LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนนข้อ  1  พระธรรมสาสตร์คืออะไร  ให้อธิบายถึงการกำเนิดพระธรรมศาสตร์ตามที่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวงมาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

พระคัมภีร์ธรรมศาสตร์  คือ  คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอำนาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่งเรียบเรียงขึ้น  เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่างๆตามความยุติธรรม  ซึ่งเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์  มีกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย  กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง  ดังนั้นจึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของกษัตริย์  และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมายของพระธรรมศาสตร์ด้วย  สภาพการณ์เช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีลักษณะและศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นที่มาของกฎหมายทั้งปวง

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ได้กล่าวถึงกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ความว่า  มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อพรหมเทวะ  จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกำเนิดในตระกูลมหาอำมาตย์  ซึ่งเป็นข้าบาทพระเจ้าสมมุติราชครั้งอายุได้  15  ปี  ก็เข้าแทนที่บิดา  ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่างๆ  จึงมีความปรารถนาจะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  จึงถวายบังคมลาออกไปบวชอยู่ในป่าหิมพานต์  จำเริญเมตตาภาวนาบริโภคพืชผลเป็นอาหาร  มีเทพกินนร  กินนรี  คนธรรม์  เป็นบริวาร  ต่อมาพระเทวะฤาษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตรสองคน  คนแรกชื่อ  ภัทธระกุมาร  คนที่สองชื่อ  มโนสารกุมร  เมื่อบุตรทั้งสองเจริญเติบโตบิดาก็ให้บวชเป็นฤาษีจำศีลภาวนาและรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา  จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป  ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤาษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช  มโนสารฤาษีก็ตามพี่ชายออกไปทำราชการด้วย  พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มามีชายสองคนทำไร่แตงใกล้กัน  เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาพูนเป็นถนนกั้นกลาง  เถาแตงจึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน  เมื่อแตงเป็นผล  ชายทั้งสองคนก็มาเก็บแตง  จึงเกิดการทะเลาะวิวาท  ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง  ชายทั้งสองคนจึงพากันมาหามโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด  มโนสารตัดสินว่าแตงอยู่ในไร่ของผู้ใด  ผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง  ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคำตัดสินของพระมโนสารจึงอุทธรณ์คำตัดสินไปยังพระเจ้าสมมุติราช  พระองค์จึงตรัสใช้อำมาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่  อำมาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดูตามปลายยอดเอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น  ชายทั้งสองคนต่างพอใจในคำตัดสินของอำมาตย์ผู้นี้  และประชาชนทั้งหลายต่างพากันตำหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม  พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีออกไปบวชเป็นฤาษีจำเริญภาวนาและมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรม  จึงเหาะไปยังกำแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏอยู่ในกำแพงจักรวาล  มีปริมาณเท่ากายคชสาร  พระมโนสารก็จดจำมาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์

การที่ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้แต่งเรื่องราวการกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ว่า  พระมโนสารเป็นผู้เหาะไปกำแพงจักรวาล  ซึ่งไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด  เพื่อจดเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราชนั้น  เป็นความประสงค์ของผู้เรียบเรียงคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มุ่งที่จะยกย่องว่าบทบัญญัติต่างๆ  ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ที่มาจากอำนาจเบื้องสูง  ไม่อยู่ในบังคับของมนุษย์  หากแต่ยังมีอำนาจบังคับเหนือมนุษย์ทั้งปวงให้ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ด้วย

 

ข้อ  2  หลักอินภาษคืออะไร  มีหลักเกณฑ์อย่างไร  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหลักอินทภาษมีผลอย่างไรต่อตุลาการ  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักอินทภาษ  เป็นค่ำสั่งสอนที่พระอินทร์มีต่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นตุลาการว่า  การจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ  4  ประการ  คือ  ฉันทาคติ  (รัก)  โทสาคติ  (โกรธ)  ภยาคติ  (กลัว)  โมหาคติ  (หลง)  และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส  ซึ่งหมายความว่า  พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ  ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว  อิสริยยศ   และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง  เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น  ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ  4  ประการดังกล่าว  อิสริยยศ  และบริวารยศ  ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม

ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น  หมายถึง  ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ  อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง  อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง

การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ  หมายถึง  อย่าตัดสินความโดยความโกรธ  พยาบาท  อาฆาต  เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน 

การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ  คือ   ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง  ไม่หวั่นไหว  กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์  หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก

การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ  หมายความว่า  จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้  คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์  จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง

การตัดสินคดีโดยมีอคติ  4  ประการนี้  นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  กล่าวว่า  ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น  บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง

หลักอินทภาษ  มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย

 

ข้อ  3  การประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนมีชื่อเรียกโดยรวมว่าอะไร  และประกอบด้วยอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

การประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียน  มีชื่อเรียกโดยรวมว่า  Corpus  Juris  Civilis  ซึ่งประกอบด้วย

1         Code  จักรพรรดิจัสติเนียนได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งจำนวน  10  คน  ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายชั้นนำ  และศาสตราจารย์ทางกฎหมายจัดการรวบรวมกฤษฎีกาของจักรพรรดิต่างๆโดยให้ตัดทอนซึ่งที่เห็นว่าล้าสมัยและเลิกใช้ไปแล้ว  ตลอดจนสิ่งที่เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องก็ให้ตัดทิ้งไป  ผลงานนี้เรียกว่า  Code  หรือประมวลพระราชบัญญัติ  ทำสำเร็จภายในเวลาเพียง  1  ปี  และประกาศใช้เป็นกฎหมายในปี  ค.ศ. 529  หลังจากประกาศใช้ไปได้เพียง  5  ปี  ก็มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่เพราะว่าล้าสมัย  ประมวลกฎหมายฉบับที่  2  นี้มีชื่อเรียกว่า  Justinian  Code  of  the  Resumed  Reading

2         Digest  หรือ  Pandect  หรือวรรณกรรมกฎหมาย  ในปี  ค.ศ. 530  จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งทริโบเนียน  (Tribonian)  เป็นหัวหน้าคณะกรรมการชุดหนึ่งจำนวน  16  คน  ซึ่งประกอบด้วยศาสตราจารย์ทางกฎหมายและทนายความ  หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้คือ  การศึกษาข้อเขียนของเหล่าบรรดานักกฎหมายที่ทรงคุณวุฒิ  จากหนังสือจำนวน  2,000  เล่ม  คณะกรรมการนี้ได้ตัดทอนเอาเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดไว้  และให้ตัดสิ่งที่ซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันทิ้งเสีย  และให้ดัดแปลงข้อความต่างๆให้เข้ากับกฎหมายของยุคจักรพรรดิจัสติเนียน  ผลงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือจำนวน  50  เล่ม  จัดเรียงเป็นลักษณะต่างๆผลงานนี้ทำสำเร็จภายในเวลา  3  ปี ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อปี  ค.ศ.  533

จักรพรรดิจัสติเนียนให้ถือว่า  Digests  แทนหนังสือเก่าๆทั้งหมด  และห้ามมิให้ค้นคว้า  หรืออ้างอิง   กฎหมายตามหนังสือเก่าโดยเด็ดขาด

 3         Institutes  ในปี  ค.ศ. 533  จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งประกอบด้วย  ทริโบเนียนและศาสตราจารย์ทางกฎหมายอีก  2  คน  ให้เรียบเรียงตำรากฎหมายขึ้นมาเล่มหนึ่งไว้เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้ศึกษากฎหมายและเนื้อหาสาระของกฎหมายชีวิล  ลอว์  โดยจะกล่าวถึงสาระสำคัญของกฎหมายทั้งหมดให้เป็นระบบเพื่อสะดวกแก่การศึกษา  ตำรากฎหมายฉบับนี้เรียบเรียงมาจากตำราของไกอุส  (Gaius)  โดยให้ตัดทอนสิ่งที่ล้าสมัยในตำราของไกอุสออก  และให้จัดทำเป็นตำราคำอธิบายกฎหมายเบื้องต้นซึ่งจัดพิมพ์ในปี  ค.ศ. 533

4         Novels  หลังจากที่มีการจัดทำประมวลกฎหมายในข้อ 1 , 2  และ  3  แล้ว  จักรพรรดิจัสติเนียนยังให้รวบรวมกฎหมายใหม่ๆ  ที่จักรพรรดิตราขึ้นมารวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย  แต่ทำไม่สำเร็จก็เสียชีวิตเสียก่อน  ต่อมามีเอกชนผู้อื่นได้จัดการรวบรวมสืบต่อมา  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่จักรพรรดิจัสติเนียนจึงให้นับเนื่องส่วนที่  4  นี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานของจักรพรรดิจัสติเนียนด้วย

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนนข้อ  1  หลักอินทภาษคืออะไร  มีหลักเกณฑ์ว่าอย่างไร  การที่ตุลาการตัดสินคดีโดยยึดหลักอินทภาษหรือไม่ยึดหลักอินทภาษมีผลต่อตุลาการท่านนั้นอย่างไรบ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักอินทภาษ  เป็นค่ำสั่งสอนที่พระอินทร์มีต่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นตุลาการว่า  การจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ  4  ประการ  คือ  ฉันทาคติ  (รัก)  โทสาคติ  (โกรธ)  ภยาคติ  (กลัว)  โมหาคติ  (หลง)  และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส  ซึ่งหมายความว่า  พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ  ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว  อิสริยยศ   และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง  เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น  ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ  4  ประการดังกล่าว  อิสริยยศ  และบริวารยศ  ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม

ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น  หมายถึง  ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ  อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง  อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง

การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ  หมายถึง  อย่าตัดสินความโดยความโกรธ  พยาบาท  อาฆาต  เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน 

การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ  คือ   ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง  ไม่หวั่นไหว  กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์  หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก

การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ  หมายความว่า  จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้  คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์  จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง

การตัดสินคดีโดยมีอคติ  4  ประการนี้  นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  กล่าวว่า  ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น  บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง

หลักอินทภาษ  มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย

 

ข้อ  2  ผู้ซึ่งมีบทบาทในการร่างกฎหมายของกรีกในช่วงปีที่  620  ถึง  594  ก่อนคริสตกาล  คือใคร  และ  จลอธิบายถึงผลงานเกี่ยวกับกฎหมายของบุคคลดังกล่าวด้วย

