LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2109 (LAW 2009) ป.พ.พ.ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2564 นายฟักทองได้ยืมรถบ้านเป็นเวลา 3 เดือน จากนายเห็ดหอม เพื่อนําไปใช้เป็นที่พักภายในรีสอร์ทของนายฟักทองที่จังหวัดราชบุรี ปรากฏว่าเมื่อใกล้วันปีใหม่ รีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งของนายฟักทองที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีผู้จองเข้าพักจํานวนมาก นายฟักทองจึงนํา รถบ้านที่ยืมมาไปจอดเพื่อใช้เป็นที่พักที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาในวันที่ 4 มกราคม 2565 รถบ้านที่อยู่ในรีสอร์ทจังหวัดเพชรบูรณ์ถูกนายไข่ต้มซึ่งเมาแล้วขับรถจักรยานยนต์มาชนทําให้รถบ้านเสียหาย

ดังนี้ หากวันที่ 15 มกราคม 2555 นายเห็ดหอมทราบเหตุดังกล่าวจะบอกเลิกสัญญาแล้วเรียก ให้นายฟักทองคืนรถบ้านก่อนครบกําหนดระยะเวลายืมได้หรือไม่ และนายเห็ดหอมจะเรียกให้ นายฟักทองจ่ายค่าเสียหายจํานวน 10,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากต้องการฟ้องร้อง จะฟ้องร้องภายในอายุความกี่เดือน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความ ในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 649 “ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายฟักทองได้ยืมรถบ้านจากนายเห็ดหอม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2564 เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อนําไปใช้เป็นที่พักภายในรีสอร์ทของนายฟักทองที่จังหวัดราชบุรีนั้น ถือเป็นสัญญายืมใช้คงรูป ตามมาตรา 640 และมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 641 และเป็นสัญญายืมที่มีกําหนดระยะเวลาการยืม ซึ่งนายฟักทอง มีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถบ้านได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม รวมทั้ง จะต้องไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายฟักทองได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมโดย เอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา กล่าวคือ นายฟักทองได้เอารถบ้านที่ยืมนั้น ไปจอดเพื่อใช้เป็นที่พักที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามาตรา 643 ดังนั้น เมื่อนายเห็ดหอมได้ทราบเหตุดังกล่าวในวันที่ 15 มกราคม 2565 นายเห็ดหอมผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา แล้วเรียกให้นายฟักทองคืนรถบ้านก่อนครบกําหนดระยะเวลายืมได้ตามมาตรา 645

ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถบ้านเนื่องจากนายไข่ต้มซึ่งเมาแล้วขับรถจักรบานยนต์มาชนทําให้
รถบ้านเสียหายนั้น แม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุที่เกิดจากบุคคลภายนอกก็ตาม นายฟักทองก็ต้องรับผิดชอบ ตามมาตรา 643 ดังนั้น นายเห็ดหอมสามารถเรียกให้นายฟักทองจ่ายค่าเสียหายจํานวน 10,000 บาทได้ และ หากนายเห็ดหอมต้องการฟ้องร้องจะต้องฟ้องร้องภายในอายุความ 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญาตามมาตรา 649

สรุป นายเห็ดหอมสามารถบอกเลิกสัญญาแล้วเรียกให้นายฟักทองคืนรถบ้านก่อนครบกําหนดระยะเวลายืมได้ และสามารถเรียกให้นายฟักทองจ่ายค่าเสียหายจํานวน 10,000 บาทได้ และถ้าจะฟ้องร้อง ก็จะต้องฟ้องร้องภายในอายุความ 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา

ข้อ 2 นายแดงได้กู้ยืมเงินจากนายดําจํานวน 100,000 บาท โดยทําหลักฐานการกู้ยืมเงินตามกฎหมาย และได้นําเอาพระเครื่องเลี่ยมทองคํามาจํานําเป็นประกันการกู้แก่นายดําไว้ด้วย สัญญากู้มีกําหนด เวลาหนึ่งปี และตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายแดงโอนเงินเข้าบัญชี นายดําจํานวน 115,000 บาท เพื่อชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมด นายดําจึงคืนพระเครื่อง เลี่ยมทองคําให้นายแดง แต่ยังคงเก็บหลักฐานการกู้ไว้กับตน ภายหลังนายแดงทะเลาะกับนายดํา อย่างรุนแรง นายดําจึงนําเอาหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวมาฟ้องให้นายแดงชําระเงินที่กู้ยืมอีก

นายแดงให้การต่อสู้ว่าได้ชําระหนี้ทั้งหมดให้นายดําแล้ว และขอนําสืบถึงการชําระหนี้ดังกล่าวต่อศาล ดังนี้ หากท่านเป็นศาล ท่านจะอนุญาตให้นายแดงนําสืบว่าได้ชําระหนี้ทั้งหมดแล้วหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 321 วรรคหนึ่ง “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือ
ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้กู้ยืมเงินจากนายดําจํานวน 100,000 บาท โดยทําหลักฐาน การกู้ยืมเงินตามกฎหมาย และได้นําเอาพระเครื่องเลี่ยมทองคํามาจํานําเป็นประกันการกู้ยืมแก่นายดําไว้ด้วย สัญญากู้มีกําหนด 1 ปี และตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี การกู้ยืมเงินระหว่างนายแดงและนายดําย่อมมีผล สมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 650 และมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

และตามมาตรา 653 วรรคสองนั้น ในกรณีที่การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ ในการนําสืบว่า มีการใช้เงินแล้วจะสามารถนําสืบได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง
หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายแดงได้ชําระเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเป็นเงิน 115,000 บาท และนายดําได้คืนพระเครื่องเลี่ยมทองคําที่นายแดงนํามาวางเป็นหลักประกันการกู้ แต่ไม่ได้คืนหลักฐานการกู้ยืมให้นายแดง จึงไม่ถือว่าเป็นการเวนคืนหลักฐานการกู้ยืมตามมาตรา 653 วรรคสอง
แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายแดงได้ชําระเงินคืนให้แก่นายดํานั้น นายแดงได้โอนเงินเข้าบัญชีของนายดําซึ่งถือเป็น การชําระหนี้อย่างอื่นต นตามมาตรา 321 มิได้ชําระด้วยเงินตรา จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสอง ที่จะต้อง นําสืบว่ามีการใช้เงินด้วยหลักฐานเป็นหนังสือ

ดังนั้น นายแดงจึงสามารถนําสืบถึงการชําระหนี้ดังกล่าวได้ และถ้า ข้าพเจ้าเป็นศาล จะอนุญาตให้นายแดงนําสืบพยานหลักฐานแสดงถึงการชําระหนี้ทั้งหมดได้

สรุป หากข้าพเจ้าเป็นศาล จะอนุญาตให้นายแดงนําสืบพยานหลักฐานแสดงถึงการชําระหนี้ทั้งหมด

ข้อ 3 นายสุขเข้าพักที่โรงแรมนอนสงบ โดยนํารถยนต์ของตนเข้าจอดในลานจอดรถของโรงแรมหลับสนิท ซึ่งทางโรงแรมนอนสงบขอเช่าเป็นพื้นที่จอดรถเอาไว้ และในขณะลงทะเบียนเข้าพัก นายสุขมิได้ระบุเลขทะเบียนรถยนต์ของตนลงในแบบคําขอเข้าพักของโรงแรมนอนสงบ ต่อมา ปรากฏข้อเท็จจริงว่ารถยนต์ของนายสุขถูกคนร้ายลักเอาไปจากลานจอดรถของโรงแรมหลับสนิท ในเวลา 03.00 น. แต่นายสุขมาพบว่ารถยนต์ของตนหายไปในเวลา 07.00 น. และเดินหาอยู่เป็น เวลา 20 นาที จึงทําการแจ้งให้ผู้จัดการของโรงแรมนอนสงบทราบ แต่ทางโรงแรมนอนสงบปฏิเสธ ความรับผิด โดยให้เหตุผลว่า รถยนต์ของนายสุขมิได้อยู่ในพื้นที่ของทางโรงแรม และนายสุขก็มิได้ แจ้งต่อโรงแรมว่าตนได้นํารถยนต์เข้ามา ทั้งเมื่อรถยนต์หายนายสุขมิได้แจ้งในทันที

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การปฏิเสธความรับผิดของโรงแรมนอนสงบทั้งสามประการฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อ ความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง
ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือ บุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น เงินตรา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไป
ฝากไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุขเข้าพักที่โรงแรมนอนสงบ โดยนํารถยนต์ของตนเข้าจอดใน ลานจอดรถของโรมแรมหลับสนิทซึ่งทางโรมแรมนอนสงบขอเช่าเป็นพื้นที่จอดรถเอาไว้นั้น ย่อมถือว่านายสุขเป็น แขกอาศัยที่ได้นํารถยนต์อันเป็นทรัพย์สินเข้ามาในอาญาบริเวณของโรงแรมนอนสงบแล้ว แม้ว่ารถยนต์คันดังกล่าว
จะจอดอยู่ที่โรงแรมหลับสนิทก็ตาม และเมื่อปรากฏว่ารถยนต์ของนายสุขถูกคนร้ายลักเอาไปจากลานจอดรถของ โรงแรมหลับสนิทในเวลา 03.00 น. แต่นายสุขมาพบว่ารถยนต์ของตนหายไปในเวลา 07.00 น. และเดินหาอยู่ เป็นเวลา 20 นาที จึงได้ทําการแจ้งให้ผู้จัดการของโรงแรมนานสงบทราบนั้น ย่อมถือว่าเป็นการแจ้งทันทีที่ทราบว่า ทรัพย์สินของตนสูญหายตามมาตรา 676 อีกทั้งรถยนต์นั้นมิใช่เป็นของมีค่าตามนัยของมาตรา 675 วรรคสอง นายสุขจึงไม่จําต้องฝากไว้แก่ทางโรงแรมและบอกราคารถยนต์นั้นแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อรถยนต์ของนายสุข แขกอาศัยหายไป ทางโรงแรมนอนสงบจึงต้องรับผิดต่อนายสุขตามมาตรา 474 และมาตรา 475 จะปฏิเสธ ความรับผิดโดยให้เหตุผลว่ารถยนต์ของนายสุขมิได้อยู่ในพื้นที่ของทางโรงแรม และนายสุขมิได้แจ้งต่อโรงแรมว่า ตนได้นํารถยนต์เข้ามา ทั้งเมื่อรถยนต์หายนายสุขมิได้แจ้งในทันทีนั้นหาได้ไม่

สรุป การปฏิเสธความรับผิดของโรงแรมนอนสงบทั้ง 3 ประการฟังไม่ขึ้น โรงแรมนอนสงบต้องรับผิดชอบต่อนายสุข

 

LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายบรรเลงยืมชุดเครื่องเสียงจากนายบันเทิง เพื่อมาจัดงานเลี้ยงวันเกิดของนายบรรเลงที่บ้าน เนื่องจากชุดเครื่องเสียงของตนชํารุด อยู่ระหว่างการส่งซ่อม โดยนายบันเทิงเป็นคนใจดีและรักเพื่อน
จึงไม่ได้ถามว่าจะเอาไปใช้นานเท่าใด และนายบันเทิงก็เห็นว่าบ้านนายบรรเลงมียามคอยรักษาความปลอดภัยที่ประตูรั้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ขณะที่นายบรรเลงใช้เครื่องเสียงอยู่นั้น ปรากฏว่า นายบันลือแขกในงานเลี้ยงวันเกิดได้มาขโมยลําโพงไป 1 ตัว เป็นเงิน 15,000 บาท เช้าวันรุ่งขึ้น นายบันเทิงทราบจากเพื่อนบ้านของนายบรรเลงว่า ลําโพงของนายบันเทิงที่นายบรรเลงยืมมามีคนขโมยไป 1 ตัว

ดังนี้ นายบันเทิงจะสามารถเรียกให้นายบรรเลงนําชุดเครื่องเสียที่เหลือมาคืนในเช้าวันรุ่งขึ้นที่ตนทราบเรื่องลําโพงที่หายไปได้หรือไม่ และนายบันเทิงจะเรียกให้นายบรรเลงชดใช้ราคาลําโพงที่ หายไปให้กับตนได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”
ของตนเอง”

มาตรา 644 “ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สิน

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบรรเลงยืมชุดเครื่องเสียงจากนายบันเทิงเพื่อมาจัดเลี้ยงวันเกิดของนายบรรเลงที่บ้านนั้น สัญญายืมชุดเครื่องเสียงดังกล่าวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 และเมื่อนายบันเทิง ได้ส่งมอบชุดเครื่องเสียงให้นายบรรเลงแล้ว สัญญายืมดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 641 และเมื่อสัญญา

ยืมชุดเครื่องเสียงนั้นมิได้กําหนดระยะเวลากันไว้ เพียงแต่รู้ว่ายืมไปใช้เพื่อการใด คือรู้ว่ายืมไปใช้ในงานวันเกิด ของนายบรรเลง ดังนั้น นายบันเทิงผู้ให้ยืมย่อมสามารถเรียกคืนทรัพย์สินที่ให้ยืมได้หลังจากพ้นงานวันเกิดของ นายบรรเลงไปแล้วตามมาตรา 646 วรรคหนึ่ง เนื่องจากเป็นเวลาที่พอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้น เสร็จแล้ว และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ นายบันเทิงย่อมสามารถเรียกชุดเครื่องเสียงคืนจากนายบรรเลงได้ในเช้า วันรุ่งขึ้นที่ตนทราบเรื่องลําโพงที่หายไปได้ เพราะเป็นวันที่นายบรรเลงได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเสร็จแล้ว

ส่วนกรณีที่ลําโพง 1 ตัว ราคา 15,000 บาท ที่ถูกคนขโมยไปนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่านายบรรเลงผู้ยืม ได้นําไปใช้ไม่ถูกต้องตามมาตรา 643 กล่าวคือ ไม่ได้เอาไปใช้เพื่อการอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา ไม่ได้เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย และไม่ได้เอาไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ รวมทั้งไม่ปรากฏว่านายบรรเลงมิได้สงวนทรัพย์สินที่ยืมตามมาตรา 644 แต่อย่างใด เพราะงานเลี้ยงวันเกิดก็จัด ในบ้านของนายบรรเลงที่มียามรักษาความปลอดภัย ดังนั้น นายบันเทิงจะเรียกให้นายบรรเลงชดใช้ราคาลําโพง 15,000 บาท ไม่ได้

