LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  แดนขับรถยนต์อยู่ช่องเดินรถทางซ้าย  ก้องขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของแดน  ก้องพยายามจะขึ้นแซงรถยนต์ของแดน  แต่แดนเบนรถยนต์มาทางขวา  ก้องแซงไม่ได้  พอได้จังหวะที่รถยนต์ของแดนอยู่ช่องเดินรถทางซ้าย

ก้องเร่งเครื่องยนต์แซงขวารถยนต์ของแดนแล้วแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทาง  ทำให้ชมพู่ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บ  และรถยนต์ของแดนเสียหลักไปชนรถจักรยานยนต์ที่ตุ้มขี่มาล้มลง  ตุ้มได้รับบาดเจ็บ

ดังนี้  ก้องต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ความรับผิดทางอาญาของก้อง  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของก้องต่อชมพู่ 

การที่ก้องเร่งเครื่องยนต์แซงขวารถยนต์ของแดนแล้วแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทาง  ทำให้ชมพู่ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บนั้น  ถือว่า  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  กล่าวคือ  ก้องย่อมเล็งเห็นได้ว่าการที่ตนแกล้งเบียดรถยนต์แดนจนรถยนต์ของแดนตกไหล่ทางนั้น  ย่อมทำให้ผู้ที่นั่งมาในรถยนต์ของแดนได้รับบาดเจ็บ  ดังนั้น  การกระทำของก้องจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ก้องจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อชมพู่ ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของก้องต่อตุ้ม 

การที่รถยนต์ของแดนเสียหลักไปชนรถจักรยานที่ตุ้มขี่มาล้มลง  จนทำให้ตุ้มได้รับบาดเจ็บอีกด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่ก้องเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าก้องกระทำโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย  ดังนั้น  ก้องจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อตุ้ม  เพราะได้กระทำต่อตุ้มโดยเจตนาโดยพลาดไปตามมาตรา  60

สรุป  ก้องต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อชมพู่โดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  และรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อตุ้มโดยเจตนาโดยพลาดไป  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  2  เสริมศักดิ์และสมศรีเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย  เสริมศักดิ์ไปที่บ้านของสดใสมารดาของสมศรี  เห็นสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง  เสริมศักดิ์ไม่พิจารณาให้ดีเข้าใจว่าเป็นสร้อยคอทองคำของสมศรีภริยาคงเอามาฝากมารดา  เสริมศักดิ์ต้องการลักทรัพย์ภริยาอยู่แล้ว  จึงเอาสร้อยคอทองคำเส้นนั้นไปขายเพื่อนำเงินมาเล่นการพนัน

ดังนี้  เสริมศักดิ์ต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริง  ตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า  การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

มาตรา  71  วรรคแรก  ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  334  ถึงมาตรา  336  วรรคแรก  และมาตรา  341  ถึงมาตรา  364  นั้น  ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา  หรือภริยากระทำต่อสามี  ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เสริมศักดิ์ลักเอาสร้อยคอทองคำของสดใสไปขายนั้น  ถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นคือ  สร้อยคอทองคำที่ตนลักไป  ดังนั้นการกระทำของเสริมศักดิ์จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งกรณีนี้เสริมศักดิ์จะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อสดใสไม่ได้  ตามมาตรา  61  เพราะสามีลักทรัพย์ของภริยาก็เป็นความผิดอยู่แล้ว  เพียงแต่ได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา  71  วรรคแรก  ดังนั้น  เสริมศักดิ์จึงต้องรับผิดทางอาญาต่อสดใสฐานกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เสริมศักดิ์ลักเอาทรัพย์ของสดใสไปโดยเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ของสมศรีภริยาของตนนั้น  ถือเป็นกรณีที่เสริมศักดิ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริง  กล่าวคือ  สำคัญผิดว่าเป็นทรัพย์ของสมศรีซึ่งไม่มีอยู่จริง  แต่เสริมศักดิ์สำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ซึ่งหากข้อเท็จจริงดังกล่าวมีอยู่จริงแล้วจะทำให้เสริมศักดิ์ไม่ต้องรับโทษ  ตามมาตรา  71  วรรคแรก  ดังนั้น  เสริมศักดิ์จึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  62  วรรคแรก  แม้ความสำคัญผิดดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยความประมาทของเสริมศักดิ์  เพราะไม่พิจารณาดูให้ดีก็ตาม  เสริมศักดิ์ก็ไม่ต้องรับโทษเพราะความผิดฐานลักทรัพย์จะต้องกระทำโดยเจตนาเท่านั้น  ตามมาตรา  62  วรรคสอง

สรุป  เสริมศักดิ์ต้องรับผิดทางอาญาต่อสดใสฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะเสริมศักดิ์สำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามมาตรา  61  วรรคแรก

 

ข้อ  3  เอกและหนึ่งทะเลาะมีปากเสียงกัน  เอกกล่าวต่อหนึ่งว่า  เอกจะฆ่าหนึ่ง  วันหนึ่งเอกไปดักยิงหนึ่ง  และบริเวณนั้นก็มีเก่งมาดักยิงนกอยู่ด้วย  เอกเห็นหนึ่ง  เอกใช้ปืนยิงไปที่หนึ่ง  หนึ่งได้ยินเสียงปืนจึงล้มตัวลง  กระสุนปืนไม่ถูกหนึ่ง  พอหนึ่งลุกขึ้นได้เห็นเก่งกำลังยกปืนเล็งไปที่นก  หนึ่งเข้าใจว่าเป็นเอกจะยิงซ้ำมาที่ตนอีก  หนึ่งจึงชักปืนยิงไปที่เก่ง  กระสุนปืนถูกเก่งตาย  แล้วยังเลยไปถูกยอดที่นั่งอยู่หลังพุ่มไม้ตายด้วย

ดังนี้  เอกละหนึ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  62  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เอกและหนึ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดได้บ้างนั้น  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ

กรณีของเอก

การที่เอกใช้ปืนยิงไปที่หนึ่งนั้น  เอกได้กระทำไปโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และขณะเดียวกัน  ก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  คือความตายของหนึ่ง  การกระทำของเอกจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เมื่อปรากฏว่าเอกได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะหนึ่งล้มตัวหลบได้ทันจึงไม่ถึงแก่ความตาย  เอกจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

กรณีของหนึ่ง

การที่หนึ่งชักปืนยิงไปที่เก่ง  ถือว่าหนึ่งได้กระทำต่อเก่งโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การที่หนึ่งใช้ปืนยิงเก่งนั้น  เป็นเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเอกจะยิงซ้ำมาที่ตนอีก  ซึ่งหากข้อเท็จจริงมีอยู่จริงตามที่หนึ่งเข้าใจแล้ว  การกระทำของหนึ่งย่อมไม่เป็นความผิด  เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  กล่าวคือ  เป็นการที่หนึ่งกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  ดังนั้น  หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง  ตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62  วรรคแรก

และเมื่อการกระทำของหนึ่ง  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว  แม้กระสุนปืนจะเลยไปถูกยอดตาย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่หนึ่งเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  และกฎหมายให้ถือว่าหนึ่งเจตนากระทำต่อยอดโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของหนึ่งเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปย่อมถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62  วรรคแรกด้วย  ดังนั้น  หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อยอด

สรุป  เอกต้องรับผิดทางอาญาต่อหนึ่งฐานพยายามฆ่าหนึ่งตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

หนึ่งไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่งและยอด  เพราะหนึ่งกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62 วรรคแรก

 

ข้อ  4  กันต้องการฆ่าโต  กันโทรศัพท์ไปหาใหญ่เพื่อขอยืมอาวุธปืน  ระหว่างทางที่กันไปรับอาวุธปืนจากใหญ่  กันได้พบกับสมพร  สมพรได้จ้างให้กันไปฆ่าโต  โดยไม่ทราบว่ากันเองต้องการฆ่าโตอยู่ก่อนแล้ว  กันตอบตกลงและสมพรได้จัดหาอาวุธปืนให้กันด้วย  กันได้อาวุธปืนจากสมพรแล้ว  เดินทางไปฆ่าโต  กันเห็นโตจึงเดินตามหลังไป  พอได้ระยะที่จะยิงได้  กันชักปืนออกจากเอวเพื่อจะยิงโต  โดยยังมิทันยกปืนจ้องยิงไปที่โต  มีคนวิ่งมาชนกันเสียก่อน  กันจึงไม่ได้ยิงโต  ดังนี้  กันและสมพรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  กันและสมพรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของกัน

ตามบทบัญญัติมาตรา  59  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่าโดยปกติบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำการซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด  ซึ่งคำว่าได้มีการกระทำนี้  จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมาจนถึงขั้นลงมือกระทำแล้วแต่กรณีตามข้อเท็จจริง  ขณะที่กันชักปืนออกจากเอวเพื่อจะยิงโต  มีคนวิ่งมาชนกันเสียก่อน  โดยที่กันยังมิทันยกปืนจ้องยิงไปที่โต  การกระทำของกันจึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการเท่านั้น  ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำความผิด  เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความผิดสำเร็จ  ดังนั้น  กันจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อโต ตามมาตรา  59  วรรคแรก

กรณีของสมพร

การที่สมพรได้จ้างให้กันไปฆ่าโตนั้น  ไม่ถือว่าเป็นการ  “ก่อ”  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้าง  เพราะกันต้องการฆ่าโตอยู่ก่อนแล้ว  ดังนั้น  สมพรจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84 

ส่วนกรณีที่สมพรได้จัดหาอาวุธปืนให้กันนั้น  ถึงแม้จะเป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทำความผิด  แต่เมื่อปรากฏว่ากันยังไม่ได้ลงมือกระทำความผิด  สมพรจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป  กันไม่ต้องรับผิดทางอาญา  สมพรไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และผู้สนับสนุน

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายชัยและนางสมศรีเป็นสามีภริยามีบุตรด้วยกัน  3  คน  นายชัยได้ไปราชการที่ชายแดน

เมื่อกลับบ้านนางสมศรีภริยาได้เล่าให้นายชัยฟังว่า  เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนายโก๋ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันได้บุกรุกขึ้นมาบนบ้านและข่มขืนกระทำชำเราตน  นายชัยได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก  จึงพกปืนออกจากบ้านเพื่อจะไปฆ่านายโก๋  เมื่อนายชัยพบนายโก๋จึงยกปืนขึ้นเล็งเพื่อจะยิงนายโก๋  แต่นายโก๋เหลือบเห็นเข้าพอดี  จึงชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บ  และกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสมศรีซึ่งตามนายชัยมาด้วยความเป็นห่วงถึงแก่ความตายอีกด้วย

ดังนี้  นายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของนายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายชัย

การที่นายชัยได้ยกปืนขึ้นเล็งเพื่อจะยิงนายโก๋  ถือว่านายชัยได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  และการกระทำของนายชัยต่อนายโก๋  ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของนายชัยเป็นการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  เนื่องจากนายชัยได้ถูกนายโก๋ยิงได้รับบาดเจ็บ  จึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  80  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อนายชัยได้กระทำความผิดในขณะบันดาลโทสะ  เนื่องจากถูกนายโก๋ข่มขืนกระทำชำเรานางสมศรีซึ่งเป็นภริยาของนายชัย  ซึ่งถือว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และได้กระทำความผิดต่อนายโก๋ผู้ข่มเหงในขณะนั้น  (ขณะที่ได้ทราบว่านายโก๋ข่มขืนกระทำชำเราภริยาของตน)  ดังนั้นนายชัยจะได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72

