LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1

ก  ผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ต่อผู้ทรงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงิน

ข  บัวขาวเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีเมืองเก่าเป็นผู้จ่าย  บัวแดงเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  และบัวแดงเขียนคำว่า  “ตั๋วแลกเงินใบนี้ไม่จำต้องทำคำคัดค้าน”  ไว้ที่ด้านหน้าของตั๋ว  บัวขาวสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินดังกล่าวให้แก่บัวเหลืองเพื่อชำระราคาสินค้าที่ซื้อจากบัวเหลือง  ครั้นตั๋วแลกเงินถึงกำหนดใช้เงิน  บัวเหลืองได้นำตั๋วแลกเงินไปให้เมืองเก่าผู้จ่ายใช้เงิน  แต่เมืองเก่าปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเมืองเก่าเห็นว่าตนมิได้เป็นลูกหนี้ของบัวแดง  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าใครบ้างที่จะต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดต่อบัวเหลือง  ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามกฎหมายตั๋วเงิน

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ผู้สั่งจ่าย  (ตั๋วแลกเงินหรือเช็ค)  หมายถึง  บุคคลที่ได้ออกตั๋วแลกเงินและสั่งให้บุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า  ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้ทรง (หรือผู้รับเงิน)

ผู้สลักหลัง  หมายถึง  ผู้ทรงคนเดิม  (ซึ่งอาจจะอยู่ในฐานะของผู้รับเงินหรือผู้รับสลักหลัง)  ที่ได้ลงลายมือชื่อของตน  (ได้สลักหลัง)  ในตั๋วเงินเมื่อมีการโอนตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อต่อไปให้บุคคลอื่น (ผู้รับสลักหลัง)

โดยหลัก  บุคคลที่จะต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินก็คือ  บุคคลที่ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงิน  ตามมาตรา  900  วรรคแรก  ที่ว่า  “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

เมื่อผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินเป็นบุคคลที่ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินตามมาตรา  900  จึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงิน  ในฐานะผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินตามมาตรา  914  ที่ว่า  “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำ ยื่นโดยชอบแล้ว  จะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”  ประกอบกับ  มาตรา  967  วรรคแรก  ที่ว่า  “ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น  บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดี  รับรองก็ดี  สลักหลังก็ดี  หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี  ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง”

ข  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

มาตรา  937  ผู้จ่ายได้ทำการรับรองตั๋วแลกเงินแล้วย่อมต้องผูกพันในอันจะจ่ายเงินจำนวนที่รับรองตามเนื้อความแห่งคำรับรองของตน

มาตรา  967  วรรคแรก  ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น  บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดีรับรองก็ดี  สลักหลังก็ดี  หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี  ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  บัวแดงได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้เมืองเก่าจ่ายเงินให้แก่บัวขาว  และขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ย่อมเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อและการที่บัวแดงเขียนคำว่า  “ตั๋วแลกเงินใบนี้ไม่จำต้องทำคำคัดค้าน”  ไว้ที่ด้านหน้าของตั๋ว  จึงมีผลทำให้ผู้ทรงตั๋วแลกเงินใบนี้สามารถไล่เบี้ยเอาแก่คู่สัญญาผู้ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินได้  โดยไม่ต้องทำคำคัดค้านการไม่ใช้เงินหรือการไม่รับรองของผู้จ่ายก่อนแต่อย่างใด

ต่อมา  บัวขาวสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินดังกล่าวให้แก่บัวเหลืองเพื่อชำระราคาสินค้า  เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกำหนดใช้เงิน  บัวเหลืองได้นำตั๋วแลกเงินไปให้เมืองเก่าผู้จ่ายใช้เงิน  แต่เมืองเก่าปฏิเสธการใช้เงินดังนี้  บัวแดงผู้สั่งจ่ายและบัวขาวผู้สลักหลังซึ่งได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินจึงต้องรับผิดใช้เงินให้แก่บัวเหลืองผู้ทรงตั๋วแลกเงินตามมาตรา  900  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  914  และมาตรา  967  วรรคแรก

ส่วนกรณีเมืองเก่าซึ่งเป็นผู้จ่ายนั้น  เมื่อยังมิได้ลงลายมือชื่อรับรองตั๋วแลกเงิน  จึงไม่ต้องรับผิดต่อบัวเหลืองผู้ทรงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงิน  ตามมาตรา  900  วรรคแรก  และ  937

สรุป  บัวแดงและบัวขาวจะต้องรับผิดต่อบัวเหลือง  ส่วนเมืองเก่าไม่ต้องรับผิดต่อบัวเหลือง

 

ข้อ  2

ก  “ผู้สั่งจ่ายเช็ค”  จะสามารถทำการระบุข้อความว่า  “ห้ามเปลี่ยนมือ”  ลงในเช็คได้หรือไม่  อย่างไร  จงอธิบาย

ข  นายใจกล้าสั่งจ่ายเช็คเป็นจำนวนเงิน  100,000  บาท  ระบุให้ใช้เงินแก่นางสาวใจถึงและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ในเช็คออก  พร้อมทั้งเขียนระบุข้อความว่า  “A/C  PAYEE  ONLY”  ลงที่ด้านหลังเช็ค  ชำระหนี้ให้แก่นางสาวใจถึง  ต่อมานางสาวใจถึงทำการส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวชำระหนี้ให้แก่นางสาวใจดี  ดังนี้  ถือว่าการที่นางสาวใจถึงมอบเช็คชำระหนี้ให้นางสาวใจดีนั้น  ถือว่าเป็นการโอนเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ผู้สั่งจ่ายเช็คสามารถตั้งข้อจำกัดการโอนเช็คได้  โดยระบุข้อความว่า  “ห้ามเปลี่ยนมือ”  หรือ  “เปลี่ยนมือไม่ได้”  หรือคำอื่นอันได้ความทำนองเช่นเดียวกัน  เช่น  “ห้ามโอน”  หรือ  “ห้ามสลักหลังต่อ”  หรือระบุความว่า  “จ่ายให้นาย  ก  เท่านั้น”  หรือ  “จ่ายเข้าบัญชีผู้รับเงินเท่านั้น  (A/C  PAYEE  ONLY  หรือ  ACCOUNT  PAYEE  ONLY)  ย่อมมีผลเป็นการห้ามเปลี่ยนมือหรือห้ามโอนเช็คนั้นต่อไปตามมาตรา  917  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  989  วรรคแรก

และในกรณีดังกล่าวถ้าผู้รับเงิน  (ผู้ทรง)  จะโอนเช็คนั้นต่อไปผู้ทรงจะโอนเช็คนั้นด้วยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา  917  วรรคแรกไม่ได้  แต่จะต้องโอนโดยวิธีการโอนหนี้สามัญทั่วๆไปเท่านั้น  ตาม  ป.พ.พ.  ตามมาตรา  306  คือ  ต้องทำเป็นหนังสือโอนหนี้ตามเช็คนั้นระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอนและผู้โอนต้องบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังผู้สั่งจ่าย  (ลูกหนี้)  หรือให้ผู้สั่งจ่าย  (ลูกหนี้)  ให้ความยินยอมด้วยโดยทำเป็นหนังสือเช่นเดียวกัน

ข  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  899  ข้อความอันใดซึ่งมิได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้  ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน  ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ตั๋วเงินนั้นไม่

มาตรา  917  วรรคแรกและวรรคสอง  อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ  ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม  ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

เมื่อผู้สั่งจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินว่า  “เปลี่ยนมือไม่ได้”  ดังนี้ก็ดี  หรือเขียนคำอื่นอันได้ความเป็นทำนองเช่นเดียวกันนั้นก็ดี  ท่านว่าตั๋วเงินนั้นย่อมจะโอนให้กันได้แต่โดยรูปการและด้วยผลอย่างการโอนสามัญ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายใจกล้าสั่งจ่ายเช็คเป็นเงินจำนวน  100,000  บาท  ระบุให้ใช้เงินแก่นางสาวใจถึงและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ในเช็คออก  เช็คดังกล่าวจึงเป็นเช็คระบุชื่อเฉพาะ  ซึ่งหากผู้สั่งจ่ายจะระบุข้อความห้ามเปลี่ยนมือลงไว้ในเช็ค  จะต้องกระทำลงในด้านหน้าเช็คเท่านั้นตามมาตรา  917  วรรคสอง  และ  989  วรรคแรก

แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายใจกล้าผู้สั่งจ่ายได้ระบุข้อความ  “A/C  PAYEE  ONLY”  ลงในด้านหลังเช็ค  จึงไม่ถือว่าข้อความดังกล่าวมีผลตามกฎหมายแต่อย่างใดตามมาตรา  899  เช็คดังกล่าวยังคงสามารถโอนต่อไปได้ตามวิธีการโอนเช็คระบุชื่อตามปกติ  คือ  สลักหลังและส่งมอบตามมาตรา  917  วรรคแรก  แต่จากข้อเท็จจริงนางสาวใจถึงได้โอนเช็คไปโดยเพียงทำการส่งมอบให้แก่นางสาวใจดี  ดังนั้น  การโอนเช็คดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  การโอนเช็คดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3

ก  ตั๋วเงินที่มีการแก้ไขจำนวนเงิน  และที่มีการปลอมลายมือชื่อคู่สัญญาซึ่งต้องรับผิดตามมูลหนี้ในตั๋วเงินดังกล่าว  จะก่อให้เกิดผลแก่คู่สัญญาซึ่งเกี่ยวข้องกับตั๋วเงินนั้นอย่างไร  ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตั๋วเงิน

ข  เมฆปลอมลายมือชื่อฝนสั่งให้ธนาคารกรุงทองจ่ายเงินจำนวน  50,000  บาท  ให้แก่หมอกพร้อมทั้งได้ขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ในเช็คนั้นออกแล้วมอบเช็คนั้นชำระหนี้หมอก  หมอกเป็นหนี้ฟ้าจำนวน  150,000  บาท  จึงได้แก้ไขจำนวนเงินในเช็คเป็น  150,000  บาท  ทั้งจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวหนังสือได้อย่างแนบเนียนแล้วสลักหลังเช็คนั้นชำระหนี้ฟ้าซึ่งรับโอนไว้โดยสุจริต  อีกทั้งมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  แต่ธนาคารกรุงทองได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีของฝนไม่พอจ่าย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ฟ้าจะบังคับไล่เบี้ยหรือว่ากล่าวเอาความจากเมฆ  ฝน  และหมอกให้ต้องรับผิดตามจำนวนเงินในเช็คพิพาทดังกล่าวได้จำนวนเท่าใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ตั๋วเงินปลอม  หมายความถึง  ตั๋วเงินที่ได้ออกมานั้นมีสภาพที่สมบูรณ์  คือ  เป็นตราสารที่มีข้อความหรือรายการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ครบถ้วน  แต่ต่อมาในภายหลังได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความบางอย่าง  หรือได้มีการปลอมลายมือชื่อของคู่สัญญาคนใดคนหนึ่งในตั๋วเงิน

ตั๋วเงินปลอมนั้นอาจเกิดขึ้นได้  2  กรณี  คือ

1       ตั๋วเงินปลอมที่เกิดจากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่สำคัญในตั๋วเงิน  เช่น  จำนวนเงินที่จะใช้  กำหนดเวลาการใช้เงิน  เป็นต้น

2       ตั๋วเงินปลอมที่เกิดจากการลงลายมือชื่อปลอมหรือลงลายมือชื่อโดยปราศจากอำนาจ

ตั๋วเงินที่มีการแก้ไขจำนวนเงิน  ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่สำคัญในตั๋วเงินนั้น  จะก่อให้เกิดผลแก่คู่สัญญาซึ่งเกี่ยวข้องกับตั๋วเงินนั้น  คือ

(1) กรณีที่มีการแก้ไขจำนวนเงินและการแก้ไขนั้นเห็นได้ประจักษ์  ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไปทั้งฉบับสำหรับคู่สัญญาซึ่งมิได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  แต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้แก้ไข  ผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไข  และผู้ยินยอมด้วยในการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คพิพาทนั้น (มาตรา  1007  วรรคแรกและวรรคสาม)

(2) กรณีที่มีการแก้ไขจำนวนเงินและการแก้ไขนั้นเห็นไม่ประจักษ์  ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นยังคงใช้ได้ทั้งฉบับเสมือนมิได้มีการแก้ไขเลย  ผู้ทรงซึ่งชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิที่จะบังคับเอากับผู้แก้ไขและผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขได้ตามจำนวนที่แก้ไข  หากไม่เพียงพอก็ยังมีสิทธิบังคับเอากับคู่สัญญาก่อนการแก้ไขได้ตามเนื้อความเดิมก่อนการแก้ไข  (มาตรา  1007วรรคสองและวรรคสาม)

ตั๋วเงินที่มีการปลอมลายมือชื่อคู่สัญญาซึ่งต้องรับผิดตามมูลหนี้ในตั๋วเงิน  ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไปทั้งฉบับสำหรับคู่สัญญาซึ่งถูกปลอม  อีกทั้งเป็นผลให้ผู้ทรงจะยึดหน่วงตั๋วเงินนั้นไว้มิได้  และผู้ใช้เงินจะอ้างตนให้หลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอมมิได้  อีกทั้งผู้ทรงจะบังคับไล่เบี้ยผ่านลายมือชื่อปลอมนั้นมิได้  (มาตรา  1008  วรรคแรก)

ข  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1007  วรรคสองและวรรคสาม  แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ  แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย  และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ  การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ  คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใดๆ  แก่วันที่ลง  จำนวนเงินอันจะพึงใช้  เวลาใช้เงิน  สถานที่ใช้เงินกับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน  ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย

มาตรา  1008  วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้  เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี  เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดี  ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้  ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี  ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด  เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม  หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เมฆปลอมลายมือชื่อฝนสั่งให้ธนาคารกรุงทองจ่ายเงินจำนวน  50,000  บาท  ต่อมาหมอกได้แก้ไขจำนวนเงินในเช็คเป็น  150,000  บาท  แล้วสลักหลังเช็คนั้นชำระหนี้ฟ้า  เมื่อฟ้าได้รับโอนไว้โดยสุจริต  อีกทั้งมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  ฟ้าจึงเป็นผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะถึงแม้เช็คพิพาทดังกล่าวจะมีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม  แต่เช็คดังกล่าวคงเสียไปเฉพาะผู้สั่งจ่ายตามนัยมาตรา  1008  วรรคแรก

เมื่อปรากฏตามข้อเท็จจริงว่า  หมอกได้แก้ไขจำนวนเงินในเช็คทั้งจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวหนังสือได้อย่างแนบเนียน  ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ  แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นเห็นไม่ประจักษ์  ดังนั้นเมื่อธนาคารกรุงทองปฏิเสธการจ่ายเงิน  ฟ้าซึ่งเป็นผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมาย  ย่อมมีสิทธิบังคับไล่เบี้ยหมอกผู้แก้ไขจำนวนเงินและเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทได้จำนวน  150,000  บาท  หากไม่พอ  ฟ้าก็ยังมีสิทธิไล่เบี้ยเมฆผู้สั่งจ่ายให้รับผิดตามเนื้อความเดิม  คือจำนวน  50,000  บาท  ได้ตามมาตรา  1007  วรรคสองและวรรคสาม

