LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2544

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2544

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1  กฎหมายตราสามดวงคืออะไร  เพราะเหตุใดจึงมีการกล่าวว่ากฎหมายตราสามดวงคือกฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา  อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายตราสามดวงคือ  กฎหมายที่ทรงบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อจุลศักราช 1166  พ.ศ. 2347 เป็นการนำเอากฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยามาตรวจชำระใหม่ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นไป  เพื่อมิให้กฎหมายมีเนื้อความผิดเพี้ยน  ซ้ำกัน  และดัดแปลงบทกฎหมายให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อชำระเสร็จเรียบร้อยแล้วให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน 3  ชุด ประทับตราพระราชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสำคัญ  จึงมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

เหตุที่มีการกล่าวว่ากฎหมายตราสามดวงคือกฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเพราะ

 1       พระอัยการลักษณะต่างๆ  ในกฎหมายตราสามดวงล้วนแต่บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ในยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้ทรงบัญญัติขึ้นมาทั้งนั้น  เช่น  ในพระอัยการลักษณะผัวเมีย  จะมีนามของสมเด็จพระรามาธิบดี  (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นผู้ทรงบัญญัติขึ้นมา

2       ศักราชที่ปรากฏในพระอัยการลักษณะต่างๆ  ในกฎหมายตราสามดวงล้วนแต่เป็นศักราชที่มีอายุย้อนถอยหลังไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น

3       ในบทบัญญัติกฎหมายตราสามดวง  ซึ่งมีเนื้อความถึง  1,600 กว่าบท  (มาตรา) เศษ  คณะกรรมการที่ทำการตรากฎหมายตราสามดวงใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี  ก็สามารถดำเนินการเสร็จสมบูรณ์  ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าจะต้องอาศัยตัวบทกฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยามาชำระสะสางให้เรียบร้อย  ให้ถูกต้องตามความยุติธรรมอย่างแน่นอน

 

ข้อ 2  ตามพระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกัน  มีการยกเว้นยกโทษแก่ผู้กระทำความผิด  โดยอาศัยเหตุความเป็นญาติและอายุอย่างไรบ้าง  และมีเหตุผลในการยกเว้นโทษอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

ในพระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกันในกฎหมายตราสามดวง  มีการยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดโดยอาศัยเหตุความเป็นญาติและอายุ ดังนี้

 1       กรณีความเป็นญาติ  กฎหมายยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายมิถึงสาหัสระหว่างเครือญาติ  ทั้งนี้เพราะถึงอย่างไรเขาก็เสียกันมิได้  ความว่า  ในกรณีเครือญาติด่าตีกัน  ถ้าถึงแตกหักสาหัสจึงให้ปรับไหมแก่กันดังฉันผู้อื่น  ถ้ามิถึงแตกหักสาหัส  ให้บังคับว่ากล่าวกัน  ความผิดและชอบตามผู้ใหญ่ผู้น้อย  ให้ตกแต่งข้าวตอกดอกไม้  ธูปเทียน  สินนุ่งห่ม  เหล้าขาวเป็ดไก่  ไปแปลงขวัญกัน  เพราะเขาเสียกันมิได้ เช่น  พ่อตาแม่ยายด่าตีกับลูกเขย  ลูกเขยด่าตีพ่อตาแม่ยาย  ปู่ย่าด่าตีกับหลานเป็นต้น

2       การยกเว้นโทษโดยอาศัยเหตุอายุ   กล่าวคือ   มีการยกเว้นโทษให้แก่เด็กอายุ 7  ขวบลงมา  ไปด่าตีผู้อื่น  โดยกฎหมายเห็นว่าเด็กเป็นผู้ไม่รู้ผิดชอบ  และมีการยกเว้นโทษแก่คนชราอายุตั้งแต่  70  ปี  ขึ้นไป  โดยเหตุว่าเป็นคนสติหลงใหล  ทั้งนี้ให้นายบ้านนายเมืองว่ากล่าวให้สมัครสมานผู้เจ็บโดยควร

 

  ข้อ 3 ในประเทศอังกฤษมีกฎหมายสองสาขา  คือ  กฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) และเอคควิตี้ (Equity) ให้อธิบายว่า  กฎหมายทั้งสองสาขานี้มีความแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

กฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) และเอคควิตี้ (Equity)  มีความแตกต่างกันดังนี้

 1       สภาพแห่งคดี  กฎหมายคอมมอนลอว์  บังคับเอากับทรัพย์สิน  ส่วนกฎหมายเอคควิตี้บังคับเอากับร่างกาย

2       การพิจารณาคดี  คดีคอมมอนลอว์ ให้ลูกขุนเป็นผู้วินิจฉัยข้อเท็จจริง  ส่วนผู้พิพากษาเป็นผู้วินิจฉัยข้อกฎหมาย  สำหรับคดีเอคควิตี้นั้นเป็นการพิจารณาต่อหน้าชาลเซลเลอร์  ไม่มีการพิจารณาข้อเท็จจริงโดยลูกขุน  ชาลเซลเลอร์เป็นผู้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

3       การเยียวยา  คดีคอมมอนลอว์ให้การเยียวยาได้แต่เฉพาะเป็นเงินตรา  สำหรับคดีเอคควิตี้โจทก์อาจได้รับบรรเทาความเดือดร้อนโดยศาลอาจสั่งให้จำเลยชำระหนี้เฉพาะสิ่ง  (Specific  Performance)  ตามที่ระบุไว้ในสัญญา  หรือสั่งห้ามจำเลยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด (Injunction)

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 1  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวง  มีการแบ่งทรัพย์ออกเป็นกี่ประเภท  อะไรบ้าง  และการแบ่งประเภทของทรัพย์ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  และกฎหมายตราสามดวงมีผลในทางกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  เมื่อเทียบกับการแบ่งประเภทของทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ธงคำตอบ

ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวง  มีการแบ่งทรัพย์ออกเป็น  2  ประเภทคือ

 1       ทรัพย์มีวิญญาณ  (วิญญาณทรัพย์)  ซึ่งได้แก่  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  เป็ด  ไก่  ฯลฯ  ประเด็นที่น่าสนใจคือ  คนที่เป็นลูกหรือเมียผู้อื่น  ข้าทาส  ถือเป็นทรัพย์หรือไม่  เพราะพ่อแม่ขายลูกได้  ผัวขายเมียได้  นายเงินขายข้าทาสได้  ดังนั้นบางครั้งก็อาจจัดเป็นทรัพย์ประเภทมีวิญญาณได้เหมือนกัน  แต่คนที่มีฐานะเป็นทรัพย์มีลักษณะแตกต่างจากทรัพย์มีวิญญาณอื่น  เช่น  พวกสัตว์ต่างๆที่บางครั้งคนก็เป็นทรัพย์  แต่บางครั้งก็ไม่เป็นทรัพย์  หากคนนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจอิสระ  (อำนาจปกครอง)  ของใคร  หรือเป็นไทแก่ตนเอง  ในขณะที่สัตว์ต่างๆจะเป็นทรัพย์ตลอดกาลไม่มีการเปลี่ยนสถานะ

2       ทรัพย์ไม่มีวิญญาณ  ได้แก่  แก้ว  แหวน  เงิน  ทอง  ผ้าผ่อนแพรพรรณ  อีกนัยหนึ่งทรัพย์ไม่มีวิญญาณคือทรัพย์ที่ไม่ใช่คนหรือสัตว์ชนิดต่างๆนั่นเอง

กล่าวกันว่า  การแบ่งประเภทของทรัพย์ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวงไม่มีผลในทางกฎหมายแต่ประการใด  ไม่เหมือนกับการแบ่งประเภทของทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แบ่งทรัพย์ออกเป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์  ซึ่งถ้าเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ  ส่วนการซื้อขายสังหาริมทรัพย์โดยปกติไม่มีแบบหรือการที่ที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์มีแดนกรรมสิทธิ์  ส่วนสังหาริมทรัพย์ไม่มีแดนกรรมสิทธิ์  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ระบบกฎหมายศาสนาที่สำคัญศาสนาหนึ่ง  คือ  ศาสนาฮินดู  อยากทราบที่มาของกฎหมายฮินดูมีที่มาจากอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ที่มาของกฎหมายฮินดูมี  4  ประการคือ

