LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555
 
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย
 
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. นายเด่นเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า นายเด่นได้ยื่นคำขอเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาคภัยแห่งหนึ่ง กรมธรรม์มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง 2 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัยคือ 100 ล้านบาท แต่เนื่องจากโรงงานของนายเด่นอยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมันและแก๊สจึงทำให้ต้องชำระเบี้ยประกันภัย 100,000 บาท แต่ถ้าเป็นโรงงานที่ไม่ติดกับสถานีบริการแก๊สและน้ำมัน บริษัทประกันเรียกเก็บเบี้ยประกันปีละ 40,000 บาท โดยนายเด่นผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันให้บริษัทประกันฯ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาในระหว่างปีแรกของสัญญาประกันภัยสถานีบริการน้ำมันฯ ที่อยู่ติดกับโรงงานของนายเด่นถูกรื้อถอนปิดกิจการลง อยากทราบว่า นายเด่นมีสิทธิอย่างไร เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย
ธงคำตอบ
 
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 864 “เมื่อคู่สัญญาประกันภัยยกเอาภัยใดโดยเฉพาะขึ้นเป็นข้อพิจารณาในการวาง กำหนดจำนวนเบี้ยประกันภัย และภัยเช่นนั้นสิ้นไปหามีไม่แล้ว ท่านว่าภายหน้าแต่นั้นไปผู้เอาประกันภัยชอบที่จะได้ลดเบี้ยประกันภัยลงตามส่วน”
 
วินิจฉัย
 
กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายเด่นซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัย ไว้กับบริษัทประกับวินาศภัยโดยมีกรมธรรม์กำหนดระยะเวลาคุ้มครอง 2 ปี และบายเด่นผู้เอาประกับภัยได้ชำระเบี้ยประกันให้บริษัทประกันภัยเรียบร้อยแล้วเป็นจำนวน 100,000 บาท ตามที่บริษัทประกับภัยได้เรียกเก็บ ซึ่งจำนวน เบี้ยประกับภัยดังกล่าวนั้นนายเด่นและบริษัทประกันภัยได้พิจารณาจากภัยที่จะเกิดจากสถานีน้ำมันและแก๊ส โดยเฉพาะเป็นข้อกำหนดในการเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยซึ่งสูงขึ้นกว่าปกติจาก 40,000 บาท เป็น 100,000 บาท
และจากข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าสถานีบริการน้ำมันและแก๊สที่อยู่ติดกันโรงงานของนายเด่น ได้ถูกรื้อถอนปิดกิจการลง ย่อมถือว่าภัยโดยเฉพาะที่คู่สัญญาได้กำหนดไว้หมดสิ้นไป กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 864 ที่เมื่อขึ้นปีที่ 2 นายเด่นชอบที่จะได้ลดเบี้ยประกับภัยลงได้ โดยการชำระเบี้ยประกันภัยให้บริษัทประกันภัยเพียง 40,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราเบี้ยประกันภัยในกรณีการเสี่ยงภัยตามปกติ แต่จะขอลดเบี้ยประกันภัยในปีที่ 1 ไม่ได้
สรุป นายเด่นมีสิทธิขอลดเบี้ยประกันภัยลงได้ในปีที่ 2 ให้เหลือเพียง 40,000 บาท แต่จะลดเบี้ยประกันภัยในปีที่ 1 ไม่ได้ 

 

ข้อ 2. นายสมบูรณ์ทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทแดงในวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 จำนวนเงินเอาประกัน 100,000 บาท ในวับที่ 14พฤษภาคม 2552 ได้ทำประกันอัคคีภัยบ้านหลังนี้อีก กับบริษัทดำ จำนวนเงินเอาประกัน 200,000 บาท ต่อมาภายในอายุสัญญาประกัน บ้านที่ทำประกัน ถูกไฟไหม้เสียหายไป 100,000 บาท ดังนี้ นายสมบูรณ์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท ประกันภัยทั้งสองบริษัทอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 870 “ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้ ท่านว่าผู้รับประโยชน์ ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวน วินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้

อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย ถ้าลงวันเดียวกัน ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน

ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน ท่านว่าผู้รับประกันภัย คนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวน วินาศภัยไซร้ ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆ กันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมบูรณ์นำบ้านชองตนไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทแดง ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 และต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 ได้นำไปประกันไว้กับบริษัทดำอีกนั้น ถือเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นสัญญาสืบต่อเนื่องกัน ซึ่งตามหลักในเรื่องการชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดวินาศภัยนั้น ผู้รับประโยชน์จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าที่เสียหายจริง และตาม มาตรา 870 วรรคสามได้กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน ผู้รับประกันภัยคนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัย คนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัย ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อ ๆ กันไป จนกว่าจะคุ้มวินาศภัย

เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า บ้านที่เอาประกันถูกไฟไหม้เสียหายเพียง 100,000 บาท ซึ่งบริษัทแดงที่ได้รับประกันไว้ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 ในวงเงิน 100,000 บาท จึงต้องรับผิดเพื่อความวินาศก่อน ดังนั้นนายสมบูรณ์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทแดงผู้รับประกันภัยรายแรกได้เต็มจำนวนเงินประกัน คือ 100,000 บาท และเมื่อได้รับเงินจากบริษัทแดง 100,000 บาทแล้ว ย่อมถือว่าคุ้มจำนวนวินาศภัยแล้ว จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทดำอีก

สรุป นายสมบูรณ์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทแดงได้เต็มจำนวนเงินประกัน คือ 100,000 บาท แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทดำไม่ได้ เพราะจำนวนเงินที่บริษัทแดงได้ใช้ให้นั้นคุ้มจำนวน วินาศภัยแล้ว

 

ข้อ 3. ดำเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของขาวและเหลือง ดำได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของบิดามารดา โดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 โดยแยกเป็นสองกรมธรรม์ ๆ ละ 1 ล้านบาท สัญญากำหนด 5 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ขาวกับเหลืองได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเนื่องจากขาวได้ไปติดพันหญิงอื่นทำให้ เหลืองไม่พอใจ ขาวบันดาลโทสะจึงใช้ปืนยิงเหลืองตาย และฆ่าตัวตายตามไปด้วย จงวินิจฉัยว่า บริษัทประกับชีวิตจะต้องจ่ายเงินตามสัญญาๆ ให้แก่ดำผู้รับประโยชน์อย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกัน จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะได้กระทำอัตวินิบาตหรือฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดำซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของขาวและเหลืองได้ไปทำสัญญา ประกันชีวิตของบิดามารดาของตนโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด และระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทำได้เพราะถือว่าดำผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

เมื่อปรากฏว่าหลังจากทำสัญญาได้ 1 ปี 2 วัน ขาวได้ฆ่าตัวตาย และได้ฆ่าเหลืองตายด้วย ดังนี้ เมื่อมีมรณภัยเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ถูกเอาประกัน บริษัทประกันชีวิตจึงต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ดำผู้รับประโยชน์ ทั้ง 2 กรมธรรม ทั้งนี้เพราะกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (1) หรือ (2) กล่าวคือ แม้ขาวจะฆ่าตัวตาย ด้วยใจสมัครแต่ก็เกินเวลา 1 ปีแล้ว และเหตุมรณะของเหลืองก็ไม่ได้เกิดจากดำซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงอ้างข้อยกเว้นไม่ได้ทั้ง 2 กรณี และจะต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ ในสัญญา

สรุป บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ดำผู้รับประโยชน์ทั้ง 2 กรมธรรม์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายกรุงไทย นำรถยนต์ที่เช่าซื้อกับบริษัทกรุงเก่า ไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัยจำกัด โดยนายกรุงไทยเป็นผู้เอาประกันภัย และระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากทำสัญญาประกันภัยได้สามเดือน นายกรุงไทยได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อกับบริษัทกรุงเก่า ทำให้บริษัทกรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ นายกรุงไทยจึงเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ในสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกับภัย จำกัด โดยระบุให้นายกรุงไทยเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากนั้นรถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไป นายกรุงไทยจึงเรียกให้บริษัทมั่นคงประกับภัย จำกัดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด ปฏิเสธใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างว่า นายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าฃื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน

ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ฟังขึ้นหรือไม่ และนายกรุงไทยจะฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายบอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่

มาตรา 376 “ข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาดังกล่าวมาในมาตรา 374 นั้น ลูกหนี้อาจจะ ยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้จะได้รับประโยชน์จากสัญญานั้นได้

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้

คำว่า ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คำว่า ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับคาสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินไช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกับภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด 

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง” 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงไทยนำรถยนต์ที่เช่าชื้อไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมถือว่านายกรุงไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่จะเอาประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรุงไทยระบุในสัญญาให้บริษัท กรุงเก่า ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าชื้อเป็นผู้รับประโยชน์จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยระบุให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก จึงต้องปรับเข้ากับมาตรา 374375 และ 376 นั่นคือ ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นจะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยเสียก่อน สิทธิของผู้รับประโยชน์จึงจะเกิดขึ้น และเมื่อสิทธิของผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของผู้รับประโยชน์ในภายหลังไม่ได้

กรณีตามข้อเท็จจริง การที่บริษัท กรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าชื้อที่ ค้างชำระนั้น ย่อมแสดงว่า บริษัท กรุงเก่า ได้สละเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยแล้ว

นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัยจึงมีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาเข้าเป็บผู้รับประโยชน์เองได้ (มาตรา 862) นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัยและบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด จึงเป็นคู่สัญญาที่มีสิทธิได้รับประโยชน์จาก สัญญาประกันภัยซึ่งกันและกันตามหลักทั่วไป

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่นายกรุงไทยได้เอาประกันภัยไว้สูญหายไป บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนายกรุงไทยตามมาตรา 877

ถึงแม้ว่านายกรุงไทยจะค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ก็ตาม (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1950/2543) ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ที่ว่านายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

สรุป ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้ บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

 

