LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  1.1  นายไก่มอบนายไข่ให้ไปซื้อที่ดินโดยมอบหมายเป็นหนังสือ  นายไข่ไปซื้อที่ดินนายครัวโดยตกลงทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกันเรียบร้อย  ต่อมานายครัวโอนที่ดินขายให้นายเงิน  โดยนายเงินให้ราคามากกว่าเป็นสองเท่า  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นายไก่จะฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้หรือไม่

1.2            นายไก่มอบนายไข่ให้ไปซื้อที่ดินโดยฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย  ในการมอบหมายนั้น  นายไข่ไปซื้อที่ดินของนายครัวและนายไข่กับนายครัวทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกันเรียบร้อย  ต่อมา  นายไก่ผิดสัญญาซื้อขายต่อนายครัวก่อน  โดยไม่เป็นไปตามข้อตกลงตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย  นายครัวจึงโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายเงินซึ่งให้ราคาเท่ากันกับนายไข่  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นายไก่จะฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้หรือไม่  อย่างไร

1.3            หากการซื้อขายที่ดินรายนี้  นายไก่มอบหมายนายไข่ด้วยปากเปล่า  แต่ได้มอบเงินให้ไปวางประจำและการมอบหมายมิได้ทำเป็นหนังสือ  และนายไข่กับนายครัวทำหนังสือจะซื้อจะขายกันแล้วต่อมานายครัวได้โอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวไปให้นายเงิน  นายไก่จะฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

วินิจฉัย

1.1            ตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  798  แล้ว  การตั้งตัวแทนของนายไก่ถูกต้องตามหลักมาตรา  798  ทุกประการ  เพราะการตั้งตัวแทนไปซื้ออสังหาริมทรัพย์  กฎหมาย  (มาตรา  456  วรรคแรก)  บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ  เมื่อสัญญาตั้งตัวแทนสมบูรณ์  นายไก่จึงสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้

1.2   ตามหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  798  การตั้งตัวแทนของนายไก่ฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย  นายไก่ตั้งนายไข่ไม่ได้มอบหมายเป็นหนังสือ  หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญากันแล้วไม่สามารถฟ้องร้องกันได้  นายไก่ตั้งนายไข่ไม่ได้มอบหมายเป็นหนังสือ  หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญากันแล้วก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้  เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน  ด้วยเหตุนี้นายไก่จึงไม่สามารุฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้

นอกจากกรณีดังกล่าว  แม้นายไก่จะไม่ได้ผิดสัญญาก่อนก็ฟ้องไม่ได้อยู่ดี  เพราะการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนข้อห้ามกฎหมายตามมาตรา  798  ซึ่งกฎหมายบังคับว่าการตั้งตัวแทนต้องทำเป็นหนังสือ

1.3 เป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798  ดังนั้นการตั้งตัวแทนแม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือแต่ใช้วิธีวางประจำไว้ก็ถือว่าเป็นการตกลงกันสำเร็จแล้ว  (มาตรา  456  วรรคสอง)

สรุป 

1.1            นายไก่สามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้

1.2            นายไก่ไม่สามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้

1.3            นายไก่ฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่างนายครัวกับนายเงินได้

 

ข้อ  2  ให้ท่านอธิบายหลักเกณฑ์ตามมาตรา  825  โดยละเอียดครบถ้วน  หากตัวแทนที่ได้รับมอบหมายโดยถูกต้องมีบำเหน็จ  แต่ได้ปฏิบัติมิชอบตามมาตรา  825  อยากทราบว่าตัวแทนที่ว่านี้จะมีความรับผิดตามกฎหมายหรือไม่  อย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

มาตรา  825  เป็นเรื่องตัวแทนเห็นแก่อามิสสินจ้าง  ซึ่งมีหลักกฎหมายว่า

ถ้าตัวแทนเข้าทำสัญญากับบุคคลภายนอกโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทรัพย์สินใดๆ  หรือประโยชน์อย่างอื่นออันบุคคลภายนอกได้ให้เป็นลาภส่วนตัวก็ดีหรือให้คำมั่นว่าจะให้ก็ดี  ท่านว่าตัวการหาต้องผูกพันในสัญญาซึ่งตัวแทนของตนได้ทำนั้นไม่  เว้นแต่ตัวการจะได้ยินยอมด้วย

ทั้งนี้โดยปกติแล้ว  ตัวแทนจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตและรักษาผลประโยชน์ของตัวการ  แต่ถ้าตัวแทนทำกิจการแทนตัวการโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างจากบุคคลภายนอกที่ให้ประโยชน์แก่ตน  ย่อมทำให้ตัวการได้รับความเสียหายได้  เช่น  แดงเป็นตัวแทนขายที่ดินให้ดำ  แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับผลประโยชน์จากผู้ซื้อเพื่อให้แดงขายที่ดินให้แก่ตนในราคาถูกเป็นการตอบแทน  กรณีนี้ย่อมทำให้ดำตัวการได้รับความเสียหายได้  เพราะได้เงินค่าขายที่ดินลดลง  กฎหมายมาตรานี้จึงบัญญัติไว้เพื่อป้องกันมิให้ตัวการได้รับความเสียหาย  กล่าวคือ  ไม่ให้การนั้นผูกพันตัวการ  เว้นแต่ตัวการจะได้ยินยอมด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม  กรณีตามมาตรา  825  จะต้องปรากฏว่า

1       เป็นเรื่องที่ตัวแทนเข้าทำสัญญากับบุคคลภายนอกเท่านั้น

2       ต้องปรากฏว่าการทำสัญญาของตัวแทนเป็นผลมาจากการรับสินบนหรืออามิสสินจ้างจากบุคคลภายนอก  ถ้าตัวแทนทำสัญญาเรียบร้อยแล้ว  บุคคลภายนอกเห็นความดีของตัวแทนทำให้สัญญาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  จึงได้มอบทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ตัวแทน  และตัวแทนรับไว้  กรณีนี้ไม่ถือว่าตัวแทนรับอามิสสินจ้างจากบุคคลภายนอก  สัญญาที่ทำย่อมผูกพันตัวการ

สำหรับผลทางกฎหมาย  ในกรณีที่ตัวแทนกระทำการฝ่าฝืนมาตรา  825  คือ

 1       สัญญาที่ตัวแทนทำนั้น  ไม่ผูกพันตัวการ  ตัวแทนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญาโดยลำพัง  แต่ตัวการมีสิทธิที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเอาสัญญาดังกล่าวนั้นก็ได้ 

2       ตัวการมีสิทธิบอกเลิกการเป็นตัวแทนได้  ตามมาตรา  827  วรรคแรก

3       ถือว่าตัวแทนทำไม่ชอบด้วยหน้าที่ของการเป็นตัวแทน  ตัวการมีสิทธิที่จะไม่ให้บำเหน็จแก่ตัวแทน  ตามมาตรา  818  แม้ตัวแทนจะได้รับมอบหมายโดยถูกต้องมีบำเหน็จ  ตามมาตรา  803  ก็ตาม

4       ถ้าการกระทำดังกล่าวทำให้ตัวการได้รับความเสียหาย  ตัวแทนจะต้องรับผิดต่อตัวการตามมาตรา  812

 

ข้อ  3  การเป็นนายหน้ามีการมอบหมายได้กี่ประการ  หากการมอบหมายให้เป็นนายหน้ามิได้ตกลงกันเป็นพิเศษว่าจะให้บำเหน็จนายหน้าเท่าใด  กี่เปอร์เซ็นต์  จะถือเกณฑ์การให้บำเหน็จอย่างไร  ให้ท่านตอบพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาประกอบให้ครบถ้วน

ธงคำตอบ 

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม

การเป็นนายหน้าเกิดขึ้นได้  2  ประการ  คือ

 1       การมอบหมายโดยตรง  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  85

2       การมอบหมายโดยปริยาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  846

ตามปัญหา  หากค่าบำเหน็จนายหน้าตกลงกันไม่ได้ว่าจะต้องให้เท่าใด  ก็ให้ตกลงกันเป็นธรรมเนียมตามมาตรา  846  วรรคสอง  คือร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริงตามคำพิพากษาฎีกาที่  3581/2526

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ดำตั้งแดงเป็นตัวแทนไปกู้เงิน  โดยตั้งกันปากเปล่า  แดงไปกู้เงินขาว  10,000  บาท  โดยระบุในสัญญากู้ว่า  กู้แทนดำ  ต่อมาดำไม่ชำระหนี้  และขาวเห็นว่าการที่แดงอ้างว่ากู้แทนดำ  แต่การมอบอำนาจนั้น  มิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  จึงฟ้องแดงให้รับผิด  แดงจึงปฏิเสธความรับผิด  โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนของดำ  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  กรณีดังกล่าวข้ออ้างของแดงฟังขึ้นหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  820  ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนไปกู้ยืมเงิน  ซึ่งการกู้ยืมเงินนั้นเป็นนิติกรรมที่กฎหมายให้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  หากเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาทขึ้นไป  (มาตรา  653  วรรคแรก)  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดำตั้งแดงไปกู้เงินขาว  10,000  บาท  ด้วยปากเปล่า  ถือว่าการตั้งตัวแทนมิได้ทำตามบทบัญญัติของกฎหมายและฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  798  วรรคสอง

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  แดงตัวแทนจะต้องรับผิดหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนข้อห้าม  ตามมาตรา  798  วรรคสอง  กล่าวคือ  มิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  จึงเท่ากับว่าไม่มีการตั้งตัวแทนเกิดขึ้น  การที่แดงกู้เงินขาว  แม้จะระบุในสัญญากู้ว่า  กู้แทนดำ  จึงต้องถือว่าแดงกระทำไปโดยปราศจากอำนาจ  ผลทางกฎหมายคือ

1       ตัวการไม่ต้องผูกพันรับผิดต่อขาวบุคคลภายนอกในการกู้ยืมเงินอันแดงได้ทำไปโดยปราศจากอำนาจ  ตามมาตรา  820  แม้สัญญากู้จะระบุว่า  กู้แทนดำ  ก็ตาม

2       เมื่อแดงทำไปโดยปราศจากอำนาจ  และมาปรากฏว่าดำให้สัตยาบัน  แดงจึงต้องรับผิดต่อขาวบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  ตามมาตรา  823  วรรคสอง

