cdm2403 (mcs3151) การสื่อสารเพื่อจัดการความสัมพันธ์ 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565

ข้อสอบกระบวนวิชา CDM 2403 (MCS 3151) การสื่อสารเพื่อการจัดการความสัมพันธ์

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ข้อใดไม่ใช่ความหมายทางวิชาการของคําว่า “มนุษยสัมพันธ์”
(1) การติดต่อเกี่ยวข้องกัน เพื่อเป็นสะพานทอดไปสู่ความเป็นมิตร
(2) การพัฒนาตนเองให้เป็นที่รักใคร่ชอบพอ และได้รับความร่วมมือ/สนับสนุนจากผู้อื่น
(3) กระบวนการปรับปรุงแก้ไขบุคคลอื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล
(4) ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 1) ความหมายทางวิชาการของคําว่า “มนุษยสัมพันธ์” มีดังนี้
1 การติดต่อเกี่ยวข้องกัน เพื่อเป็นสะพานทอดไปสู่ความเป็นมิตร รวมทั้งพัฒนาตนเองให้เป็น ที่รักใคร่ชอบพอ และได้รับความร่วมมือ/สนับสนุนจากผู้อื่น
2 วิชาการว่าด้วยศาสตร์และศิลป์ในการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล เพื่อให้ ได้มาซึ่งความรักใคร่ นับถือ จงรักภักดี และความร่วมมือ ตลอดจนอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่าง มีความสุข
3 วิชาที่ว่าด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีของบุคคล เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ เป็นอันหนึ่งเดียวกัน ฯลฯ

2 คําว่า “มนุษยสัมพันธ์” ในภาษาอังกฤษ คือคําใด
(1) Human Relations
(2) Human Relationship
(3) Human Resource
(4) Human Relevance
ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 1) มนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) มาจากคําว่า Human + Relations คือ
1 Human หมายถึง มนุษย์
2 Relations หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

3 ข้อใดคือคุณลักษณะของมนุษยสัมพันธ์
(1) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามกลไกทางนิเวศชีววิทยา
(2) ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ
(3) เป็นเรื่องเข้าใจง่าย และมีองค์ประกอบที่ไม่ซับซ้อน
(4) อธิบายได้จากแนวคิดทางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ตอบ 2(PDF ครั้งที่ 1) คุณลักษณะของมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 มนุษยสัมพันธ์เกิดจากการสร้างของบุคคล ไม่ใช่ทักษะความสามารถที่ติดตัวมาแต่กําเนิด ไม่ใช่คุณลักษณะที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ และไม่ใช่เป็นพรสวรรค์ของบุคคล
2 การสร้างมนุษยสัมพันธ์อาจสูญสลายไปได้ ถ้าหากไม่รู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ให้คงอยู่กับ
ตัวเราตลอดไป
3 มนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
4 แต่ละบุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง แต่มีไม่เหมือนกันหรือไม่เท่าเทียมกัน 5. ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ
*** หมายเหตุ PDF (Download : www.mac.ru.ac.th) (ข้อ 1. – 50.) ***
เอกสารประกอบการสอน โดย อ.วิชชุตา มังคะลี (ข้อ 51. – 100.)

4 ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของมนุษยสัมพันธ์
(1) เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามกลไกทางนิเวศชีววิทยา
(2) มนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เกิดจากการสร้างของบุคคล
(3) เมื่อสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้ว ต้องรู้จักพัฒนาให้มนุษย์สัมพันธ์คงอยู่กับตัวเราตลอดไป
(4) ข้อ 2 และ 3 กล่าวถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 3 ประกอบ

5 การสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ หรือการสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์ จะต้องอาศัยกระบวนการสื่อสาร
แบบใดมากที่สุด
(1) กระบวนการสื่อสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Communication)
(2) กระบวนการสื่อสารแบบโน้มน้าวใจ (Persuasive Communication)
(3) กระบวนการสื่อสารแบบเอกวิธี (One-way Communication)
(4) กระบวนการสื่อสารแบบยุคลวิธี (Two-way Communication)
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 1) รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากกระบวนการ สื่อสารแบบเอกวิธี (One-way Communication) มาเป็นกระบวนการสื่อสารแบบยุคลวิธี (Two-way Communication) ทําให้มนุษย์ต้องเรียนรู้แนวคิดและหลักการสื่อสารเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์ หรือการสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์

6. แนวคิดในการทํางานเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องมนุษยสัมพันธ์อย่างไร
(1) การรวมตัวของผู้ใช้แรงงานที่เพิ่มมากขึ้น
(2) การให้ความสําคัญต่อแนวคิดการให้บริการลูกค้า
(3) การทํางานเป็นทีม (Teamwork) เพิ่มความจําเป็นให้ทุกฝ่ายต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 1) แนวคิดในการทํางานที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่อ มนุษยสัมพันธ์ ดังนี้
1 การรวมตัวของผู้ใช้แรงงานที่เพิ่มมากขึ้น
2 การให้ความสําคัญต่อแนวคิดการให้บริการลูกค้า (Customer Service)
3 การทํางานเป็นทีม (Teamwork) เพิ่มความจําเป็นให้ทุกฝ่ายต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่สอดคล้อง กับหลักการของมนุษยสัมพันธ์

7 ข้อใดไม่ใช่ความจําเป็นในการศึกษาเรื่องมนุษยสัมพันธ์
(1) มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
(2) ทําให้รู้จักและเข้าใจผู้อื่นรอบตัวเรา
(3) ทําให้สามารถปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมของผู้อื่นได้อย่างเป็นระบบ
(4) ทําให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจตนเอง ก่อนจะก้าวไปมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 1) ความจําเป็นในการศึกษาเรื่องมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
2 ทําให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจตนเอง ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสําคัญก่อนที่จะก้าวไปมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น
3 ทําให้รู้จักและเข้าใจผู้อื่นรอบตัวเรา

8 ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายในการศึกษามนุษยสัมพันธ์
(1) เพื่อสร้างเงื่อนไขในการดํารงชีวิตร่วมกัน
(2) เพื่อให้เกิดความรักใคร่ร่วมมือในการทํางาน
(3) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรระหว่างผู้บริหารและบุคลากรทุกระดับ
(4) เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกันในความเป็นมนุษย์ของตนเองและบุคคลอื่น
ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 1) จุดมุ่งหมายในการศึกษามนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีซึ่งกันและกัน
2 เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ของตนเองและบุคคลอื่น
3 เพื่อให้เกิดความรักใคร่ร่วมมือในการทํางาน
4 เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธานิยมยกย่องบุคคลที่ติดต่อสัมพันธ์
5 เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรระหว่างผู้บริหารและบุคลากรทุกระดับ

9 ข้อใดคือประโยชน์ของมนุษยสัมพันธ์ที่มีต่อผู้บริหาร
(1) เป็นเครื่องช่วยแก้ปัญหา ลดการขัดแย้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในองค์กรได้
(2) เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้บุคลากรมีความรัก ความภูมิใจที่เป็นสมาชิกในองค์กร
(3) เป็นเครื่องมือที่ทําให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงบุคลากรได้ทุกระดับ และสามารถครองใจบุคลากร เหล่านั้นได้
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 1) ประโยชน์ของมนุษยสัมพันธ์ที่มีต่อผู้บริหาร มีดังนี้
1 เป็นเครื่องมือที่ทําให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงบุคลากรได้ทุกระดับ และสามารถครองใจ บุคลากรเหล่านั้นได้ จึงส่งผลให้ผู้บริหารได้รับความรัก ความศรัทธา และความร่วมมือ ในการทํางานเป็นอย่างดี
2 เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้บุคลากรมีความรัก ความภูมิใจที่เป็นสมาชิกในองค์กร ซึ่งก่อให้
เกิดความภักดีต่อองค์กร
3 เป็นการจูงใจและกระตุ้นให้คนร่วมมือในการทํางานอย่างมีความสุข มีความพอใจในการ ทํางาน ก่อให้เกิดผลงานอันมีประสิทธิภาพ
4 เป็นเครื่องช่วยแก้ปัญหา ลดการขัดแย้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในองค์กรได้ ฯลฯ

10 ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างเกิดขึ้นในยุคใด
(1) ยุคล่าอาณานิคม
(2) ยุคเสรีทางการค้า
(3) ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
(4) ยุคสังคมเกษตรกรรม
ตอบ 3(PDF ครั้งที่ 2) ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เครื่องจักรกลเข้ามาแทนที่แรงงานคน ทําให้คนงาน สูญเสียความสําคัญของตนเอง เพราะคนที่เคยภาคภูมิใจในผลงานของตนเองกลับลดคุณค่ามา นั่งเฝ้าเครื่องจักร อีกทั้งยังต้องทําตามความต้องการของนายจ้าง ทําให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างคนงาน และมีผลกระทบต่อการผลิต ดังนั้นจึงมีบุคคลหลายท่านได้ ริเริ่มในการนําหลักมนุษยสัมพันธ์มาใช้ในสังคม

ข้อ 11. – 14. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Andrew Ure แอนดรู ยูรี
(2) Frederick Taylor เฟรเดอริก เทย์เลอร์
(3) Robert Owen โรเบิร์ต โอเวน
(4) Henry Laurence Gantt เฮนรี่ ลอเรนส์ แกนต์

11 นักคิดชาวตะวันตกคนใดเป็นผู้ให้ความสําคัญกับคนงาน โดยปรับปรุงสวัสดิการเป็นคนแรก และต่อต้าน
การใช้แรงงานเด็ก
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 2) โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) เป็นเจ้าของกิจการชาวเวลส์คนแรกตาม ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษที่มีความคิดริเริ่มเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของคนงาน โดยยอมรับว่าต้องให้ความสําคัญกับจิตใจและความต้องการของคนงาน ซึ่งเขาได้พยายาม ปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ของลูกจ้าง เช่น ปรับปรุงสถานที่ทํางานและสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ปรับปรุงสภาพในการทํางานให้ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่ และเป็นนายจ้างคนแรกที่ต่อต้านการใช้
แรงงานเด็ก ฯลฯ

12 นักคิดชาวตะวันตกคนใดเป็นผู้กําหนดให้มนุษย์เป็นองค์ประกอบสําคัญ 1 ใน 3 ของการผลิตสินค้า อุตสาหกรรม (Man, Machine, Management) และเสนอสวัสดิการรักษาพยาบาล
ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 2) แอนดรู ยูรี (Andrew Ure) ได้เขียนบทความเรื่อง “ปรัชญาแห่งการผลิต สินค้าอุตสาหกรรม” (The Philosophy of Manufactures) โดยเขาได้ให้ความสําคัญแก่ มนุษย์ว่าเป็น 1 ใน 3 องค์ประกอบสําคัญในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม (Man : คนงาน, Machine : เครื่องจักร, Management : การจัดการ) และยังเป็นผู้ที่ริเริ่มการให้สวัสดิการ รักษาพยาบาลแก่คนงานด้านต่าง ๆ ดังนี้
1 จัดให้มีชั่วโมงพักระหว่างการทํางาน
2 ปรับสถานที่ทํางานให้ถูกสุขลักษณะ
3 เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย คนงานจะต้องได้รับ
การดูแลรักษาพยาบาล และได้รับค่าจ้างระหว่างหยุดพักรักษาตัวด้วย
4 ส่งเสริมให้คนงานมีสุขภาพดี โดยจัดสนามและอุปกรณ์การออกกําลังกายแก่คนงาน

13 นักคิดชาวตะวันตกคนใดเป็นผู้เรียกร้องให้ผู้บริหารสนใจสภาพการทํางานของคนงาน และเสนอมาตรฐานเวลาในการทํางาน
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 2) เฟรเดอริก เทย์เลอร์ (Frederick Taylor) เป็นผู้ทําการทดลองวิธีการทํางานที่ ถูกต้องกับคนกลุ่มหนึ่งแล้วพบว่า การทํางานที่ถูกวิธีจะทําให้ผลผลิตสูงขึ้น โดยเขาเป็นคนแรก ที่เรียกร้องให้ผู้บริหารสนใจสภาพการทํางานของคนงาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสําคัญในการผลิต และเสนอมาตรฐานเวลาในการทํางาน ได้แก่
1 วางมาตรฐานเวลาที่ใช้ในการทํางานแต่ละอย่างที่ต้องใช้เครื่องจักรกล
2 ศึกษาว่าคนงานควรทํางานวันละกี่ชั่วโมงจึงจะเหมาะสม
3 ศึกษาระยะเวลาพักงาน ฯลฯ

14 นักคิดชาวตะวันตกคนใดเป็นผู้เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของคนงาน โดยการให้รางวัลหรือโบนัสพิเศษ
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 2) ในปี ค.ศ. 1912 เฮนรี่ ลอเรนส์ แกนต์ (Henry Laurence Gantt) เป็นวิศวกร หนุ่มที่คิดหาวิธีจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของคนงาน โดยเขาได้ขยายแนวคิดของ เฟรเดอริก เทย์เลอร์ (Frederick Taylor) มาผสมผสานกับของตัวเอง เช่น สนับสนุนให้เกิดการ ทํางานเป็นทีม โดยทดลองเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของคนงานด้วยการให้เงินโบนัสหรือเงิน รางวัลพิเศษ เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่คนงานที่สามารถทํางานเสร็จก่อนเวลาที่กําหนด

15 การศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment) เป็นผลการศึกษาของนักวิชาการท่านใด
(1) Henry Laurence Gantt เฮ็นรี่ ลอเรนส์ แกนต์
(2) Frederick Taylor เฟรเดอริก เทย์เลอร์
(3) George Elton Mayo จอร์จ เอลตัน เมโย
(4) Robert Owen โรเบิร์ต โอเวน

ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 2) ศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นหัวหน้าคณะผู้ที่ศึกษากรณี ฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment) หมายถึง การศึกษาสภาพแวดล้อมทางกายภาพในการ ทํางานของคนงาน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกับสภาพทางกายภาพของการทํางาน

16 การศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment) เบื้องต้นเป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นใด
(1) ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารกับสภาพจิตวิทยาของการทํางาน
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกับสภาพจิตวิทยาของการทํางาน
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกับสภาพทางกายภาพของการทํางาน
(4) ความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารกับสภาพทางกายภาพของการทํางาน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15 ประกอบ

17 ข้อใดไม่ใช่ผลการศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment)
(1) คนงานมีทัศนคติที่ดีต่อผู้บริหารที่ให้อิสระแก่คนงาน
(2) คนที่ได้หยุดระหว่างทํางานสร้างผลผลิตได้มากกว่าคนที่ไม่ได้หยุดพัก
(3) คนงานที่รวมตัวขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการมีข้อขัดแย้งกับกลุ่มทางการ
(4) ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 2) ผลการศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment) แบ่งเป็น 5 ประเด็น คือ
1 ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง แต่จะไม่ลดลงเมื่อความเข้มของแสงสว่างลดลง
2 ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
3 คนงานจะมีทัศนคติที่ดีต่อนายจ้างหรือผู้บริหารที่ให้อิสระในการทํางาน
4 มีการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของคนงาน ซึ่งมีความสําคัญอย่างมากต่อการเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทํางาน
5 กลุ่มคนงานที่รวมตัวอย่างไม่เป็นทางการมีความขัดแย้งกับกลุ่มที่เป็นทางการ ฯลฯ

18 การสรุปผลกรณีฮอร์ธอน (The Conclusion of Hawthorne Experiment) มีข้อสรุปอย่างไร
(1) การทํางานที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ
สภาพแวดล้อมในการทํางาน
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกที่มีการรวมตัว
แบบไม่เป็นทางการ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทํางาน
(3) ข้อ 1 และ 2 ถูกต้อง
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 2) การสรุปผลกรณีฮอร์ธอน (The Conclusion of Hawthorne Experiment) คือ การทํางานที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อมในการทํางาน โดยความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกที่มีการรวมตัวแบบไม่เป็นทางการ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทํางาน

19 ข้อใดไม่ใช่ข้อเสนอแนะจากกรณีศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment)
(1) การพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพ และสิ่งแวดล้อมในการทํางานมีความสําคัญที่สุด
(2) เมื่อการสื่อสารดีขึ้น ผลผลิตของโรงงาน/ประสิทธิภาพในการทํางานจะสูงขึ้น
(3) คนนับเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งในการผลิตที่แตกต่างจากปัจจัยอื่น
(4) นายจ้างควรให้ความสําคัญแก่คนงานในด้านจิตใจและความต้องการ

ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 2) ข้อเสนอแนะจากกรณีศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne Experiment) มีดังนี้
1 นายจ้างควรให้ความสําคัญแก่คนงานในด้านจิตใจและความต้องการ ตลอดจนควรเข้าใจ คนงานว่า
คนนับเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งในการผลิตที่แตกต่างจากปัจจัยอื่น
2 ปรับปรุงวิธีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างคนงาน ซึ่งผลที่ได้รับ คือ เมื่อการ สื่อสารดีขึ้น ผลผลิตของโรงงาน/ประสิทธิภาพในการทํางานจะสูงขึ้น

20 จากผลการศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne) ก่อให้เกิดผลสําคัญใดต่อแวดวงด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ
(1) เกิดแนวคิดเรื่องการสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์ขึ้นครั้งแรกของโลก
(2) เกิดเป็นกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และข้อกําหนดในสถานที่ทํางาน
(3) เกิดการรวมตัวของลูกจ้าง และการก่อตั้งสหภาพแรงงานขึ้น
(4) เกิดวิชามนุษยสัมพันธ์ และเปิดสอนเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 2) จากผลการศึกษาฮอร์ธอน (Hawthorne) ก่อให้เกิดผลสําคัญต่อแวดวงด้าน มนุษยสัมพันธ์ คือ ศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ผู้เป็นบิดาแห่งวิชามนุษยสัมพันธ์ ได้ริเริ่มเปิดสอนวิชามนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ขึ้นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ซึ่งอีก 10 ปีต่อมาวิชานี้ก็กลายเป็นวิชา บังคับในหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัย

21 ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) สภาพแวดล้อม
(2) การอบรมสั่งสอน
(3) ประสบการณ์
(4) สถานภาพ
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่
1 สภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยเริ่มแรก เช่น สายใยรักในครอบครัว ความรักความเอาใจใส่ ในครอบครัว การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ฯลฯ
2 การอบรมสั่งสอน เช่น การรับฟังความรู้หรือข้อแนะนําเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออก ที่เหมาะสมจากพ่อแม่ ครู และญาติพี่น้อง ฯลฯ
3 ประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น ปฏิกิริยาตอบกลับ ปฏิกิริยาป้อนกลับ หรือปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) จากคู่สื่อสารหรือคนรอบตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สื่อสาร และคําวิพากษ์ วิจารณ์จากบุคคลอื่น

22 ข้อใดไม่ใช่อุปสรรคที่มีผลต่อความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) ผลประโยชน์ขัดกัน
(2) ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ
(3) ความแตกต่างในด้านความคิดเห็น
(4) ความแตกต่างในด้านประสบการณ์/ภูมิหลัง
ตอบ 2(PDF ครั้งที่ 2) สาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่
1 ความแตกต่างด้านประสบการณ์และภูมิหลัง เช่น อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
2 ความแตกต่างด้านความคิดเห็น เป็นความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของ บุคคลในลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยม ฯลฯ ซึ่งหากไม่ยอมรับกันแล้ว ความเข้าใจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
3 ความแตกต่างด้านผลประโยชน์ คือ ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของสิ่งของ วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯลฯ มักทําให้เกิดความไม่พอใจและความแตกแยกได้ง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่น

23 ข้อใดไม่นับว่าเป็นองค์ประกอบของมนุษยสัมพันธ์
(1) การติดต่อสื่อสารและการบริหารความขัดแย้ง
(3) การจูงใจและความไว้วางใจ
(2) การรู้จักตนเองและยอมรับตนเอง
(4) การเข้าใจตนเองและผู้อื่น
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 2) องค์ประกอบสําคัญในการศึกษาวิชามนุษยสัมพันธ์
1 การติดต่อสื่อสาร (Communication)
2 การรู้ตนเอง หรือการรู้จักตนเอง (Self Awareness)
3 การยอมรับตนเอง (Self Acceptance)
4 การจูงใจ (Motivation)
5 ความไว้วางใจ (Trust)
6 การเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure)
7 การบริหารจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management)

24 ข้อใดคือความหมายของธรรมชาติของมนุษย์
(1) ลักษณะโดยรวมของมนุษย์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่ทุกคนมี ทุกคนเป็น
(2) เป็นโครงสร้างในเชิงชีววิทยาและชีววิถีของมนุษย์ตามธรรมชาติ
(3) ภาพรวมของมนุษย์ทั้งในด้านบุคลิกภาพภายนอกและภายใน
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูกต้อง
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 3) ธรรมชาติของมนุษย์ หมายถึง ลักษณะโดยรวมของมนุษย์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่ ทุกคนมี ทุกคนเป็น ดังนั้นจึงเป็นภาพโดยรวมของมนุษย์ทั้งในด้านบุคลิกภาพภายนอกและบุคลิกภาพภายใน

25 ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบตามธรรมชาติของมนุษย์
(1) ส่วนประกอบทางร่างกาย
(3) อินทรียวัตถุ และอนินทรียวัตถุ
(2) นิสัยใจคอ มุมมอง อารมณ์ความรู้สึก
(4) พฤติกรรม และการแสดงออก
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 3) องค์ประกอบตามธรรมชาติของมนุษย์ (An Elements of Human Nature)
มีดังต่อไปนี้
1 ส่วนประกอบทางร่างกาย
2 นิสัยใจคอ มุมมอง อารมณ์ความรู้สึก
3 พฤติกรรม และการแสดงออก

26 ข้อใดไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) เพื่อศึกษากลไกทางชีววิทยาที่ส่งผลต่อคุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์
(2) เพื่อศึกษาธรรมชาติความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลอื่น
(3) เพื่อทําให้เข้าใจถึงลักษณะนิสัยใจคอและพฤติกรรมของมนุษย์ในภาพรวม
(4) เพื่อศึกษาถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างตามธรรมชาติของมนุษย์
ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 3) วัตถุประสงค์ของการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ในด้านมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เนื่องจากมนุษยสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเรากับบุคคลอื่น ซึ่งต่างก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน
2 เพื่อทําให้เข้าใจถึงลักษณะนิสัยใจคอและพฤติกรรมของมนุษย์ในภาพรวม ซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลต่าง ๆ
3 เพื่อศึกษาถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งสัดส่วนของความคล้ายคลึงจะมีน้อยกว่าความแตกต่าง ดังนั้นการเข้าใจในเรื่องความคล้ายคลึงและ ความแตกต่างของมนุษย์ จึงมีส่วนช่วยให้เรายอมรับบุคคลอื่นได้ง่ายขึ้น และลดปัญหา ในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้น้อยลง

27 การเข้าใจเรื่องความคล้ายคลึงและความแตกต่างของมนุษย์ มีส่วนช่วยในเรื่องใด
(1) ทําให้มองเห็นสัดส่วนของความแตกต่าง และช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการเผชิญความต่างนั้น
(2) ทําให้เราเข้าถึงตัวตนของบุคคลอื่น แล้วช่วยให้เราสามารถปรับปรุงแก้ไขตัวตนผู้อื่นได้
(3) ทําให้เรายอมรับบุคคลอื่นได้ง่ายขึ้น และลดปัญหาในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้น้อยลง
(4) ทําให้เราสามารถเลือกสร้างความสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีความคล้ายคลึงได้ง่ายมากขึ้น
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 26 ประกอบ

28 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับความคล้ายคลึงและความแตกต่างของมนุษย์
(1) สัดส่วนความคล้ายคลึงมีน้อยกว่าความแตกต่าง
(2) สัดส่วนความคล้ายคลึงมีมากกว่าความแตกต่าง
(3) สัดส่วนความคล้ายคลึงมีเท่า ๆ กันกับความแตกต่าง
(4) สัดส่วนความคล้ายคลึงและความแตกต่าง ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 26 ประกอบ

29 ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการเรียนรู้ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) ทําให้รู้จักตนเองและเข้าใจผู้อื่นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
(2) ทําให้สามารถควบคุมตนเองและควบคุมผู้อื่นได้ตามธรรมชาติ
(3) ทําให้รู้จักวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมตามหลักมนุษยสัมพันธ์
(4) ทําให้เกิดการยอมรับตนเองและยอมรับบุคคลอื่นตามธรรมชาติของแต่ละฝ่าย
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 3) การเรียนรู้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นประโยชน์ต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ดังนี้
1 ทําให้รู้จักและเข้าใจตนเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
2 ทําให้รู้จักและเข้าใจผู้อื่นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
3 ทําให้เกิดการยอมรับตนเองและยอมรับบุคคลอื่นตามธรรมชาติของแต่ละฝ่าย
4 ทําให้รู้จักวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมตามหลักมนุษยสัมพันธ์

30 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์
(1) ชอบความสะดวกสบาย ไม่ขอบระเบียบข้อบังคับ
(2) ชอบการทําลาย โหดร้ายทารุณ ป่าเถื่อน ชอบซ้ําเติม
(3) ไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตนเอง
(4) ไม่กังวลต่อความทุกข์ทรมาน ความลําบาก และไม่กลัวความตาย
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 3) ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์ มีดังนี้
1 ไม่ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตนเอง
2 ชอบการทําลายและความหายนะ
3 ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
5 หวาดกลัวภัยอันตรายต่าง ๆและกลัวความตาย
4 มีความต้องการทางเพศ
6 กลัวความทุกข์ทรมาน ความลําบาก
7 โหดร้ายทารุณ ป่าเถื่อน ชอบซ้ําเติม
8 ชอบความสะดวกสบาย ไม่ชอบระเบียบข้อบังคับ
9 ชอบความตื่นเต้น การผจญภัย

31 ข้อใดไม่ใช่ชุดความเชื่อเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักปรัชญาตะวันออก
(1) มนุษย์นั้นล้วนมีแต่ความว่างเปล่า
(3) มนุษย์มีความดีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
(2) ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ดีไม่ชั่ว
(4) ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย

ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 3) ธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักปรัชญาตะวันออก มีดังนี้
1 เม่งจื้อ นักปรัชญาชาวจีน เชื่อว่า มนุษย์มีความดีที่ติดตัวมาแต่กําเนิด บริสุทธิ์เหมือนผ้าขาว
2 ซุ่นจื้อ นักปรัชญาชาวจีน เชื่อว่า ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย ดํามืด แต่เกิดมาพร้อมกับ สติปัญญา ซึ่งสติปัญญานี้ทําให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงสภาพหยาบกระด้างที่เป็นธรรมชาติของ มนุษย์ให้มีบุคลิกภาพอันงดงามสมบูรณ์ได้ โดยการฝึกอบรม
3 เล่าจื้อ นักปรัชญาชาวจีน เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและไม่ชั่ว (เปรียบได้ดั่งสีเทา) ซึ่งเหมือนกับกระแสน้ำที่รวนเร ดังนั้นความดี ความเลว จึงเป็นสิ่งที่คู่กันในตัวมนุษย์
4 ท่านพุทธทาสภิกขุ เชื่อว่า คนหรือมนุษย์ยังเป็นผู้บกพร่อง เพราะต้องเรียนรู้แสวงหาหนทาง
ในการดําเนินชีวิต

32 ข้อใดไม่ใช่ชุดความเชื่อเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักปรัชญาตะวันตก
(1) ธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนดี
(2) ความไม่ดีในตัวมนุษย์เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม
(3) ธรรมชาติของมนุษย์นั้นป่าเถื่อน เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ หยาบคาย และอายุสั้น
(4) มนุษย์ยังเป็นผู้บกพร่อง เพราะต้องเรียนรู้แสวงหาหนทางในการดําเนินชีวิต
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 3), (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ) นักจิตวิทยาและนักปรัชญาชาวตะวันตก ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ไว้ ดังนี้
1 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นป่าเถื่อน เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ หยาบคาย และอายุสั้น
2 จอห์น ล็อก (John Locke) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นคนดี ไม่เห็นแก่ตัว หากมีความไม่ดีในตัวมนุษย์ก็เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม
3 คาร์ล อาร์, โรเจอร์ (Carl Ransom Roger) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีความคล้ายคลึงกัน

ข้อ 33 – 35. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
(3) กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism)
(2) กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism)
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)

33 ความเชื่อที่ว่า “มนุษย์มีสติปัญญา มีการพัฒนาการตามวุฒิภาวะ มีความสามารถในการเรียนรู้ และ การปรับตัว” เป็นของสํานักใด
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 3) กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism) ได้แก่ เลวิน (Lewin) พี่อาเจท์ (Piaget) และโคลเบิร์ก (Kolhberg) มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์เกิดจากผลของการปรับตัว ในสภาพแวดล้อม ซึ่งมนุษย์มีสติปัญญา มีการพัฒนาการตามวุฒิภาวะ จึงมีความสามารถ ในการเรียนรู้ และการปรับตัว

34 ความเชื่อที่ว่า “การแสดงออกของมนุษย์เกิดจากสภาพแวดล้อม จึงสามารถกําหนดแนวทางการพัฒนา พฤติกรรมมนุษย์ได้ โดยการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม” เป็นของสํานักใด
ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 3) กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ได้แก่ กลุ่มฮัล (Hull) และสกินเนอร์ (Skinner) มีความเชื่อว่า พฤติกรรม (ที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์) เกิดจากจากสภาพแวดล้อม จึงสามารถกําหนดแนวทางการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์ได้ โดยจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม

35 ความเชื่อที่ว่า “ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีด้วยตนเอง พฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลจากการตอบสนอง ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์” เป็นของสํานักใด
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 3) กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) ได้แก่ โรเจอร์ (Roger) และมาสโลว์ (Maslow) มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีได้ด้วยตนเอง โดยพฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และเชื่อว่ามนุษย์ดีโดยกําเนิด

36 ความเชื่อที่ว่า “ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์นั้นมีความเลวมาแต่กําเนิด พฤติกรรมของมนุษย์มาจาก ความต้องการพื้นฐานของจิตใต้สํานึก” เป็นของสํานักใด
(1) กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
(2) กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism)
(3) กลุ่มมนุษยนิยม (Humanismn)
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 3) กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ซึ่งได้แก่ ฟรอยด์ (Freud) และฟรอม (Fromm) เชื่อในเรื่องจิตและพฤติกรรมภายในว่า พฤติกรรมของมนุษย์มาจากความต้องการ พื้นฐานของจิตใต้สํานึก และเชื่อว่าธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์นั้นมีความเลวมาแต่กําเนิด

ข้อ 37 – 39. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) คนเรามีนิสัยไม่ชอบทํางาน ถ้ามีโอกาสหลบหลีกการทํางานได้ก็จะหลีกเลี่ยงทันที
(2) การใช้สมองในการทํางานเป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่น หรือการพักผ่อน
(3) การศึกษามนุษย์นั้นต้องดูภาพรวมทั้งหมดในฐานะเป็นบุคคลหนึ่ง
(4) มนุษย์เป็นผู้ที่ตั้งใจทํางานที่ตนรับผิดชอบและประนีประนอมให้งานบรรลุเป้าหมาย

37 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแมกเกรเกอร์ ตามหลักทฤษฎี X
ตอบ 1 (PDF ครั้งที่ 4) ทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแมกเกรเกอร์ กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์ ตามทฤษฎี X มีลักษณะทั่วไปดังนี้
1 คนเรามีนิสัยไม่ชอบทํางาน ถ้ามีโอกาสหลบหลีกการทํางานได้ก็จะหลีกเลี่ยงทันที หรือมักจะ ทํางานแบบ “เช้าชามเย็นชาม”
2 เพราะมีนิสัยไม่ชอบทํางาน จึงต้องใช้แรงเสริมทางลบเพื่อจูงใจให้ทํางาน คือ ใช้การบังคับ ควบคุม และมีบทลงโทษ เพื่อให้ทํางานจนบรรลุผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
3 ชอบทํางานตามนายสั่ง ขาดความรับผิดชอบ และขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่การงาน แต่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด

38 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแมกเกรเกอร์ ตามหลักทฤษฎี Y
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 4) ทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแมกเกรเกอร์ กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์ ตามทฤษฎี Y มีลักษณะทั่วไปดังนี้
1 การออกแรงกายและการใช้สมองในการทํางาน เป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือ การพักผ่อน ซึ่งจะทําให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดี เกิดความรักในงาน พึงพอใจและมีความสุข
ในการทํางาน
2 คนเราจะทํางานในหน้าที่ด้วยการสั่งงานและควบคุมตนเอง
3 ควรใช้แรงเสริมทางบวกเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้บุคคลทํางาน คือ การยกย่องชมเชย การให้รางวัลเพื่อเป็นกําลังใจกับผลสําเร็จของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีโอกาส แสดงผลงานและความสามารถในการทํางานตามที่เขาต้องการ ฯลฯ

39 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแรดดิน ตามหลักทฤษฎี Z
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 4) ทฤษฎีการจูงใจในการบริหารของแรดดิน กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์ตาม ทฤษฎี Y มีลักษณะทั่วไปดังนี้
1 มนุษย์เป็นผู้ที่ตั้งใจทํางานที่ตนรับผิดชอบและประนีประนอมให้งานบรรลุเป้าหมาย
2 มนุษย์มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะ และมีเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทํางาน
3 มนุษย์ยอมรับพฤติกรรมความไม่ดีที่เกิดจากการกระทําจากสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่
เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิต
4 มนุษย์ทุกคนจะต้องติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยกัน โดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม

40 ข้อใดคือความหมายของความต้องการขั้นต้น (Primary Needs) ของมนุษย์
(1) เป็นความต้องการเชิงอารมณ์และจิตใจที่มีลักษณะไม่ชัดเจน
(2) เป็นความต้องการทางด้านร่างกายที่ต้องการให้ชีวิตอยู่รอดและดํารงเผ่าพันธุ์ต่อไป
(3) แต่ละบุคคลมีความต้องการในขั้นนี้ที่ไม่เหมือนกัน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูกต้อง
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 4) ความต้องการทางสรีระ (Physiologicat Needs) หรือความต้องการขั้นต้น (Primary Needs) เป็นความต้องการด้านร่างกายที่ต้องการให้ชีวิตอยู่รอดและดํารงเผ่าพันธุ์ สืบต่อไป เช่น ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ ซึ่งได้แก่ อาหาร/น้ํา ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ตลอดจนความต้องการทางเพศ ความต้องการพักผ่อน ความต้องการอุณหภูมิ ที่เหมาะสม ความต้องการขับถ่าย ฯลฯ

41 ข้อใดคือความหมายของความต้องการขั้นรอง (Secondary Needs) ของมนุษย์
(1) เป็นความต้องการเชิงอารมณ์และจิตใจที่มีลักษณะไม่ชัดเจน
(2) เป็นความต้องการทางด้านร่างกายที่ต้องการให้ชีวิตอยู่รอดและดํารงเผ่าพันธุ์ต่อไป
(3) แต่ละบุคคลมีความต้องการในขั้นนี้ที่ไม่เหมือนกัน
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูกต้อง
ตอบ – 4 (PDF ครั้งที่ 4) ความต้องการทางด้านสังคม หรือด้านจิตวิทยา หรือความต้องการขั้นรอง (Secondary Needs) เป็นความต้องการเชิงอารมณ์และจิตใจที่มีลักษณะไม่ชัดเจน เช่น ความต้องการมีศักดิ์ศรี ความต้องการการยอมรับ การยกย่อง ความรัก ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะที่สามารถสรุปได้ดังนี้
1 มักเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
2 แต่ละบุคคลมีความต้องการขั้นรองแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
3 เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกัน
4 มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มสังคมมากกว่าอยู่คนเดียว
5 บุคคลมักไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นความต้องการในขั้นนี้ไว้
6 บางครั้งมีลักษณะเป็นนามธรรมและไม่ชัดเจน ไม่เหมือนความต้องการขั้นต้น
7 มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์

42 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์
(1) มีปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและส่งอิทธิพลต่อกันมากมาย
(2) พฤติกรรมของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตัดสินใจ
(3) ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์มีอยู่ 2 ปัจจัย
(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 (คําบรรยาย) พฤติกรรม (Behaviors) หมายถึง การกระทําต่าง ๆ ของมนุษย์ทั้งด้านจิตใจ (ไม่สามารถสังเกตได้) และด้านการแสดงออก (สามารถสังเกตได้) ซึ่งการกระทําทั้ง 2 ด้านนี้ เกิดจากการควบคุมสั่งการของระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อให้เกิดความรู้สึก เกิดการรับรู้ คิด และตัดสินใจกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและส่ง อิทธิพลต่อกันมากมาย แต่ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์มีอยู่ 2 ปัจจัย ได้แก่
1 ปัจจัยภายนอก
2 ปัจจัยภายใน

ข้อ 43 – 46. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เม่งจื้อ
(2) ซุ่นจื้อ
(3) เล่าจื้อ
(4) ขงจอ

43 ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์ชั่วร้าย ดํามืด แต่เกิดมาพร้อมกับสติปัญญา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ

44 มนุษย์นั้นเหมือนสายน้ำที่รวนเร ความดี ความเลวนั้น เป็นสิ่งที่คู่กันในตัวมนุษย์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ

45 มนุษย์นั้นมีความดีติดตัวแต่กําเนิด บริสุทธิ์เหมือนผ้าขาว
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ

46 ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ดี ไม่ชั่ว (เปรียบได้กับสีเทา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31 ประกอบ

ข้อ 47. – 50. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ความต้องการด้านร่างกาย
(2) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง
(3) ความต้องการด้านความรักและการยอมรับ
(4) ความต้องการการยกย่องสรรเสริญ

47 ต้องการมิตรภาพ ความสัมพันธ์แบบลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ตอบ 3 (PDF ครั้งที่ 5) ความต้องการความรักและร่วมกิจกรรมในสังคม (Belonging and Social Activity Needs) คือ ความต้องการความรักและการยอมรับ ต้องการมิตรภาพ ความสัมพันธ์ แบบลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงความต้องการแสดงตัวและมีส่วนร่วมในกิจกรรม ของสังคม โดยจะเกิดขึ้นในลักษณะของการยอมปฏิบัติตนตามกรอบกติกามารยาทของสังคมหรือการมีพฤติกรรมตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกําหนด ทั้งนี้การสร้างมนุษยสัมพันธ์ของบุคคลก็เป็น การตอบสนองความต้องการในลําดับขั้นนี้

48 ต้องการปัจจัยสี่ (น้ํา อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค) เพื่อการดํารงชีพ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 40 ประกอบ

49 ต้องการมีสถานะทางสังคม การได้รับเกียรติยศ ศักดิ์ศรี การนับหน้าถือตา
ตอบ 4 (PDF ครั้งที่ 5) ความต้องการเกียรติยศ ชื่อเสียง และตําแหน่งหน้าที่ (Esteem and Status Needs) คือ ความต้องการการยกย่องสรรเสริญ ต้องการมีสถานะทางสังคม การได้รับเกียรติยศ ศักดิ์ศรี การนับหน้าถือตา และยอมรับตนว่าเป็นคนสําคัญของกลุ่มสมาชิก มนุษย์จึงพยายาม พัฒนาศักยภาพของตนให้เหนือกว่าคนอื่น โดยการสร้างสมความรู้ความสามารถ ทําตนให้เป็นที่รู้จัก และแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อให้ได้รับความต้องการในขั้นนี้

50 ต้องการสุขภาพที่ดี การมีเสถียรภาพทางการเงิน การงานอาชีพ
ตอบ 2 (PDF ครั้งที่ 5) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs) คือ ความต้องการความปลอดภัย หรือความรู้สึกมั่นคงในชีวิตด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ บุคคลมีปัจจัยสี่เพียงพอในระดับหนึ่งแล้ว เขาจะพัฒนาขึ้นไปต้องการมีความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน เช่น ต้องการมีสุขภาพที่ดี การมีเสถียรภาพทางการเงิน มีหน้าที่การงาน อาชีพที่มั่นคง ฯลฯ

