LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ สอบซ่อม S/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  วันที่  3  กุมภาพันธ์  2549  นายจิ๋วทำสัญญาจ้างนายใหญ่  อายุ  19  ปี  เป็นลูกจ้างทำหน้าที่พนักงานเก็บเงินที่ร้านมินิมาร์ท  (Mini  Mart)  เป็นระยะเวลา  3  ปี  ต่อมาวันที่  4  กุมภาพันธ์  2549  นายน้อยพี่ชายของนายใหญ่  ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายใหญ่ให้กับนายจิ๋ว  โดยจะยอมรับผิดชดใช้เงินถ้านายใหญ่ทำให้นายจิ๋วเสียหาย  ในวันที่  5  กุมภาพันธ์  2549  นายใหญ่ได้ร้องขอให้นายเบิ้มทำการค้ำประกันการทำงานให้ตน  เพราะนายใหญ่ไม่ทราบว่านายน้อยพี่ชายของตนได้ทำการค้ำประกันให้แล้ว 

แต่นายเบิ้มไม่ได้เข้าค้ำประกันให้  เพราะนายเบิ้มทราบแล้วว่านายน้อยได้ทำการค้ำประกันการทำงานให้นายจิ๋วแล้ว  ในวันที่  10  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วไป  4,000  บาท  ในวันที่  11 มีนาคม  2549  นายจิ๋วได้แจ้งให้นายน้อยชำระหนี้แทนนายใหญ่  ต่อมาเมื่อนายน้อยทราบเรื่องจึงโกรธนายใหญ่ที่ไปยักยอกเงินนายจิ๋ว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1 ถ้าในวันที่  13  มีนาคม  2549  นายน้อยได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ตนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เพราะนายใหญ่ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ  ไม่อาจทำนิติกรรมสัญญาได้  อีกทั้งในขณะที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกัน   นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อเหตุละเมิดจึงยังไม่มีหนี้ประธานในขณะทำสัญญาค้ำประกัน

2 ถ้าในวันที่  14  มีนาคม  2549  นายน้อยได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อนายจิ๋ว  ต่อมาในวันที่  19  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วอีกเป็นเงิน  7,000  บาท  เช่นนี้

ทั้งสองกรณีนี้ข้อต่อสู้ของนายน้อยรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และนายน้อยต้องรับผิดต่อนายจิ๋วหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  วรรคแรก  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

 หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

 หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ เพราะทำด้วยความสำคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่ เข้าทำสัญญาผูกพันตน

มาตรา  699  การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้นท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้

ในกรณีเช่นนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  การค้ำประกันต้องให้ลูกหนี้ชั้นต้นทราบหรือไม่  เห็นว่า  การค้ำประกันเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าทำการผูกพันตนต่อเจ้าหนี้  เพื่อชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ประธาน  ดังนั้น  การค้ำประกันเป็นการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันที่เป็นบุคคลภายนอก  โดยไม่ต้องให้ลูกหนี้ชั้นต้นให้ความยินยอมก่อน  ตามมาตรา  680  วรรคแรก  ดังนั้น  แม้ว่าวันที่  4  กุมภาพันธ์  2549  พี่ชายของนายใหญ่  จะได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายใหญ่ให้กับนายจิ๋ว  โดยนายจิ๋วไม่ทราบว่านายน้อยพี่ชายได้ค้ำประกันก็ตาม  

นายน้อยก็ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ในวันที่  10  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วไป  4,000  บาท  ถือว่านายใหญ่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันทำละเมิดตามมาตรา  206  ความรับผิดของนายน้อย  ผู้ค้ำประกันจึงเกิดขึ้น  ตามมาตรา  686  ดังนั้น

1  ถ้าในวันที่  13  มีนาคม  2549  นายน้อยได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ตนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เพราะนายใหญ่ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ  ไม่อาจทำนิติกรรมสัญญาได้  อีกทั้งในขณะที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกัน   นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อเหตุละเมิดจึงยังไม่มีหนี้ประธานในขณะทำสัญญาค้ำประกัน

ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่าตามมาตรา  681  วรรคแรก  และวรรคสอง  การค้ำประกันหนี้มีได้แต่เฉพาะหนี้ประธานที่สมบูรณ์  เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจิ๋ว  นายจ้าง  กับนายใหญ่  ลูกจ้าง  ซึ่งอายุ  19  ปี  เป็นผู้เยาว์   โดยไม่ปรากฏว่าผู้แทนโดยชอบธรรมของนายใหญ่ให้ความยินยอม  สัญญาจ้างแรงงานจึงตกเป็นโมฆียะ  แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมสัญญาจ้างแรงงานก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่  จึงมีการค้ำประกันได้

อีกทั้งแม้ว่าในขณะเข้าค้ำประกัน  นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อความเสียหายให้เกิดแก่นายจิ๋วก็ตาม  ก็สามารถมีการค้ำประกันได้  เพราะหนี้ในอนาคตก็อาจมีการค้ำประกันได้  ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่หนี้นั้นอาจเกิดขึ้นได้จริง  ซึ่งการค้ำประกันการจ้างแรงงานถือว่าเป็นหนี้ในอนาคตจึงสามารถมีการค้ำประกันได้  ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ข้อต่อสู้ของนายน้อยจึงฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี  นายน้อยต้องรับผิดในหนี้ละเมิดที่นายใหญ่ได้ก่อให้เกิดขึ้นในวันที่  11  มีนาคม  2549  เป็นเงิน  4,000  บาท

2       ส่วนถ้าในวันที่  14  มีนาคม  2549  นายน้อยได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อนายจิ๋ว  ต่อมาในวันที่  16  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วอีกเป็นเงิน  7,000  บาท  เช่นนี้นายน้อยจะบอกเลิกการค้ำประกันได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  699  ถ้าเป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราว  ไม่มีจำกัดเวลาในการค้ำประกัน  ผู้ค้ำประกันอาจบอกเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้  แต่ตามข้อเท็จจริงการจ้างแรงงานมีกำหนดเวลาจ้าง  3  ปี  ถือว่าการค้ำประกันของนายน้อย  มีจำกัดเวลาในการค้ำประกัน  ดังนั้นนายน้อยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการค้ำประกันได้  นายน้อยจึงต้องรับผิดในหนี้ละเมิดที่นายใหญ่ได้ก่อให้เกิดขึ้นในวันที่  19  มีนาคม  2549  ต่อนายจิ๋วนายจ้างด้วย  ข้อต่อสู้ของนายน้อยผู้ค้ำประกันฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายน้อยฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี

 

ข้อ  2  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นเงิน  60,000  บาทถ้วน  และมีนาย  A  นาย  B  และนาย  C  มาจำนองที่ดินของตนประกันหนี้รายนี้ให้กับการกู้ยืมเงิน  โดยที่ดินนาย  A  มีราคา  100,000  บาท  นาย  B  มีราคา  200,000  บาท  และนาย  C  มีราคา  300,000  บาท  ดังนี้ หากนาย  ข  ต้องการจะบังคับขายทอดตลาดทุกแปลงได้หรือไม่  และหากได้  ผู้จำนองจะต้องรับผิดชอบคนละเท่าไร

ธงคำตอบ

มาตรา  728  เมื่อจะบังคับจำนองนั้น  ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า  ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

มาตรา  729  นอกจากทางแก้ดังบัญญัติไว้ในมาตราก่อนนั้น  ผู้รับจำนองยังชอบที่จะเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดได้ภายในบังคับแห่งเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาถึงห้าปี

(2) ผู้จำนองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจำนวนเงินอันค้างชำระและ

(3) ไม่มีการจำนองรายอื่น  หรือบุริมสิทธิอื่นได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้เอง

มาตรา  734  ถ้าจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวและมิได้ระบุลำดับไว้ไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนำจะใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินนั้นๆ  ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนก็ได้  แต่ท่านห้ามมิให้ทำเช่นนั้นแก่ทรัพย์สินมากสิ่งกว่าที่จำเป็นเพื่อใช้หนี้ตามสิทธิแห่งตน

ถ้าผู้รับจำนองใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน  ท่านให้แบ่งภาระแห่งหนี้นั้นกระจายไปตามส่วนราคาแห่งทรัพย์สินนั้นๆ

วินิจฉัย

นาย  ข  ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนอง  สามารถที่จะบังคับจำนองได้โดยการขายทอดตลาดตามมาตรา  728  หรือฟ้องเอาจำนองหลุดตามมาตรา  729

ตามมาตรา  728  ผู้รับจำนองสามารถที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองทั้งหมดได้  ตามมาตรา  734  วรรคแรก  และเมื่อผู้รับจำนองใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน  ก็จะต้องเฉลี่ยความรับผิดไปตามส่วนราคาแห่งทรัพย์สินนั้นๆ  ตามมาตรา  734  วรรคสอง  ดังนั้น  นาย  A  ต้องรับผิด  10,000  บาท  นาย  B  รับผิด  20,000  บาท  และนาย  C  รับผิด  30,000 บาท

สรุป  นาย  A  รับผิด  10,000  บาท  นาย  B  รับผิด  20,000  บาท  และนาย  C  รับผิด  30,000 บาท

 

ข้อ  3  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นจำนวนเงิน  12,000  บาท  โดยมีนาย  ค  มอบสร้อยคอจำนำไว้เป็นประกัน  หนี้การกู้ยืมเงินและจำนำกันครั้งนี้ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมหรือจำนำเป็นหนังสือ  ต่อมาหนี้ถึงกำหนดชำระปรากฏว่านาย  ก  ผิดนัด  และนาย  ข  มีหนังสือทวงถามให้นาย  ก  และนาย  ค  ชำระหนี้  แต่บุคคลทั้งสองไม่ชำระหนี้  นาย  ข  จึงนำสร้อยคอที่รับจำนำไว้ไปขายทอดตลาดได้เงินสุทธิ  8,000 บาท  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ข  จะฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท จากนาย  ก  ลูกหนี้  และนาย  ค  ผู้รับจำนำได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  767  เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด  ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป  และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ  หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ  ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  สัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่ากรณีตามอุทาหรณ์เป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาท  ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด  เพียงแต่หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้  ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนาย  ก  และนาย  ข  สมบูรณ์ตามกฎหมาย  แต่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้  ตามมาตรา  653  วรรคแรก

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาคือ  การจำนำสร้อยคอของนาย  ค  สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่าการจำนำตามมาตรา  747  ย่อมสมบูรณ์เพียงส่งมอบทรัพย์ที่จำนำ  ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด  ดังนั้นการจำนำดังกล่าวจึงสมบูรณ์  มีผลตามกฎหมาย  เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้  ผู้รับจำนำสามารถบังคับจำนำโดยการเอาทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า  นาย  ข  จะฟ้องรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  จากนาย  ก  ลูกหนี้  และนาย  ค  ผู้จำนำได้หรือไม่  เห็นว่า  เมื่อบังคับจำนำแล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่ตามมาตรา  767  วรรคสอง  หากหนี้ประธานสมบูรณ์ฟ้องร้องตามกฎหมายได้  แต่ตามปัญหาหนี้ประธานคือ  หนี้กู้ยืม  ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  653  วรรคแรก  ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้  นาย  ข  จึงฟ้องเรียกเงินที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  ไม่ได้

ส่วนนาย  ค  ก็ไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่  เพราะนาย  ค  เป็นแต่เพียงผู้เอาทรัพย์มาประกันการชำระหนี้เท่านั้น  มิได้เป็นลูกหนี้  ทั้งนี้กฎหมายมาตรา  767  วรรคสองกำหนดให้ลูกหนี้เท่านั้นที่จะต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่  เมื่อมีการบังคับจำนำแล้ว   จำนำย่อมระงับสิ้นไป  นาย  ข  จึงฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  จากนาย  ค  ผู้จำนำไม่ได้

สรุป  นาย  ข  จะฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  จากนาย  ก  และนาย  ค  ไม่ได้

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นางแตงกวาเป็นหญิงเสเพล  ได้ขอยืมเงินนายอินเป็นเงิน  100,000  บาท  เพื่อเอาไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนของตน  โดยมีนายมะระน้องชายนำที่ดินพร้อมบ้านของตนที่อยู่บนดอยปุยซึ่งอยู่ห่างไกลจากความเจริญมาจำนำนายอินไว้  บ้านดังกล่าวมีราคาประมาณ  1,000,000  บาท  ต่อมาเกิดไฟไหม้ป่าขึ้นบ้านเสียหาย  มูลค่าลดลงไป  900,000  บาท  นายอินเห็นว่าบ้านเสียหายมาก  ตนเองจะเสียหายจึงจะบังคับจำนองในทันที  ดังนี้  นายอินจะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  723  ถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองบุบสลาย  หรือถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งสูญหายหรือบุบสลาย  เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกันไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเสียในทันทีก็ได้  เว้นแต่เมื่อเหตุนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของผู้จำนอง  และผู้จำนองก็เสนอจะจำนองทรัพย์สินอื่นแทนให้มีราคาเพียงพอหรือเสนอจะรับซ่อมแซมแก้ไขความบุบสลายนั้นภายในเวลาอันสมควรแก่เหตุ

