LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) ผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะได้โดยทางใดบ้าง จงอธิบาย

(ข) จงอธิบายนิติกรรมที่เป็นคุณประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียวทีผู้เยาว์ทำได้โดยไม่ต้องขอความ ยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
ธงคำตอบ

(ก) ผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะได้โดยทางใดทางหนึ่ง ดังต่อไปนี้ คือ

1.         บรรลุนิติภาวะโดยอายุ กล่าวคือ เมื่อบุคคลใดมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ บุคคลนั้น ย่อมบรรลุนิติภาวะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะ เมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์”
2.         บรรลุนิติภาวะโดยการสมรส กล่าวคือ ผู้เยาว์อาจจะบรรลุนิติภาวะได้ ถ้าหากชายและ หญิงได้จดทะเบียนสมรสกัน ในขณะที่ชายและหญิงนั้นมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ หรืออาจมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ก็ได้ ถ้าหากได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 20 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา 1448” และในมาตรา 1448 ก็ได้ บัญญัติไว้ว่า “การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้”
(ข) นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝายเดียวที่ผู้เยาว์ทำได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจาก ผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น มีบัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 22 ว่า “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียง เพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”

ซึ่งจากบทบัญญัติลังกล่าว นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียวนั้น มีได้ 2 กรณี คือ

1.         นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่เสียสิทธิ หรือรับเอาหน้าที่อย่างใด ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่น การที่ผู้เยาว์ตกลงรับเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นยกให้โดยเสน่หา โดย ไม่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ เป็นต้น

2.         นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง เช่น ผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมรับ การปลดหนี้จากเจ้าหนี้ ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ เป็นต้น

 

ข้อ 2. นาย ก. เป็นนักธุรกิจประสบปัญหาทำให้มีหนี้สินล้นพ้นตัว นาย ก. จึงไปตกลงสมรู้กับนาย ข.ให้นาย ข. ชื้อรถยนต์คันหนึ่ง ซึ่งนาย ก. หวงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จาก รถยนต์คันนั้น แต่การชื้อขายกันนี้มิได้มีการชำระราคากันแต่อย่างใด ดังนี้ เจ้าหนี้ของนาย ก. ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากรถยนต์คันดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคแรก ได้ปัญญัติหลักเกี่ยวกับการแสดงเจตนาลวงไว้ว่า

“การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

การแสดงเจตนาลวงตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึงการที่คู่กรณีมิได้มีเจตนาที่จะทำนิติกรรม ให้มีผลบังคับกันตามกฎหมาย แต่ได้แสดงเจตนาหรือทำนิติกรรมขึ้นมาเพื่อหลอกลวงบุคคลอื่นเท่านั้น กฎหมาย จึงได้กำหนดให้นิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะใช้บังคับกันไม่ได้

ตามปัญหา การที่นาย ก. ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบปัญหาทำให้มีหนี้สินล้นพ้นตัวได้ไปตกลง สมรู้กับนาย ข. ให้นาย ข. ซื้อรถยนต์ของตน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากรถยนต์คันนั้น โดย การชื้อขายกันนั้นก็มิได้มีการชำระราคากันแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่า นิติกรรมชื้อขายรถยนต์ระหว่างนาย ก. กับ นาย ข. นั้น เป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี ดังนั้นนิติกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับกันไม่ได้ และเมื่อนิติกรรมซื้อขายนั้นตกเป็นโมฆะ รถยนต์คันดังกล่าวจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย ก. ดังนั้นเจ้าหนี้ของนาย ก. ย่อมมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากรถยนต์คันดังกล่าวได้

สรุป เจ้าหนี้ของนาย ก. ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากรถยนต์คันดังกล่าวได้ ตามเหตุผล และหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายดำซื้อแอปเปิลจากนายแดงทั้งสวน ตกลงราคากัน 200,000 บาท โดยการซื้อขายแอปเปิลครั้งนี้ นายดำและนายแดงตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น ดังนี้ สัญญาชื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็น สัญญาชื้อขายประเภทใด และกรรมสิทธิ์ในแอปเปิลโอนไปเป็นของนายดำผู้ซื้อแล้วหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ตามปัญหา การที่นายดำซื้อแอปเปิลจากนายแดงนั้น สัญญาชื้อขายระหว่างนายดำและนายแดง เป็นสัญญาชื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะทรัพย์สินที่ตกลงชื้อขายกันนั้นเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา ซึ่งโดยหลักแล้ว ไม่อาจทำเป็นสัญญาจะชื้อจะขายกันได้แต่อย่างใด และแม้ว่าในการชื้อขายแอปเปิลกันนั้น นายดำและนายแดง จะได้ตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น สัญญาชื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะสัญญาชื้อขาย สังหาริมทรัพย์ธรรมดานั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบได้แต่อย่างใด

สำหรับในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายได้กำหนดหลักได้ดังนี้ คือ

1.         กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงชื้อขายกัน ย่อมโอนไปเป็นของผู้ชื้อนับตั้งแต่ที่ได้ทำ สัญญาซื้อขายกัน (ป.พ.พ. มาตรา 458)

2.         ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนไปยังผู้ชื้อก็ต่อเมื่อ ทรัพย์สินที่ตกลงชื้อขายกันนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้กำหนดไว้เป็นที่แน่นอนแล้ว หรือเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งและได้รู้หรือ กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอนแล้ว (ป.พ.พ. มาตรา 460)

ตามปัญหา เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นการตกลงซื้อขายแอปเปิล ทั้งสวนในราคา 200,000 บาท จึงถือว่าเป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นทรัพย์สินเฉพาะสิ่งและทราบราคาของทรัพย์สินนั้นแล้ว ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในแอปเปิลจึงโอนไปเป็นของนายดำผู้ซื้อแล้ว ตาม ป.พ.พ. 3 มาตรา 458 และมาตรา 460

สรุป สัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และกรรมสิทธิ์ในแอปเปิลได้โอนไปเป็นของนายดำผู้ซื้อแล้ว

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสาวแก้วเป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว นางสาวแก้วให้แหวนของตน แก่นางสาวเต๋าซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางสาวแก้วโดยนางต่อมารดาของนางสาวแก้วที่ศาลได้ตั้ง ให้เป็นผู้อนุบาลนางสาวแก้วให้ความยินยอมในการให้แหวนนั้น ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นิติกรรมการ ให้แหวนของนางสาวแก้วแก่นางสาวเต๋ามีผลทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 29 บัญญัติว่า “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

ตามหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถ กระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ามีการฝ่าฝืนไปกระทำนิติกรรมใด ๆ ขึ้น ไม่ว่าจะได้กระทำในขณะที่จิตปกติหรือไม่ หรือการทำนิติกรรมนั้นผู้อนุบาลจะได้ให้ความยินยอมหรือไม่ นิติกรรมก็จะตกเป็นโมฆียะ
วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวแก้วซึ่งเป็นคนวิกลจริตที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ แล้ว ได้ทำนิติกรรมโดยการให้แหวนของตนแก่นางสาวเต๋านั้น แม้ว่าการทำนิติกรรมการให้ดังกล่าว นางต่อซึ่งเป็น มารดาของนางสาวแก้วที่ศาลตั้งให้เป็นผู้อนุบาลนางสาวแก้วจะได้ให้ความยินยอมในการให้แหวนนั้นก็ตาม นิติกรรมการให้แหวนดังกล่าวก็มีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 29
สรุป นิติกรรมการให้แหวนของนางสาวแก้วแก่นางสาวเต๋ามีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. การแสดงเจตนาโดยความสำคัญผิดมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะเสมอไป หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักไว้ดังนี้คือ

1.         การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของ นิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิด ในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น (ป.พ.พ. มาตรา 156)

2.         การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่า เป็นสาระสำคัญ เป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 157)

3.         ความสำคัญผิด ตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 158)

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดจะมีผลเป็นโมฆะ หรือ โมฆียะไม่เสมอไป ทั้งนี้เพราะการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมซึ่งมีผลทำให้ การแสดงเจตนาเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 และการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล หรือทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 157 นั้น มีข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 158 กล่าวคือ ถ้าการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 นั้น ได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้น มาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ คือจะอ้างว่าตนได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดทำให้การแสดงเจตนา นั้นมีผลเป็นโมฆะ หรือโมฆียะไม่ได้นั่นเอง

 

ข้อ 3. นายเมฆอาศัยอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ประสบภาวะน้ำท่วม นายเมฆจึงเข้าทำสัญญาซื้อเรือจากนายฟ้า 2 ลำ เป็นเงินจำนวน 5,000 บาท โดยมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่นายเมฆได้ชำระราคาค่าเรือ แก่นายฟ้าแล้ว พอถึงวันส่งมอบเรือ นายฟ้าผิดนัดไม่นำเรือมาส่งมอบ

ดังนี้ (1) สัญญาชื้อขายระหว่างนายเมฆและนายฟ้าเป็นสัญญาชื้อขายประเภทใด

(2) นายเมฆจะฟ้องนายฟ้าที่ผิดนัดไม่นำเรือมาส่งมอบได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาชื้อขายที่ คู่กรณีคือผู้ชื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาชื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ชื้อ และผู้ชื้อได้ตกลงที่จะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าในขณะที่ ตกลงทำสัญญาชื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชำระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณี ยังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาชื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการ โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือเมื่อได้ ไปทำสัญญาชื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสามนั้น ได้บัญญัติหลักไว้ว่า “สัญญาชื้อขาย สังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่สองหมื่นบาทขึ้นไปจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน”

กรณีตามอุทาหรณ์

(1) สัญญาชื้อขายระหว่างนายเมฆและนายฟ้านั้นเมื่อเป็นการทำสัญญาชื้อขายเรือซึ่งเป็นเพียง สังหาริมทรัพย์ธรรมดาไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สัญญาชื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และ สัญญาชื้อขายดังกล่าวแม้จะมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะสัญญาชื้อขายเสร็จเด็ดขาด สังหาริมทรัพย์นั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด

(2) เมื่อนายฟ้าผิดนัดไม่นำเรือมาส่งมอบให้แก่นายเมฆ ดังนี้นายเมฆย่อมสามารถฟ้องนายฟ้าได้ เพราะการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีราคาไม่ถึง 20,000 บาทนั้น แม้จะ มิได้ทำหลักฐานกันไว้เป็นหนังสือ ก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

สรุป (1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายเมฆและนายฟ้าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด

(2) นายเมฆสามารถฟ้องนายฟ้าที่ผิดนัดไม่นำเรือมาส่งมอบได้

 

ข้อ 4. การเขียนตั๋วแลกเงินมีหลักกฎหมายอย่างไรบ้าง จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 909 และมาตรา 910 ได้บัญญัติหลักในการ เขียนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้คือ

ในการเขียนตั๋วแลกเงิน ไม่ว่าจะเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินหรือตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น ตั๋วแลกเงินจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้เขียนตั๋วแลกเงินจะต้องเขียนให้มีข้อความหรือรายการที่สำคัญ 5 ประการ ให้ครบถ้วนเสมอ ได้แก่ข้อความดังต่อไปนี้คือ

1.         คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2.         คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนที่แน่นอน

3.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย

4.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

5.         ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ถ้าหากผู้เขียนตั๋วแลกเงินได้เขียนโดยมีข้อความที่สำคัญดังกล่าวอันใดอันหนึ่งขาดตกบกพร่องไป เอกสารนั้นย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

ตัวอย่าง นายหนึ่งต้องการออกตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้แก่นายสาม 100,000 บาท นายหนึ่ง ก็จะต้องเขียนตั๋วแลกเงินให้มีข้อความที่สำคัญ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น โดยนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยระบุให้ นายสองจ่ายเงินให้แก่นายสาม (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสอง ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วแลกเงินก็ได้ (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ)

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา law 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายนิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมมาโดยละเอียด
ธงคำตอบ

นิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ได้แก่ นิติกรรม ดังต่อไปนี้ คือ

1.         นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝายเดียว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 22 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้น จากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”
นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียวนั้น แยกออกเป็น 2 กรณี คือ

1)         นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่เสียสิทธิ หรือรับเอาหน้าที่อย่างใด ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่น การที่ผู้เยาว์ตกลงรับเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นยกให้โดยเสน่หา โดยไม่มี เงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ เป็นต้น
2)         นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นการหลุดพ้นจาก หน้าที่โดยไม่มีเงื่อนไข หรือภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมรับการปลดหนี้จากเจ้าหนี้ ทำให้ ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ เป็นต้น

2.         นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 23 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้เยาว์ อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว”

คำว่า “นิติกรรมซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว” ที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังตนเอง นั้น หมายถึงนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำด้วยตนเอง จะให้บุคคลอื่นทำแทนไม่ได้นั่นเอง เช่น การจดทะเบียนรับรองบุตร เพื่อให้เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ หรือการทำพินัยกรรมในขณะที่ผู้เยาว์มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ เป็นต้น

3.         นิติกรรมที่เป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 24 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตาม สมควร”

ซึ่งนิติกรรมที่ได้รับการยกเว้นว่าผู้เยาว์สามารถกระทำได้โดยลำพัง โดยไม่ต้องได้รับ ความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมตามมาตรา 24 นี้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ คือ

1)         ต้องเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพจริง ๆ อันขาดเสียไม่ได้ และ

2)         ต้องเป็นนิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูป และฐานะการเงินของผู้เยาว์ด้วย

 

ข้อ 2. นายแดงไปขอกู้ยืมเงินจำนวน 1 ล้านบาทจากนายขาวแต่นายขาวไม่ไห้ จงไปปรึกษากับนายดำ นายดำได้ไปที่บ้านนายขาวแล้วพูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้ายภริยาและลูกของนายขาว ถ้านายขาวไม่ให้เงินนายแดงยืม ด้วยความกลัวนายขาวจึงยอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปตามจำนวมดังกล่าว โดยที่นายแดง มิได้รู้หรือควรได้รู้ว่านายขาวถูกนายดำข่มขู่

ดังนี้ ถามว่า สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายขาวและนายแดงมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 164 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และ ร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น

และมาตรา 166 ได้บัญญัติว่า

“การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่”

วินิจฉัย

ตามปัญหา การที่นายขาวได้แสดงเจตนายอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน 1 ล้านบาทนั้น เนื่องจากถูกนายดำพูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้ายภริยาและลูกของนายขาว ถ้านายขาวไม่ให้เงินนายแดงยืม การแสลงเจตนา ของนายขาวจึงเป็นการแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายขาวและนายแดงจึงมีผลเป็น โมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 164

และแม้ว่าการที่นายขาวได้แสดงเจตนายอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปเพราะถูกนายดำบุคคลภายนอก ข่มขู่นั้น นายแดงมิได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่านายขาวถูกนายดำข่มขู่ก็ตาม สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็ตกเป็นโมฆียะ เพราะตาม ป.พ.พ. มาตรา 166 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ย่อมทำให้นิติกรรม (สัญญา กู้ยืมเงินดังกล่าว) ตกเป็นโมฆียะ แม้ว่าการข่มขู่นั้นจะเกิดขึ้นโดยบุคคลภายนอกก็ตาม

สรุป สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายขาวและนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. ความชำรุดบกพร่องคืออะไร เมื่อเกิดความชำรุดบกพร่องต่อทรัพย์สินที่ซื้อขาย ผู้ขายต้องรับผิด หรือไม่ และมีกรณีใดบ้างที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิด

ธงคำตอบ

“ความชำรุดบกพร่อง” คือการที่ทรัพย์สินที่ได้ตกลงซื้อขายกันนั้น ได้เกิดความเสื่อมเสีย หรือ ความบกพร่องหรือความชำรุดขึ้นกับเนื้อหาของตัวทรัพย์สินนั้นโดยตรง หรือเกี่ยวกับคุณภาพของทรัพย์สินนั้น

และตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นเกิดความ ชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา ผู้ขายจะต้องรับผิดไม่ว่าผู้ขายจะได้รู้หรือไม่รู้ถึง ความชำรุดบกพร่องนั้น

แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายได้บัญญัติหลักเกณฑ์เป็นข้อยกเว้นไว้ว่า ผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อ ความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่ซื้อขายกันนั้น ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ คือ

1.         ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วในเวลาซื้อขายว่าทรัพย์สินนั้นมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น หรือ ควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้อย่างวิญญูชน

2.         ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นได้เห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ แต่ผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สิน นั้นไว้โดยมิได้โต้แย้งแต่อย่างใด

3.         ถ้าทรัพย์สินนั้นผู้ซื้อได้ซื้อมาจากการขายทอดตลาด

4.         ถ้าคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ในสัญญาซื้อขายว่า ผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุด- บกพร่องนั้น แต่ข้อตกลงนี้จะไม่คุ้มครองผู้ขาย ถ้าผู้ขายได้ปกปิดความจริงถึงการชำรุดบกพร่องอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้ว หรือถ้าการชำรุดบกพร่องนั้นได้เกิดจากการกระทำของผู้ขายเอง

5.         ถ้าการชำรุดบกพร่องนั้นได้เกิดขึ้น “ภายหลัง” จากที่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินแล้ว

 

ข้อ 4. แดงได้รับโอนตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินจากเหลืองด้วยการสลักหลังตัว ระบุชื่อแดงเป็นผู้รับโอน แดงต้องการโอนตั๋วนี้ให้เขียว บังเอิญปากกาของแดงหมึกหมด แดงจึงส่งมอบตั๋วฯ นี้ให้เขียว เขียวได้รับตั๋วฯ มาแล้ว เขียวจะบังคับให้แดง เหลืองรับผิดตามตั๋วฯ นี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

1.         ผู้ทรง หมายถึง บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครอง โดยฐานะเป็นผู้รับเงิน หรือเป็น ผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน (มาตรา 904)

2.         ตั๋วแลกเงินสั่งจ่ายระบุชื่อนั้นย่อมโอนให้กันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา

917 วรรคแรก)

3.         การสลักหลังต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินและลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง โดยจะระบุชื่อของ ผู้รับสลักหลังด้วย หรือเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้สลักหลังไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินซึ่งเรียกว่า การสลักหลังลอย ก็ได้ (มาตรา 919)

4.         ในกรณีที่มีการสลักหลังลอย ผู้ทรงที่ได้รับตั๋วเงินจากการสลักหลังลอยสามารถที่จะโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปโดยการสลักหลังและส่งมอบ หรืออาจจะโอนตั๋วเงินนั้นโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องสลักหลังก็ได้ (มาตรา 920 วรรคสอง)

วินิจฉัย

ตามปัญหา เมื่อตั๋วแลกเงินที่แดงได้รับโอนมานั้นเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ และการที่ แดงได้รับโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้มา ก็เป็นการได้รับโอนตั๋วนี้มาจากการสลักหลัง และได้ระบุชื่อแดงเป็นผู้รับโอน ซึ่งถือว่าเป็นการสลักหลังระบุชื่อมิใช่การสลักหลังลอยแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อแดงต้องการโอนตัวนี้ให้เขียวต่อไป การโอนจะถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อแดงได้สลักหลังตั๋วนี้ให้แก่เขียว โดยอาจจะสลักหลังระบุชื่อ หรือ สลักหลังลอยก็ได้

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า แดงได้โอนตั๋วนี้ให้แก่เขียวโดยการส่งมอบตั๋วนี้ให้แก่เขียวโดย ไม่ได้สลักหลังแต่อย่างใด จึงถือว่าการโอนตั๋วของแดงดังกล่าวได้ทำไปโดยไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการโอนตั๋วแลกเงิน ดังนั้นแม้ว่าเขียวจะเป็นผู้ที่มีตั๋วเงินฉบับนี้อยู่ในความครอบครอง แต่เมื่อเขียวไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้รับสลักหลัง คือไม่ได้ตั๋วมาจากการสลักหลังของแดง เขียวจึงไมใช่ผู้ทรงหรือเจ้าหนี้ตามตั๋วฉบับนี้ ดังนั้นเขียวจึงจะบังคับให้แดง และเหลืองรับผิดตามตั๋วแลกเงินฉบับนี้ไม่ได้เลย