ธงคำตอบ

ผู้ซึ่งมีบทบาทในการร่างกฎหมายของกรีกมี  2  คน  คือ

1  ดราโค  (Draco)  เป็นผู้ซึ่งมีบทบาทอยู่ในช่วงราวปีที่  620  ก่อนคริสต์ศักราช  ดราโคได้ทำการรวบรวมกฎหมายและตราให้เป็นระเบียบหมวดหมู่  นอกจากนั้นยังเป็นเจ้าของประมวลกฎหมายที่เข้มงวดมากจนทำให้เกิดคำว่า  “Draconic”  หมายความว่า  รุนแรงหรือเข้มงวด  กระทั่งมีคำกล่าวว่า  กฎหมายของเขาเขียนด้วยเลือดไม่ใช่ด้วยหมึก  เช่น  ผู้ซึ่งเป็นหนี้คนอื่นแล้วไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดจะต้องตกเป็นทาสของเจ้าหนี้หรือใครขโมยกะหล่ำปลีจะต้องถูกลงโทษประหารชีวิต  กฎหมายฉบับนี้แม้จะให้ความยุติธรรม  แต่การลงโทษก็รุนแรงเกินไป   มิได้ช่วยแก้ไขความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ  ผู้มั่งคั่งยังคงรวยจนเหลือล้น  ในคณะที่คนจนก็ยัง ยากจนอย่างแสนสาหัส   พวกขุนนางยังคงตัดสินคดีเข้าข้างตนเอง  ความเข้มงวดของกฎหมายนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากจนถึงขั้นจลาจลวุ่นวายขึ้น  ในปี 600  ก่อนคริสต์ศักราช  อนึ่งประมวลกฎหมายของดราโค  ถือว่าเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของกรีก  ผลดีของกฎหมายฉบับนี้มีเพียงประการเดียว  คือ  ทำให้ประชาชนมีโอกาสรู้กฎหมายบ้านเมืองมิใช่ปล่อยให้ขุนนางเป็นผู้ตัดสินคดีตามใจดังแต่ก่อน

 2         โซลอน  (Solon)  เขาเป็นพ่อค้า  ซึ่งเป็นชนชั้นมั่งคั่งที่สุดในนครรัฐเอเธนส์  โซลอนได้เข้ามาปฏิรูปการปกครอง  ในราวปี  594 ก่อนคริสต์ศักราชเขาได้รับแต่งตั้งเป็นอาร์คอนมีอำนาจพิเศษในการตรากฎหมาย  เมื่อเข้ามารับตำแหน่งแล้ว  ได้ยกเลิกกฎหมายของดราโค  โซลอนได้พยายามเลิกทาสและยกฐานะของบุคคลให้เสมอภาคกัน  ผลงานที่สำคัญคือ

ก.       ประกาศยกเลิกบรรดาทรัพย์สินที่จำนอง  หนี้สินต่างๆ  ที่ลูกหนี้มีอยู่และห้ามการจำนองที่ดิน

ข.       ยกเลิกหนี้สินต่างๆ  ที่ลูกหนี้มีอยู่  รวมทั้งให้อิสรภาพแก่ผู้ที่ต้องกลายเป็นทาสเนื่องมาจากการติดหนี้สิน  และห้ามการขายตัวเพื่อชดใช้หนี้สิน

ค.       จัดตั้งสภาสี่ร้อย  (The  Council  of  Four  Hundred)  เพื่อเตรียมงานทางด้านนิติบัญญัติมีสมาชิก  400  คน  เลือกมาจากพลเมืองทั้งสี่เผ่าพันธุ์ที่ประกอบเป็นชาวนครรัฐเอเธนส์เผ่าพันธุ์ละ  100  คน  โดยให้สิทธิชนชั้นกลางและชนชั้นต่ำเข้าเป็นสมาชิกด้วย  จุดมุ่งหมายของการจัดตั้งสภานี้ก็เพื่อให้เกิดความสมดุลทางการเมืองกล่าวคือ  คนทั้ง  4  เผ่าพันธุ์  ต่างมีส่วนในการปกครองเท่าๆกัน  ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในทางนิติบัญญัติและในสภา

ง.        จัดตั้งศาลยุติธรรม  มีคณะผู้พิพากษาเรียกว่า  เฮเลีย  (Heliaea)  เรียกศาลนี้ว่า  ศาลเฮเลีย  ในระยะแรกศาลนี้ทำหน้าที่พิจารณาคดีเบื้องต้น  โดยที่อำนาจผู้พิพากษาสูงสุดยังคงอยู่กับอาร์คอน  ต่อมาภายหลังศาลเฮเลีย  ทำหน้าที่เป็นทั้งศาลเบื้องต้นและศาลสูงสุด  คณะผู้พิพากษาประกอบไปด้วยประชาชนทั่วไป   นอกจากอำนาจในการพิจารณาคดีแล้ว  ศาลนี้ยังมีอำนาจซักฟอกผู้บริหารงานที่ถูกกล่าวหาและถูกเชิญตัวมาในศาลด้วย

จ.       จัดให้มีการควบคุมเกี่ยวกับการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน  เพื่อป้องกันมิให้เอกชนคนใดมีที่ดินมากเกินไป

 

ข้อ  3  ในบรรดากฎหมายโบราณทั้งหลาย  กฎหมายโรมันมีคุณค่าพิเศษที่ทำให้เป็นรากฐานของประมวลกฎหมายแพ่งหลายประเทศในปัจจุบัน  จงอธิบายคุณค่าพิเศษของกฎหมายโรมัน

ธงคำตอบ 

คุณค่าพิเศษของกฎหมายโรมัน

ในบรรดากฎหมายโบราณทั้งหลาย  กฎหมายโรมันมีคุณค่าพิเศษซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุต่างๆ 3  ประการดังต่อไปนี้

 1         ในทางประวัติศาสตร์กฎหมาย  กฎหมายโรมันได้มีอายุสืบเนื่องติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน  จึงมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ขึ้นเป็นลำดับเสมอมา  และด้วยเหตุที่กรุงโรมได้มีหลักฐานอันเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับวิชากฎหมายอยู่มากมาย  ทำให้สามารถสืบสาวถึงความเจริญในเชิงระเบียบต่างๆของชุมชนแห่งชาวโรมันได้ดีกว่าชนชาติอื่นๆในสมัยโบราณ

2         ในทางคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง  ชาวโรมันเป็นชนชาติแรกที่ได้เข้าจัดการบ้านเมืองของชนชาติอื่นที่ตนรบชนะ  ให้อยู่โดยสงบเรียบร้อย  กฎหมายโรมันจึงค่อยๆผ่อนผันเข้ากับสภาพแห่งความเป็นอยู่ของชนชาติต่างๆ  ที่มีการดำเนินชีวิตผิดแผกแตกต่างกัน  จนกลายเป็นกรอบข้อบังคับทั่วไปที่ใช้  ได้แก่  มนุษยชาติโดยไม่จำกัดหมู่เหล่า  จนได้รับขนานนามว่าเป็น  “คัมภีร์แห่งสติปัญญา”  (Ratio  Scripta)

3         กฎหมายโรมันยังคงอยู่  แม้จักรวรรดิโรมันได้สูญสิ้นไปแล้ว  เพราะว่ากฎหมายโรมันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ชนชาติต่างๆ  ที่ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกรุงโรม  กฎหมายโรมันจึงประดุจกฎหมายกลางของบรรดาประเทศในยุโรปที่หยั่งรากลึกมาเป็นเวลานาน  ฉะนั้นในเมื่อไทยรับเอาหลักกฎหมายของยุโรปมาเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมาย  จึงอาจกล่าวได้ว่ากฎหมายโรมันย่อมเป็นมูลรากของกฎหมายไทยเช่นเดียวกัน

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร  และในกฎหมายตราสามดวงมีการกล่าวถึงการกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ว่ามีความเป็นมาอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

พระคัมภีร์ธรรมศาสตร์  คือ  คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอำนาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่งเรียบเรียงขึ้น  เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่างๆตามความยุติธรรม  ซึ่งเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์  มีกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย  กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง  ดังนั้นจึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของกษัตริย์  และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมายของพระธรรมศาสตร์ด้วย  สภาพการณ์เช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีลักษณะและศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นที่มาของกฎหมายทั้งปวง

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ได้กล่าวถึงกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ความว่า  มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อพรหมเทวะ  จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกำเนิดในตระกูลมหาอำมาตย์  ซึ่งเป็นข้าบาทพระเจ้าสมมุติราชครั้งอายุได้  15  ปี  ก็เข้าแทนที่บิดา  ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่างๆ  จึงมีความปรารถนาจะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  จึงถวายบังคมลาออกไปบวชอยู่ในป่าหิมพานต์  จำเริญเมตตาภาวนาบริโภคพืชผลเป็นอาหาร  มีเทพกินนร  กินนรี  คนธรรม์  เป็นบริวาร  ต่อมาพระเทวะฤาษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตรสองคน  คนแรกชื่อ  ภัทธระกุมาร  คนที่สองชื่อ  มโนสารกุมร  เมื่อบุตรทั้งสองเจริญเติบโตบิดาก็ให้บวชเป็นฤาษีจำศีลภาวนาและรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา  จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป  ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤาษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช  มโนสารฤาษีก็ตามพี่ชายออกไปทำราชการด้วย  พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มามีชายสองคนทำไร่แตงใกล้กัน  เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาพูนเป็นถนนกั้นกลาง  เถาแตงจึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน  เมื่อแตงเป็นผล  ชายทั้งสองคนก็มาเก็บแตง  จึงเกิดการทะเลาะวิวาท  ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง  ชายทั้งสองคนจึงพากันมาหามโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด  มโนสารตัดสินว่าแตงอยู่ในไร่ของผู้ใด  ผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง  ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคำตัดสินของพระมโนสารจึงอุทธรณ์คำตัดสินไปยังพระเจ้าสมมุติราช  พระองค์จึงตรัสใช้อำมาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่  อำมาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดูตามปลายยอดเอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น  ชายทั้งสองคนต่างพอใจในคำตัดสินของอำมาตย์ผู้นี้  และประชาชนทั้งหลายต่างพากันตำหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม  พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีออกไปบวชเป็นฤาษีจำเริญภาวนาและมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรม  จึงเหาะไปยังกำแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏอยู่ในกำแพงจักรวาล  มีปริมาณเท่ากายคชสาร  พระมโนสารก็จดจำมาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์

การที่ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้แต่งเรื่องราวการกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ว่า  พระมโนสารเป็นผู้เหาะไปกำแพงจักรวาล  ซึ่งไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด  เพื่อจดเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราชนั้น  เป็นความประสงค์ของผู้เรียบเรียงคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มุ่งที่จะยกย่องว่าบทบัญญัติต่างๆ  ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ที่มาจากอำนาจเบื้องสูง  ไม่อยู่ในบังคับของมนุษย์  หากแต่ยังมีอำนาจบังคับเหนือมนุษย์ทั้งปวงให้ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ด้วย

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย  มาตรา  544  วางหลักไว้ว่า  “ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงไม่ได้”  ซึ่งจากการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายของต่างประเทศพบว่า  มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรเก่าแก่ที่สุดบัญญัติเกี่ยวกับการเช่าช่วงไว้  อยากทราบว่ากฎหมายนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร  เกิดขึ้นในยุคสมัยใดและจงอธิบายกฎหมายเรื่องนี้มาพอสังเขป