วินิจฉัย 

การที่นางแตงกวายืมเงินนายอิน  100,000  บาท  ซึ่งเป็นหนี้ประธานไปซื้อเหล้า  ถือว่าหนี้ประธานเป็นหนี้ที่ไม่ขัดต่อความสวบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี  จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย  เมื่อหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมาย  การที่นายมะระได้นำที่ดินพร้อมบ้านของตนมาจำนองนายอินไว้  การจำนองย่อมสมบูรณ์เช่นเดียวกันตามมาตรา  702  ส่วนเรื่องความเสียหายของทรัพย์จำนองที่มูลค่าลดลงไปถึง  900,000  บาทนั้น  การเสียหายของทรัพย์จำนองดังกล่าวยังไม่เสียหายถึงขนาดที่จะบังคับจำนองได้ทันที  ตามมาตรา  723  เพราะยังมีมูลค่าเหลืออยู่อีก  100,000  บาท  จึงเพียงพอที่จะประกันการชำระหนี้ที่เหลืออยู่ได้

สรุป  นายอินจะบังคับจำนองทันทีไม่ได้

 

ข้อ  2  แดงกู้เงินเขียว  โดยตกลงทำสัญญากันถูกต้อง  หลังจากนั้นแดงได้นำแหวนของตนเองและมีเหลืองนำสร้อยคอมาวางเป็นการจำนำไว้กับเขียว  โดยที่เขียวตกลงรับแหวนและสร้อยคอเป็นหลักประกันการกู้เงิน  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระเขียวได้โทรศัพท์ขอให้แดงชำระหนี้  แดงไม่ชำระหนี้  เขียวจึงนำแหวนและสร้อยคอออกขายทอดตลาด  แดงจึงมาปรึกษาท่านว่าการกระทำของเขียวถูกต้องหรือไม่  ในการนำทรัพย์ของแดงและเหลืองออกขายทอดตลาด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

แดงกู้เงินเขียว  และได้มอบแหวนของตนเองและมีเหลืองมอบสร้อยคอให้เขียวไว้  ถือเป็นการจำนำประกันการชำระหนี้เงินกู้ยืมตามมาตรา  747  แต่การที่เขียวจะนำทรัพย์ที่จำนำออกขายทอดตลาดนั้น  จะต้องปรากฏว่าเขียวได้มีจดหมายบอกกล่าวให้ลูกหนี้คือแดงทำการชำระหนี้เสียก่อน  ถ้าและลูกหนี้ละเลยเสียไม่ทำการชำระหนี้  ผู้รับจำนำจึงจะมีสิทธินำทรัพย์ที่จำนำออกขายทอดตลาดได้

ตามปัญหาปรากฏว่า  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระเขียวเพียงแต่โทรศัพท์บอกให้แดงชำระหนี้เท่านั้น  แต่มิได้มีจดหมายบอกกล่าว  จึงต้องถือว่าเขียวมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่มาตรา  764  วางหลักเกี่ยวกับการบังคับจำนำไว้

สรุป  การกระทำของเขียวในการนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดจึงยังไม่ถูกต้องตามมาตรา  764   

 

ข้อ  3  ในวันที่  30  มกราคม  2545  นายเอกทำสัญญากู้เงินจำนวน  50,000  บาท  จากนายโท  โดยนายเอกตกลงว่าจะให้ดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี  แก่นายโทจนกว่าหนี้จะถึงกำหนดในวันที่  20  สิงหาคม  2549  ซึ่งในการกู้ยืมเงินครั้งนี้นายเอกได้ส่งมอบเครื่องอบผลไม้ไฟฟ้าไว้เป็นประกันการกู้เงินแก่นายโทด้วย  โดยนายเอกตกลงให้นายโทสามารถเอาออกให้ผู้อื่นเช่าได้  ในวันที่  3  ตุลาคม  2545  นายโทจึงได้นำไปให้นายหนึ่งเช่าโดยคิดค่าเช่าเดือนละ  5,000  บาททุกเดือน  เมื่อนายโทได้รับค่าเช่าจากนายหนึ่งทุกสิ้นเดือน  ตั้งแต่เดือนตุลาคม  2545  เป็นต้นมา  ก็ได้นำค่าเช่าดังกล่าวมาหักชำระหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ที่นายเอกต้องชำระแก่นายโท  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  การที่นายโทเจ้าหนีกระทำเช่นนี้  ชอบด้วยกฎหมายจำนำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  749  คู่สัญญาจำนำจะตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจำนำไว้ก็ได้

มาตรา  760  ถ้าผู้รับจำนำเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกใช้เอง  หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  หรือเก็บรักษาโดยผู้จำนำมิได้ยินยอมด้วยไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนำจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจำนำนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ  แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

มาตรา  761  ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา  หากมีดอกผลนิตินัยงอกจากทรัพย์สินนั้นอย่างไร  ท่านให้ผู้รับจำนำจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชำระแก่ตน  และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระ  ท่านให้จัดสรรใช้เงินต้นแห่งหนี้อันได้จำนำทรัพย์สินเป็นประกันนั้น

วินิจฉัย

ในการจำนำคู่สัญญาจะตกลงให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินที่จำนำได้  และเมื่อผู้จำนำยินยอม  ผู้รับจำนำมีสิทธินำทรัพย์จำนำออกให้บุคคลภายนอกใช้สอยได้  ตามมาตรา  749  ประกอบมาตรา  760  และเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วเจ้าหนี้ผู้รับจำนำมีสิทธินำดอกผลนิตินัยที่เกิดจากทรัพย์จำนำมาชำระดอกเบี้ยได้  และถ้าดอกเบี้ยไม่มีให้นำมาจัดสรรชำระหนี้เงินต้นได้

หนี้ตามสัญญากู้ระหว่างนายเอกและนายโทถึงกำหนดชำระในวันที่  20  สิงหาคม  2549  ดังนั้นแม้จะมีค่าเช่าเกิดขึ้นจากการที่นายโทเจ้าหนี้นำเครื่องอบผลไม้ไฟฟ้าออกให้นายหนึ่งเช่าโดยได้รับความยินยอมจากนายเอกผู้จำนำก็ตาม  ตามมาตรา  749  ประกอบมาตรา  760 ซึ่งสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่นายโทเจ้าหนี้หามีสิทธินำค่าเช่าซึ่งเป็นดอกผลนิตินัยดังกล่าวมาจัดสรรชำระหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้เพราะหนี้ดอกเบี้ยยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ตามมาตรา  761  (ให้จัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระเท่านั้น)

สรุป  การที่นายโทเจ้าหนี้นำเครื่องอบผลไม้ไฟฟ้าออกให้เช่าเป็นการกระทำโดยชอบตามมาตรา  749  ประกอบมาตรา  760  แต่การนำค่าเช่าที่เก็บตั้งแต่ตุลาคม  2545  เป็นต้นมา  นำมาชำระค่าดอกเบี้ยตามสัญญากู้ไม่สามารถทำได้เพราะค่าดอกเบี้ยยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ตามมาตรา  761

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายนิติภูมิทำสัญญาจ้างนายสมัครเป็นพนักงานเก็บเงินในร้านสะดวกซื้อ  ในการนี้นายสมัครได้ส่งมอบสมุดบัญชีเงินฝากของตนไว้เป็นประกันการเข้าทำงาน  ต่อมาอีก  2  วัน  นายสมบัติได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสมัครต่อนายนิติภูมิ  หลังจากนั้นอีก  3 เดือน  นายสมัครได้ยักยอกเงินนายนิติภูมิไปเป็นเงิน  3  แสนบาท  เมื่อนายนิติภูมิทราบเรื่องได้ไล่นายสมัครออกจากงานและได้เรียกร้องให้นายสมบัติรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  ถ้านายสมบัติจะยกข้อต่อสู้ต่อไปนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายสมบัติจะรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

1       นายสมบัติไม่ต้องรับผิดเพราะในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกันยังไม่มีหนี้ที่นายสมัครจะต้องรับผิดต่อนายนิติภูมิ  การยักยอกเงินเพิ่งเกิดขึ้นหลังนายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกัน

2       นายสมบัติเรียกร้องให้นายนิติภูมิไปบังคับเอากับเงินฝากที่นายสมัครได้มอบสมุดบัญชีไว้เป็นหลักประกันก่อน  ขาดเท่าไรจึงมาเรียกร้องให้นายสมบัติรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

ธงคำตอบ

มาตรา 681 วรรคสอง  หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม  ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้  และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

วินิจฉัย

 1       การที่นายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสมัคร  ถือว่าเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคตที่นายสมัครลูกจ้าง (ลูกหนี้)  อาจก่อให้เกิดขึ้นแก่นายนิติภูมินายจ้าง  (เจ้าหนี้)  ภายในระหว่างสัญญาจ้างแรงงานยังไม่สิ้นสุด  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็สามารถมีการค้ำประกันได้ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ดังนั้นแม้ปรากฏว่าในขณะที่นายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  นายสมัครลูกจ้างยังไม่ได้กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายนิติภูมินายจ้างก็ตาม  แต่ภายหลังจากทำสัญญาค้ำประกันได้  3  เดือน  นายสมัครได้ยักยอกเงินก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายนิติภูมิ  จึงถือว่านายสมัครลูกหนี้มีการผิดนัด (มาตรา  206)  ความรับผิดของนายสมบัติผู้ค้ำประกันจึงเกิดมีขึ้น  ตามมาตรา  686  นายสมบัติจึงมิอาจที่จะยกข้อต่อสู้ว่าในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกันยังไม่มีหนี้ประธานเกิดขึ้นเพื่อเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้  เพราะเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคต  ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ดังนั้นข้อต่อสู้ของนายสมบัติจึงฟังไม่ขึ้น

2       ในขณะที่นายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  นายสมัครลูกจ้างได้ส่งมอบสมุดเงินฝากให้นายนิติภูมิยึดถือไว้เป็นประกันการทำงาน  เห็นว่า  การที่นายสมัครส่งมอบสมุดเงินฝากให้นายนิติภูมิไม่ถือว่าเป็นการที่ลูกหนี้ได้ให้หลักประกันแก่เจ้าหนี้ตามกฎหมาย  เพราะการส่งมอบสมุดเงินฝากไม่ถือว่าเป็นการจำนำตามมาตรา  747  เป็นแต่เพียงทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะยึดถือสมุดเงินฝากไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้จากนายสมัครลูกจ้างเท่านั้น  ดังนั้นข้อต่อสู้ที่ให้นายนิติภูมิ  ไปบังคับเอากับสมุดเงินฝากที่ยึดถือไว้เป็นหลักประกันก่อนตามมาตรา  690  จึงับฟังไม่ได้  แต่ถ้านายสมบัติผู้ค้ำประกันสามารถพิสูจน์ได้ว่า  นายสมัครลูกหนี้มีเงินฝากอยู่ในบัญชีสมุดเงินฝากซึ่งสามารถนำมาชำระหนี้ได้และการบังคับชำระหนี้ไม่เป็นการยากก็สามารถเรียกร้องให้นายนิติภูมิเจ้าหนี้  ไปบังคับเอากับเงินฝากที่นายสมัครได้มอบสมุดบัญชีไว้เป็นหลักประกันก่อน  ขาดเท่าไรจึงมาเรียกร้องให้นายสมบัติรับผิดตามสัญญาค้ำประกันข้อต่อสู้ดังกล่าวฟังไม่ขึ้น  ตามมาตรา  690  แต่ชอบที่จะเกี่ยงตามมาตรา  689  ได้

สรุป

1       ข้อต่อสู้ฟังไม่ขึ้น  ตามมาตรา  682  วรรคสอง

2       ข้อต่อสู้ฟังไม่ขึ้น  ตามมาตรา  690  แต่ชอบที่จะยกข้อต่อสู้ตามมาตรา  689  ได้

 

ข้อ  2  วันที่  1  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารทักษิณเป็นเงิน  3  ล้านบาท  ซึ่งจะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่  30  สิงหาคม  2548  โยวันที่  1  กุมภาพันธ์  2545  นายวาสนาได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  3  ล้านบาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายปริญญา  ต่อมาวันที่  2  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  4  ล้านบาท  เป็นประกันหนี้เงินกู้ของตนเอง  ในวันที่  1  มีนาคม  2545  นายปริญญาได้นำที่ดินที่จำนองไว้กับธนาคารทักษิณไปจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพเช่าเพื่อปลูกอาคารพาณิชย์โดยคิดค่าเช่าที่ดินเดือนละ 1  หมื่นบาท  เมื่อปลูกอาคารพาณิชย์เสร็จนายสุเทพได้นำอาคารดังกล่าวออกให้นายรัฐธรรมนูญเช่า  โดยคิดค่าเช่าอาคารเดือนละ  15,000  บาท  ต่อมาวันที่  1  กันยายน  2548  ธนาคารทักษิณได้ทำหนังสือและจดทะเบียนปลดจำนองให้นายวาสนาไป  เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระนายปริญญาผิดนัดไม่ชำระหนี้วันที่  31  สิงหาคม  2548  ธนาคารทักษิณได้บอกกล่าวบังคับจำนองด้วยวาจาไปยังนายปริญญา  ถ้าหลังจากบอกกล่าวบังคับจำนองนายสุเทพได้นำค่าเช่าที่ดิน  1  หมื่นบาทมาชำระให้นายปริญญาและนายรัฐธรรมนูญนำค่าเช่าอาคารมาชำระให้นายสุเทพ  เช่นนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

 1       ถ้าต่อมาในอนาคตเวลาจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินของนายปริญญาที่นำมาจำนองกับธนาคารทักษิณจะได้เงินไม่พอชำระหนี้  3  ล้านบาท  เพราะมีการจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพและนายรัฐธรรมนูญไว้  ธนาคารทักษิณจะฟ้องศาลเพื่อให้ลบสิทธิการเช่าดังกล่าวออกจากทะเบียนได้หรือไม่