กรณีของนายโก๋

การที่นายโก๋ยิงนายชัยได้รับบาดเจ็บ  ถือว่านายโก๋ได้กระทำความผิดต่อนายชัยโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของนายโก๋ได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายชัย  ตามมาตรา  80  วรรคแรก  และการที่นายโก๋ยิงนายชัยและกระสุนปืนเลยไปถูกนางสมศรีถึงแก่ความตายนั้น  เป็นกรณีที่นายโก๋ได้กระทำโดยเจตนาต่อนายชัย  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่นางสมศรีโดยพลาดไป  ให้ถือว่านายโก๋ได้กระทำโดยเจตนาแก่นางสมศรีบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วยตามมาตรา  60 ดังนั้นนายโก๋จึงต้องรับผิดฐานฆ่านางสมศรีตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60  โดยนายโก๋จะอ้างว่าการกระทำของตนเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้  เพราะนายโก๋เป็นผู้ก่อภัยขึ้นเอง

สรุป  นายชัยต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายโก๋  แต่จะได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80  และมาตรา  72

นายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายชัย  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80  และต้องรับผิดฐานฆ่านางสมศรีตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  2  นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ  ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย  ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาวและบิดาของ  ด.ญ.ตุ๊กตาไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตาย  นายเชิดไม่รู้จักนายศักดิ์เห็นนายสีเข้าใจว่าเป็นนายศักดิ์  จึงใช้ปืนยิงไปถูกนายสีถึงแก่ความตาย  ดังนี้  นายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของนายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอก

การที่นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ  ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย  ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาวและบิดาของ  ด.ญ.ตุ๊กตา  ไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตายนั้น  การกระทำของนายเอกถือว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการบังคับ  นายเอกจึงเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  และเมื่อนายเชิดผู้ถูกใช้ได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  นายเอกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84

กรณีของนายเชิด

การที่นายเชิดใช้ปืนยิงนายสีถึงแก่ความตาย  การกระทำของนายเชิดต่อนายสี  ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  และการที่นายเชิดต้องการยิงนายศักดิ์  แต่เห็นนายสีเข้าใจว่าเป็นนายศักดิ์  จึงยิงนายสีถึงแก่ความตายนั้น  นายเชิดจะอ้างความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้มีเจตนากระทำต่อนายสีไม่ได้  ตามมาตรา  61

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายเชิดใช้ปืนยิงนายสีนั้น  เป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  เพราะเพื่อให้นางดวงดาวและ  ด.ญ.ตุ๊กตา พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้น  ดังนั้นนายเชิดจึงได้รับการยกเว้นโทษตามมาตรา  67(2)

สรุป  นายเอกต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

นายเชิดต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  61  แต่นายเชิดไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67(2)

 

ข้อ  3  นายหล่อใช้นางสุดสวยภริยาให้ไปหยิบอาวุธปืนซึ่งตนบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วมาให้ตน  เพื่อจะใช้ยิงนายดำคู่อริกันซึ่งเดินผ่านเข้ามาในซอยพอดี  นางสุดสวยสงสารนายดำ  แต่ก็ไม่กล้าขัดใจนายหล่อ  จึงไปหยิบปืนแต่แอบเอาลูกกระสุนปืนออกหมด  นายหล่อเมื่อได้ปืนจากนางสุดสวยแล้ว  ได้ใช้ปืนนั้นยิงนายดำ  นายดำไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

ดังนี้  นายหล่อและนางสุดสวยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  81  วรรคแรก  ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด  แต่การกระทำนั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ  ให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทำความผิด  แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายหล่อและนางสุดสวยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายหล่อ

การที่นายหล่อใช้ปืนยิงนายดำ  การกระทำของนายหล่อเป็นการกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  และเมื่อนายหล่อได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ  คือปืนที่ใช้ยิงนายดำนั้นไม่มีลูกกระสุน  ดังนั้นนายหล่อจึงต้องรับผิดฐานพยายามกระทำความผิดซึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  โดยจะต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้น  ตามมาตรา  81  วรรคแรก

กรณีของนางสุดสวย

การที่นางสุดสวยได้ไปหยิบปืนให้แก่นายหล่อ  แต่ได้แอบเอาลูกกระสุนปืนออกหมดนั้น  ถือได้ว่า  นางสุดสวยไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือให้นายหล่อกระทำความผิด  จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ดังนั้นนางสุดสวยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  นายหล่อต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทำความผิด  (พยายามฆ่า)  ซึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา  81  ส่วนนางสุดสวยไม่ต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  4  สุขโกรธแค้นกรด  สูขอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะฆ่ากรดหรือไม่  โจก็ต้องการฆ่ากรด  โจไม่ทราบว่าสุขโกรธแค้นกรดอยู่  โจได้ว่าจ้างให้สุขไปฆ่ากรด  สุขตกลงใจไปฆ่ากรดตามที่โจจ้าง  สุขไปหาจอนที่บ้าน  เพื่อขอยืมอาวุธปืนไปยิงกรด  สุขเห็นจอนกำลังทำความสะอาดอาวุธปืนอยู่พอดี  สุขได้บอกวัตถุประสงค์กับจอน  แต่จอนไม่ให้สุขยืมปืนและได้วางปืนไว้บนโต๊ะ  แล้วเดินเข้าไปข้างในบ้านเพื่อหยิบของ  สุขจึงหยิบเอาอาวุธปืนนั้นเพื่อไปยิงกรด  ระหว่างทางพบจุ๋ม  จุ๋มทราบว่าสุขจะไปยิงกรด  จึงพาสุขไปส่งที่บ้านกรด  และคอยสังเกตการณ์อยู่หน้าบ้านกรด  เมื่อสุขยิงกรดตายแล้วได้หลบหนีไปพร้อมกับจุ๋ม  ดังนี้  การกระทำของโจ  จอน  และจุ๋มได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของสุขในฐานะใด  และต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่สุขใช้ปืนยิงกรดตาย  ถือว่าสุขได้กระทำต่อกรดโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  สุขจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

สำหรับการกระทำของโจ  จอน  และจุ๋มได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของสุขในฐานะใด  และต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของโจ

การที่โจต้องการฆ่ากรด  แม้โจจะไม่ทราบว่าสุขโกรธแค้นกรดอยู่และอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่าจะฆ่ากรดหรือไม่  เมื่อโจได้ว่าจ้างสุขให้ไปฆ่ากรด  และสุขตกลงใจไปฆ่ากรดตามที่โจจ้าง  ถือว่าโจได้ก่อให้สุขกระทำความผิดโดยการจ้าง  โจจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตามมาตรา  84  และเมื่อสุขได้กระทำความผิดแล้ว  โจจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

กรณีของจอน

การที่สุขได้ไปขอยืมอาวุธปืนของจอน  แต่จอนไม่ให้ยืมปืนและได้วางปืนไว้บนโต๊ะ  เมื่อจอนเดินเข้าไปในบ้านสุขได้เอาอาวุธปืนไปยิงกรด  ดังนี้ถือได้ว่าจอนไม่มีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สุขก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  จอนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

กรณีของจุ๋ม

การที่จุ๋มทราบว่าสุขจะไปยิงกรด  จึงได้พาสุขไปส่งที่บ้านกรด  และเมื่อสุขยิงกรดตายแล้วได้หลบหนีไปพร้อมกับจุ๋ม  การกระทำของจุ๋ม  ถือว่า  จุ๋มได้มีเจตนาที่จะยิงกรดร่วมกันกับสุข  ดังนั้นจุ๋มจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83

สรุป  โจต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84

จอนไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

จุ๋มต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006  กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายนัทกลับบ้านมากลางดึก  ได้ทราบข่าวจากนางจอยที่เป็นภริยาว่า  โดเรม่อนน้องหมาที่เลี้ยงไว้มากัด  ด.ญ.ส้มจี๊ดที่เป็นลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา  นายนัทโมโหมากตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับโดเรม่อนอีกต่อไป   จึงนั่งรอโดเรม่อนกลับเข้ามาในบ้าน  เพราะโดเรม่อนได้หนีออกจากบ้านไปหลังจากกัด  ด.ญ.ส้มจี๊ด

ผ่านไปครู่ใหญ่  มีน้องหมาตัวหนึ่งลอดประตูรั้วบ้านเข้ามาคุ้ยเขี่ยกองขยะในถังขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย

ในเวลานั้นเอง  นายนัทเดินไปที่รถเพื่อหยิบไม้กอล์ฟจากรถออกมาตีที่หัวน้องหมาตัวนั้นจนน้องหมาตายคาที่  ปรากฏว่า  น้องหมาตัวนั้นไม่ใช่โดเรม่อนของนายนัท  แต่เป็นน้องหมาโนปิตะของนายบอลที่เป็นเพื่อนบ้าน  โนปิตะมีสีและรูปร่างใกล้เคียงกับโดเรม่อนมาก 

ให้นักศึกษาวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนัท  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบการวินิจฉัย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

การกระทำโดยเจตนา  ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้  คือจะถือว่าผู้กระทำได้กระทำโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายนัทได้ใช้ไม้กอล์ฟตีน้องหมา  คือโนปิตะตายนั้นเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  จึงถือว่าเป็นการกระทำทางอาญาแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวของนายนัทจะถือว่า  เป็นการกระทำโดยเจตนาหาได้ไม่  เพราะนายนัทได้กระทำโดยมิรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  59  วรรคสาม  คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟตีจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น  ไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตนเอง  ดังนั้นนายนัทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์  

องค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  358  คือ

1       ทำให้เสียหาย  ทำลาย  ทำให้เสื่อมค่า  หรือทำให้ไร้ประโยชน์

2       ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายนัท  เนื่องจากนายนัทได้ตีโนปิตะซึ่งเป็นสุนัขของนายบอลตายนั้น  ได้กระทำโดยไม่ดูให้ดีว่าไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตน  แต่นายนัทก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททำให้เสียทรัพย์  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำโดยประมาททำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  ประกอบกับมาตรา  62  วรรคสอง  ดังนั้นนายนัทจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  นายนัทไม่มีความรับผิดทางอาญา 

 

ข้อ  2  แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้  เพราะแคนดี้เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญของแจ็ค  วันหนึ่งแจ็คเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้  จึงใช้ปืนขนาด  .38  มม.  ที่พกอยู่เป็นอาวุธเล็งปืนไปที่น้ำตาล  น้ำตาลตาไวเห็นทันพอดี  จึงตีลังกาหลบแจ็ค  ทำให้กระสุนไม่ถูกน้ำตาลเลย แต่กระสุนกลับเลยไปถูกขวัญได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  ทำให้น้องหมาของแป๋มที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตาย 