ธงคำตอบ

กฎหมายเรื่องนี้คือเช่าอสังหาริมทรัพย์  ชื่อกฎหมายคือ  ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี  ซึ่งยอมให้เอกชนสามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้  แม้กระทั่งพระเจ้าฮัมมูราบีก็ทรงมีที่ดินเป็นของพระองค์เอง  รวมทั้งวัดก็เป็นเจ้าของที่ดินได้  ดังนั้นกษัตริย์  วัด  หรือประชาชน  ย่อมนำที่ดินไปให้ผิอื่นเช่าโดยได้รับค่าเช่าเป็นการตอบแทนนอกจากนี้ผู้เช่าอาจนำที่ดินที่ตนเช่าอยู่ไปให้ผู้อื่นเช่าต่อไป  เรียกว่า  เป็นการ”เช่าช่วง”  ดังนั้น  การเช่าช่วงจึงมีมาตั้งแต่สมัยบาบิโลนแล้ว

 

ข้อ  3  คดีฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศแคนาดาได้ยุติลงแล้ว  เมื่อคณะลูกขุนประจำศาลแวนคูเวอร์ตัดสินว่านายโรเบิร์ต  วิลลี่  พิกตัน  วัย  58  ปี  มีความผิดฐานฆาตกรรมผู้หญิง  6  คน  ต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต  รายงานข่าวโดยเอพีและบีบีซี  เมื่อวันที่ 10  ธันวาคม  2550  จากข่าวดังกล่าวจงอธิบายวิธีพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน  พอสังเขป

ธงคำตอบ

จูลี่หรือลูกขุน  เป็นคำรวม  หมายถึง  คณะลูกขุนจำนวน  12  คน  บุคลซึ่งประกอบเป็นลูกขุนคนใดคนหนึ่งเรียกว่า  จูรอร์ (Juror) เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ  สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่  2

วัตถุประสงค์ของการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน  เป็นระบบการพิจารณาเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงในกระบวนการยุติธรรมมากที่สุดแทนที่จะปล่อยให้อยู่ในมือของนักกฎหมายเท่านั้น  การพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุนเป็นวิวัฒนาการของการพิจารณาคดี  ในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์โดยเฉพาะ  ซึ่งสืบเนื่องกันมาหลายศตวรรษ

คุณสมบัติของผู้เป็นลูกขุนมีบัญญัติอยู่ใน  Jury  Act  1825  คือ  ต้องเป็นคนสัญชาติอังกฤษอายุระหว่าง  20 -60 ปี  ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง  บุคคลที่ไม่อาจเป็นลูกขุนได้  คือ  สมาชิกสภาขุนนาง  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  นักพรต  นักบวช  แพทย์  ทหาร  ตำรวจ  ข้าราชการ  นักกฎหมาย  ผู้มีจิตไม่สมประกอบ

ปัจจุบันประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายคอมมอน  ลอว์  เช่น  ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์  สิงคโปร์  มาเลเซีย  ได้ยกเลิกระบบลูกขุน  เพราะความไม่สะดวกเนื่องจากสิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย  ในมาเลเซียเฉพาะคดีที่มีโทษประหารชีวิตเท่านั้น  ที่มีการพิจารณาคดีโดยลูกขุน

การพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน  ส่วนมากใช้เฉพาะในคดีอาญา  ส่วนคดีแพ่งมีน้อยมาก  เว้นแต่คดีหมิ่นประมาท  คดีทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ  คดีผิดสัญญาสมรส  คดีล่อลวง  และคดีฉ้อโกง  ในปัจจุบันคดีอาญาที่มีการพิจารณาโดยคณะลูกขุนต้องเป็นความผิดอุกฉกรรจ์  เช่น  ฆ่าคนตายโดยเจตนา  ปล้นทรัพย์  ข่มขืนกระทำชำเรา  อำนาจหน้าที่ของคณะลูกขุนคือ  พิจารณาเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริง  เช่น จำเลยแทงผู้ตายจริงหรือไม่  ส่วนจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่เจตนา  เป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี  ลูกขุนจะนั่งฟังการสืบพยานหลักฐานตั้งแต่ต้นจนจบ  แล้วจะลงมติว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่  ถ้าเห็นว่าผิด  (Guilty)  ผู้พิพากษาจะเป็นผู้กำหนดโทษต่อไป  และฝ่ายที่ไม่พอใจย่อมอุทธรณ์และฎีกาต่อไป.

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  หลักอินทภาษคืออะไร  มีหลักเกณฑ์อย่างไร  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหลักอินทภาษมีผลอย่างไรต่อตุลาการ  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักอินทภาษ  เป็นค่ำสั่งสอนที่พระอินทร์มีต่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นตุลาการว่า  การจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ  4  ประการ  คือ  ฉันทาคติ  (รัก)  โทสาคติ  (โกรธ)  ภยาคติ  (กลัว)  โมหาคติ  (หลง)  และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส  ซึ่งหมายความว่า  พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ  ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว  อิสริยยศ   และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง  เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น  ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ  4  ประการดังกล่าว  อิสริยยศ  และบริวารยศ  ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม

ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น  หมายถึง  ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ  อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง  อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง

การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ  หมายถึง  อย่าตัดสินความโดยความโกรธ  พยาบาท  อาฆาต  เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน 

การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ  คือ   ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง  ไม่หวั่นไหว  กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์  หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก

การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ  หมายความว่า  จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้  คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์  จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง

การตัดสินคดีโดยมีอคติ  4  ประการนี้  นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  กล่าวว่า  ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น  บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง

หลักอินทภาษ  มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมาย  3  ดวง  คืออะไร  เพราะเหตุใดจึงมีกฎหมายตรา  3  ดวง  อธิบาย

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายตราสามดวง  คือ  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้รวบรวมและชำระสะสางให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อปีจุลศักราช  1166  (พุทธศักราช  2347)  ประกอบด้วยพระธรรมศาสตร์  หลักอินทภาษ  และพระอัยการต่างๆ  รวม  29  ลักษณะ  เสร็จแล้วทรงให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน  3  ชุดๆละ  41 เล่ม  ทรงให้ประทับตราราชสีห์  พระคชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไวเป็นสำคัญ  และใช้เป็นกฎหมาย  ตลอดมาจนค่อยๆมีการทยอยยกเลิกจนหมดสิ้นเมื่อปี  พ.ศ.  2481

เหตุเมื่อมีประมวลกฎหมายตราสามดวงเนื่องจากมีการร้องทุกข์ทูลเกล้าถวายฎีกาของนายบุญศรี  ช่างเหล็กหลวง  กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ  เนื่องด้วยอำแดงป้อมภรรยานายบุญศรีฟ้องหย่านายบุญศรี  นายบุญศรีให้การแก่พระเกษมว่าอำแดงป้อมนอกใจทำชู้ด้วยนายราชาอรรถแล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีนายบุญศรีไม่ยอมหย่า  พระเกษมหาพิจารณาตามคำให้การนายบุญศรีไม่  พระเกษมพูดจาแทะโลมอำแดงป้อมและพิจารณาไม่เป็นสัจเป็นธรรม  เข้าด้วยอำแดงป้อม  แล้วคัดเอาข้อความมาให้ลูกขุน  ณ  ศาลหลวงปรึกษาว่าเป็นหญิงหย่าชาย  ให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีหย่าขาดจากกันตามกฎหมาย  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่าเป็นเรื่องหญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า  ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่  จึงทรงให้จักกรชำระบทกฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นเสียใหม่  ซึ่งมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ  3  การประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนมีชื่อเรียกโดยรวมว่าอะไร  และประกอบด้วยอะไรบ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

การประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียน  มีชื่อเรียกโดยรวมว่า  Corpus  Juris  Civilis  ซึ่งประกอบด้วย

1         Code  จักรพรรดิจัสติเนียนได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งจำนวน  10  คน  ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายชั้นนำ  และศาสตราจารย์ทางกฎหมายจัดการรวบรวมกฤษฎีกาของจักรพรรดิต่างๆโดยให้ตัดทอนซึ่งที่เห็นว่าล้าสมัยและเลิกใช้ไปแล้ว  ตลอดจนสิ่งที่เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องก็ให้ตัดทิ้งไป  ผลงานนี้เรียกว่า  Code  หรือประมวลพระราชบัญญัติ  ทำสำเร็จภายในเวลาเพียง  1  ปี  และประกาศใช้เป็นกฎหมายในปี  ค.ศ. 529  หลังจากประกาศใช้ไปได้เพียง  5  ปี  ก็มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่เพราะว่าล้าสมัย  ประมวลกฎหมายฉบับที่  2  นี้มีชื่อเรียกว่า  Justinian  Code  of  the  Resumed  Reading

2         Digest  หรือ  Pandect  หรือวรรณกรรมกฎหมาย  ในปี  ค.ศ. 530  จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งทริโบเนียน  (Tribonian)  เป็นหัวหน้าคณะกรรมการชุดหนึ่งจำนวน  16  คน  ซึ่งประกอบด้วยศาสตราจารย์ทางกฎหมายและทนายความ  หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้คือ  การศึกษาข้อเขียนของเหล่าบรรดานักกฎหมายที่ทรงคุณวุฒิ  จากหนังสือจำนวน  2,000  เล่ม  คณะกรรมการนี้ได้ตัดทอนเอาเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดไว้  และให้ตัดสิ่งที่ซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันทิ้งเสีย  และให้ดัดแปลงข้อความต่างๆให้เข้ากับกฎหมายของยุคจักรพรรดิจัสติเนียน  ผลงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือจำนวน  50  เล่ม  จัดเรียงเป็นลักษณะต่างๆผลงานนี้ทำสำเร็จภายในเวลา  3  ปี ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อปี  ค.ศ.  533

จักรพรรดิจัสติเนียนให้ถือว่า  Digests  แทนหนังสือเก่าๆทั้งหมด  และห้ามมิให้ค้นคว้า  หรืออ้างอิง   กฎหมายตามหนังสือเก่าโดยเด็ดขาด

 3         Institutes  ในปี  ค.ศ. 533  จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งประกอบด้วย  ทริโบเนียนและศาสตราจารย์ทางกฎหมายอีก  2  คน  ให้เรียบเรียงตำรากฎหมายขึ้นมาเล่มหนึ่งไว้เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้ศึกษากฎหมายและเนื้อหาสาระของกฎหมายชีวิล  ลอว์  โดยจะกล่าวถึงสาระสำคัญของกฎหมายทั้งหมดให้เป็นระบบเพื่อสะดวกแก่การศึกษา  ตำรากฎหมายฉบับนี้เรียบเรียงมาจากตำราของไกอุส  (Gaius)  โดยให้ตัดทอนสิ่งที่ล้าสมัยในตำราของไกอุสออก  และให้จัดทำเป็นตำราคำอธิบายกฎหมายเบื้องต้นซึ่งจัดพิมพ์ในปี  ค.ศ. 533