2       การจำนองที่ดินของนายปริญญาจะครอบไปถึงบ้านนายสุเทพ  ค่าเช่าที่ดิน  ค่าเช่าอาคารหรือไม่  เพราะเหตุใด

3       นายปริญญาผู้จำนองจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาจำนองอันเนื่องมาจากการที่ธนาคารทักษิณปลดจำนองที่ดินให้นายวาสนาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  710  ทรัพย์สินหลายสิ่งมีเจ้าของคนเดียวหรือหลายคนจะจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียว  ท่านก็ให้ทำได้

และในการนี้คู่สัญญาจะตกลงกันดังต่อไปนี้ก็ได้  คือว่า

(1) ให้ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตามลำดับอันระบุไว้

(2) ให้ถือเอาทรัพย์สินแต่ละสิ่งเป็นประกันหนี้เฉพาะแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดที่ระบุไว้

มาตรา  718  จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง  แต่ต้องอยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจำกัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้

มาตรา  720  จำนองเรือนโรงหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งได้ทำขึ้นไว้บนดินหรือใต้ดิน  ในที่ดินอันเป็นของคนอื่นเขานั้นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย  ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น

มาตรา  721  จำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่งจำนอง  เว้นแต่ในเมื่อผู้รับจำนองได้บอกกล่าวแก่ผู้จำนองหรือผู้รับโอนแล้วว่าตนจำนงจะบังคับจำนอง

มาตรา  722  ถ้าทรัพย์สินได้จำนองแล้ว  และภายหลังที่จดทะเบียนจำนองมีจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่น  โดยผู้รับจำนองมิได้ยินยอมด้วยไซร้  ท่านว่าสิทธิจำนองย่อมเป็นใหญ่กว่าภาระจำยอม  หรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่นนั้น  หากว่าเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของผู้รับจำนองในเวลาบังคับจำนอง  ก็ให้ลบสิทธิที่กล่าวหลังนั้นเสียจากทะเบียน

มาตรา  726  เมื่อบุคคลหลายคนต่างได้จำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวอันบุคคลอื่นจะต้องชำระและได้ระบุลำดับด้วยไซร้  ท่านว่าการที่ผู้รับจำนองยอมปลดหนี้ให้แก่ผู้จำนองคนหนึ่งนั้นย่อมทำให้ผู้จำนองคนหลังๆได้หลุดพ้นด้วยเพียงขนาดที่เขาต้องรับความเสียหายแต่การนั้น

มาตรา  727  ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตรา  697, 700 และ  701  ว่าด้วยค้ำประกันนั้นบังคับอนุโลมตามควร

วินิจฉัย

วันที่  1  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารทักษิณเป็นเงิน  3  ล้านบาท  ซึ่งจะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่ 30  สิงหาคม  2548  โดยในวันดังกล่าว  นายวาสนาบุคคลภายนอกได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  3  ล้านบาท  เป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายปริญญา  ตามมาตรา  709  ต่อมาในวันที่  2  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาลูกหนี้ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  4  ล้านบาท  เป็นประกันหนี้เงินกู้ของตนเอง  ซึ่งเป็นกรณีการจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเป็นประกันการชำระหนี้รายเดียวตามมาตรา  710  โดยไม่มีการตกลงระบุลำดับในการบังคับจำนองไว้ตามมาตรา  710 (1)  และมิได้มีการตกลงจำกัดความรับผิดในทรัพย์ที่จำนองแต่ละสิ่ง  ตามมาตรา  710 (2)  เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการตกลงกันระหว่างคู่สัญญาจำนองในทำนองดังกล่าว  อีกทั้งการจดทะเบียนจำนองก่อนหรือหลังหาได้ทำให้เจ้าหนี้ผู้รับจำนองจะต้องบังคับเอากับทรัพย์ที่รับจำนองไว้ก่อนไม่  ตามมาตรา  734

หลังจากนั้นในวันที่  1  มีนาคม  2545  นายปริญญา(ผู้จำนอง)  ได้นำที่ดินที่จำนองไว้กับธนาคารทักษิณไปจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพเช่าเพื่อปลูกอาคารพาณิชย์โดยคิดค่าเช่าที่ดินเดือนละ  1  หมื่นบาท  เมื่อปลูกอาคารพาณิชย์เสร็จนายสุเทพได้นำอาคารดังกล่าวออกให้นายรัฐธรรมนูญเช่า  โยคิดค่าเช่าอาคารเดือนละ  15,000  บาทเช่นนี้

 1       ถ้าต่อมาในอนาคตเวลาจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินของนายปริญญาที่นำมาจำนองกับธนาคารทักษิณจะได้เงินไม่พอชำระหนี้  3  ล้านบาท  เพราะมีการจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพและนายรัฐธรรมนูญไว้  ธนาคารทักษิณจะฟ้องศาลเพื่อให้ลบสิทธิการเช่าดังกล่าวออกจากทะเบียนได้หรือไม่  เห็นว่าตามมาตรา  722  ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองชอบที่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพยสิทธิอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้ในทรัพย์ที่รับจำนองได้  ถ้าปรากกว่าในขณะที่จะบังคับจำนองการจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพยสิทธิอื่นทำให้เสื่อมเสียแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนอง  แต่กรณีตามปัญหา  การที่นายปริญญาผู้จำนองได้จดทะเบียนให้เช่าที่ดินที่ติดจำนองแก่นายสุเทพไป  แม้จะทำให้ธนาคารทักษิณผู้รับจำนองได้รับความเสียหายในเวลาที่จะบังคับจำนองก็ตาม  ก็ไม่สามารถฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนการเช่าที่ดินดังกล่าวได้  เพราะการจดทะเบียนการเช่าเป็นเพียงบุคคลสิทธิไม่ใช่เป็นการจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพยสิทธิอื่น  ตามมาตรา  722  ดังนั้นธนาคารทักษิณจะฟ้องศาลเพื่อให้ลบสิทธิการเช่าดังกล่าวออกจากทะเบียนไม่ได้

2       การจำนองที่ดินของนายปริญญาจะครอบไปถึงอาคารพาณิชย์ของนายสุเทพ  ค่าเช่าที่ดิน  ค่าเช่าอาคาร  หรือไม่  เห็นว่าโดยหลักตามมาตรา  718  การจำนองย่อมครอบไปถึงตัวทรัพย์ทั้งปวงที่ติดพันกับทรัพย์สินที่จำนอง  แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับใน  มาตรา  719 721  ซึ่งตามมาตรา  720  มีหลักว่าการจำนองที่ดินไม่ครอบไปถึงโรงเรือนบุคคลอื่นได้ปลูกสร้างไว้  ดังนั้นการจำนองที่ดินของนายปริญญาย่อมไม่ครอบไปถึงอาคารพาณิชย์ที่นายสุเทพได้ปลูกสร้าง  ตามมาตรา  720

ส่วนกรณีการจะบังคับเอาดอกผลของตัวทรัพย์สินที่นำมาจำนองได้นั้น  ต้องมีการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบตามมาตรา  721  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระนายปริญญาลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้  วันที่  31  สิงหาคม  2548  ธนาคารทักษิณได้บอกกล่าวบังคับจำนองด้วยวาจาไปยังนายปริญญา  ถือว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะการบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร  ตามมาตรา  728  ดังนั้นแม้ว่าหลังจากบอกกล่าวบังคับจำนอง  นายสุเทพได้นำค่าเช่าที่ดิน(ที่ติดจำนอง)  1  หมื่นบาทมาชำระให้นายปริญญาผู้จำนอง  การจำนองที่ดินก็ย่อมไม่ครอบไปถึงค่าเช่าที่ดิน  1  หมื่นบาท  ที่นายสุเทพนำมาชำระให้นายปริญญาผู้จำนองเพราะการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  721  ประกอบมาตรา  728

ส่วนกรณีค่าเช่าอาคารพาณิชย์  15,000  บาท  ที่นายรัฐธรรมนูญนำมาชำระให้นายสุเทพนั้น  เมื่อการจำนองครอบที่ดินของนายปริญญาไม่ครอบไปถึงอาคารพาณิชย์ที่นายสุเทพปลูกสร้างขึ้น  เพราะการจำนองที่ดินของนายปริญญาย่อมไม่ครอบไปถึงโรงเรือนอาคารพาณิชย์ที่นายสุเทพบุคคลอื่นได้ปลูกสร้างตามมาตรา  720  ดังนั้นเมื่อไม่ครอบไปถึงอาคารพาณิชย์  ก็ไม่ครอบไปถึงค่าเช่าซึ่งเป็นดอกผลของอาคารพาณิชย์ด้วย

ดังนั้น  การจำนองที่ดินของนายปริญญาจะครอบไปถึง  แต่เฉพาะที่ดินของนายปริญญาผู้จำนองเท่านั้น  แต่ไม่ครอบไปถึงอาคารของนายสุเทพและค่าเช่าอาคาร  ตามาตรา  720  อีกทั้งไม่ครอบไปถึงค่าเช่าที่ดิน  เพราะไม่มีการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบตามมาตรา  721

3       นายปริญญาผู้จำนองที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาจำนอง  อันเนื่องมาจากที่ธนาคารทักษิณปลดจำนองที่ดินให้นายวาสนา  หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  726  มีหลักว่า  ถ้าผู้รับจำนองปลดจำนองให้ผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกที่ต้องถูกบังคับจำนองในลำดับหลัง  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  มิใช่เป็นกรณีที่มีบุคคลภายนอกหลายคนต่างจำนองทรัพย์สินเพื่อประกันการชำระหนี้ของลูกหนี้และได้มีการตกลงระบุลำดับในการบังคับจำนองไว้  จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติใน  มาตรา  726  ดังนั้นนายปริญญาผู้จำนองจะอ้างว่าการที่ธนาคารทักษิณปลดจำนองให้แก่นายวาสนาเป็นเหตุให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

อีกทั้งนายปริญญาผู้จำนองที่เป็นลูกหนี้อ้างว่า  เป็นผู้จำนองที่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  727  ก็มิได้อีกเช่นกัน  เพราะมาตรา  727  ใช้เฉพาะกับหนี้ประธานที่ผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกคนเดียว  แล้วเจ้าหนี้ผู้รับจำนองกระทำการตามมาตรา  697, 700 , 701  ทำให้ผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกเสียหาย  แต่ตามอุทาหรณ์นายปริญญาผู้จำนองเป็นลูกหนี้ชั้นต้นจึงจะอ้างประโยชน์ตามมาตรา  697 ประกอบมาตรา  727  เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

สรุป 

1       ฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนการเช่าไม่ได้  ตามมาตรา  722

2       การจำนองครอบเฉพาะที่ดินที่นำมาจำนองตามมาตรา  718   720  และมาตรา  721

3       นายปริญญาผู้จำนองที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  จะอ้างมาตรา  726  และ  727  เพื่อหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

 

ข้อ  3  นายมหาชนทำสัญญากู้เงินนายชาติไทยเป็นเงิน  3  แสนบาท  โดยนายประชาธิปัตย์ได้นำเครื่องจักรมูลค่า  3  แสนบาทเป็นประกันการกู้เงินของนายมหาชน  ซึ่งนายชาติไทยและนายประชาธิปัตย์ตกลงให้นายมหาชนเป็นผู้เก็บรักษาเครื่องจักร  ถ้าต่อมานายมหาชนผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้  พร้อมดอกเบี้ยเกินกว่า  5  ปีแล้ว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1       การจำนำเครื่องจักรระงับหรือไม่  เพราะเหตุใด

2       นายชาติไทยจะบังคับจำนำโดยเอาเครื่องจักรที่รับจำนำไว้หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  749  คู่สัญญาจำนำจะตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจำนำไว้ก็ได้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

มาตรา  769  อันจำนำย่อมระงับไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจำนำเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความหรือ

(2) เมื่อผู้รับจำนำยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของผู้จำนำ

วินิจฉัย

การที่นายมหาชนทำสัญญากู้เงินนายชาติไทยเป็นเงิน  3  แสนบาท  โดยนายประชาธิปัตย์ได้จำนำเครื่องจักรมูลค่า  3  แสนบาทเป็นประกันกู้เงินของนายมหาชน  ซึ่งนายชาติไทยผู้รับจำนำ  และนายประชาธิปัตย์ผู้จำนำตกลงให้นายมหาชนลูกหนี้ชั้นต้นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาจำนำเป็นผู้เก็บรักษาเครื่องจักร  การจำนำเกิดขึ้นและมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  747  ประกอบมาตรา  749  ต่อมานายมหาชนผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยเกินกว่า  5  ปีแล้ว  เช่นนี้

1       การจำนำเครื่องจักรระงับหรือไม่  เห็นว่า  มาตรา  769 (2)  จำนำจะระงับเมื่อผู้รับจำนำส่งคืนทรัพย์สินที่รับจำนำให้แก่ผู้จำนำ  แต่กรณีตามปัญหานายชาติไทยผู้รับจำนำไม่ได้คืนเครื่องจักรให้นายประชาธิปัตย์ผู้จำนำ  ดังนั้นการจำนำไม่ระงับตามมาตรา  769  (2)  แต่ตกลงให้นายมหาชนเป็นผู้เก็บรักษาได้ตามมาตรา  749