สรุป นายบันเทิงสามารถเรียกให้นายบรรเลงนําชุดเครื่องเสียงที่เหลือมาคืนในเช้าวันรุ่งขึ้นที่ตน ทราบเรื่องลําโพงที่หายไปได้ แต่จะเรียกให้นายบรรเลงชดใช้ราคาลําโพงที่หายไปให้ตนไม่ได้

ข้อ 2 นายจอนนี่ได้ขอยืมเงินจากนายสก็อตเพื่อนบ้านเป็นจํานวน 5,000 บาท โดยทําหลักฐานเป็นหนังสือ เอาไว้ ซึ่งมีนายปีเตอร์เป็นผู้เขียนหลักฐานการกู้ให้ เนื่องจากนายจอนนี่ไม่สามารถเขียนหนังสือได้ เพราะประสบอุบัติเหตุเมื่อครั้งยังเด็ก และทําให้จําเป็นต้องพิมพ์ลายนิ้วมือลงในหลักฐานการกู้ยืม ดังกล่าวในฐานะผู้กู้ ที่มีนายปีเตอร์และนางสาวแอนนาลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองในการพิมพ์ ลายนิ้วมือของนายจอนนี่ด้วย

ดังนี้ หากนายสก็อตจะฟ้องนายจอนนี่เพื่อเรียกเงินจํานวน 5,000 บาทคืน นายจอนนี่ต้องรับผิด ตามหลักฐานการกู้ดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทําเป็นหนังสือ บุคคลผู้จะต้องทําหนังสือไม่จําเป็นต้องเขียนเอง แต่หนังสือนั้นต้องลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น

ลายพิมพ์นิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเช่นว่านั้น ที่ทําลงในเอกสารแทน
การลงลายมือชื่อ หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้วให้ถือเสมอกับลงลายมือชื่อ”

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่งได้กําหนดไว้ว่า การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 ขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับ คดีกันได้จะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ ซึ่งการทํา หลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือนั้น ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่งได้กําหนดไว้ว่า บุคคลผู้จะต้องทําหนังสือนั้นไม่จําเป็น ต้องเขียงเอง จะเขียนหรือพิมพ์โดยผู้ใดก็ได้ แต่ที่สําคัญต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้กู้ยืมตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 9 วรรคหนึ่ง และในกรณีที่ผู้กู้ยืมไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ ก็สามารถพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเช่นว่านั้นที่ทําลงในเอกสารแทนการลงลายมือชื่อได้ หากมีพยาน ลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้ว ให้ถือเสมอกับลงลายมือชื่อตามมาตรา 9 วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจอนนี่กู้ยืมเงินจากนายสก็อตเป็นเงิน 5,000 บาท โดยได้ทําหลักฐาน เป็นหนังสือโดยให้นายปีเตอร์เป็นผู้เขียนหลักฐานการกู้ให้ เนื่องจากนายจอนนี่ไม่สามารถเขียนหนังสือได้ และทําให้ จําเป็นต้องพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือลงในหลักฐานการกู้ยืมดังกล่าวในฐานะผู้กู้ และเมื่อปรากฏว่ามีพยาน 2 คน คือ นายปีเตอร์และนางสาวแอนนา ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองในการพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือของนายจอนนี่ด้วย จึงถือว่าเอกสารดังกล่าวใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินของนายจอนนี่ได้ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง จึงทําให้นายจอนนี่ต้องรับผิดตามหลักฐานการกู้เงินดังกล่าว ดังนั้น นายสก็อตจึงสามารถฟ้องนายจอนนี่เพื่อเรียกเงินกู้ยืมจํานวน 5,000 บาทคืนได้

สรุป หากนายสก็อตจะฟ้องนายจอนนี่เพื่อเรียกเงินกู้ยืมจํานวน 5,000 บาทคืน นายจอนนี่ต้อง รับผิดตามหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าว

ข้อ 3 นายสงัดเข้าพักที่โรงแรมเย็นสงบเป็นเวลา 3 คืน โดยได้สิทธิพิเศษจากทางโรงแรมให้จ่ายค่าที่พัก คืนแรกคืนเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าในคืนที่สองนายสงัดได้เข้าไปใช้บริการร้านนวดผ่อนคลายของโรงแรมและได้ทําการเก็บสร้อยคอทองคําราคา 50,000 บาท และแหวนเพชรราคา 80,000 บาท ไว้ในตู้ล็อคเกอร์ของร้านนวดดังกล่าว โดยบอกกล่าวแก่นายชื่นพนักงานของร้านนวดให้ช่วยดูแลให้ เป็นอย่างดีเพราะเป็นของราคาแพง ปรากฏว่ามีคนร้ายมาลักเอาสร้อยคอทองคําราคา 50,000 บาท และแหวนเพชรราคา 80,000 บาท ของนายสงัดไป เมื่อทราบถึงการสูญหายดังกล่าว นายสงัดจึง รีบแจ้งแก่ผู้จัดการของโรงแรมเย็นสงบในทันที แต่ทางโรงแรมเย็นสงบปฏิเสธความรับผิดต่อ นายสงัด โดยอ้างว่าอยู่ในช่วงที่นายสงัดเข้าพักฟรี จึงไม่อยู่ในระยะเวลาที่โรงแรมจะต้องรับผิด ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า โรงแรมเย็นสงบมีความรับผิดต่อนายสงัดหรือไม่ และหากจะต้องรับผิด จะต้องรับผิดเป็นจํานวนเท่าใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้น ก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทาง หรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย หากทรัพย์สินนั้นได้สูญหายหรือบุบสลายภายในบริเวณโรงแรม และรวมถึงสถานที่ที่ทางโรงแรมได้ใช้เพื่อประโยชน์ของแขกอาศัยหรือ คนเดินทางด้วยตามมาตรา 674

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้นเป็นของมีค่า เช่น เงินตรา ทองคํา แหวนเพชร หรือพระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสงัดเข้าพักที่โรงแรมเย็นสงบเป็นเวลา 3 คืน โดยได้สิทธิพิเศษจาก ทางโรงแรมให้จ่ายค่าที่พักแค่คืนแรกคืนเดียวเท่านั้น และในคืนที่สองนายสงัดได้เข้าไปใช้บริการร้านนวดผ่อนคลาย ของโรงแรม และได้ทําการเก็บสร้อยคอทองคําราคา 50,000 บาท และแหวนเพชรราคา 80,000 บาท ไว้ใน ตู้ล็อคเกอร์ของร้านนวดดังกล่าว เมื่อปรากฏว่ามีคนร้ายมาลักเอาสร้อยคอทองคําและแหวนเพชรของนายสงัดไปย่อมถือได้ว่าทรัพย์สินของนายสงัดคนเดินทางได้สูญหายไปในอาณาบริเวณของโรงแรม ดังนั้น ทางโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อนายสงัดตามมาตรา 674 โดยไม่ต้องคํานึงว่าคนเดินทางได้สิทธิเข้าพักฟรีหรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อทรัพย์สินของนายสงัดที่สูญหายไปนั้น คือ สร้อยคอทองคําและแหวนเพชร ซึ่งถือเป็นของมีค่า เมื่อนายสงัดมิได้มีการนําฝากและบอกราคาของนั้นอย่างชัดแจ้งแก่ทางโรงแรม นายสงัดเพียงแต่
บอกกล่าวแก่นายชื่นพนักงานของร้านนวดให้ช่วยดูแลให้เท่านั้น ดังนั้น ทางโรงแรมเย็นสงบจึงมีความรับผิดต่อ นายสงัดเป็นจํานวนเงิน 5,000 บาทเท่านั้น ตามมาตรา 675 วรรคสอง

สรุป โรงแรมเย็นสงบต้องรับผิดต่อนายสงัดคนเดินทาง แต่รับผิดเพียง 5,000 บาท

LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 ตาแป๋วตกลงให้มันม่วงยืมรถยนต์โดยตกลงกันด้วยวาจา เมื่อมันม่วงได้รับมอบรถจากตาแป๋วแล้ว วันหนึ่งมันม่วงต้องไปทําธุระที่สถานีตํารวจ จึงนํารถยนต์ของตาแป๋วไปจอดไว้ใกล้ ๆ สถานีตํารวจ ซึ่งบริเวณนั้นมีรถยนต์ของบุคคลอื่นที่มาติดต่อจอดอยู่เช่นกัน โดยปิดกระจกล็อคกุญแจและตรวจสอบความเรียบร้อยของรถเป็นอย่างดี เมื่อทําธุระเสร็จกลับมาพบว่ารถของตาแป๋วหายไป จึงรีบแจ้งความ และติดตามหารถคืนในทันที แต่สุดท้ายก็ไม่อาจติดตามเอารถคืนมาได้ เมื่อตาแป๋วทราบว่ารถของตน หายไป จึงเรียกให้มันม่วงรับผิดในความสูญหายของรถ มันม่วงอ้างว่าไม่ได้กระทําผิดสัญญายืมและกรณีนี้ไม่ได้ทําสัญญายืมเป็นลายลักษณ์อักษรจึงไม่ต้องรับผิดในความสูญหายของรถ

ดังนี้ ข้อต่อสู้ของมันม่วงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

มาตรา 644 “ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตาแป๋วตกลงให้มันม่วงยืมรถยนต์โดยตกลงกันด้วยวาจา และได้ส่งมอบ รถยนต์ให้มันม่วงแล้วนั้น สัญญายืมระหว่างตาแป๋วกับมันม่วงถือเป็นสัญญายืมใช้คงรูปและมีผลสมบูรณ์ตาม กฎหมายตามมาตรา 640 และมาตรา 641 ทั้งนี้เพราะสัญญายืมใช้คงรูปนั้นเป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้กําหนดแบบ ไว้แต่อย่างใด ดังนั้นจึงอาจตกลงกันทําสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือจะตกลงกันด้วยวาจาก็ได้ เพียงแต่มาตรา 641 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญายืมใช้คงรูปนั้น ย่อมบริบูรณ์เมื่อได้มีการส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม
การที่มันม่วงไปทําธุระที่สถานีตํารวจ จึงนํารถยนต์ไปจอดไว้ใกล้ ๆ สถานีตํารวจ ซึ่งบริเวณนั้น มีรถยนต์ของบุคคลอื่นจอดอยู่ด้วย โดยปิดกระจกล็อคกุญแจ และตรวจสอบความเรียบร้อยของรถเป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อพบว่ารถของตาแป๋วหายไปก็รีบแจ้งความและรีบติดตามหารถคืนในทันที จึงเป็นกรณีที่ถือว่ามันม่วงได้ใช้ ความระมัดระวังในการสงวนรถยนต์ที่ยืมเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองตามมาตรา 644 แล้ว

และนอกจากนั้น จากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่ามันม่วงได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมมาฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของผู้ยืมตาม มาตรา 643 แต่อย่างใด ดังนั้น กรณีที่รถยนต์ของตาแป๋วหายไปนั้น มันม่วงจึงอ้างได้ว่าตนไม่ได้กระทําผิดสัญญายืม จึงไม่ต้องรับผิด แต่จะอ้างว่าตนไม่ต้องรับผิด เพราะไม่ได้ทําสัญญายืมเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของมันม่วงที่ว่าตนไม่ได้กระทําผิดสัญญายืม จึงไม่ต้องรับผิดในความสูญหายของ รถยนต์นั้นฟังขึ้น ส่วนกรณีที่อ้างว่าสัญญายืมไม่ได้ทําเป็นลายลักษณ์อักษรตนจึงไม่ต้องรับผิดนั้นฟังไม่ขึ้น

ข้อ 2 นายเอกทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโท 1,000,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กําหนด ชําระหนี้ 1 ปี และมีข้อตกลงในสัญญากู้ยืมด้วยว่า หากถึงกําหนดชําระหนี้นายเอกไม่มีเงินคืน ยินยอมโอนรถยนต์โบราณของตนให้นายโทแทน ต่อมาเมื่อถึงกําหนดชําระหนี้ นายเอกไม่มีเงิน ชําระหนี้จึงได้ทําการโอนรถยนต์โบราณของตนให้นายโทจนเสร็จเรียบร้อย โดยมีราคาตาม ท้องตลาดในเวลาและสถานที่ส่งมอบเท่ากับ 1,150,000 บาท ซึ่งเป็นจํานวนพอดีกับต้นเงินและ ดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม สองเดือนต่อมานายโทได้นําสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวที่มีลายมือชื่อของนาย เอกไปฟ้องศาลเรียกเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา และเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดด้วย แต่นายเอกไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงการชําระหนี้คืนมานําสืบให้ศาลเห็นแต่ประการใด ดังนี้ นายเอกจึงมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นทนายความว่าควรทําเช่นใด และนายเอกจะต้องชําระหนี้ เงินกู้ยืมดังกล่าวอีกครั้งหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว
หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 656 “ถ้าทําสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทน จํานวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชําระโดยจํานวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้น ในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ

ถ้าทําสัญญากู้ยืมเงินกันและผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชําระหนี้แทน
เงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชําระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจํานวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือ ทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโท 1,000,000 บาท ในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อปี กําหนดชําระหนี้ 1 ปี และมีข้อตกลงในสัญญากู้ยืมด้วยว่า หากถึงกําหนดชําระหนี้นายเอกไม่มี เงินคืน ยินยอมโอนรถยนต์โบราณของตนให้นายโทแทนนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างนายเอกและนายโทถือเป็นการทํา สัญญากู้ยืมเงินที่ผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงินตามาตรา 656 วรรคหนึ่ง และ สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมีผลสมบูรณ์และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 650 และมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

และตามมาตรา 653 วรรคสอง นั้น ในกรณีที่การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ ในการนําสืบว่า มีการใช้เงินแล้วจะสามารถนําสืบได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง
หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

