LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า สอบซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551
 
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า
 
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 
ข้อ 1.   นายแดงได้มอบให้นายดำไปซื้อที่ดินแทนตน 1 แปลง ที่จังหวัดลพบุรี โดยมิได้ทำเป็นหนังสือ การมอบให้นายดำไปซื้อที่ดินในครั้งนี้ให้ใส่ชื่อนายดำเป็นผู้ซื้อ เพราะนายแดงไม่ต้องการให้ใครทราบว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว หลังจากซื้อที่ดินไปแล้วเป็นเวลา 3 ปี นายแดงต้องการที่ดินคืน จึงได้บอกกล่าวให้นายดำโอนที่ดินคืนให้แก่ตน แต่นายดำไม่ยอมโอนคืนให้  โดยอ้างว่าการมอบให้ตนไปซื้อที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของนายดำฟังขึ้นหรือไม่ และนายดำจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินคืนให้แก่นายแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
 
มาตรา 798 กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็น หนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย
 
มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอัน เขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่
 
มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น
 
อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น
 
วินิจฉัย  
 
  กิจการใดที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 798 แต่ถ้าตัวการไม่เปิดเผยชื่อตาม ป.พ.พ.มาตรา 806 ก็ไม่ต้องทำเป็นหนังสือตามมาตรา 798 เพราะมาตรา 806 เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798
 
ตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงมอบให้นายดำไปซื้อที่ดินแทนตนโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และให้ใส่ชื่อนายดำเป็นผู้ซื้อ เพราะไม่ต้องการให้ใครทราบว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ตัวการไม่เปิดเผยชื่อ (ตาม ป.พ.พ.มาตรา 806) เมื่อตัวการไม่เปิดเผยชื่อจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือมอบอำนาจระหว่างตัวการและตัวแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 798 
เมื่อนายแดงต้องการที่ดินคืน นายดำจะอ้างว่าการมอบให้ตนไปซื้อที่ดินมิได้ทำเป็นหนังสือ ข้ออ้างของนายดำจึงฟังไม่ขึ้น เพราะมิใช่เป็นการมอบให้ไปซื้อที่ดินในนามของนายแดงตัวการ แต่ให้ไปซื้อที่ดินในนามของนายดำตัวแทน จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งนายดำตัวแทนได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการ ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 810
 
ดังนั้น ข้ออ้างของนายดำจึงฟังไม่ขึ้นและนายดำต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินคืนให้แก่นายแดง
 
ข้อ 2.     ก. มอบให้ ข. ในการดำเนินกิจการเพื่อประมูลงานตึกเรียนใหม่ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และให้ ข. เป็นผู้ยื่นซองประกวดราคาค่าก่อสร้าง ข. ได้ออกค่าใช้จ่าย ค่าพาหนะ ในการติดต่อสอบถามราคา ค่าแรง ค่าของ เพื่อนำมาคำนวณราคาก่อสร้าง จนถึงวันประกวดราคา จะต้องมีเงินวางมัดจำซองตามที่ผู้เรียกประกวดราคากำหนด ข. กลับมาหา ก. เพื่อขอเงินวางมัดจำซอง  แต่ ก. บอกยังไม่มีให้ ข. ออกไปก่อน ข. ก็บอกว่าไม่มีเช่นกัน แต่ ก. ก็หาจ่ายเงินให้ ข. ไม่ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า
 
1)              ข. จะบอกเลิกการเป็นตัวแทน และขอค่าบำเหน็จจนถึงวันบอกเลิกได้หรือไม่
 
2)   ก. จะอ้างว่า ข. บอกเลิกในขณะที่ ก. ไม่สะดวก โดยจะทำให้ ก.ต้องเสียหาย เพราะ ก.จะไม่ได้งานสร้างมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
 
(ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ครบถ้วน)
 
ธงคำตอบ
มาตรา 815 ถ้าตัวแทนมีประสงค์ไซร้ ตัวการต้องจ่ายเงินทดรอง ให้แก่ตัวแทนตามจำนวนที่จำเป็น เพื่อทำการอันมอบหมายแก่ตัวแทนนั้น
 
มาตรา 803 ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ เว้นแต่จะได้มี ข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติ ต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ
 
มาตรา  827  ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเป็น ตัวแทนเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ
 
 คู่สัญญาฝ่ายซึ่งถอนตัวแทน หรือบอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาที่ ไม่สะดวกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง จะต้องรับผิดต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นในความ เสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น เว้นแต่ในกรณีที่เป็นความ จำเป็นอันมิอาจจะก้าวล่วงเสียได้
 
วินิจฉัย
 
 ตามปัญหา
 
1)     ข. จะบอกเลิกการเป็นตัวแทนเพราะทำงานไม่สะดวกได้ตามมาตรา 827 ว.แรก และขอบำเหน็จตามมาตรา 803 ได้จนถึงวันบอกเลิก
 
2)     ก. จะอ้างว่า ข. บอกเลิกในขณะที่ ก. ไม่สะดวกและทำให้เกิดความเสียหายตาม ป.พ.พ.มาตรา 827 ว.สอง ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความผิดของ ข. แต่เป็นความผิดของ ก. เอง ที่ว่า ข. ร้องขอให้ ก. ตัวการจ่ายเงินทดรอง ตัวการต้องจ่ายตาม ป.พ.พ.มาตรา 815
 
ข้อ 3.    ก. มีอาชีพเป็นนายหน้า มี ข. มาบอกว่าให้ ก. หาที่ดินทำเลดี ๆ สวย ๆ ให้สัก 6 ไร่ ติดถนน เพราะจะสร้างโรงงาน ก. เห็น ค. ติดป้ายว่า “ที่ดินแปลงนี้ขาย” ติดต่อโทร……….  ก. ได้โทรศัพท์คุยกับ ค. ว่าที่ดินมีกี่ไร่ ราคาไร่ละเท่าใด ถ้าเอาทั้งแปลงจะลดได้หรือไม่ หลังจากนั้น 3 วัน ก. ได้นำ ข. มาพบ ค. และทำการซื้อขาย และโอนกันเป็นที่เรียบร้อย หลังจากการซื้อขายเสร็จสิ้น ก. ได้มาขอค่านายหน้าจาก ค.  ค. ไม่ให้ โดย ค. อ้างว่าตนมิได้มอบหมายให้ ก. เป็นนายหน้า ก. ฟ้อง ค. เพื่อเรียกค่านายหน้า ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะสั่งให้ ค. จ่ายค่านายหน้าให้ ก. หรือไม่ เพราะอะไร
 
ธงคำตอบ
 
มาตรา 845  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้อง บำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
 
 นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไป ก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิ ได้ทำกันสำเร็จ
 
มาตรา 846 ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดย พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ ไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า
 
 ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกัน เป็นจำนวนตามธรรมเนียม
 
วินิจฉัย 
 

  ตามปัญหา เป็นเรื่องเป็นนายหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งตามหลักมาตรา 845 นั้น จะต้องมีการตกลงกันระหว่างผู้ขายกับนายหน้า จะต้องมีการมอบหมายให้เป็นนายหน้า และนายหน้าถึงจะเป็นผู้ชี้ช่องได้ และสุดท้าย ผู้ซื้อ ผู้ขาย ก็จะเข้าทำสัญญาต่อกัน จึงจะครบหน้าที่ของการเป็นนายหน้า ดังนั้น เมื่อ ก. ฟ้อง ค. เพื่อเรียกค่านายหน้า ศาลจะสั่งว่า ค. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าเพราะไม่มีการมอบหมายจาก ค. แต่ ก. ก็ต่อสู้ว่า แม้จะไม่ได้มอบหมายตามมาตรา 845 ก็น่าจะเป็นการมอบหมายโดยปริยายตามมาตรา 846 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า          แม้จำเป็นการกระทำโดยปริยายตามมาตรา 846 ก็ต้องมีการมอบหมายเช่นกัน ดังนั้น กรณีนี้ ก. เป็นนายหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียวตามฎีกาที่ 705/2505 ค. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้า

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  

ข้อ 1.  ก.มอบ ข. ให้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป แต่มิได้มีการมอบหมายกันเป็นหนังสือ และตัวการก็ไปเที่ยวยุโรป  ขณะที่ ก.ตัวการอยู่ยุโรปนั้น ทางบริษัทได้มีปัญหาเกิดขึ้นโดย ข.ตัวแทนได้ไปตรวจสอบความเรียบร้อย ปรากฏว่า ข.พบว่า มีลูกค้าบางรายของบริษัทยังมิได้ชำระหนี้ให้กับบริษัท เป็นเงินถึง 300,000 บาท  ข.ติดต่อ ก. ตัวการไม่ได้  และถ้าไม่ฟ้องลูกหนี้เสีย จะทำให้คดีขาดอายุความฟ้องร้อง  จะทำให้เรียกเก็บเงิน 300,000 บาทไม่ได้  ข.จึงตัดสินใจใช้เหตุฉุกเฉินตั้ง ค. เป็นตัวแทนช่วงเพื่อฟ้องคดี  ให้ท่านวินิจฉัยว่า การกระทำใด ๆ ที่ ค. ทำไปนั้น จะผูกพันตัวการหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วยมาตรา  801  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป  ท่านว่าจะทำกิจการใดๆ  ในทางจักการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง

แต่การอย่างจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่  คือ

(5)          ยื่นฟ้องต่อศาล

มาตรา  802  ในเหตุฉุกเฉิน  เพื่อป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทำการใดๆ  เช่นอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำ  ก็ย่อมมีอำนาจจะกระทำได้ทั้งสิ้น

