LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย สอบซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายเปรียวได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  โดยคุ้มครองบุคคลที่สาม  คือ  คุ้มครองภัยที่ตนอาจขับรถที่จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเป็นเงิน  100,000  บาท  ในระหว่างอายุสัญญานายเปรียวได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยประมาทชนรถของนายเฉื่อยเสียหาย  80,000  บาท  ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยไม่ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายเฉื่อย  แต่นำค่าสินไหมทดแทนมาจ่ายให้นายเปรียว  80,000  บาท  นายเปรียวไม่ได้เอามาจ่ายให้นายเฉื่อย  เมื่อนายเฉื่อยยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟ้องบริษัทประกันภัย  แต่บริษัทประกันภัยต่อสู้ว่าตนได้ใช้ให้นายเปรียวไปแล้วจึงไม่ต้องรับผิดอีก  ดังนี้  ข้อต่อสู้ของบริษัทประกันภัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  887  วรรคสาม  อนึ่งผู้รับประกันภัยนั้นแม้จะได้ส่งค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วก็ยังหาหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลผู้ต้องเสียหายนั้นไม่   เว้นแต่ตนจะพิสูจน์ได้ว่าสินไหมทดแทนนั้นผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่ผู้ต้องเสียหายแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญาประกันภัยที่นายเปรียวทำกับบริษัทประกันภัยนั้นเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน  กล่าวคือ  เป็นสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย  เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  (บุคคลที่สาม) และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ  การที่บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเปรียวผู้เอาประกัน  แต่นายเปรียวไม่ได้นำมาจ่ายให้นายเฉื่อยบุคคลภายนอก  จึงทำให้นายเฉื่อยยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน  ผลทางกฎหมายตามมาตรา  887  วรรคสาม  คือ บริษัทประกันภัยยังคงมีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเฉื่อย  และไม่ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยได้พิสูจน์ว่าค่าสินไหมทดแทนนั้นนายเปรียวผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่นายเฉื่อยผู้เสียหายแล้ว

สรุป  ข้อต่อสู้ของบริษัทประกันภัยที่อ้างว่าตนได้ใช้ให้นายเปรียวไปแล้ว  จึงไม่ต้องรับผิดอีกเป็นข้อต่อสู้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  กนกได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของตนไว้กับบริษัทประกันภัยจำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  3  แสนบาท  และในขณะเดียวกัน   เขาก็เอาประกันภัยในความรับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้รถคันนี้  (ประกันภัยค้ำจุน)    อีกกรมธรรม์หนึ่งไว้กับบริษัทเดียวกัน  จำนวนเงินที่เอาประกัน  4  แสนบาท  กำหนดระยะเวลาในการทำสัญญา  1  ปี  หลังจากทำสัญญาได้สามเดือน  กนกได้สั่งให้ดนัยซึ่งเป็นคนขับรถและเป็นลูกจ้างของตนขับรถคันดังกล่าวบรรทุกสินค้าไปส่งให้ลูกค้าที่จังหวัดอุทัยธานี  หลังจากส่งของเสร็จแล้วดนัยได้ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  แซงรถคันอื่นมาตลอดทาง  จึงเกิดอุบัติเหตุชนกับรถของอมรซึ่งวิ่งสวนทางมา  ทำให้ดนัยและอมรบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่  เสียค่ารักษาพยาบาลไปคนละ  5  หมื่นบาท  ส่วนรถบรรทุกของกนกพังเสียหายคิดเป็นเงิน  2  แสนบาท  และรถของอมรก็เสียหายเช่นกันคิดเป็นเงิน  1  แสนบาท  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทประกันภัยจำกัดจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับใคร  อย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  862  วรรคท้าย  อนึ่ง  ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น  จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

มาตรา  880  วรรคแรก  ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้  ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด  ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

มาตรา  887  วรรคแรก  อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น  คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ 

บุคคลผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากผู้รับประกันภัยโดยตรง  แต่ค่าสินไหมทดแทนเช่นว่านี้หาอาจจะคิดเกินไปกว่าจำนวนอันผู้รับประกันภัยจะพึงต้องใช้ตามสัญญานั้นได้ไม่  ในคดีระหว่างผู้ต้องเสียหายกับผู้รับประกันภัยนั้น  ท่านให้ผู้ต้องเสียหายเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาในคดีด้วย

อนึ่งผู้รับประกันภัยนั้นแม้จะได้ส่งค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วก็ยังหาหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลผู้ต้องเสียหายนั้นไม่   เว้นแต่ตนจะพิสูจน์ได้ว่าสินไหมทดแทนนั้นผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่ผู้ต้องเสียหายแล้ว

วินิจฉัย

กนกได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของตนเอง  กนกย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยตามมาตรา  863  สัญญาจึงมีผลผูกพัน  และในขณะเดียวกันเมื่อเขาไม่ได้ระบุผู้รับประโยชน์ไว้  กนกจึงเป็นผู้รับประโยชน์เองตามมาตรา  862  วรรคท้าย  ซึ่งบริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาดังต่อไปนี้

1       จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กนกตามสัญญาประกันวินาศภัย  กรณีที่รถบรรทุกของกนกเสียหายคิดเป็นเงิน  2  แสนบาท  ตามมาตรา  877 (1)  และวรรคท้าย

2       จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับอมรตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน  กรณีรถของอมรเสียหายคิดเป็นเงิน  1  แสนบาท  และค่ารักษาพยาบาลที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเงิน  5  หมื่นบาท  ตามมาตรา  887  ประกอบมาตรา  877

3       จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับดนัยที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเงิน  5  หมื่นบาท  ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน  ตามมาตรา  887  ประกอบมาตรา  877

ทั้งนี้เพราะวินาศภัยที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของกนก  ซึ่งเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์  แต่เป็นการกระทำของดนัยซึ่งเป็นลูกจ้างของกนก  จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมายที่บริษัทไม่ต้องจ่าย  ตามมาตรา  862  วรรคท้าย  และมาตรา  879  วรรคแรก

เมื่อบริษัทได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยและผู้ต้องเสียหายไปแล้ว  บริษัทก็สามารถที่จะเข้าไปรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันรียกจากดนัย  ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ก่อให้เกิดความเสียหายได้  ตามมาตรา  880  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  877

สรุป  บริษัทต้องรับผิดชอบดังนี้

1       จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กนก  2  แสนบาท

2       จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้อมร  ในกรณีรถเสียหาย  1  แสนบาท  และค่ารักษาพยาบาล  5  หมื่นบาท

3       จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ดนัย  5  หมื่นบาท

 

ข้อ  3  หนึ่งมีอาการเจ็บหน้าอกที่ชายโครงด้านขวาเป็นประจำ  จึงชวนสองภริยาให้พาไปตรวจร่างกายกับแพทย์ที่โรงพยาบาลซึ่งเคยรักษา  แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่าเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบ และได้ให้ยามารับประทาน ซึ่งอาการที่เจ็บก็หายเป็นพักๆ  ต่อมาอีกสามเดือน สามซึ่งเป็นเพื่อนบ้านและเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตได้มาชักชวนให้ทำสัญญาประกันชีวิต  เขาจึงได้ตกลงทำจำนวนเงินที่เอาประกัน  1 ล้านบาท  สัญญามีกำหนด  5  ปี  ระบุให้สองภริยาเป็นผู้รับประโยชน์  ซึ่งขณะทำสัญญาเขาได้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตว่าสุขภาพสมบูรณ์ดี

และเมื่อแพทย์ของประกันชีวิตตรวจร่างกาย  และได้สอบถามถึงสุขภาพ  หนึ่งก็ตอบว่าไม่เคยป่วยเป็นโรคใด  บริษัทประกับชีวิตจึงได้รับประกันชีวิตของหนึ่งไว้  ต่อมาอีก  2  ปี  หนึ่งก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ  ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่าเป็นมาก่อนทำสัญญาประกันชีวิต  จงวินิจฉัยว่า  สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวเป็นโมฆียะหรือไม่  และบริษัทจะบอกล้างได้หรือไม่  หรือบริษัทจะต้องชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

วินิจฉัย

หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  ย่อมมีเหตุแห่งส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันตามาตรา  863  สัญญามีผลผูกพัน  การที่สองได้พาหนึ่งไปตรวจร่างกายและเข้ารับการรักษาพยาบาลในอาการเจ็บที่ชายโครงด้านขวา  ซึ่งแพทย์ได้ตรวจแล้วและวินิจฉัยว่าอาจเป็นกล้ามเนื้ออักเสบนั้น  หนึ่งไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็ง  ฉะนั้นการที่เขากรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตไปว่ามีสุขภาพสมบูรณ์  จึงไม่ใช่การไม่เปิดเผยข้อความจริงและเมื่อแพทย์ของบริษัทฯ  สอบถามถึงสุขภาพ  เขาก็ตอบว่าไม่เคยป่วยเป็นโรคใดๆ   ก็ไม่ใช่การปกปิดข้อความจริงตามมาตรา  865  เพราะอาการกล้ามเนื้ออักเสบไม่ใช่อาการของโรคที่ต้องเปิดเผยในขณะทำสัญญาประกันชีวิต  เมื่อแพทย์ผู้ตรวจรักษาและแพทย์ของบริษัทประกันชีวิตผู้ตรวจสุขภาพ  ไม่ทราบว่าหนึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งในตับ  และหนึ่งเองก็ไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน  กรณีจึงถือไม่ได้ว่าหนึ่งไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ได้รู้มาก่อน  อันจะเป็นเหตุให้บริษัทบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นแต่อย่างใด  ตามมาตรา  865  สัญญาประกันชีวิตของหนึ่งจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่เป็นโมฆียะที่บริษัทจะมีสิทธิบอกล้างได้  บริษัทจำต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญา  ตามมาตรา  889  ประกอบมาตรา  890  (ฎีกาที่  3728/2530)