เมื่อถึงกําหนดชําระหนี้ การที่นายเอกไม่มีเงินชําระหนี้จึงได้ทําการโอนรถยนต์โบราณของตนให้นายโทจนเสร็จเรียบร้อยโดยมีราคาตามท้องตลาดในเวลาและสถานที่ส่งมอบเท่ากับ 1,150,000 บาท ซึ่งเป็น จํานวนพอดีกับต้นเงินและดอกเบี้ยนั้น ถือเป็นการชําระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงิน และเมื่อนายโท ผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว หนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวย่อมระงับไปตามมาตรา 656 นายโทจะให้นายเอก ชําระหนี้ใหม่ไม่ได้ แม้ว่าการชําระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นของนายเอกจะไม่มีหลักฐานการคืนอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามมาตรา 653 วรรคสองก็ตาม เพราะการชําระหนี้ด้วยสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงินตาม มาตรา 656 นั้น ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อนายโทได้นําสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไปฟ้องศาลเรียกเงินกู้คืนพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา และเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดด้วยนั้น นายเอกจึงไม่ต้องชําระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวอีกครั้ง โดยนายเอกสามารถ นําพยานหลักฐานอย่างอื่นมานําสืบได้ว่าตนได้ชําระหนี้ด้วยรถยนต์โบราณของตนไปแล้ว หนี้จึงระงับลง

สรุป นายเอกสามารถนําพยานหลักฐานอย่างอื่นมานําสืบได้ว่าตนได้ชําระหนี้ด้วยรถยนต์โบราณ ของตนให้แก่นายโทแล้ว ทําให้หนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวระงับลง และนายเอกไม่ต้องชําระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวอีกครั้ง

ข้อ 3 นายอาทิตย์เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนสุขุมวิท โดยมีนายจันทร์เข้าพักอยู่ด้วยในห้อง เดียวกัน ในการเข้าพักครั้งนี้นายอาทิตย์เป็นผู้ลงชื่อในใบลงทะเบียนเข้าพักเพียงคนเดียว หลังจากนํากระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บในห้องพักแล้ว ทั้งคู่ได้ออกไปเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าและเมื่อ กลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้งก็พบว่ากระเป๋าเดินทางถูกรื้อค้น มีของที่ถูกขโมยไปคือรองเท้ากีฬา ของนายจันทร์ 1 คู่ ราคา 7,000 บาท นายอาทิตย์และนายจันทร์รีบแจ้งต่อนายสมศักดิ์ซึ่งเป็น ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมให้ทราบทันที แต่นายสมศักดิ์ต่อสู้ว่านายจันทร์ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏ ในการลงทะเบียนเข้าพัก เจ้าสํานักจึงไม่ต้องรับผิดในทรัพย์สินของนายจันทร์

ในท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายสมศักดิ์รับฟังได้หรือไม่ เจ้าสํานักโรงแรมจะต้องรับผิดหรือไม่ เป็นจํานวนเท่าใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อ ความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง
ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 674 และ 675 ได้กําหนดให้เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ลจะต้องรับผิดชอบในความสูญหาย หรือเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยนั้น ให้หมายความรวมถึงบุคคลที่เข้าพักอาศัย
ร่วมกับผู้เดินทางด้วย ความรับผิดของเจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ลไม่ได้จํากัดเฉพาะทรัพย์สินของผู้ที่ลงทะเบียน เข้าพักแรมเท่านั้น ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์เมื่อทรัพย์สินของนายจันทร์หายไป นายสมศักดิ์ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไป ของโรงแรมจึงต้องรับผิดชอบ จะต่อสู้ว่านายจันทร์ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏในการลงทะเบียนเข้าพักไม่ได้

และเมื่อทรัพย์สินที่สูญหายไป คือ รองเท้ากีฬาของนายจันทร์ 1 คู่ ราคา 7,000 บาท นั้น เป็น ทรัพย์ทั่ว ๆ ไปตามมาตรา 675 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่ทรัพย์ที่มีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง ดังนั้น แม้ว่าจะ ไม่ได้มีการฝากทรัพย์นั้นไว้แก่เจ้าสํานัก เจ้าสํานักโรงแรมก็ต้องรับผิดชอบเต็มจํานวน และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนายจันทร์พบเห็นว่าทรัพย์สินนั้นสูญหาย นายจันทร์ได้แจ้งความนั้นต่อนายสมศักดิ์เจ้าสํานักโรงแรมทันที ตามมาตรา 676 ดังนั้นกรณีนี้นายสมศักดิ์จึงต้องรับผิดต่อนายจันทร์เป็นจํานวนเงิน 7,000 บาท

สรุป ข้อต่อสู้ของนายสมศักดิ์ที่ว่านายจันทร์ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีชื่อปรากฏในการลงทะเบียนเข้าพักเจ้าสํานักจึงไม่ต้องรับผิดในทรัพย์สินของนายจันทร์นั้นรับฟังไม่ได้ เจ้าสํานักโรงแรมจะต้องรับผิดต่อนายจันทร์เป็นจํานวนเงิน 7,000 บาท

 

LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายพิซซ่าและนายผักสลัดเป็นเพื่อนบ้านกัน ในเดือนเมษายน 2563 นายพิซซ่าต้องออกจากงาน เพราะบริษัทที่ตนทํางานอยู่ปิดกิจการลง นายพิซซ่าจึงมาขอยืมรถจักรยานยนต์ของนายผักสลัด เพื่อเอาไปขับรับจ้างส่งอาหาร นายผักสลัดเห็นว่านายพิซซ่าเป็นเพื่อนบ้านที่ดีจึงให้ยืม โดยกําหนด ระยะเวลายืม 3 เดือน วันหนึ่งนายสเต็กเพื่อนเก่าของนายพิซซ่าผ่านมาและพูดจาหว่านล้อมต่าง ๆ นานา เพื่อขอยืมรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวทดลองที่ 1 วัน นายพิซซ่าจึงใจอ่อนให้ยืม อย่างไรก็ตาม นายสเต็กขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวนี้ไปและไม่กลับมาอีกเลย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายพิซซ่ามีความรับผิดหรือไม่ และหากนายพิซซ่าอ้างว่าไม่ใช่ความผิดของตน แต่เป็นเหตุสุดวิสัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิซซ่ายืมรถจักรยานยนต์ของนายผักสลัดเพื่อเอาไปขับรับจ้าง ส่งอาหารนั้น ถือเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 และเมื่อนายผักสลัดได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ นายพิซซ่าแล้ว สัญญายืมดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 641 และผู้ยืมย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้สอย รถจักรยานยนต์ได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม รวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายพิซซ่าได้เอารถจักรยานยนต์ที่ยืมนั้นให้นายสเต็กยืมไปใช้ต่อ ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย จึงเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตาม มาตรา 643 ซึ่งจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใดถึงแม้ว่าจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม ดังนั้น การที่นายสเต็กได้ขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปและไม่กลับมาอีกเลย นายพิซซ่า จึงต้องรับผิดต่อนายผักสลัดผู้ให้ยืมในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหาย และกรณีดังกล่าวนายพิชซ่าจะอ้างว่าไม่ใช่ความผิดของตนแต่เป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ เพราะไม่ใช่เหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด
สรุป นายพิชซ่าจะต้องรับผิดต่อนายผักสลัดผู้ให้ยืมในเหตุที่ทรัพย์สินที่ยืมนั้นสูญหาย และจะ อ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้

ข้อ 2 นายโทตกลงด้วยวาจาให้นายเอกกู้ยืมเงินจํานวน 50,000 บาท และคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี โดยส่งมอบเงินให้นายเอกเรียบร้อย ต่อมาหากนายเอกผิดนัดชําระหนี้ นายโทสามารถ ฟ้องให้นายเอกชําระหนี้ได้หรือไม่ และข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยมีผลเป็นเช่นไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบเงิน ที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโทตกลงให้นายเอกกู้ยืมเงินด้วยวาจาจํานวน 50,000 บาทนั้น เมื่อ นายโทได้ส่งมอบเงินให้นายเอกเรียบร้อยแล้ว การกู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 650 แต่อย่างไร ก็ตาม เมื่อการกู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใด อย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ ดังนั้น เมื่อต่อมานายเอกผิดนัดชําระหนี้ นายโทจึงไม่สามารถฟ้องให้นายเอก ชําระหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้ เพราะขาดหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

สําหรับข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยซึ่งมีการตกลงคิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีนั้น ถือว่า เป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา 654 ซึ่งได้กําหนดว่าห้ามมิให้คิดดอกเบี้ย เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ย เกินอัตรา พ.ศ. 2560 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150

สรุป นายโทไม่สามารถฟ้องให้นายเอกชําระหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้ ส่วนข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 20 ต่อปีนั้นตกเป็นโมฆะ

ข้อ 3 นายหนึ่งเข้าพัก ณ โรงแรมทะเลสีคราม ในจังหวัดตราด โดยนํารถยนต์จอดไว้ที่บริเวณลานจอดรถ ของโรงแรม ในตอนดึกระหว่างที่นายหนึ่งนอนหลับอยู่ในห้องพัก ปรากฏว่ามีคนมาทุบรถยนต์ นายหนึ่งแล้วขโมยกระเป๋าทํางาน ซึ่งภายในมีคอมพิวเตอร์ราคา 100,000 บาท โทรศัพท์มือถือ ราคา 20,000 บาท และเงินสด 8,000 บาท เมื่อนายหนึ่งตื่นมาพบจึงรีบแจ้งให้ทางโรงแรมทราบ ทางโรงแรมอ้างว่าเป็นความประมาทของนายหนึ่งเองที่นําของมีค่าทิ้งไว้ในรถ จึงปฏิเสธความรับผิด ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของทางโรงแรมฟังขึ้นหรือไม่ และทางโรงแรมจะต้องรับผิดแก่นายหนึ่ง หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อ ความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือ บุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น เงินตรา แหวนเพชร หรือ
พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งเข้าพัก ณ โรงแรมทะเลสีครามในจังหวัดตราด โดยนํารถยนต์ จอดไว้ที่บริเวณลานจอดรถของโรงแรมนั้น ทางโรงแรมย่อมต้องมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัย
เมื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายทางโรงแรมจะต้องรับผิดชอบ ดังนั้น การที่ทรัพย์สินของนายหนึ่งซึ่งอยู่ในรถที่จอดไว้ที่บริเวณลานจอดรถของโรงแรมสูญหาย ทางโรงแรมจึงต้องรับผิดชอบ ตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675 จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นความประมาทของนายหนึ่งเองที่นํา ของมีค่าทิ้งไว้ในรถไม่ได้

และตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อนายหนึ่งตื่นมาและพบความสูญหายจึงได้แจ้งแก่ทางโรงแรมทันที
ตามมาตรา 676 ดังนั้น ทางโรงแรมจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด โดยจะต้องรับผิดต่อนายหนึ่งดังนี้ คือ

1 กรณีเครื่องคอมพิวเตอร์ราคา 100,000 บาท และโทรศัพท์มือถือราคา 20,000 บาทนั้น เป็นทรัพย์สินทั่วไป ทางโรงแรมจึงต้องรับผิดเต็มจํานวนรวม 120,000 บาท ตามมาตรา 675 วรรคหนึ่ง

2 กรณีเงินสดจํานวน 8,000 บาทนั้น ถือเป็นของมีค่า เมื่อนายหนึ่งไม่ได้ฝากไว้แก่ทางโรงแรม ดังนั้นทางโรงแรมจึงรับผิดเพียง 5,000 บาท ตามมาตรา 675 วรรคสอง

สรุป ข้ออ้างของทางโรงแรมฟังไม่ขึ้น และทางโรงแรมจะต้องรับผิดต่อนายหนึ่งในความสูญหาย ของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเงิน 100,000 บาท โทรศัพท์มือถือเป็นเงิน 20,000 บาท และกรณีเงินสดจํานวน 5,000 บาท

 

LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายหนึ่งและนายสองเป็นเพื่อนเรียนคณะนิติศาสตร์ด้วยกัน เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 นายสอง มาขอยืมหนังสือ LAW 2009 จากนายหนึ่งเพื่อไปอ่านเตรียมสอบเทอม 1/62 นายหนึ่งเห็นว่า ตนสอบผ่าน LAW 2009 มานานแล้ว จึงตกลงให้นายสองยืมพร้อมทั้งส่งมอบหนังสือให้เรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 11 ตุลาคม 2562 นายสามซึ่งเป็นน้องชายของนายหนึ่งได้มาขอยืมหนังสือ LAW 2009 จากนายหนึ่งเช่นเดียวกัน ให้ท่านวินิจฉัยว่า

ก นายหนึ่งจะเรียกหนังสือคืนจากนายสองเพื่อเอาไปให้นายสามน้องชายของตนได้หรือไม่ เพราะ เหตุใด
ข หากนายสองสอบเสร็จแล้วไม่นําหนังสือ LAW 2009 ไปคืนนายหนึ่งแล้วต่อมาเกิดความเสียหายขึ้น กับหนังสือ ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียก
ของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก การที่นายหนึ่งตกลงให้นายสองยืมหนังสือ LAW 2009 เพื่อไปอ่านเตรียมสอบเทอม 1/62 และ ได้ส่งมอบหนังสือให้เรียบร้อยแล้วนั้น สัญญายืมระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญายืมใช้คงรูปและมีผลสมบูรณ์ ตามมาตรา 640 และมาตรา 641 และเป็นสัญญายืมใช้คงรูปที่ไม่ได้กําหนดระยะเวลาในการยืมไว้ซึ่งตามมาตรา 646 ได้กําหนดไว้ว่าให้ผู้ยืมคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา

ดังนั้น เมื่อนายสองยังสอบไม่เสร็จ นายหนึ่งจะเรียกหนังสือคืนจากนายสองเพื่อเอาไปให้นายสามน้องชายของตนไม่ได้