51 “เราไม่สามารถแก้ปัญหาที่เราสร้างขึ้นด้วยความคิดแบบเดิม เมื่อเราต้องการผลลัพธ์ใหม่” เป็นคํากล่าว
ของใคร
(1) เดวิด โบห์ม
(2) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
(3) แมคลูฮัน
(4) ปีเตอร์ รัสเซลล์
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 13) ในหัวข้อเรื่อง กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในที่นําไปสู่การเปลี่ยนแปลง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า “เราไม่สามารถแก้ปัญหาที่เราสร้างขึ้นด้วยความคิดแบบเดิม เมื่อเราต้องการผลลัพธ์ที่ต่างออกไป”

52 เป้าหมายของทฤษฎีตัวยู (U-Theory) คืออะไร
(1) การยอมรับเชิงประจักษ์
(2) การสนับสนุนความเชื่อเดิม
(3) การอธิบายระดับการรับรู้ความจริง
(4) การสร้างความน่าเชื่อถือผ่านแรงกระตุ้น
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 13) การเกิดกระบวนทัศน์ใหม่หรือโลกทัศน์ใหม่ เกิดจากกระบวนการที่ทําให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึก ซึ่งออตโต ชาร์เมอร์ (Otto Scharmer) ได้พัฒนาทฤษฎี ตัวยู (U-Theory) เพื่ออธิบายถึงระดับของการรับรู้และการเปลี่ยนแปลง โดยใช้ลักษณะของ ตัวยูมาอธิบายความลึกของระดับการรับรู้ความจริงและระดับการกระทําที่เกิดจากการรับรู้นั้น

53 ทฤษฎีตัวยู (U-Theory) เป็นของใคร
(1) Otto Scharmer
(2) Ken Willber
(3) Peter Russell
(4) David Bohm
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 52 ประกอบ

54 Observing ต่างจาก Suspending อย่างไร
(1) การห้อยแขวนอคติ
(2) สังเกตการณ์โดยไม่ตัดสินสิ่งต่าง
(3) การตัดสินสิ่งต่าง ๆ จากข้อมูลเดิม
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 14) ตามทฤษฎีรูปตัวยู (U-Theory) นั้น อธิบายว่า การที่เราเฝ้าสังเกต (Observing) สถานการณ์ใด ๆ หรือเรื่องใดโดยรู้ตัว โดยวางไว้ไม่ตัดสิน (Suspending) มองด้วยสายตาใหม่สดและลงไปสัมผัสกับเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง (Deep Dive) ทําให้เรา มีการปรับเปลี่ยนแบบแผนของพฤติกรรม(Redesign) ของตัวเองจากความคุ้นชินเดิม ๆ และนําไปสู่การเปลี่ยนกรอบของตัวเองที่เคยมีมาแต่เดิม (Reframe)

55 “Open Will” คือกระบวนการใด
(1) สภาวะการแสดงออกด้วยการกระทําหรือคําพูด
(2) สภาวะยูขาลง
(3) การปรับเปลี่ยนแบบแผนของพฤติกรรม
(4) สภาวะยูขาขึ้น
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 13), (คําบรรยาย) จากภาพทฤษฎีรูปตัวยู (U-Theory) อธิบายได้ว่า สภาวะ ยูขาลงในขั้นตอนที่ 4 “Open Will” หรือ “Presencing” คือ การอยู่กับปัจจุบันที่สุด เราจะ เห็นคําตอบมากมาย ทางเลือกหลากหลาย และความเป็นได้ทุกทางในอนาคต

56 ข้อใดคือส่วนที่สําคัญของการคิด วิเคราะห์ แยกแยะในการฟัง
(1) Suspending
(2) Bias
(3) Information
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 16), (คําบรรยาย) การห้อยแขวน (Suspending) คือ งดเว้นจากการตัดสิน ให้คุณค่าเรื่องที่ฟัง เว้นจากการประเมินหรือตัดสินเรื่องของคู่สนทนา รวมทั้งการไม่ใช้ทัศนะ ขั้วตรงข้าม กล่าวคือ การมองและเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นแบ่งออกเป็นสองด้านที่ตรงข้ามกัน เมื่อเกิดการห้อยแขวนจะทําให้เกิดปัญญา ซึ่งถือเป็นส่วนที่สําคัญของการคิด วิเคราะห์ และแยกแยะในการฟัง

57 ข้อใดคือปัญหาของการสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์ในกระแสทุนนิยม
(1) สังคมมีการแข่งขันจนยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
(2) สังคมออกแบบเน้นการเรียนรู้เพื่อนําไปประกอบอาชีพ
(3) ปัจเจกบุคคลเห็นแก่ประโยชน์ตนเอง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 4), (คําบรรยาย) ปัญหาของการสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์ในกระแสทุนนิยม และกระแสโลกาภิวัตน์ ได้แก่
1 สังคมออกแบบเน้นการเรียนรู้เพื่อนําไปประกอบอาชีพ
2 สังคมมีการแข่งขันจนยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
3 ปัจเจกบุคคลเห็นแก่ประโยชน์ตนเอง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม
4 ให้ความสําคัญกับการพัฒนาวัตถุ แต่ลดทอนความสําคัญเรื่องคุณธรรม ฯลฯ

58 เคน วิลเบอร์ (Ken Willber) อธิบายการพัฒนาระดับจิตของมนุษย์ว่าอย่างไร
(1) มนุษย์ควรเริ่มจากจิตภายในตน สังคม และวัฒนธรรม
(2) มนุษย์ควรเริ่มจากสังคม วัฒนธรรม และจิตภายในตน
(3) มนุษย์ควรเริ่มจากจิตภายในตน วัฒนธรรม และสังคม
(4) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 4) เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “จิตวิทยาบูรณาการ” อธิบายว่า การพัฒนาระดับจิตของมนุษย์ไม่อาจมองข้ามบริบทต่าง ๆ ทางสังคม วัฒนธรรม และระบบสมองของมนุษย์ไปได้ ดังนั้นวิธีการส่งเสริมการพัฒนาจิตภายในของมนุษย์ จึงควร กระทําจากทั้งระดับจิตมนุษย์ การพัฒนาสมอง รวมถึงสังคม และวัฒนธรรมร่วมกันไป

59 ข้อใดคือปรากฏการณ์ที่ทําให้เกิดการมองโลกใหม่ของปีเตอร์ รัสเซลล์ (Peter Russell)
(1) การใช้ชีวิตของมนุษย์หมุนช้าขึ้น
(2) การมีจิตสํานึกไม่ถูกต้อง
(3) การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุและจิตสํานึกพร้อมกัน
(4) นําเสนอนามธรรมของจิตวิวัฒน์
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 4 – 5) ปรากฏการณ์ปัจจุบันที่ทําให้เกิดการมองโลกในแง่มุมใหม่ ๆ ของปีเตอร์ รัสเซลล์ (Peter Russell) นักฟิสิกส์และจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้แก่
1 วิถีการดําเนินชีวิตของมนุษย์ที่นับวันจะดูเหมือนหมุนเร็วขึ้นไปทุกที ทําให้เกิดผลกระทบ อันไม่พึงปรารถนาในทุกระบบของสังคมและสิ่งแวดล้อม
2 วิเคราะห์ว่ารากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง คือ การมีจิตสํานึกไม่ถูกต้อง
3 ทางออกของปรากฏการณ์นั้นไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุกลไกภายนอก แต่ต้องเปลี่ยนแปลงจากภายใน เป็นการเปลี่ยนจิตสํานึกอย่างลุ่มลึก
4 นําเสนอแนวทางรูปธรรมของการขยายจิตสํานึกจากจิตอันคับแคบส่วนตัวไปสู่การมีจิตเผื่อแผ่กว้างใหญ่มีจิตวิวัฒน์

60 ข้อใดคือวัตถุประสงค์สําคัญในการปรับค่านิยม อุดมการณ์ในสังคมไทย
(1) การอยู่ร่วมกันกับความแตกต่างอย่างเป็นปึกแผ่น
(2) การปรับทัศนคติให้กลมกลืนได้อย่างเปิดกว้าง
(3) มีความเป็นเอกภาพท่ามกลางความขัดแย้ง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 5) ระบบการศึกษา ตลอดจนการจัดระบบการเรียนรู้ในสังคมถือเป็นเรื่องใหญ่ และมีความสําคัญอย่างมีนัยในการปรับค่านิยม วัฒนธรรม แนวคิด และอุดมการณ์ของคนไทย ให้สามารถผสมกลมกลืนกันได้ ทั้งนี้เพื่อความเป็นปึกแผ่นท่ามกลางแนวคิดที่หลากหลาย และ มีความเป็นเอกภาพท่ามกลางความขัดแย้งที่แตกต่างในปัจจัยต่าง ๆ

61 แนวคิดแบบจิตตปัญญาศึกษา ต้องการพัฒนาด้านใดของมนุษย์
(1) สามารถประกอบอาชีพที่หลากหลาย
(2) สามารถพัฒนาความสมดุลด้านความรู้และจิตใจ
(3) สามารถสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
(4) สามารถพัฒนาทักษะวิชาชีพได้ดี
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 5) แนวคิดแบบจิตตปัญญาศึกษา เป็นความพยายามที่จะพลิกฟื้นการศึกษาให้ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุลทั้งด้านความรู้และจิตใจอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อให้เป็น ผู้ที่มีคุณธรรมความดีงาม รู้จักตนเอง เข้าใจผู้อื่น สามารถอยู่ร่วมกันและมีชีวิตที่ก่อประโยชน์ เกื้อกูลกับสังคมได้อย่างมีความสุข ย่อมก่อให้เกิดผลการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ที่จะนําไปสู่สังคม ที่มีดุลยภาพต่อไป

62 ข้อใดคือลักษณะเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของวิจักษณ์ พานิช
(1) การฟังโดยใช้ประสบการณ์ตนเองในการตัดสิน
(2) การใคร่ครวญด้วยการเปิดใจฟังอย่างยืดหยุ่น
(3) กระบวนการเรียนรู้เกิดจากการได้ยินผ่านหู
(4) การดูเหตุการณ์โดยไม่ต้องเชื่อมโยง
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 6) วิจักขณ์ พานิช อธิบายว่า การเอาใจใส่จิตใจในกระบวนการเรียนรู้สามารถ
ทําได้ 3 ลักษณะ ดังนี้
1 การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) คือ การฟังด้วยหัวใจ ด้วยความตั้งใจอย่างสัมผัสได้ถึง รายละเอียดของสิ่งที่เราฟังอย่างลึกซึ้งด้วยจิตที่ตั้งมั่น ด้วยการเปิดใจฟังอย่างยืดหยุ่น ในที่นี้ ยังหมายถึง การรับรู้ในทางอื่น ๆ ด้วย เช่น การมองเห็น การอ่าน การสัมผัส ฯลฯ
2 การน้อมสู่ใจอย่างใคร่ครวญ (Contemplation) เป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการฟังอย่าง ลึกซึ้ง ร่วมกับประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทางอื่น ๆ เมื่อเข้ามาสู่ใจแล้วมีการน้อมนํามา คิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ซึ่งต้องอาศัยความสงบเย็นของจิตใจเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็ลองนําไป ปฏิบัติเพื่อให้เห็นผลจริง
3 การเฝ้ามองเห็นตามที่เป็นจริง (Meditation) การปฏิบัติธรรมหรือการภาวนา คือ การเฝ้าดู ธรรมชาติที่แท้ของจิต คือ การเปลี่ยนแปลงไม่คงที่

63 ข้อใดคือ Action-Oriented
(1) การเขียนให้เฉพาะเจาะจง แคบลงชัดเจนขึ้น
(2) สามารถวัดได้ แจกแจง ระบุการบรรลุได้
(3) ยึดการกระทําเป็นหลัก
(4) เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 42) ลักษณะของเป้าหมายที่ดี (SMART) ควรมีองค์ประกอบดังนี้
1 Specific (เฉพาะเจาะจง)
2 Measurable (สามารถวัดได้)
3 Action-Oriented (ยึดการกระทําเป็นหลัก)
4 Realistic (เป็นจริง)
5 Time and resource constrained (เวลาและข้อจํากัดด้านทรัพยากร)

64 การกําหนดเป้าหมายแบบกว้างและแบบเจาะจง เป็นการยกตัวอย่างของใคร
(1) Wallace & Master
(2) David Bohm
(3) Habermas
(4) Peter Russelle
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 43) Wallace & Masters ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการกําหนดเป้าหมายที่มี ลักษณะกว้างกับเป้าหมายที่มีลักษณะเจาะจง ดังนี้
1 แบบกว้าง : เป็นคนมีการศึกษาดี, แบบเจาะจง : ได้รับปริญญาโททางการสื่อสารมวลชน
2 แบบกว้าง : มีความสามารถทางการเป็นผู้นํา, แบบเจาะจง : ได้รับตําแหน่งเป็นหัวหน้างาน

65 การวางเป้าหมายช่วยให้บรรลุดุลยภาพแห่งชีวิตอย่างไร
(1) สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรู้เท่าทัน
(2) ทําให้รู้ว่าเดินถูกทางตามที่คิดไว้
(3) ชีวิตได้ความสมดุลในด้านต่าง ๆ ของชีวิต
(4) รู้ถึงความต้องการของชีวิต
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 37 – 38) ความสําคัญของเป้าหมายประการหนึ่ง ได้แก่ การวางเป้าหมาย ช่วยให้บรรลุดุลยภาพแห่งชีวิต คือ ชีวิตมีเป้าหมายหลายอย่างที่ต้องทําให้สําเร็จ ซึ่งการตั้ง เป้าหมายที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ทําให้ชีวิตได้ความสมดุลในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ชีวิตจะ ประสบความสําเร็จอย่างแท้จริงต่อเมื่อบรรลุเป้าหมายด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีดุลยภาพ และนั่นอาจเรียกว่า เป็นคนเก่ง

66 อุปสรรคใดที่ทําให้เป้าหมายไม่สําเร็จ
(1) ไม่ตั้งเป้าหมาย
(2) ไม่รู้วิธีการตั้งเป้าหมาย
(3) ขาดความเชื่อมั่น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 38 – 39) อุปสรรคขวางการบรรลุเป้าหมาย มีดังนี้
1 ไม่ตั้งเป้าหมาย
2 ไม่รู้วิธีการตั้งเป้าหมาย
3 เคยลองแล้วพลาด
4 ความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
5 ชีวิตนี้คงไม่มีหวัง
6 ปฏิเสธทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ฯลฯ

67 ข้อใดไม่ใช่กระบวนการในการบรรลุเป้าหมาย
(1) นึกถึงสิ่งที่อยากมีในอนาคต
(2) ระบุความต้องการให้ชัดเจนว่า จะสําเร็จได้อย่างไร
(3) เขียนสิ่งที่อยากทํา
(4) เขียนแผนปฏิบัติหลังสํารวจความเป็นไปได้ของเป้าหมาย
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 40) Rouillard ได้ให้หลักการบรรลุเป้าหมาย ซึ่งมีกระบวนการตามลําดับดังนี้
1 เขียนรายการของสิ่งที่อยากทํา หรือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ เช่น ต้องการรวย มีเงินเยอะ ๆ
2 นําสิ่งที่เขียนเป็นเป้าหมาย เช่น ต้องการมีเงินล้าน
3 ขยายเนื้อความของเป้าหมาย โดยระบุความต้องการให้ชัดเจนว่า จะสําเร็จได้อย่างไร เมื่อไร
4 แปลงเป็นแผน ปฏิบัติตามแผน หลังจากนั้นสํารวจทรัพยากรต่าง ๆ ว่า เป็นไปตามเป้าหมาย ที่กําหนดไว้หรือไม่เพียงใด

68 Action Plan ของ Wallace & Master อธิบายอย่างไร
(1) ตั้งวัตถุประสงค์, กําหนดเป้าหมาย, สภาพแห่งความสําเร็จ แผนปฏิบัติการ
(2) กําหนดเป้าหมาย, แผนปฏิบัติการ, สภาพแห่งความสําเร็จ, ตั้งวัตถุประสงค์
(3) ตั้งวัตถุประสงค์, กําหนดเป้าหมาย, แผนปฏิบัติการ สภาพแห่งความสําเร็จ
(4) กําหนดเป้าหมาย, แผนปฏิบัติการ, ตั้งวัตถุประสงค์ สภาพแห่งความสําเร็จ

ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 40) Action Plan หรือ Plan of Action ของ Wallace & Master มีขั้นตอน
ประกอบด้วย
1 ตั้งวัตถุประสงค์
2 กําหนดเป้าหมาย
3 แผนปฏิบัติการ
4 สภาพแห่งความสําเร็จ

69 ข้อใดคือลักษณะของเป้าหมายที่ดี
(1) SMART
(2) SMILE
(3) SMOCK
(4) SMACT
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 63 ประกอบ

70 เป้าหมายในการสื่อสารมีความสําคัญอย่างไร
(1) แผนที่การดําเนินชีวิต
(2) การเชื่อมโยงโลกภายในสู่โลกภายนอก
(3) การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 36 – 37) เป้าหมายทางการสื่อสารในที่นี้จะกล่าวเน้นถึงการตั้งเป้าหมายของ ชีวิตและการทํางานเป็นหลัก โดยความสําคัญของเป้าหมาย คือ เป้าหมายให้ทิศทางหรือแผนที่ ในการดําเนินชีวิตและการปฏิบัติงาน ทําให้รู้ว่าต้องเดินทางไปถึงจุดใด ชี้ให้เห็นระดับวุฒิภาวะ และปรับดุลยภาพของชีวิต

71 Aldag & Kazuhara นิยาม “เป้าหมาย” ไว้อย่างไร
(1) ความฝันที่มีเส้นตาย
(2) ข้อความที่แสดงความปรารถนา
(3) ผลลัพธ์สุดท้ายจากการทุ่มเท
(4) จุดหมายปลายทาง
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 36) Aldag & Kazuhara ได้นิยาม “เป้าหมาย” ไว้ว่า หมายถึง ผลตอนสุดท้าย ที่ต้องการจากการทุ่มเทพลังบวกบางอย่างไป

72 คํานิยามที่มีความหมายใกล้เคียงกับ “เป้าหมาย” คือข้อใด
(1) Purpose
(2) Objective
(3) Target
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 36 – 37) คํานิยามที่มีความหมายใกล้เคียงกับ “เป้าหมาย” เช่น เป้าประสงค์(Purpose), วัตถุประสงค์ (Objective), เป้าหมาย (Goal), จุดมุ่งหมาย (Aim) และจุดหมาย (Target) เป็นต้น

73 เป้าหมายเป็นป้ายบอกทางชีวิตอย่างไร
(1) ทําให้รู้ว่าเดินไปถูกทาง
(2) บรรลุเป้าหมายอย่างมีดุลยภาพ
(3) รู้ว่ามีความเป็นผู้ใหญ่เพียงใด
(4) การปรับชีวิตให้เหมาะกับเหตุการณ์อย่างรู้เท่าทัน
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 37) ความสําคัญของเป้าหมายประการหนึ่ง ได้แก่ เป้าหมายเป็นป้ายบอกทาง ให้ชีวิต คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตของตนเดินได้ถูกทางที่ต้องการ ดังนั้นการทําเป้าหมายให้ สําเร็จไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง จึงทําให้รู้ว่าเดินไปได้ถูกทาง เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าหรือสําคัญ มากกว่า ซึ่งอยู่ข้างหน้า

74 สิ่งซ่อนเร้น (Tactice) หมายถึงข้อใด
(1) สิ่งที่ไม่ได้เอ่ยเป็นคําพูด
(2) การแสดงออกจากการพูด
(3) การโต้แย้ง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 19) สิ่งซ่อนเร้น (Tactice) หมายถึง สิ่งที่ไม่ได้เอ่ยเป็นคําพูด ไม่อาจอธิบายได้
เหมือนความรู้ที่จะใช้ขี่จักรยานเป็นตัวความรู้ที่แท้จริง แต่อาจกลมกลืนหรือไม่ก็ได้

75 ข้อใดคือต้นตอของปัญหาของความคิด
(1) ขาดการตระหนักรู้ในความคิด
(2) ความคิดเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
(3) ถูกทั้ง 2 ข้อ
(4) ผิดทั้ง 2 ข้อ
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 20) ต้นตอของปัญหาของความคิด เกิดขึ้นเพราะเราขาดการตระหนักรู้ใน ความคิด การที่เรายับยั้งมันไว้จึงเป็นโอกาสให้เราได้เกิดการตระหนักรู้ในความคิด เป็นการ สร้างกระจกเงา เพื่อสะท้อนให้เห็นผลที่เกิดจากความคิดของเราเอง

76 ข้อใดคือผลกระทบเมื่อเราไม่รับรู้สาเหตุการเกิดของความคิด
(1) เราจะกลับเข้าไปในวังวนของความคิด
(2) ความคิดจะคอยสร้างปัญหา
(3) จะเกิดการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4(เอกสาร หน้า 20 – 21) ผลกระทบเมื่อเราไม่รับรู้สาเหตุการเกิดของความคิด มีดังนี้
1 ความคิดจะคอยสร้างปัญหาอยู่เสมอ
2 เราจะกลับเข้าไปในวังวนของความคิดที่มักชักนําไป นั่นคือ การไม่รับรู้ตนเอง
3 เกิดการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด เพราะไม่ตระหนักว่าความคิด คือ ผู้สร้างปัญหา

77 ข้อใดคือปัญหาในวงสุนทรียสนทนา
(1) บทบาทต่าง ๆ ของสมาชิกในกลุ่มสนทนา
(2) การพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างไหลลื่น
(3) การฟังโดยปราศจากอคติ
(4) ช่วงเงียบคิดของกลุ่มสนทนา
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 21 – 22) ปัญหาในวงสุนทรียสนทนา คือ บทบาทต่าง ๆ ของสมาชิกในกลุ่ม สนทนา ซึ่งมาจากรากฐานความคิดเห็นและสมมุติฐานต่าง ๆ ที่จะไปขัดขวางการดําเนินของ สุนทรียสนทนา อันเป็นสาเหตุที่ทําให้การสื่อสารล่มสลายได้ ดังนั้นการลดบทบาทผู้เล่าเรื่อง หรือการเว้นพื้นที่ว่างให้ทุกคนได้มีโอกาสพูด จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความยุ่งยากในการใช้ สุนทรียสนทนา เพื่อให้สามารถดําเนินต่อไปได้

78 ข้อใดคือเครื่องมือลดความยุ่งยากในการใช้สุนทรียสนทนา
(1) การฟังอย่างลึกซึ้ง
(2) การใช้ประสบการณ์ของสมาชิกในกลุ่มมาแก้ไขปัญหา
(3) การลดบทบาทผู้เล่าเรื่อง
(4) การสรุปเล่าเรื่องจากสมาชิกกลุ่ม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79 ข้อใดไม่ใช่ความละเอียดอ่อนในสุนทรียสนทนา
(1) เฝ้าสังเกตการณ์ความรู้สึกอย่างละเอียด
(2) การเชื่อมโยงภาษาพูดกับภาษากาย
(3) รับรู้ได้ว่าเราได้รับข้อมูลได้จากการฟัง
(4) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3(เอกสาร หน้า 22 – 23) ความละเอียดอ่อนในสุนทรียสนทนา มีดังนี้
1 อาการที่รู้ว่าเมื่อใดควรพูดหรือไม่ควรพูด เป็นเฝ้าสังเกตการณ์ความรู้สึกอย่างละเอียด
2 การเชื่อมโยงภาษาพูดกับภาษากาย
3 เรื่องราวเป็นตัวเชื่อมให้ผู้ฟังรับรู้ความหมาย

80 ข้อใดคือความละเอียดอ่อนของสุนทรียสนทนา
(1) การเล่าเรื่องทําให้เราเดาเหตุการณ์ได้
(2) ผู้ฟังสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของผู้เล่าได้
(3) เรื่องราวเป็นตัวเชื่อมให้ผู้ฟังรับรู้
(4) ผู้ฟังซาบซึ้งจนน้ําตาไหล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 79 ประกอบ

81 ข้อใดคือสุนทรียสนทนาแบบจํากัด
(1) การใช้อํานาจเชิงกายภาพ
(2) การใช้อํานาจเชิงโครงสร้างครอบครัว
(3) การใช้อํานาจเชิงการสื่อสาร
(4) การใช้อํานาจเชิงวิทยาศาสตร์
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 23) สุนทรียสนทนาแบบจํากัดจะเกิดขึ้นตามกลุ่มในลักษณะเชิงลําดับ
อํานาจ เช่น การใช้อํานาจเชิงโครงสร้างครอบครัว เพราะตามปกติครอบครัวจะมีลักษณะของ
การบังคับบัญชาตามลําดับชั้นที่อยู่บนหลักการของการใช้อํานาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับ
สุนทรียสนทนา ดังนั้นครอบครัวจึงเป็นโครงสร้างที่อาจยากจะทําให้เกิดสุนทรียสนทนาได้

82 ข้อใดคือแนวทางการแก้ปัญหาสุนทรียสนทนาแบบจํากัด
(1) รับฟังความคิดเห็นของแต่ละคนอย่างให้คุณค่า
(2) จิตที่ผ่อนคลายและเปิดกว้าง
(3) การแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ความคิดเห็นระหว่างกัน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 24) แนวทางการแก้ปัญหาสุนทรียสนทนาแบบจํากัด มีดังนี้
1 รับฟังความคิดเห็นของแต่ละคนอย่างให้คุณค่า
2 มีจิตที่ผ่อนคลายและเปิดกว้างมากขึ้น พร้อมที่จะมองดูทุก ๆ ความคิดเห็น
3 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นระหว่างกัน และรับฟังสมมุติฐานต่าง ๆ ของกันและกัน

83 ข้อใดคือความหมายของคําว่า “สังเกต” ในสุนทรียสนทนา
(1) การเก็บรวบรวมจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ สู่สมอง โดยค่อยเป็นค่อยไป
(2) การเก็บรวบรวมจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ สู่สมอง โดยสรุปข้อมูล
(3) การเก็บรวบรวมจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ สู่สมอง โดยกระชับเวลา
(4) การเก็บรวบรวมจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ สู่สมอง โดยใช้ประสบการณ์ตนเอง
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 24 – 25) คําว่า “สังเกต” ในสุนทรียสนทนา หมายถึง การเก็บรวบรวมจาก ประสาทสัมผัสต่าง ๆ สู่สมอง จากนั้นนํามารวมกันโดยการสรุปข้อมูลและประสานจัดการให้ เกิดความหมาย โดยคุณลักษณะที่ดีของผู้สังเกต คือ การเป็นคนขี้สงสัย

84 ข้อใดคือคุณลักษณะที่ดีของผู้สังเกต
(1) คนขี้ระแวง
(2) คนขี้สงสัย
(3) คนประนีประนอม
(4) คนชอบแสดงความคิดเห็น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83 ประกอบ

85 ข้อใดคือปฏิกิริยาของมนุษย์ที่แสดงขั้นตอนของอาการที่จะก่อให้เกิดระดับความรุนแรงของความรู้สึก
(1) หัวใจเต้นเร็ว
(2) จามมีน้ำมูก
(3) อาการคันตามร่างกาย
(4) ปวดหัวตึ๊บ ๆ
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 26) ปฏิกิริยาทางร่างกายของมนุษย์ที่แสดงขั้นตอนของอาการที่จะก่อให้เกิด ระดับความรุนแรงของความรู้สึก เช่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง อาการหายใจถี่ ร่างกาย เกร็งเครียด เป็นต้น

86 “Proprioception” ในความหมายของเดวิด โบห์ม คือข้อใด
(1) ต้องสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของความคิดตนเองได้
(2) การรับรู้ความคิดด้วยตนเอง
(3) ความคิดที่รับรู้การกระทําของตนเอง
(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 27) คําว่า “Proprioception” เป็นศัพท์เฉพาะ หมายถึง การรับรู้ความคิด ด้วยตนเอง การตระหนักรู้ในความคิดแห่งตน หรือความคิดที่รับรู้การกระทําของตนเอง แต่ใน ความหมายของเดวิด โบห์ม (David Bohm) คือ ไม่ว่าเราจะใช้คําใด เราต้องสามารถรับรู้การ เคลื่อนไหวของความคิดตนเองได้ ตระหนักถึงการเคลื่อนไหวของความคิดตนเองได้

87 ข้อใดคือลักษณะพิเศษของสื่อบุคคลที่แตกต่างจากสื่ออื่น ๆ
(1) สื่อสารแบบสองทิศทาง มีความยืดหยุ่นสูง
(2) แพร่กระจายข่าวสารได้กว้าง
(3) สามารถเป็นตัวแทนจําหน่ายผลิตภัณฑ์ได้
(4) สื่อสารโดยไม่รู้จักผู้รับสารได้
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 68) สื่อบุคคลมีลักษณะที่พิเศษเมื่อเทียบกับสื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะสื่อมวลชน คือ ความเป็นมนุษย์ เพราะสื่อบุคคลมีคุณลักษณะที่มีความยืดหยุ่นสูง สื่อสารกันแบบเห็นหน้ากัน และสองทิศทาง จึงทําให้เหมาะกับการพัฒนาบนกระบวนทัศน์กระแสทางเลือก

ข้อ 88 – 91. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) สื่อบุคคลยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
(2) สื่อบุคคลสื่อสารแนวตั้ง แนวระนาบ และ 2 ทิศทาง
(3) สื่อบุคคลเหมาะกับการพัฒนาตามแบบกระบวนทัศน์ทางเลือก
(4) สื่อบุคคลเป็นสื่อที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาได้

88 การถ่ายทอดและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ดี
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 68) สื่อบุคคลเป็นสื่อที่เหมาะกับการพัฒนาตามแบบกระบวนทัศน์ทางเลือก คือ
สื่อบุคคลได้รับการหยิบมาใช้ตั้งแต่ยุคแรกของการพัฒนา แต่เน้นการถ่ายทอดข่าวสารเท่านั้น หมายถึง การถ่ายทอดเพียงความรู้และอาจปรับเปลี่ยนทัศนคติ แต่การพัฒนาบนกระบวนทัศน์ กระแสทางเลือกที่มุ่งเน้นให้กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น สื่อบุคคลได้รับยกย่องว่า เป็นสื่อที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้อย่างดีอีกด้วย

89 สามารถปรับเนื้อหาและกระบวนการสื่อสารได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 68) สื่อบุคคลมีลักษณะยืดหยุ่น สร้างสรรค์ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ คือ สื่อบุคคลมีลักษณะเป็นมนุษย์ จึงมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งเมื่อเทียบกับสื่อมวลชนแล้ว สื่อบุคคลจะ สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหากระบวนการสื่อสารได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

90 ทําหน้าที่สร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนได้อย่างดี
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 68) สื่อบุคคลเป็นสื่อที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ คือ จากทัศนะที่มองว่า มนุษย์สามารถพัฒนาทําให้เกิดการมองว่า หากมีการเสริมพลัง (Empowerment) ก็ย่อม ทําให้มนุษย์พัฒนาขึ้น ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาก็สามารถเสริมพลังให้กลายเป็น “สื่อบุคคล” ที่ทําหน้าที่เป็นผู้สื่อสารการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนได้อย่างดี

91 ทําหน้าที่เป็นตัวเชื่อมในบริบทต่าง ๆ ทําให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ดีกว่าการสื่อสารทางเดียว
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 68) สื่อบุคคลใช้ในการสื่อสารแนวตั้ง แนวระนาบ และการสื่อสารสองทิศทาง คือ สื่อบุคคลมีทิศทางการสื่อสารได้ทั้งแนวตั้งและแนวระนาบ หากเป็นกระบวนทัศน์ทางเลือก สื่อบุคคลจะเริ่มทําหน้าที่เป็นตัวเชื่อมในบริบทต่าง ๆ และสื่อบุคคลยังมีการสื่อสารสองทิศทาง ทําให้การเปิดโอกาสรับฟังปัญหาจากชุมชนเกิดผลสัมฤทธิ์ได้ดีกว่าการสื่อสารทิศทางเดียว

92 ข้อใดคือการพัฒนาของสื่อบุคคลที่ทําให้ผู้รับสารเข้าใจเป้าหมายการทํางาน ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพ
การสื่อสารได้
(1) สื่อบุคคลมีเจตนา มีแรงจูงใจ
(2) สื่อบุคคลมีลักษณะหลายโฉมหน้า
(3) สื่อบุคคลยืดหยุ่น สร้างสรรค์
(4) สื่อบุคคลเป็นสื่อที่มีศักยภาพ
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 70) สื่อบุคคลมีคุณลักษณะที่มีเจตนา มีแรงจูงใจ ด้วยความเป็นมนุษย์ ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สื่อบุคคลจะมีเจตนา มีแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งด้านหนึ่งหากมีแรงจูงใจ เจตนาที่ดีก็จะทําให้สามารถใช้การสื่อสารเพื่อการพัฒนาได้เป็นอย่างดี รวมถึงหากสื่อบุคคล สามารถระบุเจตนาของตนออกไปได้ก็จะช่วยทําให้ผู้รับสารได้เข้าใจเป้าหมายการทํางาน และ
จะส่งผลทําให้เกิดประสิทธิภาพในการสื่อสารได้ในอีกทางหนึ่ง

93 สื่อบุคคลมีคุณสมบัติในการมีสติ สมาธิ การไตร่ตรองประเด็น เป็นคุณลักษณะระดับใดของการสื่อสาร
(1) ระดับการสื่อสารระหว่างบุคคล
(2) ระดับการสื่อสารภายในตนเอง
(3) ระดับการสื่อสารสาธารณะ
(4) ระดับการสื่อสารผ่านสื่อมวลชน
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 69) ในระดับการสื่อสารภายในตนเอง สื่อบุคคลจะมีคุณสมบัติสําคัญในการ มีสติ สมาธิ การไตร่ตรองประเด็นต่าง ๆ ก่อนที่จะสื่อสาร ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่สื่อบุคคลเท่านั้นจึงจะทําได้

94 ข้อใดคือปัจจัยเสริมและอุปสรรคต่อการทําหน้าที่ของสื่อบุคคล
(1) ชุมชนและสังคม
(2) การสื่อสารแนวตั้ง
(3) ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงาน
(4) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 70) สื่อบุคคลมีทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงาน คือ การใช้สื่อบุคคลอาจต้อง พิจารณาถึงลักษณะของชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานควบคู่กันไป เพื่อจะพิจารณาว่าอะไร คือ ปัจจัยเสริมและอะไรเป็นอุปสรรคขวางกั้นการทําหน้าที่ของสื่อบุคคล เพราะในหลายครั้งชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวก็อาจมีความขัดแย้งกัน

95 ข้อใดคือ ความหมายคําว่า “สื่อบุคคล” ตามกระบวนทัศน์การพัฒนากระแสหลัก (Dominant Paradigm) (1) บุคคลที่สามารถถ่ายทอดข้อมูลระหว่างกัน
(2) บุคคลที่ทําหน้าที่สื่อสารเป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับชุมชน
(3) บุคคลที่ถ่ายทอดความรู้ภายในตนต่อบุคคลอื่นได้โดยอิสระ
(4) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 (เอกสาร หน้า 65) คําว่า “สื่อบุคคล” ตามกระบวนทัศน์การพัฒนากระแสหลัก (Dominant Paradigm) ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาจากรัฐส่วนกลาง และเน้นความทันสมัย จะหมายถึง “บุคคล ที่ทําหน้าที่สื่อสาร ถ่ายทอดข่าวสารความรู้จากส่วนกลาง” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ “การเป็นตัวกลางหรือสะพานเชื่อมระหว่างรัฐกับชุมชน”

96 ข้อใดคือความหมายของ “สื่อบุคคล” ในทางปฏิบัติ ตามทัศนะของกาญจนา แก้วเทพ และอมรรัตน์ ทิพย์เลิศ
(1) บุคคลที่มีศักยภาพเป็นนักสื่อสารได้
(2) บุคคลที่ถ่ายทอดข่าวสารความรู้จากส่วนกลาง
(3) บุคคลที่เป็นทั้งผู้ส่งสาร เนื้อหา สื่อ/ช่องทาง และผู้รับสาร
(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 (เอกสาร หน้า 66) ความหมายของ “สื่อบุคคล” ในทางปฏิบัติ ตามทัศนะของกาญจนา แก้วเทพ และอมรรัตน์ ทิพย์เลิศ ได้ขยายความว่า สื่อบุคคลยังเป็นไปได้มากกว่าเป็นแค่ “สื่อ” แต่สามารถแสดงบทบาทได้มากขึ้น กล่าวคือ บุคคลที่เป็นทั้งผู้ส่งสาร เนื้อหา สื่อ/ ช่องทาง และผู้รับสาร

97 ข้อใดคือเครื่องมือที่สําคัญที่สุดในการสร้างความน่าสนใจของผู้สื่อสาร
(1) เนื้อหา
(2) ภาษาพูด
(3) ภาษากาย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3(เอกสาร หน้า 82) สิ่งที่สร้างความน่าสนใจในนักนําเสนอ มีดังนี้
1 ภาษากาย 55% (ถือเป็นเครื่องมือที่สําคัญที่สุดในการสร้างความน่าสนใจของผู้สื่อสาร)
2 ภาษาพูด 38%
3 เนื้อหา 7%

98 ข้อใดไม่ใช่การนําเสนอที่ดี
(1) สั้นและสื่อความหมายไม่ชัดเจน
(2) กระชับและเชื่อมโยง
(3) เข้าใจง่ายและอยู่ในความทรงจํา
(4) สื่อสารให้ผู้ฟังเชื่อตามได้
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 82) การนําเสนอที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้
1 สั้นและสื่อความหมายชัดเจน
2 กระชับและเชื่อมโยง
3 เข้าใจง่าย
4 อยู่ในความทรงจํา
5 โน้มน้าวจิตใจหรือสื่อสารให้ผู้ฟังเชื่อตามได้

99 ผู้สื่อสารไม่ควรใช้สายตาแบบใด
(1) มองผู้ฟังเพียงคนเดียว
(2) มองเป็นแบบแผน
(3) มองสื่ออื่นหรือมองแบบผ่าน ๆ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (เอกสาร หน้า 83) ทักษะการใช้สายตาในการพูดนําเสนอ มีดังนี้
1 มองไปยังผู้ฟังให้ทั่วถึง แต่ไม่ควรมองผู้ฟังเพียงคนเดียว มองเป็นแบบแผน และมองสื่ออื่น
หรือมองแบบผ่าน ๆ
2 หยุดคิด
3 พูดกับผู้ฟัง (3 – 5 วินาที)

100 ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการใช้สายตา
(1) สามารถควบคุมพฤติกรรมผู้ฟังได้
(2) ส่งสารได้อย่างชัดเจน
(3) ลําดับขั้นตอนการคิด
(4) ควบคุมความประหม่า
ตอบ 1 (เอกสาร หน้า 82) ประโยชน์ของการใช้สายตา มีดังนี้
1 ควบคุมความประหม่า
2 ส่งสารได้อย่างชัดเจน
3 เข้าใจถึงความรู้สึกของผู้ฟัง
4 ลําดับขั้นตอนการคิด

cdm2403 (mcs3151) การสื่อสารเพื่อจัดการความสัมพันธ์ s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา cdm2403 (mcs3151) การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ปัจจัยเริ่มต้นของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือข้อใด
(1) ตนเอง
(2) คู่สื่อสาร
(3) ครอบครัว
(4) สังคม
ตอบ 1 หน้า 3, 17, 19, (คําบรรยาย) ปัจจัยหรือจุดเริ่มต้นของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือ ตนเอง โดยเริ่มจากการรู้จักและเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักและเข้าใจผู้อื่นด้วย ทั้งนี้บุคคล จะต้องรู้จักมองโลกในแง่ดีหรือมีทัศนคติ/แนวคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งต่าง ๆ เช่น การยอมรับความแตกต่างของบุคคล เป็นต้น