ข้อ 2. นายเอเจ้าของบ้านราคา 3 ล้านบาททำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กันบริษัท สยามประกันวินาศภัยฯ โดยกรมธรรม์ระบุผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์คือนายเอ ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี วงเงิน เอาประกันภัย 2 ล้านบาท หลังจากทำสัญญาไปได้ 5 เดือน นายเอขายบ้านนี้ให้แก่นายบีราคา 5 ล้านบาท โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนฯ อีก 2 เดือนต่อมาไฟไหม้ข้างบ้าน แล้วลุกลาม มาไหม้บ้านหลังดังกล่าวหมด นายเอเรียกให้บริษัท สยามฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนอ้างว่าตนเอง เป็นผู้เอาประกันจึงมีสิทธิและเป็นทั้งผู้รับประโยชน์ด้วย ส่วนนายบีก็เรียกค่าสินไหมทดแทนจาก บริษัท สยามฯ อ้างว่าตนรับโอนวัตถุที่เอาประกันภัยมาจึงทำให้รับเอาสิทธิตามสัญญาประกันภัยจาก นายเอมาด้วย

อยากทราบว่าข้ออ้างของบายเอและนายบีถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกับภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรม ก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัย และบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ (1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัท สยามประกันวินาศภัยฯโดยกรมธรรม์ระบุผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์คือนายเอนั้น ในขณะที่นายเอได้เอาบ้าน ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้นั้น นายเอเป็นเจ้าของบ้านและมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นโดยที่นายเอยังไม่ได้ขายบ้าน ให้แก่นายบี จึงถือว่านายเอผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อนายเอผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ได้ขายบ้านหลังดังกล่าวให้แก่นายบี ซึ่งเป็นการโอนวัตถุที่เอาประกันไปแล้ว ส่วนได้เสียในบ้านที่ทำสัญญาประกันภัยไว้จึงหมดไป ทำให้นายเอ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน อีกทั้งนายเอได้เงินจากการขายบ้านมา 5 ล้านบาท นายเอจึงไม่เสียหายแล้ว แต่คนที่เสียหายคือนายบี และหากบริษัท สยามๆ จ่ายเงิน 2 ล้านบาทให้นายเอ ย่อมมีผลทำให้นายเอได้กำไร จากสัญญาประกันภัย ซึ่งขัดต่อหลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 877(1) ที่กำหนดให้ผู้รับประกันภัย จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงซึ่งต้องไม่ได้กำไรนั่นเอง

และตามข้อเท็จจริง การที่นายเอได้ขายบ้านให้แก่นายบี ซึ่งถือว่าเป็นการโอนวัตถุที่เอาประกันภัย โดยทางนิติกรรมสัญญาตามมาตรา 875 วรรคสอง มิใช่เป็นกรณีที่วัตถุที่เอาประกันภัยไว้นั้นเปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรม หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายตามมาตรา 875 วรรคแรก ดังนั้นสิทธิอันมีอยู่ ในสัญญาประกันภัยนั้นจะโอนไปด้วยก็ต่อเมื่อได้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยด้วย แต่เมื่อการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยดังกล่าว มิได้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัย สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัย จึงไม่โอนไปยังนายบี ดังนั้นเมื่อบ้านที่ได้ทำสัญญาประกันภัยไว้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด นายบีจึงไม่มีสิทธิเรียก ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท สยามฯ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 875 วรรคสอง

สรุป ข้ออ้างของนายเอและนายบีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายสมคิดได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกับชีวิตแห่งหนึ่ง จำนวนเงินที่เอาประกัน 3 ล้านบาท มีกำหนดระยะเวลา 15 ปี โดยระบุให้นางสมศรีภริยา เป็นผู้รับประโยชน์ นายสมคิดได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับนางสมศรี และนางสมศรีได้เดินทางไปแจ้งให้บริษัทประกันชีวิตทราบด้วยตนเอง ณ สำนักงานของบริษัทฯ ว่าตนไม่ขัดข้อง ในการเป็นผู้รับประโยชน์ ปรากฏว่าหลังจากนั้นอีก 3 ปี นายสมคิดกับนางสมศรีได้หย่าขาดจากกัน และนางสมศรีได้ไปแต่งงานใหม่กับนายพรชัยซึ่งนายพรชัยได้สืบทราบว่าถ้านายสมคิดถึงแก่ความตายแล้ว นางสมศรีจะไต้รับเงินเอาประกันจำนวน 3 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ นายพรชัยจึงได้ไป ลักลอบฆ่านายสมคิดถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต

ดังนี้ บริษัทผู้รับประกันชีวิตของนายสมคิด ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนางสมศรีซึ่งเป็น ผู้รับประโยชน์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา 890 “จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้ สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับ ประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ เว้นแต่ บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมคิดได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะ และระบุให้นางสมศรีเป็นผู้รับประโยชน์นั้น แม้ต่อมานายสมคิดและนางสมศรีจะได้หย่าขาดจากกันก็ตาม สัญญาประกันชีวิตนั้นก็ยังคงสมบูรณ์ ไม่ทำให้สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด กล่าวคือ เมื่อนายสมคิดผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตาย บริษัทประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่นางสมศรี ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาตามมาตรา 889 และมาตรา 890

และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายสมคิดได้ถึงแก่ความตายนั้น ก็ไม่ได้เกิดจาก การกระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา หรือได้ถูกผู้รับประโยชน์คือนางสมศรีฆ่าตาย โดยเจตนาแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะถูกนายพรชัยสามีใหม่ของนางสมศรีฆ่าตายโดยเจตนา จึงไม่เข้าข้อยกเว้น ที่ผู้รับประกันชีวิตจะไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 895 ดังนั้น บริษัทผู้รับประกันชีวิตของ นายสมคิดจึงต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนางสมศรีซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์

สรุป บริษัทผู้รับประกันชีวิตของนายสมคิดต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนางสมศรี ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ1 นายเก่งเป็นเจ้าของบ้านราคา 3 ล้านบาท ได้ยื่นเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันอัคคีภัยแห่งหนึ่ง วงเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี หลังจากทำสัญญาประกันภัยไป 3 เดือ นายเก่งขายบ้านที่เอาประกันให้นายขวดราคา 5 ล้านบาท โดยทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ อีก 1 เดือนต่อมาไฟไหม้บ้านที่เอาประกับภัยหมดทั้งหลัง อยากทราบว่าสัญญาประกันภัยยังคงผูกพันหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 869 “อันคำว่า วินาศภัย” ในหมวดนี้ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้

วินิฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้ยื่นเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกับภัยแห่งหนึ่งนั้น จะเห็นได้ว่าในขณะที่นายเก่งได้เอาบ้านไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้นั้น นายเก่งเป็นเจ้าของและมีกรรมสิทธ์ในบ้านหลังนั้น

จึงถือว่านายเก่งมีความสัมพันธ์คือมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันกันไว้ ซึง ส่วนได้เสียนั้นจะต้องพิจารณาขณะทำสัญญาประกันภัยด้วย เมื่อปรากฏว่าขณะทำสัญญาประกันภัยนายเก่งยัง ไม่ได้ขายบ้าน จึงถือว่านายเก่งผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันไว้แล้วตามมาตรา 863

และเมื่อการทำสัญญาประกันภัยรายนี้เป็นสัญญาประกันวินาศภัย ซึ่งเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นนายเก่งสามารถตีราคาความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ตามมาตรา 869 คือ 3 ล้านบาทตามราคาบ้าน ดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างนายเก่งกับบริษัทประกันภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

สรุป สัญญาประกันภัยยังคงผูกพันคู่สัญญา

 

ข้อ 2. นายวีรภาพทำสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองทุกอย่าง รวมทั้งความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอาประกันด้วย วงเงินเอาประกัน 5 แลนบาท

ในระหว่างอายุสัญญานายเอกภาพขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายวีรภาพเสียหาย บริษัทประกันภัยจึงนำรถยนต์ของบายวีรภาพไปให้นายโชคดีซ่อม คิดเป็นเงิน 5 หมื่นบาท แต่บริษัทประกันยังมิได้จ่ายค่าซ่อมรถให้แก่นายโชคดีเจ้าของอู่

เมื่อซ่อมรถของนายวีรภาพเสร็จ นายวีรภาพได้รับมอบรถไปแล้ว บริษัทประกันภัยเรียกร้องให้นายเอกภาพ จ่ายค่าซ่อมรถ แต่นายเอกภาพปฏิเสธ ดังนี้ บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าซ่อมรถ 5 หมื่นบาทจาก นายเอกภาพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 438 วรรคสอง อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย

มาตรา 880 วรรคแรก ‘‘ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภาบนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิชองผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยไปเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ นายวีรภาพทำสัญญาเอาประกับวินาศภัยรถยนต์ชองตนไว้กับบริษัทประกันภัย และในระหว่างอายุสัญญานายเอกภาพได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายวีรภาพเสียหาย กรณีนี้ ถือว่าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของนายเอกภาพซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว และการที่บริษัทประกันภัย ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปให้นายโชคดีซ่อมจนใช้การได้

และส่งมอบรถยนต์ให้นายวีรภาพแล้วนั้น ถือว่าเป็นการคืนทรัพย์ตามมาตรา 438 วรรคลอง ซึ่งถือได้ว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยแล้ว (เทียบฎีกาที่ 1006/2503) ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิชองนายวีรภาพผู้เอาประกันภัย เรียกค่าซ่อมรถยนต์ 5 หมื่นบาทจากนายเอกภาพได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

ส่วนการที่บริษัทประกันภัยติดค้างค่าซ่อมรถ ซึงยังมิได้ชำระให้แก่นายโชคดีเจ้าองอู่นั้น เป็นหนี้ตามสัญญาจ้างทำของระหว่างบริษัทประกันภัยกับนายโชคดีซึ่งเป็นหนี้ต่างหากจากกัน ไม่เกี่ยวกับการที่บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายวีรภาพ

สรุป บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน 5 หมื่นบาท จากนายเอกภาพได้ เพราะเป็นกรณีที่บริษัทประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิตามมาตรา 880

 

ข้อ 3. หนึ่งกับสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรชายคนหนึ่งคือสาม สามได้ไปทำสัญญา ประกันชีวิตของสองมารดาของตนไว้กับบริษัทประกันชีวิต จำกัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 จำนวนเงินที่เอาประกัน 2 ล้านบาท สัญญากำหนด 5 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์