ข ตามมาตรา 643 ได้กําหนดหน้าที่ของผู้ยืมไว้ว่า ผู้ยืมจะต้องไม่เอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการอันเป็นปกติของทรัพย์นั้นหรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา ต้องไม่เอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้ บุคคลภายนอกใช้สอย และต้องไม่เอาทรัพย์สินที่ยืมไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ ซึ่งถ้าผู้ยืมกระทําผิดหน้าที่ของ ผู้ยืมดังกล่าว ผู้ยืมจะต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินที่ยืม แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ดังนั้น การที่นายสองสอบเสร็จแล้วไม่นําหนังสือ LAW 2009 ไปคืนนายหนึ่ง ย่อมถือว่าเป็นการเอาทรัพย์ที่ยืมไว้ นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ ต่อมาเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับหนังสือ ผู้ยืมคือนายสองจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบใน ความเสียหายนั้น

สรุป
ก. นายหนึ่งจะเรียกหนังสือคืนจากนายสองในขณะที่นายสองยังสอบไม่เสร็จไม่ได้
ข. หากนายสองสอบเสร็จแล้วไม่นําหนังสือ LAW 2009 ไปคืนนายหนึ่งแล้วต่อมาเกิดความ เสียหายขึ้นกับหนังสือ นายสองจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ข้อ 2 นางสาวใบเตยยืมเงินเสี่ยท็อปเป็นเงิน 20,000 บาท โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมาย ทั้งคู่ ตกลงคิดดอกเบี้ยในการกู้ยืมครั้งนี้ 3,000 บาท ต่อมานางสาวใบเตยชําระหนี้งวดแรกเป็นค่าดอกเบี้ย โดยการเอาโทรศัพท์มาตีใช้หนี้จํานวน 3,000 บาท ครั้งที่สองชําระหนี้เงินต้นด้วยเช็คจํานวน 20,000 บาท แต่ถึงกําหนดเช็คไม่มีเงินจึงถูกเสี่ยท็อปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในข้อหา ไม่มีการใช้เงินตามเช็ค นางสาวใบเตยจึงได้นําเงินจํานวน 20,000 บาท มามอบให้พนักงานสอบสวน เพื่อมอบให้แก่เสี่ยท็อป พนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้เสี่ยท็อปลงชื่อรับเงินไว้ในบันทึก ดังกล่าว ดังนี้ หากเสี่ยท็อปจะฟ้องร้องให้นางสาวใบเตยคืนเงินที่ยืมทั้งหมดใหม่ นางสาวใบเตยจะนําสืบว่าตนชําระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดแล้วได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 321 วรรคหนึ่ง “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือ ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวใบเตยยืมเงินเสี่ยท็อปเป็นเงิน 20,000 บาท โดยมีหลักฐานเป็น หนังสือตามกฎหมายนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างนางสาวใบเตยและเสี่ยท็อปย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 650 และมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

และตามมาตรา 653 วรรคสองนั้น ในกรณีที่การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ ในการนําสืบว่า
มีการใช้เงินแล้วจะสามารถนําสืบได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

การที่นางสาวใบเตยได้ชําระหนี้งวดแรกเป็นค่าดอกเบี้ยโดยการเอาโทรศัพท์มาตีใช้หนี้จํานวน
3,000 บาทนั้น ถือเป็นการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ และเมื่อเสี่ยท็อปเจ้าหนี้ยอมรับหนี้ ในส่วนดอกเบี้ยจํานวน 3,000 บาท ย่อมระงับไปตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง เสี่ยท็อปจะฟ้องร้องให้นางสาวใบเตย ชําระหนี้ใหม่ไม่ได้ แม้ว่าการชําระหนี้ด้วยการเอาโทรศัพท์มาตีใช้หนี้ของนางสาวใบเตยจะไม่มีหลักฐานอย่างใด อย่างหนึ่งตามมาตรา 653 วรรคสองก็ตาม เพราะการชําระหนี้ด้วยสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นแทนจํานวนเงิน ตามมาตรา 321 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสองที่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนั้น นางสาวใบเตย จึงสามารถนําพยานบุคคลมาสืบถึงการชําระหนี้ (ดอกเบี้ย) ได้

ส่วนในงวดที่สองซึ่งนางสาวใบเตยได้ชําระหนี้เงินต้นจํานวน 20,000 บาท โดยได้นําเงิน 20,000 บาท มามอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อมอบให้แก่เสี่ยท็อป และพนักงานสอบสวนได้ทําบันทึกและให้เสี่ยท็อปลงชื่อรับเงินไว้ในบันทึกดังกล่าวนั้น บันทึกของพนักงานสอบสวนดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ ผู้ให้ยืมตามมาตรา 653 วรรคสองแล้ว นางสาวใบเตยจึงสามารถใช้บันทึกฉบับนี้นําสืบต่อศาลถึงการชําระหนี้เงินต้น จํานวน 20,000 บาทได้ว่าตนได้ชําระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดแล้ว ดังนั้น เสี่ยท็อปจึงไม่อาจฟ้องร้องให้นางสาวใบเตย คืนเงินที่ยืมทั้งหมดใหม่ได้

สรุป เสี่ยท็อปจะฟ้องร้องให้นางสาวใบเตยคืนเงินที่ยืมทั้งหมดใหม่ไม่ได้ และนางสาวใบเตยสามารถ นําสืบว่าตนชําระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดแล้วได้

ข้อ 3 อาทิตย์เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยได้รับบัตรเชิญให้มาพักฟรีในคืนแรก แต่ถ้าอาทิตย์ต้องการพักในคืนต่อ ๆ ไป โรงแรมจะคิดค่าที่พักแค่ 50% ของค่าห้องปกติ อาทิตย์ จึงตกลงเข้าพักแค่คืนเดียวจึงเป็นการได้เข้าพักฟรี ในระหว่างที่อาทิตย์ลงไปรับประทานอาหาร ที่ห้องอาหารของโรงแรมได้หยิบเอาเหล็กไหลมูลค่า 10 ล้านบาทขึ้นมาอวดแขกอื่น ๆ ที่มานั่ง ในห้องอาหารนี้ เมื่อกลับเข้าห้องพักก็หยิบเหล็กไหลกลับเข้าไปในห้องพักด้วย ตกกลางคืนมีคน แอบงัดแงะเข้าไปขโมยของในห้องของอาทิตย์และขโมยเหล็กไหลดังกล่าวไป อาทิตย์จึงแจ้งให้ จันทร์ผู้เป็นเจ้าของสํานักโรงแรมรับผิดชอบชดใช้ราคาเหล็กไหลจํานวน 10 ล้านบาทแก่อาทิตย์ แต่จันทร์ต่อสู้ว่าอาทิตย์ได้พักที่โรงแรมนี้โดยไม่เสียค่าที่พักจันทร์จึงไม่ต้องรับผิด ไม่อาจถือว่า อาทิตย์เป็น “แขกอาศัย” ตามความหมายของเรื่องเจ้าสํานักโรงแรม ในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของจันทร์ถูกต้องหรือไม่ จันทร์ต้องรับผิดชดใช้ต่อทรัพย์สิน ของอาทิตย์ที่สูญหายหรือไม่ เพียงไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อ ความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้นเป็นของมีค่า เช่น เงินตรา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียง 5,000 บาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไป ฝากไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่อาทิตย์เข้าพักที่โรงแรมซึ่งมีจันทร์เป็นเจ้าสํานักโรงแรมนั้น แม้การที่อาทิตย์ เข้าพักจะเป็นการพักฟรีเพราะได้รับบัตรเชิญก็ตาม ก็ถือว่าอาทิตย์อยู่ในฐานะของคนเดินทางหรือแขกอาศัยตามนัย ของมาตรา 474 แล้ว ดังนั้น จันทร์ซึ่งเป็นเจ้าสํานักโรงแรมจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือบุบสลาย อย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินของอาทิตย์ซึ่งเป็นคนเดินทางหรือแขกอาศัยที่ได้พามา

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีคนแอบงัดแงะเข้าไปขโมยของในห้องของอาทิตย์และได้ขโมยเหล็กไหล ซึ่งมีราคา 10 ล้านบาทของอาทิตย์ไป จันทร์จึงต้องรับผิดชอบต่อทรัพย์สินที่สูญหายของอาทิตย์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อทรัพย์ที่ถูกขโมยไปนั้นคือเหล็กไหลซึ่งมีมูลค่า 10 ล้านบาท และเหล็กไหลเป็นทรัพย์ที่อยู่ในความหมายของ คําว่าของมีค่าอื่น ๆ ตามมาตรา 675 วรรคสอง แต่อาทิตย์ไม่ได้ฝากของมีค่าดังกล่าวไว้กับเจ้าสํานัก ดังนั้น จันทร์ เจ้าของสํานักโรงแรมจึงต้องรับผิดต่ออาทิตย์เพียง 5,000 บาทเท่านั้นตามมาตรา 675 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

สรุป ข้อต่อสู้ของจันทร์ที่ว่าอาทิตย์ไม่ใช่แขกอาศัยนั้นไม่ถูกต้อง จันทร์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ต่อกรณีที่ทรัพย์สินของอาทิตย์สูญหาย แต่จันทร์ต้องรับผิดเพียง 5,000 บาทเท่านั้น

 

LAW2110 (LAW2010) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2110 (LAW 2010) ป.พ.พ.ว่าด้วยค้ําประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นางสาวกิ่งแก้วกู้เงินนายสมัครใจ 1,000,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง โดยนางสาวกิ่งแก้ว ได้นําเครื่องเพชรหนึ่งชุดประกอบไปด้วยแหวน สร้อยคอ ต่างหู และกําไลข้อมือ ราคารวมทั้งสิ้น 500,000 บาท มาส่งมอบให้นายสมัครใจเป็นประกันการชําระหนี้ ต่อมานายสมัครใจเห็นว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ควรมีหลักประกันเพิ่ม นางสาวกิ่งแก้วจึงขอให้นายปกป้องช่วยค้ําประกัน หนี้เงินกู้ให้ นายปกป้องตกลง และได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ําประกันเพื่อประกันหนี้ที่นางสาวกิ่งแก้ว กู้เงินนายสมัครใจทั้งหมด และได้ส่งหนังสือสัญญาฉบับนั้นให้นายสมัครใจทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ และนายสมัครใจได้รับสัญญาค้ําประกันแล้ว ต่อมานายสมัครใจได้ตกลงคบหากับนางสาวกิ่งแก้ว จึงได้นําเครื่องเพชรชุดนั้นไปให้นางสาวกิ่งแก้วใช้ใส่ออกงาน ปรากฏว่านางสาวกิ่งแก้วทําต่างหู 1 ข้าง ราคา 40,000 บาท หายไป เมื่อนายสมัครใจทราบจึงโกรธ และบอกเลิกนางสาวกิ่งแก้ว พร้อมทั้ง นําเครื่องเพชรส่วนที่เหลือกลับไปด้วย หลังจากเกิดเหตุได้สามเดือน หนี้ถึงกําหนดชําระ แต่ นางสาวกิ่งแก้วไม่สามารถชําระหนี้ได้ นายสมัครใจจึงเรียกให้นายปกป้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกัน ดังนี้ นายปกป้องต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมาย
ประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ําประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ําประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ําประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ําประกัน
เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 697 “ถ้าเพราะการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เอง เป็นเหตุให้ผู้ค้ําประกันไม่อาจ เข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี จํานองก็ดี จํานําก็ดี และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อน หรือในขณะทําสัญญาค้ําประกันเพื่อชําระหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ําประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตน
ต้องเสียหายเพราะการนั้น”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ หรือ

(2) เมื่อผู้รับจํานํายอมให้ทรัพย์สินจํานํากลับคืนไปสู่ครอบครองของผู้จํานํา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวกิ่งแก้วกู้เงินนายสมัครใจ 1,000,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง โดยนางสาวกิ่งแก้วได้นําเครื่องเพชรหนึ่งชุดประกอบไปด้วยแหวน สร้อยคอ ต่างหู และกําไลข้อมือ ราคารวมทั้งสิ้น 500,000 บาท มาส่งมอบให้นายสมัครใจเป็นประกันการชําระหนี้ และต่อมามีนายปกป้องเข้ามาค้ําประกันเงินกู้ให้

โดยการลงลายมือชื่อในสัญญาค้ําประกันเพื่อประกันหนี้ที่นางสาวกิ่งแก้วกู้เงินนายสมัครใจทั้งหมด และได้ส่ง
หนังสือสัญญาฉบับนั้นให้นายสมัครใจทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ และนายสมัครใจได้รับสัญญาค้ำประกันแล้วนั้น ย่อมถือว่านายปกป้องเข้าเป็นผู้ค้ําประกันแล้ว และต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันตามมาตรา 680
การที่นายสมัครใจได้ตกลงคบหากับนางสาวกิ่งแก้ว และได้นําเครื่องเพชรชุดนั้นไปให้นางสาวกิ่งแก้ว
ใช้ใส่ออกงานนั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้รับจํานํายอมให้ทรัพย์สินจํานํากลับคืนไปอยู่ในความครอบครองของนางสาวกิ่งแก้ว ซึ่งเป็นผู้จํานํา ย่อมทําให้สัญญาจํานําในส่วนของเครื่องเพชนนั้นระงับไปตามมาตรา 769 (2) และถือเป็นการ กระทําของนายสมัครใจเจ้าหนี้เองเป็นเหตุให้ผู้ค้ําประกันคือนายปกป้องไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิในเครื่องเพชรที่ จํานําซึ่งได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ก่อนเข้าทําสัญญาค้ําประกันตามมาตรา 697 ดังนั้น นายปกป้องผู้ค้ําประกันย่อมหลุดพ้น จากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพื่อการนั้น คือจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้จํานวน 500,000 บาท ตามราคาเครื่องเพชรชุดนั้น และต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันในหนี้ที่เหลือจํานวน 500,000 บาท

สรุป นายปกป้องต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันในหนี้ที่เหลือจํานวน 500,000 บาท