ส่วนกรณีของฝนนั้น  ฟ้าไม่มีสิทธิบังคับไล่เบี้ยฝน  เนื่องจากฝนมิได้ลงลายมือชื่อ  อีกทั้งเช็คนั้นได้เสียไปแล้วสำหรับฝนตามนัยมาตรา  1008  วรรคแรก

สรุป  ฟ้าสามารถจะบังคับไล่เบี้ยหมอกและเมฆให้รับผิดตามจำนวนเงินในเช็คพิพาทได้  โดยสามารถไล่เบี้ยหมอกได้  150,000  บาท  และไล่เบี้ยเมฆได้  50,000  บาท  แต่ฟ้าไม่มีสิทธิบังคับไล่เบี้ยฝน

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1

(ก)  ผู้ทรงเช็คถ้าต้องการโอนเช็คชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของตนนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน

(ข)  บัวขาวเป็นผู้รับเงินตามเช็คของธนาคารศรีทองที่มีบัวแดงเป็นผู้สั่งจ่าย  และได้ขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือ  ออก  บัวขาวสลักหลังระบุชื่อบัวทองเป็นผู้รับประโยชน์และส่งมอบเช็คเพื่อชำระหนี้ให้แก่บัวทอง  ต่อมาบัวทองสลักหลังลอยและส่งมอบชำระหนี้ให้กับบัวหลวง  บัวหลวงสลักหลังระบุชื่อบัวผันเป็นผู้รับประโยชน์  และส่งมอบตั๋วชำระหนี้ให้กับบัวผัน  บัวผันส่งมอบตั๋วเพื่อชำระหนี้ให้กับบัวเผื่อน  ครั้นเมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค  บัวเผื่อนได้นำเช็คไปให้ธนาคารศรีทองจ่ายเงิน  แต่ธนาคารศรีทองปฏิเสธการจ่ายเงิน  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าการโอนเช็คฉบับนี้จากบัวขาวถึงบัวเผื่อนได้ทำถูกต้องตามกฎหมายตั๋วเงินหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)   อธิบาย

ในกรณีที่ผู้ทรงเช็คต้องการโอนเช็คชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของตนนั้น  การโอนจะถูกต้องตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงิน  ต้องปฏิบัติดังนี้  คือ

1       ถ้าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  แยกพิจารณาได้  2  กรณี  คือ

1)    ถ้าผู้ทรงเช็ค  เป็นผู้ที่ได้รับเช็คมาจากผู้สั่งจ่าย  ดังนี้  การโอนเช็คนั้น  ผู้ทรงเช็คจะต้องทำการสลักหลังและส่งมอบเช็คนั้นให้เจ้าหนี้ของตน  ซึ่งการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้  ตามมาตรา  917  วรรคแรก  919  และ  989

การสลักหลัง  คือ  การที่ผู้โอนหรือผู้สลักหลังได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนในเช็คนั้น  (หรือในใบประจำต่อ)  ซึ่งเรียกว่าเป็นการสลักหลังเฉพาะ  โดยจะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของเช็คก็ได้  หรืออาจจะลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังเช็คโดยไม่ระบุชื่อของเจ้าหนี้ผู้รับสลักหลัง  ซึ่งเรียกว่าเป็นการสลักหลังลอยก็ได้

2)    ถ้าผู้ทรงเช็คเป็นผู้ที่ได้รับเช็คมาจากการสลักหลังของผู้ทรงคนก่อน

(1) ถ้าผู้ทรงเช็คได้รับเช็คมาจากการสลักหลังเฉพาะ  (การสลักหลังระบุชื่อ)  ถ้าผู้ทรงเช็คจะโอนเช็คให้กับเจ้าหนี้ของตน  ก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ  1)  คือ  ต้องทำการสลักหลังและส่งมอบเช็คให้กับเจ้าหนี้ของตน  โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้

(2) ถ้าผู้ทรงเช็คได้รับเช็คมาจากการสลักหลังลอย  ถ้าผู้ทรงเช็คจะโอนเช็คให้กับเจ้าหนี้ของตน  ผู้ทรงเช็คสามารถที่จะโอนเช็คต่อไปโดยการสลักหลังและส่งมอบเช็คนั้น  หรืออาจจะโอนเช็คต่อไปโดยการส่งมอบเช็คนั้นให้กับเจ้าหนี้ของตนโดยไม่ต้องสลักหลังใดๆก็ได้  ตามมาตรา  920  วรรคสอง  (2)(3)  และ  989

2       ถ้าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ  กรณีนี้ไม่ว่าผู้ทรงเช็คจะเป็นผู้ที่ได้รับเช็คมาจากผู้สั่งจ่ายหรือจะได้รับเช็คนั้นมาเพราะผู้อื่นโอนให้  ดังนี้ถ้าจะโอนเช็คนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้โดยการส่งมอบเช็คนั้นให้แก่เจ้าหนี้ของตน  โดยไม่ต้องสลักหลังใดๆทั้งสิ้น  ตามมาตรา  918  และ  989

(ข)  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  917  วรรคแรก  อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ  ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม  ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา  919  คำสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อ  และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยหรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจำต่อ  ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน  การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า  สลักหลังลอย

มาตรา  920  วรรคสอง  ถ้าสลักหลังลอย  ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้  คือ

(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย  หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง  และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา …  914  ถึง  923

วินิจฉัย

เมื่อเช็คที่บัวแดงออกให้แก่บัวขาว  เป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  เพราะมีการขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือ  ออก  ดังนั้นเมื่อบัวขาวได้โอนให้แก่บัวทองโดยการสลักหลังและส่งมอบ  การโอนเช็คดังกล่าวจึงถูกต้องตามกฎหมาย  ตามมาตรา  917  วรรคแรก  และ  989  วรรคแรก

การที่บัวทองได้สลักหลังลอยและส่งมอบเช็คให้แก่บัวหลวง  การโอนเช็คถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย  ตามมาตรา  917  วรรคแรก  919 และ  989  วรรคแรก

การที่บัวหลวงได้สลักหลังระบุชื่อบัวผัน  และส่งมอบเช็คให้แก่บัวผัน  การโอนเช็คถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย  ตามมาตรา  917 วรรคแรก  920  วรรคสอง (2)  และ 989  วรรคสอง

แต่การที่บัวผันได้รับการโอนเช็คจากบัวหลวงโดยการสลักหลังระบุชื่อ  แล้วนำไปโอนโดยการส่งมอบเช็คให้กับบัวเผื่อนโดยไม่มีการสลักหลังนั้น  การโอนระหว่างบัวผันกับบัวเผื่อนถือว่าเป็นการโอนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  เพราะบัวผันไม่ใช่ผู้ทรงที่ได้รับตั๋วมาโดยการสลักหลังลอย  จึงไม่มีสิทธิที่จะโอนตั๋วเงินต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการสลักหลังตามมาตรา  920  วรรคสอง  (3)  และ 989  วรรคแรก  ดังนั้น  ตามกฎหมายถ้าบัวผันจะโอนเช็คให้กับบัวเผื่อน  บัวผันต้องสลักหลังและส่งมอบเช็คให้แก่บัวเผื่อนการโอนจึงจะถูกต้อง

สรุป  การโอนเช็คฉบับนี้  จากบัวขาวถึงบัวผันได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย  แต่การโอนเช็คระหว่างบัวผันกับบัวเผื่อนเป็นการทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย 

 

ข้อ  2 

(ก)  วิธีการอาวัลเช็คนั้นต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย

(ข)  บางเขนเป็นผู้รับเงินตามเช็คที่ธนาคารบางบัวทองเป็นผู้จ่าย  มีบางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือ  ออกแล้ว  บางเขนจะสลักหลังและส่งมอบเช็คดังกล่าวให้แก่หลักสี่เพื่อชำระราคาสินค้าที่ซื้อจากหลักสี่  แต่หลักสี่ให้บางเขนนำเช็คไปให้บางซื่อรับอาวัลก่อน  บางเขนจึงเอาเช็คไปให้บางซื่อลงลายมือชื่อไว้ด้านหลังเช็ค  หลักสี่จึงยอมรับชำระหนี้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวจากบางเขน  ครั้นเช็คถึงกำหนดหลักสี่ได้นำเช็คไปให้ธนาคารบางบัวทองใช้เงิน  แต่ธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเงินในบัญชีของบางขวางผู้สั่งจ่ายมีไม่พอจ่าย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าหลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องบางซื่อให้รับผิดในฐานะผู้รับอาวัลเช็คฉบับดังกล่าวได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

(ก)  อธิบาย

วิธีการอาวัลหรือรับอาวัลเช็คนั้น  มีวิธีการเช่นเดียวกับการอาวัลตั๋วแลกเงิน  กล่าวคือ  จะต้องทำตามวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้ดังนี้  คือ

1       บุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลคู่สัญญาในตั๋วเงิน  ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลภายนอกหรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วเงินนั้น  ตามมาตรา  938  จะต้องเขียนข้อความว่า  ใช้ได้เป็นอาวัล  หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายเดียวกัน  เช่น  รับประกัน  หรือ  ค้ำประกัน  และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของตั๋วเงิน  หรือในใบประจำต่อ  ทั้งนี้ต้องระบุไว้ด้วยว่ารับอาวัลให้แก่ผู้ใด  หากไม่ระบุไว้ให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลแก่ผู้สั่งจ่าย  ตามมาตรา  939  วรรคแรก  วรรคสอง และวรรคสี่ หรือ

2       เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วเงินนั้น  กฎหมายก็ให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลแล้ว  เป็นการรับอาวัลผู้สั่งจ่าย  เว้นแต่กรณีที่เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายเท่านั้นที่จะลงแต่ลายมือชื่อเพียงอย่างเดียวไม่ได้  ถ้าจะเข้ารับอาวัลผู้ใดจะต้องเขียนข้อความ  และลงลายมือชื่อของตนตามวิธีที่  1  เสมอ  ตามมาตรา  939  วรรคสาม

และเมื่อมีการรับอาวัลตามแบบวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวข้างต้น  ย่อมมีผลทำให้ผู้รับอาวัลต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับบุคคลที่ตนประกัน  ตามมาตรา  940  วรรคแรก

อนึ่ง  ในกรณีที่มีการสลักหลังตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ  กฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่าย  และต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย  ตามมาตรา  921  และ  940  วรรคแรก

(ข)  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  939  วรรคสาม  อนึ่ง  เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน  ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว  เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สลักหลัง

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา …  914 ถึง  923 , 938  ถึง  940

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  ในกรณีที่มีการรับอาวัลผู้เป็นคู่สัญญาตามเช็ค  ผู้รับอาวัลจะต้องเขียนข้อความว่า  ใช้ได้เป็นอาวัล  หรือข้อความอื่นที่มีความหมายเดียวกัน  และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าหรือด้านหลังเช็ค  หรือผู้รับอาวัลอาจจะลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าของเช็คก็ได้  ตามมาตรา  939  ประกอบกับมาตรา  989  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  เช็คที่บางขวางออกให้แก่บางเขนนั้นเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  เมื่อบางเขนนำเช็คไปให้บางซื่อรับอาวัล  กรณีที่จะถือว่าบางซื่อได้เข้ามารับอาวัลเช็คฉบับนี้แล้ว  บางซื่อจะต้องปฏิบัติตามวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา  939  ดังกล่าวข้างต้น  แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  บางซื่อได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังเช็คโดยมิได้เขียนข้อความว่า  ใช้ได้เป็นอาวัลหรือข้อความอื่นที่มีความหมายเดียวกัน  จึงไม่ถือว่าเป็นการลงลายมือชื่อในฐานะเป็นผู้รับอาวัลเช็คแต่อย่างใด

ดังนั้น  แม้ว่าบางซื่อจะต้องรับผิดตามเช็คเพราะได้ลงลายมือชื่อไว้ในเช็ค  แต่หลักสี่จะฟ้องให้บางซื่อรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลไม่ได้

สรุป  หลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องให้บางซื่อรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลไม่ได้

 

ข้อ  3 

(ก)  ข้อความที่สำคัญในตั๋วเงินถ้ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดผลอย่างไรกับตั๋วเงิน  และคู่สัญญาทั้งหลายบ้าง

(ข)   ข้อเท็จจริงได้ความว่ายอดทองผู้สั่งจ่ายเช็ค  สั่งธนาคารอันดาให้ใช้เงินจำนวน  500,000  บาท  ให้แก่เกาเหลาและได้ขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือ  ออก  เป็นเช็คลงวันที่  10  กันยายน  2552  ต่อมาเกาเหลาสลักหลังและส่งมอบเช็คใบนั้นชำระหนี้ให้แก่ทาริน  ทารินนำเช็คนั้นสลักหลังและส่งมอบชำระหนี้ทองทา  ต่อมาทองทาแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในเช็คเป็น  5,000,000  บาท  และลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไข  จากนั้นนำเช็คไปสลักหลังและส่งมอบเพื่อชำระหนี้ให้แก่มาวิน  เมื่อถึงวันที่  10  กันยายน  2552  มาวินนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดา  และธนาคารได้จ่ายเงินให้กับมาวินไป  5,000,000  บาท

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ธนาคารอันดาจะหักเงินในบัญชีของยอดทอง  จำนวน  5,000,000  บาท  ได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

(ก)  อธิบาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1007

ในกรณีที่มีการแก้ไขข้อความสำคัญในตั๋วเงิน  เช่น  แก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆแก่วันที่ลง  จำนวนเงินอันจะพึงใช้  เวลาใช้เงิน  สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงินไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย  ตามมาตรา 1007  วรรคสาม  จะเกิดผลกับตั๋วเงินและคู่สัญญาทั้งหลายตามตั๋วเงิน  ดังนี้  คือ

1       กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นได้ประจักษ์  กล่าวคือ  การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขไม่แนบเนียนหรือเห็นได้ประจักษ์นั่นเอง  โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น  ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป  แต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง  หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง  และหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  ตามมาตรา  1007  วรรคแรก

2       กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์  กล่าวคือ  การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขได้อย่างแนบเนียน  หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ถือว่าตั๋วเงินนั้นไม่เสียไป  และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะถือเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้น   เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้  และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วนั้นก็ได้  ตามมาตรา  1007  วรรคสอง

(ข)  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1007  วรรคแรกและวรรคสาม  ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด  หรือในคำรับรองตั๋วเงินใด  มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้  ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย  เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

กล่าวโดยเฉพาะ  การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ  คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใดๆ  แก่วันที่ลง  จำนวนเงินอันจะพึงใช้  เวลาใช้เงิน  สถานที่ใช้เงินกับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน  ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย

วินิจฉัย

ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  1007  วรรคแรกและวรรคสามนั้น  ถ้าตั๋วเงินใดมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินอันจะพึงใช้ตามตั๋วเงินนั้น  ถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสำคัญ  และถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นผู้เป็นคู่สัญญาที่ต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคน  ถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นเห็นได้ประจักษ์  ให้ถือว่าตั๋วเงินนั้นเป็นอันเสียไปใช้บังคับกันไม่ได้

ตามอุทาหรณ์  การที่ยอดทองผู้สั่งจ่ายเช็ค  สั่งให้ธนาคารอันดาจ่ายเงิน  500,000  บาท  ให้แก่เกาเหลา  แล้วต่อมาทองทาได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในเช็คเป็น   5,000,000  บาท  และลงลายมือชื่อกำกับการแก้ไขไว้  ดังนี้ถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสำคัญตามมาตรา  1007  วรรคสาม  และเมื่อเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ประจักษ์  คือ  เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการแก้ไข ย่อมมีผลตามมาตรา  1007  วรรคแรก  คือให้ถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นอันเสียไปใช้บังคับไม่ได้  เมื่อมาวินนำเช็คไปยื่นเบิกเงินจากธนาคารอันดา  และธนาคารอันดาได้จ่ายเงินให้มาวินไป  5,000,000  บาท  ย่อมถือได้ว่าธนาคารอันดาได้จ่ายเงินตามเช็คไปโดยไม่สุจริตหรือโดยประมาทเลินเล่อ  ดังนั้นธนาคารอันดาจะหักเงินในบัญชีของยอดทองไม่ได้

สรุป  ธนาคารอันดาจะหักเงินในบัญชีของยอดทองไม่ได้ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1

(ก)   ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน 

(ข)  บางเขนเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีบางบัวทองเป็นผู้จ่าย  บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออกแล้ว  บางเขนจะสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินดังกล่าวเพื่อชำระราคาสินค้าที่ซื้อจากหลักสี่  แต่หลักสี่ให้บางเขนนำตั๋วแลกเงินไปให้บางขวางรับรองก่อน  บางเขนจึงเอาตั๋วแลกเงินไปให้บางขวางเขียนข้อความว่า  “รับรองว่าเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินฉบับนี้จริง”  และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋วแลกเงิน  หลักสี่จึงยอมรับชำระหนี้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวจากบางเขน  ครั้นตั๋วแลกเงินถึงกำหนดหลักสี่ได้นำตั๋วแลกเงินไปให้บางบัวทองใช้เงิน  แต่บางบังทองปฏิเสธการใช้เงิน  เนื่องจากเห็นว่าตนมิได้เป็นหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายอีกแล้ว  อนึ่งหลักสี่ได้ทำคำคัดค้านไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าหลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องไล่เบี้ยบางขวางให้รับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่ในฐานะใด

ธงคำตอบ

(ก)     หลักกฎหมาย   ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา   900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินจะต้องรับผิดต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน  ก็ต่อเมื่อเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  900 วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  914  ดังนี้คือ

1       ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงินในฐานะผู้สั่งจ่าย  ซึ่งในการลงลายมือชื่อนั้น  ผู้สั่งจ่ายอาจจะเขียนชื่อของตนโดยเขียนชื่อตัวและชื่อสกุลหรืออาจจะเขียนเฉพาะชื่อตัวก็ได้  หรืออาจจะเป็นการลงลายเซ็นก็ได้  แต่ที่สำคัญจะต้องเป็นการลงลายมือชื่อไว้จริงๆเท่านั้น  จะใช้เครื่องหมายอื่นๆหรือลายพิมพ์นิ้วมือลงไว้แทนการลงลายมือชื่อไม่ได้  และ

2       เมื่อผู้ทรงตั๋วแลกเงินได้นำตั๋วนั้นไปยื่นโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว  แต่ผู้จ่ายไม่ยอมรับรองหรือไม่ยอมจ่ายเงินแล้วแต่กรณี  ดังนี้ผู้สั่งจ่ายจะต้องรับผิดโดยการใช้เงินให้แก่ผู้ทรง  เมื่อผู้ทรงได้ทำถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด  คือได้ทำคำคัดค้านการไม่รับรองหรือการไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

ดังนั้น  ถ้าขาดหลักเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง  เช่น  ผู้สั่งจ่ายไม่ได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงิน  หรืออาจจะลงลายมือชื่อไว้  แต่เมื่อตั๋วแลกเงินนั้นถึงกำหนดใช้เงินผู้จ่ายได้จ่ายเงินแก่ผู้ทรง  ดังนี้  ผู้สั่งจ่ายก็ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน

(ข)    หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา   900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

มาตรา  927  อันตั๋วแลกเงินนั้น  จะนำไปยื่นแก่ผู้จ่าย  ณ  ที่อยู่ของผู้จ่าย  เพื่อให้รับรองเมื่อไรๆก็ได้

มาตรา  931  การรับรองนั้นพึงกระทำด้วยเขียนลงไว้ด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินเป็นถ้อยคำสำนวนว่า  “รับรองแล้ว”  หรือความอย่างอื่นทำนองเช่นเดียวกันนั้น  และลงลายมือชื่อของผู้จ่าย  อนึ่งแต่เพียงลายมือชื่อของผู้จ่ายลงไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับรองแล้ว

วินิจฉัย

ตามมาตรา  927  ประกอบมาตรา  931  จะเห็นได้ว่าตั๋วแลกเงินนั้นถ้าจะนำไปให้เขารับรองว่าเมื่อถึงกำหนดจะมีการจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้น  จะต้องนำไปให้ผู้จ่ายรับรองเท่านั้น  ถ้านำไปให้ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้จ่ายทำการรับรอง  ผู้ที่ทำการรับรองก็มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้รับรองแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่บางเขนซึ่งเป็นผู้รับเงินได้นำตั๋วแลกเงินไปยื่นให้บางขวางรับรอง  เมื่อบางขวางไม่ได้เป็นผู้จ่าย  แต่เป็นผู้สั่งจ่าย  ได้ทำการรับรองโดยเขียนข้อความว่า  “รับรองว่าเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินฉบับนี้จริง”  การกระทำของบางขวางไม่ถือว่าเป็นการรับรองตั๋วแลกเงิน  บางขวางจึงไม่อยู่ในฐานะผู้รับรองแต่อย่างใด

ดังนั้น  เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกำหนด  บางบัวทองซึ่งเป็นผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน  ดังนี้  หลักสี่ซึ่งเป็นผู้ทรงย่อมสามารถฟ้องให้บางขวางรับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายได้  ตามมาตรา  900  ประกอบมาตรา  914  แต่จะฟ้องบางขวางให้รับผิดในฐานะผู้รับรองไม่ได้

สรุป  หลักสี่ผู้ทรงสามารถฟ้องไล่เบี้ยบางขวางให้รับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้สั่งจ่าย 

 

ข้อ  2 

(ก)   ให้นักศึกษาอธิบายถึงหลักเกณฑ์ของการเป็น  “ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย”  มาให้เข้าใจ

(ข)  นายดินออกตั๋วแลกเงินสั่งให้นายไฟจ่ายเงินให้แก่ลมเป็นตั๋วแบบระบุชื่อ  ต่อมานายลมนำตั๋วฯนั้นไปสลักหลังลอยชำระหนี้ให้แก่นางสาวฝน  ต่อมานางสาวฝนก็ได้ส่งมอบตั๋วฯนั้นชำระหนี้ให้แก่นางสาวน้ำ  หลังจากนั้นนางสาวน้ำเกิดความสงสัยว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในตั๋วฯนี้โดยชอบหรือไม่  จึงมาปรึกษานางสาวฟ้า  ซึ่งนางสาวฟ้าบอกกับนางสาวน้ำมิใช่ผู้มีสิทธิในตั๋วฯนี้  เนื่องจากมีการโอนตั๋วฯมาโดยไม่ถูกต้อง

ดังนี้  คำแนะนำของนางสาวฟ้าที่ให้กับนางสาวน้ำนั้นถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

(ก)     หลักกฎหมาย   ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  904  อันผู้ทรงนั้น  หมายความว่า  บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง  ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือๆ  ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง  ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น  หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่  เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้  ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น  ทำให้สามารถสรุปหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้ทรงตั๋วเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้คือ

1        เป็นผู้มีตั๋วเงินไว้ในความครอบครอง (ยึดถือด้วยเจตนายึดถือเพื่อตน)

2        ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นในฐานะเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง  สำหรับตั๋วเงินที่ระบุชื่อหรือเป็นผู้ถือ  สำหรับตั๋วเงินชนิดที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

3        ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย  (ผู้ทรงโดยสุจริต)  และไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

4        ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นมาโดยการสลักหลังไม่ขาดสาย

อนึ่ง  การสลักหลังไม่ขาดสาย  หมายถึง  การสลักหลังตั๋วเงินโดยโอนรับช่วงติดต่อกันมาตามลำดับจนถึงมือของผู้ทรงคนปัจจุบันโดยไม่ขาดตอน

(ข)    หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  904  อันผู้ทรงนั้น  หมายความว่า  บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง  ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือๆ  ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน

มาตรา  905  วรรคแรก ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย  อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

มาตรา  917  วรรคแรก  อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ  ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม  ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา  919  วรรคสอง  การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยหรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจำต่อ  ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน  การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า  สลักหลังลอย

มาตรา  920  วรรคสอง  ถ้าสลักหลังลอย  ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้  คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง  และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อตั๋วแลกเงินที่นายดินออกให้แก่นายลมเป็นตั๋วแบบระบุชื่อ  ดังนั้น  ถ้านายลมจะโอนตั๋วฉบับนี้ต่อให้แก่นางสาวฝน นายลมก็จะต้องโอนให้แก่นางสาวฝนโดยการสลักหลัง  และส่งมอบตามมาตรา  917  วรรคแรก  และการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ  หรือสลักหลังลอยก็ได้  (มาตรา  919  วรรคสอง) 

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายลมได้โอนตั๋วฉบับนี้ให้แก่นางสาวฝนโดยการสลักหลังลอย  ดังนั้นเมื่อนางสาวฝนต้องการโอนตั๋วฉบับนี้ต่อไปให้แก่นางสาวน้ำ  นางสาวฝนก็สามารถโอนตั๋วต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา  917  วรรคแรก  หรืออาจจะโอนตั๋วต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สลักหลังใดๆก็ได้  ตามมาตรา  920  วรรคสอง(3)  และเมื่อปรากฏว่านางสาวฝนได้โอนตั๋วฉบับนี้ให้แก่นางสาวน้ำโดยการส่งมอบ  จึงถือว่านางสาวน้ำได้รับโอนตั๋วมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย  โดยถือว่านางสาวน้ำได้รับโอนตั๋วมาจากการสลักหลังลอยของนายลม  การสลักหลังโอนตั๋วฉบับนี้จึงไม่ขาดสาย  นางสาวน้ำซึ่งครอบครองตั๋วอยู่จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  904  และมาตรา  905  วรรคแรก  และย่อมมีสิทธิในตั๋วฉบับดังกล่าวโดยชอบ  ดังนั้นคำแนะนำของนางสาวฟ้าที่ว่านางสาวน้ำมิใช่ผู้มีสิทธิในตั๋วเนื่องจากมีการโอนมาโดยไม่ถูกต้องนั้น  จึงเป็นคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง

สรุป  คำแนะนำของนางสาวฟ้าที่ให้กับนางสาวน้ำนั้นไม่ถูกต้อง

 

ข้อ  3 

(ก)   กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตั๋วเงิน  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่ายเงิน  รวมทั้งผลของการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่ายเงินไว้อย่างไร

(ข)  โทได้รับเช็คพิพาทขีดคร่อมทั่วไปจากการขายสินค้าให้เอกซึ่งได้ระบุสั่งให้ธนาคารสินไทยจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ  โทได้ถ่ายสำเนาเช็คพิพาทนั้นไว้ก่อนที่ต้นฉบับเช็คนั้นได้หายไป  จึงได้รีบโทรศัพท์แจ้งให้ธนาคารสินไทยทราบ  แต่ปรากฏว่ามีผู้นำเช็คพิพาทนั้นไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารสินไทยไปก่อนแล้ว  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าเอกและธนาคารสินไทยยังคงต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม  และหรือมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่มีต่อโทหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)    อธิบาย

1       หลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่าย  (Paying  Bank

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็ค  หากมีการนำเช็คนั้นให้ธนาคารอื่นเรียกเก็บ  (Collecting  Bank)  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็ค  จะจ่ายเป็นเงินสดมิได้ (มาตรา  994  วรรคแรก)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ระบุชื่อไว้โดยเฉพาะจะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้  และจะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคสอง)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งนั้นมีฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินแทน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นมิได้  (มาตรา  995(4)  ประกอบมาตรา  997  วรรคแรก)

อนึ่ง  ธนาคารผู้จ่ายหากได้จ่ายเงินไปภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นไปโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ  ทั้งได้จ่ายเงินไปตามทางการค้าปกติ  (ในระหว่างวันและเวลาที่เปิดทำการตามนัยมาตรา  1009)  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายไม่ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้น  (ปกติได้แก่ผู้ทรงเดิม)  และชอบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายนั้นได้  (มาตรา  998)

2       ผลของการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อม

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คก็ดี  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผู้ทรงเช็คมิได้มีบัญชีเงินฝากก็ดี

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดหรือจ่ายเงินสดหรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อลงไว้โดยเฉพาะก็ดี

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายไม่ปฏิเสธการจ่ายเงิน  หรือจ่ายเงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินก็ดี

ผล  ธนาคารผู้จ่ายต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คขีดคร่อมนั้น  (ผู้ทรงเดิม)  ในการที่น่าต้องเสียหาย  (มาตรา  997  วรรคสอง)  และไม่สามารถหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายได้  เพราะถือว่าใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ  แม้ถึงว่าจะใช้เงินไปตามทางการค้าโดยปกติ  โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อก็ตาม  (มาตรา  1009)

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  998  ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง  ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ  หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้  ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง  กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว  ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อมีผู้นำเช็คพิพาทฉบับนั้น  ซึ่งเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป  และเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารสินไทย  และเมื่อธนาคารสินไทยผู้จ่ายได้จ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมนั้นไปโดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่อ  เป็นผลให้เงินในบัญชีของเอกผู้สั่งจ่ายได้ถูกหักทอนไปเข้าบัญชีลูกค้าแล้ว  ดังนี้ตามมาตรา  998  ได้บัญญัติให้เอกผู้สั่งจ่าย  และธนาคารสินไทยผู้จ่ายต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกัน  เสมือนดังว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว  ดังนั้นทั้งเอกและธนาคารสินไทยจึงไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม  และหรือมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่มีต่อโทแต่อย่างใด

สรุป  เอกและธนาคารสินไทยไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม  และหรือมูลหนี้ตามเช็คพิพาทที่มีต่อโท

