LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2111 (LAW 2011) ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายอาทิตย์ต้องการซื้อภาพวาดจากงานประมูล Art and Design เพื่อนํามาใช้ตกแต่งอาคาร สํานักงานใหม่ของตน ซึ่งภาพวาดที่นายอาทิตย์สนใจนั้นมีหลายภาพ และเป็นภาพที่ผู้จัดงาน ประมูลให้รายละเอียดว่าเป็นของศิลปินผู้สร้างสรรค์ที่มีชื่อเสียงนามว่า “นายศิลปะ สรรสร้าง”ที่ขณะนี้ถึงแก่กรรมไปแล้ว นายอาทิตย์ทราบว่านายสดใสที่เป็นเพื่อนของตนนั้นเป็นจิตรกร และยังเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของนายศิลปะ สรรสร้าง อีกด้วย จึงโทรศัพท์ไปติดต่อขอให้นายสดใส ช่วยเข้าร่วมประมูลภาพวาดของนายศิลปะ สรรสร้าง ที่มีทั้งหมดห้าภาพในงานครั้งนี้แทนตน และตกลงให้บําเหน็จภาพละ 10,000 บาท ในวันประมูลนายสดใสไปที่งานประมูลสาย ทําให้ ไม่สามารถเห็นภาพวาดก่อนการประมูลและไม่สามารถประมูลภาพวาดสองภาพแรกได้ทัน แต่นายสดใสได้ประมูลภาพวาดของนายศิลปะ สรรสร้าง อีกสามภาพที่เหลือในราคาภาพละ 250,000 บาท หลังจากงานประมูล นางสาวแสงจันทร์เห็นว่านายสดใสสนใจภาพวาดของ นายศิลปะ สรรสร้าง จึงเสนอขายภาพที่ตนประมูลได้สองภาพแรกในราคาภาพละ 250,000 บาท จากราคาที่ตนประมูลได้มา 200,000 บาท นายสดใสตกลงซื้อและชําระราคา เพราะเห็นว่า ถ้าไม่รีบตกลง นายอาทิตย์จะไม่มีภาพไปตกแต่งอาคารสํานักงาน หรือนางสาวแสงจันทร์อาจจะ เปลี่ยนใจในภายหลัง ประกอบกับนายอาทิตย์เองก็มอบอํานาจให้นายสดใสเข้าซื้อภาพเหล่านี้แทน อยู่แล้ว และตนได้เห็นภาพที่นางสาวแสงจันทร์ประมูลได้ จึงแน่ใจว่าเป็นของนายศิลปะ สรรสร้าง จริง ต่อมานายสดใสได้นําภาพทั้งหมดไปส่งมอบให้นายอาทิตย์ แต่พบว่าภาพหนึ่งในสามที่ได้จาก การประมูลไม่ใช่ภาพที่เป็นผลงานของนายศิลปะ สรรสร้าง เป็นเพียงภาพเลียนแบบเท่านั้น และ บุคคลที่ดูงานศิลปะเป็นประจําสามารถรู้ได้ทันที ดังนี้ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏข้างต้น นายสดใส ทําชอบด้วยหน้าที่ของการเป็นตัวแทนหรือไม่ และมีสิทธิได้รับบําเหน็จหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 807 “ตัวแทนต้องทําการตามคําสั่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไม่มีคําสั่ง
เช่นนั้น ก็ต้องดําเนินตามทางที่เคยทํากันมาในกิจการค้าขายอันเขาให้ตนทําอยู่นั้น….

มาตรา 818 “การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทํามิชอบในส่วนนั้น ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บําเหน็จ”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ
ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่ จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้มอบหมายให้นายสดใสเป็นตัวแทนไปประมูลภาพวาด ของนายศิลปะ สรรสร้าง ที่มีทั้งหมด 5 ภาพแทนตน เพราะเห็นว่านายสดใสเป็นจิตรกร และยังเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ของนายศิลปะ สรรสร้างนั้น นายสดใสจึงต้องทําหน้าที่ตัวแทนในการเข้าประมูลภาพวาดทั้ง 5 ภาพ โดยใช้ความ ระมัดระวังในการพิจารณาเช่นคนที่เป็นจิตรกรและลูกศิษย์ใกล้ชิดของศิลปินพึงกระทํา ดังนั้น การที่นายสดใส ไปที่งานประมูลสายทําให้ไม่สามารถเห็นภาพวาดก่อนการประมูล ทําให้ได้ภาพเลียนแบบมา 1 ภาพ จึงเป็นการ กระทําไม่ชอบด้วยหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 807 แล้ว และนอกจากนี้การที่นายสดใสได้ซื้อภาพวาดอีก 2 ภาพ ที่ตนเข้าร่วมการประมูลไม่ทันจากนางสาวแสงจันทร์ก็ถือว่าเป็นกรณีของการไม่ทําตามคําสั่งของตัวการ ซึ่งเป็น การกระทําไม่ชอบด้วยหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 807 ที่ให้เข้าร่วมประมูลภาพทั้ง 5 ภาพ และยังเป็นการกระทํา นอกเหนือขอบอํานาจที่ตัวการได้ให้ไว้ตามมาตรา 823 วรรคหนึ่งอีกด้วย

สําหรับกรณีที่นายสดใสมีสิทธิจะได้รับบําเหน็จที่นายอาทิตย์ตกลงให้ภาพละ 10,000 บาท หรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้คือ

1 กรณีภาพวาดทั้ง 3 ภาพที่นายสดใสเข้าประมูลด้วยตนเองนั้น เมื่อปรากฏว่าได้ภาพเลียนแบบ มา 1 ภาพ เพราะนายสดใสไม่ได้ดูภาพวาดที่มีการนําเข้าประมูลก่อน ทั้งที่บุคคลที่ดูงานศิลปะเป็นประจําสามารถ รู้ได้ทันที จึงเป็นการที่ไม่ใช้ความระมัดระวังในการทําหน้าที่ตัวแทน ซึ่งเป็นการทํามิชอบด้วยหน้าที่ นายสดใส จึงไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จในส่วนนี้ตามมาตรา 818 คงได้บําเหน็จเฉพาะภาพวาดที่ประมูลได้อีก 2 ภาพ เป็นเงิน 20,000 บาทเท่านั้น

2 กรณีภาพวาดอีก 2 ภาพ ที่นายสดใสได้ซื้อจากนางสาวแสงจันทร์นั้น เมื่อนายสดใสไม่ได้ซื้อ จากการประมูลตามคําสั่งของนายอาทิตย์ จึงเป็นการทํามิชอบด้วยหน้าที่ของตัวแทนทําให้ไม่ได้รับบําเหน็จใน ส่วนนี้เช่นกันตามมาตรา 818

สรุป

นายสดใสได้ทําการมิชอบด้วยหน้าที่ของตัวแทนในการประมูลภาพเลียนแบบ 1 ภาพ และ ภาพวาดที่ซื้อจากนางสาวแสงจันทร์อีก 2 ภาพ จึงไม่ได้รับบําเหน็จในส่วนนี้ แต่มีสิทธิได้รับบําเหน็จจากการประมูล ภาพวาดอีก 2 ภาพ เป็นเงิน 20,000 บาท

ข้อ 2 นายเอกเป็นผู้ผลิตรองเท้าวิ่งมาราธอนของตน รุ่น SEA-148 ได้ส่งมอบรองเท้าดังกล่าวจํานวน 100 คู่ ไปให้นายโทซึ่งประกอบกิจการห้างสรรพสินค้า “มิววอกกี้” โดยมีข้อตกลงกันว่าให้ขาย ในราคาคู่ละ 5,000 บาท หากขายรองเท้าได้จะให้บําเหน็จแก่นายโทคู่ละ 1,000 บาท และให้ สัญญานี้สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกําหนดสัญญานายโทแจ้งว่า รองเท้าจํานวน 10 คู่ เสียหายเนื่องจากถูกหนูกัด จึงไม่สามารถขายได้ และนายโทได้ขายรองเท้า ในราคา 4,500 บาท ไปจํานวน 10 คู่ ให้กับนายตรีซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของนายโท ให้ท่านวินิจฉัยว่า

ก สัญญาระหว่างนายเอกและนายโทเป็นสัญญาประเภทใด มีลักษณะสําคัญอย่างไร

ข ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในรองเท้าจํานวน 10 คู่ ที่ถูกหนูกัด จงอธิบาย

ค นายโทสามารถขายรองเท้าให้นายตรีจํานวน 10 คู่ ในราคาคู่ละ 4,500 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 659 วรรคสาม “ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จําต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขาย
หรืออาชีวะอย่างนั้น”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่น
ต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

มาตรา 839 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายเป็นราคาต่ําไปกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อ เป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้น ตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ”

มาตรา 842 วรรคหนึ่ง “เมื่อใดเขามอบหมายทรัพย์สินไว้แก่ตัวแทนค้าต่าง ท่านให้นําบทบัญญัติ ทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ลักษณะฝากทรัพย์มาใช้บังคับอนุโลมตามสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก การที่นายเอกซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าวิ่งมาราธอนของตนรุ่น SEA-148 ได้ส่งมอบรองเท้า ดังกล่าวจํานวน 100 คู่ ไปให้นายโทซึ่งประกอบกิจการห้างสรรพสินค้า “มิววอกกี้” โดยมีข้อตกลงกันว่าให้ขาย ในราคาคู่ละ 5,000 บาท หากขายรองเท้าได้จะให้บําเหน็จแก่นายโทคู่ละ 1,000 บาทนั้น สัญญาระหว่างนายเอก

และนายโทเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 833 ซึ่งเป็นสัญญาที่ตัวแทนค้าต่างทําการค้าขาย หรือประกอบ กิจการค้าอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ ทั้งนี้ ตัวการค้าต่างยังเป็นผู้มีสิทธิในสัญญาหรือต้องผูกพันตน ในสัญญาที่ทํากับบุคคลภายนอกด้วยตามมาตรา 837

ข. ตัวแทนค้าต่าง มีหน้าที่ในการใช้ความระมัดระวังในการดูแลรักษาทรัพย์สินในระดับ ผู้มีวิชาชีพตามมาตรา 842 ประกอบมาตรา 659 วรรคสาม ดังนั้น การที่นายโทเก็บรองเท้าไว้จึงต้องใช้ ความระมัดระวังในระดับผู้มีวิชาชีพการค้าขาย ซึ่งต้องเก็บรองเท้าไว้ให้ดีไม่ให้หนูเข้ามากัดทําลายสินค้าได้ แต่นายโทหาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นไม่ เมื่อรองเท้า 10 คู่เสียหายเนื่องจากถูกหนูกัดจึงไม่สามารถขายได้ นายโทจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรา 812

ค. การที่นายโทได้ขายรองเท้าให้แก่นายตรี 10 คู่ ในราคาคู่ละ 4,500 บาท ซึ่งต่ํากว่าราคาที่ ตัวการกําหนดนั้น ตามมาตรา 839 ได้กําหนดไว้ว่า หากตัวแทนรับใช้เศษที่ขาด ตัวการก็ต้องยอมรับการขาย ดังกล่าว ดังนั้น เมื่อนายโทขายรองเท้าให้นายตรีในราคา 4,500 บาท นายโทย่อมสามารถทําได้ แต่นายโทต้องใช้ ส่วนที่ขาดคู่ละ 500 บาท จํานวน 10 คู่ ให้แก่นายเอก หากนายโทไม่ยอมชดใช้ส่วนที่ขาด นายเอกย่อมสามารถ เรียกให้นายโทชดใช้ส่วนที่ขาดได้ตามมาตรา 812

สรุป
ก สัญญาระหว่างนายเอกและนายโทเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่าง
ข นายโทเป็นผู้รับผิดชอบในรองเท้าจํานวน 10 คู่ที่ถูกหนูกัด
ค นายโทสามารถขายรองเท้าให้นายตรีจํานวน 10 คู่ ในราคาคู่ละ 4,500 บาทได้ แต่นายโทต้องใช้ส่วนที่ขาดคู่ละ 500 บาทให้แก่นายเอก

ข้อ 3 นายปอ มอบหมายให้นายโป้งขายที่ดินพื้นที่ 50 ไร่ให้นายปอ ตกลงว่าจะให้บําเหน็จนายหน้า นายโป้งนําเสนอขายนายป้อ นายป้อตกลงซื้อ นายโป้งจึงนัดให้นายปอและนายป้อผู้ซื้อมาพบกัน และเข้าทําสัญญาต่อกัน แต่ภายหลังทําสัญญาการซื้อขายเลิกกันเนื่องจากนายป้อไม่มีเงินมาชําระ ค่าที่ดินส่วนที่เหลือ

ดังนี้ นายโป้งยังจะได้ค่าบําเหน็จนายหน้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

อีกกรณีหนึ่ง นายปอมอบหมายนายโป้งให้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้ และตกลงว่าจะให้ บําเหน็จนายหน้า นายโป้งได้นําข้อมูลไปนําเสนอเพื่อขายให้แก่นายป้อ นายป้อตกลงซื้อแต่มี เงื่อนไขบังคับก่อนว่า “ต้องมีน้ำประปาและไฟฟ้าเข้าถึงที่ดินที่กําลังทําสัญญาจะซื้อจะขายก่อน เมื่อมีน้ำประปาและไฟฟ้าเข้าถึงเมื่อใด การซื้อขายนี้จึงจะสมบูรณ์

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางโป้งจะได้ค่านายหน้าหรือไม่ และเมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทํา สัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญาซึ่ง บุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ
ค่าบําเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่สัญญาที่ทํานั้น เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน กฎหมายห้ามมิให้มีการ เรียกค่านายหน้าจนกว่าเงื่อนไขนั้นจะสําเร็จแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีที่ 1 การที่นายปอมอบหมายให้นายโป้งขายที่ดินพื้นที่ 50 ไร่ให้นายปอ โดยตกลงว่าจะให้ บําเหน็จนายหน้านั้น เมื่อปรากฏว่านายโป้งนําเสนอขายนายป้อ นายป้อตกลงซื้อ นายโป้งจึงนัดหมายให้นายปอ และนายป้อผู้ซื้อมาพบกัน และเข้าทําสัญญากัน ดังนี้ ถือว่านายโป้งได้ทําหน้าที่ของตนในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว แม้ต่อมาภายหลังทําสัญญาการซื้อขายเลิกกันเนื่องจากนายป้อไม่มีเงินมาชําระค่าที่ดินส่วนที่เหลือก็ตาม นายโป้ง ก็ยังจะได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าอยู่ตามมาตรา 845 ประกอบคําพิพากษาฎีกาที่ 517/2494