4         Novels  หลังจากที่มีการจัดทำประมวลกฎหมายในข้อ 1 , 2  และ  3  แล้ว  จักรพรรดิจัสติเนียนยังให้รวบรวมกฎหมายใหม่ๆ  ที่จักรพรรดิตราขึ้นมารวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย  แต่ทำไม่สำเร็จก็เสียชีวิตเสียก่อน  ต่อมามีเอกชนผู้อื่นได้จัดการรวบรวมสืบต่อมา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่จักรพรรดิจัสติเนียนจึงให้นับเนื่องส่วนที่  4  นี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานของจักรพรรดิจัสติเนียนด้วย

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2548

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน

ข้อ 1. นายเพชรอายุ 17 ปี ได้เสียกับ น.ส. หญิงอายุ 20 ปี น.ส. หญิงตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร 1 คน คือ ด.ญ. สวย นายเพชรรัก ด.ญ. สวยมาก นายเพชรต้องการจดทะเบียนรับรอง ด.ญ. สวยให้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นายเพชรไม่ต้องการให้บิดามารดาของตนทราบ ต่อมานายโชติคุณลุง ของนายเพชรได้ให้สร้อยทองเป็นของขวัญวันเกิดแก่นายเพชร นายเพชรได้นำสร้อยทองดังกล่าวไป ให้กับ น.ส. หญิง ดังนี้

ก) นายเพชรจะจดทะเบียนรับรอง ด.ญ. สวยว่าเป็นบุตรของตนโดยไม่ขอความยินยอมจากบิดามารดา ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ข) ถ้าบิดามารดาของนายเพชรทราบเรื่องที่นายเพชรนำสร้อยทองไปให้ น.ส. หญิง บิดามารดาของ นายเพชรจะบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยทองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติเกี่ยวกับการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ดังนี้คือ

1.         ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้น การนั้นเป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 21)

2.         ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว (ป.พ.พ. มาตรา 23)
ก) ตามปัญหาการที่นายเพชรอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ต้องการจดทะเบียนรับ ด.ญ. สวย เป็น บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ถือได้ว่านิติกรรมการจดทะเบียนรับรองบุตรเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 23 ซึ่งถือว่าเป็นข้อยกเว้นของ ป.พ.พ. มาตรา 21 ที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังตนเองโดย ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ดังนั้นนายเพชรจึงสามารถที่จะจดทะเบียนรับ ด.ญ. สวย เป็น บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากบิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม

ข) การที่นายเพชรผู้เยาว์ได้นำสร้อยทองไปให้ น.ส. หญิงนั้น นิติกรรมการให้ดังกล่าวไม่เข้าข้อยกเว้น ที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์ทำได้โดยลำพังตนเอง ดังนั้นถ้าผู้เยาว์จะทำจึงต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 21 เมื่อไม่ได้รับความยินยอมนิติกรรมการให้ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ และเมื่อบิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมทราบ ย่อมมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยทองดังกล่าวได้

สรุป

ก) นายเพชรสามารถจดทะเบียนรับ ด.ญ. สวย เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้โดยไม่ต้อง ขอความยินยอมจากบิดามารดา

ข) บิดามารดาของนายเพชรสามารถบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยทองได้ เพราะนิติกรรม การให้ดังกล่าวเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2 ก. เป็นนักธุรกิจซึ่งกำลังประสบกับการขาดทุน มีเจ้าหนี้หลายรายติดตามทวงถามหนี้อยู่ ก. มีรถยนต์โบราณอยู่คันหนึ่งเกรงว่าเจ้าหนี้จะมายึดเอารถยนต์นั้นไป ก. จึงทำเป็นขายรถยนต์นั้นให้ ข. ไป โดย ก. และ ข. รู้กันดีว่าการซื้อขายนี้ไม่ได้เจตนาทำกันจริงจังแต่อย่างไร

ดังนี้สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่าง ก. และ ข. มีผลอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคแรก ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการแสดง

เจตนาลวงไว้ว่า

“การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคล ภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

การแสดงเจตนาลวงตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึงการที่คู่กรณีมิได้มีเจตนาที่จะทำนิติกรรม ให้มีผลบังคับกันตามกฎหมาย แต่ได้แสดงเจตนาหรือทำนิติกรรมขึ้นมาเพี่อหลอกลวงบุคคลอื่นเท่านั้น กฎหมาย จึงได้กำหนดให้นิติกรรมดังกล่าว เป็นโมฆะใช้บังคับกันไม่ได้

ตามปัญหา การที่ ก. ได้ทำนิติกรรมขายรถยนต์โบราณให้ ข. โดย ก. และ ข. รู้กันดีว่าการซื้อขายนี้ไม่ได้เจตนาทำกันจริงจังแต่อย่างไร แต่ทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวงเจ้าหนี้ของ ก. เท่านั้น ดังนั้นนิติกรรมใน รูปสัญญาซื้อขายระหว่าง ก. และ ข. จึงมีผลเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงของคู่ กรณี คือ ก. และ ข.

สรุป สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่าง ก. และ ข. มีผลเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549      นายสิรายุขอซื้อที่ดินจากนายปรเมศวร์ในราคาหนึ่งล้านบาทนายปรเมศวร์ยอมขายที่ดินให้แก่นายสิรายุในราคาหนึ่งล้านบาทตามที่นายสิรายุเสนอ โดยนายสิรายุ จ่ายเงินให้แก่นายปรเมศวร์หนึ่งล้านบาทในวันที่ตกลงซื้อขายกัน และนายสิรายุกับนายปรเมศวร์ ตกลงกันว่าจะไปทำการซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 แต่เมื่อถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 นายปรเมศวร์ไมjไปทำการซื้อขายเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

ดังนี้สัญญาซื้อขายระหว่างนายสิรายุกับนายปรเมศวร์เป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด และ นายสิรายุจะสามารถฟ้องร้องบังคับให้นายปรเมศวร์ไปทำการซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

“สัญญาจะซื้อขาย” คือสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณี ยังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการ โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือเมื่อ ได้ไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั้นเอง

ตามปัญหา สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายสิรายุกับนายปรเมศวร์ ที่ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขาย กันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 และมีข้อตกลงกันว่าจะไปทำการซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 นั้นเป็นสัญญาจะซื้อขาย เพราะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และคู่กรณีมีเจตนาที่จะไปทำสัญญาซื้อขายให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ไนภายหน้า

และตามกฎหมายมีหลักว่า “สัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน” (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรค 2)

ข้อเท็จจริงตามปัญหา เมื่อในวันที่ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันนั้น นายสิรายุได้จ่ายเงินให้แก่ นายปรเมศวร์แล้วหนึ่งล้านบาท จึงถือได้ว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายสิรายุกับนายปรเมศวร์นั้นมีหลักฐาน ที่สามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ถ้าฝายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา คือมีการชำระหนี้บางส่วน ดังนั้น เมื่อครบกำหนด คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 นายปรเมศวร์ไม่ไปทำการซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ นายสิรายุย่อมสามารถฟ้องร้องบังคับให้นายปรเมศวร์ไปทำการซื้อขายและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้

สรุป สัญญาซื้อขายระหว่างนายสิรายุกับนายปรเมศวร์เป็นสัญญาจะซื้อขาย และนายสิรายุ สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายปรเมศวร์ไปทำการซื้อขายเป็นหนังสือและชุดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้

 

ข้อ 4. ให้นักศึกษาเลือกทำคำตอบเพียงข้อเดียว

ก) ที่ว่า “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา 1009 บุคคลผู้ใช้เงินในเวลาถึงกำหนดย่อมเป็นอัน หลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่จะได้ทำการฉ้อฉลหรือมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อนึ่งบุคคลซึ่งกล่าวนี้จำต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าได้มีการสสักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของเหล่าผู้สลักหลัง”       ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่างประกอบหรือ

ข) นายแดงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับหนึ่งซึ่งธนาคารได้รับรองเช็คแล้ว มาปรึกษาท่านว่าถ้านำเช็คนี้ไปยื่น กับธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน ธนาคารจะปฏิบัติการใช้เงินตามเช็คนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 949 นั้น เป็นเรื่องของการใช้เงินตามตั๋วเงินเมื่อตั๋วเงินนั้นได้ถึง กำหนดเวลาใช้เงิน ซึ่งถ้าบุคคลที่มีหน้าที่ในการใช้เงินได้ใช้เงินไปถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะหลุดพ้นจากความรับผิดชอบตามตัวเงิน คือ ไม่ต้องรับผิดชอบในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นอีกเลย

ตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นั้น สามารถแยกออกได้ 2 กรณี คือ

1.         ถ้าเป็นกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงินตามตั๋ว เช่น ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค เป็นต้น กฎหมายได้บัญญัติให้ใช้มาตรา 1009 บังคับ จะไม่ใช้มาตรา 949 บังคับ

2.         ถ้าเป็นกรณีที่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงิน เช่น ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน เป็นต้น ดังนี้กฎหมายให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 949 บังคับ

และตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นี้ หมายความว่า บุคคลผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินจะหลุดพ้น จากความรับผิดชอบได้นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ

1.         จะต้องได้ใช้เงินไปเมื่อตั๋วนั้นถึงกำหนดชำระเงินแล้ว

2.         จะต้องเป็นการใช้เงินไปโดยสุจริต กล่าวคือ มิได้ทำการฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง และ

3.         ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงว่าตั๋วนั้นได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำเป็น ต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของบรรดาผู้สลักหลังแต่อย่างใด

ตัวอย่าง ดำออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แดงจ่ายเงินให้แก่ขาวจำนวน 100,000 บาท ต่อมาได้มีการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้โดยการสลักหลังและส่งมอบทุกครั้ง จนกระทั่งตั๋วฉบับนี้ได้มาอยู่ในความครอบครองของ เหลืองซึ่งเป็นผู้ทรง ดังนั้นแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการสลักหลังครั้งหนึ่งจะเป็นการสลักหลังปลอมก็ตาม เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน เหลืองได้นำตั๋วไปยื่นให้แดงจ่ายเงิน และแดงได้จ่ายเงินให้แก่เหลืองไปแล้วโดยถูกต้องตาม หลักเกณฑ์ 3 ประการดังกล่าวข้างต้น แดงก็ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดชอบในการใช้เงินตามตั๋วเงินไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 949

ข) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 993 วรรค 1 ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการรับรองเช็คและผลของการรับรองเช็ค ไว้ว่า “ถ้าธนาคารเขียนข้อความลงลายมือชื่อบนเช็ค เช่นคำว่า “ใช้ได้” หรือ “ใช้เงินได้” หรือคำใด ๆ อันแสดงผลอย่างเดียวกัน ธนาคารต้องผูกพันในฐานเป็นลูกหนี้ชั้นต้นในอันจะต้องใช้เงิน แก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น”

จากหลักกฎหมายดังกล่าวหมายความว่า ถ้าธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คได้ลงลายมือชื่อ รับรองเช็คไว้แล้ว ธนาคารผู้รับรองเช็คจะต้องผูกพันในฐานเป็นลูกหนี้ชั้นต้นในอันที่จะต้องใช้เงินตามเช็คนั้นเสมอ เมื่อผู้ทรงเช็คได้นำเช็คนั้นมายื่นเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็ค