2       นายชาติไทยจะบังคับจำนำโดยเอาเครื่องจักรที่รับจำนำไว้หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  764  ไม่มีกรณีจะบังคับจำนำเอาทรัพย์หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ได้  เพราะต้องบังคับจำนำโดยเอาเครื่องจักรออกขายทอดตลาดชำระหนี้เท่านั้น

สรุป 

1       การจำนำไม่ระงับตามมาตรา  769 (2)  ประกอบมาตรา  749

2       บังคับจำนำเอาทรัพย์จำนำหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ไม่ได้ตามมาตรา  764

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ สอบซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอทำสัญญาจ้างนายบีเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านขายขนมปัง  โดยมีกำหนดเวลาจ้าง  1  ปี  ในการนี้  นายซีได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายบี  โดยข้อความในสัญญาค้ำประกันข้อหนึ่งมีใจความว่า  นายซีขอรับผิดในความเสียหายร่วมกับนายลบี  หลังจากนั้น  3  วัน  นายซีได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ของนายซีไว้เป็นประกันการชำระหนี้ให้นายเอ  ต่อมาเมื่อนายบีทำงานได้  3  เดือน  นายซีต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงได้ส่งจดหมายบอกเลิกการค้ำประกันไปยังนายเอ  แต่ปรากฏว่านายเอไม่อยู่ไปต่างจังหวัด  หลังจากที่มีจดหมายบอกเลิกการค้ำประกันแล้ว  นายบีได้ยักยอกเงินนายเอไปเป็นจำนวน  10,000  บาท  เมื่อนายเอกลับจากต่างจังหวัด  นายบีได้ยื่นจดหมายลาออกและนายเอได้อนุมัติให้นายบีลาออกไปและคืนรถจักรยานยนต์ให้นายบีไป  โดยนายเอยังไม่ทราบว่านายบีทุจริตยักยอกเงินของตนเองไป  เช่นนี้

1       นายเอจะเรียกร้องให้นายซีรับผิดได้หรือไม่อย่างไร

2       ถ้าหากนายซีจะต้องรับผิด  นายซีจะมีสิทธิตามกฎหมายค้ำประกันอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

 หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

 หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ เพราะทำด้วยความสำคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่ เข้าทำสัญญาผูกพันตน

มาตรา 688 เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกัน จะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษา ให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดใน พระราชอาณาเขต

มาตรา  689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม  ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้  และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

มาตรา  691  ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิดังกล่าวไว้ในมาตรา  688, 689, และ  690 

มาตรา  699  การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้นท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้

ในกรณีเช่นนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้

วินิจฉัย

การค้ำประกันการจ้างแรงงานเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคตซึ่งอาจมีการค้ำประกันได้ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ดังนั้นนายซีจึงมีความผูกพันติองรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายบี  แม้เป็นหนี้ในอนาคตก็ตาม

 1       เมื่อปรากฏว่าการจ้างมีกำหนดเวลา  1  ปี  จึงเป็นการค้ำประกันที่มีกำหนดเวลา  แม้ว่าการจ้างแรงงานจะเป็นกิจการเนื่องกันไปหลายคราวก็ตาม  นายซีผู้ค้ำประกันก็ไม่อาจบอกเลิกก่อนครบกำหนด  1  ปีได้  ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายซีได้ส่งจดหมายบอกเลิกการค้ำประกันไปแล้วก็ตาม  การบอกเลิกสัญญานั้น  ก็ไม่มีผลบังคับทางกฎหมายตามมาตรา  699  เพราะมิใช่การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลา  นายซียังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เมื่อนายบีได้ยักยอกเงินนายเอไปจำนวน  10,000 บาท  นายซีผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวต่อนายเอเจ้าหนี้ด้วย

2       นายซีเป็นผู้ค้ำประกัน  โดยขอรับผิดร่วมกับนายบีลูกหนี้  ตามมาตรา  691  จึงไม่มีสิทธิตามมาตรา  688  690  ในเรื่องการเกี่ยงต่างๆกล่าวคือ

1)    ไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายเอเจ้าหนี้ไปเรียกให้นายบีลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน (มาตรา 688)

2)    ไม่มีสิทธิเกี่ยง  โดยขอพิสูจน์ว่านายบีลูกหนี้มีทรัพย์สินที่สามารถชำระหนี้ให้นายเอได้ (มาตรา 689)

3)    ไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายเอเจ้าหนี้บังคับเอากับหลักประกันที่ลูกหนี้ได้ให้ไว้เป็นประกัน (มาตรา  690)

กรณีที่นายเอเจ้าหนี้ผู้รับจำนำได้คืนรถจักรยานยนต์ที่นายซีส่งมอบไว้เป็นการจำนำให้นายบีไป  โดยไม่ปรากฏว่านายซีผู้จำนำซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์  ได้มอบหมายให้นายบีเป็นตัวแทนในการรับมอบนี้  จึงยังไม่มีการส่งมอบรถจักรยานยนต์ที่จำนำกลับไปสู่ความครอบครองของนายซีผู้จำนำ  การจำนำจึงยังไม่ระงับตามมาตรา  769 (2)  ดังนั้น  นายเอเจ้าหนี้จึงยังคงเป็นผู้รับจำนำ  มีสิทธิเหนือรถจักรยานยนต์ของนายซีผู้จำนำ  และนายเอยังมีสิทธิเรียกร้องให้นายซีผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้ด้วยจนกว่านายเอจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน

สรุป

1       นายซีผู้ค้ำประกันหนี้ในอนาคตต้องรับผิดตามมาตรา  681  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  699

2       นายซีผู้ค้ำประกันไม่มีสิทธิเกี่ยงตามมาตรา  688  690 (ตามมาตรา 691)

 

ข้อ  2  นางกาเป็นเจ้าหนี้เงินกู้  นางกีเป็นลูกหนี้ของนางกา  นางกีได้นำที่ดินจดทะเบียนจำนองประกันหนี้เงินยืมเป็นเงิน  100,000  บาท โดยการจำนองครั้งนี้นางกาได้กำหนดเงื่อนไขในการจำนองว่า

1       ห้ามมิให้นางกีนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองคนอื่นอีก

2       ให้ใช้ที่ดินดังกล่าวชำระหนี้โดยยกที่ดินให้นางกาทันทีหากนางกีผิดนัดชำระหนี้

ดังนี้  เงื่อนไขดังกล่าวใช้บังคับตามกฎหมายได้เพียงใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  711  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนอง  หรือว่าได้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่นอย่างใดนอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนองนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  712  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม  ทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น  ท่านว่าจะเอาไปจำนองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้

วินิจฉัย

การจำนองที่ดินดังกล่าวถือเป็นการจำนองที่ถูกต้องตามกฎหมาย  เพราะมีการจดทะเบียนแล้ว  แต่เนื่องจากข้อกำหนดในสัญญาที่ว่า

1       ห้ามจำนองที่ดินดังกล่าว  (ที่ดินที่ได้นำมาจำนองนั้น)  กับคนอื่นอีกใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้  เนื่องจากเป็นการขัดกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  712  ที่ให้สิทธิเจ้าของที่ดินที่ติดจำนองไปทำสัญญาจำนองอีกได้  เงื่อนไขในการจำนองที่ห้ามจำนองซ้อนนี้  จึงเป็นการตกลงยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ผลคือ ตกเป็นโมฆะ

2       ให้ที่ดินที่จำนองตกเป็นของเจ้าหนี้  หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้นั้นใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้เช่นกัน  เป็นการขัดต่อกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  711  ทั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับจำนองตามที่กฎหมายบัญญัติ  และบทบัญญัติตามมาตรา  711 เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  คู่สัญญาจะทำสัญญาตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นไม่ได้  หากฝ่าฝืน  ผลคือ  ตกเป็นโมฆะ  ใช้บังคับไม่ได้

อย่างไรก็ดี  เฉพาะเงื่อนไขในการจำนอง  2  ข้อดังกล่าวเท่านั้นที่มีผลเป็นโมฆะ  ใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้  ส่วนสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองก็ยังคงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

สรุป  เงื่อนไขดังกล่าวใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้  เป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  นาย  ก  เช่าซื้อเครื่องรับโทรทัศน์จากนาย  ข  ในระหว่างที่นาย  ก  ยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่หมด  นาย  ก  ได้นำเครื่องรับโทรทัศน์นั้นไปจำนำไว้กับนาย  ค  กรณีหนึ่งหรือ  นาย  ก  ได้นำเครื่องรับโทรทัศน์นั้นไปจำนำไว้กับโรงจำนำอีกกรณีหนึ่ง  โดยจำนำทั้งสองกรณีไว้เป็นจำนวนเงิน  8,000  บาท  และทั้งนาย  ค  และโรงรับจำนำได้รับจำนำไว้โดยสุจริต

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ทั้ง  2  กรณีดังกล่าวข้างต้นนี้  นาย  ข  มีสิทธิฟ้องเรียกคืนเครื่องรับโทรทัศน์นั้นโดยไม่ต้องไถ่ถอนทรัพย์จำนำได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  757  บทบัญญัติทั้งหลายในลักษณะ  13  นี้  ท่านให้ใช้บังคับแก่สัญญาจำนำที่ทำกับผู้ตั้งโรงรับจำนำโดยอนุญาตรัฐบาลแต่เพียงที่ไม่ขัดกับกฎหมาย  หรือกฎข้อบังคับว่าด้วยโรงจำนำ

มาตรา  1336  ภายในบังคับแห่งกฎหมาย  เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น  กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้  และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

วินิจฉัย

กรณีจำนำไว้กับนาย ค   นาย  ก  เอาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่หมดไปจำนำไว้กับนาย  ค  กรรมสิทธิ์ในเครื่องรับโทรทัศน์ยังเป็นของนาย  ข  อยู่  นาย  ก  ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงจึงไม่มีสิทธิที่จะเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไปจำนำตามมาตรา  747  ดังนั้นในฐานะเจ้าของ  นาย  ข  จึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้  ตามมาตรา  1336  นาย  ข  จึงฟ้องเรียกเครื่องรับโทรทัศน์คืนจากนาย  ค  ได้  โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ทรัพย์ที่จำนำ

กรณีจำนำไว้กับโรงรับจำนำ  การที่นาย  ก  เอาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่หมดไปจำนำไว้กับโรงรับจำนำนั้น  แม้นาย  ก  จะไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงของทรัพย์ที่นำมาจำนำ  ตามมาตรา  747  แต่  โรงรับจำนำได้รับความคุ้มครองตาม  พ.ร.บ.  โรงรับจำนำ  พ.ศ.2505  และมาตรา  757  ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ  อีกทั้งตามปัญหาโรงรับจำนำได้รับจำนำไว้โดยสุจริต  โรงรับจำนำจึงไม่ต้องคืนทรัพย์แก่เจ้าของที่แท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะเสียค่าไถ่ถอน

ดังนี้  นาย  ข  จึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้ตามมาตรา  1336  โยนาย  ข  ต้องเสียค่าไถ่ถอนทรัพย์จำนำ

สรุป

นาย  ข  มีสิทธิฟ้องเรียกคืนเครื่องรับโทรทัศน์ได้  ตามมาตรา  1336  โดย

1       กรณีจำนำไว้กับนาย  ค  นั้น  นาย  ข  ไม่ต้องเสียค่าไถ่ทรัพย์ที่จำนำ

2       กรณีจำนำไว้กับโรงรับจำนำ  นาย  ข  ต้องเสียค่าไถ่ถอนทรัพย์จำนำ

LAW 2010กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2010 (LA 210),(LW 302)

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายอรรถทำสัญญากู้เงินนายอิงค์  เป็นเงิน  3,000,000  บาท  โดยนายอ่ำได้ส่งมอบเครื่องเพชรมูลค่า  2,000,000  บาท  ให้นายอิงค์ไว้เป็นประกันการกู้เงินของนายอรรถ  ต่อมาอีก  3  วัน  นายอุ๊ได้ทำหลักฐานสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ส่งมอบให้นายอิงค์ไว้อีกฉบับหนึ่งโดยที่นายอรรถไม่ทราบ  หลังจากที่นายอุ๊ได้ทำสัญญาค้ำประกันแล้ว  นายอรรถได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  3  ล้านบาท ไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของตนด้วย  หากต่อมาปรากฏว่าก่อนหนี้เงินกู้จะถึงกำหนดนายอิงค์ได้ปลดจำนองให้นายอรรถไป  โดยเห็นว่าหนี้เงินกู้ของนายอรรถมีหลักประกันเพียงพอแล้ว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1  ถ้าหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระและนายอรรถผิดนัด   นายอิงค์มาเรียกร้องให้นายอุ๊รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  นายอุ๊จะเกี่ยงให้นายอิงค์ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำที่นำมาจำนำ  และให้ไปบังคับจำนองที่ดินที่นายอรรถนำมาจำนองเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของนายอรรถเสียก่อน  แล้วจึงมาเรียกร้องให้ตนรับผิดจะกระทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

2  ถ้านายอรรถผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้  นายอุ๊จะอ้างเหตุที่นายอิงค์ทำการปลดจำนองที่ดินที่นายอรรถนำมาจำนอง  เพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

มาตรา  697  ถ้าเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เองเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี  จำนองก็ดี  จำนำก็ดี  และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น

