LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแตงทำสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง  กำหนดเวลา  20  ปี  วงเงินเอาประกัน  2  แสนบาท  ระบุให้นางกล้วยมารดาเป็นผู้รับประโยชน์ในขณะทำสัญญานายแตงรู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคต้อตา  แต่ไม่ได้แจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบ  หลังจากทำสัญญาไปได้  4  ปี  นายแตงตายด้วยโรคมะเร็ง  บริษัทประกันภัยมีสิทธิบอกล้างไม่จ่ายเงินประกัน  2  แสนบาทได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายแตงรู้ว่าตนเองป่วยเป็นโรคต้อตา  แต่ไม่ได้แจ้งให้บริษัทประกันชีวิตทราบ  บริษัทประกันชีวิตจะมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิต  และไม่จ่ายเงินประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์ได้หรือไม่  เห็นว่า  โดยหลักแล้ว  ถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริง  ซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  สัญญาประกันชีวิตจึงจะตกเป็นโมฆียะ  ซึ่งผู้รับประกันภัยมีสิทธิบอกล้างเพื่อปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามสัญญาได้ตามมาตรา  865  วรรคแรก การที่นายแตงรู้อยู่แล้วว่าตนเองเป็นโรคต้อตาแต่ไม่ได้แจ้งให้บริษัทฯทราบนั้น  โรคต้อตาไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติเกี่ยวกับตาที่มีอันตรายร้ายแรงถึงขนาดอนุมานได้ว่า  ถ้านายแตงผู้เอาประกันภัยได้แจ้งเช่นนั้นแล้ว  ผู้รับประกันชีวิตจะบอกปัดไม่รับประกันชีวิต  หรือจะเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้น  ดังนั้น  แม้นายแตงจะมิได้แจ้งให้บริษัทฯทราบก็ไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะ

ส่วนการที่นายแตงตายด้วยโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคร้ายนั้น  เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายแตงรู้ว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน  แม้นายแตงจะถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง  ก็จะถือว่านายแตงละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาไม่ได้

เมื่อสัญญาประกันชีวิตสมบูรณ์  บริษัทประกันชีวิตไม่มีสิทธิบอกล้าง  การที่นายแตงถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง  บริษัทฯจึงต้องจ่ายเงินประกัน  2  แสนบาทให้แก่นางกล้วยผู้รับประโยชน์ ฎ. 3728/2530

สรุป  บริษัทประกันภัยไม่มีสิทธิบอกล้าง  จึงต้องจ่ายเงินประกัน  2  แสนบาทให้แก่นางกล้วยผู้รับประโยชน์

 

ข้อ  2  นายแก้วเอาบ้านของตนประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  ต่อมาภายในอายุสัญญาประกัน  นายขวดบุตรของนายแก้วจุดไฟเผาบ้านหลังนี้ไหม้หมดทั้งหลังเพื่อประท้วงนายแก้วบิดาที่ไม่ยอมซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้  ดังนี้  นายแก้วเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ 

(1)          เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วรรคท้าย  ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเรื่องความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแก้วเอาบ้านของตนประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  กรณีเช่นนี้ถือว่านายแก้วเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย  ตามมาตรา  863  สัญญาประกันวินาศภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  เมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา (อัคคีภัย)  บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัยให้กับนายแก้วหรือไม่  เห็นว่า  มาตรา  879  นั้นเป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย  จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่า  บริษัทผู้รับประกันภัยมีสิทธิปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยได้  หากปรากฏว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำโดยทุจริต  หรือเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เท่านั้น  (ฎ. 1720/2534)  ถ้าเป็นความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลอื่น  แม้จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์สักเพียงใดก็ตาม  ก็ยังไม่ทำให้ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิดไปได้  (ฎ.4830/2537)

เมื่อข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า  นายขวดผู้จุดไฟเผาบ้านที่เอาประกันภัย  ไม่ได้เป็นผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์  ส่วนนายแก้วบิดาของนายขวดก็ไม่มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าสนับสนุนหรือใช้ให้นายขวดเผาบ้านที่เอาประกัน  จึงถือไม่ได้ว่าไฟไหม้บ้านที่เอาประกันไว้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์  กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา  879  วรรคแรก  ที่ผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  ดังนั้น  บริษัทประกันภัยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายแก้วผู้เอาประกันภัย  ตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินวงเงินที่เอาประกันภัยไว้  ตามมาตรา  877 (1) และวรรคท้าย

สรุป  นายแก้วมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาได้ 

 

ข้อ  3  นายเอกได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง  ระบุให้นายโทบุตรชายคนโตเป็นผู้รับประโยชน์  และนายเอกได้มอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับนายโท  นายโทจึงโทรศัพท์แจ้งไปยังบริษัทประกันชีวิตว่าตนแสดงความจำนงจะถือเอาประโยชน์ตามสัญญานี้  ต่อมานายโทประพฤติตนไม่เหมาะสม  นายเอกจึงมีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทประกันชีวิตว่าขอโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้ให้แก่นายตรีบุตรชายคนเล็ก  บริษัทประกันชีวิตตอบรับทราบ  เมื่อนายเอกถึงแก่ความตาย  ภายในอายุสัญญาประกันชีวิต  อยากทราบว่า  บริษัทประกันชีวิตจะต้องจ่ายเงินเอาประกันให้แก่นายโทหรือนายตรี  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  891  วรรคแรก  แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี  ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้  เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว  และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  891  วรรคแรกนั้น  แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กำหนดตัวผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว  ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้  (โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย)  เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง  2  ประการต่อไปนี้  ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก  คือ

1       ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2       ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้นายเอกจะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้กับนายโทผู้รับประโยชน์ไปแล้วก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงแต่เพียงว่า  นายโทโทรศัพท์ไปแจ้งให้บริษัทประกันชีวิตทราบว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น  หาได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังบริษัทผู้รับประกันชีวิตว่าตนจะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้ไม่  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  891 วรรคแรก  สิทธิการโอนประโยชน์ของนายเอกผู้เอาประกันชีวิตจึงยังไม่หมดไป  เมื่อนายเอกได้บอกกล่าวการโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้ให้แก่นายตรี  และบริษัทประกันชีวิตตอบรับทราบแล้ว  เมื่อนายเอกถึงแก่ความตายภายในอายุสัญญาประกันชีวิต  บริษัทประกันชีวิตจึงต้องจ่ายเงินเอาประกันให้แก่นายตรีผู้รับประโยชน์

สรุป  บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงินเอาประกันให้แก่นายตรี

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกได้เอาประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ในเหตุมรณะกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในวันที่  1  มกราคม  2547  มีกำหนดสัญญา  5  ปี  ระบุให้นายโทเป็นผู้รับประโยชน์  โดยนายเอกไม่เปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นโรคไส้เลื่อนให้บริษัทประกันภัยทราบ  ในวันที่  1  มกราคม  2550  นายเอกถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง  ต่อมาบริษัทประกันภัยทราบเรื่องว่านายเอกไม่เปิดเผยความจริงเมื่อวันที่  31  ธันวาคม  2551  อันเป็นวันครบกำหนดสัญญาจึงรีบบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเอกทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน  สัญญาประกันชีวิตย่อมมีผลผูกพันตามมาตรา  863

การที่นายเอกซึ่งเป็นผู้เอาประกันชีวิตรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงอันจะเป็นเหตุให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรกนั้น  จะต้องเป็นข้อความจริงที่มีลักษณะสำคัญถึงขนาดว่าอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก  หรือบอกปัดไม่ทำสัญญา

แต่จากข้อเท็จจริง  แม้นายเอกไม่เปิดเผยเรื่องที่ตนเป็นโรคไส้เลื่อนให้บริษัทประกันภัยทราบก็ตาม  แต่โรคไส้เลื่อนมิใช่เป็นโรคที่มีอันตรายร้ายแรง  เมื่อผ่าตัดแล้วอาจหายได้  ยังไม่ถึงขนาดที่ว่าถ้านายเอกแจ้งความจริงนี้แล้ว  บริษัทประกันภัยจะบอกปัดไม่รับทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้นตามมาตรา  865  วรรคแรก  ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตฉบับนี้จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่เป็นโมฆียะ บริษัทประกันภัยไม่สามารถบอกล้างสัญญาฉบับนี้ได้  ต้องชำระเงินประกันชีวิต  1  ล้านบาทให้แก่นายโทผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  890  (ฎ. 715/2513)

เมื่อสัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะ  กรณีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเรื่องกำหนดเวลา  1  เดือน  นับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างหรือกำหนด  5  ปี  นับแต่วันทำสัญญาตามมาตรา  865  วรรคสองแต่อย่างใด

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะวินิจฉัยให้บริษัทประกันภัยต้องชำระเงินประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ให้แก่นายโทผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต

 

ข้อ  2  นายรวยเจ้าของโรงงานทอผ้าได้เอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  ต่อมานายรวยไล่นายมอมลูกจ้างออกเพราะติดยาบ้า  นายมอมโกรธแค้นมากจึงลอบวางเพลิงเผาโรงงานนี้  แต่คนงานอื่นเห็น  ได้ช่วยกันดับไฟจึงไม่ไหม้  นายรวยเห็นว่านายมอมคงไม่กล้าทำอีกเพราะได้แจ้งความกับตำรวจไว้แล้ว  จึงไม่จ้างยามมาเฝ้าและไม่จัดหาเครื่องดับเพลิงมาไว้ในโรงงาน  ปรากฏว่าในระหว่างอายุสัญญา  นายมอมย้อนกลับมาเผาโรงงานนี้อีกครั้งในเวลากลางคืน  เพลิงไหม้โรงงานหมด  นายรวยเรียกให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทประกันปฏิเสธอ้างว่านายรวยประมาท  เนื่องจากไม่จ้างยามและไม่หาเครื่องดับเพลิงมาเตรียมไว้เพื่อป้องกันภัย