ดังนั้นเมื่อนายแดงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับหนึ่งซึ่งธนาคารได้รับรองเช็คไว้แล้ว นำเช็คนี้ไปยื่นให้ธนาคารใช้เงินตามเช็ด ธนาคารจะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้น จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คไม่ได้

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ1. นากรกฎอายุ 30 ปีเป็นคนวิกลจริต ซึ่งศาลยังไม่สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ วันหนึ่งนายกรกฎ ไปซื้อรถจากนายอาร์ต โดยขณะที่นายกรกฎซื้อรถจากนายอาร์ต นายกรกฎไม่มีอาการวิกลจริต แต่นายอาร์ตทราบว่านายกรกฎเป็นคนวิกลจริต

ดังนี้ นิติกรรมการซื้อขายรถของนายกรกฎกับนายอาร์ตมีผลทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 30 ได้บัญญัติหลักการทำนิติกรรมของคนวิกลจริต ไว้ว่า “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะ ต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”
จากหลักกฎหมายดังกล่าว เมื่อคนวิกลจริตทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่จริตวิกลอยู่ แรกรณีอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้รู้อยู่แล้วว่าผู้กระทำ เป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะที่นายกรกฎซึ่งเป็นคนวิกลจริตที่ศาลยังมิได้สั่งให้ เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำการซื้อรถจากนายอาร์ตนั้น นายกรกฎไม่มีอาการวิกลจริตแต่อย่างใด และถึงแม้ นายอาร์ตจะทราบว่านายกรกฎเป็นคนวิกลจริต ก็ไม่ทำให้นิติกรรมการซื้อขายรถของนายกรกฎกับนายอาร์ตมีผล เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 30 ดังนั้นนิติกรรมการซื้อขายรถดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์

สรุป นิติกรรมการซื้อขายรถของนายกรกฎกับนายอาร์ตมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

 

ข้อ2. ให้นักศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดที่มีผล เป็นโมฆะและโมฆียะ โดยอาศัยหลักกฎหมายจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ครบถ้วน

ธงคำตอบ

การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักไว้ดังนี้คือ

1) การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น (ป.พ.พ. มาตรา 156)

2)         การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่า เป็นสาระสำคัญ เป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 157)

3)         ความสำคัญผิด ตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 158)

จากหลักกฎหมายดังกล่าว การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดที่มีผลเป็นโมฆะและโมฆียะจะเหมือนและแตกต่างกันดังนี้ คือ

ความเหมือน

1.         เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญเช่นเดียวกัน

2.         มีข้อยกเว้นที่เหมือนกัน กล่าวคือ ถ้าความสำคัญผิดนั้นเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้

ความแตกต่าง

การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมที่เป็นโมฆะนั้น สิ่งซึ่งเป็น

สาระสำคัญ ได้แก่ ลักษณะของนิติกรรม ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม

ส่วนการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดที่มีผลเป็นโมฆียะ คือ สำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล

หรือทรัพย์สิน ซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ

 

ข้อ 3. จงอธิบายหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาเมื่อมีกรณีต้องฟ้องร้องบังคับคดีระหว่างคู่สัญญาจะซื้อขาย

ธงคำตอบ

ตามกฎหมายมีหลักว่า “สัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้  หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว” (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรค 2)

จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เมื่อมีกรณีต้องฟ้องร้องบังคับคดีระหว่างคู่สัญญาจะซื้อขาย ตามสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าคู่สัญญาฝ่ายที่จะฟ้องร้องจะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ จึงจะฟ้องร้องเพื่อให้มีการบังคับคดีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้ คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3        มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว

 

ข้อ 4. นายแหลมสั่งจ่ายเช็คธนาคารหัวหมาก จำกัด (มหาชน) จำนวน 50,000 บาท แล้วส่งมอบชำระหนี้ ค่าสินค้าให้แก่นายคม โดยหลังจากที่นายคมได้รับเช็คฉบับดังกล่าวมาแล้วก็นำไปเก็บไว้จนหลงลืม มิได้นำไบ่ยื่นให้ธนาคารหัวหมากฯ ใช้เงินตามเช็คให้ จนเวลาล่วงเลยไปเจ็ดเดือนเศษนับแต่วันที่ ลงไว้ในเช็ค นายคมจึงนำเช็คไปยื่นให้ธนาคารหัวหมากฯ ชำระเงินให้ ในกรณีนี้หากเงินในบัญชี ของนายแหลมที่สั่งจ่ายเช็คไปนั้นยังมีเพียงพอที่จะชำระให้แก่นายคมได้ ธนาคารหัวหมากฯ จะสามารถ ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายคมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 991 ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการใช้เงินตามเช็คของธนาคารไว้ว่า “ธนาคารจำต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงินแก่ตน เว้นแต่ในกรณีอย่าง ใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ที่ธนาคารมีสิทธิไม่ใช้เงินตามเช็คได้ คือ

(1)       ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้าคนนั้นเป็นเจ้าหนี้พอจะจ่ายตามเช็คนั้น หรือ

(2)       เช็คนั้นได้ยื่นเพื่อให้ใช้เงินเมื่อพ้นเวลา 6 เลือนนับแต่วันออกเช็ค หรือ

(3)       ได้มีคำบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป

ตามปัญหา การที่นายคมผู้ทรงเช็คได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารหัวหมากฯ ใช้เงินตามเช็คเมื่อพ้น เวลา 6 เดือนนับแต่วันออกเช็ค (วันที่ลงไว้ในเช็ค) ดังนั้นแม้ว่าเงินในบัญชีของนายแหลมผู้สั่งจ่ายเช็ค จะมีเพียงพอ ที่จะให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คได้ก็ตาม ธนาคารหัวหมากฯ ก็สามารถปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คให้แก่นายคมได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 991 (2)

สรุป ธนาคารหัวหมากฯ สามารถที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายคมได้

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบใส่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะได้ในกรณีใดบ้าง จงอธิบาย
ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กำหนดเหตุที่จะทำให้ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะไว้ 2 กรณีดังต่อไปนี้ คือ

1.         บรรลุนิติภาวะโดยอายุ            กล่าวคือ เมื่อบุคคลใดมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ บุคคลนั้นย่อมบรรลุนิติภาวะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะ เมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์”
2.         บรรลุนิติภาวะโดยการสมรส กล่าวคือ ผู้เยาว์อาจจะบรรลุนิติภาวะได้ ถ้าหากชายและหญิง ได้จดทะเบียนสมรสกัน ในขณะที่ชายและหญิงนั้นมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ หรืออาจมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ก็ได้ ถ้าหากได้รับอนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 20 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้เยาว์ย่อม บรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา 1448” และในมาตรา 1448 ก็ได้ บัญญัติไว้ว่า “การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้”

 

ข้อ 2. นาย ก. และนาย ข. ได้ตกลงจะแลกเปลี่ยนที่ดินกัน จึงได้ไปแสดงความจำนงต่อเจ้าพนักงาน แต่เจ้าพนักงานบอกว่าไม่สะดวก ให้ทำเป็นสัญญาซื้อขายซึ่งกันและกันเพื่อสะดวกในการโอน นาย ก. และ นาย ข. จึงได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันไว้ แต่มิได้มีการชำระราคาที่ดินกันแต่อย่างไร

ดังนั้น ในระหว่างนาย ก. และนาย ข. ต้องนำนิติกรรมลักษณะใดมาใช้บังคับจึงจะชอบด้วย กฎหมายลักษณะนิติกรรมอำพราง

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรค 2 บัญญัติว่า

“ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของ กฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว ในเรื่องนิติกรรมอำพรางนั้น จะมีการทำนิติกรรมขึ้น 2 ลักษณะคือ

1.         นิติกรรมที่คู่กรณีได้ทำขึ้น และต้องการให้มีผลผูกพันบังคับกันตามกฎหมาย แต่ได้ ปกปิดหรืออำพรางไว้ ซึ่งถือว่าเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพราง

2.         นิติกรรมที่คู่กรณีได้ทำขึ้น แต่ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันบังคับกัน เป็นเพียงนิติกรรม ที่ทำขึ้นมาโดยเจตนาเพื่อลวงบุคคลอื่น หรือเพื่อที่จะอำพรางนิติกรรมอันแรก ซึ่งนิติกรรมอันนี้ถือว่าเป็นเพียง นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง ตามกฎหมายถือว่าเป็นโมฆะ ในระหว่างคู่กรณีให้บังคับกันด้วยนิติกรรม ที่ถูกอำพราง

ตามปัญหา การที่นาย ก. และนาย ข. ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนที่ดินกัน แต่ได้ไปทำเป็นสัญญา ซื้อขายที่ดินกันนั้น สัญญาซื้อขายที่ดินถือว่าเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง จึงตกเป็นโมฆะ ใน ระหว่างคู่กรณีคือ นาย ก. และนาย ข. จึงต้องบังคับกันตามสัญญาแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพราง และเป็นนิติกรรมที่แท้จริงที่คู่กรณีต้องการให้เกิดผลบังคับกัน

สรุป ในระหว่างนาย ก. และนาย ข. จะต้องนำนิติกรรมในลักษณะสัญญาแลกเปลี่ยนมาใช้ บังคับกันจึงจะชอบด้วยกฎหมายลักษณะนิติกรรมอำพราง

 

ข้อ 3. พิมพ์อรไปซื้ออาหารที่ตลาด เห็นร้านขายเป็ดย่างของนิดมีเป็ดย่างแขวนอยู่ 4 ตัว ปิดป้ายราคา เป็ดย่างไว้ว่าราคาตัวละ 150 บาท พิมพ์อรเลือกเป็ดย่างตัวที่อ้วนที่สุด นิดนำเป็ดย่างตัวที่พิมพ์อรเลือกใส่ถุงเตรียมจะส่งให้ และพิมพ์อรกำลังจะจ่ายเงินให้นิด ทันใดนั้นมีสุนัขจรจัดกระโดดงับ เป็ดย่างตัวดังกล่าว แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว นิดวิ่งตามแต่ไม่ทัน ดังนี้ พิมพ์อรยังคงต้องชำระ ราดาค่าเป็ดย่างให้กับนิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขายได้บัญญัติหลักในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไว้ดังนี้

1)         กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อนับตั้งแต่ที่ได้ทำ สัญญาวื้อขายกัน (ป.พ.พ. มาตรา 458)

2)         ในการซื้อขายทรัพย์สินที่ยังไม่ได้กำหนดลงไว้เป็นที่แน่นอน กรรมสิทธิ์จะโอนไปยัง ผู้ซื้อก็ต่อเมื่อได้มีการหมายหรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก หรือทำโดยวิธีอื่นเพื่อ บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นที่แน่นอนแล้ว (ป.พ.พ. มาตรา 46)