สรุป  ข้ออ้างของแดงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นายหนึ่งเป็นเจ้าของร้านรับซื้อขายแลกเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ที่ใช้แล้ว  นายสองได้นำคอมพิวเตอร์ของตนมาฝากนายหนึ่งขาย  1 เครื่อง  ราคา  30,000  บาท  โดนนายหนึ่งคิดค่าดำเนินการ  2,000  บาท  ต่อมาวันที่  1  กันยายน  2550  นายเอกได้ทำสัญญาซื้อเชื่อคอมพิวเตอร์เครื่องดังกล่าวไปโดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่  30  กันยายน  2550  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเอกไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายหนึ่ง  นายสองจึงมาทวงเงินค่าขายคอมพิวเตอร์จากนายหนึ่ง  นายหนึ่งได้ขอผัดผ่อนไปก่อนโดยอ้างว่ายังเก็บเงินจากนายเอกไม่ได้และได้ทำสัญญากับนายสองว่า  ถ้านายเอกไม่ชำระเงิน  30,000  บาท  ตนจะรับผิดชอบเอง  หลังจากนั้นนายสองก็มาทวงเงินจากนายหนึ่งอีก  แต่นายหนึ่งก็ไม่ยอมชำระเงินให้แก่นายสองโดยอ้างว่านายเอกยังไม่นำเงินมาชำระให้แก่ตนและตนเป็นเพียงตัวแทนค้าจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายสองตัวการ  ดังนี้  อยากทราบว่า  ข้ออ้างของนายหนึ่งฟังขึ้นหรือไม่  และนายหนึ่งจะต้องชำระเงินค่าคอมพิวเตอร์ให้แก่นายสองหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

 มาตรา  838  วรรคแรก  ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อตัวการเพื่อชำระหนี้นั้นเองไม่  เว้นแต่จะได้มีข้อกำหนดในสัญญา  หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทนประพฤติต่อกันหรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น

วินิจฉัย

เมื่อหนี้ถึงกำหนดในวันที่  30  กันยายน  2550  นายเอกไม่นำเงินมาชำระตามหลักแล้วนายหนึ่งตัวแทนค้าต่างไม่ต้องรับผิดต่อนายสองตัวการ  ตามมาตรา  838  ตอนแรก  แต่เนื่องจากนายหนึ่งได้ทำสัญญากับนายสองว่า  ถ้านายเอกไม่ชำระเงิน  30,000  บาท  ตนจะรับผิดชอบเอง  ข้อกำหนดในสัญญาของนายหนึ่งนี้  จึงผูกพันนายหนึ่งให้ต้องรับผิดต่อนายสอง  เมื่อนายสองมาทวงเงินค่าขายคอมพิวเตอร์จากนายหนึ่ง  นายหนึ่งจะอ้างว่านายเอกไม่ชำระเงินให้แก่ตนไม่ได้  และจะอ้างว่าตนเป็นเพียงตัวแทนค้าต่างก็ไม่ได้เช่นกัน  นายหนึ่งจึงต้องชำระเงินค่าคอมพิวเตอร์ให้แก่นายสองเพราะข้อกำหนดในสัญญาของนายหนึ่งเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  838  วรรคแรกตอนท้าย

สรุป  ข้ออ้างของนายหนึ่งจึงฟังไม่ขึ้น และนายหนึ่งจะต้องชำระเงินค่าคอมพิวเตอร์ให้แก่นายสอง

 

ข้อ  3  นพดลต้องการขายที่ดิน  50-0-0  ไร่  ราคาไร่ละสี่ล้านบาทโดยให้ค่านายหน้าร้อยละสาม  สอนชัยจะหาผู้มาซื้อ  การเจรจาเกี่ยวกับการซื้อขายหลายครั้ง  จะใช้บ้านไพโรจน์เพื่อนของนภดลเป็นสถานที่นัดพบเจรจา  นพดลอยู่ร่วมเจรจาบางครั้ง  แต่ไพโรจน์ร่วมเจรจาด้วยทุกครั้งและจัดการแทนนภดลจนมีการทำสัญญาจะซื้อขายในที่สุด  เมื่อสอนชัยมาขอค่านายหน้าหกล้านบาท  นพดลไม่ยอมให้อ้างว่าไม่เคยมอบหมายให้ไพโรจน์เป็นตัวแทนในการเจรจาทำสัญญา  เพราะไม่มีการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดชูบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วย่อมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ไพโรจน์เป็นตัวแทนของนพดลในการเจรจาเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน  หรือไม่  เห็นว่า  การที่สอนชัยติดต่อกับผู้ซื้อเพื่อมาซื้อที่ดินของนพดล  ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เจรจาติดต่อกันนั้นได้ใช้บ้านไพโรจน์เพื่อนของนภดลเป็นสถานที่นัดพบเสมอ  ทั้งไพโรจน์ก็ร่วมเจรจาด้วยทุกครั้ง  แม้บางครั้งนพดลไม่มา  แต่ไพโรจน์ก็เป็นผู้จัดการแทนนภดลจนมีการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินในที่สุด  ย่อมเห็นเป็นปริยายว่า  นพดลได้เชิดไพโรจน์เป็นตัวแทนในการเจรจาตกลงกับสอนชัยแทนนพดล  ทำให้ผู้ซื้อยินยอมทำสัญญาซื้อขาย  ดังนั้นพฤติการณ์ย่อมแสดงว่าไพโรจน์เป็นตัวแทนเชิด  ตามมาตรา  821  ซึ่งการเป็นตัวแทนเชิดนั้นไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798  การตั้งตัวแทนเชิดจึงไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  หรือต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด  ข้ออ้างของนพดลที่ว่าไม่เคยมอบหมายให้ไพโรจน์เป็นตัวแทนในการเจรจาทำสัญญา  เพราะไม่มีการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  จึงฟังไม่ขึ้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  สอนชัยมีสิทธิได้รับค่านายหน้าหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อสอนชัยเป็นคนกลางในการจัดให้ไพโรจน์ตัวแทนผู้ขายและผู้ซื้อได้พบปะ  สอนชัยมีความมุ่งหมายที่จะได้ค่านายหน้าเป็นสำคัญ  หากไม่ได้ค่านายหน้าตอบแทนเป็นผลประโยชน์แล้ว  การดำเนินการใดๆที่ผ่านมา  ตลอดทั้งการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินอาจจะไม่เกิดขึ้น  เมื่อนายหน้าได้มีการชี้ช่องจัดการให้คู่สัญญาทำสัญญากันสำเร็จ  แม้สอนชัยจะตกลงค่านายหน้าเฉพาะแต่นภดลเท่านั้น  แต่เมื่อไพโรจน์เป็นตัวแทนของนพดล  ข้อตกลงเรื่องค่านายหน้าจึงมีผลถึงไพโรจน์ด้วย  ดังนั้นสอนชัยผู้เป็นนายหน้าจึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้าในอัตราร้อยละ  3  ตามมาตรา  845  วรรคแรก  นพดลจะปฏิเสธไม่ได้ 

สรุป  ข้ออ้างฟังไม่ขึ้น  นพดลต้องจ่ายค่านายหน้าแก่สอนชัย

LAW 2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้หาซื้อที่ดินเพื่อนำมาจัดสรรแบ่งขาย  ข  ซื้อที่ดินของตนเองโดย  ก  มิได้ยินยอมด้วย  เมื่อ  ข  ได้ที่ดินมาแล้วได้นำที่ดินมาจัดสรรแบ่งขาย  ขายดีจนหมดสิ้น  ก  ได้สมประโยชน์  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข  จะได้บำเหน็จหรือไม่อย่างไร  ให้ท่านวินิจฉัยโดยยกหลักกฎหมายประกอบมาให้ชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

มาตรา  805  ตัวแทนนั้น  เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ  จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่  เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

มาตรา  818  การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทำมิชอบในส่วนนั้น  ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บำเหน็จ

วินิจฉัย

ตามหลักมาตรา  805  ดังกล่าวนั้น  จะเห็นได้ว่าตัวแทนจะต้องทำการเพื่อตัวการแต่เพียงผู้เดียวเสมือนหนึ่งตัวการกระทำการนั้นด้วยตนเอง  ย่อมไม่นำเอาประโยชน์ผู้อื่นเข้ามาขัดกับประโยชน์ของตน  ดังนั้นจึงห้ามมิให้ตัวแทนทำนิติกรรมกับตัวการไม่ว่าจะทำในนามของตนเองหรือทำในฐานะเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอก  แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นใน  2  กรณี  คือ

1       เมื่อได้รับความยินยอมจากตัวการ  หรือ

2       นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

ดังนั้น  หากตัวแทนกระทำการฝ่าฝืนมาตรา  805  ถือว่าตัวแทนกระทำโดยปราศจากอำนาจมิชอบด้วยการเป็นตัวแทน  สัญญาที่ตัวแทนทำกับบุคคลภายนอกจึงไม่ผูกพันตัวการ  และเป็นผลทำให้ตัวแทนขาดสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จ  แม้จะมีข้อสัญญาหรือธรรมเนียมให้ตัวแทนได้รับบำเหน็จก็ตาม

ก  มอบหมายให้  ข  ไปซื้อที่ดินเพื่อนำมาจัดสรรแบ่งขาย  จะถือว่า  ก  ยินยอมให้  ข  ซื้อที่ดินของตนได้ด้วยนั้นหาได้ไม่  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏโดยชัดแจ้งว่า  ข  ซื้อที่ดินของตนโดย  ก  มิได้ยินยอมด้วย  จึงเป็นการที่  ข  ตัวแทนเข้าทำนิติกรรมในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง  อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  มาตรา  805  ถือว่าเป็นการอันมิชอบด้วยการเป็นตัวแทน  ในกรณีนี้  ข  จะไม่ได้รับบำเหน็จ  ตามมาตรา  818  ที่ว่าการใดที่ตัวแทนทำไม่ถูก  จะไม่ได้บำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อ  ข  ได้นำที่ดินที่ซื้อมาจากการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  805  มาจัดสรรแบ่งขาย  และขายจนหมด  ถือได้ว่า  ก  ตัวการได้สมประโยชน์  ในกรณีหลังนี้  ข  ทำชอบด้วยการเป็นตัวแทน  จึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จ  ตามมาตรา  818