 1       ศรุติ  (Srutis)  ได้แก่  หลักการในศาสนาฮินดู  ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์  ได้แก่  พระเวท  เวทางค์  และอุปนิษัย  โดยได้เกิดขึ้น  เมื่อประมาณ  2,570 – 3,470  ปีมาแล้ว  ในคัมภีร์ต่างๆเหล่านี้นอกจากจะมีกฎเกณฑ์ทางกฎหมายแล้ว  ยังประกอบไปด้วยบทบัญญัติทางอภิปรัชญา  พิธีการทางศาสนา  และวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย  ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นหลักการสำคัญขั้นมูลฐานที่จำเป็นแก่มนุษย์  และหลักการดังกล่าวนี้ได้กำหนดไว้เช่นเดียวกันกับในศาสนาพราหมณ์

2       ศาสตร์  Sastras)  หรือ  สมฤติ  (Smritis)   บางตำราเรียกว่า  พระราชศาสตร์  หรือสาขาคดี  ได้แก่บทบัญญัติที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเพื่อประกอบกับพระธรรมศาสตร์

3       ธรรมะ (Dharma) ได้แก่  บทบัญญัติซึ่งกำหนดถึงหน้าที่   ซึ่งผู้นับถือศาสนาฮินดูทั้งหลายจะต้องปฏิบัติ  ธรรมะนี้ได้กำหนดไว้เฉพาะหน้าที่เท่านั้น  แต่ไม่ได้กำหนดถึงสิทธิด้วย

หน้าที่ๆกำหนดไว้นี้จะแตกต่างกันไปตามฐานะและสภาพของบุคคล  รวมทั้งอายุด้วย  แม้แต่กษัตริย์เองก็ต้องปฏิบัติตามธรรมะในส่วนที่เกี่ยวกับกษัตริย์ด้วย

4       ธรรมศาสตร์  (Dharmasastras)  และนิพนธ์  (Nibandhas)  ธรรมะที่กล่าวมาแล้วจะพบอยู่ในตำรากฎหมายซึ่งเรียกว่า  ธรรมศาสตร์  และในบทวิจารณ์ของธรรมศาสตร์ซึ่งเรียกว่า  นิพนธ์

ในส่วนที่เกี่วกับธรรมศาสตร์เอง  ปรากฏว่ามีอยู่มากมาย  แต่ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ฉบับของมนู  ซึ่งชาวตะวันตกนิยมเรียกว่า  Manu Code  แต่ประเทศไทยเรียกว่าคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของมโนสาราจารย์  นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ยัชนวัลย์  และคัมภีร์นรราช เป็นต้น

สำหรับนิพนธ์นั้น  มีประโยชน์เพื่อช่วยให้เข้าใจความหมายของธรรมศาสตร์ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ข้อความในธรรมศาสตร์คลุมเครือไม่ชัดเจน  หรือขัดแย้งกันระหว่างธรรมศาสตร์ฉบับต่างๆ

 

ข้อ  3  คอมมอนลอว์  (Common  Law)  เป็นระบบกฎหมายหลักของโลกระบบหนึ่ง  ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน  จงอธิบายระบบกฎหมายนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยย่อ

ธงคำตอบ

ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์  มีแหล่งกำเนิดและวิวัฒนาการในประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกการทำความเข้าใจในระบบกฎหมายนี้จึงต้องทราบประวัติศาสตร์ระบบกฎหมายอังกฤษ  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ซึ่งมี  4  ยุค  ดังนี้คือ

ยุคที่  1  ยุคแองโกลแซกซอน  ค.ศ. 600  1066  ยุคนี้ปกครองโดยกษัตริย์ชนเผ่าแองโกลแซกซอน  กฎหมายยุคแองโกลแซกซอนนับว่าเป็ยกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ  ซึ่งนำเอากฎหมายจารีตประเพณีมาใช้  กฎหมายสมัยแองโกลแซกซอนจำนวนมากกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการชะระค่าเสียหายไว้  โดยการชำระเป็นเงินตรา

เนื่องจากกฎหมายยุคแองโกลแซกซอนเป็นกฎหมายจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น  ยุคนี้จึงยังไม่เกิดกฎหมาย  Common  Law

ยุคที่  2  ยุคนอร์แมน  ค.ศ. 1016  1035  ยุคนี้ปกครองโดยกษัตริย์ชนเผ่านอร์แมนพระองค์แรกคือ  พระเจ้าวิลเลี่ยมที่  1  ซึ่งนำเอาการปกครองที่เรียกว่า  Feudalism  มาใช้ในประเทศอังกฤษ  ในยุคนี้ศาลท้องถิ่นตัดสินคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นซึ่งล้าสมัย  ทำให้ฝ่ายที่แพ้คดีไม่ได้รับความเป็นธรรม  ราษฎรฝ่ายที่แพ้คดีจึงร้องเรียนต่อพระเจ้าวิลเลี่ยม  พระองค์จึงจัดตั้งศาลกษัตริย์  (King’ Court)  หรือศาลหลวง  (Royal  Court)  ไปวางหลักเกณฑ์ที่เหมือนๆกัน  มีลักษณะสามัญ  (Common)  และใช้กันทั่วประเทศ  ทำให้กฎหมาย Common  Law  เริ่มเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษแต่นั้นเป็นต้นมา

ยุคนี้เกิดแม็คนา  คาตาร์  ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษ  และศาลหลวงได้มีการปฏิรูปใหม่แยกออกเป็น  3 ศาล  คือ  ศาลคอมมอนพลีส์  ศาลเอ็คซ์เช็คเกอร์  และศาลคิงส์เบนส์  ในยุคนี้ศาลหลวงได้นำวิธีพิจารณาคดีแบบใหม่มาใช้  โดยมีคณะลูกขุน  (Jury)

ยุคที่ 3  ยุคเอ็คคิวตี้  ค.ศ.  1485  1832   ยุคนี้ศาลหลวงหรือศาลคอมมอนลอว์ใช้จารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์ในการพิจารณา  จนทำให้กฎหมายคอมมอนลอว์พัฒนาเป็นระบบมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน  ตายตัวไม่ยืดหยุ่น  ทำให้การแก้ไขปรับปรุงได้ลำบาก และไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือเกิดความล้าสมัย  ซึ่งถ้าศาลหลวงตัดสินตามจารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์แล้ว ผลของคำพิพากษาทำให้คู่ความเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  หรือความเสียหายของเขาไม่ได้รับการเยียวยาตามที่คู่ความฝ่ายนั้นต้องการ  จึงได้มีการถวายฎีกาต่อกษัตริย์ ๆ  มอบให้ชานเซลเลอร์เป็นผู้ตัดสิน  หลักกฎหมายที่ศาลชานเซอรี่นำมาใช้เพื่อแก้ไขความไม่เหมาะสมหรือความไม่เป็นธรรมอันเกิดจากคอมมอนลอว์  หลักที่ศาลชานเซอรี่นำมาอ้างตัดสินแทนจารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์ถือความยุติธรรม  (Equity)  เรียกว่า  หลักความยุติธรรมในสังคมหรือหลักประโยชน์สุขของสังคมนั่นเอง

ยุคที่  4  ยุคปัจจุบัน   เริ่มตั้งแต่ ศตวรรษที่  19  เป็นต้นมา  แนวความคิดในเรื่องเกี่ยวกับสังคมของอังกฤษเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ยึดหลักเสรีนิยมมาเป็นสังคมนิยม  ตั้งแต่ปี  ค.ศ.  1914  อังกฤษยุคนี้กลายเป็นสังคมที่เกิดปัญหาใหม่ๆ  ขึ้นจำนวนมาก  ปัญหาใหม่ของสังคมมีความสลับซับซ้อนละยุ่งยาก  กฎหมาบคอมมอนลอว์และกฎหมายเอ็คคิวตี้  ไม่อาจนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะในสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ด้วยเหตุนี้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปกฎหมายลักษณะต่างๆ  เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม

อังกฤษยุคปัจจุบันมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  2  ประเภท  คือ  กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภา 

เรียกว่า  พระราชบัญญัติ  หรือ  Act  และกฎหมายของฝ่ายบริหาร  เรียกว่า พระราชกฤษฎีกา

นอกจากนี้ในศตวรรษที่  19   ได้มีการปฏิรูประบบศาล  ระบบศาลอังกฤษสมัยใหม่แบ่งศาลออกเป็น  3  ชั้น  ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  คือ ศาลสูงสุด  ศาลสูงชั้นกลาง  และศาลชั้นต้น  สาเหตุที่มีการปฏิรูปศาลเกิดจากเขตอำนาจศาลที่ขัดแย้งและซ้ำซ้อนกัน.