ข้อ 2 นายทวีปทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารออมทรัพย์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 โดยมีนายทรงศักดิ์ นําโฉนดที่ดินของตนจํานวน 5 ไร่ ราคาประเมิน 5 ล้านบาท มาจดทะเบียนจํานองหนี้รายนี้ โดย มีกําหนดระยะเวลาในการชําระหนี้ 5 ปี และในสัญญาจํานองระบุว่า “…หากลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ สามารถยึดที่ดินที่จํานองเองได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวและไม่ต้องฟ้องเพื่อบังคับคดี…” เมื่อครั้นครบกําหนดเวลาชําระหนี้ นายทวีปผิดนัดชําระหนี้ ธนาคารออมทรัพย์จึงให้เจ้าหน้าที่ของธนาคาร ขับไล่นายทรงศักดิ์ออกจากที่ดิน และยึดที่ดินมาเป็นของธนาคารทันที โดยอ้างข้อตกลงในสัญญา ดังกล่าว นายทรงศักดิ์จึงมาปรึกษานักศึกษาซึ่งเรียนวิชาสัญญาจํานองไปแล้วว่า กรณีดังกล่าว ธนาคารออมทรัพย์สามารถอ้างข้อตกลงในสัญญาทําการขับไล่ และยึดที่ดินของนายทรงศักดิ์ ได้หรือไม่ และนักศึกษาจะให้คําแนะนําแก่นายทางศักดิ์อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา 714 “อันสัญญาจํานองนั้น ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่” มาตรา 714/1 “บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการจํานองที่แตกต่างไปจากมาตรา 128 มาตรา 729 และมาตรา 735 เป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทวีปทําสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารออมทรัพย์ โดยมีนายทรงศักดิ์ นําโฉนดที่ดินของตนจํานวน 5 ไร่ ราคาประเมิน 5 ล้านบาท มาจดทะเบียนจํานองหนี้รายนี้ โดยมีกําหนดระยะเวลา ในการชําระหนี้ 5 ปีนั้น สัญญาจํานองที่ดินระหว่างนายทรงศักดิ์และธนาคารออมทรัพย์ย่อมมีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมายตามมาตรา 702 ประกอบมาตรา 714 แต่อย่างไรก็ตามในสัญญาจํานองซึ่งมีข้อตกลงกันว่า “…หากลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้สามารถยึดที่ดินที่จํานองเองได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวและไม่ต้องฟ้องร้องบังคับคดี….” นั้น ข้อตกลงดังกล่าว เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการจํานองที่แตกต่างไปจากมาตรา 728 และมาตรา 729 ซึ่งได้กําหนด ให้เจ้าหนี้ต้องฟ้องคดีเพื่อบังคับจํานอง หรือฟ้องคดีเพื่อเรียกเอาทรัพย์จํานองหลุดเมื่อลูกหนี้ผิดนัด แต่คู่สัญญา ได้ทําข้อตกลงกันเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทําตามมาตรา 728 และมาตรา 729 ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นโมฆะ ใช้บังคับกันไม่ได้ตามมาตรา 714/1

ดังนั้น เมื่อครบกําหนดเวลาชําระหนี้ นายทวีปผิดนัดชําระหนี้ การที่ธนาคารออมทรัพย์ได้ให้ เจ้าหน้าที่ของธนาคารขับไล่นายทรงศักดิ์ออกจากที่ดิน และยึดที่ดินมาเป็นของธนาคารทันที โดยอ้างข้อตกลงในสัญญาดังกล่าวซึ่งเป็นโมฆะนั้นย่อมเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ธนาคารออมทรัพย์จะอ้างข้อตกลงในสัญญาดังกล่าวเพื่อทําการขับไล่นายทรงศักดิ์ออกจาก ที่ดินและยึดที่ดินของนายทรงศักดิ์ไม่ได้

ข้อ 3 นายขาว นายดํา และนายเขียวเป็นเพื่อนรักกัน นายขาวกู้ยืมเงินนายดํา 2 ล้านบาท นายเขียวเอา สร้อยเพชรของตนส่งมอบให้นายดําเพื่อประกันการชําระหนี้เงินกู้ของนาวขาว หากว่า

(ก) ต่อมาถึงกําหนดชําระหนี้ นายขาวไม่ชําระหนี้นายดํา นายดําได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 764 และนําสร้อยเพชรขายทอดตลาดได้ราคาขาดอยู่ 300,000 บาท ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายดําจะเรียกเงินส่วนที่ขาดได้จากใคร

(ข) หากปรากฏว่าก่อนถึงกําหนดชําระหนี้ นายเขียวมีความจําเป็นต้องเอาเครื่องเพชรไปใส่ออกงาน ด้วยความสนิทไว้เนื้อเชื่อใจ นายดําจึงยอมให้นายเขียวเอาสร้อยเพชรไปใช้ 1 สัปดาห์ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ผลทางกฎหมายของสัญญาจํานําเป็นอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้และ อุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ หรือ

(2) เมื่อผู้รับจํานํายอมให้ทรัพย์สินจํานํากลับคืนไปสู่ครอบครองของผู้จํานํา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวกู้ยืมเงินนายดํา 2 ล้านบาท โดยมีนายเขียวบุคคลภายนอกได้ ส่งมอบสร้อยเพชรของตนเองให้นายดําเพื่อประกันการชําระหนี้เงินกู้ของนายขาวนั้น สัญญาจํานําซึ่งเป็นสัญญา อุปกรณ์ย่อมเกิดขึ้น และมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 747

(ก) ต่อมาเมื่อถึงกําหนดชําระหนี้ นายขาวลูกหนี้ไม่ชําระหนี้เงินกู้ยืมจํานวน 2 ล้านบาท ให้แก่ นายดําเจ้าหนี้ เมื่อนายดําเจ้าหนี้ได้ปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 764 และนําสร้อยเพชรออกขายทอดตลาดได้ราคา ขาดอยู่ 300,000 บาท ดังนี้ นายดําเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้นายขาวลูกหนี้รับใช้ในส่วนที่ขาด 300,000 บาท ได้ตามมาตรา 767 แต่ไม่มีสิทธิเรียกเอาส่วนที่ขาดจากนายเขียวผู้จํานํา

(ข) หากปรากฏว่าก่อนถึงกําหนดชําระหนี้ นายเขียวผู้จํานํามีความจําเป็นต้องเอาเครื่องเพชร ไปใส่ออกงาน ด้วยความสนิทไว้เนื้อเชื่อใจ นายดําผู้รับจํานําได้ยอมให้นายเขียวเอาสร้อยเพชรไปใช้ 1 สัปดาห์ ย่อมมีผลทําให้สัญญาจํานําดังกล่าวระงับไปตามมาตรา 769 (2) เพราะนายดําผู้รับจํานํายอมให้ทรัพย์สินจํานํา กลับคืนไปสู่ครอบครองของนายเขียวผู้จํานํา

สรุป
(ก) นายดําสามารถเรียกเงินส่วนที่ขาดได้จากนายขาวลูกหนี้ แต่จะเรียกเอาจากนายเขียว ผู้จํานําไม่ได้
(ข) การที่นายดํายอมให้นายเขียวเอาสร้อยเพชรไปใช้ 1 สัปดาห์ มีผลทําให้สัญญาจํานําดังกล่าวระงับสิ้นไป

LAW2110 (LAW2010) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2110 (LAW2010) ป.พ.พ.ว่าด้วยค้ําประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นางสาวแก้วใจสมัครเข้าทํางานในบริษัทเป็นหนึ่ง จํากัด หลังจากผ่านการสัมภาษณ์ บริษัทฯ ตกลง รับนางสาวแก้วใจเป็นพนักงานบัญชี โดยมีข้อตกลงว่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ก่อนเริ่มทํางาน นางสาวแก้วใจต้องหาหลักประกันที่น่าเชื่อถือมาประกันการทํางานด้วย เมื่อถึงวันดังกล่าวนายมานะ ได้มาลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ําประกันกับบริษัทฯ ตกลงจะรับผิดหากปรากฏว่านางสาวแก้วใจ ทําให้บริษัทฯ เสียหายในทางการที่จ้างไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อใดหรือเกิดขึ้นกี่ครั้ง ก็ตาม นายมานะจะยอมรับผิดทั้งหมด แต่ต้องเป็นความเสียหายที่ไม่เกินจํานวน 1,000,000 บาท และนางสาวแก้วใจยังได้ทําหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อว่ายินยอมนําแหวนเพชรราคา 200,000 บาท มาประกันการทํางานของตนด้วย ต่อมาปรากฏว่านางสาวแก้วใจมีความจําเป็นต้อง ใช้เงิน ในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 จึงขอกู้เงินจากบริษัทฯ จํานวน 200,000 บาท บริษัทฯ ตกลง ให้กู้เป็นระยะเวลาสองเดือนโดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ต้องมีการทําหลักฐานเป็นหนังสือ หลังจากนั้น ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 นางสาวแก้วใจได้ลักเงินบริษัทฯ ไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัว 100,000 บาท เมื่อนายมานะทราบจึงไม่พอใจนางสาวแก้วใจเป็นอย่างมาก จึงได้ทําหนังสือแจ้ง บริษัทฯ ขอยกเลิกสัญญาค้ําประกัน แต่บริษัทฯ ไม่ยินยอม และในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 นางสาวแก้วใจได้ลักเงินบริษัท 1 ไปอีกครั้งจํานวน 400,000 บาท ต่อมาในวันที่ 10 กันยายน 2564 บริษัทฯ ทราบเรื่องเงินที่หายไป จึงได้มีหนังสือทวงถามให้นางสาวแก้วใจนําเงินมาคืน เมื่อไม่ได้รับ เงินคืน บริษัทฯ จึงมีหนังสือบอกกล่าวให้นายมานะชําระหนี้จํานวน 700,000 บาท ตามขั้นตอนที่ กฎหมายกําหนด ดังนี้ จากข้อเท็จจริงข้างต้น นายมานะจะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ําประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ําประกัน
เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 “อันค้ําประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็ประกันได้ แต่ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้รายที่ค้ําประกัน ลักษณะของมูลหนี้ จํานวนเงินสูงสุดที่ค้ําประกัน และ ระยะเวลาในการก่อหนี้ที่จะค้ําประกัน เว้นแต่เป็นการค้ําประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวตามมาตรา 699 จะไม่ระบุระยะเวลาดังกล่าวก็ได้

สัญญาค้ําประกันต้องระบุหนี่หรือสัญญาที่ค้ําประกันไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ค้ําประกันย่อมรับผิดเฉพาะหนี้หรือสัญญาที่ระบุไว้เท่านั้น”

มาตรา 689 “ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชําระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม ถ้า ผู้ค้ําประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชําระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชําระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชําระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ําประกันร้องขอ ท่านว่า เจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

มาตรา 699 “การค้ําประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจํากัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ําประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้ ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าผู้ค้ําประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทําลงภายหลังคําบอกกล่าวนั้นไปถึงเจ้าหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายมานะได้มาลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ําประกันกับบริษัท เป็นหนึ่ง จํากัด โดยตกลงจะรับผิดหากปรากฏว่านางสาวแก้วใจทําให้บริษัทฯ เสียหายในทางการที่จ้างนั้น ถือว่านายมานะเป็น ผู้ค้ําประกัน และบริษัทฯ สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกับนายมานะได้ตามมาตรา 680 ดังนั้น เมื่อนางสาวแก้วใจ ได้ลักเงินบริษัทฯ ไปใช้สอยเป็นประโยชน์ส่วนตัว 100,000 บาท นายมานะจึงต้องรับผิดในหนี้จํานวนนี้ เพราะ เป็นกรณีที่นางสาวแก้วใจทําให้บริษัทฯ เสียหายในทางการที่จ้างแล้ว

2 ต่อมาเมื่อนายมานะทราบถึงไม่พอใจนางสาวแก้วใจเป็นอย่างมาก จึงได้ทําหนังสือแจ้งบริษัทฯ ขอยกเลิกสัญญาค้ําประกันนั้น นายมานะย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 699 วรรคหนึ่ง เพราะถือว่านายมานะ ค้ําประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจํากัดเวลา นายมานะจึงสามารถขอยกเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ แม้ว่าบริษัทฯ จะไม่ยินยอมก็ตามก็ถือว่าสัญญาค้ําประกันดังกล่าวได้ระงับสิ้นไป แต่อย่างไรก็ตาม นายมานะก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้จํานวน 100,000 บาท ที่ได้เกิดขึ้นก่อนการบอกเลิกสัญญาค้ําประกันนั้น แต่สําหรับหนี้จํานวน 400,000 บาท ที่นางสาวแก้วใจได้ลักเงินบริษัทฯ ไปอีกครั้งนั้น นายมานะไม่ต้องรับผิด เพราะเป็นหนี้ที่ได้เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายมานะได้บอกเลิกสัญญาค้ําประกัน และคําบอกกล่าวนั้นได้ไปถึง เจ้าหนี้แล้วตามมาตรา 699 วรรคสอง

3 หนี้ที่นางสาวแก้วใจได้กู้จากบริษัทฯ จํานวน 200,000 บาทนั้น เมื่อพิจารณาจากสัญญา ค้ําประกันจะเห็นได้ว่านายมานะตกลงค้ําประกันหนี้ในอนาคตที่กําหนดมูลหนี้ไว้อย่างชัดเจนว่าจะรับผิดในความเสียหายที่บริษัทฯ ได้รับในทางการที่จ้างเท่านั้น เมื่อหนี้ตามสัญญากู้ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในข้อตกลงว่านายมานะ จะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกัน ดังนั้น นายมานะจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้จํานวนนี้ตามมาตรา 681

4 เมื่อนายมานะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกันเพียง 100,000 บาท นายมานะย่อมมีสิทธิที่จะเกี่ยงให้บริษัทฯ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไปบังคับชําระหนี้เอาจากแหวนเพชรของนางสาวแก้วใจซึ่งเป็นลูกหนี้ที่ได้มอบไว้ แก่บริษัทฯ เพื่อประกันการทํางานของลูกหนี้ได้ตามมาตรา 689 แต่จะใช้สิทธิตามมาตรา 690 ไม่ได้ เพราะ แหวนเพชรวงนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน

สรุป นายมานะจะต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ําประกัน โดยจะต้องรับผิดเพียง 100,000 บาทเท่านั้น
ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