สรุป 

กรณีซื้อที่ดินโดยตัวการไม่ยินยอม  ข  ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตัวแทน

กรณีที่  ข  นำที่ดินมาจัดสรรแบ่งขายจนสมประโยชน์ตัวการ  ข  มีสิทธิได้รับบำเหน็จตัวแทน

 

ข้อ  2  นายหนึ่งเปิดร้านซื้อขายรถยนต์มือสองอยู่ที่ถนนรัชดา  นายสองมีรถยนต์ยี่ห้อ  TOYOTA  อยู่  1  คัน  ซึ่งใช้มาแล้วเป็นเวลา  10  ปี  นายสองต้องการขายรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อซื้อรถยนต์คันใหม่  จึงได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายหนึ่งขายโดยกำหนดให้ขายในราคา  200,000  บาท  โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้ตามราคาที่ตกลงกันนายสองจะให้ค่าตอบแทนแก่นายหนึ่งเป็นเงินจำนวน  20,000  บาท  และตกลงให้นายหนึ่งซื้อรถยนต์ยี่ห้อ  Honda  ซึ่งใช้งานมาแล้วประมาณ  3  ปี  ให้ตน  1  คันในราคา  450,000  บาท  และจะให้ค่าตอบแทนแก่นายหนึ่งจำนวน  20,000  บาทเช่นกัน  รวมเงินค่าตอบแทนทั้งซื้อและขายเป็นเงินจำนวน  40,000  บาท  ปรากฏว่านายหนึ่งได้ขายรถยนต์ของนายสองได้ในราคา  220,000  บาท  และได้ซื้อรถยนต์คันใหม่ให้แก่สองในราคา  400,000  เงินที่ขายรถยนต์คันดังกล่าวได้สูงกว่าที่นายสองกำหนด  20,000  บาท  และเงินที่ซื้อต่ำกว่าที่นายสองกำหนดจำนวน  50,000  บาท  นายหนึ่งได้ถือเอาเป็นประโยชน์ของตนทั้งหมด  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของนายหนึ่งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  840  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  หรือทำการซื้อได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดไซร้  ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการ

วินิจฉัย

ตัวแทนค้าต่างมีหน้าที่ต้องงคืนเงินหรือคืนประโยชน์ให้แก่ตัวการในกรณีดังต่อไปนี้

1       ได้ทำการขายทรัพย์สินได้ในราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด

2       ได้ทำการซื้อทรัพย์สินได้ในราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดไว้

ดังนั้นตัวแทนจึงไม่อาจยึดถือเอาเงินในส่วนดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ต่อตนได้

นายสองได้ให้นายหนึ่งขายรถยนต์ของตนในราคา  200,000  บาท  แต่นายหนึ่งขายรถยนต์คันนั้นไปในราคา  220,000  บาท  นายหนึ่งจึงขายได้สูงกว่าราคาที่นายสองกำหนดไว้เป็นเงินจำนวน  20,000  บาท  และนายสองได้ให้นายหนึ่งซื้อรถยนต์คันใหม่ให้แก่ตน  1  คัน  ในราคา  450,000  บาท  แต่นายหนึ่งซื้อรถยนต์คันใหม่ได้ในราคา  400,000  บาท  ซึ่งต่ำกว่าราคาที่นายสองกำหนดไว้เป็นจำนวน  50,000 บาท  เงินที่เหลือจากการขายได้สูงกว่าและเงินที่เหลือจากการซื้อต่ำกว่ารวมเป็นเงิน  70,000  บาท  นายหนึ่งไม่มีสิทธิที่จะถือเอาเป็นประโยชน์แก่ตน  ต้องคิดคนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายสองตัวการทั้งหมดตามมาตรา  840  เมื่อปรากฏว่านายหนึ่งได้ถือเอาเงินจำนวน 70,000  บาท  เป็นของตนทั้งหมด  ดังนั้น  การกระทำของนายหนึ่งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  การกระทำของนายหนึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย  มาตรา  840

 

ข้อ  3  ก  มอบ  ข  ให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จ  ข  นำเสนอขาย  ค  ค  ตกลงซื้อเป็นเงิน  1,000,000  ล้านบาท  ก  โอนที่ดินให้  ค  เรียบร้อยแล้ว  หลังจากนั้น  ก  ได้จ่ายบำเหน็จนายหน้าให้  ข  ร้อยละ  2  ของยอดขายจริง  แต่  ข  ปฏิเสธโดยอ้างว่า  ก  ให้บำเหน็จนายหน้าน้อยเกินไป  ซึ่ง  ก  น่าจะต้องจ่ายร้อยละ  5  ของยอดขาย  สุดท้ายตกลงกันไม่ได้  ข  จึงฟ้องเรียกบำเหน็จร้อยละ  5 จาก  ก  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะสั่งให้  ก  จ่ายบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละเท่าใดจึงจะถูกต้อง  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายและหลักฎีกาประกอบด้วย)

ธงคำตอบ

มาตรา  846  วรรคสอง  ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม

วินิจฉัย

กรณีที่ได้มีการตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จนายหน้า  แต่มิได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้  ตามมาตรา  846  วรรคสอง  ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา  ดังนั้นค่าบำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันเป็นพิเศษจะต้องกำหนดกันไว้โดยชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม  ตามบทบัญญัติมาตรา  846  วรรคสอง

ทั้งนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3581/2526  วางหลักของจำนวนตามธรรมเนียม  ตามนัยมาตรา  846  วรรคสอง  ว่า  เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกำหนดค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน  จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่างๆ  โดยทั่วไปแล้วหมายถึงร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง

ก  มอบหมายให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จ  แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ว่าจะต้องจ่ายเท่าใด  จึงต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมตามมาตรา  846  วรรคสอง  ประกอบแนวคำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้น  คือ  ต้องจ่ายบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละ  5   ของราคาที่ขายกันจริง

การที่  ข  มาฟ้องเรียกบำเหน็จร้อยละ  5  จาก  ก  นั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะสั่งให้  ก  จ่ายบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละ  5  ของราคาที่ขายกันจริงตามที่  ข  ฟ้องจึงจะถูกต้อง

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะสั่งให้  ก  จ่ายบำเหน็จนายหน้าร้อยละ  5  ของราคาที่ขายกันจริง 

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  ต้องการเซ็นชื่อในใบมอบอำนาจให้ตัวแทนไปจำนอที่ดิน  โดยไม่กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจ

ข  ตัวแทนกรอกข้อความเองโดยกรอกข้อความว่า  นำที่ดินไปขายฝาก  ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของ  ก  ตัวการ  ข  นำไปขายฝากให้  ค  และ  ค  รับซื้อฝากไว้โดยสุจริต  เมื่อ  ก  ทราบเรื่อง  ก  จึงฟ้องเพิกถอนสัญญาขายฝากนั้น  และฟ้อง  ข  ว่า  ข  ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม  ศาลพิพากษา ว่า  ข  ผิดตามที่  ก  ฟ้อง  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1)  การกระทำครั้งนี้ของ  ข  ผูกพัน  ก  ตัวการหรือไม่  ก  จะปฏิเสธความรับผิดต่อ  ค  ผู้ซึ่งรับซื้อฝากไว้โดยสุจริตได้หรือไม่

2)  เมื่อศาลพิพากษาว่า  ข  ผิดปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม  ก  จะฟ้องเพิกถอนสัญญาที่  ข  ทำกับ  ค  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วย่อมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา  822  ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน  แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับแล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

1)  การที่  ก  ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจให้ตัวแทนไปจำนองที่ดิน  โดยไม่กรอกข้อความลงในใบอำนาจ  เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อยอมเสี่ยงภัยในการกระทำของตนเองอย่างร้ายแรง  เมื่อ  ข  นำใบมอบอำนาจไปกรอกข้อความเป็นให้ขายฝาก  ซึ่งเป็นผิดวัตถุประสงค์ของ  ก  เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก  ตามมาตรา  822  ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทน  คือ  ข  ทำการเกินอำนาจตัวแทน  แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า  การนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ค  รับซื้อฝากไว้โดยสุจริต   และเสียค่าตอบแทน  สัญญาขายฝากจึงผูกพันตัวการ  ก  ตัวการจึงต้องผูกพันรับผิดต่อ  ค  ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นความรับผิดไม่ได้  ตามมาตรา  822  ประกอบมาตรา  821

และในกรณีนี้  ก  เจ้าของที่ดิน  จะฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินหรือใช้สิทธิติดตามเอาที่ดินคืนด้วยเหตุผลว่า  ข  กระทำการเกินขอบอำนาจตัวแทนไม่ได้  ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต  ก  ไม่มีอำนาจฟ้อง  หากให้ฟ้องกันได้  ค  ผู้ซื้อโดยสุจริตจะเสียหายเป็นอย่างมาก  และความเสียหายนี้ก็เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของ  ก  โดยตรง  จะนำหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนมาใช้ให้เกิดความเสียหายแก่  ค  ไม่ได้

 2)    เมื่อ  ค  รับซื้อฝากโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน  โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว  แม้ว่า  ข  ผู้กรอกข้อความจะถูกศาลพิพากษาลงโทษในคดีอาญาฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม  ก  จะนำเหตุดังกล่าวนี้ไปฟ้องเพิกถอนสัญญาขายฝากระหว่าง  ข  กับ  ค  ผู้รับซื้อฝากโดยสุจริตไม่ได้  เพราะ  ค  ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำไปโดยสุจริต  ไม่รู้เหตุของการทำนอกของอำนาจของตัวแทนแต่อย่างใด  สิทธิของ  ค  ย่อมไม่เสียไป  หากก  ต้องการได้ที่ดินคืน  ก็ต้องชำระสินไถ่ตามกฎหมาย

สรุป 

1)    การกระทำของ  ข  ผูกพัน  ก  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้

2)    ก  จะฟ้องเพิกถอนสัญญาขายฝากที่  ข  ทำกับ  ค  ไม่ได้

 