2 ข้อใดคือความหมายของมนุษยสัมพันธ์
(1) การสื่อสารของมนุษย์
(2) การปรับตัวของมนุษย์
(3) ธรรมชาติของมนุษย์
(4) ความต้องการของมนุษย์
ตอบ 2หน้า 1 – 4, 23 นักวิชาการได้ให้ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) เอาไว้ อย่างมากมาย แต่ความหมายที่สั้นและตรงที่สุดเห็นจะได้แก่ความหมายที่ว่า การติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างผู้คน ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างมนุษย์ หรือทักษะในการปรับตัว เพื่อให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

3 ข้อใดคือ “การเสริม” ในความหมายของมนุษยสัมพันธ์
(1) การสร้างความสัมพันธ์
(2) การพัฒนาความสัมพันธ์
(3) การขยายความสัมพันธ์
(4) การเริ่มต้นความสัมพันธ์
ตอบ 2หน้า 3, (คําบรรยาย) คําว่า “การสร้างเสริม” ในความหมายของมนุษยสัมพันธ์ หมายถึง มนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เกิดจากการสร้างของบุคคล และเมื่อสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้วก็ต้องรู้จักการเสริม คือ การดูแลรักษาและรู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ให้คงอยู่กับตัวเราตลอดไป

4 ข้อใดแสดงถึงลักษณะของมนุษยสัมพันธ์
(1) บุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
(2) มนุษยสัมพันธ์เกิดจากพรสวรรค์ของบุคคล
(3) บุคคลมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์เท่าเทียมกัน
(4) เมื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ได้แล้วจะดํารงอยู่ตลอดไป
ตอบ 1 หน้า 3, 15, (คําบรรยาย) ลักษณะของมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 มนุษยสัมพันธ์เกิดจากการสร้างของบุคคล ไม่ใช่ทักษะความสามารถที่ติดตัวมาแต่กําเนิด ไม่ใช่คุณลักษณะที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ และไม่ใช่เป็นพรสวรรค์ของบุคคล
2 การสร้างมนุษยสัมพันธ์อาจสูญสลายไปได้ ถ้าหากไม่รู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ให้คงอยู่กับตัวเราตลอดไป
3 มนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
4 แต่ละบุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง แต่มีไม่เหมือนกันหรือไม่เท่าเทียมกัน
5 ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ

5 ข้อความใดไม่สอดคล้องกับแนวคิดในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย
(2) ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ
(3) เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ
(4) ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ข้อความที่มีความหมายไม่สอดคล้องกับแนวคิดในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือ สํานวนไทยที่ว่า “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” หมายถึง ให้รู้จักพิจารณาผู้หญิงที่จะเลือกเป็น คู่ครอง โดยดูจากนิสัยใจคอและความประพฤติของมารดา (ส่วนบทกลอนที่ว่า “อันอ้อยตาล หวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย” หมายถึง สร้างความพึงพอใจให้กับคนอื่นด้วย คําพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน, “ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ” หมายถึง ต่างคนต่างมีความเห็น ไม่เหมือนกัน จึงควรยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคล, “เป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมา ถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” หมายถึง ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมด้วยมิตรไมตรี ยิ้มแย้มแจ่มใส)

6 การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เมื่อเริ่มรวมตัวเป็นกลุ่มสังคม มีลักษณะอย่างไร
(1) อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ
(2) อยู่ร่วมกันอย่างเป็นทางการ และไม่เสมอภาค
(3) อยู่ร่วมกันอย่างมีปฏิสัมพันธ์ และเป็นกันเอง
(4) อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ตอบ 1 หน้า 9 ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในยุคที่เริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมนั้นจะมีลักษณะของการ อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่ สังคมมนุษย์ได้แตกเป็นกลุ่มเป็นสถาบันย่อย ๆ ตามความจําเป็น ทําให้ลักษณะความสัมพันธ์ ในการอยู่ร่วมกันเป็นไปในรูปแบบที่เป็นทางการมากขึ้น แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคเพราะมีการเอารัดเอาเปรียบกัน

7 ความเป็นมาของการศึกษาวิชามนุษยสัมพันธ์เริ่มต้นจากข้อใด
(1) สถาบันครอบครัว
(2) สถาบันการศึกษา
(3) โรงงานอุตสาหกรรม
(4) สภาขุนนาง
ตอบ 2 หน้า 14 ความเป็นมาของการศึกษาวิชามนุษยสัมพันธ์ได้เริ่มต้นขึ้นจากสถาบันการศึกษา เมื่อศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) บิดาแห่งวิชามนุษยสัมพันธ์ ได้ริเริ่มเปิดสอน วิชามนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ขึ้นเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ซึ่งอีก 10 ปีต่อมาวิชานี้ก็กลายเป็นวิชาบังคับ ในหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัย

ข้อ 8. – 10. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) แอนดรู ยูรี
(2) โรเบิร์ต โอเวน
(3) เอลตัน เมโย
(4) เฮ็นรี่ แกนต์

8 ใครคือนายจ้างที่ใช้เงินรางวัลพิเศษในการจูงใจให้คนงานเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน
ตอบ 4 หน้า 13 ในปี ค.ศ. 1912 เฮนรี่ แอล. แกนต์ (Henry L. Gantt) เป็นวิศวกรหนุ่มที่ได้คิดหา วิธีจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของคนงาน โดยเขาได้ขยายแนวคิดของเฟเดอริก ดับบลิว. เทย์เลอร์ (Federick W. Taylor) มาผสมผสานกับของตัวเอง เช่น สนับสนุนให้เกิด การทํางานเป็นทีม โดยทดลองเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของคนงานด้วยการให้เงินโบนัส หรือเงินรางวัลพิเศษ เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่คนงานที่สามารถทํางานเสร็จก่อนเวลาที่กําหนด

9 ใครคือนายจ้างที่เขียนบทความชี้ให้เห็นว่า คนงานเป็น 1 ใน 3 ปัจจัยที่มีความสําคัญในการผลิตสินค้า
อุตสาหกรรม
ตอบ 1 หน้า 12 แอนดรู ยูรี (Andrew Ure) ได้เขียนบทความเรื่อง “ปรัชญาแห่งการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม” (The Philosophy of Manufactures) โดยเขาได้ให้ความสําคัญแก่มนุษย์ หรือคนงานว่าเป็น 1 ใน 3 ปัจจัยที่มีความสําคัญในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ส่วนปัจจัย อีก 2 อย่าง คือ เครื่องจักรกล และพาณิชยการหรือการจัดการด้านการขาย

10 ใครคือผู้ริเริ่มเปิดสอนวิชา Human Relations
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7 ประกอบ

11 ผลการศึกษาฮอธอร์น พบว่า ปัจจัยใดมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน
(1) แสงสว่างในที่ทํางาน
(2) ระยะเวลาหยุดพักในการทํางาน
(3) อุณหภูมิที่เหมาะสม
(4) การรวมกลุ่มของคนงานที่ไม่เป็นทางการ
ตอบ 4 หน้า 13 – 14 ข้อค้นพบจากกรณี Hawthorne Studies แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น คือ
1 ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง แต่จะไม่ลดลงเมื่อความเข้มของแสงสว่างลดลง
2 ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
3 คนงานจะมีทัศนคติที่ดีต่อนายจ้างหรือผู้บริหารที่ให้อิสระในการทํางาน
4 มีการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของคนงาน ซึ่งมีความสําคัญอย่างมากต่อการเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทํางาน
5 กลุ่มคนงานที่รวมตัวอย่างไม่เป็นทางการมีความขัดแย้งกับกลุ่มที่เป็นทางการ ดังนั้นสิ่งที่เสนอแนะให้นายจ้างทํา คือ ปรับปรุงวิธีการติดต่อสื่อสารในการทํางานระหว่างนายจ้าง กับลูกจ้างคนงาน ซึ่งส่งผลให้การสื่อสารดีขึ้นและผลผลิตของโรงงานสูงขึ้น ฯลฯ

12 ข้อใดไม่ใช่ผลจากการศึกษาฮอธอร์น
(1) ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง และผลผลิตไม่ลดลงเมื่อความเข้มของแสงสว่างลดลง
(2) ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางาน และที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
(3) คนงานที่รวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการ ทํางานร่วมกันอย่างราบรื่นกับกลุ่มที่เป็นทางการ
(4) คนงานมีทัศนคติที่ดีกับผู้บริหารที่ให้อิสระแก่คนงาน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

13 สายใยรักในครอบครัว นําไปสู่ปัจจัยใดที่ทําให้มีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) การอบรมสั่งสอน
(2) สภาพแวดล้อม
(3) ประสบการณ์ที่ได้รับ
(4) พันธุกรรม
ตอบ 2 หน้า 15, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ทําให้บุคคลมีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่
1 สภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยเริ่มแรก เช่น สายใยรักในครอบครัว ความรักความเอาใจใส่ ในครอบครัว การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ฯลฯ
2 การอบรมสั่งสอน เช่น การรับฟังความรู้หรือข้อแนะนําเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออก ที่เหมาะสมจากพ่อแม่ ครู และญาติพี่น้อง ฯลฯ
3 ประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น ปฏิกิริยาตอบกลับ ปฏิกิริยาป้อนกลับ หรือปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) จากคู่สื่อสารหรือคนรอบตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สื่อสาร และคําวิพากษ์ วิจารณ์จากบุคคลอื่น

14 คํากล่าวที่ว่า “เงินทองไม่เข้าใครออกใคร” แสดงถึงสาเหตุใดที่เป็นอุปสรรคในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) ความแตกต่างด้านประสบการณ์
(2) ความแตกต่างด้านภูมิหลัง
(3) ความแตกต่างด้านความคิดเห็น
(4) ความแตกต่างด้านผลประโยชน์
ตอบ 4 หน้า 16, 79, (คําบรรยาย) สาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น คือ
1 ความแตกต่างด้านประสบการณ์และภูมิหลัง เช่น อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
2 ความแตกต่างด้านความคิดเห็น เป็นความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของ บุคคลในลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยม ฯลฯ ซึ่งหากไม่ยอมรับกันแล้ว ความเข้าใจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
3 ความแตกต่างด้านผลประโยชน์ คือ ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของสิ่งของ วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯลฯ มักทําให้เกิดความไม่พอใจและความแตกแยกได้ง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่น

ข้อ 15 – 17. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Communication
(2) Self Acceptance
(3) Motivation
(4) Trust

15 การทําให้บุคคลมีทัศนคติตรงกัน ต้องอาศัยองค์ประกอบใด
ตอบ 3
หน้า 18, (คําบรรยาย) การจูงใจ (Motivation) ถือเป็นคุณสมบัติที่นักมนุษยสัมพันธ์จึงสร้าง ให้เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะมีส่วนสําคัญมากในการกระตุ้นให้แต่ละบุคคลมีความกระตือรือร้น และแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้การจูงใจยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และมีผลต่อความสําเร็จขององค์กร ดังนั้นสมาชิกในสังคมจึงจําเป็นต้องสร้างแรงจูงใจต่อกัน เพื่อกระตุ้นให้มีทัศนคติตรงกัน มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีระเบียบ และมีความรับผิดชอบ

16 องค์ประกอบใดนําไปสู่การพัฒนาตนเอง
ตอบ 2 หน้า 17 – 18, 54 – 55 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การยอมรับตนเอง (Self Acceptance) คือ การรู้ว่าตนเองเป็นคนอย่างไร ทําให้เกิดการ รับรู้เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งจะช่วยให้บุคคลสามารถแยกแยะข้อดีข้อเด่นและข้อด้อยของตนเอง เพื่อหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ดังนั้นการยอมรับตนเองจึงนําไปสู่การพัฒนาตนเองและยอมรับในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเรา

17 องค์ประกอบใดเปรียบเสมือนหัวใจในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ตอบ 1 หน้า 17 การติดต่อสื่อสาร (Communication) ถือว่ามีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ จนมีผู้เปรียบว่าการติดต่อสื่อสารเป็นหัวใจของมนุษยสัมพันธ์ เพราะการสื่อสาร คือ สิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ (Communication is the human connection) เป็นเครื่องมือที่ทําให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเรา กับบุคคลอื่นต้องกระทําผ่านการติดต่อสื่อสาร

18 ข้อใดแสดงถึงประโยชน์ในการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์
(1) เข้าใจความคิดของมนุษย์
(2) เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์
(3) รู้จักนิสัยของมนุษย์
(4) รู้จักวิธีที่เหมาะสมในการสร้างมนุษยสัมพันธ์

ตอบ 4 หน้า 24 การศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติของมนุษย์มีประโยชน์ต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ดังนี้
1 ทําให้รู้จักและเข้าใจตนเองในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
2 ทําให้รู้จักและเข้าใจบุคคลอื่นในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
3 เกิดการยอมรับตนเองและบุคคลอื่นตามธรรมชาติของแต่ละฝ่าย
4 ทําให้รู้จักวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมตามหลักมนุษยสัมพันธ์

19 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์
(1) ชอบความสะดวกสบาย
(2) ชอบความตื่นเต้น
(3) ชอบระเบียบแบบแผน
(4) ชอบชาเติม
ตอบ 3 หน้า 23 – 24 ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้
1 อิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตน
2 มีสัญชาตญาณแห่งการทําลาย
3 ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
4 มีความต้องการทางเพศ
5 หวาดกลัวภัยอันตรายต่าง ๆ
6 กลัวความเจ็บปวด
7 โหดร้าย ป่าเถื่อน ชอบซ้ำเติม
8 ชอบความสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบและการถูกบังคับ
9 ชอบความตื่นเต้น ชอบการผจญภัย ฯลฯ

ข้อ 20 – 22 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เก้าจื๊อ
(2) เม่งจื๊อ
(3) ซุ่นจื้อ
(4) ขงจื้อ

20 นักปรัชญาชาวจีนท่านใดเชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีความเมตตากรุณาอยู่ในตนเอง
ตอบ 2 หน้า 26, (คําบรรยาย) เม่งจื้อ มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีความดี ที่ติดตัวมาโดยกําเนิด ได้แก่
1 มีความรู้สึกเมตตากรุณา หมายถึง ความมีมนุษยธรรม
2 มีความรู้สึกละอายและรังเกียจต่อบาป หมายถึง การยึดมั่นในหลักศีลธรรมความดีงาม
3 มีความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การปฏิบัติตนอันเหมาะสม ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะ ที่แสดงถึงการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
4.มีความรู้สึกในสิ่งที่ถูกและผิด หมายถึง ความมีสติปัญญารู้จักแยกแยะสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิดไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

21 นักปรัชญาชาวจีนท่านใดเชื่อว่า แนวทางการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนั้นควรปรับเปลี่ยนตนเองดีกว่าไป ปรับเปลี่ยนผู้อื่น
ตอบ 4 หน้า 32, (คําบรรยาย) ขงจื้อ กล่าวว่า “เราไม่สามารถห้ามนกบินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถ ทําให้นกไม่ขี้รดหัวเราได้ด้วยการหาหมวกมาใส่” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ ที่ให้ความสําคัญกับการยอมรับธรรมชาติของผู้อื่น คือ ถ้าหากเราต้องการจะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ได้อย่างมีความสุขแท้จริงแล้ว ก็สมควรแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ถูกต้อง โดยการปรับเปลี่ยน หรือปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่ตนเอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือต้นเหตุ ดีกว่าที่จะไปแก้ไข หรือพยายามปรับเปลี่ยนบุคคลอื่นซึ่งเป็นเรื่องยาก และเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า

22 นักปรัชญาชาวจีนท่านใดเปรียบธรรมชาติของมนุษย์เหมือนกระแสน้ำที่รวนเร
ตอบ 1 หน้า 26, 28, (คําบรรยาย) เก้าอื้อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและไม่ชั่ว ซึ่งเปรียบ ได้กับกระแสน้ําที่รวนเร (ไม่รู้จักทิศทาง) โดยถ้าเปิดทางทิศตะวันออก น้ำก็จะไหลไปทางทิศ ตะวันออก แต่ถ้าเปิดทางทิศตะวันตก น้ำก็จะไหลไปทางทิศตะวันตก จึงสอดคล้องกับความเชื่อของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ว่า มนุษย์เกิดมาไม่ดีและไม่เลว เมื่อเกิดมาแล้วจะดีหรือ ไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม ดังคําพังเพยที่กล่าวว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล

23 ข้อใดแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของโรเจอร์
(1) มนุษย์ป่าเถื่อน
(2) มนุษย์เป็นคนดี
(3) มนุษย์มีศักดิ์ศรี
(4) มนุษย์ชอบโอ้อวด
ตอบ 3 หน้า 27 คาร์ล อาร์. โรเจอร์ (Cart R. Rogers) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์ที่เหมือนกันนั้น จะมีอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1 มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีคุณค่า
2 พื้นฐานของมนุษย์นั้นมีความดี เชื่อถือ และไว้วางใจได้
3 มนุษย์ทุกคนมีเหตุผล สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ และมีความเฉลียวฉลาดในการปรับตัว
4 มนุษย์ทุกคนต้องการความเป็นอิสระในการพัฒนาตนเองให้เจริญก้าวหน้า
5 มนุษย์ทุกคนเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ต่าง ๆ รอบตัว

ข้อ 24. – 25. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) กลุ่มปัญญานิยม
(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(3) กลุ่มมนุษยนิยม
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์

24 นักจิตวิทยากลุ่มใดเชื่อว่า มนุษย์เป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22 ประกอบ

25 นักจิตวิทยากลุ่มใดเชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์เป็นผลมาจากการตอบสนองความต้องการของตน
ตอบ 3 หน้า 28 (คําบรรยาย) กลุ่มมนุษยนิยม ได้แก่ โรเจอร์ (Roger) และมาสโลว์ (Maslow) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีได้ด้วยตนเอง หรือมนุษย์ดีโดยกําเนิด ซึ่งพฤติกรรมของ มนุษย์เป็นผลิตผลมาจากการตอบสนองความต้องการ (Needs) พื้นฐานของตนเอง และ ความต้องการของมนุษย์นี่เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา

ข้อ 26 – 27. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) บุคคลย่อมมีความแตกต่าง
(2) การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม
(3) พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ
(4) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

26 แนวคิดด้านสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ข้อใด
ตอบ 4 หน้า 2, 29 – 30, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานของการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ประการหนึ่ง คือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) ซึ่งมนุษย์ควร ติดต่อสัมพันธ์กันด้วยความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิด ด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ ดังนั้นจึงไม่ควรแบ่งแยกฐานะชนชั้น แต่ควร ยกย่องให้เกียรติและยอมรับนับถือในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน

27 แนวคิดข้อใดนําไปสู่การยอมรับธรรมชาติของแต่ละบุคคล
ตอบ 1 หน้า 29, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ประการหนึ่ง คือ บุคคลย่อมมีความแตกต่าง (Individual Difference) ซึ่งบุคคลแต่ละคนนั้น ล้วนมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้ต้องคิดหรือทําทุกอย่าง เหมือนตนเอง แต่ควรยอมรับและเคารพในความเป็นปัจเจกบุคคล หรือยอมรับธรรมชาติของ แต่ละบุคคล (ทั้งของตนเองและผู้อื่น)

ข้อ 28 – 29. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X
(2) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y
(3) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z
(4) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดมานุษยวิทยา

28 แนวคิดใดเชื่อว่า มนุษย์มีเหตุผลเป็นแรงจูงใจให้ทํางาน
ตอบ 3 หน้า 31 ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z ของเรดดิน เชื่อว่า มนุษย์มีความซับซ้อน แต่จะมีลักษณะทั่วไป คือ
1 มีความตั้งใจทํางานที่ตนรับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
2 มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะ และมีเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทํางาน
3 ยอมรับพฤติกรรมความดีและไม่ดี อันเกิดจากการกระทําของตนเอง สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
4 มนุษย์ทุกคนจะต้องติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยกัน โดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม

29 แนวคิดใดเชื่อว่า มนุษย์มีทัศนคติที่ดีและมีความสุขในการทํางาน
ตอบ 2 หน้า 30 – 31, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y มีลักษณะทั่วไป คือ
1 การออกแรงกายและการใช้สมองในการทํางาน เป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือ การพักผ่อน ซึ่งจะทําให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดี เกิดความรักในงาน พึงพอใจและมีความสุข ในการทํางาน
2 บุคคลจะทํางานในหน้าที่ด้วยการสั่งงานและควบคุมตนเอง
3 ควรใช้แรงเสริมทางบวกเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้บุคคลทํางาน คือ การยกย่องชมเชย การให้รางวัลเพื่อเป็นกําลังใจกับผลสําเร็จของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีโอกาส แสดงผลงานและความสามารถในการทํางานตามที่เขาต้องการ ฯลฯ

ข้อ 30. – 34. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Survival Needs
(2) Primary Needs
(3) Secondary Needs
(4) Wants

30 ความฟุ่มเฟือยของมนุษย์ เป็นผลมาจากความต้องการข้อใด
ตอบ 4 หน้า 34, (คําบรรยาย) ความปรารถนา (Wants) เป็นความต้องการที่ไม่ใช่ความจําเป็นขั้นต้น สําหรับมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ตาย จึงเป็นสิ่งที่ทําให้มนุษย์เกิด กิเลสตัณหา และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เช่น ซื้อรถยนต์ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือบ้านสวย ๆ ฯลฯ แต่ความปรารถนาก็เป็นแรงจูงใจสําคัญที่ทําให้บุคคลทํางาน และอาจจะทํางานหนักกว่าคนอื่นเพราะความปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นหากมนุษย์ใช้ชีวิตตามแนวคิดความพอเพียงก็จะ ช่วยลดความต้องการขั้นนี้ได้

31 แรงจูงใจที่ทําให้บุคคลเกิดพฤติกรรมเพื่อความอยู่รอด แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 1 หน้า 34 การอยู่รอด (Survival Needs) ถือเป็นแรงจูงใจสําคัญอันหนึ่งที่ทําให้บุคคลทํางาน ซึ่งการอยู่รอดมิใช่ความปรารถนาของมนุษย์ แต่เป็นพฤติกรรมที่ทําเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เช่น เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง โดยแท้จริงแล้วบุคคลบางคนไม่ได้ต้องการปลูกผัก และพืชสวนครัว แต่เนื่องจากว่าเงินที่หามาได้จากการทํางานอย่างอื่นนั้นไม่เพียงพอที่จะหาซื้อ ก็เลยต้องทําเพื่อการอยู่รอด เพราะถ้าไม่ทําก็อาจไม่มีจะกิน

32 ความต้องการข้อใดที่บุคคลไม่แสดงออกอย่างเปิดเผย
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 ความต้องการทางด้านสังคม (Social Needs) หรือความต้องการทางด้าน จิตวิทยา (Psychological Needs) หรือบางทีเรียกว่า “ความต้องการขั้นรอง” (Secondary Needs) มีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้
1 มักเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
2 แต่ละบุคคลจะมีความต้องการและความเข้มข้นไม่เท่ากัน
3 เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกัน
4 มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มสังคมมากกว่าอยู่คนเดียว
5 บุคคลมักไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นความต้องการในขั้นนี้ไว้
6 บางครั้งมีลักษณะเป็นนามธรรมและไม่ชัดเจน ไม่เหมือนความต้องการด้านร่างกาย
7 มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์

33 การนอนหลับพักผ่อน แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 34 – 35, 38 ความต้องการทางด้านสรีระหรือร่างกาย (Physiological Needs) หรือบางทีเรียกว่า “ความต้องการขั้นต้น” (Primary Needs) เป็นความต้องการที่จําเป็นขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการทางกายหรือทางวัตถุตามแนวคิดของศาสนาพุทธ คือ ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกจากนั้นความต้องการในขั้นนี้ยังรวมไปถึงความต้องการทางเพศเพื่อการดํารงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์สืบต่อไป การขับถ่าย และการนอนหลับพักผ่อนเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยด้วย

34. ความต้องการข้อใดมักมีลักษณะเป็นนามธรรม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

ข้อ 35 – 36. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ลาภ
(2) ยศ
(3) สรรเสริญ
(4) สุข

35 ปริญญาบัตร แสดงถึงความต้องการข้อใดในอิฏฐารมณ์
ตอบ 2 หน้า 36 – 37 อิฏฐารมณ์ เป็นธรรมหมวดหนึ่งที่กล่าวถึงสิ่งซึ่งเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์
ทุก ๆ คน ประกอบด้วย
1 ลาภ คือ ทรัพย์สินเงินทองและสิ่งของต่าง ๆ
2 ยศ คือ ตําแหน่งหน้าที่ เหรียญตรา ปริญญาบัตร หรือวิทยฐานะ
3 สรรเสริญ คือ คํายกย่องชมเชย ความเคารพนับถือรักใคร่จากผู้อื่น
4 สุข (ทั้งกายและใจ) คือ มีความสะดวกสบายทางกาย มีความสมหวัง และไม่มีความกังวล ใด ๆ เพราะเพียบพร้อมสมบูรณ์ไปทุกอย่าง

36. คนไทยอยากถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แสดงถึงความต้องการข้อใดในอิฏฐารมณ์
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ

ข้อ 37 – 42. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Physiological Needs
(2) Esteem and Status Needs
(3) Belonging and Social Activity Needs
(4) Safety and Security Needs

37 การติดตั้งกล้องวงจรปิด เป็นการตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 4 หน้า 38, (คําบรรยาย) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs) ในด้านต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
1 ด้านอาชีพการงาน ได้แก่ นโยบายการปรับเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท,
นโยบายปรับเงินเดือนข้าราชการเท่ากับเอกชน ฯลฯ
2 ด้านร่างกาย โดยไม่ถูกทําร้ายหรือถูกคุกคาม ได้แก่ การทําประกันชีวิต, การรณรงค์เรื่อง โทรไม่ขับ เมาไม่ขับ, การรณรงค์ให้กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือบ่อย ๆ, การให้ ความคุ้มครองประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ
3 ด้านที่อยู่อาศัย ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตํารวจ, โครงการหอพักติดดาว/เพื่อนบ้าน เตือนภัย, การเตรียมกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ําท่วมบ้าน, การติดตั้งกล้องวงจรปิด, การทําประกันอัคคีภัย ฯลฯ
4. ด้านชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สิน ได้แก่ การทําประกันภัยรถยนต์, นโยบายที่รัฐบาลทํา บัตรสวัสดิการให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อย, นโยบายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน, นโยบายแก้หนี้ นอกระบบ, นโยบายเรียนฟรี 15 ปี, นโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองต่าง ๆ ฯลฯ

38 พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในสังคม นําไปสู่ความต้องการข้อใด
ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการความรักและร่วมกิจกรรมในสังคม (Belonging and Social Activity Needs) คือ ความต้องการแสดงตัวและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม โดยจะเกิดขึ้นในลักษณะของการยอมปฏิบัติตนตามกรอบกติกามารยาทของสังคม หรือการมี พฤติกรรมตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกําหนด ได้แก่ การเคารพกฎหมาย จารีตประเพณี และค่านิยม เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมและให้สังคมยอมรับเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นหมู่พวกเดียวกัน ซึ่งก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ทั้งนี้การสร้างมนุษยสัมพันธ์ ของบุคคลก็เป็นการตอบสนองความต้องการในลําดับขั้นนี้

39 ความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง นําไปสู่การตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและตําแหน่งหน้าที่ (Esteem and Status Needs) คือ ความต้องการให้สังคมยกย่องนับถือและยอมรับตนว่าเป็นคนสําคัญ ของกลุ่มสมาชิก ซึ่งบุคคลนั้นต้องมีองค์ประกอบสําคัญ คือ การมีความรู้ความสามารถ ประสบ ผลสําเร็จในกิจการงาน มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง มีฐานะมั่นคง มีความเชื่อมั่นหรือมั่นใจใน ศักยภาพของตนเอง ฯลฯ ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามพัฒนาศักยภาพของตนให้เหนือกว่าคนอื่น โดยการสร้างสมความรู้ความสามารถ ทําตนให้เป็นที่รู้จัก และแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อให้ได้รับ ความต้องการในขั้นนี้ เช่น การได้รับรางวัลจากการประกวดหรือแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เป็นต้น

40 ความต้องการทางวัตถุในแนวคิดศาสนาพุทธ สอดคล้องกับความต้องการข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 33 ประกอบ

41 โครงการ “หอพักติดดาว” ของ มร. เป็นการตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 37 ประกอบ

42 การมีพฤติกรรมตามกฎเกณฑ์ของสังคม นําไปสู่ความต้องการข้อใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 38 ประกอบ

43 ศาสนาพุทธเปรียบคนที่มีสติปัญญาฉลาดน้อยกับดอกบัวข้อใด
(1) ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ
(2) ดอกบัวที่กําลังจะโผล่พ้นน้ำ
(3) ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ
(4) ดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม
ตอบ 3 หน้า 43 – 44, (คําบรรยาย) พุทธศาสนาได้เปรียบเทียบสติปัญญาที่แตกต่างกันของมนุษย์
ไว้กับดอกบัว 4 เหล่า คือ
1 ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำพร้อมที่จะบาน เปรียบได้กับคนที่มีความเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจ และเรียนรู้ได้เร็วในสิ่งที่รู้เห็นหรือการอบรมสั่งสอน และปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง
2 ดอกบัวที่กําลังโผล่พ้นน้ำ เปรียบได้กับคนที่ฉลาดปานกลาง
3 ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ เปรียบได้กับคนที่ฉลาดน้อย
4 ดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม เปรียบได้กับคนที่มีสติปัญญาโง่ทึบ

44 ผลสํารวจจากโพลต่าง ๆ แสดงถึงความแตกต่างของมนุษย์ในด้านใด
(1) อารมณ์
(2) ทัศนคติ
(3) พฤติกรรม
(4) รสนิยม
ตอบ 2 หน้า 43, 79 – 81, (คําบรรยาย) ทัศนคติ (Attitude) เป็นท่าทีหรือความรู้สึกที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ซึ่งจะแสดงออกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางบวกหรือลบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ ฯลฯ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่มีการประเมินว่า ถูกหรือผิด ซึ่งเมื่อเรามีทัศนคติไปในทิศทางใดก็จะมีพฤติกรรมการแสดงออกที่สอดคล้องกับ ทิศทางนั้น เช่น ผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชนจากโพลต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อ 45 – 47. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) โครงสร้างแบบหลวม ๆ
(2) โครงสร้างที่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี
(3) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ
(4) โครงสร้างสังคมเกษตร

45 คํากล่าวที่ว่า “แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้” เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของ
สังคมไทย
ตอบ 3 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ คือ ความเปลี่ยนแปลงของ ชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางสังคมมีน้อย โดยความเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในเมืองหลวงมากกว่าในชนบท จึงทําให้คนไทยขาดความทะเยอทะยาน ขาดความกระตือรือร้น ไม่ชอบการแข่งขัน ยอมรับชีวิตตามสภาพที่เป็นอยู่ และมักยอมรับในชะตากรรมที่เกิดขึ้นหรือ ยอมรับเรื่อง “ชะตาฟ้าลิขิต” เช่น เกิดมาจนก็ต้องจนต่อไป, แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญ แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ ฯลฯ

46 คนไทยมักไม่เคร่งครัดในเรื่องเวลานัดหมาย เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม
ตอบ 4 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างสังคมเกษตร คือ มีลักษณะการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เคร่งครัดในเรื่องเวลาหรือไม่ให้ความสําคัญกับเวลาที่นัดหมาย ไม่เร่งรีบหรือมีพิธีรีตอง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่หักหาญน้ำใจกัน และไม่ให้ความสําคัญกับวัตถุ โดยถือว่าไม่มีเงินก็อยู่ได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง

47 คํากล่าวที่ว่า “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่” แสดงถึงโครงสร้างใดของสังคมไทย
ตอบ 1 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบหลวม ๆ คือ บุคคลที่อยู่ในสังคมสามารถเลือกปฏิบัติ ในสิ่งที่ตนพอใจได้ โดยไม่ต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากนัก ทําให้คนไทยมีความยืดหยุ่นสูง

ไม่ยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว และชอบประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกันด้วยความประนีประนอม รอมชอม และอะลุ้มอล่วยต่อกัน แต่บางทีก็มีข้อเสีย คือ การขาดระเบียบวินัยในการดําเนินชีวิต ไม่เคารพกฎกติกา และมักทําอะไรตามอําเภอใจ เช่น ทําอะไรตามใจคือไทยแท้, ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ฯลฯ

ข้อ 48 – 50. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) ชอบยศศักดิ์
(2) เคารพผู้อาวุโส
(3) ชอบความโก้หรู
(4) นับถือศาสนาพุทธ

48 คนไทยชอบให้ลูกหลานรับราชการ เป็นผลมาจากค่านิยมใด

ตอบ 1 หน้า 48 – 49, (คําบรรยาย) ค่านิยมของสังคมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีอยู่มากมาย ได้แก่
1 นับถือศาสนาพุทธ คือ ยึดถือหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า หรือยอมรับในกฎแห่งกรรม เช่น ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว คิดดี ทําดี, เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร, เวรกรรมมีจริง ฯลฯ
2 ชอบยศศักดิ์ คือ ชอบคนมียศและตําแหน่ง จึงนิยมให้ลูกหลานเข้ารับราชการ
3 เคารพผู้อาวุโส คือ การปฏิบัติต่อผู้อาวุโสในทางที่ดี เชื่อฟังคําสั่งสอน ยกย่องและให้เกียรติ ผู้อาวุโส เช่น การจัดงานมุทิตาจิตผู้เกษียณอายุ ฯลฯ
4 ชอบความโก้หรู คือ นิยมจัดงานพิธีการใหญ่โตในลักษณะ “ตําน้ําพริกละลายแม่น้ํา” ฯลฯ

49 คนไทยเชื่อว่า เวรกรรมมีจริง เป็นผลมาจากค่านิยมใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

50 การจัดงานมุทิตาจิตผู้เกษียณอายุ เป็นผลมาจากค่านิยมใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

51 ข้อใดแสดงถึงธรรมชาติของคนไทย
(1) มีความกระตือรือร้น
(2) มีความอดทน
(3) มีระเบียบวินัย
(4) มีความสุภาพเรียบร้อย
ตอบ 4 หน้า 47 – 49, (คําบรรยาย) การศึกษาธรรมชาติของคนไทย โดยพิจารณาจากค่านิยมของ สังคมไทย ทําให้รู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความกตัญญูสูง มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น มีความสุภาพ เรียบร้อย มีน้ําใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และชอบความสนุกสนาน แต่ข้อเสียก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ ยังชอบการเสี่ยงโชค ลืมง่าย ขาดความ
กระตือรือร้น ขาดความอดทน และขาดระเบียบวินัย

52 ธรรมชาติของคนไทยชอบช่วยเหลือผู้มีความทุกข์ เป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับหลักพรหมวิหารสี่ข้อใด (1) เมตตา
(2) กรุณา
(3) มุทิตา
(4) อุเบกขา
ตอบ 2 หน้า 23 – 24, 49, (คําบรรยาย) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวถึงธรรมชาติของคนไทยที่ สอดคล้องกับหลักพรหมวิหารสี่ว่า คนไทยมีความเมตตา คือ มีความรักและเอ็นดู ปรารถนาจะ ให้ผู้อื่นเป็นสุข และมีความกรุณา คือ มีความสงสารหวั่นไหว หรือเอาใจช่วยเหลือเมื่อเห็นผู้อื่น ได้รับความทุกข์ แต่ขาดมุทิตา คือ ขาดความมีจิตยินดีในลาภ ยศ และสรรเสริญของผู้อื่น หรือ มีความอิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตนเอง และขาดอุเบกขา คือ ขาดความมีใจเป็นกลาง ขาดความวางเฉย เพราะคนไทยหากไม่ยินดีก็ยินร้าย

53 ข้อใดแสดงถึงประโยชน์ของการศึกษาตนเองตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) ทําให้เกิดการพัฒนาตนเอง
(2) ทําให้ภูมิใจในศักยภาพของตนเอง
(3) ทําให้ยอมรับในข้อบกพร่องของตนเอง
(4) ทําให้วิเคราะห์ตนเองได้ถูกต้อง

ตอบ 1 หน้า 53 – 54, 78, (คําบรรยาย) การศึกษาตนเองตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลําดับ ดังนี้
1 การรู้จักตนเอง (To Know) คือ การสํารวจตัวเองในด้านต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร
2 การเข้าใจตนเอง (To Understand) คือ การวิเคราะห์ตนเองเพื่อหาสาเหตุว่า ทําไมเรา จึงมีลักษณะเช่นนั้น ซึ่งจะนําไปสู่ขั้นตอนการยอมรับตนเอง
3 การยอมรับตนเอง (To Accept) คือ การยอมรับหรือรับรู้ศักยภาพและข้อดีข้อด้อยของ ตนเอง ซึ่งเมื่อยอมรับได้แล้วก็จะนําไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง
4 การพัฒนาตนเอง (To Develop) คือ การแก้ไขปรับปรุงจุดด้อย จุดอ่อน และข้อบกพร่อง ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายและประโยชน์ของการศึกษาตนเอง

ข้อ 54 – 55. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) To Know
(2) To Understand
(3) To Accept
(4) To Develop

54 การศึกษาตนเองในขั้นตอนใด นําไปสู่เป้าหมายของการศึกษาตนเอง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

55 การรู้จักวิเคราะห์ตนเอง นําไปสู่ขั้นตอนใดในการศึกษาตนเอง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

ข้อ 56. – 57.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) Self Awareness
(2) Self Acceptance
(3) Self Actualization
(4) Self Disclosure

56 บุคคลที่รู้ถึงพลังความสามารถของตนเอง เป็นผลมาจาก Self Concept ข้อใด
ตอบ 3 หน้า 52, 54 – 55 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง คือ การรู้จักตนเอง (Self Actualization) ซึ่งเป็นผลมาจากการรู้ตนเองและยอมรับตนเอง อันเป็นความเติบโตใน รูปแบบหนึ่งที่นําไปสู่ความพร้อมที่จะผลักดันตนเองไปให้ถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ โดยคนที่รู้จัก ตนเองจะรู้ถึงพลังความสามารถของตนเองและสามารถเทียบเคียงได้ว่า อะไรที่ตนสามารถทําได้ อะไรที่ทําไม่ได้ อะไรควร อะไรไม่ควร ดังคํากล่าวที่ว่า “จงดูตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ และ จงใช้ตัวเองให้เป็น

57 การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น นําไปสู่ Self Concept ข้อใด
ตอบ 1 หน้า 17, 53 – 54 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้ตนเอง (Self Awareness) คือ การรู้ตนเองว่าเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นหรือการได้รับปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรมองตนเองสูงหรือต่ํากว่าความเป็นจริง เพราะมีผลต่อประสิทธิภาพ ของการสื่อสาร ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับตนเองและการรู้ตนเองนี้จึงเป็นพื้นฐานในการเปิดตนเอง ออกสู่การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

ข้อ 58. – 59.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Labeling
(2) Social Comparison
(3) Interpersonal Relationships
(4) Significant Others

58 แนวคิดข้อใดแสดงถึงการเรียนรู้ตนเองจากบุคคลที่ใกล้ชิด
ตอบ 4 หน้า 60 การยอมรับของบุคคลที่มีความสําคัญต่อเรา (Significant Others) คือ การเรียนรู้ ตนเองจากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนเอง เช่น พ่อ แม่ ครู พี่น้อง คนรัก ฯลฯ ซึ่งมีความสําคัญมาก เพราะการที่เราให้ความสําคัญกับบุคคลที่ใกล้ชิดนั้นจะทําให้เรามีความรู้สึกพึงพอใจหรือเจ็บปวดมากหากได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ ดังนั้นการกระทําต่าง ๆ ของบุคคลใกล้ชิดจึงสามารถกําหนดพฤติกรรมของเราได้