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1 

(ก)    การรับรองนั้นต้องทำอย่างไร  จึงจะถูกต้องตามกฎหมาย

(ข)   บางเขนเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีบางบัวทองเป็นผู้จ่าย  บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  บางเชนจะสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้หลักสี่  แต่หลักสี่ให้บางเขนนำตั๋วไปให้บางบัวทองรับรอง  บางเขนจึงเอาตั๋วไปให้บางบัวทองเขียนข้อความว่า  “รับรองแล้ว”  และลงลายมือชื่อของบางบัวทองไว้ด้านหลังของตั๋ว  หลักสี่จึงยอมรับชำระหนี้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วจากบางเขน  เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงินหลักสี่ได้นำตั๋วไปให้บางบัวทองใช้เงิน  แต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงิน  อนึ่งหลักสี่ได้ทำคำคัดค้านไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่

ธงคำตอบ

(ก)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  931  การรับรองนั้นพึงกระทำด้วยเขียนลงไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินเป็นถ้อยคำสำนวนว่า  “รับรองแล้ว”  หรือความอย่างอื่นทำนองเช่นเดียวกันนั้น  และลงลายมือชื่อของผู้จ่าย  อนึ่งแต่เพียงลายมือชื่อของผู้จ่ายลงไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน  ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับรองแล้ว

อธิบาย   ตาม ป.พ.พ.  มาตรา  931  ได้กำหนดวิธีการรับรองตั๋วแลกเงินไว้ว่า  ผู้จ่ายอาจจะทำการรับรองตั๋วแลกเงินได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง  ดังนี้  คือ

1       ผู้จ่ายเขียนคำว่า  “รับรองแล้ว”  หรือข้อความอื่นซึ่งมีความหมายเดียวกันเช่นคำว่า  “รับรองจะใช้เงิน”  หรือ  “ยินยอมจะใช้เงิน”  เป็นต้น  พร้อมทั้งลงลายมือชื่อของผู้จ่ายไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินนั้น  หรือ

2       ผู้จ่ายเพียงแต่ลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงิน  โดยไม่ต้องเขียนข้อความอย่างใดไว้ก็ได้

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  931  การรับรองนั้นพึงกระทำด้วยเขียนลงไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินเป็นถ้อยคำสำนวนว่า  “รับรองแล้ว”  หรือความอย่างอื่นทำนองเช่นเดียวกันนั้น  และลงลายมือชื่อของผู้จ่าย  อนึ่งแต่เพียงลายมือชื่อของผู้จ่ายลงไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน  ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับรองแล้ว

มาตรา  937  ผู้จ่ายได้ทำการรับรองตั๋วแลกเงินแล้วย่อมต้องผูกพันในอันจะจ่ายเงินจำนวนที่รับรองตามเนื้อความแห่งคำรับรองของตน

วินิจฉัย

ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  931  และมาตรา  937  จะเห็นได้ว่า  ผู้จ่ายจะต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินนั้นในฐานะผู้รับรองก็ต่อเมื่อผู้จ่ายได้ทำการรับรองตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว  โดยการลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น  โดยจะเขียนข้อความว่า  “รับรองแล้ว”  หรือข้อความอื่นที่มีความหมายทำนองเดียวกันนั้นไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้

แต่ถ้าผู้จ่ายได้ทำการลงลายมือชื่อรับรองตั๋วแลกเงิน  แต่ได้กระทำไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงิน  ถือว่าเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด  ดังนั้นการกระทำของผู้จ่ายไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือถือว่าคำรับรองนั้นไม่มีผลนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่บางเขนเอาตั๋วแลกเงินไปให้บางบัวทองรับรอง  และบางบัวทองได้เขียนข้อความว่า  “รับรองแล้ว”  และลงลายมือชื่อของบางบัวทองไว้ที่ด้านหลังของตั๋วนั้น  ถือว่าเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด  ดังนั้นการกระทำของบางบัวทองจึงไม่ถือว่าเป็นการรับรอง  และเมื่อบางบัวทองปฏิเสธการใช้เงิน  หลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องให้บางบัวทองรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวไม่ได้

สรุป  หลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องให้บางบัวทองรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ  2 (ก)    การโอนตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นการโอนสิทธิตามตั๋วแลกเงินไปยังผู้รับโอน

(ข)   สายใจลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้สายฝนจ่ายเงิน  จำนวน  500,000  บาท  ระบุชื่อสายป่านเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  และส่งมอบให้สายป่านเพื่อเป็นการชำระค่าราคาสินค้า  ต่อมาสายป่านสลักหลังขายลดตั๋วแลกเงิน  โดยระบุชื่อสายสมรเป็นผู้รับซื้อลดตั๋วแลกเงินนั้น  ต่อมาสายสมรได้ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สายฟ้า  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  อนึ่ง  กรณีเมื่อตั๋วแลกเงินนั้นถึงกำหนดวันใช้เงิน  สายฟ้าได้นำตั๋วแลกเงินนั้นไปให้สายฝนผู้จ่ายใช้เงินให้กับตน  แต่สายฝนไม่ยอมใช้เงิน  สายฟ้าได้ทำคำคัดค้านโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว  ดังนี้  ใครบ้างที่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินนั้นต่อสายฟ้า  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)   อธิบาย

ในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น  กรณีที่จะถือว่าเป็นการโอนสิทธิตามตั๋วแลกเงินไปยังผู้รับโอน  ผู้โอนจะต้องโอนตั๋วแลกเงินให้ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ดังนี้คือ

1       ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ

การโอนสามารถกระทำได้โดยการสลักหลังและส่งมอบ  ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  917  วรรคแรก  ซึ่งบัญญัติว่า  “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ  ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม  ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ

หมายความว่า  ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  (ผู้รับเงิน)  นั้น  ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่บุคคลอื่น  การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทำการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นให้แก่ผู้รับโอน  (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

การสลักหลังคือ  การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน)  ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงิน  (หรือใบประจำต่อ)  โดยอาจจะเป็นการ  สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)  หรืออาจจะเป็นการสลักหลังลอยก็ได้

(1)    การสลักหลังเฉพาะ  (ระบุชื่อ)  หมายถึง  การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง  (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน)  ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย  โดยอาจจะกระทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วก็ได้ 

(2)    การสลักหลังลอย  หมายถึง  การสลักหลังที่ไม่ได้ระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง  (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้  เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา  919  วรรคสอง

2       ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ

การโอนตั๋วเงินชนิดนี้  ย่อมสามารถกระทำได้โดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว  ไม่ต้องมีการสลักหลัง  ตาม ป.พ.พ. มาตรา  918  ซึ่งบัญญัติว่า  “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น  ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  904  อันผู้ทรงนั้น  หมายความว่า  บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง  ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือๆ  ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

มาตรา  917  วรรคแรก  อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ  ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม  ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา  919  คำสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อ  และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยหรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจำต่อ  ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน  การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า  สลักหลังลอย

มาตรา  967  วรรคแรก  ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น  บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดีรับรองก็ดี  สลักหลังก็ดี  หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี  ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง

ตามอุทาหรณ์  การโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

เมื่อตั๋วแลกเงินที่สายใจออกให้แก่สายป่านนั้น  มีการระบุชื่อของสายป่านผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  ย่อมถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  ดังนั้นเมื่อสายป่านได้โอนตั๋วนั้นให้แก่สายสมร  โดยการสลักหลังและส่งมอบ  การโอนตั๋วดังกล่าวระหว่างสายป่านกับสายสมรจึงถูกต้องตามกฎหมาย  ตาม ป.พ.พ. มาตรา  917 วรรคแรก  และมาตรา  919

เมื่อการโอนตั๋วดังกล่าวระหว่างสายป่านกับสายสมรเป็นการโอนโดยการสลักหลังและระบุชื่อสายสมรผู้รับสลักหลังไว้  ดังนั้น  ถ้าสายสมรจะโอนตั๋วนั้นต่อไปให้แก่สายฟ้า  สายสมรจะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบตาม ป.พ.พ. มาตรา  917  วรรคแรก  และมาตรา  919 เท่านั้น  เมื่อสายสมรโอนตั๋วนั้นให้แก่สายฟ้าโดยการส่งมอบเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการสลักหลัง  การโอนตั๋วระหว่างสายสมรกับสายฟ้า  จึงเป็นการโอนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

และเมื่อการโอนตั๋วจากสายสมรไปยังสายฟ้า  เป็นการโอนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  ดังนั้นแม้ว่าสายฟ้าจะได้ครอบครองตั๋วแลกเงินฉบับนั้นไว้  สายฟ้าก็ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตาม ป.พ.พ  มาตรา  904  และ 905  และเมื่อตั๋วนั้นถึงกำหนดใช้เงิน  สายฝนปฏิเสธการจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินฉบับนั้น  ดังนี้สายฟ้าซึ่งไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องสายใจผู้สั่งจ่าย  และสายป่านผู้สลักหลังให้รับผิดตามตั๋วแลกเงินนั้น  ตาม ป.พ.พ. มาตรา  900  914  และ  967  วรรคแรก

สรุป  การโอนตั๋วแลกเงินจากสายสมรไปยังสายฟ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  และเมื่อสายฟ้าไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  จึงฟ้องสายใจผู้สั่งจ่ายและสายป่านผู้สลักหลังให้ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินนั้นแก่ตนไม่ได

 

ข้อ  3

(ก)    บุคคลใดบ้างที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตั๋วเงิน  บัญญัติให้มีสิทธิขีดคร่อมเช็คและลงข้อความห้ามโอนหรือห้ามเปลี่ยนมือลงไว้บนเช็คนั้น  และจะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายอย่างไร  แก่บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับเช็คนั้น

(ข)   หนึ่งฤดีได้รับเช็คธนาคารเมืองทองไว้โดยสุจริตเป็นเช็คที่มีชื่อรื่นฤทัยเป็นผู้รับเงินหรือผู้ถือ  จากการส่งมอบของสมรวดีซึ่งอ้างว่าตนเองเป็นผู้รับซื้อลดเช็คนั้นจากรื่นฤทัย  ข้อเท็จจริงได้ความว่าสรณีย์เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คดังกล่าว  พร้อมกับขีดคร่อมทั่วไปไว้ข้างด้านหน้าเช็คแล้วมอบเช็คนั้นชำระหนี้รื่นฤทัย  รื่นฤทัยรับเช็คนั้นแล้วจึงได้กรอกข้อความว่า  “A/C  Payee  only”  ไว้ตรงกลางของรอยขีดคร่อมแล้วทำตกหายไปโดยไม่รู้ตัว  แต่หนึ่งฤดีไม่อาจได้รับเงินตามเช็คดังกล่าว  เนื่องจากธนาคารเมืองทองได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าใครคือเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนี้  และหนึ่งฤดีจะบังคับไล่เบี้ยสรณีย์  รื่นฤทัย  และสมรวดีให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าวได้เพียงใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

(ก)     อธิบาย

บุคคลที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตั๋วเงิน  บัญญัติให้มีสิทธิขีดคร่อมเช็คและลงข้อความห้ามโอนหรือห้ามเปลี่ยนมือลงไว้บนเช็คนั้น  ได้แก่  ผู้สั่งจ่ายเช็ค  และผู้ทรงเช็คนั่นเอง  และเมื่อมีการกระทำการดังกล่าวแล้ว  จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายแก่บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับเช็คนั้น  ดังนี้  คือ

1       กรณีผู้สั่งจ่ายเช็ค  ในกรณีที่เป็นเช็คไม่มีขีดคร่อม  ผู้สั่งจ่ายจะขีดคร่อมเช็คนั้นก็ได้  โดยอาจจะทำเป็นขีดคร่อมทั่วไป หรือขีดคร่อมเฉพาะก็ได้  (ป.พ.พ. มาตรา  955(1))  และผู้สั่งจ่ายอาจเขียนข้อความลงไว้ที่ด้านหน้าเช็คว่า  “ห้ามเปลี่ยนมือ”  หรือข้อความอื่นที่มีความหมายเดียวกัน  เช่น  “ห้ามโอน”  หรือ  “ห้ามสลักหลังต่อ”  หรือ  “จ่ายเข้าบัญชีผู้รับโอนเท่านั้น”  (A/C  Payee  Only)  ก็ได้  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 917  วรรคสอง  ประกอบกับมาตรา  989  วรรคแรก)

ผลตามกฎหมายที่มีต่อผู้ทรงเช็คในฐานะผู้รับเงิน  คือ

(1)    ผู้ทรงเช็คจะโอนเช็คนั้นต่อไปด้วยการสลักหลังและส่งมอบเช็คตามวิธีการโอนตั๋วเงินตามมาตรา  917  วรรคแรกอีกไม่ได้  เว้นแต่ผู้ทรงเช็คจะโอนเช็คนั้นต่อไปโดยรูปแบบวิธีการเช่นเดียวกับการโอนหนี้สามัญ  ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  306  วรรคแรก  กล่าวคือ  ต้องทำเป็นหนังสือโอนมูลหนี้ตามเช็คนั้น  ระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน  และมีหนังสือบอกกล่าวการโอนนั้นไปยังผู้สั่งจ่าย  หรือให้ผู้สั่งจ่ายยินยอมด้วยโดยทำเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง

(2)    ผู้ทรงเช็ค  จะนำเช็คนั้นไปยื่นให้ธนาคารจ่ายเป็นเงินสดไม่ได้  แต่ต้องนำเช็คขีดคร่อมนั้นไปเข้าบัญชีเงินฝากก่อน  โดยนัยตาม ป.พ.พ. มาตรา  994

ผลตามกฎหมายที่มีต่อธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อม  คือ  ธนาคารจะต้องจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็คเท่านั้น  จะจ่ายเป็นเงินสดไม่ได้  (ป.พ.พ. มาตรา 994)

2       กรณีผู้ทรงเช็ค  ผู้ทรงเช็คสามารถที่จะขีดคร่อมเช็ค  โดยถ้าเป็นเช็คที่ไม่มีขีดคร่อม  ผู้ทรงจะขีดคร่อมเช็คนั้น  เป็นขีดคร่อมทั่วไปหรือขีดคร่อมเฉพาะก็ได้  หรือถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ผู้ทรงจะทำให้เป็นขีดคร่อมเฉพาะก็ได้  (ป.พ.พ. มาตรา  995(1) และ (2))  และนอกจากนั้นผู้ทรงจะเติมคำว่า  “ห้ามเปลี่ยนมือ”  หรือคำอื่นที่มีความหมายทำนองเดียวกันลงไว้ก็ได้  (ป.พ.พ. มาตรา  995(3))

และเมื่อผู้ทรงเช็ค  ได้ขีดคร่อมเช็คและเขียนคำว่า  “ห้ามเปลี่ยนมือ”  ลงไว้  ย่อมมีผลตามกฎหมาย  กล่าวคือ  จะได้รับการคุ้มครอง  ตาม ป.พ.พ. มาตรา  999  เช่น  ในกรณีที่เช็คดังกล่าวได้สูญหายไป  หรือถูกโจรกรรมไป  ผู้รับโอนเช็คนั้นจากคนที่เก็บได้  หรือจากคนที่โจรกรรมเช็คนั้นไป  ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกัน  กล่าวคือ  เมื่อผู้โอนไม่มีสิทธิ  ผู้รับโอนก็ย่อมไม่มีสิทธิในเช็คนั้นเช่นเดียวกัน