ข้อ  2  ก  มอบ  ข  ให้เป็นตัวแทนไปฟ้องคดีพร้อมทั้งให้อำนาจในการถอนฟ้องและยอมความได้ด้วย  ระหว่างคดีอยู่ระหว่างพิจารณา  ก ได้ตายลง  ข  ไม่ทราบว่า  ก  ตาย  ข  ได้ทำสัญญายอมไปกับจำเลยทายาทของตัวการได้โต้แย้งว่า  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญายอมเพราะ  ก  ตาย  ทำให้สัญญาระงับแล้ว  ดังนี้  ข้ออ้างของทายาทฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใดประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  เนื่องจากการตายของ  ก  ตัวการ  ทายาทได้บอกกล่าวแก่  ข  ว่า  ก  ได้ตายแล้ว  ข  ยังทำสัญญายอมความให้กับจำเลย  ดังนี้  ข  จะมีอำนาจทำสัญญายอมความหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  826  วรรคสอง  อนึ่งสัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไป  เมื่อคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลาย เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับข้อสัญญาหรือสภาพแห่งกิจการนั้น

มาตรา  830  อันเหตุที่จะทำให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปนั้นจะเกิดแต่ตัวการหรือตัวแทนก็ตาม  ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง  จนกว่าจะได้บอกกล่าวเหตุนั้นๆไปยังคู่สัญญาฝ่ายนั้นแล้ว  หรือจนกว่าคู่สัญญาฝ่ายนั้นจะได้ทราบเหตุแล้ว

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ข้ออ้างของทายาทของตัวการที่ว่า  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญายอมความนั้นฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  โดยหลักแล้วหากตัวการหรือตัวแทนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย  สัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไป  ตามมาตรา  826  วรรคสอง  เว้นเสียแต่ว่าจะได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น  หรือโดยสภาพของงานนั้น  ความตายไม่มีผลต่อการงานที่จะกระทำต่อไปแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม  แม้สัญญาตัวแทนจะระงับลงแล้วก็ตาม  แต่จะมีผลต่ออีกฝ่ายหนึ่งเมื่อได้มีการบอกกล่าวให้ตัวแทนหรือตัวการทราบแล้วแต่กรณี  หรือจนกว่าตัวแทนหรือตัวการจะทราบเหตุนั้นแล้ว  ไม่เช่นนั้นแล้วการระงับของสัญญาตัวแทนจะยังไม่มีผลต่อคู่สัญญา  ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง  ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์ประการแรกนั้น  ทายาทของตัวการจึงไม่สามารถยกเหตุแห่งความตายของ  ก  ตัวการมาต่อสู้  ข  ตัวแทนซึ่งทำสัญญายอมความไปกับจำเลยว่า  ข  ไม่มีอำนาจทำไม่ได้  เพราะ  ข  ไม่รู้เหตุการณ์ของ  ก  โดยสุจริต  ตามมาตรา  830  ประกอบมาตรา  826

ส่วนกรณีตามประการที่สองนั้น  ทายาทได้บอกกล่าวเหตุแห่งความตายของ  ก  ตัวการ  แก่  ข  ตัวแทนแล้ว  ข  ยังทำสัญญายอมความกับจำเลยต่อไปอีกถือว่า  ข  ไม่มีอำนาจทำได้  เพราะการตายของ  ก  ทำให้สัญญาระงับ  และ  ข  ได้รู้แล้วโดยการบอกกล่าวของทายาท ตามมาตรา  830  ประกอบมาตรา  826

สรุป  ประการแรก  ข้ออ้างของทายาทฟังไม่ขึ้น  ส่วนประการที่สอง  ข  ตัวแทนไม่มีอำนาจทำสัญญายอมความ

 

ข้อ  3  ในกรณีที่มีผู้ขายที่ดิน  และนายหน้า  มิได้ตกลงกันไว้เป็นพิเศษว่าจะจ่ายค่านายหน้ากันเท่าใด  และนายหน้าได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อเรียกค่านายหน้า  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะพิจารณาตัดสินคดีนี้อย่างไร  จะนำหลักกฎหมายหลักใดมาเป็นหลักในการตัดสิน  การจ่ายบำเหน็จนายหน้า  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายและหลักฎีกาประกอบในการตอบด้วย)

ธงคำตอบ

มาตรา  846  วรรคสอง  ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม

วินิจฉัย

ค่าบำเหน็จ  คือ  ค่าตอบแทนจากการเป็นนายหน้าที่ชี้ช่องให้บุคคลที่แต่งตั้งนายหน้าได้เข้าทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งโดยอ้อม  หรือได้จัดการให้บุคคลที่แต่งตั้งนายหน้าได้เข้าทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งได้สำเร็จโดยตรง  ค่าบำเหน็จนี้อาจเป็นเงิน  ที่ดิน  หรือทรัพย์สินอื่นก็ได้ อาจกำหนดบำเหน็จหรือค่าตอบแทนไว้หลายส่วนก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  จะใช้ค่าบำเหน็จนายหน้าก็ต่อเมื่อได้มีการตกลงกันของคู่สัญญาแล้ว  จะเป็นการตกลงโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้  สำหรับจำนวนค่านายหน้าหรือบำเหน็จค่านายหน้านั้น  แยกพิจารณาเป็น  2  กรณี  คือ

1       ได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้าโดยชัดแจ้ง

2       ไม่ได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้าไว้

สำหรับกรณีที่ไม่ได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้  ตามมาตรา  846  วรรคสอง  ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา  ดังนั้นค่าบำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันเป็นพิเศษจะต้องกำหนดกันไว้โดยชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมตามบทบัญญัติมาตรา  846  วรรคสอง

ทั้งนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3581/2526  วางหลักของจำนวนตามธรรมเนียม  ตามนัยมาตรา  846  วรรคสอง  ว่า  เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกำหนดค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน  จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่างๆ  โดยทั่วไปแล้วหมายถึงร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะใช้หลักกฎหมายมาตรา  846  วรรคสอง  และคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3581/2526  ที่ให้ถือเอาอัตราตามธรรมเนียม  คือ  ร้อยละ  5  ของราคาซื้อขายกันแท้จริง  มาเป็นแนวทางพิจารณา

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า สอบซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551
 
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า
 
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 
ข้อ 1.   นายแดงได้มอบให้นายดำไปซื้อที่ดินแทนตน 1 แปลง ที่จังหวัดลพบุรี โดยมิได้ทำเป็นหนังสือ การมอบให้นายดำไปซื้อที่ดินในครั้งนี้ให้ใส่ชื่อนายดำเป็นผู้ซื้อ เพราะนายแดงไม่ต้องการให้ใครทราบว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว หลังจากซื้อที่ดินไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี นายแดงต้องการที่ดินคืน จึงได้บอกกล่าวให้นายดำโอนที่ดินคืนให้แก่ตน แต่นายดำไม่ยอมโอนคืนให้  โดยอ้างว่าการมอบให้ตนไปซื้อที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของนายดำฟังขึ้นหรือไม่ และนายดำจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินคืนให้แก่นายแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
 
มาตรา 798 กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็น หนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย
 
มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอัน เขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่
 
มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น
 
อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น
 
วินิจฉัย  
 
  กิจการใดที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 798 แต่ถ้าตัวการไม่เปิดเผยชื่อตาม ป.พ.พ.มาตรา 806 ก็ไม่ต้องทำเป็นหนังสือตามมาตรา 798 เพราะมาตรา 806 เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798
 
ตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงมอบให้นายดำไปซื้อที่ดินแทนตนโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และให้ใส่ชื่อนายดำเป็นผู้ซื้อ เพราะไม่ต้องการให้ใครทราบว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ (ตาม ป.พ.พ.มาตรา 806) เมื่อตัวการไม่เปิดเผยชื่อจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือมอบอำนาจระหว่างตัวการและตัวแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 798 
เมื่อนายแดงต้องการที่ดินคืน นายดำจะอ้างว่าการมอบให้ตนไปซื้อที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือ ข้ออ้างของนายดำจึงฟังไม่ขึ้น เพราะมิใช่เป็นการมอบให้ไปซื้อที่ดินในนามของนายแดงตัวการ แต่ให้ไปซื้อที่ดินในนามของนายดำตัวแทน จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งนายดำตัวแทนได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการ ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 810
 
ดังนั้น ข้ออ้างของนายดำจึงฟังไม่ขึ้นและนายดำต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินคืนให้แก่นายแดง
 
ข้อ 2.     ก. มอบให้ ข. ในการดำเนินกิจการเพื่อประมูลงานตึกเรียนใหม่ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และให้ ข. เป็นผู้ยื่นซองประกวดราคาค่าก่อสร้าง ข. ได้ออกค่าใช้จ่าย ค่าพาหนะ ในการติดต่อสอบถามราคา ค่าแรง ค่าของ เพื่อนำมาคำนวณราคาก่อสร้าง จนถึงวันประกวดราคา จะต้องมีเงินวางมัดจำซองตามที่ผู้เรียกประกวดราคากำหนด ข. กลับมาหา ก. เพื่อขอเงินวางมัดจำซอง  แต่ ก. บอกยังไม่มีให้ ข. ออกไปก่อน ข. ก็บอกว่าไม่มีเช่นกัน แต่ ก. ก็หาจ่ายเงินให้ ข. ไม่ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า
 
1)              ข. จะบอกเลิกการเป็นตัวแทน และขอค่าบำเหน็จจนถึงวันบอกเลิกได้หรือไม่
 
2)   ก. จะอ้างว่า ข. บอกเลิกในขณะที่ ก. ไม่สะดวก โดยจะทำให้ ก.ต้องเสียหาย เพราะ ก.จะไม่ได้งานสร้างมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
 
(ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ครบถ้วน)
 
ธงคำตอบ
มาตรา 815 ถ้าตัวแทนมีประสงค์ไซร้ ตัวการต้องจ่ายเงินทดรอง ให้แก่ตัวแทนตามจำนวนที่จำเป็น เพื่อทำการอันมอบหมายแก่ตัวแทนนั้น
 
มาตรา 803 ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ เว้นแต่จะได้มี ข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติ ต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ
 
มาตรา  827  ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเป็น ตัวแทนเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ
 