สรุป  สัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะ  และบริษัทต้องจ่ายเงินจำนวน  1  ล้านบาท  ตามสัญญาประกันชีวิต

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  แดงได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท  ประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  7000,000  บาท สัญญากำหนด  10  ปี  โดยระบุให้ขาวภริยาเป็นผู้รับประโยชน์กิอนทำสัญญาแดงมีอาการท้องอืดบ่อยๆ  บางครั้งก็ถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดปนด้วย  แดงได้ชวนขาวภริยาไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการ  แพทย์ได้แจ้งผลให้ขาวทราบว่าแดงป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่  ขาวเกรงว่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจของสามีจึงเพียงแต่บอกเขาว่าท้องอืดธรรมดาไม่มีอะไรร้ายแรง  กินยาที่หมอให้มาก็คงหายเป็นปกติ  ในขณะเดียวกันขาวซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตก็ไม่ได้แจ้งให้บริษัททราบด้วย  

ทั้งๆที่ในขณะที่แดงกรอกข้อความลงในแบบฟอร์มคำขอเอาประกันชีวิต  ขาวก็นั่งอยู่ด้วย  เพราะเกรงว่าถ้าเปิดเผยออกไปแล้วบริษัทจะไม่รับทำสัญญา  หลังจากทำสัญญาได้  3  ปี  ในขณะที่แดงเดินทางไปโรงพยาบาลก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต  ขาวจึงไปขอรับเงินตามสัญญาในฐานะผู้รับประโยชน์  จงวินิจฉัยว่าสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวเป็นโมฆียะหรือไม่  บริษัทจะอ้างเหตุผลใดในการบอกล้างสัญญาได้อย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

วินิจฉัย

แดงทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  ถือว่าแดงมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกัน  สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา  889  ประกอบมาตรา  863

แดงไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเวลาทำสัญญา  แดงจึงไม่ได้แถลงข้อความเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งจะมีผลทำให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาแต่อย่างใด  สัญญาจึงไม่เป็นโมฆียะตามมาตรา  865  วรรคแรก  ส่วนขาวนั้นเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อความจริงแต่อย่างใด  เพราะตามกฎหมายมาตรา  865  กำหนดว่า  ผู้ที่แถลงข้อความจริงในเวลาทำสัญญานั้นคือบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความมรณะคือแดงนั่นเอง  ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตของแดงมีผลสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆียะ  บริษัทจึงไม่มีเหตุผลใดมาบอกล้างได้  ต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาให้กับขาวผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  890

สรุป  สัญญาประกันชีวิตไม่เป็นโมฆียะและบริษัทต้องจ่ายเงินจำนวน  7  แสนบาทแก่ขาวตามสัญญาประกันชีวิต

 

ข้อ  2  นายสมหวังได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยในเหตุอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัย  1,000,000  บาท  นายสมควรบุคคลภายนอกได้ทำให้เกิดไฟไหม้บ้านของนายสมหวังเสียหาย  1,000,000  บาท  บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้  600,000  บาท  นายสมหวังจึงได้เงินไม่ครบตามความเสียหาย  นายสมหวังจึงฟ้องนายสมควรให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เหลืออีก  400,000  บาท  ขณะเดียวกันบริษัทประกันภัยก็รับช่วงสิทธิของนายสมหวังผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน  600,000  บาท  ที่ได้จ่ายไปแล้วจากนายสมควรอีก  ปรากฏว่านายสมควรมีทรัพย์สินทั้งหมดอยู่เพียง  500,000  บาท  ดังนี้  นายสมหวังและบริษัทประกันภัยจะมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากนายสมควรเป็นจำนวนรายละเท่าไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  880  วรรคแรก  ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้  ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด  ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

ถ้าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแต่เพียงบางส่วนไซร้  ท่านห้ามมิให้ผู้รับประกันภัยนั้นใช้สิทธิของตนให้เสื่อมเสียสิทธิของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ในการที่เขาจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกเพียงเศษแห่งจำนวนวินาศนั้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  บริษัทประกันภัยได้ชำระค่าสินไหมทดแทนไปบางส่วนคือ  600,000  บาท  ย่อมเข้ารับสิทธิของนายสมหวังไปฟ้องนายสมควรได้เพียง  600,000  บาท  ตามมาตรา  880  วรรคแรก  แต่บริษัทประกันภัยจะใช้สิทธิให้เสื่อมเสียสิทธิของนายสมหวังที่ฟ้องร้องเอาค่าสินไหมทดแทนส่วนที่เหลืออีก  400,000  บาท  จากนายสมควรไม่ได้  ตามมาตรา  880  วรรคสอง  ดังนั้น  เมื่อนายสมควรมีทรัพย์สินอยู่เพียง  500,000  บาท  ไม่พอชำระให้ครบทั้งสองราย  จึงต้องให้นายสมหวังผู้เอาประกันภัยมีสิทธิได้ค่าสินไหมทดแทนก่อน  400,000  บาท  ส่วนที่เหลือบริษัทประกันไหมจึงได้รับค่าสินไหมทดแทนเพียง  100,000  บาท

สรุป  สมหวังมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน  400,000  บาท  ส่วนบริษัทประกันภัยมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจำนวน  100,000  บาท

 

ข้อ  3  นายชัยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางแวว  นายชัยทำสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง   วงเงินเอาประกัน  1  ล้านบาท  ระบุนางแววเป็นผู้รับประโยชน์ระยะเวลา  20  ปี  อีก  1  ปีต่อมา  นายชัยโต้เถียงกับนางแววอย่างรุนแรง  สาเหตุเกิดจากนายชัยเกิดความหวาดระแวงว่านางแววจะกลับไปอยู่กินกับสามีเก่า  และสมคบกันวางแผนฆ่าตนเองเพื่อเอาเงินประกันชีวิต  นางแววเกิดความเสียใจจึงหนีไปอยู่กับน้องสาว  ครั้นต่อมาบริษัทประกันได้ออกกรมธรรม์และส่งมาให้แล้ว  นายชัยได้ทำหนังสือแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยว่าตนเองต้องการเปลี่ยนผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกลูกชายซึ่งเกิดกับภรรยาคนก่อน  หลังจากนั้นอีก  2  ปี  ในระหว่างที่สัญญามีผลบังคับนายชัยขับรถไปต่างจังหวัด  รถคว่ำเป็นเหตุให้นายชัยถึงแก่ความตาย  นางแววทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์จึงยื่นขอรับเงินประกัน  แต่บริษัทประกันภัยแจ้งว่าได้จ่ายเงินให้นายเอกไปแล้ว  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่านางแววมีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  891  วรรคแรก  แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี  ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้  เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก้ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว  และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

วินิจฉัย

แม้นายชัยระบุนางแววเป็นผู้รับประโยชน์ไว้แล้วก็ตาม  นายชัยย่อมมีสิทธิเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นนายเอกได้  เว้นแต่จะเข้าหลักเกณฑ์สองประการที่นายชัยจะโอนสิทธิตามสัญญาประกันชีวิตไปให้ผู้อื่นอีกไม่ได้คือ

1       ได้มีการส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่นางแววไปแล้ว

2       นางแววได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทประกันภัยแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นางแววยังไม่ได้รับกรมธรรม์เพราะหนีออกจากบ้านไปก่อนที่บริษัทประกันส่งกรมธรรม์ฯ  มาให้และนางแววไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทผู้รับประกันชีวิต  นางแววบุคคลภายนอกจึงยังไม่มีสิทธิสมบูรณ์เนื่องจากยังไม่ครบหลักเกณฑ์  2  ข้อดังกล่าว

สรุป  นางแววไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิต 

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายหมอกเป็นเจ้าของตึกแถวราคา  10  ล้านบาท  นายเมฆเป็นพี่ชายนายหมอก  นายหมอกอนุญาตให้นายเมฆเข้ามาอาศัยอยู่และขายอาหารในตึกแถวนั้นได้  แต่นายเมฆกลัวว่าถ้าไฟไหม้ตึกแถวนี้  ตนจะได้รับความเดือดร้อน  เพราะต้องหาตึกแถวแห่งใหม่เพื่อทำการค้าต่อไป  นายเมฆจึงนำตึกแถวนี้ไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่งเป็นเวลา  1  ปี  วงเงินเอาประกัน  5 แสนบาท  หลังจากทำสัญญาประกันภัยไปได้สามเดือน  นายหมอกได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยให้กับนายเมฆเป็นเวลา  10  ปี  อีก  1  เดือนต่อมาไฟไหม้ตึกแถวข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้ตึกแถวที่นายเมฆเอาประกันภัยไว้เสียหายทั้งหมด  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  สัญญาประกันภัยระหว่างนายเมฆกับบริษัทประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  869  อันคำว่า  วินาศภัย  ในหมวดนี้  ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใดๆบรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเมฆผู้เอาประกันไม่มีส่วนได้เสียตามมาตรา  863  เพราะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆที่กฎหมายรับรองสิทธิเนื่องจากนายเมฆครอบครองตึกของนายหมอกในฐานะผู้อาศัย  โดยมิได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยไว้ด้วย  (คำพิพากษาฎีกาที่  1742/2502)  อีกทั้งนายเมฆไม่สามารถตีราคาความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้  ตามมาตรา  869  นายเมฆจึงไม่ได้รับความเสียหาย  เพราะนายเมฆยังไม่มีสิทธิใดๆในตึกแถวนี้