มาตรา  814  ตัวแทนช่วงย่อมรับผิดโดยตรงต่อตัวการฉันใด  กลับกันก็ฉันนั้น 

วินิจฉัย

ตามปัญหา การมอบหมายให้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป ตามป.พ.พ. ม. 801 ก. มอบ ข. มิได้ทำเป็นหนังสือ ดังนั้นจึงถือว่า ก. มิได้มอบอำนาจทั่วไปให้ ข. โดยถูกต้องตามกฎหมายมาตรา 798

อีกทั้ง การที่ตัวแทนนั้นจะใช้เหตุฉุกเฉินได้ตาม ม. 802 ระหว่าง ก. กับ ข. หรือตัวการตัวแทนนั้นจะต้องเป็นตัวการตัวแทนกันก่อน คือ ต้องมีการมอบหมายเป็นตัวการตัวแทนเป็นหนังสือตาม ม. 798

ดังนั้น ข. จึงไม่มีอำนาจตั้ง ค. เป็นตัวแทนช่วงเพื่อฟ้องคดี และการใด ๆ ที่ ค. ตัวแทนช่วงทำไปจึงหาผูกพัน ก. ตัวการไม่ เพราะ ก. ฝ่าฝืน ม. 798

 

ข้อ 2.   นางดาราได้นำทองคำแท่งหนัก 20 บาท ไปฝากนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย  นางดาราได้ตกลงกับนายสมบูรณ์ว่า ถ้าขายทองคำแท่งได้จะให้บำเหน็จแก่นายสมบูรณ์ เป็นเงิน 3,000 บาท  ปรากฏว่าในวันที่ 6 ตุลาคม 2551  ราคาทองคำตามตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ 12,500 บาท นายสมบูรณ์เห็นว่าราคาทองคำลดลงต่ำกว่าราคาก่อนหน้านี้  ถ้าซื้อเก็บไว้ขายอาจจะได้กำไร   นายสมบูรณ์ต้องการซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง จึงได้โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อทองคำแท่งจากนางดารา เมื่อนางดาราได้รับคำบอกกล่าวแล้วแต่นิ่งเฉยเสีย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การขอซื้อทองคำแท่งของนายสมบูรณ์เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด  และนายสมบูรณ์มีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน 3,000 บาทหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย

 มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามอุทาหรณ์ นางดาราได้นำทองคำแท่งหนัก 20 บาท ไปฝากนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย  โดยตกลงจะให้บำเหน็จแก่นายสมบูรณ์เป็นเงิน 3,000 บาท การขายทองคำแท่งเป็นการขายตามราคาตลาดโลก ซึ่งนายสมบูรณ์ไม่มีสิทธิที่จะกำหนดราคาได้เอง นายสมบูรณ์เห็นว่า ราคาทองคำลดลงจึงมีสิทธิที่จะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวได้ตามราคาตลาดคือ ราคาบาทละ 12,500 บาท เมื่อนายสมบูรณ์แจ้งทางโทรศัพท์ให้นางดาราทราบว่าตนจะซื้อ เมื่อนางดาราได้รับคำบอกกล่าวแล้ว แต่นิ่งเฉยเสียไม่ได้บอกปัดในทันที ถือว่านางดาราซึ่งเป็นตัวการได้สนองรับการนั้นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 843 วรรคแรก

ดังนั้น สัญญาซื้อขายทองคำแท่งของนายสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว และนายสมบูรณ์ย่อมมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน 3,000 บาทด้วย เพราะตัวแทนค้าต่างแม้จะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง จะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 843 วรรคท้าย

 

ข้อ 3.   ก.ต้องการจะขายที่ดินจึงทำป้ายไปปิดไว้ว่า  “ที่ดินแปลงนี้ขาย  ติดต่อเบอร์โทร. ดังนี้ ……….. ข.ขับรถผ่านมาเห็นป้ายที่ ก.ติดไว้ที่ที่ดิน ข.นึกขึ้นได้ว่า ค.ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัท ข. ให้ช่วยหาที่ดินแถวบริเวณนี้  พอดีว่า ค.ต้องการจะสร้างโรงงาน  ข.จึงโทรติดต่อกับ ก.โดยถามว่า ที่ดินแปลงนี้มีกี่ไร่ ขายไร่ละเท่าไร ลดได้หรือไม่ และ ข.ก็วางสายไป  ต่อจากนั้นอีก 3  วัน  ข.นำ ค.มาพบ ก.เพื่อซื้อที่ดิน  ก.กับ ค.ตกลงซื้อขายกันและโอนกันในที่สุด  ข.มาขอค่านายหน้าจาก ก.  ก.ปฏิเสธ โดย ก.อ้างว่า  ก.มิได้ตกลงมอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า  ข.ฟ้อง ก. เพื่อเรียกค่านายหน้า  ศาลวินิจฉัยว่า เป็นกรณีที่ ข. โจทก์ทำไปฝ่ายเดียว โดย ก.จำเลยมิได้ตกลงรับรู้ด้วย  ข.เถียงว่า  การซื้อขายที่ดินเท่าที่ปฏิบัติกันทั่ว ๆ ไป  ก็เพื่อคาดหมายว่าจะได้ค่านายหน้า  จึงถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยาย

จากปัญหาข้อถกเถียงดังกล่าว  ถ้าท่านเป็นศาล จะวินิจฉัยให้โจทก์ได้บำเหน็จนายหน้าหรือไม่  ข้ออ้างของ ข. โจทก์ ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

ตามปัญหา ศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่า การกระทำของ ข. นั้นเป็นนายหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะ ก. มิได้มอบหมายให้เป็นนายหน้าและข้ออ้างของ ข. ที่ว่า น่าจะเป็นการตกลงโดยปริบายตาม ม. 846 ว. แรก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะเป็นการมอบหมายโดยปริยาย ก็ต้องมีการมอบหมายเช่นกัน ดังนั้น ข. จึงไม่ได้ค่านายหน้า

ข้ออ้างของ ข. ฟังไม่ขึ้นตามฎีกาที่ 705/2505

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  อุไรวรรณ  อยากออกเงินกู้เพื่อกินดอกเบี้ย  แต่ไม่อยากให้ใครทราบว่าเป็นเจ้าของเงิน  จึงมอบหมายให้สมชายเป็นผู้ออกเงินกู้แทน  แต่การตั้งตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  อุไรวรรณมาสะดุดพฤติกรรมของสมชายที่มักจะนำเงินที่ตนมอบไว้ใช้ในกิจการและเงินที่ผู้กู้ชำระไปใช้เป็นส่วนตัว  ทำให้เกิดความเสียหายต่อกิจการ  อุไรวรรณจึงนำเรื่องนี้มาปรึกษาท่านว่าจะต้องทำอย่างไร  ให้แนะนำ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอัน เขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  811  ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ  หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจกรรมของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย  ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

มาตรา  812  ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใดๆเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี  เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี  หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี  ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด

มาตรา 815 ถ้าตัวแทนมีประสงค์ไซร้ ตัวการต้องจ่ายเงินทดรอง ให้แก่ตัวแทนตามจำนวนที่จำเป็น เพื่อทำการอันมอบหมายแก่ตัวแทนนั้น

มาตรา  827  ตัวการจะถอนตัวแทน และตัวแทนจะบอกเลิกเป็น ตัวแทนเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ทุกเมื่อ

วินิจฉัยข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่อุไรวรรณว่า  โดยหลักแล้วกิจการใด  กฎหมายบังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ  หรือว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย  แต่กรณีนี้อุไรวรรณตัวการเจ้าหนี้เงินกู้ไม่อยากให้ใครทราบว่าตนเป็นเจ้าของเงิน  จึงมอบหมายให้สมชายเป็นผู้ออกเงินกู้แทน  แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวการและตัวแทนในกรณีนี้  อยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ  ตามมาตรา  806  ดังนั้นจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  798  คือ  ไม่ต้องทำสัญญาตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ  หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด (ฎ. 531/2537)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสมชายตัวแทนเอาเงินที่ตัวการมอบไว้ใช้ในกิจการ  ตามมาตรา  815  และเงินที่ผู้กู้ชำระให้แก่สมชายไปใช้เป็นการส่วนตัว  ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการอันพึงกระทำเนื่องในการเป็นตัวแทน  ซึ่งโดยหลักแล้วตัวแทนจะต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น  ตามมาตรา  810  วรรคแรก  สมชายจึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้  ตามมาตรา  811  ทั้งนี้หากตัวการได้รับความเสียหาย  ตัวการอาจเรียกให้ตัวแทนรับผิดได้  ตามมาตรา  812

นอกจากนี้อุไรวรรณตัวการมีสิทธิเรียกให้สมชายโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เป็นชื่อของตนได้  ตามมาตรา  810  วรรคสองประกอบมาตรา  806  และยังมีสิทธิถอนตัวแทน  ตามมาตรา  827  ได้อีกด้วย 

 

ข้อ  2  นายบูรพา  ผู้จัดการบริษัทบรรหารสินทรัพย์  จำกัด  ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน (เฉพาะอสังหาริมทรัพย์)  มาบริหาร  ผู้จัดการอยากได้ที่ดินแปลงสวยที่บริษัทซื้อมาเป็นของตนแต่เกรงข้อครหา  จึงมอบให้  นางแม้นมาศผู้เป็นภรรยามาซื้อ  ต่อมาเมื่อทางบริษัททราบจึงเรียกให้ผู้จัดการ  โอนที่ดินคืนบริษัท  นายบูรพาไม่ยอม  อ้างว่าไม่เกี่ยวกับตน  เป็นเรื่องของภรรยา  ตนเพียงแต่ให้ความยินยอมเท่านั้น  ข้ออ้างของนายบูรพาฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  805  ตัวแทนนั้น  เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ  จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่  เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