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของแจ็คต่อผู้เสียหายทุกราย  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้  เมื่อเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้  จึงใช้ปืนเล็งและยิงไปที่น้ำตาลโดยสำคัญผิดนั้น  การกระทำของแจ็คเป็นการกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  แต่เมื่อกระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาล  จึงเป็นกรณีที่แจ็คได้ลงมือกระทำความผิดซึ่งได้กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  คือน้ำตาลไม่ตายตามที่แจ็คต้องการ  แจ็งจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าน้ำตาล โดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  มาตรา  61  และมาตรา  80  วรรคแรก  แจ็คจะอ้างว่าได้กระทำเพราะเหตุสำคัญผิดว่า  น้ำตาลเป็นแคนดี้  เป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

การที่กระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาล  แต่เลยไปถูกขวัญได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยนั้น  เป็นกรณีที่แจ็คได้กระทำโดยเจตนาต่อน้ำตาล  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ขวัญโดยพลาดไป  ให้ถือว่าแจ็คได้กระทำโดยเจตนาต่อขวัญ  บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วย  ตามมาตรา  60  และเมื่อขวัญไม่ตายเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ  ดังนั้นแจ็คจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าขวัญโดยพลาดไป  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  60  และมาตรา  80  วรรคแรก

ส่วนการที่กระสุนปืนไปถูกขวัญทำให้น้องหมาของแป๋ม  ที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตายนั้น  แจ็คไม่ต้องรับผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะมิใช่การกระทำโดยพลาดตามมาตรา  60  ทั้งนี้เพราะผลร้ายที่เกิดขึ้นโดยพลาดไม่ได้เป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนากระทำ  กล่าวคือเมื่อเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อบุคคล  แต่ผลร้ายเกิดขึ้นกับทรัพย์  จึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่าพลาด  แต่อย่างไรก็ดี  การกระทำของแจ็คเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่  จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  แต่แม้จะเป็นการกระทำโดยประมาท  แจ็คก็ไม่มีความผิด  เพราะการทำให้เสียทรัพย์โดยประมาทนั้น  ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดแต่อย่างใด

สรุป  แจ็คต้องรับผิดทางอาญา  ฐานพยายามฆ่าน้ำตาล

แจ็คต้องรับผิดทางอาญา  ฐานพยายามฆ่าขวัญ

แจ็คไม่ต้องรับผิดทางอาญา  ฐานทำให้เสียทรัพย์ของแป๋ม

 

ข้อ  3  นายอ่อนคนไทยทำงานอยู่ในเรือเดินทะเลของประเทศสิงคโปร์  ขณะเรือลำดังกล่าวแล่นอยู่ในเขตทะเลหลวง  นายอ่อนได้ใช้มีดแทงนายหม่องชาวพม่าตาย  เมื่อเรือลำดังกล่าวเข้าเทียบท่าที่ประเทศมาเลเซีย  นายอ่อนได้แอบหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย  ดังนี้  จะดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทยได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  7  ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  107  ถึงมาตรา  129

(1/1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  135/1  มาตรา  135/2  มาตรา  135/3  และมาตรา  135/4

(2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  240  ถึงมาตรา  249  มาตรา  254  มาตรา  256  มาตรา  257  และมาตรา  266(3) และ (4)

(2 ทวิ)  ความผิดเกี่ยวกับเพศ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  282  และมาตรา  283

(3) ความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  339  และความผิดฐานปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  340  ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษหรือ

(4)  ความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  ถึงมาตรา  290

วินิจฉัย

โดยหลัก  กฎหมายอาญาย่อมใช้บังคับแก่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร  แต่ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  7  และมาตรา  8  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า  แม้การกระทำความผิดนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  แต่ผู้กระทำความผิดอาจต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักร

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายอ่อนคนไทยได้ใช้มีดแทงนายหม่องชาวพม่าตายในเรือเดินทะเลของประเทศสิงคโปร์  ขณะแล่นอยู่ในเขตทะเลหลวงนั้น  เมื่อนายอ่อนแอบหลบหนีเข้ามายังประเทศไทยจะดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทยได้หรือไม่  กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า  การกระทำความผิดของนายอ่อน  เป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และเมื่อความผิดนั้นมิใช่ความผิดตามที่ระบุไว้ในมาตรา  7(1) (2)  และแม้จะเป็นการกระทำความผิดซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง  แต่ก็มิใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์  หรือความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา  7(3)  ดังนั้นจึงดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทย  ตามมาตรา  7  ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อความผิดที่นายอ่อนได้กระทำเป็นความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  และผู้กระทำความผิดเป็นคนไทย  ดังนั้นแม้จะได้กระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  ถ้าผู้เสียหาย  (ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  หรือภริยาของนายหม่อง)  ได้ร้องขอให้ลงโทษ  ก็สามารถที่จะดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศได้ตามมาตรา  8(ก) (4)

สรุป  สามารถดำเนินคดีกับนายอ่อนในประเทศไทยได้  ถ้าผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตามมาตรา  8(ก)  (4)

 

ข้อ  4  นายเอกต้องการฆ่านายหนึ่ง  นายเอกหลอกนายหาญว่านายหนึ่งจะมาฆ่านายหาญ  ซึ่งไม่เป็นความจริง  เพื่อให้นายหาญไปฆ่านายหนึ่ง  นายหาญหลงเชื่อนายเอกจึงตกลงใจว่าจะฆ่านายหนึ่งก่อน  นายหาญได้จ้างนายยอดไปฆ่านายหนึ่ง  นายยอดตามหาตัวนายหนึ่งอยู่  นายเก่งต้องการให้นายหนึ่งตายจึงจ้างนายจ้อยให้ไปบอกที่ซ่อนของนายหนึ่งให้นายยอดทราบ  เมื่อนายจ้อยบอกนายยอด  นายยอดตามหาตัวนายหนึ่งพบและใช้ปืนยิงนายหนึ่งตาย 

ดังนี้  นายยอด  นายเอก  นายหาญ  นายเก่ง  และนายจ้อย  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายยอด  นายเอก  นายหาญ  นายเก่ง  และนายจ้อย  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายยอด

การที่นายยอดใช้ปืนยิงนายหนึ่งตาย  ถือว่านายยอดได้กระทำต่อนายหนึ่งโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ดังนั้นนายยอดจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

กรณีของนายหาญ

การที่นายหาญได้จ้างนายยอดให้ไปฆ่านายหนึ่ง  ถือว่าเป็นการ  “ก่อ”  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้างแล้ว  ดังนั้นนายหาญจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง  คือนายยอดได้ฆ่านายหนึ่งตาย  นายหาญผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84  วรรคสอง

กรณีของนายเอก

การที่นายเอกต้องการฆ่านายหนึ่ง  และได้หลอกนายหาญว่านายหนึ่งจะมาฆ่านายหาญ  ซึ่งไม่เป็นความจริง  เพื่อให้นายหาญไปฆ่านายหนึ่ง  ทำให้นายหาญหลงเชื่อจึงตกลงใจจะฆ่านายหนึ่งก่อน  โดยการจ้างให้นายยอดไปฆ่านายหนึ่งนั้น  การกระทำของนายเอกถือว่าเป็นการ  “ก่อ”  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยวิธีอื่นใด  ตามนัยของมาตรา  84  วรรคแรกแล้ว  เพราะการใช้หรือการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดนั้น  อาจจะเป็นการใช้กันเป็นทอดๆก็ได้  ดังนั้นนายเอกจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง  คือนายยอดได้ฆ่านายหนึ่งตาย  นายเอกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84  วรรคสอง

กรณีของนายจ้อย

การที่นายจ้อยได้บอกที่ซ่อนตัวของนายหนึ่งแก่นายยอด  ทำให้นายยอดหาตัวนายหนึ่งพบ  และใช้ปืนยิงนายหนึ่งตายนั้น  การกระทำของนายจ้อยถือว่า  เป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนกระทำความผิดแล้ว  ดังนั้น  เมื่อนายยอดฆ่านายหนึ่งตาย  นายจ้อยจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

กรณีของนายเก่ง

การที่นายเก่งต้องการให้นายหนึ่งตาย  จึงจ้างนายจ้อยให้ไปบอกที่ซ่อนของนายหนึ่ง  ให้นายยอดทราบนั้น  การกระทำของนายเก่งเป็นการใช้ผู้สนับสนุนคือนายจ้อย  ซึ่งโดยนัยของมาตรา  86  ก็ต้องถือว่าการกระทำของนายเก่งเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่นายยอดได้กระทำความผิดเช่นเดียวกัน  ดังนั้นนายเก่งจึงต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป

นายยอดต้องรับผิดทางอาญา  ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

นายเอกและนายหาญต้องรับผิดทางอาญา  ฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

นายเก่งและนายจ้อยต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  หาญต้องการฆ่าพล  หาญเห็นพลนั่งอยู่  หาญชักปืนออกจากเอวยังไม่ทันยกปืนเล็งไปที่พล  นพเห็นเข้าจึงเข้าไปปัดปืนเพื่อช่วยพล  ปืนลั่นกระสุนไปถูกเก่งตาย  ดังนี้  หาญและนพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  หาญและนพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของหาญ 

การที่หาญต้องการฆ่าพล  และได้ชักปืนออกจากเอวแต่ยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่พลนั้น  ถือว่าหาญยังไม่ได้ลงมือกระทำต่อพล  หาญจึงยังไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าพล  ดังนั้น  หาญจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อพล

แต่อย่างไรก็ตาม  ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงซึ่งหาญต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  การชักปืนออกมาของหาญเป็นการกระทำที่ปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาญก็มิได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  เมื่อผลไปเกิดกับเก่ง  จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทของหาญ  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  และไม่ถือว่าผลที่เกิดขึ้นกับเก่งนั้น  เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป  ตามมาตรา  60  ทั้งนี้เพราะหาญมิได้กระทำโดยเจตนาต่อนพ  และผลไปเกิดขึ้นกับเก่งโดยพลาดไปแต่อย่างใด  ดังนั้น  หาญจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่งเพราะได้กระทำโดยประมาท

กรณีของนพ 

การที่นพปัดปืนที่หาญชักออกมาจากเอวเพื่อช่วยพล  และทำให้ปืนลั่น  กระสุนไปถูกเก่งตายนั้น  นพไม่ได้กระทำโดยประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ  จึงไม่ถือว่านพมีเจตนากระทำต่อเก่ง  และการกระทำของนพถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว  จึงไม่ถือว่านพได้กระทำโดยประมาทต่อเก่ง  ดังนั้นนพจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง

สรุป  หาญต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง  ฐานกระทำโดยประมาท  ส่วนนพไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเก่ง  เพราะมิได้กระทำโดยเจตนาหรือโดยประมาท

 

ข้อ  2  แสนและสดใสเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย  วันหนึ่งแสนกลับเข้าบ้านเปิดประตูห้องนอน  เห็นกล้ากับสดใสกำลังร่วมประเวณีกันโดยสดใสยินยอม  แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้าได้รับบาดเจ็บ  และกระสุนปืนยังทะลุฝาห้องไปถูกเฉิดโฉมที่นอนอยู่ห้องติดกันตาย  ดังนี้  แสนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะยกเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดหรือรับโทษได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของแสนจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  วินิจฉัยได้ดังนี้

การที่แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้าได้รับบาดเจ็บในขณะที่กล้ากับสดใส  ภริยาของแสนกำลังร่วมประเวณีกันอยู่นั้น  การกระทำของแสนเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของแสนจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งโดยหลักแล้ว  แสนจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การกระทำของแสนถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย  อันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของแสนจึงเป็นการกระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้น  แสนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อกล้า  ตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  80