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ตามพระอัยการลักษณะผัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง  มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นเงื่อนไขการสมรสอย่างไรบ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

บทบัญญัติพระอัยการลักษณะผัวเมียในกฎหมายตรา  3  ดวง  มีบทบัญญัติทำนองเงื่อนไขการสมรสดังนี้

1       หญิงต้องไม่มีสามีอยู่ก่อนแล้ว

2       ชายต้องไม่เป็นพระภิกษุ

3       ชายหญิงต้องไม่เป็นญาติกัน

4       หญิงหม้ายจะแต่งงานใหม่ได้ต้องเผาศพสามีเรียบร้อยเสียก่อน

5       หญิงจะแต่งงานได้ต้องมีอายุกว่า  12  ปี

 

ข้อ  2  ตามที่หนังสือพิมพ์รายวัน  คม  ชัด  ลึก  ฉบับภาคเหนือ  ประจำวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2546  หน้า  1  ลงข่าวว่า  ทักษิณนำทัพรบยาบ้า  แตกหัก  ลั่น ตาต่อตา  เริ่มมาตรการปราบแก๊งยาเสพติดทักษิณขอเป็นแม่ทัพใหญ่รบตาต่อตาฟันต่อฟัน  จากการที่ๆได้ศึกษาเรื่องระบบกฎหมายหลักมา  จงตอบคำถามดังนี้

ก  ข้อความที่ขีดเส้นใต้มีที่มาจากกฎหมายในสมัยใด  5  คะแนน

ข  กฎหมายนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร 5 คะแนน

ค  เป็นกฎหมายประเภทใด 5  คะแนน

ง  วลีที่ว่า  ตาต่อตา  หมายความว่าอย่างไร  และกฎหมายสมัยนั้นบัญญัติมีข้อความอย่างไร  ให้กล่าวเฉพาะข้อความที่เกี่ยวข้องโดยตรง  10  คะแนน

ธงคำตอบ

ก  กฎหมายนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ  1765  ปีก่อนคริสต์ศักราช  พวกอะมอไรท์ที่มาจากทะเลทรายอาราเบีย  เข้ามายึดครองเมืองบาบิโลเนีย  แล้วสถาปนาเป็นนครหลวงของจักรวรรดิ  จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  ชาวบาบิโลเนียหรือสมัยบาบิโลนนั่นเอง

ข  ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบี

ค  กฎหมายอาญา

ง  ตาต่อตา  หมายความว่า  ทำอย่างไรต้องรับผลตอบแทนเช่นนั้น  ซึ่งยึดหลักการแก้แค้นตอบแทนที่รุนแรงมาก

ข้อความที่กฎหมายบัญญัติไว้คือ  ถ้าบุคคลใดทำลายดวงตาของอีกผู้หนึ่ง  ดวงตาของบุคคลนั้นจะถูกทำลายเช่นกัน

 

ข้อ  3  จงตอบคำถามเรื่อง  ทรัสต์  (Trust)  ในหัวข้อต่อไปนี้

ก  ทรัสต์ คื่ออะไร  และความหมายของทรัสต์คือ  บริษัทเงินทุนใช่หรือไม่  5  คะแนน

ข  ทรัสต์  มีในระบบกฎหมายใด 5  คะแนน

ค  ทรัสต์  เกี่ยวข้องกับบุคคลกี่คน  ใครบ้าง 

และบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัสต์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร  10  คะแนน

ง  ทรัสต์  มีในประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด    5  คะแนน

ธงคำตอบ

ก  ทรัสต์  หมายความว่า  ทรัพย์สินหรือกองทุนที่มีผู้จัดตั้งขึ้น  โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง  เช่น  กองทุนมรดก  กองทุนเพื่อการกุศล  ฯลฯ  ลักษณะของทรัสต์คือ  ต้องมีการแต่งตั้งทรัสตีเป็นผู้ดูแลบริหารสินทรัพย์ของกองทุน

ทรัสจึงไม่ใช่กิจการบริษัทเงินทุน  แต่เป็นกฎหมายเอ็คคิวตี้ (Equity)

ข  ทรัสต์  มีในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common  Law)

ค  ทรัสต์  เกี่ยวข้องกับบุคคล สามฝ่ายคือ  บุคคลแรกเรียกว่า  ผู้ตั้งทรัสต์  (Settlor)  แสดงเจตนาให้บุคคลที่สองเรียกว่า  ทรัสตี (Trustee)  ซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคน  ยึดถือทรัพย์สินในฐานะเป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์  แต่จะไม่ใช้กรรมสิทธิ์เพื่อประโยชน์ของตนเอง  แต่เพื่อประโยชน์ของบุคคลที่สาม  รียกว่า  ผู้รับประโยชน์แห่ง  ทรัสต์  (Beneficiary)

ง  ทรัสต์  ไม่มีในประเทศไทย  เพราะมีกฎหมายบัญญัติห้ามก่อตั้งทรัสต์  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1686  บัญญัติว่า  อันว่าทรัสต์นั้น  จะก่อตั้งขึ้นโดยตรงหรือโดยทางอ้อมด้วยพินัยกรรมหรือด้วยนิติกรรมใดๆที่มีผลในระหว่างชีวิตก็ดี  หรือเมื่อตายแล้วก็ดี  หามีผลไม่

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2032 (LA 232),(LW 103) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อุทลุมคืออะไร  ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้และพระอัยการลักษณะพยานบัญญัติเรื่องอุทลุมไว้อย่างไร  และแตกต่างกัลป์บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.  2525  ได้ให้ความหมายของคำว่า  อุทลุม  หมายความถึง  ผิดประเพณี  ผิดธรรมมะ  นอกแบบ  นอกทาง  เช่น  ผู้ใดเป็นอุทลุม  มิรู้คุณบิดามารดา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ท่านให้มีโทษทวนด้วยลวดหนังโดยฉกรรจ์  ตามพระอัยการลักษณะกู้หนี้  ในกฎหมายตรา  3  ดวง  บัญญัติว่า  ถ้าหากบิดามารดากู้ยืมบุตรแล้วไม่มีเงินใช้คืน  ห้ามบุตรฟ้องบิดามารดา  ณ  โรงศาลใดๆ  เพราะเป็นอุทลุม  ถือว่าไม่รู้คุณบิดามารดา  ให้ว่ากล่าวกันตามปกติ  ในพระอัยการลักษณะรับฟ้องในกฎหมายตรา  3  ดวง  ห้ามลูกหลานฟ้องบิดามารดา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  เหลนฟ้องทวดได้  ไม่เป็นอุทลุม  แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1562  บัญญัติว่า  ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรืออาญามิได้  แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ  อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้  บุพการี  หมายถึง  บิดามารดา  ปู่  ย่า  ตายาย  และทวดด้วย  ดังนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ลูกหลาน  เหลน  จะฟ้อง  พ่อ  แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  และทวดไม่ได้ 

 

ข้อ  2  หลักอินทภาษคืออะไร  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหลักอินทภาษมีผลอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักอินทภาษ  เป็นค่ำสั่งสอนที่พระอินทร์มีต่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นตุลาการว่า  การจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ  4  ประการ  คือ  ฉันทาคติ  (รัก)  โทสาคติ  (โกรธ)  ภยาคติ  (กลัว)  โมหาคติ  (หลง)  และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส  ซึ่งหมายความว่า  พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ  ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว  อิสริยยศ   และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง  เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น  ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ  4  ประการดังกล่าว  อิสริยยศ  และบริวารยศ  ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม

ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น  หมายถึง  ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ  อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง  อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง

การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ  หมายถึง  อย่าตัดสินความโดยความโกรธ  พยาบาท  อาฆาต  เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน 

การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ  คือ   ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง  ไม่หวั่นไหว  กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์  หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก

การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ  หมายความว่า  จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้  คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์  จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง

การตัดสินคดีโดยมีอคติ  4  ประการนี้  นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  กล่าวว่า  ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น  บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง

หลักอินทภาษ  มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย

 

ข้อ  3  จงตอบคำถามตามลำดับต่อไปนี้

(1) เพราะเหตุใดจึงเกิดกฎหมายสาขาเอคควิตี้  (Equity)  ในประเทศอังกฤษ

(2) กฎหมายสาขาเอคควิตี้  (Equity)  กับกฎหมายคอมมอนลอว์  (Common  Law)  มีความแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