59 พฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามค่านิยม แสดงถึงการเรียนรู้ตนเองตามแนวคิดข้อใด
ตอบ 1 หน้า 59, (คําบรรยาย) การกําหนดของสังคม (Labeling) คือ การปฏิบัติตัวและมีพฤติกรรม ไปตามบรรทัดฐานของสังคม ได้แก่ กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกามารยาทต่าง ๆ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ค่านิยมของสังคม ฯลฯ โดยการกําหนดตัวเองจากการกระทําของเราว่าเข้ากับข้อกําหนดของสังคมในรูปแบบใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1 สิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น การคดโกง ความก้าวร้าว การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ
2 สิ่งที่สังคมยอมรับ เช่น การเคารพกฎหมาย การแต่งกายที่สุภาพเหมาะกับกาลเทศะ การประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม ฯลฯ

ข้อ 60 – 61. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Superior
(2) Equal
(3) Inferior
(4) Introvert

60. สถานภาพที่ต่ํากว่าคู่สื่อสาร นําไปสู่การยอมรับตนเองตามแนวคิดใด
ตอบ 3 หน้า 60, (คําบรรยาย) Inferior คือ การยอมรับว่าตนเองต่ําต้อยกว่าคนอื่น หรือมีสถานภาพ ต่ํากว่าคู่สื่อสาร ซึ่งจะทําให้มีความมั่นใจในตัวเองต่ํา และมีคุณค่าของตนเองต่ํากว่าผู้อื่น ดังนั้น จึงทําให้เกิดพฤติกรรมอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับฟังความคิดเห็น ให้เกียรติ เชื่อฟัง คล้อยตาม โดยไม่โต้แย้ง เพื่อให้ผู้ที่สื่อสารด้วยเกิดความพึงพอใจ เกิดความประทับใจ และรู้สึกว่าตนเอง มีคุณค่า เช่น พฤติกรรมการหาเสียงของนักการเมืองหรือรัฐบาลที่เน้นว่าประชาชนสําคัญที่สุด แนวคิดทางธุรกิจที่เน้นว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า ลูกค้าถูกเสมอ”, แนวคิดของเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ว่า “โรงพักเพื่อประชาชน/ตํารวจ…ผู้รับใช้ชุมชน” ฯลฯ

61 คู่สื่อสารที่แสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริง เป็นผลมาจากการยอมรับตนเองตามแนวคิดใด
ตอบ 2 หน้า 60, (คําบรรยาย) Equal คือ การมีความคิดและยอมรับตามหลักการสิทธิมนุษยชนว่า เราเท่าเทียมหรือเสมอภาคเท่ากับผู้อื่น โดยจะมีความเป็นเพื่อนกัน มีความคล้ายคลึงกันหรือ มีอะไรที่ใกล้เคียงกัน ทําให้มีความสบายใจในการแสดงออก กล้าพูดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ส่งผลให้คู่สื่อสารสามารถเปิดเผยตนเอง สามารถสื่อสารและแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างอิสระ จึงเป็นการยอมรับตนเองของคู่สื่อสารที่นําไปสู่สัมพันธภาพที่ดี และสามารถที่จะ สร้างมนุษยสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพูดคุยอย่างสนิทสนมในหมู่เพื่อนฝูง ฯลฯ

ข้อ 62 – 63. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ศึกษาและประเมินตนเอง
(2) ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง
(3) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง
(4) วางแผนในการปรับปรุงตนเอง

62 ความต้องการมีเสน่ห์ นําไปสู่ขั้นตอนใดในการพัฒนาตนเอง
ตอบ 3 หน้า 64, (คําบรรยาย) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง ถือเป็นการตอบสนองความต้องการ ส่วนบุคคลของตนเอง ดังนี้
1 ความต้องการมีบุคลิกภาพที่ดีและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม ทําให้บุคคลต้องการที่จะปรับปรุงตนเองในระดับสูง เช่น การดูแลรูปร่างผิวพรรณให้มีเสน่ห์ ฯลฯ
2 ความต้องการเป็นที่ชื่นชมหรือได้รับการยกย่องจากสังคม คือ ต้องการให้เป็นที่รัก ที่ชื่นชม
และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
3 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสังคม ทําให้บุคคลต้องปรับปรุงตนเองด้าน การแต่งกาย กิริยามารยาท ความขยัน ความตั้งใจ และมีความรับผิดชอบในการทํางาน
4 ความต้องการอํานาจ เพื่อให้มีสง่าราศี น่าเชื่อถือ และน่ายําเกรง

63 การรู้จักสังเกตตนเอง นําไปสู่ขั้นตอนใดในการพัฒนาตนเอง
ตอบ 1. หน้า 63, (คําบรรยาย) การศึกษาและประเมินตนเอง มีวิธีการดังนี้
1 การรู้จักสังเกตตนเอง โดยการส่องกระจกดูรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย กิริยาท่าทาง การแสดงสีหน้าและแววตา
2 การรับฟังคําวิจารณ์จากผู้อื่น โดยให้ผู้อื่นวิจารณ์หรือบอกจุดบอดที่เรามองไม่เห็น เช่น เวลาพูดยักคิ้วไปด้วยหรือไม่ เป็นต้น
3 การใช้แบบประเมินตนเอง ได้แก่ แบบสอบถาม แบบวัดทางจิตวิทยา เช่น แบบสํารวจ ร่างกายและสุขภาพ ความรับผิดชอบ ความเชื่อมั่นในตนเอง ฯลฯ

64 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในการสนทนา
(1) ไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
(2) พูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน
(3) พูดถึงจุดเด่นของคู่สนทนา
(4) พูดในเรื่องที่ตนถนัดและสนใจ
ตอบ 4หน้า 66 – 68 แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูดหรือสนทนา มีดังนี้
1 พูดจาด้วยถ้อยคําที่สุภาพ เหมาะกับกาลเทศะและบุคคล
2 มีน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน
3 ฝึกการใช้คําถามให้เหมาะสม
4 พูดในเรื่องที่ผู้ฟังชอบ พอใจและสนใจ ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองถนัด ชอบและสนใจ
5 เลือกส่วนดีเด่นของคู่สนทนามาพูด
6 พูดอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการพูด
7 ใช้ศิลปะในการสนทนา เช่น ไม่อธิบายรายละเอียดของแต่ละเรื่องมากเกินไป, ไม่ควรขัดคอ หรือโต้แย้งความคิดของคู่สนทนาทันที, หลีกเลี่ยงการพูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น, รู้จักสรรหาเรื่อง ที่สนุกสนานมาพูดคุยกันในวงสนทนา, ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสนทนา ฯลฯ

65 ข้อใดแสดงถึงการใช้คําพูดเชิงบวกกับคู่สนทนาที่มีนิสัยขี้เหนียว
(1) เป็นคนคิดก่อนใช้
(2) เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว
(3) เป็นคนใช้เงินเป็น
(4) เป็นคนมัธยัสถ์
ตอบ 4 หน้า 68, (คําบรรยาย) การใช้ศิลปะในการสนทนาประการหนึ่ง คือ หลีกเลี่ยงคําพูดที่ทําให้ ผู้อื่นสะเทือนใจ ไม่พูดถึงปมด้อยของผู้อื่น แต่ถ้าจําเป็นต้องพูดก็ควรใช้คําพูดในเชิงบวกแทน เช่น เมื่อพูดถึงคนตัวดําก็ควรใช้ว่า คนผิวสีเข้ม, เมื่อพูดถึงคู่สนทนาที่มีนิสัยขี้เหนียวก็ควรใช้ว่า เป็นคนมัธยัสถ์ รู้จักใช้เงิน และเมื่อพูดถึงคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน (คนอวบอ้วน) ก็ควรใช้ว่าคนจ้ำม่ำเป็นต้น

66 ฟ้ารดาเป็นคนที่ชอบตามใจตัวเอง แสดงถึงการขาดการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการเอาชนะตนเอง
(2) ฝึกการรักตนเอง
(3) ฝึกการใช้อํานาจเหนือผู้อื่น
(4) ฝึกเป็นผู้มีใจสงบ
ตอบ 1 หน้า 69 – 70 ฝึกการเอาชนะตนเอง คือ ความสามารถในการควบคุมตนเองได้ในเรื่องของ อารมณ์และความอยาก เนื่องจากปกติแล้วคนเรามักชอบตามใจตนเอง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ โลภมาก และสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าการเอาชนะตนเองจะทําให้บุคคลกลายเป็น คนที่มีเหตุผลมากขึ้น เพราะเป็นการควบคุมพฤติกรรมการแสดงออกของตนเองให้ทําสิ่งต่าง ๆ ไปตามเป้าหมายในทางที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสม

67. แม่บัวพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ เป็นผลมาจากการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการเอาชนะตนเอง
(2) ฝึกการรักตนเอง
(3) ฝึกการตั้งเป้าหมายในชีวิต
(4) ฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง
ตอบ 2หน้า 69, (คําบรรยาย) ฝึกให้รักตนเองตามสภาพที่เป็นอยู่ คือ การฝึกให้รู้จักรักตนเอง รู้จัก ให้คุณค่า รู้จักพึงพอใจในตนเองและสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ ดังคํากล่าวที่ว่า “จงพอใจในสิ่งที่ ตนเองมีอยู่เป็นอยู่” โดยพยายามพัฒนาตนเองให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น แล้วจะทําให้เรารู้จักรักและ พึงพอใจผู้อื่น ชื่นชมยินดี และเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้ นอกจากนี้ยังต้องรู้จักให้คุณค่าแก่ตนเอง ด้วยการมองภาพพจน์ของตนเองในเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลเกิดความรักและภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น

68 ดวงดาวมักทําให้คู่สนทนารู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลสําคัญ นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการแสดงออกที่เหมาะสม
(2) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(3) ฝึกการให้ในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ
(4) ฝึกการสร้างความประทับใจ
ตอบ 4 หน้า 74 ฝึกการสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น จะมีเคล็ดลับอยู่หลากหลายวิธี เช่น การแต่งกายงดงาม การพูดจาไพเราะอ่อนหวาน มีน้ําเสียงนุ่มนวล และการให้ความช่วยเหลือ ผู้อื่น แต่สิ่งที่สําคัญที่สุด คือ การทําให้ผู้อื่นรู้สึกตัวว่าเขาเป็นคนสําคัญ มีคุณค่า มีความหมาย นอกจากนี้ยังควรรู้จักหมั่นฝึกพูดคําว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ในโอกาสที่เหมาะสม และ ถูกต้องตามกาลเทศะ เป็นต้น

69 รวิศชอบโต้เถียงเพื่อเอาชนะคนอื่น แสดงถึงการขาดการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการให้อภัยผู้อื่น
(2) ฝึกความอดทนอดกลั้นและเข้าใจผู้อื่น
(3) ฝึกใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง
(4) ฝึกจัดการกับความโกรธและความเกลียด
ตอบ 3 หน้า 72, (คําบรรยาย) ฝึกการใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง คือ การเปลี่ยนการโต้เถียงผู้อื่น ให้เป็นการอภิปรายแทน การหัดยอมแพ้แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม และรู้จักกล่าวคําขอโทษ ทันทีเมื่อมีผู้อื่นกระทําให้เราเดือดร้อนหรือลําบากใจโดยไม่ได้เจตนา ซึ่งจะเหมาะกับบุคคลที่ ชอบใช้อํานาจเหนือผู้อื่น ไม่ยอมแพ้ ชอบโต้เถียงเพื่อเอาชนะ และพยายามควบคุมพฤติกรรม ของผู้อื่นเพราะคิดว่าตนเองสําคัญ ทั้งนี้เพื่อให้รู้จักคิดถึง ยอมรับ และเห็นด้วยกับผู้อื่นมากขึ้น

70 เป้าหมายของการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ คือข้อใด
(1) รู้จัก
(2) เข้าใจ
(3) ยอมรับ
(4) พัฒนา

ตอบ 3 หน้า 78, (คําบรรยาย) เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์สําคัญในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิด ทางด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ การยอมรับตัวตนตามลักษณะที่เป็นจริงหรือตามธรรมชาติของ บุคคลอื่น โดยต้องตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสําคัญที่ว่า มนุษย์มีความแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อเรา ยอมรับในเรื่องความแตกต่างของบุคคลได้แล้ว ก็จะทําให้การสร้างความสัมพันธ์นั้น ๆ ดีและ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งยังทําให้ตัวเราปรับตัวเข้ากับบุคคลนั้น ๆ ได้อีกด้วย

71 นักศึกษารามคําแหงไหว้ขอพรพ่อขุนฯ ขอให้สอบได้ กรณีนี้เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
(1) ความเชื่อ
(2) ทัศนคติ
(3) ค่านิยม
(4) การรับรู้
ตอบ 1 หน้า 81, (คําบรรยาย) ความเชื่อ (Belief) จะมีลักษณะคล้ายกับค่านิยม แต่ผูกพันกับคุณค่า ความดีหรือไม่ดีน้อยกว่าค่านิยม และความเชื่ออาจสร้างได้โดยใช้ระยะเวลานานกว่าทัศนคติ ดังนั้นความเชื่อจึงไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ และบางครั้งความเชื่อก็มีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมของมนุษย์ตั้งแต่อดีตตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ทรงเจ้าเข้าผี การบนบานศาลกล่าว กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ

ข้อ 72 – 76. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Open Area
(2) Blind Area
(3) Hidden Area
(4) Unknown Area

72 พฤติกรรมเก็บกดของบุคคล เป็นผลมาจากพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 3 หน้า 84 บริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) หมายถึง บริเวณที่เป็นพฤติกรรมลึกลับ หรือเป็นความรู้สึกนึกคิดหรือความลับบางอย่างที่บุคคลเก็บกดซ่อนไว้ในใจ ไม่เปิดเผยหรือไม่แสดงออก ให้ผู้อื่นรู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ และพฤติกรรมนี้มักจะเป็นพฤติกรรมภายในของบุคคล เช่น ความจํา ความเชื่อ ทัศนคติ ฯลฯ ซึ่งบุคคลจะไม่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกไปเพราะต้องการ ปิดบัง และอาจแสดงพฤติกรรมอย่างอื่นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เช่น บางคนอาจจะมี ความรู้สึกหมั่นไส้ อิจฉา และไม่พอใจผู้อื่น แต่ก็เสแสร้งยิ้มและพูดโกหกแสดงความยินดี ฯลฯ

73 ความคุ้นเคยของคู่สื่อสาร นําไปสู่พฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 1 หน้า 83 – 85, (คําบรรยาย) บริเวณเปิดเผย (Open Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรม ภายนอกที่บุคคลตั้งใจแสดงออกอย่างเปิดเผย มักจะเกิดขึ้นในการสื่อสารระหว่างบุคคลแบบ เผชิญหน้า ซึ่งทําให้คู่สื่อสารรับรู้พฤติกรรมและเจตนาของแต่ละฝ่ายได้ ทั้งนี้เมื่อคู่สื่อสารเริ่ม รู้จักหรือยังไม่คุ้นเคยกัน บริเวณเปิดเผยจะลดลงเพราะยังสงวนท่าทีกันอยู่ แต่หากคู่สื่อสาร สนิทสนมคุ้นเคยและจริงใจต่อกัน บริเวณเปิดเผยก็จะเปิดกว้างมากขึ้น โดยพฤติกรรมส่วนนี้ จะเป็นประโยชน์และมีความจําเป็นต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เพราะทําให้คู่สื่อสารมีปฏิกิริยา โต้ตอบต่อกัน มีการเปิดเผยตนเอง และจริงใจต่อกันมากขึ้น ดังคํากล่าวที่ว่า “มองตาก็รู้ใจ”

74 พฤติกรรมลึกลับของบุคคลที่ยังไม่มีใครรู้จัก หมายถึงพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 4 หน้า 84, (คําบรรยาย) บริเวณมืดมน (Unknown Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรมลึกลับ หรือความรู้สึกฝังลึกบางอย่างที่บุคคลแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตนเองและบุคคลอื่นก็ไม่เคย รู้จัก ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงเป็นพฤติกรรมที่ทําให้บุคคลไม่รู้จักตนเองมากที่สุด และคนอื่น ก็ไม่รู้จักตัวเราด้วย เพราะอาจจะเป็นทักษะความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ในด้านต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงและยังค้นไม่พบ จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่คับขันบางอย่างมา กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมนี้ เช่น พรสวรรค์ทางด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา ฯลฯ

75 บุคคลที่ชอบพูดมากกว่ารับฟังคนอื่น จะมีพฤติกรรมส่วนใดมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 87, (คําบรรยาย) บุคคลที่ให้ข้อติชมมาก แต่รับข้อติชมจากผู้อื่นน้อย (พูดมากกว่าฟัง) คือ บุคคลที่ไม่ยอมรับฟังคําวิจารณ์ของผู้อื่น แต่ชอบพูดวิจารณ์ผู้อื่นมากกว่า (ชอบประเมินคนอื่น โดยไม่สนใจที่จะประเมินตนเอง) จะมีพฤติกรรมบริเวณจุดบอด (Blind Area) มากที่สุด แต่จะ มีพฤติกรรมบริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) น้อยที่สุด

76 การรู้จักวิจารณ์คนอื่น จะช่วยลดพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 3 หน้า 83, 86 การพยายามลดพฤติกรรมบริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) ให้น้อยลง โดยใช้ วิธีการขยายพฤติกรรมบริเวณเปิดเผยตามแนวดิ่ง (4) มีอยู่ 2 วิธี คือ
1 ให้ความเชื่อถือไว้วางใจ โดยการเปิดเผยความในใจ หรือเปิดเผยข้อบกพร่องของตนเอง ให้แก่คนอื่นหรือคู่สื่อสารทราบ เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไข
2 มีความหวังดีต่อกัน โดยการรู้จักวิจารณ์ข้อบกพร่องของคนอื่น

ข้อ 77. – 82. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) พฤติกรรมแบบพ่อแม่
(2) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่
(3) พฤติกรรมแบบเด็ก
(4) พฤติกรรมที่เป็นพิธีการ

77 บุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบหุ่นยนต์ เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) เป็นพฤติกรรมที่ มักแสดงออกในลักษณะตรงไปตรงมา มีเหตุผล ยึดข้อเท็จจริง ไม่ใช้อารมณ์หรือความคิดเห็น ส่วนตัว เมื่อพูดถึงสิ่งใดก็จะใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นเครื่องตัดสิน ดังนั้นจึงมักเปรียบเทียบ บุคลิกภาพแบบนี้ว่าคล้ายกับหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึกส่วนตัว เห็นทุกสิ่งเป็นไปตามผลกรรม

78 จินตนาการของบุคคล นําไปสู่พฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบเด็ก (Child Ego State : C) มักจะแสดงออกใน ลักษณะที่มีจินตนาการสร้างสรรค์ มีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ศิลปิน สดชื่น มีชีวิตชีวา และ กล้าหาญ ซึ่งจะทําให้โลกนี้มีสิ่งแปลกใหม่ มีสิ่งประดิษฐ์ที่งดงามแปลกตา มีนักเขียน นักกลอน มีผลงานทางด้านศิลปะต่าง ๆ และทําให้โลกมีชีวิตชีวาด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ การแสดงท่าทางขบขัน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่แสดงถึงความดื้อรั้น สนใจแต่ความสุข ของตนเอง เอาแต่ใจ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ไม่ควบคุมตนเอง แต่คําพูดที่แสดงออกมาจะ เปิดเผย อิสระ และตรงไปตรงมา

79 การกล่าวคําทักทายว่า “สวัสดี” เมื่อเจอกัน แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 4 หน้า 93, (คําบรรยาย) พฤติกรรมที่เป็นพิธีการ คือ การกระทําเพื่อมารยาทหรือการกระทํา ตามกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การรู้จักไปลามาไหว้ การจับมือ การทักทายปราศรัยหรือกล่าว คําว่า “สวัสดี” เมื่อเจอกัน การกล่าวต้อนรับ การเลี้ยงต้อนรับ การปรบมือให้กําลังใจแก่ผู้พูด การกล่าวคําอวยพรเมื่อไปร่วมงานวันเกิดหรืองานเทศกาลปีใหม่ การรดน้ําขอพรจากผู้ใหญ่ใน วันสงกรานต์ และการจัดงานในเทศกาลสําคัญ ๆ ฯลฯ

80 ผู้บริหารที่ต้องการให้ลูกน้องยกย่องให้เกียรติ เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 89, 91 – 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P) มีลักษณะดังนี้

1 ถือว่าลูกน้องเหมือนลูกหลานที่จะอบรมสั่งสอนได้
2 เอาใจใส่ดูแลการทํางานของลูกน้องอย่างใกล้ชิด
3 มีความเป็นกันเอง มีอารมณ์ขัน
4 เห็นอกเห็นใจ เป็นห่วงลูกน้อง และมักจะให้ความช่วยเหลือ
5 ร่วมคิด ร่วมปรึกษากับลูกน้องที่มีพฤติกรรมแบบเด็กเท่านั้น
6 ถือว่างานต้องมาก่อนความสนุกสนานบันเทิง
7 ต้องการให้ลูกน้องยกย่องให้เกียรติ
8 มักชอบใช้อํานาจเหนือลูกน้องจนกลายเป็นเผด็จการ

81 ผู้บริหารที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89, 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) มีลักษณะดังนี้
1 มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการทํางานตามข้อมูลและข้อเท็จจริง
2 ยึดถือว่างานสําคัญกว่าการเล่น
3 ยึดความถูกต้องและระเบียบแบบแผนมากกว่าความคิดสร้างสรรค์
4 เป็นคนมีเหตุผล
5 เคร่งครัดในกฎระเบียบและกฎเกณฑ์

82 บุคคลที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78 ประกอบ

83 การรับรู้เกี่ยวกับตนเองและผู้อื่นข้อใดนําไปสู่ประสิทธิภาพในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) I’m not OK., You’re OK.
(2) I’m OK., You’re not OK.
(3) I’m not OK., You’re not OK.
(4) I’m OK., You’re OK.
ตอบ 4 หน้า 94 ฉันดีคุณก็ดีด้วย (I’m OK., You’re OK.) ถือเป็นทัศนคติที่บ่งบอกให้เราทราบว่า เป็นบุคคลที่มีสุขภาพจิตสมบูรณ์และประสบความสําเร็จในชีวิต เพราะมองตนเอง ผู้อื่น และ สิ่งแวดล้อมในแง่ดี (Positive Thinking) โดยยอมรับว่าทุกคนมีค่าหรือมีส่วนดีด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นทัศนคติที่นําไปสู่ประสิทธิภาพในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ทําให้สามารถติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างมีความสุข ซึ่งก็จะทําให้ชีวิตมีความสุขไปด้วย

84 ตามแนวคิดของเชลดัน บุคลิกภาพที่ล่ําสันจะมีลักษณะอย่างไร
(1) สนุกสนานร่าเริง
(2) มีน้ำใจนักกีฬา
(3) ชอบวิตกกังวล
(4) เคร่งขรึม
ตอบ 2 หน้า 95 เชลดัน (Sheldon) ได้จัดแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1 รูปร่างอ้วน (Endomorphy) มักชอบสนุกสนานร่าเริง และโกรธง่ายหายเร็ว ฯลฯ
2 รูปร่างล่ำสัน (Mesomorphy) แข็งแรง มีร่างกายสมส่วน เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว มีน้ำใจนักกีฬา มีเพื่อนมาก และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ
3 รูปร่างผอม (Ectomorphy) มักเคร่งขรึม เอาการเอางาน ใจน้อย ชอบวิตกกังวล ไม่ชอบการต่อสู้ และชอบอยู่ตามลําพัง ฯลฯ

85 ข้อใดแสดงถึงลักษณะของบุคลิกภาพแบบ Introvert
(1) ยึดตัวเองเป็นใหญ่
(2) ชอบแสดงตน
(3) อารมณ์ดี
(4) ปรับตัวเก่ง
ตอบ 1 หน้า 95, (คําบรรยาย) คาร์ล จี. จุง (Cart G. Jung) แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท คือ
1 ชอบเก็บตัว (Introvert) เป็นพวกเชื่อมั่นในตนเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ขี้อาย เก็บความรู้สึก ชอบอยู่ตามลําพัง ปรับตัวยาก เห็นแก่ตัว ฯลฯ

2 ชอบแสดงตัว (Extrovert) เป็นพวกไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เปิดเผย เข้าสังคมเก่ง อารมณ์ดี ชอบทํากิจกรรม ฯลฯ
3 ประเภทกลาง ๆ (Ambivert) เป็นพวกไม่เก็บตัวหรือแสดงตัวมากเกินไป ปรับตัวเก่งหรือ ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ และมักมีนิสัยเรียนรู้การอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จึงเป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

ข้อ 86 – 88. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เต่า
(2) ตุ๊กตาหมี
(3) สุนัขจิ้งจอก
(4) นกฮูก

86 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงผู้บริหารที่มีมนุษยสัมพันธ์กับลูกน้อง
ตอบ 4 หน้า 97, (คําบรรยาย) ผู้บริหารประเภทใจเย็น (Team Manager) มีสัญลักษณ์เป็น “นกฮูก” คือ เป็นบุคคลที่พยายามศึกษาความต้องการของตนเองและผู้อื่น แล้วแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยการควบคุมอารมณ์ รับฟังลูกน้องด้วยความเข้าใจ พูดจาไพเราะ และแสดงความคิดเห็น เพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง จึงถือว่าเป็นผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพและ แนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ในการทํางาน ทําให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกน้องได้ดีที่สุด

87 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงผู้บริหารที่ขาดความรับผิดชอบ
ตอบ 1 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทไม่เอาไหน (Impoverished Manager) มีสัญลักษณ์เป็น “เต่า” เพราะไม่กล้าเผชิญปัญหา และเมื่อมีความผิดเกิดขึ้นก็มักจะโทษผู้อื่นหรือโยนความผิดให้กับ ลูกน้อง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ยอมตามผู้อื่นด้วยความขุ่นเคืองใจ มองผู้อื่นในแง่ร้าย โดยจะบริหารงานแบบสบาย ๆ ไม่สนใจลูกน้องและงาน ชอบอยู่เฉย ๆ ใครจะทําอะไรก็ทําไป และเมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่รับผิดชอบไม่ว่ากรณีใด ๆ

88 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงผู้บริหารที่ยอมตามใจลูกน้อง
ตอบ 2 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทยอมตาม (Country Club Manager) มีสัญลักษณ์เป็น “ตุ๊กตาหมี” คือ เป็นบุคคลที่ยอมผู้อื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มีความเสียสละ มักยอมให้คนอื่นทําสิ่งต่าง ๆ ก่อนเสมอ มองคนในแง่ดี สนใจคนมากกว่างาน เอาอกเอาใจและกลัวลูกน้อง มักชอบสร้างบารมีให้ลูกน้องรัก เนื่องจาก ขาดความสามารถในการทํางาน โดยมีวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง คือ ยอมตามใจลูกน้องเสมอ

ข้อ 89. – 91. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การรับรู้ด้วยความประทับใจ
(2) การรับรู้ด้วยการประเมินคนอื่น
(3) อิทธิพลทางสังคม
(4) ความสัมพันธ์ทางสังคม

89 ทัศนคติที่คล้ายกันของคู่สื่อสาร นําไปสู่แนวคิดข้อใด
ตอบ 4 หน้า 133, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความดึงดูดใจทางสังคมของคู่สื่อสาร จนนําไปสู่ แนวคิดความสัมพันธ์ทางสังคม มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
1 ความใกล้ชิดทางกายภาพ คือ ความใกล้ชิดกันทางด้านสถานที่ เช่น ในห้องเรียน หรือ เพื่อนร่วมงานในที่ทํางานเดียวกัน
2 ทัศนคติที่คล้ายคลึงกัน คือ มีความสนใจร่วมกัน หรือมีทัศนคติหลาย ๆ อย่างตรงกันมาก่อน
3 รูปร่างหน้าตา หรือบุคลิกภาพที่ดี นับเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากขึ้นในปัจจุบัน

90 การโน้มน้าวใจผู้รับสารให้คล้อยตาม แสดงถึงแนวคิดข้อใด
ตอบ 3 หน้า 131 – 132, (คําบรรยาย) อิทธิพลทางสังคมจะเน้นพฤติกรรมของบุคคลที่เปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง เนื่องจากการกระทําของบุคคลอื่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1 การส่งเสริมโดยสังคม (Social Facilitation) ได้แก่ การอยู่ในสายตาของผู้อื่นจะทําให้ การทํางานมีประสิทธิภาพดีขึ้น
2 การคล้อยตามผู้อื่น หรือการถูกโน้มน้าวใจให้คล้อยตาม ได้แก่ การคล้อยตามบุคคลที่ เราเชื่อถือหรือสนิทสนม การคล้อยตามบรรทัดฐาน และการคล้อยตามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีเรื่องของอํานาจเข้ามากํากับ

91 การให้ความสําคัญกับปรากฏการณ์ภายนอกของผู้อื่น นําไปสู่แนวคิดข้อใด
ตอบ 1 หน้า 127 – 129, 155, (คําบรรยาย) การรับรู้ทางสังคมโดยความรู้สึกประทับใจมักจะเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1 ความประทับใจครั้งแรก ประสบการณ์ครั้งแรก หรือปรากฏการณ์ครั้งแรกของคู่สื่อสาร คือ การรับรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบบุคคลที่เราพบเห็นเป็นครั้งแรก
2 ปรากฏการณ์ภายนอก คือ บุคลิกภาพภายนอกของบุคคล ได้แก่ รูปร่างหน้าตา
3 การสื่อสารเชิงอวัจนะหรือพฤติกรรมการแสดงออกทางอวัจนภาษา (ภาษากาย) คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คําพูด เช่น สีหน้า สายตา อากัปกิริยาท่าทางและการสัมผัสน้ำเสียง เป็นต้น

92 คนชราที่เข้าวัดและปฏิบัติธรรม ทําให้ได้รับการยอมรับจากสังคมตามแนวคิดข้อใด
(1) อ้างความด้อยของตนเอง
(2) อ้างชื่อเสียงของกลุ่ม
(3) การสวมบทบาทตามเพศ
(4) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงปรารถนา
ตอบ 4 หน้า 135, (คําบรรยาย) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาหรือไม่พึงประสงค์ ของตน ได้แก่ ความพิการทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ความยากจน และความชรา โดยบุคคล ที่มีคุณลักษณะเหล่านี้มักจะถูกบังคับให้กระทําตามบทบาทของตนทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพื่อให้ผู้อื่นประทับใจและสังคมยอมรับ เช่น ผู้สูงอายุ/ผู้อาวุโสที่เข้าวัดเพื่อฟังพระเทศน์ธรรมะ, คนชราที่เข้าวัดเพื่อทําบุญ ตักบาตร ปฏิบัติธรรม และฝึกนั่งสมาธิอย่างสม่ําเสมอ, คนจนที่ใช้ ชีวิตอย่างพอเพียง ฯลฯ

ข้อ 93. – 95.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การชดเชย
(2) การกลบเกลื่อน
(3) การถอยหนี
(4) การถดถอย

93 การลดความวิตกกังวล โดยแสดงพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เป็นการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 4 หน้า 138, (คําบรรยาย) การถดถอย (Regression) คือ กลไกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลตกอยู่ใน ภาวะวิตกกังวลและไม่อาจจะขจัดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นได้ จึงหาทางออกโดยการย้อนไป แสดงพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล เช่น ร้องไห้ ปัสสาวะรดที่นอน กระทืบเท้า แลบลิ้น อ่านหนังสือการ์ตูน ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคคลเคยทําในอดีตสมัยเด็ก ๆ และนํากลับมาใช้ใหม่เมื่อตนเองมีปัญหาในการปรับตัว

94 พฤติกรรม “ปากปราศรัย น้ําใจเชือดคอ” เป็นการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 2 หน้า 137 – 138, (คําบรรยาย) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน (Reaction – Formation) คือ กลไกที่ แสดงปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นและเพื่อป้องกันความรู้สึกผิดหรือการที่บุคคลมีความคิดเห็นที่เป็นอันตรายหรือไม่เป็นที่ปรารถนาต่อบุคคลอื่น ซึ่งจัดว่าเป็นลักษณะการแสดงออกแบบ “หน้าเนื้อใจเสือ” หรือ “ปากปราศรัย น้ําใจเชือดคอ” เช่น เมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้านทําเป็นคุยด้วยกันอย่างมีมิตรภาพ แต่ลับหลังแล้ว กลับมีพฤติกรรมจ้องทําลาย เป็นต้น

95 การสร้างความเด่นเพื่อเอาชนะความด้อยของตนเอง เป็นการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 1 หน้า 139, (คําบรรยาย) การชดเชย (Compensation) คือ กลไกที่บุคคลพยายามจะเอาชนะ ข้อบกพร่องหรือความด้อยของตนเองทั้งทางด้านสติปัญญา ร่างกาย บุคลิกภาพ และฐานะทาง เศรษฐกิจ โดยใช้วิธีสร้างความเด่นหรือความสําเร็จด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อชดเชยความบกพร่อง จุดอ่อน และความด้อยของตัวเอง เช่น การเล่นกีฬาให้เก่งชดเชยการเรียนไม่เก่ง หรือคนที่ไม่ โอกาสเรียนสูง ๆ จะพยายามส่งเสียให้ลูกเรียนจนจบการศึกษาขั้นสูงที่สุด ฯลฯ

96 การสื่อสารระหว่างบุคคลทําให้มีอิทธิพลเหนือผู้รับสาร เป็นผลมาจากวัตถุประสงค์ของการสื่อสารระหว่าง
บุคคลข้อใด
(1) เพื่อค้นพบตนเอง
(2) เพื่อค้นพบโลกภายนอก
(3) เพื่อสร้างความสัมพันธ์
(4) เพื่อการโน้มน้าวใจ
ตอบ 4 หน้า 152, (คําบรรยาย) เพื่อการโน้มน้าวใจ หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรม ของผู้รับสาร (Changing Attitudes and Behaviors) คือ การสื่อสารระหว่างบุคคลทําให้ มีอิทธิพลเหนือผู้รับสารเนื่องจากสามารถโน้มน้าวใจผู้อื่นให้คล้อยตามหรือให้เปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการสื่อสารชนิดอื่น ๆ เพราะเป็นการ สื่อสารที่เผชิญหน้ากัน สื่อสารด้วยคําพูด จึงส่งผลให้การโน้มน้าวใจเป็นไปได้ง่ายและได้ผลดี

97 ข้อใดแสดงถึงการใช้วัจนภาษาที่มีประสิทธิภาพในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) เลือกใช้ถ้อยคําที่เข้าใจง่าย
(2) หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์ทางวิชาการ
(3) หลีกเลี่ยงถ้อยคําที่คลุมเครือ
(4) เลือกใช้ถ้อยคําที่ทําให้ผู้รับสารพึงพอใจ
ตอบ 4หน้า 153 การใช้วัจนสารหรือวัจนภาษาที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารระหว่างบุคคลเพื่อสร้าง มนุษยสัมพันธ์นั้น นอกจากจะมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันแล้ว ยังต้องการให้เกิด ความพึงพอใจของคู่สื่อสารด้วย ดังนั้นผู้ส่งสาร (ผู้พูด) จึงต้องเลือกใช้ถ้อยคําต่าง ๆ ที่จะทําให้ ผู้รับสาร (ผู้ฟัง) มีความพึงพอใจ เพื่อนําไปสู่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ให้เกิดความรักใคร่ชอบพอกัน และอยากคบหากันต่อไป

98 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในการใช้การสื่อสารเชิงอวัจนะ
(1) การสื่อสารเชิงอวัจนะทําให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น
(2) การสื่อสารเชิงอวัจนะสามารถแสดงออกได้อย่างไร้ขอบเขต
(3) การสื่อสารเชิงอวัจนะเกิดจากความตั้งใจของผู้ส่งสาร
(4) การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ตอบ 3 หน้า 153 – 154 แนวคิดที่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะหรือการใช้อวัจนสาร (Nonverbal Communication) มีดังนี้
1 แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
2 มีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสารที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าพฤติกรรมนั้น
จะแสดงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
3 มีความครอบคลุมกว้างขวางแทบจะไม่มีขอบเขตจํากัด (ไร้ขอบเขต) ไม่ว่าจะเป็นการ แสดงออกทางด้านน้ำเสียง ท่าทาง หรือสีหน้า
4 มีหน้าที่ในการสื่อสาร
ทําให้การสื่อสารชัดเจนถูกต้องและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

99 การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แสดงถึงพฤติกรรมใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
(1) Honesty
(2) Positiveness
(3) Empathy
(4) Equality
ตอบ 3 หน้า 161 – 162 พฤติกรรมความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) หรือความสามารถในการ เอาใจเขามาใส่ใจเรา หมายถึง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความสามารถในการรับรู้ และเข้าใจความรู้สึกและความคิดเห็นของคู่สื่อสารในแต่ละสถานการณ์ได้เสมือนเป็นคนนั้น ซึ่งช่วยให้คู่สื่อสารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสื่อสารของตนให้เป็นที่พอใจซึ่งกันและกันได้

100 การพูดจาไพเราะกับคู่สื่อสาร แสดงถึงปัจจัยส่งเสริมการสื่อสารระหว่างบุคคลข้อใด
(1) ลักษณะดึงดูดใจของคู่สื่อสาร
(2) การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร
(3) ความใกล้ชิดของคู่สื่อสาร
(4) ความคล้ายคลึงกันของคู่สื่อสาร
ตอบ 2 หน้า 158, 160 การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร (Reinforcement) คือ คนเรามีแนวโน้มจะ สื่อสารกับคนที่ให้สิ่งที่ตนพอใจหรือคนที่ให้แรงเสริมแก่ตน โดยแรงเสริมนั้นอาจเป็นวัตถุ สิ่งของหรือตัวเสริมแรงทางสังคม ได้แก่ การพูดจาไพเราะ การยกย่องชมเชย ซึ่งจะต้องมี ลักษณะของความจริงใจ ไม่เสแสร้ง และไม่แอบแฝงผลประโยชน์ เช่น คนเรามักไม่อยาก สนทนากับเพื่อนที่ชอบขัดคอหรือโต้แย้งความคิดของตน แต่มักชอบพูดคุยกับเพื่อนที่ยินดี และแสดงความนับถือยกย่องในความสําเร็จของเรา เป็นต้น

 

cdm2403 (mcs3151) การสื่อสารเพื่อจัดการความสัมพันธ์ s/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 3151 (MCS 3100) การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1 ปัจจัยเริ่มต้นของมนุษยสัมพันธ์คือข้อใด
(1) ครอบครัว
(2) สังคม
(3) ตนเอง
(4) บุคคลอื่น
ตอบ 3 หน้า 3, 17, 19, (คําบรรยาย) ปัจจัยหรือจุดเริ่มต้นของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือ ตนเอง โดยเริ่มจากการรู้จักและเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักและเข้าใจผู้อื่นด้วย ทั้งนี้บุคคล ต้องรู้จักมองโลกในแง่ดีหรือมีทัศนคติ/แนวคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งต่าง ๆ เช่น การยอมรับความแตกต่างของบุคคล เป็นต้น

2 การประกอบอาชีพในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีลักษณะอย่างไร
(1) ระบบเครือญาติ
(2) ระบบนายจ้างลูกจ้าง
(3) ระบบศักดินา
(4) ระบบนายทุน
ตอบ 1 หน้า 10, (คําบรรยาย) การประกอบอาชีพในยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะมีลักษณะเป็น ระบบเครือญาติ (Clan) คือ มนุษย์แต่ละคนแต่ละกลุ่มเล็ก ๆ ในระดับครอบครัวจะทํางานอยู่ ที่บ้านในลักษณะครบวงจร ไม่มีการแบ่งงานกันทํา ทุกคนทุกครอบครัวต้องทํากันเองทุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นชาวไร่ชาวนา เกษตรกร หรือเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพด้านหัตถกรรม (Hand Craft)