แม้ต่อมาภายหลังนายเมฆมีสิทธิอาศัย  เพราะมีการจดทะเบียนก็ไม่ทำให้สัญญาที่ไม่ผูกพันตั้งแต่ต้นกลายมาเป็นสัญญาที่มีผลผูกพันภายหลังได้  เพราะส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันต้องมีก่อนหรือในขณะทำสัญญาเท่านั้น 

สรุป  สัญญาประกันภัยระหว่างนายเมฆกับบริษัทประกันภัยจึงไม่ผูกพันคู่สัญญา

 

ข้อ  2  นายสักได้นำบ้านของตนไปประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเงียบสูญประกันภัย  โดยกำหนดราคาแห่งมูลประกันภัย  1,000,000  บาท  จำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย  800,000  บาท  ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาได้เกิดเพลิงไหม้บ้านเสียหายเป็นเงิน  796,000  บาท  และในขณะที่เกิดเพลิงไหม้นั้นนายสักได้พยายามป้องกันบ้านมิให้เกิดเพลิงไหม้โดยเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างฉีดน้ำป้องกันไฟเป็นจำนวนเงิน  6,000  บาท 

ดังนี้  นายสักมีสิทธิเรียกให้บริษัทเงียบสูญประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายทดแทนได้ในกรณีใดบ้าง  เป็นจำนวนเงินเท่าใด  ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจำนวนวินาศจริงนั้น  ท่านให้ตีราคา  ณ  สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศนั้นได้เกิดขึ้น  อนึ่งจำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

วินิจฉัย

นายสักนำบ้านของตนไปประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทเงียบสูญประกันภัย  มีจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัย  800,000  บาท  ในระหว่างอายุสัญญา  เกิดเพลิงไหม้บ้านเสียหายเป็นเงิน  796,000  บาท  และนายสักยังได้เสียค่าใช้จ่ายในการจ้างฉีดน้ำป้องกันไฟเป็นเงิน  6,000 บาท  ดังนี้  นายสักย่อมมีสิทธิเรียกให้บริษัทเงียบสูญประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริงที่เกิดขึ้นกับตัวบ้าน  คือ  796,000  บาท  ตามมาตรา  877(1)  และมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ  ใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไป เพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ  คือค่าใช้จ่ายในการจ้างฉีดน้ำป้องกันไฟเป็นจำนวนเงิน  6,000  บาท  ตามมาตรา  877(3)  เมื่อรวมแล้วคิดเป็นค่าสินไหมทดแทนที่นายสักจะพึงได้คือ  802,000  บาท

แต่อย่างไรก็ตาม  ค่าสินไหมทดแทนที่นายสักจะได้รับนั้น  ห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้คือ  800,000  บาท  ตามมาตรา  877  วรรคท้าย

สรุป  นายสักมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัทเงียบสูญประกันภัย  ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีความเสียหายที่เกิดแก่ตัวบ้าน  และค่าสินไหมทดแทนในการรักษาทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้มิให้วินาศ  รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น  800,000  บาท

 

ข้อ  3  จันทร์ได้เอาประกันชีวิตอังคารซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไว้กับบริษัทไทยประกันชีวิต  จำนวนเงินที่เอาประกันภัย  5  ล้านบาท  สัญญามีกำหนด  5  ปี  ระบุให้ตนเองและอาทิตย์บุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ร่วมกัน  ทั้งจันทร์และอาทิตย์ได้เข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตแล้ว  ต่อมา  2  ปี  จันทร์กับอังคารได้หย่าขาดจากกันเนื่องจากจันทร์ไปได้ดาวพระศุกร์เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง  จากความประพฤติของบิดาทำให้อาทิตย์บุตรชายไม่พอใจและได้ต่อว่าบิดา  ทั้งคู่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างรุนแรง  อาทิตย์จึงชักปืนออกมาเพื่อขู่บิดา  เมื่ออังคารเห็นเข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปห้ามในขณะที่ชุลมุนกันอยู่นั้น  อาทิตย์ได้ทำปืนลั่นถูกอังคารซึ่งเป็นมารดาตาย  ศาลได้พิพากษาจำคุก  1  ปี  ฐานทำให้คนตายโดยประมาท  และให้รอลงอาญาไว้  5  เดือน  หลังจากนั้นจันทร์กับอาทิตย์ได้ไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตจากบริษัทในฐานะผู้รับประโยชน์ร่วมกัน  แต่บริษัทฯไม่จ่าย  อ้างว่า

1        จันทร์กับอังคารได้หย่าขาดจากกันแล้ว  จันทร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของอังคารในขณะที่อังคารตาย  จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา  และ

2      อาทิตย์ก็ไม่มีสิทธิรับเงินด้วยเช่นกัน  เพราะเหตุว่าได้ทำให้อังคารซึ่งเป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิตตาย

จงวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของบริษัททั้ง  2  ข้อ  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895  เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  จะเห็นได้ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องในสัญญาประกันชีวิต  แยกพิจารณาได้ดังนี้

1       จันทร์  เป็นผู้เอาประกันชีวิตและเป็นผู้รับประโยชน์ด้วย

2       อังคาร  เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิต

3       อาทิตย์  เป็นผู้รับประโยชน์

ข้อเท็จจริง  จันทร์ได้เอาประกันชีวิตของอังคารภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งความทรงชีพหรือมรณะของภริยาอาจมีผลกระทบต่อตนเอง  ถือว่ามีเหตุแห่งส่วนได้เสียในขณะทำสัญญาตามมาตรา  863  สัญญาจึงมีผลสมบูรณ์และผูกพันคู่สัญญา  จากข้ออ้างของบริษัทตามข้อเท็จจริงทั้ง  2  ข้อนั้น  มีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้

 1       จันทร์กับอังคารได้หย่าขาดจากกันแล้ว  จันทร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของอังคารในขณะที่อังคารตาย  จึงไม่มีสิทธิรับเงินตามสัญญา  เห็นว่า  แม้จันทร์และอังคารจะได้หย่าขาดจากกันไปแล้ว  แต่สัญญาประกันชีวิตยังคงสมบูรณ์อยู่ไม่ทำให้สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด  เพราะส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันชีวิต  คงพิจารณาในขณะทำสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น  หาจำต้องพิจารณาในขณะมรณะอย่างใดไม่  ซึ่งตราบใดที่ผู้เอาประกันยังคงส่งเบี้ยประกันภัยอยู่ตามสัญญา  และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามมาตรา  889  บริษัทก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาตามมาตรา  890  ให้กับจันทร์ผู้เอาประกัน  ข้ออ้างของบริษัทจึงฟังไม่ขึ้น

2       การที่อาทิตย์ได้ทำปืนลั่นถูกอังคารตายและศาลพิพากษาให้จำคุก  1  ปี  ฐานทำให้คนตายโดยประมาทนั้น  ก็ไม่ใช่เป็นการที่ผู้รับประโยชน์ได้ฆ่าผู้เอาประกันหรือผู้ถูกเอาประกันตายโดยเจตนาตามมาตรา  895(2)  ดังนั้นอาทิตย์ก็ยังคงมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์เช่นเดียวกับจันทร์  ข้ออ้างของบริษัทจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทฟังไม่ขึ้นทั้ง  2  กรณี  ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับจันทร์และอาทิตย์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายชมไปทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งแต่ไม่มีเงิน  นายเชยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตกลงรับเป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์แทนให้  ต่อมานายชมได้นำรถยนต์คันนั้นไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทประกันภัย  โดยตกลงกันว่าถ้ารถยนต์สูญหายไป  นายชมจะได้รับชำระค่าสินไหมทดแทน  400,000  บาท  ระหว่างอายุสัญญาประกันวินาศภัย  รถยนต์สูญหายไปโดยไม่ปรากฏร่องรอย  นายชมจึงเรียกให้บริษัทประกันภัยชำระค่าสินไหมทดแทน  400,000  บาท  

บริษัทประกันภัยปฏิเสธการชำระค่าสินไหมทดแทน  โดยอ้างว่ารถยนต์คันนี้นายชมมิได้เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ  นายเชยต่างหากที่เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ  นายชมเพียงแต่ไปทำสัญญาเช่าซื้อ  นายชมไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันนี้  จึงไม่มีสิทธิที่จะเอารถยนต์คันนี้ไปทำสัญญาประกันวินาศภัย  บริษัทประกันภัยไม่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทน  400,000  บาทให้  ดังนี้  บริษัทประกันภัยต้องชำระค่าสินไหมทดแทน 400,000  บาท  ให้แก่นายชมหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

วินิจฉัย

ตามปัญหา  แม้นายชมมิได้เป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อ  นายเชยเป็นผู้ชำระค่าเช่าซื้อแทนให้ก็ตาม  แต่นายชมเป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อ  จึงอยู่ในฐานะคู่สัญญามีสิทธิที่จะครอบครองและใช้ประโยชน์ตลอดจนต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือบุบสลายในรถยนต์ที่เช่าซื้อ  และเมื่อใช้เงินครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว  รถยนต์คันนั้นก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่นายชมผู้เช่าซื้อ  นายชมจึงมีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่มาทำสัญญาประกันวินาศภัยเมื่อรถสูญหายตามที่ตกลงไว้ในสัญญา  บริษัทประกันภัยจึงต้องชำระค่าสินไหมทดแทนให้  400,000  บาท  ตามสัญญา