วินิจฉัย

การที่นายอุ๊เข้าทำสัญญาค้ำประกันกู้เงินของนายอรรถให้แก่นายอิงค์โดยที่นายอรรถลูกหนี้ชั้นต้นไม่ทราบหรือไม่ยินยอม  ก็ถือว่าการค้ำประกันมีผลผูกพันนายอุ๊ผู้ค้ำประกันแล้ว  เพราะการค้ำประกันเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าแสดงเจตนาต่อเจ้าหนี้  เพื่อจะชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดไม่ชำระหนี้ประธาน  ตามมาตรา  680  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  686

1       ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในประการแรก  มีว่า  นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจะใช้สิทธิในการเกี่ยงตามาตรา  690  ได้หรือไม่  เห็นว่ากรณีที่จะใช้สิทธิในการเกี่ยงตามาตรา  690  ต้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีทรัพย์สินของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันวางชำระหนี้ประธาน  แต่กรณีตามปัญหา  นายอ่ำบุคคลภายนอกได้ส่งมอบเครื่องเพชรของตนเองเพื่อเป็นประกันการกู้เงินของนายอรรถ  ดังนั้น  นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายอิงค์เจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำบุคคลภายนอกก่อนได้  เพราะมิใช่หลักประกันที่เป็นทรัพย์ของนายอรรถลูกหนี้ชั้นต้น

ส่วนกรณีที่ดินที่นายอรรถได้จำนองไว้  ก็ไม่มีอยู่ในฐานะที่หนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระแล้ว เพราะนายอิงค์เจ้าหนี้ได้ปลดจำนองให้นายอรรถผู้จำนองไปแล้วจึงทำให้การจำนองระงับ  นายอิงค์เจ้าหนี้จึงมิได้มีทรัพย์สินของนายอรรถ  ลูกหนี้ชั้นต้นยึดถือไว้เป็นประกันอีกต่อไป  ดังนั้น นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงได้อีกต่อไปตามมาตรา  690

2       ประเด็นสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยมีว่า   นายอุ๊จะหลุดพ้นเพราะเหตุที่นายอิงค์ทำการปลดจำนองที่ดินให้นายอรรถหรือไม่  เห็นว่าตามมาตรา  697  ตอนท้าย  มีหลักว่า  ถ้าเจ้าหนี้ทำให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิในหลักประกันที่เกิดขึ้นก่อนหรือขณะที่ผู้ค้ำประกันเข้าทำการค้ำประกันแล้ว  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น  ดังนั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอรรถได้จำนองที่ดินไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้  ภายหลังจากที่นายอุ๊ได้เข้าค้ำประกันแล้ว  แม้นายอิงค์เจ้าหนี้จะปลดจำนองให้นายอรรถเป็นเหตุให้นายอุ๊ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ก็ตาม  ก็ไม่ทำให้นายอุ๊หลุดพ้นจากความรับผิด  เพราะการจำนองของนายอรรถเกิดขึ้นหลังจากที่นายอุ๊เข้าทำการค้ำประกันแล้ว  จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติ มาตรา  697

สรุป 

1       นายอุ๊  ผู้ค้ำประกันไม่อาจเกี่ยงให้นายอิงค์เจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำและบังคับจำนองที่ดินของนายอรรถที่เคยจำนองไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ได้ตามมาตรา 690

2       นายอุ๊  ผู้ค้ำประกันไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะเหตุที่นายอิงค์เจ้าหนี้ทำให้นายอุ๊ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ตามมาตรา  697

 

ข้อ  2  นางอินนภาให้เงินนางเพ็ญจักรยืมเป็นเงิน  10,000  บาท  โดยมีนายอาเจ็กจำนองที่ดินของตนเป็นประกันการยืมเงินรายนี้ตามกฎหมาย  ในการยืมเงินครั้งนี้นางอินนภาเจ้าหนี้ได้ตกลงกับนางเพ็ญจักรว่าให้ชำระหนี้  ณ  วันที่  31  ธันวาคม  ครั้นเมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวนางเพ็ญจักรไม่มีเงินชำระหนี้จึงโทรศัพท์มาบอกนางอินนภาเจ้าหนี้ว่าตนไม่มีเงิน  หากมีเงินเมื่อไรจะรีบนำมาให้  นางอินนภารับทราบว่าลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย  แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ฟ้อง  ดังนี้  นายอาเจ็ก  ผู้จำนองจะหลุดพ้น จากการจำนองหรือไม่  หากตนไม่รู้ถึงข้อตกลงทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ในระหว่างที่ทั้งสองตกลงกัน  (นายอาเจ๊กเพิ่งมารู้ทีหลัง)

ธงคำตอบ

มาตรา  700  ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ  ณ  เวลามีกำหนดแน่นอน  และเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด

แต่ถ้าผู้ค้ำประกันได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลา  ท่านว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  727  ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตรา  697, 700 และ  701  ว่าด้วยค้ำประกันนั้นบังคับอนุโลมตามควร

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ตามมาตรา  700  ประกอบมาตรา  727  ที่กำหนดให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากความรับผิด  เพราะเหตุที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้  ประกอบด้วยสาระสำคัญ  3  ประการ

1       ต้องเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน  ถ้าเป็นหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนจะมีการผ่อนเวลาไม่ได้

2       ต้องมีการตกลงยอมผ่อนเวลาโดยชัดแจ้ง  และทั้งเจ้าหนี้ต้องยินยอมด้วย

3       ถ้าผู้จำนองตกลงด้วยในการผ่อนเวลาย่อมไม่หลุดพ้น

เมื่อหนี้ระหว่างนางอินนภาและนางเพ็ญจักร์  ซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนในวันที่  31  ธันวาคม  ถึงกำหนดชำระแล้ว  ลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้จึงโทรศัพท์มาบอกอินนภาว่าไม่มีเงินหากมีเงินเมื่อไรจะรีบนำมาให้  โดยนางอินนภาก็รับทราบ  แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ฟ้อง  เช่นนี้  ไม่ถือว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ตามมาตรา  700  เพราะเป็นเพียงแต่ตกลงด้วยวาจาเท่านั้น  ไม่ชัดแจ้ง  จึงไม่ผูกพันเจ้าหนี้  ผู้จำนองจึงยังไม่หลุดพ้นจากความผิด  ตามมาตรา  700  ประกอบมาตรา  727 

อีกทั้งการที่เจ้าหนี้ไม่ฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  ก็ไม่ใช่เป็นการขยายระยะเวลาการชำระหนี้หรือผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ แต่เป็นเพียงการปล่อยปละละเลยไม่ฟ้องเท่านั้น  นายอาเจ๊กผู้จำนองจึงไม่หลุดพ้นจากการจำนอง  แม้ว่านายอาเจ๊กจะไม่รู้ถึงข้อตกลงระหว่างนางอินนภาและนางเพ็ญจักรก็ตาม

สรุป  นายอาเจ๊กผู้จำนองไม่หลุดพ้นจากการจำนอง

 

ข้อ  3  นาย  ก  กู้เงิน  นาย  ข    เป็นจำนวนเงิน  50,000  บาท  โดยนำสร้อยคอทองคำหนัก  5  บาท  ไปจำนำไว้เป็นประกันหนี้โดยมีข้อตกลงกันว่า  หากถึงกำหนดชำระหนี้ไม่มีเงินไปชำระ  ให้นาย  ข  ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สิน  คือ  สร้อยคอนั้น  หรือให้นาย  ข  จัดการแก่ทรัพย์สินที่รับจำนำเป็นประการใดก็ได้ที่นาย  ข  ต้องการ  เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามที่สัญญากู้เงินกันเมื่อวันที่  1  มกราคม  2549  มีระยะเวลา  1  ปี  เมื่อครบ  1  ปี  นาย  ข  ได้ยึดสร้อยคอนั้นเป็นของตนเสีย  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ข้อตกลงในสัญญาฉบับนี้สมบูรณ์หรือไม่อย่างไร  กรณีที่หนึ่ง

กรณีที่สอง  หากสัญญาฉบับดังกล่าวนี้  นาย  ก  กับ  นาย  ข  ตกลงกันเมื่อหนี้ถึงกำหนดแล้วว่า  ให้ทรัพย์สินที่จำนำเป็นของผู้รับจำนำ  หรือ  ให้ผู้รับจำนำสร้อยคอไปร้านขายทองนำเงินมาชำระหนี้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ข้อตกลงในสัญญาฉบับดังกล่าวนี้สมบูรณ์หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  756  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนำเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนำ  หรือให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่น  นอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนำนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้น  ท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

กรณีที่หนึ่ง  การที่นาย  ก  และนาย  ข  ตกลงกันว่า  หากถึงกำหนดชำระหนี้  ไม่มีเงินไปชำระให้นาย  ข  ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนำ  หรือให้นาย  ข  จัดการแก่ทรัพย์สินที่รับจำนำเป็นประการใดก็ได้ที่นาย  ข  ต้องการนั้น  เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย  ต้องห้ามตามมาตรา  756  เพราะเป็นการตกลงกันล่วงหน้าระหว่างผู้รับจำนำกับผู้จำนำ  ก่อนเวลาที่หนี้ถึงกำหนดชำระ  ข้อตกลงเช่นนี้จึงไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ

กรณีที่สอง  หากนาย  ก  กับนาย  ข  ตกลงกันเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วว่า  ให้ทรัพย์สินที่จำนำเป็นของผู้รับจำนำ  หรือ  ให้ผู้รับจำนำสร้อยคอไปขายร้านทองนำเงินมาชำระหนี้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด”  กล่าวคือ  ไม่ต้องขายทอดตลาดตามมาตรา  764  วรรคสอง  ย่อมสามารถกระทำได้  เป็นข้อตกลงที่ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  756  เพราะเป็นข้อตกลงกันภายหลังที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และถือเป็นข้อตกลงที่สมบูรณ์ใช้บังคับได้

 สรุป

กรณีที่หนึ่ง  ข้อตกลงไม่สมบูรณ์  เป็นโมฆะ

กรณีที่สอง  ข้อตกลงสมบูรณ์  ใช้บังคับได้    

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกทำสัญญากู้เงินนายโทเป็นเงิน  70,000  บาท  ขณะทำสัญญาเงินกู้  นายเอกได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  50,000 บาท  ไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้รายนี้  หลังจากนั้นนายโทได้จดทะเบียนปลดจำนองให้นายเอก  อีก  2  วันต่อมานายตรีได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือโดยขอรับผิดร่วมกับนายเอกลูกหนี้ชั้นต้น  ต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชำระหนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1)    นายตรีจะอ้างให้นายโทเจ้าหนี้ไปเรียกร้องเอากับที่ดินของนายเอกได้หรือไม่

2)    นายตรีจะอ้างเรื่องการปลดจำนองเพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม  ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้  และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน

มาตรา  691  ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิดังกล่าวไว้ในมาตรา  688, 689, และ  690 

มาตรา  697  ถ้าเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เองเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี  จำนองก็ดี  จำนำก็ดี  และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น

วินิจฉัย

การที่นายเอกทำสัญญากู้เงินนายโทเป็นเงิน  70,000  บาท  ขณะทำสัญญากู้เงินนายเอกได้จดทะเบียนจำนองที่ดิน  มูลค่า  50,000  บาท  ไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้รายนี้  หลังจากนั้นนายโทได้จดทะเบียนปลดจำนองให้นายเอก  อีก  2  วัน  ต่อมานายตรีได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือโดยขอรับผิดร่วมกับนายเอก  ลูกหนี้ชั้นต้น  ต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชำระหนี้

1)    นายตรีจะอ้างให้นายโทเจ้าหนี้ไปเรียกร้องเอากับที่ดินของนายเอกได้หรือไม่  เห็นว่า  นายตรีผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันโดยรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้  จึงหมดสิทธิที่จะเรียกให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนตามมาตรา  688 – 690  ดังนั้นนายตรีจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายโทเจ้าหนี้บังคับเอากับที่ดินของนายเอกลูกหนี้ชั้นต้นก่อนได้  ตามมาตรา  691  ประกอบมาตรา  689

2)    นายตรีจะอ้างเรื่องการปลดจำนองเพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่  เห็นว่าขณะที่นายตรีผู้ค้ำประกันได้เข้าทำสัญญาค้ำประกัน  หนี้ประธานคือหนี้เงินกู้ไม่มีทรัพย์สินใดเป็นหลักประกัน  จึงไม่ใช่กรณีที่เพราะการกระทำของนายโทเจ้าหนี้เป็นเหตุให้นายตรีผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้  เนื่องจากไม่มีหลักประกันใดที่นายตรีจะรับช่วงสิทธิอยู่ในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  697

สรุป 

1 )  นายตรีไม่มีสิทธิเกี่ยง  ตามมาตรา  689  ประกอบมาตรา  691

2 )  นายตรีไม่อาจอ้าง  มาตรา  697  เพื่อหลุดพ้นจากความรับผิดได้

 

ข้อ  2  จงอธิบายถึงการครอบของจำนองซึ่งครอบไปทุกสิ่ง  และการครอบของจำนองซึ่งครอบไปทุกส่วนพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  716  จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่ง  แม้จะได้ชำระหนี้แล้วบางส่วน

มาตรา  717  แม้ว่าทรัพย์สินซึ่งจำนองจะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม  ท่านว่าจำนองก็ยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเอง

ถึงกระนั้นก็ดี  ถ้าผู้รับจำนองยินยอมด้วย  ท่านว่าจะโอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งส่วนใดไปปลดจากจำนองก็ให้ทำได้  แต่ความยินยอมดังว่านี้หากมิได้จดทะเบียน   ท่านว่าจะยกเอาเป็นข้อต่อสู้กับบุคคลภายนอกหาได้ไม่

อธิบาย    การจำนองครอบทุกสิ่ง   ตามมาตรา  716  หมายถึง  การนำทรัพย์หลายสิ่งหรือหลายชิ้นมาจำนองเป็นประกันหนี้รายเดียวกัน  หากมิได้มีการตกลงกันตามมาตรา  710  สิทธิจำนองย่อมครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินซึ่งจำนองทุกสิ่ง  แม้ลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน  โดยหากมิได้มีการชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆและจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงปลดเอาทรัพย์สินสิ่งใดออกจากการจำนอง  การจำนองยังครอบไปถึงทรัพย์สินทุกสิ่งอยู่นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น  ก  กู้เงิน  ข  1  ล้านบาท  โดยจำนองที่ดินกับเครื่องจักรเป็นประกัน  ต่อมาแม้ว่า  ก  จะชำระหนี้ไปแล้ว  9  แสนบาท  เหลือหนี้อยู่เพียง  1  แสนบาท  ทั้งที่ดินและเครื่องจักรก็ยังคงติดจำนองอยู่

แต่ถ้ามีข้อตกลงตามมาตรา  710 (2)  คือ  สัญญาจำนองระบุว่าที่ดินจำนองเป็นประกันหนี้  7  แสนบาท  เครื่องจักรประกันหนี้  3  แสนบาท  ในกรณีนี้ผู้จำนองก็มีสิทธิเลือกว่าจะชำระหนี้ส่วนไหนก่อน  ผู้จำนองอาจจะเอาเงิน  3  แสนบาทไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และขอจดทะเบียนปลดจำนองเครื่องจักรได้  แต่ถ้าไปไม่ได้มีข้อตกลงอย่างใด การชำระหนี้แม้ว่าจะชำระไปจนเหลือเพียง  1  บาท  ก็ยังมีผลทำให้ที่ดินและเครื่องจักรยังติดจำนองทั้งสองรายการ  ลูกหนี้ไม่สามารถขอที่ดินหรือเครื่องจักรคืนหรือนำไปขายโดยปลอดจำนองได้

การจำนองครอบทุกส่วน  ตามมาตรา  717  หมายถึง  การนำทรัพย์สินสิ่งเดียว  แต่ทรัพย์นั้นแบ่งออกได้หลายส่วนตามสภาพของทรัพย์สิน  ซึ่งแต่ละส่วนสามารถนำไปจำนองได้  การจำนองย่อมครอบไปทุกส่วน  แม้ผู้จำนองจะได้ชำระหนี้บางส่วนแล้วก็ตาม  ลูกหนี้ก็ไม่สามารถจะขอส่วนใดส่วนหนึ่งคืนหรือนำไปขายโดยปลอดจำนองได้

ตัวอย่างเช่น  ก  กู้เงิน  ข  จำนวน  1  ล้านบาท  โดยจำนองโรงน้ำแข็งเป็นประกันเงินกู้  ซึ่งโดยสภาพของโรงน้ำแข็งย่อมประกอบด้วยทรัพย์หลายส่วน  เช่น  เครื่องทำน้ำแข็ง  เครื่องกำเนิดไฟฟ้า  ตัวโรงน้ำแข็งเป็นต้น  หรือจำนองที่ดินจำนวน  10  ไร่เป็นประกันหนี้  ต่อมาปรากกว่ามีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินจำนองออกเป็น  10  ส่วนๆละ  1  ไร่  ตามกฎหมายมาตรา  717  ให้ถือว่าสิทธิจำนองก็ยังคงครอบไปถึงทุกส่วน  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำน้ำแข็ง  เครื่องกำเนิดไฟฟ้า  ตัวโรงน้ำแข็ง  หรือที่ดินทั้ง  10  ไร่นั้น ถึงแม้ว่าจะมีการชำระหนี้ไปแล้ว  9 แสนบาท  เหลือหนี้เพียง  1  แสนบาทก็ตาม

ข้อสังเกต  กรณีของการจำนองที่ดินตามตัวอย่างข้างต้น  จะต้องเป็นการแบ่งแยกที่ดินภายหลังมีการทำสัญญาจำนองเท่านั้น  หากมีการแบ่งแยกที่ดินจำนองก่อนทำสัญญาจำนองแล้ว  ย่อมเป็นกรณีตามมาตรา  716

 

ข้อ  3  นาย  ก  กู้เงิน  นาย  ข  100,000  บาท  โดยมีนาย  ค  นำแหวนเพชรและ  นาย  ง  นำสร้อยเพชรจำนำไว้เป็นประกันหน้าตามลำดับ  การกู้เงินรายนี้ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ  ต่อมานาย  ก  ได้นำเงินมาชำระหนี้ครั้งที่  1  เป็นจำนวนเงิน  30,000  บาท  และครั้งที่ 2  เป็นจำนวนเงิน  40,000  บาท  นาย  ค  ผู้จำนำแหวนเพชรไว้ได้ขอคืนแหวนเพชรโดยอ้างว่าการชำระหนี้บางส่วนของนาย  ก  นั้นคุ้มค่าแล้วให้เหลือแต่สร้อยเพชรของนาย  ง  อย่างเดียวก็คุ้มราคากับหนี้ที่เหลือแล้ว  แต่นาย  ข  ไม่ยอมคืนให้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ข้ออ้างของนาย  ค  ฟังขึ้นหรือไม่  และการที่นาย  ข  ไม่ยอมคืนแหวนเพชรให้นาย  ค  นั้น  นาย  ข  มีเหตุผลที่จะอ้างกฎหมายใดในการไม่คืนแหวนเพชรนั้น

ธงคำตอบ 

มาตรา  758  ผู้รับจำนำชอบที่จะยึดของจำนำไว้ทั้งหมดจนกว่าจะได้รับชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ครบถ้วน

วินิจฉัย

ตามหลักมาตรา  758  ผู้รับจำนำชอบที่จะยึดของจำนำไว้ได้ทั้งหมดจนกว่าจะได้รับชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ครบถ้วน  อนึ่งการจำนำนั้นมีลักษณะคล้ายสิทธิยึดหน่วง  แม้จะได้รับชำระหนี้แล้วบางส่วนหนี้ที่เหลือก็ยังคงผูกพันทรัพย์สินที่จำนำทั้งหมด  โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าทรัพย์สินจำนำที่ยึดได้จะมีราคามากกว่าหนี้ที่ยังค้างชำระหรือไม่  กรณีตามอุทาหรณ์เมื่อมีทรัพย์จำนำไว้หลายสิ่งและผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนไปแล้วก็จะขอเอาทรัพย์ที่จำนำบางสิ่งกลับคืนโดยผู้รับจำนำไม่ยินยอมไม่ได้  ผู้รับจำนำยังมีสิทธิยึดทรัพย์ที่จำนำทั้งหมดได้

สรุป  ข้ออ้างของนาย  ค  ฟังไม่ขึ้น  และการที่นาย  ข  ไม่คืนทรัพย์ให้นาย  ค  ก็โดยอ้างหลักกฎหมายมาตรา  758  ดังกล่าวข้างต้นนี้

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดดทำสัญญาค้ำประกันนายฝนซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ส่งของให้บริษัท  ฤดูกาล  จำกัด  ซึ่งมีนายหนาวเป็นผู้จัดการ ปรากฏว่าต่อมานายฝนได้ขับรถไปส่งของด้วยอาการหลับใน  เนื่องจากฝนตกทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน  ของที่นำไปส่งเสียหายทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน  50,000  บาท  นายหนาวจึงฟ้องนายฝนลูกจ้างและนายแดดผู้ค้ำประกันให้ร่วมกันรับผิดในหนี้  50,000  บาท  อยากทราบว่า  นายแดดจะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

วินิจฉัย

การค้ำประกัน  คือ  การที่บุคคลภายนอกมาทำสัญญากับเจ้าหนี้ว่าหากลูกหนี้มีทำการชำระหนี้  ผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้ให้  ตามบทบัญญัติมาตรา  680  วรรคแรก  ซึ่งสามารถแยกลักษณะของสัญญาค้ำประกันได้  3  ประการ คือ

1       ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลภายนอก  อาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้

2       ต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้  เรียกว่า  หนี้ประธาน  หรือหนี้ชั้นต้น  โดยที่ความผูกพันของผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ชั้นที่สองหรือหนี้อุปกรณ์

3       ต้องผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

นายแดดบุคคลภายนอกผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้อันเกิดจากสัญญาจ้างนายฝนเป็นพนักงานขับรถยนต์ส่งของ  ถือว่าเป็นการค้ำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการจ้าง  นายแดดจึงต้องผูกพันตามมาตรา  680  วรรคแรก

เมื่อปรากฏว่าความเสียหายดังกล่าว  เกิดขึ้นจากการทำงานตาสัญญาจ้าง  ซึ่งนายฝนลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ  จึงต้องถือว่านายฝนผิดนัดไม่ชำระหนี้  ดังนั้นเมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้ก็ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้  ตามมาตรา  686  นายแดดผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ตนทำไว้  ตามมาตรา  680  วรรคแรกประกอบมาตรา  686

สรุป  นายแดดต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

 

ข้อ  2  นายผ่องขอกู้เงินนายเมี่ยงจำนวน  1,000,000  บาท  พร้อมกับนำที่ดินของตนราคา  8,000,000  บาท  มาจำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าว  นายเมี่ยงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินคืนครบทุกบาท  จึงขอให้นายผ่องทำสัญญาเป็นหนังสือว่าจะไม่นำที่ดินแปลงจำนองดังกล่าวไปจำนองกับใครอีก  โดยนายเมี่ยงและนายผ่องได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาดังกล่าว  ต่อมาปรากกว่าการค้าของนายผ่องขาดทุน  จำเป็นต้องใช้เงินอีก  2,000,000  บาท  นายผ่องจึงนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอกู้เงินจากนายนวล  2,000,000  บาท  นายเมี่ยงทราบจึงคัดค้านว่าไม่สามารถจำนองที่ดินแปลงนี้ได้อีกแล้ว  อยากทราบว่าข้ออ้างของนายเมี่ยงรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  712  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม  ทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น  ท่านว่าจะเอาไปจำนองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้

วินิจฉัย

การที่นายผ่องกู้เงินนายเมี่ยง  โดยนำที่ดินของตนมาประกันหนี้ดังกล่าวย่อมเป็นการทำสัญญาจำนอง  ตามมาตรา  702  วรรคแรก  ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดให้มีการส่งมอบทรัพย์แต่อย่างใด  สัญญาจำนองสมบูรณ์  ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

แม้ต่อมาในระหว่างสัญญาจำนองรายแรกยังมีผลใช้บังคับอยู่นั้น  จะปรากฏว่านายผ่องนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนองประกันหนี้เงินกู้จากนายนวลอีก  ทั้งๆที่มีสัญญาเป็นหนังสือว่าจะไม่นำที่ดินแปลงที่จำนองกับนายเมี่ยงไปจำนองกับใครอีกก็ตาม  นายผ่องก็ย่อมทำได้  ข้อตกลงระหว่างนายผ่องและนายเมี่ยงที่ห้ามนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองซ้อน  ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย  ตามมาตรา  712  ทั้งนี้จะเห็นได้จากข้อความที่ว่า  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอ่างอื่นก็ตาม  ซึ่งหมายถึงคู่สัญญาจะตกลงยกเว้นความในบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้  ถือเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ถึงแม้จะมีข้อห้าม  จำนองซ้อน  เจ้าของทรัพย์สินผู้จำนองกับเจ้าหนี้ผู้รับจำนองคนแรกก็ยังมีสิทธินำทรัพย์สินนั้นไปจำนองกับเจ้าหนี้ผู้รับจำนองรายหลังๆได้อีก  เพราะหากมีการบังคับจำนอง  เอาทรัพย์สินขายทอดตลาด  ผู้รับจำนองคนก่อนมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนผู้รับจำนองคนหลังอยู่แล้ว  โดยถือเอาวันและเวลาจดทะเบียนก่อนหลังเป็นสำคัญ  เจ้าหนี้ผู้รับจำนองคนแรกจึงไม่เสียหายเพราะการจำนองซ้อนแต่อย่างใด

สรุป  ข้ออ้างของนายเมี่ยงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  นายเข้มนำสร้อยคอพร้อมจี้เพชรมาวางเป็นประกันหนี้  ซึ่งนายอ่อนกู้เงินจากนายกลางเป็นจำนวน  20,000  บาท  ปรากฏว่าเมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระจนล่วงเลยเวลา  6  เดือน  นายกลางเจ้าหนี้จึงขอนำสร้อยคอพร้อมจี้เพชรออกขายทอดตลาด  นายเข้มคัดค้านการขายทอดตลาดนี้  อยากทราบว่านายเข้มกระทำถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

การที่นายเข้มนำสร้อยคอพร้อมจี้เพชรมาวางเป็นประกันหนี้ของนายอ่อน  ซึ่งกู้เงินจากนายกลางย่อมเป็นการจำนำ  ตามมาตรา  747  แม้จะเป็นการประกันหนี้ของคนอื่นๆ  ก็ย่อมทำได้ไม่มีกฎหมายห้าม