(1) กฎหมายสาขาเอคควิตี้ของประเทศอังกฤษมีกำเนิดมาจากการที่ศาลหลวงของกษัตริย์หรือศาลคอมมอนลอว์  ไม่อาจให้การเยียวยาแก่โจทย์อย่างเพียงพอ  กล่าวคือ  ศาลหลวงของกษัตริย์อาจให้การเยียวยาได้เฉพาะแต่เงินตราเท่านั้น  ไม่อาจบังคับให้จำเลยกระทำการเฉพาะสิ่ง  (Specific  Performance)  หรือจะห้ามมิให้จำเลยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้  (Injunction)  อีกทั้งการฟ้องความในศาลคอมมอนลอว์ต้องใช้คำฟ้อง  (Writ)  ที่แตกต่างกันสำหรับคดีแต่ละประเภท  การใช้คำฟ้อง  (Writ)  ฟ้องผิดประเภทมีผลทำให้ศาลยกฟ้องคดีของโจทก์  ทำให้โจทก์ไม่ได้รับการเยียวยา  จึงร้องขอความเป็นธรรมจากกษัตริย์  กษัตริย์จึงมอบให้ราชเลขาธิการ  (Chancellor)  ไปทำการพิจารณาคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรม  จึงเป็นเหตุให้เกิดกฎหมายสาขาเอคควิตี้

 (2)  เอคควิตี้กับคอมมอนลอว์มีข้อแตกต่างกัน  ดังนี้

1  สภาพแห่งคดี 

–  เอคควิตี้บังคับเอากับเนื้อตัวร่างกายของจำเลย

–  คอมมอนลอว์บังคับเอากับทรัพย์สินของจำเลย

 2       การพิจารณาคดี

– ตามคอมมอนลอว์  มีการให้คณะลูกขุนเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริง  ส่วนผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณาข้อกฎหมาย

–  ส่วนเอคควิตี้นั้นมีผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

3       การบังคับคดี

 –                    คอมมอนลอว์บังคับเอากับทรัพย์สินของจำเลย  มีลักษณะเป็นการให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินตรา

เอคควิตี้บังคับเอากับเนื้อตัวร่างกายของจำเลย  ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล  ถือเป็นการหมิ่นอำนาจศาล  ซึ่งศาลอาจสั่งขังจำเลยได้

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ 

ข้อ 1  ประมวลกฎหมายตรา  3  ดวง  คืออะไร  และอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการประมวลกฎหมายตรา  3  ดวง  อธิบาย

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายตราสามดวง  คือ  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้รวบรวมและชำระสะสางให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อปีจุลศักราช  1166  (พุทธศักราช  2347)  ประกอบด้วยพระธรรมศาสตร์  หลักอินทภาษ  และพระอัยการต่างๆ  รวม  29  ลักษณะ  เสร็จแล้วทรงให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน  3  ชุดๆละ  41 เล่ม  ทรงให้ประทับตราราชสีห์  พระคชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไวเป็นสำคัญ  และใช้เป็นกฎหมาย ตลอดมาจนค่อยๆมีการทยอยยกเลิกจนหมดสิ้นเมื่อปี  พ.ศ.  2481

เหตุเมื่อมีประมวลกฎหมายตราสามดวงเนื่องจากมีการร้องทุกข์ทูลเกล้าถวายฎีกาของนายบุญศรี  ช่างเหล็กหลวง  กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ  เนื่องด้วยอำแดงป้อมภรรยานายบุญศรีฟ้องหย่านายบุญศรี  นายบุญศรีให้การแก่พระเกษมว่าอำแดงป้อมนอกใจทำชู้ด้วยนายราชาอรรถแล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีนายบุญศรีไม่ยอมหย่า  พระเกษมหาพิจารณาตามคำให้การนายบุญศรีไม่  พระเกษมพูดจาแทะโลมอำแดงป้อมและพิจารณาไม่เป็นสัจเป็นธรรม  เข้าด้วยอำแดงป้อม  แล้วคัดเอาข้อความมาให้ลูกขุน  ณ  ศาลหลวงปรึกษาว่าเป็นหญิงหย่าชาย  ให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีหย่าขาดจากกันตามกฎหมาย  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่าเป็นเรื่องหญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า  ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่  จึงทรงให้จักกรชำระบทกฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นเสียใหม่  ซึ่งมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ  2  จงอธิบายระบบกฎหมายโรมาโน  เยอรมันนิค พอสังเขป

ธงคำตอบ

โรมาโนเป็นภาษาของชนเผ่าอีทรัสคัน  หมายความว่า  กรุงโรม  เมืองหลวงของประเทศอิตาลี  ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของประมวลกฎหมายแพ่ง

เยอรมันนิค  หมายความว่า  ชื่อชนเผ่าหนึ่งในปัจจุบันคือ  ชาวเยอรมัน  ซึ่งเป็นชนเผ่าที่นำเอาประมวลกฎหมายแพ่งไปใช้กับชนเผ่าของตน

ดังนั้นจึงนำชื่อเมืองหลวงและชื่อชนเผ่ามาตั้งเป็นชื่อระบบกฎหมาย

แต่มีผู้เห็นว่าควรยกย่องราษฎรโรมันชนเผ่าเดียว  จึงนำเอาคำว่าโรมันมาตั้งเป็นชื่อระบบกฎหมายว่า  กฎหมายโรมันหรือซีวิล  ลอว์

เนื่องจากกฎหมายโรมันเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร  จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  Written  law

การที่กฎหมายโรมันจัดทำเป็นประมวลกฎหมายจึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  Code  law

ระบบนี้มีหลักการสำคัญว่า  กฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  เป็นที่มาของกฎหมายและในการพิพากษาคดี  ศาลจะยึดถือตัวบทกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์  ผู้พิพากษาในคดีหลังๆไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำพิพากษาในคดีก่อนๆ

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายนี้  คือ  อิตาลี  เยอรมัน  ฝรั่งเศส  สเปน  สวิส  ญี่ปุ่น  ไทย  ฯลฯ

 

ข้อ 3  ประเทศอังกฤษตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ศาลสูงชั้นกลาง  คือ  ซูพรีม  คอร์ท  เป็นศาลที่มีอำนาจออกหมาย  5  ประเภท  ตามกฎหมายปี  ค.ศ.  1935  คือ

ก  เฮเบียส  คอร์พัส

ข  เซอทิโอราไร

ค  โพร์  ฮิบิชั่น

ง  แมนดามัส

จ  คัว  วอร์เร็นโต

อยากทราบว่า  หมายทั้ง  5  ประเภท  คือหมายเกี่ยวกับเรื่องอะไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ก  เฮเบียส  คอร์พัส  คือ  หมายที่ออกเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง  ในการควบคุมตัวบุคคล  หมายนี้มีความสำคัญคือคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ข  เซอทิโอราไร  คือ  หมายที่ออกเพื่อตรวจตราคำวินิจฉัยของศาลล่าง  หรือฝ่ายบริหารให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชอบธรรมและอยู่ภายในเขตอำนาจศาล  ไม่เกินอำนาจที่ได้รับมอบหมาย  และปฏิบัติตามหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ  และมีคำสั่งให้ยกคำวินิจฉัยที่มิชอบ  แก้ไขหรือให้ดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องได้

ค  โพร์  ฮิบิชั่น  คือ  หมายที่สั่งให้ศาลล่างหรือฝ่ายบริหารหยุดกระทำการใดๆที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือเกินกว่าอำนาจของตน

ง แมนดามัส  คือ  หมายที่สั่งให้ศาลล่างหรือฝ่ายบริหารปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย

จ  คัว  วอร์เร็นโต  คือ  หมายที่ตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องอำนาจศาล

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  กล่าวกันว่า  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาครั้งหนึ่งๆ  ตราขึ้นมามีกี่ชุด  เก็บไว้ในที่ใดบ้าง  และเพื่อประโยชน์อันใด  และเพราะเหตุใดจึงสูญหายหมด  อธิบาย

ธงคำตอบ

กล่าวกันว่า  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา  ครั้งหนึ่งๆ  ตราขึ้นมามีจำนวน  3  ชุด  เก็บไว้ในที่ดังต่อไปนี้

 1       เก็บไว้ที่ห้องเครื่องหนึ่งชุด  สำหรับพระมหากษัตริย์ใช้เป็นการส่วนพระองค์  ซึ่งห้องเครื่องหมายถึงห้องเสวยพระกระยาหาร  แต่บางท่านว่าคงจะหมายถึงห้องพระอักษรมากกว่า

2       เก็บไว้ที่หอหลวง  1  ชุด  เอาไว้สำหรับให้ขุนนางข้าราชการเอาไว้ใช้ในการบริหารปกครองบ้านเมืองและคัดลอกเอาไปศึกษาหรือเอาไว้ใช้เป็นการส่วนตัว