สรุป  บริษัทประกันภัยต้องชำระค่าสินไหมทดแทน  4000,000  บาทให้แก่นายชม

 

ข้อ  2  นายสมหวังนำตึกหลังหนึ่งไปทำสัญญาประกันอัคคีภัยไว้กับบริษัทดำในวงเงิน  200,000  บาท  และต่อมานำไปประกันไว้กับบริษัทแดงในวงเงิน  400,000  บาท  เกิดอัคคีภัยเสียหาย  250,000  บาท  อยากทราบว่าบริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายสมหวังหรือไม่  ถ้าต้องรับผิดจะรับผิดมากน้อยเพียงใด

ธงคำตอบ

มาตรา  870  วรรคสาม  ถ้าได้ทำสัญญาประกันภัยเป็นสองรายหรือกว่านั้นสืบเนื่องเป็นลำดับกัน  ท่านว่าผู้รับประกันภัยรายแรกจะต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยก่อน  ถ้าและจำนวนเงินซึ่งผู้รับประกันภัยคนแรกได้ใช้นั้นยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัยไซร้ผู้รับประกันภัยคนถัดไปก็ต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่นั้นต่อๆกันไปจนกว่าจะคุ้มวินาศ

วินิจฉัย

ตามปัญหา  เป็นเรื่องการประกันวินาศภัยหลายรายในวัตถุเดียวกัน  และเป็นสัญญาสืบต่อเนื่องกันตามหลักที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีเกิดวินาศภัย  ผู้รับประโยชน์จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าที่เสียหายจริง  ฉะนั้น เมื่อความเสียหายที่เกิดวินาศภัย  250,000  บาท  บริษัทดำและบริษัทแดงต้องรับผิดชอบตามลำดับต่อไปนี้   

1       บริษัทดำผู้รับประกันก่อนต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  200,000  บาท  เท่ากับจำนวนเงินที่ได้ประกันไว้  ซึ่งยังไม่คุ้มจำนวนวินาศภัย

2       บริษัทแดงผู้รับประกันต่อมาจึงต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนส่วนที่ยังไม่คุ้ม  50,000  บาท

สรุป  บริษัทดำรับผิด  200,000  บาท  ส่วนบริษัทแดงรับผิด  50,000  บาท  

 

ข้อ  3  เมื่อต้นปี  พ.ศ.  2535  นายดีนำนางศรีภริยาไปทำสัญญาเอาประกันชีวิตกับบริษัทไทยประกันชีวิต  ในวงเงิน  1,000,000  บาท  นายดีแถลงต่อบริษัทว่า นางศรีภริยามีสุขภาพสมบูรณ์  ซึ่งความจริงนางศรีป่วยเป็นมะเร็งที่เต้านม  นายดีไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน  ขณะที่ทำสัญญาประกันชีวิต  นางศรีก็นิ่งเสียไม่แถลงความจริงโดยคาดว่าจะรักษาหาย  ครั้นต่อมานางศรีได้ถึงแก่กรรมเมื่อต้นเดือนมกราคม  2541 บริษัทไทยประกันชีวิตสืบทราบว่า  นางศรีป่วยเป็นโรคมะเร็งมาก่อนที่นายดีนำมาทำสัญญาประกันชีวิต  จึงบอกล้างนิติกรรมโมฆียกรรมนี้  เมื่อวันที่  15  มกราคม  2541  อยากทราบว่า  บริษัทไทยประกันชีวิต  มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมรายนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

หน้าที่การเปิดเผยข้อความจริงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นี้เป็นหน้าที่ทั้งของผู้เอาระกันภัยและผู้ถูกประกัน  การที่นางศรีผู้ถูกเอาประกันนิ่งเสีย  ไม่เปิดเผยว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรง  หากบริษัทไทยประกันชีวิตทราบความจริงเรื่องนี้คงไม่ยอมรับทำสัญญาประกันชีวิตด้วยอย่างแน่นอน  สัญญาประกันชีวิตฉบับนี้จึงเป็นโมฆะ

แต่การบอกล้างโมฆียะกรรมนี้ตามมาตรา  865  วรรคท้าย  ได้วางหลักไว้ว่า  ต้องบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันทราบมูลอันจะบอกล้างได้  หรือภายในห้าปีนับแต่วันทำสัญญาหากมิฉะนั้นแล้วเป็นอันหมดสิทธิในการบอกล้าง  สัญญาประกันชีวิตฉบับนี้ได้ทำเมื่อต้นปี  พ.ศ. 2535  นับจนบัดนี้  เกินห้าปีแล้ว  บริษัทไทยประกันชีวิตไม่มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมนี้แล้ว

สรุป  บริษัทไทยประกันชีวิตไมมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมนี้แล้ว

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายลาดเสนอขอเอาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทอุตสาหะประกันภัย  จำกัด  โดยพนักงานของบริษัทอุตสาหะประกันภัย จำกัด  ได้จดแจ้งจำนวนเบี้ยประกันภัยลงในใบเสนอขอเอาประกันภัยและในใบเสนอขอเอาประกันภัยมีข้อความว่า  ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆจนกว่าบริษัทจะยอมรับคำขอเอาประกันนี้  และได้ชำระเบี้ยประกันเต็มจำนวนแล้ว  ต่อมาบริษัทอุตสาหะประกันภัย  จำกัด ได้ส่งกรมธรรม์ประกันภัยไปให้นายฉลาดพร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งว่าเมื่อได้รับกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว  ให้นายฉลาดส่งเบี้ยประกันภัยไปยังบริษัททันที  

อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาปรากฏว่าเกิดวินาศภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์  แต่นายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัย  ดังนี้  นายฉลาดเรียกร้องให้บริษัทอุตสาหะประกันภัย  จำกัด  ใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทอุตสาหะประกันภัย  จำกัด  ปฏิเสธการจ่ายอ้างว่าสัญญายังไม่เกิดขึ้น เพราะนายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัย  จงวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของบริษัทอุตสาหะประกันภัย  จำกัด  ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  และนายฉลาดมีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัทฯ  ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  861  อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น  หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต  ดังได้ระบุไว้ในสัญญา  และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า  เบี้ยประกันภัย

มาตรา  867  วรรคแรก  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหามีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย

ประเด็นที่  1

การที่บริษัทอุตสาหะประกันภัย  จำกัด  ปฏิเสธการใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างว่าสัญญายังไม่เกิดขึ้น  เพราะนายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยนั้น  เห็นว่า  ตามอุทาหรณ์  การที่นายฉลาดยื่นคำขอเอาประกัน  จนกระทั่งบริษัทฯ  ออกกรมธรรม์ให้แก่นายฉลาดแล้ว  เมื่อพิจารณาตามกฎหมายเรื่องสัญญาคำขอเอาประกันของนายฉลาดถือเท่ากับเป็นคำเสนอ  ส่วนกรมธรรม์ถือว่าเป็นคำสนอง  ดังนั้นสัญญาประกันภัยจึงเกิดขึ้นแล้ว  ส่วนการที่นายฉลาดยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันเป็นเรื่องของการไม่ชำระหนี้ตามสัญญาตามมาตรา  861  ซึ่งเบี้ยประกันภัยเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติหลังจากที่เกิดสัญญาขึ้น  ถือว่านายฉลาดเป็นลูกหนี้ของบริษัท

ดังนั้นการจะพิจารณาว่า  สัญญาเกิดขึ้นแล้วหรือไม่  ต้องพิจารณาจากคำเสนอและคำสนอง  ไม่ได้พิจารณาจากการที่ผู้เอาประกันต้องชำระหนี้คือจ่ายเบี้ยประกันให้บริษัทแล้วสัญญาจึงจะเกิดขึ้น  ส่วนการที่ใบเสนอขอเอาประกันภัยมีข้อความว่า  ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆจนกว่าบริษัทจะยอมรับคำขอเอาประกันนี้  และได้ชำระเบี้ยประกันภัยเต็มจำนวนแล้ว  ก็ไม่พอฟังเป็นเงื่อนไขว่า  สัญญาจะมีผลใช้บังคับต่อเมื่อนายฉลาดส่งเบี้ยประกันภัยถูกต้องตามกำหนดแล้ว  เพราะข้อความดังกล่าวมิได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย  จึงไม่ถือว่าเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนหรือเงื่อนไขแห่งความรับผิดแต่อย่างใด  (เทียบคำพิพากษาฎีกา  1306/2514)

ประเด็นที่  2

นายฉลาดมีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัทฯ  ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่เมื่อสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแล้วต่างฝ่ายต่างมีหนี้ตามสัญญา  หนี้ของบริษัทฯ  คือใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีวินาศภัยมีขึ้น  ตามอุทาหรณ์  ปรากฏว่าเกิดวินาศภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์  บริษัทจึงมีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายฉลาด  แต่นายฉลาดจะมีสิทธิเรียกให้บริษัทฯ  ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ก็ต่อเมื่อนายฉลาดต้องชำระหนี้ของตนคือจ่ายเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทก่อนตามมาตรา  369  เพราะสัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน  ดังเห็นได้จากความหมายในมาตรา  861

ส่วนการฟ้องเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อนายฉลาดได้ปฏิบัติตามมาตรา  369  แล้ว  เป็นการฟ้องให้บริษัทฯปฏิบัติตามสัญญา  จึงเป็นการฟ้องบังคับคดี  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทออกกรมธรรม์ให้นายลาดแล้ว  นายฉลาดจึงนำเอากรมธรรม์  มาฟ้องบังคับคดีได้ เพราะกรมธรรม์คือหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดคือบริษัทฯตามมาตรา  867  วรรคแรก