กรณีที่ 2 การที่นายปอมอบหมายนายโป้งให้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้ และตกลงว่าจะให้ บําเหน็จนายหน้า นายโป้งได้นําข้อมูลไปนําเสนอเพื่อขายให้แก่นายป้อ นายป้อตกลงซื้อ แต่มีเงื่อนไขบังคับก่อนว่า “ต้องมีน้ำประปาและไฟฟ้าเข้าถึงที่ดินที่กําลังทําสัญญาจะซื้อจะขายก่อน เมื่อมีน้ำประปาและไฟฟ้าเข้าถึงเมื่อใด การซื้อขายนี้จึงจะสมบูรณ์นั้น กรณีนี้ แม้ว่านายปอและนายป้อจะได้เข้าทําสัญญาซื้อขายกันแล้วก็ตาม แต่เมื่อ สัญญาซื้อขายนั้นมีเงื่อนไขบังคับก่อน นายโป้งจึงยังไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้า นายโป้งจะได้รับค่านายหน้า ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนนั้นสําเร็จแล้ว คือ ที่ดินแปลงนั้นมีน้ำประปาและไฟฟ้าเข้าถึงแล้ว ซึ่งจะมีผลทําให้ สัญญาซื้อขายนั้นมีผลสมบูรณ์

สรุป
กรณีที่ 1 นายโป้งยังจะได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า
กรณีที่ 2 นายโป้งยังไม่ได้รับค่านายหน้า จะได้รับค่านายหน้าก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อน ที่กําหนดไว้ในสัญญาซื้อขายนั้นสําเร็จแล้ว

 

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2111 (LAW 2011) ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นางสาวแสงดาวทําหลักฐานเป็นหนังสือมอบหมายให้นายแสงตะวัน อายุ 15 ปี ไปลงลายมือชื่อ ในสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้าแทนตน นายแสงตะวันไปทําสัญญาตามคําสั่งและ รับรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้ามาหนึ่งคัน เมื่อนางสายหยุดมารดาของนายแสงตะวันทราบ จึงบอกล้างนิติกรรมการเป็นตัวแทน ดังนี้ นางสาวแสงดาวต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ ให้นายสายฟ้าหรือไม่ จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อ กิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง
มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 799 “ตัวการคนใดใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทน ท่านว่าตัวการคนนั้นย่อมต้อง ผูกพันในกิจการที่ตัวแทนกระทํา”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวแสงดาวทําหลักฐานเป็นหนังสือมอบหมายให้นายแสงตะวัน อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์และเป็นบุคคลไร้ความสามารถเป็นตัวแทนไปลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ จากนายสายฟ้าแทนตนนั้น เป็นการมอบอํานาจที่ถูกต้องตามมาตรา 798 วรรคสอง และมาตรา 799 ดังนั้น นายแสงตะวันจึงมีอํานาจทําสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้าแทนนางสาวแสงดาวได้

เมื่อนายแสงตะวันได้ทําสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ตามคําสั่งและรับรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้ามาหนึ่งคัน จึงถือเป็นกิจการที่นายแสงตะวันตัวแทนได้ทําไปภายในขอบอํานาจของการเป็นตัวแทนย่อมมีผลทําให้ นางสาวแสงดาวต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกคือต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสายฟ้าตามมาตรา 820 แม้ว่านางสายหยุดมารดาของนายแสงตะวันทราบและได้บอกล้างนิติกรรมการเป็นตัวแทนของนายแสงตะวันแล้ว ก็ตาม นางสาวแสงดาวก็ยังคงต้องรับผิดชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสายฟ้าเนื่องจากการที่ตนได้ใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทนตามมาตรา 799

สรุป นางสาวแสงดาวต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้นายสายฟ้า

ข้อ 2 นาย B ประกอบอาชีพซื้อขายรถยนต์มือสอง ซึ่งนาย A ตกลงให้นาย B เป็นตัวแทนค้าต่างในการขายรถยนต์ Mercedes Benz รุ่น E200 Coupe ปี 2012 ของตน โดยบอกให้ขายในราคา 1,200,000 บาท ต่อมานาย C ได้ติดต่อนาย B ขอซื้อรถยนต์คันดังกล่าวในราคา 1,180,000 บาท ซึ่งนาย B ได้ตกลงขายให้ตามราคาที่นาย C ขอซื้อ แต่นาย C ตกลงจะจ่ายค่ารถยนต์ให้ภายหลัง รับมอบรถยนต์ดังกล่าว 1 อาทิตย์ โดยเงินจํานวนที่เหลือ 20,000 บาทนั้น นาย B จะจ่ายให้นาย A จนครบตามราคาที่นาย A กําหนด แต่เมื่อครบกําหนดจ่ายค่ารถยนต์ นาย C ไม่มีเงินจ่าย นาย A จึงเรียกให้นาย B จ่ายค่ารถยนต์แทนเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,200,000 บาท นาย B ปฏิเสธโดย อ้างว่านาย A ต้องเรียกให้นาย C จ่ายค่ารถยนต์ 1,180,000 บาทเอง พร้อมกันนั้นนาย B ได้เรียก ค่าบําเหน็จจากนาย A ด้วย นาย A จึงอ้างว่านาย B ขายรถยนต์ไปในราคาต่ำกว่าที่ตนกําหนด การขายรถยนต์คันดังกล่าวจึงไม่ผูกพันตนประเด็นหนึ่ง จึงปฏิเสธที่จะจ่ายค่าบําเหน็จ โดยอ้างว่า ไม่ได้ตกลงเรื่องบําเหน็จไว้ก่อนอีกประเด็นหนึ่ง

ให้นักศึกษาวินิจฉัย ข้อเรียกร้องและข้ออ้างของนาย A ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 834 “ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างชอบที่จะได้รับบําเหน็จ โดยอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายอันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไป”

มาตรา 838 “ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการ เพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกําหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน
หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น”

มาตรา 839 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายเป็นราคาต่ําไปกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อ เป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้น ตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย A ตกลงให้นาย B เป็นตัวแทนค้าต่างในการขายรถยนต์ Mercedes Benz รุ่น E200 Coupe ปี 2012 ของตน โดยบอกให้ขายในราคา 1,200,000 บาท ต่อมานาย C ได้ติดต่อนาย B ขอซื้อรถยนต์คันดังกล่าวในราคา 1,180,000 บาท ซึ่งนาย B ได้ตกลงขายในราคาที่นาย C ขอซื้อ แต่นาย C ตกลง จะจ่ายค่ารถยนต์ให้ภายหลังรับมอบรถยนต์ 1 อาทิตย์ โดยเงินที่เหลือ 20,000 บาทนั้น นาย B จะจ่ายให้นาย A จนครบตามราคาที่นาย A กําหนดนั้น เป็นกรณีที่นาย 8 ตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายเป็นราคาต่ํากว่าที่นาย A ตัวการกําหนด แต่เมื่อนาย B ตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดไป 20,000 บาทแล้ว ย่อมถือว่าการขายรถยนต์นั้น นาย A ตัวการต้องผูกพันรับขาย ตามมาตรา 839

เมื่อครบกําหนดจ่ายค่ารถยนต์ นาย C ไม่มีเงินจ่าย นาย A จึงเรียกให้นาย B จ่ายค่ารถยนต์แทน เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 1,200,000 บาท แต่นาย B ปฏิเสธโดยอ้างว่านาย A ต้องเรียกให้นาย C จ่ายค่ารถยนต์ 1,180,000 บาทเองนั้น นาย B สามารถอ้างได้ตามมาตรา 838 ซึ่งวางหลักไว้ว่า ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ ตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ ดังนั้น นาย B จึงไม่ต้องรับผิดต่อนาย A ในการชําระหนี้แทนนาย C

การที่นาย B เรียกค่าบําเหน็จจากนาย A แต่นาย A ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าบําเหน็จโดยอ้างว่าไม่ได้ตกลง เรื่องบําเหน็จไว้ก่อนนั้น นาย A ย่อมไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้จะมิได้ตกลงกันไว้ว่ามีบําเหน็จ ตัวแทนค้าต่างก็ชอบที่จะ ได้รับบําเหน็จ โดยอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายอันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไปตามมาตรา 834

สรุป นาย B ตัวแทนค้าต่างไม่ต้องรับผิดต่อนาย A ในการชําระหนี้แทนนาย C และนาย B ชอบที่จะได้รับบําเหน็จตอบแทน ส่วนข้อเรียกร้องและข้ออ้างของนาย A ฟังไม่ขึ้น

ข้อ 3 นายเอกต้องการขายอาคารพาณิชย์ 4 ชั้นของตนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในราคา 10 ล้านบาท จึงได้ติดป้ายประกาศขายไว้ทั่วเมืองหาดใหญ่ นายโทเห็นป้ายประกาศขาย อาคารพาณิชย์ดังกล่าว เห็นว่ามีราคาไม่แพงเพราะอยู่ในตัวเมือง ในวันเดียวกันนายโทจึงไปพา นายตรีซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจผู้จัดจําหน่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ไปหานายเอก และช่วยในการประสานงานเป็นอย่างดี จนกระทั้งนายตรีทําสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์ดังกล่าวกับนายเอก โดยนายตรีวางเงินมัดจําไว้ 1 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะชําระในวันโอนกรรมสิทธิ์ วันต่อมา นายโทจึงไปเรียกบําเหน็จนายหน้า 3% จากนายเอก

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายโทมีสิทธิได้รับบําเหน็จ 3% จากนายเอกหรือไม่ เพราเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทํา สัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคหนึ่ง “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้ กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมาย แก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการ มอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับบําเหน็จ หรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 845 หรือมีสัญญาต่อกัน โดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มี สัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้ว่าสัญญาซื้อขายอาคารพาณิชย์ระหว่างนายเอกกับนายตรีจะได้เกิดขึ้นจาก การชี้ช่องและจัดการของนายโทก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกไม่เคยตกลงให้นายโทเป็นนายหน้า ขายอาคารพาณิชย์ของตนตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะการตกลงตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่าบําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้นายเอกยังไม่ได้มอบหมายให้นายโทเป็นนายหน้าแต่อย่างใด
ดังนั้น นายโทจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า 3% จากนายเอก

สรุป นายโทไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จนายหน้า 3% จากนายเอก

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายพร้อมมอบหมายด้วยวาจาให้นายหมากไปซื้อรถยนต์จากนางสาวชะเอมแทนตน ตกลงให้บําเหน็จ 5,000 บาท นายหมากได้ชําระเงินค่ารถยนต์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 จํานวน 500,000 บาท ซึ่งเป็นวันทําสัญญาและตกลงให้มีการส่งมอบรถยนต์ให้นายพร้อมในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 นางสาวชะเอมเห็นว่านายหมากต้องไปพบนายพร้อมเพื่อรับบําเหน็จอยู่แล้ว จึงมอบหมายให้นายหมากนํารถยนต์ไปส่งมอบให้นายพร้อมแทนตน และได้มอบรถยนต์คันดังกล่าว ให้นายหมากไปในวันทําสัญญา โดยนางสาวชะเอมและนายหมากไม่ได้แจ้งให้นายพร้อมทราบ ดังนี้ หากนายหมากนํารถยนต์ไปส่งมอบ นายหมากจะมีสิทธิได้บําเหน็จจากนายพร้อมหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 797 “อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่งเรียกว่าตัวแทน มีอํานาจทําการ แทนบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าตัวการ และตกลงจะทําการดังนั้น

อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดยตั้งแต่แสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ย่อมได้”

มาตรา 805 “ตัวแทนนั้น เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าทํานิติกรรมอันใดในนาม ของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่นิติกรรมนั้น
มีเฉพาะแต่การชําระหนี้”

มาตรา 818 “การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทํามิชอบในส่วนนั้น ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บําเหน็จ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพร้อมมอบหมายด้วยวาจาให้นายหมากไปซื้อรถยนต์จากนางสาวชะเอม แทนตน ตกลงให้บําเหน็จ 5,000 บาท และนายหมากได้นําเงินไปชําระค่ารถยนต์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 จํานวน 500,000 บาท ซึ่งเป็นวันทําสัญญานั้น ถือว่านายหมากได้กระทําการไปในขอบอํานาจของตัวแทนตาม มาตรา 797 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนายหมากได้ไปซื้อรถยนต์ตามคําสั่งของนายพร้อมตัวการ จึงเป็นการกระทําที่ชอบ ด้วยหน้าที่ของตัวแทน ดังนั้น นายหมากจึงมีสิทธิได้รับบําเหน็จ 5,000 บาทตามข้อตกลง แม้ว่าจากข้อเท็จจริงนายหมากจะรับเป็นตัวแทนของนางสาวชะเอมในการนํารถยนต์ไปส่งมอบให้นายพร้อมโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายพร้อมซึ่งเป็นตัวการก็ตาม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทําที่มิชอบด้วยหน้าที่ของการเป็นตัวแทนตามมาตรา 805 และมาตรา 818 แต่อย่างใด เพราะนายหมากเพียงทําหน้าที่ตัวแทนของนางสาวชะเอมในการนํารถยนต์ไปส่งมอบ อันเป็นการชําระหนี้เท่านั้น
สรุป นายหมากมีสิทธิได้รับบําเหน็จจากนายพร้อม