สรุป เขียวไม่ใช่ผู้ทรงเพราะได้รับโอนตั๋วมาโดยไม่ถูกต้อง ดังนั้นเขียวจะบังคับให้แดงและ เหลืองรับผิดตามตั๋วแลกเงินนี้ไม่ได้เลย

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1. นายชาติอายุ 40 ปี เป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว นายชาติซื้อแหวน 1 วงจากนายสันต์ในขณะที่นายชาติมีจิตปกติ โดยนายชาติไม่มีอาการวิกลจริตในขณะซื้อแต่อย่างใด และนายสันต์ผู้ขายไม่รู้ว่านายชาติเป็นคนไร้ความสามารถ ดังนี้ นิติกรรมการซื้อแหวนของนายชาติ มีผลทางกฎหมายอย่างไร จงอธิบาย
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 29 บัญญัติว่า “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นเป็นโมฆียะ”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นว่า คนไร้ความสามารถนั้น กฎหมายห้ามทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ามีการฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะทำนิติกรรมในขณะที่มีอาการจริตวิกลหรือไม่ คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะ ได้รู้หรือไม่ว่าผู้กระทำนิติกรรมเป็นคนไร้ความสามารถ หรือจะได้ทำนิติกรรมโดยผู้อนุบาลยินยอมหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้น
ตามปัญหา การที่นายชาติซึ่งเป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ได้ทำ สัญญาซื้อแหวน 1 วงจากนายสันต์นั้น แม้ว่าในขณะทำนิติกรรมซื้อชาย นายชาติจะมีจิตปกติคือไม่มีอาการวิกลจริต แต่อย่างใด และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคือนายสันต์ผู้ขายจะไม่รู้ว่านายชาติเป็นคนไร้ความสามารถก็ตามนิติกรรม การซื้อแหวนของนายชาติก็มีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 29
สรุป นิติกรรมการซื้อแหวนของนายชาติมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด มีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะเสมอไปหรือไม่ อธิบาย

ธงคำตอบ

การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักไว้ดังนี้คือ

1.      การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ ความสำคัญผิด ในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่ง เป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น (ป.พ.พ. มาตรา 156)

2.      การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่า เป็นสาระสำคัญ เป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 157)

3.      ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 158)

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดจะมีผลเป็นโมฆะ หรือ โมฆียะไม่เสมอไป ทั้งนี้เพราะการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมซึ่งมีผลทำให้ การแสดงเจตนาเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 และการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล หรือทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 157 นั้น มีข้อยกเว้นตาม บ.พ.พ. มาตรา 158 กล่าวคือ ถ้าการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือ มาตรา 157 นั้นได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอา ความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ คือจะอ้างว่าตนได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดทำให้การแสดง เจตนานั้นมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะไม่ได้นั่นเอง

 

ข้อ 3. นางนกทำสัญญาซื้อสวนองุ่นจากนายต่อในราคา 8 แสนบาท โดยตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ในเดือนถัดไป พอถึงวันจดทะเบียนโอน นายต่อไม่โอนสวนองุ่นให้ ดังนี้ ถ้านางนก ต้องการฟ้องคดีต่อศาล ให้นายต่อโอนสวนองุ่นให้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณี ยังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอน กรรมสิทธ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อไต้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือเมื่อได้ไป ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

ตามปัญหา สัญญาซื้อขายสวนองุ่นระหว่างนางนกและนายต่อ เมื่อเป็นการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์และคู่สัญญาได้มีการตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในเดือนถัดไป สัญญาซื้อขาย สวนองุ่นดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อขาย (หรือสัญญาจะซื้อจะขาย) และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะกฎหมายมิได้กำหนดแบบในการทำสัญญาจะซื้อขายไว้แต่อย่างใด เพียงแต่จะกำหนดไว้ว่า ถ้าจะมีการฟ้องร้อง บังคับคดีกันจะต้องมีหลักฐานตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ด้วย มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง ได้กำหนดไว้ว่า “สัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือ สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ

1.      มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.      มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3.      มีการชำระหนี้บางส่วน”

และตามปัญหาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า สัญญาจะซื้อขายสวนองุ่นระหว่างนางนกและนายต่อนั้น ได้ทำสัญญากันเป็นหนังสือ และลงลายมือชื่อของทั้งสองฝ่าย จึงถือว่าสัญญาจะซื้อขายสวนองุ่นดังกล่าวมีหลักฐาน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ดังนั้นเมื่อถึงวันจดทะเบียนโอน นายต่อไม่ยอมโอนสวนองุ่น ให้นางนก นางนกย่อมสามารถฟ้องให้นายต่อโอนสวนองุ่นให้แก่ตนได้

สรุป ถ้านางนกต้องการฟ้องคดีต่อศาลให้นายต่อโอนสวนองุ่นให้แก่ตน นางนกย่อมสามารถ ฟ้องร้องบังคับนายต่อได้

 

ข้อ 4. ตั๋วแลกเงินโอนให้กันได้โดยวิธีใดบ้าง จงอธิบายหลักกฎหมาย และยกตัวอย่างประกอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงินได้บัญญัติถึงวิธีโอนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้ คือ

1.      ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อนั้นย่อมโอนให้กันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคแรก)

2.      ตั๋วแลกเงินสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมโอนกันได้ด้วยการส่งมอบให้แก่กัน (มาตรา 918)

3.      การสลักหลังต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินและลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง โดยจะระบุชื่อของ ผู้รับสลักหลังด้วย หรือเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้สลักหลังไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินซึ่งเรียกว่า การสลักหลังลอย ก็ได้ (มาตรา 919)

จากหลักกฎหมายดังกล่าว การโอนตั๋วแลกเงินให้แก่กันนั้น จะต้องปฏิบัติตามวิธีการที่ กฎหมายได้กำหนดไว้ ดังนี้คือ

1.      ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) การโอนย่อมสามารถทำได้โดยการ สลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคแรก) หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะ มีการโอนต่อไปให้แก่บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทำการสลักหลังและ ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจำต่อ) โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย” ก็ได้

(1)    การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วก็ได้

(2)    การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินเท่านั้น (มาตรา 919 วรรคสอง)

ตัวอย่าง หนึ่งได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้สองจ่ายเงินให้แก่สาม โดยระบุชื่อสามเป็นผู้รับเงิน ดังนี้ถ้าสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปให้ ก. สามจะต้องลงลายมือชื่อของสามสลักหลังไว้ด้วย โดยสามอาจจะระบุชื่อ ก. ผู้รับสลักหลังลงไว้ในตั๋วด้วยซึ่งเรียกว่า การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือสามอาจจะลงแต่ลายมือชื่อของสามไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ระบุชื่อ ก. ผู้รับสลักหลังไว้ในตั๋วซึ่งเรียกว่าเป็นการ สลักหลังลอยก็ได้

2.      ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ การโอนตั๋วชนิดนี้ย่อมสามารถทำได้โดยการ

ส่งมอบตั๋วแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีการสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น (มาตรา 918)

ตัวอย่าง หนึ่งออกตั๋วแลกเงินสั่งให้สองจ่ายเงินแก่ผู้ถือ และส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่สาม ดังนี้ ถ้าสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ให้แก่ ก. สามสามารถโอนได้โดยการส่งมอบตั๋วให้แก่ ก. โดยที่สามไม่ต้องลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋ว การโอนตั๋วดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเทพ อายุ 30 ปี เป็นบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ขายแหวนของ ตนเองให้กับนายชาญ โดยขณะที่ขายแหวนดังกล่าว นายเทพมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แต่นายชาญ ซึ่งเป็นญาติของนายเทพทราบว่านายเทพเป็นคนวิกลจริต ดังนี้ นิติกรรมการขายแหวนของนายเทพ มีผลทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 30 ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการทำนิติกรรมของคนวิกลจริตไว้ว่า “คนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อนิติกรรมนั้นได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า ผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต ”
จากหลักกฎหมายดังกล่าว คนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น ทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นจะมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ

1.         นิติกรรมนั้นได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และ

2.         คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้กระทำนิติกรรมนั้นเป็นคนวิกลจริต
ตามปัญหา การที่นายเทพซึ่งเป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ได้ทำนิติกรรมโดยการขายแหวนของตนเองให้กับนายชาญนั้น แม้ว่านายชาญซึ่งเป็นญาติของนายเทพจะได้ทราบว่านายเทพเป็นคนวิกลจริตก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าในขณะที่นายเทพขายแหวนให้แก่นายชาญนั้น นายเทพ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ไม่มีอาการวิกลจริตแต่อย่างใด ดังนั้นนิติกรรมการขายแหวนดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะ

สรุป นิติกรรมการขายแหวนของนายเทพมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 นาย ก. ตกลงขายรถยนต์คันหนึ่งให้แก่นาย ข. ในราคา 300,000 บาท โดยตกลงให้นาย ก. ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นาย ข. ในวันที่ 18 ตุลาคม 2555 จากนั้นอีก 2 วัน หลังจากการตกลงซื้อขายรถยนต์นั้น เกิดเพลิงไหม้บริเวณใกล้เคียงบ้านนาย ก. และได้ลุกลามจน ไฟไหม้รถยนต์คันดังกล่าวด้วย ดังนี้ ถามว่า สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนาย ก. และนาย ข. มีผล อย่างไรตามกฎหมายแพ่งลักษณะนิติกรรม เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

“นิติกรรมใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็น การขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นิติกรรมบั้นเป็นโมฆะ ”

คำว่า “พ้นวิสัย’’ หมายถึง การใด ๆ ที่ไม่สามารถกระทำได้โดยแน่แท้ และให้หมายความ รวมถึงการทำนิติกรรมที่มุ่งถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ แต่สิ่ง ๆ นั้นไม่มีตัวตนอยู่ในขณะทำนิติกรรม