ต่อมา วันที่ 1 มีนาคม 2554 สามก็ได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของหนึ่งบิดาอีกกรมธรรม์หนึ่งไว้กับบริษัทเดียวกันนั้น จำนวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญากำหนด 5 ปี โดยระบุให้สามเป็นผู้รับประโยชน์อีกเช่นกัน

ต่อมาวันที 1 กุมภาพันธ์ 2555 หนึ่งกับสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง เนื่องจก หนึ่งไปติดพันสีซึ่งเป็นสาวสวยข้างบ้านจึงทำให้สองเกิดการหึงหวง หนึ่งบันดาลโทสะจึงใช้ปืนยิงสองถึงแก่ความตายและด้วยความเสียใจในเหตุที่เกิดขึ้นเขาจึงได้ยิงตัวตายตามสองไป สามจึงไปขอรับเงิน จากบริษัทประกันชีวิตตามสัญญาทั้ง 2 กรณีดังกล่าว

จงวินิจฉัยว่าบริษัทจะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธ ไม่ใช้เงินแก่สาม เนื่องจากเหตุการตายของหนึ่งและสองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อับสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหนึ่งและสอง ได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของสองมารดาของตน และได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตของหนึ่งบิดาอีกกรมธรรมหนึ่งไว้กับบริษัท ประกันชีวิต จำกัด โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทำได้เพราะถือว่าสามผู้เอาประกัน มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

แต่อย่างไรก็ตาม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 895 ผู้รับประกันภัยสามารถปฏิเสธการใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตได้ ในกรณีที่

1.             บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตกระทำอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา

2.             บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์บริษัทจะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สาม เนื่อจากเหตุ การตายของหนึ่งและสองได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีที่หนึ่งใช้ปืนยิงตัวตาย ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ถูกเอาประกับชีวิตกระทำอัดวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา ดังนั้นบริษัทจึงปฏิเสธการใช้เงินให้แก่สามตามสัญญาประกันชีวิตได้ตาม มาตรา 895(1)

ส่วนกรณีที่หนึ่งใช้ปืนยิงสองตายแม้เป็นการฆ่าสองตายโดยเจตนา แต่หนึ่งมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกับชีวิต จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา ตามมาตรา 895(2) ดังนั้นบริษัทจึงปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สามตามสัญญาประกันชีวิตไม่ได้ บริษัทจะต้องชดใช้เงินให้แก่สาม

สรุป บริษัทสามารถปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สามเนื่องจากการตายของหนึ่งได้ แต่จะต้องชดใช้เงินไปให้แก่สาม เนื่องจากการตายของสองจะปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สามไม่ได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดำมอบให้นายแดงเอารถยนต์ไปขาย  ในขณะที่นายแดงนำรถยนต์ออกตระเวนขายไปตามปกติ  ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้เกิดไฟไหม้เสียหายทั้งคันโดยไม่ทราบสาเหตุ  หากนายแดงได้เสียค่าใช้จ่ายในการนี้ไปก่อนแล้ว  อาทิเช่น  ค่าน้ำมันรถ  ค่าเติมน้ำมันเครื่อง  ค่าเปลี่ยนยางรถยนต์  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแดงจะมีสิทธิในการเรียกร้องเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ  ที่ว่านี้จากนายดำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  797  อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น  คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่งเรียกว่าตัวแทน  มีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าตัวการและตกลงจะทำการดังนั้น

อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดยตั้งแต่แสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ย่อมได้

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  820  ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน

วินิจฉัย

นายดำมอบให้นายแดงเอารถยนต์ของตนออกขายแสดงว่ามอบให้ไปติดต่อผูกพันกับบุคคลภายนอก  หรือบุคคลที่สาม  ข้อตกลงระหว่างนายดำกับนายแดงจึงเป็นสัญญาตัวแทนตามมาตา  797  ประกอบมาตรา  820  เมื่อเกิดสัญญาแล้ว  คู่สัญญาย่อมมีสิทธิหน้าที่ซึ่งกันและกันตามที่ได้ตกลงกันไว้  แม้ตามอุทาหรณ์นายแดงตัวแทนจะยังไม่ทันได้เข้าผูกพันกับบุคลภายนอกคือผู้ซื้อรถยนต์เลยก็ตาม  แต่ก็เป็นสัญญาตัวแทนที่สมบูรณ์อยู่  ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลภายนอกหรือบุคคลที่สามเป็นเพียงวัตถุประสงค์ของสัญญาเท่านั้น  ไม่ใช่ความสมบูรณ์ของสัญญาตัวแทนแต่อย่างใด  และแม้วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจะกลายเป็นพ้นวิสัย  ตัวการคือนายดำก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายต่างๆ  ที่นายแดงได้จ่ายไปก่อนแล้ว  รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกค่าใช้จ่ายต่างๆ  ดังกล่าวนี้ด้วย  เพราะถือว่าเป็นเหตุที่ควรนับว่าเป็นการจำเป็นในการที่ได้จ่ายไปเช่นนั้นในการจัดทำกิจการอันตัวการมอบหมายให้แก่ตน  ตามมาตรา  816

สรุป  นายแดงมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าใช้จ่ายต่างๆนั้นจากนายดำ

 

ข้อ  2  นายเอกเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์อยู่ที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า  นายโทมีคอมพิวเตอร์ใช้แล้วหนึ่งเครื่องต้องการขายเพื่อซื้อเครื่องใหม่  จึงได้นำคอมพิวเตอร์ของตนไปฝากนายเอกขายในราคา  20,000  บาท  โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าตอบแทนจำนวน  2,000  บาท  ปรากฏว่านายเอกได้ขายคอมพิวเตอร์ให้นายตรีในราคา  19,000  บาท  ดังนี้อยากทราบว่า

(ก)  ถ้านายเอกจ่ายค่าคอมพิวเตอร์ให้นายโทจำนวน  19,000  บาท  นายโทจะปฏิเสธไม่ยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และถ้านายเอกรับใช้เศษเงินที่ขาดไปจำนวน  1,000  บาท  นายโทจะปฏิเสธไม่รับการขายดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  ถ้านายเอกขายคอมพิวเตอร์ได้ราคา  21,000  บาท  นายเอกจะกันเงินจำนวน  1,000  บาทไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  812  ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใดๆเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี  เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี  หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี  ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด

มาตรา  839  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายเป็นราคาต่ำไปกว่าที่ตัวการกำหนด  หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดนั้นแล้ว  ท่านว่าการขาย อันนั้นตัวการก็ต้องรับขาย

มาตรา  840  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการ

วินิจฉัย

(ก)  ถ้านายเอกจ่ายค่าคอมพิวเตอร์ให้นายโทจำนวน  19,000  บาท  นายโทมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวได้  เพราะนายโทได้ตกลงให้นายเอกขายในราคา  20,000  บาท  แต่นายเอกขายไปในราคา  19,000  บาท  เป็นการขายต่ำกว่าราคาที่กำหนด  ถือว่าเป็นการขายโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจซึ่งทำให้นายโทได้รับความเสียหาย  นายเอกจึงต้องรับผิดต่อนายโทตามมาตรา  812  และถ้านายเอกรับใช้เศษเงินที่ขาดไปจำนวน  1,000  บาท  นายโทจะปฏิเสธไม่รับการขายดังกล่าวไม่ได้  นายโทตัวการจะต้องยอมรับการขายนั้นตามมาตรา  839  เพราะนายโทได้รับเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ครบแล้ว  ถือว่าการขายมีผลสมบูรณ์และถือเสมือนว่านายโทตัวการได้ให้สัตยาบันแก่การขายนั้นแล้ว

(ข)  ถ้านายเอกขายคอมพิวเตอร์ได้ราคา  21,000  บาท  นายเอกจะกันเงินจำนวน  1,000  บาท  ไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้  เพราะตัวแทนค้าต่างจะแสวงหาประโยชน์จากการเป็นตัวแทนนอกเหนือจากค่าบำเหน็จที่ตกลงกันไว้ไม่ได้  เพราะผลกำไรจากกิจการนั้นมีจำนวนเท่าใดก็ต้องตกเป็นของตัวการ  ตัวแทนค้าต่างจะเก็บไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวไม่ได้ตามมาตรา  840

 

ข้อ  3  นายเอกต้องการจะขายรถยนต์คันหนึ่ง  จึงได้ขอให้เด็กชายโทอายุ  13  ปี  ช่วยติดต่อหาคนซื้อโดยตกลงจะให้ค่านายหน้าไว้  เด็กชายโทสืบทราบว่านายตรีต้องการจะซื้อรถยนต์  จึงพานายตรีไปพบนายเอกจนได้มีการวางมัดจำและตกลงจะชำระเงินที่เหลือในวันที่ไปจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก  แต่ต่อมาไม่มีการจดทะเบียนกัน  ดังนี้  นายเอกจะปฏิเสธความรับผิดค่าบำเหน็จนายหน้าโดยอ้างว่าเด็กชายโทเป็นผู้เยาว์  และไม่มีการซื้อขายรถยนต์กัน  เช่นนี้จะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

ผู้เยาว์เป็นนายหน้าได้หรือไม่  เห็นว่า  ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามเลยว่าผู้ไร้ความสามารถเป็นนายหน้าไม่ได้  ประกอบกับเมื่อพิจารณาหน้าที่ของนายหน้าตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  845  แล้วเห็นว่า  นายหน้านั้นมีหน้าที่ชี้ช่องจัดการให้เขาได้ทำสัญญากันเท่านั้น  นายหน้าไม่ได้เข้าทำสัญญาเองเลย  และก็ไม่ได้ทำแทนใครด้วย  บุคคลผู้ไร้ความสามารถเช่นผู้เยาว์หรือเด็กชายโทตามอุทาหรณ์นี้จึงอาจเป็นนายหน้าได้

เด็กชายโทมีสิทธิได้รับบำเหน็จนายหน้าหรือไม่  เห็นว่าการที่เด็กชายโทพานายตรีไปซื้อรถยนต์จากนายเอก  โดยมีการวางมัดจำและตกลงจะไปชำระเงินส่วนที่เหลือในวันที่จดทะเบียน  ถือว่าเด็กชายโทได้ทำหน้าที่ชี้ช่องหรือจัดการให้เขาเข้าทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กันเสร็จแล้ว  นายเอกจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายบำเหน็จนายหน้าให้แก่เด็กชายโท  ตามมาตรา  845  แม้ว่าภายหลังจะไม่ได้มีการชำระหนี้ส่วนที่เหลือและไปจดทะเบียนก็ตาม  ดังนั้น  เด็กชายโทจึงมีสิทธิได้รับบำเหน็จ