ข้อ 2 นายต่อประกอบกิจการขายสินค้าเกี่ยวกับความงาม นายวอกนําครีมบํารุงผิว 100 ขวดที่ตนผลิต มาฝากให้นายต่อทําการขายให้ในราคาขวดละ 200 บาท ปรากฏว่านายต่อไม่ได้เก็บรักษาครีม บํารุงผิวดังกล่าวอย่างเหมาะสม โดยนําไปวางจําหน่ายตากแดดเป็นเวลาหลายวัน ต่อมานางสมร ได้ทําการซื้อครีมบํารุงผิวดังกล่าวไปจํานวน 10 ขวด ชําระราคา 2,000 บาท ข้อเท็จจริงปรากฏ ต่อมาว่าหลังจากใช้ครีมได้ 1 วัน นางสมรมีอาการแพ้อย่างรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เสียค่ารักษา 20,000 บาท ผลการตรวจสอบคุณภาพพบว่าครีมบํารุงผิวดังกล่าวเสื่อมสภาพจากการตากแดดเป็นเวลานานสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ นางสมรจึงนําครีมบํารุงผิว ทั้งหมดมาคืนนายต่อและเรียกเงินคืน 2,000 บาท และเรียกร้องให้นายต่อรับผิดชดใช้ค่ารักษา พยาบาลจํานวน 20,000 บาทแก่ตน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยตามกฎหมายตัวแทนว่า นายต่อมีความรับผิดต่อนางสมรอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 659 วรรคสาม “ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะ
อย่างหนึ่งอย่างใดก็จําต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้
ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

มาตรา 842 วรรคหนึ่ง “เมื่อใดเขามอบหมายทรัพย์สินไว้แก่ตัวแทนค้าต่าง ท่านให้นําบทบัญญัติ ทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ลักษณะฝากทรัพย์มาใช้บังคับอนุโลมตามสมควร”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 837 ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อม ต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิฟ้องร้อง ตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต่อประกอบกิจการขายสินค้าเกี่ยวกับความงาม และนายวอก ได้นําครีมบํารุงผิว 100 ขวดที่ตนผลิตมาฝากให้นายต่อทําการขายให้ในราคาขวดละ 200 บาทนั้น ถือว่านายต่อ เป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 833 ซึ่งการเป็นตัวแทนค้าต่างของนายต่อดังกล่าวนี้ นายต่อจะต้องใช้ความสามารถ ในกิจการค้าขายและต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแลทรัพย์สินของตัวการตามมาตรฐานที่กฎหมายได้กําหนดไว้ ตามมาตรา 842 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 659 วรรคสาม กล่าวคือ จะดูแลรักษาทรัพย์สินของตัวการอย่าง ผู้มีอาชีพจะดูแลรักษาเพียงเท่ากับทรัพย์สินของตนเองหาได้ไม่ แต่จะต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่ เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายเช่นนั้น

การที่นายต่อไม่ได้เก็บรักษาครีมบํารุงผิวดังกล่าวอย่างเหมาะสม โดยนําไปวางจําหน่ายตากแดดเป็นเวลาหลายวัน ย่อมถือได้ว่านายต่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควร จะต้องใช้ในกิจการค้าขายเช่นนั้นตามมาตรา 842 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 659 วรรคสาม ดังนั้น เมื่อนางสมร ได้ทําการซื้อครีมบํารุงผิวดังกล่าวไปใช้จํานวน 10 ขวด เป็นเงิน 2,000 บาท และมีอาการแพ้อย่างรุนแรงจนต้อง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เสียค่ารักษา 20,000 บาท เนื่องจากครีมบํารุงผิวดังกล่าวเสื่อมคุณภาพจากการตากแดด เป็นเวลานาน เมื่อนางสมรนําครีมบํารุงผิวทั้งหมดมาคืนนายต่อและเรียกเงินคืน 2,000 บาท และเรียกร้องให้ นายต่อรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจํานวน 20,000 บาทแก่ตน นายต่อจึงมีหน้าที่จะต้องรับคืนครีมบํารุงผิวและ คืนเงินแก่นางสมร 2,000 บาท ตามมาตรา 837 และจะต้องรับผิดในการชดใช้ค่ารักษาพยาบาลแก่นางสมร เพราะไม่ได้เก็บรักษาครีมบํารุงผิวที่นายวอกนํามาฝากขายอย่างเหมาะสมทําให้นางสมรได้รับอันตรายจากการใช้ ครีมบํารุงผิวตามมาตรา 842 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 659 วรรคสาม

สรุป นายต่อมีความรับผิดต่อนางสมรคือจะต้องรับคืนครีมบํารุงผิวและคืนเงินแก่นางสมร 2,000 บาท และจะต้องรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลแก่นางสมรจํานวน 20,000 บาท

ข้อ 3 นายเอกต้องการขายที่ดิน 4 ไร่ ติดถนนใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ราคา 30,000,000 บาท นายเอก ติดต่อให้นายโทซึ่งทําธุรกิจด้านการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เป็นนายหน้าให้ นายโทตกลงเป็น นายหน้าให้นายเอกในอัตราบําเหน็จร้อยละ 5 ต่อมานายโทได้นํานายตรีมาดูที่ดินและพบนายเอก นายตรีชอบที่ดินดังกล่าวมากและต้องการทําสัญญาจะซื้อจะขายทันที แต่นายเอกเมื่อเห็นว่า นายตรีชอบที่ดินของตนมากจึงปฏิเสธไม่ขายที่ดินให้ อย่างไรก็ตาม 2 สัปดาห์ต่อมา นายเอก แอบติดต่อและนัดหมายกับนายตรีเพื่อขายที่ดินให้โดยไม่ให้นายโททราบ สุดท้ายนายเอกและ นายตรีได้ทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อนายโททราบการทําสัญญา จะซื้อจะขายดังกล่าวจึงมาเรียกค่านายหน้าจากนายเอก

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโทมีสิทธิที่จะได้รับค่านายหน้าจากนายเอกหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ท่าสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้น ได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไข เป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกต้องการขายที่ดิน 4 ไร่ ราคา 30,000,000 บาท โดยได้ติดต่อ นายโทให้เป็นนายหน้าให้ และนายโทตกลงเป็นนายหน้าให้นายเอกในอัตราบําเหน็จร้อยละ 5 นั้น เมื่อนายโท ได้ตกลงเป็นนายหน้าให้นายเอกย่อมถือว่าสัญญานายหน้าได้เกิดขึ้นแล้วตามมาตรา 845

การที่นายโทได้นํานายตรีมาดูที่ดินและพบนายเอก และนายตรีชอบที่ดินดังกล่าวมากและต้องการทําสัญญาจะซื้อจะขายทันทีนั้น ถือว่าเป็นการชี้ช่องหรือจัดการให้ได้เข้าทําสัญญาแล้ว แม้นายเอกจะยังไม่ได้ทํา สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันในครั้งแรก แต่หลังจากนั้นต่อมาอีก 2 สัปดาห์ นายเอกได้แอบติดต่อและนัดหมาย กับนายตรีเพื่อจะขายที่ดินให้โดยไม่ให้นายโททราบ สุดท้ายนายเอกและนายตรีได้ทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน จนเสร็จเรียบร้อย ดังนั้น นายโทจึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากนายเอก เพราะการจะซื้อจะขายดังกล่าวเป็นผล สืบเนื่องมาจากการชี้ช่องหรือจัดการให้ได้เข้าทําสัญญาของนายโท ซึ่งหากนายโทไม่ได้นํานายตรีมาพบนายเอก สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวก็คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

สรุป นายโทมีสิทธิที่จะได้รับค่านายหน้าจากนายเอก

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายบะหมี่มอบอํานาจให้นายเกี๊ยวเป็นหนังสือ ระบุในหนังสือมอบอํานาจให้ดูแลกิจการร้านค้า สะดวกซื้อทั้ง 7 สาขาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายเกี๊ยวปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นเดือนเมษายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โรคโควิด 19 กําลังระบาดหนัก นายเกี๊ยว ร้อนเงินจึงแอบนําเงินที่ได้จากการขายสินค้าของทางร้านฯ ไปใช้จ่ายส่วนตัว โดยไม่บอกกล่าวให้ นายบะหมี่หรือพนักงานคนอื่น ๆ ทราบ

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเกี๊ยวทําผิดหน้าที่ของตัวแทนอย่างไร และหากนายเกี๊ยวอ้างว่ากระทําไป เพราะมีเหตุฉุกเฉิน คือ โรคโควิด 19 จะสามารถอ้างได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 801 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจทั่วไป ท่านว่าจะทํากิจใด ๆ ในทางจัดการแทนตัวการ ก็ย่อมทําได้ทุกอย่าง….”

มาตรา 802 “ในเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ตัวแทนจะทําการใด ๆ เช่นอย่างวิญญูชนจะพึงกระทํา ก็ย่อมมีอํานาจจะทําได้ทั้งสิ้น”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการนั้น ไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบะหมี่มอบอํานาจให้นายเกี๊ยวเป็นหนังสือ โดยระบุในหนังสือมอบอํานาจ ให้ดูแลกิจการร้านค้าสะดวกซื้อทั้ง 7 สาขาในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ถือว่าเป็นการมอบอํานาจในฐานะตัวแทน รับมอบอํานาจทั่วไปตามมาตรา 801 ดังนั้น นายเกี๊ยวย่อมมีอํานาจกระทํากิจการใด ๆ แทนตัวการได้ทุกอย่าง เว้นแต่กิจการที่ระบุไว้ในมาตรา 801 (1) – (6) ที่นายเกี๊ยวจะกระทํามิได้

การที่นายเกี๊ยวร้อนเงินเนื่องจากเป็นช่วงที่โรคโควิด 19 กําลังระบาดหนัก ได้แอบนําเงินที่ได้จาก การขายสินค้าของทางร้านฯ ไปใช้จ่ายส่วนตัวโดยไม่บอกกล่าวให้นายบะหมี่หรือพนักงานคนอื่น ๆ ทราบนั้น ถือว่า นายเกี๊ยวได้กระทําผิดหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 810 และมาตรา 811 คือไม่นําเงินที่ได้จากการขายสินค้าของทางร้านฯ ส่งมอบให้แก่นายบะหมี่ตัวการ แต่ได้เอาเงินดังกล่าวไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้น นายเกี่ยวจึงต้องรับผิดชอบคืนเงินจํานวนดังกล่าวให้แก่นายบะหมี่พร้อมทั้งต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

ส่วนการที่นายเกี๊ยวจะอ้างว่าได้กระทําไปเพราะมีเหตุฉุกเฉิน คือ โรคโควิด 19 นั้น นายเกี๊ยวไม่สามารถอ้างได้ เพราะกรณีที่ตัวแทนจะทําการใด ๆ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินได้นั้น จะต้องเป็นการกระทําเพื่อที่จะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหายตามมาตรา 802 เท่านั้น แต่กรณีของนายเกี๊ยวนั้นเป็นเรื่องที่นายเกี๊ยวได้นําเงิน ของตัวการไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 802 ดังนั้น นายเกี๊ยวจึงไม่สามารถอ้างว่า ได้กระทําไปเพราะมีเหตุฉุกเฉินได้

สรุป นายเกี๊ยวได้ทําผิดหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 810 และมาตรา 811 และไม่สามารถอ้าง ว่าได้กระทําไปเพราะมีเหตุฉุกเฉินตามมาตรา 802 ได้

ข้อ 2 นายสุขเป็นนักเขียนชื่อดัง ได้เขียนนิยายเรื่อง “รอยน้ําตาหน้าประมวล” และได้นํานิยายดังกล่าว มาฝากขายที่ร้านขายหนังสือของนายเรืองจํานวน 500 เล่ม ราคาขายเล่มละ 200 บาท ในสัญญา ค้าต่างระบุว่าให้นายเรืองมีอํานาจขายนิยายเรื่องนี้ได้ตามปกติแห่งกิจการทางการค้าของตน แต่ไม่ได้ตกลงกันว่าจะให้บําเหน็จจากการขายเท่าใด ในขณะเดียวกันนายสุขตกลงให้บําเหน็จจาก การขายนิยายของตนแก่ร้านขายหนังสืออื่น ๆ ที่เล่มละ 20 บาท ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแสง ลูกค้าซึ่งซื้อเชื่อหนังสือที่ร้านเป็นประจํา ได้ทําการซื้อนิยายดังกล่าวเป็นจํานวน 100 เล่ม วางมัดจํา ไว้ 5,000 บาท ตกลงว่าจะชําระราคาทั้งหมดในวันที่ 23 มิถุนายน 2563 แต่เมื่อถึงวันนัดนายแสง ไม่ชําระราคาค่าหนังสือตามที่ตกลงกันไว้ นายสุขทราบถึงการผิดนัดชําระหนี้ดังกล่าวจึงเรียกให้ นายเรืองชําระค่านิยายทั้งหมดแก่ตนในทันที พร้อมยกข้อต่อสู้ว่านายเรืองทําการขายเชื่อนิยายของตนไปโดยไม่ได้รับความยินยอม ตนไม่จําต้องจ่ายบําเหน็จแก่นายเรือง

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายสุขสามารถเรียกให้นายเรื่องชําระค่าหนังสือทั้งหมดที่นายแสงผิดนัดชําระหนี้ได้หรือไม่ และข้อต่อสู้ของนายสุขที่อ้างเพื่อปฏิเสธการจ่ายบําเหน็จแก่นายเรืองฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) หากข้อต่อสู้ของนายสุขฟังไม่ขึ้น นายสุขจะต้องจ่ายบําเหน็จต่อนายเรืองเป็นจํานวนเงินเท่าใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 834 “ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างชอบที่จะได้รับบําเหน็จ โดยอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายอันตนได้จัดการให้ตกลงไปนั้นทุกรายไป

มาตรา 838 “ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการ เพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกําหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกัน
หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น

อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษ”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุขได้นํานิยายเรื่อง “รอยน้ําตาหน้าประมวล” มาฝากขาย ที่ร้านขายหนังสือของนายเรืองจํานวน 500 เล่ม ราคาเล่มละ 200 บาท และในสัญญาค้าต่างระบุว่าให้นายเรือง มีอํานาจขายนิยายเรื่องนี้ได้ตามปกติแห่งกิจการทางการค้าของตนนั้น ถือว่านายเรืองเป็นตัวแทนค้าต่างตาม มาตรา 833 และมีอํานาจที่จะขายนิยายดังกล่าวได้ตามปกติแห่งกิจการทางการค้าของตน เมื่อนายเรืองได้ขายเชื่อ นิยายดังกล่าวให้แก่นายแสงลูกค้าจํานวน 100 เล่ม โดยนายแสงวางมัดจําไว้ 5,000 บาทนั้น นายเรื่องย่อมสามารถ ทําได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนายสุขเพราะการขายเชื่อนั้นถือเป็นการขายตามปกติแห่งกิจการทางการค้า ของนายเรือง นายสุขจะยกข้อต่อสู้กรณีนี้เพื่อปฏิเสธการจ่ายบําเหน็จแก่นายเรืองไม่ได้

เมื่อถึงกําหนดวันนัด นายแสงไม่ชําระราคาค่าหนังสือส่วนที่เหลือ เมื่อนายสุขทราบถึง การผิดนัดชําระหนี้ดังกล่าวจึงเรียกให้นายเรื่องชําระค่านิยายทั้งหมดแก่ตนทันทีนั้น นายสุขไม่สามารถทําได้ เนื่องจากการที่นายแสงซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ให้แก่นายเรืองซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างนั้น นายเรือง หาต้องรับผิดต่อนายสุขตัวการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง อีกทั้งนายเรื่องก็ไม่ได้ตกลงกับ นายสุขไว้ว่าตนจะรับผิดโดยฐานเป็นตัวแทนฐานประกันตามมาตรา 838 วรรคสองแต่อย่างใด

(ข) กรณีที่ในสัญญาค้าต่างไม่ได้ตกลงกันว่าจะให้บําเหน็จจากการขายหนังสือแก่นายเรืองเท่าใดนั้น
นายเรื่องย่อมมีสิทธิที่จะได้รับบําเหน็จโดยอัตราตามธรรมเนียมเพื่อกิจการค้าขายอันตนได้จัดการไปตามมาตรา 834 โดยนายสุขจะต้องจ่ายบําเหน็จให้แก่นายเรืองต่อการขาย 20 บาทต่อเล่ม รวมเป็นเงิน 2,000 บาท

สรุป

(ก) นายสุขไม่สามารถเรียกให้นายเรื่องชําระค่าหนังสือทั้งหมดที่นายแสงผิดนัดชําระหนี้ได้ และจะยกข้อต่อสู้ดังกล่าวเพื่อปฏิเสธการจ่ายบําเหน็จแก่นายเรืองไม่ได้

(ข) นายสุขจะต้องจ่ายบําเหน็จให้แก่นายเรืองเป็นจํานวนเงิน 2,000 บาท

ข้อ 3 นายแดงต้องการขายที่ดิน 1 แปลงราคา 8 ล้านบาท จึงบอกนายดําให้ช่วยหาผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินของตน โดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จแก่นายดํา 5% จากราคาขาย นายดําวานให้นายฟ้าเพื่อนสนิท ของตนโพสต์ Facebook ของนายฟ้าประกาศหาผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว หลังจากที่ นายฟ้าทําการโพสต์ Facebook ได้ไม่นานนายสุดจึงเห็นประกาศขายที่ดินดังกล่าว จึงเดินทางไปพบ นายแดง ต่อมาทั้งคู่ตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงดังกล่าว แต่พอถึงวันนัดทําสัญญาซื้อขาย นายสดไม่มาตามนัด ต่อมานายดําเรียกร้องค่าบําเหน็จนายหน้าจากนายแดง แต่นายแดงปฏิเสธ โดยอ้างว่านายดํามิได้กระทําการชี้ช่องด้วยตนเองประการหนึ่ง และการซื้อขายที่ดินดังกล่าวกระทําไม่สําเร็จอีกประการหนึ่ง นายดําไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างแห่งการปฏิเสธของนายแดงทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทํากันสําเร็จ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงต้องการขายที่ดิน 1 แปลงราคา 8 ล้านบาท จึงบอกนายดํา ให้ช่วยหาผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินของตน โดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จแก่นายดํา 5% จากราคาขายนั้น ย่อมถือว่า นายดําเป็นนายหน้าของนายแดงตามมาตรา 845 มีหน้าที่ในการชี้ช่องหรือจัดการให้นายแดงและบุคคลภายนอก
ได้ทําสัญญากัน ซึ่งในการชี้ช่องนั้นมิได้มีกฎหมายบังคับว่านายหน้าจะต้องกระทําการชี้ช่องด้วยตนเอง แม้จะเป็น การวานให้ผู้อื่นทําการชี้ช่องให้ก็ถือว่าเป็นการชี้ช่องตามหน้าที่ของนายหน้าเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่นายดําวานให้ นายฟ้าเพื่อนสนิทของตนโพสต์ Facebook ของนายฟ้าประกาศหาผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินจึงถือว่าเป็นการชี้ช่องแล้ว และเมื่อนายสดเห็นประกาศขายที่ดิน และเดินทางไปพบนายแดงจนตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน ย่อมถือว่า หน้าที่ในการชี้ช่องของนายดําสมบูรณ์แล้ว และให้ถือว่าผลสําเร็จแห่งสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างนายแดงและนายสดนั้นเกิดจากการชี้ช่องของนายดํา แม้ต่อมานายสุดจะผิดนัดในวันนัดทําสัญญาซื้อขายก็ตาม ก็เป็นเรื่อง การผิดสัญญาระหว่างนายแดงกับนายสด ซึ่งไม่กระทบต่อสิทธิในการรับบําเหน็จนายหน้าของนายดําแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อนายดําเรียกร้องค่าบําเหน็จนายหน้าจากนายแดง แต่นายแดงปฏิเสธโดยอ้างว่านายดํา มิได้กระทําการชี้ช่องด้วยตนเองประการหนึ่ง และการซื้อขายที่ดินดังกล่าวกระทําไม่สําเร็จอีกประการหนึ่ง นายดํา จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้านั้น ข้ออ้างแห่งการปฏิเสธของนายแดงทั้งสองประการจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างแห่งการปฏิเสธของนายแดงทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น

 

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายชัยนํานาฬิกาข้อมือเก่าซึ่งอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานไปทําการซ่อมแซมให้เหมือนว่าเป็น นาฬิกาใหม่ และตั้งนายเรืองเป็นตัวแทนโดยบอกกล่าวด้วยวาจาให้นํานาฬิกาเรือนดังกล่าวไปขายที่ร้านของนายรุ่งในราคา 1 แสนบาท แต่นายชัยกลัวว่านายรุ่งจะไม่รับซื้อนาฬิกาของตน เพราะตนเคยนํานาฬิกาปลอมไปหลอกขายมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงบอกกับนายเรื่องว่าให้นํานาฬิกาเรือนดังกล่าวไปขายในนามของนายเรืองเองเลยโดยไม่ต้องเปิดเผยถึงตน นายเรืองกระทําการดังกล่าวด้วยความสุจริตเข้าใจว่านาฬิกานั้นเป็นของใหม่ และนําไปขายที่ร้านของนายรุ่ง หลังจาก รับซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวได้สองวัน นายรุ่งตรวจสอบพบว่านาฬิกาเป็นของเก่าไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และสืบทราบว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวเป็นของนายชัย นายรุ่งจึงใช้สิทธิเรียกร้องต่อนายชัยในการบอกล้างกลฉ้อฉลที่นายชัยนํานาฬิกาข้อมือเก่าซึ่งอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งาน มาหลอกขายแก่ตน แต่นายชัยปฏิเสธโดยอ้างว่าการซื้อขายนาฬิกาดังกล่าวเกิดจากสัญญาซื้อขา ระหว่างนายรุ่งกับนายเรือง ประกอบกับไม่มีหลักฐานว่าตนเป็นตัวการของนายเรื่อง ตนไม่ต้องรับผิดแต่ประการใด

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยตามกฎหมายตัวแทนว่า ข้ออ้างของนายชัยฟังขึ้นหรือไม่ และนายรุ่งจะเรียก ให้ใครรับผิดต่อตนได้ ระหว่างนายชัยกับนายเรือง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อ กิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้แต่เพียง
ในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 806 “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่
รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชัยได้ตั้งนายเรืองเป็นตัวแทนให้นํานาฬิกาข้อมือของตนไปขาย ที่ร้านของนายรุ่งในราคา 1 แสนบาท โดยกําหนดเงื่อนไขให้นายเรืองนํานาฬิกาเรือนดังกล่าวไปขายในนามของ

นายเรืองเองเลยโดยไม่ต้องเปิดเผยถึงตนนั้น ถือว่านายชัยได้มอบอํานาจให้นายเรืองเป็นตัวแทนรับมอบอํานาจ แต่เฉพาะการตามมาตรา 800 และการที่นายชัยมีเจตนาปกปิดตนเองจึงถือว่าเป็นเรื่องของตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ตามมาตรา 806 จึงส่งผลให้นายเรื่องตัวแทนจะต้องเข้าผูกพันรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเองเสมือนหนึ่งว่า ตนเป็นตัวการเสียเอง ดังนั้น แม้กิจการที่นายเรืองไปกระทําคือนํานาฬิกาซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ไปขายในราคา 1 แสนบาทนั้น ตามกฎหมายบังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการดังกล่าวก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วยก็ตาม แต่ในเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 นั้น ถือเป็นข้อยกเว้นของ มาตรา 798 ดังนั้น การที่นายชัยตั้งให้นายเรืองเป็นตัวแทนไปกระทําการดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ และเมื่อ นายเรืองได้ทําการขายนาฬิกาเรือนดังกล่าวที่ร้านของนายรุ่งด้วยความสุจริตเข้าใจว่านาฬิกานั้นเป็นของใหม่สัญญา ซื้อขายจึงมีผลสมบูรณ์

ต่อมาเมื่อนายรุ่งได้ตรวจสอบแล้วพบว่านาฬิกาเป็นของเก่าไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและสืบทราบ ว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวเป็นของนายชัย จึงถือว่าชื่อของตัวการได้ถูกเปิดเผยแล้ว ความเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ของนายชัยจึงสิ้นสุดลง และเมื่อนายเรืองตัวแทนได้ทําการด้วยความสุจริตและภายในขอบอํานาจของตัวแทน

สัญญาซื้อขายนาฬิกาดังกล่าวจึงผูกพันนายชัยตัวการและนายรุ่งบุคคลภายนอกตามมาตรา 820 นายชัย ตัวการจึงไม่อาจทําให้เสื่อมสิทธิของนายรุ่งบุคคลภายนอกที่ได้มาแต่ก่อนที่ชื่อของตัวการจะถูกเปิดเผย และเมื่อ ปรากฏว่าสัญญาซื้อขายนาฬิกาดังกล่าวเกิดจากกลฉ้อฉลของนายชัยผู้เป็นตัวการตั้งแต่ต้น นายรุ่งบุคคลภายนอก

ย่อมได้สิทธิในการบอกล้างกลฉ้อฉลนั้นต่อนายชัยตัวการ ดังนั้น การที่นายชัยปฏิเสธโดยอ้างว่าการซื้อขายนาฬิกา ดังกล่าวเกิดจากสัญญาซื้อขายระหว่างนายรุ่งกับนายเรื่อง ประกอบกับไม่มีหลักฐานว่าตนเป็นตัวการของนายเรือง ตนจึงไม่ต้องรับผิดแต่ประการใดนั้น ข้ออ้างของนายชัยดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น และนายรุ่งสามารถเรียกให้นายชัยรับผิดต่อตนได้

สรุป ข้ออ้างของนายชัยฟังไม่ขึ้น นายรุ่งสามารถเรียกให้นายชัยรับผิดต่อตนได้

ข้อ 2 นายหนึ่งนําวิทยุโบราณของตนไปให้นายสองขายที่ร้านขายของเก่าของนายสอง โดยกําหนดราคา ให้ขายที่ราคา 130,000 บาท ถ้าขายได้จะให้บําเหน็จแก่นายสอง 30,000 บาท ต่อมานายสาม ซึ่งเป็นลูกค้าประจําสนใจจะซื้อ อย่างไรก็ตาม นายสามติดธุระด่วนต้องไปต่างประเทศ นายสาม จึงตั้งให้นายสี่เป็นตัวแทนของตนโดยทําเป็นหนังสือเพื่อไปซื้อวิทยุดังกล่าวจากนายสอง โดยให้มี อํานาจเจรจาซื้อในราคา 120,000 บาท และแบ่งชําระเป็น 4 งวด นายสี่จึงมาต่อรองราคากับ นายสอง นายสองเห็นว่านายสี่เป็นตัวแทนของนายสามที่ถูกต้องและนายสามก็เป็นลูกค้าประจํา ของนายสอง จึงตกลงขายให้ตามราคาและเงื่อนไขดังกล่าว ให้ท่านวินิจฉัยว่า

ก เมื่อนายสองตกลงขายวิทยุดังกล่าวให้นายสามผ่านนายสี่ซึ่งเป็นตัวแทนในราคา 120,000 บาท หากนายสองยอมชดใช้ส่วนที่ขาด 10,000 บาทให้นายหนึ่งแล้ว นายหนึ่งจะคัดค้านการซื้อขาย ครั้งนี้ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ข หากปรากฏว่าเมื่อผ่อนชําระได้เพียง 2 งวด นายสี่ซึ่งเป็นตัวแทนได้นําเงินที่ต้องจ่ายส่วนที่เหลือไปใช้ส่วนตัวแล้วหนีไป นายสองจะเรียกให้นายสามชําระหนี้ส่วนที่เหลือได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็น
ผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