3       เก็บไว้ที่ศาลหลวง  1  ชุด  เอาไว้สำหรับผู้พิพากษาตุลาการอัญเชิญออกมาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ

เหตุที่กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาสูญหายหมด  อาจเกิดจากสาเหตุ  3  ประการดังนี้

1       เมื่อครั้งพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาแตก  เมื่อปี  พ.ศ. 2310  พม่าได้เผาทำลายปราสาทพระราชวัง  ป้อม  ค่าย  คู  ปราการต่างๆจนหมดสิ้น  กฎหมายที่เก็บไว้ในที่ต่างๆดังกล่าวมาข้างต้นคงถูกเผาทำลายหมดสิ้น

2       กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเขียนลงบนแผ่นกระดาษ  ใบลานหรือใบตาล  ย่อมผุพังหรือถูกพวกปลวกแมลงต่างๆ  ทำลายได้โดยง่าย

3       เมื่อครั้งที่มีการประมวลกฎหมายตรา  3  ดวง  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงมีพระบัญชาว่า  เวลาที่จะนำกฎหมายมาใช้จะต้องเป็นกฎหมายฉบับมีตราพระราชสีห์  พระคชสีห์  และตราบัวแก้วประทับอยู่เท่านั้น  จึงจะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับได้  ดังนั้นความจำเป็นที่จะเก็บกฎหมายเก่าไว้จึงไม่มี  จึงเป็นเหตุให้กฎหมายเก่าที่มีอยู่สูญหายไปหมด

 

ข้อ  2  วิธีการพิสูจน์ความจริงในสมัยโบราณของไทยยุคกรุงศรีอยุธยามีกฎหมายฉบับหนึ่งคือ  พระอัยการพิสูจน์ดำน้ำลุยเพลิงซึ่งเป็นกฎหมายที่พิสูจน์ความจริงหรือความเท็จจากตัวความเอง  เมื่อคดีใดไม่มีพยานพิสูจน์ความเท็จและความจริง  แต่จากการศึกษาระบบกฎหมายหลักพบว่ามีวิธีการพิสูจน์ความจริงที่คล้ายคลึงกับของไทย  คือ  ประเทศอังกฤษในอดีต  ให้นักศึกษาอธิบายว่าประเทศอังกฤษในอดีตมีวิธีการใดบ้าง

ธงคำตอบ

การพิสูจน์ด้วยไฟหรือน้ำ  โดยวิธีทรมาน (Ordeal)  ซึ่งใช้สำหรับคดีอุกฉกรรจ์มหันตโทษ  เป็นการพิสูจน์ความจริงโดยอาศัยผีสางเทวดาเป็นผู้วินิจฉัย  เพราะเกินกำลังความเข้าใจของมนุษย์  เป็นการยกให้เป็นภาระของพระผู้เป็นเจ้าที่จะต้องแสดงความผิดหรือความบริสุทธิ์ของคนให้ประจักษ์  วิธีนี้มีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว  ในคริสต์ศตวรรษที่  10  ยุคแองโกลแซกซอนและตอนต้นยุคนอร์แมนครองเกาะอังกฤษก็ใช้วิธีนี้  ซึ่งมีหลายแบบด้วยกัน

 1        วิธีการใช้เหล็กเผาไฟร้อนแดง  แล้วให้จำเลยถือเหล็กที่เผาไฟร้อนแดงนั้นเดินหรือวิ่งเป็นระยะทาง  9  ฟุต  เมื่อวางเหล็กนั้นแล้วจะมีการเอาผ้าพันมือของจำเลยที่ได้ถือเหล็กนั้น  แล้วประทับตราไว้เป็นเวลา  3  วัน  3  คืน  หลังจากนั้นก็จะแก้เอาผ้าที่พันออก  หากปรากฏว่ามือจำเลยไม่มีบาดแผลที่ถูกไฟลวกแต่ประการใดก็ถือว่าพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ได้ปกป้องจำเลยผู้บริสุทธิ์แล้ว  ตรงกันข้ามหากว่ามือจำเลยมีบาดแผลหรือว่ามีร่องรอยของการที่ถือเหล็กไฟแดงนั้น  ก็ถือว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้น

2        วิธีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย  โดยจำเลยจะเอามือของจำเลยจุ่มลงไปในกระทะน้ำเดือดเพื่อเอาหินที่อยู่ก้นกระทะนั้นขึ้นมา  หลังจากที่จำเลยได้เอามือจุ่มในน้ำเดือดแล้วสามวัน  ก็จะมีการพิสูจน์มือจำเลยที่จุ่มในน้ำเดือดนั้น  หากปรากฏว่าไม่มีร่องรอยของการถูกน้ำเดือดลวกแต่ประการใด  จำเลยก็เป็นผู้บริสุทธิ์  ถ้าหากว่ามีร่องรอยของการถูกน้ำเดือดลวก  ก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ผิดจริงตามฟ้อง

ขอให้สังเกตว่า  วิธีการพิสูจน์เหล็กเผาไฟแดงหรือน้ำเดือดนี้  เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน  มิใช่เรื่องของโจทก์หรือผู้กล่าวหาจะเป็นผู้พิสูจน์ความจริงตามข้อกล่าวหาของตนปรากฏว่าในปี  ค.ศ. 1202  จำเลยได้รับอนุญาตให้เลือกเองว่า  จำเลยจะพิสูจน์โดยถือเหล็กเผาไฟแดงด้วยตนเอง  หรือจะให้โจทก์เป็นผู้ถือ  ปรากฏว่าจำเลยเลือกให้โจทก์เป็นผู้ถือทั้งสองคดี

3        วิธีน้ำเย็น  โดยเอาตัวจำเลยโยนลงไปในน้ำถ้าจมก็บริสุทธิ์  ถ้าลอยก็มีความผิด  เพราะมีเทวดามาอุ้มไว้ไม่ให้จม  จึงเห็นได้ประจักษ์ว่าจำเลยผิดจริง

 

ข้อ  3  ลักษณะแห่งกฎหมายประการหนึ่งคือวัตถุประสงค์เพื่อความยุติธรรม  และมีผู้กล่าวว่า  การตอบคำถามวิชานิติศาสตร์  ต้องอ้างอิงหลักกฎหมายด้วย  ตามที่ได้ศึกษาเรื่องระบบกฎหมายหลัก  ให้นักศึกษาตอบคำถามดังนี้ 

ก.  ในอดีตมีกฎหมายเก่าของต่างประเทศบัญญัติ  ความหมายคำว่า  ความยุติธรรม  วิชานิติศาสตร์  หลักกฎหมาย  จงอธิบายความหมายคำทั้งสามคำนี้  (9 คะแนน)

ข  ความหมายของคำทั้งสามนี้มีอยู่ในระบบกฎหมายใด     (4 คะแนน)

ค  เป็นกฎหมายของชนชาติใด  (4 คะแนน)

ง  กฎหมายนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร  (4 คะแนน)

จ  อยู่ในส่วนใดหรือภาคใดของกฎหมายนั้น(4 คะแนน)

ธงคำตอบ

ก  ความยุติธรรมคือ  เจตจำนงอันแน่วแน่ตลอดกาลที่จะให้แก่ทุกคนตามส่วนที่เขาควรจะได้

วิชานิติศาสตร์  คือ  วิชาที่ว่าด้วยความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง  เป็นวิชาที่ว่าด้วยความเป็นธรรมและความอยุติธรรม

หลักกฎหมาย คือ  ดำรงชีวิตด้วยความซื่อสัตย์  ไม่ทำร้ายผู้อื่น  และให้แก่ทุกคนตามส่วนที่เขาควรได้

ข  ความหมายของคำทั้งสามนี้  มีอยู่ในระบบกฎหมายซีวิลลอว์หรืออโรมาโน  เยอรมันนิค

ค  เป็นกฎหมายของชนชาติโรมัน

ง  กฎหมายนี้มีชื่อเรียกว่า ประมวลกฎหมายจัสติเนียนหรือซีวิลลอว์

จ  อยู่ในภาคคำอธิบายเบื้องต้น (The  Institues)

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  แมกนา  คาร์ตา  ( Magna  Carta)  คืออะไร  เพราะเหตุใดจึงมีการตราแมกนา  ตาร์ตา  ขึ้นมา  และมีบทบัญญัติโดยสังเขปว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