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทประกันต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ 

(1)          เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วรรคท้าย  ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเรื่องความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายรวยเอาโรงงานทอผ้าของตนทำประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  กรณีเช่นนี้ถือว่านายรวยเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา  863  สัญญาประกันวินาศภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  เมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา  (อัคคีภัย)  บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัยให้กับนายแก้วหรือไม่  เห็นว่า  มาตรา  879  นั้น  เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย  จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่า  บริษัทผู้รับประกันภัยมีสิทธิปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยได้  หากปรากฏว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เท่านั้น (ฎ. 1720/2534)  ถ้าเป็นความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลอื่นๆ  แม้จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์สักเพียงใดก็ตาม  ก็ยังไม่ทำให้ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิดไปได้ (ฎ. 4830/2537)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  การที่โรงงานทอผ้าของนายรวยผู้เอาประกันภัยถูกวางเพลิงมาแล้วครั้งหนึ่ง  แต่นายรวยไม่จ้างยามและไม่หาเครื่องดับเพลิงมาเตรียมไว้เพื่อป้องกันภัย  ทำให้นายมอมย้อนกลับมาเผาโรงงานที่เอาประกันภัยไว้จนไหม้หมดนั้นเป็นเพียงความประมาทเลินเล่ออย่างธรรมดาหรือประมาทเลินเล่อตามปกติธรรมดาของปุถุชน  ยังไม่ถึงขั้นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยจะปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  879  วรรคแรก  ดังนั้นบริษัทวินาศภัยยังคงมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายรวยตามจำนวนความเสียหายที่แท้จริง  แต่ไม่เกินจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้ตามมาตรา  87  วรรคแรก (1)  ประกอบวรรคท้าย (ฎ. 1742/2520)

สรุป  บริษัทประกันวินาศภัยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายรวย

 

ข้อ  3  หนึ่งได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพ  ในวันที่  1  มกราคม  2551  ไว้กับบริษัทประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญากำหนด  5  ปี  ระบุให้สองบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์  หลังจากทำสัญญาได้ไม่นาน  หนึ่งทำธุรกิจขาดทุนทำให้เขาคิดมากคิดอยากฆ่าตัวตาย  จึงได้ดื่มยาพิษเข้าไปในวันที่  28  ธันวาคม  2551  สองบุตรชายได้นำตัวส่งโรงพยาบาล  แพทย์ได้ล้างท้องให้แต่ก็ยังทำให้เขาอ่อนเพลียอยู่มาก  ต่อมาอีก  2  วัน  เขาก็เสียชีวิตลง  สองบุตรชายจึงไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์ 

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันสัญญาประกันชีวิตย่อมมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา  863

การที่หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการทรงชีพนั้น  บริษัทจะใช้เงินให้ตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา  890  ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญานั้น  หนึ่งผู้เอาประกันชีวิตและในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิตด้วยนั้นจะต้องมีชีวิตอยู่จนครบตามสัญญา  คือ  ครบ  5  ปี  บริษัทประกันชีวิตจึงจะใช้เงินให้ตามมาตรา  889

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนึ่งได้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายก่อนครบกำหนดอายุสัญญาประกันชีวิต  นายสองผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาดังกล่าว  และในกรณีนี้ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895  เพราะการที่จะปรับเข้ากับข้อกฎหมายตามมาตรา  895  นั้น  ต้องเป็นกรณีการประกันชีวิตโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะเท่านั้น  ฉะนั้นบทบัญญัติมาตรา  895  จึงไม่จำต้องนำมาพิจารณาในคดีนี้  ดังนั้นบริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองผู้รับประโยชน์  สามารถยกข้อต่อสู้ว่าหนึ่งผู้เอาประกันชีวิตมิได้มีชีวิตอยู่จนครบระยะเวลาตามที่สัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความทรงชีพกำหนดไว้ขึ้นปฏิเสธความรับผิดต่อสองได้

สรุป  บริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองผู้รับประโยชน์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดำเป็นเจ้าของตึกแถวราคา  5  ล้านบาท  นายแดงเป็นพี่ชายนายดำ  นายดำอนุญาตให้นายแดงเข้ามาอาศัยอยู่และขายอาหารในตึกแถวนั้นได้  แต่นายแดงกลัวว่าถ้าไฟไหม้ตึกแถวนี้ตนจะได้รับความเดือดร้อน  เพราะต้องหาตึกแถวแห่งใหม่เพื่อทำการค้าต่อไป  นายแดงจึงนำตึกแถวนี้ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่งเป็นเวลา  1  ปี  วงเงินเอาประกัน  5  แสนบาท  หลังจากทำสัญญาประกันภัยไปได้  5  เดือน  นายดำได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยให้กับนายแดงเป็นเวลา  10  ปี  อีก  1  เดือนต่อมาไฟไหม้ตึกแถวข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้ตึกแถวที่นายแดงเอาประกันภัยไว้เสียหายทั้งหมด  ดังนี้  จงวินิจฉัยว่า  สัญญาประกันภัยระหว่างนายแดงกับบริษัทประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้อธิบายโดยใช้หลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  869  อันคำว่า  วินาศภัย  ในหมวดนี้  ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใดๆบรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแดงผู้เอาประกันภัยตึกแถวไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน  ตามมาตรา  863  เพราะนายแดงไม่มีความสัมพันธ์ใดๆที่กฎหมายรับรองสิทธิ  เนื่องจากนายแดงครอบครองตึกแถวของนายดำในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น  อีกทั้งเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นนายแดงไม่สามารถตีราคาความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ตามมาตรา  869  นายแดงจึงไม่ได้เสียหายเพราะนายแดงยังไม่มีสอทธิใดๆในตึกแถวนี้

ทั้งนี้แม้ต่อมาภายหลังนายแดงจะมีสิทธิอาศัยเกิดขึ้นเพราะมีการจดทะเบียนก็ไม่ทำให้สัญญาที่ไม่ผูกพันตั้งแต่ต้นกลายมาเป็นสัญญาที่มีผลผูกพันภายหลังได้  เพราะส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันภัยต้องมีในขณะทำสัญญาเท่านั้น  สัญญาจึงจะผูกพัน

ดังนั้น  สัญญาประกันภัยระหว่างนายแดงกับบริษัทประกันภัยจึงไม่มีผลผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างใด  เมื่อวินาศภัยเกิดขึ้น  บริษัทประกันภัยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดงผู้เอาประกันภัย (ฎ. 1742/2520)

สรุป  สัญญาประกันภัยระหว่างนายแดงกับบริษัทประกันภัยจึงไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา

 

ข้อ  2  นายมีเป็นเจ้าของนุ่นที่เก็บไว้ในโกดังมีมูลค่าล้านกว่าบาท  นายมีนำเอานุ่นไปประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทมั่นคงประกันวินาศภัยฯ  วงเงินเอาประกันจำนวนหนึ่งล้านบาท  โดยนายมีเป็นผู้รับประโยชน์ในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับ  นุ่นที่เอาประกันภัยได้เกิดระอุลุกไหม้ขึ้นเองเพราะอุณหภูมิในโกดังสะสมจนถึงจุดติดไฟเนื่องจากอยู่ในระหว่างฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัดกว่าทุกปี  ดังนี้  การที่นุ่นถูกไฟไหม้หมด อยากทราบว่าบริษัทมั่นคงฯ  ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายมีหรือไม่  เพราะเหตุใด  ทั้งนี้ในกรมธรรม์ประกันภัยไม่มีข้อตกลงกันเป็นอย่างอื่น

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  879  วรรคสอง  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในความวินาศภัยอันเป็นผลโดยตรงมาแต่ความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุที่เอาประกันภัย  เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นุ่นซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยเกิดระอุลุกไหม้ขึ้นเอง  กรณีถือว่าความวินาศภัยเป็นผลโดยตรงมาแต่ความไม่สมประกอบในเนื้อแห่งวัตถุที่เอาประกันภัย  คือ  เพลิงไหม้เกิดจากตัวทรัพย์ที่เอาประกันภัยนั้นเอง  กรณีจึงต้องด้วยข้อยกเว้นมาตรา  879 วรรคสอง  ที่บริษัทมั่นคงฯ  ไม่ต้องรับผิด

ดังนั้น  การที่นุ่นวัตถุเอาประกันภัยถูกไฟไหม้หมด  บริษัทมั่นคงฯ จึงไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายมี  อีกทั้งไม่มีการตกลงให้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดแม้นุ่นเกิดลุกไหม้ขึ้นเอง

สรุป  บริษัทมั่นคงฯ  ไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายมี

 

ข้อ  3  นางแก้วได้เอาประกันชีวิตนายขวดผู้เป็นสามีโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในวงเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  โดยระบุให้ตนเองและนายสุดหล่อบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์คนละครึ่ง  อีก  5  ปีต่อมานางแก้วและนายขวดได้หย่าขาดจากกัน  ในวันที่จดทะเบียนหย่านั้น  นายสุดหล่อได้ทำปืนลั่นถูกนายขวดถึงแก่ความตาย  ศาลพิพากษาจำคุกนายนายสุดหล่อฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาทมีกำหนด  1  ปี  หลังจากนั้นนางแก้วและนายสุดหล่อได้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต  แต่บริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  นางแก้วได้หย่าขาดจากนายขวดไปแล้ว  จึงไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายขวด  และไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา  ส่วนนายสุดหล่อก็ไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาเช่นเดียวกัน  เพราะเป็นผู้ทำให้นายขวดตาย

จงวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อได้ความว่าในขณะที่นางแก้วได้เอาประกันชีวิตนายขวดผู้เป็นสามี  โดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  ซึ่งในขณะนั้นนางแก้วและนายขวดยังมิได้หย่าขาดจากกัน  และมีความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส  ดังนี้  เมื่อนางแก้วผู้เอาประกันชีวิตมีส่วนได้เสียกับนายขวดผู้ถูกเอาประกันชีวิตในขณะทำสัญญา  สัญญาจึงมีผลผูกพันสมบูรณ์ตามมาตรา  863  ทั้งนี้  แม้จะฟังได้ความว่าภายหลังทำสัญญาแล้ว  นางแก้วและนายขวดจะจดทะเบียนหย่ากันก็ตาม  ก็หาทำให้สิทธิของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปไม่

และเมื่อนางแก้วมีส่วนได้เสียและกำหนดให้ตนเป็นผู้รับประโยชน์  บริษัทประกันภัยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นางแก้วตามสัญญา  ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า  นางแก้วได้หย่าขาดจากนายขวดไปแล้ว จึงไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายขวด  และไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา  จึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนกรณีของนายสุดหล่อนั้น  ข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประการหนึ่งตามมาตรา  895(2)  คือผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  ซึ่งหมายความว่าเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล  หากมีเพียงเจตนาทำร้าย  หรือเป็นเพราะประมาทเลินเล่อก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า  จากการที่นายสุดหล่อทำปืนลั่นถูกนายขวดถึงแก่ความตาย  ศาลได้พิพากษาจำคุกนายสุดหล่อฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท  จะเห็นได้ว่า  จากคำพิพากษานายสุดหล่อผู้รับประโยชน์หาได้มีเจตนาฆ่านายขวดผู้ถูกเอาประกันแต่อย่างใด  กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา  895(2)  ดังนั้น  เมื่อไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่บริษัทประกันภัยจะอ้างได้  บริษัทประกันภัยดังกล่าวจึงต้องจ่ายตามสัญญาประกันชีวิตให้นายสุดหล่อเช่นกัน  ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า  นายสุดหล่อไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญาเพราะทำให้นายขวดถึงแก่ความตายจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยฟังไม่ขึ้น

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเด่นเช่าซื้อรถยนต์จากบริษัทกู๊ดคาร์  จำกัด  โดยทำเป็นหนังสือ  แต่บริษัทกู๊ดคาร์ฯเกรงว่ารถจะถูกโจรกรรม  จึงไปทำสัญญาประกันภัยรถ  ในกรมธรรม์ระบุว่าคุ้มครองโจรกรรมไว้กับบริษัทสยามประกันวินาศภัยฯ  โดยนายเด่นเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันในนามของบริษัทกู๊ดคาร์ฯ  ต่อมานายเด่นชำระค่าเช่าซื้อครบทุกงวดและโอนทะเบียนรถเป็นของนายเด่นแล้ว  แต่นายเด่นยังคงระบุชื่อบริษัทกู๊ดคาร์ฯ  เป็นผู้เอาประกันภัย  แต่มีวงเล็บชื่อนายเด่น  และระบุที่อยู่ของนายเด่นเป็นที่อยู่ของผู้เอาประกันภัยด้วย  ในระหว่างอายุสัญญารถที่เอาประกันภัยคันดังกล่าวถูกขโมย  นายเด่นจึงรีบแจ้งบริษัทสยามประกันวินาศภัยฯ  โดยไม่ชักช้า  แต่บริษัทสยามฯ  ผู้รับประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอ้างว่านายเด่นไม่ใช่ผู้เอาประกันภัย  ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนคือบริษัทกู๊ดคาร์ฯ  เพราะเป็นผู้เอาประกันภัย  ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของบริษัทสยามประกันภัยที่ว่า  นายเด่นไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  862  วรรคสาม  คำว่า  “ผู้เอาประกันภัย”  ท่านหมายความว่า  คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่บริษัทกู๊ดคาร์  ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ไว้กับบริษัทสยามประกันวินาศภัยฯ  โดยมีนายเด่นผู้เช่าซื้อเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทกู๊ดคาร์  กรณีนี้ถือว่านายเด่นเป็นเพียงผู้จ่ายเบี้ยประกันแทนเท่านั้น  เพราะเบี้ยประกันภัยเป็นหนี้ของคู่สัญญาฝ่ายผู้เอาประกันภัย  ซึ่งผู้เอาประกันภัยไม่จำต้องชำระหนี้ด้วยตนเอง  จึงยังฟังไม่ได้ว่านายเด่นเป็นคู่สัญญาซึ่งเอาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อด้วย

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  หลังจากที่นายเด่นชำระค่าเช่าซื้อครบทุกงวดและโอนทะเบียนรถเป็นของนายเด่นแล้ว  นายเด่นยังคงระบุชื่อบริษัทกู๊ดคาร์ฯ  เป็นผู้เอาประกันภัย  และมีวงเล็บชื่อนายเด่นพร้อมทั้งระบุที่อยู่ของนายเด่นเป็นที่อยู่ของผู้เอาประกันภัย  กรณีนี้ถึงแม้ว่าในกรมธรรม์จะระบุชื่อบริษัทกู๊ดคาร์  เป็นผู้เอาประกันก็ตาม  แต่เมื่อระบุที่อยู่ของนายเด่นเป็นที่อยู่ของผู้เอาประกันภัย  จึงต้องถือว่านายเด่นเป็นคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้เอาประกันด้วยตามมาตรา  862  วรรคสาม  เมื่อเกิดวินาศภัยดังที่ระบุไว้ในสัญญาคือรถถูกโจรกรรม  นายเด่นจึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทสยามประกันวินาศภัยฯได้

ดังนั้น  ข้ออ้างของบริษัทสยามประกันวินาศภัยฯที่ว่า  นายเด่นไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 656/2521)

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทสยามประกันวินาศภัยฯ  ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายแดงทำสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  โดยประกันประเภทที่  1  คือ  คุ้มครองทุกอย่าง  รวมทั้งความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอาประกันด้วย 

วงเงินเอาประกัน  5  แสนบาท  ในระหว่างอายุสัญญานายดำขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายแดงเสียหาย  บริษัทประกันภัยจึงนำรถยนต์ของนายแดงไปให้นายเขียวซ่อม  คิดเป็นเงิน  7  หมื่นบาท  แต่บริษัทประกันยังมิได้จ่ายค่าซ่อมรถให้แก่นายเขียวเจ้าของอู่  เมื่อซ่อมรถของนายแดงเสร็จ  นายแดงได้รับมอบรถไปแล้ว  บริษัทประกันภัยเรียกร้องให้นายดำจ่ายค่าซ่อมรถ  แต่นายดำปฏิเสธ  ดังนี้  บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าซ่อมรถ  7  หมื่นบาท  จากนายดำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  438  วรรคสอง  อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น  ได้แก่  การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด  หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น  รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย

มาตรา  880  วรรคแรก  ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้  ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด  ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอก  เมื่อผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยไปเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา  880  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแดงทำสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัย  และในระหว่างอายุสัญญา  นายดำได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายแดงเสียหาย  กรณีนี้ถือว่าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของนายดำซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว  และการที่บริษัทประกันภัยได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปให้นายเขียวซ่อมจนใช้การได้  และส่งมอบรถยนต์ให้นายแดงแล้วนั้น  ถือว่าเป็นการคืนทรัพย์ตามมาตรา  438  วรรคสอง  ซึ่งถือได้ว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยแล้ว  (ฎ. 1006/2503)

ส่วนการที่บริษัทประกันภัยติดค้างค่าซ่อมรถ  ซึ่งยังมิได้ชำระให้แก่นายเขียวเจ้าของอู่นั้น  เป็นหนี้ตามสัญญาจ้างทำของระหว่างบริษัทประกันภัยกับนายเขียวซึ่งเป็นหนี้ต่างหากจากกัน  ไม่เกี่ยวกับการที่บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายแดง

สรุป  บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน  7  หมื่นบาท  จากนายดำได้  เพราะเป็นกรณีที่บริษัทประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิตามมาตรา  880

 

ข้อ  3  นางสมปองได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง  ในสัญญาระบุให้นางสาวสมใจบุตรสาวเป็นผู้รับประโยชน์  ต่อมาภายในอายุสัญญาประกัน  นางสมปองได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง  นางสาวสมใจบุตรสาวเป็นคนดูแลรักษาพยาบาล  ได้หยิบยาผิดขวดให้นางสมปองกินจนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา  ดังนี้  นางสาวสมใจผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

โดยหลัก  เมื่อผู้เอาประกันชีวิต  หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย  บริษัทผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ  เว้นแต่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญา  หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา  895

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางสาวสมใจซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์  ได้หยิบยาผิดขวดให้นางสมปอง  ผู้เอาประกันชีวิตกินจนถึงแก่ความตายนั้น  เป็นเพียงความประมาทเลินเล่อ  ยังถือไม่ได้ว่านางสาวสมใจเจตนาฆ่านางสมปอง  กรณีนี้จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันชีวิตจะไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตในกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  895(2)  ดังนั้น  นางสาวสมใจผู้รับประโยชน์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตได้ตามมาตรา  889  ประกอบมาตรา  890

สรุป  นางสาวสมใจมีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประกันชีวิตจากบริษัทประกันชีวิต