มาตรา 839 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายเป็นราคาต่ําไปกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อ เป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้น ตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก การที่นายหนึ่งนําวิทยุโบราณของตนไปให้นายสองขายที่ร้านขายของเก่าของนายสอง โดย กําหนดราคาให้ขายที่ราคา 130,000 บาท ถ้าขายได้จะให้บําเหน็จแก่นายสอง 30,000 บาทนั้น ถือว่าสัญญาระหว่าง นายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 833 โดยนายสองเป็นตัวแทนค้าต่างของนายหนึ่ง
เมื่อนายสองตัวแทนค้าต่างตกลงขายวิทยุดังกล่าวให้นายสามผ่านนายสี่ซึ่งเป็นตัวแทน ของนายสามไปในราคา 120,000 บาท ซึ่งเป็นการขายในราคาที่ต่ํากว่าที่นายหนึ่งซึ่งเป็นตัวการได้กําหนดไว้ แต่นายสองได้ยอมชดใช้ส่วนที่ขาด 10,000 บาทให้แก่นายหนึ่งแล้ว นายหนึ่งซึ่งเป็นตัวการก็ต้องยอมรับการขายนั้น ตามมาตรา 839 นายหนึ่งจะคัดค้านการซื้อขายครั้งนี้ไม่ได้

ข ตามมาตรา 837 ได้กําหนดไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการ ค้าขายอย่างอื่นแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อมได้สิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทน ค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

การที่สองเป็นตัวแทนค้าต่างทําการขายสินค้าแทนนายหนึ่งตัวการให้แก่นายสามผ่านนายสี่ ซึ่งเป็นตัวแทนของนายสาม และเมื่อนายสี่ได้กระทําการภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทนตามมาตรา 820 นายสามตัวการจึงต้องมีความผูกพันต่อนายสอง ดังนั้น นายสองในฐานะตัวแทนค้าต่างจึงเป็นผู้เข้าผูกพันในสัญญา ซื้อขายวิทยุโบราณกับนายสาม เมื่อนายสี่ซึ่งเป็นตัวแทนของนายสามได้นําเงินที่ต้องจ่ายส่วนที่เหลือไปใช้ส่วนตัว แล้วหนีไป นายสองจึงมีสิทธิเรียกให้นายสามคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งชําระหนี้ส่วนที่เหลือได้ตามมาตรา 837

สรุป

ก นายหนึ่งจะคัดค้านการซื้อขายครั้งนี้ไม่ได้
ข นายสองสามารถเรียกให้นายสามชําระหนี้ส่วนที่เหลือได้

ข้อ 3 นายดําประสงค์จะซื้อบ้านจึงตกลงให้นายแดงเป็นนายหน้าโดยมีบําเหน็จ 50,000 บาท รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่เกี่ยวข้องนายดํายินดีชดใช้ให้ ต่อมานายแดงพบว่านายเขียวประกาศขายบ้าน พร้อมที่ดินจํานวน 3 แปลง ในลักษณะจัดสรรขายในราคาแปลงละ 2,000,000 บาท นายแดงจึง มาแจ้งให้นายดําไปดูปรากฏว่านายดําต้องการซื้อแต่ขอทําเป็นสัญญาจองไว้ก่อนเพราะยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะกู้เงินธนาคารเพื่อมาซื้อนั้นจะได้รับการให้กู้หรือไม่ ปรากฏว่านายดําไม่สามารถกู้เงิน ธนาคารได้ นายดําจึงไม่อาจเข้าทําสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินนั้นได้ แต่นายแดงเห็นว่า ตนได้ชี้ช่องและจัดการให้นายดําสามารถเข้าทําสัญญาจองแล้ว นายดําต้องจ่ายบําเหน็จและค่าใช้จ่ายในการนี้ 7,000 บาท เช่นนี้นายดําต้องจ่ายบําเหน็จและค่าใช้จ่ายให้แก่นายแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้
ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทํากันสําเร็จ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่าลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําประสงค์จะซื้อบ้านจึงตกลงให้นายแดงเป็นนายหน้าโดยมีบําเหน็จ 50,000 บาทนั้น นายแดงจะเรียกบําเหน็จได้ก็ต่อเมื่อนายดําและนายเขียวได้เข้าทําสัญญากันสําเร็จตามที่นายแดง ได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้นแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายดําได้ทําเพียงสัญญาจองไว้ก่อนเท่านั้น ซึ่งสัญญาจองดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือแจ้งความประสงค์จะจองบ้านและที่ดินเท่านั้น ส่วนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างนายดํา และนายเขียวนั้นยังมิได้ทําขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น จึงถือว่าผลของการชี้ช่องหรือจัดการของนายแดงจึงยังไม่เกิดขึ้น นายแดงจึงไม่มีสิทธิเรียกบําเหน็จจํานวน 50,000 บาท เป็นค่านายหน้าได้ตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายจะยังมิได้ทํากันสําเร็จ นายแดงก็มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่าย จํานวน 7,000 บาทจากนายดําได้ เนื่องจากนายดําได้ตกลงไว้แล้วว่าจะชดใช้ค่าใช้จ่ายให้แก่นายแดงตามมาตรา
845 วรรคสอง

สรุป นายดําไม่ต้องจ่ายบําเหน็จ 50,000 บาทแก่นายแดง แต่จะต้องจ่ายค่าใช้จ่าย 7,000 บาท แก่นายแดง

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2111 (LAW 2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายแชมป์เปิดร้านขายกาแฟที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ไม่มีเวลาดูแลกิจการของตน จึงทําหนังสือมอบอํานาจให้นายวินเป็นตัวแทนในการบริหารกิจการร้านขายกาแฟของตน นายวินเห็นว่า ร้านขายกาแฟของนายแชมป์มีห้องว่างอยู่หนึ่งห้องไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร จึงนําห้องว่างดังกล่าว ออกให้นายโชคเขาเป็นร้านขายของที่ระลึก ตกลงทําสัญญาเช่าเป็นระยะเวลา 4 ปี หลังจากที่ นายโชคทําการเช่าได้ 1 ปี กับ 2 เดือน นายแชมป์ต้องการห้องเช่าดังกล่าวคืนจากนายโชค จึงเรียกให้นายโชคส่งคืนห้องเช่าแก่ตน แต่นายโชคปฏิเสธว่ายังไม่ครบกําหนดตามสัญญาเช่าและไม่ยอมส่งคืนห้องเช่าดังกล่าว

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ตามกฎหมายตัวแทน นายโชคมีสิทธิปฏิเสธข้อเรียกร้องของนายแชมป์ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 797 “อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น คือสัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่งเรียกว่าตัวแทน มีอํานาจทําการ แทนบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าตัวการ และตกลงจะทําการดังนั้น

อันความเป็นตัวแทนนั้น จะเป็นโดยตั้งแต่แสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ย่อมได้”

มาตรา 801 “ถ้าตัวแทน ได้รับมอบอํานาจทั่วไป ท่านว่าจะทํากิจใด ๆ ในทางจัดการแทนตัวการ
ก็ย่อมทําได้ทุกอย่าง

แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่ คือ

(2) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่ จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การปนายแชมป์ได้ทําหนังสือมอบอํานาจให้นายวินเป็นตัวแทนในการบริหาร กิจการร้านขายกาแฟของตน โดยที่นาย!ชมป์ตัวการไม่ได้ระบุกิจการที่ได้มอบอํานาจให้นายวินกระทําการแทนไว้ โดยเฉพาะเจาะจงนั้น ย่อมถือว่านายแชมป์ได้ตั้งให้นายวินเป็นตัวแทนรับมอบอํานาจทั่วไปตามมาตรา 797 ประกอบมาตรา 801 ดังนั้น นายวินย่อม สามารถกระทําการแทนตัวการได้ทุกอย่าง เว้นแต่กิจการที่ได้ระบุไว้ใน มาตรา 801 (1) – (6) ที่นายวินตัวแทนจะกระทําไม่ได้

การที่นายวินได้นําห้องว่างในร้านขายกาแฟของนายแชมป์ออกให้นายโชคเช่าเพื่อประกอบกิจการร้านขายของที่ระลึกเป็นเวลา 4 ปีนั้น ถือเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 801 (2) เพราะตัวแทนรับมอบอํานาจ โดยทั่วไปนั้น จะเอาอสังหาริมทรัพย์ของตัวการออกให้บุคคลภายนอกเช่าเกินกว่า 3 ปีไม่ได้ จึงมีผลทําให้สัญญาเช่า ที่นายวินทํากับนายโชคมีผลผูกพันนายแชมป์เพียง 3 ปีเท่านั้นเพราะอยู่ในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทนตาม มาตรา 820 ในส่วนที่เกิน 3 ปีนั้นย่อมไม่มีผลผูกพันนายแชมป์ตัวการเพราะเป็นกรณีที่นายวินกระทําการโดย ปราศจากอํานาจหรือนอกเหนือขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทนตามมาตรา 823 ดังนั้น เมื่อนายแชมป์ต้องการห้องเช่า ดังกล่าวคืนจากนายโชค นายแชมป์ย่อมมีสิทธิเรียกให้นายโชคส่งคืนห้องที่นายโชคเช่าแก่ตนได้ โดยนายโชคจะปฏิเสธว่ายังไม่ครบกําหนดตามสัญญาเช่าและไม่ยอมส่งคืนห้องเช่าดังกล่าวไม่ได้

สรุป นายโชคไม่มีสิทธิปฏิเสธข้อเรียกร้องของนายแชมป์

ข้อ 2 นายดลมีอาชีพค้าขายไม้พันธุ์ ไม้ประดับต่าง ๆ โดยยังรับจากผู้ที่ต้องการนําไม้ประดับมาให้ช่วย ขายด้วย โดยนายดลจะค้าขายไม้พันธุ์ ไม้ประดับเหล่านั้นในนามร้านของนายดลเองและเรียก บําเหน็จจากการขายให้เช่นนั้น 5% ต่อมานายแดงนําต้นบอนไซมาฝากให้นายดลขายจํานวน 30 ต้น หลังจากนําต้นบอนไซมาให้ร้านนายดลขายได้ 1 เดือน พบว่านายดลไม่ได้ขายต้นบอนไซของนายแดง ให้แม้แต่ต้นเดียวอีกทั้งต้นบอนไซครึ่งหนึ่งเฉาตายเพราะนายดลนําไปวางไว้อย่างไม่เหมาะสม กลางแดดจัด นายแดงจึงเรียกให้นายดลรับผิดชดใช้ค่าบอนไซที่ตายนั้นทั้งหมดเป็นเงิน 7,500 บาท นายดลกลับอ้างว่าต้นไม้ประดับในส่วนของตนเองก็เฉาตายไปครึ่งหนึ่งเหมือนกัน เช่นนี้นายดล ต้องรับผิดชดใช้ค่าบอนไปหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 659 วรรคสาม ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จําต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 842 วรรคหนึ่ง “เมื่อใดเขามอบหมายทรัพย์สินไว้แก่ตัวแทนค้าต่าง ท่านให้นําบทบัญญัติ ทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ลักษณะ ฝากทรัพย์มาใช้บังคับอนุโลมตามสมควร”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายดลมีอาชีพขายไม้ประดับต่าง ๆ โดยยังรับจากผู้ที่ต้องการนําไม้ประดับ มาให้ช่วยขายด้วยโดยนายดุลจะค้าขาย ไม้ประดับเหล่านั้นในนามร้านของนายดลเองและเรียกบําเหน็จจากการ

ขายให้เช่นนั้น 5% การกระทําของนายผลเช่นนี้ถือเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 833 ซึ่งการเป็นตัวแทนค้าต่าง ของนายดลดังกล่าวนี้ นายดลจะต้องใช้ความสามารถในกิจการค้าขายและต้องใช้ความระมัดระวังในการดูแล ทรัพย์สินของตัวการตามมาตรฐานที่กฎหมายได้กําหนดไว้ตามมาตรา 842 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 659 วรรคสาม กล่าวคือตัวแทนค้าต่างจะดูแลรักษาทรัพย์สินของตัวการอย่างผู้มีวิชาชีพจะดูแลรักษาเพียงเท่ากับทรัพย์สินของตนเองหาได้ไม่ แต่จะต้อ ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควร จะต้องใช้ในกิจการค้าขายเช่นนั้น

การที่นายแดงได้นําต้นบอนไซมาฝากให้นายดลขายจํานวน 30 ต้น และหลังจากนําต้นบอนไซ มาให้ร้านนายดลขายได้ 1 เดือน พบว่านายดลขายต้นบอนไซของนายแดงไม่ได้แม้แต่ต้นเดียวอีกทั้งต้นบอนไซ ครึ่งหนึ่งเฉาตายเพราะนายดลนําไปวางไว้อย่างไม่เหมาะสมกลางแดดจัด ไม่หาหลังคามาปกคลุมหรือย้ายที่วาง
กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า นายดลไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ ในกิจการค้าขายเช่นนั้นตามมาตรา 84 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 659 วรรคสาม ดังนั้น เมื่อนายแดงเรียกให้ นายดลรับผิดชดใช้ค่าบอนไซที่ตายนั้นทั้งหมดเป็นเงิน 7,500 บาท นายดลจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า ต้นไม้ประดับในส่วนของตนเองก็เฉาตายไปครึ่งหนึ่งเหมือนกันไม่ได้ นายดลจะต้องรับผิดชดใช้ค่าบอนไซจํานวน 7,500 บาทแก่นายแดง

สรุป นายดลจะต้องรับผิดใช้ค่าบอนไซที่ตายนั้นทั้งหมดเป็นเงิน 7,500 บาทแก่นายแดง

ข้อ 3 นายทองต้องการขายที่ดิน 50 ตารางวา จึงตกลงให้นายนาคเป็นนายหน้าหาผู้ซื้อให้ในราคา 5,000,000 บาท จะให้ค่านายหน้า 25,000 บาท ต่อมานายนาคทราบว่านายดินต้องการซื้อ จึงนํานายดินไปพบนาย ทอง นายดินได้ขอวางมัดจําไว้ก่อน 300,000 บาท โดยตกลงจะไป จดทะเบียนโอนอีก 7 วัน หลังจากนั้นนายดินกลับหายไปไม่มาจดทะเบียนรับโอนและชําระราคา ค่าที่ดิน ต่อมานายนาคได้มาเรียกบําเหน็จนายหน้าจากนายทอง เช่นนี้นายทองต้องจ่ายบําเหน็จ นายหน้าและค่าใช้จ่ายจากการกระทําการเป็นนายหน้าอีก 50,000 บาทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้
ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทํากันสําเร็จ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 815 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ที่ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทองต้องการขายที่ดิน 50 ตารางวา จึงตกลงให้นายนาคเป็นนายหน้า หาผู้ซื้อให้ในราคา 5,000,000 บาท จะให้ค่านายหน้า 25,000 บาท ต่อมานายนาคทราบว่านายดินต้องการซื้อ จึงนํานายดินไปพบนายทอง และนายดินได้ขอวางมัดจําไว้ก่อน 300,000 บาท โดยตกลงจะไปจดทะเบียนโอน ในอีก 7 วันนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายนาคได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเป็นผลสําเร็จในการทําสัญญาจะซื้อขายจนมี การวางมัดจําแล้ว ส่วนหลังจากนั้นการที่นายดินกลับหายไปไม่มาจดทะเบียนรับโอนและชําระราคาค่าที่ดินนั้น

เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกไม่ปฏิบัติตาม สัญญาจะซื้อขายซึ่งเป็นเรื่องที่คู่สัญญาจะซื้อขายจะไปเรียกร้องกันเอง ดังนั้น เมื่อนายนาคได้มาเรียกร้องค่าบําเหน็จนายหน้าจากนายทอง นายทองจึงต้องจ่ายค่าบําเหน็จนายหน้า จํานวน 25,000 บาทให้แก่นายนาคตาม ที่ตกลงกันตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง

ในส่วนค่าใช้จ่ายจากการกระทําการเป็นนายหน้า 50,000 บาทนั้น เมื่อไม่ได้มีการตกลงกันไว้ นายทองจึงไม่ต้องจ่ายให้แก่นายนาคแต่อย่างใดตามมาตรา 845 วรรคสอง

สรุป นายทองต้องจ่ายค่าบําเหน็จนายหน้าให้แก่นายนาคจํานวน 25,000 บาท แต่ไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายจํานวน 50,000 บาท แก่นายนาค

LAW2113 (LAW2013) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2113 (LAW 2013) ป.พ.พ.ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ให้นักศึกษาตอบคําถามต่อไปนี้พร้อมหลักกฎหมายประกอบ

(ก) ผู้ทรงที่รับโอนตั๋วแลกเงินมาโดยสลักหลังลอย สามารถโอนตั๋วแลกเงินเพื่อชําระหนี้ให้กับ เจ้าหนี้ของตนได้อย่างไรบ้าง

(ข) มีนา สั่งเมษา จ่ายตั๋วแลกเงินให้พฤษภา ขีดฆ่าหรือผู้ถือออก หลังจากนั้นต่อมา พฤษภาได้ลง ลายมือชื่อด้านหลังตั๋วแลกเงินโดยไม่ได้ระบุข้อความใด ๆ และส่งมอบชําระหนี้ให้แก่มิถุนา ในมูลหนี้กู้ยืม ก่อนถึงวันกําหนดใช้เงินตามตัว มิถุนานําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ส่งมอบชําระหนี้ ให้แก่กรกฎา โดยไม่ได้ลงลายมือชื่อและไม่ได้เขียนข้อความใด ๆ เลย

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า มิถุนาโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ถูกต้องตามวิธีการกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงินหรือไม่

ธงคําตอบ

(ก) “การสลักหลังลอย” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้ทรง) ตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ ได้โอนตั๋วแลกเงินนั้น ต่อไปโดยการลงลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงิน โดยไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับ ประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 919 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้ง มิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลัง ตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า สลักหลังลอย”

ผู้ทรงที่ได้รับโอนตั๋วแลกเงินมาโดยการสลักหลังลอย สามารถโอนตั๋วแลกเงินเพื่อชําระหนี้ให้กับ เจ้าหนี้ของตนได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 920 วรรคสอง ดังนี้คือ

(1) กรอกชื่อของตนเองหรือชื่อของบุคคลใดบุคคลหนึ่งลงไปในที่ว่าง

(2) สลักหลังตั๋วเงินนั้นต่อไปอีก จะเป็นสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอย หรือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่กรอกชื่อของบุคคลอื่นลงในที่ว่าง หรือโดยไม่สลักหลัง แต่อย่างใดก็ได้ (กล่าวคือ สามารถโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 วรรคสอง “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟัง เป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ

(1) กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเอง หรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มีนาสั่งเมษาจ่ายตั๋วแลกเงินให้พฤษภา และขีดฆ่าหรือผู้ถือออกนั้นถือว่า ตั๋วแลกเงินฉบับนี้เป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ ต่อมาการที่พฤษภาได้ลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินโดย ไม่ได้ระบุข้อความใด ๆ และส่งมอบชําระหนี้ให้แก่มิถุนาในมูลหนี้กู้ยืมนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่พฤษภาได้สลักหลังลอย และส่งมอบตั๋วแลกเงินให้แก่มิถุนา การโอนตั๋วแลกเงินระหว่างพฤษภาและมิถุนาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 วรรคสอง และให้ถือว่ามิถุนาเป็นผู้ทรงที่ได้รับตั๋วแลกเงินฉบับนี้ มาจากการสลักหลังลอยของพฤษภา และสามารถที่จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปโดยการสลักหลังและส่งมอบ หรือจะโอนตั๋วแลกเงินต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่กรอกข้อความใด ๆ และไม่สลักหลังใด ๆ ก็ได้ตามมาตรา 920 วรรคสอง

ดังนั้น การที่มิถุนาได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ส่งมอบชําระหนี้ให้แก่กรกฎาโดยไม่ได้ลงลายมือชื่อและไม่ได้เขียนข้อความใด ๆ เลยนั้น มิถุนาย่อมสามารถกระทําได้ตามมาตรา 920 วรรคสอง (3) การโอนตั๋วแลกเงิน ฉบับนี้ของมิถุนาจึงถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้

สรุป การโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ของมิถุนาถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

ข้อ 2 (ก) การอาวัลตั๋วแลกเงินจะต้องทําอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย และผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน จะอาวัลตั๋วได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ข) บางเขนเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีบางบัวทองเป็นผู้จ่าย บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่า คําว่า “หรือผู้ถือ” บางเขนจะสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินเพื่อชําระหนี้หลักสี่ แต่หลักสี่ให้บางเขนนําตั๋วไปให้บางบัวทองรับรองก่อน บางเขนจึงเอาตัวไปให้บางบัวทองเขียนข้อความว่า “ยินดีเป็นประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋ว หลักสี่จึงยอมรับชําระหนี้ ด้วยการสลักหลังและส่งมอบตัวจากบางเขน เมื่อถึงกําหนดใช้เงินหลักสี่ได้นําตัวไปให้บางบัวทองใช้เงิน แต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเห็นว่าตนได้ชําระหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายไปแล้ว

อนึ่งหลักสี่ได้ทําคําคัดค้านไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าหลักสี่ผู้ทรงจะฟ้อง บางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ก) “การอาวัลหรือการรับอาวัลตั๋วแลกเงิน” คือ การที่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว ในตั๋วแลกเงินนั้นได้เข้ามารับประกันการใช้เงินทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินต่อผู้เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งตั๋วแลกเงินใบหนึ่งนั้นอาจมีผู้รับอาวัลได้หลายคน และผู้รับอาวัลนั้นต้องระบุไว้ด้วยว่ารับประกันผู้ใด ถ้าไม่ระบุไว้ ให้ถือว่าเป็นการรับประกันผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 938 และมาตรา 939 วรรคสี่)

การอาวัลตั๋วแลกเงินจะถูกต้องตามกฎหมายจะต้องปฏิบัติตามวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้ ดังนี้คือ

1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวน อื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัลประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลซึ่งการ อาวัลในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงินก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 939 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่)

2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความใด ๆ ไว้ ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

สําหรับผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้น สามารถที่จะอาวัลตั๋วแลกเงินได้ แต่ผู้จ่ายจะต้องเขียนข้อความว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้นลงไว้ในตั๋วแลกเงิน และต้องระบุไว้ด้วยว่า
อาวัลผู้ใดจะลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ (มาตรา 939)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 938 “ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ําประกันรับประกันการใช้เงินทั้งจํานวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า “อาวัล

อ้นอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้รับ หรือแม้คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้รับก็ได้”

มาตรา 939 “อันการรับอาวัลย่อมทําให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง หรือที่ใบประจําต่อ

ในการนี้จึงใช้ถ้อยคําสํานวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดทํานองเดียวกันนั้นและลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่งเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัลแล้ว
เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคำรับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ตั๋วแลกเงินที่บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายสั่งให้บางบัวทองเป็นผู้จ่ายเงินแก่บางเขน และขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” นั้น เป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ เมื่อบางเขนสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่หลักสี่ มีบางบัวทองผู้จ่ายเขียนข้อความว่า “ยินดีเป็นประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้า ของตั๋วแลกเงินนั้น ข้อความดังกล่าวถือเป็นข้อความที่มีความหมายทํานองเดียวกันกับคําว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่บางบัวทองได้เข้ามาอาวัลตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว และเป็นการอาวัลบางขวางผู้สั่งจ่าย ตาม มาตรา 938 และมาตรา 939 ดังนั้น เมื่อถึงกําหนดใช้เงินหลักสีได้นําตั๋วแลกเงินนั้นไปยื่นให้บางบัวทองใช้เงิน แต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงิน หลักสี่ซึ่งเป็นผู้ทรงย่อมสามารถฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับ ดังกล่าวได้ในฐานะผู้รับอาวัลบางขวางผู้สั่งจ่าย ตามมาตรา 900 และมาตรา 940 วรรคหนึ่ง

สรุป หลักสี่ผู้ทรงสามารถฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้รับ อาวัลบางขวางผู้สั่งจ่าย

ข้อ 3 มานีออกตั๋วแลกเงินสั่งมานะจ่ายเงินให้แก่ปิติหรือตามคําสั่ง ปิติสลักหลังลอยโอนให้วีระ ซึ่งวีระก็ได้ทําการสลักหลังลอยไว้ แต่ยังไม่ทันได้โอนก็ถูกเพชรขโมยตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวไปโดยที่ วีระไม่ทันรู้ตัว และเพชรได้ทําการโอนตั๋วให้ชูใจ โดยการส่งมอบ ชูใจก็ได้สลักหลังชําระหนี้ให้แก่ จันทร ในมูลหนี้ซื้อขายสวนทุเรียน ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าหากวีระเรียกตั๋วแลกเงินจากจันทรคืน จันทรจะต้องคืนตั๋วเงินหรือไม่ และจันทรเป็นผู้ทรงโดยชอบในตั๋วเงินดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด จงวินิจฉัยตามหลักกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย

อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตัวตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริต หรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใด ลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้น มิได้มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิง อาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตัวนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงิน เอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึง ถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่มานีออกตั๋วแลกเงินสั่งมานะให้จ่ายเงินแก่ปีติหรือตามคําสั่ง ปิติสลักหลังลอย ให้แก่วีระ และวีระสลักหลังลอยไว้ แต่ยังไม่ได้โอนตัวนั้นให้ใครนั้น เมื่อเพชรได้ขโมยตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวไป และได้โอนโดยการส่งมอบให้แก่ชูใจ และชูใจได้สลักหลังชําระหนี้ให้แก่จันทร ย่อมถือว่าชูใจซึ่งเป็นผู้สลักหลัง และลงลายมือชื่อรายที่สุดเป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินจากการสลักหลังลอยของวีระ (และถือว่าวีระได้ไปซึ่งตั๋วเงินจาก การสลักหลังลอยของปิติ) ตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เมื่อจันทรได้รับตั๋วเงินนั้นมาจากการสลักหลังของชูใจ

จันทรย่อมเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง เพราะเป็นบุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง จากการสลักหลังที่ไม่ขาดสาย อีกทั้งถึงแม้ว่าบทบัญญัติมาตรา 905 จะอยู่ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 ก็ตาม แต่บทบัญญัติมาตรา 1008 จะใช้บังคับกับตั๋วเงินที่มีการลงลายมือชื่อปลอม หรือลายมือชื่อที่ลงโดย ปราศจากอํานาจเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ไม่ปรากฏว่ามีการลงลายมือชื่อปลอม หรือเป็นลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจแต่อย่างใด

เมื่อจันทรเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้รับตั๋วเงินนั้นไว้ในครอบครอง และแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังที่ไม่ขาดสาย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจันทรได้ตั๋วเงินนั้นมาโดยทุจริต หรือได้มาด้วย ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแต่อย่างใด ดังนั้น จันทรจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 905 วรรคสอง กล่าวคือ เมื่อวีระเรียกตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวคืนจากจันทร จันทรจึงไม่จําเป็นต้องคืนตั๋วเงินนั้นให้แก่วีระ

สรุป จันทรเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อวีระเรียกตั๋วเงินนั้นคืน จันทรไม่ต้องคืนตั๋วเงินนั้นให้แก่วีระ

LAW2113 (LAW2013) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2113 (LAW 2013) ป.พ.พ.ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 (ก) การโอนตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องทําอย่างไรจึงจะชอบด้วยกฎหมายตั๋วเงิน

(ข) เอกลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารอ่างทอง ชําระหนี้โทโดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่า คําว่าหรือผู้ถือออก โทสลักหลังชําระหนี้ตรีระบุชื่อตรีเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาตรีสลักหลังลอยและส่งมอบเช็คดังกล่าวชําระหนี้ให้แก่จัตวา ต่อมาจัตวาได้นําเช็คไปส่งมอบชําระหนี้ให้กับ บ้านไร่ เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บ้านไร่นําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารไม่ยอมจ่ายเงิน โดยอ้างว่าบ้านไร่ได้รับโยนเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของ ธนาคารอ่างทองถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) อธิบาย

ในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น การโอนจะชอบด้วยกฎหมายตั๋วเงิน ผู้โอนจะต้องทําให้ถูกต้องตามวิธีการ
ที่กฎหมายลักษณะตั๋วเงินได้กําหนดไว้ ดังนี้คือ