สรุป  เด็กชายโทมีสิทธิเป็นนายหน้าได้  และมีสิทธิได้รับบำเหน็จนายหน้า

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเดชประกอบธุรกิจทำเสื้อผ้าสำเร็จรูป  มอบอำนาจให้นายเด่นไปซื้อผ้ามาใช้ในกิจการของตน  โดยนายเดชลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้นายเด่นไว้  แต่ไม่กรอกข้อความให้นายเด่นไปกรอกเอาเอง  นายเด่นกรอกข้อความลงไปในหนังสือมอบอำนาจตามที่ได้รับมอบหมายและกรอกเพิ่มเติมต่อไปว่า  ให้มีอำนาจกู้ยืมเงินภายในวงเงิน  100,000  บาท  แทนนายเดชด้วย  หลังจากนั้นนายเด่นซื้อเชื่อผ้าจากร้านของนายเด่นเอง  10,000  บาทมาใช้ในกิจการทำเสื้อผ้าสำเร็จรูป  และนายเด่นใช้หนังสือมอบอำนาจนั้นกู้เงินจากนายเด้ง  100,000  บาท  มาใช้ส่วนตัว  โดยนายเด้งเชื่อว่านายเด่นมีอำนาจกู้เงินแทนนายเดชตามหนังสือมอบอำนาจ  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  นายเดชจะต้องชำระหนี้ค่าผ้า  10,000  บาท  แก่นายเดชและชำระหนี้เงินกู้  100,000  บาทแก่นายเด้งหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  805  ตัวแทนนั้น  เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ  จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง  หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่  เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วย่อมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา  822  ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน  แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับแล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

การที่นายเดชมอบอำนาจให้นายเด่นซื้อผ้ามาใช้ในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปมิได้หมายความว่า  นายเดชยินยอมให้นายเด่นซื้อจากร้านของนายเด่นได้  เมื่อนายเดชไม่ยินยอม  การที่นายเด่นซื้อผ้าจากร้านของนายเด่นเอง  จึงเป็นการทำนิติกรรมซื้อขายในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง  ต้องห้ามตามมาตรา  805  การซื้อเชื่อผ้าไม่ผูกพันนายเดชตัวการ  นายเดชไม่ต้องชำระหนี้เสื้อผ้า  10,000  บาท  แก่นายเด่น  (ฎ. 1966/2526)

ส่วนที่นายเด่นตัวแทนกู้เงินนายเด้ง  100,000  บาท  เป็นการทำเกินอำนาจตัวแทน  แห่งพฤติการณ์ที่นายเดชลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจ  โดยไม่กรอกข้อความให้นายเด่นไว้เพื่อให้นายเด่นทำการแทนนั้น  ถือได้ว่าทางปฏิบัติของนายเดชตัวการทำให้นายเด้งบุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรเชื่อว่า  การกู้ยืมเงินอยู่ภายในขอบอำนาจของนายเด่น  นายเดชต้องรับผิดต่อนายเด้งผู้สุจริต  ตามมาตรา  822  ประกอบมาตรา  821  ดังนั้นนายเดชต้องชำระหนี้เงินกู้  100,000  บาท  แก่นายเด้ง  (ฎ. 671/2523)

สรุป

1       นายเดชไม่ต้องชำระหนี้ค่าผ้า  10,000  บาท  แก่นายเด่น  ตามมาตรา  805

2       นายเดชต้องชำระหนี้เงินกู้  100,000  บาท  แก่นายเด้ง  ตามมาตรา  822  ประกอบมาตรา  821

 

ข้อ  2  นายสมชายเป็นเจ้าของร้านทองไทยเจริญ  ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งเป็นร้านขายทองรูปพรรณ  นายสมศักดิ์มีทองคำแท่งจำนวน  5  แท่ง  หนักแท่งละ  10  บาท  รวมราคาทองคำหนัก  50  บาท  ซึ่งซื้อไว้หลายปีมาแล้ว  นายสมศักดิ์ต้องการนำทองคำแท่งมาขายเพื่อนำเงินไปทำการค้าในวันที่  3  ตุลาคม  2546  นายสมศักดิ์จึงได้นำทองคำแท่งดังกล่าวไปฝากนายสมชายขายโดยตกลงกันว่าจะให้ค่าบำเหน็จร้อยละ  5  ปกติราคาทองคำจะขึ้นๆลงๆ  ตามราคาตลาด  จะไม่ต่ำกว่าบาทละ  5,300  บาท  แต่ปรากฏว่าในวันที่  6 ตุลาคม  2546  ราคาทองคำตกลงมาเหลือบาทละ  5,000  บาท  นายสมชายเจ้าของร้านทองจึงคิดจะซื้อไว้เอง  เพราะคิดว่าราคาทองคำจะต้องขึ้นสูงกว่านี้ตนคงจะมีกำไรจึงได้โทรศัพท์ไปหานายสมศักดิ์ว่าตนต้องการจะซื้อทองคำแท่งของนายสมศักดิ์ทั้งหมดในราคาบาทละ  5,000  บาท  ตามราคาตลาด  นายสมศักดิ์ได้รับโทรศัพท์แล้วมิได้ว่ากล่าวอะไรทั้งสิ้น  ดังนี้  อยากทราบว่า

(ก)  นายสมชายจะซื้อทองคำแท่งของนายสมศักดิ์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายสมชายจะได้รับค่าบำเหน็จร้อยละ  5  ตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

(ก)  นายสมชายจะซื้อทองคำแท่งของนายสมศักดิ์ได้  แม้นายสมชายจะเป็นตัวแทนค้าต่างแต่ก็มีสิทธิที่จะเป็นผู้ซื้อเองได้  เพราะการซื้อขายทองคำมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยนเป็นการซื้อขายตามราคาตลาด  นายสมชายมิได้เป็นผู้กำหนดราคาเองกฎหมายจึงไม่ห้ามเว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญา  ซึ่งกรณีนี้นายสมศักดิ์ก็มิได้ห้ามไม่ให้นายสมชายซื้อ  และนายสมชายก็ได้โทรศัพท์ไปบอกนายสมศักดิ์แล้วว่าจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวในราคาบาทละ  5,000  บาท  นายสมศักดิ์ก็มิได้บอกปัดในทันทีเมื่อทราบคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  กรณีนี้ให้ถือว่านายสมศักดิ์ตัวการเป็นอันได้สนองรับการซื้อขายนั้นแล้วตามมาตรา  843  วรรคแรก  และวรรคสอง 

(ข)  แม้นายสมชายซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งของนายสมศักดิ์เองก็ตาม  แต่กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้คิดค่าบำเหน็จ  นายสมชายจึงมีสิทธิจะคิดเอาค่าบำเหน็จร้อยละ  5  ตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้ตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป 

(ก)  นายสมชายสามารถซื้อทองคำแท่งของนายสมศักดิ์ได้

(ข)  นายสมชายมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จร้อยละ  5  ตามที่ตกลงกันไว้

 

ข้อ  3  นาย  ก  มอบนาย  ข  ให้เป็นนายหน้าขายที่ดินและตกลงว่าจะให้ค่านายหน้า  นาย  ข  นำที่ดินมาเสนอขายให้นาย  ค  นาย  ค  ตกลงซื้อและเข้าทำสัญญากับนาย  ก  หลังทำสัญญาปรากฏว่านาย  ค  ผิดนัดการซื้อขายจึงไม่ได้เกิดขึ้นกรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง  นาย  ก  มอบนาย  ข  ให้เป็นนายหน้าขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้า  นาย  ข  นำที่ดินเสนอขายให้นาย  ค  นาย  ค ตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว  แต่มีเงื่อนไขว่าต้องให้ที่ดินแปลงนอกตัดถนนผ่านเข้ามาถึงที่ดินแปลงที่ตกลงซื้อกันนี้  และนาย  ก  กับนาย  ค  เข้าทำสัญญากันเรียบร้อยแล้ว

ให้ท่านวินิจฉัยว่าทั้ง  2  กรณีนี้  นาย  ข  จะได้ค่านายหน้าหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

ในกรณีแรก  นาย  ข  มีสิทธิได้ค่านายหน้าจากนาย  ก  เพราะนาย  ข  ได้ทำการเป็นนายหน้าครบถ้วนแล้ว  กล่าวคือมีการตกลงกันในเร่องนายหน้า  และมีการชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญา  ตลอดจนได้จัดการให้ผู้ขายกับผู้ซื้อได้เข้าทำสัญญากัน  ตามมาตรา  845  ในตอนแรกแม้การซื้อขายจะไม่มีเกิดขึ้นภายหลังทำสัญญาก็ไม่เกี่ยวกับนาย  ข  ถือว่านาย  ข  ได้ชี้ช่องทำให้ผู้ซื้อผู้ขายเข้าทำสัญญากันเป็นอันหมดหน้าที่นาย  ข  แล้ว (ฎ. 517/2494)

ในกรณีหลังเป็นเรื่องของ  มาตรา  845  วรรคแรก  ตอนท้าย  กล่าวคือ  ข้อตกลงระหว่าง  ค  ผู้ซื้อ  และ  ก  ผู้ขายที่กำหนดว่าต้องให้ที่ดินแปลงนอกตัดถนนผ่านเข้ามาถึงที่ดินแปลงที่ตกลงซื้อขายกันนี้เสียก่อน  เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน  แม้นาย  ข  นายหน้าจะจัดการชี้ช่องให้ผู้ซื้อผู้ขายเข้าทำสัญญากันแล้วก็ตาม  นาย  ข  ก็ยังไม่มีสิทธิได้ค่านายหน้า  ต้องรอไปจนกว่าเงื่อนไขสำเร็จก่อน

สรุป

กรณีแรก  นาย  ข  มีสิทธิได้ค่านายหน้าจากนาย  ก  หลังจากนาย  ก  กับนาย  ค  เข้าทำสัญญากันตามมาตรา  845  วรรคแรก