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  

ข้อ  1  นายแก้วได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองในเหตุมรณะเป็นเงิน  1  ล้านบาท  ไว้กับบริษัทประกันชีวิต  โดยระบุให้เพื่อนชื่อนายขวดเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  ต่อมานายแก้วตายในระหว่างอายุสัญญา  บริษัทประกันชีวิตไม่ยอมจ่ายเงินจำนวน  1  ล้านบาทให้แก่นายขวด  โดยอ้างว่านายขวดเป็นบุคคลภายนอกเป็นเพียงเพื่อนของนายแก้ว  นายขวดมิได้มีส่วนได้เสีย  จึงไม่มีสิทธิได้รับเงิน  1 ล้านบาทตามสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว  ดังนี้  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

วินิจฉัย

สัญญาประกันชีวิตนั้น  ถือว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง  จึงต้องนำเอาบทบัญญัติในหมวด  1  บทเบ็ดเสร็จทั่วไป  มาใช้บังคับด้วย  กล่าวคือ  ผู้เอาประกันชีวิตจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย  หรือมีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้เอาประกันภัยด้วย  ซึ่งอาจจะเป็นชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่นก็ได้  สัญญาประกันชีวิตจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญา (มาตรา  863)

ตามอุทาหรณ์  การที่สัญญาประกันชีวิตระบุให้นายขวดซึ่งเป็นเพื่อนของนายแก้วเป็นผู้รับประโยชน์นั้นตามมาตรา  863  มิได้บังคับให้ผู้รับประโยชน์จะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยด้วยแต่อย่างใด  ซึ่งผู้รับประโยชน์จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือจะเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ ดังนั้นเมื่อนายแก้วได้ตายลงในระหว่างอายุสัญญา  นายขวดจึงมีสิทธิที่จะได้รับเงิน  1  ล้านบาทในฐานะผู้รับประโ ยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตที่ปฏิเสธไม่ยอมชำระเงินให้นายขวดดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  นายสนิทเอาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  วงเงิน  3  ล้านบาท  ในระหว่างอายุสัญญานายสนิททะเลาะกับนางสวยภริยาอย่างรุนแรง  เป็นเหตุให้นายสนิทโกรธแค้นมาก  จึงจุดไฟเผาบ้านหลังดังกล่าว  ทำให้ไหม้หมดทั้งหลัง  นายสนิทเรียกให้บริษัทประกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายอ้างว่านายสนิททุจริต  นายสนิทต่อสู้ว่าการเผาบ้านมิได้เป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากกระทำไปด้วยความโกรธแค้น  มิได้เกิดจากมูลเหตุชักจูงใจเพื่อเอาเงินประกันภัย  จึงมิได้กระทำโดยทุจริต  จงวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายสนิทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

โดยหลัก  เมื่อเกิดวินาศภัยหรือเหตุอื่นที่ตกลงรับประกันภัยขึ้น  ผู้รับประกันภัยก็ต้องรับผิดแต่ถ้าเหตุดังว่านี้ได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์  ผู้รับประกันภัยก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้  (มาตรา 879  วรรคแรก)

ซึ่งคำว่า  “ทุจริต” นั้น  ตามกฎหมายนี้ไม่ได้อธิบายความหมายไว้  จึงมิได้หมายความแต่เพียงการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น  แต่หมายความรวมถึงการกระทำโดยเจตนาหรือจงใจให้เกิดวินาศภัยขึ้นด้วย  โดยไม่จำต้องคำนึงว่ามีเจตนาให้ได้ประโยชน์จากสัญญาประกันภัยนั้นด้วยหรือไม่

ตามอุทาหรณ์  การที่นายสนิททะเลาะกับภริยาจนเกิดโทสะแล้วจุดไฟเผาบ้านของตนนั้น  แม้เป็นการเผาเพราะความโกรธมิได้มีเจตนาเผาเพราะอยากได้เงินประกันภัย  แต่ก็เป็นการกระทำโดยเจตนาหรือจงใจให้เกิดวินาศภัยขึ้น  ซึ่งถือว่าทุจริตแล้ว  บริษัทประกันวินาศภัยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสนิทตามมาตรา  879  วรรคแรก  ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของนายสนิทดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายสนิทไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  นางแดงได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพไว้กับบริษัทประกันชีวิตจำกัด  โดยระบุให้นายดำสามีที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้รับประโยชน์  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญามีกำหนด  10  ปี  หลังจากทำสัญญาได้เพียง  1  ปี  นายดำเห็นนางแดงยืนคุยอยู่กับนายเหลืองชายหนุ่มข้างบ้าน  ก็เกิดความหึงหวงขึ้นมา  เขาจึงใช้ปืนยิงไปถูกนางแดงเสียชีวิตทันที  ส่วนนายเหลืองบาดเจ็บสาหัส  หลังจากนั้นนายดำจึงไปขอรับเงินจากบริษัทในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  จงวินิจฉัยว่า บริษัทจะใช้เงินให้แก่นายดำตามสัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  นางแดงได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพไว้กับบริษัทประกันชีวิต  จำกัด  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา  863  สัญญาประกันชีวิตจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

แต่อย่างไรก็ตาม  การทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งความทรงชีพนั้น  ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประกันชีวิต  (มาตรา  889)  ผู้รับประกันภัยจึงจะใช้เงินให้ตามสัญญา (มาตรา  890)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นางแดงถูกนายดำฆ่าตายก่อนครบ  10  ปี  ตามกำหนดอายุสัญญาประกันชีวิต  จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้มีอายุอยู่จนครบตามกำหนดอายุสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา  889  นายดำผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาดังกล่าวตามมาตรา  890  และกรณีนี้ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895(2)  เพราะจะเข้าข้อยกเว้นดังกล่าวได้จะต้องเป็นการประกันชีวิตโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะเท่านั้น  ดังนั้นบริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องใช้เงินให้กับนายดำตามสัญญา

สรุป  บริษัทประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้กับนายดำ

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายบวรติดต่อทำสัญญาประกันชีวิตของนางจันทร์ภริยากับบริษัท  มั่นใจประกันชีวิต  จำกัด  ในการแถลงถึงสุขภาพ  นายบวรแถลงว่าภริยามีสุขภาพดี  ซึ่งความเป็นจริงนางจันทร์เป็นมะเร็งที่เต้านม  แต่นางจันทร์นิ่งเฉยเสีย  บริษัทตกลงรับทำประกันภัยให้  เวลาผ่านไปหกเดือนหลังจากทำสัญญา  นางจันทร์ได้เสียชีวิตลงเพราะถูกไฟฟ้าดูด  นายบวรจึงติดต่อขอรับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท  แต่บริษัทปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่านางจันทร์ปกปิดข้อความจริง  นายบวรโต้แย้งว่านายบวรเป็นผู้เอาประกันไม่เกี่ยวกับการปกปิดของนางจันทร์  และการที่นางจันทร์เสียชีวิตมาจากสาเหตุไฟฟ้าดูด  ซึ่งไม่เกี่ยวกับโรค  ดังนี้  ข้อโต้แย้งของนายบวรฟังขึ้นหรือไม่  อย่างไร  ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายบวรและนางจันทร์เป็นสามีภริยากัน  จึงถือว่านายบวรมีส่วนได้เสียในเหตุที่

เอาประกัน  สัญญาประกันชีวิตจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา  863ตามข้อเท็จจริง  การที่นายบวรติดต่อทำสัญญาประกันชีวิตของนางจันทร์กับบริษัท  มั่นใจประกันชีวิตจำกัด โดยที่นางจันทร์ผู้ถูกเอาประกันนิ่งเฉยเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงว่าตนเป็นมะเร็งที่เต้านม  ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญ  โดยหากบริษัทฯได้ทราบความจริงก็จะเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น  หรือมิฉะนั้นก็บอกปัดไม่ทำสัญญาด้วยนั้น  ย่อมส่งผลทำให้สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865

และเมื่อนางจันทร์เสียชีวิตและบริษัทฯปฏิเสธการจ่ายเงิน  การที่นายบวรได้โต้แย้งว่าตนเป็นผู้เอาประกันไม่เกี่ยวกับการปกปิดของนางจันทร์นั้น  ฟังไม่ขึ้น  เพราะหน้าที่เปิดเผยข้อความจริงตามมาตรา  865  ย่อมเป็นของทั้งผู้เอาประกันและผู้ถูกเอาประกัน

ส่วนการโต้แย้งที่ว่านางจันทร์เสียชีวิตจากการถูกไฟฟ้าดูดไม่เกี่ยวกับโรคนั้น  ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน  เพราะสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวตกเป็นโมฆียะแล้วตั้งแต่ต้น  แม้เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด  บริษัทก็มีสิทธิบอกล้างและปฏิเสธการจ่ายเงินได้ทั้งสิ้น  หากเป็นการใช้สิทธิบอกล้างภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดสรุป  ข้อโต้แย้งของนายบวรฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี

 

ข้อ  2  นายมีเจ้าของตึกแถวทำสัญญาเอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  โดยระบุให้นายมากเจ้าหนี้เป็นผู้รับประโยชน์  กำหนดเวลาคุ้มครอง  1  ปี  หนึ่งอาทิตย์ต่อมานายมากแจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตน  สองเดือนต่อมานายมีขายตึกแถวนี้ให้นายแมน  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  หลังจากนั้น  7  วันต่อมานายมีบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันวินาศภัย  ต่อมาอีก  1  เดือน  ในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับเกิดอัคคีภัยขึ้นทำให้ตึกแถวของนายมีเสียหายทั้งหมด  ดังนี้อยากทราบว่า  นายมี  นายมาก  นายแมน  ใครเป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  374  วรรคสอง  ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น  สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาตรา  875  ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น  เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี  หรือโดยบัญญัติกฎหมายก็ดี  ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ย่อมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันไซร้  ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย  อนึ่งถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้  ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  โดยปกติสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เกิดวินาศภัยขึ้นนั้นย่อมเป็นของคู่สัญญา  คือ  นายมีผู้เอาประกันภัย แต่เมื่อนายมีระบุให้นายมากเป็นผู้รับประโยชน์  และนายมากได้แสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น  คือ  ได้ปฏิบัติตามมาตรา  374  วรรคสองแล้ว  สิทธินี้จึงตกไปเป็นของนายมาก