และเมื่อการที่แสนใช้อาวุธปืนยิงกล้านั้น  กระสุนปืนยังได้ทะลุฝาห้องไปถูกเฉิดโฉมที่นอนอยู่ในห้องติดกันตาย  การกระทำของแสนต่อเฉิดโฉมนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไป  ตามมาตรา  60  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของแสนนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้น  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป  จึงเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  ตามมาตรา  60  ประกอบมาตรา  68  ดังนั้นแสนจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อเฉิดโฉม

สรุป  แสนไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อกล้าและเฉิดโฉม  เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  แม้นทำสวนทุเรียนมีช้างป่าเข้ามาทำลายต้นทุเรียนเพื่อกินผลทุเรียน  แม้นใช้ไม้ไล่ตีช้างป่า  ช้างป่าได้เข้ามาทำร้ายแม้น  แม้นวิ่งหนี  ช้างไล่ตาม  แม้นเห็นบ้านแจ้งซึ่งปิดประตูไว้  แม้นคิดว่าถ้าเข้าไปหลบซ่อนตัวในบ้านหลังนั้น  จะพ้นจากการถูกช้างทำร้าย  แม้นจึงพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้าน  แจ้งกลับมาเห็นแม้นพังประตูบ้านของตน  เข้าใจว่าเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์  จึงใช้ไม้ตีถูกแม้นได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  แม้นและแจ้งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะยกเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิดหรือรับโทษอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  62  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้นและแจ้งจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของแม้น

การที่แม้นพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้านของแจ้ง  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของแม้นจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์ของแจ้ง  ตามมาตรา  59  วรรคสอง และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แม้นพังประตูเพื่อเข้าไปในบ้านของแจ้งก็เพื่อให้พ้นจากการถูกช้างทำร้าย  การกระทำของแม้นจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  ตามมาตรา  67(2)  ดังนั้น  แม้นจึงไม่ต้องรับโทษทางอาญา

กรณีของแจ้ง

การที่แจ้งใช้ไม้ตีถูกแม้นได้รับบาดเจ็บนั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของแจ้งจึงเป็นการกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งโดยหลักแล้วจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แจ้งใช้ไม้ตีแม้นนั้นเป็นเพราะว่าแจ้งสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่า  แม้นเป็นคนร้ายจะเข้าไปลักทรัพย์จึงได้กระทำเพื่อป้องกันตนเอง  ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย  อันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และแม้ว่าข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ดังนั้นแจ้งจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแม้นตามมาตรา  68  ประกอบมาตรา  62  วรรคแรก

สรุป  แม้นต้องรับผิดทางอาญาต่อแจ้ง  ฐานกระทำต่อทรัพย์โดยเจตนา  แต่ได้กระทำความผิดด้วยความจำเป็น  จึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น

แจ้งไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแม้น  เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  แดนต้องการฆ่ากร  แดนไปดักยิงกร  แดงเห็นกรเดินมา  แดนยกปืนเล็งไปที่กร  ก่อนลั่นไกปืน  แดนเห็นลูกของกรเดินตามหลังกร แดนเกิดความสงสารลูกของกรที่ต้องขาดพ่อ  จึงเก็บปืนไม่ยิง  ดังนี้  แดนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  82  ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  หากยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด  หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น  แต่ถ้าการที่ได้กระทำไปแล้วต้องบทกฎหมายที่บัญญัติเป็นความผิด  ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นๆ

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่แดนต้องการฆ่ากรและได้ยกปืนเล็งไปที่กรนั้น  ถือว่าแดนได้ลงมือกระทำต่อกรแล้ว  และเป็นการกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  ดังนั้น  แดนจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อกร  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่เมื่อแดนได้เกิดความสงสารลูกของกรที่ต้องขาดพ่อ  จึงเก็บปืนไม่ยิงกร  การกระทำของแดนจึงเป็นการลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  แดนจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทำความผิดต่อกร  ตามมาตรา  80

แต่อย่างไรก็ตาม  การลงมือกระทำความผิดของแดนที่ได้กระทำไปไม่ตลอดนั้น  เป็นเพราะแดนยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด  ดังนั้น  แดนจึงไม่ต้องรับโทษฐานพยายามกระทำความผิดนั้น  ตามมาตรา  82

สรุป  แดนต้องรับผิดทางอาญาต่อกรฐานพยายามกระทำความผิด  แต่แดนไม่ต้องรับโทษฐานพยายามกระทำความผิดนั้น  เพราะได้ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอด

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ สอบซ่อมภาคฤดูร้อน/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอนกกับนายโกสินทำสัญญาเป็นหนังสือมีข้อความว่า  นายเอนกขายที่ดินมีโฉนดของตนหนึ่งแปลงในราคา  5,000,000  บาท  พร้อมกับที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. 3 )  ของตน  อีกหนึ่งแปลงราคา  700,000  บาท  ให้นายโกสินทร์  นายโกสินตกลงซื้อ

นายเอนกส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้นายโกสินทร์แล้ว  และนายโกสินทร์ชำระราคาค่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเงิน  5,700,000  บาท  ให้นายเอนกครบถ้วน  ลงชื่อนายเอนกผู้ขาย  นายโกสินทร์ผู้ซื้อ  ต่อมาอีก  3  ปี  นายเอนกอยากได้ที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์เพราะที่ดินทั้งสองแปลงมีราคาสูงขึ้นมาก

นายเอนกจึงมาเรียกที่ดินทั้งสองแปลงคืนจากนายโกสินทร์และขอให้นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดิน  นายโกสินทร์ไม่ยอมคืนอ้างว่าเป็นที่ดินของตน  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้  นายเอนกยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง

ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลพิจารณาแล้วได้ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  ท่านจะมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัย

สัญญาระหว่างนายเอนกกับนายโกสินทร์เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  และที่ดินทั้งสองแปลงที่ซื้อขายเป็นอสังหาริมทรัพย์  คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  456  วรรคแรก  แต่ทั้งคู่ทำกันเป็นเพียงหนังสือ  สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดย่อมตกเป็นโมฆะ  การที่นายเอนกส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้นายโกสินทร์ ย่อมถือว่านายเอนกสละสิทธิครอบครอง  และที่ดิน น.ส.3  มีเพียงสิทธิครอบครอง  นายโกสินทร์ย่อมได้สิทธิครอบครอง  ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกจากที่ดิน น.ส.3  แปลงนี้ไม่ได้  ส่วนที่ดินมีโฉนดเป็นที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์  แม้นายโกสินทร์จะมีสิทธิครอบครอง  แต่กรรสิทธิ์ยังเป็นของนายเอนก  ดังนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  ข้าพเจ้าจะมีคำพิพากษาให้ขับไล่นายโกสินทร์ออกไปจากที่ดินแปลงที่มีโฉนด

 

ข้อ  2  นายไก่นำนาฬิกาข้อมือมูลค่า  1  ล้านบาท  ไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคาเพียง  3  แสนบาท  มีกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน  3  ปี และมีข้อตกลงกันว่าในระหว่างติดสัญญาขายฝากห้ามมิให้นายไข่นำนาฬิกาเรือนดังกล่าวไปจำหน่ายจ่ายโอน  และเวลาไถ่คืนให้ประโยชน์  15%  ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หลังจากรับซื้อฝากไว้แล้วนายไข่กลับนำนาฬิกาไปขายให้นายแดงในราคา  5  แสนบาท

หลังจากซื้อมาได้เพียง  1  เดือน  นายแดงจึงทราบว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นนาฬิกาซึ่งนายไก่นำมาขายฝากนายไข่ไว้หลังจากนั้นนายไก่ก็มาขอไถ่นาฬิกาคืนจากนายแดง  นายแดงปฏิเสธไม่ให้ไถ่คืนถ้าอยากได้คืนก็ต้องไถ่คืนในราคา  6  แสนบาท

1)    นายไก่มีสิทธิไถ่นาฬิกาคืนจากนายแดงได้หรือไม่  และข้ออ้างของนายแดงรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

2)    นายไก่จะฟ้องร้องให้นายไข่รับผิดต่อตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  493  ในการขายฝาก  คู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้  ถ้าและผู้ซื้อจำหน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้  ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น

มาตรา  498  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ซื้อเดิม  หรือทายาทของผู้ซื้อเดิม  หรือ

(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน  หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น  แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอน  ว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน

วินิจฉัย

1)    นายไก่มีสิทธิไถ่นาฬิกาคืนจากนายแดงได้ตามมาตรา  498  เพราะนายแดงเป็นผู้รับโอนมีหน้าที่ต้องรับไถ่  แต่นาฬิกาเป็นสังหาริมทรัพย์  นายไก่จะใช้สิทธิไถ่คืนจากนายแดงได้ต่อเมื่อในขณะหรือก่อนนายแดงซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวมาจากนายไข่นั้น  นายแดงรู้ว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวติดสัญญาขายฝาก  แต่ตามข้อเท็จจริงนายไข่ไม่ได้แจ้งให้นายแดงทราบและนายแดงมาทราบภายหลังจากซื้อมาแล้ว  นายแดงจึงมีสิทธิปฏิเสธไม่ให้นายไก่ไถ่คืนได้ตามมาตรา  498(2)  ข้ออ้างของนายแดงที่ว่าถ้าอยากได้คืนก็ต้องไถ่คืนในราคา  6  แสนบาทนั้น  รับฟังได้  เพราะเมื่อเขาเป็นเจ้าของนาฬิกาเขาจะขายคืนราคาเท่าใดก็ได้

2)    นายไก่สามารถฟ้องให้นายไข่ต้องรับผิดต่อตนได้ในความเสียหายใดๆอันเกิดจากการที่นายไข่นำนาฬิกาไปขายให้นายแดง เพราะนายไก่และนายไข่มีข้อตกลงกันไม่ให้นายไข่จำหน่ายนาฬิกาซึ่งรับซื้อฝากไว้จากนายไก่  และการกระทำของนายไข่ก็เป็นการฝ่าฝืนสัญญาซึ่งได้ตกลงกันไว้แล้วตามมาตรา  493 

สรุป 

(1) ข้ออ้างของนายแดงรับฟังได้

(2) นายไก่ฟ้องให้นายไข่รับผิดต่อตนได้

 

 

ข้อ  3  นายใจได้ซื้อเครื่องซักผ้าเครื่องหนึ่งจากห้างของนายแจ่ม  โดยเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นเป็นเครื่องที่ห้างไว้สำหรับตั้งโชว์และทดลองให้ลูกค้าดู  เมื่อตกรุ่นห้างจึงนำมาลดราคาโดยถือเป็นของที่ใช้แล้วไว้กลางห้าง  จากเดิมของใหม่ราคา  ห้าพันบาท  เหลือเพียงสามพันบาท

เมื่อทดลองเครื่องที่ห้างก็พบว่าเครื่องทำงานได้เป็นปกติ  นายใจจึงตกลงซื้อแต่เมื่อพนักงานของห้างนำเครื่องมาส่งที่บ้านและทดลองดูกลับพบว่าบางระบบของเครื่องไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ  ปั่นแห้งไม่ได้  เดินเครื่องไประยะหนึ่งเครื่องจะหยุดทำงานไปเฉยๆ  นายใจจะเรียกร้องให้ห้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