กรณีหลัง  นาย  ข  จะยังไม่ได้ค่านายหน้าจนกว่าเงื่อนไขสำเร็จก่อน  จึงจะได้ตามมาตรา  845  วรรคแรก  ตอนท้าย

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  เป็นผู้ควบคุมการสร้างบ้านหลังหนึ่ง  และมีสัญญาการมอบหมายเป็นหนังสือ  โดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จ  แต่ไม่มีข้อตกลงว่าจะจ่ายบำเหน็จกันเมื่อใด  ต่อมาเมื่อมีการสร้างบ้านมาได้  3  เดือน  นาย  ข  จึงมาขอเบิกเงินบางส่วนเพื่อนำไปใช้สอย  ปรากฏว่านาย  ก  ไม่ยอมให้และบอกว่าบำเหน็จนี้นาย  ก  จะจ่ายเมื่องานเสร็จสิ้นแล้ว  นาย  ข  ไม่พอใจนาย  ก  จึงบอกเลิกการเป็นตัวแทน  ดังนี้  นาย  ข  จะบอกเลิกการเป็นตัวแทนได้หรือไม่  และข้ออ้างของนาย  ก  ที่บอกว่าจะจ่ายบำเหน็จเมื่องานเสร็จแล้วฟังขึ้นหรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัย

ธงคำตอบ

มาตรา  803  ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ  หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ

มาตรา  817  ในกรณีที่มีบำเหน็จตัวแทนถ้าไม่มีข้อสัญญาตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น  ท่านว่าบำเหน็จนั้นพึงจ่ายให้ต่อเมื่อการเป็นตัวแทนได้สิ้นสุดลงแล้ว

มาตรา  827  ตัวการจะถอนตัวแทน  และตัวแทนจะบอกเลิกเป็นตัวแทนเสียในเวลาใดๆก็ได้  ทุกเมื่อ

วินิจฉัย

นาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทน  โดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จแต่ไม่มีข้อตกลงว่าจะจ่ายบำเหน็จกันเมื่อใด  เมื่อสัญญามิได้แบ่งเป็นงวดๆ  และมิได้ตกลงว่าจะให้บำเหน็จเป็นงวดๆก็ต้องจ่ายบำเหน็จเมื่อการเป็นตัวแทนได้สิ้นสุดลง  กล่าวคือ  เมื่อสร้างบ้านเสร็จแล้วนั่นเอง  ดังนี้การที่นาย  ก  อ้างว่าจะจ่ายบำเหน็จเมื่องานเสร็จย่อมกระทำได้ตามมาตรา  817  ประกอบมาตรา  803  (มิใช่กรณีการขอให้จ่ายเงินทดรองตามที่จำเป็น  ตามมาตรา  815  แต่อย่างใด)

ส่วนนาย  ข  บอกเลิกการเป็นตัวแทนได้ตามมาตรา  827  วรรคแรก  ซึ่งมีหลักว่าคู่สัญญาจะบอกเลิกกันเสียเมื่อใดก็ได้  ไม่ว่าตัวแทนจะได้ดำเนินการในกิจการที่มอบหมายให้แก่ตัวการไปบ้างแล้วหรือยัง  ทั้งนี้การบอกเลิกตัวแทนเป็นอีกเรื่องหนึ่งกับความเสียหายในกรณีบอกเลิกเป็นตัวแทนในเวลาที่ไม่สะดวกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง  ดังนั้นตัวแทนจะบอกเลิกเป็นตัวแทนเสียในเวลาใดๆก็ได้ทุกเมื่อ

สรุป  ข้ออ้างของนาย  ก  ฟังขึ้น  และนาย  ข  จะบอกเลิกสัญญาการเป็นตัวแทนได้

 

ข้อ  2  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้ไปซื้อบ้านแทนตัวการ  และเมื่อนาย  ข  ซื้อบ้านมาแล้วก็ไม่ส่งมอบให้นาย  ก  ตัวการ  แต่นาย  ข กลับเอาบ้านนั้นไปให้เช่าหรือนาย  ข  เข้าอยู่อาศัยเสียเอง  ในกรณีเช่นนี้  นาย  ก  ตัวการจะเอาบ้านนั้นคืนด้วยวิธีการใด  และจะถือว่านาย  ก  ขาดประโยชน์ที่จะได้ใช้บ้านนั้นหรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัย

ธงคำตอบ

มาตรา  810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้นท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง  สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น  ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  811  ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ  หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจกรรมของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย  ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

มาตรา  812  ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใดๆเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี  เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี  หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี  ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด

วินิจฉัย

นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้ไปซื้อบ้านแทนตัวการ  เมื่อนาย  ข  ซื้อบ้านมาแล้ว  กลับไม่ส่งมอบให้  ก  ตัวการ  แต่เอาบ้านหลังนั้นไปให้เช่าหรือเข้าอยู่เสียเอง  ในมาตรา  811  กำหนดไว้แต่เรื่องว่าตัวแทนนำเงินไปใช้ต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันนำเงินไปใช้  แต่ตามปัญหาเป็นเรื่องนำทรัพย์สิน (บ้าน)  ไปใช้  ดังนั้นเมื่อตัวแทนนำทรัพย์สิน (บ้าน)  ไปใช้  ก็ให้นับแต่วันเอาไปใช้เช่นกันตามมาตรา  811  นาย  ก ตัวการ  จึงต้องฟ้องเรียกบ้านคืน  รวมทั้งค่าขาดประโยชน์ที่จะได้ใช้บ้านนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้ตามมาตรา  810  ตลอดจนค่าเสียหายตามมาตรา  812  เพราะนาย  ข  ตัวแทนไม่ทำหน้าที่การเป็นตัวแทน  คือ  ไม่ส่งมอบทรัพย์สินแก่ตัวการตามหน้าที่ของตัวแทน

สรุป  นาย  ก  สามารถฟ้องเรียกบ้านคืน  ตามมาตรา  810  แลละถือว่านาย  ก  ขาดประโยชน์ที่จะได้ใช้บ้านนั้น

 

ข้อ  3  นายกรุงมอบหมายนายขยันให้ขายที่ดิน  โดยจะให้ค่านายหน้า  นายขยันนำนายคลังมาซื้อที่ดินของนายกรุง  โดยนายคลังยังบอกกับนายขยันว่าจะให้ค่านายหน้าด้วย  เมื่อนายกรุงกับนายคลังได้โอนซื้อขายที่ดินกันเสร็จเรียบร้อยปรากฏว่า  นายกรุงกับนายคลังก็ไม่ยอมให้ค่านายหน้าแก่นายขยัน  นายขยันจึงฟ้องนายกรุงกับนายคลังให้จ่ายค่านายหน้าแก่ตนตามที่ได้ตกลงกันไว้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากท่านเป็นศาลจะรับสำนวนฟ้องนี้ไว้พิจารณาพิพากษาหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับค่านายหน้าก็ต่อเมื่อ

1       มีการตกลงว่าจะให้ค่านายหน้า

2       มีการชี้ช่อง

3       ต้องมีการทำสัญญากันระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ

นายขยันได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา  845  ครบทุกประการแล้ว  นายขยันจึงควรได้ค่านายหน้า

แต่สัญญาค่านายหน้าผูกพันระหว่างผู้ที่ทำความตกลงกับนายหน้าเท่านั้น  เมื่อผู้ขายเป็นผู้ตกลงกับนายหน้า  แต่ไม่จ่ายค่านายหน้า  นายหน้าย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาจากผู้ขายเท่านั้น  จะฟ้องเอาจากผู้ซื้อในฐานะผิดสัญญานายหน้าด้วยไม่ได้  (ฎ. 584/2499)  ดังนั้น  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะรับสำนวนที่นายขยันฟ้องนายกรุงไว้พิจารณา  และจะยกคำฟ้องสำนวนของนายคลังเพราะนายคลังเป็นผู้ซื้อจึงฟ้องไม่ได้ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

สรุป  ข้าพเจ้าจะรับเฉพาะสำนวนที่นายขยันฟ้องนายกรุงไว้พิจารณาเท่านั้น

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกแต่งตั้งนายโทเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมเสริมทรวงอก  โดยตกลงจะให้บำเหน็จนายโทร้อยละ  10  ของราคาขาย  ปรากฏว่า  ในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าว  นายโทได้ว่าจ้างนางแบบมาโชว์วิธีการและสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ให้สื่อมวลชนดู  ซึ่งสื่อมวลชนก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก  เนื่องจากว่าการกระทำของนายโทดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญาถือว่าเป็นความผิด  ทำให้นายเอกเสียชื่อเสียง  แต่ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้มีผู้สนใจมาซื้อผลิตภัณฑ์มากขึ้นกว่าเดิม  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  นายเอกจะต้องจ่ายบำเหน็จให้นายโทจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  803  ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ  หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ

มาตรา  818  การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทำมิชอบในส่วนนั้น  ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บำเหน็จ

วินิจฉัย

ตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจเฉพาะการมีอำนาจกระทำการได้แต่เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้กิจการที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไป  ตามมาตรา  800  กล่าวคือ  หากไม่ทำสิ่งนั้นๆ  แล้ว  กิจการที่ได้รับมอบหมายก็ไม่อาจที่จะสำเร็จลุล่วงไปได้เช่นกัน ถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ตัวแทนมีอำนาจที่จะกระทำและผูกพันตัวการด้วย

การที่นายเอกตั้งนายโทเป็นตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ครีมเสริมทรวงอก  และนายโทได้ว่าจ้างนางแบบมาโชว์สาธิตผลิตภัณฑ์  ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถือว่าเป็นการกระทำในสิ่งที่จำเป็นแล้ว  หาใช่ว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายไม่  แม้ว่าจะทำให้นายเอกเสียชื่อเสียงก็ตาม  เมื่อนายโทกระทำการภายในขอบอำนาจตามมาตรา  800  และขายผลิตภัณฑ์ให้นายเอกได้ตามที่ตกลงกัน  นายโทตัวแทนจึงมีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จตัวแทนตามมาตรา  803  ประกอบมาตรา  818

สรุป  นายเอก  ต้องจ่ายบำเหน็จให้นายโทร้อยละ  10  ตามที่ตกลงไว้  เพราะนายโทมิได้กระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใด  ตามมาตรา  803  ประกอบมาตรา  818