3 ความสัมพันธ์ของมนุษย์เมื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่มีลักษณะอย่างไร
(1) อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และรวมกันโดยอัตโนมัติ
(2) อยู่ร่วมกันในรูปแบบที่เป็นทางการ และขาดความเสมอภาค
(3) อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการและเอารัดเอาเปรียบกัน
(4) อยู่ร่วมกันด้วยความสมัครใจ และสงบสุข
ตอบ 2 หน้า 9 ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในยุคที่เริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมนั้นจะมีลักษณะของการ อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่ สังคมมนุษย์ได้แตกเป็นกลุ่มเป็นสถาบันย่อย ๆ ตามความจําเป็น ทําให้ลักษณะความสัมพันธ์ ในการอยู่ร่วมกันเป็นไปในรูปแบบที่เป็นทางการมากขึ้น แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคเพราะมีการเอารัดเอาเปรียบกัน

ข้อ 4. – 6.ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) แอนดรู ยูร
(2) เอลตัน เมโย
(3) เฮ็นรี่ แกนต์
(4) โรเบิร์ต โอเวน

4 บุคคลใดได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบริหารงานบุคคล
ตอบ 4 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) ถือว่าเป็นเจ้าของกิจการ ชาวเวลส์คนแรกตามประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษที่มีความคิดริเริ่มในการเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ของคนงาน โดยยอมรับว่าต้องให้ความสําคัญกับจิตใจและความต้องการของ ลูกจ้างคนงาน ซึ่งเขาได้พยายามปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ของลูกจ้าง เช่น ปรับปรุงสถานที่ ทํางานและสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ปรับปรุงสภาพในการทํางานให้ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่ และเป็นนายจ้างคนแรกที่ต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้จุดประกายและเริ่มต้น แนวคิดการสร้างสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเป็นคนแรก จนได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาแห่งการบริหารงานบุคคล”

5 บุคคลใดเป็นผู้เปิดสอนวิชามนุษยสัมพันธ์
ตอบ 2
หน้า 14 ความเป็นมาของการศึกษาวิชามนุษยสัมพันธ์ได้เริ่มต้นขึ้นจากสถาบันการศึกษา เมื่อศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) บิดาแห่งวิชามนุษยสัมพันธ์ ได้ริเริ่มเปิดสอน วิชามนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ขึ้นเป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ซึ่งอีก 10 ปีต่อมาวิชานี้ก็กลายเป็นวิชาบังคับ ในหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัย และเป็นแขนงวิชาหรือศาสตร์ที่เด่นชัดแพร่หลายไป ทุกวงการภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

6. บุคคลใดริเริ่มให้มีสวัสดิการการรักษาพยาบาล
ตอบ 1
หน้า 12 แอนดรู ยูรี (Andrew Ure) ได้เขียนบทความที่ให้ความสําคัญแก่ “มนุษย์” และ เป็นผู้ที่ริเริ่มการให้สวัสดิการแก่คนงาน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ซึ่งเขาได้เสนอให้ปรับปรุงการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ดังนี้
1 จัดให้มีชั่วโมงพักระหว่างการทํางาน
2 ปรับสถานที่ทํางานให้ถูกสุขลักษณะ
3 เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย คนงานต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาล และได้รับค่าจ้างระหว่าง หยุดพักรักษาตัวด้วย
4 ส่งเสริมให้คนงานมีสุขภาพดี โดยจัดสนามและอุปกรณ์การออกกําลังกายแก่คนงาน

7 ข้อใดแสดงถึงความหมายของมนุษยสัมพันธ์
(1) การสื่อสารของมนุษย์
(3) ธรรมชาติของมนุษย์
(2) ความต้องการของมนุษย์
(4) การปรับตัวของมนุษย์
ตอบ 4 หน้า 1 – 4, 23 นักวิชาการได้ให้ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) เอาไว้ อย่างมากมาย แต่ความหมายที่สั้นและตรงที่สุดเห็นจะได้แก่ความหมายที่ว่า การติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างผู้คน ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างมนุษย์ หรือทักษะในการปรับตัว เพื่อให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

8 ข้อความใดแตกต่างจากแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
(2) มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่
(3) ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ
(4) จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
ตอบ 2 หน้า 29 – 30, (คําบรรยาย) คีท เดวิส (Keith Davis) กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์เพื่อเป็น แนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ไว้ 4 ประการ ดังนี้
1 บุคคลย่อมมีความแตกต่าง มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่น ให้ต้องคิดหรือทําทุกอย่างเหมือนตนเอง แต่ควรยอมรับความเป็นปัจเจกบุคคลหรือยอมรับ ตัวตนของตนเองและผู้อื่น ดังคํากล่าวที่ว่า “ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ”, “รู้จักเอาใจ เขามาใส่ใจเรา” และ “ลางเนื้อชอบลางยา”
2 การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม จึงไม่ควรตัดสินบุคคลแค่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง

3 พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ มนุษย์จึงต้องการแรงจูงใจ (Motivation) อันเป็นพื้นฐาน ไปสู่การจูงใจบุคคลอื่นให้คล้อยตาม หรือจูงใจให้บุคคลเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานได้
4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันโดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ สิทธิด้านมนุษยชนของสหประชาชาติ จึงไม่ควรแบ่งแยกชนชั้น แต่ควรยกย่องให้เกียรติและ ยอมรับนับถือกัน ดังคํากล่าวที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

9 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของมนุษยสัมพันธ์
(1) แต่ละบุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตัวเอง
(2) มนุษยสัมพันธ์เป็นศาสตร์และศิลป์
(4) ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ
(3) มนุษยสัมพันธ์เป็นทักษะที่ติดตัวบุคคลมา
ตอบ 3 หน้า 3, 15, (คําบรรยาย) ลักษณะของมนุษยสัมพันธ์ มีดังนี้
1 มนุษยสัมพันธ์เกิดจากการ สร้างของบุคคล ไม่ใช่ทักษะความสามารถที่ติดตัวมาแต่กําเนิด ไม่ใช่คุณลักษณะที่ถ่ายทอดทาง กรรมพันธุ์ และไม่ใช่เป็นพรสวรรค์ของบุคคล
2 การสร้างมนุษยสัมพันธ์อาจสูญสลายไปได้ หากไม่รู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ให้คงอยู่กับตัวเราตลอดไป
3 มนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์
4 แต่ละบุคคลมีลักษณะของมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง แต่มีไม่เหมือนกันหรือ ไม่เท่าเทียมกัน
5 ไม่มีใครมีมนุษยสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ

10 บุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์จะมีลักษณะอย่างไร
(1) มีพฤติกรรมที่สุภาพอ่อนน้อม
(2) พูดจาไพเราะน่าฟัง
(3) แสดงพฤติกรรมได้ตามวัตถุประสงค์
(4) แสดงพฤติกรรมได้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตอบ 4 หน้า 1, (คําบรรยาย) คุณลักษณะของบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์นั้นย่อมจะเข้าใจในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมีทักษะในการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสมกับบุคคลและ สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องรู้จักกาลเทศะและปรับตัวให้เข้ากับ สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

11 พื้นฐานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี คือความสัมพันธ์ในลักษณะใด
(1) ความพึงพอใจ
(2) ความนับถือ
(3) ความศรัทธา
(4) ความเกรงใจ
ตอบ 1 หน้า 18, 217, (คําบรรยาย) การสื่อสารแบบมนุษยสัมพันธ์ ถือเป็นการสื่อสารที่ต้องอาศัย ความเข้าใจและความพึงพอใจระหว่างกันเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยความไว้วางใจ (Trust) ของคู่สื่อสารเพื่อนําไปสู่มนุษยสัมพันธ์อีกด้วย

12 ข้อใดคือปัจจัยที่นายจ้างต้องการให้ศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตจากกรณีฮอธอร์น
(1) ความต้องการของคนงาน
(2) ความสัมพันธ์ของคนงาน
(3) ระยะเวลาหยุดพักในการทํางาน
(4) การรวมกลุ่มของคนงาน
ตอบ 3 หน้า 13 – 14, (คําบรรยาย) ศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นหัวหน้าคณะผู้ที่
ศึกษากรณีฮอธอร์น (Hawthorne Studies) คือ การศึกษาปัจจัยแห่งประสิทธิภาพของการ ทํางานในโรงงานแห่งหนึ่ง โดยศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ระยะเวลา หยุดพักในการทํางาน และแสงสว่างหรืออุณหภูมิในที่ทํางาน รวมทั้งศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติ ของลูกจ้างที่มีต่อนายจ้าง (ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้ตั้งใจศึกษา คือ การรวมกลุ่มของคนงานที่ไม่เป็น ทางการ แต่ปัจจัยดังกล่าวดึงดูดความสนใจของคณะผู้ศึกษาวิจัย จึงทําการศึกษาต่อ)

13 ข้อใดเป็นข้อค้นพบจากกรณีฮอธอร์น
(1) ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
(2) ผลผลิตจะลดลงตามความเข้มของแสงสว่างที่ลดลง
(3) คนงานมีทัศนคติที่ดีกับนายจ้างที่ควบคุมงานอย่างใกล้ชิด
(4) การรวมกลุ่มของคนงานอย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีผลต่อการเพิ่มผลผลิต
ตอบ 1 หน้า 13 – 14 ข้อค้นพบจากกรณี Hawthorne Studies แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น คือ
1 ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสงสว่าง แต่จะไม่ลดลงเมื่อความเข้มของแสงสว่างลดลง
2 ผลผลิตของคนงานที่ได้หยุดพักระหว่างการทํางานกับที่ไม่ได้หยุดพักไม่แตกต่างกัน
3 คนงานจะมีทัศนคติที่ดีต่อนายจ้างหรือผู้บริหารที่ให้อิสระในการทํางาน
4 มีการรวมกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการของคนงาน ซึ่งมีความสําคัญอย่างมากต่อการเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทํางาน
5 กลุ่มคนงานที่รวมตัวอย่างไม่เป็นทางการมีความขัดแย้งกับกลุ่มที่เป็นทางการ ดังนั้นสิ่งที่เสนอแนะให้นายจ้างทํา คือ ปรับปรุงวิธีการติดต่อสื่อสารในการทํางานระหว่างนายจ้าง กับลูกจ้างคนงาน ซึ่งส่งผลให้การสื่อสารดีขึ้นและผลผลิตของโรงงานสูงขึ้น ฯลฯ

14 ข้อใดคือข้อเสนอแนะแก่นายจ้างจากกรณีฮอธอร์น
(1) เพิ่มค่าตอบแทน
(2) เพิ่มสวัสดิการ
(3) ปรับปรุงวิธีการสื่อสารในการทํางาน
(4) ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทํางาน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13 ประกอบ

15 สายใยรักในครอบครัว แสดงถึงปัจจัยใดที่ทําให้บุคคลมีความสามารถในด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) สภาพแวดล้อม
(2) การอบรมสั่งสอน
(3) ทัศนคติ
(4) ประสบการณ์ที่ได้รับ
ตอบ 1 หน้า 15, (คําบรรยาย) ปัจจัยที่ทําให้บุคคลมีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่
1 สภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยเริ่มแรก เช่น สายใยรักในครอบครัว ความรักความเอาใจใส่ ในครอบครัว การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ฯลฯ
2 การอบรมสั่งสอน เช่น การรับฟังความรู้หรือข้อแนะนําเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออก ที่เหมาะสมจากพ่อแม่ ครู และญาติพี่น้อง ฯลฯ
3 ประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น ปฏิกิริยาตอบกลับ ปฏิกิริยาป้อนกลับ หรือปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) จากคู่สื่อสารหรือคนรอบตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สื่อสาร และคําวิพากษ์ วิจารณ์จากบุคคลอื่น

16 ความเชื่อของบุคคล แสดงถึงอุปสรรคข้อใดในการสร้างมนุษยสัมพันธ์
(1) ความแตกต่างด้านประสบการณ์
(3) ความแตกต่างด้านความคิดเห็น
(2) ความแตกต่างด้านภูมิหลัง
(4) ความแตกต่างด้านผลประโยชน์
ตอบ 3 หน้า 16, 79, (คําบรรยาย) สาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น คือ
1 ความแตกต่างด้านประสบการณ์และภูมิหลัง เช่น อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
2 ความแตกต่างด้านความคิดเห็น เป็นความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของ บุคคลในลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยม ฯลฯ ซึ่งหากไม่ยอมรับกันแล้ว ความเข้าใจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก

3 ความแตกต่างด้านผลประโยชน์ คือ ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของสิ่งของ วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯลฯ มักทําให้เกิดความไม่พอใจและความแตกแยกได้ง่าย เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่น

ข้อ 17. – 19. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Motivation
(2) Communication
(3) Trust
(4) Self Disclosure

17 การทําให้สมาชิกในสังคมมีทัศนคติตรงกัน ต้องอาศัยองค์ประกอบใด
ตอบ 1 หน้า 18, (คําบรรยาย) การจูงใจ (Motivation) ถือเป็นคุณสมบัติที่นักมนุษยสัมพันธ์จึงสร้าง ให้เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะมีส่วนสําคัญมากในการกระตุ้นให้แต่ละบุคคลมีความกระตือรือร้น และแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้การจูงใจยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และมีผลต่อความสําเร็จขององค์กร ดังนั้นสมาชิกในสังคมจึงจําเป็นต้องสร้างแรงจูงใจต่อกัน เพื่อกระตุ้นให้มีทัศนคติตรงกัน มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีระเบียบ และมีความรับผิดชอบ

18 องค์ประกอบใดแสดงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์
ตอบ 2 หน้า 17 การติดต่อสื่อสาร (Communication) ถือว่ามีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งในการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ จนมีผู้เปรียบว่าการติดต่อสื่อสารเป็นหัวใจของมนุษยสัมพันธ์ เพราะการสื่อสาร คือ สิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ (Communication is the human connection) เป็นเครื่องมือที่ทําให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเรา กับบุคคลอื่นต้องกระทําผ่านการติดต่อสื่อสาร

19 การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นผลมาจากองค์ประกอบใด
ตอบ 4 หน้า 18, 55, (คําบรรยาย) การเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure) เป็นขั้นตอนที่ช่วยพัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพราะเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ภายในตัวเราให้ผู้อื่นได้ทราบ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ความคิดเห็น และปฏิกิริยาโต้ตอบที่มีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการเปิดเผยตนเองจึงทําให้คู่สื่อสารรู้จักและเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ทําให้สามารถคาดคะเนความคิด รวมทั้งเป็นตัวกําหนดพฤติกรรมการสื่อสารกับผู้อื่นให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ

20 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์
(1) มักง่าย
(2) ชอบการผจญภัย
(3) ไม่ชอบซ้ำเติม
(4) ไม่ชอบการถูกบังคับ
ตอบ 3 หน้า 23 – 24 ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้
1 อิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตน
2 มีสัญชาตญาณแห่งการทําลายล้าง
3 ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
4 มีความต้องการทางเพศ
5 หวาดกลัวภัยอันตรายต่าง ๆ
6 กลัวความเจ็บปวด
7 โหดร้าย ชอบซ้ำเติม
8 ชอบความสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบ และไม่ชอบการถูกบังคับ
9 ชอบความตื่นเต้น ชอบการผจญภัย ฯลฯ

ข้อ 21. – 23. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ขงจื้อ
(2) เม่งจื่อ
(3) ซุ่นจื้อ
(4) เก้าจื๊อ

21 คํากล่าวที่ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” สอดคล้องกับแนวคิดของใคร ตอบ 4 หน้า 26, 28, (คําบรรยาย) เก้าอื้อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและไม่ชั่ว ซึ่งเปรียบ ได้กับกระแสน้ำที่รวนเร (ไม่รู้จักทิศทาง) โดยถ้าเปิดทางทิศตะวันออกน้ําก็จะไหลไปทางทิศตะวันออก แต่ถ้าเปิดทางทิศตะวันตกน้ำก็จะไหลไปทางทิศตะวันตก จึงสอดคล้องกับความเชื่อ ของนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ว่า มนุษย์เกิดมาไม่ดีและไม่เลว เมื่อเกิดมาแล้วจะดีหรือ ไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม ดังคําพังเพยที่กล่าวว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล

22 นักปรัชญาท่านใดมีแนวคิดที่ว่า การเปลี่ยนแปลงคนอื่นเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
ตอบ 1 หน้า 32, (คําบรรยาย) ขงจื้อ กล่าวว่า “เราไม่สามารถห้ามนกบินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถ ทําให้นกไม่ขี้รดหัวเราได้ด้วยการหาหมวกมาใส่” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ ที่ให้ความสําคัญกับการยอมรับธรรมชาติของผู้อื่น คือ ถ้าเราต้องการจะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ได้อย่างมีความสุขแท้จริงแล้ว ก็สมควรแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ถูกต้อง โดยปรับปรุงแก้ไข ปัญหาที่ตนเอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือต้นเหตุ ดีกว่าที่จะไปแก้ไขหรือพยายามเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่นซึ่งเป็นเรื่องยาก และเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า

23 นักปรัชญาท่านใดเชื่อว่า มนุษย์เกิดมามีสติปัญญาที่ทําให้สามารถพัฒนาตนเองจากความหยาบกระด้าง ที่ติดตัวมา
ตอบ 3 หน้า 26 ซุ่นจื้อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนไม่ดีเป็นทุนเดิมติดตัวมา แต่การที่มนุษย์ เป็นคนดี เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนดีขึ้นมาได้ และท่านยังมีความเห็นว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสติปัญญาและความหยาบกระด้าง ซึ่งสติปัญญานี้สามารถพัฒนาสภาพหยาบกระด้างที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ให้มาเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอันงดงามและสมบูรณ์ได้ด้วยการฝึกอบรม

24 ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดของเม่งจื๊อข้อใดที่แสดงว่า มนุษย์มีลักษณะมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
(1) การมีมนุษยธรรม
(2) ความอ่อนน้อมถ่อมตน
(3) การยึดหลักศีลธรรม
(4) การรู้จักแยกแยะผิดถูก
ตอบ 2หน้า 26, (คําบรรยาย) เม่งจื้อ มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีความดี ที่ติดตัวมาโดยกําเนิด ซึ่งได้แก่
1 มีความรู้สึกเมตตากรุณา หมายถึง ความมีมนุษยธรรม
2 มีความรู้สึกละอายและรังเกียจต่อบาป หมายถึง การยึดมั่นในหลักศีลธรรมความดีงาม
3 มีความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การปฏิบัติตนอันเหมาะสม ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะ ที่แสดงถึงการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง
4 มีความรู้สึกในสิ่งที่ถูกและผิด หมายถึง ความมีสติปัญญารู้จักแยกแยะผิดถูก ไม่เห็นกงจักร เป็นดอกบัว

ข้อ 25 – 26. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) กลุ่มปัญญานิยม
(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(3) กลุ่มมนุษยนิยม
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์

25 นักจิตวิทยากลุ่มใดเชื่อว่า มนุษย์เป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ

26 หลักการของมาสโลว์สอดคล้องกับแนวคิดกลุ่มใด
ตอบ 3 หน้า 28, (คําบรรยาย) กลุ่มมนุษยนิยม ได้แก่ โรเจอร์ (Roger) และมาสโลว์ (Maslow) เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีได้ด้วยตนเอง หรือมนุษย์ดีโดยกําเนิด ซึ่งพฤติกรรมของ มนุษย์เป็นผลิตผลมาจากการตอบสนองความต้องการ (Needs) พื้นฐานของตนเอง และ ความต้องการของมนุษย์นี่เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา

ข้อ 27. – 29. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) บุคคลย่อมมีความแตกต่าง
(2) การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม
(3) พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ
(4) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

27 หลักการด้านสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

28 การยอมรับตัวตนของตนเองและผู้อื่น เป็นผลมาจากแนวคิดข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

29 แนวคิดข้อใดนําไปจูงใจบุคคลอื่นได้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8 ประกอบ

ข้อ 30 – 31. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X
(2) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y
(3) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z
(4) ธรรมชาติของมนุษย์ในด้านมานุษยวิทยา

30 การมอบรางวัลพนักงานดีเด่น เป็นการจูงใจบุคลากรที่สอดคล้องกับแนวคิดใด
ตอบ 2 หน้า 30 – 31, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y มีลักษณะทั่วไป คือ
1 การออกแรงกายและการใช้สมองในการทํางาน เป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือ การพักผ่อน ซึ่งจะทําให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดี เกิดความรักในงาน พึงพอใจและมีความสุข ในการทํางาน
2 บุคคลจะทํางานในหน้าที่ด้วยการสั่งงานและควบคุมตนเอง
3 ควรใช้แรงเสริมทางบวกเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้บุคคลทํางาน คือ การยกย่องชมเชย การให้รางวัลเพื่อเป็นกําลังใจกับผลสําเร็จของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีโอกาส แสดงผลงานและความสามารถในการทํางานตามที่เขาต้องการ
4 บุคคลจะพยายามเรียนรู้ โดยการยอมรับตามเงื่อนไข และแสวงหาความรับผิดชอบ ฯลฯ

31 แนวคิดใดเชื่อว่า มนุษย์มีความตั้งใจทํางานที่รับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 31 ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี 7 ของเรดดิน เชื่อว่า มนุษย์มีความซับซ้อน แต่จะมีลักษณะทั่วไป คือ
1 มีความตั้งใจทํางานที่ตนรับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
2 มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะ และมีเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการทํางาน
3. ยอมรับพฤติกรรมความดีและไม่ดี อันเกิดจากการกระทําของตนเอง สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
4 มนุษย์ทุกคนจะต้องติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยกัน โดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม

ข้อ 32. – 36. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Survival Needs
(2) Primary Needs
(3) Secondary Needs
(4) Wants

32 บุคคลที่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย เป็นผลมาจากความต้องการข้อใด
ตอบ 4 หน้า 34, (คําบรรยาย) ความปรารถนา (Wants) เป็นความต้องการที่ไม่ใช่ความจําเป็น ขั้นต้นสําหรับมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ตาย จึงเป็นสิ่งที่ทําให้ มนุษย์เกิดกิเลสตัณหา และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เช่น ซื้อรถยนต์ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือบ้านสวย ๆ ฯลฯ แต่ความปรารถนาก็เป็นแรงจูงใจสําคัญที่ทําให้บุคคลทํางาน และ อาจจะทํางานหนักกว่าคนอื่นเพราะความปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นหากมนุษย์ใช้ชีวิต ตามแนวคิดความพอเพียงก็จะช่วยลดความต้องการขั้นนี้ได้

33 พฤติกรรมที่ทําเพื่อความอยู่รอด แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 1 หน้า 34 การอยู่รอด (Survival Needs) เป็นแรงจูงใจสําคัญอันหนึ่งที่ทําให้บุคคลทํางาน ซึ่งการอยู่รอดมิใช่ความปรารถนาของมนุษย์ แต่เป็นพฤติกรรมที่ทําเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เช่น เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง โดยแท้จริงแล้วบุคคลบางคนไม่ได้ต้องการปลูกผัก และพืชสวนครัว แต่เนื่องจากว่าเงินที่หามาได้จากการทํางานอย่างอื่นไม่เพียงพอที่จะหาซื้อ ก็เลยต้องทําเพื่อการอยู่รอด เพราะถ้าไม่ทําก็อาจไม่มีจะกิน

34 ความต้องการข้อใดมีลักษณะที่ไม่ชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 ความต้องการทางด้านสังคม (Social Needs) หรือความต้องการทางด้าน จิตวิทยา (Psychological Needs) หรือบางทีเรียกว่า “ความต้องการขั้นรอง” (Secondary Needs) มีลักษณะที่สรุปได้ดังนี้
1 มักเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
2 แต่ละบุคคลจะมีความต้องการและความเข้มข้นไม่เท่ากัน
3 เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกัน
4 มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มสังคมมากกว่าอยู่คนเดียว
5 บุคคลมักไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นความต้องการในขั้นนี้ไว้
6 บางครั้งมีลักษณะเป็นนามธรรมและไม่ชัดเจน ไม่เหมือนความต้องการด้านร่างกาย
7 มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์

35 ความต้องการข้อใดมักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในกลุ่มสังคม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 34 ประกอบ

36 ความต้องการการดํารงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 34 – 35, 38 ความต้องการทางด้านสรีระหรือร่างกาย (Physiological Needs) หรือ บางทีเรียกว่า “ความต้องการขั้นต้น” (Primary Needs) เป็นความต้องการที่จําเป็นขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ ซึ่งจะสอดคล้องกับความต้องการทางกายหรือทางวัตถุตามแนวคิดของศาสนาพุทธ คือ ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกจากนั้นความต้องการในขั้นนี้ยังรวมถึงความต้องการทางเพศเพื่อการดํารงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์สืบต่อไป การขับถ่าย และการนอนหลับพักผ่อนเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยด้วย

37 ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง ที่น่าสัมผัส แสดงถึงความต้องการข้อใดในหลักศาสนาพุทธ
(1) กามตัณหา
(2) ภวตัณหา
(3) วิภวตัณหา
(4) อิฏฐารมณ์
ตอบ 1 หน้า 36 กามตัณหา คือ ความอยากได้อยากมีในกาม ได้แก่ อยากได้อยากมีในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ (มโนภาพ) ที่น่าใคร่ น่าชอบใจ รวมทั้งอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข เพื่อมาบํารุงความสุขและความสําราญของตน จึงเป็นความอยากด้วยอํานาจตัณหา เป็นความหิวทางจิตใจ หรือเป็นความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุดและไม่รู้จักพอ

38 ความต้องการมีสุขภาพที่ดี แสดงถึงความต้องการข้อใดในหลักศาสนาพุทธ
(1) อายุ
(2) วัณโณ
(3) สุขัง
(4) พลัง
ตอบ 4 หน้า 35 – 37 ความต้องการทางจิตใจหรือนามธรรมตามแนวคิดของศาสนาพุทธ
ซึ่งมีแทรกอยู่ในตอนท้ายของบทสวดมนต์และให้พรของพระสงฆ์ มีความหมายดังนี้
1 อายุ หมายถึง ให้มีอายุยืนยาว
2 วัณโณ หรือวรรณะ หมายถึง ให้มีสุขภาพผิวพรรณสวยงาม สง่า สมประกอบ
3 สุขัง หรือสุข หมายถึง ให้มีความสุขทั้งทางกายและทางใจ
4 พลัง หมายถึง ให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

ข้อ 39 – 44. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Esteem and Status Needs
(2) Belonging and Social Activity Needs
(3) Safety and Security Needs
(4) Physiological Needs

39 การสร้างมนุษยสัมพันธ์ เป็นการตอบสนองความต้องการข้อใด
ตอบ 2 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการความรักและร่วมกิจกรรมในสังคม (Belonging and Social Activity Needs) คือ ความต้องการแสดงตัวและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม โดยจะเกิดขึ้นในลักษณะของการยอมปฏิบัติตนตามกรอบกติกามารยาทของสังคม หรือการมี พฤติกรรมตามที่สังคมกําหนด ได้แก่ การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย จารีตประเพณี และ ค่านิยม (เช่น การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา ฯลฯ) เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคม และให้สังคมยอมรับเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งก่อให้เกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ทั้งนี้การสร้างมนุษยสัมพันธ์ของบุคคลก็จัดว่าเป็นการตอบสนองความต้องการในลําดับขั้นนี้

40 นักว่ายน้ำลูกพ่อขุนฯ คว้าเหรียญทอง ทุบสถิติฟรีสไตล์ 400 เมตร กรณีนี้ทําให้ได้รับการตอบสนอง
ความต้องการข้อใด
ตอบ 1 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและตําแหน่งหน้าที่ (Esteem and Status Needs) คือ ความต้องการให้สังคมยกย่องนับถือและยอมรับตนว่าเป็นคนสําคัญ ของกลุ่มสมาชิก ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องมีองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ การมีความรู้ความสามารถ จนประสบผลสําเร็จในกิจการงานด้านต่าง ๆ มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง มีฐานะที่มั่นคง และ มีความเชื่อมั่นหรือมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ฯลฯ ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามพัฒนาศักยภาพ ของตนเองให้เหนือกว่าคนอื่น โดยการสร้างสมความรู้ความสามารถ ทําตนให้เป็นที่รู้จัก และ แก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อให้ได้รับความต้องการในขั้นนี้ เช่น การได้รับรางวัลจากการประกวด หรือจากการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เป็นต้น

41 รัฐบาลทําบัตรสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย เพื่อตอบสนองความต้องการข้อใดของประชาชน
ตอบ 3 หน้า 38, (คําบรรยาย) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs) ในด้านต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
1 ด้านอาชีพการงาน ได้แก่ นโยบายการปรับเงินเดือนผู้ที่จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท, นโยบายปรับเงินเดือนข้าราชการเท่ากับเอกชน ฯลฯ
2 ด้านร่างกาย โดยไม่ถูกทําร้ายหรือถูกคุกคาม ได้แก่ การทําประกันชีวิต, การรณรงค์เรื่อง โทรไม่ขับ เมาไม่ขับ, การรณรงค์ให้กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือบ่อย ๆ, การให้ ความคุ้มครองประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ
3 ด้านที่อยู่อาศัย ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตํารวจ, โครงการหอพักติดดาว เพื่อนบ้าน เตือนภัย, การเตรียมกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ําท่วมบ้าน, การติดตั้งกล้องวงจรปิด, การทําประกันอัคคีภัย ฯลฯ
4 ด้านชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สิน ได้แก่ การทําประกันภัยรถยนต์, นโยบายที่รัฐบาลทํา บัตรสวัสดิการให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อย, นโยบายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน, นโยบายแก้หนี้ นอกระบบ, นโยบายเรียนฟรี 15 ปี

42 นโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองต่าง ๆ ฯลฯ การแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 39 ประกอบ

43 ความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพเหนือผู้อื่น แสดงถึงความต้องการข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 40 ประกอบ

44 ผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวในไต้หวัน มีความต้องการเร่งด่วนในข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 36 ประกอบ

ข้อ 45 – 47. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) มีการแบ่งชนชั้น
(2) โครงสร้างแบบหลวม ๆ
(3) โครงสร้างสังคมเกษตร
(4) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ

45 คนไทยมักใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบ เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม
ตอบ 3 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างสังคมเกษตร คือ มีลักษณะการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เคร่งครัดในเรื่องเวลาหรือไม่ให้ความสําคัญกับเวลาที่นัดหมาย ไม่เร่งรีบหรือมีพิธีรีตอง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่หักหาญน้ําใจกัน และไม่ให้ความสําคัญกับวัตถุ โดยถือว่าไม่มีเงินก็อยู่ได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง

46 สังคมไทยอยู่ร่วมกันด้วยความประนีประนอม รอมชอม เป็นผลมาจากโครงสร้างใด
ตอบ 2 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างแบบหลวม ๆ คือ บุคคลที่อยู่ในสังคมสามารถเลือกปฏิบัติ ในสิ่งที่ตนพอใจได้ โดยไม่ต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากนัก ทําให้คนไทยมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว และชอบประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกันด้วยความประนีประนอม รอมชอม และอะลุ้มอล่วยต่อกัน แต่ก็มีข้อเสียคือ ขาดระเบียบวินัยในการดําเนินชีวิต ไม่เคารพกฎกติกา และมักทําอะไรตามอําเภอใจ เช่น ทําอะไรตามใจคือไทยแท้, ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ฯลฯ

47 คนไทยมักยอมรับชะตากรรม เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม
ตอบ 4 หน้า 47, (คําบรรยาย) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ คือ ความเปลี่ยนแปลง ของชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางสังคมมีน้อย โดยความเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในเมืองหลวงมากกว่าในชนบท จึงทําให้คนไทยขาดความทะเยอทะยาน ขาดความกระตือรือร้น ไม่ชอบการแข่งขัน ยอมรับชีวิตตามสภาพที่เป็นอยู่ ยอมรับในชะตากรรมที่เกิดขึ้น และยอมรับ ใน “ชะตาฟ้าลิขิต” หรือ “บุญทํากรรมแต่ง” เช่น แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ เกิดมาจนก็ต้องจนต่อไป ฯลฯ

ข้อ 48. – 50. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ขาดระเบียบวินัย
(2) กตัญญู
(3) เคารพผู้อาวุโส
(4) เชื่อถือโชคลาง

48 คํากล่าวที่ว่า “ผู้ใหญ่อาบน้ําร้อนมาก่อน” สอดคล้องกับค่านิยมใดของสังคมไทย
ตอบ 3 หน้า 48 – 49, (คําบรรยาย) ค่านิยมของสังคมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีอยู่มากมาย ดัง
1 นับถือศาสนาพุทธ คือ ยึดถือหลักคําสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อในบาปบุญคุณโทษ และ ยอมรับในกฎแห่งกรรม เช่น ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว, คิดดี ทําดี, เวรกรรมมีจริง, เวรย่อม ระงับด้วยการไม่จองเวร ฯลฯ
2 เคารพผู้อาวุโส คือ การปฏิบัติต่อผู้อาวุโสในทางที่ดี เชื่อฟังคําสั่งสอน ยกย่องและให้เกียรติ ผู้อาวุโส ดังคํากล่าวที่ว่า “ผู้ใหญ่อาบน้ําร้อนมาก่อน”
3 กตัญญู คือ ความเป็นผู้รู้คุณที่บุคคล สังคม หรือประเทศชาติได้ทําให้แก่ตน ดังคํากล่าวที่ว่า ตักน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนขุดบ่อ”
4 เชื่อถือโชคลาง คือ ชอบเสี่ยงโชค ชอบอธิษฐานขอสิ่งต่าง ๆ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
5 ขาดระเบียบวินัย คือ ไม่เคร่งครัดในกฎระเบียบ ชอบทําตามอําเภอใจ ฯลฯ

49 คนไทยชอบทําตามอําเภอใจ เป็นผลมาจากค่านิยมใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 46 และ 48 ประกอบ

50 คนไทยชอบอธิษฐานขอให้สมหวังในสิ่งที่คิด เป็นผลมาจากค่านิยมใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

51 ข้อใดแสดงถึงธรรมชาติของคนไทย
(1) มีความอดทน
(2) มีน้ำใจ
(3) มีความรับผิดชอบ
(4) มีความกระตือรือร้น
ตอบ 2 หน้า 23 – 24, 49, (คําบรรยาย) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวถึง ธรรมชาติของคนไทยที่ สอดคล้องกับหลักพรหมวิหารสี่ว่า คนไทยมีความเมตตา คือ มีความรักและเอ็นดู ปรารถนา จะให้ผู้อื่นเป็นสุข และมีความกรุณา คือ มีความสงสารหวั่นไหว หรือมีน้ําใจช่วยเหลือเมื่อเห็น ผู้อื่นได้รับความทุกข์ แต่ขาดมุทิตา คือ ขาดความมีจิตยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญของผู้อื่น หรือ มีความอิจฉาริษยา ไม่ชอบเห็นใครดีกว่าตนเอง และขาดอุเบกขา คือ ขาดความมีใจเป็นกลาง ขาดความวางเฉย เพราะคนไทยหากไม่ยินดีก็ยินร้ายในเรื่องของคนอื่น

52 คนไทยมักสงสารและช่วยเหลือผู้ประสบชะตากรรม แสดงถึงหลักพรหมวิหารสี่ข้อใด
(1) เมตตา
(2) กรุณา
(3) มุทิตา
(4) อุเบกขา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51 ประกอบ

53 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ถูกต้องในการศึกษาตนเอง
(1) มองตนเองอย่างมั่นใจเพื่อจะได้เห็นคุณค่าของตน
(2) มองตนเองอย่างถ่อมตนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
(3) มองตนเองให้ได้ข้อมูลตามตัวตนที่เป็นจริง
(4) มองตนเองจากปฏิกิริยาป้อนกลับของผู้อื่น
ตอบ 3 หน้า 53 แนวคิดที่ถูกต้องในการศึกษาตนเอง คือ การพยายามทําความรู้จักตนเองให้ใกล้เคียง กับข้อเท็จจริงของตัวเราให้มากที่สุด อย่าเข้าข้างหรือมีอคติกับตนเอง ดังนั้นจึงควรมองตนเอง ตามข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่เพื่อให้ได้ข้อมูลตามตัวตนที่แท้จริง โดยควรพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราคิดว่า ตัวเราเป็นคนอย่างไรนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่บุคคลอื่นมองเราหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นว่าเราสามารถรู้จักตนเองได้อย่างถูกต้อง

54 การสํารวจลักษณะต่าง ๆ ของตนเอง แสดงถึงขั้นตอนใดในการศึกษาตนเอง
(1) To Know
(2) To Understand
(3) To Accept
(4) To Develop
ตอบ 1หน้า 53 – 54, 78, (คําบรรยาย) การศึกษาตนเองตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลําดับ ดังนี้
1 การรู้จักตนเอง (To Know) คือ การสํารวจลักษณะต่าง ๆ ของตนเองว่าเป็นอย่างไร
2 การเข้าใจตนเอง (To Understand) คือ การวิเคราะห์ตนเองเพื่อหาสาเหตุว่า ทําไมเราจึงมีลักษณะเช่นนั้น ซึ่งจะนําไปสู่ขั้นตอนการยอมรับตนเอง
3 การยอมรับตนเอง (To Accept) คือ การยอมรับหรือรับรู้ศักยภาพและข้อดีข้อด้อย ของตนเอง ซึ่งเมื่อยอมรับได้แล้วก็จะนําไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง
4 การพัฒนาตนเอง (To Develop) คือ การแก้ไขปรับปรุงจุดด้อย จุดอ่อน และ ข้อบกพร่องของตัวเอง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายและประโยชน์ของการศึกษาตนเอง

ข้อ 55 – 56. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) Self Awareness
(2) Self Acceptance
(3) Self Actualization
(4) Self Disclosure

55 บุคคลที่เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง เป็นผลมาจาก Self Concept ข้อใด
ตอบ 3 หน้า 54 – 55, (คําบรรยาย) แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้จักตนเอง (Self Actualization) จะมีลักษณะสําคัญ 3 ประการ ดังนี้
1 เต็มใจที่จะยืนหยัดอยู่ด้วยตนเอง
2 ไว้วางใจตนเองหรือเชื่อมั่นในตนเอง คือ เชื่อในการตัดสินใจของตนเอง
3 เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อพบว่าการตัดสินใจของตนนั้น เป็นสิ่งที่ผิด

56 ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นําไปสู่ Self Concept ข้อใด
ตอบ 1 หน้า 17, 53 – 54 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้ตนเอง (Self Awareness) คือ การรู้ตนเองว่าเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจาก ประสบการณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือการได้รับปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร แต่มี

ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรมองตนเองสูงหรือต่ํากว่าความเป็นจริง เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพ
ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับตนเองและการรู้ตนเองนี้จึงเป็นพื้นฐานในการเปิดตนเองของการสื่อสาร ออกสู่การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

ข้อ 57 – 58. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) Labeling
(2) Social Comparison
(3) Interpersonal Relationships
(4) Significant Others

57 การเรียนรู้ตนเองจากการยอมรับของบุคคลที่ใกล้ตัว สอดคล้องกับแนวคิดข้อใด
ตอบ 4 หน้า 60 การยอมรับของบุคคลที่มีความสําคัญต่อเรา (Significant Others) คือ การเรียนรู้ ตนเองจากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนเอง เช่น พ่อ แม่ ครู พี่น้อง คนรัก ฯลฯ ซึ่งมีความสําคัญมาก เพราะการที่เราให้ความสําคัญกับบุคคลที่ใกล้ชิดนั้นจะทําให้เรามีความรู้สึกพึงพอใจหรือเจ็บปวดมากหากได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ ดังนั้นการกระทําต่าง ๆ ของบุคคลใกล้ชิดจึงสามารถกําหนดพฤติกรรมของเราได้