 คู่สัญญาฝ่ายซึ่งถอนตัวแทน หรือบอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาที่ ไม่สะดวกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง จะต้องรับผิดต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นในความ เสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น เว้นแต่ในกรณีที่เป็นความ จำเป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้
 
วินิจฉัย
 
 ตามปัญหา
 
1)     ข. จะบอกเลิกการเป็นตัวแทนเพราะทำงานไม่สะดวกได้ตามมาตรา 827 ว.แรก และขอบำเหน็จตามมาตรา 803 ได้จนถึงวันบอกเลิก
 
2)     ก. จะอ้างว่า ข. บอกเลิกในขณะที่ ก. ไม่สะดวกและทำให้เกิดความเสียหายตาม ป.พ.พ.มาตรา 827 ว.สอง ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความผิดของ ข. แต่เป็นความผิดของ ก. เอง ที่ว่า ข. ร้องขอให้ ก. ตัวการจ่ายเงินทดรอง ตัวการต้องจ่ายตาม ป.พ.พ.มาตรา 815
 
ข้อ 3.    ก. มีอาชีพเป็นนายหน้า มี ข. มาบอกว่าให้ ก. หาที่ดินทำเลดี ๆ สวย ๆ ให้สัก 6 ไร่ ติดถนน เพราะจะสร้างโรงงาน ก. เห็น ค. ติดป้ายว่า “ที่ดินแปลงนี้ขาย” ติดต่อโทร……….  ก. ได้โทรศัพท์คุยกับ ค. ว่าที่ดินมีกี่ไร่ ราคาไร่ละเท่าใด ถ้าเอาทั้งแปลงจะลดได้หรือไม่ หลังจากนั้น 3 วัน ก. ได้นำ ข. มาพบ ค. และทำการซื้อขาย และโอนกันเป็นที่เรียบร้อย หลังจากการซื้อขายเสร็จสิ้น ก. ได้มาขอค่านายหน้าจาก ค.  ค. ไม่ให้ โดย ค. อ้างว่าตนมิได้มอบหมายให้ ก. เป็นนายหน้า ก. ฟ้อง ค. เพื่อเรียกค่านายหน้า ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะสั่งให้ ค. จ่ายค่านายหน้าให้ ก. หรือไม่ เพราะอะไร
 
ธงคำตอบ
 
มาตรา 845  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้อง บำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
 
 นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไป ก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิ ได้ทำกันสำเร็จ
 
มาตรา 846 ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดย พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ ไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า
 
 ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกัน เป็นจำนวนตามธรรมเนียม
 
วินิจฉัย 
 

  ตามปัญหา เป็นเรื่องเป็นนายหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งตามหลักมาตรา 845 นั้น จะต้องมีการตกลงกันระหว่างผู้ขายกับนายหน้า จะต้องมีการมอบหมายให้เป็นนายหน้า และนายหน้าถึงจะเป็นผู้ชี้ช่องได้ และสุดท้าย ผู้ซื้อ ผู้ขาย ก็จะเข้าทำสัญญาต่อกัน จึงจะครบหน้าที่ของการเป็นนายหน้า ดังนั้น เมื่อ ก. ฟ้อง ค. เพื่อเรียกค่านายหน้า ศาลจะสั่งว่า ค. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าเพราะไม่มีการมอบหมายจาก ค. แต่ ก. ก็ต่อสู้ว่า แม้จะไม่ได้มอบหมายตามมาตรา 845 ก็น่าจะเป็นการมอบหมายโดยปริยายตามมาตรา 846 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า          แม้จำเป็นการกระทำโดยปริยายตามมาตรา 846 ก็ต้องมีการมอบหมายเช่นกัน ดังนั้น กรณีนี้ ก. เป็นนายหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียวตามฎีกาที่ 705/2505 ค. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้า

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  

ข้อ 1.  ก.มอบ ข. ให้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป แต่มิได้มีการมอบหมายกันเป็นหนังสือ และตัวการก็ไปเที่ยวยุโรป  ขณะที่ ก.ตัวการอยู่ยุโรปนั้น ทางบริษัทได้มีปัญหาเกิดขึ้นโดย ข.ตัวแทนได้ไปตรวจสอบความเรียบร้อย ปรากฏว่า ข.พบว่า มีลูกค้าบางรายของบริษัทยังมิได้ชำระหนี้ให้กับบริษัท เป็นเงินถึง 300,000 บาท  ข.ติดต่อ ก. ตัวการไม่ได้  และถ้าไม่ฟ้องลูกหนี้เสีย จะทำให้คดีขาดอายุความฟ้องร้อง  จะทำให้เรียกเก็บเงิน 300,000 บาทไม่ได้  ข.จึงตัดสินใจใช้เหตุฉุกเฉินตั้ง ค. เป็นตัวแทนช่วงเพื่อฟ้องคดี  ให้ท่านวินิจฉัยว่า การกระทำใด ๆ ที่ ค. ทำไปนั้น จะผูกพันตัวการหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วยมาตรา  801  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป  ท่านว่าจะทำกิจการใดๆ  ในทางจักการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง

แต่การอย่างจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่  คือ

(5)          ยื่นฟ้องต่อศาล

มาตรา  802  ในเหตุฉุกเฉิน  เพื่อป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทำการใดๆ  เช่นอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำ  ก็ย่อมมีอำนาจจะกระทำได้ทั้งสิ้น

มาตรา  814  ตัวแทนช่วงย่อมรับผิดโดยตรงต่อตัวการฉันใด  กลับกันก็ฉันนั้น 

วินิจฉัย

ตามปัญหา การมอบหมายให้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป ตามป.พ.พ. ม. 801 ก. มอบ ข. มิได้ทำเป็นหนังสือ ดังนั้นจึงถือว่า ก. มิได้มอบอำนาจทั่วไปให้ ข. โดยถูกต้องตามกฎหมายมาตรา 798

อีกทั้ง การที่ตัวแทนนั้นจะใช้เหตุฉุกเฉินได้ตาม ม. 802 ระหว่าง ก. กับ ข. หรือตัวการตัวแทนนั้นจะต้องเป็นตัวการตัวแทนกันก่อน คือ ต้องมีการมอบหมายเป็นตัวการตัวแทนเป็นหนังสือตาม ม. 798

ดังนั้น ข. จึงไม่มีอำนาจตั้ง ค. เป็นตัวแทนช่วงเพื่อฟ้องคดี และการใด ๆ ที่ ค. ตัวแทนช่วงทำไปจึงหาผูกพัน ก. ตัวการไม่ เพราะ ก. ฝ่าฝืน ม. 798

 

ข้อ 2.   นางดาราได้นำทองคำแท่งหนัก 20 บาท ไปฝากนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย  นางดาราได้ตกลงกับนายสมบูรณ์ว่า ถ้าขายทองคำแท่งได้จะให้บำเหน็จแก่นายสมบูรณ์ เป็นเงิน 3,000 บาท  ปรากฏว่าในวันที่ 6 ตุลาคม 2551  ราคาทองคำตามตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ 12,500 บาท นายสมบูรณ์เห็นว่าราคาทองคำลดลงต่ำกว่าราคาก่อนหน้านี้  ถ้าซื้อเก็บไว้ขายอาจจะได้กำไร   นายสมบูรณ์ต้องการซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง จึงได้โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อทองคำแท่งจากนางดารา เมื่อนางดาราได้รับคำบอกกล่าวแล้วแต่นิ่งเฉยเสีย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การขอซื้อทองคำแท่งของนายสมบูรณ์เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด  และนายสมบูรณ์มีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน 3,000 บาทหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย

 มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามอุทาหรณ์ นางดาราได้นำทองคำแท่งหนัก 20 บาท ไปฝากนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย  โดยตกลงจะให้บำเหน็จแก่นายสมบูรณ์เป็นเงิน 3,000 บาท การขายทองคำแท่งเป็นการขายตามราคาตลาดโลก ซึ่งนายสมบูรณ์ไม่มีสิทธิที่จะกำหนดราคาได้เอง นายสมบูรณ์เห็นว่า ราคาทองคำลดลงจึงมีสิทธิที่จะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวได้ตามราคาตลาดคือ ราคาบาทละ 12,500 บาท เมื่อนายสมบูรณ์แจ้งทางโทรศัพท์ให้นางดาราทราบว่าตนจะซื้อ เมื่อนางดาราได้รับคำบอกกล่าวแล้ว แต่นิ่งเฉยเสียไม่ได้บอกปัดในทันที ถือว่านางดาราซึ่งเป็นตัวการได้สนองรับการนั้นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 843 วรรคแรก

ดังนั้น สัญญาซื้อขายทองคำแท่งของนายสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว และนายสมบูรณ์ย่อมมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน 3,000 บาทด้วย เพราะตัวแทนค้าต่างแม้จะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง จะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 843 วรรคท้าย

 

ข้อ 3.   ก.ต้องการจะขายที่ดินจึงทำป้ายไปปิดไว้ว่า  “ที่ดินแปลงนี้ขาย  ติดต่อเบอร์โทร. ดังนี้ ……….. ข.ขับรถผ่านมาเห็นป้ายที่ ก.ติดไว้ที่ที่ดิน ข.นึกขึ้นได้ว่า ค.ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัท ข. ให้ช่วยหาที่ดินแถวบริเวณนี้  พอดีว่า ค.ต้องการจะสร้างโรงงาน  ข.จึงโทรติดต่อกับ ก.โดยถามว่า ที่ดินแปลงนี้มีกี่ไร่ ขายไร่ละเท่าไร ลดได้หรือไม่ และ ข.ก็วางสายไป  ต่อจากนั้นอีก 3  วัน  ข.นำ ค.มาพบ ก.เพื่อซื้อที่ดิน  ก.กับ ค.ตกลงซื้อขายกันและโอนกันในที่สุด  ข.มาขอค่านายหน้าจาก ก.  ก.ปฏิเสธ โดย ก.อ้างว่า  ก.มิได้ตกลงมอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า  ข.ฟ้อง ก. เพื่อเรียกค่านายหน้า  ศาลวินิจฉัยว่า เป็นกรณีที่ ข. โจทก์ทำไปฝ่ายเดียว โดย ก.จำเลยมิได้ตกลงรับรู้ด้วย  ข.เถียงว่า  การซื้อขายที่ดินเท่าที่ปฏิบัติกันทั่ว ๆ ไป  ก็เพื่อคาดหมายว่าจะได้ค่านายหน้า  จึงถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยาย

จากปัญหาข้อถกเถียงดังกล่าว  ถ้าท่านเป็นศาล จะวินิจฉัยให้โจทก์ได้บำเหน็จนายหน้าหรือไม่  ข้ออ้างของ ข. โจทก์ ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

ตามปัญหา ศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่า การกระทำของ ข. นั้นเป็นนายหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะ ก. มิได้มอบหมายให้เป็นนายหน้าและข้ออ้างของ ข. ที่ว่า น่าจะเป็นการตกลงโดยปริบายตาม ม. 846 ว. แรก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะเป็นการมอบหมายโดยปริยาย ก็ต้องมีการมอบหมายเช่นกัน ดังนั้น ข. จึงไม่ได้ค่านายหน้า

ข้ออ้างของ ข. ฟังไม่ขึ้นตามฎีกาที่ 705/2505

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  อุไรวรรณ  อยากออกเงินกู้เพื่อกินดอกเบี้ย  แต่ไม่อยากให้ใครทราบว่าเป็นเจ้าของเงิน  จึงมอบหมายให้สมชายเป็นผู้ออกเงินกู้แทน  แต่การตั้งตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  อุไรวรรณมาสะดุดพฤติกรรมของสมชายที่มักจะนำเงินที่ตนมอบไว้ใช้ในกิจการและเงินที่ผู้กู้ชำระไปใช้เป็นส่วนตัว  ทำให้เกิดความเสียหายต่อกิจการ  อุไรวรรณจึงนำเรื่องนี้มาปรึกษาท่านว่าจะต้องทำอย่างไร  ให้แนะนำ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอัน เขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  811  ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ  หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจกรรมของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย  ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

มาตรา  812  ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใดๆเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี  เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี  หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี  ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด

มาตรา 815 ถ้าตัวแทนมีประสงค์ไซร้ ตัวการต้องจ่ายเงินทดรอง ให้แก่ตัวแทนตามจำนวนที่จำเป็น เพื่อทำการอันมอบหมายแก่ตัวแทนนั้น

มาตรา  827  ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเป็น ตัวแทนเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ

วินิจฉัยข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่อุไรวรรณว่า  โดยหลักแล้วกิจการใด  กฎหมายบังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ  หรือว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย  แต่กรณีนี้อุไรวรรณตัวการเจ้าหนี้เงินกู้ไม่อยากให้ใครทราบว่าตนเป็นเจ้าของเงิน  จึงมอบหมายให้สมชายเป็นผู้ออกเงินกู้แทน  แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวการและตัวแทนในกรณีนี้  อยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ  ตามมาตรา  806  ดังนั้นจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  798  คือ  ไม่ต้องทำสัญญาตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ  หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด (ฎ. 531/2537)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสมชายตัวแทนเอาเงินที่ตัวการมอบไว้ใช้ในกิจการ  ตามมาตรา  815  และเงินที่ผู้กู้ชำระให้แก่สมชายไปใช้เป็นการส่วนตัว  ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการอันพึงกระทำเนื่องในการเป็นตัวแทน  ซึ่งโดยหลักแล้วตัวแทนจะต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น  ตามมาตรา  810  วรรคแรก  สมชายจึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้  ตามมาตรา  811  ทั้งนี้หากตัวการได้รับความเสียหาย  ตัวการอาจเรียกให้ตัวแทนรับผิดได้  ตามมาตรา  812

นอกจากนี้อุไรวรรณตัวการมีสิทธิเรียกให้สมชายโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เป็นชื่อของตนได้  ตามมาตรา  810  วรรคสองประกอบมาตรา  806  และยังมีสิทธิถอนตัวแทน  ตามมาตรา  827  ได้อีกด้วย 

 

ข้อ  2  นายบูรพา  ผู้จัดการบริษัทบรรหารสินทรัพย์  จำกัด  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน (เฉพาะอสังหาริมทรัพย์)  มาบริหาร  ผู้จัดการอยากได้ที่ดินแปลงสวยที่บริษัทซื้อมาเป็นของตนแต่เกรงข้อครหา  จึงมอบให้  นางแม้นมาศผู้เป็นภรรยามาซื้อ  ต่อมาเมื่อทางบริษัททราบจึงเรียกให้ผู้จัดการ  โอนที่ดินคืนบริษัท  นายบูรพาไม่ยอม  อ้างว่าไม่เกี่ยวกับตน  เป็นเรื่องของภรรยา  ตนเพียงแต่ให้ความยินยอมเท่านั้น  ข้ออ้างของนายบูรพาฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  805  ตัวแทนนั้น  เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ  จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่  เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

ตามปกติแล้ว  ตัวแทนจะต้องเข้าทำนิติกรรมแทนตัวการตามที่ได้รับมอบหมายนั้นกับบุคคลอื่นเท่านั้น  ดังนั้นกฎหมายจึงห้ามตัวแทนกระทำการดังต่อไปนี้

(1)  ตัวแทนไม่อาจเข้าทำนิติกรรมใดในนามของตัวการทำกับตนเอง  หรือในนามของตนเอง

(2) ตัวแทนไม่อาจเข้าทำนิติกรรมอันใดแทนตัวการกับตนเองในฐานะที่ตนเองเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกที่จะเข้าเป็นคู่สัญญา

แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่  2  ประการคือ  ตัวแทนนั้นได้รับความยินยอมจากตัวการแล้ว  หรือนิติกรรมนั้นเพื่อการชำระหนี้

กรณีตามอุทาหรณ์  จะเห็นว่าในการซื้อที่ดินนั้น  นางแม้นมาศเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจเฉพาะกาลจากนายบูรพา  ตามมาตรา  800  แต่เมื่อนายบูรพาผู้แทนบริษัท  ซึ่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยตัวการตัวแทนมาใช้บังคับโดยอนุโลมอยู่ในฐานะตัวแทนของบริษัทบรรหารสินทรัพย์  จำกัด  ย่อมต้องห้ามทำนิติกรรมกับบริษัทบรรหารสินทรัพย์ฯซึ่งเป็นตัวการโดยตรง  ตามมาตรา  805  แม้นายบูรพาจะให้นางแม้นมาศภรรยาเป็นผู้ซื้อก็ตาม  ก็ถือเป็นกรณีที่นายบูรพาตัวแทนบริษัทฯเข้าทำสัญญาซื้อที่ดินในนามของบริษัททำกับนายบูรพาเอง  โดยอาศัยนางแม้นมาศเป็นเครื่องมือ  เมื่อนายบูรพาไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทฯซึ่งเป็นตัวการ  ย่อมถือว่าตัวแทนทำนอกขอบอำนาจ  สัญญานั้นย่อมไม่มีผลผูกพันบริษัทฯ  ตัวการ  ตามมาตรา  823  บริษัทฯมีสิทธิเรียกที่ดินคืนได้ (ฎ. 1966/2526)

ดังนั้น  ข้ออ้างของนายบูรพาที่ว่าไม่เกี่ยวกับตน  เป็นเรื่องของภรรยา  ตนเป็นเพียงแต่ให้ความยินยอมเท่านั้น  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของนายบูรพาฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  บัญชามอบหมายให้สุภาพ  นำที่ดิน  น.ส.3  จำนวนห้าสิบไร่  ไปจัดแบ่งเป็นแปลงแปลงละหนึ่งไร่  เพื่อขายโดยให้ค่านายหน้าร้อยละห้า  สุภาพดำเนินการจัดรูปถนนแบ่งแปลงได้สามสิบห้าแปลง  เสียค่าใช้จ่ายไปสามแสนบาท  เมื่อสุภาพเปิดจองมีคนนอกทำสัญญาจองกับตนครบหมดทุกแปลง  บัญชาเห็นที่ดินจัดรูปแล้วดูสวย  ตัดใจไม่ขาย  อยากทราบว่าสุภาพจะเรียกค่าใช้จ่ายและค่านายหน้าได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา 845  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทำกันสำเร็จ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  สุภาพจะเรียกค่าใช้จ่ายจากบัญชาตัวการได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่บัญชามอบหมายให้สุภาพนำที่ดิน  น.ส.3  ของตนจำนวน  50  ไร่  ไปจัดแบ่งเป็นแปลงๆละ 1 ไร่  เพื่อขาย  การจัดแบ่งแปลงที่ดินถือเป็นการมอบอำนาจเฉพาะการ  ตามมาตรา  800  เมื่อสุภาพได้ดำเนินการและเสียค่าใช้จ่ายไปในการจัดทำกิจการอันบัญชาตัวการมอบหมาย  ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็น  สุภาพมีสิทธิเรียกเอาเงินชดใช้จากบัญชาตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นได้ตามมาตรา  816  วรรคแรก

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  สุภาพเรียกค่าบำเหน็จจากการเป็นนายหน้าขายที่ดินของบัญชาได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่นายหน้าจะมีสิทธิเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าตามมาตรา  845  ได้นั้น  จะต้องปรากฏว่า

1       มีการตกลงว่าจะให้ค่านายหน้า

2       มีการชี้ช่องหรือจัดการให้มีการทำสัญญากัน

3       ต้องมีการเข้าทำสัญญากันสำเร็จ

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ที่ดินของบัญชานำมาแบ่งขายได้  35  แปลง  มีผู้มาจองซื้อแล้วครบทุกแปลงโดยได้ทำสัญญาจองกันไว้  แม้บัญชาจะตกลงว่าจะให้ค่านายหน้าแก่สุภาพ และสุภาพได้มีการชี้ช่องหรือจัดการให้มีการจองซื้อเพื่อจะได้ทำสัญญากันต่อไปก็ตาม  แต่สัญญาจองเป็นเพียงหนังสือแจ้งความประสงค์จะจองที่ดินที่จะขายเท่านั้น  ส่วนสัญญาซื้อขายจะได้ทำกันกับบัญชาอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างบัญชากับผู้ซื้อยังไม่ได้ทำกันสำเร็จเพราะบัญชาไม่ต้องการขายอีกต่อไป  ผลจากการชี้ช่องหรือจัดการของสุภาพที่ทำการเป็นนายหน้าจึงยังไม่เกิดขึ้น  สุภาพจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าบำเหน็จในการเป็นนายหน้าจากบัญชา  ตามมาตรา  845  (ฎ. 5335/2500)