 

ข้อ  2  บุญส่งมีอาชีพเหมาถมที่  เมื่อได้งานถมที่สนามบินแห่งใหม่  บุญส่งให้บุญมากนำรถบรรทุกดินมาวิ่งร่วมด้วย  และเพื่อความสะดวกในการขนส่ง  บุญส่งอนุญาตให้บุญมากนำเครื่องหมายขนส่งของตนติดไว้หน้ารถ  บุญมากขับรถบรรทุกดินโดยประมาท  ชนรถเก๋งของอรทัยเสียหายยับเยินอรทัยบาดเจ็บ  บุญส่งต้องร่วมรับผิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางที่จ้างนั้น 

มาตรา  427  บทบัญญัติในมาตราทั้งสองนั้น  ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วย่อมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

วินิจฉัย

บุญส่งมีอาชีพรับเหมาถมที่  เมื่อได้งานถมที่  บุญส่งให้บุญมากนำรถบรรทุกดินมาวิ่งร่วมด้วย  และยังอนุญาตให้บุญมากนำเครื่องหมายขนส่งของตนติดไว้หน้ารถ  ดังนี้  การที่บุญส่งอนุญาตให้บุญมากนำเครื่องหมายขนส่งของตนติดหน้ารถของบุญมาก  ถือได้ว่าบุญส่งเชิญบุญมากเป็นตัวแทนของตน  เมื่อบุญมากตัวแทนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  บุญส่งต้องร่วมรับผิดกับบุญมากตามมาตรา  427 ประกอบมาตรา  425  ที่บัญญัติให้ตัวการต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนในการละเมิดที่ตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจของการเป็นตัวแทน  ตามมาตรา  821  (ฎ. 2452/2531)

สรุป  บุญส่งต้องร่วมรับผิดกับบุญมาก

 

ข้อ  3  นายวันมีที่ดินว่างอยู่  จึงต้องการหาคนมาเช่าที่ดินของตนจึงได้บอกนายสองให้ช่วยหาผู้มาเช่าที่ดินดังกล่าว  หากนายสองหาคนมาเช่าที่ดินได้จะให้ค่าตอบแทน  50,000  บาท  ต่อมานายสองทราบว่านายอังคารกำลังหาที่ดินเช่าอยู่  นายสองจึงบอกนายอังคารถึงที่ดินของนายวัน  แต่นายอังคารยังไม่ตัดสินใจเพราะเห็นว่าราคาเช่าที่ดินของนายวันแพงเกินไป  หลังจากนั้นอีก  6  เดือน  นายอังคารตกลงใจว่าจะเช่าที่ดินของนายวันจึงไปติดต่อนายวันด้วยตัวเอง  โดยไม่ได้ติดต่อผ่านนายสอง  และต่อมาได้ทำสัญญาเช่าที่ดินกัน  เช่นนี้  หากนายสองจะเรียกบำเหน็จค่านายหน้าจากนายวันจะกระทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

การที่นายวันได้ตกลงให้นายสองเป็นนายหน้าหาคนมาเช่าที่ดินของนายวัน  และได้ตกลงว่าจะให้ค่าบำเหน็จ  50,000  บาท  จะเห็นได้ว่า นายสองได้ชี้ช่องให้นายอังคารซึ่งกำลังหาที่ดินเพื่อเช่าอยู่ได้เข้าทำสัญญาเช่ากับนายวันแล้ว  แม้นายอังคารจะมิได้ตกลงใจทันทีก็ตาม  แต่ในท้ายสุด  นายอังคารก็เข้าทำสัญญาเช่า

ดังนั้น  การเข้าทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจึงเกิดจากการชี้ช่องของนายสอง  นายหน้าของนายวันแล้ว  และย่อมมีสิทธิในอันจะเรียกบำเหน็จค่านายหน้าจากนายวันได้ตามมาตรา  845  วรรคแรก

สรุป  นายสองเรียกบำเหน็จค่านายหน้า  จำนวน  50,000  บาท  จากนายวันได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2547

การสอบไล่ฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทนโดยมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือให้ไปซื้อที่ดิน  ปรากฏว่านาย  ข  ไปซื้อที่ดินของนาย  ค  นาย  ค  โอนที่ดินให้แก่นาย  ข  แต่นาย  ข  ให้เงินแก่นาย  ค  ไม่ครบ  นาย  ค  จึงฟ้องนาย  ก  โดยอ้างว่าในฐานะที่นาย  ข  เป็นตัวแทนนาย  ก  นาย  ก  จะต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ค้างชำระนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่านาย  ค  จะฟ้องนาย  ก  ได้หรือไม่อย่างไร  พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายมาประกอบด้วย

อีกกรณีหนึ่ง  นาย  ก  มอบนาย  ข  ให้ไปซื้อที่ดินแต่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือมอบหมายเพียงแต่ให้เงินไปวางประจำไว้  ต่อมาผู้ขายโอนที่ดินให้แก่นาย  ข  นาย  ข  กลับไม่ให้เงินในส่วนที่เหลือที่นาย  ก  มอบให้นาย  ข  เพื่อให้นาย  ข  มอบให้ผู้ขายทั้งหมด  แต่นาย  ข  กลับนำไปใช้ส่วนตัวเสีย  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในกรณีเช่นนี้  นาย  ค  จะฟ้องนาย  ก  ให้รับผิดในจำนวนเงินส่วนที่ขาดได้หรือไม่  อย่างไร  พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

วินิจฉัย

กฎหมายวางหลักไว้ว่า  กิจการใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือ

กรณีแรก  การที่นาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นหนังสือ  เพื่อไปซื้อที่ดินก็เข้าหลักเกณฑ์กฎหมายมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้  ดังนั้นการที่นาย  ข ตัวแทนผิดสัญญาต่อนาย  ค  นาย  ค  จึงมีอำนาจฟ้องนาย  ก  ตัวการให้รับผิดได้ตามมาตรา  798  เพราะสัญญาผูกพันตัวการแล้ว

กรณีหลัง  แม้การที่นาย  ก  มอบนาย  ข  ให้ไปซื้อที่ดินจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือ  แต่นาย  ก  ได้ใช้วิธีให้เงินนาย  ข  เพื่อนำไปวางประจำไว้กับผู้ขาย  ก็ถือว่าเป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798  ที่ว่าการตัวตัวแทนจะต้องทำเป็นหนังสือ  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  จึงไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือในการตั้งตัวแทน  ดังนั้น  การที่นาย  ข  ตัวแทนผิดสัญญาต่อนาย  ค  นาย  ค  จึงสามารถฟ้องนาย  ก  ให้รับผิดในส่วนที่ขาดได้  เพราะไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798 

สรุป  นาย  ค  สามารถฟ้องนาย  ก  ให้รับผิดได้ทั้งสองกรณี

 

ข้อ  2  นาย  ก  มอบให้นาย  ข  เป็นตัวแทนให้ไปซื้อบ้านไม้สัก  1  หลัง  ที่จังหวัดเชียงรายเป็นจำนวนเงิน  2,000,000  บาท  แต่นาย  ก  ได้ให้เงินแก่นาย   ข  ไปเพียง  1,500,000  บาทเท่านั้น  นาย  ก  จึงให้นาย  ข  ทดรองจ่ายไป  500,000  บาท  เมื่อนาย  ข  ซื้อบ้านและรื้อถอนเป็นไม้มากองไว้ที่บ้านของตนและบอกให้นาย  ก  มาขนไม้ไปแล้วให้นำเงินมาคืนให้  500,000  บาทด้วย  นาย  ก  ต้องการแต่ไม้และยังไม่ยอมจ่ายเงิน  500,000  บาท  ให้แก่นาย  ข  นาย  ข  จึงไม่ยอมให้ไม้ไปโดยบอกว่าเมื่อใดนำเงินมาชำระหนี้จึงค่อยนำไม้ไปได้ ดังนี้ให้ท่านตอบคำถามดังต่อไปนี้พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย

(1) อยากทราบว่า  หากท่านเป็นนาย  ข  ท่านจะมีทางเลือกอย่างไรในการที่จะได้รับชำระหนี้จากนาย  ก

(2) หากท่านเลือกการยึดหน่วง  หลักเกณฑ์ในการยึดหน่วงเป็นอย่างไร  ถ้ายึดหน่วงไว้จนหนี้ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วจะฟ้องได้อีกหรือไม่

(3) หากยึดหน่วงไว้จนหนี้ขาดอายุความ  ผู้ยึดหน่วงจะนำทรัพย์สินที่ยึดหน่วงไว้นั้นออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  248  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  193/27  การใช้สิทธิยึดหน่วงหาทำให้อายุความแห่งหนี้สะดุดหยุดลงไม่

มาตรา  819  ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ  ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน  เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน

วินิจฉัย

นาย  ก  มอบให้นาย  ข  เป็นตัวแทนไปซื้อบ้านไม้สัก  1  หลัง  เป็นจำนวนเงิน  2,000,000  บาท  แต่นาย  ก  ได้ให้เงินนาย  ข  ไปเพียง  1,500,000  บาทเท่านั้น  นาย  ข  ได้ทดรองจ่ายเงินส่วนที่ขาดไป  500,000  บาท  และได้เอาไม้มากองไว้ที่หน้าบ้านของตน  และเรียกให้นาย  ก  ชำระหนี้  500,000  บาท  แต่นาย  ก  ไม่ยอมชำระหนี้  ดังนี้

(1) ทางเลือกของนาย  ข  ตัวแทนมีอยู่  2  ทาง  คือ

ก.      โดยตัวแทนเลือกเอาการฟ้องเรียกให้ตัวการชำระหนี้

ข.      โดยการยึดหน่วงทรัพย์นั้นไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา  819

(2) หากนาย  ข  เลือกการยึดหน่วง  ย่อมมีผลดังนี้

ก.      การยึดหน่วงไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา  248

ข.      แต่หากตัวแทนยึดหน่วงไปไปจนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ตัวแทนยังฟ้องได้อยู่ตามมาตรา  193/27  คือ  ฟ้องบังคับเอาจากทรัพย์ที่ยึดหน่วงได้

(3) ผู้ยึดหน่วงไม่มีสิทธินำทรัพย์ที่ยึดหน่วงไว้ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้

 