58 นักศึกษาหญิงไม่ใส่กางเกงเมื่อเข้าห้องสอบ เป็นการเรียนรู้ตนเองที่สอดคล้องกับแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 59, (คําบรรยาย) การกําหนดของสังคม (Labeling) คือ การปฏิบัติตัวและมีพฤติกรรม ไปตามบรรทัดฐานของสังคม ได้แก่ กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกามารยาทต่าง ๆ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ค่านิยมของสังคม ฯลฯ โดยกําหนดตัวเองจากการกระทําของเราว่าเข้ากับ ข้อกําหนดของสังคมในรูปแบบใด ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1 สิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น การคดโกง ความก้าวร้าว การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ
2 สิ่งที่สังคมยอมรับ เช่น การเคารพกฎหมาย การแต่งกายที่สุภาพเหมาะกับกาลเทศะ การประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม ฯลฯ

ข้อ 59. – 60. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม

(1) ศึกษาและประเมินตนเอง
(2) ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง
(3) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง
(4) วางแผนในการปรับปรุงตนเอง

59 การทําความดีเพื่อให้สังคมยกย่อง แสดงถึงขั้นตอนใดในการพัฒนาตนเอง
ตอบ 3 หน้า 64, (คําบรรยาย) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง ถือเป็นการตอบสนองความต้องการ ส่วนบุคคลของตนเอง ดังนี้
1 ความต้องการมีบุคลิกภาพที่ดีและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม ทําให้บุคคลต้องการที่จะปรับปรุงตนเองในระดับสูง เช่น การดูแลรูปร่างผิวพรรณให้มีเสน่ห์ ฯลฯ
2 ความต้องการเป็นที่ชื่นชมหรือได้รับการยกย่องจากสังคม คือ ต้องการให้เป็นที่รัก ที่ชื่นชม
และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม
3 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสังคม ทําให้บุคคลต้องปรับปรุงตนเองด้าน การแต่งกาย กิริยามารยาท ความขยัน ความตั้งใจ และมีความรับผิดชอบในการทํางาน 4. ความต้องการอํานาจ เพื่อให้มีสง่าราศี น่าเชื่อถือ และน่ายําเกรง

60 การหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนํามาปรับปรุงตนเอง แสดงถึงขั้นตอนใดในการพัฒนาตนเอง
ตอบ 2 หน้า 63 – 64 ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง คือ การยอมรับข้อบกพร่องและตระหนักถึงความสําคัญของบุคลิกภาพว่า เป็นเครื่องมือที่นําไปสู่การยอมรับ นับถือ ศรัทธา ความสัมพันธ์อันดี และความสําเร็จ พร้อมกันนี้ก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนข้อบกพร่องของตนเอง โดยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ และวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อนํามาปรับปรุงตนเอง เช่น ปรึกษาแพทย์ ผู้รู้ อ่านหนังสือ บทความ หรือเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพและศักยภาพตามความเหมาะสม

ข้อ 61. – 62. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Inferior
(2) Superior
(3) Equal
(4) Introvert

61 ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เป็นผลมาจากการยอมรับตนเองตามแนวคิดใด
ตอบ 3 หน้า 60, (คําบรรยาย) Equal คือ การมีความคิดและยอมรับตามหลักการสิทธิมนุษยชนว่า เราเท่าเทียมหรือเสมอภาคเท่ากับผู้อื่น โดยจะมีความเป็นเพื่อนกัน มีความคล้ายคลึงกันหรือ มีอะไรที่ใกล้เคียงกัน ทําให้มีความสบายใจในการแสดงออก กล้าพูดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ส่งผลให้คู่สื่อสารสามารถเปิดเผยตนเอง สามารถสื่อสารและแสดงออกตามความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างอิสระ จึงเป็นการยอมรับตนเองของคู่สื่อสารที่นําไปสู่สัมพันธภาพที่ดี และสามารถที่จะ สร้างมนุษยสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพูดคุยอย่างสนิทสนมในหมู่เพื่อนฝูง ฯลฯ

62 รัฐบาลมุ่งมั่นทํางานหนักเพื่อประชาชน แสดงถึงการยอมรับตนเองของรัฐบาลตามแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 60, (คําบรรยาย) Inferior คือ การยอมรับว่าตนเองต่ําต้อยกว่าคนอื่น หรือมีสถานภาพ ต่ํากว่าคู่สื่อสาร ซึ่งจะทําให้มีความมั่นใจในตัวเองต่ํา และตีคุณค่าของตนเองต่ํากว่าผู้อื่น ดังนั้น จึงทําให้เกิดพฤติกรรมอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับฟังความคิดเห็น ให้เกียรติ เชื่อฟัง คล้อยตาม โดยไม่โต้แย้ง เพื่อให้ผู้ที่สื่อสารด้วยเกิดความพึงพอใจ เกิดความประทับใจ และรู้สึกว่าตนเอง มีคุณค่า เช่น พฤติกรรมหาเสียงของนักการเมืองหรือรัฐบาลที่เน้นว่าประชาชนสําคัญที่สุด แนวคิดทางธุรกิจที่เน้นว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า ลูกค้าถูกเสมอ”, แนวคิดของเจ้าหน้าที่ตํารวจ ที่ว่า “โรงพักเพื่อประชาชน/ตํารวจ….ผู้รับใช้ชุมชน” และแนวคิดที่ว่า “ข้าราชการ คือ ผู้ที่ทํางานให้ประชาชนชื่นใจ” ฯลฯ

63 ข้อใดไม่ใช่แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูด
(1) ไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
(2) ใช้อารมณ์ในการพูดเพื่อให้คล้อยตาม
(3) พูดในเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
(4) พูดคุยด้วยเรื่องที่สนุกสนาน
ตอบ 2หน้า 66 – 68 แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูดหรือสนทนา มีดังนี้
1 พูดจาด้วยถ้อยคําที่สุภาพ เหมาะกับกาลเทศะและบุคคล
2 มีน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน
3 ฝึกการใช้คําถามให้เหมาะสม
4 พูดในเรื่องที่ผู้ฟังชอบ พอใจและสนใจ ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองถนัด ชอบและสนใจ
5 เลือกส่วนดีเด่นของคู่สนทนามาพูด
6 พูดอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการพูด
7 ใช้ศิลปะในการสนทนา เช่น ไม่อธิบายรายละเอียดของแต่ละเรื่องมากเกินไป, ไม่ควรขัดคอ หรือโต้แย้งความคิดของคู่สนทนาทันที, หลีกเลี่ยงการพูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น, รู้จักสรรหา เรื่องที่สนุกสนานมาพูดคุยกันในวงสนทนา, ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสนทนา ฯลฯ

64 การสื่อสารที่นําไปสู่มนุษยสัมพันธ์ ต้องทําให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกในข้อใด
(1) เกรงใจ
(2) พึงพอใจ
(3) เชื่อใจ
(4) นับถือ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ

65 การรู้จักเกรงใจผู้อื่น นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว
(2) ฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา
(3) ฝึกใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง
(4) ฝึกให้มีความมั่นใจในตนเอง
ตอบ 2 หน้า 71, (คําบรรยาย) ฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา คือ การแสดงออกถึงการมีวินัย มีความซื่อสัตย์ และมีความรับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากการไม่เป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง และทําตัวให้เป็นคนที่เตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่เป็นคนประมาทหรือละเลยต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดฝัน รวมทั้งฝึกเป็นคนเคารพต่อกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และรู้จัก เกรงใจผู้อื่น ไม่ทําให้ผู้อื่นรอคอยโดยไม่จําเป็น

66 ขวัญเป็นคนเจ้าอารมณ์และตามใจตนเอง แสดงถึงการขาดการพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการรักตนเอง
(2) ฝึกความอดทนและเข้าใจผู้อื่น
(3) ฝึกเป็นผู้มีใจสงบ
(4) ฝึกการเอาชนะตนเอง
ตอบ 4 หน้า 69 – 70 ฝึกการเอาชนะตนเอง คือ ความสามารถในการควบคุมตนเองได้ในเรื่องของ อารมณ์และความอยาก เนื่องจากปกติแล้วคนเรามักชอบตามใจตนเอง เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ โลภมาก และสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งในทางจิตวิทยาถือว่าการเอาชนะตนเองจะทําให้บุคคลกลายเป็น คนที่มีเหตุผลมากขึ้น เพราะเป็นการควบคุมพฤติกรรมการแสดงออกของตนเองให้ทําสิ่งต่าง ๆ ไปตามเป้าหมายในทางที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสม

67 การยอมรับว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(2) ฝึกใช้อํานาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง
(3) ฝึกการให้อภัยคนอื่น
(4) ฝึกการคิดอย่างมีเหตุผล
ตอบ 3 หน้า 73 ฝึกการให้อภัยผู้อื่นและตนเอง คือ การไม่ลงโทษผู้อื่นและตนเองเมื่อกระทําผิดพลาด ทั้งนี้เพราะการไม่ให้อภัยผู้อื่นและตนเองย่อมทําให้เกิดความทุกข์ทรมานใจ ดังนั้นบุคคลจึงควร พิจารณาตนเองว่า การกระทําของตนเองเหมาะสมถูกต้องหรือไม่ เมื่อกระทําอะไรลงไปแล้ว ผู้อื่นพอใจหรือไม่ และเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ควรยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นแล้วพยายามลืมโดยถือว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน

68 การรู้จักพูดคําว่า “ขอบคุณ” “ขอโทษ” อย่างเหมาะสม นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน
(2) ฝึกสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น
(3) ฝึกการให้อภัยคนอื่น
(4) ฝึกการให้ในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ
ตอบ 2 หน้า 74 ฝึกการสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น จะมีเคล็ดลับอยู่หลากหลายวิธี เช่น การแต่งกายงดงาม การพูดจาไพเราะอ่อนหวาน มีน้ําเสียงนุ่มนวล และการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น แต่สิ่งที่สําคัญที่สุด คือ การทําให้ผู้อื่นรู้สึกตัวว่าเขาเป็นคนสําคัญ มีคุณค่า มีความหมาย นอกจากนี้ยังควรรู้จักหมั่นฝึกพูดคําว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ในโอกาสที่เหมาะสม และถูกต้องตามกาลเทศะ เป็นต้น

69 การรู้จักมองโลกในแง่ดีและมีความพึงพอใจในผู้อื่น นําไปสู่การพัฒนาตนเองข้อใด
(1) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น
(2) ฝึกสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น
(3) ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน
(4) ฝึกการรักตนเอง
ตอบ 3 หน้า 71 ฝึกเป็นคนอารมณ์ดีและเบิกบาน คือ การลดความโกรธและความไม่พอใจให้น้อยลง โดยการฝึกมองโลกในแง่ดี มีความหวังดี มีความพึงพอใจผู้อื่น ไม่เคร่งเครียดหรือยึดกฎเกณฑ์ มากเกินไป หมั่นคบคนที่มีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน ฝึกให้พอใจกับสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ และรู้จัก ให้ความรักแก่เพื่อนมนุษย์ในสังคม

70 ข้อใดแสดงถึงเป้าหมายในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(1) To Know
(2) To Understand
(3) To Accept
(4) To Develop
ตอบ 3 หน้า 78, (คําบรรยาย) เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์สําคัญในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิด ทางด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ การยอมรับ (To Accept) ตัวตนตามลักษณะที่เป็นจริงหรือตาม ธรรมชาติของบุคคลอื่น โดยต้องตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสําคัญที่ว่ามนุษย์มีความแตกต่างกันซึ่งเมื่อเรายอมรับในเรื่องความแตกต่างของบุคคลได้แล้ว ก็จะทําให้การสร้างความสัมพันธ์นั้น ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งยังทําให้ตัวเราปรับตัวเข้ากับบุคคลนั้น ๆ ได้อีกด้วย

ข้อ 71 – 72. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) ทัศนคติ
(2) ค่านิยม
(3) การรับรู้
(4) ความเชื่อ

71 ผลสํารวจโพลต่าง ๆ แสดงถึงสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
ตอบ 1 หน้า 43, 79 – 81, (คําบรรยาย) ทัศนคติ (Attitude) เป็นท่าทีหรือความรู้สึกที่แตกต่างกัน ของแต่ละบุคคล ซึ่งจะแสดงออกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางบวกหรือลบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ ฯลฯ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่มีการประเมินว่า ถูกหรือผิด ซึ่งเมื่อเรามีทัศนคติในทิศทางใดก็จะมีพฤติกรรมการแสดงออกที่สอดคล้องกับ ทิศทางนั้น เช่น ผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชนจากโพลต่าง ๆ เป็นต้น

72 การยอมรับบาปบุญคุณโทษ แสดงถึงสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48 ประกอบ

ข้อ 73 – 77. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Open Area
(2) Blind Area
(3) Hidden Area
(4) Unknown Area

73 ความรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่แสดงออกไม่ได้ หมายถึงพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 3 หน้า 84 บริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) หมายถึง บริเวณที่เป็นพฤติกรรมลึกลับ หรือเป็น ความรู้สึกนึกคิดหรือความลับบางอย่างที่บุคคลเก็บกดซ่อนไว้ในใจ ไม่เปิดเผยหรือไม่แสดงออก ให้ผู้อื่นรู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ และพฤติกรรมนี้มักจะเป็นพฤติกรรมภายในของบุคคล เช่น ความจํา ความเชื่อ ทัศนคติ ฯลฯ ซึ่งบุคคลจะไม่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกไปเพราะต้องการ ปิดบัง และอาจแสดงพฤติกรรมอย่างอื่นกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เช่น บางคนอาจจะมี ความรู้สึกหมั่นไส้ อิจฉา และไม่พอใจผู้อื่น แต่ก็เสแสร้งยิ้มและพูดโกหกแสดงความยินดี ฯลฯ

74 พฤติกรรมส่วนโตมักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะคับขัน
ตอบ 4 หน้า 84, (คําบรรยาย) บริเวณมืดมน (Unknown Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรมลึกลับ หรือความรู้สึกฝังลึกบางอย่างที่บุคคลแสดงออกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตนเองและบุคคลอื่นก็ไม่เคย รู้จัก ไม่เคยเข้าใจมาก่อน จึงเป็นพฤติกรรมที่ทําให้บุคคลไม่รู้จักตนเองมากที่สุด และคนอื่น ก็ไม่รู้จักตัวเราด้วย เพราะอาจจะเป็นทักษะความสามารถพิเศษ หรือพรสวรรค์ในด้านต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึงและยังค้นไม่พบ จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่คับขันบางอย่างมา กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมนี้ เช่น พรสวรรค์ทางด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา ฯลฯ

75 พฤติกรรมส่วนใดมีความจําเป็นต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์
ตอบ 1 หน้า 83 – 85, (คําบรรยาย) บริเวณเปิดเผย (Open Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรม ภายนอกที่บุคคลตั้งใจแสดงออกอย่างเปิดเผย มักจะเกิดขึ้นในการสื่อสารระหว่างบุคคลแบบเผชิญหน้า ซึ่งทําให้คู่สื่อสารรับรู้พฤติกรรมและเจตนาของแต่ละฝ่ายได้ ทั้งนี้เมื่อคู่สื่อสารเริ่มรู้จักหรือยังไม่คุ้นเคยกัน บริเวณเปิดเผยจะลดลงเพราะยังสงวนท่าทีกันอยู่ แต่หากคู่สื่อสาร สนิทสนมคุ้นเคยและจริงใจต่อกัน บริเวณเปิดเผยก็จะเปิดกว้างมากขึ้น โดยพฤติกรรมส่วนนี้ จะเป็นประโยชน์และมีความจําเป็นต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เพราะทําให้คู่สื่อสารมีปฏิกิริยา โต้ตอบต่อกัน มีการเปิดเผยตนเอง และจริงใจต่อกันมากขึ้น ดังคํากล่าวที่ว่า “มองตาก็รู้ใจ”

76 ปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสารจะช่วยลดพฤติกรรมส่วนใด
ตอบ 2 หน้า 83, 86 การพยายามลดพฤติกรรมบริเวณจุดบอด (Blind Area) ให้น้อยลง โดยใช้ วิธีการขยายพฤติกรรมบริเวณเปิดเผยตามแนวนอน (1) คือ การรับข้อมูลย้อนกลับหรือ ปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ หรือให้คนอื่นบอก ข้อบกพร่องของตนเองแล้วนํามาแก้ไข

77 บุคคลประเภทเปิดเผยจะมีพฤติกรรมส่วนใดน้อยที่สุด
ตอบ 4 หน้า 88 บุคคลประเภทเปิดเผยจะมีพฤติกรรมบริเวณเปิดเผย (Open Area) มากที่สุด แต่พฤติกรรมบริเวณมืดมน (Unknown Area) จะน้อยที่สุด คือ บุคคลจะเปิดเผยมาก มีความจริงใจ พูดถึงส่วนดีและส่วนบกพร่องของตนเอง และรับฟังคําวิจารณ์ของผู้อื่น พร้อมกับนํามาแก้ไขปรับปรุงตนเองให้มีความเจริญงอกงามเป็นที่ปรารถนาของสังคม

ข้อ 78 – 82. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) พฤติกรรมแบบพ่อแม่
(2) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่
(3) พฤติกรรมแบบเด็ก
(4) พฤติกรรมที่ขัดแย้ง

78 เสียงเพลง เสียงดนตรี แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบเด็ก (Child Ego State : C) มักแสดงออกใน ลักษณะที่มีจินตนาการสร้างสรรค์ มีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ศิลปิน สดชื่น มีชีวิตชีวา และ กล้าหาญ ซึ่งจะทําให้โลกนี้มีสิ่งแปลกใหม่ มีสิ่งประดิษฐ์ที่งดงามแปลกตา มีนักเขียน นักกลอน มีผลงานทางด้านศิลปะต่าง ๆ และทําให้โลกมีชีวิตชีวาด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ การแสดงท่าทางขบขัน ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น สนใจแต่ ความสุขของตนเอง เอาแต่ใจ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ไม่ควบคุมตนเอง แต่คําพูดที่แสดงออก จะเปิดเผย อิสระ และตรงไปตรงมา

79 ผู้บริหารที่ยึดถือกฎเกณฑ์เคร่งครัด แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89, 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) จะมีลักษณะดังนี้
1 มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการทํางานตามข้อมูลและข้อเท็จจริง
2 ยึดถือว่างาน สําคัญกว่าการเล่น
3 ยึดความถูกต้องและระเบียบแบบแผนมากกว่าความคิดสร้างสรรค์
4 เป็นคนมีเหตุผล 5. เคร่งครัดในกฎระเบียบและกฎเกณฑ์

80 บุคลิกภาพแบบหุ่นยนต์ เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 2 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) เป็นพฤติกรรมที่ มักแสดงออกในลักษณะตรงไปตรงมา มีเหตุผล ยึดข้อเท็จจริง ไม่ใช้อารมณ์หรือความคิดเห็น ส่วนตัว เมื่อพูดถึงสิ่งใดก็จะใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลเป็นเครื่องตัดสิน ดังนั้นจึงมักเปรียบเทียบ บุคลิกภาพแบบนี้ว่าคล้ายกับหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึกส่วนตัว เห็นทุกสิ่งเป็นไปตามผลกรรม

81 การให้กําลังใจแก่บุคคลที่เผชิญกับปัญหา แสดงถึงพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 1 หน้า 89 – 90, (คําบรรยาย) พฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P) จะแสดงออก ในลักษณะของพฤติกรรมทางบวก เช่น ความรักใคร่ อบรมสั่งสอน ห่วงใย หวังดี ให้กําลังใจ ปลอบประโลม ฯลฯ ในขณะเดียวกันก็จะมีลักษณะของพฤติกรรมทางลบด้วย เช่น เกรี้ยวกราด ดุด่าว่ากล่าว ใช้อํานาจสั่งการเหนือผู้อื่น ตําหนิติเตียน ประชดประชัน เยาะเย้ย เจ้ากี้เจ้าการ และชอบควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น ฯลฯ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการยึดถือระเบียบแบบแผน จารีตประเพณี และเชื่อถือคติโบราณ จึงมักทําให้มีบุคลิกภาพแบบหัวโบราณ ไม่ยอมรับการ เปลี่ยนแปลงของสังคม แต่จะมีความเมตตากรุณา

82 บุคคลที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเอง เป็นผลมาจากพฤติกรรมข้อใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78 ประกอบ

83 บุคคลที่ต้องการกําลังใจจากผู้อื่น เป็นผลมาจากการรับรู้ข้อใด
(1) I’m not OK., You’re OK.
(2) I’m OK., You’re not OK.
(3) I’m not OK., You’re not OK.
(4) I’m OK., You’re OK.
ตอบ 1หน้า 93 ฉันเลวแต่คุณดี (I’m not OK, You’re OK.) เป็นทัศนคติที่แสดงถึงภาวะจิตของ คนที่ไม่มีความสุข จึงเป็นบุคคลที่ต้องการกําลังใจ ต้องการความสนใจและเอาใจใส่จากผู้อื่น หรือผู้บังคับบัญชา ดังนั้นจึงมักมองตนเองในแง่ลบ ชอบตําหนิตนเอง แต่กลับมองผู้อื่นในแง่ดี และยกย่องชมเชยผู้อื่น เช่น คําพูดที่ว่า “ฉันเป็นดอกหญ้าที่ไร้ค่าแต่เธอเป็นดอกฟ้าผู้สูงส่ง “ทําอย่างไรฉันถึงจะเก่งได้เหมือนเธอ” เป็นต้น

84 ตามแนวคิดของเชลตัน บุคคลที่โกรธง่ายหายเร็ว จะมีบุคลิกภาพแบบใด
(1) ผอม
(2) ล่ำสัน
(3) อ้วน
(4) สมส่วน
ตอบ 3 หน้า 95 เชลดัน (Sheldon) ได้จัดแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1 รูปร่างอ้วน (Endomorphy) มักชอบสนุกสนานร่าเริง และโกรธง่ายหายเร็ว ฯลฯ
2 รูปร่างล่ำสัน (Mesomorphy) แข็งแรง มีร่างกายสมส่วน เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว มีน้ําใจเป็นนักกีฬา มีเพื่อนมาก และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ
3 รูปร่างผอม (Ectomorphy) มักเคร่งขรึม เอาการเอางาน ใจน้อย ชอบวิตกกังวล ไม่ชอบการต่อสู้ และชอบอยู่ตามลําพัง ฯลฯ

85 ข้อใดแสดงถึงบุคลิกภาพแบบ Introvert
(1) อารมณ์ดี
(2) ขี้อาย
(3) ชอบทํากิจกรรม
(4) ปรับตัวเก่ง
ตอบ 2หน้า 95, (คําบรรยาย) คาร์ล จี. จุง (Cart G. Jung) แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท คือ
1 ชอบเก็บตัว (Introvert) เป็นพวกเชื่อมั่นในตนเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ขี้อาย เก็บความรู้สึก ชอบอยู่ตามลําพัง ปรับตัวยาก เห็นแก่ตัว ฯลฯ
2 ชอบแสดงตัว (Extrovert) เป็นพวกไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เปิดเผย เข้าสังคมเก่ง อารมณ์ดี ชอบทํากิจกรรม ฯลฯ
3 ประเภทกลาง ๆ (Ambivert) เป็นพวกไม่เก็บตัวหรือแสดงตัวมากเกินไป ปรับตัวเก่งหรือ ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ และมักจะมีนิสัยเรียนรู้การอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จึงเป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

ข้อ 86 – 88. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) เต่า
(2) ฉลาม
(3) สุนัขจิ้งจอก
(4) นกฮูก

86 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว
ตอบ 2 หน้า 96 – 97 ผู้บริหารประเภทชอบใช้อํานาจ (Authoritarian Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “ฉลาม” คือ บุคคลที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ดุร้าย ชอบใช้อํานาจเหนือลูกน้องในการแก้ปัญหา โดยไม่คํานึงถึงความรู้สึกของคนอื่น เน้นความต้องการของตนเอง และมักจะแก้ปัญหาด้วยการ กล้าเผชิญหน้า กล้าที่จะฟาดฟันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง และช่วงชิงผลประโยชน์ของ ผู้อื่น จึงมักนําไปสู่การต่อสู้และทําร้าย

87 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่รู้จักควบคุมอารมณ์และรับฟังผู้อื่น
ตอบ 4 หน้า 97, (คําบรรยาย) ผู้บริหารประเภทใจเย็น (Team Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “นกฮูก” คือ เป็นบุคคลที่พยายามศึกษาความต้องการของตนเองและผู้อื่น แล้วแก้ปัญหา ความขัดแย้งด้วยการควบคุมอารมณ์ รับฟังลูกน้องด้วยความเข้าใจ พูดจาไพเราะ และแสดง ความคิดเห็นเพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง จึงถือว่าเป็นผู้บริหารที่มี บุคลิกภาพและแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ในการทํางาน ทําให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกน้องได้ดีที่สุด

88 สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่ขาดความรับผิดชอบ
ตอบ 1 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทไม่เอาไหน (Impoverished Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น “เต่า” เพราะไม่กล้าเผชิญปัญหา และเมื่อมีความผิดเกิดขึ้นก็มักจะโทษผู้อื่นหรือโยนความผิดให้กับ ลูกน้อง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ยอมตามผู้อื่นด้วยความขุ่นเคืองใจ มองผู้อื่นในแง่ร้าย โดยจะบริหารงานแบบสบาย ๆ ไม่สนใจลูกน้องและงาน ชอบอยู่เฉย ๆ ใครจะทําอะไรก็ทําไป และเมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่รับผิดชอบไม่ว่ากรณีใด ๆ

ข้อ 89. – 90. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การรับรู้ทางสังคมด้วยความประทับใจ
(2) การรับรู้ทางสังคมโดยการประเมินคนอื่น
(3) อิทธิพลทางสังคม
(4) ความสัมพันธ์ทางสังคม

89 การคล้อยตามผู้อื่น สอดคล้องกับแนวคิดใด
ตอบ 3 หน้า 131 – 132, (คําบรรยาย) อิทธิพลทางสังคมจะเน้นพฤติกรรมของบุคคลที่เปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง เนื่องจากการกระทําของบุคคลอื่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1 การส่งเสริมโดยสังคม (Social Facilitation) ได้แก่ การอยู่ในสายตาของผู้อื่นจะทําให้ การทํางานมีประสิทธิภาพดีขึ้น
2 การคล้อยตามผู้อื่น หรือการถูกโน้มน้าวใจให้คล้อยตาม ได้แก่ การคล้อยตามบุคคลที่ เราเชื่อถือหรือสนิทสนม การคล้อยตามบรรทัดฐาน และการคล้อยตามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีเรื่องของอํานาจเข้ามากํากับ

90 การให้ความสําคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่คําพูด แสดงถึงแนวคิดใด
ตอบ 1 หน้า 127 – 129, 155, (คําบรรยาย) การรับรู้ทางสังคมโดยความรู้สึกประทับใจมักจะ เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ ๆ
1 ความประทับใจครั้งแรก ประสบการณ์ครั้งแรก หรือปรากฏการณ์ครั้งแรกของคู่สื่อ คือ การรับรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบบุคคลที่เราพบเห็นเป็นครั้งแรก
2 ปรากฏการณ์ภายนอก คือ บุคลิกภาพภายนอกของบุคคล ได้แก่ รูปร่างหน้าตา
3 การสื่อสารเชิงอวัจนะหรือพฤติกรรมการแสดงออกทางอวัจนภาษา (ภาษากาย) คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คําพูด เช่น สีหน้า สายตา อากัปกิริยาท่าทางและการสัมผัส น้ําเสียง เป็นต้น

91 คนจนที่ใช้ชีวิตด้วยความพอเพียง ทําให้ได้รับการยอมรับจากสังคมตามแนวคิดข้อใด
(1) อ้างความด้อยของตนเอง
(2) อ้างชื่อเสียงของกลุ่ม
(3) การสวมบทบาทตามเพศ
(4) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงประสงค์
ตอบ 4 หน้า 135, (คําบรรยาย) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาหรือไม่พึงประสงค์ ของตน ได้แก่ ความพิการทั้งทางกายและทางจิต ความยากจน และความชรา โดยบุคคลที่มีคุณลักษณะเหล่านี้มักจะถูกบังคับให้กระทําตามบทบาทของตนทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพื่อให้ผู้อื่นประทับใจและสังคมยอมรับ เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้อาวุโสที่เข้าวัดเพื่อฟังพระเทศน์ ธรรมะ, คนชราที่เข้าวัดเพื่อทําบุญ ตักบาตร ปฏิบัติธรรม และฝึกนั่งสมาธิอย่างสม่ําเสมอ คนจนที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ฯลฯ

ข้อ 92 – 94. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) การถดถอย
(2) การเก็บกด
(3) การถอยหนี
(4) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน

92 การลดความวิตกกังวลโดยแสดงพฤติกรรมเหมือนเด็ก ๆ เป็นการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 1 หน้า 138, (คําบรรยาย) การถดถอย (Regression) คือ กลไกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลตกอยู่ใน ภาวะวิตกกังวลและไม่อาจจะขจัดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นได้ จึงหาทางออกโดยการย้อนไป แสดงพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล เช่น ร้องไห้ ปัสสาวะรดที่นอน กระทืบเท้า แลบลิ้น อ่านหนังสือการ์ตูน ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคคลเคยทําในอดีตสมัยเด็ก ๆ และนํากลับมาใช้ใหม่เมื่อตนเองมีปัญหาในการปรับตัว

93 พฤติกรรม “ปากปราศรัย น้ําใจเชือดคอ” แสดงถึงการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 4 หน้า 137 – 138, (คําบรรยาย) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน (Reaction – Formation) คือ กลไกที่ แสดงปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นและเพื่อป้องกันความรู้สึกผิดหรือการที่บุคคลมีความคิดเห็นที่เป็นอันตรายหรือไม่เป็นที่ปรารถนา ต่อบุคคลอื่น ซึ่งจัดว่าเป็นลักษณะการแสดงออกแบบ “หน้าเนื้อใจเสือ” หรือ “ปากปราศรัย น้ําใจเชือดคอ” เช่น เมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้านทําเป็นคุยด้วยกันอย่างมีมิตรภาพ แต่ลับหลัง กลับมีพฤติกรรมจ้องทําลายเป็นต้น

94 คนที่ชอบตื่นเวทีจะหลีกเลี่ยงการพูดในที่ชุมนุมชน แสดงถึงการป้องกันตนเองข้อใด
ตอบ 3 หน้า 137, (คําบรรยาย) การถอยหนี (Withdrawal) คือ กลไกที่บุคคลพยายามหลีกหนีจาก สถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา หรือหนีไปจากสิ่งที่ทําให้เกิดความไม่สบายใจ เช่น คนที่พูดไม่เก่ง มีอาการประหม่า หรือชอบตื่นเวทีจะหลีกเลี่ยงการพูดในที่ชุมนุมชน ฯลฯ

95 ทักษะการปรับตัวให้เข้ากับสังคม เป็นผลมาจากวัตถุประสงค์ของการสื่อสารระหว่างบุคคลข้อใด
(1) เพื่อค้นพบตัวเอง
(2) เพื่อค้นพบโลกภายนอก
(3) เพื่อสร้างความสัมพันธ์
(4) เพื่อการโน้มน้าวใจ
ตอบ 1 หน้า 151 เพื่อค้นพบตัวเอง (Personal Discovery) คือ การได้มีโอกาสสื่อสารกับบุคคลอื่น โดยเฉพาะการสื่อสารแบบเผชิญหน้า จะทําให้เราได้รู้จักตนเองด้วยการสังเกตจากปฏิกิริยา ป้อนกลับของผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รู้ความคิดของตนเองว่าแตกต่างจากผู้อื่นในสังคมอย่างไร ดังนั้นการสื่อสารระหว่างบุคคลจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมรวมทั้งได้พิจารณาข้อบกพร่องและข้อได้เปรียบของตน

96 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะ
(1) การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
(2) การสื่อสารเชิงอวัจนะมีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสาร
(3) การสื่อสารเชิงอวัจนะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้ส่งสาร
(4) การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงออกได้อย่างไม่มีขอบเขตจํากัด
ตอบ 3 หน้า 153 – 154 แนวคิดที่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะหรือการใช้อวัจนสาร (Nonverbal Communication) มีดังนี้
1 แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
2 มีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสารที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าพฤติกรรมนั้น
3 มีความครอบคลุมกว้างขวางแทบจะไม่มี ขอบเขตจํากัด (ไร้ขอบเขต) ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางด้านน้ําเสียง ท่าทาง หรือสีหน้า จะแสดงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
4 มีหน้าที่ในการสื่อสาร ทําให้การสื่อสารชัดเจนถูกต้องและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
5 อาจเกิดขึ้น โดยไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว ทําให้ขาดการควบคุม และแสดงออกได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
6. สามารถส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากกว่าวจนสารถึง 5 เท่า ฯลฯ

97 ข้อใดเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในการใช้ Eye Contact
(1) ผู้พูดจะสบตากับผู้ฟังมากกว่าผู้ฟังสบตากับผู้พูด
(2) เพศหญิงมีการสบตามากกว่าเพศชาย
(3) ผู้พูดควรสบตากับผู้ฟังประมาณ 60% ของเวลาในการสนทนา
(4) คู่สื่อสารจะสบตากันน้อยลงเมื่อสนทนาเรื่องส่วนตัว

ตอบ 1 หน้า 156 แนวคิดที่ถูกต้องในการประสานสายตาหรือการสบตา (Eye Contact) ของคู่สื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ฟังจะประสานสายตากับผู้พูดมากกว่าผู้พูดประสานสายตากับผู้ฟัง
2 การประสานสายตาจะมีน้อยลงเมื่อสนทนาเรื่องส่วนตัว
3 เพศหญิงจะประสานสายตามากกว่าเพศชาย และในบางวัฒนธรรมจะห้ามการประสาน สายตา เช่น เด็กจะไม่ค่อยกล้าจ้องหน้าประสานสายตากับผู้ใหญ่
4 คู่สนทนาที่เป็นมิตรจะประสานสายตากันมากกว่าคู่สนทนาที่เป็นศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์กัน
5 ผู้พูดควรประสานสายตากับผู้ฟังประมาณ 60 – 70% ของช่วงเวลาที่มีการสนทนากัน

ข้อ 98. – 99. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สําหรับตอบคําถาม
(1) Empathy
(2) Positiveness
(3) Supportiveness
(4) Equality

98 คู่สื่อสารที่ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน แสดงถึงพฤติกรรมใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 3 หน้า 162, (คําบรรยาย) การได้รับการสนับสนุน (Supportiveness) คือ การสื่อสารจะ ดําเนินไปได้อย่างสนุกสนานและราบรื่นต่อเมื่อคู่สื่อสารรู้สึกว่า คนที่ตนกําลังสื่อสารด้วยนั้นไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับตน ดังนั้นการสื่อสารที่ดีจึงควรเปิดโอกาสให้คู่สื่อสารแสดงความคิดเห็น ของตนอย่างเสรี และหลีกเลี่ยงความคิดที่ขัดแย้งของแต่ละฝ่ายโดยไม่จําเป็น

99 ความสามารถในการรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นในสถานการณ์ต่าง ๆ แสดงถึงพฤติกรรมใดในการ
เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
ตอบ 1 หน้า 161 – 162 พฤติกรรมความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) หรือความสามารถในการเอาใจ เขามาใส่ใจเรา คือ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความสามารถในการรับรู้และเข้าใจถึง ความรู้สึกและความคิดเห็นของคู่สื่อสารในแต่ละสถานการณ์ได้เสมือนเป็นคน ๆ นั้น ซึ่งจะช่วยให้คู่สื่อสารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสื่อสารของตนให้เป็นที่พอใจซึ่งกันและกันได้

100 การยกย่องชมเชยคู่สื่อสาร เป็นปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคล
(1) ลักษณะดึงดูดใจของคู่สื่อสาร
(2) ความใกล้ชิดของคู่สื่อสาร
(3) การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร
(4) ความคล้ายคลึงกันของคู่สื่อสาร
ตอบ 3หน้า 158, 160 การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร (Reinforcement) คือ คนเรามักมีแนวโน้มที่จะสื่อสารกับคนที่ให้สิ่งที่ตนพอใจหรือคนที่ให้แรงเสริมแก่ตน โดยแรงเสริมนั้นอาจเป็นวัตถุสิ่งของ หรือตัวเสริมแรงทางสังคม ได้แก่ การพูดจาไพเราะ การยกย่องชมเชย และการให้เกียรติกัน ซึ่งจะต้องมีลักษณะของความจริงใจ ไม่เสแสร้ง และไม่แอบแฝงผลประโยชน์ เช่น คนเรามัก ไม่อยากสนทนากับเพื่อนที่ชอบขัดคอหรือโต้แย้ง แต่มักชอบพูดคุยกับเพื่อนที่ยินดีและแสดง ความนับถือยกย่องในความสําเร็จของเรา เป็นต้น

 

LAW2106 (LAW 2006) กฎหมายอาญา1 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2106 (LAW 2006) กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายเสือต้องการฆ่านายช้าง ขณะที่นายช้างเผลอนายเสือได้แอบใส่ยาพิษชนิดร้ายแรงลงในถ้วย กาแฟของนายช้าง นายช้างดื่มโดยไม่รู้ ต่อมายาพิษออกฤทธิ์ทําให้นายช้างหมดสติ นายเสือเข้าใจ ว่านายข้างถึงแก่ความตายแล้ว จึงเอาร่างของนายช้างไปแขวนคอไว้กับกิ่งไม้ใหญ่หลังบ้านเพื่อ เป็นการอําพรางว่านายช้างฆ่าตัวตาย นายช้างถึงแก่ความตายเพราะถูกแขวนคอ

ดังนี้ อยากทราบว่าความตายของนายช้างเป็นผลที่สัมพันธ์กับการกระทําด้วยเจตนาฆ่าในตอนแรก ของนายเสือหรือไม่ และนายเสื้อต้องรับผิดอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้ กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือ
ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือต้องการฆ่านายช้าง ขณะที่นายช้างเผลอนายเสือได้แอบใส่ยาพิษ ชนิดร้ายแรงลงในถ้วยกาแฟของนายช้าง นายช้างดื่มโดยไม่รู้ ต่อมายาพิษออกฤทธิ์ทําให้นายช้างหมดสตินั้น การกระทําของนายเสือในตอนแรกนี้ ถือเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะนายเสือได้กระทํา โดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน นายเสือประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น นายเสือจึงต้องรับผิด ในทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

ส่วนการกระทําในตอนหลังของนายเสือที่ได้เอาร่างของนายช้างไปแขวนคอไว้กับกิ่งไม้ใหญ่หลังบ้าน เพื่อเป็นการอําพรางว่านายช้างฆ่าตัวตาย จนนายช้างถึงแก่ความตายเพราะถูกแขวนคอนั้น แม้การกระทําในครั้งหลัง ของนายเสือไม่ถือว่านายเรือมีเจตนาฆ่านายช้าง เพราะเข้าใจว่านายช้างได้ตายไปแล้ว สิ่งที่นายเสือกระทํานั้น นายเสือไม่รู้ว่าได้กระทําต่อผู้อื่น คิดว่ากําลังกระทํากับศพ จึงถือว่านายเสือมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ ของความผิด จะถือว่านายเสือประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ตามมาตรา 59 วรรคสาม
แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเสือได้เอาร่างของนายช้างไปแขวนไว้กับกิ่งไม้ใหญ่จนนายช้างถึงแก่ ความตายเพราะถูกแขวนคอนั้น ถือเป็นเหตุแทรกแซงอันเกิดจากการกระทําของนายเสือเองและเป็นเหตุแทรกแซง ที่ไม่เกินความคาดหมายซึ่งผู้กระทําความผิดจะกระทําเช่นนั้น ดังนั้น เมื่อเป็นเหตุแทรกแซงที่คาดหมายได้ ผลคือ ความตายของนายช้างจึงมีความสัมพันธ์กับการกระทําด้วยเจตนาฆ่าในตอนแรกของนายเสือ การกระทําโดย เจตนาฆ่าของนายเสือจึงเป็นความผิดสําเร็จ ดังนั้น นายเสือจึงต้องรับผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