ตามปัญหา การที่พิมพ์อรได้ตกลงทำสัญญาซื้อเป็ดย่างของนิด 1 ตัว ราคา 150 บาท แม้ว่า เป็ดย่างที่แขวนไว้จะมี 4 ตัว แต่เมื่อพิมพ์อรได้ตกลงเลือกเป็ดย่างหรือบ่งตัวเป็ดย่างที่จะซื้อเป็นที่แน่นอนแล้ว กรรมสิทธิ์ของเป็ดย่างตัวที่พิมพ์อรได้ตกลงซื้อนั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพิมพ์อรแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 458 และ 460 และการที่สุนัขได้กระโดดงับเป็ดย่างตัวดังกล่าวหนีไปก็ไม่ใช่ความผิดของนิดแต่อย่างใด ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดชื้นย่อมตกเป็นพับแก่พิมพ์อร (ป.พ.พ. มาตรา 370) คือพิมพ์อรต้องเป็นผู้รับบาปเคราะห์ใน ความเสียหายนั้น และจะต้องชำระราคาค่าเป็ดย่างให้กับนิดตามสัญญาซื้อขาย

สรุป พิมพ์อรจะต้องชำระราคาค่าเป็ดย่างให้กับนิด เพราะกรรมสิทธิ์ของเป็ดย่างตัวนั้นได้ตก เป็นของพิมพ์อรแล้ว ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. ให้นักศึกษาเลือกทำเพียงข้อเดียว

ก) การเขียนตั๋วให้เป็นตั๋วแลกเงิน มีหลักกฎหมายอย่างไรบ้าง จงอธิบาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

หรือ ข) มาตรา 949 บัญญัติว่า “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1009 บุคคลผู้ใช้เงินในเวลาถึง กำหนด ย่อมเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ตนจะได้ทำการฉ้อฉลหรือมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อนึ่งบุคคลซึ่งกล่าวมานี้ จำต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ได้มีการสลักหลัง ติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของเหล่าผู้สลักหลัง” ท่านเข้าใจว่า อย่างไร จงอธิบายหลักกฎหมาย และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ก) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 909 และมาตรา 910 ได้บัญญัติหลักใน การเขียนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้คือ

ในการเขียนตั๋วแลกเงิน ไม่ว่าจะเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินหรือตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ นั้น ตั๋วแลกเงินจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้เขียนตั๋วแลกเงินจะต้องเขียนให้มีข้อความหรือรายการที่สำคัญ 5 ประการให้ครบถ้วนเสมอ ได้แก่ข้อความดังต่อไปนี้คือ

1.         คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2.         คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนที่แน่นอน

3.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย

4.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

5.         ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ถ้าหากผู้เขียนตั๋วแลกเงินไต้เขียนโดยมีข้อความที่สำคัญดังกล่าวอันใดอันหนึ่งขาดตกบกพร่องไป เอกสารนั้นย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

ตัวอย่าง นายหนึ่งต้องการออกตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้แก่นายสาม 100,000 บาท นายหนึ่ง ก็จะต้องเขียนตั๋วแลกเงินให้มีข้อความที่สำคัญ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น โดยนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยระบุให้ นายสองจ่ายเงินให้แก่นายสาม (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสอง ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วแลกเงินก็ได้ (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ)

ข) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 949 นั้น เป็นเรื่องของการใช้เงินตามตั๋วเงินเมื่อตั๋วเงินนั้นได้ถึงกำหนด เวลาใช้เงิน ซึ่งถ้าบุคคลที่มีหน้าที่ในการใช้เงินได้ใช้เงินไปถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะหลุดพ้น จากความรับผิดตามตั๋วเงิน คือ ไม่ต้องรับผิดในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นอีกเลย

ตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นั้น สามารถแยกออกไต้ 2 กรณี คือ

1.         ถ้าเป็นกรณีที่ธนาคารเป็นผู้[ชู้เงินตามตั๋ว เช่น ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค เป็นต้น กฎหมายไต้บัญญัติให้ใช้มาตรา 1009 บังคับ จะไม่ใช้มาตรา 949 บังคับ

2.         ถ้าเป็นกรณีที่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงิน    เช่น ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน เป็นต้น ดังนี้กฎหมายให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 949 บังคับ

และตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นี้ หมายความว่า บุคคลผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินจะหลุดพ้น จากความรับผิดได้นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ

1.         จะต้องได้ใช้เงินไปเมื่อตั๋วนั้นถึงกำหนดชำระเงินแล้ว

2.         จะต้องเป็นการใช้เงินไปโดยสุจริต กล่าวคือ มิได้ทำการฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง และ

3.         ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ตั๋วนั้นได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำเป็น ต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของบรรดาผู้สลักหลังแต่อย่างใด

ตัวอย่าง ดำออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แดงจ่ายเงินให้แก่ขาวจำนวน 100,000 บาท ต่อมาได้มีการ โอนตัวแลกเงินฉบับนี้โดยการสลักหลังและส่งมอบทุกครั้ง จนกระทั่งตั๋วฉบับนี้ได้มาอยู่ในความครอบครองของ เหลืองซึงเป็นผู้ทรง    ดังนั้นแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการสลักหลังครั้งหนึ่งจะเป็นการสลักหลังปลอมก็ตาม

เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน เหลืองได้นำตั๋วไปยื่นให้แดงจ่ายเงิน และแดงได้จ่ายเงินให้แก่เหลืองไปแล้วโดยถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ 3 ประการดังกล่าวข้างต้น แดงก็ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในการใช้เงินตามตั๋วเงินไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 949

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน

ข้อ 1. นายสมบัติ อายุ 15 ปี ทำพินัยกรรมฉบับหนึ่งในขณะที่จิตปกติยกทรัพย์มรดกทั้งหมดของตนแก่ น.ส.ผึ้งเพื่อนรักของนายสมบัติ โดยบิดามารดาของนายสมบัติไม่ได้รู้เห็นและไม่ได้ให้ความยินยอม ในการทำพินัยกรรมนั้น สิบปีต่อมานายสมบัติป่วยเป็นโรคจิต บิดามารดาของนายสมบัติได้ร้องขอ ต่อศาลให้นายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลมีคำสั่งให้นายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ วันหนึ่งนายสมบัติซื้อวิทยุ 1 เครื่องจากนายชัยโดยในขณะซื้อนายสมบัติไม่มีอาการวิกลจริต และ นายชัยไม่ทราบว่านายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1)         ถ้านายสมบัติถึงแก่ความตาย พินัยกรรมที่นายสมบัติทำไว้มีผลทางกฎหมายอย่างไร

2)         สัญญาซื้อขายวิทยุระหว่างนายสมบัติและนายชัยมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ

ตามปัญหามีหลักกฎหมายที่จะนำมาใช้วินิจฉัย คือ

1.         ผู้เยาว์สามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้นซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว (ป.พ.พ.มาตรา 23)

2.         ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์ (ป.พ.พ. มาตรา 25)

3.         นิติกรรมใด ๆ ที่บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง นิติกรรมนั้น ตกเป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 29)
ข้อเท็จจริงตามปัญหาวินิจฉัยได้ ดังนี้คือ

1)         การที่นายสมบัติได้ทำพินัยกรรมในขณะที่มีอายุครบ 15 ปี และได้ทำในขณะจิตปกติแม้ว่าการทำพินัยกรรมนั้นจะไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมพินัยกรรมที่นายสมบัติได้ทำขึ้นนั้นก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะตามกฎหมายถือว่า การทำพินัยกรรมนั้น เป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเป็นการเฉพาะตัว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 23 และในขณะที่ทำพินัยกรรม ผู้เยาว์ก็มี อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นนายสมบัติผู้เยาว์ จึงสามารถทำพินัยกรรมได้โดยสำพังตนเอง และโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากบิดามารดา ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 25
2)         การที่นายสมบัติได้ทำสัญญาซื้อขายวิทยุกับนายชัย ในขณะที่นายสมบัติได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ แม้นายสมบัติจะได้ทำนิติกรรมในขณะไม่มีอาการวิกลจริต และนายชัยไม่ทราบ ว่านายสมบัติเป็นคนไร้ความสามารถ สัญญาซื้อขายวิทยุระหว่างนายสมบัติและนายชัยก็มีผลเป็นโมฆียะ เพราะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 29 นั้น คนไร้ความสามารถจะทำนิติกรรมใด ๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถ ได้กระทำลงย่อมตกเป็นโมฆียะ

สรุป 1) พินัยกรรมที่นายสมบัติได้ทำไว้ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

2) สัญญาซื้อขายวิทยุระหว่างนายสมบัติและนายชัยมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ2. กลฉ้อฉลโดยการนิ่งมีลักษณะอันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างไร อธิบาย ยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ป.พ.พ. มาตรา 162 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ “กลฉ้อฉลโดยการนิ่ง” ซึ่งจะมีลักษณะ อันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ คือ

1.         จะเกิดขึ้นได้เฉพาะในนิติกรรมสองฝ่ายที่เรียกว่า สัญญา เท่านั้น

2.         คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงหรือข้อคุณสมบัติอันใดอันหนึ่งซึ่งคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้ คือคู่กรณีฝ่ายหนึ่งนั้นได้จงใจหรือตั้งใจที่จะปกปิดข้อความจริงหรือข้อคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตนมีหน้าที่ที่จะต้องบอกความจริงนั้น

3.         คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งพิสูจน์ได้ว่า ถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น นิติกรรมนั้นก็คงจะมิได้ทำขึ้นเลย

ตัวอย่าง. เช่น ในสัญญาประกันชีวิต   ผู้เอาประกันชีวิตเคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วย

โรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ไม่มีทางรักษา และอาจตายได้ภายใน 7 วัน 6 เดือนหรืออย่างช้า 5 ปี ซึ่งผู้เอาประกันชีวิต มีหน้าที่ต้องเปิดเผยความจริงข้อนี้แก่ผู้รับประกันภัย แต่ได้ปกบัดความจริงไม่เปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยได้ทราบ ความจริงนั้น

 

ข้อ3.    ให้นักศึกษาอธิบายว่าสัญญาดังต่อไปนี้ มีผลในทางกฎหมายเป็นอย่างไร พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน ทุกข้อ

ก) นายเอกตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายโทในราคา 1 ล้านบาท โดยปากเปล่า (10 คะแนน)

ข) นายดินตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนายน้ำโดยปากเปล่า (15 คะแนน)

ธงคำตอบ

ก) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรกบัญญัติหลักไว้ว่า

“สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ”

ตามปัญหาการที่นายเอกตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายโทนั้น เป็นการตกลงทำสัญญา ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามกฎหมายสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์จะมีผลสมบูรณ์จะต้องได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที ดังนั้นเมื่อสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ระหว่างนายเอกและนายโทที่ได้ตกลง โดยปากเปล่ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า1หน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ

ข) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า “สัญญา จะซื้อหรือจะขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับ คดีกันไม่ได้”

ตามปัญหา สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดินกับนายน้ำเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแม้จะตกลงกันโดยปากเปล่าก็มีผลสมบูรณ์ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันเท่านั้น เพราะตามกฎหมายสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์นั้น จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่

1)         หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2)         มีการวางประจำไว้ หรือ