ตามปกติแล้ว  ตัวแทนจะต้องเข้าทำนิติกรรมแทนตัวการตามที่ได้รับมอบหมายนั้นกับบุคคลอื่นเท่านั้น  ดังนั้นกฎหมายจึงห้ามตัวแทนกระทำการดังต่อไปนี้

(1)  ตัวแทนไม่อาจเข้าทำนิติกรรมใดในนามของตัวการทำกับตนเอง  หรือในนามของตนเอง

(2) ตัวแทนไม่อาจเข้าทำนิติกรรมอันใดแทนตัวการกับตนเองในฐานะที่ตนเองเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกที่จะเข้าเป็นคู่สัญญา

แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่  2  ประการคือ  ตัวแทนนั้นได้รับความยินยอมจากตัวการแล้ว  หรือนิติกรรมนั้นเพื่อการชำระหนี้

กรณีตามอุทาหรณ์  จะเห็นว่าในการซื้อที่ดินนั้น  นางแม้นมาศเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจเฉพาะกาลจากนายบูรพา  ตามมาตรา  800  แต่เมื่อนายบูรพาผู้แทนบริษัท  ซึ่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยตัวการตัวแทนมาใช้บังคับโดยอนุโลมอยู่ในฐานะตัวแทนของบริษัทบรรหารสินทรัพย์  จำกัด  ย่อมต้องห้ามทำนิติกรรมกับบริษัทบรรหารสินทรัพย์ฯซึ่งเป็นตัวการโดยตรง  ตามมาตรา  805  แม้นายบูรพาจะให้นางแม้นมาศภรรยาเป็นผู้ซื้อก็ตาม  ก็ถือเป็นกรณีที่นายบูรพาตัวแทนบริษัทฯเข้าทำสัญญาซื้อที่ดินในนามของบริษัททำกับนายบูรพาเอง  โดยอาศัยนางแม้นมาศเป็นเครื่องมือ  เมื่อนายบูรพาไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัทฯซึ่งเป็นตัวการ  ย่อมถือว่าตัวแทนทำนอกขอบอำนาจ  สัญญานั้นย่อมไม่มีผลผูกพันบริษัทฯ  ตัวการ  ตามมาตรา  823  บริษัทฯมีสิทธิเรียกที่ดินคืนได้ (ฎ. 1966/2526)

ดังนั้น  ข้ออ้างของนายบูรพาที่ว่าไม่เกี่ยวกับตน  เป็นเรื่องของภรรยา  ตนเป็นเพียงแต่ให้ความยินยอมเท่านั้น  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของนายบูรพาฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  บัญชามอบหมายให้สุภาพ  นำที่ดิน  น.ส.3  จำนวนห้าสิบไร่  ไปจัดแบ่งเป็นแปลงแปลงละหนึ่งไร่  เพื่อขายโดยให้ค่านายหน้าร้อยละห้า  สุภาพดำเนินการจัดรูปถนนแบ่งแปลงได้สามสิบห้าแปลง  เสียค่าใช้จ่ายไปสามแสนบาท  เมื่อสุภาพเปิดจองมีคนนอกทำสัญญาจองกับตนครบหมดทุกแปลง  บัญชาเห็นที่ดินจัดรูปแล้วดูสวย  ตัดใจไม่ขาย  อยากทราบว่าสุภาพจะเรียกค่าใช้จ่ายและค่านายหน้าได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา 845  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทำกันสำเร็จ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  สุภาพจะเรียกค่าใช้จ่ายจากบัญชาตัวการได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่บัญชามอบหมายให้สุภาพนำที่ดิน  น.ส.3  ของตนจำนวน  50  ไร่  ไปจัดแบ่งเป็นแปลงๆละ 1 ไร่  เพื่อขาย  การจัดแบ่งแปลงที่ดินถือเป็นการมอบอำนาจเฉพาะการ  ตามมาตรา  800  เมื่อสุภาพได้ดำเนินการและเสียค่าใช้จ่ายไปในการจัดทำกิจการอันบัญชาตัวการมอบหมาย  ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็น  สุภาพมีสิทธิเรียกเอาเงินชดใช้จากบัญชาตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นได้ตามมาตรา  816  วรรคแรก

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  สุภาพเรียกค่าบำเหน็จจากการเป็นนายหน้าขายที่ดินของบัญชาได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่นายหน้าจะมีสิทธิเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าตามมาตรา  845  ได้นั้น  จะต้องปรากฏว่า

1       มีการตกลงว่าจะให้ค่านายหน้า

2       มีการชี้ช่องหรือจัดการให้มีการทำสัญญากัน

3       ต้องมีการเข้าทำสัญญากันสำเร็จ

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ที่ดินของบัญชานำมาแบ่งขายได้  35  แปลง  มีผู้มาจองซื้อแล้วครบทุกแปลงโดยได้ทำสัญญาจองกันไว้  แม้บัญชาจะตกลงว่าจะให้ค่านายหน้าแก่สุภาพ และสุภาพได้มีการชี้ช่องหรือจัดการให้มีการจองซื้อเพื่อจะได้ทำสัญญากันต่อไปก็ตาม  แต่สัญญาจองเป็นเพียงหนังสือแจ้งความประสงค์จะจองที่ดินที่จะขายเท่านั้น  ส่วนสัญญาซื้อขายจะได้ทำกันกับบัญชาอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างบัญชากับผู้ซื้อยังไม่ได้ทำกันสำเร็จเพราะบัญชาไม่ต้องการขายอีกต่อไป  ผลจากการชี้ช่องหรือจัดการของสุภาพที่ทำการเป็นนายหน้าจึงยังไม่เกิดขึ้น  สุภาพจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าบำเหน็จในการเป็นนายหน้าจากบัญชา  ตามมาตรา  845  (ฎ. 5335/2500)

สรุป  สุภาพมีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายได้  แต่เรียกค่าบำเหน็จนายหน้าไม่ได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1

ก.       มอบหมายให้  ข.  ไปกู้เงินโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ข.  ไปกู้เงิน  ค.  500,000  บาท  โดย  ข.  ทำสัญญาเงินกู้ไว้เป็นหลักฐานในฐานะผู้กู้  และเขียนในสัญญากู้ว่ากู้แทน  ก  ดังนี้  ถามว่า

(1)  ข  มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้หรือไม่  และถ้า  ข  ลงชื่อในสัญญากู้แล้ว  การกระทำของ  ข  เป็นอย่างไร

(2) การกระทำของ  ข  ผูกพันตัวการหรือไม่  ค  จะฟ้อง  ก  ให้รับผิดได้หรือไม่  เพราะในสัญญา  ข  เขียนว่ากู้แทน  ก

(3) พอสรุปได้ว่า  ค  จะฟ้องใครให้รับผิดชดใช้เงินกู้ครั้งนี้ระหว่าง  ก  และ  ข

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ 

(1)  การกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาทขึ้นไปนั้น  บทบัญญัติมาตรา  653  วรรคแรก  บังคับว่า  ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้  เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ก  มอบหมายให้  ข  ไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  เช่นนี้  ข  ย่อมไม่มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  798  วรรคสอง  ดังนั้นการที่  ข  ลงชื่อไปก็เท่ากับว่า  ข  ลงชื่อโดยปราศจากอำนาจตามมาตรา  823  วรรคแรก

(2)  เมื่อการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย  จึงมีผลเท่ากับว่าไม่มีการมอบหมายหรือตั้งตัวแทนให้ไปทำสัญญากู้ยืม  การที่  ข  ไปกู้ยืมเงิน  ค  สัญญากู้ยืมนั้นย่อมไม่ผูกพัน  ก  ตัวการแต่อย่างใด  เพราะเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น  แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถ้า  ก  ตัวการให้สัตยาบัน  สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็อาจผูกพัน  ก  ได้ตามมาตรา  823  วรรคแรกตอนท้าย  แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  ก  ให้สัตยาบันแก่การกู้ยืมเงินนั้น  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  บุคคลภายนอกโดยลำพังตนเองตามมาตรา  823  วรรคท้าย  แม้สัญญากู้ยืมจะระบุว่าเป็นการที่  ข  กู้แทน  ก  ก็ตาม

(3) เมื่อสัญญากู้ยืมไม่ผูกพัน  ก  และ  ข  ต้องรับผิดโดยลำพังแล้ว  ค  จึงมีสิทธิฟ้องเรียกให้  ข  รับผิดชดใช้เงินตามสัญญากู้ได้คนเดียวเท่านั้น  กรณีนี้ถือว่า  ข  อยู่ในฐานะคู่สัญญากู้ยืมเงินตามมาตรา  653  วรรคแรกโดยตรง

สรุป

(1)  ข.  ไม่มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้  ถ้าลงไปก็เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ

(2) การกระทำของ  ข  ไม่ผูกพันตัวการ  ค  ฟ้อง  ก  รับผิดไม่ได้

(3)   ค  ฟ้อง  ข  ให้รับผิดได้คนเดียวเท่านั้น

 