เมื่อปรากกว่าหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระ  แต่นายอ่อนลูกหนี้ไม่ชำระหนี้  จนล่วงเลยเวลา  6  เดือนนายกลางเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิบังคับจำนำเอากับทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล  ตามมาตรา  764  ซึ่งวิธีการบังคับจำนำผู้รับจำนำจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย  คือ

1       บอกกล่าวให้ชำระหนี้  (บอกกล่าวครั้งแรก)  โดยบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ให้ชำระหนี้และอุปกรณ์แห่งหนี้นั้นภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งผู้รับจำนำกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

2       บอกกล่าวก่อนขายทอดตลาด (บอกกล่าวครั้งหลัง)  หลังจากที่บอกกล่าวครั้งแรกแล้วลูกหนี้ก็ยังไม่ชำระหนี้  กฎหมายไม่ให้สิทธิผู้รับจำนำขาดทอดตลาดในทันที  แต่จะต้องส่งจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำอีกครั้งหนึ่งว่าจะขายทอดตลาดเมื่อใดและที่ไหน  เมื่อเปิดโอกาสให้ผู้จำนำเข้าสู่ราคาหรือไถ่ถอนการจำนำ

ตามปัญหา  เมื่อปรากฏว่านายกลางมิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือให้นายอ่อนชำระหนี้ก่อน  (บอกกล่าวครั้งแรก)  จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนการบังคับจำนำตามมาตรา  764  นายเข้มผู้จำนำจึงสามารถคัดค้านการขาดทอดตลาดได้

สรุป  การคัดค้านการขาดทอดตลาดของนายเข้มถูกต้องแล้ว

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ดำกู้เงินแดง  ห้าหมื่นบาท  โดยมีขาว  เป็นผู้ค้ำประกัน  โดยคู่กรณีได้นำแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมและค้ำประกันมาใช้ในการทำสัญญา  แต่ดำ  (ผู้กู้)  แต่ผู้เดียวที่ลงลายมือชื่อในหนังสือกู้ยืม  โดยที่แดง  (ผู้ให้กู้)  มิได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย  สำหรับหนังสือสัญญาค้ำประกันก็มีเพียงแค่ลายมือชื่อของขาวผู้ค้ำประกัน  โดยที่แดง  (เจ้าหนี้)  มิได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย  ต่อมาดำผิดนัดไม่ชำระหนี้  แดงจึงฟ้องดำกับขาวให้รับผิดตามสัญญากู้ยืมและค้ำประกันที่ทำไว้  ขาวต่อสู้คดีว่า  สัญญากู้ยืมและค้ำประกันเป็นโมฆะเพราะเหตุว่า  เจ้าหนี้มิได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับ  ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์  ดังนี้ข้อต่อสู้ของขาวผู้ค้ำประกันรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

วินิจฉัย

สัญญาประเภทใดก็ตามที่กฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือนั้น  ถือว่าเป็นแบบของสัญญา  สาระสำคัญก็คือ  คู่สัญญาต้องลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือสัญญานั้นๆ  ครบถ้วนทั้งสองฝ่าย  ถ้าขาดลายมือชื่อของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปย่อมถือว่าเป็นการผิดแบบของสัญญา  และตกเป็นโมฆะตามมาตรา  152  ซึ่งจะมีผลต่อการทำสัญญาค้ำประกัน  เพราะตามมาตรา  681  กำหนดว่าการค้ำประกันจะมีขึ้นได้เฉพาะเพื่อหนี้ประธานอันสมบูรณ์เท่านั้น

กรณีที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  สัญญากู้ยืมเงินที่มิได้ลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมเป็นโมฆะหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 653  วรรคแรกในเรื่องการกู้ยืมเงินแล้วจะเห็นว่า  สัญญากู้ยืมเงินย่อมสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ยืมส่งมอบเงินให้ผู้กู้แล้ว  แม้การกู้ยืมนั้นจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือยังไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่อย่างไรก็ตามหากจะมีการฟ้องร้องคดีกัน  กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้  ดังนั้น  เรื่องของหลักฐานการฟ้องร้องบังคับคดีดังกล่าว  มิใช่เรื่องแบบของสัญญา  การที่สัญญากู้ยืมเงินขาดลายมือชื่อของผู้ให้กู้  ก็ไม่ทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของขาวในประเด็นนี้รับฟังไม่ได้

กรณีที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาคือ  สัญญาค้ำประกันที่มิได้ลงลายมือชื่อผู้เป็นเจ้าหนี้จะตกเป็นโมฆะหรือไม่  เห็นว่า  ในเรื่องการค้ำประกันมีเหตุผลเช่นเดียวกับการกู้ยืมเงิน  คือ  หนังสือสัญญามิใช่แบบของการค้ำประกัน  แต่เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องร้องบังคับคดีเท่านั้น สัญญาค้ำประกันที่ขาดลายมือชื่อเจ้าหนี้จึงไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของขาวในประเด็นดังกล่าวก็รับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน 

ดังนั้นเมื่อหนี้ประธาน  คือ  หนี้กู้ยืมเงินสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่ตกเป็นโมฆะ  จึงมีการทำสัญญาค้ำประกันหนี้ประธานดังกล่าวได้ตามมาตรา  680  ประกอบมาตรา  681  วรรคแรก  เช่นนี้เมื่อปรากฏว่า ดำลูกหนี้ผิดนัด  แดงจึงฟ้องดำให้รับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก  และฟ้องขาวให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้ตามมาตรา  680  วรรคสอง

สรุป  ข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  เอถูกฟ้องคดีแพ่งเรื่องหนึ่งว่า  ได้ว่าจ้างโทเป็นทนายว่าความแก้ต่างโดยจะให้ค่าจ้าง  20,000  บาท  โดยมีบี  มอบนาฬิกาจำนำเป็นประกันค่าจ้างว่าความไว้  การว่าจ้างและจำนำไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ  เพราะต่างก็เป็นเพื่อนและไว้วางใจต่อกัน  ต่อมาคดีเสร็จโทได้มีจดหมายบอกกล่าวให้เอและบีชำระค่าจ้าง  แต่คนทั้งสองไม่ชำระ  โทจึงนำนาฬิกาออกขายทอดตลาดได้เงิน  15,000  บาท  ดังนี้ โทจะฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความที่ยังขาดอยู่  5,000  บาท  จากเอและบีได้หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัย

ธงคำตอบ

มาตรา  767  เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด  ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป  และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ  หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ  ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย

การจำนำเป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  เพียงแต่ผู้จำนำต้องส่งมอบทรัพย์ที่จำนำให้แก่ผ็รับจำนำแล้ว  จึงจะถือว่าเป็นการจำนำตามกฎหมาย  ดังนั้นเจ้าหนี้ผู้รับจำนำจึงบังคับจำนำโดยเอาทรัพย์จำนำนั้นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้

เมื่อมีการบังคับจำนำแล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนที่ค้างชำระ  ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่  ตามมาตรา  767  วรรคสอง

สำหรับหนี้ที่ค้างชำระหลังจากที่มีการบังคับจำนำนั้น  กฎหมายกำหนดให้ลูกหนี้เท่านั้นต้องรับผิดและผู้เป็นเจ้าหนี้จะฟ้องร้องเรียกส่วนที่ยังขาดได้ต่อเมื่อหนี้ประธานใช้ฟ้องร้องบังคับตามกฎหมายได้ด้วย  เช่น  ในกรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง  จึงจะฟ้องร้องได้  เป็นต้น

ตามอุทาหรณ์หนี้ประธานที่ลูกหนี้นำนาฬิกามาจำนำเป็นประกัน  คือ  หนี้ค่าจ้างว่าความซึ่งการจ้างว่าความจัดเป็นสัญญาจ้างทำของ กฎหมายมิได้บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องบังคับคดีได้แต่อย่างใด  ดังนั้นเมื่อบังคับจำนำนาฬิกาได้เงิน  15,000  บาท  โทจึงฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความที่ยังขาดอยู่อีก  5,000  บาท  จากเอลูกหนี้ได้

ส่วนบีนั้น  โทฟ้องเรียกไม่ได้  เพราะบีมิใช่ลูกหนี้เป็นแต่เพียงผู้เอาทรัพย์สินมาจำนำเป็นประกันเท่านั้น  และเมื่อมีการบังคับจำนำแล้ว  การจำนำย่อมระงับสิ้นไป

สรุป  โทสามารถฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความที่ยังขาดอยู่  5,000  บาท  จากเอได้  แต่จะเรียกจากบีไม่ได้

 

ข้อ  3  ให้นักศึกษาจงอธิบายถึงบทบัญญัติในมาตรา  725  ว่ามีความหมายเช่นใด  และมีความสอดคล้องกับทางปฏิบัติหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  725  เมื่อบุคคลสองคนหรือกว่านั้นต่างได้จำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้  แต่รายหนึ่งรายเดียวอันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  และมิได้ระบุลำดับไว้ไซร้  ท่านว่าผู้จำนองซึ่งได้เป็นผู้ชำระหนี้หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งต้องบังคับจำนองนั้นหามีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จำนองคนอื่นๆต่อไปได้ไม่

อธิบาย

หลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่ผู้จำนองและลูกหนี้มิได้เป็นบุคคลคนเดียวกัน  โดยผู้จำนองหลายคนได้จำนำทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้รายเดียวกัน  แต่มิได้ระบุลำดับการบังคับจำนองไว้

ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  กู้ยืมเงินนาย  ข  50,000  บาท  โดยมีนาย  ค  จำนองที่ดินและนาย  ง  จำนองเรือเป็นประกันการชำระหนี้  โดยมิได้ตกลงกันว่าจะต้องบังคับจำนองทรัพย์จำนองใดก่อน  หากต่อมาผู้จำนองคนใดได้เป็นผู้ชำระหนี้  หรือเจ้าหนี้จะเลือกบังคับจำนองเรือของนาย  ง  ก่อน  เช่นนี้  นาย  ง  เจ้าของเรือไม่มีสิทธิเกี่ยงว่าต้องไปบังคับจำนองเอาจากที่ดินก่อน  เพราะในกรณีที่ไม่มีการระบุลำดับไว้  เจ้าหนี้มีสิทธิตามมาตรา  734  ที่จะบังคับจำนองเอาจากทรัพย์ใดก่อนก็ได้  ทั้งในเรื่องจำนอง  กฎหมายมิได้ให้นำมาตรา  688  690 มาใช้บังคับแต่อย่างใด

ผลก็คือ  นาย  ค  และนาย  ง  ซึ่งเป็นผู้ได้ชำระหนี้หรือถูกบังคับจำนองไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จำนองคนอื่นๆ  ต่อไปเช่นอย่างกรณีของผู้ค้ำประกัน  ตามมาตรา  682  วรรคสอง  แต่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ได้

อย่างไรก็ตาม  แม้การจำนองจะระบุลำดับไว้  และเจ้าหนี้ได้บังคับจำนองตามลำดับ  ผู้จำนองคนใดทรัพย์ของตนถูกบังคับจำนอง  ผู้จำนองคนนั้นก็ไม่สามารถไปไล่เบี้ยผู้จำนองคนอื่นๆได้เช่นเดียวกัน  เพราะหากให้สิทธิไล่เบี้ยกันได้แล้ว  การระบุลำดับการบังคับจำนองก็จะไม่มี่ความหมายใดเลย  หาจำต้องบัญญัติไว้แต่อย่างใดไม่  ดังนั้นหลักกฎหมายตามมาตรา  725  จึงไม่สอดคล้องกับทางปฏิบัติในทางบังคับจำนอง

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายลักษณะการค้ำประกันตามหลักกฎหมาย  ป.พ.พ.  มาตรา  680  ในกรณีบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันจำเป็นต้องเป็นลูกหนี้ด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

อธิบาย

จากบทบัญญัติมาตรา  680  วรรคแรก  จะเห็นว่า  การค้ำประกัน  คือ  สัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้

เมื่อพิจารณาแล้วลักษณะของสัญญาค้ำประกันประการหนึ่ง  ในกรณีของบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันนั้น  กฎหมายกำหนดว่าต้องเป็นบุคคลภายนอกที่เข้ามาผูกพันกับเจ้าหนี้  คือเป็นบุคคลภายนอกสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่มิได้มีส่วนได้เสียในหนี้นั้น  หนี้ที่ค้ำประกันจะต้องมีบุคคลสามฝ่ายเสมอ  ดังนี้ลูกหนี้เองจะเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้ของตนเอง  หรือทำสัญญาค้ำประกันลูกหนี้ร่วมมิได้  แม้จะให้ลูกหนี้เป็นผู้ค้ำประกันเจ้าหนี้ก็ไม่มีหลักประกันดีขึ้นแต่อย่างใด  เพราะการค้ำประกันเป็นการประกันด้วยบุคคล  เมื่อลูกหนี้เป็นหนี้อยู่แล้วแม้ลูกหนี้จะเอาตัวเองค้ำประกัน  เจ้าหนี้ก็เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้เหมือนเดิม  ไม่ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิพิเศษอย่างใด  ลูกหนี้จึงเป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้  ทั้งนี้เนื่องจากการค้ำประกันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ผู้ค้ำประกันย่อมต้องเป็นผู้ชำระหนี้แทน

ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  และนาย  ข  ร่วมกันกู้ยืมเงินนาย  ค  ก  จะทำสัญญาค้ำประกัน  ข  โดยทำสัญญากับ  ค  เจ้าหนี้ว่าถ้า  ข  ไม่ชำระหนี้  ตนจะชำระหนี้นั้นแทนทั้งหมด  ดังนี้  ก  ทำไม่ได้  เพราะ  ก  เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  จะทำสัญญาเป็นลูกหนี้ชั้นที่สองอีก  เจ้าหนี้ก็มิได้หลักประกันอะไรเพิ่มขึ้นมา  เจ้าหนี้ฟ้อง  ก  ให้ชำระหนี้ได้สิ้นเชิงอยู่แล้ว  ผู้ค้ำประกันจึงต้องเป็นบุคคลอื่นที่เข้ามารับผิดเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี  บุคคลภายนอกที่ทำสัญญาค้ำประกันอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  ถ้าหากลูกหนี้จะค้ำประกันตนเองต้องให้ประกันด้วยทรัพย์  ซึ่งก็คือ  การจำนองตามมาตรา  702  หรือการจำนำตามมาตรา  747

 

ข้อ  2  นายกิ่งขอยืมเงินนายสิงเป็นเงิน  100,000  บาท  ต่อมานายสอนได้นำที่ดินของตนมาจำนองเพื่อประกันหนี้รายนี้  ดังนี้หากที่ดินของนายสอนซึ่งมีราคา  80,000  บาท  และมีต้นสักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งปลูกอยู่บนที่ดินของนายสอน  ซึ่งต่อมาต้นสักดังกล่าวถูกปลวกกินเสียหายหมดกรณีหนึ่ง  กับอีกกรณีหนึ่งที่ดินของนายสอน  ซึ่งมีราคาเท่าเดิมคือ  80,000  บาท  และมีบ้านไม้สักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งอยู่บนที่ดินของนายสอน  ซึ่งต่อมาถูกไฟไหม้ทั้งหลัง  ดังนี้  ทั้งสองกรณีนายสิงเจ้าหนี้สามารถที่จะบังคับจำนองได้ทันทีหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  718  จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง  แต่ต้องอยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจำกัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้

มาตรา  720  จำนองเรือนโรงหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งได้ทำขึ้นไว้บนดินหรือใต้ดิน  ในที่ดินอันเป็นของคนอื่นเขานั้นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย  ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น

มาตรา  723  ถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองบุบสลาย  หรือถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งสูญหายหรือบุบสลาย  เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกันไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเสียในทันทีก็ได้  เว้นแต่เมื่อเหตุนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของผู้จำนอง  และผู้จำนองก็เสนอจะจำนองทรัพย์สินอื่นแทนให้มีราคาเพียงพอหรือเสนอจะรับซ่อมแซมแก้ไขความบุบสลายนั้นภายในเวลาอันสมควรแก่เหตุ

วินิจฉัย 

การที่นายสอนนำที่ดินของตน  ซึ่งมีราคา  80,000  [ท  มาจำนองประกันหนี้เงินกู้ยืมของนายกิ่งเป็นเงิน  100,000  บาท  ตามมาตรา  702  โดยมีต้นสักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งปลูกอยู่บนที่ดินของนายสอนด้วย  การจำนองที่ดินของนายสอนครอบไปถึงต้นสักของนายกิ่ง  ซึ่งเป็นทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนองด้วย  ตามนัยแห่งมาตรา  718  ดังนั้นเมื่อต้นสักซึ่งเป็นทรัพย์จำนองบุบสลายเพราะถูกปลวกกินเสียหายหมด  เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกัน  ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิบังคับจำนองได้ทันทีตามมาตรา  723

ส่วนในกรณีที่นายสอนเอาที่ดินราคา  80,000  บาท  ของตนมาจำนองตามมาตรา  702  โดยมีบ้านเรือนไม้สักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งอยู่บนที่ดินดังกล่าวของนายสอนด้วย  การจำนองที่ดินดังกล่าวย่อมไม่ครอบไปถึงบ้านของนายกิ่ง  ตามมาตรา  718  ประกอบมาตรา  720  จึงมีเพียงที่ดินเท่านั้นที่เป็นทรัพย์จำนองเมื่อบ้านถูกไฟไหม้จึงไม่ทำให้ทรัพย์จำนอง(ที่ดิน)  ลดราคาลงแต่อย่างใด  เพราะบ้านเป็นคนละเจ้าของกับที่ดิน  ดังนั้นนายสิงจึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับจำนองได้

สรุป  กรณีแรกนายสิงบังคับจำนองทันทีได้  แต่ในกรณีที่สองไม่อาจบังคับจำนองได้

 

3  ก  ได้ซื้อโทรทัศน์ไปจากนาย  ข  เป็นราคา  10,000  บาท  โดยให้เงินไว้  5,000  บาท  ที่เหลือเชื่อไว้ก่อนอีก  10  วันจึงจะนำเงินที่เหลือมาให้  กรณีหนึ่ง  อีกกรณีหนึ่ง  ก  ได้ซื้อโทรทัศน์ไปจาก  ข  โดยทำสัญญาเช่าซื้อ  มีระยะเวลา  6  เดือน  โดยจ่ายเงินดาวน์ไว้  2,000  บาท  และเดือนต่อๆไป  จะจ่ายอีกเดือนละ  2,000  บาท  ทั้งสองกรณีนี้  ถ้า  ก  ได้นำโทรทัศน์ไปจำนำได้หรือไม่  และผู้เป็นเจ้าของจะติดตามเอาทรัพย์คืนจะต้องเสียค่าไถ่หรือไม่  ให้ท่านอธิบายถึงความแตกต่างและสิทธิของแต่ละกรณีมาพอสังเขปด้วย  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบในการตอบด้วย)

ธงคำตอบ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

มาตรา  458  กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น  ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

มาตรา  572  อันว่าเช่าซื้อนั้น  คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า  และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า  โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว

สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  1336  ภายในบังคับแห่งกฎหมาย  เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น  กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้  และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

วินิจฉัย

ในกรณีแรกนั้นเป็นเรื่องของการซื้อขาย  เรียกการซื้อขายชนิดนี้ว่า การซื้อขายเชื่อ  หรือการซื้อขายเงินผ่อน  เข้าลักษณะของสัญญาซื้อขายตามหลักทั่วไปในมาตรา  453  ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในโทรทัศน์ดังกล่าวจึงโอนไปยังผู้ซื้อแล้วตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน  ตามมาตรา  458  โดยผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาท่ากับว่าผู้ซื้อเป็นเข้าของทรัพย์สินที่ซื้อแล้ว  ดังนั้น  ก  มีสิทธิที่จะนำโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวไปจำนำได้ตามมาตรา  747  และในเวลาไถ่ทรัพย์จำนำคืน  ก  ก็ต้องเสียค่าไถ่ด้วย

ส่วนกรณีที่สอง  เป็นเรื่องของการเช่าซื้อตามหลักกฎหมาย  มาตรา  572  กรรมสิทธิ์จึงยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อ  จนกว่าจะได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว  แต่ผู้เช่าซื้อคงมีสิทธิครอบครอง  ผู้ให้เช่าซื้อจึงเป็นเจ้าของที่แท้จริง  ดังนี้  ก  ไม่มีสิทธินำโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวไปจำนำ  ตามมาตรา  747  เพราะการจำนำตามกฎหมายเฉพาะผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่จะจำนำได้  ดังนั้น  ข  ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงจึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้  ตามมาตรา  1336  โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่

สรุป  กรณีแรก  ก  มีสิทธินำไปจำนำได้  และต้องเสียค่าไถ่

กรณีที่สอง  ก  ไม่มีสิทธินำไปจำนำ  และถ้าผู้เป็นเจ้าของจะติดตามเอาทรัพย์คืนก็ไม่ต้องเสียค่าไถ่

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดงทำหลักฐานเป็นหนังสือค้ำประกันค่าซื้อเครื่องก่อสร้างราคา  50  ล้านบาท  ระหว่างนายเขียวผู้ซื้อและนายขาวผู้ขาย  โดยนายแดงได้ตกลงกับนายขาวผู้ขายในการชำระราคาค่าก่อสร้างของนายเขียว  ระหว่างนั้นนายส้มเพื่อนนายเขียวได้นำโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งราคา  100  ล้านบาท  ให้นายขาวถือไว้เพื่อความสบายใจในการชำระหนี้  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  ปรากฏว่านายเขียวไม่สามารถชำระหนี้ได้  นายขาวจึงฟ้องนายเขียวและนายแดงผู้ค้ำประกันให้ทำการชำระหนี้  นายแดงขอให้นายขาวบังคับการชำระหนี้จากที่ดินของนายส้มที่มอบให้นายขาวก่อน  อยากทราบว่านายแดงจะขอให้บังคับการชำระหนี้จากที่ดินก่อนได้หรือไม่  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

มาตรา  714  อันสัญญาจำนองนั้น  ท่านว่าต้องเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

นายแดงเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ค่าซื้อเครื่องก่อสร้างของนายเขียว  และมีหลักฐานเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  680  วรรคสอง  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระปรากฏว่านายเขียวไม่สามารถชำระหนี้ได้  นายแดงจึงต้องรับผิดแทนนายเขียวลูกหนี้  เมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้  ตามมาตรา  686

ส่วนการที่นายส้มได้นำโฉนดที่ดินมาให้นายขาวเจ้าหนี้ยึดถือไว้จนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนแล้ว  ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาจำนอง  ตามมาตรา  714  เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ไม่ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิพิเศษในที่ดินอันเป็นตัวทรัพย์นั้นแต่อย่างใด  การจำนองจึงไม่สมบูรณ์  นายแดงผู้ค้ำประกันจึงไม่อาจบ่ายเบี่ยงขอให้บังคับการชำระหนี้จากที่ดินได้แต่อย่างใด  เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  690  ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นของนายส้ม  มิใช่ของนายเขียวลูกหนี้

สรุป  นายแดงจะขอให้บังคับการชำระหนี้จากที่ดินก่อนไม่ได้ 

 

ข้อ  2  นายมะลิรับจำนองที่ดินแปลงหนึ่งเป็นประกันหนี้เงินกู้  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายมะลิอยากบังคับจำนองจากที่ดินดังกล่าว  จึงมาปรึกษาท่านให้อธิบายเรื่องการบังคับจำนอง  และในกรณีนี้นายมะลิจะบังคับจำนองได้อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  728  เมื่อจะบังคับจำนองนั้น  ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า  ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

วินิจฉัย

การบังคับจำนอง  ตามมาตรา  728  มีลักษณะดังนี้คือ

1       การบังคับจำนองจะต้องมีการฟ้องบังคับจำนอง

2       ก่อนการฟ้องคดีบังคับจำนองจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลุกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดไว้ในคำบอกกล่าว  ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจึงฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับจำนองได้

เมื่อนายมะลิรับจำนองที่ดินตามมาตรา  702  และต้องการบังคับจำนองที่ดินดังกล่าว  นายมะลิจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ก่อน  โดยกำหนดเวลาพอสมควรให้ลูกหนี้ชำระหนี้  ถ้าและลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาในจดหมายบอกกล่าว  นายมะลิจึงจะฟ้องคดีเพื่อนำทรัพย์ที่รับจำนองออกขายทอดตลาดได้

 

ข้อ  3  นายฟ้ากู้เงินนายทะเล  จำนวน  20  บาท  เพื่อนำไปลงทุนปลูกข้าวเนื่องจากราคาข้าวขณะนี้ดีมากนายทะเลอยากให้นายฟ้ากู้เงิน  แต่เกรงว่าจะไม่ได้เงินคืน  นายคลองทราบจึงนำรถจักรยานยนต์จำนวน  20  คัน  มูลค่า  20  ล้านบาท  ซึ่งนายคลองไปเช่าซื้อจากนายภูเขาโดยยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบเพื่อมาวางเป็นกรจำนำให้นายทะเลประกันหนี้เงินกู้  จำนวน  20  ล้านบาท  อยากทราบว่า  กรณีดังกล่าวนายคลองจะจำนำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น   คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนำ  ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

วินิจฉัย

การจำนำ  กฎหมายวางหลักให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ส่งมอบเพื่อให้ผู้รับจำนำยึดไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้  ส่วนวิธีการส่งมอบอาจเป็นการส่งมอบโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้  กล่าวคือ  การกระทำใดๆที่ให้ทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำ

นอกจากนี้ยังต้องปรากฏว่า  ผู้รับจำนำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ด้วย  กล่าวคือ  ผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่จำนำ  หากผู้จำนำไม่ใช่เจ้าของทรัพย์แล้ว  เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้โดยใช้หลักกรรมสิทธิ์ตามมาตรา  1336

กรณีตามอุทาหรณ์  เป็นเรื่องสัญญาเช่าซื้อ  ซึ่งโดยหลักกฎหมายในเรื่องเช่าซื้อนั้น   กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เช่าซื้อจะโอนไปยังผู้เช่าซื้อต่อเมื่อผู้เช่าซื้อชำระราคาค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว  เมื่อนายคลองไปเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากนายภูเขาโดยผ่อนค่าเช่าซื้อยังไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ดังกล่าวจึงยังไม่โอนมาเป็นของนายคลอง  นายคลองจึงมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์  ไม่อาจนำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาจำนำเป็นประกันการชำระหนี้ได้ตามมาตรา  747  ได้

สรุป  นายคลองไม่มีสิทธิในการจำนำทรัพย์ดังกล่าว  

WordPress Ads
error: Content is protected !!