สรุป  สุภาพมีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายได้  แต่เรียกค่าบำเหน็จนายหน้าไม่ได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1

ก.       มอบหมายให้  ข.  ไปกู้เงินโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ข.  ไปกู้เงิน  ค.  500,000  บาท  โดย  ข.  ทำสัญญาเงินกู้ไว้เป็นหลักฐานในฐานะผู้กู้  และเขียนในสัญญากู้ว่ากู้แทน  ก  ดังนี้  ถามว่า

(1)  ข  มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้หรือไม่  และถ้า  ข  ลงชื่อในสัญญากู้แล้ว  การกระทำของ  ข  เป็นอย่างไร

(2) การกระทำของ  ข  ผูกพันตัวการหรือไม่  ค  จะฟ้อง  ก  ให้รับผิดได้หรือไม่  เพราะในสัญญา  ข  เขียนว่ากู้แทน  ก

(3) พอสรุปได้ว่า  ค  จะฟ้องใครให้รับผิดชดใช้เงินกู้ครั้งนี้ระหว่าง  ก  และ  ข

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ 

(1)  การกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาทขึ้นไปนั้น  บทบัญญัติมาตรา  653  วรรคแรก  บังคับว่า  ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้  เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ก  มอบหมายให้  ข  ไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  เช่นนี้  ข  ย่อมไม่มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  798  วรรคสอง  ดังนั้นการที่  ข  ลงชื่อไปก็เท่ากับว่า  ข  ลงชื่อโดยปราศจากอำนาจตามมาตรา  823  วรรคแรก

(2)  เมื่อการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย  จึงมีผลเท่ากับว่าไม่มีการมอบหมายหรือตั้งตัวแทนให้ไปทำสัญญากู้ยืม  การที่  ข  ไปกู้ยืมเงิน  ค  สัญญากู้ยืมนั้นย่อมไม่ผูกพัน  ก  ตัวการแต่อย่างใด  เพราะเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น  แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถ้า  ก  ตัวการให้สัตยาบัน  สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็อาจผูกพัน  ก  ได้ตามมาตรา  823  วรรคแรกตอนท้าย  แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  ก  ให้สัตยาบันแก่การกู้ยืมเงินนั้น  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  บุคคลภายนอกโดยลำพังตนเองตามมาตรา  823  วรรคท้าย  แม้สัญญากู้ยืมจะระบุว่าเป็นการที่  ข  กู้แทน  ก  ก็ตาม

(3) เมื่อสัญญากู้ยืมไม่ผูกพัน  ก  และ  ข  ต้องรับผิดโดยลำพังแล้ว  ค  จึงมีสิทธิฟ้องเรียกให้  ข  รับผิดชดใช้เงินตามสัญญากู้ได้คนเดียวเท่านั้น  กรณีนี้ถือว่า  ข  อยู่ในฐานะคู่สัญญากู้ยืมเงินตามมาตรา  653  วรรคแรกโดยตรง

สรุป

(1)  ข.  ไม่มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้  ถ้าลงไปก็เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ

(2) การกระทำของ  ข  ไม่ผูกพันตัวการ  ค  ฟ้อง  ก  รับผิดไม่ได้

(3)   ค  ฟ้อง  ข  ให้รับผิดได้คนเดียวเท่านั้น

 

ข้อ  2  นายแดงเป็นเจ้าของกิจการเปิดร้านซื้อและขายรถยนต์ประเภทที่ใช้แล้วอยู่แถวถนนรัชดา  นายดำต้องการซื้อรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันในราคาไม่เกิน  300,000  บาท  จึงได้ตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่ต้องการซื้อกับนายแดง  และได้ตกลงกันว่าถ้าซื้อรถยนต์ได้แล้วจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายแดงเป็นจำนวนเงิน  20,000  บาท ต่อมานายแดงได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์ตามที่นายดำต้องการจากนายเขียวหนึ่งคันในราคา  290,000  บาท และนายเขียวได้นำรถยนต์มาส่งมอบให้แก่นายดำในวันที่  3  กันยายน  2552  แต่นายดำไม่ยอมชำระเงินค่ารถยนต์ให้แก่นายเขียว  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเขียวจะฟ้องนายแดงตัวแทนค้าต่างหรือฟ้องนายดำให้รับผิดในเงินจำนวนดังกล่าว  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  837  ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น  และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขาย  ทำการซื้อ  ทำกิจการค้าขายอย่างอื่นแทนตัวการตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว  ตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญาย่อมมีความผูกพันกันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นจนกว่าจะได้มีการปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว ดังนั้นหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญา  ตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกต้องว่ากล่าวกันเอง  โดยที่

(ก)    ถ้าบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ปฏิบัติผิดสัญญา  ตัวแทนค้าต่างย่อมฟ้องร้องบุคคลภายนอกได้

(ข)   ถ้าตัวแทนค้าต่างไม่ปฏิบัติตามสัญญา  บุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องร้องบังคับตัวแทนค้าต่างได้

ทั้งนี้เพราะบุคคลภายนอกกับตัวแทนค้าต่างเป็นคู่สัญญากันโดยตรง  หากบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาทราบว่าตัวแทนค้าต่างได้กระทำกิจการนั้นแทนตัวการแล้ว  บุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเรียกบังคับตัวการได้  และเป็นผลให้ตัวแทนค้าต่างที่ทำสัญญากับบุคคลภายนอกนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดทันที  หรือจะฟ้องบังคับได้ทั้งตัวการและตัวแทนค้าต่างได้ในคดีเดียวกัน

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อนายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างของนายดำได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์จากนายเขียวในนามของตนเองแทนนายดำตัวการ นายแดงตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะคู่สัญญาและย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อนายเขียวคู่สัญญานั้นด้วย  ตามมาตรา  837

ดังนั้น  เมื่อนายดำตัวการไม่ยอมชำระค่ารถยนต์จำนวน  290,000  บาทให้แก่นายเขียวบุคคลภายนอก  นายเขียวย่อมฟ้องร้องนายแดงตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวได้

สรุป  นายเขียวมีสิทธิฟ้องนายแดงตัวแทนค้าต่างให้รับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  นายเอกต้องการจะขายที่ดินของตนหนึ่งแปลงที่จังหวัดปทุมธานี  จึงได้บอกกับนายโทน้องชายว่า  ถ้าขายได้จะนำเงินไปซื้อตึกแถวหนึ่งห้องเพื่อให้คนเช่า  หลังจากนั้นนายเอกได้นำป้ายไปติดประกาศขายพร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์ในที่ดินแปลงดังกล่าว  ส่วนนายโทไม่ทราบว่านายเอกไปติดประกาศขายแต่อยากให้พี่ชายขายที่ดินได้จึงไปตกลงกับนายตรีให้เป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดิน  ถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จ  3  หมื่นบาท  ต่อมานายตรีได้จัดการพานายแก้วไปพบนายเอก  นายแก้วได้ตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา  4  ล้านบาท  และทั้งสองได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว  นายตรีจึงไปขอค่าบำเหน็จ  3  หมื่นบาทจากนายเอก  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเอกจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรีหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่  ฉะนั้น  ไม่ว่าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  จะหาประโยชน์จากการเป็นนายหน้าเป็นปกติธุระหรือไม่ก็ตาม  หากต้องการประโยชน์คือบำเหน็จค่านายหน้าจากผู้ใดจะต้องมีสัญญากับผู้นั้นโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย  จะกระทำไปฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ตกลงรับรู้ด้วยอย่างใดแล้วมาอ้างว่าเป็นนายหน้าเรียกร้องเอาบำเหน็จย่อมไม่ได้อยู่เอง

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายเอกจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวน  3  หมื่นบาทให้แก่นายตรีหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายโทตกลงให้นายตรีเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายเอกพี่ชายโดยนายเอกไม่ได้มอบหมาย  จึงเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างนายโทกับนายตรี  นายตรีจึงไม่ใช่นายหน้าของนายเอก  ทั้งสองจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน  ดังนั้นแม้นายตรีจะจัดการพานายแก้วไปพบนายเอกและได้ทำสัญญาซื้อขายจนสำเร็จ  แต่เมื่อนายตรีไม่ใช่บุคคลที่นายเอกตั้งให้เป็นนายหน้าแล้ว  นายตรีย่อมไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จจากนายเอก  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  นายเอกจึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรี  (ฎ. 724/2540)

สรุป  นายเอกไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรี

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ  ต่อมามีนาย  ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์  โดยนาย  ข  ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย  ค  ไป  และนาย  ค  ได้วางเงินดาวน์ไว้  300,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1.1            นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

1.2            สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย  ข  ทำไป  มีผลเป็นเช่นไร

1.3            เงินดาวน์ที่นาย  ค  มอบให้ไว้กับนาย  ข  นั้น  นาย  ข  จะต้องโอนคืนตัวการหรือไม่  เพราะเหตุใด

1.4            หากนาย  ข  ไม่คืน  นาย  ก  ฟ้องนาย  ข  ให้คืน  นาย  ข  อ้างว่านาย  ก  ไม่มีสิทธิฟ้อง  เพราะนาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ  ดังนี้ข้ออ้างของนาย  ข  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ให้ท่านวินิจฉัยเป็นข้อๆ  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยทุกข้อ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ  และต่อมามีนาย ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์โดยได้วางเงินดาวน์ไว้  300,000  บาท  และนาย  ข  ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย ค  ไป  

1.1            ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการทำสัญญาให้เช่าซื้อนั้นเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  (มาตรา  572  วรรคสอง)  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาให้เช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  ตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของนาย  ก  ที่ให้นาย  ข  เป็นตัวแทนไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทำเป็นหนังสือ  จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา  798  วรรคแรก  ดังนั้นนาย  ข  จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

1.2            เมื่อนาย  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ  ดังนั้นเมื่อนาย  ข  ได้ไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับนาย  ค  สัญญาให้เช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  ที่มีหลักว่า  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