ข้อ  2  นายแดงเป็นเจ้าของกิจการเปิดร้านซื้อและขายรถยนต์ประเภทที่ใช้แล้วอยู่แถวถนนรัชดา  นายดำต้องการซื้อรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันในราคาไม่เกิน  300,000  บาท  จึงได้ตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่ต้องการซื้อกับนายแดง  และได้ตกลงกันว่าถ้าซื้อรถยนต์ได้แล้วจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายแดงเป็นจำนวนเงิน  20,000  บาท ต่อมานายแดงได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์ตามที่นายดำต้องการจากนายเขียวหนึ่งคันในราคา  290,000  บาท และนายเขียวได้นำรถยนต์มาส่งมอบให้แก่นายดำในวันที่  3  กันยายน  2552  แต่นายดำไม่ยอมชำระเงินค่ารถยนต์ให้แก่นายเขียว  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเขียวจะฟ้องนายแดงตัวแทนค้าต่างหรือฟ้องนายดำให้รับผิดในเงินจำนวนดังกล่าว  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  837  ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น  และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขาย  ทำการซื้อ  ทำกิจการค้าขายอย่างอื่นแทนตัวการตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว  ตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญาย่อมมีความผูกพันกันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นจนกว่าจะได้มีการปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว ดังนั้นหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญา  ตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกต้องว่ากล่าวกันเอง  โดยที่

(ก)    ถ้าบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ปฏิบัติผิดสัญญา  ตัวแทนค้าต่างย่อมฟ้องร้องบุคคลภายนอกได้

(ข)   ถ้าตัวแทนค้าต่างไม่ปฏิบัติตามสัญญา  บุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องร้องบังคับตัวแทนค้าต่างได้

ทั้งนี้เพราะบุคคลภายนอกกับตัวแทนค้าต่างเป็นคู่สัญญากันโดยตรง  หากบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาทราบว่าตัวแทนค้าต่างได้กระทำกิจการนั้นแทนตัวการแล้ว  บุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเรียกบังคับตัวการได้  และเป็นผลให้ตัวแทนค้าต่างที่ทำสัญญากับบุคคลภายนอกนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดทันที  หรือจะฟ้องบังคับได้ทั้งตัวการและตัวแทนค้าต่างได้ในคดีเดียวกัน

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อนายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างของนายดำได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์จากนายเขียวในนามของตนเองแทนนายดำตัวการ นายแดงตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะคู่สัญญาและย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อนายเขียวคู่สัญญานั้นด้วย  ตามมาตรา  837

ดังนั้น  เมื่อนายดำตัวการไม่ยอมชำระค่ารถยนต์จำนวน  290,000  บาทให้แก่นายเขียวบุคคลภายนอก  นายเขียวย่อมฟ้องร้องนายแดงตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวได้

สรุป  นายเขียวมีสิทธิฟ้องนายแดงตัวแทนค้าต่างให้รับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  นายเอกต้องการจะขายที่ดินของตนหนึ่งแปลงที่จังหวัดปทุมธานี  จึงได้บอกกับนายโทน้องชายว่า  ถ้าขายได้จะนำเงินไปซื้อตึกแถวหนึ่งห้องเพื่อให้คนเช่า  หลังจากนั้นนายเอกได้นำป้ายไปติดประกาศขายพร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์ในที่ดินแปลงดังกล่าว  ส่วนนายโทไม่ทราบว่านายเอกไปติดประกาศขายแต่อยากให้พี่ชายขายที่ดินได้จึงไปตกลงกับนายตรีให้เป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดิน  ถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จ  3  หมื่นบาท  ต่อมานายตรีได้จัดการพานายแก้วไปพบนายเอก  นายแก้วได้ตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา  4  ล้านบาท  และทั้งสองได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว  นายตรีจึงไปขอค่าบำเหน็จ  3  หมื่นบาทจากนายเอก  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเอกจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรีหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่  ฉะนั้น  ไม่ว่าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  จะหาประโยชน์จากการเป็นนายหน้าเป็นปกติธุระหรือไม่ก็ตาม  หากต้องการประโยชน์คือบำเหน็จค่านายหน้าจากผู้ใดจะต้องมีสัญญากับผู้นั้นโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย  จะกระทำไปฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ตกลงรับรู้ด้วยอย่างใดแล้วมาอ้างว่าเป็นนายหน้าเรียกร้องเอาบำเหน็จย่อมไม่ได้อยู่เอง

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายเอกจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวน  3  หมื่นบาทให้แก่นายตรีหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายโทตกลงให้นายตรีเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายเอกพี่ชายโดยนายเอกไม่ได้มอบหมาย  จึงเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างนายโทกับนายตรี  นายตรีจึงไม่ใช่นายหน้าของนายเอก  ทั้งสองจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน  ดังนั้นแม้นายตรีจะจัดการพานายแก้วไปพบนายเอกและได้ทำสัญญาซื้อขายจนสำเร็จ  แต่เมื่อนายตรีไม่ใช่บุคคลที่นายเอกตั้งให้เป็นนายหน้าแล้ว  นายตรีย่อมไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จจากนายเอก  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  นายเอกจึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรี  (ฎ. 724/2540)

สรุป  นายเอกไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรี

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ  ต่อมามีนาย  ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์  โดยนาย  ข  ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย  ค  ไป  และนาย  ค  ได้วางเงินดาวน์ไว้  300,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1.1            นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

1.2            สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย  ข  ทำไป  มีผลเป็นเช่นไร

1.3            เงินดาวน์ที่นาย  ค  มอบให้ไว้กับนาย  ข  นั้น  นาย  ข  จะต้องโอนคืนตัวการหรือไม่  เพราะเหตุใด

1.4            หากนาย  ข  ไม่คืน  นาย  ก  ฟ้องนาย  ข  ให้คืน  นาย  ข  อ้างว่านาย  ก  ไม่มีสิทธิฟ้อง  เพราะนาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ  ดังนี้ข้ออ้างของนาย  ข  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ให้ท่านวินิจฉัยเป็นข้อๆ  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยทุกข้อ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ  และต่อมามีนาย ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์โดยได้วางเงินดาวน์ไว้  300,000  บาท  และนาย  ข  ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย ค  ไป  

1.1            ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการทำสัญญาให้เช่าซื้อนั้นเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  (มาตรา  572  วรรคสอง)  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาให้เช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  ตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของนาย  ก  ที่ให้นาย  ข  เป็นตัวแทนไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทำเป็นหนังสือ  จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา  798  วรรคแรก  ดังนั้นนาย  ข  จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

1.2            เมื่อนาย  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ  ดังนั้นเมื่อนาย  ข  ได้ไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับนาย  ค  สัญญาให้เช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  ที่มีหลักว่า  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

1.3            แม้การตั้งตัวแทนระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  จะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่เงินดาวน์ที่นาย  ข  รับไว้จากนาย  ค  300,000  บาทนั้น  เป็นเงินที่นาย  ข  รับไว้ในฐานะตัวแทนของนาย  ก  ซึ่งเป็นตัวการ  ดังนั้นนาย  ข  จึงต้องโอนคืนให้แก่ตัวการคือนาย  ก  ตามมาตรา  810  วรรคแรก

1.4            หากนาย  ข  ไม่โอนคืนเงิน  300,000  บาท  นั้นให้แก่นาย  ก  นาย  ก  ย่อมสามารถฟ้องให้นาย  ข  โอนคืนได้  การที่นาย  ข  อ้างว่า  นาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทน  มิได้ทำเป็นหนังสือตามมาตรา  798  วรรคแรกนั้น  ข้ออ้างของนาย  ข  ฟังไม่ขึ้น  เพราะระหว่างนาย  ก  ตัวการกับนาย  ข  ตัวแทนนั้น  แม้สัญญาตั้งตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  เพราะถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798

สรุป

1.1  นาย  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

1.2  สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย  ข  ทำไปมีผลเป็นโมฆะ

1.3  เงินดาวน์ที่นาย  ค  มอบให้ไว้กับนาย  ข  นั้น  นาย  ข  จะต้องโอนคืนตัวการ

1.4  ข้ออ้างของนาย  ข  ที่ว่าการตั้งตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย  1  หลัง  ในราคาที่แพงมาก  นาย  ก  ไม่อยากให้ใครรู้ว่านาย  ก  มีเงินมาก จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อนาย  ข  เป็นเจ้าของไปก่อน  หลังจากนั้น  3  ปี  นาย  ก  จึงให้นาย  ข  โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย  ก  นาย  ข  ไม่โอนให้โดยอ้างว่าบ้านเป็นชื่อของนาย  ข  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ข  จะต้องโอนบ้านให้นาย  ก  หรือไม่  และหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก  จะฟ้องให้นาย  ข  โอนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย  1  หลังให้แก่ตน  แต่นาย  ก  ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนมีเงินมาก  จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อของนาย  ข  เป็นเจ้าของไปก่อนนั้น  กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องของตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  โดยนาย  ก  ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อได้มอบหมายให้นาย  ข  ตัวแทน  ออกหน้าเป็นตัวการ  ดังนั้น  การที่นาย  ข  ได้ไปซื้อบ้านหลังดังกล่าว  แม้นาย  ข  จะได้ซื้อบ้านในนามของนาย  ข  เอง  แต่ก็เป็นการกระทำที่ได้รับมอบหมายจากนาย  ก  ให้กระทำแทนนาย  ก  และเมื่อนาย  ก  ต้องการให้นาย  ข  โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย  ก  นาย  ข  จึงต้องโอนบ้านหลังนั้นคืนให้แก่นาย  ก  ตามมาตรา  810  ซึ่งมีหลักว่า  เงินและทรัพย์สินที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น  ตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้นและหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก ย่อมสามารถฟ้องให้นาย  ข  โอนบ้านให้แก่ตนได้

สรุป  นาย  ข  จะต้องโอนบ้านให้นาย  ก  และหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก  ฟ้องให้นาย  ข  โอนได้

 