ข้อ  3  ให้ท่านเปรียบเทียบการที่จะได้ค่านายหน้า  ระหว่างการเป็นนายหน้าธรรมดากับนายหน้าที่มีเงื่อนไขว่า  วิธีการจะได้ค่านายหน้ากำหนดไว้เป็นอย่างไร  พร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

การเป็นนายหน้าธรรมดา  มีหลักเกณฑ์  ดังนี้

1       ตกลง

2       ชี้ช่อง

3       จัดการให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้าทำสัญญากัน

โดยเมื่อครบองค์ประกอบ  3  ประการข้างต้นนี้แล้ว  ผู้เป็นนายหน้าก็มีสิทธิที่จะได้ค่านายหน้าแล้วตามมาตรา  845  วรรคแรกตอนต้น  แม้ต่อมาการซื้อขายจะไม่มีการซื้อขายอันเนื่องจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ตาม

แต่หากสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขบังคับก่อนแล้วไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้าทันทีหาได้ไม่  จะได้บำเหน็จค่านายหน้าก็ต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว  ตามมาตรา  845  วรรคแรก  ตอนท้าย

ดังนั้นข้อแตกต่างจึงมีว่าหากเป็นนายหน้าที่ไม่มีเงื่อนไข  ก็มีสิทธิได้บำเหน็จค่านายหน้าทันทีที่ผู้ซื้อขายเข้าทำสัญญากันตามมาตรา  845 วรรคแรกตอนต้น  ส่วนนายหน้าที่มีเงื่อนไขยังไม่ได้บำเหน็จค่านายหน้าจนกว่าเงื่อนไขจะสำเร็จก่อนจึงจะได้ค่านายหน้าตามมาตรา  845 วรรคแรกตอนท้าย

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า ซ่อม 1/2548

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายหนึ่งตั้งนายสองเป็นตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายสาม  นายสองกับนายสามตกลงกันว่านายสามจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของนายสามออกไปจากที่ดินของนายหนึ่งภายใน  1  เดือน  โดยนายหนึ่งจะยอมจ่ายค่ารื้อถอนให้แก่นายสาม  2,000 บาท  หากนายสามไม่รื้อถอนตามกำหนด  นายสามไม่มีสิทธิได้ค่ารื้อถอนและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายหนึ่งเป็นรายเดือนๆละ  200  บาท  ไปจนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ  การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นกิจกรรมที่กฎหมายบังคับให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ

ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากนายหนึ่งตั้งนายสองเป็นตัวแทนโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว  ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร  และหากทั้งสองฝ่ายคือทั้งนายหนึ่งและนายสามเกิดผิดสัญญาต่อกัน  จะฟ้องร้องกันได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

วินิจฉัย

นายหนึ่งตั้งนายสองเป็นตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายสาม  ซึ่งสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  (มาตรา  51)  ดังนั้นการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนี้ก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วยตามมาตรา  798  เมื่อตามปัญหานายหนึ่งตั้งนายสองเป็นตัวแทนโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ผลก็คือสัญญาประนีประนอมยอมความ  ที่นายสองทำไว้กับนายสามไม่ผูกพันทั้งนายหนึ่งและนายสาม  กล่าวคือ

1       แม้นายสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามกำหนด  แต่นายหนึ่งไม่จ่ายค่ารื้อถอน  นายสามจะฟ้องเรียกค่ารื้อถอนกันไม่ได้

2       หรือหากนายสามไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกตามสัญญา  นายหนึ่งจะฟ้องเรียกค่าเสียหายรายเดือนจากนายสามไม่ได้เช่นกัน

สรุป  นายหนึ่ง  และนายสามไม่อาจฟ้องบังคับกันและกันได้

 

ข้อ  2  รัฐบาลประเทศเอกราชได้ทำสัญญาว่าจ้างให้นางพานทองพูมเป็นผู้ก่อสร้างสนามบินสุวรรณเขต  โดยคิดค่าก่อสร้างกว่าสามหมื่นล้านบาท  ปรากกว่านางพานทองพูมต้องเดินทางไปประมูลงานก่อสร้างที่ต่างประเทศ   จึงได้มอบหมายให้นายจตุรทิศเป็นผู้ดูแลการลงนามในสัญญาจ้างและควบคุมการก่อสร้างครั้งนี้ทั้งหมด  ก่อนทำการก่อสร้างนายจตุรทิศได้ทำสัญญาจ้างนายอดิศรซึ่งเป็นวิศวกรมาเป็นผู้ช่วยในการก่อสร้าง  โดยตกลงค่าจ้างเป็นเงิน  500,000  บาท  

ต่อมานายจตุรทิศได้ทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างจากเฮียตงเป็นเงิน  3,000  ล้านบาท  โดยมีนายเบญจรงค์เป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าวัสดุก่อสร้าง  นายจตุรทิศได้ยักยอกเงินนางพานทองพูมไปใช้เป็นการส่วนตัวจนเป็นเหตุให้ใช้วัสดุก่อสร้างไม่ตรงตามที่ตกลงในสัญญาจ้างก่อสร้าง  เป็นเหตุให้เกิดการแตกร้าวบริเวณสนามบิน  เมื่อก่อสร้างเสร็จประเทศเอกราชไม่ยอมรับมอบงานและไม่จ่ายค่าจ้างให้นางพานทองพูม  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1       นายอดิศรจะฟ้องเรียกค่าจ้าง  500,000  บาท  จากนางพานทองพูมและนายจตุรทิศได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

 2       ถ้าหากเมื่อหนี้ตามสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างถึงกำหนดชำระ  เฮียตงได้ฟ้องให้นายเบญจรงค์รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและนายเบญจรงค์ได้ชำระเงินไป  ดังนี้นายเบญจรงค์จะฟ้องไล่เบี้ยให้นางพานทองพูมและนายจตุรทิศ  คืนเงิน  3,000  ล้านบาทได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  797  อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น  คือสัญญาซึ่งให้บุคคลคนหนึ่งเรียกว่าตัวแทน  มีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าตัวการและตกลงจะทำการดังนั้น

อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดยตั้งแต่แสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ย่อมได้

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  820  ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

นางพานทองพูมได้มอบอำนาจให้นายจตุรทิศเป็นตัวแทนในการทำสัญญารับจ้างก่อสร้างสนามบินสุวรรณเขตกับรัฐบาลประเทศเอกราช  และให้นายจตุรทิศดูแลการก่อสร้าง  ถือได้ว่านายจตุรทิศเป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจเฉพาะการของนางพานทองพูมตัวการ  ซึ่งตัวแทนผู้รับมอบอำนาจเฉพาะการมีอำนาจทำการแทนตัวการได้เฉพาะในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้การก่อสร้างซึ่งเป็นกิจการที่ได้มอบหมายสำเร็จลุล่วงไปตามาตรา  800  ประกอบมาตรา  797

1       การที่นายจตุรทิศได้ทำสัญญาจ้างนายอดิศรวิศวกรมาเพื่อเป็นผู้ช่วยในการดูแลการก่อสร้าง  โดยตกลงค่าจ้างเป็นเงิน  500,000  บาท  ถือว่าเป็นการกระทำในสิ่งจำเป็นเพื่อให้กิจการที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไป  ดังนั้นเมื่อนายจตุรทิศตัวแทนได้กระทำการภายในของอำนาจนางพานทองพูมตัวการต้องผูกพันในการจ่ายค่าจ้างให้นายอดิศรตามสัญญาตามมาตรา  820  แม้ว่านายจตุรทิศตัวแทนจะทำการยักยอกเงินนางพานทองพูมไปเป็นเหตุให้ใช้วัสดุก่อสร้างไม่ตรงตามสัญญาจ้างก่อสร้างก็ตาม  ก็เป็นเรื่องความรับผิดที่นายจตุรทิศตัวแทนต้องรับผิดต่อนางพานทองพูมตัวการไม่เกี่ยวกับนายอดิศรบุคคลภายนอก

2       ส่วนกรณีที่นายจตุรทิศตัวแทนได้ทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างจากเฮียตง  โดยมีนายเบญจรงค์เป็นผู้ค้ำประกัน  ก็ถือว่าสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างเป็นการกระทำในสิ่งที่จำเป็น  เพื่อให้การก่อสร้างสำเร็จลุล่วงไป  ดังนั้นเมื่อนายจตุรทิศตัวแทนได้กระทำการภายในขอบอำนาจนางพานทองพูมตัวการต้องผูกพันในการจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างตามสัญญาซื้อขายต่อเฮียตงบุคคลภายนอก  แต่เมื่อปรากฏว่าเฮียตงได้เรียกร้องให้นายเบญจรงค์รับผิดตามสัญญาค้ำประกันไป  นายเบญจรงค์ก็รับช่วงสิทธิไปเรียกร้องจากนางพานทองพูมได้  ไม่อาจเรียกให้นายจตุรทิศตัวแทนรับผิดได้  เพราะการทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างมิใช่เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจหรือนอกขอบอำนาจ  ซึ่งตัวแทนจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตามมาตรา  823  ดังนั้นนางพานทองพูมตัวการจึงต้องผูกพันชำระเงิน  3,000  ล้านบาทต่อนายเบญจรงค์ตามมาตรา  820

สรุป

1       นายอดิศรมีสิทธิฟ้องเรียกค่าจ้างจากนางพานทองพูมตัวการได้

2       นายเบญจรงค์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าวัสดุก่อสร้างจากนางพานทองพูมตัวการได้

 

ข้อ  3  นายแดงต้องการซื้อที่ดิน  1  แปลงแถวมีนบุรีเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย  จึงได้ติดต่อให้นายดำเป็นผู้หาที่ดินที่ตนต้องการ  โดยตกลงว่าจะออกค่าใช้จ่ายให้แก่นายดำ  นายดำขับรถผ่านที่ดินของนายเขียวเห็นป้ายประกาศขายที่ดินของนายเขียวพร้อมหมายเลขโทรศัพท์  นายดำจึงพานายแดงไปดูที่ดินแปลงดังกล่าว  นายแดงพอใจจึงตกลงทำสัญญาซื้อขายและไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน  หลังจากนั้นนายดำจึงไปขอค่าบำเหน็จจากนายเขียวโดยอ้างว่าตนเป็น  ผู้ชี้ช่องและจัดการให้ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจนเสร็จ  ดังนี้อยากทราบว่านายเขียวจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่นายดำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