1.3            แม้การตั้งตัวแทนระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  จะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่เงินดาวน์ที่นาย  ข  รับไว้จากนาย  ค  300,000  บาทนั้น  เป็นเงินที่นาย  ข  รับไว้ในฐานะตัวแทนของนาย  ก  ซึ่งเป็นตัวการ  ดังนั้นนาย  ข  จึงต้องโอนคืนให้แก่ตัวการคือนาย  ก  ตามมาตรา  810  วรรคแรก

1.4            หากนาย  ข  ไม่โอนคืนเงิน  300,000  บาท  นั้นให้แก่นาย  ก  นาย  ก  ย่อมสามารถฟ้องให้นาย  ข  โอนคืนได้  การที่นาย  ข  อ้างว่า  นาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทน  มิได้ทำเป็นหนังสือตามมาตรา  798  วรรคแรกนั้น  ข้ออ้างของนาย  ข  ฟังไม่ขึ้น  เพราะระหว่างนาย  ก  ตัวการกับนาย  ข  ตัวแทนนั้น  แม้สัญญาตั้งตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  เพราะถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798

สรุป

1.1  นาย  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

1.2  สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย  ข  ทำไปมีผลเป็นโมฆะ

1.3  เงินดาวน์ที่นาย  ค  มอบให้ไว้กับนาย  ข  นั้น  นาย  ข  จะต้องโอนคืนตัวการ

1.4  ข้ออ้างของนาย  ข  ที่ว่าการตั้งตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย  1  หลัง  ในราคาที่แพงมาก  นาย  ก  ไม่อยากให้ใครรู้ว่านาย  ก  มีเงินมาก จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อนาย  ข  เป็นเจ้าของไปก่อน  หลังจากนั้น  3  ปี  นาย  ก  จึงให้นาย  ข  โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย  ก  นาย  ข  ไม่โอนให้โดยอ้างว่าบ้านเป็นชื่อของนาย  ข  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ข  จะต้องโอนบ้านให้นาย  ก  หรือไม่  และหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก  จะฟ้องให้นาย  ข  โอนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย  1  หลังให้แก่ตน  แต่นาย  ก  ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนมีเงินมาก  จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อของนาย  ข  เป็นเจ้าของไปก่อนนั้น  กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องของตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  โดยนาย  ก  ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อได้มอบหมายให้นาย  ข  ตัวแทน  ออกหน้าเป็นตัวการ  ดังนั้น  การที่นาย  ข  ได้ไปซื้อบ้านหลังดังกล่าว  แม้นาย  ข  จะได้ซื้อบ้านในนามของนาย  ข  เอง  แต่ก็เป็นการกระทำที่ได้รับมอบหมายจากนาย  ก  ให้กระทำแทนนาย  ก  และเมื่อนาย  ก  ต้องการให้นาย  ข  โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย  ก  นาย  ข  จึงต้องโอนบ้านหลังนั้นคืนให้แก่นาย  ก  ตามมาตรา  810  ซึ่งมีหลักว่า  เงินและทรัพย์สินที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น  ตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้นและหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก ย่อมสามารถฟ้องให้นาย  ข  โอนบ้านให้แก่ตนได้

สรุป  นาย  ข  จะต้องโอนบ้านให้นาย  ก  และหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก  ฟ้องให้นาย  ข  โอนได้

 

ข้อ  3  นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จ  แต่นาย  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  แต่นาย  ข  มาขายที่ดินได้ในเดือนมีนาคม  พ.ศ.2554  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ก  จะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าสัญญานายหน้านั้นมีการกำหนดระยะเวลาไว้เป็นที่แน่นอนว่านายหน้าจะต้องกระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้น  นายหน้าจะมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อได้กระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้นด้วย  (ฎ. 827/2523)

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จแต่นาย  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  นั้น  แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายที่ดินให้ได้ภายในสิ้นปี  พ.ศ.2553  และหากไม่มีการผ่อนเวลาย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง

ดังนั้นเมื่อภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  นาย  ข  ยังขายที่ดินไม่ได้โดยนาย  ข  มาขายได้เมื่อเดือนมีนาคม  พ.ศ.2554  จึงล่วงเลยเวลาที่ได้ตกลงกันไว้  เท่ากับว่า  นาย  ข  ขายที่ดินไม่ได้ตามระยะเวลาที่ตกลงไว้กับนาย  ก  จึงถือว่าสัญญานายหน้าดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว  นาย  ก  จึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข  ตามมาตรา  845 

สรุป  นาย  ก  ไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  ตกลงให้  ข  ทำการอย่างหนึ่งแทนตน  โดยให้  ข  ออกหน้าเป็นตัวการ  ข  ได้ทำการนั้นกับ  ค  โดย  ค  เข้าใจโดยสุจริตว่า  ข คือเจ้าของกิจการที่  ค  เข้ากระทำด้วย  ต่อมา  ค  ได้รับความเสียหายจาก  ข  ค  จึงฟ้อง  ข  ให้รับผิด  ข  ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทนทำแทน  ก  ตัวการได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  จากโจทย์ข้างต้นว่า  ภายหลังจาก  ค  ทำสัญญากับ  ข  แล้ว  ค  รู้ว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทน  และ  ก  เป็นตัวการ  เมื่อ  ค  ได้รับความเสียหายจาก  ข  ค  จะฟ้อง  ก  ให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดว่าตนตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ข้ออ้างของ  ก  ฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทน

ได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ตกลงให้  ข  ทำการอย่างหนึ่งแทนตนโดยให้ออกหน้าเป็นตัวการ  และ  ข  ได้ทำการนั้นกับ  ค  โดย  ค  เข้าใจโดยสุจริตว่า  ข  คือเจ้าของกิจการที่  ค  เข้ากระทำด้วยนั้น  ถือว่าเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  เมื่อ  ค บุคคลภายนอกไม่รู้ว่ามีตัวการ  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง  ดังนั้น  ข  จะปฏิเสธความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ตามมาตรา  806  (ฎ. 311/2523)

ส่วนอีกประการหนึ่ง  ภายหลังจากทำสัญญา  การที่  ค  รู้ว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทนของ  ก  เมื่อเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร  ดังนั้น  ข  ตัวแทน  จึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ค  จึงฟ้อง  ก  ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้  เพราะแม้ว่าการที่  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่บทบัญญัติมาตรา  806  เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  ข้ออ้างของ  ก  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ประการแรก  ข  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงตัวแทนทำแทน  ก  ตัวการไม่ได้  และประการที่สอง  ข้ออ้างของ  ก  ที่ว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นายแดงเปิดร้านขายทองรูปพรรณอยู่ที่ตลาดบางกะปิมาหลายสิบปีแล้ว  เมื่อวันที่  1  กันยายน  2553  นายดำได้นำทองรูปพรรณหนัก  100  บาท  ซึ่งได้รับมรดกจากมารดามาฝากนายแดงขายโดยตกลงจ่ายบำเหน็จให้แก่นายแดงร้อยละ  3  ซึ่งราคาซื้อขายทองคำเป็นไปตามราคาตลาดโลก  ในวันที่นำมาฝากขายราคาทองคำบาทละ  18,300  บาท  ต่อมาวันที่  10  กันยายน  2553  ราคาทองคำตามราคาตลาดโลกบาทละ  18,500  บาท  นายแดงจึงอยากซื้อทองรูปพรรณของนายดำที่นำมาฝากขายเพราะเห็นว่าราคาทองคำจะต้องขึ้นราคาสูงกว่า  18,500  บาท  ถ้าตนซื้อไว้คงจะได้กำไร  จึงได้โทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำ  นายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วก็ไม่ได้บอกปัดในทันทีที่ได้รับโทรศัพท์เพราะต้องการได้เงินจากการขายทองรูปพรรณ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าว  เกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และนายแดงจะคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายดำนำทองรูปพรรณไปฝากนายแดงขาย  ซึ่งนายแดงได้เปิดร้านขายทองรูปพรรณมาหลายสิบปีแล้วนั้น  ถือว่านายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา  833

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ต่อมาราคาทองคำได้เพิ่มสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  เมื่อนายแดงเห็นว่าราคาทองคำจะมีแนวโน้มสูงขึ้นจึงต้องการซื้อทองรูปพรรณของนายดำไว้เพื่อเก็งกำไร  ดังนี้นายแดงก็ย่อมสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนายแดงโทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำตัวการ  ซึ่งนายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วแต่มิได้บอกปัดในทันที  จึงถือว่านายดำได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนายแดงกับนายดำจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้นายแดงก็ยังคิดเอาบำเหน็จร้อยละ  3  จากนายดำเนื่องจากการซื้อขายของตนได้อีกด้วยตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว  และนายแดงสามารถคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้

 

ข้อ  3  หลังจากบิดาตาย  ที่ดินส่วนมรดกของบิดาก็ตกทอดแก่ทายาทคือมารดาและบุตรอีกสองคน  ซึ่งเข้ารับมรดกมีชื่อร่วมกันในโฉนดดังกล่าว  เมื่อต้องการขายที่ดินเพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน  มารดาก็จัดการขายที่ดินโดยให้ขาวเป็นนายหน้า  ในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบและการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วย  เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินได้แล้ว  บุตรสองคนไม่ยอมจ่ายค่านายหน้า  โดยอ้างว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้า  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลัก  สัญญานายหน้านั้น  ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว  นายหน้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามที่ตกลงกันไว้  ตามมาตรา  845  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มารดาจัดการขายที่ดิน  โดยให้ขาวเป็นนายหน้า  ซึ่งในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบ  และการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วยนั้น  ถือได้ว่าบุตรทั้งสองคนได้เชิดมารดาออกเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญานายหน้ากับขาวแล้วตามมาตรา  821

ดังนั้น  เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ถือว่าเป็นกรณีที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้าทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จ  ดังนั้นบุตรทั้งสองซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดร่วมกับมารดาซึ่งเป็นตัวแทนของตน  ในการจ่ายค่านายหน้าให้แก่นายขาวด้วยตามมาตรา  821  ประกอบมาตรา  845  วรรคแรก  ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนที่ว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้าจึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้านั้นฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนดังกล่าวฟังไม่ขึ้น 

WordPress Ads
error: Content is protected !!