1  แมกนา  คาร์ตา  ( Magna  Carta)   คือ  กฎบัตรที่ตราขึ้นโดนกษัตริย์จอห์น  แห่งประเทศอังกฤษ  เมื่อปี  ค.ศ.  1215  ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นแบบแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโลก

 2       เหตุที่มีการตราแมกนา  คาร์ตา  ขึ้นมาก็เนื่องจากกษัตริย์จอห์นทรงละเมิดจารีตประเพณีการปกครองแบบศักดินาสวามิภักดิ์(Feudalism) คือ  ทรงเก็บภาษีจากบรรดาขุนนางและราษฎรผิดไปจากที่จารีตประเพณีกำหนดไว้จนเป็นที่เดือดร้อนของเหล่าบรรดาขุนนางและราษฎร  บรรดาขุนนางทั้งหลายจึงไปร่างเอาข้อกำหนดมาและบังคับกษัตริย์จอห์นทรงรับเอาข้อกำหนดดังกล่าวด้วยการประทับตราแผ่นดินลงไปในเอกสารที่เหล่าบรรดาขุนนางทั้งหลายร่วมกันร่างขึ้นมา  และเพื่อเป็นการถวายเกียรติให้กับกษัตริย์จอห์น  จึงให้กษัตริย์จอห์นตราเป็นกฎบัตรขึ้นและตั้งชื่อว่า  “Magna  Carta”  หรือ  มหาบัตร

3  ข้อกำหนดในแมกนา  คาร์ตา  มีโดยสังเขปดังนี้

1)  เป็นข้อกำหนดสิทธิของชนชั้นต่างๆในสมัยกลาง

2)  ฝ่ายศาสนามีอิสรเสรี

3)  กรุงลอนดอนและเมืองอื่นๆยังคงรักษาไว้ซึ่งจารีตประเพณีที่มีอยู่เดิม

4)  พ่อค้าจะต้องไม่ถูกเก็บภาษีด้วยความไม่เป็นธรรม

5)  บุคคลจะต้องไม่ถูกลงโทษ  เว้นแต่จะมีคำตัดสินของบุคคลในฐานันดรเดียวกันหรือตามกฎหมายของบ้านเมือง 

6)  บุคคลทุกคนย่อมได้รับความยุติธรรม  ความยุติธรรมต้องไม่ใช่สิ่งที่ได้มาด้วยการซื้อหา

 

ข้อ 2  พระอัยการลักษณะผัวเมียในกฎหมายตรา  3  ดวง  มีบทบัญญัติทำนองเงื่อนไขว่าอย่างไรบ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

บทบัญญัติพระอัยการลักษณะผัวเมียในกฎหมายตรา  3  ดวง  มีบทบัญญัติทำนองเงื่อนไขการสมรสดังนี้

1       หญิงต้องไม่มีสามีอยู่ก่อนแล้ว

2       ชายต้องไม่เป็นพระภิกษุ

3       ชายหญิงต้องไม่เป็นญาติกัน

4       หญิงหม้ายจะแต่งงานใหม่ได้ต้องเผาศพสามีเรียบร้อยเสียก่อน

5       หญิงจะแต่งงานได้ต้องมีอายุกว่า  12  ปี

 

ข้อ  3  กฎหมาย  16  หลังคาเรือน  คืออะไร  มีบทบัญญัติว่าอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมาย  16  หลังคาเรือน  เป็นบทบัญญัติในมังรายศาสตร์หรือกฎหมายพระเจ้ามังราย  โดยกฎหมายบัญญัติว่าในหมู่บ้านหนึ่งๆ มี  16 หลังคาเรือน  มีบ้านหนึ่งบ้านใดถูกลักเอาทรัพย์ไป  อีก  15  ครัวเรือนต้องร่วมกันช่วยใช้คืน  กฎหมายให้เหตุผลว่า  เพราะอยู่บ้านเดียวกันไม่สั่งสอนกัน  ปล่อยให้เพื่อนไปลักของท่านหากเขาเถียงว่ามันลักของท่านเองตัวเขาไม่รู้เห็นด้วย  เจ้าขุนแต่โบราณก็ไม่รับฟัง  หากจับตัวผู้กระทำความผิดได้  หากพิจารณาความว่าผู้ลักของเป็นคนดี  ให้มันใช้  4  เท่า  6  เท่า  หรือ  9  เท่า  แล้วขับออกไปเสียจากบ้านไปอยู่ในระยะไกลขนาดตีกลองไม่ได้ยินเสียง

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ตามพระอัยการลักษณะโจรและพระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกันในกฎหมายตราสามดวง  มีการยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดทางอาญาในกรณีใดบ้าง  และกฎหมายให้เหตุผลของการยกเว้นโทษไว้ว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

 1         ในพระอัยการลักษณะโจร  มีการยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ระหว่างเครือญาติเช่น  พ่อแม่ลักทรัพย์ลูก  ลูกลักทรัพย์พ่อแม่  หรือสามีลักทรัพย์ของภรรยา  หรือภรรยาลักทรัพย์ของสามี  กฎหมายให้เหตุผลของการยกเว้นโทษว่า  “เพราะยากไร้เขาเสียกันไม่ได้  เขาทรัพย์เรื่องเดียวกัน”  ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ครอบครัวต้องแตกความสามัคคีกันนั่นเอง

2         ในพระอัยการวิวาทด่าตีกัน

            ยกเว้นโทษแก่ญาติพี่น้องทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน  มิถึงอันตรายสาหัส  เหตุผลของการยกเว้นก็เช่นเดียวกับกรณีของการลักทรัพย์ระหว่างเครือญาติ  “เพราะยากไร้เขาเสียกันมิได้”

            ยกเว้นโทษแก่เด็กอายุ  7  ขวบ  และคนชราอายุ  70  ปีขึ้นไป  ที่ไปทำร้ายร่างกายผู้อื่น  เพราะกฎหมายเห็นบุคคลทั้งสองจำพวกนี้เป็นคนหลงใหลไม่รู้จักผิดและชอบ

            ยกเว้นโทษให้แก่คนวิกลจริต  หรือที่ในกฎหมายเรียกว่า  “คนบ้า”  ถ้าคนบ้าไปตีฟันแทงคนดีตาย  จะปรับไหมคนบ้าไม่ได้  เพราะว่าบ้าหาตำแหน่งแบ่งสัจมิได้  คือคนบ้าไม่รู้ผิดชอบกฎหมายจึงไม่เอาโทษคนบ้า

   การกล่าวหมิ่นประมาทผู้อื่นว่ามึงเป็นชู้ด้วยแม่มึง  พ่อมึงทำชู้ด้วยลูกมึง  ฯลฯ  ถ้าเป็นจริงดังที่มีการกล่าวหมิ่นประมาท  ไม่มีโทษแก่ผู้ด่าแต่ประการใด  เพราะถือว่าผู้กระทำตามถูกหมิ่นประมาทเป็นผู้ทำกาลีลงมา

 

ข้อ  2  กฎหมายเรื่องนิติกรรมสัญญาสมัยบาบิโลน  มีหลักเกณฑ์อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายเรื่องนิติกรรมสัญญา  การทำสัญญาสมัยบาบิโลน  ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดว่าต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ประการใด  สัญญาที่ทำกันมากคือสัญญาซื้อขาย  เพราะการค้าขายเป็นที่นิยมในสมัยนั้น  นอกจากนี้คือสัญาเช่าซื้อ  โดยชาวบาบิโลนมีเสรีภาพในการทำสัญญา  ซึ่งการทำสัญญามีการเจรจาต่อรองกัน  หากเป็นทรัพย์สินที่มีราคาแพง  อาจทำสัญญาโดยข้าราชการ  เรียกว่า  สไครวส์  (Scrives)  หรือ  สไครเวอเนอร์  (Scrivener)  เป็นผู้เขียนสัญญาให้  ในสัญญามักจะมีข้อความว่าเมื่อมีข้อพิพาทให้กษัตริย์เป็นผู้ชี้ขาดโดยคู่สัญญาต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของกษัตริย์  หากสัญญาได้ทำเป็นหนังสือคู่สัญญาจะนำสืบพยานบุคคลว่ามีข้อตกลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ 

นอกจากสัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าซื้อที่พบมากยังมีสัญญาอื่นอีก  เช่น  สัญญาให้โดยเสน่ห์หา  สัญญากู้ยืม  สัญญาจำนำ  ซึ่งเกิดจากการทำนิติกรรมสัญญาทั้งสิ้น