ตามข้อเท็จจริง  แม้ต่อมานายมีจะได้โอนวัตถุที่เอาประกันภัยคือตึกแถวให้นายแมน  และได้บอกกล่าวการโอนไปยังบริษัทประกันภัย  ซึ่งโดยหลักจะมีผลทำให้สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยโอนตามไปด้วย  ตามมาตรา  875  วรรคสองก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏว่านายมีไม่มีสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน  ผู้ที่มีสิทธิคือนายมาก  ดังนั้น  สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจึงไม่โอนไปยังนายแมน  เพราะสิทธิดังกล่าวจะโอนไปได้ก็ต่อเมื่อนายมีผู้เอาประกันเป็นผู้มีสิทธิเท่านั้น ดังนั้น  เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นทำให้ตึกแถวของนายมีเสียหาย  และในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  นายมากผู้รับประโยชน์จึงเป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย

สรุป  การโอนวัตถุที่เอาประกันภัยรายนี้  ไม่ทำให้สิทธิตามสัญญาประกันภัยโอนไปยังผู้รับโอน  คือนายแมน  ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนคือนายมาก

 

ข้อ  3   นายดำได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท  ประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  5 แสนบาท  สัญญากำหนด  10  ปี  ระบุให้นางเหลืองภริยาเป็นผู้รับประโยชน์  ในขณะทำสัญญานายดำได้แถลงอายุของตนกับบริษัทว่ามีอายุ  58  ปี  ทั้งที่อายุจริงของนายดำคือ  63  ปี  ทั้งนี้เพื่อให้อายุอยู่ในเกณฑ์ตามข้อกำหนดของบริษัท  ซึ่งบริษัทได้กำหนดว่าผู้ที่จะเอาประกันชีวิตได้นั้นต้องมีอายุขั้นสูงไม่เกิน  60  ปี  ในระหว่างอายุสัญญานายดำประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต  นางเหลืองจึงไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์  แต่บริษัทปฏิเสธการจ่าย  โดยอ้างว่านายดำปกปิดเรื่องอายุ  โดยแถลงไว้คลาดเคลื่อน  สัญญาจึงเป็นโมฆียะ  และได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ภายในกำหนดระยะเวลาบอกล้าง  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทมีสิทธิที่จะบอกล้างได้หรือไม่ เพราะเหตุใด  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบการวินิจฉัยด้วย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  893  วรรคสอง  แต่ถ้าผู้รับประกันภัยพิสูจน์ได้ว่าในขณะที่ทำสัญญานั้น  อายุที่ถูกต้องแท้จริงอยู่นอกจำกัดอัตราตามทางการค้าปกติของเขาแล้ว  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายดำได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  จึงถือว่านายดำเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน  สัญญาจึงมีผลผูกพันตามมาตรา  863  ประกอบมาตรา  889

ตามข้อเท็จจริง  ในขณะทำสัญญา  ดำได้แถลงอายุของตนคลาดเคลื่อน  เพื่อให้อายุอยู่ในเกณฑ์ตามข้อกำหนดของบริษัท  ซึ่งแท้จริงแล้ว  อายุของดำอยู่นอกจำกัดอัตราตามทางการค้าปกติของบริษัท  จึงทำให้สัญญาประกันชีวิตของดำตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  893 วรรคสอง

เมื่อสัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ  บริษัทจึงมีสิทธิที่จะบอกล้างได้ภายในกำหนดระยะเวลาการบอกล้าง  ข้ออ้างของบริษัทจึงฟังขึ้น  ดังนั้น  นางเหลืองผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตของดำ

สรุป  สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ  บริษัทมีสิทธิบอกล้างได้

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายชายอยู่กินกับนางสมฉันสามีภริยา  โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  นายชายขวนขวายจัดให้นางสมเอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งเป็นเงิน  1  ล้านบาท  โดยนายชายเป็นผู้ให้ข้อความในแบบพิมพ์คำขอประกันชีวิต  และนายชายเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันแทนนางสม  ในกรมธรรม์ประกันภัยมีชื่อผู้เอาประกันคือนางสม  แต่ระบุให้นายชายเป็นผู้รับประโยชน์

ต่อมาในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับ  นางสมถึงแก่ความตาย  นายชายจึงยื่นขอรับประโยชน์  ปรากฏว่าบริษัทประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงิน  อ้างว่านางสมไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยเอง  แต่นายชายเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน  นายชายจึงเป็นผู้เอาประกันไม่ใช่นางสม  สัญญาประกันชีวิตรายนี้จึงเป็นการที่นายชายประกันชีวิตผู้อื่นคือนางสม  ไม่ใช่เป็นการที่นางสมประกันชีวิตตนเอง  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก)   สัญญานี้ใครเป็นผู้เอาประกันชีวิต

(ข)  เป็นการประกันชีวิตตนเองหรือผู้อื่น

(ค)  สัญญาผูกพันหรือไม่

(ง)   บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาท  ให้นายชายหรือไม่  เพราะเหตุใด
 ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  862  ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า  ผู้เอาประกันภัย”  ท่านหมายความว่า  คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  867  วรรคสาม  กรมธรรม์ประกันภัย  ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย  และมีรายการดังต่อไปนี้

(8)  ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

วินิจฉัย

 กรณีตามอุทาหรณ์  พิจารณาได้ดังนี้

(ก)   จากข้อเท็จจริง  การที่นายชายเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันภัยนั้น  ไม่ได้หมายความว่านายชายจะต้องเป็นผู้เอาประกันภัยเสมอไป  เพราะเบี้ยประกันภัยเป็นหนี้ตามสัญญาซึ่งผู้เอาประกันภัยตกลงจะส่งให้ผู้รับประกันภัย  (มาตรา  862)  ซึ่งในทางปฏิบัติผู้เอาประกันภัยอาจไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยด้วยตนเอง  คนอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอาจเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยแทนผู้เอาประกันภัยก็ได้ส่วนใครเป็นผู้เอาประกันภัยรายนี้นั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายชายได้ขวนขวายจัดให้นางสมเอาประกันชีวิต  และในกรมธรรม์ประกันภัยมีชื่อผู้เอาประกันภัยคือ  นางสม  ดังนั้นตามมาตรา  867  วรรคสาม(8)  สัญญานี้ผู้เอาประกันชีวิตก็คือนางสมนั่นเอง  ทั้งนี้เพราะนางสมเป็นผู้เอาประกันโดยแท้จริง  และมิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงในเรื่องส่วนได้เสียแต่อย่างใด (ฎ. 1769/2521)

 (ข)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อนางสมเป็นผู้เอาประกันชีวิต  และชีวิตที่เอาประกันแบบอาศัยความมรณะ  ก็คือชีวิตของนางสมเอง  จึงเป็นการประกันชีวิตตนเอง

 (ค)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อเป็นการเอาประกันชีวิตของนางสม  โดยนางสมเป็นผู้เอาประกันซึ่งเป็นการประกันชีวิตตนเอง  ดังนั้น   จึงถือว่านางสมผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น  เพราะในเรื่องสัญญาประกันชีวิตมีหลักอยู่ว่า  ทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนได้เสียในชีวิตของตนเองทั้งสิ้น  ดังนั้น  สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา  863

 (ง)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อสัญญาประกันชีวิตมีผลผูกพันคู่สัญญา  และนางสมผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายนั้น  ดังนั้น  บริษัทประกันชีวิตจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินประกันจำนวน  1  ล้านบาท  ให้แก่นายชายผู้รับประโยชน์ (มาตรา 889) 

สรุป

(ก)    สัญญานี้นางสมเป็นผู้เอาประกันชีวิต

(ข)   เป็นการประกันชีวิตตนเอง

(ค)   สัญญามีผลผูกพัน

(ง)    บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาทให้แก่นายชาย

 

ข้อ  2  นายสมหวังนำตึกหลังหนึ่งไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทดำในวงเงิน  200,000  บาท  และต่อมานำไปประกันไว้กับบริษัทแดงในวงเงิน  400,000  บาท  เกิดอัคคีภัยเสียหาย  250,000  บาท  อยากทราบว่า  บริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวังหรือไม่  ถ้าต้องรับผิดจะรับผิดมากน้อยเพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  870  ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน  และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้  ท่านว่าผู้รับประโยชน์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น  ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวนวินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้

อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย  ถ้าลงวันเดียวกัน  ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน

ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน  ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้  ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสมหวังนำตึกหลังหนึ่งไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทดำและต่อมานำไปประกันไว้กับบริษัทแดงอีกนั้น  ถือเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นสัญญาสืบต่อเนื่องกัน  ซึ่งตามหลักในเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดวินาศภัยนั้น  ผู้รับประโยชน์จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าที่เสียหายจริง  และตามมาตรา  870  วรรคสามได้กำหนดไว้ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ผู้รับประกันภัยคนแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน  ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนเงินวินาศภัย  ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ได้เกิดวินาศภัยคืออัคคีภัยขึ้นเสียหายเป็นจำนวนเงิน 250,000  บาท  ดังนั้น  บริษัทดำและบริษัทแดงจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวังตามลำดับดังนี้คือ  บริษัทดำผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  เป็นจำนวนเงิน  200,000  บาท  เท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับประกันไว้  เมื่อปรากฏว่ายังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัย  บริษัทแดงผู้รับประกันภัยรายต่อมาจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่ยังไม่คุ้มเป็นจำนวนเงิน  50,000 บาท  (ตามมาตรา  870  วรรคสาม)