สรุป  ข้อต่อสู้ของบริษัท  ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  และนายฉลาดมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท  เมื่อชำระเบี้ยประกันให้บริษัทเสียก่อนโดยเอากรมธรรม์มาฟ้อง  (เทียบฎีกาที่  1306/2514)

 

ข้อ  2  นายเสริมได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัย  มีกำหนดตามสัญญา  1  ปี  กำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัย  500,000  บาท  ปรากฏว่าในระหว่างอายุสัญญา  ฐานะครอบครัวของนายเสริมยากจนลง  เนื่องจากธุรกิจของนายเสริมประสบภาวะขาดทุน  นางศรีภริยาของนายเสริมทราบว่านายเสริมได้ประกันอัคคีภัยบ้านไว้  จึงแกล้งวางเผลิงเผาบ้าน  เพื่อให้บริษัทประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวน  500,000  บาท  ดังนี้  บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือไม่  ประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  861  อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น  หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต  ดังได้ระบุไว้ในสัญญา  และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า  เบี้ยประกันภัย

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเสริม  จำนวน  500,000  บาท  เพราะการกระทำของนางศรีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  879  แม้นางศรีจะเป็นภริยาของนายเสริม  แต่นางศรีไม่ได้เป็นผู้เอาประกันภัยและไม่ได้เป็นผู้รับประโยชน์  ดังนั้นเมื่ออัคคีภัยอันเป็นภัยที่ระบุไว้ในสัญญาเกิดขึ้น  แม้นางศรีจะแกล้งวางเพลิงเผาบ้านเพื่อหวังได้เงินเอาประกันก็ตาม  บริษัทประกันภัยก็ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวให้แก่นายเสริม  ตานัยมาตรา  861

สรุป  บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน  500,000  ให้แก่นายเสริม

 

ข้อ  3  นายแดงได้ทำสัญญาประกันชีวิตนางดำภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไว้กับบริษัทประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  3  ล้านบาท  สัญญามีกำหนด  5  ปี  โดยระบุให้ตนเองและนาบเหลืองบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ร่วมกัน  ซึ่งทั้งคู่ก็ได้เข้าถือเอาประโยชน์เรียบร้อยแล้ว  ต่อมาอีก  3  ปี  นายแดงไปได้นางเขียวเป็นภริยาอีกคนหนึ่งทำให้นางดำโกรธมากจึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง  นางดำจึงไปหยิบปืนของนายแดงมาหวังจะยิงนายแดงให้ตาย  นายเหลืองบุตรชายเห็นและเข้าไปห้ามปรามนายเหลืองจึงทำปืนลั่นถูกนางดำตาย  ศาลได้พิพากษาจำคุกนายเหลือง  1  ปี  ฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนา  หลังจากนั้นทั้งนายแดงและนายเหลืองได้ไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ร่วมกัน  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทจะจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ใคร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา  พิจารณาบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้  คือ

1       นายแดง  เป็นผู้เอาประกันชีวิตและเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาฯ

2       นางดำ  เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิต

3       นายเหลือง  เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาฯ

นายแดงกับนางดำเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  นายแดงจึงสามารถเอาประกันชีวิตของนางดำได้  เพราะมีเหตุแห่งส่วนได้เสียตามมาตรา  863  สัญญาจึงมีผลผูกพัน  เมื่อนางดำตายบริษัทต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับนายแดงตามมาตรา  895  วรรคแรก  เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895 (1)  หรือ  (2)  ส่วนกรณีที่นายเหลืองได้ทำปืนลั่นถูกนางดำมารดาตาย  และศาลพิพากษาให้จำคุก  1  ปี  ฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนานั้น  ก็ไม่ได้เป็นกรณีที่ผู้รับประโยชน์ได้ฆ่าผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตายโตยเจตนาตามมาตรา  895(2)  ดังนั้นนายเหลืองจึงยังคงมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตในฐานะผู้รับประโยชน์ได้เช่นเดียวกับนายแดงผู้เป็นบิดา

สรุป  บริษัทประกันชีวิต  ขำกัด  ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่นายแดงและนายเหลือง

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายเอกได้ตกลงซื้อรถยนต์จากนายโทในราคา  1  ล้านบาท  โดยนายเอกได้ชำระมัดจำไว้เป็นจำนวนเงิน  2  แสนบาท  ในวันที่ทำสัญญาซื้อขายคือวันที่  10  มกราคม  2551  ส่วนที่เหลือจะชำระให้หมดในวันที่นายโทนัดส่งมอบ  พร้อมกับไปโอนทะเบียนรถยนต์คือในวันที่  25  มกราคม  2551  ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการส่งมอบรถและโอนทะเบียนกันนั้น  ปรากฏว่าสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่นายโททำไว้ได้หมดอายุลง  นายเอกจึงได้ไปทำสัญญาประกันภัยฉบับใหม่กับบริษัทประกันภัยจำกัด  ในวันที่  22  มกราคม  2551  จำนวนเงินที่เอาประกัน  8  แสนบาท  ระยะเวลาตามกรมธรรม์  1  ปี  โดยระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ต่อมาวันที่  30  มกราคม  2551  รถยนต์ที่ได้เอาประกันภัยไว้ประสบอุบัติเหตุรุนแรงเสียหายคิดเป็นเงิน 5  แสนบาท  นายเอกจึงไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทผู้รับประกันภัย  บริษัทฯปฏิเสธการจ่าย  โดยอ้างว่านายเอกไม่มีส่วนได้เสียในขณะทำสัญญาประกันภัย  เพราะยังไม่ได้ส่งมอบรถและโอนทะเบียนรถยนต์กันกับนายโท  ดังนี้จงวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของบริษัทฯ  รับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  862  ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า  ผู้รับประกันภัย  ท่านหมายความว่า  คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้

คำว่า  ผู้เอาประกันภัย”  ท่านหมายความว่า  คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คำว่า  ผู้รับประโยชน์  ท่านหมายความว่า  บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินใช้ให้

อนึ่ง  ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น  จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

วรรคท้าย  ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

วินิจฉัย

การที่นายเอกได้ตกลงซื้อรถยนต์จากนายโทในวันที่  10  มกราคม  2551  นั้น  ถือว่า  เป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์เสร็จเด็ดขาด  จึงมีผลให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวโอนไปเป็นของนายเอกผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย  ตามมาตรา  458  ทั้งนี้แม้จะไม่มีการโอนจดทะเบียนก็ตาม  เพราะการโอนทะเบียนรถยนต์ตามกฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนรถยนต์  เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่จะควบคุมยานพาหนะและภาษีรถยนต์เท่านั้น  ไม่กระทบถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่ได้โอนไปแล้วแต่อย่างใด (ฏ. 60/2524)  ดังนั้นนายเอกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเป็นเจ้าของรถยนต์ทันที  ต่อมาในวันที่  22  มกราคม  2551  นายเอกได้นำรถยนต์ไปทำสัญญาประกันภัย  จึงถือได้ว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย  นายเอกเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยสัญญาจึงมีผลผูกพันผู้รับประกันตามกฎหมาย  ตามมาตรา  863  เมื่อนายเอกผู้เอาประกันภัยมิได้กำหนดตัวผู้รับประโยชน์ไว้เป็นอย่างอื่น  จึงต้องถือว่านายเอกเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าวด้วย  ตามมาตรา  862  ดังนั้นบริษัทฯ  จึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้นายเอกตามที่ได้เสียหายจริง  คือ  5  แสนบาท  ซึ่งไม่เกินจำนวนเงินที่เอาประกันฯ  ตามมาตรา  877 (1)  และวรรคท้าย  ข้ออ้างของบริษัทผู้รับประกันภัยฟังไม่ขึ้นแต่อย่างใด

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทฯรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  เมื่อวันที่  9  ธันวาคม  2535  นายดำทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนราคา  4 ล้านบาท  ไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  วงเงินเอาประกัน  3  ล้านบาท  กำหนดเบี้ยประกันภัย  5  หมื่นบาทโดยคู่สัญญากำหนดเวลาเริ่มต้นแห่งสัญญาประกันภัยไว้ในวันที่  3  มกราคม  2536  ครั้นวันที่  28  ธันวาคม  2535  นายดำเปลี่ยนใจไม่ต้องการทำสัญญาประกันภัย  ดังนี้  นายดำมีสิทธิบอกเลิกสัญญาประกันภัยได้หรือไม่  และบริษัทประกันภัยมีสิทธิอย่างไร  เพราเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  872  ก่อนเริ่มเสี่ยงภัย  ผู้เอาประกันภัยจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  แต่ผู้รับประกันภัยชอบที่จะได้เบี้ยประกันภัยกึ่งจำนวน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญาประกันวินาศภัยรายนี้ทำไว้ในวันที่  9  ธันวาคม  2535  แต่สัญญามีผลบังคับวันที่  3  มกราคม  2536  ดังนั้นก่อนเริ่มเสี่ยงภัยคือก่อนวันที่สัญญามีผลบังคับ  คือวันที่  28  ธันวาคม  2535  นายดำผู้เอาประกันภัยจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา  872  แต่นายดำต้องเสียเบี้ยประกันภัยครึ่งหนึ่งคือ  25,000   บาท  ให้แก่บริษัทประกันวินาศภัย

สรุป  นายดำมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้  และบริษัทประกันภัยมีสิทธิได้เบี้ยประกันครึ่งหนึ่ง

 