(ข)    หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 

มาตรา  995(3)  เช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี  ขีดคร่อมเฉพาะก็ดี  ผู้ทรงจะเติมคำลงว่า  ห้ามเปลี่ยนมือ  ก็ได้

มาตรา  999  บุคคลใดได้เช็คขีดคร่อมของเขามาซึ่งมีคำว่า  ห้ามเปลี่ยนมือ  ท่านว่าบุคคลนั้นไม่มีสิทธิในเช็คนั้นยิ่งไปกว่า  และไม่สามารถให้สิทธิในเช็คนั้นต่อไปได้ดีกว่าสิทธิของบุคคลอันตนได้เช็คของเขามา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่รื่นฤทัยซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คได้กรอกข้อความว่า  “A/C  Payee  Only” ลงไว้กลางรอยขีดคร่อม  ถือได้ว่าเป็นการลงข้อความห้ามโอนหรือห้ามเปลี่ยนมือตามนัยมาตรา  995(3)  แล้ว  และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารื่นฤทัยได้ทำเช็คนั้นตกหายไป  กรณีจึงมิได้เป็นการขายลดเช็คนั้นให้แก่สมรวดีตามที่สมรวดีกล่าวอ้างแต่อย่างใด  ย่อมแสดงว่า  สมรวดีเป็นผู้เก็บเช็คนั้นได้  ดังนั้นสมรวดีจึงมิใช่เจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้น  (ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงแห่งเช็คนั้นคือรื่นฤทัย)  และไม่มีสิทธิที่จะโอนเช็คนั้นต่อไปให้แก่ผู้ใด  เมื่อสมรวดีได้โอนเช็คนั้นให้แก่หนึ่งฤดีโดยการส่งมอบ  ดังนี้ แม้ว่าหนึ่งฤดีจะได้รับเช็คนั้นจากสมรวดีโดยสุจริต  ก็ย่อมไม่มีสิทธิในเช็คนั้นเช่นเดียวกับสมรวดีตามนัยมาตรา  999  ดังนั้น  เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น  หนึ่งฤดีจึงไม่สามารถจะบังคับไล่เบี้ยสรณีย์  รื่นฤทัย  และสมรวดีให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าวนั้นได้เลย

สรุป  รื่นฤทัยคือเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คดังกล่าว  และหนึ่งฤดีจะบังคับไล่เบี้ยสรณีย์  รื่นฤทัย  และสมรวดีไม่ได้เลย

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1

(ก)   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  905  “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง  ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม  ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย”  อยากทราบว่าการสลักหลังไม่ขาดสายนั้นมีลักษณะอย่างไร

(ข)  จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินจำนวน  500,000  บาท  ระบุชื่อทองไทยเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  เพื่อเป็นการมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า  ทองไทยสลักหลังขายลดตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดตั๋วแลกเงินนั้น ต่อมาพุธได้ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นชำระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้น  ถูกต้องตามกฎหมาย  หรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

(ก)    อธิบาย

ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  905  คำว่า  “การสลักหลังไม่ขาดสาย”  หมายถึง  การสลักหลังโอนตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  โดยมีการโอนติดต่อกันมาตามลำดับจนถึงมือของผู้ทรงคนปัจจุบันโดยไม่ขาดตอน  กล่าวคือ  เป็นการโอนตั๋วเงินที่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้  ตาม ป.พ.พ.  มาตรา  917  วรรคแรก  มาตรา  919  และมาตรา  920  นั่นเอง

ตัวอย่างการสลักหลังที่ไม่ขาดสาย

หนึ่งได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้สองจ่ายเงินแก่สาม  ต่อมาสามได้สลักหลังและส่งมอบให้สี่  และสี่ได้สลักหลังและส่งมอบให้ห้า  ดังนี้  เมื่อตั๋วเงินได้มาอยู่ในความครอบครองของห้า  ห้าย่อมเป็นผู้ทรงในฐานะผู้รับสลักหลัง  และเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  เพราะห้าได้ตั๋วเงินนั้นมาจากการสลักหลังที่ไม่ขาดสาย

และตามตัวอย่างข้างต้น  หากการที่สามสลักหลังโอนให้สี่นั้น  เป็นการสลักหลังลอย  (เป็นการสลักหลังที่ไม่มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง)  และสี่ได้ส่งมอบตั๋วเงินต่อให้ห้า  ดังนี้  ก็ถือว่าห้าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน  และให้ถือว่าห้าได้ตั๋วเงินนั้นมาจากการสลักหลังลอยของสาม

หมายเหตุ  บุคคลที่ได้ตั๋วเงินมาจากการสลักหลังลอยนั้น  มีสิทธิโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบ  หรืออาจจะส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้  (ตามมาตรา  920)  แต่ถ้าได้ตั๋วมาจากการสลักหลังเฉพาะ  (มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง)  หากโอนตั๋วด้วยการส่งมอบ  จะทำให้การสลักหลังขาดสายทันที  เพราะ ป.พ.พ. มาตรา  917  วรรคแรก  นั้น  กำหนดให้โอนกันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  917  วรรคแรก  อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ  ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม  ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา  918  ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น  ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน

มาตรา  919  คำสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อ  และต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์  แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วยหรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทำอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อ  ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน  การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า  สลักหลังลอย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การที่จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินโดยระบุชื่อทองไทยเป็นผู้รับเงิน  และได้ขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  เพื่อเป็นการมัดจำในการสั่งซื้อสินค้า  ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ย่อมเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ  ดังนั้น  การโอนต่อไปจึงต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา  917  วรรคแรก  และมาตรา  919  คือ  สลักหลังและส่งมอบ  จะโอนตั๋วแลกเงินโดยการส่งมอบให้แก่กันเพียงอย่างเดียวเท่านั้นตามมาตรา  918  ไม่ได้ เพราะกรณีมิใช่ตั๋วแลกเงินสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ

และสำหรับการที่ทองไทยสลักหลังขายลดตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับซื้อลดตั๋วแลกเงินนั้น  ถือเป็นการโอนตั๋วแลกเงินโดยการสลักหลังเฉพาะตามมาตรา  917  วรรคแรก  ซึ่งการโอนต่อไปจะต้องสลักหลังและส่งมอบเช่นเดียวกันตามมาตรา  917  วรรคแรก  เมื่อปรากฏว่าต่อมาพุธเพียงแต่ส่งมอบตั๋วแลกเงินชำระหนี้ให้แก่พฤหัสเท่านั้น  หาได้มีการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยไม่  ทั้งกรณีก็ไม่ใช่การโอนตั๋วแลกเงินต่อจากผู้สลักหลังลอยแต่อย่างใด  ดังนั้น  การโอนตั๋วแลกเงินจากพุธไปยังพฤหัสจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป  การโอนตั๋วแลกเงินจากทองไทยไปยังพุธเป็นการโอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย  แต่การโอนตั๋วแลกเงินจากพุธไปยังพฤหัสเป็นการโอนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

 

ข้อ  2 

(ก)   การอาวัลตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย  และใครบ้างที่อาวัลตั๋วแลกเงินได้

(ข)  บางเขนเป็นผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่มีบางบัวทองเป็นผู้จ่าย  บางขวางเป็นผู้สั่งจ่ายและขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  บางเขนจะสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้หลักสี่  แต่หลักสี่ให้บางเขนนำตั๋วไปให้บางบัวทองรับรองก่อน  บางเขนจึงเอาตั๋วไปให้บางบัวทองเขียนข้อความว่า  “ยินดีเป็นประกันผู้สั่งจ่าย”  และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋ว  หลักสี่จึงยอมรับชำระหนี้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วจากบางเขน  เมื่อถึงกำหนดใช้เงินหลักสี่ได้นำตั๋วไปให้บางบัวทองใช้เงินแต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเห็นว่าตนได้ชำระหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายไปแล้ว  อนึ่งหลักสี่ได้ทำคำคัดค้านไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าหลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

(ก)    อธิบาย

“การอาวัลตั๋วแลกเงิน”  (การค้ำประกันหรือรับประกันการใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน)  นั้น  จะถือว่าเป็นการรับอาวัลที่ถูกต้องตามกฎหมาย  จะต้องปฏิบัติตามที่  ป.พ.พ. มาตรา  939  ได้บัญญัติไว้  กล่าวคือ  จะต้องปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังนี้  คือ

1       เขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจำต่อด้วยถ้อยคำสำนวนว่า  “ใช้ได้เป็นอาวัล”  หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายทำนองเดียวกัน  และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล  ซึ่งอาจจะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของตั๋วแลกเงินก็ได้

2       ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น  โดยไม่ต้องเขียนข้อความใดๆลงไว้ก็ได้  ก็ถือว่าเป็นการรับอาวัลแล้ว  แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

สำหรับบุคคลที่สามารถเข้ามารับอาวัลตั๋วแลกเงินได้นั้น  อาจจะเป็นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วแลกเงินนั้นคนใดคนหนึ่งก็ได้  (ป.พ.พ. มาตรา 938  วรรคสอง)

(ข)  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  938  ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ำประกันการใช้เงินทั้งจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ซึ่งท่านเรียกว่า  “อาวัล”

อันอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้รับ  หรือแม้คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้รับก็ได้

มาตรา  939  อันการรับอาวัลย่อมทำให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง  หรือที่ใบประจำต่อ  ในการนี้พึงใช้ถ้อยคำสำนวนว่า  “ใช้ได้เป็นอาวัล”  หรือสำนวนอื่นใดทำนองเดียวกันนั้นและลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่ง  เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน  ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว  เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคำรับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด  หากมิได้ระบุ  ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย

มาตรา  940  วรรคแรก  ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน

ตามกฎหมาย  ในกรณีที่มีการรับอาวัลผู้เป็นคู่สัญญาตามตั๋วแลกเงิน  ผู้รับอาวัลจะต้องเขียนข้อความว่า  “ใช้ได้เป็นอาวัล”  หรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายเดียวกัน  และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงิน  หรือผู้รับอาวัลอาจจะลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินก็ได้  และบุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลจะเป็นบุคคลภายนอกหรือคู่สัญญาเดิมในตั๋วแลกเงินก็ได้  (มาตรา 938  และมาตรา  939)

กรณีตามอุทาหรณ์  หลักสี่ผู้ทรงจะฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้หรือไม่  เห็นว่า  ตั๋วแลกเงินที่บางขวางออกให้แก่บางเขนนั้น  เมื่อได้ขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  จึงเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชิ่  และเมื่อบางเขนได้เอาตั๋วไปให้บางบัวทองผู้จ่ายเขียนข้อความว่า  “ยินดีเป็นประกันผู้สั่งจ่าย”  ซึ่งถือเป็นข้อความที่มีความหมายทำนองเดียวกับคำว่า  “ใช้ได้เป็นอาวัล”  และลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าของตั๋ว  จึงถือเป็นการอาวัลแล้ว  และเป็นการอาวัลบางขวางผู้สั่งจ่ายตามมาตรา  938  และมาตรา  939

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน  หลักสี่ได้นำตั๋วไปให้บางบัวทองใช้เงินแต่บางบัวทองปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเห็นว่าตนได้ชำระหนี้บางขวางผู้สั่งจ่ายไปแล้ว  ดังนั้น  หลักสี่ผู้ทรงจึงสามารถฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้รับอาวัลบางขวางผู้สั่งจ่ายตามมาตรา  900  วรรคแรก  และมาตรา  940  วรรคแรก

สรุป  หลักสี่ผู้ทรงฟ้องบางบัวทองให้รับผิดในตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ในฐานะผู้รับอาวัล

 

ข้อ  3 

(ก)   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดหลักเกณฑ์ผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารผู้จ่าย  จ่ายเงินตามเช็คไว้อย่างไรบ้าง

(ข)  ห้วยยอดมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดตรัง  สั่งจ่ายเช็คระบุชื่อสิเกาเป็นผู้รับเงินแต่มิได้ขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  ซึ่งเป็นเช็คของธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ต  ระบุจำนวนเงินลงไว้ในเช็ค  500,000  บาท  ลงวันที่  10  สิงหาคม  2553  มอบให้กับสิเกาเพื่อชำระหนี้  ต่อมาสิเกาสลักหลังลอยแล้วมอบเช็คชำระหนี้ให้แก่บินหลา  บินหลานำเช็คนั้นไปส่งมอบให้แก่หัวไทรที่มีภูมิลำเนาที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อชำระหนี้  วันที่  10  ธันวาคม  2553  หัวไทรนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ต  แต่ธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเงินในบัญชีของห้วยยอดมีไม่พอจ่าย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าบุคคลใดต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทรเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)     อธิบาย

ตามกฎหมาย  การนำเช็คไปยื่นให้ธนาคารผู้จ่ายใช้เงินตามเช็คนั้น  ผู้ทรงเช็คจะต้องนำไปยื่นในวันที่เช็คถึงกำหนดซึ่งก็คือ  วันออกเช็คอันเป็นวันที่ผู้สั่งจ่ายระบุลงไว้ในเช็คนั่นเอง  หรืออย่างช้าต้องนำไปยื่นภายในกำหนดเวลาตามหลักเกณฑ์ที่ 

ป.พ.พ. มาตรา  990  ได้กำหนดไว้  ดังนี้คือ

1       ถ้าเป็นเช็คที่ออกให้ใช้เงินในเมือง  (จังหวัด)  เดียวกับที่ออกเช็ค  ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารตามเช็คเพื่อให้ใช้เงินภายในกำหนด  1  เดือน  นับแต่วันที่เช็คออก

2       ถ้าเป็นเช็คที่ออกให้ใช้เงินที่อื่น  (ในจังหวัดอื่น)  ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารตามเช็คเพื่อให้ใช้เงินภายในกำหนด  3  เดือน  นับแต่วันที่ออกเช็ค

ในกรณีที่ผู้ทรงไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คภายในกำหนดเวลาดังกล่าว  ผู้ทรงย่อมได้รับผลดังนี้  คือ

1       ผู้ทรงย่อมสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลังทั้งปวง  (โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้สลักหลังเหล่านั้นจะได้รับความเสียหายหรือไม่)

2       ผู้ทรงย่อมเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายเท่าที่ผู้สั่งจ่ายได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด  เพราะการที่ผู้ทรงละเลยไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินภายในกำหนดเวลานั้น

และตาม  ป.พ.พ. มาตรา  991(2)  ยังได้วางหลักไว้อีกว่า  ผู้ทรงจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารจ่ายเงินภายใน  6  เดือนนับแต่วันออกเช็ค  (วันที่ลงเช็ค) ด้วย  หากยื่นเช็คเกินกว่านั้น  ธนาคารมีสิทธิที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินได้