ตามปัญหา การที่นาย ก. ได้ตกลงขายรถยนต์คันหนึ่งให้แก่นาย ข. ในวันที่ 11 ตุลาคม 2555 โดยตกลงให้นาย ก. ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นาย ข. ในวันที่ 18 ตุลาคม 2555 นั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากที่ได้ตกลง ทำสัญญา1ซื้อขายกันได้ 2 วัน ได้เกิดเพลิงไหม้บริเวณใกล้เคียงบ้านนาย ก. และได้ลุกลามจนไฟไหม้รถยนต์ คันดังกล่าวด้วย จะเห็นได้ว่าในการทำนิติกรรมซื้อขายระหว่างนาย ก. และนาย ข. นั้น สิ่งที่นาย ก. และนาย ข. ได้มุ่งถึง โดยเฉพาะคือรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง และรถยนต์นั้นก็มีตัวตนอยู่ในขณะทำนิติกรรม ดังนั้นนิติกรรมซื้อขาย รถยนต์ระหว่างนาย ก. และนาย ข. จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ไม่เป็นการพ้นวิสัย นิติกรรมนั้นจึงมีผลสมบูรณ์

สรุป นิติกรรมในรูปสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนาย ก. และนาย ข. มีผลสมบูรณ์ เพราะ เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ไม่เป็นการพ้นวิสัย

 

ข้อ 3. สัญญาซื้อขาย มีกี่ประเภท จงอธิบาย

ธงคำตอบ

สัญญาซื้อขายมี 2 ประเภท ได้แก่ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และสัญญาจะซื้อจะขาย

1.         สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อก็ได้ตกลงที่จะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย โดยไม่ต้องคำนึงว่าในขณะที่ ได้ตกลงทำสัญญาซื้อกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือมีการชำระราคากันแล้วหรือไม่

2.         สัญญาจะซื้อจะขาย (หรือสัญญาจะซื้อขาย) คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือ สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนด ไว้ในภายหน้า คือเมื่อได้ไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

ตัวอย่าง นาย ก. ได้ตกลงด้วยวาจากับนาย ข. เจ้าของที่ดินว่านาย ก. จะซื้อที่ดินของนาย ข. หนึ่งแปลงในราคา 1 ล้านบาท และทั้งสองได้ตกลงที่จะไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินในอีก 15 วันข้างหน้า ดังนี้สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนาย ก. และนาย ข. นั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย

แต่ถ้านาย ก. ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนาย ข. โดยทั้งสองได้ทำสัญญาซื้อขาย กันเอง และตกลงกันว่าจะไม่ไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพราะไม่ต้องการเสียค่าภาษี และค่าธรรมเนียมในการโอน โดยนาย ก. ได้ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่นาย ข. แล้ว และนาย ข. ก็ได้ส่งมอบโฉนดที่ดิน ให้กับนาย ก. แล้ว ดังนี้ถือว่าทั้งสองได้ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว ระหว่างนาย ก. และนาย ข. จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด

 

ข้อ 4. ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ มีวิธีเขียนและวิธีโอนตั๋วๆ อย่างไรบ้าง จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง ประกอบ

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และมาตรา 910 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ วิธีการในการเขียนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือไว้ดังนี้ คือ

ในการเขียนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น ถ้าจะให้ตั๋วแลกเงินมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้เขียน ตั๋วแลกเงินจะต้องเขียนให้มีข้อความหรือรายการที่สำคัญ 5 ประการให้ครบถ้วนเสมอ ซึ่งข้อความที่สำคัญ ดังกล่าว ได้แก่

1.         คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2.         คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนที่แน่นอน

3.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย

4.         คำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

5.         ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ถ้าหากผู้เขียนตั๋วแลกเงินได้เขียนโดยมีข้อความที่สำคัญดังกล่าวไม่ครบถ้วน เอกสารนั้นย่อม ไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

ตัวอย่าง นายหนึ่งต้องการออกตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือเพื่อให้นายสองจ่ายเงินให้แก่นายสาม เป็นจำนวน 100,000 บาท ดังนี้นายหนึ่งก็จะต้องเขียนตั๋วแลกเงินโดยให้มีข้อความที่สำคัญครบทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือจะต้องเขียนคำว่าตั๋วแลกเงินลงไว้ในตั๋ว ระบุชื่อให้นายสองเป็นผู้จ่ายเงินจำนวน 100,000 บาท แก่นายสามเพียงแต่ไม่ต้องเขียนระบุชื่อนายสามไว้ในตั๋ว แต่เขียนว่าให้นายสองจ่ายเงินแก่ผู้ถือ และลงลายมือชื่อนายหนึ่งผู้สั่งจ่ายลงไว้ในตั๋วด้วย ดังนี้ตั๋วนั้นก็จะมีผลสมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิ

สำหรับวิธีการในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น สามารถโอนให้แก่กับได้โดยการส่งมอบ ตั๋วนั้นให้แก่กัน โดยไม่ต้องมีการสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 918 ซึ่งได้บัญญัติหลักไว้ว่า “ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่กัน”

ตัวอย่าง จากตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นเมื่อนายสามได้รับตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือที่นายหนึ่งได้ ออกให้แก่ตน ดังนี้ถ้านายสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วนั้นต่อไปให้แก่นายสี่ นายสามย่อมสามารถโอนได้โดย การส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่นายสี่โดยไม่ต้องสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น การโอนตั๋วระหว่างนายสามและนายสี่ก็จะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายนิติกรรมที่ผู้เยาวสามารถทำได้โดยลำพังและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายโดยไม่ต้องได้รับ ความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมมาโดยละเอียด
ธงคำตอบ

นิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายโดยไม่ต้องได้รับ ความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ได้แก่ นิติกรรม ดังต่อไปนี้ คือ

1.      นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝายเดียว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 22 ซึ่งบัญญัติว่า

“ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้น จากหน้าที่อันใดอับหนึ่ง ”
นิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียวนั้น แยกออกเป็น 2 กรณี คือ

1)      นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอับหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่เสียสิทธิ หรือรับเอาหน้าที่อย่างใด ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่น การที่ผู้เยาว์ตกลงรับเอาทรัพย์สินที่บุคคลอื่นยกให้โดยเสน่หา โดยไม่มี เงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ เป็นต้น

2)      นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นการหลุดพ้นจาก หน้าที่’โดยไม่มีเงื่อนไข หรือภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมรับการปลดหนี้จากเจ้าหนี้ ทำให้ผู้เยาว์ หลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ เป็นต้น
2.      นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 23 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้เยาว์ อาจทำการใด ๆได้ทั้งสิ้นซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว”

คำว่า “นิติกรรมซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว ” ที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง ตนเองนั้น หมายถึงนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำด้วยตนเอง จะให้บุคคลอื่นทำแทนไม่ได้นั่นเอง เช่น การจดทะเบียน รับรองบุตรเพื่อให้เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ หรือการทำพินัยกรรมในขณะที่ผู้เยาว์มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ เป็นต้น

“ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตาม สมควร”

ซึ่งนิติกรรมที่ได้รับการยกเว้นว่าผู้เยาว์สามารถกระทำได้โดยลำพัง โดยไม่ต้องได้รับ ความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมตามมาตรา 24 นี้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ คือ

1)      ต้องเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพจริง ๆ อันขาดเสียไม่ได้ และ

2)      ต้องเป็นนิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูป และฐานะการเงินของผู้เยาว์ด้วย

 

ข้อ 2. เหตุที่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะได้แก่อะไรบ้าง อธิบาย และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

เหตุที่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ได้แก่เหตุดังต่อไปนี้ คือ

1.      นิติกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

หมายความว่า ในการแสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้น ถ้าผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมได้ กำหนดวัตถุประสงค์ที่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้ว ย่อมมีผลทำให้นิติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นตกเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 150)

ตัวอย่างเช่น ดำได้ทำสัญญาจ้างให้แดงไปทำร้ายร้างกายขาว ดังนี้นิติกรรมในรูปของ สัญญาจ้างระหว่างดำและแดงย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย

2.      นิติกรรมนั้นมิได้กระทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้

หมายความว่า ในการแสดงเจตนาทำนิติกรรมใด ถ้านิติกรรมนั้นกฎหมายได้กำหนดแบบ (หรือวิธีการในการแสดงเจตนา) ไว้ เช่น กำหนดว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ หรือจะต้องจดทะเบียน หรือจะต้องทำ เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้นิติกรรมนั้นก็จะต้องทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ด้วย นิติกรรมใดถ้าไม่ได้กระทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 152)

ตัวอย่างเช่น นาย ก. ไต้ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่งกับนาย ข. โดยทั้งสอง ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเองและตกลงว่าจะไม่ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ นิติกรรมไนรูป สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนาย ก. และนาย ข. ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะตามกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า สัญญาซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ

3.      นิติกรรมที่เกิดจากความบกพร่องของการแสดงเจตนา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

3.1    นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี

“การแสดงเจตนาลวง” คือ การที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ทำนิติกรรมขึ้นมาโดยไม่มี ความประสงค์ที่จะให้นิติกรรมนั้นมีผลบังคับกันตามกฎหมาย แต่ได้ทำนิติกรรมขึ้นมาโดยมีเจตนาเพื่อหลอกลวง บุคคลอื่น (หรือทำขึ้นมาเพื่อปกปิดหรืออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่งซึ่งเป็นนิติกรรมที่แท้จริง) ดังนี้ นิติกรรมที่เกิดจาก การแสดงลวงระหว่างคู่กรณีย่อมตกเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 155)

ตัวอย่างเช่น ก. ได้แสดงเจตนาลวงโดยแกล้งขายรถยนต์ของตนให้กับ ข. เพื่อหลอกลวงเจ้าหนี้ของ ก. (โดยที่ ข. ไม่ต้องชำระราคาให้แก่ ก.) นิติกรรมในรูปสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่าง ก. และ ข. ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง

3.2    นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาเพราะความสำคัญผิด

หมายถึง นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาโดยการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็น สาระสำคัญแห่งนิติกรรม ได้แก่ การสำคัญผิดในลักษณะแห่งนิติกรรม สำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และการสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น (ป.พ.พ. มาตรา 156)

ตัวอย่างเช่น ก. ต้องการทำสัญญาจำนองที่ดินของตนกับ ข. แต่ได้ไปทำเป็น สัญญาขายฝากไว้กับ ข. โดยเข้าใจว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาจำนองตามที่ตนต้องการ เพราะ ก. อ่านหนังสือไม่ออก ดังนี้สัญญาขายฝากย่อมเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะ ก. ได้แสดงเจตนาโดยการสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม

 

ข้อ 3. นายดำกับนายแดงตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายแดง จำนวน 1 แปลง ราคา 500,000 บาท โดยนายดำและนายแตงตกลงกันว่า จะไม่ไปทำหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ให้นายดำชำระเงินให้นายแดงจนครบและนายแดงส่งมอบโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายดำ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด และกรรมสิทธ์ ในที่ดินโอนไปยังนายดำหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 453 บัญญัติว่า “อันว่าซื้อขายนั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อ ตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย”

และมาตรา 456 วรรคแรก ได้บัญญัติว่า “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ท่านว่าเป็นโมฆะ…”

ตามปัญหา การที่นายดำกับนายแดงตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายแดง จำนวน 1 แปลง ราคา 500,000 บาทนั้น ข้อตกลงระหว่างนายดำกับนายแดงดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายตาม ป.พ.พ. มาตรา 453 และการที่นายดำและนายแดงได้ตกลงกันว่าจะไม่ไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ถือ ได้ว่าทั้งสองได้ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นสัญญาระหว่างนายดำและนายแดงจึงเป็นสัญญา ซื้อขายเสร็จเด็ดขาด (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์) เพราะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และคู่กรณี ไม่มีเจตนาที่จะไปกระทำตามแบบคือไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหน้าแต่อย่างใด

และแม้ว่าในการทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้น นายดำจะได้ชำระเงินให้นายแดงจนครบและ นายแดงจะได้ส่งมอบโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายดำแล้วก็ตาม แต่เมื่อสัญญาซื้อขายนั้นเป็นสัญญาซื้อขาย เสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์ แต่คู่กรณีไม่ได้กระทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ คือไม่ได้ทำเป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาบเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดำและนายแดงจึงตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก

และเมื่อสัญญาซื้อขายทีดินดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงยังไม่โอนไปเป็น ของนายดำ ยังคงเป็นกรรมสิทธ์ของนายแดง

สรุป สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่มีผล เป็นโมฆะ และกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังไม่โอนไปเป็นของนายดำ

 

ข้อ 4. ดำลูกหนี้ในตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งถูกขาวเจ้าหนี้ตามตั๋วฯ นี้บังคับให้ชำระเงิน ดำจะมีหลักกฎหมายใดบ้างในการชำระเงินให้ขาวเพียงครั้งเดียวและหลุดพ้นจากตั๋วฯ ฉบับนี้ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 949 ได้บัญญัติหลัก ไว้ว่า “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1009 บุคคลผู้ใช้เงินในเวลาถึงกำหนดย่อมเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ตนจะได้ทำการฉ้อฉลหรือมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อนึ่งบุคคลซึ่งกล่าวนี้ต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของเหล่าผู้สลักหลัง”

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 949 นั้นเป็นเรื่องของการใช้เงินตามตั๋วเงิน (ซึ่งบุคคลผู้ใช้เงินมิใช่ธนาคาร) ซึ่งเมื่อบุคคลใดได้ถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วเงิน และได้ใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นไปแล้วก็จะหลุดพ้นจากความรับผิด ตามตั๋วเงินนั้น ถ้าหากได้ใช้เงินตามตั๋วนั้นถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ 3 ประการ ได้แก่

1.      จะต้องได้ใช้เงินไปเมื่อตั๋วนั้นถึงกำหนดเวลาใช้เงินแล้ว

2.      จะต้องเป็นการใช้เงินไปโดยสุจริต กล่าวคือ มิได้ทำการฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง และ

3.      ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ตั๋วนั้นได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของบรรดาผู้สลักหลังแต่อย่างใด

ดังนั้น ตามปัญหาการที่ดำลูกหนี้ในตั๋วแลกเงินถูกขาวเจ้าหนี้ตามตั๋วฯ นี้บังคับให้ชำระเงิน ถ้าดำจะชำระเงินให้ขาวเพียงครั้งเดียวและจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามตั๋วฯ ฉบับนี้ ดำจะต้องได้ชำระเงิน ให้แก่ขาวโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่ ป.พ.พ. มาตรา 949 ได้กำหนดไว้ กล่าวคือ

1.      ดำจะต้องได้ชำระเงินให้แก่ขาวในขณะที่ตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวได้ถึงกำหนดเวลา ใช้เงินแล้ว

2.      ดำจะต้องได้ฃำระเงินให้แก่ขาวไปโดยสุจริต คือมิได้ทำการฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง และ

3.      ถ้าตั๋วแลกเงินนั้นเป็นตั๋วแลกเงินชนิดลังจ่ายระบุชื่อและมีการสลักหลังโอนตั๋วกัน จน ตั๋วเงินนั้นมาอยู่ในความครอบครองของขาว ดังนี้ดำจะต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ตั๋วนั้น ได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำต้องพิสูจน์ถึงลายมือชื่อของ บรรดาผู้สลักหลังแต่อย่างใด

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิขา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1. นายก้านเป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถให้นาฬิกาของตนแก่นายชัย ซึ่งเป็นน้องชายของนายก้านโดยนางเพ็ญมารดาของนายก้านที่ศาลได้ตั้งให้เป็นผู้อนุบาลของนายก้าน ได้ให้ความยินยอมในการให้นาฬิกาดังกล่าว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นิติกรรมการให้นาฬิกาของนายก้าน มีผลทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 บัญญัติว่า “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ ”
ตามหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากฎหมายไต้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถ กระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ามีการฝ่าฝืนไปกระทำนิติกรรมใด ๆ ขึ้น ไม่ว่าจะได้กระทำในขณะที่จิตปกติหรือไม่ หรือการทำนิติกรรมนั้นผู้อนุบาลจะได้ให้ความยินยอมหรือไม่ นิติกรรมก็จะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายก้านซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ ได้ทำนิติกรรมโดยการให้นาฬิกาของตน แก่นายชัยนั้น แม้นายชัยจะเป็นน้องชายของนายก้านและนายก้านได้ทำนิติกรรมการให้ดังกล่าวโดยนางเพ็ญ มารดาของนายก้านที่ศาลได้ตั้งให้เป็นผู้อนุบาลของนายก้านได้ให้ความยินยอมในการให้นาฬิกาดังกล่าวก็ตาม นิติกรรมการให้นาฬิกาของนายก้านก็มีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 29

สรุป นิติกรรมการให้นาฬิกาของนายก้านมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. นิติกรรมอำพรางมีองค์ประกอบและผลตามกฎหมายอย่างไร อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ…

ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่ง ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของ กฎหมายอับเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”

ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคสอง ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติเรื่องนิติกรรมอำพราง ซึ่งในเรื่อง “นิติกรรมอำพราง” นั้น เป็นเรื่องที่ในระหว่างคู่กรณีได้มีการ ทำนิติกรรมขึ้นมา 2 ลักษณะ ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงอันหนึ่ง กับนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ อีกอันหนึ่ง

1. นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง (นิติกรรมที่เปิดเผย) หมายถึง นิติกรรมที่ คู่กรณีได้ทำขึ้นมาโดยไม่มีเจตนาให้มีผลใช้บังคับกัน แต่ได้ทำขึ้นมาเพื่อลวงให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าคู่กรณีไต้ตกลง ทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน และเพื่อเป็นการอำพรางหรือปกปิดนิติกรรมที่แท้จริงนั้นเอง

2. นิติกรรมที่ถูกอำพราง หมายถึง นิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ได้ทำขึ้นมา และต้องการ ให้มีผลใช้บังคับกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ได้ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้บุคคลอื่นรู้

ตามกฎหมายได้บัญญัติว่า ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ มาใช้บังคับ หมายความว่า ให้คู่กรณีบังคับกับด้วยนิติกรรมที่ถูกอำพรางนั่นเอง ส่วนนิติกรรมที่เกิดจากการ แสดงเจตนาลวงจะมีผลเป็นโมฆะ

ตัวอย่าง ปู่ได้ยกรถยนต์คันหนึ่งให้แก่หลานที่ชื่อ ก. โดยเสน่หา แด่เกรงว่าหลานคนอื่นรู้ จะหาว่าปู่ลำเอียง จึงได้ทำสัญญาซื้อขายกับ ก. ไว้เพื่อลวงหลานคนอื่น ดังนี้นิติกรรมที่จะมีผลใช้บังคับกันระหว่าง ปู่กับหลานที่ชื่อ ก. คือนิติกรรมให้ ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพราง ส่วนนิติกรรมซื้อขายตกเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรม ที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง

 

ข้อ 3. นายเอต้องการซื้อรถยนต์จากนายบี 1 คัน ราคา 350,000 บาท โดยตกลงกันด้วยวาจา ซึ่งนายเอ ได้ชำระหนี้ราคารถยนต์บางส่วนให้นายบีจำนวน 80,000 บาท ต่อมา นายบีไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้ ถ้านายเอต้องการจะฟ้องร้องให้บังคับคดีจะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน- เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย ”

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะตกเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก) แต่ถ้าเป็นสัญญาจะซื้อขายหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าว หรือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ หรือสัญญา ซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์ธรรมดาซึ่งตกลงกันเป็นราคา 20,000 บาทหรือกว่านั้นขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดี กันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปบี้คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำ (หรือมัดจำ) ไว้หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

ตามปัญหา สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายเอและนายบีเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา และเมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์ธรรมดา แม้ทั้งสองจะตกลงกันด้วยวาจา สัญญาซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะกฎหมาย ไม่ได้กำหนดเรื่องแบบไว้

และเมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างบายเอและนายบีเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์ ที่มีราคามากกว่า 20,000 บาท และนายเอได้มีการชำระหนี้บางส่วนคือได้ชำระราคารถยนต์ให้แก่นายบีแล้ว 80,000 บาท ซึ่งถือว่ามีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีแล้ว ดังนั้น เมื่อนายบีไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายเอ นายเอย่อมสามารถที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้

สรุป นายเอสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้

 

ข้อ 4. การเขียนตั๋วเงินผู้ถือที่สมบูรณ์ตามหลักกฎหมายมีอยู่อย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 909 และมาตรา 910 ได้บัญญัติหลักในการ เขียนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้คือ