ข้อ 2 นายดําให้นายขาวกู้ยืมเงินเป็นจํานวน 15 ล้านบาท โดยนายดําได้ส่งมอบเงินกู้ให้นายขาวแล้ว นายขาวได้นําที่ดินของตนมาจดทะเบียนจํานอง ประกันการชําระหนี้ดังกล่าวต่อนายดําในวันที่ 1 มกราคม 2563 โดยในสัญญาต่อท้ายจํานองได้มีข้อความระบุว่า “เมื่อมีการบังคับจํานองเอา ทรัพย์สินซึ่งจํานองออกขายทอดตลาดได้เงินจํานวนสุทธิน้อยกว่าจํานวนที่ค้างชําระ เงินยังขาดอยู่ เท่าใด นายขาวผู้จํานองยอมรับผิดใช้เงินที่ขาดนั้นให้แก่นายดําผู้รับจํานองจนครบ” ต่อมานายขาว ได้สร้างบ้านมูลค่า 5 ล้านบาท ลงในที่ดินที่ติดจํานองแปลงดังกล่าว ภายหลังหนี้ถึงกําหนดชําระ นายขาวไม่ชําระหนี้ให้แก่นายดํา นายดําได้บังคับจํานองโดยการเอาที่ดินติดจํานองพร้อมบ้านที่ ปลูกสร้างไว้ขายทอดตลาด ได้เงินมา 12 ล้านบาท (ที่ดินที่ขายมีมูลค่า 8 ล้านบาท และบ้านมีมูลค่า 4 ล้านบาท) ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายดําจะเอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทั้ง 12 ล้านบาท ชําระหนี้เงินกู้ยืมได้หรือไม่

(ข) นายดําจะเรียกให้นายขาวรับผิดในส่วนที่ขาดได้หรือไม่ ถ้าได้ เรียกได้เท่าไหร่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 718 “จํานองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจํานอง แต่ต้อง อยู่ภายใต้บังคับซึ่งท่านจํากัดในสามมาตราต่อไปนี้”

มาตรา 719 “จํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลัง
วันจํานอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง

แต่กระนั้นก็ดี ผู้รับจํานองจะให้ขายเรือนโรงนั้นรวมไปกับที่ดินด้วยก็ได้ แต่ผู้รับจํานองอาจใช้ บุริมสิทธิของตนได้เพียงแก่ราคาที่ดินเท่านั้น”

มาตรา 733 “ถ้าเอาทรัพย์จํานองหลุดและราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ํากว่าจํานวนเงินที่ ค้างชําระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจํานองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินจํานวนสุทธิน้อยกว่าจํานวนเงิน ที่ค้างชําระกันอยู่นั้นก็ดี เงินยังขาดจํานวนอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายดําให้นายขาวกู้ยืมเงินเป็นจํานวน 15 ล้านบาท โดยนายดําได้ส่งมอบเงินกู้ให้ นายขาวแล้ว และนายขาวได้นําที่ดินของตนมาจดทะเบียนจํานองประกันการชําระหนี้ดังกล่าวต่อนายดํา ต่อมา นายขาวได้สร้างบ้านมูลค่า 5 ล้านบาท ลงในที่ดินติดจํานองแปลงดังกล่าวนั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 719 จํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงบ้านที่นายขาวผู้จํานองได้ปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลังวันจํานอง แต่กระนั้นก็ดี นายด่
ผู้รับจํานองจะให้ขายบ้านนั้นรวมไปกับที่ดินด้วยก็ได้ แต่นายดําผู้รับจํานองอาจใช้บุริมสิทธิของตนได้เพียงแก่ ราคาที่ดินเท่านั้น ดังนั้น เมื่อภายหลังหนี้ถึงกําหนดชําระ นายขาวไม่ชําระหนี้ให้แก่นายดํา นายดําได้บังคับจํานอง โดยการเอาที่ดินติดจํานองพร้อมบ้านที่ปลูกสร้างไว้ขายทอดตลาดได้เงินมา 12 ล้านบาท โดยที่ดินที่ขายมีมูลค่า 8 ล้านบาท และบ้านมีมูลค่า 4 ล้านบาทนั้น นายดําจะเอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทั้ง 12 ล้านบาท ชําระ หนี้เงินกู้ยืมไม่ได้ นายดําคงมีสิทธิในเงินเพียง 8 ล้านบาท อันเป็นมูลค่าที่ดินที่ขายทอดตลาดได้เท่านั้น

(ข) ในกรณีที่สัญญาจํานองมีข้อตกลงต่อท้ายว่า “เมื่อมีการบังคับจํานองเอาทรัพย์สินซึ่งจํานอง ออกขายทอดตลาดได้เงินจํานวนสุทธิน้อยกว่าจํานวนเงินที่ค้างชําระ เงินยังขาดอยู่เท่าใดนายขาวผู้จํานอง

ยอมรับผิดใช้เงินที่ขาดนั้นให้แก่นายดําผู้รับจํานองจนครบ” นั้น ข้อตกลงดังกล่าวแม้จะขัดกับหลักของมาตรา 733 ก็ตาม แต่ข้อตกลงนั้นมีผลใช้บังคับได้ เพราะไม่ใช่ข้อตกลงที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงชอบที่จะตกลงกันได้ ดังนั้น เมื่อเงินยังขาดอยู่อีก 7 ล้านบาท นายดําจึงสามารถเรียกให้นายขาวรับผิดในส่วน ที่ขาดอีก 7 ล้านบาทได้จนครบ

สรุป

(ก) นายดําจะเอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทั้ง 12 ล้านบาท ชําระหนี้เงินกู้ยืมไม่ได้ มีสิทธิเฉพาะเพียงเงิน 8 ล้านบาท อันเป็นมูลค่าของที่ดินที่ขายทอดตลาดได้เท่านั้น

(ข) นายดําสามารถเรียกให้นายขาวรับผิดในส่วนที่ขาดอีก 7 ล้านบาทได้

ข้อ 3 แดงเป็นหนี้ดํา 200,000 บาท เหลืองส่งมอบสร้อยคอทองคําของตนหนึ่งเส้นไว้กับดําเพื่อเป็น ประกันการชําระหนี้ ต่อมาหนี้รายนี้ขาดอายุความ และแดงได้ยกอายุความปฏิเสธไม่ชําระหนี้แก่ดํา ดําจะบังคับชําระหนี้จากสร้อยคอทองคําของเหลือง เหลืองได้ยกอายุความปฏิเสธไม่ชําระหนี้เช่นเดียวกับแดง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากสร้อยคอทองคําของเหลืองซึ่งในขณะนั้น ราคา 180,000 บาท ได้หรือไม่ โดยวิธีใด และดําจะได้รับชําระหนี้จากแดงและเหลืองครบถ้วน หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 4 วรรคสอง “เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณี แห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้า บทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด สิทธิ เรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/27 “ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานํา ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานอง จํานํา หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิ เรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชําระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลัง
เกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้”

มาตรา 727/1 วรรคหนึ่ง “ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ผู้จํานองซึ่งจํานองทรัพย์สินของตนไว้ เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชําระ ไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพย์สินที่จํานองในเวลาที่บังคับจํานอง หรือเอาทรัพย์จํานองหลุด”

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้
แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้ และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น
ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป
(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงเป็นหนี้ดํา 200,000 บาท และเหลืองได้ส่งมอบสร้อยคอทองคําของตน หนึ่งเส้นไว้กับดําเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้นั้น ถือเป็นสัญญาจํานําตามมาตรา 747 ต่อมาหนี้รายนี้ขาดอายุความ แดงย่อมมีสิทธิยกอายุความขึ้นปฏิเสธการชําระหนี้ได้ตามมาตรา 193/9 ประกอบมาตรา 193/10
แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม ก็ไม่ทําให้การจํานํานั้น ระงับสิ้นไปตามมาตรา 769 (1) ดังนั้น ผู้รับจํานําจึงยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานํา คือ สร้อยคอทองคํานั้นได้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตามตามมาตรา 193/27

แต่เมื่อจะบังคับจํานํา ดําจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังแดงลูกหนี้ว่าให้ชําระหนี้และดอกเบี้ย ภายในเวลาอันควรซึ่งดําได้กําหนดไว้ในคําบอกกล่าว ซึ่งถ้าหากแดงละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานํา มีสิทธินําสร้อยคอทองคําซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จํานําออกขายทอดตลาดได้ตามมาตรา 764

เมื่อสร้อยคอทองคํามีราคา 180,000 บาท ดําย่อมมีสิทธิได้รับชําระหนี้เพียง 180,000 บาท ส่วนในจํานวนที่ขาดอีก 20,000 บาทนั้น เมื่อแดงลูกหนี้ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว แดงจึงไม่ต้องรับผิดในส่วนที่ ขาดนั้นตามมาตรา 767 วรรคสอง ประกอบมาตรา 193/9 และ 193/10

ส่วนเหลืองซึ่งเป็นเจ้าของสร้อยคอทองคําและได้จํานําทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่น
ต้องชําระนั้น ก็ไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพย์สินที่จํานําในเวลาที่บังคับจํานําตามมาตรา 727/1 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 4 วรรคสอง (ซึ่งให้นําบทบัญญัติเรื่องจํานองซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้บังคับกับ การจํานําได้) ดังนั้น เหลืองจึงไม่ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดอีก 20,000 บาท เช่นเดียวกับแดง

สรุป ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากสร้อยคอทองคําของเหลืองได้ โดยวิธีปฏิบัติตามมาตรา 764 และดําจะได้รับชําระหนี้เพียง 180,000 บาท ตามราคาทรัพย์เท่านั้น ส่วนที่ขาดดําจะเรียกเอาจากแดงและเหลืองอีกไม่ได้

 

LAW2110 (LAW2010) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2110 (LAW2010) ป.พ.พ.ว่าด้วยค้ําประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายแดงทําสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากนายต่า โดยมีนายชาวตกลงเป็นผู้ค้ําประกันในการทําสัญญา ดังกล่าว ในขณะอายุสัญญานายแดงผิดนัดชําระค่างวด จํานวน 3 งวดติดต่อกัน นายดําจึงมี หนังสือแจ้งไปยังนายแดงและเพื่อนยกเลิกสัญญา และเรียกให้นายแดงรับผิดในกรณีผิดสัญญาเช่า ซื้อ และหนังสือไปยังนายขาว เพื่อให้รับผิดในฐานะผู้ค้ําประกัน นายขาวจึงมาปรึกษาท่านในฐานะ ผู้ที่มีความเข้าใจในสัญญาค้ําประกันว่านายขาวจะต้องรับผิดต่อกรณีดังกล่าวนี้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 686 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยัง ผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกัน ชําระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ําประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ําประกันที่จะชําระหนี้เมื่อหนี้ถึงกําหนด
ชําระ”

ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ําประกันหลุดพ้น
จากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดา ที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงทําสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากนายดํา โดยมีนายขาวตกลงเป็น ผู้ค้ําประกันในการทําสัญญาดังกล่าว และในขณะอายุสัญญานายแดงผิดนัดชําระค่างวดจํานวน 3 งวดติดกัน นายดําจึงมีหนังสือแจ้งไปยังนายแดงเพื่อยกเลิกสัญญา และเรียกให้นายแดงรับผิดในกรณีผิดสัญญาเช่าซื้อนั้น กรณีดังกล่าวหากนายดําเจ้าหนี้ต้องการให้นายขาวผู้ค้ําประกันรับผิดชําระหนี้ มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า นายดําเจ้าหนี้จะต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังนายขาวผู้ค้ําประกันภายใน 60 วันนับแต่วันที่นายแดงลูกหนี้ผิดนัด (ซึ่งในกรณีเช่าซื้อรถยนต์ให้ถือว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่งวดแรก) ถ้าหากเจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าว ภายใน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด ให้ผู้ค้ําประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง (มาตรา 686 วรรคสอง)
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนายแดงได้ผิดนัดไม่ชําระหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าว นายดําเจ้าหนี้ มิได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังนายขาวผู้ค้ําประกันภายใน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดแต่อย่างใด ดังนั้น นายขาว ผู้ค้ําประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งค่าเสียหายที่เกิดหรือมีขึ้น ภายหลังจากพ้นกําหนด 60 วันดังกล่าว ตามมาตรา 686 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่ผู้ค้ําประกันยังคงต้องรับผิด ในหนี้หรือค่าเสียหายที่มีหรือเกิดขึ้นแล้วก่อนครบกําหนด 60 วันนั้น

สรุป นายขาวจะหลุดพ้นจากความผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งค่าเสียหาย ที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกําหนด 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด โดยให้นับตั้งแต่ลูกหนี้ผิดนัดงวดแรก

ข้อ 2 นายไก่นําที่ดินของตนไปจดทะเบียนจํานองเพื่อประกันการกู้ยืมเงินจากนายไข่ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 โดยในสัญญาระบุว่า “ทรัพย์สินในที่ดินแปลงนี้ไม่ว่าจะปลูกสร้างขึ้นภายหลังสัญญาจํานอง ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจํานองนี้” หลังจากจํานองได้ 2 เดือน นายไก่อนุญาตให้นายแดง ญาติของตนปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินแปลงดังกล่าว โดยทําสัญญาเช่าที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านนายไก่ผิดนัดชําระหนี้กับนายไข่ นายไข่จะบังคับจํานองเอากับบ้านของนายแดงได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 718 “จํานองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจํานอง แต่ต้อง อยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจํากัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้”