ข้อสังเกต  การซื้อขายหากผู้ซื้อทรัพย์สินหรือรับฝากทรัพย์สินจากผู้เยาว์หรือทาสโดยปราศจากอำนาจจะถูกลงโทษฐานลักทรัพย์  และผู้ใดรับทรัพย์สินที่ถูกลักมาจะมีความผิดและถูกลงโทษถึงตาย  เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าได้รับทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริต  แต่ต้องคืนทรัพย์สินนั้นให้แก่เจ้าของโดยที่ตนเองไล่เบี้ยเอาจากผู้ขายได้ดังนั้นผู้ซื้อจึงต้องใช้ความระมัดระวัง  เรียกเป็นสุภาษิตกฎหมายว่า  “ผู้ซื้อต้องระวัง”  (Caveat  Emptor)

 

ข้อ  3  จงอธิบายผลของคำพิพากษาว่า  คำพิพากษาของศาลถือว่าเป็นกฎหมายหรือไม่  ให้ตอบทั้งระบบ  คอมมอน  ลอว์  และซีวิล  ลอว์

ธงคำตอบ

การพิจารณาคดีของศาลในระบบกฎหมายคอมมอน  ลอว์นั้น  เป็นการพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดี  และผู้พิพากษาได้กำหนดหลักเกณฑ์อันเป็นบรรทัดฐาน  หรือแบบอย่าง  (Precedent)  ขึ้นจากข้อเท็จจริงในคดีนั้น  เป็นการพิจารณาคดีจากข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่องมาสู่หลักเกณฑ์ทั่วไป

เมื่อศาลได้พิพากษาและกำหนดแบบอย่างอันเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป  ซึ่งถือได้ว่าเป็นกฎหมายแล้วศาลต่อๆมาต้องผูกพันที่จะพิพากษาไปในแนวทางเดียวกัน

แต่ในระบบกฎหมายซีวิล  ลอว์นั้น  คำนึงถึงตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ  การพิจารณาคดีของศาลเป็นการนำเอาตัวบทกฎหมายที่เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปมาปรับกับคดีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องๆไป  เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้ว  คำพิพากษาของศาลไม่ถือว่าเป็นบรรทัดฐาน  หรือแบบอย่างที่ศาลต่อมาจำเป็นต้องพิพากษาไปในแนวทางเดียวกัน  ศาลต่อๆมาไม่จำต้องผูกพันที่จะพิพากษาตามคำพิพากษาของศาลก่อนๆ  แม้แต่ศาลล่าง  เช่น  ศาลชั้นต้นก็ไม่จำต้องยึดแนวคำพิพากษาของศาลสูง  เช่น  ศาลอุทธรณ์  ศาลฎีกา  ในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลของตน  แต่อย่างไรก็ตามคำพิพากษาของศาลสูงแม้จะไม่ใช่กฎหมาย  แต่ก็ได้รับความเคารพเชื่อถือในแง่ที่ว่า  ศาลสูงได้ใคร่ครวญและกลั่นกรอง  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาแล้ว  อีกทั้งถ้าศาลล่างมีคำพิพากษาแตกต่างไปจากศาลสูง  คำพิพากษานั้นอาจจะถูกกลับได้  แนวคำวินิจฉัยของศาลสูงจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากฎหมายนักศึกษากฎหมายเองก็จำเป็นต้องเอาใจใส่ศึกษาไม่น้อยกว่าตัวบทกฎหมาย

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  พระธรรมศาสตร์คืออะไร  มีกำเนิดมาอย่างไร  และอาณาจักรไทยได้นำเอาหลักพระธรรมศาสตร์มาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายตั้งแต่เมื่อใด  อธิบาย

ธงคำตอบ

พระคัมภีร์ธรรมศาสตร์  คือ  คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอำนาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่งเรียบเรียงขึ้น  เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่างๆตามความยุติธรรม  ซึ่งเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์  มีกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย  กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง  ดังนั้นจึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของกษัตริย์  และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมายของพระธรรมศาสตร์ด้วย สภาพการณ์เช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีลักษณะและศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นที่มาของกฎหมายทั้งปวง

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ได้กล่าวถึงกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ความว่า  มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อพรหมเทวะ  จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกำเนิดในตระกูลมหาอำมาตย์  ซึ่งเป็นข้าบาทพระเจ้าสมมุติราชครั้งอายุได้  15  ปี  ก็เข้าแทนที่บิดา  ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่างๆ  จึงมีความปรารถนาจะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม  จึงถวายบังคมลาออกไปบวชอยู่ในป่าหิมพานต์  จำเริญเมตตาภาวนาบริโภคพืชผลเป็นอาหาร  มีเทพกินนร  กินนรี  คนธรรม์  เป็นบริวาร  ต่อมาพระเทวะฤาษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตรสองคน  คนแรกชื่อ  ภัทธระกุมาร  คนที่สองชื่อ  มโนสารกุมร  เมื่อบุตรทั้งสองเจริญเติบโตบิดาก็ให้บวชเป็นฤาษีจำศีลภาวนาและรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา  จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป  ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤาษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช  มโนสารฤาษีก็ตามพี่ชายออกไปทำราชการด้วย  พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มามีชายสองคนทำไร่แตงใกล้กัน  เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาพูนเป็นถนนกั้นกลาง  เถาแตงจึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน  เมื่อแตงเป็นผล  ชายทั้งสองคนก็มาเก็บแตง  จึงเกิดการทะเลาะวิวาท  ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง  ชายทั้งสองคนจึงพากันมาหามโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด  มโนสารตัดสินว่าแตงอยู่ในไร่ของผู้ใด  ผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง  ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคำตัดสินของพระมโนสารจึงอุทธรณ์คำตัดสินไปยังพระเจ้าสมมุติราช  พระองค์จึงตรัสใช้อำมาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่  อำมาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดูตามปลายยอดเอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น  ชายทั้งสองคนต่างพอใจในคำตัดสินของอำมาตย์ผู้นี้  และประชาชนทั้งหลายต่างพากันตำหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม  พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีออกไปบวชเป็นฤาษีจำเริญภาวนาและมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรม  จึงเหาะไปยังกำแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏอยู่ในกำแพงจักรวาล  มีปริมาณเท่ากายคชสาร  พระมโนสารก็จดจำมาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์

การที่ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้แต่งเรื่องราวการกำเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ว่า  พระมโนสารเป็นผู้เหาะไปกำแพงจักรวาล  ซึ่งไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด  เพื่อจดเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราชนั้น  เป็นความประสงค์ของผู้เรียบเรียงคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มุ่งที่จะยกย่องว่าบทบัญญัติต่างๆ  ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ที่มาจากอำนาจเบื้องสูง  ไม่อยู่ในบังคับของมนุษย์  หากแต่ยังมีอำนาจบังคับเหนือมนุษย์ทั้งปวงให้ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ด้วย

อาณาจักรไทยเองได้นำเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาใช้เป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายตั้งแต่สมัยสุโขทัยดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่  38  (กฎหมายลักษณะโจรสมัยสุโขทัย)  ว่า  “คนที่เอาข้าทาสของผู้อื่นไปเกินกว่า  3  วัน  จะต้องปรับไหมตามขนาดที่กำหนดไว้ในพระราชศาสตร์  พระธรรมศาสตร์”

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย  มาตรา  452  บัญญัติว่า  “ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น  และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้  และถ้าเป็นการจำเป็น  โดยพฤติการณ์แม้จะฆ่าสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทำได้”  จากการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศ  ทำให้ทราบว่า  มาตรานี้เป็นหลักการที่ใช้มานานกว่า  2,000  ปีแล้ว  อยากทราบว่า

(ก)  ในอดีตมีกฎหมายของชนชาติใดที่บัญญัติหลักการคล้ายคลึงกันเช่นนี้

(ข)   อยู่ในระบบกฎหมายใด

(ค)     กฎหมายนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร

(ง)     ข้อความที่บัญญัติไว้ของชนชาติดังกล่าวนั้นมีข้อความเขียนว่าอะไร

ธงคำตอบ

(ก)    ชาวโรมัน

(ข)    ระบบซีวิล  ลอว์  หรือระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร

(ค)    กฎหมายสิบสองโต๊ะ

(ง)     บัญญัติว่า  “สัตว์สี่เท้าของใครเข้าไปทำให้ที่ดินเขาเสียหาย  เขาจับยึดสัตว์นั้นไว้เป็นของเขาได้  เว้นแต่เจ้าของจะเสียเงินค่าไถ่ถอนกลับคืนมาตามราคาค่าเสียหาย”