ในการเขียนตั๋วแลกเงินไม่ว่าจะเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินหรือตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น ตั๋วแลกเงินจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้เขียนตั๋วแลกเงินจะต้องเขียนให้มีข้อความหรือรายการที่สำคัญ 5 ประการ ให้ครบถ้วนเสมอ ได้แก่ข้อความดังต่อไปนี้คือ

1.         คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2.         คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนที่แน่นอน

3.         ชื่อหรือรห้อผู้จ่าย

4.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

5.         ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ถ้าหากผู้เขียนตั๋วแลกเงินได้เขียนโดยมีข้อความที่สำคัญดังกล่าวอันใดอันหนึ่งขาดตกบกพร่องไป เอกสารนั้นย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

ตัวอย่าง นายหนึ่งต้องการออกตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้แก่นายสาม 100,000 บาท นายหนึ่ง ก็จะต้องเขียนตั๋วแลกเงินให้มีข้อความที่สำคัญ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น โดยนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยระบุให้นายสอง จ่ายเงินให้แก่นายสาม (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสองผู้จ่าย จ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วแลกเงิน (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสองผู้จ่าย จ่ายเงินให้แก่นายสามหรือผู้ถือก็ได้ (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือเช่นเดียวกัน)

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิขา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1. นายกิจ อายุ 18 ปี นายกิจได้รับเงินจำนวน 20,000 บาท จากนายทองซึ่งเป็นคุณอาของนายกิจ โดยที่ นายทองได้บอกแก่นายกิจว่าไม่ต้องบอกนางพรที่เป็นมารดาของนายกิจทราบ หลังจากนั้นนายกิจ ได้นำเงินไปซื้อรถจักรยานยนต์ตามลำพังโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางพร ต่อมานางพรทราบ เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมด นางพรไม่พอใจมาก เพราะนางพรมีเรื่องทะเลาะกับนายทองตั้งแต่บิดาของ นายกิจตาย บางพรจึงไม่ต้องการให้นายกิจรับทรัพย์สินใด ๆ จากนายทอง อีกทั้งนางพรไม่ต้องการ ให้นายกิจขี่รถจักรยานยนต์ ดังนี้ นางพรจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงิน และซื้อรถจักรยานยนต์ ของนายกิจได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 ”‘ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะไดไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”
วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายจะต้องได้รับความยินยอม จากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง ตนเองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนก็มีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่ง สิทธิอันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายกิจผู้เยาว์ได้รับเงิน 20,000 บาท จากนายทองซึ่งเป็นคุณอาของนายกิจนั้น แม้การที่นายกิจผู้เยาว์จะได้รับเงินจากนายทองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางพรซึ่งเป็นมารดาก็ตาม นิติกรรม การรับเงินของนายกิจผู้เยาว์ก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ เพราะเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง ซึ่งเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 22 ดังนั้น นางพร จะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินดังกล่าวไม่ได้

ส่วนกรณีที่นายกิจได้นำเงินไปซื้อรถจักรยานยนต์ตามลำพังโดยไม่’ได้รับความยินยอมจาก นางพรนั้น ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เพราะมิใช่นิติกรรมที่เข้าข้อยกเว้นของกฎหมายที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพัง ดังนั้น นางพรจึงสามารถบอกล้างนิติกรรมการซื้อรถจักรยานยนต์ของนายกิจได้

สรุป นางพรจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินของนายกิจไม่ได้ แต่สามารถบอกล้างนิติกรรม การซื้อรถจักรยานยนต์ของนายกิจได้

 

ข้อ 2. นายดำถูกนายขาวขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายถ้าไม่ให้นายแดงกู้ยืมเงิน ด้วยความกลัวนายดำจึงให้นายแดง กู้ยืมเงินไป 1 ล้านบาท ข้อเท็จจริงนายแดงมิได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่านายดำถูกนายขาวข่มขู่ ดังนี้สัญญา กู้ยืมเงินระหว่างนายดำและนายแดงมีผลดามกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 164 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มิการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น”

และมาตรา 166ได้บัญญัติว่า

“การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่”

วินิจฉัย

ตามปัญหา การที่นายดำได้แสดงเจตนายอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน 1 ล้านบาทนั้น เนื่องจากถูกนายขาวพูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ถ้านายดำไม่ให้นายแดงกู้ยืมเงิน การแสดงเจตนาของนายดำ จึงเป็นการแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายดำและนายแดงจึงมีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 164

และแม้ว่าการที่นายดำได้แสดงเจตนายอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปเพราะถูกนายขาวบุคคลภายนอก ข่มขู่นั้น นายแดงมิได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่านายดำถูกนายขาวข่มขู่ก็ตาม สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็ตกเป็นโมฆียะ เพราะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 166 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ย่อมทำให้นิติกรรม (สัญญากู้ยืมเงิน ดังกล่าว) ตกเป็นโมฆียะ แม้ว่าการข่มขู่นั้นจะเกิดขึ้นโดยบุคคลภายนอกก็ตาม

สรุป สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายดำและนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายมะนาวตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายมะม่วงจำนวน 100 ตารางวา ราคาตารางวาละ 35,000 บาท โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมานายมะม่วงส่งมอบที่ดิน ให้นายมะนาวจำนวน 98 ตารางวา นายมะนาวจึงปฏิเสธที่จะไม่รับมอบที่ดินจากนายมะม่วง ดังนี้ นายมะนาวจะปฏิเสธไม่รับมอบที่ดินจากนายมะม่วงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

“ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าได้มีการระบุจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ และผู้ขายได้ส่งมอบ ทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อน้อยกว่าหรือมากไปกว่าที่ได้ตกลงทำสัญญาไว้ ผู้ซื้อยอมมีสิทธิที่จะบอกปัดเสียหรือจะรับเอาไว้ และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ ตามแต่จะเลือก

แต่ถ้าจำนวนส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือส่วนที่เกินนั้นมีจำนวนไม่มากกว่าร้อยละ 5 ของเนื้อที ทั้งหมดที่ได้ระบุไว้ ผู้ซื้อจะต้องรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนจะบอกปัดไม่รับไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามปัญหา การที่นายมะนาวได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายมะม่วงจำนวน 100 ตารางวานั้น ถือว่าเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มีการระบุจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ ดังนั้นโดยหลักแล้วเมื่อนายมะม่วง ได้ส่งมอบที่ดินให้นายมะนาวมีจำนวนเนื้อที่น้อยกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ นายมะนาวผู้ซื้อย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่รับมอบ ที่ดินจากนายมะม่วงได้ หรือนายมะนาวจะรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายมะม่วงได้ส่งมอบที่ดินให้แก่นายมะนาวมีจำนวน เนื้อที่ 98 ตารางวา ซึ่งน้อยกว่าที่ตกลงกันแต่จำนวนส่วนที่ขาดไปนั้นมีจำนวนเพียง 2 ตารางวา ซึ่งเป็นจำนวนที่ ไม่มากกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดที่ตกลงกัน ดังนั้นกรณีนี้นายมะนาวจึงต้องรับเอาไว้และใช้ราคา ตามส่วน จะบอกปัดไม่รับไม่ได้

สรุป นายมะนาวจะปฏิเสธไม่รับมอบที่ดินจากนายมะม่วงไม่ได้

 

ข้อ 4. ตั๋วแลกเงินมีวิธีโอนตั๋วให้แก่กันได้กี่วิธี จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงินได้บัญญัติถึงวิธีโอนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้ คือ

1.         ตั๋วแลกเงินชนิดลังจ่ายระบุชื่อนั้นย่อมโอนให้กันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคแรก)

2.         ตั๋วแลกเงินสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมโอนกันได้ด้วยการส่งมอบให้แก่กัน (มาตรา 918)

3.         การสลักหลังต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินและลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง โดยจะระบุชื่อของ ผู้รับสลักหลังด้วย หรือเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้สลักหลังไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงิน ซึ่งเรียกว่า การสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 919)

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าตั๋วแลกเงินมิวิธีโอนตั๋วให้แก่กันได้ 2 วิธี

1. ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) การโอนย่อมสามารถทำได้โดยการ สลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคแรก) หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะ มีการโอนต่อไปให้แก่บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทำการสลักหลังและ ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจำต่อ)โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)’’ หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย”ก็ได้

(1)       การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ใบตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วก็ได้

(2)       การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินเท่านั้น (มาตรา 919 วรรคสอง)

ตัวอย่าง หนึ่งได้ออกตั๋วแลกเงินลังให้สองจ่ายเงินให้แก่สามโดยระบุชื่อสามเป็นผู้รับเงิน ดังนี้ถ้าสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปให้ ก. สามจะต้องลงลายมือชื่อของสามสลักหลังไว้ด้วย โดยสามอาจจะระบุชื่อ ก. ผู้รับสลักหลังลงไว้ในตั๋วด้วยซึ่งเรียกว่า การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือสามอาจจะ ลงแต่ลายมือชื่อของสามไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ระบุชื่อ ก. ผู้รับสลักหลังไว้ในตั๋วซึ่งเรียกว่าเป็น การสลักหลังลอยก็ได้

2. ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ การโอนตั๋วชนิดนี้ย่อมสามารถทำได้โดยการ

ส่งมอบตั๋วแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีการสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น (มาตรา 918)

ตัวอย่าง หนึ่งออกตั๋วแลกเงินสั่งให้สองจ่ายเงินแก่ผู้ถือ และส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่สาม ดังนี้ ถ้าสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ให้แก่ ก. สามสามารถโอนได้โดยการส่งมอบตั๋วให้แก่ ก. โดยที่สาม ไม่ต้องลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋ว การโอนตั๋วดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายน้อยอายุ 15 ปี มีมารดาชื่อนางก้อย วันหนึ่งนางแก้วซึ่งเป็นป้าของนายน้อยได้ให้เงินจำนวน 5,000 บาทแก่นายน้อย โดยที่นางก้อยไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการรับเงินของนายน้อย แต่อย่างใด หลังจากนั้น นายน้อยได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อเกมคอมพิวเตอร์จากเพื่อนตามลำพังโดย ไม่ได้รับความยินยอมจากนางก้อยเช่นกัน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านางก้อยจะบอกล้างนิติกรรมการ รับเงินและการซื้อเกมคอมพิวเตอร์ของนายน้อยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ดังนี้