ข้อ  3  นายขวดนำนางแก้วภริยาไปทำสัญญาเอาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะกับบริษัทประกันชีวิตในวงเงิน  500,000  บาท  ตามระเบียบบริษัทฯ  การทำประกันในวงเงินไม่เกิน  500,000  บาท  ไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ  หลังจากทำสัญญาประกันแล้ว  1  ปี  นางแก้วป่วยเป็นโรคหัวใจรั่วต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง  ต่อมาอีก  1  ปี  นางแก้วถึงแก่กรรม  นายขวดผู้รับประโยชน์จึงยื่นคำขอรับเงิน  500,000  บาท บริษัทประกันชีวิตปฏิเสธการจ่ายเงินโดยใช้สิทธิตามมาตรา  865  อ้างว่านางแก้วป่วยเป็นโรคร้ายแรง  ไม่แจ้งให้บริษัทฯทราบ  จึงบอกล้างสัญญาประกัน  ดังนี้  ข้ออ้างของบริษัทประกันชีวิตรับฟังได้หรือไม่  นายขวดมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด  

ธงคำตอบ

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายในมาตรา  865  กำหนดให้ผู้เอาประกันเปิดเผยข้อความจริง  ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันให้เรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันนั้น  ต้องกระทำในเวลาทำสัญญาประกันภัย  กล่าวคือ  ต้องเปิดเผยความจริงก่อนวันทำสัญญาหรืออย่างช้าที่สุดก็วันทำสัญญาประกันซึ่งหากผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามนี้แล้ว  สัญญาประกันภัยย่อมตกเป็นโมฆียะ  บริษัทประกันภัยสามารถบอกล้างสัญญาได้

กรณีตามปัญหา  ก่อนมีการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้  ไม่ปรากฏว่านางแก้วได้ปกปิดความจริงในเรื่องสุขภาพของตนแต่ประการใด  อาการป่วยของนางแก้วได้เกิดขึ้นภายหลังการทำสัญญาประกันชีวิตแล้ว  สัญญาประกันชีวิตรายนี้จึงสมบูรณทุกประการ  นางแก้วไม่จำต้องแจ้งเหตุการณ์เจ็บป่วยที่เกิดขึ้นภายหลังทำสัญญาประกันชีวิตให้บริษัทประกันชีวิตทราบ  บริษัทฯ  ไม่มีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้ ข้ออ้างของบริษัทฯ  จึงรับฟังไม่ได้  นายขวดผู้รับประโยชน์จึงมีสิทธิได้รับเงิน  500,000  บาท  ตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทฯ  รับฟังไม่ได้  และนายขวดมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิต

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  นายโด่งรู้ว่าตนป่วยเป็นโรคถุงลมพองเรื้อรังมานานเป็นปี  ต่อมานายโงทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้เป็นเวลา  20  ปี  กับบริษัท  สยามประกันชีวิต  จำกัด  วงเงิน  1  ล้านบาท  แต่นายโด่งไม่เปิดเผยให้บริษัทประกันทราบ  และแพทย์ผู้ตรวจร่างกายก็ไม่ได้ฉายเอกซเรย์  ทำให้บริษัท  สยามประกันชีวิตฯรับทำสัญญาของนายโงโดยพิจารณาจากรายงานของแพทย์ว่านายโงสุขภาพปกติ  ซึ่งถ้าบริษัทสยามประกันชีวิตฯ  รู้ว่านายโด่งเป็นโรคถุงลมพองก็จะเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก  ปีต่อมานับแต่วันทำสัญญา  นายโด่งเสียชีวิตด้วยโรคถุงลมพอง  บริษัท  สยามประกันชีวิตฯ  จึงได้ทราบว่านายโด่งปกปิดโรคดังกล่าวและได้บอกล้างภายใน  1  เดือนนับแต่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้  แต่นางแดง  ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์อ้างว่าบริษัท  สยามประกันชีวิตประมาทเลินเล่อ  ไม่ใช้ความระมัดระวังในการรับประกัน เพราะถ้ามีการฉายเอกซเรย์ก็จะรู้ว่านายโงเป็นโรคถุงลมพอง  ดังนี้  อยากทราบว่า  ข้ออ้างของนางแดงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  866  ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความจริงดังกล่าวในมาตรา  865  นั้นก็ดี  หรือรู้ว่าข้อแถลงความเป็นความเท็จก็ดี  หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากใช้ความระมัดระวังดังจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชนก็ดี  ท่านให้ฟังว่าสัญญานั้นเป็นอันสมบูรณ์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า  การที่แพทย์ผู้ตรวจร่างกายของนายโด่งไม่ได้ฉายเอกซเรย์  ถือว่า  บริษัทสยามประกันชีวิต  จำกัด  ควรจะได้รู้เช่นนั้นหากใช้ความระมัดระวังดังพึงคาดหมายได้เช่นวิญญูชนหรือไม่  เห็นว่า

โรคถุงลมพอง  เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายขาดและอาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้  โรคถุงลมพองจึงเป็นโรคที่มีความสำคัญอันอาจถือเป็นเหตุให้ผู้รับประกันชีวิตบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิตผู้ขอเอาประกันได้  ถ้าผู้รับประกันชีวิตได้ทราบข้อความจริงนี้มาก่อน  การที่ผู้เอาประกันรู้ตัวดีว่าป่วยเป็นโรคถุงลมพองเรื้อรังมานานปีแต่ไม่เปิดเผยให้บริษัทประกันทราบ  จึงเป็นการละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริง  ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตที่ผู้เอาประกันทำไว้กับบริษัทฯ  จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  865  วรรคแรก

ส่วนการตรวจโรคถุงลมพองโดยวิธีธรรมดาจะพบยาก  นอกจากฉายเอกซเรย์หรือใช้สีฉีดเข้าไปในปอดแล้วฉายเอกซเรย์  แต่เมื่อนายโด่งผู้เอาประกันปกปิดมิได้แจ้งเรื่องที่ตนป่วยเป็นโรคนี้ให้แพทย์ผู้ตรวจสุขภาพทราบ  ก็ไม่มีเหตุที่แพทย์จะต้องฉายเอกซเรย์ตรวจดูถุงลมของผู้เอาประกันเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าผู้เอาประกันเป็นโรคถุงลมพอง  การรับประกันชีวิตของบริษัท  สยามประกันชีวิต  จำกัด  ก็พิจารณาจากรายงานของแพทย์ประกอบกับคำขอเอาประกัน  เช่นนี้จะฟังว่าผู้รับประกันชีวิตประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังในการรับประกันเช่นวิญญูชนไม่ได้  เพราะถือว่าบริษัทฯ  ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว  กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา  866  (ฎ. 1076/2520)

สรุป  ข้ออ้างของนางแดงผู้รับประโยชน์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ

 

ข้อ  2  นายแดงได้ทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัยจำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญากำหนด  1  ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์  ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย  นางส้มจีนมารดาของนายแดงซึ่งป่วยเป็นโรคข้ออักเสบได้มาพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย  เนื่องจากที่บ้านยุงชุมมาก  นางส้มจีนจึงได้จุดยากันยุงไล่และจุดทิ้งไว้ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจึงทำให้ไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลัง  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านให้กับนายแดงหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

วรรคท้าย  ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  879  วรรคแรก  ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแดงเอาประกันอัคคีภัยบ้านของตนถือว่าเป็นผู้มีเหตุแห่งส่วนได้เสียตามมาตรา  863  สัญญาจึงมีผลผูกพัน และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา  (อัคคีภัย)  บริษัทผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาให้กับนายแดงตามมาตรา  877(1)  และวรรคท้าย  ในฐานะที่เป็นทั้งผู้เอาประกันและเป็นผู้รับประโยชน์  เพราะวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น  ไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายแดง  จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  879 วรรคแรก

สรุป  ผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมให้แก่นายแดง

 

ข้อ  3  นายทรพาเอาประกันชีวิต  1  ล้านบาทในเหตุมรณะกับบริษัทประกันภัยในวันที่  1  พฤษภาคม  2549  สัญญามีกำหนด  10  ปี  โดยระบุให้นายทรพีบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์  วันที่  1  พฤษภาคม  2551  นายทรพีอยากได้เงินประกันชีวิต  จึงวางแผนทำร้ายร่างกายนายทรพาโดยใช้ปืนยิงนายทรพาที่ขาได้รับอันตรายสาหัส  นายทรพาน้อยใจที่นายทรพีบุตรชายทำร้ายตน  จึงกินยาพิษจนถึงแก่ความตาย  นายทรพีมาขอรีบเงินประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ดังนี้  บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินประกันชีวิตให้แก่นายทรพีหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่  2  นี้  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายทรพีผู้รับประโยชน์วางแผนทำร้ายนายทรพาโดยใช้ปืนยิงถูกนายทรพาที่ขาได้รับอันตรายสาหัส  ถือว่าผู้รับประโยชน์มีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เอาประกันให้ได้รับอันตรายสาหัสแต่มิได้มีเจตนาฆ่า  (ฎ.  1006/2501)  จึงไม่ใช่เป็นกรณีถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา  895 (2)และเมื่อนายทรพาน้อยใจกินยาพิษจนถึงแก่ความตาย  เป็นการฆ่าตัวตายด้วยใจสมัคร  แต่เลยเวลา  1  ปีนับแต่วันทำสัญญาประกันชีวิตแล้ว  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่บริษัทประกันภัยจะไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา  895(1)

สรุป  บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ให้แก่นายทรพีผู้รับประโยชน์