3)         มีการชำระหนี้บางส่วน

สรุป ก) สัญญาซื้อชายที่ดินระหว่างนายเอกกับนายโทที่ตกลงโดยวาจาเป็นโมฆะ

ข) สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดินกับนายน้ำซึ่งเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ มีผลสมบูรณ์ แต่ไม่มีหลักฐานที่จะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกัน

 

ข้อ 4. ให้นักศึกษาเลือกทำเพียงข้อเดียว

ก) มาตรา 949 บัญญัติว่า “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1009 บุคคลผู้ใช้เงินในเวลาถึงกำหนดย่อมเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ตนจะได้ทำการฉ้อฉลหรือมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อนึ่งบุคคลซึ่งกล่าวนี้จำต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าได้มีการสลักหลังติดต่อกัน เรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของเหล่าผู้สลักหลัง”

ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่างประกอบ

หรือ ข) ผู้ทรงเช็คยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินเกินเวลา 1 เดือนนับแต่วันออกเช็ค (สำหรับเช็คที่ออก ในเมืองหรือจังหวัดเดียวกัน) จะมีผลต่อผู้สลักหลังเช็ค ผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นอย่างไรบ้าง จงอธิบาย หลักกฎหมายพอสังเขป

ธงคำตอบ

ก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 949 นั้น เป็นเรื่องของการใช้เงินตามตั๋วเงินเมื่อตั๋วเงินนั้นได้ถึงกำหนด เวลาใช้เงิน ซึ่งถ้าบุคคลที่มีหน้าที่ในการใช้เงินได้ใช้เงินไปถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะหลุดพ้น จากความรับผิดชอบตามตั๋วเงิน คือ ไม่ต้องรับผิดชอบในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นอีกเลย

ตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นั้น สามารถแยกออกได้ 2 กรณี คือ

1.         ถ้าเป็นกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงินตามตั๋ว เช่น ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค เป็นต้น กฎหมายได้บัญญัติให้ใช้มาตรา 1009 บังคับ จะไม่ใช้มาตรา 949 บังคับ

2.         ถ้าเป็นกรณีที่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ธนาคารเป็นผู้ใช้เงิน    เช่น ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน เป็นต้น ดังนี้กฎหมายให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 949 บังคับ

และตามบทบัญญัติของมาตรา 949 นี้ หมายความว่า บุคคลผู้ใช้เงินตามตั๋วเงินจะหลุดพ้น จากความรับผิดได้นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ

1.         จะต้องได้ใช้เงินไปเมื่อตั๋วนั้นถึงกำหนดชำระเงินแล้ว

2.         จะต้องเป็นการใช้เงินไปโดยสุจริต กล่าวคือ มิได้ทำการฉ้อฉลหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรง และ

3.         จะต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ตั๋วนั้นได้มีการสลักหลังติดต่อกันเรียบร้อยไม่ขาดสาย แต่ ไม่จำต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของบรรดาผู้สลักหลังแต่อย่างใด

ตัวอย่าง ดำออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แดงจ่ายเงินให้แก่ขาวจำนวน 100,000 บาท ต่อมาได้มีการโอน ตั๋วแลกเงินฉบับนี้โดยการสลักหลังและส่งมอบทุกครั้ง จนกระทั่งตั๋วฉบับนี้ได้มาอยู่ในความครอบครองของ เหลืองซึ่งเป็นผู้ทรง ดังนั้นแม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าในการสลักหลังครั้งหนึ่งจะเป็นการสลักหลังปลอมก็ตาม

เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน เหลืองได้นำตั๋วไปยื่นให้แดงจ่ายเงิน และแดงได้จ่ายเงินให้แก่เหลืองไปแล้วโดยถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ 3 ประการดังกล่าวข้างต้น   แดงก็ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในการใช้เงินตามตั๋วเงินไปตามป.พ.พ. มาตรา 949

ข) ป.พ.พ. มาตรา 990 วรรคแรก ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินไว้ ว่า “ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่น ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรง สิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วยเพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว ในกรณีที่เป็นเช็คที่ออกและให้ใช้เงินในเมืองหรือจังหวัดเดียวกันนั้น ผู้ทรงเช็คจะต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ธนาคารใช้เงินภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันออกเช็ค  ถ้าผู้ทรงเช็คละเลยไม่ยืนเช็คภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จะมีผลต่อผู้สลักหลังเช็ค และผู้สั่งจ่ายเช็คดังนี้คือ

1.         ผู้ทรงเช็คจะสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง และ

2.         ผู้ทรงเช็คจะเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายเช็คเพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด แก่ผู้สั่งจ่ายเช็คนั้น

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015  กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายอาร์ต อายุ 25 ปี เป็นคนวิกลจริตซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ โดยมีนายกัลป์เป็นผู้อนุบาล วันหนึ่งนายอาร์ตซื้อรถยนต์จากนายสรรชัย อายุ 28 ปี ในราคา 300,000 บาท โดยในขณะที่นายอาร์ตซื้อรถยนต์จากนายสรรชัย นายอาร์ตไม่มีอาการวิกลจริต และนายสรรชัย ไม่ทราบว่านายอาร์ตเป็นคนไร้ความสามารถ อีกทั้งนายอาร์ตยังได้รับความยินยอมจากนายกัลป์ ผู้อนุบาลให้ซื้อรถยนต์จากนายสรรชัยได้

ดังนี้ นิติกรรมที่นายอาร์ตทำกับนายสรรชัยจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาล สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา นายอาร์ตอายุ 25 ปี เป็นคนวิกลจริต ซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ โดยในการทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถนั้นต้องให้ผู้อนุบาลเป็นผู้ทำนิติกรรมแทนคนไร้ความสามารถ มิฉะนั้นนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะ แต่ตามปัญหานายอาร์ตเข้าทำนิติกรรมด้วยตนเอง แม้จะทำนิติกรรมในขณะที่ไม่มีอาการวิกลจริตและนายสรรชัยไม่รู้ว่านายอาร์ตเป็นคนวิกลจริต อีกทั้งยังได้รับความ ยินยอมจากนายกัลป์ผู้อนุบาลให้ทำนิติกรรมก็ตาม นิติกรรมระหว่างนายอาร์ตกับนายสรรชัยก็มีผลเป็นโมฆียะ
ดังนั้น นิติกรรมที่นายอาร์ตทำกับนายสรรชัยจะมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. หลักเกณฑ์ความสมบูรณ์ของนิติกรรมมีอยู่อย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์แห่งความสมบูรณ์ของนิติกรรม มีดังนี้ คือ

1.         ผู้กระทำนิติกรรมจะต้องมีดวามสามารถตามกฎหมายที่จะทำนิติกรรมได้ กล่าวคือ ผู้ที่ จะทำนิติกรรมจะต้องไม่เป็นบุคคลที่กฎหมายได้จำกัดสิทธิหรือความสามารถในการทำนิติกรรมไว้ เช่น จะต้องไม่ เป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น

2.         วัตถุประสงค์ของนิติกรรมจะต้องไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จะต้องไม่ เป็นการพ้นวิสัย และจะต้องไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3.         นิติกรรมนั้นจะต้องได้กระทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ กล่าวคือ นิติกรรมใดถ้ากฎหมายได้กำหนดแบบไว้ ก็จะต้องทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้นั้น ถ้าไม่ทำตามแบบที่กฎหมาย ได้กำหนดไว้ นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ

4.         การแสดงเจตนาทำนิติกรรมจะต้องไม่บกพร่อง คือ จะต้องไม่เป็นการแสดงเจตนาที่เกิดขึ้น เพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เป็นต้น

นิติกรรมใด ถ้าได้ทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์แห่งความสมบูรณ์ของนิติกรรมดังกล่าว ข้างต้น นิติกรรมนั้นจะไม่สมบูรณ์ คือ จะตกเป็นโมฆะ หรือโมฆียะแล้วแต่กรณี

 

ข้อ 3. นายพุธต้องการจะซื้อที่ดินของนายศุกร์ จำนวน 1 ไร่ ราคา 1,000,000 บาท แต่นายพุธมีเงิน ไม่พอจึงทำสัญญาซื้อขายกับนายศุกร์ในเบื้องต้นว่า ขอจ่ายเป็นบางส่วนก่อนจำนวน 300,000 บาท หลังจากนั้นอีก 3 เดือน ให้ไปทำหนังสือและจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับเจ้าพนักงาน ที่ดินที่สำนักงานที่ดินอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อครบ 3 เดือน นายพุธยังมีเงินไม่พอและไม่ยอมไป สำนักงานที่ดินกับนายศุกร์ เช่นนี้หากนายศุกร์จะฟ้องร้องบังคับให้นายพุธปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย ฉบับนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ข้อตกลงระหว่างนายพุธกับนายศุกร์เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกัน เป็นอสังหาริมทรัพย์ และคู่กรณีมีข้อตกลงกันว่าในภายภาคหน้า คืออีก 3 เดือนทั้งสองจะไปทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับเจ้าพนักงานที่ดินที่สำนักงานที่ดิน และสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว ก็มีผลสมบูรณ์ แม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ตาม

และตามกฎหมายมีหลักว่า “สัญญาจะชื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน” (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรค 2)

ตามปัญหา เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สัญญาจะชื้อจะขายที่ดินระหว่างนายพุธและนายศุกร์นั้น ได้กระทำกันโดยมีหลักฐานคือการชำระหนี้บางส่วน ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดการที่นายพุธไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญา คือ ไม่ยอมไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินที่สำนักงานที่ดิน นายศุกร์ย่อม สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายพุธปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้นได้ เพราะสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และมีหลักฐานที่จะนำมาใช้เพื่อฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ คือการที่นายพุธได้มีการชำระหนี้ บางส่วนนั่นเอง

สรุป นายศุกร์สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายพุธปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายฉบับนี้ได้ เพราะมี หลักฐานคือได้มีการชำระหนี้บางส่วนกันไว้แล้ว

 

ข้อ 4. นายชัยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 100,000 บาท ระบุชื่อนายเดช เป็นผู้รับเงิน แต่มิได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก และส่งมอบให้นายเดชเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาชื้อขายที่มีต่อกัน หากต่อมานายเดชต้องการ จะโอนเช็คฉบับดังกล่าวชำระหนี้ค่าเช่าบ้านให้แก่นางสาวหญิง นายเดชจะต้องกระทำการโอนอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นการโอนเช็คฉบับดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมาย ประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 918 บัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

ตามหลักกฎหมายดังกล่าว หมายความว่า ตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือนั้น ถ้าจะมีการโอน ให้แก่กัน การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบตั๋วเงินให้แก่กันเท่านั้นไม่ต้องมีการสลักหลังแต่อย่างใด