มาตรา 719 วรรคหนึ่ง “จํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดิน ภายหลังวันจํานอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 718 ได้กําหนดไว้ว่าสิทธิของผู้รับจํานองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับ ทรัพย์สินซึ่งจํานอง แต่ต้องอยู่ภายในบังคับของมาตรา 719, 720 และ 721 โดยมาตรา 719 วรรคหนึ่งนั้นได้ กําหนดไว้ว่าสิทธิของผู้รับจํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลังวันจํานอง
เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้ในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่นําที่ดินของตนไปจดทะเบียนจํานองเพื่อประกันการกู้ยืมเงินจาก นายไข่ โดยในสัญญาระบุว่า “ทรัพย์สินในที่ดินแปลงนี้ไม่ว่าจะปลูกสร้างขึ้นภายหลังสัญญาจํานอง ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจํานองนี้” หลังจากจํานองได้ 2 เดือน นายไก่อนุญาตให้นายแดงญาติของตนปลูกสร้างบ้าน ลงในที่ดินแปลงดังกล่าวนั้น เมื่อนายไก่ผิดนัดชําระหนี้กับนายไข่ นายไข่ย่อมสามารถบังคับจํานองเอากับที่ดิน ของนายไก่และบ้านของนายแดงได้ ทั้งนี้เพราะบ้านของนายแดงแม้เป็นเรือนโรงที่ปลูกสร้างลงในที่ดินที่จํานอง ภายหลังจํานองก็ตาม แต่เมื่อในสัญญาจํานองนั้นได้ระบุให้ทรัพย์สินที่ปลูกสร้างภายหลังเป็นทรัพย์สินที่ติดจํานอง ตามไปด้วยตามมาตรา 719 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายไข่จึงสามารถบังคับจํานองเอากับบ้านของนายแดงได้

สรุป นายไข่สามารถบังคับจํานองเอากับบ้านของนายแดงได้

ข้อ 3 นายสมหวังไปกู้ยืมเงินจากนายสมใจ โดยนายสมใจได้ให้นายสมหวังหาทรัพย์สินมาวางเพื่อเป็น หลักประกันการกู้ยืมเงิน โดยนายสมหวังได้ไปขอให้นางสาวสวยแฟนสาวของตนเอาแหวนเพชร มาส่งมอบไว้กับนายสมใจเพื่อประกันการกู้ยืมเงิน ผ่านไป 1 เดือน นางสาวสวยต้องไปร่วมงานเลี้ยง ต้อนรับทูตจากประเทศญี่ปุ่น จึงไปขอแหวนเพชรคืนจากนายสมใจเพื่อนํามาใส่ไปร่วมงานดังกล่าวก่อน ซึ่งนายสมใจก็คืนให้โดยไม่มีเงื่อนไขแต่อย่างใด ในระหว่างนั้นนายสมหวังผิดนัดชําระหนี้ นายสมใจจึงเรียกให้นายสมหวังชําระหนี้และเรียกให้นางสาวสวยนําแหวนเพชรส่งมอบให้แก่ตน เพื่อบังคับขายทอดตลาด กรณีดังกล่าวนางสาวสวยต้องรับผิดในฐานะผู้จํานําหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ หรือ

(2) เมื่อผู้รับจํานํายอมให้ทรัพย์สินจํานํากลับคืนไปสู่ครอบครองของผู้จํานํา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมหวังไปกู้ยืมเงินจากนายสมใจ และให้นางสาวสวยแฟนสาวของตน เอาแหวนเพชรมาส่งมอบไว้ให้กับนายสมใจเพื่อประกันการชําระหนี้ของนายสมหวังนั้น ถือเป็นสัญญาจํานํา ตามมาตรา 747 และต่อมาอีก 1 เดือน นางสาวสวยต้องไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับทูตจากประเทศญี่ปุ่น จึงไปขอ แหวนเพชรคืนจากนายสมใจเพื่อนํามาใส่ไปร่วมงานดังกล่าวก่อน ซึ่งนายสมใจก็คืนให้โดยไม่มีเงื่อนไขแต่อย่างใดนั้นย่อมถือว่านายสมใจผู้รับจํานําได้ยอมคืนทรัพย์สินที่จํานํากลับไปสู่การครอบครองของผู้จํานํา จึงมีผลทําให้ สัญญาจํานําระงับสิ้นไปตามมาตรา 769 (2)

ดังนั้น เมื่อนายสมหวังผิดนัดชําระหนี้ นายสมใจเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้นายสมหวังชําระหนี้ได้ แต่จะบังคับให้นางสาวสวยส่งมอบแหวนเพชรคืนให้แก่ตนเพื่อบังคับขายทอดตลาดไม่ได้ เพราะถือว่าสัญญาจํานํา ได้ระงับไปแล้ว นางสาวสวยจึงไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้จํานํา

สรุป นางสาวสวยไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้รับจํานํา

LAW2110 (LAW2010) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นางสาวกุหลาบกู้เงินนางสาวบุหงา 500,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง นางสาวบุหงาเห็นว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ค่อยดีจึงเกรงว่าเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระนางสาวกุหลาบจะไม่มีเงินชําระหนี้จึงขอให้นางสาวกุหลาบหาหลักประกันให้ นางสาวกุหลาบจึงได้นําแหวนเพชรราคา 300,000 บาท มาจํานําไว้กับนางสาวบุหงา และยังให้บริษัท เสื้อสวย จํากัด โดยนางสาวราตรีผู้แทนนิติบุคคล เข้าเป็นผู้ค้ําประกันเพราะตนได้นําเงินกู้บางส่วนมาใช้ลงทุนในบริษัทฯ มีการทําหลักฐานเป็นหนังสือ ตกลงให้บริษัทฯ เข้าเป็นผู้ค้ําประกันและยอมรับผิดในหนี้ทั้งหมดร่วมกับนางสาวกุหลาบ ต่อมา เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นางสาวกุหลาบไม่ชําระหนี้ นางสาวบุหงาจะเรียกให้บริษัท เสื้อสวย จํากัด ชําระหนี้เต็มจํานวน 500,000 บาทได้หรือไม่ จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ําประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน
เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681/1 “ข้อตกลงใดที่กําหนดให้ผู้ค้ําประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือ ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ

ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับแก่กรณีผู้ค้ําประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลและยินยอมเข้าผูกพันตน เพื่อรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ในกรณีเช่นนั้นผู้ค้ําประกันซึ่งเป็นนิติบุคคลนั้นย่อมไม่มีสิทธิ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 688 มาตรา 689 และมาตรา 690”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ําประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวกุหลาบกู้เงินนางสาวบุหงา 500,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง โดยนางสาวกุหลาบได้นําแหวนเพชรราคา 300,000 บาท มาจํานําไว้กับนางสาวบุหงา และยังให้บริษัท เสื้อสวย จํากัด โดยนางสาวราตรีผู้แทนนิติบุคคลเข้ามาเป็นผู้ค้ําประกัน มีการทําหลักฐานเป็นหนังสือถูกต้องตามมาตรา 680 นั้น เมื่อสัญญาค้ําประกันดังกล่าวได้มีข้อตกลงว่าให้บริษัทฯ ซึ่งเป็นนิติบุคคลเข้าเป็นผู้ค้ําประกันและยอมรับผิดในหนี้ ทั้งหมดร่วมกับนางสาวกุหลาบ ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับกันได้ไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 681/1 ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนดและนางสาวกุหลาบไม่ชําระหนี้ นางสาวบุหงาจึงสามารถเรียกให้บริษัท เสื้อสวย จํากัด ชําระหนี้ เต็มจํานวน 500,000 บาทได้ และบริษัท เสื้อสวย จํากัด จะใช้สิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้ไปบังคับเอากับทรัพย์สินของ ลูกหนี้คือแหวนเพชรราคา 300,000 บาทที่เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันตามมาตรา 690 ก่อนไม่ได้ (มาตรา 681/1 วรรคสอง)

สรุป นางสาวบุหงาสามารถเรียกให้บริษัท เสื้อสวย จํากัด ชําระหนี้เต็มจํานวน 500,000 บาทได้

ข้อ 2 นายเอกทําสัญญากู้ยืมเงินนายจัตวา 5 ล้านบาท โดยนายเอกได้นําที่ดินมาจดทะเบียนจํานอง ประกันหนี้กู้ยืมเงินของตน และมีนายโทนําบ้านพร้อมที่ดินมาจดทะเบียนจํานองประกันหนี้กู้ยืมเงิน ดังกล่าว ข้อตกลงในสัญญาจํานองมีดังนี้

(1) หากบังคับชําระหนี้เอากับทรัพย์สินที่จํานองเงินยังขาดอยู่เท่าใด นายเอกต้องรับผิดในส่วนที่ขาด

(2) หากบังคับชําระหนี้เอากับทรัพย์สินที่จํานองเงินยังขาดอยู่เท่าใด นายโทต้องรับผิดในส่วนที่ขาด เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระหนี้ นายเอกผิดนัดชําระหนี้ นายจัตวาฟ้องศาลขอให้มีคําพิพากษา ยึดทรัพย์จํานองขายทอดตลาดเพื่อชําระหนี้ ปรากฏว่า ที่ดินของนายเอกขายทอดตลาดได้ ราคา 2 ล้านบาท บ้านพร้อมที่ดินของนายโทขายทอดตลาดได้ราคา 2.5 ล้านบาท ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายจัตวาจะเรียกให้นายเอกและนายโทชําระหนี้ในส่วนที่ขาดอีก 5 แสนบาท ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา 709 “บุคคลคนหนึ่งจะจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชําระก็ให้ทําได้”

มาตรา 727/1 “ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ผู้จํานองซึ่งจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้ อันบุคคลอื่นจะต้องชําระ ไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพย์สินที่จํานองในเวลาที่บังคับจํานองหรือเอาทรัพย์ จํานองหลุด

ข้อตกลงใดอันมีผลให้ผู้จํานองรับผิดเกินที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง หรือให้ผู้จํานองรับผิดอย่างผู้ค้ำประกัน ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 733 “ถ้าเอาทรัพย์จํานองหลุดและราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ํากว่าจํานวนเงินที่ ค้างชําระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจํานองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินจํานวนสุทธิน้อยกว่าจํานวนเงิน ที่ค้างชําระกันอยู่นั้นก็ดี เงินยังขาดจํานวนอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกทําสัญญากู้ยืมเงินนายจัตวา 5 ล้านบาท โดยนายเอกได้นําที่ดิน มาจดทะเบียนจํานองประกันหนี้กู้ยืมเงินของตน และมีนายโทนําบ้านพร้อมที่ดินมาจดทะเบียนจํานองประกันหนี้ กู้ยืมเงินดังกล่าวนั้น ย่อมสามารถที่จะกระทําได้ตามมาตรา 702 และมาตรา 709 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหนี้ ถึงกําหนดชําระ นายเอกผิดนัดชําระหนี้ นายจัตวาฟ้องศาลขอให้ศาลมีคําพิพากษายึดทรัพย์จํานองขายทอดตลาด เพื่อชําระหนี้ ปรากฏว่า ที่ดินของนายเอกขายทอดตลาดได้ราคา 2 ล้านบาท ส่วนบ้านพร้อมที่ดินของนายโท ขายทอดตลาดได้ราคา 2.5 ล้านบาท ดังนี้ จัตวาจะเรียกให้นายเอกและนายโทชําระหนี้ในส่วนที่ขาดอีก 5 แสนบาท ได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) ตามมาตรา 733 นั้น ได้วางหลักไว้ว่า ถ้ามีการเอาทรัพย์สินซึ่งจํานองออกขายทอดตลาด ใช้หนี้ได้เงินสุทธิน้อยกว่าจํานวนที่ค้างชําระกันอยู่ เงินยังขาดอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น ดังนั้น กรณีนี้ โดยหลักแล้วนายเอกลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดในเงินส่วนที่ขาดอีก 5 แสนบาท

แต่อย่างไรก็ตามบทบัญญัติมาตรา 733 ดังกล่าว มิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ลูกหนี้อาจตกลงกับเจ้าหนี้เป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือ จากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ก็ย่อมทําได้ ดังนั้น เมื่อในสัญญาจํานองมีข้อตกลงกันเป็นพิเศษว่า หากบังคับชําระหนี้ เอากับทรัพย์สินที่จํานองเงินยังขาดอยู่เท่าใด นายเอกต้องรับผิดในส่วนที่ขาด ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับ กันได้ระหว่างนายเอกลูกหนี้กับนายจัตวาเจ้าหนี้ผู้รับจํานอง นายจัตวาจึงสามารถเรียกให้นายเอกรับผิดชอบ ชําระหนี้ส่วนที่ขาดอีก 5 แสนบาทได้

(2) กรณีที่ในสัญญาจํานองมีข้อตกลงกันว่า หากบังคับชําระหนี้เอากับทรัพย์สินที่จํานองเงิน ยังขาดอยู่เท่าใด นายโทต้องรับผิดในส่วนที่ขาดนั้น เมื่อนายโทมิใช่ลูกหนี้ชั้นต้น แต่นายโทเป็นเพียงบุคคลซึ่งนํา ทรัพย์สินมาจํานองประกันในหนี้ของบุคคลอื่น จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 733 แต่จะอยู่ในบังคับของมาตรา 727/1 กล่าวคือ นายโทไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพย์สินที่จํานอง และในกรณีที่มีข้อตกลงอันมีผลให้ นายโทต้องรับผิดเกินทรัพย์สินที่จํานองข้อตกลงดังกล่าวนั้นเป็นโมฆะ ดังนั้น นายจัตวาจะเรียกให้นายโทชําระหนี้ ในส่วนที่ขาดอีก 5 แสนบาทไม่ได้

สรุป นายจัตวาจะเรียกให้นายเอกชําระหนี้ในส่วนที่ขาดอีก 5 แสนบาทได้ แต่จะเรียกเอาจากนายโทไม่ได้

ข้อ 3 แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท แดงได้ส่งมอบแหวนของตนหนึ่งวงไว้กับดําเพื่อเป็นประกันหนี้รายนี้ ต่อมาหนี้รายนี้ขาดอายุความ และแดงได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ปฏิเสธไม่ชําระหนี้แก่ค่า ค่าต้องการ บังคับชําระหนี้จากแหวนของแดงที่ตนครอบครองไว้เฉพาะตน จึงมาปรึกษาท่านว่า จะทําได้หรือไม่

จงให้คําปรึกษาแก่คําต่อคําถามต่อไปนี้
(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากแหวนของแดงได้หรือไม่ โดยวิธีใด
(ข) หากแหวนวงนี้มีราคา 800,000 บาท ในขณะนั้น ดําจะได้รับชําระหนี้เต็มจํานวนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด สิทธิ เรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/27 “ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานํา ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานอง จํานํา หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิ เรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชําระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลัง
เกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้”