1 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ
การโอนสามารถกระทําได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคหนึ่งซึ่งบัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทําการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นให้แก่
ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ใน ตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 919)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตัวก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับ ประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินเท่านั้น (ป.พ.พ.
มาตรา 919 วรรคสอง)

อนึ่ง ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลังระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรงจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้ตั๋วแลกเงินนั้น มาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรืออาจจะโอน ตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 920)

2 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ

การโอนตั๋วเงินชนิดนี้ย่อมสามารถทําได้โดยการส่งมอบเพียงอย่างเดียวไม่ต้องมีการสลักหลังตาม
ป.พ.พ.มาตรา 918 ซึ่งบัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา 919 “คําสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อ และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทํา อะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การ สลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923…

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่เอกออกเช็คชําระหนี้แก่โท โดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคําว่า หรือผู้ถือออกนั้น ถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้นถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนจะถูกต้องตาม กฎหมายก็จะต้องมีการสลักหลังและส่งมอบ โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้นเมื่อโทสลักหลังโดยระบุชื่อตรี เป็นผู้รับประโยชน์ และตรีได้สลักหลังลอยและส่งมอบให้แก่จัตวา การโอนเช็คระหว่างโทกับตรี และระหว่างตรีกับจัตวาย่อมเป็นการโอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย

และเมื่อเช็คนั้นได้ตกอยู่ในความครอบครองของจัตวา ซึ่งเป็นผู้ทรงที่ได้รับเช็คมาจากการสลักหลังลอย ของตรี จัตวาย่อมมีสิทธิตามมาตรา 920 (3) ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง คือสามารถโอนเช็คนั้นต่อไปได้โดย ไม่ต้องสลักหลังแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนั้นเมื่อจัตวาส่งมอบเช็คให้แก่บ้านไร่ การโอนเช็คของจัตวาให้แก่บ้านไร่ จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และถือว่าบ้านไร่เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้รับโอนเช็คมาโดย ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้ และบ้านไร่ย่อมมีสิทธินําเช็คไปยื่นให้ธนาคารอ่างทองจ่ายเงินได้เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค การที่ธนาคารอ่างทองไม่ยอมจ่ายเงินโดยอ้างว่าบ้านไร่ได้รับโอนเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นข้ออ้างของธนาคารอ่างทองจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

ข้อ 2 นายหนึ่งออกตั๋วแลกเงินเพื่อชําระหนี้ค่าสินค้าให้กับนายสามจํานวน 100,000 บาท โดยสั่งให้ นายสองจ่ายเงินจํานวนดังกล่าวให้แก่นายสามหรือผู้ถือ เมื่อนายสามได้รับตั๋วมา นายสามได้ไปติดต่อ ขอซื้อนาฬิกากับนายสี่ โดยบอกว่าตนจะขอชําระหนี้ค่านาฬิกาด้วยตั๋วแลกเงิน นายสี่บอกจะยอมรับ หากนายสามไปหาคนมาค้ำประกัน นายสามจึงไปหานายเอมาค้ําประกันตัวแลกเงิน ซึ่งนายเอ ได้เขียนข้อความว่า “ค่ําประกันนายสาม 50,000 บาท” พร้อมทั้งลงชื่อนายเอไว้ที่ด้านหน้าของ ตั๋วแลกเงินนั้น นายสี่จึงยอมรับตั๋วแลกเงินนั้น โดยนายสามได้สลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่นายสี่ ต่อมาเมื่อตัวนั้นถึงกําหนดใช้เงิน นายสี่นําตัวไปยื่นให้นายสองผู้จ่ายจ่ายเงิน แต่นายสอง ปฏิเสธ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายสีจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้างในฐานะอะไร และรับผิดอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่น โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ ใช้เงินตามตัวนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”
มาตรา 938 “ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ําประกันรับประกันการใช้เงินทั้งจํานวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า “อาวัล

อันอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้รับ หรือแม้คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้รับก็ได้”

มาตรา 939 “อันการรับอาวัลย่อมทําให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง หรือที่ใบประจําต่อ

ในการนี้จึงใช้ถ้อยคําสํานวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดทํานองเดียวกันนั้นและลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่งเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัลแล้ว
เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งออกตั๋วแลกเงินโดยสั่งให้นายสองจ่ายเงินจํานวน 100,000 บาท ให้แก่นายสามหรือผู้ถือนั้น ย่อมถือว่าตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น เมื่อนายสาม จะโอนตัวฉบับดังกล่าวชําระหนี้ให้แก่นายสี่ นายสามย่อมสามารถโอนได้โดยการส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นให้แก่นายสี่ โดยไม่ต้องสลักหลังตามมาตรา 918 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสามได้สลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น

ให้แก่นายสี่ การสลักหลังของนายสี่ให้ถือว่าเป็นเพียงการประกันหรือการอาวัลนายหนึ่งผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 921 ดังนั้น เมื่อนายสีนําตัวไปยื่นให้นายสองจ่ายเงินเมื่อตั๋วแลกเงินนั้นถึงกําหนด แต่นายสองปฏิเสธการจ่ายเงิน นายสี่ ซึ่งเป็นผู้ทรงย่อมมีสิทธิเรียกให้นายหนึ่งรับผิดตามตัวนั้นได้ เพราะนายหนึ่งได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงิน จึงต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินนั้นในฐานะผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 914
และนายสี่สามารถ เรียกให้นายสามรับผิดตามตั๋วแลกเงินได้ในฐานะผู้รับอาวัลนายหนึ่งผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 921 โดยนายสามจะต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับนายหนึ่งบุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้ตามมาตรา 940 วรรคหนึ่ง คือ ต้องรับผิดในจํานวนเงิน 100,000 บาท เช่นเดียวกับนายหนึ่ง

สําหรับนายเอซึ่งได้เขียนข้อความว่า “ค้ำประกันนายสาม 50,000 บาท” พร้อมทั้งลงลายมือชื่อ นายเอไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินนั้น ถือได้ว่านายเอได้เข้ามาผูกพันกับตั๋วแลกเงินนั้นในฐานะเป็นผู้รับอาวัล
นายสาม และเป็นการรับอาวัลแต่เพียงบางส่วน คือ รับอาวัลเพียง 50,000 บาท ตามมาตรา 938 และมาตรา 939 ดังนั้น นายสี่จึงสามารถเรียกให้นายเอรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลนายสามได้ในจํานวนเงิน 50,000 บาท ส่วนนายสอง ไม่ต้องรับผิดต่อนายสี่ เพราะนายสองไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในตั๋วแลกเงินแต่อย่างใด
สรุป นายสามารถเรียกให้นายหนึ่งผู้สั่งจ่ายและนายสามผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายรับผิดในจํานวนเงิน ตามตั๋วแลกเงิน คือ 100,000 บาท และเรียกให้นายเอรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลนายสามได้ในจํานวน 50,000 บาท แต่จะเรียกให้นายสองรับผิดไม่ได้

ข้อ 3 ฐิติสั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมทั่วไป สั่งจ่ายเช็คธนาคารมหารวย จ่ายเงินจํานวน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) ระบุวัฒธาเป็นผู้รับเงิน ขีดฆ่า “หรือผู้ถือ” ออก เพื่อชําระหนี้ในการทําสัญญา ซื้อขายที่ดินในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สํานักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาบึงกุ่ม ก่อนถึงกําหนดใช้เงินตามเช็ค วัฒธาทําเช็คตกหายไม่รู้ตัว ณภณาเก็บได้จึงปลอมลายมือชื่อวัฒธา สลักหลังโอนเช็คนั้นให้แก่ปาเนียซึ่งรับโอนเช็คไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันเป็นมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายคอนโดย่านสุขุมวิท ปาณีย์ได้นําเช็คนั้นไปเรียกเก็บเงินที่ ธนาคารมหารวย เพื่อฝากเข้าบัญชีของตน แต่ทางธนาคารปฏิเสธการจ่าย เพราะได้มีคําบอกกล่าวว่า เช็คนั้นหายให้ติดต่อฐิติผู้สั่งจ่าย และเมื่อวัฒธาทราบจึงขอเช็คคืน ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ปาณีย์ ต้องคืนเช็คให้วัฒธาหรือไม่ และบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาตามเช็คตนใดได้บ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่า เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคล ผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสีย และห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ
ของตนในตัวตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตัวนั้นได้นํายื่น โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตัวนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใด ลายมือชื่อในตัวเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้ มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย แสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่ คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วง หรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ฐิติสั่งจ่ายเช็คขัดซ่อมทั่วไป สั่งธนาคารมหารวย จ่ายเงินจํานวน 10,000,0000 บาท ระบุวัฒธาเป็นผู้รับเงิน และขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออกนั้น ถือว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คชนิด สั่งจ่ายระบุชื่อ การที่วัฒธาทําเช็คตกหาย และณภณาเก็บได้จึงปลอมลายมือชื่อวัฒธา สลักหลังโอนเช็คให้แก่ ปาณีย์ไปนั้น ตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าลายมือชื่อปลอมของวัฒธาเป็นอันใช้ไม่ได้ ถือเสมือนหนึ่งว่า วัฒธาไม่เคยสลักหลังเช็คดังกล่าว ดังนั้น แม้ว่าปาณีย์จะได้รับโอนเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่าง ร้ายแรงก็ตาม ก็ไม่ถือว่าปาณีย์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด เพราะ ปาณีย์ได้รับเช็คมาจากการสลักหลังที่ขาดสาย และเมื่อปาณีย์มิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ปาณีย์จะ อ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงเช็คไว้ย่อมไม่อาจทําได้เป็นอันขาด เมื่อวัฒธาขอเช็คคืน ปาณีย์จึงต้องคืนเช็คให้แก่วัฒธาตามมาตรา 905 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง

และเมื่อปาณีย์ได้นําเช็คไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคารฯ แต่ธนาคารฯ ปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ ปาณีย์ จะบังคับการใช้เงินเอาแก่ฐิติซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คไม่ได้ ต้องห้ามตามาตรา 1008 วรรคหนึ่ง แต่ปาณีย์สามารถบังคับ การใช้เงินเอาจากณาณาผู้ที่ลงลายมือของตนไว้ในเช็คในฐานะเป็นผู้สลักหลังได้ตามมาตรา 900 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 914

สรุป ปาณีย์จะต้องคืนเช็คให้แก่วัฒธา และสามารถบังคับการใช้เงินเอากับณภณาได้

LAW2113 (LAW2013) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2113 (LAW 2013) ป.พ.พ.ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1. (ก) การโอนตั๋วเงินมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่สําคัญอย่างไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

(ข) นางสาวสาย ได้สั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่ง โดยระบุชื่อนายจอมเป็นผู้รับเงิน และมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก และได้ทําการส่งมอบให้แก่นายจอมเพื่อชําระหนี้ค่าสินค้า ต่อมานายจอมได้นําเช็คฉบับดังกล่าวมาทําการลงลายมือชื่อสลักหลัง และส่งมอบให้แก่นายบางเพื่อชําระหนี้ค่าเช่าอาคาร หากต่อมานายบางต้องการจะทําการสลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวเพื่อชําระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่นายประวิทย์
ดังนี้ นายบางสามารถกระทําได้โดยชอบตามกฎหมายตั๋วเงินหรือไม่ เพราะเหตุใด อธิบาย มาให้เข้าใจพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบในแต่ละประเด็น

ธงคําตอบ

(ก) ตามกฎหมาย ตัวเงินมี 3 ประเภท ได้แก่ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็ค ซึ่งหลักในการโอน ตั๋วเงินนั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับตั๋วแลกเงินเท่านั้น เพียงแต่ได้กําหนดให้นําหลักในการโอน ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อไปใช้กับการโอนตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คด้วย (ตามมาตรา 985 วรรคหนึ่ง และ
มาตรา 989 วรรคหนึ่ง) และให้นําหลักในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือไปใช้กับการโอนเช็คชนิด สั่งจ่ายแก่ผู้ถือด้วย (ตามมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

สําหรับหลักในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น กฎหมายได้กําหนดไว้ดังนี้ คือ 1. ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ
การโอนสามารถกระทําได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้
ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่
บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทําการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจเป็นการ “สลักหลังลอย” ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 919)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตัวก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินเท่านั้น
(ป.พ.พ. มาตรา 919 วรรคสอง)

อนึ่ง ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลังระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรงจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะ
สลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้นเป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้ตั๋วแลกเงินนั้น
มาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรืออาจจะโอน ตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 920)

2 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ
การโอนตั๋วเงินชนิดนี้ย่อมสามารถกระทําได้โดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีการ
สลักหลังตาม ป.พ.พ. มาตรา 918 ซึ่งบัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียง ด้วยส่งมอบให้กัน”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล)สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าว ต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910… 914 ถึง
923, 938 ถึง 940”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวสายสั่งจ่ายเช็คเพื่อชําระหนี้ค่าสินค้าให้แก่นายจอม โดยระบุชื่อ นายจอมเป็นผู้รับเงิน แต่มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก เช็คฉบับนี้ถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง และ ถ้ามีการสลักหลังให้ถือว่าเป็นเพียงการประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบ มาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

การที่นายจอมนําเช็คฉบับดังกล่าวมาทําการลงลายมือชื่อสลักหลัง และส่งมอบให้แก่นายบางเพื่อชําระหนี้ค่าเช่าอาคารนั้น การโอนเช็คระหว่างนายจอมและนายบางถือเป็นการโอนเช็คที่ชอบด้วยกฎหมาย เพียงแต่การสลักหลังของนายจอมนั้น ให้ถือว่าเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายซึ่งนายจอมจะต้องรับผิดตามเช็คในฐานะ ผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายคือนางสาวสาย

และเมื่อนายบางต้องการจะทําการสลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวเพื่อชําระหนี้ตามสัญญา
กู้ยืมเงินให้แก่นายประวิทย์ นายบางย่อมสามารถทําได้ เพียงแต่การสลักหลังของนายบางย่อมมีผลทําให้นายบาง จะตกเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดตามเช็คนั้นในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายคือนางสาวสายด้วย

สรุป นายบางสามารถทําการสลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายประวิทย์ได้

ข้อ 2. (ก) การอาวัลตั๋วเงินเกิดขึ้นได้ในกรณีใดบ้าง

(ข) เอกลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารอ่างทอง ชําระหนี้ให้แก่โทโดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและ มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก โทสลักหลังชําระหนี้ให้แก่ตรีระบุชื่อตรีเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาตรีสลักหลังลอย และส่งมอบเช็คดังกล่าวชําระหนี้ให้แก่จัตวา จัตวาส่งมอบเช็คชําระหนี้ ให้กับบางนา เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บางนานําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอ่างทอง แต่ธนาคาร ไม่ยอมจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่าว่าเงินในบัญชีของเอกมีไม่พอจ่าย ดังนี้ บุคคลใดที่จะต้องรับผิดต่อบางนาในฐานะผู้รับอาวัลเช็คฉบับดังกล่าว

ธงคําตอบ

(ก) การอาวัลตั๋วเงินนั้น เกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนาและ อาวัลโดยผลของกฎหมาย

1 การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา ทําได้โดย

1.1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วเงิน (ซึ่งอาจเป็นตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือเช็ค) หรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัล ประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลซึ่งการอาวัลในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วเงินก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 939 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่)

1.2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความใด ๆ ไว้ ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

2 การอาวัลโดยผลของกฎหมาย เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการสลักหลังโอนตั๋วเงินชนิดสั่งจ่าย แก่ผู้ถือ (ซึ่งอาจเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็ค) ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 921 ได้บัญญัติให้บุคคลที่เข้ามาสลักหลังนั้น เป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายและต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล)
สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910.., 914 ถึง 923,
938 ถึง 940”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกสั่งจ่ายเช็คโดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออกนั้น เช็คนั้นย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์ โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง (มาตรา 918 ประกอบกับมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จากการโอนเช็คฉบับนี้ให้แก่ตรี จัตวา และบางนาตามลําดับนั้น โทและตรี ได้ทําการสลักหลังเช็คฉบับนี้ด้วย ดังนี้ตามกฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังของโทและตรีนั้นเป็นเพียงการรับอาวัล เอกผู้สั่งจ่ายเท่านั้น (มาตรา 921 ประกอบกับมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ซึ่งโทและตรีก็จะต้องรับผิดเป็นอย่าง เดียวกันกับเอกผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 วรรคหนึ่งและมาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บางนานําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารแต่ธนาคารไม่ยอมจ่ายเงิน บุคคลที่จะต้องรับผิดต่อบางนาในฐานะผู้รับอาวัลเช็คฉบับดังกล่าว คือ โท และตรี

สรุป บุคคลที่จะต้องรับผิดต่อบางนาในฐานะผู้รับอาวัลเช็คฉบับดังกล่าวได้แก่ โท และตรี

ข้อ 3 หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่สําคัญในตั๋วเงิน จะเกิดผลอย่างไรกับตั๋วเงินและคู่สัญญา ทั้งหลายบ้าง จงอธิบายหลักกฎหมาย และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1007 “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคํารับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใน ข้อสําคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นกับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และ ตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรอง
มิได้ยินยอมด้วย”

การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายนั้น จะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ข้อความในข้อสําคัญ (มาตรา 1007) คือจะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความซึ่งเป็นสาระสําคัญ ซึ่งเมื่อมี การแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้วจะทําให้ผลของตั๋วเงิน สิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดของคู่สัญญาในตั๋วเงินนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสําคัญ เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงิน
อันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความ ระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย (มาตรา 1007 วรรคสาม) ตาม ป.พ.พ. ได้บัญญัติผลตาม กฎหมายไว้ 2 กรณีคือ

1 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นได้ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขไม่แนบเนียน หรือเห็นได้ประจักษ์นั่นเอง โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป แต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และหรือ ผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง)

ตัวอย่าง เอกออกเช็คฉบับหนึ่งสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินให้โท 50,000 บาท โดยขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คนั้นออก โทสลักหลังโอนให้ตรี ต่อมาตรีได้แก้ไขจํานวนเงินเป็น 150,000 บาท แล้วสลักหลัง โอนให้แก่จัตวา และจัตวาได้สลักหลังโอนชําระหนี้ให้แก่พิเศษ โดยการแก้ไขจํานวนเงินดังกล่าวนั้นไม่แนบเนียน
มองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ถึงการแก้ไขนั้น

กรณีดังกล่าว เมื่อการแก้ไขจํานวนเงินซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ และ การแก้ไขนั้นเห็นได้ประจักษ์ จึงมีผลตามมาตรา 1007 วรรคหนึ่ง คือ ให้ถือว่าตั๋วเงิน (เช็ค) นั้นเป็นอันเสียไป ดังนั้นถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน พิเศษย่อมไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเรียกเอาเงินจากเอกผู้สั่งจ่ายและโทผู้สลักหลัง ซึ่ง มิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (เว้นแต่เอกหรือโทจะได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น)
แต่พิเศษสามารถไล่เบี้ยเรียกเอาเงินจากตรีซึ่งเป็นผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลง และจัตวาผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ ในจํานวนเงิน 150,000 บาท

2 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขได้อย่าง แนบเนียน หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ถือว่าตั๋วเงินนั้นไม่เสียไป และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วย กฎหมาย กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะถือเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้น เสมือนว่า ตั๋วเงินนั้นมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตัวนั้นก็ได้ (มาตรา
1007 วรรคสอง)

ตามตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าตรีได้แก้ไขจํานวนเงินได้อย่างแนบเนียน และการแก้ไขเห็นไม่ประจักษ์ พิเศษซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิถือเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้น เสมือนมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ กล่าวคือ ถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน พิเศษก็สามารถไล่เบี้ยเอาเงิน ตามเช็คจากตรีและจัตวาได้ตามจํานวนเงินที่ได้มีการแก้ไขแล้ว คือ 150,000 บาท และสามารถบังคับการใช้เงิน ตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วเงิน คือสามารถไล่เบี้ยเอาจากเอกผู้สั่งจ่าย และโทผู้สลักหลังได้ ในจํานวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งเป็นจํานวนเงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วเงินนั้น

LAW2113 (LAW2013) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 มีนาสั่งเมษาจ่ายตั๋วแลกเงินให้พฤษภา และขีดฆ่าหรือผู้ถือออก หลังจากนั้นต่อมาพฤษภาได้ ลงลายมือชื่อด้านหลังตั๋วแลกเงินโดยไม่ได้ระบุข้อความใด ๆ และส่งมอบชําระหนี้ให้แก่มิถุนาใน มูลหนี้กู้ยืม ก่อนถึงวันกําหนดใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน มิถุนานําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ส่งมอบชําระหนี้ ให้แก่กรกฎา โดยไม่ได้ลงลายมือชื่อและไม่ได้เขียนข้อความใด ๆ เลย

ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่ามิถุนาโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตาม กฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 วรรคสอง “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟัง เป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ

(1) กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเอง หรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มีนาสั่งเมษาจ่ายตั๋วแลกเงินให้พฤษภา และขีดฆ่าหรือผู้ถือออกนั้นถือว่า ตั๋วแลกเงินฉบับนี้เป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ ต่อมาการที่พฤษภาได้ลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินโดย ไม่ได้ระบุข้อความใด ๆ และส่งมอบชําระหนี้ให้แก่มิถุนาในมูลหนี้กู้ยืมนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่พฤษภาได้สลักหลังลอย และส่งมอบตั๋วแลกเงินให้แก่มิถุนา การโอนตั๋วแลกเงินระหว่างพฤษภาและมิถุนาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 วรรคสอง และให้ถือว่ามิถุนาเป็นผู้ทรงที่ได้รับตั๋วแลกเงินฉบับนี้ มาจากการสลักหลังลอยของพฤษภา และสามารถที่จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปโดยการสลักหลังและส่งมอบ หรือจะโอนตั๋วแลกเงินต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่กรอกข้อความใด ๆ และไม่สลักหลังใด ๆ ก็ได้ตามมาตรา 920 วรรคสอง

ดังนั้น การที่มิถุนาได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ส่งมอบชําระหนี้ให้แก่กรกฎาโดยไม่ได้ลงลายมือชื่อและ ไม่ได้เขียนข้อความใด ๆ เลยนั้น มิถุนาย่อมสามารถกระทําได้ตามมาตรา 920 วรรคสอง (3) การโอนตั๋วแลกเงิน ฉบับนี้ของมิถุนาจึงถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้

สรุป การโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ของมิถุนาถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมาย

ข้อ 2 นายเก่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้นายอ่อนใช้เงินให้กับนายฟ้า 50,000 บาท และมิได้ขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือออก และได้ส่งมอบให้กับนายฟ้าเพื่อชําระหนี้ต่อมานายฟ้าสลักหลัง ระบุชื่อนายตรีเป็นผู้รับประโยชน์และส่งมอบตัวชําระหนี้ให้กับนายตรี ต่อมานายตรีสลักหลังลอยและส่งมอบตัวชําระหนี้ให้แก่นายจัตวา หลังจากนั้นนายจัตวาส่งมอบตัวชําระหนี้ให้กับนางสี เมื่อถึงกําหนดเวลาใช้เงิน นางสีนําตัวไปยื่นให้นายอ่อนจ่ายเงินให้กับตนเอง แต่นายอ่อนปฏิเสธ ไม่ยอมจ่ายเงิน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายฟ้า นายตรี นายจัตวาจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ต่อนางสีเจ้าหนี้ตาม ตั๋วแลกเงิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”
มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้นายอ่อนใช้เงินให้กับนายฟ้า 50,000 บาท และมิได้ขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือออกนั้น ถือเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอน ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบตั๋วให้แก่กันโดยไม่ต้องมีการสลักหลัง (มาตรา 918)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จากที่มีการโอนตั๋วฉบับนี้ให้แก่นายตรี นายจัตวา และนางสีตามลําดับนั้น นายฟ้าและนายตรีได้ทําการสลักหลังตั๋วเงินฉบับนี้ด้วย (ไม่ว่าจะเป็นการสลักหลังระบุชื่อหรือสลักหลังลอย)
ตามกฎหมายให้ถือว่าการลงลายมือชื่อสลักหลังของนายฟ้าและนายตรีนั้นเป็นเพียงการรับอาวัลนายเก่ง
ผู้สั่งจ่ายเท่านั้น (มาตรา 921) นายฟ้าและนายตรีจึงต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับนายเก่งผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 940 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้น เมื่อถึงกําหนดเวลาใช้เงิน นางสีนําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ไปยื่นให้นายอ่อนจ่ายเงินให้กับตนเอง แต่นายอ่อนปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงิน ดังนี้ นายฟ้าและนายตรีจึงต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นให้แก่นางสีในฐานะเป็น ผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 921 ส่วนนายจัตวาเมื่อไม่ได้ลงลายมือชื่อของตน ในตั๋วแลกเงินนั้น จึงไม่ต้องรับผิดต่อนางสี (มาตรา 900 วรรคหนึ่ง)

สรุป นายฟ้าและนายตรีต้องรับผิดต่อนางสีในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย
ส่วนนายจัตวาไม่ต้องรับผิดต่อนางสี

ข้อ 3 ลัคนาสั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ 800000 (แปดแสนบาท) ให้ทักษาผู้ทรงเช็ค ก่อนถึงวันที่ลงในเช็ค ทักษาผู้ทรงเช็คได้ทําการแก้ไขจํานวนเงินจากน้อยไปมากได้อย่างแนบเนียน โดยการเติมเลข 0 (ศูนย์) ต่อท้ายกลายเป็น 8000000 (แปดล้านบาท) และนําเช็คไปเรียกเก็บเงินกับธนาคารผู้จ่าย

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยโดยอ้างอิงหลักกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงินว่าธนาคารจะหักบัญชีเงินฝากกระแส รายวันของลัคนาผู้สั่งจ่ายได้เพียงใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1007 “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคํารับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใน ข้อสําคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นกับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และ ตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรอง
มิได้ยินยอมด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ลัคนาสั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ 800,000 บาท ให้ทักษาผู้ทรงเช็ค ก่อนถึงวันที่ ลงในเช็ค ทักษาผู้ทรงเช็คได้ทําการแก้ไขจํานวนเงินจากน้อยไปมากได้อย่างแนบเนียน โดยการเติมเลข 0 (ศูนย์) ต่อท้ายกลายเป็น 8,000,000 บาท และได้นําเช็คไปเรียกเก็บเงินกับธนาคารผู้จ่ายนั้น โดยหลักแล้วเมื่อการแก้ไข จํานวนเงินดังกล่าวนั้น เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์เช็คนั้นย่อมไม่เสียไป และถ้าเช็คนั้นได้ตกไปอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถจะถือเอาประโยชน์จากเช็คนั้น เสมือนว่าเช็คนั้นไม่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้นก็ได้(มาตรา 1007 วรรคสองและวรรคสาม)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเช็คพิพาทที่มีการแก้ไขจํานวนเงินดังกล่าวนั้น ผู้ที่ทําการแก้ไขคือทักษา ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าว ดังนั้นแม้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นจะเห็นไม่ประจักษ์ก็ตามก็ถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทําให้ทักษาเป็นผู้ทรงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ทักษาจึงไม่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องจํานวนเงินในเช็คนั้นได้ไม่ว่าจะเป็นจํานวนที่แก้ไขใหม่หรือจํานวนเงินเดิมก่อนการแก้ไขตามมาตรา 1007 วรรคสอง ดังนั้น ธนาคารจึงหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลัคนาผู้สั่งจ่ายไม่ได้แม้ตามเนื้อความเดิมก็ไม่ได้เช่นกัน
เนื่องจากทักษาเป็นผู้ทรงเช็คที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง

สรุป ธนาคารจะหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลัคนาผู้สั่งจ่ายไม่ได้

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!