จากข้อเท็จจริง เช็คที่นายชัยสั่งจ่ายระบุชื่อนายเดชเป็นผู้รับเงิน แต่มิได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือ ผู้ถือ” ในเช็คออก ถือว่าเป็นเช็คแบบระบุให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ดังนั้นหากต่อมานายเดชต้องการจะโอนเช็คฉบับ ดังกล่าวชำระหนี้ให้แก่นางสาวหญิง นายเดชสามารถโอนได้โดยการส่งมอบเช็คนั้นให้แก่นางสาวหญิงเท่านั้น โดยไม่ต้องสลักหลัง ก็ถือว่าการโอนเช็คดังกล่าวเป็นการโอนโดยชอบด้วยกฎหมาย

สรุป นายเดชจะต้องกระทำการโอนด้วยการส่งมอบเช็คให้แก่นางสาวหญิงเท่านั้น จึงจะถือว่า เป็นการโอนเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ ข้อละ 25 คะแนน

ข้อ1. นายสิทธิ์ อายุ 30 ปี เป็นคนไร้ความสามารถ โดยศาลได้ตั้งนางสวยภริยาเป็นผู้อนุบาล วันหนึ่ง นายสิทธิ์ขายแหวนของตนให้กับนายขาว นางสวยเห็นว่านายสิทธิ์ไม่มีอาการวิกลจริตในขณะขายแหวน นางสวยจึงได้ให้ความยินยอมในการขายแหวนดังกล่าว ต่อมานายสิทธิ์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดก ทั้งหมดของตนให้กับนางสวยแต่เพียงผู้เดียว โดยขณะทำพินัยกรรมนายสิทธิ์ไม่มีอาการวิกลจริต แต่อย่างใด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นิติกรรมการขายแหวนและพินัยกรรมของนายสิทธิ์มีผลทาง กฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักในการทำนิติกรรมและหลักในการทำพินัยกรรม ของคนไร้ความสามารถไว้ดังนี้คือ

1)         นิติกรรมเด ๆ ซึ่งบุคคลที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง นิติกรรมนั้น ตกเป็นโมฆียะ (มาตรา 29)

2)         พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ (มาตรา 1704)
ตามหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากฎหมายไต้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถกระทำ นิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ามีการฝ่าฝืนไปกระทำนิติกรรมใด ๆ ขึ้น ไม่ว่าจะได้กระทำในขณะที่จิตปกติหรือไม่ หรือการทำนิติกรรมนั้นผู้อนุบาลจะได้ให้ความยินยอมหรือไม่ นิติกรรมก็จะตกเป็นโมฆียะ (ป.พ.พ. มาตรา 29) ส่วน พินัยกรรมนั้น ถ้าคนไร้ความสามารถได้กระทำขึ้นไม่ว่าจะได้กระทำในขณะที่มีอาการวิกลจริตหรือไม่ พินัยกรรมนั้น ก็จะตกเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 1704)
ดังนั้น ตามปัญหา การที่นายสิทธิ์ได้ทำนิติกรรมโดยการขายแหวนของตนให้กับนายขาว แม้ว่า ในขณะทำนิติกรรมนั้น นายสิทธิ์จะไม่มีอาการวิกลจริต และนางสวยซึ่งเป็นผู้อนุบาลจะได้ให้ความยินยอมด้วยก็ตาม นิติกรรมการขายแหวนดังกล่าวก็ตกเป็นโมฆียะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 29

ส่วนพินัยกรรมซึ่งนายสิทธิ์ได้กระทำขึ้น แม้ในขณะทำพินัยกรรมนายสิทธิ์จะไม่มีอาการวิกลจริต แต่อย่างใด พินัยกรรมดังกล่าวก็มีผลเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1704

สรุป นิติกรรมการขายแหวนของนายสิทธิ์มีผลเป็นโมฆียะ ส่วนพินัยกรรมเป็นโมฆะตามเหตุผล และหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. นิติกรรมอำพรางมีลักษณะและผลบังคับตามกฎหมายระหว่างคู่กรณีอย่างไร อธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 บัญญัติว่า

“การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ…

ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่ง ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของ กฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”

ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรค 2 ดังกล่าว เป็น บทบัญญัติเรื่องนิติกรรมอำพราง ซึ่งในเรื่อง “นิติกรรมอำพราง” นั้น เป็นเรื่องที่ในระหว่างคู่กรณีได้มีการทำ นิติกรรมขึ้นมา 2 ลักษณะ ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงอันหนึ่ง กับนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ อีกอันหนึ่ง

1.         นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง (นิติกรรมที่เปิดเผย) หมายถึง นิติกรรมที่คู่ กรณีได้ทำขึ้นมาโดยไม่มีเจตนาให้มีผลใช้บังคับกัน       แต่ได้ทำขึ้นมาเพี่อลวงให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าคู่กรณีได้ตกลง ทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน และเพี่อเป็นการอำพรางหรือปกปิดนิติกรรมที่แท้จริงนั่นเอง

2.         นิติกรรมที่ถูกอำพราง หมายถึง นิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ได้ทำขึ้นมา และต้องการให้มีผลใช้บังคับกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ได้ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้บุคคลอื่นรู้

ตามกฎหมายได้บัญญัติว่า ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ มาใช้บังคับ หมายความว่า ให้คู่กรณีบังคับกันด้วยนิติกรรมที่ถูกอำพรางนั่นเอง ส่วนนิติกรรมที่เกิดจากการ แสดงเจตนาลวงจะมีผลเป็นโมฆะ

ตัวอย่าง ปู่ได้ยกรถยนต์คันหนึ่งให้แก่หลานที่ชื่อ ก. โดยเสน่หา แต่เกรงว่าหลานคนอื่นรู้จะหาว่าปู่ลำเอียง จึงได้ทำสัญญาชื้อขายกับ ก. ไว้เพื่อลวงหลานคนอื่น ดังนี้นิติกรรมที่จะมีผลใช้บังคับกันระหว่าง ปู่กับหลานที่ชื่อ ก. คือนิติกรรมให้ ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพราง ส่วนนิติกรรมซื้อขายตกเป็นโมฆะเพราะเป็น นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง

 

ข้อ 3. จงอธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาความรับผิดในการรอนสิทธิ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการพิจารณาความรับผิดในการ

รอนสิทธิ ไว้ดังนี้คือ

1.         ความรับผิดในการรอนสิทธิจะเกิดขึ้นโดยผลแห่งกฎหมาย คือมีบุคคลภายนอกได้มา ก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในการที่จะครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข โดยอ้างว่าตนมีสิทธิเหนือทรัพย์สิน ที่ได้ซื้อขายกันนั้นดีกว่าผู้ซื้อ หรืออาจเป็นเพราะความผิดของผู้ขาย ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สิน นั้นได้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

2.         ความรับผิดในการรอนสิทธิของผู้ขายนั้น มีได้ทั้งกรณีที่ทรัพย์สินที่ซื้อขายกันนั้นมี การรอนสิทธิไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน

3.         ผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อในกรณีที่มีการรอนสิทธิเกิดขึ้น ไม่ว่าผู้ขายจะได้รู้หรือไม่รู้ ถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นนั้น

เช่น ก. ได้ขายรถยนต์คันหนึ่งให้ ข. ต่อมา ค. ได้มาเรียกรถยนต์คันดังกล่าวคืนจาก ข. โดย อ้างว่ารถยนต์คันนั้นเป็นของตนและถูกขโมยไป พร้อมแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง ทำให้ ข. ต้องคืนรถยนต์ให้แก่ ค. ดังนี้ถือว่า ข. ผู้ชื้อถูกรอนสิทธิ ซึ่ง ก. ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบต่อ ข. แม้ ก. ผู้ขายจะไม่ได้รู้มาก่อนว่ารถยนต์คันนั้นจะถูกขโมยมาจาก ค. ก็ตาม

4.         ในกรณีที่มีการรอนสิทธิเกิดขึ้น ผู้ขายอาจจะไม่ต้องรับผิดต่อผู้ซื้อก็ได้ ถ้าเข้าข้อยกเว้น ตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ เช่น

–           ถ้าผู้ซื้อได้รู้ถึงสิทธิของผู้ก่อการรบกวนนั้นแล้วในเวลาซื้อขาย หรือ

–           ถ้าเหตุแห่งการรอนสิทธินั้นได้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว ผู้ขายก็ไม่ต้องรับผิด เว้นแต่เหตุแห่งการรอนสิทธินั้น จะได้เกิดขึ้นเพราะ ความผิดของผู้ขาย

 

ข้อ 4. ให้นักศึกษาเลือกทำเพียงข้อเดียว

ก) การเขียนตั๋วแลกเงินมีหลักกฎหมายอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

หรือ ข) แดงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับหนึ่ง เช็คนี้ธนาคารได้รับรองเช็คแล้ว ถ้าแดงนำเช็คไปยื่นกับธนาคาร เพื่อให้ชำระเงิน ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 909 และมาตรา 910 ได้บัญญัติหลักใน การเขียนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้คือ

ในการเขียนตั๋วแลกเงิน ไม่วาจะเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินหรือตั๋วแลกเงิน ชนิดผู้ถือนั้น ตั๋วแลกเงินจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้เขียนตั๋วแลกเงินจะต้องเขียนให้มีข้อความหรือรายการที่สำคัญ 5 ประการให้ครบถ้วนเสมอ ได้แก่ข้อความดังต่อไปนี้คือ

1.         คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2.         คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนที่แน่นอน

3.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย

4.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

5.         ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ถ้าหากผู้เขียนตั๋วแลกเงินได้เขียนโดยมีข้อความที่สำคัญดังกล่าวอันใดอันหนึ่งขาดตกบกพร่องไป เอกสารนั้นย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

ตัวอย่าง นายหนึ่งต้องการออกตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้แก่นายสาม 100,000 บาท นายหนึ่ง ก็จะต้องเขียนตั๋วแลกเงินให้มีข้อความที่สำคัญ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น โดยนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยระบุให้ นายสองจ่ายเงินให้แก่นายสาม (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสอง ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วแลกเงินก็ได้ (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ)

ข) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 993 วรรค 1 ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการ รับรองเช็คและผลของการรับรองเช็ค ไว้ว่า “ถ้าธนาคารเขียนข้อความลงลายมือชื่อบนเช็ค เช่นคำว่า “ใช้ได้” หรือ “ใช้เงินได้” หรือคำใด ๆ อันแสดงผลอย่างเดียวกัน ธนาคารต้องผูกพันในฐานเป็นลูกหนี้ชั้นต้นในอันจะต้องใช้เงิน แก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น”

จากหลักกฎหมายดังกล่าวหมายความว่า ถ้าธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คได้ลงลายมือชื่อรับรอง เช็คไว้แล้ว ธนาคารผู้รับรองเช็คจะต้องผูกพันในฐานเป็นลูกหนี้ชั้นต้นในอันที่จะต้องใช้เงินตามเช็คนั้นเสมอ เมื่อผู้ทรงเช็คได้นำเช็คนั้นมายื่นเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็ค

ดังนั้นเมื่อนายแดงเป็นผู้ทรงเช็คฉบับหนึ่งซึ่งธนาคารได้รับรองเช็คไว้แล้ว นำเช็คนี้ไปยื่นให้ ธนาคารใช้เงินตามเช็ค ธนาคารจะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้น จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!