ข้อ  3  นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จ  แต่นาย  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  แต่นาย  ข  มาขายที่ดินได้ในเดือนมีนาคม  พ.ศ.2554  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ก  จะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าสัญญานายหน้านั้นมีการกำหนดระยะเวลาไว้เป็นที่แน่นอนว่านายหน้าจะต้องกระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้น  นายหน้าจะมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อได้กระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้นด้วย  (ฎ. 827/2523)

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จแต่นาย  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  นั้น  แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายที่ดินให้ได้ภายในสิ้นปี  พ.ศ.2553  และหากไม่มีการผ่อนเวลาย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง

ดังนั้นเมื่อภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  นาย  ข  ยังขายที่ดินไม่ได้โดยนาย  ข  มาขายได้เมื่อเดือนมีนาคม  พ.ศ.2554  จึงล่วงเลยเวลาที่ได้ตกลงกันไว้  เท่ากับว่า  นาย  ข  ขายที่ดินไม่ได้ตามระยะเวลาที่ตกลงไว้กับนาย  ก  จึงถือว่าสัญญานายหน้าดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว  นาย  ก  จึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข  ตามมาตรา  845 

สรุป  นาย  ก  ไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  ตกลงให้  ข  ทำการอย่างหนึ่งแทนตน  โดยให้  ข  ออกหน้าเป็นตัวการ  ข  ได้ทำการนั้นกับ  ค  โดย  ค  เข้าใจโดยสุจริตว่า  ข คือเจ้าของกิจการที่  ค  เข้ากระทำด้วย  ต่อมา  ค  ได้รับความเสียหายจาก  ข  ค  จึงฟ้อง  ข  ให้รับผิด  ข  ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทนทำแทน  ก  ตัวการได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  จากโจทย์ข้างต้นว่า  ภายหลังจาก  ค  ทำสัญญากับ  ข  แล้ว  ค  รู้ว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทน  และ  ก  เป็นตัวการ  เมื่อ  ค  ได้รับความเสียหายจาก  ข  ค  จะฟ้อง  ก  ให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดว่าตนตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ข้ออ้างของ  ก  ฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทน

ได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ตกลงให้  ข  ทำการอย่างหนึ่งแทนตนโดยให้ออกหน้าเป็นตัวการ  และ  ข  ได้ทำการนั้นกับ  ค  โดย  ค  เข้าใจโดยสุจริตว่า  ข  คือเจ้าของกิจการที่  ค  เข้ากระทำด้วยนั้น  ถือว่าเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  เมื่อ  ค บุคคลภายนอกไม่รู้ว่ามีตัวการ  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง  ดังนั้น  ข  จะปฏิเสธความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ตามมาตรา  806  (ฎ. 311/2523)

ส่วนอีกประการหนึ่ง  ภายหลังจากทำสัญญา  การที่  ค  รู้ว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทนของ  ก  เมื่อเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร  ดังนั้น  ข  ตัวแทน  จึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ค  จึงฟ้อง  ก  ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้  เพราะแม้ว่าการที่  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่บทบัญญัติมาตรา  806  เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  ข้ออ้างของ  ก  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ประการแรก  ข  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงตัวแทนทำแทน  ก  ตัวการไม่ได้  และประการที่สอง  ข้ออ้างของ  ก  ที่ว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นายแดงเปิดร้านขายทองรูปพรรณอยู่ที่ตลาดบางกะปิมาหลายสิบปีแล้ว  เมื่อวันที่  1  กันยายน  2553  นายดำได้นำทองรูปพรรณหนัก  100  บาท  ซึ่งได้รับมรดกจากมารดามาฝากนายแดงขายโดยตกลงจ่ายบำเหน็จให้แก่นายแดงร้อยละ  3  ซึ่งราคาซื้อขายทองคำเป็นไปตามราคาตลาดโลก  ในวันที่นำมาฝากขายราคาทองคำบาทละ  18,300  บาท  ต่อมาวันที่  10  กันยายน  2553  ราคาทองคำตามราคาตลาดโลกบาทละ  18,500  บาท  นายแดงจึงอยากซื้อทองรูปพรรณของนายดำที่นำมาฝากขายเพราะเห็นว่าราคาทองคำจะต้องขึ้นราคาสูงกว่า  18,500  บาท  ถ้าตนซื้อไว้คงจะได้กำไร  จึงได้โทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำ  นายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วก็ไม่ได้บอกปัดในทันทีที่ได้รับโทรศัพท์เพราะต้องการได้เงินจากการขายทองรูปพรรณ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าว  เกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และนายแดงจะคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายดำนำทองรูปพรรณไปฝากนายแดงขาย  ซึ่งนายแดงได้เปิดร้านขายทองรูปพรรณมาหลายสิบปีแล้วนั้น  ถือว่านายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา  833

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ต่อมาราคาทองคำได้เพิ่มสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  เมื่อนายแดงเห็นว่าราคาทองคำจะมีแนวโน้มสูงขึ้นจึงต้องการซื้อทองรูปพรรณของนายดำไว้เพื่อเก็งกำไร  ดังนี้นายแดงก็ย่อมสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนายแดงโทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำตัวการ  ซึ่งนายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วแต่มิได้บอกปัดในทันที  จึงถือว่านายดำได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนายแดงกับนายดำจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้นายแดงก็ยังคิดเอาบำเหน็จร้อยละ  3  จากนายดำเนื่องจากการซื้อขายของตนได้อีกด้วยตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว  และนายแดงสามารถคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้

 

ข้อ  3  หลังจากบิดาตาย  ที่ดินส่วนมรดกของบิดาก็ตกทอดแก่ทายาทคือมารดาและบุตรอีกสองคน  ซึ่งเข้ารับมรดกมีชื่อร่วมกันในโฉนดดังกล่าว  เมื่อต้องการขายที่ดินเพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน  มารดาก็จัดการขายที่ดินโดยให้ขาวเป็นนายหน้า  ในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบและการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วย  เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินได้แล้ว  บุตรสองคนไม่ยอมจ่ายค่านายหน้า  โดยอ้างว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้า  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลัก  สัญญานายหน้านั้น  ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว  นายหน้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามที่ตกลงกันไว้  ตามมาตรา  845  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มารดาจัดการขายที่ดิน  โดยให้ขาวเป็นนายหน้า  ซึ่งในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบ  และการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วยนั้น  ถือได้ว่าบุตรทั้งสองคนได้เชิดมารดาออกเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญานายหน้ากับขาวแล้วตามมาตรา  821

ดังนั้น  เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ถือว่าเป็นกรณีที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้าทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จ  ดังนั้นบุตรทั้งสองซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดร่วมกับมารดาซึ่งเป็นตัวแทนของตน  ในการจ่ายค่านายหน้าให้แก่นายขาวด้วยตามมาตรา  821  ประกอบมาตรา  845  วรรคแรก  ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนที่ว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้าจึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้านั้นฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนดังกล่าวฟังไม่ขึ้น 

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ออกหน้าขายส่งน้ำมันปาล์ม  มีหน้าที่ส่งน้ำมันปาล์มให้กับลูกค้า  มีลูกค้าหลายรายสั่งน้ำมันปาล์มเข้ามาเป็นจำนวนมาก  มี  ค  เป็นลูกค้ารายหนึ่งสั่งน้ำมันเป็นจำนวนมาก  ค  กลัวไม่ได้น้ำมันเพราะขณะนี้น้ำมันขาดแคลน  จึงส่งเงินให้มาก่อนที่จะได้รับน้ำมัน  เพราะ  ค  ก็มีลูกค้าของตนเป็นจำนวนมากเช่นกัน  ผลปรากฏว่า  ข  ไม่ส่งน้ำมันให้  ค  ตามกำหนด  ต้องโดนลูกค้าบอกเลิกไม่สั่งน้ำมันกับ  ค  อีก  ทำให้  ค  เสียหาย  ดังนี้  ค  จะฟ้อง  ข  ให้รับผิดในความเสียหายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  จากตัวอย่างข้างต้น  ถ้า  ค  ทราบว่า  แท้ที่จริงธุรกิจน้ำมันนั้นไม่ใช่  ข  เป็นเจ้าของ  แต่กลับเป็น  ก  เจ้าของ  ดังนี้  ค  จะฟ้องให้  ก  รับผิดในความเสียหายได้หรือไม่  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ออกหน้าขายส่งน้ำมันปาล์ม  ซึ่งจากพฤติการณ์ทำให้บุคคลภายนอกเชื่อว่า  ข  เป็นตัวการนั้น  ถือเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  เมื่อ  ค  บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายและไม่รู้ว่ามีตัวการ  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง  ดังนั้น  ค  จึงสามารถฟ้อง  ข  ให้รับผิดในความเสียหายได้  ข  จะปฏิเสธว่าตนเป็นเพียงตัวแทนเพื่อไม่ต้องรับผิดไม่ได้ตามมาตรา  806  (ฎ. 311/2523)

ส่วนอีกประการหนึ่งนั้น  ถ้า  ค  ทราบว่าแท้จริงธุรกิจน้ำมันไม่ใช่  ข  เป็นเจ้าของ  แต่กลับเป็น  ก  เป็นเจ้าของ  เมื่อเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร  ดังนั้น  ข  ตัวแทนจึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ค  จึงฟ้อง  ก  ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  และ  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้  เพราะบทบัญญัติมาตรา  806  เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798

สรุป  ประการแรก  ค  ฟ้อง  ข  ให้รับผิดในความเสียหายได้  และประการที่สอง  ค  ฟ้อง  ก  ให้รับผิดในความเสียหายได้  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มิอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้

