซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ดังนั้น เมื่อนายช้างประสงค์จะย้ายทางเดินและถนน และลดความกว้างของถนน จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1387 และมาตรา 1392 นายช้างจึงสามารถดําเนินการใด ๆ กับที่ดินนั้นได้ ในฐานะเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินคือที่ดินนั้นตามมาตรา 1336

สรุป นายข้างสามารถดําเนินการตามที่ประสงค์ได้

 

ข้อ 3 ป่านเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง ทิศตะวันออกติดที่ดินโฉนดของปุ๋ยซึ่งไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาดูแล ป่านได้ลงมือสร้างบ้านในที่ดินของตน โดยมิได้มีการเรียกช่างมารังวัดก่อนการลงมือสร้างบ้านเมื่อป่านสร้างบ้านเสร็จปรากฏว่าบางส่วนของห้องครัวได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของปุ๋ย โดยป่านก็ใช้ประโยชน์จากบ้านทั้งหลังรวมทั้งห้องครัวเรื่อยมา หลังจากสร้างบ้านเสร็จมาเป็นเวลา 5 ปี ปุ๋ยเพิ่งรับทราบว่าบางส่วนของห้องครัวของป่านนั้นรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน ปุ๋ยจึงเรียกให้ป่าน รื้อถอนห้องครัวส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตนออกเสีย ป่านจึงอ้างว่าตนได้ก่อสร้างบ้านโดยสุจริต ดังนั้น ปุ๋ยจะต้องจดทะเบียนภาระจํายอมในส่วนของห้องครัวให้ป่าน

ดังนี้ ป่านจะต้องรื้อถอนส่วนของห้องครัวที่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของปุ๋ยหรือไม่ หรือปุ๋ยจะต้องจดทะเบียนภาระจํายอมในส่วนของห้องครัวให้ป่าน เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้น เป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็น ภาระจํายอมต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้ ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทําการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทําที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1401 “ภาระจํายอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นําบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิ อันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพ์นี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1312 การที่จะถือว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตนั้น จะต้องดูจากขณะที่ก่อสร้างว่าผู้ก่อสร้างรู้หรือไม่ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น ถ้ารู้ก็ถือว่า ก่อสร้างโดยไม่สุจริต แต่ถ้าไม่รู้ว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเองจึงสร้างโรงเรือนลงไป ครั้นภายหลังจึงรู้ความจริง ย่อมถือว่าเป็นการก่อสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริต แต่อย่างไรก็ตาม หากความไม่รู้ ดังกล่าวเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ก่อสร้าง กฎหมายให้ถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยไม่สุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ป่านสร้างบ้านลงในที่ดินของตนเองโดยไม่ได้รังวัดสอบเขตนั้น ถือเป็น กรณีที่ป่านประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบเขตที่ดินให้ดีเสียก่อนที่จะทําการปลูกสร้าง และเมื่อปรากฏว่าหลังจาก สร้างเสร็จ บางส่วนของห้องครัวได้รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของปุ๋ย การกระทําของป่านจึงเป็นการสร้างโรงเรือน รุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามมาตรา 1312 วรรคสอง ดังนั้นป่านจึงต้องรื้อถอนส่วนของห้องครัวที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของปุ๋ย

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าป่านได้ใช้ประโยชน์จากบ้านทั้งหลังรวมทั้งห้องครัวเรื่อยมาเป็นเวลา 5 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี ป่านจะอ้างว่าตนได้ก่อสร้างบ้านโดยสุจริต ดังนั้น ปุ๋ยจะต้องจดทะเบียนภาระจํายอมในส่วน ของห้องครัวให้ป่านนั้นหาได้ไม่ ทั้งนี้เพราะการได้ภาระจํายอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นําอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจํายอมในภารยทรัพย์ โดยต้อง ใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

สรุป ป่านจะต้องรื้อถอนส่วนของห้องครัวที่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของปุ๋ย และปุ๋ยไม่ต้องจดทะเบียนภาระจํายอมในส่วนของห้องครัวให้ป่าน

 

ข้อ 4 หมูเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดเลขที่ 12345 ซึ่งหมูได้ปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าว ตลอดมา ต่อมาหมูจะดําเนินการปรับปรุงบ้านครั้งใหญ่ หมูจึงได้นําเอกสารและสัมภาระต่าง ๆ ของตนไปฝากไว้ที่บ้านของลิงซึ่งเป็นพี่ชายของตน รวมถึงโฉนดที่ดินเลขที่ 12345 ดังกล่าวด้วย ต่อมาลิงได้นําหนังสือมอบอํานาจปลอมที่มีลายมือชื่อของหมูไปดําเนินการโอนโฉนดที่ดินฉบับ ดังกล่าวให้เป็นชื่อของตน เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หมูได้ดําเนินการตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ภายในบ้านที่ปลูกสร้างไว้ในที่ดินโฉนดเลขที่ 12345 และพบว่ายังมีเอกสารบางส่วนที่ยังอยู่กับลิง หมูจึงไปขอรับเอกสารคืนจากลิง และได้รับแจ้งจากลิงว่าหมูต้องย้ายออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 12345 และลิงจะเข้าไปอยู่อาศัยแทนหมู เนื่องจากลิงได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของหมูโดยลิง มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดแปลงดังกล่าวมาเกิน 10 ปีแล้ว

ดังนี้ หมูต้องย้ายออกจากที่ดินตามคํากล่าวอ้างของลิงหรือไม่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วย การครอบครองปรปักษ์ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครอง ติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1 เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2 ได้ครอบครองโดยความสงบ

3 ครอบครองโดยเปิดเผย

4 ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5 ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หมูซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดเลขที่ 12345 ซึ่งหมูได้ปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัย ในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา ต่อมาหมูจะดําเนินการปรับปรุงบ้านครั้งใหญ่ หมูจึงได้นําเอกสารและสัมภาระต่าง ๆ รวมถึงโฉนดที่ดินเลขที่ 12345 ไปฝากไว้ที่บ้านของลิง ต่อมาลิงได้นําหนังสือมอบอํานาจปลอมที่มีลายมือชื่อของหมู ไปดําเนินการโอนโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวให้เป็นชื่อของตน จนเวลาผ่านไป 10 ปีนั้น การที่ลิงมีชื่ออยู่ในโฉนดที่ดิน ดังกล่าวเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยที่ยังไม่ได้ยึดถือที่ดินเลย จึงไม่ถือว่าเป็นการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ คือ ที่ดิน โฉนดเลขที่ 12345 แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อลิงมิได้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ลิงจึงไม่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 และเมื่อลิงแจ้งให้หมูย้ายออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 12345 เพราะ ลิงจะเข้าไปอยู่อาศัยแทนหมู เนื่องจากลิงได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของหมู หมูจึงไม่ต้องย้ายออกจากที่ดินตาม คํากล่าวอ้างของลิง

สรุป หมูไม่ต้องย้ายออกจากที่ดินตามคํากล่าวอ้างของลิง

WordPress Ads
error: Content is protected !!