1.         ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน นิติกรรม ใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนโดยขอบธรรม นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ (มาตรา 21)
2.         ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นนิติกรรมเพียงเพื่อที่ผู้เยาว์จะได้ไปซึ่งสิทธิ อันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง (มาตรา 22)
3.         ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นนิติกรรมทีเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร (มาตรา 24)
กรณีตามปัญหา แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นางแก้วซึ่งเป็นป้าของนายน้อยผู้เยาว์ ได้ให้เงินจำนวน 5,000 บาทแก่ นายน้อย โดยที่นางก้อยซึ่งเป็นมารดาของนายน้อยและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายน้อยไม่ได้รู้เห็นและให้ความ ยินยอมในการรับเงินของนายน้อยแต่อย่างใดนั้น กรณีนี้ถือว่านิติกรรมการรับเงินของนายน้อยมีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เพราะเป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึงสิทธิอันใดอันหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 22 คือเป็นนิติกรรมที่นายน้อยผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง ตนเองและจะมีผลสมบูรณ์ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนางก้อยผู้แทนโดยชอบธรรม และเมื่อนิติกรรมการรับเงิน ของนายน้อยมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ ดังนั้นนางก้อยจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินของนายน้อยไม่ได้
ประเด็นที่ 2 การที่นายน้อยผู้เยาว์ได้นำเงินจำนวน 5,000 บาทที่ได้รับจากนางแก้วไปซื้อ เกมคอมพิวเตอร์จากเพื่อนตามลำพังโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางก้อยผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น นิติกรรมการ ซื้อเกมคอมพิวเตอร์ของนายน้อยย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เพราะเป็นนิติกรรมที่นายน้อยผู้เยาว์ได้ทำลง โดยปราศจากความยินยอมของนางก้อยผู้แทนโดยชอบธรรม และการซื้อเกมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไม่ใช่นิติกรรม ที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปและเป็นการอันจำเป็นใบการดำรงชีพตามสมควรของผู้เยาว์ จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตาม มาตรา 24 ที่ผู้เยาว์จะสามารถทำได้โดยลำพังตนเองได้ และเมื่อนิติกรรมการซื้อเกมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะ ดังนั้นนางก้อยจึงสามารถบอกล้างนิติกรรมนี้ได้

สรุป นางก้อยจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินของนายน้อยไม่ได้ แต่สามารถบอกล้างนิติกรรม การซื้อเกมคอมพิวเตอร์ของนายน้อยได้

 

ข้อ2  เด็กชายหนึ่งอายุ 14 ปี ทำสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่งจากบริษัท เอ จำกัด ในราคา 40,000 บาท ตกลงให้มีการส่งมอบและชำระราคาในวันที่ 15 มีนาคม 2557 ต่อมาเมื่อถึงกำหนดเวลาตามที่ตกลงกัน เด็กชายหนึ่งไม่ชำระหนี้ บริษัท เอ จำกัด จึงไปเรียกให้นางสองมารดาของเด็กขายหนึ่งชำระราคา ตามสัญญา นางสองปฏิเสธ อ้างว่าการซื้อขายระหว่างเด็กชายหนึ่งกับบริษัท เอ จำกัด เป็นโมฆียะ และนางสองมีสิทธิบอกล้างได้ เพราะตนเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งและไม่เคยให้ ความยินยอมในการซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ดังนี้ ข้ออ้างของนางสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ดังนี้

1.         ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน นิติกรรม ใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ (มาตรา 21)

2.         ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นนิติกรรมที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร (มาตรา 24)

3.         การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้น เป็นโมฆียะ (มาตรา 153)

ตามปัญหา การที่เด็กชายหนึ่งผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมโดยการทำสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง จากบริษัท เอ จำกัด โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเด็กชายหนึ่งได้รับความยินยอมจากนางสองมารดาซึ่งเป็นผู้ใช้ อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งแต่อย่างใด และนิติกรรมการซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่ง มีราคา 40,000 บาทนั้น ก็ไม่เป็นนิติกรรมที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร ของผู้เยาว์แต่อย่างใด จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 24 ที่เด็กชายหนึ่งผู้เยาว์จะสามารถทำได้โดยลำพังตนเองได้ ดังนั้นนิติกรรมการซื้อรถจักรยานยนต์ดังกล่าวของเด็กชายหนึ่ง จึงมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วย ความสามารถของบุคคล จึงมีผลเป็นโมฆียะ (ตามมาตรา 153 ประกอบมาตรา 21) และเมื่อนิติกรรมดังกล่าวมิผล เป็นโมฆียะ นางสองมารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งจึงมีสิทธิบอกล้างได้

ดังนั้น ข้ออ้างของนางสองที่ว่าการซื้อขายระหว่างเด็กชายหนึ่งกับบริษัท เอ จำกัด เป็นโมฆียะ เพราะตนซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งไม่เคยให้ความยินยอมในการซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว และตนมิสิทธิบอกล้างได้นั้น ข้ออ้างของนางสองจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของนางสองชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ3 นายมะละกอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายมะม่วงจำนวน 10 ไร ราคาไร่ละ 500,000 บาท โดยตกลง กันว่าจะไปทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดในเดือนหน้า ดังนี้ สัญญาซื้อขายระหว่างนายมะละกอและ นายมะม่วงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด และแบบของสัญญาซื้อขายประเภทนี้ต้องทำอย่างไร

ธงคำตอบ

“สัญญาจะซื้อจะขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณี ยังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอน กรรมสิทธ์ในทรัพย์สินให้แก่กับก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายไต้กำหนดไว้ในภายหน้า คือเมือได้ไปทำ สัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

ดังนั้นตามปัญหา การที่นายมะละกอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายมะม่วงจำนวน 10 ไร่ โดย ตกลงกันวาจะไปทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดในเดือนหน้านั้น จึงเป็น “สัญญาจะซื้อขาย” เพราะเป็นการทำสัญญา ซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ และคู่กรณีได้ตกลงกันว่าจะไปทำตามแบบ คือจะไปทำเป็นหนังลือและ จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาบที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินในภายหน้า

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขายได้กำหนดแบบของสัญญาซื้อขายไว้ว่า “สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ” (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก)

แบบของสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้น หมายความถึง เฉพาะการทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษเท่านั้น ที่กฎหมายไต้กำหนดว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ ดังนั้นถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จึงไม่ต้องกระทำตามแบบแต่อย่างใด คู่สัญญาอาจจะตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกัน ด้วยวาจาหรือจะทำเป็นหนังสือสัญญากันก็ได้ สัญญาจะซื้อขายนั้นก็จะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเสมอ

ดังนั้น สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายมะละกอกับนายมะม่วงนั้น จึงเป็นสัญญาซื้อขายที่ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด นายมะละกอและนายมะม่วงจึงสามารถตกลงทำสัญญากันอย่างไรก็ได้ โดยอาจตกลงกันด้วยวาจาหรืออาจจะทำเป็นหนังลือสัญญากันก็ได้ ซึ่งสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็จะมีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายมะละกอกับนายมะม่วงมีผลสมบูรณ์ และสามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ คู่สัญญาควรจะทำสัญญากันโดยให้มีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที กฎหมายได้กำหนดไว้ด้วย (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง) ได้แก่

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน

 

ข้อ 4. ให้นักศึกษาทำคำตอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข. โดยให้อธิบายหลักกฎหมาย

ก. ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือจำเป็นหรือไม่ที่ผู้โอนตั๋วต้องเซ็นสลักหลังโอนตั๋ว เพราะเหตุใด และ

ข. เช็คที่ผู้ทรงเช็คยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินธนาคารจะต้องจ่ายเงินให้หรือไม่ ถ้าปรากฏว่าเงิน ในบัญชีของผู้ลังจ่ายมีไม่พอตามมูลค่าเช็คที่ยื่น

ธงคำตอบ

ก. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับวิธีการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือไว้ด้งนี้ คือ

1.         ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่กัน (มาตรา 918)

2.         การสลักหลังตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ ให้ถือว่าเป็นเพียงการอาวัล (รับประกัน) ผู้สั่งจ่าย (มาตรา 921)

ด้งนั้น ในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือจึงไม่จำเป็นที่ผู้โอนตั๋วจะต้องเซ็นสลักหลังโอนตั๋ว เพราะ ตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดไว้แล้วว่า ในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น การโอนย่อมสมบูรณ์ โดยการที่ผู้โอนเพียงแต่ส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่ผู้รับโอนเท่านั้น ไม่ต้องมีการสลักหลังแต่อย่างใด ในกรณีที่มีการสลักหลัง กฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นเพียงการรับประกันหรือรับอาวัลผู้ลังจ่ายเท่านั้น

ข. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการใช้เงินตามเช็คของธนาคารไว้ด้งนี้ คือ

1.         ธนาคารจำต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงินแก่ตน เว้นแต่ในกรณี ที่ไมมีเงินในบัญชีของผู้เคยค้าคนนั้นเป็นเจ้าหนี้พอจะจ่ายตามเช็คนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 991 (1))

2.         ถ้าธนาคารได้รับรองเช็คโดยเขียนข้อความลงลายมือชื่อบนเช็ค เช่นคำว่า “ใช้ได้” หรือ “ใช้เงินได้” หรือคำใด ๆ อันแสดงผลอย่างเดียวกับ ธนาคารต้องผูกพันในฐานะเป็นลูกหนี้ขั้นต้นในอันจะต้องใช้เงิน แก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 993 วรรคแรก)