สรุป ความตายของนายช้างเป็นผลที่มีความสัมพันธ์กับการกระทําด้วยเจตนาฆ่าในตอนแรกของ นายเสือ นายเสือจึงต้องรับผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

ข้อ 2 นายเดชารู้สึกรําคาญนายเดโชที่นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะอาหารข้าง ๆ เพราะเมาสุราพูดจาเอะอะโวยวาย
จึงชักปืนลูกซองออกมาเล็งยิงไปที่ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายเดโชนั่งอยู่ ลูกกระสุนปืน ถูกขวดสุราของนายเดโชแตกและกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดโชได้รับอันตรายสาหัส นอกจากนี้ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัยที่เดินเข้ามา ในร้านอาหารพอดี เป็นเหตุให้นายเดชชาติถึงแก่ความตาย และลูกสุนัขของนายเดชชัยที่อุ้มมา ตกพื้นตายเช่นกัน นายเดชามีความผิดฐานใดบ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมาย บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย
มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเดชามีความผิดฐานใดบ้างนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การที่นายเดชาชักปืนลูกซองออกมาเล็งยิงไปที่ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายเดโชนั่งอยู่ ลูกกระสุนปืนถูกขวดสุราของนายเดโชแตกนั้น การกระทําของนายเดชาเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเดชาจึงเป็นการกระทําโดย เจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายเดชาจึงมีความผิดฐานเจตนาทําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายตาม มาตรา 358 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

2 การกระทําของนายเดชาที่ใช้ปืนลูกซองยิงไปที่ขวดสุราดังกล่าวนั้น นอกจากลูกกระสุนปืน จะถูกขวดสุราของนายเดโชแตกแล้ว ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเตโชได้รับอันตรายสาหัสอีกด้วยนั้น กรณีนี้ถือว่า นายเดชาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําของตนอยู่แล้วว่า กระสุนปืนอาจถูกนายเดโชได้ ดังนั้น เมื่อกระสุนปืนที่นายเดชาได้ยิงไปนั้นถูกนายเดโชการกระทําของนายเดชาต่อนายเดโชดังกล่าวจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น และเมื่อนายเดโชได้รับอันตรายสาหัสไม่ถึงแก่ความตาย การกระทํา ของนายเดชาจึงเป็นการกระทําที่ได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นายเดชาจึงมีความผิด ฐานพยายามฆ่านายเดโชตามมาตรา 288 และมาตรา 80 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

3 การที่นายเดชาได้ใช้ปืนยิงขวดสุราของนายเดโชนั้น นอกจากกระสุนปืนจะถูกนายเดโชแล้ว ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัยที่เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดีเป็นเหตุให้ นายเดชชาติถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าผลของการกระทําที่เกิดกับนายเดชชาตินั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปจึง ต้องถือว่านายเดชาได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเดชชาติบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายเดชาจึงต้องรับผิดฐานฆ่านายเดชชาติตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่งและมาตรา 60

4 การที่กระสุนปืนที่นายเดชามีเจตนาที่จะยิงไปที่ขวดสุรานั้น นอกจากจะถูกขวดสุราแตก แล้วยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัย ทําให้ลูกสุนัขตกพื้นตายนั้น ผลของการกระทําที่ เกิดกับลูกสุนัขดังกล่าวเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านายเดชากระทําโดยเจตนาต่อลูกสุนัขของนาย เดชชัย ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายเดชาจึงมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ โดยพลาดต่อนายเดชชัยตามมาตรา 358 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60

สรุป นายเดชามีความผิดฐานเจตนาทําให้ทรัพย์ของนายเดโชเสียหายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเดโชโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล มีความผิดฐานฆ่านายเดชชาติโดยพลาด และมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์โดยพลาดต่อนายเดชชัย

หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 บัญญัติว่า “ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้ เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทําความผิดฐานทําให้
เสียทรัพย์…”

ข้อ 3 นายโก๋เห็นนายจอมกําลังยืนคุยอยู่กับนางสาวปุยฝ้ายสาวที่ตนหลงรัก นายโก้โมโหต้องการจะฆ่า นายจอม จึงชักปืนพกขึ้นจ้องเล็งจะยิงนายจอม นายศักดิ์กับนายศรีเห็นเหตุการณ์เกรงว่านายจอม จะถูกยิงตาย นายศักดิ์จึงกระโดดถีบนายจอมเพื่อให้หลบกระสุนปืน นายจอมส้มลงหน้ากระแทกพื้น ได้รับบาดเจ็บ ส่วนนายศรีใช้ปืนยิงถูกข้อมือของนายโก๋ได้รับบาดเจ็บปืนหลุดจากมือ ดังนี้ นายศักดิ์และนายศรี จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด
และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น (4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ นายศักดิ์และนายศรีจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของนายศักดิ์

การที่นายโก๋ได้ชักปืนพกขึ้นต้องเล็งจะยิงนายจอมด้วยเจตนาจะฆ่านายจอม นายศักดิ์ซึ่งเห็น เหตุการณ์เกรงว่านายจอมจะถูกยิงตายจึงได้กระโดดถีบนายจอมเพื่อให้หลบกระสุนปืน จนทําให้นายจอมล้มลงหน้ากระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่านายศักดิ์ได้กระทําผิดฐานทําร้ายร่างกายนายจอมโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของ การกระทํานั้น ดังนั้นนายศักดิ์จึงต้องรับผิดในทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของนายศักดิ์เป็นการกระทําเพื่อให้นายจอมพ้นจากภยันตรายที่ ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ และเป็นภยันตรายที่มิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน การกระทําดังกล่าวของนายศักดิ์จึงเป็นการกระทําด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2) และเมื่อเป็นการกระทํา ที่พอสมควรแก่เหตุ นายศักดิ์จึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายจอม และในกรณีดังกล่าว นายศักดิ์ จะอ้างว่าการกระทําของตนเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ตนไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะนายศักดิ์มิได้กระทําต่อนายโก๋ ผู้ก่อภัย

กรณีของนายศรี

การที่นายศรีซึ่งเห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับนายศักดิ์ได้ใช้ปืนยิงถูกข้อมือนายโก๋หักได้รับบาดเจ็บนั้นแม้นายศรีจะได้กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และโดยหลักจะต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อการกระทําของนายศรีนั้น เป็นกรณีที่นายศรีต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตราย
ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อนายศรีได้กระทําไปพอสมควร แก่เหตุ การกระทําของนายศรีจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น นายศรีจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษ

สรุป นายศักดิ์มีความผิดฐานทําร้ายร่างกายนายจอมแต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะเป็นการกระทําผิด ด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2) ส่วนนายศรีไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68

ข้อ 4 ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพร โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพรออกมาจากบ้านมาให้สมเดชยิง อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพร และทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน อรสาจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วัลลภมาให้สมเดช โดยสมเดชไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสา ระหว่างที่ ประชาเดินทางไปบ้านชุมพร สมเดชพบชุมพรโดยบังเอิญจึงยิ่งชุมพรตายเสียก่อนที่ประชาจะพบกับชุมพร

ดังนี้ ประชาและอรสาต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์
ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วม กระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมเดชใช้อาวุธปืนยิงชุมพรตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่ กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมเดชจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น สมเดชจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิด ฐานฆ่าชุมพรตายโดยเจตนา)

สําหรับประชาและอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่สมเดชยังชุมพรตายอย่างไรหรือไม่
แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของประชา

แม้ประชาจะได้ร่วมวางแผนกับสมเดชเพื่อที่จะฆ่าชุมพร แต่ในขณะที่สมเดชใช้ปืนยิงชุมพรถึงแก่ความตายนั้น ประชาไม่ได้อยู่ร่วมด้วย จึงถือว่าประชาขาดเจตนาที่จะร่วมกันกระทําความผิด ดังนั้นประชาจึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ประชาได้ร่วมกันวางแผนเพื่อฆ่าชุมพร โดยตกลงให้ประชาไปหลอกชุมพร ออกมาจากบ้านเพื่อให้สมเดชยิ่งนั้น ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่น กระทําความผิด ดังนั้นประชาจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของอรสา

การที่อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพร และทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืนจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วัลลภเพื่อนํามาให้สมเดชนั้น แม้สมเดชจะไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสาก็ตาม การกระทําของอรสา ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้นอรสาจึงต้อง รับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป ประชาและอรสาจะต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86

LAW2106 (LAW2006) กฎหมายอาญา1 s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2106 (LAW 2006) กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายชนะชลได้ชวนนางสาวเมขลาซึ่งเป็นคู่รักไปเที่ยวนั่งรถชมวิวด้วยกัน โดยให้นางสาวเมขลา ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่นายชนะชลเป็นผู้ขับขี่ซึ่งนายชนะชลขับด้วยความเร็วสูงมาก
และเมื่อขับมาถึงทางโค้งก็ไม่ได้ลดความเร็วลง ทําให้รถคันดังกล่าวล้มลงเป็นเหตุให้นางสาวเมขลา ตกจากรถได้รับอันตรายสาหัสนอนหมดสติในพงหญ้าข้างทาง นายชนะชลตกใจกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น โดยหลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือและไม่ได้แจ้งให้ผู้ใดทราบ นางสาวเมขลานอนหมดสติ ในที่เกิดเหตุเป็นเวลา 5 วัน จนพลเมืองดีมาพบและแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือพานางสาวเมขลาไปช่วยเหลือจนรอดชีวิต

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายชนะชล

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคห้า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้ กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทํา ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทํา เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชนะชลได้ชวนนางสาวเมขลาซึ่งเป็นคู่รักไปเที่ยวนั่งรถชมวิวด้วยกัน และเมื่อขับรถมาถึงทางโค้งนายชนะชลก็ไม่ได้ลดความเร็วลง ทําให้รถคันดังกล่าวล้มลงเป็นเหตุให้นางสาวเมขลา ตกจากรถได้รับอันตรายสาหัสนอนหมดสติในพงหญ้าข้างทางนั้น ย่อมถือว่าการที่นางสาวเมขลาได้รับอันตรายสาหัส และนอนหมดสติซึ่งอาจถึงแก่ความตายได้นั้น เกิดจากการกระทําโดยประมาทของนายชนะชล อีกทั้งนางสาวเมขลา ก็มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับนายชนะชลในฐานะคู่รัก จึงเป็นหน้าที่ของนายชนะชลที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ เพื่อป้องกันมิให้นาวสาวเมขลาถึงแก่ความตายโดยให้นางสาวเมขลาซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่นายชนะชลเป็นผู้ขับขี่ซึ่งนายชนะชลขับด้วยความเร็วสูงมาก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายชนะชลได้หลบหนีไปไม่ให้ความช่วยเหลือและไม่ได้แจ้งให้ผู้ใดทราบ
ย่อมถือว่านายชนะชลได้งดเว้นการที่จักต้องกระทําหรือหน้าที่ที่ต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้น ซึ่งตามมาตรา 59 วรรคห้า ถือว่าเป็นการกระทําต่อนางสาวเมขลาด้วย และเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนาเพราะเป็นการ
กระทํา โดยรู้สํานึกในการที่กระทํานั้น และในขณะเดียวกันผู้กระทําย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําได้ว่านางสาวเมขลา อาจจะถึงแก่ความตายได้ ดังนั้น นายชนะชลจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทําโดยเจตนาฆ่านางสาวเมขลา

โดยหลักย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคห้า และเมื่อนางสาวเมขลาไม่ตายเนื่องจาก มีพลเมืองดีมาพบและแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือจนนางสาวเมขลารอดชีวิต การกระทําของนายชนะชลซึ่งได้กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นายชนะชลจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคห้า ประกอบมาตรา 30 วรรคหนึ่ง (คือมีความผิดฐาน พยายามฆ่านางสาวเมขลา ตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง)

สรุป นายชนะชลมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคห้า ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ข้อ 2 นายพายุคึกคะนองจึงได้ใช้ก้อนหินที่มีน้ําหนักถึงหนึ่งกิโลกรัมเศษและครึ่งกิโลกรัมจํานวนหลายก้อน
ทุ่มลงมาจากสะพานข้ามแม่น้ําซึ่งอยู่สูงจากระดับพื้นน้ํา 9 เมตร ลงไปยังเรือโดยสารลําหนึ่ง ซึ่งมีผู้โดยสารอยู่เป็นจํานวนมาก ในขณะที่เรือแล่นลอดใต้สะพาน หินก้อนหนึ่งถูกนายสายฟ้า ผู้โดยสารในเรือลํานั้นได้รับอันตรายสาหัส และหินอีกก้อนหนึ่งได้กระเด็นไปถูกนายฝนตกผู้โดยสารในเรืออีกลําหนึ่งซึ่งแล่นสวนทางมาถูกบริเวณตาข้างซ้ายซึ่งทําให้นายฝนตกตาบอด

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายพายุ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์
ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น….”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพายุคึกคะนองจึงได้ใช้ก้อนหินที่มีน้ําหนักถึงหนึ่งกิโลกรัมเศษและครึ่งกิโลกรัมจํานวนหลายก้อนทุ่มลงมาจากสะพานข้ามแม่น้ําซึ่งอยู่สูงจากระดับพื้นน้ํา 9 เมตร ลงไปยังเรือโดยสาร ลําหนึ่งซึ่งมีผู้โดยสารอยู่เป็นจํานวนมากและอยู่ในพื้นที่จํากัดขณะที่เรือแล่นลอดใต้สะพานนั้น นายพายุย่อม เล็งเห็นผลของการกระทํานั้นได้ว่าก้อนหินอาจไปถูกศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสําคัญของร่างกายของคนในเรือลํานั้น และอาจเป็นผลทําให้ถึงตายได้ จึงถือได้ว่านายพายุมีเจตนาฆ่าคนในเรือลํานั้นตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและ วรรคสอง เมื่อก้อนหินก้อนหนึ่งถูกนายสายฟ้าผู้โดยสารในเรือลํานั้นจนได้รับอันตรายสาหัส นายพายุจึงมีความผิด ฐานพยายามฆ่านายสายฟ้าตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

และเมื่อถือว่านายพายุมีเจตนาฆ่านายสายฟ้า การที่ก้อนหินอีกก้อนหนึ่งกระเด็นไปถูกนายฝนตก ผู้โดยสารในเรืออีกลําหนึ่งซึ่งแล่นสวนทางมาถูกบริเวณตาข้างซ้ายซึ่งทําให้นายฝนตกตาบอด ก็ต้องถือว่านายพายุ มีเจตนาฆ่านายฝนตกด้วย เพราะเป็นการกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60 ดังนั้น นายพายุจึงมีความผิดฐาน พยายามฆ่านายฝนตกตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60

สรุป นายพายุมีความผิดฐานพยายามฆ่านายสายฟ้าตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบมาตรา 30 วรรคหนึ่ง และมีความผิดฐานพยายามฆ่านายฝนตกตามมาตรา 60 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ข้อ 3 นายนี้เวียต้องการฆ่านางวาสลีน จึงวางแผนฆ่านางวาสลีนด้วยการหาซื้อยาเบื่อหนู โดยนํายาเบื่อหนู ใส่ไปในโอ่งน้ําดื่มของนางวาสลีน นายเจอร์เก้นน้องชายของนางวาสลีนเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดจึงตะโกนร้องบอกนางวาสลีนพี่สาวของตนในทันทีไม่ให้ดื่มน้ําในโอ่งนั้น นายนีเวียตกใจที่ความแตก จึงรีบวิ่งหนี นายเจอร์เก้นโกรธที่นายนีเวียกระทํากับพี่สาวของตน จึงวิ่งไล่ยิงนายนีเวียไปทันที ขณะที่นายนีเวียวิ่งหนีไปตามทางแคบ ๆ มีรถจักรยานยนต์ของนายยูเซอรีนจอดขวางทางอยู่ นายนีเวียจึงวิ่งชนรถคันนั้นเพื่อไม่ให้โดนยิง ทําให้รถล้มลงและได้รับความเสียหาย โดยนายเจอร์เก้น ยิ่งถูกนายนีเวียได้รับบาดเจ็บสาหัส

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนีเวียและนายเจอร์เก้น

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ
เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์
ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น
โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทํา ความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว
แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ความผิดทางอาญาของนายนีเวียและนายเจอร์เก้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ความรับผิดทางอาญาของนายนี้เวีย

การที่นายนีเวียซึ่งต้องการฆ่านางวาสลีน ได้วางแผนฆ่านางวาสลีนด้วยการหาซื้อยาเบื่อหนู โดย นํายาเบื่อหนูใส่ไปในโอ่งน้ําดื่มของนางวาสลีนนั้น การกระทําของนายนีเวียเป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล ตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลของการกระทํานั้น (คือความตายของนางวาสลีน) ดังนั้น นายนีเวียจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อนางวาสลีน ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา….”

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางวาสลีนไม่ตายตามประสงค์ของนายนีเวีย เนื่องจาก นายเจอร์เก้นน้องชายของนางวาสลีนเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดจึงได้ตะโกนร้องบอกนางวาสลีนพี่สาวทันทีเพื่อไม่ให้ดื่มน้ำในโอ่งนั้น จึงเป็นกรณีที่นายนีเวียได้ลงมือกระทําความผิดและได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้น
ไม่บรรลุผล ดังนั้น นายนีเวียจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านางวาสลีนตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง (มีความผิดฐานพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289 (4) ประกอบ มาตรา 80 วรรคหนึ่ง)

ส่วนการที่นายนีเวียตกใจที่ความแตก จึงรีบวิ่งหนีเนื่องจากถูกนายเจอร์เก้นวิ่งไล่ยิง และได้วิ่ง ไปชนรถจักรยานยนต์ของนายยูเซอรีนที่จอดขวางทางอยู่ ทําให้รถล้มและได้รับความเสียหายนั้น นายนีเวียย่อม มีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์เพราะเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง โดย นายนีเวียจะอ้างว่าเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็น เพราะเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ตามมาตรา 67 (2) เพื่อให้ตนไม่ต้องรับโทษมิได้ เนื่องจากภยันตราย ที่เกิดขึ้นนั้นตนได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ความรับผิดทางอาญาของนายเจอร์เก้น

การที่นายเจอร์เก้นโกรธที่นายนีเวียกระทําต่อพี่สาวของตนจึงวิ่งไล่ยิงนายนีเวียไปทันทีนั้น ถือว่า นายเจอร์เก้นได้กระทําต่อนายนีเวียโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น (คือความตายของนายนีเวีย) นายเจอร์เก้นจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อ นายนีเวียตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่เมื่อการกระทําของนายเจอร์เก้นซึ่งได้ลงมือกระทําความผิด ไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เพราะนายนีเวียไม่ตายเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ดังนั้น นายเจอร์เก้นจึงมีความผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายนี้เวียตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบ มาตรา 80 วรรคหนึ่ง (มีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 30 วรรคหนึ่ง)

แต่อย่างไรก็ดี การที่นายเจอร์เก้นได้กระทําต่อนายนิเวียนั้น เป็นเพราะนายเจอร์เก้นโกรธที่ นายนีเวียจะฆ่าพี่สาวของตน จึงถือได้ว่านายเจอร์เก้นได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และเมื่อนายเจอร์เก้นได้กระทําต่อนายนีเวียผู้ข่มเหงในขณะนั้น นายเจอร์เก้นย่อมสามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะ เพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น เพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72

สรุป นายนีเวียมีความผิดฐานพยายามฆ่านางวาสลีนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และมีความผิดฐาน ทําให้เสียทรัพย์ โดยจะอ้างว่าความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์เป็นการกระทําด้วยความจําเป็นไม่ได้

นายเจอร์เก้นมีความผิดฐานพยายามฆ่านายนีเวีย แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษได้

ข้อ 4 นายเตารีดไอน้ําจ้างนายหม้อทอดไร้น้ํามันไปฆ่านายพัดลมไอเย็น นายหม้อทอดไร้น้ํามันไปบ้าน นายพัดลมไอเย็นเห็นนายพัดลมไอเย็นยืนคุยกับนายเครื่องซักผ้าฝาบน แต่นายหม้อทอดไร้น้ํามัน ไม่รู้จักนายพัดลมไอเย็นมาก่อนจึงถามนายพัดลมไอเย็นว่าคนไหนคือนายพัดลมไอเย็น นายพัดลมไอเย็นรู้ว่านายหม้อทอดไร้น้ำมันเป็นมือปืนรับจ้างจะมาฆ่าตน จึงได้ชี้ไปที่นายเครื่องซักผ้าฝาบนและบอกว่านี่คือนายพัดลมไอเย็น นายหม้อทอดไร้น้ํามันเข้าใจผิดว่านายเครื่องซักผ้าฝาบนเป็นนายพัดลมไอเย็นจึงใช้ปืนยิงนายเครื่องซักผ้าฝาบนถึงแก่ความตาย

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายเตารีดไอน้ํา นายหม้อทอดไร้น้ำมัน และนายพัดลมไอเย็น

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ

เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนากระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น
โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ….”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเตารีดไอน้ํา นายหม้อทอดไร้น้ํามัน และนายพัดลมไอเย็น จะต้องรับผิดทางอาญา ดังนี้

ความรับผิดทางอาญาของนายเตารีดไอน้ำ

การที่นายเตารีดไอน้ำจ้างนายหม้อทอดไร้น้ํามันไปฆ่านายพัดลมไอเย็นนั้น ถือเป็นการ “ก่อ ให้ผู้อื่นไปกระทําความผิดแล้วตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง นายเตารีดไอน้ําจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ และเมื่อ นายหม้อทอดไร้น้ํามันได้กระทําความผิดตามที่นายเตารีดไอน้ําได้ใช้แล้ว นายเตารีดไอน้ำจึงต้องรับโทษเสมือน
เป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคสาม (คือรับโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289 (4) ประกอบ มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม) และแม้ว่านายหม้อทอดไร้น้ํามันจะได้ฆ่านายเครื่องซักผ้าฝาบนเนื่องจาก สําคัญผิดว่าเป็นนายพัดลมไอเย็นก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ถูกใช้ได้กระทําเกินขอบเขตที่ใช้แต่อย่างใด

ความรับผิดทางอาญาของนายหม้อทอดไร้น้ำมัน

การที่นายหม้อทอดไร้น้ํามันใช้ปืนยิงนายเครื่องซักผ้าฝาบนถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายหม้อทอดไร้น้ำมันได้กระทําต่อนายเครื่องซักผ้าฝาบนโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และ ในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น (คือความตายของนายเครื่องซักผ้าฝาบน) ตามมาตรา 59 วรรคสอง และแม้ข้อเท็จจะปรากฏว่า การที่นายหม้อทอดไร้น้ํามันใช้ปืนยิงนายเครื่องซักผ้าฝาบนนั้นเป็นเพราะ เข้าใจผิดว่านายเครื่องซักผ้าฝาบนเป็นนายพัดลมไอเย็น นายหม้อทอดไร้น้ํามันจะยกเอาความสําคัญผิดในตัวบุคคล มาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทําต่อนายเครื่องซักผ้าฝาบนไม่ได้ ดังนั้น นายหม้อทอดไร้น้ํามันจึงต้องรับผิด ทางอาญาฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบมาตรา 61 (เป็นความผิด ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 61)

ความรับผิดทางอาญาของนายพัดลมไอเย็น

การที่นายหม้อทอดไร้น้ำมันไม่รู้จักนายพัดลมไอเย็น และได้ถามนายพัดลมไอเย็นว่าคนไหนคือนายพัดลมไอเย็น นายพัดลมไอเย็นซึ่งรู้ว่านายหม้อทอดไร้น้ำมันเป็นมือปืนรับจ้างจะมาฆ่าตน จึงชี้ไปที่นายเครื่องซักผ้าฝาบนและบอกว่านี่คือนายพัดลมไอเย็น ทําให้นายหม้อทอดไร้น้ํามันเข้าใจผิดว่านายเครื่องซักผ้าฝาบน
เป็นนายพัดลมไอเย็น จึงใช้ปืนยิงนายเครื่องซักผ้าฝาบนถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายพัดลมไอเย็นนั้น ถือว่าเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดตามมาตรา 84 วรรคหนึ่งแล้ว เพราะแม้ว่านายหม้อทอดไร้น้ำมันจะมีเจตนาที่จะฆ่าคน แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะฆ่านายเครื่องซักผ้าฝาบนเลย แต่ต้องการฆ่าเฉพาะนายพัดลมไอเย็นเท่านั้น ดังนั้น การที่นายพัดลมไอเย็นหลอกว่านายเครื่องซักผ้าฝาบนคือนายพัดลมไอเย็น จึงถือว่าเป็นการก่อให้ นายหม้อทอดไร้น้ํามันกระทําความผิดต่อนายเครื่องซักผ้าฝาบนนั่นเอง นายพัดลมไอเย็นจึงเป็นผู้ใช้และต้อง รับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (คือต้องรับโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม)

และกรณีดังกล่าว นายพัดลมไอเย็นจะอ้างเหตุจําเป็นตามมาตรา 67 (2) เพื่อไม่ต้องรับโทษก็ไม่ได้ เช่นกัน เพราะถือว่าภยันตรายที่ใกล้จะถึงดังกล่าวนั้นตนสามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้

สรุป นายเตารีดไอน้ำและนายพัดลมไอเย็นมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ และต้องรับโทษเสมือนเป็น
ตัวการตามมาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

ส่วนนายหม้อทอดไร้น้ำมันมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบมาตรา 61

 

LAW2006 กฎหมายอาญา1 s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายต๋อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด ในคืนวันที่ฝนตกถนนลื่น ขณะ นายต๋อยขับรถเลี้ยวในทางโค้ง นายต่อยไม่ได้ชะลอความเร็ว ยังคงขับรถเกินอัตราที่กฎหมาย กําหนดไว้ นายต๋อยเห็นนายต๋องกําลังหาบเต้าหู้ขายและกําลังเดินข้ามถนนจะพ้นอยู่แล้ว นายต๋อย จึงรีบห้ามล้อทันทีแต่ไม่ทันเพราะรถได้ลื่นไปชนหาบเต้าหู้ของนายต๋อง หาบเต้าหู้ของนายต๋อง เสียหายทั้งหมด แต่ตัวนายต้องไม่เป็นอะไรเลย

จงวินิจฉัยความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาของนายต่อย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้
แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต๋อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด ในคืน วันที่ฝนตกถนนลื่น และขณะที่นายต้อยขับรถเลี้ยวในทางโค้งก็ไม่ได้ชะลอความเร็ว ยังคงขับรถเกินอัตราที่ กฎหมายกําหนดไว้ เป็นเหตุให้ห้ามล้อไม่ทันจนทําให้ชนหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหายทั้งหมดนั้น ถือว่านายต่อย
มิได้มีเจตนากระทําให้ทรัพย์ของนายต้องเสียหาย เนื่องจากนายต๋อยไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่ เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ดี การกระทําของนายต่อยดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ตามภาวะวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น ซึ่งนายต๋อยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้ เพียงพอไม่ การกระทําของนายต่อยจึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี เป็นเหตุให้ทรัพย์สิน คือหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหาย แต่เนื่องจากการกระทําโดยประมาททําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายนั้น กฎหมาย อาญามิได้บัญญัติเป็นความผิด ดังนั้น นายต๋อยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

สรุป นายต่อยไม่ต้องรับผิดในทางอาญาต่อนายต้อง

ข้อ 2 นายเดชารู้สึกรําคาญนายเดโชที่นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะอาหารข้าง ๆ เพราะเมาสุราพูดจาเอะอะโวยวาย จึงชักปืนลูกซองออกมาเล็งยิ่งไปที่ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายเตโชนั่งอยู่ ลูกกระสุนปืนถูก ขวดสุราของนายเดโซแตกและกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดโชได้รับอันตรายสาหัส นอกจากนี้ ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัยที่เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดี เป็นเหตุให้นายเดชชาติถึงแก่ความตาย และลูกสุนัขของนายเดชชัยที่อุ้มมาตกพื้นตายเช่นกัน นายเดชามีความผิดฐานใดบ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชักให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนา แก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมาย บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย
มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเดชา มีความผิดฐานใดบ้างนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การที่นายเดชาชักปืนลูกซองออกมาเล็งยิงไปที่ขวดสุราบนโต๊ะอาหารที่นายเดโชนั่งอยู่ ลูกกระสุนปืนถูกขวดสุราของนายเดโชแตกนั้น การกระทําของนายเดชาเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเดชาจึงเป็นการกระทําโดย เจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายเดชาจึงมีความผิดฐานเจตนาทําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายตาม มาตรา 358 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

2 การกระทําของนายเดชาที่ใช้ปืนลูกซองยิงไปที่ขวดสุราดังกล่าวนั้น นอกจากลูกกระสุนปืน จะถูกขวดสุราของนายเดโชแตกแล้ว ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดโชได้รับอันตรายสาหัสอีกด้วยนั้น

กรณีนี้ถือว่า นายเตชาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําของตนอยู่แล้วว่า กระสุนปืนอาจถูกนายเดโชได้ ดังนั้น เมื่อกระสุนปืนที่นายเดชาได้ยิงไปนั้นถูกนายเดโช การกระทําของนายเดชาต่อนายเดโชดังกล่าวจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น และเมื่อนายเดโชได้รับอันตรายสาหัสไม่ถึงแก่ความตาย การกระทํา ของนายเดชาจึงเป็นการกระทําที่ได้กระทํา ปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นายเดชาจึงมีความผิด ฐานพยายามฆ่านายเดโชตามมาตรา 288 และมาตรา 80 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

3 การที่นายเดชาได้ใช้ปืนยิงขวดสุราของนายเดโชนั้น นอกจากกระสุนปืนจะถูกนายเดโชแล้ว ลูกกระสุนปืนยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัยที่เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดีเป็นเหตุให้ นายเดชชาติถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าผลของการกระทําที่เกิดกับนายเดชชาตินั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปจึง ต้องถือว่านายเดชาได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเดชชาติบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายเดชาจึงต้องรับผิดฐานฆ่านายเดชชาติตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60

4 การที่กระสุนปืนที่นายเดชามีเจตนาที่จะยิงไปที่ขวดสุรานั้น นอกจากจะถูกขวดสุราแตก แล้วยังกระจายไปถูกนายเดชชาติที่อุ้มลูกสุนัขของนายเดชชัย ทําให้ลูกสุนัขตกพื้นตายนั้น ผลของการกระทําที่ เกิดกับลูกสุนัขดังกล่าวเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านายเดชากระทําโดยเจตนาต่อลูกสุนัขของนาย เดชชัย ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายเดชาจึงมีความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ โดยพลาดต่อนายเดชชัยตามมาตรา 358 ประกอบมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60

สรุป นายเดชามีความผิดฐานเจตนาทําให้ทรัพย์ของนายเดโชเสียหายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเดโชโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล มีความผิดฐานฆ่านายเดชชาติโดยพลาด และมี ความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์โดยพลาดต่อนายเดชชัย

หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 บัญญัติว่า “ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้ เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทําความผิดฐานทําให้ เสียทรัพย์…”

ข้อ 3 นายโยธินเป็นคู่อริกับนายนาวิน นายโยธินจึงลอบเข้าไปในบ้านของนายนาวินและเล็งปืนไปยัง นายนาวิน ขณะเดียวกันนายนาวินได้หยิบปืนขึ้นมาทําความสะอาดอยู่พอดี เห็นนายโยธินกําลัง เล็งปืนมาที่ตน นายนาวินเลยใช้ปืนกระบอกนั้นยิงไปที่นายโยธิน นายโยธินถึงแก่ความตายทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนาวิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด
และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น

(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนาวินใช้ปืนยิงไปที่นายโยธินจนนายโยธินถึงแก่ความตายทันทีนั้น ถือว่านายนาวินได้กระทําต่อนายโยธินโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึก ในการกระทํา และในขณะเดียวกันนายนาวินก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วนายนาวิน
จะต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโยธินตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายนาวินใช้ปืนยิงนายโยธินนั้น เป็นเพราะนายโยธินได้ลอบเข้าไปในบ้าน ของนายนาวินและเล็งปืนไปยังนายนาวิน ซึ่งลักษณะการกระทําของนายโยธินนั้นย่อมถือได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจาก การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับนายนาวินแล้ว และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นายนาวินจึงต้อง กระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนคือการใช้ปืนยิงไปที่นายโยธิน และเมื่อเป็นการกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทํา ดังกล่าวของนายนาวินจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ของการกระทําอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68

ดังนั้น นายนาวินจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป นายนาวินไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 4 นายมาเฟียเป็นศัตรูกับนายเจ้าพ่อ นายมาเฟียจ้างนายมือปืนไปฆ่านายเจ้าพ่อ นายมือปืนได้ สมคบกันกับนายลูกปืนจะไปฆ่านายเจ้าพ่อ โดยให้นายมือปืนเป็นผู้ยิง นายลูกปืนจะช่วยดูต้นทางให้ ระหว่างที่รอนายเจ้าพ่อ นายระเบิดเดินผ่านมาทางนี้พอดี นายลูกปืนสนิทกับนายระเบิดจึงเล่าเรื่อง ให้นายระเบิดฟัง และให้ช่วยดูต้นทางอีกคน นายระเบิดตกลงกับนายลูกปืนสองคน ระหว่างรอนั้น มีคนจะเดินไปทางที่นายมือปืนซุ่มรอนายเจ้าพ่อพอดี นายระเบิดจึงเดินไปบอกคนนั้นให้เดินไป ทางอื่นเพราะถนนไม่ดี เมื่อนายเจ้าพ่อมาถึงจุดดักยิง นายมือปืนจึงยิงนายเจ้าพ่อสําเร็จ นายเจ้าพ่อ ถึงแก่ความตายทันทีในที่เกิดเหตุ

จงวินิจฉัยความรับผิดของนายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด พร้อมอัตราโทษตามกฎหมาย สําหรับการเป็นผู้ร่วมกระทําความผิดด้วย

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

ธงคําตอบ

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ
เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ….”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมือปืนยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายนั้น ถือเป็นการกระทําโดย รู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายมือปืน จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายมือปืนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

สําหรับ นายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายมือปืน ยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายอย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายมาเฟีย

การที่นายมาเฟียจ้างนายมือปืนให้ไปฆ่านายเจ้าพ่อนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว
ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง นายมาเฟียจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ และเมื่อนายมือปืนได้ลงมือกระทําความผิดนั้น จนเป็นผลสําเร็จตามที่ถูกใช้แล้ว นายมาเฟียจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคสาม

กรณีของนายลูกปืน

การที่นายลูกปืนได้สมคบกันกับนายมือปืนเพื่อไปฆ่านายเจ้าพ่อ โดยให้นายมือปืนเป็นผู้ยิงและ นายลูกปืนจะช่วยดูต้นทางให้นั้น ถือว่านายลูกปืนและนายมือปืนได้ร่วมกันเพื่อกระทําความผิดตั้งแต่แรกจนถึง ขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น เมื่อนายมือปืนยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตาย นายลูกปืนจึงต้องรับผิดทางอาญาร่วมกับนายมือปืนในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 ในความผิดฐานฆ่าคนตาย
โดยเจตนา

กรณีของนายระเบิด

การที่นายระเบิดเดินผ่านมาในทางที่นายลูกปืนและนายมือปืนดักยิงนายเจ้าพ่อ นายลูกปืนซึ่งสนิทกับ นายระเบิดจึงเล่าเรื่องให้นายระเบิดฟังและให้นายระเบิดช่วยดูต้นทางให้อีกคนนั้น แม้นายระเบิดจะได้ตกลงกับ นายลูกปืนสองคน โดยนายมือปืนผู้ลงมือกระทําความผิดจะไม่รู้ถึงเจตนาของนายระเบิดก็ตาม แต่เนื่องจากนายระเบิดมีเจตนาร่วมกับนายลูกปืนและมีการกระทําร่วมกับนายลูกปืน โดยนายระเบิดจะคอยบอกให้คนที่จะเดินทาง ไปในทางที่นายมือปืนซุ่มรอนายเจ้าพ่อให้เดินไปทางอื่น และเมื่อนายเจ้าพ่อเดินมาถึงจุดดักยิงนายมือปืนจึงยิ่ง นายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายสําเร็จนั้น การกระทําของนายระเบิดมิใช่เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก

ในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิดอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 แต่ถือว่านายระเบิดมีเจตนาร่วมกันกับนายลูกปืนและมีการกระทําร่วมกันกับนายลูกปืนแล้ว และเมื่อนายมือปืนยิง นายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายสําเร็จ จึงถือว่านายระเบิด นายลูกปืน และนายมือปืนได้ร่วมกันเพื่อกระทําความผิด ตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น นายระเบิดจึงเป็นตัวการร่วมกัน กับนายลูกปืนและนายมือปืนในการกระทําความผิดฐานฆ่านายเจ้าพ่อตายโดยเจตนาตามมาตรา 83

สรุป นายมาเฟียต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

นายลูกปืนและนายระเบิดต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 และต้องรับโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเช่นเดียวกับนายมือปืน

LAW2006 กฎหมายอาญา1 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ดํานั่งดื่มกาแฟคนละโต๊ะกับขาวที่ร้านกาแฟหน้าหมู่บ้าน ขณะที่ร้านกาแฟเปิดทีวีถ่ายทอดสด รายการฟุตบอลให้ลูกค้าชม ดําเชียร์ฟุตบอลเสียงดัง ขาวคุยกับเพื่อนไม่ได้ยินจึงพูดกับคําว่าช่วยเชียร์ ฟุตบอลเสียงเบา ๆ หน่อย เพราะคนอื่นคุยกันแล้วไม่ได้ยิน ดําไม่พอใจลุกขึ้นเดินเข้ามาหาขาวแล้ว เงื้อมือจะตบหน้าขาวในระยะประชิดตัว ขาวผลักดําครั้งเดียว ดําหกล้มสะดุดขาตัวเองหกล้มขาหัก ดังนี้ ขาวจะต้องรับผิดในทางอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด
และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น

(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขาวผลักดําทําให้ดําล้มสะดุดขาตัวเองหกล้มขาหักนั้น ถือว่าขาวได้กระทํา ต่อดําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกัน ขาวก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วขาวจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ขาวได้ผลักดํานั้นเป็นเพราะดําได้เดินเข้ามาหาขาวแล้วเงื้อมือจะตบหน้าขาว ในระยะประชิดตัว ซึ่งลักษณะการกระทําของดํานั้น ย่อมถือได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิด ต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับขาว และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ขาวจึงต้องกระทําคือการผลักดําเพื่อป้องกันสิทธิของตน

อีกทั้งการที่ขาวได้ผลักดําเพียงครั้งเดียวย่อมถือว่าขาวได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ ดังนั้น การกระทําของขาว จึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ของการกระทําอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา68 ขาวจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป ขาวไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 2 ม่วงกับส้มขัดใจกันเรื่องผลประโยชน์ธุรกิจที่ทําร่วมกัน วันเกิดเหตุม่วงพบส้มที่ตลาด ขณะส้ม กําลังยืนซื้อของ ม่วงเดินมาข้างหลังส้มแล้วหยิบขวดแอลกอฮอล์ (จุดไฟติด) เทราดส้มตั้งแต่ศีรษะ ลงมาถึงเท้า แล้วใช้ไฟแช็คจุดไฟที่ต้นคอส้ม ไฟไหม้ตามตัวส้มร้อยละ 90 ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ เข้าห้ามและช่วยนําตัวส้มส่งโรงพยาบาล ส้มบาดเจ็บ

ดังนี้ ม่วงจะต้องรับผิดในทางอาญาใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงกับส้มขัดใจกันเรื่องผลประโยชน์ธุรกิจที่ทําร่วมกัน เมื่อม่วงพบส้มที่ ตลาดขณะส้มกําลังซื้อของ ม่วงเดินเข้ามาข้างหลังส้มแล้วหยิบขวดแอลกอฮอล์ (จุดไฟติด) เทราดส้มตั้งแต่ศีรษะ ลงมาถึงเท้า แล้วใช้ไฟแช็คจุดไฟที่ต้นคอส้ม ทําให้ไฟไหม้ตามตัวส้มร้อยละ 90 นั้น การกระทําของม่วงเป็น การกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผลตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น คือความตายของส้ม ดังนั้นม่วงจึงต้องรับผิดทางอาญา ต่อส้มตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา…….”