 

ข้อ  3  เรซีโอ  เดซิเดนดิ  (Ratio  Decidendi)  โอบิเทอร์  ดิคทา  (Obiter  Dicta)  หมายความว่าอะไร  ทั้งสองคำนี้เป็นหลักกฎหมายเกี่ยวกับอะไร  หลักนี้มีในระบบกฎหมายใด  จงยกตัวอย่างมาให้ดูด้วย

ธงคำตอบ

เรซีโอ  เดซิเดนดิ   หมายความว่า  เหตุผลแห่งคำวินิจฉัย  หรือข้อเท็จจริงในคดีโดยตรง

โอบิเทอร์  ดิคทา  หมายความว่า  ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดีโดยตรง 

ทั้งสองคำเป็นหลักกฎหมายเกี่ยวกับแนวบรรทัดฐานแห่งคำพิพากษาของศาล  (precedent)  หมายถึง  การที่คำพิพากษาศาลอังกฤษใดจะมีผลผูกพันคำพิพากษาในคดีอื่น  นั่นคือ  ศาลที่กำลังพิจารณาคดีจะต้องวินิจฉัยตามคดีก่อนเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดีโดยตรง  (ratio  decidendi)  ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดีโดยตรง  (obiter  dicta)  ไม่มีผลผูกมัด

หลักนี้มีในระบบคอมมอน  ลอว์  (Comomn  Law)  หรือระบบกฎหมายอังกฤษ

ตัวอย่าง  คดีขับรถยนต์โดยประมาททำให้บุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บ  ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับตัวโจทก์คือโจทก์ชื่อนายเอ  ผมสีทอง  วันเกิดเหตุเป็นวันศุกร์  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญ  เพราะหลักกฎหมายในเรื่องนี้จะใช้บังคับกับบุคคลอื่นๆด้วย  แม้ว่าบุคคลนั้นจะมิได้มีลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์  แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า  จำเลยขับรถโดยประมาทและผลแห่งการกระทำนั้นทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ  ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  หลักอินทภาษคืออะไร  การปฏิบัติตามหลักอินทภาษหรือไม่ปฏิบัติตามมีผลอย่างไรต่อตุลาการ

ธงคำตอบ

หลักอินทภาษ  เป็นค่ำสั่งสอนที่พระอินทร์มีต่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นตุลาการว่า  การจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ  4  ประการ  คือ  ฉันทาคติ  (รัก)  โทสาคติ  (โกรธ)  ภยาคติ  (กลัว)  โมหาคติ  (หลง)  และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส  ซึ่งหมายความว่า  พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ  ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว  อิสริยยศ   และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง  เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น  ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ  4  ประการดังกล่าว  อิสริยยศ  และบริวารยศ  ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม

ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น  หมายถึง  ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ  อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง  อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง

การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ  หมายถึง  อย่าตัดสินความโดยความโกรธ  พยาบาท  อาฆาต  เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน 

การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ  คือ   ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง  ไม่หวั่นไหว  กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์  หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก

การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ  หมายความว่า  จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้  คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์  จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง

การตัดสินคดีโดยมีอคติ  4  ประการนี้  นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  กล่าวว่า  ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น  บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง

หลักอินทภาษ  มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย

 

ข้อ  2  อุทลุมคืออะไร  ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้บัญญัติเรื่องอุทลุมไว้ว่าอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

“อุทลุม”  หมายความว่า  ผิดประเพณี  ผิดธรรมมะ  นอกแบบ  นอกทาง  คือ  คดีที่ลูกหลานฟ้องบุพการีของตนต่อศาล เรียกลูกหลานที่ฟ้องบุพการีของตนต่อศาลว่า  “คนอุทลุม”

ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้บัญญัติว่า  บิดามารดากู้ยืมเงินบุตรชายหญิงเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดก็ดี  ห้ามบุตรชายหญิงฟ้องบิดามารดา  ณ  โรงศาล  กรมใดๆเลย  ให้ว่ากล่าวกันโดยปกติ  ส่วนลูกเขย  และลูกสะใภ้อาจฟ้องพ่อตา  แม่ยาย  แต่จะได้ต้นเงินเท่านั้น  ดอกเบี้ยมากน้อยเท่าใดไม่ให้คิดเลย  แต่ก็ยังถือเป็นคนอุทลุมยู่ดี

 

ข้อ  3  ให้อธิบายว่าการประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนที่มีชื่อเรียกโดยรวมว่า  Corpus  Juris Civilis  ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

การประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียน  มีชื่อเรียกโดยรวมว่า  Corpus  Juris  Civilis  ซึ่งประกอบด้วย

1         Code  จักรพรรดิจัสติเนียนได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งจำนวน  10  คน  ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายชั้นนำ  และศาสตราจารย์ทางกฎหมายจัดการรวบรวมกฤษฎีกาของจักรพรรดิต่างๆโดยให้ตัดทอนซึ่งที่เห็นว่าล้าสมัยและเลิกใช้ไปแล้ว  ตลอดจนสิ่งที่เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องก็ให้ตัดทิ้งไป  ผลงานนี้เรียกว่า  Code  หรือประมวลพระราชบัญญัติ  ทำสำเร็จภายในเวลาเพียง  1  ปี  และประกาศใช้เป็นกฎหมายในปี  ค.ศ. 529  หลังจากประกาศใช้ไปได้เพียง  5  ปี  ก็มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่เพราะว่าล้าสมัย  ประมวลกฎหมายฉบับที่  2  นี้มีชื่อเรียกว่า  Justinian  Code  of  the  Resumed  Reading

2         Digest  หรือ  Pandect  หรือวรรณกรรมกฎหมาย  ในปี  ค.ศ. 530  จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งทริโบเนียน  (Tribonian)  เป็นหัวหน้าคณะกรรมการชุดหนึ่งจำนวน  16  คน  ซึ่งประกอบด้วยศาสตราจารย์ทางกฎหมายและทนายความ  หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้คือ  การศึกษาข้อเขียนของเหล่าบรรดานักกฎหมายที่ทรงคุณวุฒิ  จากหนังสือจำนวน  2,000  เล่ม  คณะกรรมการนี้ได้ตัดทอนเอาเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดไว้  และให้ตัดสิ่งที่ซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกันทิ้งเสีย  และให้ดัดแปลงข้อความต่างๆให้เข้ากับกฎหมายของยุคจักรพรรดิจัสติเนียน  ผลงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือจำนวน  50  เล่ม  จัดเรียงเป็นลักษณะต่างๆผลงานนี้ทำสำเร็จภายในเวลา  3  ปี ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อปี  ค.ศ.  533

จักรพรรดิจัสติเนียนให้ถือว่า  Digests  แทนหนังสือเก่าๆทั้งหมด  และห้ามมิให้ค้นคว้า  หรืออ้างอิง   กฎหมายตามหนังสือเก่าโดยเด็ดขาด

 3         Institutes  ในปี  ค.ศ. 533  จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งประกอบด้วย  ทริโบเนียนและศาสตราจารย์ทางกฎหมายอีก  2  คน  ให้เรียบเรียงตำรากฎหมายขึ้นมาเล่มหนึ่งไว้เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้ศึกษากฎหมายและเนื้อหาสาระของกฎหมายชีวิล  ลอว์  โดยจะกล่าวถึงสาระสำคัญของกฎหมายทั้งหมดให้เป็นระบบเพื่อสะดวกแก่การศึกษา  ตำรากฎหมายฉบับนี้เรียบเรียงมาจากตำราของไกอุส  (Gaius)  โดยให้ตัดทอนสิ่งที่ล้าสมัยในตำราของไกอุสออก  และให้จัดทำเป็นตำราคำอธิบายกฎหมายเบื้องต้นซึ่งจัดพิมพ์ในปี  ค.ศ. 533

4         Novels  หลังจากที่มีการจัดทำประมวลกฎหมายในข้อ 1 , 2  และ  3  แล้ว  จักรพรรดิจัสติเนียนยังให้รวบรวมกฎหมายใหม่ๆ  ที่จักรพรรดิตราขึ้นมารวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย  แต่ทำไม่สำเร็จก็เสียชีวิตเสียก่อน  ต่อมามีเอกชนผู้อื่นได้จัดการรวบรวมสืบต่อมา  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่จักรพรรดิจัสติเนียนจึงให้นับเนื่องส่วนที่  4  นี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานของจักรพรรดิจัสติเนียนด้วย

WordPress Ads
error: Content is protected !!