นายเขียวต้องการขายที่ดินด้วยตนเองจึงได้ติดป้ายประกาศขายที่ดินพร้อมหมายเลขโทรศัพท์  เมื่อนายดำเห็นป้ายจึงพานายแดงมาซื้อที่ดิน  แม้การซื้อขายจะเกิดจากการชี้ช่องและจัดการของนายดำจนทำให้สัญญาซื้อขายสำเร็จ  แต่นายเขียวก็ไม่ได้ตกลงให้นายดำเป็นนายหน้าที่ดิน  และไม่ได้ตกลงว่าจะจ่ายค่าบำเหน็จให้ตามมาตรา  845  วรรคแรก

ดังนั้น  นายเขียวจึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่นายดำ

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  เอก  ตกลงด้วยวาจาแต่งตั้งให้โทเป็นผู้ไปซื้อเครื่อง  Computer  จากร้านค้าในห้างพันธุ์ทิพย์  ปรากฏว่าโทได้ตกลงซื้อเครื่อง  Computer  จากร้านค้าของตรีในนามของเอก  เป็นเงินราคา  25,000  บาท  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

ก)  หากการซื้อเครื่อง  Computer  ไม่มีการทำหลักฐานสัญญาซื้อขายเป็นลายลักษณ์อักษร  แต่ตรีได้ส่งมอบเครื่อง  Computer  ให้โทแล้ว  ต่อมาเอกไม่ชำระค่า   Computer  ให้ตรี  โดยอ้างว่า  การตั้งโทเป็นตัวแทน  ไม่มีการทำหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร  ตนจึงไม่ต้อรับผิดชำระค่า  Computer  ให้ตรี  เช่นนี้  ข้ออ้างของเอกฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข)     เมื่อโทส่งมอบเครื่อง  Computer  ให้เอกแล้ว  โทเรียกบำเหน็จจากการไปซื้อเครื่อง  Computer  แทนเอก  เอกกลับปฏิเสธไม่ยอมชำระค่าบำเหน็จให้โท  เช่นนี้  โทจะฟ้องเรียกบำเหน็จจากเอกได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  803  ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ  หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ

วินิจฉัย

ก)     การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่  20,000  บาท  ขึ้นไป  ถ้ามิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือวางมัดจำ  หรือการชำระหนี้บางส่วน  ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ (มาตรา  456)  โดยหลักเมื่อเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การแต่งตั้งตัวแทนก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเช่นกัน  มิฉะนั้นกิจการที่ตัวแทนได้กระทำลงไปก็จะไม่ผูกพันตัวการ  ตามมาตรา  798  วรรคสอง  แต่หากกิจการที่มอบหมายดังกล่าวกฎหมายให้เลือกทำหลักฐานในการฟ้องร้องได้หลายอย่าง  หากตัวแทนและบุคคลภายนอกเลือกที่จะทำหลักฐานในการฟ้องร้องโดยไม่ทำหลักฐานเป็นหนังสือ  เช่นนี้จะไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798  วรรคสอง  กล่าวคือแม้การตั้งตัวแทนไม่ทำหลักฐานเป็นหนัง  ตัวการก็ต้องถูกผูกพันในกิจการที่ตัวแทนได้กระทำลงไป  จะอ้างบทบัญญัติมาตรา  798  ขึ้นปฏิเสธความผูกพันต่อบุคคลภายนอกหาได้ไม่

เมื่อโทและตรีตกลงซื้อขาย  Computer  ในราคา  25,000  บาท  โดยไม่มีการทำหลักฐานสัญญาซื้อขาย  แต่ตรีได้ส่งมอบ  Computer  อันเป็นการชำระหนี้ฝ่ายผู้ขายให้โทตัวแทนฝ่ายผู้ซื้อแล้ว  การซื้อขายครั้งนี้จึงมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีแล้ว  แม้การแต่งตั้งโทจะกระทำด้วยวาจามิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือตาม  เอกก็ต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขาย  Computer  ต่อตรีผู้ขาย  จะอ้างว่าการแต่งตั้งโทมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ  จึงไม่ต้องชำระค่า  Computer  ไม่ได้  เพราะกรณีนี้ได้มีการชำระหนี้  (ทั้งหมด/บางส่วน)  แล้ว  อันถือว่าการซื้อขายครั้งนี้มีหลักฐานในการฟ้องร้อง  ตามสัญญาซื้อขายแล้ว  กรณีจึงไม่ต้องอยู่ในบังคับมาตรา  798  วรรคสอง  เอกตัวการต้องผูกพันชำระค่า  Computer  ให้ตรีบุคคลภายนอก

ข)     โดยหลักแล้ว  ตัวแทนไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จหรือทางปฏิบัติที่ได้กระทำต่อกันมาเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือมีธรรมเนียมว่ามีบำเหน็จ  ตามมาตรา  803

เมื่อสัญญาระหว่างเอกกับโทมิได้กล่าวถึงบำเหน็จ  และไม่มีการประพฤติต่อกันเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือเป็นธรรมเนียมว่ามีบำเหน็จแต่อย่างใด  ดังนั้นตามมาตรา  803  โทจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกบำเหน็จตัวแทนจากเอกตัวการ

สรุป 

ก)     ข้ออ้างเอกฟังไม่ขึ้น  เพราะกรณีนี้ไม่อยู่ในบังคับมาตรา  798

ข)     โทจะฟ้องเรียกบำเหน็จจากเอกไม่ได้  เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะทำให้ตัวแทนมีสิทธิได้บำเหน็จตามมาตรา  803

 

ข้อ  2  ให้ท่านอธิบายความแตกต่างระหว่างตัวแทนธรรมดากับตัวแทนค้าต่างมาอย่างละ  4  ข้อ  พร้อมทั้งยกหลักมาตราประกอบด้วยทุกข้อ

ธงคำตอบ

ตัวแทนธรรมดา

(1) บุคคลมีอาชีพอะไรก็ได้สามารถเป็นตัวแทนธรรมดาได้  ตามมาตรา  797

(2) บุคคลผู้ไร้ความสามารถก็เป็นตัวแทนธรรมดาได้  ตามมาตรา  799

(3) ตัวแทนธรรมดา  จะมีบำเหน็จหรือไม่มีก็ได้สุดแท้จะตกลงกันตามมาตรา  803

(4) ตัวแทนธรรมดาทำการใดๆ  แทนตัวการ  ตามมาตรา  797

ตัวแทนค้าต่าง

(1) ต้องมีอาชีวะในทางค้าขาย  ตามมาตรา  833

(2) ต้องทำกิจการในนามของตนเองต่างตัวการเป็นคู่สัญญาโดยตรง  ตามมาตรา  844

(3) ผู้ไร้ความสามารถจึงเป็นตัวแทนค้าต่างไม่ได้  ตามมาตรา  836  เพราะอาจต้องเป็นโจทก์เองหรือในทางกลับกันอาจโดนฟ้องเป็นจำเลย

(4) ตัวแทนค้าต่าง  ชอบที่จะได้บำเหน็จ  ตามมาตรา  384

(หากนักศึกษาให้เหตุผลอื่นที่เข้าหลักเกณฑ์นอกเหนือจากแนวคำตอบข้างต้นนี้  การให้คะแนนให้อยู่ในดุลพินิจของอาจารย์ผู้ตรวจ)

 

ข้อ  3  นายแดงมีที่ดิน  1  แปลง  มีความจำเป็นต้องการขายที่ดินโดยเร็วเพื่อนำเงินไปชำระหนี้จำนอง  จึงได้ตกลงให้นายดำเป็นนายหน้าที่ดินแปลงดังกล่าว  และได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จจำนวน  50,000  บาท  โดยสัญญานายหน้ามีข้อความระบุว่า  มอบให้นายหน้าไปจัดการให้จดทะเบียน  ณ  สำนักงานที่ดินให้เสร็จภายในกำหนด  10  วัน  นับแต่วันทำสัญญานี้  ถ้าพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว  สัญญานายหน้าเป็นอันระงับสิ้นสุดลง  ต่อมา  นายดำได้พานายเขียวมาทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนายแดง  แต่ไม่สามารถจัดการให้มีการจดทะเบียนซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กันได้ภายใน  10  วัน  หลังจากนั้นนายดำได้มาขอรับค่าบำเหน็จนายหน้าจากนายแดง  โดยอ้างว่าได้จัดการชี้ช่องจนสำเร็จแล้ว  ดังนี้  อยากทราบว่านายแดงต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่นายดำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น 

วินิจฉัย

การที่นายแดงได้มอบให้นายดำเป็นนายหน้าขายที่ดิน  1  แปลง  โดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จนายหน้าจำนวน  50,000  บาท  แก่นายดำ แม้นายดำจะพานายเขียวมาทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนายแดงอันถือว่าการชี้ช่องได้ทำกันสำเร็จตามมาตรา  845  วรรคแรก  แล้วก็ตาม  แต่เมื่อสัญญานายหน้าระบุว่า  มอบให้นายหน้าไปจัดการจดทะเบียนให้เสร็จภายใน  10  วัน  นับแต่วันทำสัญญา  ถ้าพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว  สัญญานายหน้าเป็นอันระงับสิ้นสุดลง  อันมีความหมายว่า  เมื่อนายดำติดต่อหาผู้ซื้อได้แล้ว  นายดำจำต้องจัดการให้มีการจดทะเบียนซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กันให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว  นับแต่วันทำสัญญาด้วย  เป็นกรณีที่คู่สัญญามีเจตนากำหนดเวลาไว้แน่นอน  กำหนดเวลาดังกล่าวจึงเป็นข้อสาระสำคัญของสัญญานายหน้าเมื่อครบกำหนด  10  วันแล้ว  และไม่ปรากฏว่านายแดงได้ผ่อนเวลาออกไปอีก  การที่นายดำไม่สามารถจัดการให้มีการจดทะเบียนซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์กันได้  จึงถือว่าสัญญานายหน้าได้สิ้นสุดลงตามสัญญาและไม่มีผลผูกพันคู่กรณี  นายแดงจึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้แก่นายดำ  ตามมาตรา  845  วรรคแรก  (ฎ. 1118/2533) 

WordPress Ads
error: Content is protected !!