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าส้มไม่ตายตามความประสงค์ของม่วง เนื่องจากชาวบ้าน ได้เห็นเหตุการณ์เข้าห้ามและนําส้มส่งโรงพยาบาล ส้มจึงเพียงแต่บาดเจ็บ จึงเป็นกรณีที่ม่วงได้ลงมือกระทํา

ความผิด ซึ่งได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ม่วงจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าส้มโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป ม่วงจะต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าส้มโดยเจตนา

ข้อ 3 นายโก๋เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับนายดํามาก่อน เห็นนายดําเดินมาจึงเข้าไปชกต่อยจนนายดําล้มลง แล้วตามเข้าไปจะเตะซ้ําอีก นายขาวเห็นเหตุการณ์เข้าห้ามไม่ให้นายโก๋ทําร้ายนายดํา นายโก๋ไม่พอใจจึงชักมีดแทงนายขาวได้รับบาดเจ็บล้มลง แล้วนายโก๋ใช้มีดจะเข้าไปทําร้ายนายดําอีก นายขาวจึงคว้าไม้ตีนายโก๋ศีรษะแตกล้มลงและไม้ยังหักกระเด็นไปถูกนายดําได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ดังนี้ นายขาวจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น……..”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายขาวจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ วินิจฉัยได้ดังนี้

การที่นายโก๋เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับนายดํามาก่อน เมื่อเห็นนายดําเดินมาจึงเข้าไปชกต่อยจนนายดําล้มลงแล้วตามเข้าไปจะเตะซ้ําอีก นายขาวเห็นเหตุการณ์เข้าไปห้ามไม่ให้นายโก๋ทําร้ายนายดํา ทําให้นายโก๋ไม่พอใจจึงชักมีดแทงนายขาวได้รับบาดเจ็บล้มลง แล้วนายโก๋ใช้มีดจะเข้าไปทําร้ายนายดําอีก นายขาวจึงคว้าไม้ตีนายโก๋ศีรษะแตกล้มลงนั้น การกระทําของนายขาวเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายขาวจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนายขาวจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของนายขาวถือได้ว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของนายดํา ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อีกทั้งนายขาว
ได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายขาวจึงเป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายขาวจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโก๋ตามมาตรา 68

และเมื่อการที่นายขาวได้ใช้ไม้ตีนายโก๋จนศีรษะแตกล้มลง และไม้ยังหักกระเด็นไปถูกนายดํา
ได้รับบาดเจ็บอีกด้วยนั้น การกระทําของนายขาวต่อนายดํานั้นถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาโดยพลาดไปตาม มาตรา 60 แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของนายขาวเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นผลที่เกิดขึ้น โดยพลาด จึงเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 68 นายขาวจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายดําเช่นกัน

สรุป นายขาวไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโก๋และนายดํา เพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 4 หนึ่งกับสองร่วมกันวางแผนขโมยวัว ในตอนกลางคืน หนึ่งเข้าไปจูงวัวจากคอกของนายช้างไปส่ง ให้สองซึ่งรออยู่ชายทุ่ง ห่างจากคอกนายช้างประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อหนึ่งขโมยวัวมาส่งให้สอง แล้วหนึ่งก็กลับบ้านไป สองจูงวัวไปขายให้กับสาม สามรู้ว่าเป็นวัวที่ถูกขโมยมาแต่เห็นว่าราคาถูก ก็รับซื้อไว้

ดังนี้ สองและสามจะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งขโมยวัวจากคอกของนายช้างในฐาน เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วม กระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่น กระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สองและสามจะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งขโมยวัวจากคอกของ นายช้างในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนหรือไม่ อย่างไร แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของสอง

แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า สองได้ร่วมกับหนึ่งวางแผนขโมยวัวในตอนกลางคืนจากคอกของนายช้าง
ในตอนแรกก็ตาม แต่ตอนที่หนึ่งเข้าไปขโมยวัวจากคอกของนายช้างนั้น สองไม่ได้อยู่ร่วมกระทําความผิดด้วย เนื่องจากสองได้รออยู่ชายทุ่งห่างประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งไม่สามารถมองเห็นหรือช่วยเหลือได้ สองจึงมิใช่ตัวการ ที่จะต้องร่วมรับผิดกับหนึ่งตามาตรา 83 เพื่อนําไปขายให้กับนายสามนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหนึ่งได้เข้าไปขโมยวัวจากคอกของนายช้างแล้ว ได้จูงวัวไปส่งให้นายสอง การร่วมกันวางแผนขโมยวัวและการไปรอรับวัวอยู่ที่ชายทุ่งของสอง ย่อมถือว่า เป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนการกระทําความผิดแล้ว เมื่อหนึ่งได้ลงมือกระทํา ความผิดสําเร็จ สองจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของสาม

แม้สามจะได้รับซื้อวัวไว้และรู้ว่าเป็นวัวที่ถูกขโมยมา สามก็ไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 หรือเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 แต่อย่างใด เพราะสามไม่ได้ร่วมกันกระทําความผิดกับหนึ่ง หรือเป็นผู้ “ก่อ” ให้หนึ่ง กระทําความผิด และสามก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 เพราะสามไม่ได้กระทําการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่หนึ่งกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิดแต่อย่างใด แต่การกระทําดังกล่าวของสามย่อมเป็นความผิดฐานใหม่คือ ความผิดฐานรับของโจร

สรุป สองมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามาตรา 86 ส่วนสามไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือสนับสนุนแต่อย่างใด แต่สามจะมีความผิดฐานใหม่ คือความผิดฐานรับของโจร

LAW2006 กฎหมายอาญา1 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 ดําไม่พอใจท่าเดินกวนประสาทของขาวขณะเดินซื้อของที่ตลาด เมื่อขาวเดินมาใกล้ ดําตบและชก หน้าขาว ขาวล้มลง ดํากระชากคอเสื้อขาวจะชกซ้ำ ขาวผวาเข้ากอดดํากัดหูดําแหว่ง ดําทนเจ็บไม่ไหว ปล่อยขาว ดังนี้ ขาวจะต้องรับผิดชอบอาญาอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น (4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขาวกัดหูดําแหว่งนั้น ถือว่าขาวได้กระทําต่อดําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันขาวก็ได้ประสงค์ต่อผลของการ กระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วขาวจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุที่ขาวผวาเข้ากอดดําและกัดดําหูแหว่งนั้น เป็นเพราะ ดําตบและชกหน้าขาว เมื่อขาวล้มลง ดํากระชากคอเสื้อขาวและจะชกช้ํา ซึ่งการกระทําของดํานั้น ย่อมถือได้ว่า มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับขาว และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทําให้ขาวต้องกระทําคือการผวาเข้ากอดดําและกัดหูดําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากการถูกทําร้ายเนื่องจากขาวไม่มีทางเลือกอื่นใด และเมื่อการกระทําของขาวเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ ดังนั้น การกระทําของขาว ดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ขาวจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา

สรุป ขาวไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 2 หนึ่งกับสองเป็นวัยรุ่นชอบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ซิ่ง หนึ่งยืนดูช่างซ่อมรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ของตน ที่อู่ประจําเห็นสองนํารถมอเตอร์ไซค์ 100 ซีซี เข้ามาให้ช่างซ่อม ขณะที่สองนั่งคุยกับช่างซ่อม หนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า อู่นี้ไม่รับซ่อมรถกระจอก 100 ซีซี เสียเวลาช่าง ไม่มีเงินซื้อบิ๊กไบค์ ก็อย่ามาซ่อมทุเรศและเอาเท้าลูบศีรษะสอง สองลุกขึ้นมาชกหน้าหนึ่ง หนึ่งคิ้วแตก ดังนี้ สองต้อง รับโทษอาญาอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิด ต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย

การกระทําความผิดที่ผู้กระทําสามารถอ้างเหตุ “บันดาลโทสะ” เพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษ ตามมาตรา 72 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

1 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม

2 การข่มเหงเช่นนั้นเป็นเหตุให้ผู้กระทําผิดบันดาลโทสะ

3 ผู้กระทําได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งพูดกับสองว่าอู่นี้ไม่รับซ่อมรถกระจอก 100 ซีซี เสียเวลาช่าง ไม่มีเงิน ซื้อบิ๊กไบค์ก็อย่ามาซ่อมทุเรศนั้น คําพูดดังกล่าวของหนึ่งที่พูดแซวเสียดสีสองเป็นเพียงคําพูดที่ไม่เหมาะสมยังไม่ถือว่า เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรง แต่การที่หนึ่งเอาเท้าลูบศีรษะสองนั้นถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามความรู้สึกของคนธรรมดาทั่วไปในสภาพภาวะวิสัยและพฤติการณ์อย่างเดียวกับสองแล้ว ดังนั้น การที่สองลุกขึ้นมาชกหน้าหนึ่งบาดเจ็บนั้น แม้จะถือว่าสองได้กระทําโดยเจตนาต่อหนึ่งตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะสองได้กระทําไปโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันสองก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งทําให้สองต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ในความผิดฐานทําร้ายร่างกายหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อสองได้กระทําไป เพราะบันดาลโทสะและได้กระทําต่อหนึ่งผู้ข่มเหงตนในขณะนั้น สองย่อมสามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ เพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72

สรุป สองต้องรับโทษทางอาญาฐานทําร้ายร่างกายหนึ่ง แต่สองอ้างได้ว่ากระทําเพราะบันดาลโทสะ เพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

ข้อ 3 นายเสือกับนายสิงห์มีปัญหาขัดแย้งกันในเรื่องธุรกิจผิดกฎหมาย นายเสือจึงต้องการฆ่านายสิงห์ วันเกิดเหตุนายเสือไปดักรอนายสิงห์ที่หน้าบ้าน เมื่อนายสิงห์มาจอดรถและกําลังไปเปิดประตูรั้วบ้าน นายเสือได้ใช้ปืนจ้องเล็งไปที่นายสิงห์ นายสิงห์ซึ่งคอยระวังตัวอยู่ก่อนแล้วได้ใช้ปืนยิงไปที่นายเสือกระสุนปืนไม่ถูกนายเสือแต่ถูกเสารั้วแล้วแฉลบไปถูกนางนกซึ่งกําลังยืนรดน้ําต้นไม้อยู่บ้านตรงข้ามถึงแก่ความตาย ดังนี้ กรณีนางนกซึ่งถึงความตาย นายสิงห์จะอ้างว่ากระทําเพื่อป้องกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น….”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสิงห์ได้ใช้ปืนยิงไปที่นายเสือ กระสุนปืนไม่ถูกนายเสือแต่ถูกเสารั้ว แล้วแฉลบไปถูกนางนกซึ่งกําลังยืนรดน้ําต้นไม้อยู่บ้านตรงข้ามถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายสิงห์เป็น การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทํา ของนายสิงห์จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนายสิงห์จะต้องรับผิดทางอาญามาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสิงห์ใช้ปืนยิงไปที่นายเสือนั้น เป็นเพราะนายเสือได้ใช้ปืนจ้องเล็งไปที่ นายสิงห์ด้วยเจตนาจะฆ่านายสิงห์ก่อน การที่นายสิงห์ใช้ปืนยิงไปที่นายเสือจึงถือเป็นการกระทําเพื่อป้องกันชีวิต
ของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
อีกทั้งเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายสิงห์จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 68 ดังนั้น นายสิงห์จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายเสือ

และเมื่อการที่นายสิงห์ใช้ปืนยิงไปที่นายเสือ แต่กระสุนไม่ถูกนายเสือแต่ถูกเสารั้วแล้วแฉลบไปถูก นางนกถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายสิงห์ต่อนางนกนั้น ถือเป็นการกระทําโดยเจตนาโดยพลาดไปตาม มาตรา 60 ซึ่งเมื่อเจตนาตอนแรกของนายสิงห์เป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้น โดยพลาดไปจึงถือเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 68 นายสิงห์จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนางนกด้วยเช่นกัน

สรุป กรณีนางนกถึงแก่ความตาย นายสิงห์สามารถอ้างได้ว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมายได้

ข้อ 4 นายดําต้องการฆ่านางสมศรีเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ วันเกิดเหตุขณะที่นางสมศรีกําลังเดินทวงหนี้
แม่ค้าในตลาด นายดําได้มอบปืนให้นายแดงโดยหลอกว่าเป็นปืนปลอมให้ไปยิงล้อเล่นนางสมศรี ให้ตกใจ นายแดงหลงเชื่อว่าเป็นปืนปลอมตามที่ถูกหลอกลวงจึงใช้ปืนยิงไปที่นางสมศรี นางสมศรี ถูกกระสุนปืนและถึงแก่ความตาย ดังนี้ อยากทราบว่าการกระทําของนายดําเป็นความผิดฐานเป็น ผู้ใช้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อ ได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําต้องการฆ่านางสมศรี และขณะที่นางสมศรีกําลังเดินทวงหนี้แม่ค้า ในตลาด นายดําได้มอบปืนให้นายแดงโดยหลอกว่าเป็นปืนปลอมให้ไปยิงล้อเล่นนางสมศรีให้ตกใจ นายแดงหลงเชื่อว่า เป็นปืนปลอมตามที่ถูกหลอกลวงจึงใช้ปืนยิงไปที่นางสมศรี นางสมศรีถูกกระสุนปืนและถึงแก่ความตายนั้น กรณี ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า นายแดงผู้ถูกใช้ไม่มีเจตนาที่จะฆ่านางสมศรี เพราะนายแดงไม่รู้ว่าปืนที่นายดํามอบให้ เป็นปืนจริงที่มีอานุภาพทําให้ผู้ถูกยิงถึงแก่ความตายได้ จึงถือว่านายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด และจะถือว่านายแดงผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ตามมาตรา 59 วรรคสาม นายแดงจึงไม่มีความผิดฐานเจตนาฆ่านางสมศรีตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อมามีว่า การกระทําของนายดําเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า ความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ใช้และผู้อื่นที่ถูกใช้นั้นมีเจตนาที่จะกระทํา ความผิดด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแดงผู้ถูกใช้ไม่มีเจตนาที่จะกระทําความผิด ดังนั้น นายดําจึงไม่มีความผิด ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 แต่ถือว่านายดํามีความผิดฐานเจตนาฆ่านางสมศรี โดยเป็นการกระทําโดยอ้อมของ นายดํา คือเป็นการกระทําของนายดําโดยอาศัยนายแดงเป็นเครื่องมือนั่นเอง

สรุป การกระทําของนายดําไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ แต่เป็นการกระทําโดยอ้อมของนายดํา

LAW2006 กฎหมายอาญา1 s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายโมหะกลับบ้านตอนดึกได้ทราบข่าวจากนางโมรีที่เป็นภริยาว่า มอคค่าหมาที่เลี้ยงไว้กัด เด็กหญิงโมจิลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา นายโมหะโมโหมอคค่ามาก ตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับ มอคค่าอีกต่อไป จึงยืนดักรอมอคค่ากลับมาบ้าน ผ่านไปครู่ใหญ่มีหมาตัวหนึ่งลอดประตูรั้วเข้าบ้าน มาคุ้ยเขี่ยเศษอาหารกินด้วยความหิวโหย นายโมหะจึงเดินไปที่รถหยิบไม้กอล์ฟในรถมาฟาดไปที่ ศีรษะหมาตัวนั้นจนตายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวที่ตายเป็นเอสเปรสโซ่ หมาของนายโทโสเพื่อนบ้าน จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโมหะ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทํา โดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง
ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้
แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือ ความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํา รับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทํา โดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้
โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา (มาตรา 59 วรรคหนึ่ง)

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ คือจะถือว่า ผู้กระทําได้กระทําโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคสอง และมาตรา 62 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโมหะได้ใช้ไม้กอล์ฟฟาดไปที่ศีรษะหมา คือ เอสเปรสโซ่ตายนั้น เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกจึงถือว่าเป็นการกระทําทางอาญาแล้ว แต่การกระทําดังกล่าวของ
นายโมหะจะถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาหาได้ไม่ เพราะนายโมหะได้กระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม คือไม่รู้ว่าหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟฟาดจนตายนั้นเป็นทรัพย์ ของผู้อื่นไม่ใช่มอคค่าหมาของตนเอง ดังนั้นนายโมหะจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์
(องค์ประกอบของความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 358 คือ

1 ทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้ เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์

2 ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาท ของนายโมหะ เนื่องจากนายโมหะได้ฟาด เอสเปรสโซ่ซึ่งเป็นหมาของนายโทโสตายนั้น ได้กระทําโดยไม่ทันดูให้ดีว่า ไม่ใช่มอคค่าหมาของตน แต่นายโมหะก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททําให้เสียทรัพย์ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ การกระทําโดยประมาททําให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ประกอบกับ มาตรา 62 วรรคสอง ดังนั้นนายโมหะจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป นายโมหะไม่มีความรับผิดทางอาญา

ข้อ 2 นางสาวลิ้นจี่ต้องการฆ่านายแคนตาลูป เมื่อเห็นนายองุ่นเต้นแอโรบิคอยู่จึงเข้าใจว่าเป็นนายแคนตาลูป นางสาวลิ้นจีจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายองุ่น ทําให้นายองุ่นได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย และกระสุนยังไปถูกนางสาวสุ่มได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาจนเสียหลักล้มลงไปทับลูกหมาของนางแตงโมด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนางสาวลิ้นจี่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท
หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา
กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้
แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมาย บัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย
มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้น จะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวลิ้นจี่ต้องการฆ่านายแคนตาลูป เมื่อเห็นนายองุ่นเต้นแอโรบิคอยู่ จึงเข้าใจว่าเป็นนายแคนตาลูปจึงใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายองุ่น ทําให้นายองุ่นได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายนั้น การกระทํา ของนางสาวลิ้นจี่เป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผลตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดย รู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น เมื่อกระสุนปืนถูกที่ขาซ้ายของนายองุ่นทําให้นายองุ่นไม่ตายจึงเป็นกรณีที่นางสาวลิ้นจี่ได้ลงมือกระทําความผิดซึ่งได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือนายองุ่นไม่ตายตามที่นางสาวลิ้นจี่ต้องการ นางสาวลิ้นจี่จึงมีความผิดฐาน พยายามฆ่านายองุ่นโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง นางสาวลิ้นจี่จะอ้างว่าได้กระทําเพราะเหตุสําคัญผิดว่านายองุ่นเป็นนายแคนตาลูปเพื่อเป็นข้อแก้ตัวมิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่

และการที่กระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสาวส้มได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาด้วยนั้น เป็นกรณีที่นางสาวลิ้นจี่ ได้กระทําโดยเจตนาต่อนายองุ่นแต่ผลของการกระทําเกิดแก่นางสาวส้มโดยพลาดไป ให้ถือว่านางสาวลิ้นจี่ได้กระทํา โดยเจตนาต่อนางสาวสมบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทําด้วยตามมาตรา 60 และเมื่อนางสาวส้มไม่ตาย เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ นางสาวลิ้นจี่จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านางสาวส้มโดยพลาดไปตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 60 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่กระสุนปืนไปถูกนางสาวส้มได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาจนเสียหลักล้มลงไปทับลูกหมาของ
นางแตงโมด้วยนั้น นางสาวลิ้นจี่ไม่ต้องรับผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ เพราะมิใช่การกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60 นี้เพราะผลร้ายที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนากระทํา กล่าวคือ เมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนาต่อ บุคคล แต่ผลร้ายเกิดขึ้นกับทรัพย์จึงไม่อยู่ในความหมายของคําว่าพลาด แต่อย่างไรก็ดีการกระทําของนางสาวลิ้นจี่ เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทํา อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่แม้จะเป็นการกระทําโดยประมาท นางสาวลิ้นจี่ก็ไม่มีความผิด เพราะการทําให้เสียทรัพย์โดยประมาทนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดแต่อย่างใด

สรุป นางสาวลิ้นจี่ต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายองุ่นและฐานพยายามฆ่านางสาวส้ม
โดยพลาด แต่ไม่ต้องรับผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ของนางแตงโม

ข้อ 3 นายโยธินเป็นคู่อริกับนายนาวิน นายโยธินจึงลอบเข้าไปในบ้านของนายนาวินและเล็งปืนไปยัง นายนาวิน ขณะเดียวกันนายนาวินได้หยิบปืนขึ้นมาทําความสะอาดอยู่พอดี เห็นนายโยธินกําลัง เล็งปืนมาที่ตน นายนาวินเลยใช้ปืนกระบอกนั้นยิงไปที่นายโยธิน นายโยธินถึงแก่ความตายทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนาวิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่
ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด
และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น

(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนาวินใช้ปืนยิงไปที่นายโยธินจนนายโยธินถึงแก่ความตายทันทีนั้น ถือว่านายนาวินได้กระทําต่อนายโยธินโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึก ในการกระทํา และในขณะเดียวกันนายนาวินก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วนายนาวิน
จะต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโยธินตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายนาวินใช้ปืนยิงนายโยธินนั้น เป็นเพราะนายโยธินได้ลอบเข้าไปในบ้าน ของนายนาวินและเล็งปืนไปยังนายนาวิน ซึ่งลักษณะการกระทําของนายโยธินนั้นย่อมถือได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจาก การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับนายนาวินแล้ว และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นายนาวินจึงต้อง กระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนคือการใช้ปืนยิงไปที่นายโยธิน และเมื่อเป็นการกระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทํา ดังกล่าวของนายนาวินจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ของการกระทําอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68

ดังนั้น นายนาวินจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป นายนาวินไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ข้อ 4 นายมาเฟียเป็นศัตรูกับนายเจ้าพ่อ นายมาเฟียจ้างนายมือปืนไปฆ่านายเจ้าพ่อ นายมือปืนได้ สมคบกันกับนายลูกปืนจะไปฆ่านายเจ้าพ่อ โดยให้นายมือปืนเป็นผู้ยิง นายลูกปืนจะช่วยดูต้นทางให้ ระหว่างที่รอนายเจ้าพ่อ นายระเบิดเดินผ่านมาทางนี้พอดี นายลูกปืนสนิทกับนายระเบิดจึงเล่าเรื่อง ให้นายระเบิดฟัง และให้ช่วยดูต้นทางอีกคน นายระเบิดตกลงกับนายลูกปืนสองคน ระหว่างรอนั้น มีคนจะเดินไปทางที่นายมือปืนซุ่มรอนายเจ้าพ่อพอดี นายระเบิดจึงเดินไปบอกคนนั้นให้เดินไป ทางอื่นเพราะถนนไม่ดี เมื่อนายเจ้าพ่อมาถึงจุดดักยิง นายมือปืนจึงยิงนายเจ้าพ่อสําเร็จ นายเจ้าพ่อ ถึงแก่ความตายทันทีในที่เกิดเหตุ

จงวินิจฉัยความรับผิดของนายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด พร้อมอัตราโทษตามกฎหมาย สําหรับการเป็นผู้ร่วมกระทําความผิดด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ…”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมือปืนยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายนั้น ถือเป็นการกระทําโดย รู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายมือปืน จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายมือปืนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา

สําหรับ นายมาเฟีย นายลูกปืน และนายระเบิด จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายมือปืน ยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายอย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายมาเฟีย

การที่นายมาเฟียจ้างนายมือปืนให้ไปฆ่านายเจ้าพ่อนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว
ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง นายมาเฟียจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ และเมื่อนายมือปืนได้ลงมือกระทําความผิดนั้น จนเป็นผลสําเร็จตามที่ถูกใช้แล้ว นายมาเฟียจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84 วรรคสาม

กรณีของนายลูกปืน

การที่นายลูกปืนได้สมคบกันกับนายมือปืนเพื่อไปฆ่านายเจ้าพ่อ โดยให้นายมือปืนเป็นผู้ยิงและ นายลูกปืนจะช่วยดูต้นทางให้นั้น ถือว่านายลูกปืนและนายมือปืนได้ร่วมกันเพื่อกระทําความผิดตั้งแต่แรกจนถึง ขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น เมื่อนายมือปืนยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตาย นายลูกปืนจึงต้องรับผิดทางอาญาร่วมกับนายมือปืนในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 ในความผิดฐานฆ่าคนตาย
โดยเจตนา

กรณีของนายระเบิด

การที่นายระเบิดเดินผ่านมาในทางที่นายลูกปืนและนายมือปืนดักยิงนายเจ้าพ่อ นายลูกปืนซึ่งสนิทกับ นายระเบิดจึงเล่าเรื่องให้นายระเบิดฟังและให้นายระเบิดช่วยดูต้นทางให้อีกคนนั้น แม้นายระเบิดจะได้ตกลงกับ นายลูกปืนสองคน โดยนายมือปืนผู้ลงมือกระทําความผิดจะไม่รู้ถึงเจตนาของนายระเบิดก็ตาม แต่เนื่องจากนายระเบิด มีเจตนาร่วมกับนายลูกปืนและมีการกระทําร่วมกับนายลูกปืน โดยนายระเบิดจะคอยบอกให้คนที่จะเดินทาง ไปในทางที่นายมือปืนซุ่มรอนายเจ้าพ่อให้เดินไปทางอื่น และเมื่อนายเจ้าพ่อเดินมาถึงจุดดักยิงนายมือปืนจึงยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายสําเร็จนั้น การกระทําของนายระเบิดมิใช่เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก

ในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิดอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 แต่ถือว่านายระเบิดมีเจตนาร่วมกันกับนายลูกปืนและมีการกระทําร่วมกันกับนายลูกปืนแล้ว และเมื่อนายมือปืนยิง นายเจ้าพ่อถึงแก่ความตายสําเร็จ จึงถือว่านายระเบิด นายลูกปืน และนายมือปืนได้ร่วมกันเพื่อกระทําความผิด ตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น นายระเบิดจึงเป็นตัวการร่วมกัน กับนายลูกปืนและนายมือปืนในการกระทําความผิดฐานฆ่านายเจ้าพ่อตายโดยเจตนาตามมาตรา 83

สรุป นายมาเฟียต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา 84
วรรคหนึ่งและวรรคสาม

นายลูกปืนและนายระเบิดต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 และต้องรับโทษ
ตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเช่นเดียวกับนายมือปืน

LAW2109 (LAW2009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2109 (LAW 2009) ป.พ.พ.ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายเกดและนางปลาเป็นคู่รักกัน นายเกตเห็นว่านางปลาต้องไปทํางานนอกสถานที่หลายวัน จึงให้ยืมโน้ตบุ๊กและรถยนต์เพื่อใช้ไปทํางานนอกสถานที่ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 นายเกต จึงส่งมอบโน้ตบุ๊กและรถยนต์ให้นางปลาเรียบร้อยแล้ว ในช่วงค่ําของวันเดียวกัน นายกู๊ดเพื่อนบ้าน ของนายเกดโน้ตบุ๊กเสียกะทันหัน จึงโทรศัพท์มาขอยืมโน้ตบุ๊กเพื่อจะใช้ส่งงานให้บริษัท ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายเกดจะเรียกคืนโน้ตบุ๊กจากนางปลาเพื่อเอาไปให้นายกู๊ดเพื่อนบ้านยืมได้หรือไม่ เพราะ เหตุใด

(ข) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 นางปลาเอารถยนต์ที่ยืมมาไปจอดไว้ในลานจอดรถใกล้สถานที่ ที่ตนทํางานนอกสถานที่ โดยปิดกระจกล็อกกุญแจและตรวจสอบความเรียบร้อยของรถยนต์ เป็นอย่างดี เมื่อทํางานเสร็จกลับมาจึงพบว่ารถถูกทุบกระจก จึงรีบแจ้งความทันที กรณีนี้ นายเกดสามารถเรียกค่าเสียหายจากนางปลาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่
ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

มาตรา 644 “ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง”

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียก
ของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเกดให้นางปลายืมโน้ตบุ๊กและรถยนต์เพื่อใช้ไปทํางานนอกสถานที่ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 และเมื่อนายเกดได้ส่งมอบโน้ตบุ๊กและรถยนต์ให้นางปลาเรียบร้อยแล้ว สัญญายืมระหว่าง นายเกดและนางปลาเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 และมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 641 และเป็นสัญญา ยืมใช้คงรูปที่ไม่ได้กําหนดระยะเวลาในการยืมไว้ ซึ่งตามมาตรา 646 กําหนดว่า ถ้ามิได้กําหนดระยะเวลายืมกันไว้ ให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นจนเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา ดังนั้น เมื่อนางปลา
ต้องทํางานนอกสถานที่หลายวัน นายเกดจะมาเรียกคืนโน้ตบุ๊กตั้งแต่คืนแรกที่นางปลายืมไปเพื่อเอาไปให้นายกู๊ด เพื่อนบ้านยืมไม่ได้

(ข) การที่นางปลานํารถยนต์ที่ยืมไปจอดไว้ในลานจอดรถใกล้สถานที่ที่ตนทํางานนอกสถานที่ โดย
ปิดกระจกล็อกกุญแจและตรวจสอบความเรียบร้อยของรถยนต์เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อพบว่ารถยนต์ถูกทุบกระจกก็ได้แจ้งความทันที จึงเป็นกรณีที่นางปลาได้ใช้ความระมัดระวังในการสงวนรถที่ยืมเหมือนเช่นวิญญูชนตามมาตรา 644 แล้ว นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่านางปลาได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมผิดหน้าที่ของผู้ยืมตาม มาตรา 643 แต่อย่างใด ดังนั้น นายเกดจึงไม่สามารถเรียกค่าเสียหายจากนางปลาได้

สรุป

(ก) นายเกดจะเรียกคืนโน้ตบุ๊กจากนางปลาเพื่อเอาไปให้นายกู๊ดเพื่อนบ้านยืมไม่ได้

(ข) นายเกดจะเรียกค่าเสียหายจากนางปลาไม่ได้

ข้อ 2 นางสวยซื้อแหวนเพชรจากนายรวย แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าแหวนจํานวน 500,000 บาท จึงตกลง ทําหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้นายรวยไว้แทน นางสวยพิมพ์ลายนิ้วมือในหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน โดยมีพยานได้แก่นายหนึ่งอายุ 18 ปี ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางสวยในขณะนั้น เป็นภาษาเกาหลี และนายสองซึ่งเป็นใบ้อายุ 25 ปี โดยลงลายมือชื่อรับรองภายหลังจากทํา สัญญาหนึ่งเดือน หนังสือสัญญากู้มีกําหนดเวลาสามปีและตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดย มีข้อตกลงว่าเมื่อครบกําหนดทุกหนึ่งปี ให้นําเอาดอกเบี้ยที่ค้างชําระทบเข้ากับเงินต้นได้ เมื่อครบ กําหนดระยะเวลา นางสวยไม่สามารถชําระหนี้ให้นายรวยได้ นายรวยจึงนําหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ดังกล่าวมาฟ้องบังคับให้นางสวยชําระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดตามสัญญา นางสวยขอให้ศาลยกฟ้อง โดยให้การต่อสู้ว่า

(ก) นางสวยไม่เคยได้รับเงินกู้จํานวน 500,000 บาท จากนายรวย

(ข) หนังสือสัญญากู้ยืมเงินใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินไม่ได้ เพราะพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ค) ข้อตกลงคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการตกลงล่วงหน้าว่า
ดอกเบี้ยค้างชําระครบหนึ่งปี

ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะตัดสินคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 9 “เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับทําให้เป็นหนังสือ บุคคลผู้จะต้องทําหนังสือไม่ จําเป็นต้องเขียนเอง แต่หนังสือนั้นต้องลงลายมือชื่อของบุคคลนั้น

ลายพิมพ์นิ้วมือ แกงได ตราประทับ หรือเครื่องหมายอื่นทํานองเช่นว่านั้น ที่ทําลงในเอกสาร แทนการลงลายมือชื่อ หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้ว ให้ถือเสมอกับลงลายมือชื่อ”

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไป สิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 655 วรรคหนึ่ง “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชําระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ย ค้างชําระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ย ในจํานวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทําเป็นหนังสือ”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อนายรวยได้นําหนังสือสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องบังคับให้นางสวย ชําระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดตามสัญญา แต่นางสวยขอให้ศาลยกฟ้องโดยให้การต่อสู้ดังกล่าวนั้น ข้อต่อสู่ ทั้ง 3 ข้อของนางสวย ย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้เพราะ

(ก) การที่นางสวยซื้อแหวนเพชรจากนายรวยแต่ไม่มีเงินจ่ายค่าแหวนเพชรจํานวน 500,000 บาท จึงตกลงทําหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้นายรวยไว้แทนนั้น ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ คือ เปลี่ยนจากมูลหนี้ซื้อขาย เป็นมูลหนี้กู้ยืมเงิน สัญญากู้ยืมเงินจึงสมบูรณ์ ดังนั้น การที่นางสวยให้การต่อสู้ว่าไม่เคยได้รับเงินกู้จํานวน 500,000 บาท จากนายรวย ข้อต่อสู้ของนางสวยกรณีนี้จึงฟังไม่ขึ้น

(ข) การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น เมื่อนายรวยมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม คือ นางสวย นายรวยจึงสามารถฟ้องเรียกเงินดังกล่าวคืนได้ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ส่วนการที่นางสวยพิมพ์ลายนิ้วมือในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโดยมีพยานได้แก่นายหนึ่งอายุ 18 ปี ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ของนางสวยในขณะนั้นเป็นภาษาเกาหลีนั้น แม้นายหนึ่งจะยังไม่บรรลุนิติภาวะและลงลายมือชื่อเป็นภาษาเกาหลี ก็ไม่มีกฎหมายห้ามไว้แต่อย่างใด ดังนั้น การลงลายมือชื่อของนายหนึ่งดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 9

ส่วนพยานอีกคนหนึ่งคือนายสองนั้น แม้นายสองจะได้ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ในภายหลังก็ตามก็สามารถทําได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การลงลายมือชื่อรับรองในฐานะ พยานของนายสองในภายหลังย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 9 เช่นเดียวกัน

และเมื่อสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 500,000 บาทดังกล่าวนั้น มีหลักฐานเป็นหนังสือ และมี ลายมือชื่อผู้ยืม แม้ผู้ยืมจะพิมพ์ลายนิ้วมือในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแทนการลงลายมือชื่อก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการ ลงลายมือชื่อ เพราะมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนแล้ว จึงใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีได้ ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

(ค) ข้อตกลงให้นายรวยนําเอาดอกเบี้ยที่ค้างชําระทบเข้ากับเงินต้นนั้น เมื่อได้ทําข้อตกลงกันไว้ เป็นหนังสือ และดอกเบี้ยที่ค้างชําระนั้นไม่น้อยกว่า 1 ปี ข้อตกลงดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 655 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการที่มีการทําข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยทบต้นนั้น ก็ไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องทําเมื่อดอกเบี้ยค้างชําระครบ 1 ปีแล้วแต่อย่างใด ถึงสามารถทําข้อตกลงกันไว้ล่วงหน้าได้

ดังนั้น เมื่อข้อต่อสู้ทั้ง 3 ข้อของนางสวยฟังไม่ขึ้น หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะตัดสินให้นางสวยชําระเงิน ตามสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 500,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี รวมถึงดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญากู้ยืมเงิน
ให้แก่นายรวย

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะตัดสินให้นางสวยชําระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 500,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี พร้อมทั้งดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญากู้ยืมให้แก่นายรวย

ข้อ 3 นายสงัดเข้าพักที่โรงแรมเย็นสงบเป็นเวลา 3 คืน โดยได้สิทธิพิเศษจากทางโรงแรมให้จ่ายค่าที่พัก แค่คืนแรกคืนเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าในคืนที่สองนายสงัดได้เข้าไปใช้บริการร้านนวดผ่อนคลาย ของโรงแรม และได้ทําการเก็บแหวนเพชรราคา 250,000 บาท และแว่นตากรอบทองคําราคา 80,000 บาท ไว้ในตู้เซฟที่ทางโรงแรมตั้งไว้เพื่อให้บริการ โดยบอกกล่าวแก่นายเทพพนักงานของ โรงแรมให้ช่วยเฝ้าตู้เซฟดังกล่าวให้เป็นอย่างดี เพราะของในตู้เซฟเป็นของราคาแพง ปรากฏว่า มีคนร้ายมาลักเอาแหวนเพชรราคา 250,000 บาท และแว่นตากรอบทองคําราคา 80,000 บาท ของนายสงัดไป เมื่อทราบถึงการสูญหายดังกล่าว นายสงัดจึงรีบแจ้งแก่ผู้จัดการของโรงแรมเย็นสงบ ในทันที แต่ทางโรงแรมเย็นสงบปฏิเสธความรับผิดต่อนายสงัดโดยอ้างว่าอยู่ในช่วงที่นายสงัด เข้าพักฟรี จึงไม่อยู่ในระบบเวลาที่โรงแรมจะต้องรับผิด

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า โรงแรมเย็นสงบมีความรับผิดต่อนายสงัดหรือไม่ และหากจะต้องรับผิด จะต้องรับผิดเป็นจํานวนเท่าใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือ บุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตาม ที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น เงินตรา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสงัดเข้าพักที่โรงแรมเย็นสงบเป็นเวลา 3 คืนนั้น แม้จะได้สิทธิพิเศษ จากทางโรงแรมให้จ่ายค่าที่พักแค่คืนแรกคืนเดียวเท่านั้น ก็ถือว่านายสงัดเป็นแขกอาศัยหรือคนเดินทางตาม
มาตรา 674 การที่นายสงัดได้เข้าไปใช้บริการร้านนวดผ่อนคลายของโรงแรม และได้ทําการเก็บแหวนเพชรราคา 250,000 บาท และแว่นตากรอบทองคําราคา 80,000 บาท ไว้ในตู้เซฟที่ทางโรงแรมตั้งไว้เพื่อให้บริการ ย่อมเป็น กรณีที่แขกอาศัยหรือคนเดินทางได้นําของมีค่าตามมาตรา 675 เข้ามาในโรงแรมแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การที่ นายสงัดได้เก็บของไว้ในตู้เซฟและบอกกล่าวแก่นายเทพพนักงานโรงแรมให้ช่วยเฝ้าตู้เซฟดังกล่าวให้เป็นอย่างดี เพราะของในตู้เซฟเป็นของราคาแพงนั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะถือได้ว่าเป็นกรณีที่นายสงัดได้นําของมีค่านั้นฝากไว้แก่เจ้าสํานักโรงแรมพร้อมบอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้งตามมาตรา 675 วรรคสอง

ดังนั้น เมื่อมีคนร้ายมาลักเอาแหวนเพชรราคา 250,000 บาท และแว่นตากรอบทองคําราคา 80,000 บาท ของนายสงัดไป ทางโรงแรมเย็นสงบจึงต้องรับผิดต่อนายสงัด โดยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าแหวนเพชร และแว่นตากรอบทองคํารวมเป็นเงิน 5,000 บาท ตามมาตรา 674 และมาตรา 675

สรุป โรงแรมเย็นสงบต้องรับผิดต่อนายสงัด โดยจะต้องรับผิดรวมเป็นเงิน 5,000 บาท

WordPress Ads
error: Content is protected !!