(ข)    หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

มาตรา  921  การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น  ย่อมเป็นเพียงประกัน  (อาวัล)  สำหรับผู้สั่งจ่าย

มาตรา  940  ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  910  914  ถึง  923  925  926  938  ถึง 940  945  946  959  967  971

มาตรา  990  วรรคแรก  ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน  คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น  ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน  ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง  ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย  เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  บุคคลใดต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทร  เห็นว่า  การที่ห้วยยอดมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดตรังได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ตเพื่อใช้เงินตามเช็คนั้น  เช็คดังกล่าวจึงเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น  (จังหวัดอื่น)  ดังนั้น ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คให้ธนาคารผู้ใช้เงินตามเช็คใช้เงินภายในกำหนด  3  เดือน  นับแต่วันที่  10  สิงหาคม  2553  ซึ่งเป็นวันที่ออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค)  ตามมาตรา  990  วรรคแรก  เมื่อปรากฏว่าหัวไทรผู้ทรงเช็คนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดามันสาขาจังหวัดภูเก็ตในวันที่  10  ธันวาคม  2553  ซึ่งพ้นกำหนด  3  เดือน  นับแต่วันที่ออกเช็คแล้ว  ดังนั้น  เมื่อธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเงินในบัญชีของห้วยยอดมีไม่พอจ่าย  หัวไทรผู้ทรงเช็คย่อมสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อเช็คดังกล่าวเป็นเช็คผู้ถือ  เนื่องจากมิได้มีการขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือออก”  การที่สิเกาสลักหลังลอยแล้วมอบเช็คชำระหนี้ให้แก่บินหลานั้น  ย่อมเป็นเพียงประกัน  (อาวัล)  สำหรับผู้สั่งจ่าย  ตามมาตรา  921  สิเกาจึงต้องรับผิดในเช็คฉบับนี้ในฐานะเป็นผู้รับอาวัลห้วยยอดผู้สั่งจ่าย  (มาตรา  900  921  940  วรรคแรก  และมาตรา  989)  ส่วนบินหลา  เมื่อไม่ได้ลงลายมือชื่อในเช็คจึงไม่ต้องรับผิดต่อหัวไทร  (มาตรา  900)

และในกรณีของห้วยยอดผู้สั่งจ่ายนั้น  เมื่อมิได้เกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ห้วยยอด  เพราะการที่หัวไทรละเลยไม่ยื่นเช็คนั้น  ห้วยยอดผู้สั่งจ่ายจึงยังคงต้องรับผิดต่อหัวไทรในฐานะผู้สั่งจ่าย  (มาตรา  900  914  989  และมาตรา  990)

สรุป  สิเกาต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทรในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย  และห้วยยอดยังคงต้องรับผิดตามกฎหมายตั๋วเงินต่อหัวไทรในฐานะผู้สั่งจ่าย  ส่วนบินหลาไม่ต้องรับผิดต่อหัวไทรเพราะมิได้ลงลายมือชื่อในเช็ค

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  การรับรองและการอาวัลตั๋วแลกเงินจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย  อนึ่ง  ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินจะอาวัลตั๋วได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

การรับรองตั๋วแลกเงิน  คือ  การที่ผู้จ่าย  ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคำสั่งของผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ทรง  (หรือผู้รับเงิน)  ตามจำนวนเงินที่ได้ให้คำรับรองไว้

สำหรับวิธีการรับรองตั๋วแลกเงิน  ที่ถูกต้องตามกำหมายนั้น  ผู้จ่ายจะต้องปฏิบัติตามแบบหรือวิธีการรับรองตามที่บัญญัติไว้ใน  ป.พ.พ. มาตรา  931  ดังนี้  คือ

1  ให้ผู้จ่ายเขียนข้อความว่า  “รับรองแล้ว”  หรือข้อความอื่นทำนองเดียวกันนั้น  และลงลายมือชื่อของผู้จ่ายในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น  โดยอาจจะลงวันที่รับรองไว้หรือไม่ก็ได้  หรือ

2  ผู้จ่ายลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน  โดยไม่เขียนข้อความดังกล่าวไว้เลยก็ได้  กฎหมายก็ให้จัดว่าเป็นคำรับรองแล้ว

อนึ่ง  ถ้าผู้จ่ายได้ทำการรับรองโดยการลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินนั้น  ย่อมเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด  จึงไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือคำรับรองนั้นไม่มีผลนั่นเอง

การอาวัลตั๋วแลกเงิน  คือ  การค้ำประกันหรือรับประกันการใช้เงินตามตั๋วแลกเงิน  ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ และบุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลคู่สัญญาในตั๋วแลกเงินนั้น  อาจจะเป็นบุคคลภายนอก  หรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วแลกเงินนั้นก็ได้  (ป.พ.พ. มาตรา  938)  ดังนั้นผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินจึงสามารถเข้ามารับอาวัลผู้เป็นคู่สัญญาคนอื่นๆในตั๋วแลกเงินนั้นได้

สำหรับวิธีการอาวัลตั๋วแลกเงิน  ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น  ป.พ.พ  มาตรา  939  ได้กำหนดแบบหรือวิธีการอาวัลไว้ดังนี้  คือ

1       บุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลคู่สัญญาในตั๋วเงิน  ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลภายนอกหรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วเงินนั้น (มาตรา 938)  จะต้องเขียนข้อความว่า  “ใช้ได้เป็นอาวัล”  หรือสำนวนอื่นใดที่มีความหมายเดียวกัน  เช่น  “รับประกัน”  หรือ  “ค้ำประกัน”  และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของตั๋วเงิน  (หรือในใบประจำต่อ)  ทั้งนี้ต้องระบุไว้ด้วยว่ารับอาวัลให้แก่ผู้ใด  หากไม่ระบุไว้ให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลแก่ผู้สั่งจ่าย  (มาตรา  939  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่)  หรือ

2        เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลไว้ที่ด้านหน้าของตั๋วเงินนั้น กฎหมายก็ให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลแล้ว  (เป็นการรับอาวัลผู้สั่งจ่าย)    เว้นแต่กรณีที่เป็นผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายเท่านั้นที่จะลงแต่ลายมือชื่อเพียงอย่างเดียวไม่ได้  ถ้าจะเข้ารับอาวัลผู้ใดจะต้องเขียนข้อความ  และลงลายมือชื่อของตนตามวิธีที่  1  เสมอ (มาตรา  939 วรรคสาม)

อนึ่ง  ในกรณีที่มีการสลักหลังตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ  กฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นการรับอาวัลผู้สั่งจ่าย  และต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย (มาตรา 921 และ 940 วรรคแรก)

 

ข้อ  2 

(ก)    กรณีที่มีบุคคลนำเช็คขีดคร่อมไปให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมให้นั้น  ธนาคารผู้จ่ายจะต้องกระทำการอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการจ่ายเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย  ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมาย

(ข)   ปทุมวันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คผู้ถือธนาคารกรุงสยาม  พร้อมทั้งทำการขีดคร่อมทั่วไปไว้ที่ด้านหน้าเช็ค  แล้วมอบให้แก่สาทรเพื่อชำระราคาสินค้า  หลังจากนั้นสาทรได้ทำเช็คฉบับดังกล่าวหล่นหายโดยไม่รู้ตัว  วัฒนาเก็บได้  แล้วนำไปให้ธนาคารนครไทยเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของวัฒนาแล้วถอนเงินจากบัญชีไปใช้ทั้งหมด  ต่อมาสาทรพึ่งทราบว่าเช็คของตนหล่นหาย  จึงมาเรียกให้ปทุมวันชำระหนี้ตามเช็ค  หรือชำระหนี้ราคาสินค้าให้แก่ตน  ดังนี้  ปทุมวันจะต้องชำระหนี้ตามที่สาทรเรียกมาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก)     อธิบาย

กรณีที่มีบุคคลนำเช็คขีดคร่อมไปให้ธนาคารจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมให้นั้น  การที่ธนาคารผู้จ่ายได้จ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมนั้นไป  จะถือว่าเป็นการจ่ายเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย  ธนาคารผู้จ่ายจะต้องได้จ่ายเงินไปโดยถูกต้องตามวิธีการหรือหลักเกณฑ์ที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ดังนี้  คือ

1        กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมทั่วไป

ธนาคารผู้จ่ายเงินต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็คนั้น  จะจ่ายเป็นเงินสดอย่างเช่นเช็คธรรมดาที่มิได้ขีดคร่อมมิได้ (มาตรา 994 วรรคแรก)

2        กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมเฉพาะ

ธนาคารผู้จ่ายเงินต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ถูกระบุชื่อไว้โดยเฉพาะ  จะจ่ายเป็นเงินสดอย่างเช่นเช็คธรรมดาหรือจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นนอกจากที่ระบุไว้มิได้  (มาตรา 994 วรรคท้าย)

3        กรณีที่เป็นเช็คที่ได้มีการขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารมากกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป

ธนาคารผู้จ่ายเงินต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งจะอยู่ในฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเพื่อเรียกเก็บเงิน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายเงินให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้ (มาตรา 997 วรรคแรก)

 อนึ่ง  ธนาคารผู้จ่ายหากได้จ่ายเงินไปภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นไปโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่อ  ทั้งได้จ่ายเงินไปตามทางการค้าปกติ (ในระหว่างวันและเวลาที่เปิดทำการตามนัย มาตรา 1009)  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายไม่ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้น  (ปกติได้แก่ผู้ทรงเดิม) และชอบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายนั้นได้ (มาตรา 998)

ตรงกันข้าม  หากธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปตามเช็คขีดคร่อมเป็นอย่างอื่น  เช่น  ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คแทนที่จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ทรงเช็ค  หรือใช้เงินสดให้แก่พนักงานธนาคารอื่นผู้ยื่นเช็ค  หรือใช้เงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อไว้โดยเฉพาะ  หรือมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินกรณีที่มีการขีดคร่อมเฉพาะเกินกว่า 1 ธนาคาร  หรือใช้เงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นตัวแทนเรียกเก็บเงินตามหลักเกณฑ์ (1)(2) และ (3)  ดังกล่าวข้างต้น  กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายยังจะต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นในการที่เขาต้องเสียหายจากการที่มิได้ใช้ประโยชน์จากเช็คขีดคร่อมนั้น (มาตรา 997 วรรคสองตอนท้าย)  อีกทั้งไม่มีสิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของผู้สั่งจ่าย  เพราะถือว่าธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ (มาตรา 1009)

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  998  ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง  ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ  หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง  กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว  ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว

มาตรา 321 วรรคสาม  ถ้าชำระหนี้ด้วย ออก – ด้วยโอน – หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงิน  หรือประทวนสินค้าท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ถือว่าเช็คผู้ถือเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปที่ตกไปถึงมือผู้รับเงิน  คือ  สาทรแล้ว  และการที่เช็คหล่นหายวัฒนาเก็บได้แล้วนำไปให้ธนาคารนครไทยเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของวัฒนา  และวัฒนาได้ถอนเงินจากบัญชีไปใช้นั้น  ก็มิได้มีเหตุบ่งชี้ว่า  ธนาคารกรุงสยามซึ่งเป็นธนาคารผู้จ่ายได้จ่ายเงินตามเช็คไปโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด  ดังนั้นจึงถือว่าธนาคารกรุงสยามได้จ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  และให้ถือเสมือนว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่เจ้าของที่แท้จริงคือสาทรแล้วตามมาตรา  998  ซึ่งมีผลทำให้มูลหนี้ระหว่างปทุมวันกับสาทรระงับลง  ทั้งมูลหนี้ตามเช็คและมูลหนี้เดิมคือหนี้ค่าราคาสินค้าตามมาตรา  321 วรรคสาม  ดังนั้นเมื่อสาทรมาเรียกให้ปทุมวันชำระหนี้ตามเช็ค  หรือชำระหนี้ค่าราคาสินค้าให้แก่ตน  ปทุมวันจึงไม่ต้องชำระหนี้ตามที่สาทรเรียกมาแต่อย่างใด

สรุป  ปทุมวันไม่ต้องชำระหนี้ตามที่สาทรเรียกมาทั้งมูลหนี้ตามเช็ค และมูลหนี้ค่าราคาสินค้า 

 

ข้อ  3 

(ก)    การที่ผู้ทรงเช็คนำเช็คไปยื่นเพื่อให้ธนาคารผู้จ่ายเงินหรือให้ธนาคารผู้เรียกเก็บเงินเกิน  6  เดือน  นับแต่วันเดือนปีที่ออกเช็ค  จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายอย่างไรกับผู้ทรงเช็ค

(ข)   จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายธนาคารสินไทย  จำนวน  50,000  บาท  ชำระหนี้อังคารหรือผู้ถือ  อังคารสลักหลังขายลดเช็คให้แก่พุธ  ซึ่งรับซื้อลดเช็คนั้นไว้ในราคา  45,000  บาท  แต่ได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารกรุงทองเรียกเก็บเงินเกินกว่า  6  เดือนนับแต่วันออกเช็คเป็นผลให้ธนาคารกรุงทองไม่รับและคืนเช็คให้แก่พุธ  ต่อมาพุธได้นำเช็คนั้นคืนให้แก่อังคาร  อังคารได้คืนเงินให้แก่พุธ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าอังคารจะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ให้รับผิดในมูลหนี้เช็คดังกล่าวได้เพียงใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

(ก)    อธิบาย 

การที่ผู้ทรงเช็คนำเช็คไปยื่นเพื่อให้ธนาคารผู้จ่ายจ่ายเงิน  หรือให้ธนาคารผู้เรียกเก็บเกิน 6 เดือน นับแต่วันเดือนปีที่ออกเช็ค (ที่ลงในเช็ค) จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายกับผู้ทรงเช็ค ดังนี้คือ

1  ธนาคารผู้จ่าย (Paying Bank) มีสิทธิใช้ดุลพินิจปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้นได้ ตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 991(2)  และธนาคารผู้เรียกเก็บ (Collecting Bank)  ก็จะปฏิเสธเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นให้แก่ผู้ทรงเช็ค

2       ผู้ทรงเช็คย่อมสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังเช็ค  ทั้งเสียสิทธิไล่เบี้ยผู้สั่งจ่ายเช็คด้วย  เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้นภายในกำหนด 1 เดือน  (ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกัน)  หรือ 3 เดือน (ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น)  แล้วแต่กรณี ตามนับ ป.พ.พ. มาตรา 990 วรรคแรก

(ข)   หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  959  ผู้ทรงตั๋วแลกเงินจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลัง  ผู้สั่งจ่าย  และบุคคลอื่นๆซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นก็ได้  คือ