 

ข้อ  2  นายแดงเปิดร้านขายรถยนต์มือสองเป็นอาชีพอยู่ที่ถนนลาดพร้าว  นายดำได้นำรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันไปฝากนายแดงขายโดยกำหนดให้ขายในราคาคันละ  300,000  บาท  และตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายแดงเป็นจำนวนเงิน  20,000  บาท  ปรากฏว่านายแดงได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคา  350,000  บาท  แต่ไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่นายดำโดยนำเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายส่วนตัวเสีย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแดงจะต้องรับผิดชอบต่อนายดำอย่างไร  เพราะเหตุใด

และอีกกรณีหนึ่ง  ถ้านายแดงได้นำเงินไปมอบให้แก่นายดำเพียง  300,000  บาท  ตามที่นายดำกำหนด  ส่วนอีก  50,000  บาท  ได้นำไปใช้จ่ายส่วนตนเสีย  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของนายแดงถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  811  ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ  หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจกรรมของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย  ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา  835  บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น  ท่านให้ใช้บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้

มาตรา  840  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  หรือทำการซื้อได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดไซร้  ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายดำได้นำรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันไปฝากนายแดงขายในราคาคันละ  300,000  บาท  ซึ่งนายแดงได้เปิดร้านขายรถยนต์มือสองเป็นอาชีพนั้น  ถือว่านายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา  833

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายแดงได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคา  350,000  บาท  แต่ไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่นายดำ  กรณีจึงต้องนำบทบัญญัติเรื่องตัวแทนมาบังคับใช้กับตัวแทนค้าต่างโดยอนุโลมตามมาตรา  835  กล่าวคือ  นายแดงจะต้องนำเงินจำนวน  350,000  บาท  ซึ่งได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น  ส่งให้แก่ตัวการจงสิ้นตามมาตรา  810  แต่เมื่อปรากฏว่านายแดงตัวแทนค้าต่างได้นำเงินของนายดำตัวการซึ่งควรจะได้ส่งแก่นายดำตัวการไปใช้จ่ายส่วนตัวเสีย  นายแดงตัวแทนค้าต่างจึงต้องรับผิดคือต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นให้กับนายดำตัวการนับแต่วันที่ได้เอาเงินไปใช้ตามมาตรา  811

และอีกกรณีหนึ่ง  ถ้านายแดงได้นำเงินไปมอบให้แก่นายดำเพียง  300,000  บาท  ตามที่นายดำกำหนด  ส่วนอีก  50,000  บาท  ได้นำไปใช้จ่ายส่วนตนเสีย  การกระทำของนายแดงย่อมไม่ถูกต้องเพราะถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  ตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการตามมาตรา  840  ดังนั้น  นายแดงจึงต้องนำเงินจำนวน  50,000  บาท คืนให้แก่นายดำตัวการ  จะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้

สรุป  กรณีแรกนายแดงจะต้องรับผิดชอบต่อนายดำคือต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นให้กับนายดำ  นับแต่วันที่ได้เอาเงินไปใช้  และกรณีที่สองการกระทำของนายแดงไม่ถูกต้องตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  3  ก  มอบให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนในราคาสิบล้านบาท  โดยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละสาม  ข  พาผู้สนใจมาดูที่ดินหลายคน  รวมทั้ง  ค  ด้วย  ก็ยังไม่มีการตกลงซื้อขายเพราะต่างเห็นว่าราคาที่ดินสูงไป  ต่อมา  ค  ไปพบ  ก  เสนอร่วมทุนกันทำตลาดนัดเพราะทำเลดี  โดยให้  ก  ลงทุนฝ่ายที่ดิน  ส่วน  ค  เป็นผู้สร้างอาคารร้านค้าและดำเนินการหาผู้มาค้าขาย  นำกำไรมาแบ่งกัน  ซึ่ง  ก  ก็ตกลงด้วยในการทำตลาดนัดดังกล่าว  อยากทราบว่า  ก  จะต้องจ่ายค่านายหน้าให้  ข  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  หากสัญญานายหน้านั้นมีวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่นใด  เช่น  ตกลงกันว่าให้นำทรัพย์สินไปขาย  หรือให้นำไปเช่า  นายหน้าจะมีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินของตน  และ  ข  ได้พาผู้สนใจมาดูที่ดินหลายคน  รวมทั้ง  ค  ด้วย  แต่ยังไม่มีการตกลงซื้อขายที่ดินกันนั้น  เมื่อปรากฏว่าต่อมา  ค  ไปพบ  ก  และ  เสนอร่วมทุนกันทำตลาดนัดเพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในทำเลดี  กรณีนี้ถึงแม้  ข  จะเป็นผู้มีส่วนทำให้  ค  ได้พบกับ  ก  และได้มีการร่วมทุนทำตลาดนัดกับ  ก  แต่การตกลงทำสัญญาร่วมทุนกันดังกล่าวถือเป็นเรื่องนอกกรอบวัตถุประสงค์ของสัญญานายหน้าที่ตกลงกันว่าให้นายหน้านำที่ดินออกขาย  ดังนั้น  ข  นายหน้าจึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าตามมาตรา  845  วรรคแรก  ก  จึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้กับ  ข

สรุป  ก  ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้  ข  ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบอำนาจให้  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบอำนาจเป็นหนังสือมี  ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์  ข  จึงทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์ไปกับ  ค  และ  ค  ได้วางเงินดาวน์ไว้  200,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1       ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เพราะเหตุใด

2       สัญญาที่  ข  ทำไปกับ  ค  นั้น  ผลจะเป็นเช่นไร  เพราะเหตุใด

3       เงินดาวน์ที่  ข  รับไว้  จาก  ค  นั้น  ข  จะต้องโอนคืนให้กับ  ก  ตัวการหรือไม่  และถ้า  ข  ไม่โอน  ก  ฟ้อง  ข  ให้โอน  ข  จะต่อสู้ว่า  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

1       ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการทำสัญญาให้

เช่าซื้อนั้นเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  572  วรรคสอง  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาให้เช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  ตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของ  ก  ที่ให้  ข  เป็นตัวแทนไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทำเป็นหนังสือ  จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา  798  วรรคแรก  ดังนั้น  ข  จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

2       เมื่อ  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ  ดังนั้นเมื่อ  ข  ได้ไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับ  ค  สัญญาให้เช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  ที่มีหลักว่าการใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

3       แม้การตั้งตัวแทนระหว่าง  ก  กับ  ข  จะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่เงินดาวน์ที่  ข  รับไว้จาก  ค  200,000  บาทนั้น  ข  รับไว้ในฐานะตัวแทนของ  ก  ซึ่งเป็นตัวการ  ดังนั้น  ข  จึงต้องโอนคืนให้แก่ตัวการคือ  ก  ตามมาตรา  810  วรรคแรก

และถ้า  ข  ไม่โอนเงิน  200,000  บาท  คืนให้แก่  ก  ก  ย่อมสามารถฟ้องให้  ข  โอนคืนได้  และ  ข  จะต่อสู้ว่า  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้  เพราะระหว่าง  ก  กับ  ข  นั้นเป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทน  ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  แม้การตั้งตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือ  ตัวการก็ฟ้องบังคับคดีได้

สรุป

1       ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

2       สัญญาที่  ข  ทำไปกับ  ค  มีผลเป็นโมฆะ

3       เงินดาวน์ที่  ข  รับไว้จาก  ค  นั้น  ข  จะต้องโอนคืนให้กับ  ก  ตัวการ  และถ้า  ข ไม่โอน  ก  ฟ้อง  ข  ให้โอน  ข  จะต่อสู้ว่า ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้

 

ข้อ  2  ก  มอบ  ข  ให้ซื้อเรือยอร์จในราคา  30  ล้านบาท  โดยให้เงิน  ข  ไป  30  ล้านบาท  แต่พอไปถึงที่ขายเรือยอร์จ  ราคาขึ้นเป็น  32  ล้านบาท  ก  จึงให้  ข  ออกเงินแทนไป  2  ล้านบาท  เมื่อ  ข  นำเรือมาถึงบ้านจึงให้  ก  มารับเรือไป  รวมทั้งให้  ก  นำเงินมาชำระ  2  ล้านบาทด้วย  ก  มาถึงจะขอเรือไปก่อนเงิน  2  ล้าน  ขอติดไว้ก่อน  ข  ไม่ยอมให้เรือไป  ดังนี้  ถ้า  ข  ตัวแทนเลือกวิธีขอยึดหน่วงเรือไว้ก่อนยังไม่โอนเรือไปให้  ก  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1       ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  จะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนหรือไม่

2       และถ้า  ข  ยึดหน่วงเรือไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ยังจะฟ้อง  ก  ให้รับผิดชำระหนี้ที่  ข  ทดรองจ่ายไป  2  ล้านได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  248  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  193/27  การใช้สิทธิยึดหน่วงหาทำให้อายุความแห่งหนี้สะดุดหยุดลงไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  819  ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ  ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน  เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

1       ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  การที่  ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  จะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนหรือไม่  เห็นว่า  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ไปซื้อเรือยอร์จ  และ  ข  ได้ออกเงินแทนไป  2  ล้านบาทนั้น  ถือเป็นกรณีที่ตัวแทนออกเงินทดรองจ่ายแทนตัวการไปในการทำกิจการที่ตัวการมอบหมายตามมาตรา  816  วรรคแรก  ซึ่งตัวแทนสามารถเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยได้  ดังนั้น  เมื่อ  ข  ตัวแทนยังไม่ได้รับการชำระเงินจำนวนดังกล่าว  จึงมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการ  คือ  เรือยอร์จ  ซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนไว้ได้  จนกว่าจะได้รับเงินที่  ก  ตัวการค้างชำระแก่ตนตามมาตรา  819  ดังนั้น  การที่  ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  จึงไม่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนตามมาตรา  810  วรรคแรก