วินิจฉัย

นายใจได้ซื้อเครื่องซักผ้าเครื่องหนึ่งจากห้างของนายแจ่ม  โดยเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นเป็นเครื่องที่ห้างไว้สำหรับตั้งโชว์และทดลองให้ลูกค้าดู  เมื่อตกรุ่นห้างจึงนำมาลดราคาโดยถือเป็นของที่ใช้แล้วไว้กลางห้าง  จากเดิมของใหม่ราคา  ห้าพันบาท  เหลืองเพียงสามพันบาท เมื่อทดลองเครื่องที่ห้างก็พบว่าเครื่องทำงานได้เป็นปกติ  นายใจจึงตกลงซื้อแต่เมื่อพนักงานของห้างนำเครื่องมาส่งที่บ้านและทดลองดูกลับพบว่าบางระบบของเครื่องไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ  ปั่นแห้งไม่ได้  เดินเครื่องไประยะหนึ่งเครื่องจะหยุดทำงานไปเฉยๆ  ดังนั้นนายใจจะเรียกร้องให้ห้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้เพราะเป็นการเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติตามมาตรา  472

สรุป  นายใจสามารถเรียกร้องให้ห้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ สอบซ่อมภาค 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์ขายรถยนต์คันหนึ่งให้นายอังคารในราคา  300,000  บาท  แล้วคิดเสียดายที่ขายในราคาต่ำเกินไป  นายจันทร์ไปขอร้องให้นายอังคารขายคืนให้  นายอังคารบอกว่าถ้าจำเป็นต้องขายจะขายในราคา  350,000  บาท  นายจันทร์ให้นายอังคารจดข้อความดังกล่าวไว้และลงลายมือชื่อ

ส่วนนายจันทร์ก็จดข้อความว่าตกลงซื้อและลงลายมือชื่อนายจันทร์  แต่เมื่อนายจันทร์จะชำระราคา  นายอังคารกลับไม่ยอมขายให้  นายจันทร์ว่าจะไปดำเนินการฟ้องร้องนายอังคาร  นายอังคารกลับถึงบ้านกลัวว่านายจันทร์จะฟ้องตน  นายอังคารจึงมีจดหมายไปถึงนายจันทร์ตอบตกลงขายให้ในราคา  350,000  บาท  นายจันทร์เขียนจดหมายตอบตกลงซื้อพร้อมกับแนบเช็คจำนวน  350,000  บาท  ส่งไปให้นายอังคาร

ก่อนที่จดหมายมาถึงนายอังคาร  คืนนั้นเกิดเพลิงไหม้บ้านข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้บ้านนายอังคาร  เป็นเหตุให้รถยนต์คันนี้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งคัน  ต่อมาจดหมายพร้อมกับเช็คมาถึงนายอังคาร  นายอังคารนำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารได้เงินมา  350,000  บาท

นายจันทร์ทราบข่าวก็มาขอเงินคืน  นายอังคารไม่ยอมคืนให้อ้างว่าเมื่อทำสัญญาแล้วรถยนต์คันนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายจันทร์  และภัยพิบัติอันเกิดกับรถยนต์ก็โทษนายอังคารไม่ได้  บาปเคราะห์ย่อมตกเป็นพับแก่นายจันทร์  ตนจึงหมดหน้าที่ส่งมอบ  แต่นายจันทร์ยังต้องชำระราคา  ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้

ดังนี้  นายจันทร์กับนายอังคารมาขอให้นักศึกษาเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินพิพาทนี้  นักศึกษาจะตัดสินให้นายอังคารคืนเงิน  350,000  บาท  ให้แก่นายจันทร์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  150  การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

วินิจฉัย

ตามมาตรา  453  ซื้อขายคือสัญญาที่คำเสนอคำสนองจะต้องมีข้อความชัดเจนแน่นอนว่าจะซื้อขายกันจริง  แต่การแสดงเจตนาของนายอังคารที่บอกว่าถ้าจำเป็นต้องขายจะขายในราคา  350,000  บาทนั้น  ยังไม่มีข้อความชัดเจนว่าจะขายจริง  จึงยังไม่เป็นคำเสนอ  แม้นายจันทร์ตกลงจะซื้อจริงก็ไม่ใช่เป็นคำสนองแต่เป็นคำเสนอขึ้นใหม่  เมื่อนายอังคารบอกปัดไม่ยอมขาย  คำเสนอซื้อรถยนต์ของนายจันทร์ย่อมสิ้นความผูกพัน  ต่อมานายอังคารมีจดหมายไปถึงนายจันทร์อีกครั้งตกลงขายรถยนต์ให้ในราคา  350,000  บาท  จึงเป็นคำเสนอขึ้นใหม่  นายจันทร์ตอบตกลงซื้อพร้อมแนบเช็คจำนวน  350,000  บาท  แต่ก่อนที่จดหมายไปถึงนายอังคาร  รถยนต์ถูกไฟไหม้เสียหายก่อนจดหมายมาถึง  เมื่อจดหมายมาถึงแม้จะเกิดสัญญาแต่รถยนต์ที่ตกลงซื้อขายไม่มีอยู่  เมื่อรถยนต์ที่ตกลงซื้อขายไม่อยู่  วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นพ้นวิสัยตกเป็นโมฆะตามมาตรา  150  คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม  นายอังคารต้องคืนเงิน  350,000  บาท  ที่รับไว้ให้นายจันทร์ฐานลาภมิควรได้

สรุป  นายอังคารต้องคืนเงิน  350,000  บาท  แก่นายจันทร์ตามหลักกฎหมายและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น

 

 

ข้อ  2  นายสำลีกำลังจะย้ายบ้าน  จึงได้นำสิ่งของบางอย่างในบ้านออกขายเลหลังที่สนามหน้าบ้าน  มีทั้งที่เป็นเฟอร์นิเจอร์  ทีวี คอมพิวเตอร์  มือถือ ฯลฯ  นาสีได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งจากการขายครั้งนั้นของนายสำลี  ในราคา  3,000  บาท  ทั้งนายสาลีและนายสีไม่ทราบว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นของนายเสาร์ที่ถูกขโมยมา  

นายสีได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดูพบว่าเครื่องใช้ได้แต่มีรอยตำหนิอยู่ที่กระจกหน้าตัวเครื่อง  ใช้น้ำยาทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ออก  นายสีเสียค่าเปลี่ยนกระจกหน้าจอมือถือและค่าแรงไป  800  บาท  แต่ร้านซ่อมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเป็นของที่ร้านขายให้นายเสาร์

และนายเสาร์ทำหาย  จึงแจ้งให้นายเสาร์ทราบ นายเสาร์ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจมาเรียกคืนจากนายสี  นายสีจึงคืนให้นายเสาร์ไป

เมื่อคืนโทรศัพท์มือถือให้นายเสาร์ไปได้  4  เดือน  ถ้านายสีจะมาฟ้องร้องให้นายสาลีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นและค่าซ่อมเปลี่ยนจอมือถือ  800  บาท  จากนายสาลี  นายสาลีจะต้องรับผิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  481  ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม  หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก  หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้  ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด  หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ  หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่หนึ่ง

นายสาลีจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรอนสิทธิหรือไม่  ตามปัญหา  นายสีได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งจากการขายเลหลังของนายสาลีในราคา  3,000  บาท  ทั้งนายสาลีและนายสีไม่ทราบว่ามือถือเครื่องนั้นเป็นของนายเสาร์ที่ถูกขโมยมา  นายสาลีได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดู

แต่ร้านซ่อมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นเป็นของที่ร้านขายให้นายเสาร์  และนายเสาร์ทำหาย  จึงแจ้งให้นายเสาร์ทราบ  นายเสาร์ได้พาเจ้าพนักงานตำรวจมาเรียกคืนจากนายสี  นายสีจึงคืนให้นายเสาร์ไป  จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อ (นายสี)  ถูกรบกวนขัดสิทธิโดยบุคคลภายนอก  (นายเสาร์)  ไม่ให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองทรัพย์สิน  (โทรศัพท์มือถือ)  โดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายโดยชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งตามหลักทั่วไปแล้วผู้ขาย (นายสาลี)  ต้องรับผิดแม้จะไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิก็ตาม  ตามมาตรา 475  แต่การที่นายสีได้คืนโทรศัพท์มือถือให้นายเสาร์ไปได้  4  เดือน  แล้วจึงจะมาฟ้องร้องให้นายสาลีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการรอนสิทธินั้น  เป็นกรณีที่นายสีผู้ซื้อยอมตามที่บุคคลภายนอก  (นายเสาร์)  เรียกร้อง  ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือน  นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง  ตามมาตรา  481  ดังนั้น  นายสาลีจึงมีสิทธิอ้างอายุความดังกล่าวยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดได้

ประเด็นที่สอง

นายสาลีจะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องหรือไม่  ตามปัญหา  เมื่อนายสีซื้อโทรศัพท์มือถือจากการขายเลหลังของนายสาลีแล้วได้นำมาให้ร้านซ่อมมือถือเช็คเครื่องดูพบว่า  เครื่องใช้ได้แต่มีรอยตำหนิอยู่ที่กระจกหน้าตัวเครื่อง  ใช้น้ำยาทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ออก  นายสีเสียค่าเปลี่ยนกระจกหน้าจอมือถือและค่าแรงไป  800  บาท  ดังนี้  นายสาลีไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา  472  เพราะนายสีซื้อโทรศัพท์มือถือที่เป็นของเก่าจึงไม่เสื่อมราคา  และไม่เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ  ประโยชน์มุ่งหมายโดยสัญญา  เพราะโทรศัพท์มือถือที่นายสีซื้อจากนายสาลีนั้นยังสามารถใช้ได้  เพียงแต่มีตำหนิที่กระจกหน้าตัวเครื่องเท่านั้น  ไม่ทำให้โทรศัพท์ชำรุดบกพร่อง

สรุป  นายสาลีไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้น  และค่าซ่อมเปลี่ยนจอมือถือ  800  บาท

 

 

ข้อ  3  นายไก่นำบ้านและที่ดินไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  10  ปี  ในราคา  2,150,000  บาทถ้วน  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากทำสัญญาได้ครบ  1  ปี  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่  พร้อมนำเงิน  1,150,000  บาท  แต่นายไข่ปฏิเสธว่ายังไม่ครบกำหนด  10  ปี  และสินไถ่ไม่ครบ

1)    นายไก่จะใช้สิทธิไถ่เมื่อเวลาผ่านไปเพียง  1  ปี  ได้หรือไม่

2)    ข้ออ้างของนายไข่ที่จะปฏิเสธไม่รับไถ่รับฟังได้หรือไม่ว่า  สินไถ่ไม่ครบ  และยังไม่ถึงกำหนดเวลาไถ่

ธงคำตอบ

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  499  วรรคสอง  ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