สรุป  บริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวัง  โดยบริษัทดำต้องรับผิดเป็นจำนวน  200,000  บาท  ส่วนบริษัทแดงรับผิดเป็นจำนวน  50,000  บาท

 

ข้อ  3  นายเอกชัยสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวาสนา  ทำสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัท  แสนดีประกันชีวิต  จำนวนเงินที่เอาประกันภัย  2,000,000  บาท  โดยระบุให้นางวาสนาเป็นผู้รับประโยชน์  นางวาสนาทะเลาะกับนายเอกชัยอย่างรุนแรงเนื่องจากว่านายเอกชัยระแวงว่านางวาสนาจะกลับไปอยู่กับสามีเก่าและคิดจะฆ่าตนเองเพื่อเอาเงินประกันภัย  นางวาสนาน้อยใจนายเอกชัยจึงหนีไปอยู่กับน้องสาว  ต่อมาบริษัทประกันภัยส่งกรมธรรม์มาให้  นายเอกชัยจึงทำหนังสือแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าตนเองต้องการเปลี่ยนผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกราชลูกชาย  ซึ่งเป็นลูกกับภริยาคนก่อน  หลังจากนั้นอีก  2  ปี  นายเอกชัยเดินทางไปดูงานที่ต่างจังหวัดได้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต  นางวาสนาได้ทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์  จึงได้ไปเรียกร้องขอเงินประกันชีวิต  แต่บริษัทประกันภัยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้แก่นายเอกราชไปแล้ว  ดังนี้  บริษัทฯ  แสนดีประกันภัยจ่ายเงินให้นายเอกราชนั้นถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  891  วรรคแรก  แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี  ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้  เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว  และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  891  วรรคแรกนั้น  แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กำหนดตัวผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว  ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้  (โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย)  เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง  2  ประการต่อไปนี้  ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก  คือ

1       ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2       ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกชัยทำหนังสือแจ้งไปที่บริษัทประกันภัยว่าต้องการเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกราชลูกชายนั้น  ถือเป็นการโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งคือจากนางวาสนาเป็นนายเอกราช  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นางวาสนาผู้รับประโยชน์ยังไม่ได้รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย  เนื่องจากหนีไปอยู่กับน้องสาว  และไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองประสงค์จะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยนั้น  ดังนั้น  การโอนประโยชน์ในสัญญาประกันภัยที่นายเอกชัยได้กระทำนั้นจึงมีผลสมบูรณ์  นายเอกราชจึงเป็นผู้รับโอนประโยชน์แห่งสัญญาประกันภัยตามมาตรา  891  วรรคแรก  ดังนั้น  เมื่อปรากฏว่านายเอกชัยประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  การที่บริษัท  แสนดีประกันภัยจ่ายเงินประกันภัยตามที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาให้นายเอกราชนั้นจึงถูกต้องแล้ว

สรุป  บริษัท  แสนดีประกันภัยจ่ายเงินให้นายเอกราชนั้นถูกต้องแล้ว

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายเก่งทำสัญญาเป็นหนังสือเช่าโรงสีซึ่งนายรวยเป็นเจ้าของ  กำหนดเวลา  3  ปี  หลังจากทำสัญญาเช่าไปได้  1  เดือน  นายรวยเอาประกันอัคคีภัย

โรงสีนี้ไว้กับบริษัท  สยามประกันอัคคีภัย  จำกัด  โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์  แต่นายรวยไม่ได้แถลงไว้ในคำขอเอาประกันภัย  ให้ผู้รับประกันทราบในเรื่องการเช่าดังกล่าว  ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย  โรงสีที่เอาประกันภัยถูกไฟไหม้หมด  อยากทราบว่า สัญญาประกันภัยนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  865 วรรคแรก  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญาประกันภัยรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  ตามกฎหมายในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่มีลักษณะสำคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ  มิฉะนั้นแล้วสัญญานั้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรก

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายรวยให้นายเก่งเช่าโรงสีถือเป็นข้อความจริงที่นายรวยผู้เอาประกันภัยต้องเปิดเผยให้บริษัท  สยามประกันอัคคีภัยฯทราบ  เพราะเป็นข้อความจริงที่มีความสำคัญถึงขนาดเป็นเหตุจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาก็ได้  เนื่องจากการที่มีผู้เช่าโรงสี  ผู้เช่านั้นย่อมมีความระมัดระวังในความปลอดภัยของโรงสีน้อยกว่านายรวยผู้เป็นเจ้าของ  ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้โรงสีย่อมมีมากขึ้นนั่นเอง

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ในเวลาทำสัญญาประกันภัย  นายรวยไม่ได้แถลงไว้ในคำขอเอาประกันภัยให้ผู้รับประกันภัยทราบในเรื่องการเช่าดังกล่าว  สัญญาประกันภัยระหว่างนายรวยและบริษัท  สยามประกันอัคคีภัยฯจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรก

สรุป  สัญญาประกันภัยระหว่างนายรวยและบริษัท  สยามประกันอัคคีภัยฯ  มีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ  2  นางละอองฟ้าเจ้าของโรงงานมูลค่า  50  ล้านบาท  ได้เอาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเอ  จำนวนเงินเอาประกัน  20  ล้านบาท  กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ  1  มกราคม  2551  เวลา  10.00 น.  และนางละอองฟ้าได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานนี้ไว้กับบริษัทบี  จำนวนเงินเอาประกัน  30  ล้านบาท  กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ  1  มกราคม  2551  เวลา  15.00 น  และนางละอองฟ้าได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานดังกล่าวไว้กับบริษัทซี  จำนวนเงินเอาประกัน  50  ล้านบาท  กรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือ  1  มกราคม  2550  เวลา  16.00 น. ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาของทั้งสามบริษัท 

ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้โรงงานใกล้เคียงแล้วลุกลามมาไหม้โรงงานของนางละอองฟ้าเสียหายทั้งหมด  อยากทราบว่า  นางละอองฟ้าผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทใดบ้าง  และเป็นจำนวนเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  870  ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นพร้อมกันเพื่อความวินาศภัยอันเดียวกัน  และจำนวนเงินซึ่งเอาประกันรวมกันทั้งหมดนั้นท่วมจำนวนที่วินาศจริงไซร้  ท่านว่าผู้รับประโยชน์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียงเสมอจำนวนวินาศจริงเท่านั้น  ผู้รับประกันภัยแต่ละคนต้องใช้เงินจำนวนวินาศจริงแบ่งตามส่วนมากน้อยที่ตนได้รับประกันภัยไว้

อันสัญญาประกันภัยทั้งหลาย  ถ้าลงวันเดียวกัน  ท่านให้ถือว่าได้ทำพร้อมกัน

ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้  ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางละอองฟ้านำโรงงานมูลค่า  50  ล้านบาท  ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเอ  และนำไปประกันไว้กับบริษัทบีอีก  โดยกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือวันที่  1  มกราคม  2551  เหมือนกันทั้งสองบริษัทนั้น  ถือว่านางละอองฟ้าได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัทเอและบริษัทบีพร้อมกัน  แม้จะทำต่างเวลากันก็ตาม  ตามมาตรา  870 วรรคสอง  และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นางละอองฟ้าจะนำโรงงานไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยกับบริษัทเอและบริษัทบี  นางละอองฟ้าได้นำโรงงานนั้นไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยกับบริษัทซีไว้ก่อนแล้ว  โดยกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาคือวันที่  1  มกราคม  2550  ดังนั้น  จึงเป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกันและเป็นวัตถุสืบเนื่องเป็นลำดับกันจึงต้องนำหลักเกณฑ์ตามมาตรา  870  วรรคสามมาใช้ก่อน  กล่าวคือ  ต้องจัดให้ผู้รับประกันภัยลำดับแรกใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  เหลือเท่าใดจึงคิดคำนวณในเรื่องการประกันพร้อมกันตามมาตรา  870  วรรคแรกอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ได้เกิดวินาศภัยคืออัคคีภัยขึ้นทำให้โรงงานของนางละอองฟ้าเสียหายทั้งหมด  ดังนั้น  บริษัทซีซึ่งเป็นผู้รับประกันลำดับแรกจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  เมื่อค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นเงิน  50  ล้านบาท  และบริษัทซีรับประกันไว้  50  ล้านบาท ไม่เกินความเสียหาย  จึงต้องรับผิดเต็มจำนวนที่รับประกันไว้คือ  50  ล้านบาท  ตามมาตรา  870  วรรคสาม

สรุป  นางละอองฟ้าผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทซีได้จำนวน  50  ล้านบาท  ส่วนบริษัทเอและบริษัทบี  เมื่อบริษัทซีใช้ค่าสินไหมทดแทนคุ้มจำนวนวินาศภัยแล้ว  จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน 

 