 2       เมื่อ  ข  มีสิทธิยึดหน่วงเรือของ  ก  ไว้แล้ว  การที่  ข  ใช้สิทธิยึดหน่วงเรือไว้นั้นย่อมไม่ทำให้อายุความแห่งหนี้ที่  ก  ค้างชำระแก่  ข  สะดุดหยุดลงตามมาตรา  248  และถึงแม้ว่า  ข  จะยึดหน่วงเรือไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ก็ยังสามารถฟ้อง ก  ให้รับผิดชำระหนี้ที่  ข  ทดรองจ่ายไป  2  ล้านได้ตามมาตรา  193/27  ที่มีหลักว่า  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ตนได้ยึดไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่ได้ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

สรุป 

1       การที่  ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  ไม่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทน

2       และถ้า  ข  ยึดหน่วงเรือไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ก็ยังสามารถฟ้อง  ก  ให้รับผิดชำระหนี้ที่  ข  ทดรองจ่ายไป  2  ล้านได้

 

ข้อ  3  ก  มอบให้  ข  ขายที่ดินบอกว่าจะให้บำเหน็จ  ข  ขายที่ดินได้  ก  ให้บำเหน็จร้อยละ  2  ข  ไม่ยอมรับบอกว่า  ก  ให้น้อยไป  ข  อยากได้ร้อยละ  5  ก  ไม่ให้  ข  จึงนำคดีขึ้นสู่ศาล  เพื่อให้ศาลตัดสินว่าจะให้กี่เปอร์เซ็น  และถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะวินิจฉัยโดยใช้หลักกฎหมายใดเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณา  และจะได้ร้อยละเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  846  วรรคสอง  ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกัน เป็นจำนวนตามธรรมเนียม

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  ในกรณีที่ได้มีการตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จนายหน้า  แต่มิได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ตามมาตรา  846  วรรคสอง  ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา  ดังนั้นค่าบำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันจะต้องกำหนดไว้โดยชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม  ตามบทบัญญัติมาตรา  846  วรรคสอง

ทั้งนี้คำพิพากษาฎีกาที่  3581/2526  วางหลักของจำนวนตามธรรมเนียมตามนัยมาตรา  846  วรรคสองว่า  เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกำหนดค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน  จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่างๆ  ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคิดกันในอัตราร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ว่าจะต้องจ่ายเท่าใด  จึงต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมตามมาตรา  846  วรรคสอง ประกอบแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3581/2526  คือ  ต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันจริง

ดังนั้น  เมื่อไม่อาจตกลงกันได้ว่าจะจ่ายค่าบำเหน็จกันเท่าใดแน่นอน  การที่  ข  อยากได้บำเหน็จร้อยละ  5  จึงนำคดีขึ้นสู่ศาลนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งให้  ก  จ่ายบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันจริงตามหลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้น

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยโดยใช้หลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้นในการพิจารณา  และ  ข  จะได้บำเหน็จร้อยละ  5

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อที่ดิน  ข  ซื้อที่ดินของตนเองโดยตัวการมิได้ยินยอมด้วย  โดย  ก  ตกลงให้  ข  ซื้อที่ดินครั้งนี้ว่าจะให้บำเหน็จ กรณีหนึ่ง

 อีกกรณีหนึ่ง  ก  มอบ  ข  ให้เป็นผู้จัดการร้านค้าสะดวกซื้อ  นอกจากเป็นผู้จัดการแล้ว

ยังให้  ข  มีหน้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านด้วย  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ทั้ง  2  กรณี  ก  ตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น  กรณีใดจะใช้หลักมาตราใดในการให้บำเหน็จ

ธงคำตอบหลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  803  ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ  หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ

มาตรา  805  ตัวแทนนั้น  เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ  จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่  เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

มาตรา  818  การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทำมิชอบในส่วนนั้น  ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บำเหน็จ

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  803  โดยหลักแล้วตัวแทนไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันระหว่างตัวการกับตัวแทนว่ามีบำเหน็จ  แต่อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว  ตัวแทนก็อาจจะไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เช่น  หากตัวแทนกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  805  ตัวแทนย่อมไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เพราะถือว่าเป็นการทำมิชอบตามมาตรา  818

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย  2  กรณี  คือ

กรณีแรก  จะใช้หลักมาตราใดในการพิจารณาให้บำเหน็จ  เห็นว่า  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ไปซื้อที่ดินนั้น  ถือเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำการเพียงอย่างเดียว  กรณีนี้จึงต้องใช้หลักมาตรา  803  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ  และเมื่อปรากฏว่า  ก  ตัวการตกลงจะให้บำเหน็จแก่  ข  ตัวแทน  ขอ  ก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จ  หากว่า  ข  ทำการที่  ก  มอบหมาย  คือ  ไปซื้อที่ดินได้สำเร็จ

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ข  ซื้อที่ดินของตนเอง  โดยที่  ก  ตัวการมิได้ยินยอมด้วย  จึงเป็นการที่  ข  ตัวแทนทำนิติกรรมในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง  อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  805  ดังนั้น  ข  จึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามมาตรา  818  ที่ว่าการใดตัวแทนทำมิชอบจะไม่ได้บำเหน็จ

กรณีที่สอง  จะใช้หลักมาตราใดในการพิจารณาให้บำเหน็จ  เห็นว่า  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  เป็นผู้จัดการร้านค้าสะดวกซื้อ  และยังให้  ข  มีหน้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านด้วย  โดย  ก  ตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น  ถือเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำการมากกว่า  1  อย่างขึ้นไป  คือ  เป็นกรณีที่กิจการที่มอบหมายนั้นแบ่งออกได้เป็นหลายส่วนนั่นเอง  กรณีนี้จึงต้องใช้หลักมาตรา  818  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ กล่าวคือ  แม้ว่า  ข  จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จ  แต่หาก  ข  ตัวแทนทำมิชอบในส่วนใด  ก็จะไม่มีสิทธิรับบำเหน็จในส่วนนั้น

สรุป  กรณีแรกใช้หลักมาตรา  803  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ  ส่วนกรณีที่สองจะใช้หลักมาตรา  818  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ

 

ข้อ  2  สามีไปติดต่อแดงให้เป็นนายหน้าขายที่ดินซึ่งภริยาเป็นผู้มีชื่อในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว  ต่อมาเมื่อแดงจัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ทั้งสามีและภริยาไม่จ่ายค่าบำเหน็จแก่แดงโดยฝ่ายสามีอ้างว่าไม่ได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแต่อย่างใด  ส่วนทางภริยาก็อ้างว่าไม่เคยตกลงให้แดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของตน  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

โดยหลัก  สัญญานายหน้านั้น  ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว  นายหน้าก็ย่อมได้รับค่าบำเหน็จตามที่ตกลงไว้  ตามมาตรา  845  วรรคแรก  และแม้จะมิได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จ  แต่ถ้ากิจการใดโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่านายหน้ากระทำเพื่อจะเอาบำเหน็จ  ก็ให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า  ตามมาตรา  846  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สามีไปติดต่อแดงให้เป็นนายหน้าขายที่ดินซึ่งภริยาเป็นผู้มีชื่อในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว  และต่อมาแดงได้จัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วนั้น  กรณีนี้เมื่อเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  และภริยาก็รู้แล้วว่าแดงเป็นนายหน้าขายที่ดิน  เพราะที่ดินดังกล่าวขายได้แล้ว  ดังนั้น  สามีภริยาย่อมจะต้องรับผิดในกิจการที่แดงทำร่วมกัน  (ฎ. 975/2509)

และจากข้อเท็จจริง  แม้ว่าสัญญานายหน้าระหว่างสามีกับแดงนั้นจะมิได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จนายหน้าเอาไว้  แต่กิจการที่สามีมอบให้แก่แดง  คือ  การติดต่อขายที่ดินนั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าแดงย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ  กรณีนี้ย่อมถือว่าสามีและแดงได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จไม่ใช่ทำให้เปล่า  ตามมาตรา  846  วรรคแรก  เมื่อปรากฏว่าแดงได้ชี้ช่องและจัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ทั้งสามีและภริยาจึงต้องร่วมกันรับผิดจ่ายค่านายหน้าให้แก่แดงตามมาตรา  845    วรรคแรกประกอบมาตรา  846  วรรคแรก  ดังนั้น  การที่สามีและภริยาไม่จ่ายค่าบำเหน็จแก่แดงโดยฝ่ายสามีอ้างว่าไม่ได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแต่อย่างใด  ส่วนทางภริยาก็อ้างว่าไม่เคยตกลงให้แดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของตนนั้น  ข้ออ้างของทั้งสามีและภริยาดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างทั้งสามีและภริยาฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนรามคำแหง  นายจันทร์ได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายอาทิตย์ขาย  1  คัน  ในราคา  200,000  บาท  โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จแก่นายอาทิตย์  จำนวน  20,000  บาท  และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่  1  คัน  ในราคาไม่เกิน  300,000  บาท  โดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายอาทิตย์  จำนวน  25,000  บาท  นายอาทิตย์ได้นำรถยนต์ของนายจันทร์ไปขายเชื่อให้แก่นายอังคารและได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายพุธในราคา  300,000  บาท  ให้แก่นายจันทร์  ซึ่งนายอาทิตย์ยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่นายพุธดังนี้อยากทราบว่า