1)    นายไก่ขายฝากบ้านและที่ดินแก่นายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  10  ปี  ในราคา  2,150,000  บาท  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกำหมาย  เมื่อเวลา  ผ่านไป  1  ปี  นายไก่ได้ใช้สิทธิไถ่บ้านและที่ดินดังกล่าว  นายไข่จะปฏิเสธว่ายังไม่ครบกำหนด  10  ปี  จึงไม่ให้ไถ่ย่อมทำไม่ได้  เพราะนายไก่จะใช้สิทธิไถ่เมื่อไรก็ได้นับแต่ทำสัญญาขายฝาก  หากกำหนดระยะเวลาในการขายฝากยังไม่สิ้นสุด  (บ้านและที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์  จึงมีกำหนดเวลาไถ่คืน  10  ปีนับแต่เวลาซื้อขาย)  และสินไถ่พร้อมตามมาตรา  491  และมาตรา  194(1)

2)    ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้ในกรณีสินไถ่ไม่ครบ  เพราะตามสัญญาได้กำหนดไถ่คืน  10  ปี  กฎหมายกำหนดไว้ว่า  ถ้าหากราคาขายฝากและสินไถ่แตกต่างกันก็ให้ผู้รับซื้อฝากคิดประโยชน์ได้ไม่เกิน  15%  ตามมาตรา  499  วรรคสอง  ในกรณีตามโจทย์คู่สัญญากำหนดสินไถ่โดยถูกต้องตามกฎหมาย  ซึ่งได้ให้สิทธิไว้คือประโยชน์  15%  ภายใน  10  ปีก็เป็นเงิน  1,150,000  บาท  ซึ่งรวมราคาขายสินไถ่ที่ถูกต้องจะต้องเป็น  2,150,000  บาท  แต่จะอ้างว่าการไถ่ต้องครบกำหนดเวลา  10  ปี  รับฟังไม่ได้  เพราะนายไก่จะขอใช้สิทธิไถ่เมื่อใดก็ได้

สรุป

1)    นายไก่ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินคืนได้แม้เวลาผ่านไปเพียง  1  ปี

2)    ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้ในกรณีสินไถ่ไม่ครบ  ส่วนข้ออ้างที่ว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาไถ่ฟังไม่ขึ้น 

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์  ฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขาย  จำเลยได้รับสำเนาฟ้องแล้ว  จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  จำเลยกับโจทก์ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาด  หาใช่สัญญาจะซื้อจะขายไม่  และสัญญาก็ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินย่อมตกเป็นโมฆะ  ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์

ต่อมาศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วได้ข้อเท็จจริงว่า  จำเลยได้ขายบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์ในราคา  5  ล้านบาท  โดยจำเลยยอมเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน  ทั้งจำเลยได้รับเงินราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินจากโจทก์ไว้ก่อน  500,000  บาท  หลังจากนั้น  จำเลยนำเงิน  500,000  บาทมาขอคืนให้โจทก์  และไม่ขายบ้านพร้อมที่ดินให้โจทก์ 

แต่โจทก์ไม่ยอมรับและขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์อ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ  ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี  ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินที่พิพาทให้โจทก์ฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขาย  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา  ให้โจทก์ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายซื้อขายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

วินิจฉัย

สัญญาซื้อขายตามมาตรา  453  เป็นสัญญาที่ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ขายให้กับผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน  แม้ตามข้อเท็จจริงสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  แต่ก็สามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีได้  เพราะได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว  เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย  ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน ศาลก็ต้องมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินที่ยังขาดอยู่ให้แก่จำเลยด้วย  แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแต่เพียงให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินที่พิพาทให้โจทก์  หาได้มีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระราคาค่าบ้านพร้อมที่ดินให้จำเลยด้วย  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายซื้อขายซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทน

 

ข้อ  2  นายไก่ตกลงขายรถยนต์ซึ่งตนซื้อมาจากการขายทอดตลาดให้แก่นายไข่ในราคา  3  แสนบาท  ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวนายไก่ทราบดีว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟมาโดยตลอด  แต่ไม่ได้แจ้งให้นายไข่ทราบ  ในการตกลงซื้อขายกันครั้งนี้นายไก่ผู้ขายได้ระบุไว้ในสัญญาว่าถ้าเกิดความชำรุดบกพร่องอย่างใดๆขึ้น  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบอย่างใดๆทั้งสิ้น  เมื่อส่งมอบรถยนต์แล้วนายไข่เพิ่งจะทราบว่ารถยนต์มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟจึงมาเรียกร้องให้นายไก่ผู้ขายรับผิดชอบแต่นายไก่ปฏิเสธอ้างว่าเป็นรถยนต์ที่ได้มาจากการขายทอดตลาดของศาลตนไม่ต้องรับผิดชอบ

คำปฏิเสธของนายไก่รับฟังได้หรือไม่  และนายไข่จะฟ้องนายไก่ให้รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  483  คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา  485  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มครองรับผิดผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

นายไก่ขายรถยนต์ที่ตนซื้อมาจากการขายทอดตลาดแก่นายไข่ในราคา  3   แสนบาท  เมื่อส่งมอบรถยนต์แล้ว  นายไข่จึงทราบว่ารถยนต์มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไฟ  และได้เรียกร้องให้นายไก่รับผิดชอบ  แต่นายไก่อ้างว่าเป็นรถยนต์ที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาด  ตนจึงไม่ต้องรับผิด  เช่นนี้คำปฏิเสธของนายไก่รับฟังไม่ได้  เพราะถึงแม้ว่านายไก่ จะซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาด  แต่การซื้อรถยนต์ระหว่างนายไก่และนายไข่นั้นไม่ใช่การขายทอดตลาด  นายไข่จึงฟ้องนายไก่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้  ตามมาตรา  472  แม้จะมีการตกลงยกเว้นไว้ในสัญญาว่าถ้าเกิดความชำรุดบกพร่องอย่างใดๆ ขึ้น  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดก็ตาม  เพราะข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้นไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วปกปิดเสีย  ดังนั้น  เมื่อนายไก่ไม่สุจริตทราบถึงเหตุความชำรุดบกพร่องอยู่แล้วไม่แจ้งให้ผู้ซื้อทราบ  แต่ยังมายกเว้นความรับผิดชอบของตนอีก  จึงไม่พ้นความรับผิด  ยังต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามมาตรา  483, 485

สรุป  คำปฏิเสธของนายไก่รับฟังไม่ได้  และนายไข่ฟ้องนายไก่ให้รับผิดชอบในความชำรุดปกพร่องในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันได้

 

ข้อ  3  นายพานได้จำนองที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง  200  ตารางวาไว้กับนายพัดในราคาสี่แสนบาท  ที่ดินแปลงนั้นราคาตารางวาละ  10,000  บาท  และนายพานยังได้ให้ทำเอกสารเป็นหนังสือยกที่ดินแปลงนั้นให้นายพุธ  โดยให้นายพุธไปไถ่จำนองจากนายพัดเอง

แต่ที่ดินแปลงนั้นมีนายผันครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์อยู่ห้าสิบตารางวา  และกำลังยื่นฟ้องต่อศาลขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์  แต่นายพุธไม่ทราบ  นายพุธมาทราบภายหลังจากไถ่จำนองและจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้มาเรียบร้อยแล้ว  และถูกนายผันขับไล่ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวที่ดินในส่วนที่นายผันครอบครองปรปักษ์

นายพุธจึงต้องการให้นายพานชดใช้เงินที่ตนไปไถ่จำนองที่ดินแปลงนั้น  แต่นายพานไม่ยอม  ถ้านายพุธมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำแนะนำกับนายพุธอย่างไร  นายพุธจะเรียกร้องให้นายพานรับผิดได้หรือไม่ในกรณีใด

ธงคำตอบ

มาตรา  530  ถ้าการให้นั้นมีค่าภาระติดพัน  ท่านว่าผู้ให้ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิเช่นเดียวกันกับผู้ขาย  แต่ท่านจำกัดไว้ว่าไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพัน

วินิจฉัย

นายพานได้จำนองที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง  200  ตารางวา  ไว้กับนายพัดในราคาสี่แสนบาท  ที่ดินแปลงนั้นราคาตารางวาละ  10,000  บาท  และนายพานยังได้ให้ทำเอกสารเป็นหนังสือยกที่ดินแปลงนั้นให้นายพุธโดยให้นายพุธไปไถ่จำนองจากนายพัดเอง  เอกสารเป็นหนังสือนี้เป็นสัญญาให้ที่มีค่าภาระติดพันในทรัพย์สินที่ให้  แต่ที่ดินแปลงนั้นมีนายผันครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์อยู่ห้าสิบตารางวา และกำลังยื่นฟ้องต่อศาลขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์  แต่นายพุธไม่ทราบ  นายพุธมาทราบภายหลังจากไถ่จำนองและจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้มาเรียบร้อยแล้ว  จึงเป็นกรณีที่นายพุธถูกรบกวนขัดสิทธิโดยบุคคลภายนอก  (นายผัน)  ไม่ให้เข้าครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลนั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย  และเป็นการรอนสิทธิที่เกิดก่อนสัญญาให้  นายพุธจึงสามารถเรียกร้องให้นายพานชดใช้เงินจำนวนสี่แสนบาทค่าไถ่ถอนจำนองได้  เพราะในสัญญาให้ที่มีค่าภาระติดพันผู้ให้ต้องรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเช่นเดียวกับผู้ขายแต่จำกัดไว้ว่าไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพันตามมาตรา  530

สรุป  ถ้านายพุธมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำกับนายพุธโดยบอกให้นายพุธฟ้องร้องให้นายพานรับผิด  ในกรณีที่มีการรอนสิทธิในทรัพย์สินที่ให้และมีค่าภาระติดพัน  (ที่ดินแปลงดังกล่าว)  ดังนั้นนายพุธเรียกให้นายพานรับผิดชดใช้เงินจำนวนสี่แสนบาทได้  แต่ไม่เกินจำนวนค่าภาระติดพัน

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ ภาคฤดูร้อน/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดำและนายแดงได้ทำสัญญาเป็นหนังสือขายที่ดินของนายดำให้นายแดงในราคา  500,000  บาทโดยนายดำจะส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายแดงเมื่อนายแดงชำระราคาเรียบร้อย

แต่เมื่อก่อนถึงกำหนดวันส่งมอบและชำระราคา  นายขาวได้มาบอกนายดำว่าที่ดินแปลงนี้ทางจังหวัดกำลังจะย้ายสถานที่ราชการมาอยู่ใกล้ๆ  และจะมีถนนตัดผ่านที่ดินจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากยังไม่ควรขายตอนนี้เมื่อนายแดงได้ชำระราคาที่ดินทั้งหมดให้นายดำ

นายดำก็รับแต่กลับไม่ยอมส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายแดงเพราะเชื่อนายขาว  นายแดงจะฟ้องร้องบังคับให้นายดำโอนส่งมอบที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และสัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด

ธงคำตอบ

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัย

นายดำและนายแดงได้ทำสัญญาเป็นหนังสือขายที่ดินของนายดำให้นายแดงในราคา  500,000  บาท  โดยนายดำจะส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายแดงเมื่อนายแดงชำระราคาเรียบร้อย  สัญญาฉบับนี้เป็นสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์หรือเสร็จเด็ดขาด  เพราะคู่สัญญาเจตนาทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อขณะทำสัญญาโดยไม่มีข้อตกลงจะไปดำเนินการทางทะเบียนในภายหลัง  แต่เมื่อก่อนถึงกำหนดวันส่งมอบและชำระราคา  นายขาวได้มาบอกนายดำว่าที่ดินแปลงนี้ทางจังหวัดกำลังจะย้ายสถานที่ราชการมาอยู่ใกล้ๆ  และจะมีถนนตัดผ่านที่ดินจะมีราคาเพิ่มขึ้นอีกมากไม่ควรขายตอนนี้  เมื่อนายแดงได้ชำระราคาที่ดินทั้งหมดให้นายดำ  นายดำก็รับแต่กลับไม่ยอมส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายแดงเพราะเชื่อนายขาว  นายแดงจะฟ้องร้องบังคับให้นายดำโอนส่งมอบที่ดินแปลงนี้ไม่ได้  เพราะเมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์แต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  456  วรรคแรก

สรุป  สัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  และนายแดงจะฟ้องร้องบังคับให้นายดำส่งมอบที่ดินแปลงนี้ไม่ได้

 

ข้อ  2  นายไก่ซื้อรถยนต์ซึ่งนายไข่ขโมยจากนายแดงแล้วนำมาดัดแปลงหมายเลขรถ  ตบแต่งสีจนสวยงามและนำไปขายให้แก่นายมดโดยนายมดไม่เคยรู้เรื่องที่มาของรถยนต์คันดังกล่าวแต่อย่างใด  ในการทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ครั้งนี้นายไก่และนายมดมีข้อตกลงระหว่างกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิ  หลังจากทำสัญญาและส่งมอบชำระราคาแล้ว  นายแดงได้นำตำรวจมาติดตามเอารถยนต์ของตนซึ่งถูกขโมยคืนจากนายมด ๆ  ก็ยอมคืนให้

1)    นายมดฟ้องให้นายไก่รับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และ

2)    หากฟ้องได้  นายมดต้องฟ้องให้นายไก่รับผิดชอบในกำหนดอายุความเท่าใด

ธงคำตอบ

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  481  ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม  หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก  หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้  ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด  หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ  หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

มาตรา  483  คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา  485  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มครองรับผิดผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

1)    นายมดฟ้องให้นายไก่รับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิได้แม้จะมีข้อตกลงยกเว้นไว้ว่าหากเกิดการรอนสิทธิผู้ขายไม่ต้องรับผิดก็ตาม เพราะข้อสัญญาว่าไม่ต้องรับผิดนั้นไม่อาจคุ้มครองความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเองหรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย  ตามมาตรา  485  ประกอบมาตรา  475  และมาตรา  483  ดังนั้น  เมื่อผู้ซื้อไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธินั้น  แต่ผู้ขายทราบดีแต่ไม่แจ้งให้ผู้ซื้อทราบ  ผู้ขายจึงต้องรับผิด

2)    นายมดต้องฟ้องให้นายไก่รับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิภายใน  3  เดือนนับแต่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายแดงเจ้าของที่แท้จริงไป  ตามมาตรา  481

 

ข้อ  3  นายเงินขายรถบรรทุกของนายเงินคันหนึ่งให้นายทองในราคา  300,000  บาท  และในสัญญาซื้อขายฉบับเดียวกันนั้นก็มีข้อความตกลงให้นายนาคซึ่งเป็นบุตรของนายเงินมีสิทธิซื้อรถบรรทุกคันนั้นกลับคืนได้ภายใน  4  ปี  ในราคา  300,000 บาท  เท่าราคาขาย

เมื่อตกลงแน่นอนแล้ว  นายเงินได้ส่งมอบรถบรรทุกให้นายทองแลละรับเงินค่าราคาขายมา  300,000  บาท  ขายไปได้  3  ปี  นายนาคได้นำเงิน  300,000  บาท  มาขอซื้อรถบรรทุกคันนั้นกลับคืนจากนายทอง

นายทองจะไม่ยอมขายคืนรถบรรทุกคันนั้นให้นายนาคได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  495  ถ้าในสัญญามีกำหนดเวลาไถ่เกินไปกว่านั้น  ท่านให้ลดลงมาเป็นสิบปีและสามปีตามประเภททรัพย์

มาตรา 497  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้  คือ

(3) บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้

 วินิจฉัย

นายเงินขายรถบรรทุกของนายเงินคันหนึ่งไว้กับนายทองในราคา  300,000  [ท  เมื่อในสัญญาซื้อขายฉบับเดียวกันนั้นก็มีข้อตกลงให้นายนาคมีสิทธิซื้อรถบรรทุกคันนั้นกลับคืนได้ภายใน  4  ปี  ในราคา  300,000  บาทเท่าราคาขาย  และรับเงินจริงจำนวน  300,000  บาทสัญญาซื้อขายระหว่างนายเงินและนายทองเป็นสัญญาขายฝากสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีกำหนดเวลาไถ่คืนเกินกว่ากำหนดเวลาไถ่ตามมาตรา  494(2)  คือเกินกว่า  3  ปี  นับแต่เวลาซื้อขาย  ตามมาตรา  495  ถ้ากำหนดเกินกว่านั้นให้ลดลงมาเป็น  3  ปี  ต่อเมื่อขายไปได้  3  ปี  นายนาคซึ่งเป็นบุคคลในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้  ตามมาตรา  497(3)  ได้นำเงิน  300,000  บาท  มาขอซื้อรถบรรทุกคันนั้นกลับคืน  นายทองต้องยอมให้นายนาคไถ่รถบรรทุกคันนั้นคืน

สรุป  นายทองจะไม่ยอมขายคืนรถบรรทุกคันนั้นให้นายนาคไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์จดทะเบียนขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา  10  ล้านบาท  และนายอังคารมีหนังสือให้นายจันทร์ฉบับหนึ่ง  ให้นายจันทร์มีสิทธิไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนได้ในราคา  20  ล้านบาท

ต่อมาอีก  12  ปี  ที่ดินแปลงนี้มีราคาสูงขึ้นมาก  นายอังคารจึงจดทะเบียนโอนขายให้นายพุธในราคา  50  ล้านบาท  หลังจากนั้นอีก  6 เดือน  นายจันทร์นำเงิน  20  ล้านบาทมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคาร  แต่นายอังคารกลับปฏิเสธและอ้างว่านายจันทร์มาขอไถ่เกิน  10  ปี  นายจันทร์ย่อมหมดสิทธิไถ่คืนและตนก็ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายพุธไปแล้ว

ดังนี้  นายจันทร์มาถามนักศึกษาว่า  ตนมีสิทธิเรียกร้องที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพุธได้หรือไม่  และจะให้นายอังคารรับผิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  454  การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คำมั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้น  จะมีผลเป็นการซื้อขายต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายนั้นให้สำเร็จตลอดไปและคำบอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึงบุคคลผู้ให้คำมั่นแล้ว

ถ้าในคำมั่นมิได้กำหนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้นไซร้  ท่านว่าบุคคลผู้ให้คำมั่นจะกำหนดเวลาพอควร  และบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในกำหนดนั้นก็ได้  ว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่  ถ้าไม่ตอบเป็นนานอนภายในกำหนดเวลานั้นไซร้  คำมั่นซึ่งได้ให้ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล

วินิจฉัย

สัญญาระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารหาใช่สัญญาขายฝากไม่  (เพราะสัญญาขายฝากคือ  สัญญาซื้อขายบวกกับข้อตกลงพิเศษ  ข้อตกลงนั้นคือ  ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้  ข้อตกลงนี้จึงต้องมีขึ้นขณะทำสัญญาซื้อขาย  ถ้าได้ตกลงภายหลังเมื่อมีสัญญาซื้อขายกันแล้ว  ข้อตกลงนั้นย่อมเป็นคำมั่นว่าจะขายคืน)  และหนังสือที่นายอังคารให้ไว้กับนายจันทร์เป็นคำมั่น (ว่าจะขายคืน)  ไม่มีกำหนดเวลา  เมื่อนายจันทร์ยังไม่ตอบรับคำมั่น  กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ยังเป็นของนายอังคารจนกว่าจะเกิดสัญญาซื้อขายตามมาตรา  454  วรรคแรก  นายจันทร์ยังไม่มีสิทธิในที่ดินแปลงนี้  ดังนั้นนายจันทร์จะเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพุธไม่ได้

นายอังคารหาได้ใช้สิทธิตามมาตรา  454  วรรคสอง  คือ  กำหนดเวลาพอสมควร  และบอกกล่าวไปยังนายจันทร์ให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในกำหนดเวลานั้น  ว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่  ดังนั้นคำมั่นไม่มีกำหนดเวลาย่อมมีผลผูกพันกับนายอังคารอยู่  แม้จะล่วงเลยมา  12  ปีก็ตาม  เมื่อนายจันทร์ตอบรับคำมั่น  แต่นายอังคารได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายพุธไปแล้วย่อมเป็นการผิดคำมั่น  นายจันทร์ชอบที่จะเรียกร้องให้นายอังคารรับผิดฐานผิดคำมั่นได้

สรุป  นายจันทร์ไม่มีสิทธิเรียกร้องที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพุธ  แต่นายจันทร์เรียกร้องให้นายอังคารรับผิดฐานผิดคำมั่นได้

 

ข้อ  2  นายฟ้าได้นำรถยนต์ออกประมูลขายทอดตลาด  นายตะวันประมูลซื้อรถยนต์คันนั้นมาได้ในราคา  200,000  บาท  แล้วได้ขายต่อให้นายเมฆไปในราคา  300,000  บาท  โดยนายตะวันทราบว่ารถยนต์คันนั้นของนายฟ้าเป็นรถยนต์ที่ถูกขโมยมาแล้วมาปลอมทะเบียนขาย  แต่นายเมฆไม่รู้

ในหนังสือสัญญาซื้อขายนายตะวันจึงได้ตกลงยกเว้นความรับผิดในการรอนสิทธิของผู้ขายเอาไว้  ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์คันนั้นจากนายเมฆไป  นายเมฆจะฟ้องให้นายตะวันให้รับผิดในการรอนสิทธิได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  479  ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุการณ์รอนสิทธิก็ดี  หรือว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคา  หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่การที่จะใช้  หรือเสื่อมความสะดวกในการใช้สอย  หรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้นและซึ่งผู้ซื้อหาได้รู้ในเวลาซื้อขายไม่ก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

มาตรา  485  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มครองรับผิดผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

นายฟ้าได้นำรถยนต์ออกประมูลขายทอดตลาด  และนายตะวันประมูลซื้อรถยนต์คันนั้นมาได้ในราคา  200,000  บาท  แล้วได้ขายต่อให้นายเมฆไปในราคา  300,000  บาท  โดยนายตะวันทราบว่ารถยนต์คันนั้นของนายฟ้าเป็นรถยนต์ที่ถูกขโมยมาแล้วมาปลอมทะเบียนขาย  แต่นายเมฆไม่รู้  ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้มายึดรถยนต์คันนั้นจากนายเมฆไปจึงเป็นกรณีที่นายเมฆถูกรอนสิทธิตามมาตรา  475  และ  479  นายเมฆจะฟ้องให้นายตะวันให้รับผิดในการรอนสิทธิได้แม้จะมีการตกลงยกเว้นความรับผิดในการรอนสิทธิของผู้ขายไว้ก็ตามเพราะเป็นผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายรู้อยู่แล้วปกปิดเสีย  ข้อยกเว้นความรับผิดนั้นจึงใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา  485