ข้อ  3  สัมฤทธิ์ทำประกันชีวิตกับบริษัท  สมัครใจประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินเอาประกัน  1,000,000  บาท  ชำระเบี้ยประกันชีวิตปีละ  12,000  บาท  สัญญาประกันชีวิตเริ่มตั้งแต่วันที่  16  กรกฎาคม  2553  ต่อมาสัมฤทธิ์มีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจที่ทำอยู่  กิจการขาดทุนและกำลังถูกเจ้าหนี้ฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย  วันที่  6  กรกฎาคม  2554  สัมฤทธิ์จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกลงมาจากชั้น  3 ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ได้นำสัมฤทธิ์ส่งโรงพยาบาล  สมฤทธิ์ยังไม่ตายแต่อาการสาหัส  สมองกระทบกระเทือนจากแรงกระแทกอย่างแรง  และได้รับการรักษาตัวอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู.  ของโรงพยาบาลจนกระทั่งวันที่  2  สิงหาคม  2554  สัมฤทธิ์สิ้นใจอย่างสงบ  ประพลเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต  จึงเรียกร้องไปยังบริษัท  สมัครใจประกันชีวิต  จำกัด  เพื่อขอรับเงิน  1,000,000  บาทตามทุนประกัน บริษัทฯปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าสัมฤทธิ์ฆ่าตัวตายภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญา  ประพลต่อสู้ว่าสัมฤทธิ์ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิตและสัมฤทธิ์ตายภายหลัง  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญา  บริษัทฯจึงต้องจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์  ดังนี้ ข้อต่อสู้ของประพลฟังขึ้นหรือไม่  บริษัทต้องจ่ายเงินหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย  บริษัทผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ  เว้นแต่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญาไม่ว่าจะถึงแก่ความตายในทันทีหรือไม่ก็ตามหรือเป็นกรณีที่บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  (มาตรา  895)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สัมฤทธิ์ฆ่าตัวตาย  แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต แต่การที่สัมฤทธิ์สมัครใจฆ่าตัวตายภายใน  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาคือภายในวันที่  16  กรกฎาคม  2554  นั้น  ถือเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน  1  ปี นับแต่วันทำสัญญา  แม้จะถึงแก่ความตายภายหลัง  1  ปีแล้วก็ตาม  ดังนั้นข้อต่อสู้ของประพลที่ว่าสัมฤทธิ์ไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต  และสัมฤทธิ์ตายภายหลัง  1  ปีนับแต่วันทำสัญญานั้นจึงฟังไม่ขึ้น  บริษัทสมัครใจประกันชีวิตฯ  จึงไม่ต้องจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ประพลผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  895(1)

สรุป  ข้อต่อสู้ของประพลฟังไม่ขึ้น  และบริษัทสมัครใจประกันชีวิตฯ  ไม่ต้องจ่ายเงินตามทุนประกัน

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายกรุงไทย นำรถยนต์ที่เช่าซื้อกับบริษัท กรุงเก่า ไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยนายกรุงไทยเป็นผู้เอาประกันภัย และระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์

หลังจากทำสัญญาประกันภัยได้สามเดือน นายกรุงไทยได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อกับบริษัทกรุงเก่า ทำให้บริษัทกรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าชื้อที่ค้างชำระ นายกรุงไทยจึงเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด

โดยระบุให้นายกรุงไทยเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากนั้นรถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไป นายกรุงไทยจึงเรียกให้บริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด ปฏิเสธใช้ค่าสินไหมทดแทน

โดยอ้างว่า นายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ฟังขึ้นหรือไม และนายกรุงไทยจะฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น

มาดรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแหงมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่

มาตรา 376 “ข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาดังกล่าวมาในมาตรา 374 นั้น ลูกหนี้อาจจะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้จะได้รับประโยชน์จากสัญญานั้นได้

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คำว่า ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คำว่า ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่ายอมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไบ่นี้ คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงไทยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปทำสัญญาประกันภัยกับบริษัทมั่นคงประกันภัย จำกัด โดยระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมถือว่านายกรุง ไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่จะเอาประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรุงไทยระบุในสัญญาให้บริษัท กรุงเก่า ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อเป็น ผู้รับประโยชน์จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยระบุให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ ดังนัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก

จึงต้องปรับเข้ากับมาตรา 374375 และ 376 นั่นคือ ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นจะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยเสียก่อน สิทธิของผู้รับประโยชน์จึงจะเกิดขึ้น และเมื่อสิทธิของผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของผู้รับประโยชน์ในภายหลังไม่ได้

กรณีตามข้อเท็จจริง การที่บริษัท กรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระนั้น ย่อมแสดงว่า บริษัท กรุงเก่า ได้สละเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยแล้ว นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัย จึงมีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาเข้าเป็นผู้รับประโยชน์เองได้ (มาตรา 862) นายกรุงไทยผู้เอาประกันภัย และบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด จึงเป็นคู่สัญญาที่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยซึ่งกันและกัน ตามหลักทั่วไป

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่นายกรุงไทยได้เอาประกันภัยไว้สูญหายไป บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนายกรุงไทยตามมาตรา 877 ถึงแม้ว่า นายกรุงไทยจะค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ก็ตาม (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1950/2543) ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ที่ว่านายกรุงไทยยังค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่ ไมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

สรุป ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด พังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้ บริษัท มั่นคงประกันภัย จำกัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

 

ข้อ 2. นายเอกเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในโรงงานมูลค่า 3,000 ล้านบาท ได้เอาประกันอัคคีภัยโรงงานและเครื่องจักร ไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่งจำนวนเงินเอาประกันภัย 2,000 ล้านบาท โดยจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มเติมภัยจากน้ำท่วมด้วย

ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาฝนตกหนักเนื่องจากพายุทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว นายเอกคาดว่าถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ โรงงานของตนต้องถูกน้ำท่วมอย่างแน่นอน และฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก นายเอกผู้เอาประกันภัยจึงชื้อถุงทรายจากร้านค้าวัสดุก่อสร้างมาวางกั้นเพื่อไม่ให้น้ำเข้าโรงงาน

แต่เมื่อนาล้นตลิ่ง จนระดับน้ำภายนอกแนวกั้นกระสอบทรายได้สูงขึ้นและได้มีน้ำซึมผ่านกระสอบทราย นายเอกจึงจ้างนายโทซึ่งมีร้านให้เช่าเครื่องสูบน้ำทำการสูบน้ำออก โรงงานของนายเอกจึงรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วม แต่โรงงานอื่นที่ ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันไม่ได้มีการป้องกันเหมือนเช่นนายเอก น้ำจึงเข้าท่วมสูงทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก

ครั้นนายเอกเรียกค่าสินไหมทดแทนคือค่ากระสอบทรายและค่าจ้างสูบน้ำรวมเป็นเงิน 2 แสนบาท แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายอ้างว่าบริษัทประกันมีหน้าที่จ่ายเมื่อเกิดวินาศภัย เมื่อน้ำไมท่วมจึงไม่ต้องจ่าย อยากทราบว่าข้ออ้างของบริษัทประกันภัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1)           เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2)           เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3)           เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจำนวนวินาศจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่ง จำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

วินิจฉัย

ในเรื่องการประกันวินาศภัยนั้น นอกจากผู้รับประกันภัยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นแล้ว กฎหมายยังกำหนดให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งผู้เอาประกันภัยได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศด้วย (มาตรา 877(3))

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกผู้เอาประกันภัยซื้อกระสอบทรายมากั้นเพื่อไมให้น้ำเข้าโรงงาน และเมื่อมีน้ำซึมผ่านกระสอบทราย นายเอกก็ได้จ้างนายโทซึ่งมีร้านให้เช่าเครื่องสูบน้ำทำการสูบน้ำออกนั้น ค่าใช้จ่ายของนายเอกดังกล่าวจึงถือเป็นค่าใช้จ่ายอันสมควรเพื่อป้องกันโรงงานของนายเอกที่เอาประกันภัยไว้มิให้วินาศ

เพราะถ้านายเอกไมทำเช่นนี้น้ำย่อมท่วมโรงงานของนายเอกอย่างแน่นอน เห็นได้จากโรงงานบริเวณใกล้เคียงที่ ถูกน้ำท่วมเสียหาย

ดังนั้นเมื่อนายเอกได้เรียกค่าสินไหมทดแทน คือ ค่ากระสอบทรายและค่าจ้างสูบน้ำ รวมเป็นเงิน 2 แสนบาท จากบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แกนายเอกตามมาตรา 877(3) เพราะค่าใช้จ่ายที่นายเอกเสียไปดังกล่าวถือเป็นค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งผู้เอาประกันภัยได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

ดังนั้น การที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดย อ้างว่าบริษัทประกันภัยมีหน้าที่จ่ายเมื่อเกิดวินาศภัย เมื่อน้ำไม่ท่วมจึงไม่ต้องจ่าย จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นางสวยเอาประกันชีวิตนายสนิทสามีซึ่งจดทะเบียนสมรส วงเงิน 200,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี กรมธรรม์ฯ ระบุให้นางสวยกับนายเสนาะบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์คนละครึ่ง อีก 2 ปี

ต่อมา นางสวยหย่าขาดจากนายสนิท หลังจากนั้นอีก 1 ปี นายเสนาะทำปืนลั่นถูกนายสนิทตาย ศาลพิพากษาจำคุกนายเสนาะ 2 ปี ฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท

ต่อมานางสวยกับนายเสนาะ ได้ยื่นขอรับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต แต่บริษัทผู้รับประกันภัยปฏิเสธการจ่าย อ้างว่านางสวย หย่าขาดจากนายสนิทไปแล้ว ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายสนิท จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา

ส่วนนายเสนาะก็ไม่มีสิทธิรับเงินเพราะเป็นผู้ทำให้นายสนิทตาย ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้ออ้าง ของบริษัทผู้รับประกันภัยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำต

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อได้ความว่าในขณะที่นางสวยได้เอาประกันชีวิตนายสนิทผู้เป็นสามี โดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนางสวยและนายสนิทยังมิได้หย่าขาดจากกัน และมีความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส

ดังนี้ เมื่อนางสวยผู้เอาประกันชีวิตมีส่วนได้เสียกับนายสนิทผู้ถูกเอาประกันชีวิต ในขณะทำสัญญา สัญญาจึงมีผลผูกพันสมบูรณ์ตามมาตรา 863 ทั้งนี้ แม้จะฟังได้ความว่าภายหลังทำสัญญาแล้ว นางสวยและนายสนิทจะจดทะเบียนหย่ากันก็ตาม ก็หาท่าให้สิทธิของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปไม่

และเมื่อนางสวยมีส่วนได้เสียและกำหนดให้ตนเป็นผู้รับประโยชน์ บริษัทประกันภัยจึงมีหน้าที่ ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นางสวยตามสัญญา ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า นางสวยได้หย่าขาดจากนายสนิทไปแล้ว จึงไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายสนิท และไมมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนกรณีของนายเสนาะนั้น ข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประการหนึ่ง ตามมาตรา 895(2) คือ ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา ซึ่งหมายความว่า จะต้องเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลเท่านั้น หากมีเพียงเจตนาทำร้าย หรือเป็นเพราะประมาทเลินเล่อ ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว

เมื่อข้อเท็จจริงรับพังได้ว่า การที่นายเสนาะทำปืนลั่นถูกนายสนิทถึงแกความตายนั้น ศาลได้ พิพากษาจำคุกนายเสนาะฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท จะเห็นได้ว่าจากคำพิพากษานายเสนาะผู้รับประโยชน์ หาได้มีเจตนาฆ่านายสนิทผู้ถูกเอาประกันแต่อย่างใด

กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 895(2) ดังนั้น เมื่อไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่บริษัทประกันภัยจะอ้างได้ บริษัทประกันภัยดังกล่าวจึงต้องจ่ายตามสัญญาประกันชีวิตให้นายเสนาะ เช่นกัน ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า นายเสนาะไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญาเพราะทำให้นายสนิทถึงแกความตาย จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน

สรุป ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยไมถูกต้องตามกฎหมาย 

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายสมพงษ์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทผู้รับประกันภัยแห่งหนึ่ง เป็นการทำประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองทุกอย่างรวมทั้งอุบัติเหตุด้วย วงเงินเอาประกัน 500,000 บาท เบี้ยประกัน 3,000 บาท กรมธรรม์ฯ ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2538 สิ้นสุดวันที่ 5 พฤษภาคม 2539

ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน 2539 เกิดอุบัติเหตุกับรถคันดังกล่าวเสียหายเป็นเงิน 60,000 บาท นายสมพงษ์จึงบอกกล่าวให้บริษัทประกันฯทราบ แต่บริษัทประกันฯ แจ้งว่าการคุ้มครองตามสัญญาสิ้นสุดแล้ว หากนายสมพงษ์ต้องการให้บริษัทใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องทำสัญญากันใหม่

และ นายสมพงษ์ต้องเสียเบี้ยประก้นให้บริษัทประกันฯด้วย นายสมพงษ์ต้องการได้ค่าสินไหมทดแทนแทนจึงยอมเสียเบี้ยประกันเป็นเงิน 3,000 บาท ให้บริษัทประกันฯ ซึ่งบริษัทประกันฯ ได้ออกกรมธรรม์ใหม่ ให้มีผลย้อนหลังว่า สัญญาเริ่มต้นให้ความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2539 เป็นเวลา 1 ปี

เมื่อนายสมพงษ์ได้รับกรมธรรม์แล้ว ได้เรียกร้องให้บริษัทประกันฯ ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวน 60,000 บาท จากการที่รถยนต์ของตนได้เกิดอุบัติเหตุในวันที่ 13 มิถุนายน 2539 ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า บริษัทประกันฯ มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 861 “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต ดังได้ระบุไว้ในสัญญา และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า เบี้ยประกันภัย 

วินิจฉัย

สัญญาประกันภัยนั้น เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เมื่อเกิดวินาศภัยหรือเหตุอย่างอื่นขึ้นในอนาคต หมายความว่า ขณะทำสัญญาประกับภัยนั้นวินาศภัย หรือเหตุอย่างอื่นยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ภัยได้เกิดขึ้นก่อนที่จะได้ทำสัญญา ย่อมมิใช่ภัยที่อาจมีขึ้น ในอนาคตและมิใช่ภัยที่จะรับประกันได้ สัญญาดังกล่าวย่อมไม่ใช่สัญญาประกันภัย (มาตรา 861)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่รถยนต์ของนายสมพงษ์ที่เอาประกันภัยไว้ได้เกิดอุบัติเหตุในวันที่ 13 มิถุนายน 2539 ซึ่งเป็นวันที่กรมธรรม์สิ้นอายุแล้วนั้น การคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยย่อมสิ้นสุดลงแล้ว แม้ต่อมาบริษัทประกันฯ จะได้ออกกรมธรรมให้นายสมพงษ์ใหม่ และให้สัญญาเริ่มต้นให้ความคุ้มครองย้อนหลังไป ก่อนวันเกิดวินาศภัย 2 วัน คือวันที่ 11 มิถุนายน 2539 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าการออกกรมธรรมครั้งหลังนี้

เป็นการออกกรมธรรม์ให้ภายหลังที่วินาศภัยได้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นสัญญาประกันภัยขึ้นใหม่ อันจะมีผลผูกพันบริษัทประกันฯ แต่อย่างใด ดังนั้นบริษัทประกันฯ จึงไม่มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์ ตามมาตรา 861 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2513/2518)

สรุป บริษัทประกับภัยไม่มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์

 

ข้อ 2. เอกได้นำบ้านของตนไปประกับอัคคีภัยไว้กับบริษัท ประกันภัย จำกัด จำนวนเงินที่เอาประกัน 2 ล้านบาท สัญญากำหนด 1 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์

หลังจากทำสัญญาได้ 3 เดือน เอกทำธุรกิจขาดทุน เขากลุ้มใจแทบจะฆ่าตัวตาย และไม่พูดจากับใคร

โทซึ่งเป็นภริยาของเอก สงสารเขามากและได้ทราบว่าเอกได้ทำประกันอัคคีภัยบ้านไว้ โทจึงวางเพลิงเผาบ้านเพื่อหวังเงินจากบริษัทประกันภัยเพื่อมากู้ฐานะทางการเงินให้สามี โดยเอกไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไฟได้เผาผลาญ บ้านหลังที่เอาประกันไว้เสียหายทั้งหลัง 

จงวินิจฉัยว่าบริษัทจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา ให้กับเอกผู้เอาประกันภัยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำคอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863            อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที

ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไมผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วรรคท้าย ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา 879 วรรคแรก ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่น ซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกได้นำบ้านของตนไปทำประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันภัย โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์นั้น เอกย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาประกันวินาศภัยจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา (อัคคีภัย) บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัยให้กับเอกหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 879 วรรคแรกนั้น เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัย

จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดว่าผู้รับประกันภัย มีสิทธิปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ได้ จะต้องปรากฏว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์เท่านั้น

ถ้าเป็นความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลอื่นๆ แม้จะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์สักเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่ทำให้ผู้รับประกันภัยพ้นความรับผิดไปไต้

ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โทได้วางเพลิงเผาบ้านของเอก และไฟได้ไหม้บ้านของเอกที่เอาประกันภัยไว้เสียหายทั้งหลัง ซึ่งกรณีนี้แม้ว่าโทจะกระทำโดยทุจริต คือ วางเพลิงเผาบ้านเพื่อหวังเงินจากบริษัทประกันภัยก็ตาม

แต่เมื่อโทเป็นเพียงภริยาของเอกมิใช่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ กรณีจึงไม่เข้า ข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยจะปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 879 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อมีภัย (อัคคีภัย) เกิดขึ้น และภัยที่เกิดตรงกับที่ได้ระบุไว้ในสัญญา บริษัทจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2 ล้านบาท ให้กับเอกตามมาตรา 877(1) ประกอบวรรคท้าย 

สรุป บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาให้กับเอกผู้เอาประกันภัย 

 

ข้อ 3. นายยอดทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2553 วงเงิน 1 แสนบาท ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี แบบอาศัยความมรณะ

ในปีต่อมาธุรกิจการค้าของนายยอดขาดทุนอย่างหนัก นายยอดกลุ้มใจมากจึงไช้ปืนยิงตัวเอง เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2554 แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญจึงไม่เสียชีวิตทันทีเพียงแต่บาดเจ็บสาหัส

ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2554 นายยอดได้เสียชีวิตด้วยบาดแผลดังกล่าวขณะที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนี้ บริษัทประกันชีวิต ต้องจ่ายเงิน 1 แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1)           บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใบปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา หรือ

(2)           บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรมให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกับชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นๆ เว้นแต่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาไม่ว่าจะถึงแก่ความตายในทันทีหรือไม่ก็ตาม หรือเป็นกรณีที่บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตาย โดยเจตนา (มาตรา 895)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายยอดฆ่าตัวตายโดยการใช้ปืนยิงตัวเอง แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันชีวิต แต่การที่นายยอดสมัครใจฆ่าตัวตายภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา คือภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2553 นั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญา แม้จะถึงแก่ความตายภายหลัง 1 ปี แล้วก็ตาม ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงได้รับยกเว้นความรับผิด ไม่ต้องจ่ายเงินประกัน 1 แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 895(1)

สรุป บริษัทประกับชีวิตไม่มีหน้าที่จ่ายเงิน 1 แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์

WordPress Ads
error: Content is protected !!