(ก)    ไล่เบี้ยได้เมื่อตั๋วเงินถึงกำหนดในกรณีไม่ใช้เงิน

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  …..  959  ……

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ผู้ทรงเช็คจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลัง  ผู้สั่งจ่าย  และบุคคลผู้เป็นคู่สัญญาคนอื่นๆซึ่งต้องรับผิดตามเช็คนั้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้ทรงเช็คได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารผู้จ่ายจ่ายเงินตามเช็คโดยชอบแล้ว  แต่ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็คนั้นตามมาตรา  959(ก)  ประกอบกับมาตรา 989 วรรคแรก

แต่กรณีตามอุทาหรณ์  ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเลยว่าได้มีการนำเช็คดังกล่าวนั้นไปยื่นให้ธนาคารสินไทยจ่ายเงินตามเช็คและธนาคารสินไทยได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นแล้ว  ดังนั้นอังคารจึงไม่สามารถที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จันทร์ผู้สั่งจ่ายได้แต่อย่างใด

สรุป  อังคารจะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ให้รับผิดในมูลหนี้เช็คดังกล่าวไม่ได้

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย สอบซ่อม 1/2548

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  สมชายมีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง  เขาจึงได้นำไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทประกันภัยจำกัดจำนวนเงินที่เอาประกัน  5  แสนบาท  สัญญากำหนด  1  ปี  ระหว่างอายุสัญญา  สมชายกับสมศรีภริยาได้ขับรถไปเที่ยวชายทะเลหัวหิน  ระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ  ทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้สมชายขับรถไปชนท้ายของสมศักดิ์ซึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้า  รถของสมชายได้รับความเสียหาย  2 แสนบาท  ส่วนรถของสมศักดิ์เสียหาย  8  หมื่นบาท  และสมศรีได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  เสียค่าใช้จ่ายไป  5  หมื่นบาท  

สมชายถูกตำรวจจับฐานขับรถโดยประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย  และถูกปรับไป  2  พันบาท  สมชายจึงไปเรียกให้บริษัทชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  กรณีรถเสียหายและที่สมศรีได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลรวมเป็นเงินทั้งสิ้น  2 แสนห้าหมื่นบาท  ส่วนสมศักดิ์ก็เรียกให้บริษัทชดใช้ให้ด้วยในความเสียหายที่เกิดขึ้น  8  หมื่นบาท  เพราะคิดว่าสมชายได้ทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ใคร  เป็นจำนวนเงินเท่าไร  และในกรณีใดบ้างอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  869  อันคำว่า  วินาศภัย  ในหมวดนี้  ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใดๆบรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้

มาตรา  877  ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจำนวนวินาศจริงนั้น  ท่านให้ตีราคา  ณ  สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น  อนึ่งจำนวนเงินซึ่งได้เอาประกันไว้นั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้

มาตรา  887  วรรคแรก  อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น  คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ 

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่าใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

สมชายทำประกันวินาศภัยในรถยนต์ของตนเอาไว้  ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกัน  สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา  863

กรณีที่รถของสมชายเสียหายคิดเป็นเงิน  2  แสนบาทนั้น  บริษัทผู้รับประกันวินาศภัยจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  869 ประกอบมาตรา  877  คือจ่ายตามความเสียหายจริง  แต่ไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ประกันเอาไว้

ส่วนกรณีความเสียหายที่เกิดกับรถของสมศักดิ์  รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลของสมศรีนั้น  บริษัทไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด  เพราะไม่ได้มีการทำสัญญาประกันภัยค้ำจุนไว้ตามมาตรา  887  และสมชายต้องรับผิดชอบเสียค่าใช้จ่ายในความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวด้วยตนเองในความรับผิดฐานละเมิด  ซึ่งสมศักดิ์สามารถเรียกจากสมชายได้ตามมาตรา  420 แต่สมศักดิ์ไม่สามารถเรียกจากบริษัทได้  เพราะไม่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทตามสัญญาประกันวินาศภัย  จะเรียกได้ก็เฉพาะมีการทำสัญญาประกันภัยค้ำจุนไว้ตามมาตรา  887  เท่านั้น

สรุป  บริษัทจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีรถของสมชายเสียหาย  เป็นจำนวน  2  แสนบาท  ส่วนกรณีรถของสมศักดิ์เสียหายและค่ารักษาพยาบาลของสมศรี  บริษัทไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

 

ข้อ  2  นายสมพงษ์ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทผู้รับประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง  โดยคุมครองทุกอย่าง  รวมทั้งอุบัติเหตุด้วย  เมื่อวันที่  5  พฤษภาคม  2538  เป็นระยะเวลา  1  ปี  วันสิ้นอายุตามกรมธรรม์คือ  5  พฤษภาคม  2539  ต่อมาวันที่  13  มิถุนายน  2539  เกิดอุบัติเหตุ  บริษัทผู้รับประกันภัยกับนายสมพงษ์ตกลงกันโดยบริษัทประกันออกกรมธรรม์ใหม่ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่  11 มิถุนายน  2539  มีระยะเวลาคุ้มครอง  1  ปี  เมื่อนายสมพงษ์ผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์แล้วจึงเรียกร้องให้บริษัทชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่าย  ดังนั้น  อยากทราบว่า  บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  861  อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น  หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต  ดังได้ระบุไว้ในสัญญา  และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า  เบี้ยประกันภัย

วินิจฉัย

จากปัญหาการที่เกิดอุบัติเหตุกับรถของนายสมพงษ์ที่เอาประกันภัยในวันที่  13  มิถุนายน  2539  ซึ่งเป็นวันที่กรมธรรม์สิ้นอายุแล้ว  แม้ต่อมาบริษัทประกันได้ออกกรมธรรม์ให้ใหม่มีผลย้อนหลังไปก่อนวันเกิดวินาศภัย  2  วัน  คือ  วันที่  11  มิถุนายน  2539  ซึ่งเป็นวันที่วินาศภัยได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ได้ทำสัญญาประกันภัยกันใหม่  โดยที่ความหมายของสัญญาประกันภัยตามมาตรา  861  บริษัทผู้รับประกันภัยตกลงใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เมื่อเกิดวินาศภัยในอนาคต  หมายความว่า  ขณะทำสัญญาประกันภัย  วินาศภัยยังไม่เกิดขึ้น  ดังนั้น  การที่ภัยได้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงมิใช่ภัยที่อาจมีขึ้นในอนาคต  แต่เป็นภัยในอดีตที่ไม่สามารถเอาประกันภัยได้

สรุป  บริษัทประกันภัยไม่มีหน้าที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมพงษ์  ตามมาตรา  861  (ฎ. 2513/2518)

 

ข้อ  3  นายยอด  ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง  เมื่อวันที่  30  สิงหาคม  2540  วงเงิน  1  แสนบาท  ระยะเวลาคุ้มครอง  20  ปี  แบบอาศัยความมรณะ  ในปีต่อมาธุรกิจการค้าของนายยอดขาดทุนอย่างหนัก  นายยอดกลุ้มใจมากจึงใช้ปืนยิงตัวเอง  เมื่อวันที่  28  สิงหาคม  2541  แต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญจึงไม่เสียชีวิตทันทีเพียงแต่บาดเจ็บสาหัส  ครั้นวันที่  1  กันยายน  2541  นายยอดได้เสียชีวิตด้วยบาดแผลดังกล่าวขณะที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล  ดังนี้บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา

วินิจฉัย

นายยอด  ทำสัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งเมื่อวันที่  30  สิงหาคม  2540  วงเงิน  1  แสนบาท  ระยะเวลาคุ้มครอง  20  ปี  ในปีต่อมานายยอดใช้ปืนยิงตัวเองย่อมถือว่านายยอดผู้เอาประกันชีวิตได้ลงมือกระทำอัตตวินิจบาตรด้วยใจสมัครของตน  ภายใน  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาประกันชีวิตแล้ว  แม้นายยอดจะถึงแก่ความตายหลังระยะเวลา  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาก็ตาม  บริษัทผู้รับประกันภัยก็ได้ยกเว้นความรับผิดไม่ต้องใช้เงินแก่ผู้รับประโยชน์ตามมาตรา  895(1)

สรุป  บริษัทประกันชีวิต  ไม่มีหน้าที่จ่ายเงิน  1  แสนบาทให้แก่ผู้รับประโยชน์  (ฎ. 936/2536)

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายโอ่งมีฐานะยากจนและป่วยเป็นโรคอัมพาตมา  2  ปี  ทำให้พูดไม่ได้  ร่างกายผอมต้องนอนอยู่กับที่ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาลตัวเอง  นายกล้าจัดให้นายโอ่งเอาประกันชีวิตไว้กับบริษัทผู้รับประกันชีวิตแห่งหนึ่งวงเงิน  1  แสนบาท  โดยนายกล้าเป็นคนออกเบี้ยประกันให้  นายโอ่งมีบุตรและภรรยาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน  แต่นายโอ่งมิได้ระบุให้บุตรและภรรยาของตนเป็นผู้รับประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันชีวิต นายโอ่งกลับระบุให้นายกล้าเป็นผู้รับประโยชน์  ในคำขอเอาประกันได้ระบุความสัมพันธ์ระหว่างนายกล้าและนายโอ่งว่านายกล้าเป็นหลานของนายปฐมซึ่งเป็นเพื่อนของนายโอ่งและปรากฏว่านายกล้าเป็นผู้กรอกข้อความในคำขอเอาประกันแทนนายโอ่ง  แต่ให้นายโอ่งลงชื่อเป็นผู้ยื่นขอเอาประกัน  ต่อมาในระหว่างอายุสัญญา  นายโอ่งถึงแก่ความตาย  นายกล้าได้ยื่นขอรับประโยชน์แต่บริษัทประกันปฏิเสธการจ่าย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

วินิจฉัย

การที่นายกล้าจัดให้นายโอ่งเอาประกันภัย  โดยนายกล้าเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน  และเป็นผู้รับประโยชน์ด้วย  ไม่ถือว่านายโอ่งเป็นผู้เอาประกันภัยโดยแท้จริง  เพราะการกระทำของนายกล้ามีเจตนาหลีกเลี่ยงเรื่องส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย  โดยนายกล้าทำทีเป็นว่าให้นายโอ่งออกหน้าเป็นผู้เอาประกันภัย  ความจริงฟังได้ว่า  นายกล้าเป็นผู้เอาประกันภัย  และนายกล้าไม่มีความสัมพันธ์ในทางญาติแต่อย่างใด  เนื่องจากนายกล้าเป็นเพียงหลาน  คือ  บุตรชายนายปฐม  ซึ่งเป็นเพื่อนของนายโอ่ง  นายกล้าผู้เอาประกันภัยจึงไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของบุคคลอื่น  คือ  นายโอ่ง  ตามมาตรา  863  นายกล้าไม่มีสิทธิเรียกเงินประกัน  1  แสนบาท

สรุป  นายกล้าผู้เอาประกันภัย  ไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย  คือ  ไม่มีความสัมพันธ์ในชีวิตของนายโอ่ง  ตามมาตรา  863  (ฎ. 1366/2509)

 

ข้อ  2  นายดำทำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัทสวรรค์ประกันชีวิต  จำกัด  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2544  ระบุให้นายแดงบุตรของนายดำเป็นผู้รับประโยชน์  มีจำนวนเงินที่เอาประกันชีวิต  1,000,000  บาท  วันที่  2  มกราคม  2544  นายดำทำสัญญาประกันชีวิตนางจันทร์ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายดำไว้กับบริษัท  ชัยประกันชีวิต  จำกัด  ระบุให้นายแดงเป็นผู้รับประโยชน์เช่นกัน  มีจำนวนเงินที่เอาประกันชีวิต  500,000  บาท  วันที่  2  มกราคม  2545  ซึ่งอยู่ในอายุกรมธรรม์  นายดำทะเลาะกับนางจันทร์อย่างรุนแรง  นายดำใช้อาวุธปืนยิงนางจันทร์ตายและใช้ปืนนั้นยิงตัวเองตายตาม

ให้วินิจฉัยว่าบริษัท  สวรรค์ประกันชีวิต  จำกัด  และบริษัท  ชัยประกันชีวิต  จำกัด  จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นายแดงได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

เมื่อนางดำและนางเขียวมรณะภายในอายุกรมธรรม์  ผู้รับประกันภัยจะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามกรมธรรม์ได้  หากมีเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  895  คือ

1       บุคคลนั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญา

2       บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

นายดำฆ่านางจันทร์โดยเจตนาฆ่าตัวตายโดยใจสมัครเมื่อวันที่  2  มกราคม  2545  การที่นายดำฆ่านางจันทร์ตาย  แต่นายดำมิใช่ผู้รับประโยชน์  และการที่นายดำฆ่าตัวตายโดยใจสมัครก็ได้กระทำภายหลัง  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญา  ทั้งสองกรณีจึงไม่ต้องด้วยเหตุตามมาตรา  895  ที่บริษัท  สวรรค์ประกันชีวิต  จำกัดและบริษัท  ชัยประกันชีวิต  จำกัด  จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตให้นายแดง

สรุป  บริษัท  สวรรค์ประกันชีวิต  จำกัด  และบริษัท  ชัยประกันชีวิต  จำกัด  จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นายแดงไม่ได้

 

ข้อ  3  ดำได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะไว้กับบริษัท  ไทยประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  ระยะเวลาประกันตามสัญญา  10  ปี  โดยระบุให้แดงบุตรสาวเป็นผู้รับประโยชน์  ระหว่างอายุสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว  ดำประสบอุบัติเหตุโดยในขณะที่กำลังเดินข้ามถนนตรงทางม้าลายอยู่นั้นก็ถูกเขียวซึ่งขับรถมาด้วยความเร็วสูงเฉี่ยวชนล้มลงหัวฟาดพื้นถึงแก่ความตายทันที  เขียวถูกจับดำเนินคดีฐานขับรถชนคนตายโดยประมาทเลินเล่อ  หลังจากที่ดำเสียชีวิตลง  บริษัทก็ได้จ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้กับแดงผู้รับประโยชน์เป็นเงิน  1  ล้านบาท  ต่อมาบริษัทก็ไปเรียกร้องเงินจากเขียว  ซึ่งเป็นผู้ขับรถชนดำเสียชีวิตตามจำนวนที่บริษัทได้จ่ายให้กับแดงไปแล้ว  โดยอ้างการรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันตามหลักกฎหมายประกันภัย  จงวินิจฉัยว่าข้ออ้างดังกล่าวฟังขึ้นหรือไม่  และเขียวต้องจ่ายเงินให้กับใครอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด  โดยอาศัยหลักกฎหมายใด

ธงคำตอบ

มาตรา  862  ตามข้อความในลักษณะนี้

คำว่า  ผู้รับประโยชน์  ท่านหมายความว่า  บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจำนวนเงินใช้ให้

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

มาตรา  896  ถ้ามรณภัยเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลภายนอก  ผู้รับประกันภัยหาอาจจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นได้ไม่  แต่สิทธิของฝ่ายทายาทแห่งมรณะในอันจะได้ค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้นหาสูญสิ้นไปด้วยไม่  แม้ทั้งจำนวนเงินอันจะพึงใช้ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นจะหวนกลับมาได้แก่ตนด้วย