(ก)    ถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายอังคารไม่นำเงินมาชำระ  นายอาทิตย์หรือนายจันทร์จะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร  เพราะเหตุใด

(ข)    ถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายอาทิตย์ไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายพุธ  นายพุธจะฟ้องนายอาทิตย์หรือนายจันทร์ให้ชำระหนี้แก่ตน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา  837  ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น  และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  837  ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า  เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายหรือจัดทำกิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว  ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง  ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา  ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้  และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายจันทร์ได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายอาทิตย์ขาย  1  คัน  และให้นายอาทิตย์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่  1  คัน  โดยตกลงจะให้บำเหน็จแก่นายอาทิตย์  ซึ่งนายอาทิตย์เปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนรามคำแหงนั้น  ย่อมถือว่านายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างของนายจันทร์ตามมาตรา  833  ดังนี้

(ก)    จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายอาทิตย์ได้นำรถยนต์ของนายจันทร์ไปขายเชื่อให้แก่นายอังคารและถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายอังคารผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระค่ารถยนต์  นายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาย่อมเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร  เพราะนายอาทิตย์ได้ทำสัญญาขายเชื่อรถยนต์ให้แก่นายอังคารในนามของตนเอง  จึงมีสิทธิต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการค้าขายรถยนต์นั้นตามมาตรา  837

(ข)    จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายอาทิตย์ได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายพุธ  และถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายอาทิตย์ผิดสัญญาไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายพุธ  นายพุธจะต้องฟ้องนายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ชำระหนี้แก่ตน  เพราะนายอาทิตย์ทำการซื้อรถยนต์กับนายพุธในนามของตนเอง  จึงต้องผูกพันต่อคู่สัญญาคือนายพุธด้วยตามมาตรา  837  นายพุธจะไปฟ้องเอากับนายจันทร์ตัวการมิได้  เพราะนายจันทร์มิใช่คู่สัญญา

สรุป

(ก)    นายอาทิตย์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร

(ข)   นายพุธจะต้องฟ้องนายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างให้ชำระหนี้แก่ตน

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อบ้านไม้สัก  1  หลัง  ที่จังหวัดลำปาง  ก  ให้เงิน  ข  ไปไม่พอ  ข  จึงทดรองจ่ายให้ไปก่อน  500,000  บาท  ข รื้อบ้านออกมาเป็นไม้ชิ้นๆ  เพื่อสะดวกในการขนย้าย  ขนไม้มาถึงบ้าน  ข  เรียก  ก  ให้มารับไม้ไปและบอกให้  ก  นำเงินมาชำระ  500,000  บาทด้วย  ก  มาถึงจะรับแต่ไม้ไป แต่ไม่ยอมชำระหนี้  ข  จึงยึดไม้นั้นไว้จนล่วงเวลา  จนขาดอายุความ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข  จะฟ้องศาลเพื่อให้ศาลบังคับขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นได้หรือไม่  และถ้าขายทอดตลาดแล้ว  เงินไม่พอชำระหนี้  ข  จะทำประการใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  248  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  193/27  การใช้สิทธิยึดหน่วงหาทำให้อายุความแห่งหนี้สะดุดหยุดลงไม่

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  819  ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ  ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน  เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อบ้านที่จังหวัดลำปาง  โดย  ก  ให้เงิน  ข  ไปไม่พอ  จึงทดรองจ่ายให้ไปก่อนนั้น  ถือเป็นกรณีที่ตัวแทนออกเงินทดรองจ่ายแทนตัวการไปในการทำกิจการที่ตัวการมอบหมาย  ตามมาตรา  816  วรรคแรก  ซึ่งตัวแทนสามารถเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยได้  และหากตัวการไม่ยอมชำระหนี้  ตัวแทนก็มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการไว้  จนกว่าจะได้รับเงินที่ตัวการค้างชำระแก่ตนได้ตามมาตรา  819

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ก  ไม่ยอมชำระเงินจำนวนดังกล่าวที่ค้างชำระแก่  ข  ข  จึงมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของ  ก  ตัวการ  คือไม้สัก  ซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนไว้ได้  จนกว่าจะได้รับเงินที่  ก  ตัวการค้างชำระแก่ตนตามมาตรา  819  ซึ่งการที่  ข  ใช้สิทธิยึดหน่วงไม้สักไว้นั้น  ย่อมไม่ทำให้อายุความแห่งหนี้ที่  ก  ค้างชำระแก่  ข  สะดุดหยุดลงตามมาตรา  248

อย่างไรก็ตาม  แม้  ข  จะยึดหน่วงไม้นั้นไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ก็ยังสามารถฟ้องศาล  เพื่อให้ศาลบังคับขายทอดตาดทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นได้  แต่เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดหน่วงแล้วเงินไม่พอชำระหนี้  ข  ก็จะไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาส่วนที่ยังขาดได้อีกตามมาตรา  193/27  ที่มีหลักว่า  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่ได้ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนเป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

สรุป  ข  สามารถฟ้องศาลเพื่อให้ศาลบังคับขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นได้  แต่เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดหน่วงแล้วเงินไม่พอชำระหนี้  ข  ก็จะไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาส่วนที่ยังขาดได้อีก

 

ข้อ  2  นายเกษมเป็นเจ้าของร้านขายทองรูปพรรณซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนรามคำแหง  นางมุกดาต้องการขายทองคำแท่งหนัก  50  บาท  จึงได้มอบให้นายเกษมเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำของตน  โดยตกลงว่าถ้าขายได้จะจ่ายบำเหน็จให้นายเกษม  จำนวน  20,000  บาท ปรากฏว่าก่อนนำทองคำแท่งมาฝากขายราคาทองคำแท่งบาทละ  25,000  บาท  นางมุกดาได้บอกกับนายเกษมว่า  ถ้าราคาทองคำสูงกว่านี้ให้นายเกษมขายทองคำแท่งให้ด้วย  ต่อมาวันที่  5  กุมภาพันธ์  2555  ปรากฏว่า  ราคาทองคำแท่งตามราคาตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ  24,000  บาท  นายเกษมต้องการซื้อทองคำดังกล่าวไว้เอง  เพื่อหวังผลกำไรในภายหน้า  จึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้นางมุกดาทราบว่าตนจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง  นางมุกดาไม่ได้บอกปัดในทันที  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งเกิดขึ้นหรือไม่ และนายเกษมจะได้รับเงินบำเหน็จจากนางมุกดาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางมุกดาได้มอบให้นายเกษมเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำแท่งของตนและตกลงจะจ่ายบำเหน็จให้จำนวน  20,000  บาท  ต่อมาราคาทองคำแท่งลดลงตามราคาตลาดโลกซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  นายเกษมจึงต้องการซื้อทองคำดังกล่าวไว้เองเพื่อเก็งกำไรในภายหน้านั้น  ดังนี้นายเกษมก็ย่อมสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้  ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนายเกษมโทรศัพท์ไปแจ้งให้นางมุกดาทราบว่าตนจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง  แต่ปรากฏว่านางมุกดาไม่บอกปัดในทันทีที่ได้รับแจ้ง  กรณีนี้จึงถือว่านางมุกดาตัวการเป็นอันได้สนองรับคำแจ้งนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งระหว่างนางมุกดากับนายเกษมจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้  นายเกษมก็ยังสามารถคิดเอาบำเหน็จจำนวน  20,000  บาท  จากนางมุกดา  เนื่องจากการซื้อขายของตนได้อีกด้วย  แม้นายเกษมจะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งเหล่านั้นไว้เองตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งเกิดขึ้นแล้ว  และนายเกษมมีสิทธิจะได้รับเงินบำเหน็จจากนางมุกดา

 

ข้อ  3  วันหนึ่ง  ริมถนนสายที่พนิตจะต้องขับรถจากบ้านไปทำงานทุกวันนั้น  มีแผ่นป้ายข้อความว่า

 

 

ที่ดินแปลงนี้ขาย

20 – 3 – 98

ราคาไร่ละ  3  ล้าน

081-8011111

 

 

พนิตอยากได้ค่านายหน้า  จึงไปนำชลิตเพื่อนรักมาซื้อ  ตกลงซื้อขายกันกับจำลองเจ้าของที่ดินในราคาไร่ละสองล้านแปดแสนบาท  พนิตเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองเจ้าของที่ดินได้หรือไม่  จำนวนเท่าใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น  บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่ 

กรณีตามอุทาหรณ์  พนิตจะเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองเจ้าของที่ดินได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำลองได้ติดแผ่นป้ายประกาศขายที่ดินพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ไว้ริมถนนนั้น  แสดงว่าจำลองต้องการขายที่ดินด้วยตนเอง  เมื่อพนิตเห็นป้ายอยากได้ค่านายหน้า  จึงได้ไปนำชลิตมาซื้อที่ดิน  กรณีนี้แม้การซื้อขายที่ดินระหว่างจำลองกับชลิตจะเกิดจากการชี้ช่องและจัดการของพนิตจนทำให้สัญญาซื้อขายสำเร็จก็ตาม  แต่เมื่อจำลองไม่ได้ตกลงให้พนิตเป็นนายหน้าขายที่ดิน  และไม่ได้ตกลงว่าจะจ่ายค่าบำเหน็จให้ตามมาตรา  845  วรรคแรก  รวมทั้งไม่ได้มอบหมายให้พนิตกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเลย  ดังนั้น  พนิตจะเรียกเอาค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองไม่ได้

สรุป  พนิตจะเรียกเอาค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองเจ้าของที่ดินไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!