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้
แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้และ อุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ…”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท และแดงได้ส่งมอบแหวนของตนหนึ่งวง ให้ดําเพื่อเป็นประกันชําระหนี้นั้น ถือเป็นสัญญาจํานําตามมาตรา 747 ต่อมาหนี้รายนี้ขาดอายุความแดงย่อม มีสิทธิยกอายุความขึ้นปฏิเสธการชําระหนี้ได้ตามมาตรา 193/9 ประกอบมาตรา 193/10

แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม ก็ไม่ทําให้การจํานํานั้น ระงับสิ้นไปตามมาตรา 769 (1) ดังนั้น ดําผู้รับจํานําจึงยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานําคือแหวน ที่แดงได้จํานําไว้ได้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตามตามมาตรา 193/27
และเมื่อจะบังคับจํานํา ดําจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังแดงลูกหนี้ว่าให้ชําระหนี้และดอกเบี้ย ภายในเวลาอันควรซึ่งดําได้กําหนดไว้ในคําบอกกล่าว ซึ่งถ้าหากแดงละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานํา มีสิทธินําแหวนของแดงออกขายทอดตลาดได้ตามมาตรา 764

(ข) หากแหวนวงนั้นของแดงมีราคา 80,000 บาท ในขณะนั้น ดําย่อมมีสิทธิได้รับชําระหนี้เพียง 80,000 บาท ส่วนที่ขาดอีก 20,000 บาทนั้น เมื่อแดงลูกหนี้ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว แดงจึงไม่ต้องรับผิด ในส่วนที่ขาดนั้นตามมาตรา 767 วรรคสอง ประกอบมาตรา 193/9 และ 193/10

สรุป
(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากแหวนของแดงได้ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรา 764
(ข) หากแหวนวงนั้นมีราคา 80,000 บาท จะได้รับชําระหนี้เพียง 80,000 บาท ส่วนที่ขาดอีก 20,000 บาท แดงไม่ต้องรับผิด

LAW2111 (LAW2011) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2111 (LAW 2011) ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายเรืองต้องการนําเงินจํานวน 1 ล้านบาทไปปล่อยกู้ จึงตั้งนายรุ่งเป็นตัวแทนให้นําเงินจํานวน ดังกล่าวไปดําเนินการปล่อยกู้แทนตน แต่มีเงื่อนไขในการตั้งตัวแทนว่าให้นายรุ่งกระทําการทุกอย่าง ในนามของนายรุ่งเอง นายรุ่งจึงนําเงินจํานวน 1 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้แก่นายขาว โดยมีการส่งมอบ เงินจํานวนดังกล่าวต่อนายขาวในนามของนายรุ่ง และในสัญญากู้ยืมเงินก็ระบุชื่อนายรุ่งเป็นผู้ให้กู้ เงินจํานวน 1 ล้านบาท และระบุชื่อนายขาวเป็นผู้กู้ พร้อมมีการลงลายมือชื่อนายรุ่งและนายขาว ในสัญญากู้ยืมเงินด้วย ปรากฏต่อมาว่าเมื่อหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ นายขาวทราบว่านายเรืองเป็น เจ้าของเงินกู้ที่แท้จริงจํานวน 1 ล้านบาท จึงทําการเข้าชําระหนี้แก่นายเรือง โดยการโอนเงินจํานวน 1 ล้านบาท ผ่านระบบ Mobile Banking เข้าไปยังบัญชีธนาคารของนายเรื่อง หลังจากนั้น 1 วัน นายรุ่งได้นําสัญญากู้ยืมเงินซึ่งระบุชื่อนายรุ่งเป็นผู้ให้กู้มาเรียกให้นายขาวชําระหนี้อีกครั้ง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยตามกฎหมายตัวแทนว่า

(ก) การชําระหนี้ของนายขาวมีผลผูกพันนายเรืองหรือไม่

(ข) นายรุ่งสามารถนําสัญญากู้ยืมเงินซึ่งระบุชื่อตนเป็นผู้ให้กู้มาเรียกให้นายขาวชําระหนี้แก่ตน ได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 806 “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มา
แต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเรืองต้องการนําเงินจํานวน 1 ล้านบาทไปปล่อยกู้ จึงตั้งนายรุ่ง เป็นตัวแทนให้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปดําเนินการปล่อยกู้แทนตน โดยมีเงื่อนไขในการตั้งตัวแทนว่าให้นายรุ่ง กระทําการทุกอย่างในนามของนายรุ่งเองนั้น ถือเป็นการตั้งตัวแทนตามมาตรา 806 ซึ่งเป็นกรณีที่ตัวแทนจะต้อง ปกปิดซ่อนเร้นตัวการเอาไว้ และต้องกระทําการทุกอย่างในนามของตนเอง ดังนั้น เมื่อนายรุ่งได้นําเงินจํานวน 1 ล้านบาทปล่อยกู้ให้แก่นายขาว โดยมีการส่งมอบเงินจํานวนดังกล่าวต่อนายขาวในนามของนายรุ่ง และในสัญญา กู้ยืมเงินก็ระบุชื่อนายรุ่งเป็นผู้ให้กู้ยืมเงินจํานวน 1 ล้านบาท และระบุชื่อนายขาวเป็นผู้กู้ พร้อมมีการลงลายมือชื่อ นายรุ่งและนายขาวในสัญญากู้ยืมเงินด้วย การทําสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจึงมีผลผูกพันนายรุ่งตัวแทน และนายขาว บุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้กู้ตามกฎหมาย

เมื่อปรากฏต่อมาว่า เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระและนายขาวได้ทราบว่านายเรืองเป็นเจ้าของเงินกู้ที่แท้จริงจํานวน 1 ล้านบาทดังกล่าว จึงทําการเข้าชําระหนี้แก่นายเรืองโดยการโอนเงินจํานวน 1 ล้านบาท ผ่านระบบ Mobile Banking เข้าไปยังบัญชีธนาคารของนายเรืองนั้น ถือเป็นกรณีที่ชื่อของนายเรืองตัวการได้ถูก เปิดเผยและกลับแสดงตนให้ปรากฏ และเข้ารับเอาประโยชน์แห่งสัญญาซึ่งนายรุ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนแล้ว ตามมาตรา 806 ดังนั้น การชําระหนี้ของนายขาวจึงมีผลผูกพันนายเรืองตามมาตรา 820

(ข) เมื่อนายขาวชําระหนี้เงินกู้จํานวน 1 ล้านบาทให้แก่นายเรืองตัวการแล้ว การชําระหนี้ย่อม มีผลผูกพันนายเรืองตัวการ และมีผลทําให้หนี้เงินกู้ย่อมระงับสิ้นไปตามมาตรา 820 ดังนั้น นายรุ่งจึงไม่สามารถ
น่าสัญญากู้ยืมเงินซึ่งระบุชื่อตนเป็นผู้ให้กู้มาเรียกให้นายขาวชําระหนี้แก่ตนได้อีก

สรุป
(ก) การชําระหนี้ของนายขาวมีผลผูกพันนายเรือง
(ข) นายรุ่งไม่สามารถนําสัญญากู้ยืมเงินซึ่งระบุชื่อตนเป็นผู้ให้กู้มาเรียกให้นายขาวชําระหนี้
แก่ตนได้อีก

ข้อ 2 บริษัท เอบีซี จํากัด ประกอบกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อเอบีซี ซึ่งจดทะเบียนและมีที่ตั้ง สํานักงานใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ได้ทําหนังสือแต่งตั้งบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด ให้เป็นตัวแทน จําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทฯ ในประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่าบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด มีความเชี่ยวชาญเพราะเป็นตัวแทนจําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าของหลายบริษัทอยู่แล้ว และยังมี โรงงานผลิตอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายยี่ห้อ ต่อมาบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด ได้นําโทรทัศน์ ยี่ห้อเอบีซีไปวางขายที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และนายโชคร้ายได้ซื้อโทรทัศน์ ยี่ห้อเอบีซีไปหนึ่งเครื่องในราคา 80,000 บาท หลังจากใช้งานไปได้สองเดือน บ้านนายโชคร้าย หลังคารั่วทําให้มีน้ําซึมลงมา และโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวได้รับความเสียหาย นายโชคร้ายจึงส่ง โทรทัศน์ไปซ่อมที่บริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด เมื่อซ่อมเสร็จได้นําโทรทัศน์กลับมาใช้ที่บ้าน ปรากฏว่า โทรทัศน์เครื่องดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้นจากการใช้ชิ้นส่วนในการซ่อมแซมที่ไม่ได้มาตรฐาน ทําให้ บ้านไฟไหม้เสียหายไปบางส่วน ดังนี้ตามกฎหมายลักษณะตัวแทน นายโชคร้ายจะเรียกให้บริษัท เอบีซี จํากัด และบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่ จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้บังคับ ถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท เอบีซี จํากัด ประกอบกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อเอบีซี ซึ่งจดทะเบียนและมีที่ตั้งสํานักงานใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ได้ทําหนังสือแต่งตั้งบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด ให้เป็น ตัวแทนจําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทฯ ในประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่าบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด มีความเชี่ยวชาญ เพราะเป็นตัวแทนจําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าของหลายบริษัทอยู่แล้ว และยังมีโรงงานผลิตอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้า หลากหลายยี่ห้อนั้น ย่อมถือว่าบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด เป็นตัวแทนค้าต่างที่มีอํานาจในการจําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ของบริษัท เอบีซี จํากัด ตามมาตรา 833 แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนค้าต่างในการรับซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียหาย แต่อย่างใด

การที่บริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด ได้นําโทรทัศน์ยี่ห้อเอบีซีไปวางขายที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร และนายโชคร้ายได้ซื้อโทรทัศน์ยี่ห้อเอบีซีไปหนึ่งเครื่องราคา 80,000 บาท หลังจากใช้งาน ไปได้สองเดือน บ้านนายโชคร้ายหลังคารั่ว ทําให้มีน้ําซึมลงมา และโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวได้รับความเสียหายนั้น

ความเสียหายที่เกิดขึ้นถือเป็นความเสียหายที่เกิดจากการกระทําของนายโชคร้ายเอง ไม่เกี่ยวกับความชํารุดบกพร่อง ของสินค้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท เอบีซี จํากัด ดังนั้น นายโชคจะเรียกให้บริษัท เอบีซี จํากัด รับผิดตามมาตรา 820 ไม่ได้

การที่นายโชคร้ายได้ส่งโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวไปซ่อมที่บริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด และบริษัทแสงไฟฟ้า จํากัด ได้รับซ่อมโทรทัศน์เครื่องนั้น ถือเป็นการกระทํานอกเหนือขอบอํานาจของตัวแทน ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังการซ่อมแซมที่ไม่ได้มาตรฐาน ทําให้โทรทัศน์เครื่องดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้น และ ทําให้บ้านไฟไหม้เสียหายไปบางส่วนนั้นจึงไม่ผูกพันบริษัท เอบีซี จํากัด และเมื่อไม่ปรากฏว่าบริษัท เอบีซี จํากัด ได้ให้สัตยาบันในการรับซ่อมโทรทัศน์ของบริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด แต่อย่างใด ดังนั้น นายโชคร้ายจะเรียกให้ บริษัท เอบีซี จํากัด รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ นายโชคร้ายจะต้องไปเรียกให้บริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด รับผิดโดยลําพังตามมาตรา 823 ประกอบมาตรา 835

สรุป นายโชคร้ายจะเรียกให้บริษัท เอบีซี จํากัด รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เรียก
ให้บริษัท แสงไฟฟ้า จํากัด รับผิดได้

ข้อ 3 นายเมฆต้องการขายรถจักรยานยนต์ Ducati ราคา 550,000 บาท จึงติดต่อให้นายหมอกช่วยหา คนมาซื้อรถจักรยานยนต์ Ducati ของนายเมฆ โดยนายเมฆจะให้บําเหน็จ 20,000 บาท ต่อมา นายหมอกสืบทราบว่านายพายุต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ Ducati นายหมอกจึงติดต่อให้นายพายุ มาพบนายเมฆ จนมีการวางมัดจํา 50,000 บาท และตกลงชําระราคาส่วนที่เหลือในวันไปจดทะเบียน ที่กรมการขนส่งทางบก แต่เมื่อถึงวันนัดที่กรมการขนส่งทางบก นายพายุกลับไม่ยอมไปจดทะเบียน รถจักรยานยนต์ Ducati ที่ตกลงซื้อนั้นรวมทั้งชําระราคาส่วนที่เหลือ ดังนี้ นายหมอกจะได้รับ ค่าบําเหน็จนายหน้าจากนายเมฆหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้
ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทํากันสําเร็จ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทางหรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆต้องการขายรถจักรยานยนต์ Ducati ราคา 550,000 บาท จึง ติดต่อให้นายหมอกช่วยหาคนมาซื้อรถจักรยานยนต์ Ducati ของนายเมฆ โดยนายเมฆจะให้บําเหน็จ 20,000 บาท เมื่อปรากฏว่านายหมอกสืบทราบว่านายพายุต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ Ducati นายหมอกจึงได้ติดต่อให้นายพายุ มาพบนายเมฆ จนมีการวางมัดจํา 50,000 บาท และตกลงชําระราคาส่วนที่เหลือในวันไปจดทะเบียนที่กรมการ ขนส่งทางบกนั้น ย่อมถือว่านายหมอกได้ทําหน้าที่ของตนในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว กล่าวคือ ถือว่านายหมอก ได้ชี้ช่องหรือจัดการให้นายพายุและนายเมฆได้เข้าทําสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ Ducati ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขาย เสร็จเด็ดขาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น นายหมอกจึงมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าจากนายเมฆตามมาตรา 845 ส่วนการที่นายพายุไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายโดยไม่ยอมไปจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ Ducati ที่ตกลงซื้อรวมทั้งชําระราคาส่วนที่เหลือนั้น เป็นเรื่องที่นายเมฆและนายพายุจะเป็นผู้ดําเนินการกันตามสัญญาอีกกรณีหนึ่ง

สรุป นายหมอกมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าจากนายเมฆ

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!