วินิจฉัย

ดำเอาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  ดำย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุนี้สัญญาจึงมีผลผูกพัน  ตามมาตรา  863  เมื่อแดงบุตรสาวถูกระบุให้เป็นผู้รับประโยชน์  ตามมาตรา  862  ย่อมมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา  ตามมาตรา 890  เพราะเป็นการประกันชีวิตโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  เมื่อมีมรณภัยเกิดขึ้น  บริษัทฯก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต  เนื่องจากไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895  และเมื่อบริษัทจ่ายเงินตามสัญญาฯ  ให้กับผู้รับประโยชน์แล้วไม่มีสิทธิในการรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกัน  เนื่องจากเป็นการทำสัญญาประกันชีวิต  จึงต้องห้ามตามมาตรา  896  เพราะสิทธิเรียกค่าสินไหมมดแทนในกรณีนี้เป็นสิทธิของทายาทของผู้เอาประกันชีวิตตามหลักกฎหมายละเมิด

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทฟังไม่ขึ้น  และเขียวต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทของดำ  โดยอาศัยหลักกฎหมายละเมิด

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย สอบซ่อม S/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  หนึ่งเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง  แต่เวลาออกกำลังกายมักจะมีอาการเจ็บที่หน้าอกบ่อยๆ  จึงชวนสองภริยาให้พาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อทำการตรวจและรักษา  แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่ากล้ามเนื้ออักเสบเพียงเล็กน้อย  กินยาสักระยะก็จะหายเป็นปกติ  หลังจากนั้นหนึ่งได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตตนเอง  โดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะกับบริษัท  ประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญากำหนด  10  ปี  ระบุให้สองภริยาเป็นผู้รับประโยชน์  โดยหนึ่งได้กรอกแบบคำขอเอาประกันชีวิตว่าตนมีสุขภาพสมบูรณ์  เพราะออกกำลังกายเป็นประจำ  

หลังจากทำสัญญาได้  3  ปี  หนึ่งก็หัวใจวายเฉียบพลัน  และเสียชีวิตลงขณะที่วิ่งออกกำลังกายอยู่  ซึ่งแพทย์ของบริษัทประกันชีวิตได้ตรวจพบว่า  เขาได้ป่วยเป็นโรคนี้มาก่อนทำสัญญาประกันชีวิต  ดังนั้นบริษัทจึงบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้  ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  และไม่จ่ายเงินให้กับสองผู้รับประโยชน์  จงวินิจฉัยว่า  การบอกล้างของบริษัทชอบด้วยกฎหมายอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด และบริษัทต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่สองในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์อย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี  หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญาก็ดี  ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

วินิจฉัย

หนึ่งทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  จึงถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุประกัน  สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา  863  การที่หนึ่งได้ไปทำสัญญาประกันชีวิตโดยที่ไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคหัวใจมาก่อน  จึงไม่ได้เปิดเผยข้อความจริงเรื่องนี้ในเวลาทำสัญญานั้นถือว่าสัญญามีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  865  วรรคแรก  ส่วนอาการเจ็บที่หน้าอกบ่อยๆนั้น  ก็ไม่ใช่เรื่องที่อาจจะจูงใจให้บริษัทผู้รับประกันชีวิตเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นไปอีก  หรือบอกปัดไม่รับทำสัญญาแต่อย่างใดตามมาตรา  865  วรรคแรก  ดังนั้นบริษัทจึงบอกล้างตามมาตรา  865  วรรคสองไม่ได้  และต้องชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต  1  ล้านบาท  ให้แก่สองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาตามมาตรา 890

สรุป  การบอกล้างของบริษัทไม่ชอบด้วยกฎหมาย  และบริษัทต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาทให้แก่สองผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต

 

ข้อ  2  เมื่อวันที่  9  ธันวาคม  2535  นายดำทำสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง  วงเงินเอาประกันภัย  3 ล้านบาท  กำหนดเบี้ยประกันภัย  5  หมื่นบาท  โดยคู่สัญญากำหนดเวลาเริ่มต้นแห่งสัญญาประกันภัยไว้ในวันที่  3  มกราคม  2536  ครั้นวันที่  28  ธันวาคม  2535  นายดำเปลี่ยนใจไม่ต้องการทำสัญญาประกันภัย  ดังนี้  นายดำมีสิทธิบอกเลิกสัญญาประกันภัยได้หรือไม่  และบริษัทประกันภัยมีสิทธิอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  872  ก่อนเริ่มเสี่ยงภัย  ผู้เอาประกันภัยจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  แต่ผู้รับประกันภัยชอบที่จะได้เบี้ยประกันภัยกึ่งจำนวน

วินิจฉัย

สัญญาประกันวินาศภัยรายนี้ทำไว้ในวันที่  9  ธันวาคม  2535  แต่สัญญากำหนดวันเริ่มต้นมีผลบังคับในวันที่  3  มกราคม  2536  ดังนั้นในวันก่อนเริ่มเสี่ยงภัยคือก่อนวันที่สัญญามีผลบังคับ  คือวันที่  28  ธันวาคม  2535  นายดำผู้เอาประกันภัยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา  872  แต่นายดำต้องเสียเบี้ยประกันภัยครึ่งหนึ่งคือ  25,000  บาท  ให้แก่บริษัทประกันวินาศภัย

สรุป  นายดำมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้  และบริษัทประกันมีสิทธิได้เบี้ยประกันครึ่งหนึ่ง

 

ข้อ  3  นายตรีประกันชีวิตตนเองไว้ในวงเงิน  1  ล้านบาท  ระบุให้นางพิมภริยาเป็นผู้รับประโยชน์ต่อมาในระหว่างที่สัญญาประกันภัยมีผลบังคับนางพิมทราบว่านายตรีมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับหญิงอื่น  นางพิมโกรธแค้นมากจึงใช้ไม้ตีศีรษะนายตรี  1  ที  เป็นเหตุให้นายตรีถึงแก่ความตาย  ศาลพิพากษาว่านางพิมมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ดังนี้  บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาท  ให้นางพิมหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

นายตรีประกันชีวิตตนเองไว้ในวงเงิน  1  ล้านบาท  นายตรีจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันชีวิต  โดยสัญญาระบุให้นางพิมภริยาเป็นผู้รับประโยชน์  การที่นางพิมซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ได้ทำร้ายนายตรีถึงแก่ความตาย  จนศาลพิพากษาว่านางพิมมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  การกระทำของนางพิมไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  895(2)  ที่บริษัทประกันจะปฏิเสธไม่จ่ายเงินประกัน  เพราะข้อยกเว้นตาม  มาตรา  895(2)  ต้องเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  แต่กรณีนี้เป็นการฆ่าโดยไม่เจตนา

สรุป  บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงิน  1  ล้านบาทให้นางพิม

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2548

การสอบภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  หนึ่งได้นำรถยนต์ของตนไปประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท  ประกันภัย  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  4  แสนบาท  สัญญากำหนด  1  ปี  วนเวลาทำสัญญาหนึ่งได้กรอกข้อความลงในแบบคำขอเอาประกันภัยว่ารถยนต์ของตนมีสภาพดี  ไม่เคยถูกชนมาก่อน  ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์เคยพลิกคว่ำมาแล้วแต่ไม่อยากเปิดเผยให้บริษัททราบ  เพราะเกรงว่าบริษัทจะไม่ยอมรับประกันในวงเงินสูงถึง  4  แสนบาท ซึ่งถ้าบริษัททราบเรื่องนี้คงจะลดจำนวนเงินที่เอาประกันภัยลงเหลือเพียง  3  แสนบาทเท่านั้น  ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย  หนึ่งได้ขับรถคันดังกล่าวด้วยอาการมึนเมาสุราโดยประมาทเลินเล่อไปชนเสาไฟฟ้าทำให้รถเสียหาย  เสียค่าซ่อมไป  1  แสนบาท  หนึ่งจึงไปเรียกร้องให้บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทน  แต่บริษัทปฏิเสธความรับผิด  โดยอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆียะ  เพราะหนึ่งได้ปกปิดความจริงในเรื่องรถยนต์ที่เคยพลิกคว่ำมาแล้ว  จงวินิจฉัยว่าข้ออ้างของบริษัทฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  865  ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัย  ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้  ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

หนึ่งเป็นเจ้าของรถที่นำไปเอาประกัน  ย่อมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย  สัญญามีผลผูกพันตามมาตรา  863

การที่หนึ่งซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงอันจะเป็นเหตุให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  865 นั้น  จะต้องเป็นข้อความจริงที่มีลักษณะสำคัญถึงขนาดว่าอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา

แต่จากข้อเท็จจริง  บริษัทไม่อาจอ้างเหตุที่หนึ่งปกปิดความจริงเรื่องรถเคยพลิกคว่ำมาก่อนขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดได้ เพราะความจริงที่ปกปิดเป็นเพียงเหตุให้บริษัทประกันภัยจะไม่ยอมรับประกันภัยในวงเงินที่สูงถึง  4  แสนบาท  แต่จะรับประกันภัยในวงเงินที่เอาประกันเพียง  3  แสนบาทเท่านั้น  มิใช่จะจูงใจให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น  หรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา  จึงใช้เป็นข้ออ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดไม่ได้ตามมาตรา  865  วรรคแรก

สรุป  ข้ออ้างของบริษัทฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  ดำเป็นเจ้าของรถยนต์  เขาได้นำรถคันดังกล่าวไปให้แดงเช่าเพื่อทำเป็นรถแท็กซี่มิเตอร์รับส่งคนโดยสาร  ต่อมาแดงได้นำรถไปทำสัญญาประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท  ประกันภัย  จำกัดจำนวนเงินที่เอาประกัน  2  แสนบาท  สัญญากำหนด  1  ปี  ระบุให้ดำเป็นผู้รับประโยชน์  หลังจากทำสัญญาประกันภัยไปได้  5  เดือน  ดำก็ได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้กับขาวไปในราคา  4  แสนบาท  โดยแดงซึ่งเป็นทั้งผู้เช่าและผู้เอาประกันภัยเป็นผู้แจ้งการซื้อขายให้บริษัททราบแล้ว  ต่อมาอีก  3  เดือน  ขาวได้ขับรถโดยประมาทไปชนรถยนต์บรรทุกที่จอดอยู่ริมถนน  รถของขาวเสียหาย  เสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน  1  แสนบาท  จงวินิจฉัยว่าขาวจะเรียกให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่แดงได้ทำไว้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  875  วรรคสอง  ถ้าในสัญญามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันไซร้  ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย  อนึ่งถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้  ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

แดงเป็นผู้เช่ารถจากดำ  แม้แดงจะไม่ได้เป็นเจ้าของ  แต่เขาก็เป็นผู้เช่าย่อมมีส่วนได้เสียตามสัญญาเช่า  จึงสามารถนำรถที่เช่าไปทำสัญญาประกันภัยได้สัญญาจึงมีผลผูกพัน  ตามมาตรา  863

ขาวจะเรียกให้บริษัทประกันภัยที่แดงผู้เช่าได้ทำสัญญาประกันภัยไว้  ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตนนั้นไม่ได้  เพราะสิทธิตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวไม่ได้โอนตามวัตถุที่เอาประกันภัยมาที่ขาวผู้ซื้อ  เนื่องจากแดงเป็นเพียงผู้เช่าและเป็นผู้เอาประกันภัยที่มีส่วนได้เสียตามสัญญาเช่าเท่านั้น  แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เอาประกันแต่อย่างใด  อีกทั้งดำซึ่งเป็นเจ้าของรถที่ไม่ได้เป็นผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขของกฎหมาย  ดังนั้นแม้ว่าสัญญาประกันภัยจะไม่ได้กำหนดข้อห้ามโอนไว้  และแดงผู้เอาประกันได้แจ้งให้บริษัททราบแล้วก็ตาม  แต่ก็ไม่มีผลให้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโอนมายังขาวได้ตามมาตรา  863  และมาตรา  875  วรรคสอง

สรุป  ขาวเรียกให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตามสัญญาประกันภัยไม่ได้

 

ข้อ  3  เอกได้ทำสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการสรณะไว้กับบริษัท  ประกันชีวิต  จำกัด  จำนวนเงินที่เอาประกัน  1  ล้านบาท  สัญญากำหนด  10  ปี  ระบุให้โทน้องชายเป็นผู้รับประโยชน์  โดยที่โทยังไม่ทราบว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์  หลังจากทำสัญญาประกันชีวิตได้  8  เดือน  โทน้องชายทำธุรกิจขาดทุน  เอกสงสารน้องและต้องการช่วยเหลือ  เขาจึงคิดฆ่าตัวตายเพื่อให้โทได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตจึงกินยาฆ่าแมลงเข้าไป  โทมาพบเข้าจึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเขาเป็นคนขับรถเอง  ระหว่างทางโทขับรถโดยประมาทด้วยความเร่งรีบจึงชนท้ายรถบรรทุกอย่างแรง  ด้วยแรงกระแทกของรถทำให้เอกถึงแก่ความตายทันที  โททราบเรื่องที่เอกทำสัญญาประกันชีวิตไว้  จึงไปขอรับเงินจากบริษัทประกันฯ  จงวินิจฉัยว่าบริษัทจะจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่โทหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  863  อันสัญญาประกันภัยนั้น  ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด

มาตรา  889  ในสัญญาประกันชีวิตนั้น  การใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา  890  จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น  จะชำระเป็นเงินจำนวนเดียว  หรือเป็นเงินรายปีก็ได้  สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา

มาตรา  891  วรรคแรก  แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี  ผู้เอาประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้  เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก้ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว  และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจำนงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

มาตรา  895   เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด  ท่านว่าผู้รับประกันภัยจำต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น  เว้นแต่

(1)          บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทำสัญญา  หรือ

(2)          บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

วินิจฉัย

เอกเอาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ  ย่อมมีส่วนได้เสียตามมาตรา  863  ประกอบมาตรา  889  สัญญาประกันชีวิตมีผลผูกพัน

โทเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาฯ  ที่เอกทำไว้  ดังนั้นเมื่อมีมรณะเกิดขึ้น  บริษัทก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่โท  ตามมาตรา  890  ประกอบมาตรา  895  วรรคแรก  แม้โทจะไม่ทราบว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์เขาก็ยังคงได้รับประโยชน์ตามสัญญาอยู่เพราะไม่มีการโอนประโยชน์ให้กับใครจึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา  891  และแม้เอกจะฆ่าตัวตาย  หลังจากทำสัญญาประกันชีวิตได้  8  เดือน  แต่เอกก็ไม่ได้ตายเพราะฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน  1  ปี  นับแต่วันทำสัญญาตามมาตรา  895  (1)  หรือถูกโทผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  895  (2)

สรุป  บริษัท  ประกันชีวิต  จำกัด  จึงต้องชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่โทตามเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!