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย สอบซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1.       เอกได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตจำกัด จำนวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญากำหนด 10 ปี ระบุให้โทซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมากเป็นผู้รับประโยชน์ ซึ่งก่อนทำสัญญาประกันชีวิต เอกมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่หลังจากทำสัญญาไปได้ 1 ปี เขาก็ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ จึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาโทว่าควรที่จะแจ้งให้บริษัททราบดีหรือไม่ และมีความเห็นตรงกันว่าไม่ต้องแจ้ง และทั้งคู่ได้ปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ต่อมาอีก 2 ปี เอกก็เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวาย โทจึงไปขอรับเงินจากบริษัท แต่บริษัท   ไม่จ่าย โดยอ้างว่า
1.               โทไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเอก จึงไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันชีวิตนี้ และ2.               โทได้ปกปิดความจริงเกี่ยวกับการที่เอกป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ตับ ทั้ง ๆ ที่ทราบดีแต่ไม่แจ้งให้บริษัททราบ จึงทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ และได้บอกล้างจงวินิจฉัยว่าข้ออ้างของบริษัททั้ง 2 ข้อ ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

 แนวคำตอบ  หลักกฎหมาย

ป.พ.พ. มาตรา 862, 863, 865, 889, 890

 วินิจฉัย  เอกได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกัน สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา 863 ฉะนั้นเมื่อมีมรณภัยเกิดขึ้นตามเหตุแห่งมาตรา 889 บริษัทจึงต้องจ่ายเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญา คือ 1 ล้านบาท ตามมาตรา 890 เพราะสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 865 เนื่องจากในเวลาทำสัญญานั้น เอกไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ แต่เขาทราบหลังจากทำสัญญาแล้ว สัญญาจึงสมบูรณ์ แม้ว่าจะเสียชีวิตด้วยโรคใด บริษัทก็ปฏิเสธไม่ได้ ส่วนที่บริษัทอ้างว่าโทไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเอกนั้น ก็อ้างไม่ได้ เพราะโทเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ มีสิทธิที่จะได้รับจำนวนเงินใช้ให้ตามสัญญาประกันชีวิตเท่านั้น ตามมาตรา 862 จึงไม่ต้องมีส่วนได้เสียตามมาตรา 863 แต่อย่างใด และก็ไม่ต้องเปิดเผยข้อความจริงตามมาตรา 865 เพราะไม่ใช่ผู้มีหน้าที่ดังกล่าว สัญญาไม่เป็นโมฆียะ และบริษัทไม่มีสิทธิบอกล้าง และต้องจ่ายเงิน 1 ล้านบาทให้แก่โทตามสัญญา

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1.       นายอังคารจดทะเบียนสมรสกับนางศุกร์  นางศุกร์เอาประกันชีวิตนายอังคารไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะ  จำนวนเงินเอาประกันหนึ่งแสนบาท มีกำหนดระยะเวลา 30 ปี อีก 10 ปีต่อมา  นายอังคารจดทะเบียนหย่าขาดจากนางศุกร์  หลังจากนั้นอีก 1 เดือน  นายอังคารถึงแก่ความตาย เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์  นางศุกร์ยื่นขอรับเงินประกันหนึ่งแสนบาท  แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายอ้างว่าก.  สัญญาไม่ผูกพัน เพราะส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นหมดสิ้นไป  โดยเหตุที่นางศุกร์และนายอังคารไม่ได้เป็นคู่สมรสกันแล้ว  เนื่องจากหย่าขาดจากกัน

ข.   การที่นางศุกร์ได้หย่าขาดจากนายอังคารแล้ว นางศุกร์จึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางศุกร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคารอีกต่อไป

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยทั้งสองประการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 863 บัญญัติว่า อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

วินิจฉัย

ก.  สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่ต้องใช้มาตรา 863 ดูเรื่องส่วนได้เสียฯ จากคำถามเป็นการประกันชีวิตผู้อื่น เมื่อพิจารณาตัวผู้เอาประกันภัย คือ นางศุกร์ จะเห็นได้ว่า มีความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส ทั้งนี้เพราะนางศุกร์มีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดต่อชีวิตของนายอังคารสามีที่ได้มาเอาประกันไว้กับบริษัทผู้รับประกันและประการสำคัญส่วนได้เสียฯ ผู้เอาประกันต้องมีในขณะทำสัญญาด้วย เมื่อขณะทำสัญญา นางศุกร์มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคาร เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่า สัญญาจึงมีผลผูกพัน แม้ต่อมาส่วนได้เสียฯ จะหมดสิ้นไปเพราะหย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทำให้สัญญามีผลผูกพันตั้งแต่ต้นกลายเป็นสัญญาที่ไม่ผูกพันในภายหลัง ดังนั้นข้ออ้างของบริษัทประกันที่ว่าสัญญาไม่ผูกพันจึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข.  ประเด็นข้อกฎหมายคือ นางศุกร์เป็นผู้รับประโยชน์ได้หรือไม่ ตามมาตรา 863 จะเห็นได้ว่าผู้ซึ่งต้องมีส่วนได้เสียก็แต่เฉพาะผู้เอาประกันภัยเท่านั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้รับประโยชน์ต้องมีส่วนได้เสียแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นผู้รับประโยชน์จะเป็นใครก็ได้ถึงแม้ไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัยก็เป็นผู้รับประโยชน์ได้ ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าการที่นางศุกร์ได้หย่าขาดจากนายอังคารแล้ว นางศุกร์จึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางศุกร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคารอีกต่อไป จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2.       สมชายได้นำรถบรรทุกของตนไปทำสัญญาประกันภัยวินาศภัยไว้กับบริษัทประกันภัยจำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน 5 แสนบาท และในขณะเดียวกัน  สมชายก็ได้เอาประกันภัยในความรับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้รถ  คันนี้ (ประกันภัยค้ำจุน)  ไว้กับบริษัทเดียวกันอีกกรมธรรม์หนึ่งด้วย จำนวนเงินที่เอาประกัน 4 แสนบาท กำหนดระยะเวลาในการทำสัญญา 1 ปี  หลังจากทำสัญญาได้ 5 เดือน  สมชายได้สั่งให้สมศักดิ์ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถคันดังกล่าว  ซึ่งบรรทุกสินค้าไปส่งให้กับลูกค้าที่จังหวัดอุดรธานี  หลังจากส่งของเสร็จสมศักดิ์ได้ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อแซงทางโค้งชนกับรถบรรทุกของสมพงษ์ซึ่งวิ่งสวนทางมา  ทำให้สมศักดิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียค่ารักษาพยาบาลคิดเป็นเงิน 1 แสนบาท  และรถบรรทุกของสมชายก็เสียหายด้วย คิดเป็นเงิน 3 แสนบาท  ส่วนรถของสมพงษ์ก็เสียหายเช่นกัน คิดเป็นเงิน 1 แสนบาท  จงวินิจฉัยว่า บริษัทประกันภัยจำกัดจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับใคร อย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  862  วรรคท้าย  อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น  จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวก็ได้

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ 

(1)          เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  879  วรรคแรก  ผุ้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเรื่องความวินาศภัย  หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์

มาตรา  887  วรรคแรก  อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น  คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ 

วินิจฉัย

สมชายได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของตนเอง สมชายย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย สัญญาจึงมีผลผูกพันตามมาตรา 863 และเมื่อเขาไม่ได้ระบุไว้ให้ใครเป็นผู้รับประโยชน์ สมชายจึงเป็นผู้รับประโยชน์เองตามมาตรา 862 วรรคท้าย ซึ่งบริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัยให้กับสมชายดังนี้

1.  จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้สมชายตามสัญญาประกันวินาศภัย กรณีที่รถยนต์บรรทุกของเขาเสียหายคิดเป็นเงิน 3 แสนบาท ตามมาตรา 877 (1) ประกอบวรรคท้าย

2.  จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับสมพงษ์ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน กรณีรถของสมพงษ์เสียหายคิดเป็นเงิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 887 ประกอบมาตรา 877 (1) และวรรคท้าย

3.  จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับสมศักดิ์ที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเงินอีก 1 แสนบาท ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน ตามมาตรา 887 ประกอบมาตรา 877 (1) และวรรคท้าย

ทั้งนี้เพราะวินาศภัยที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์จึงไม่เข้ากรณียกเว้นความรับผิดของบริษัทตามมาตรา 879 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 3.   นางสมปองได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง      ในสัญญาระบุให้นางสาวสมใจบุตรสาวเป็นผู้รับประโยชน์  ต่อมาภายในอายุสัญญาประกัน  นางสมปองได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง  นางสาวสมใจบุตรสาวเป็นคนดูแลรักษาพยาบาล  ได้หยิบยาผิดขวดให้นางสมปองกินจนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา  ดังนี้ นางสาวสมใจผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตหรือไม่       เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895  เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

ข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตประการหนึ่งตามมาตรา  895 (2)  คือ  ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  ซึ่งหมายความว่าเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผล  หากมีเพียงเจตนาทำร้าย หรือเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนา

นางสาวสมใจผู้รับประโยชน์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิตได้ตามมาตรา 889, 890  เพราะนางสาวสมใจไม่ได้ฆ่าผู้เอาประกันตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2)  การหยิบยาผิดขวดให้ผู้เอาประกันชีวิตกินนั้นยังไม่ถือว่ามีเจตนาฆ่า

สรุป  นางสาวสมใจมีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประกันจากบริษัทประกันชีวิต

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายกล้าเป็นข้าราชการบำนาญ  มีรถเก๋งอยู่คันหนึ่งแต่ไม่ค่อยได้ใช้  จึงให้นายเก่งลูกชายขับไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง  และในวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์  นายกล้าจึงได้ใช้ขับไปทำบุญที่วัด  นายเก่งกลัวว่ารถที่ตนใช้อยู่เป็นประจำจะถูกขโมย  จึงได้นำรถคันดังกล่าวไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทบางกอกประกันภัย  จำกัด  ในวงเงิน  3  แสนบาท  สัญญากำหนด  1  ปี  ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์  หลังจากทำสัญญาได้  4  เดือน  นายกล้าก็ป่วยเป็นโรคหัวใจวายตาย  นายเก่งจึงได้รับมรดกทั้งหมดรวมทั้งรถเก๋งคันที่เอาประกันนั้นด้วย  22  เดือนต่อมา  นายเก่งได้ขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนเสาไฟฟ้าได้รับความเสียหายเป็นเงิน  2  แสนบาท นายเก่งจึงไปเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัย  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทบางกอกประกันภัย  จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้นายเก่งหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจำนวนวินาศจริงนั้น  ท่านให้ตีราคา  ณ  สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น  อนึ่ง  จำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  สัญญาประกันภัย  ไม่ว่าจะเป็นสัญญาประกันวินาศภัยหรือสัญญาประกันชีวิต  ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย  สัญญาประกันวินาศภัยหรือสัญญาประกันชีวิตนั้นย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา  ตามมาตรา  863  กล่าวคือ  สิทธิและหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้

สำหรับส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยนี้  คงพิจารณาเฉพาะในขณะเมื่อทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น  หากปรากฏว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียแล้ว  สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  บริษัทบางกอกประกันภัย  จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเก่งหรือไม่  เห็นว่า  ในขณะที่ทำสัญญาประกันวินาศภัยนั้น  นายเก่งยังไม่มีส่วนได้เสียในรถคันนั้นแต่อย่างใด  เนื่องจากรถยังเป็นของนายกล้าผู้เป็นบิดาอยู่  แม้นายกล้าจะให้นายเก่งใช้สอยได้ก็หาทำให้นายเก่งมีส่วนได้เสียในรถนั้นไม่  เมื่อนายเก่งผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในรถซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย  สัญญาประกันวินาศภัยนั้นย่อมไม่ผูกพันนายเก่ง  ตามมาตรา  863

และถึงแม้ว่าต่อมานายกล้าตายลง  จะทำให้นายเก่งได้เป็นเจ้าของรถคันนั้นโดยทางมรดก  แต่หาทำให้สัญญาประกันภัยซึ่งไม่ผูกพันคู่สัญญามาตั้งแต่แรก  กลับมามีผลผูกพันแต่อย่างใด  เพราะเหตุแห่งส่วนได้เสียนั้นพิจารณาในขณะทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น  เมื่อในขณะทำสัญญาประกันภัย  นายเก่งไม่มีส่วนได้เสีย  แม้ภายหลังต่อมานายเก่งจะมีส่วนได้เสีย  สัญญาประกันภัยก็ไม่มีผลผูกพัน  ตามมาตรา 863  ดังนั้นการที่วินาศภัยเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้เอาประกัน  บริษัทบางกอกประกันภัย  จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  877

สรุป    บริษัทบางกอกประกันภัย  ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  877

 

ข้อ  2  นายแสงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์  ราคา  1  ล้านบาท  ได้นำรถนี้ไปทำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของตนเอง  วงเงินเอาประกัน  8  แสนบาท  ในระหว่างอายุสัญญา  นายซิ่งทำละเมิดขับรถชนท้ายเป็นเหตุให้รถของนายแสงเสียหายเป็นจำนวน  2  แสนบาท ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยจ้างนายเก่งเจ้าของอู่ดำเนินการซ่อมแซมรถจนกระทั่งส่งมอบรถคืนให้นายแสงเรียบร้อยแล้ว  บริษัทประกันภัยจึงเรียกร้องให้นายซิ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทประกัน  แต่นายซิ่งปฏิเสธการจ่ายเงิน  อยากทราบว่าบริษัทประกันภัยต้องฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ  1  ปี  ตามกฎหมายละเมิดมาตรา  448  หรือ  2  ปี  ตามกฎหมายประกันภัยมาตรา  882  ให้ยกหลักกฎหมายประกอบการอธิบาย

ธงคำตอบ  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  880  วรรคแรก  ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้  ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด  ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น

มาตรา  882  วรรคแรก  ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน  ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันวินาศภัย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  บริษัทประกันภัยจะต้องฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ  1  ปี  ตามกฎหมายละเมิด  มาตรา 448  หรือ  2  ปี   ตามกฎหมายประกันภัย  มาตรา  882  ดังนี้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่รถของนายแสงเกิดความเสียหายนั้น  เกิดจากการกระทำละเมิดของบุคคลภายนอก  คือ  นายซิ่ง  และบริษัทประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว  โดยให้นายเก่งเจ้าของอู่ทำการซ่อมแซมทำให้บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายซิ่งโดยการรับช่วงสิทธิ  ซึ่งการรับช่วงสิทธิกรณีนี้เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา  880  วรรคแรกจะเห็นว่า  การรับช่วงสิทธิของผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิเท่าที่ผู้เอาประกันภัยมีต่อบุคคลภายนอก  ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิเพียงใด  ผู้รับประกันภัยก็รับช่วงสิทธิเพียงนั้น  จะใช้สิทธิเกินไปกว่าสิทธิของผู้เอาประกันภัยหาได้ไม่  ดังนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมีสิทธิฟ้องร้องบุคคลภายนอกในอายุความอย่างใด  ผู้รับประกันภัยก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องบุคคลภายนอกภายในอายุความอย่างเดียวกัน  ซึ่งในกรณีนี้ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิฟ้องผู้ทำละเมิดภายในอายุความ  1  ปี  นับแต่วันรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ไม่เกิน  10  ปี  นับแต่วันทำละเมิด  ตามมาตรา  448  วรรคแรก  บริษัทประกันภัยจึงมีสิทธิฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ  1  ปีด้วย  ส่วนอายุความ  2  ปี  ตามมาตรา  882  เป็นอายุความสำหรับการเรียกค่าสินไหมทดแทนโดยอาศัยสัญญาประกันภัย  ซึ่งหมายถึงการเรียกร้องระหว่างคู่สัญญาคือ  ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยเท่านั้น  จึงไม่อาจนำมาใช้กับการรับช่วงสิทธิที่ผู้รับประกันภัยจะเรียกร้องจากบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่สัญญาได้  (ฎ.5813/2539 และ ฎ. 2425/2538)

สรุป  บริษัทประกันภัยต้องฟ้องนายซิ่งภายในอายุความ  1  ปี  ตามกฎหมายละเมิด  มาตรา  448

 

ข้อ  3  นายทรหดได้ทำสัญญาเอาประกันชีวิตของตนในเหตุมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง  เป็นจำนวน  1  ล้านบาท  โดยนายทรหดได้ปกปิดเรื่องที่ตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวอยู่  บริษัทประกันชีวิตไม่ทราบความจริงเรื่องนี้เลย  จึงได้ทำสัญญารับประกันไว้  ต่อมานายทรหดได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคหวัดนก  ภายหลังได้ทำสัญญาประกันชีวิตมาแล้ว  6  ปี  บริษัทประกันชีวิตจึงทราบความจริงที่นายทรหดป่วยเป็นโรคมะเร็งก่อนทำสัญญาประกันชีวิต  จึงบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทประกันชีวิตมีสิทธิบอกล้างสัญญาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายทรหดปกปิดเรื่องที่ตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวนั้น  เป็นการปกปิดความจริงในขณะทำสัญญาประกันชีวิต  ตามมาตรา  865  วรรคแรก  ข้อที่นายทรหดปกปิดนี้เห็นได้แน่ชัดว่าเป็นข้อสำคัญซึ่งถ้านายทรหดไม่ปกปิดและแถลงความจริงให้กับบริษัทประกันชีวิตทราบแล้ว  บริษัทประกันชีวิตจะต้องบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิตอย่างแน่นอน  เพราะโรคดังกล่าวเป็นโรคร้ายแรงอันเป็นอันตรายต่อชีวิตได้  สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะตั้งแต่ขณะทำสัญญา  ตามมาตรา  865  วรรคแรก  แม้จะปรากฏภายหลังว่า  นายทรหดได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคหวัดนกซึ่งมิใช่โรคที่นายทรหดได้ปกปิดก็ตาม  ก็ไม่ทำให้สัญญาที่ตกเป็นโมฆียะตั้งแต่แรกนั้นเปลี่ยนแปลงมาสมบูรณ์แต่อย่างใด  บริษัทประกันชีวิตจึงมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ได้

อย่างไรก็ตาม  บทบัญญัติมาตรา  865  วรรคสอง  ได้กำหนดว่า  ผู้รับประกันชีวิตจะต้องบอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียะนั้นภายใน  1  เดือน  นับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้  หรือภายในกำหนด  5  ปี  นับแต่วันทำสัญญา  มิฉะนั้นสิทธิบอกล้างย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป  กรณีนี้การทำสัญญาประกันชีวิตได้ล่วงเลยมาเป็นเวลา  6  ปีแล้ว  เกิดกำหนดเวลาที่จะบอกล้างได้  ดังนั้น  บริษัทประกันชีวิตจึงหมดสิทธิในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตรายนี้  ตามมาตรา  865  วรรคสอง

สรุป  บริษัทประกันชีวิตไม่มีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิต

WordPress Ads
error: Content is protected !!