โดยหลักแล้วธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค จะต้องจ่ายเงินตามเช็คให้แก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น เมื่อผู้ทรงเช็คได้นำเช็คมายื่นเพื่อให้ธนาคารจ่ายเงิน แต่ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่จ่ายเงินตาม เช็คนั้นก็ได้ ถ้าหากเงินในบัญชีของผู้ออกเช็คนั้นไม่มีหรือมีแต่ไม่พอที่จะจ่ายตามเช็คนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเช็คนั้น เป็นเช็คที่ธนาคารผู้จ่ายได้รับรองเช็คไว้แล้ว ธนาคารก็จะต้องผูกพันในฐานะเป็นลูกหนี้ขั้นต้นในอันที่จะต้องจ่ายเงิน ตามเช็คนั้น จะปฏิเสธไม่จ่ายเงินโดยอ้างว่าเงินในบัญชีของผู้ออกเช็คไม่มีหรือมีแต่ไม่พอจ่ายไม่ได้

สรุป ก. ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ ในการโอนผู้โอนไม่จำเป็นต้องเซ็นสลักหลังโอนตั๋ว

ข. เช็คที่ผู้ทรงเช็คยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน ถ้าปรากฏว่าเงินในบัญชีของผู้สั่งจ่าย มีไม่พอตามมูลค่าเช็ค ธนาคารจะจ่ายหรือไม่ก็ได้ เว้นแต่ถ้าเป็นเช็คที่ธนาคารผู้จ่าย ได้รับรองไว้แล้ว ธนาคารก็จะต้องจ่ายเงินตามเช็คนั้น

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน

ข้อ  1. จงอธิบายหลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมาโดยละเอียด
ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 32 วรรคแรก มีดังนี้คือ
1  บุคคลนั้นจะต้องมีเหตุบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ
(1) กายพิการ
(2) จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(3) ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ
(4) ติดสุรายาเมา

(5)  มีเหตุอื่นในทำนองเดียวกันกับ (1) – (4)


2      บุคคลนั้นไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ เพราะเหตุบกพร่องนั้น หรือจัดทำ การงานได้ แต่จะจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว
3         ได้มีบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ได้แก่ คู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ หรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาล
4         ศาลได้มีคำสั่งแสดงว่าบุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
ข้อ 2 นายหนึ่งบอกขายรถยนต์ของตนให้กับนายสอง โดยหลอกลวงว่ารถยนต์คันดังกล่าวสภาพดี ไม่เคย ถูกชนหนักมาก่อน ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะรถคันนี้ถูกชนเสียหายหนักมาแล้ว ถ้านายสองทราบ ความจริงจะไม่ซื้อ แต่นายสองหลงเชื่อจึงตกลงซื้อและทราบความจริงในภายหลัง ดังนี้ การแสดง เจตนาของนายสองมีผลอย่างไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะนิติกรรมธงคำตอบป.พ.พ. มาตรา 159 วรรค 1 และ 2 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะการถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล และจะตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้อง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1         มีการใช้อุบายหลอกลวงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยการแสดงข้อความให้ผิดต่อความจริง

2         ได้กระทำโดยจงใจเพื่อหลอกลวงคูกรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้น

3         การใช้อุบายหลอกลวงนั้นจะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว นิติกรรมอันเป็น โมฆียะนั้น คงจะมิได้กระทำขึ้น

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งบอกขายรถยนต์ของตนให้กับนายสอง โดยหลอกลวงว่ารถยนต์ คันดังกล่าวสภาพดี ไม่เคยถูกชนหนักมาล่อน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะรถยนต์คันนี้เคยถูกชนเสียหายหนักมาแล้วนั้น ถือได้ว่านายหนึ่งได้จงใจใช้อุบายหลอกลวงนายสองด้วยการแสดงข้อความให้ผิดต่อความจริงแล้ว และเมื่อการใช้ อุบายหลอกลวงของนายหนึ่งได้ถึงขนาด กล่าวคือทำให้นายสองหลงเชื่อและได้แสดงเจตนาเข้าทำนิติกรรมซื้อรถยนต์กับนายหนึ่ง จึงถือว่านายสองได้แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลถึงขนาดตามมาตรา 159 วรรค 1 และวรรค 2 แล้ว ดังนั้นการแสดงเจตนาของนายสองดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ และนายสองสามารถบอกล้างนิติกรรมนั้นได้

สรุป การแสดงเจตนาซื้อรถยนต์ของนายสองมีผลเป็นโมฆียะ เพราะเป็นการแสดงเจตนา เพราะถูกกลฉ้อฉลถึงขนาด และนายสองสามารถบอกล้างนิติกรรมนั้นได้

 

ข้อ 3 นายส้มทำสัญญาซื้อขายโต๊ะคอมพิวเตอร์จากนายเหลือง จำนวน 500 ตัว ราคาตัวละ 2,500 บาท พอถึงวับส่งมอบ นายเหลืองได้ทำการส่งมอบโต๊ะคอมพิวเตอร์ จำนวน 500 ตัว ปนกับเก้าอี้อีก 500 ตัว ดังนี้ นายส้มต้องรับมอบโต๊ะและเก้าอี้จากนายเหลืองหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 465 ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับหน้าที่และความ รับผิดของผู้ขายในกรณีที่มีการส่งมอบทรัพย์สินซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์น้อยกว่าหรือมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ หรือ ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นที่มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญา ไว้ดังนี้คือ

(1)       ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ผู้ซื้อจะบอกปัดไม่รับเอาทรัพย์สินนั้น ก็ได้ หรือจะรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้วใช้ราคาตามส่วนก็ได้

(2)       ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากทว่าที่ได้สัญญาไว้ ผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้เฉพาะที่ ตกลงไว้ในสัญญาและนอกนั้นบอกปัดเสียก็ได้ หรือจะบอกปัดไม่รับเสียทั้งหมดก็ได้ หรือจะรับเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ใช้ราคาตามส่วนก็ได้

(3)       ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สิบอย่างอื่นที่มิได้รวมอยู่ใน ข้อสัญญา ผู้ซื้อจะรับเอาไว้เฉพาะทรัพย์สินตามสัญญาและนอกนั้นบอกปัดเสียก็ได้ หรือจะบอกปัดไม่รับเสีย ทั้งหมดก็ได้

ตามปัญหา การที่นายส้มได้ทำสัญญาซื้อขายโต๊ะคอมพิวเตอร์จากนายเหลืองจำนวน 500 ตัวนั้น ถือว่าเป็นการตกลงซื้อขายสังหาริมทรัพย์ เมื่อนายเหลืองได้ทำการส่งมอบโต๊ะคอมพิวเตอร์จำนวน 500 ตัวปนกับ เก้าอี้อีก 500 ตัว ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นที่มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาตามหลักกฎหมายข้อ (3) ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นนายส้มผู้ซื้อจึงมสิทธิตามกฎหมายที่จะรับมอบ เอาไว้เฉพาะโต๊ะคอมพิวเตอร์จำนวน 500 ตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สินตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา และบอกปัดไม่รับมอบเก้าอี้ 500 ตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา หรืออาจจะปฏิเสธไม่ยอมรับมอบทั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์ และเก้าอี้ก็ได้

สรุป นายส้มมีสิทธิรับมอบเฉพาะโต๊ะคอมพิวเตอร์และบอกปัดไม่รับมอบเก้าอี้ได้ หรืออาจจะ บอกปัดไม่รับมอบทั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์และเก้าอี้ก็ได้

 

ข้อ 4 อาทิตย์ได้รับตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อจากการสลักหลังลอย อาทิตย์ในฐานะผู้ทรงจะมีสิทธิโอนตั๋วแลกเงินต่อไปให้แก่ผู้อื่นได้โดยวิธีใดบ้าง จงอธิบายหลักกฎหมายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 920 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

“ในกรณีที่มีการสลักหลังลอย ผู้ทรงที่ได้รับตั๋วแลกเงินมาจากการสลักหลังลอย ย่อมมิสิทธิที่ จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ได้ กล่าวคือ

1         กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเองหรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

2         สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

3         โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด ”

ตามปัญหา การที่อาทิตย์ในฐานะผู้ทรงได้รับตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อมาจากการสลักหลังลอยนั้น หมายถึงกรณีที่ผู้ลั่งจ่ายได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินโดยมีการระบุชื่อของผู้รับเงินไว้ และต่อมาผู้รับเงินได้สลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่อาทิตย์โดยการสลักหลังนั้นเป็นเพียงการสลักหลังลอย กล่าวคือ ผู้รับเงิน (หรือผู้ทรงคนก่อน) ได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินนั้น โดยไม่ได้ระบุชื่อของอาทิตย์ (ผู้รับสลักหลัง) ไว้แต่อย่างใดนั่นเอง

ดังนั้น อาทิตย์ย่อมมีสิทธิตามมาตรา 920 ดังนี้ คือ

1        เขียนชื่อของอาทิตย์ลงในที่ว่าง (ซึ่งจะทำให้การสลักหลังลอยตอนแรกกลายเป็น สลักหลังเฉพาะ) และถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปให้แก่จันทร์ อาทิตย์ก็จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์

หรือถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ อาทิตย์อาจเขียนชื่อจันทร์ลงในที่ว่างแล้ว ส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ก็ได้

2         สลักหลังตั๋วเงินนั้นต่อไปอีก โดยการสลักหลังลอยหรือสลักหลังเฉพาะก็ได้

เช่น ถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปให้แก่จันทร์ อาทิตย์ก็จะสลักหลังและส่งมอบ ตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ โดยการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังลอย คือลงแต่ลายมือชื่อของอาทิตย์ไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินนั้นโดยไม่ระบุชื่อชองจันทร์ไว้ หรืออาจเป็นการสลักหลังเฉพาะ คือการระบุชื่อของจันทร์ผู้รับโอน ไว้ด้วยก็ได้

3         โอนตั๋วเงินนั้นต่อไปโดยไม่กรอกความลงในที่ว่างและไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใดเลย

เช่น ถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ต่อไป อาทิตย์ก็สามารถโอนได้โดยการส่งมอบ ตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ โดยไม่ปฏิบัติตาม 1 หรือ 2 ใด ๆ เลยก็ได้

สรุป เมื่ออาทิตย์ได้รับตั๋วแลกเงินระบุชื่อจากการสลักหลังลอย อาทิตย์ในฐานะผู้ทรงย่อม มีสิทธิโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปให้แก่ผู้อื่นโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 920 ดังที่อธิบายไว้ ดังกล่าวข้างต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!