สรุป  นายเมฆฟ้องนายตะวันให้รับผิดในการรอนสิทธิได้

 

ข้อ  3   นายพรทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงหนึ่งของนายพรกับนายพัด  แต่ที่ดินแปลงนี้ของนายพรติดสัญญาขายฝากไว้กับนายพิศอยู่  ต่อมานายพรไม่ยอมไปไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพิศทั้งๆที่กำหนดเวลาไถ่คืนยังไม่สิ้นสุดและไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้กับนายพัด

นายพัดจึงได้มาขอไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพิศ  โดยนำเงินค่าสินไถ่ทั้งหมดไปขอไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพิศภายในกำหนดเวลาไถ่คืนแต่นายพิศไม่ยอมให้ไถ่  โดยอ้างว่านายพัดไม่มีสิทธิที่จะไถ่ที่ดินแปลงนี้คืน

ข้ออ้างของนายพิศรับฟังได้หรือไม่  ถ้านายพัดมาขอคำแนะนำจากท่าน  ถ้ายังอยู่ในกำหนดเวลาไถ่คืน  ท่านจะให้คำแนะนำกับนายพัดอย่างไร  นายพัดจะต้องทำอย่างไรถ้านายพิศไม่ยอมรับการไถ่

ธงคำตอบ

มาตรา  492  วรรคแรก  ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด  หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์สินที่ได้วางไว้  ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

มาตรา  497  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้  คือ

(2) ผู้รับโอนสิทธินั้น

วินิจฉัย

นายพรทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงหนึ่งของนายพรกับนายพัด  แต่ที่ดินแปลงนี้ของนายพรติดสัญญาขายฝากกับนายพิศอยู่  ต่อมานายพรไม่ยอมไปไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพิศทั้งๆที่กำหนดเวลาไถ่คืนยังไม่สิ้นสุดและไม่ยอมโอนที่ดินแปลงนี้ให้กับนายพัด  นายพัดจึงได้มาขอไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพิศ  โดยได้นำเงินค่าสินไถ่ทั้งหมดไปขอที่ดินแปลงนี้คืนจากนายพิศภายในกำหนดเวลาไถ่คืน  นายพิศจะไม่ยอมให้ไถ่ไม่ได้เพราะนายพัดเป็นผู้รับโอนสิทธิไถ่ตามสัญญาจะซื้อจะขาย  ตามมาตรา  497(2)  ข้ออ้างของนายพิศรับฟังไม่ได้  ถ้ายังอยู่ในกำหนดเวลาไถ่คืน  นายพัดจะต้องนำเงินค่าสินไถ่ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่วางตามมาตรา  492 วรรคแรก

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำกับนายพัด  ดังกล่าวข้างต้น

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์ซื้อรถยนต์คันหนึ่งมาจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในราคา  300,000  บาท  ต่อมานายจันทร์ทราบว่ารถยนต์คันนี้ไม่ใช่ของนายแดง  (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา)  แต่เป็นของนายอาทิตย์  นายจันทร์ไม่อยากได้รถยนต์คันนี้ไว้และขายต่อให้นายอังคารในราคา  250,000  บาท

นายอังคารซื้อมาได้เพียง  1  เดือน  ก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ไปเพื่อคืนให้นายอาทิตย์ตามที่ได้แจ้งความไว้  หลังจากนั้นอีก  6 เดือน  นายอังคารมาขอให้นายจันทร์รับผิดในการรอนสิทธินายจันทร์กลับปฏิเสธความรับผิด

ดังนี้นายอังคารมาถามนักศึกษาว่า  นายอังคารมีสิทธิเรียกร้องให้นายจันทร์รับผิดในการรอนสิทธิได้หรือไม่  นักศึกษาจะให้คำตอบนายอังคารอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  482  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเมื่อกรณีเป็นดังกล่าวต่อไปนี้คือ

(1) ถ้าไม่มีการฟ้องคดี  และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อเอง

มาตรา  1330  สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น  ท่านว่ามิเสียไป  ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้โดยคำพิพากษาหรือผู้ล้มละลาย

วินิจฉัย

นายจันทร์ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี  นายจันทร์ย่อมได้รับความคุ้มครองโดยมาตรา  1330  แม้รถยนต์คันนี้จะไม่ใช่ของนายแดงลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ตาม  นายจันทร์ก็ไม่เสียสิทธิในรถยนต์คันนี้  นายจันทร์ขายต่อให้นายอังคาร  นายอังคารก็มีสิทธิในรถยนต์คันนี้เช่นเดียวกับนายจันทร์  แม้รถยนต์คันนี้จะถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไปเพื่อคืนให้นายอาทิตย์  นายจันทร์ย่อมพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของนายอังคารได้สูญไปเพราะความผิดของนายอังคารเอง  ตามมาตรา  482  (1)  นายอังคารจะเรียกร้องให้นายจันทร์รับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้

สรุป  นายอังคารจะเรียกร้องให้นายจันทร์รับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้

 

ข้อ  2  นายไก่นำรถยนต์ซึ่งตนเก็บสะสมไว้จำนวน  20  คัน  ออกประมูลขายทอดตลาด  ในการขายครั้งนี้นายไก่แจ้งให้ผู้เข้าประมูลซื้อทราบโดยทั่วกันว่า  นายไก่ผู้ขายจะไม่รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิที่เกิดในรถยนต์ที่ผู้ซื้อประมูลได้ไป  นายไข่ประมูลชนะได้รถยนต์ไป  2  คัน

ซึ่งคันหนึ่งนายไก่ทราบดีว่าเป็นรถยนต์ที่ตนได้มาจากรถที่ถูกขโมยมาขายให้ตน  และอีกคันหนึ่งนั้นเครื่องยนต์ไม่ดีหลังจากนายไข่ซื้อรถยนต์ทั้ง  2  คัน  จากการขายทอดตลาดไปแล้ว  คันหนึ่งเจ้าของที่แท้จริงก็มาติดตามเอารถยนต์คืนโดยมีเอกสารแสดงชัดเจน  อีกคันหนึ่งเครื่องยนต์ก็เสียต้องซ่อมแซมอย่างใหญ่

นายไข่จะฟ้องให้นายไก่ผู้ขายรับผิดในความชำรุดบกพร่อง  และการรอนสิทธิที่เกิดแก่รถยนต์  2  คันที่ซื้อทอดตลาดมาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  483  คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา  485  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มครองรับผิดผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิด  ถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสม  และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องได้  หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  473

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้รถยนต์ที่นายไข่ซื้อมาจะชำรุดบกพร่อง  แต่นายไข่จะฟ้องร้องให้นายไก่ผู้ขายรับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้  เพราะเป็นการซื้อจากการขายทอดตลาด  ตามมาตรา  473  (3)  ประกอบมาตรา  472  ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้ตรวจดูทรัพย์สินก่อนซื้อขาย

ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขาย  มาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สิโดยปกติสุขได้  ตามมาตรา  475  กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการณ์รอนสิทธินั้น  แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อและผู้ขายอาจทำความตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการรอนสิทธิก็ได้  ตามมาตรา  483

อย่างไรก็ตามข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายได้  หากการรอนสิทธินั้นเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้ขายเอง  หรือผู้ขายรู้ความจริงแห่งการรอนสิทธิแล้วปกปิดเสีย  ตามมาตรา  485

ดังนั้นนายไข่สามารถฟ้องให้นายไก่รับผิดในกรณีฯรอนสิทธิได้  เพราะนายไก่ผู้ขายทราบว่าเป็นรถยนต์ที่ตนได้มาจากรถที่ถูกขโมยมาขายให้ตน  แล้วปกปิดมิแจ้งให้ผู้ซื้อทราบ  แล้วยังมาทำข้อตกลงยกเว้นว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิอีก  ถือว่าผู้ขายไม่สุจริต  จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

สรุป  นายไข่ฟ้องนายไก่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้  แต่ฟ้องให้รับผิดในกรณีรอนสิทธิได้

 

ข้อ  3  นายมดนำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายปลวก  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปี  ในราคา  1  ล้านบาท  และกำหนดสินไถ่ไว้เป็นราคา  2  ล้านบาท  เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียง  5  เดือน  นายมดเห็นว่าคงไม่มีความสามารถไถ่คืนได้ในเวลา  7  เดือนที่เหลือ  

จึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก  1  ปี  นายปลวกก็ยินยอมตกลงตามที่นายมดร้องขอ  เมื่อเวลาผ่านไป  1  ปี  10 เดือน  นับแต่ทำสัญญาขายฝากกัน  นายมดก็ไปขอไถ่บ้านและที่ดินคืนจากนายปลวกพร้อมนำเงินสินไถ่เป็นเงินหนึ่งล้านสามแสนบาทไปไถ่  นายปลวกปฏิเสธไม่ให้ไถ่คืนโดยอ้างว่า  (1)  เลยกำหนดระยะเวลาแล้ว และ  (2)  สินไถ่ไม่ครบถ้วนตามสัญญา

นายมดจะฟ้องบังคับให้นายปลวกรับไถ่โดยอ้างว่า  (1)  มีการตกลงขยายระยะเวลาในการไถ่  และ  (2)  สินไถ่ครบถ้วนแล้ว  จะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  496  การกำหนดเวลาไถ่นั้น  อาจทำสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่ได้  แต่กำหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมด  ถ้าเกินกำหนดเวลาตามมาตรา  494  ให้ลดลงมาเป็นกำหนดเวลาตามมาตรา  494

การขยายกำหนดเวลาไถ่ตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่  ถ้าเป็นทรัพย์สินซึ่งการซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ห้ามมิให้ยกการขยายเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต  และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว  เว้นแต่จะได้นำหนังสือหรือหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวไปจดทะเบียนหรือจดแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา  499  สินไถ่นั้น  ถ้าไม่ได้กำหนดกันว่าเท่าใดไซร้  ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

(1) มีการตกลงขยายระยะเวลาในการไถ่จริง  และไม่เกินกำหนดเวลาตามมาตรา  494  (1)  แต่จะฟ้องร้องบังคับคดีบังคับให้ผู้รับไถ่ปฏิบัติตามสัญญานั้นอย่างน้อยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  และลงลายมือชื่อผู้รับไถ่เป็นสำคัญจึงจะยกการขยายเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับไถ่ได้  ดังนั้นนายมดจึงฟ้องให้นายปลวกรับไถ่ไม่ได้ตามมาตรา  496  วรรคสอง

(2)  สินไถ่นั้นเมื่อมีการกำหนดเกินกว่าราคาขายฝาก  กฎหมายให้สิทธิผู้รับซื้อฝากกำหนดได้ไม่เกินราคารับซื้อฝากบวกกับประโยชน์อีก  15%   เมื่อตกลงไว้  1  ปี  ขยายเป็น  2  ปี  ราคาขายฝาก  1  ล้านบาท  สินไถ่ก็ต้องเป็น  1  ล้าน  3  แสนบาท  นายปลวกจะอ้างว่าสินไถ่ไม่ครบเมื่อนายมดนำเงิน  1  ล้าน  3  แสนบาทไปขอไถ่บ้านและที่ดินคืนไม่ได้  ตามมาตรา  499  วรรคสอง

WordPress Ads
error: Content is protected !!