LAW 3001 กฎหมายอาญา3 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  หนึ่งมีเรื่องโกรธเคืองไม่พอใจแดง  หนึ่งชวนสองให้ไปดักทำร้ายแดง  โดยตกลงกันว่า  เอาแค่สั่งสอนให้พอเจ็บเท่านั้น  เมื่อแดงเดินผ่านมาถึงจุดที่ทั้งสองดักรออยู่  หนึ่งตรงเข้าไปชกปากแดง  1  ที  ปากแตก  สองมองเห็นท่อนไม้ที่พื้นจึงหยิบท่อนไม้นั้นฟาดแดงถูกที่ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนจนตาของแดงบอด  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนึ่งจะมีความผิดต่อร่างกายผู้อื่นฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  295  ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้นั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ต้องระวางโทษ

มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษ

อันตรายสาหัสนั้น  คือ

(1)    ตาบอด  หูหนวก  ลิ้นขาด  หรือเสียฆานประสาทวินิจฉัย

ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297  เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ต้องรับโทษหนักขึ้น  เพราะผลที่เกิดจากการกระทำ  ดังนั้น  ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาก่อนว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา  295  หรือไม่

องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ประกอบด้วย

1       ทำร้าย

2       ผู้อื่น

3       จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งและสองมีเจตนาทำร้ายร่างกายแดง  โดยหนึ่งชกปากแดง  1  ที  และสองหยิบท่อนไม้ฟาดแดงถูกที่ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนจนตาบอด  การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  แล้ว  เมื่อผลที่เกิดจากการกระทำผิดดังกล่าวทำให้แดงตาบอด  จึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297(1)

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  หนึ่งและสองมีเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายร่างกายแดง  แม้สองแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้ไม้ฟืนฟาดศีรษะแดง  และหนึ่งไม่มีเจตนาให้แดงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส  หรือมิได้เป็นผู้ลงมือกระทำให้เกิดผลนั้นขึ้น  คงมีเจตนาร่วมทำร้ายร่างกายแดงเท่านั้น  หนึ่งตัวการร่วมก็ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของสองด้วย  ถือได้ว่า  หนึ่งเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายแดงจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297(1)  ประกอบมาตรา  83  แล้ว  (ฎ. 313/2529 (ประชุมใหญ่))

สรุป  หนึ่งต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297

 

ข้อ  2  นายดำกู้ยืมเงินจากนางส้มโดยจำนำสร้อยคอทองคำไว้เป็นประกัน  นายดำยังไม่มีเงินชำระหนี้  แต่อยากจะได้สร้อยคืนจึงไปขอยืมสร้อยที่จำนำไว้โดยอ้างว่าจะนำไปให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง  แต่นางส้มไม่ยอม  นายดำจึงใช้อาวุธมีดปลายแหลมซึ่งพกติดตัวมาทำการขู่เข็ญเอาสร้อยจากนางส้ม  ขณะนั้นสามีของนางส้มมาเห็นเหตุการณ์จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาจับกุมตัวนายดำไปดำเนินคดี  โดยนางส้มยังไม่ได้มอบสร้อยให้นายดำแต่อย่างใด

ดังนี้  อยากทราบว่าการกระทำของนายดำจะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  309  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด  ไม่กระทำการใด  หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น  หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น  ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ  ตามมาตรา  309  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด  ไม่กระทำการใด  หรือจำยอมต่อสิ่งใด

2       โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง  หรือของผู้อื่น  หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย

3       จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น  ไม่กระทำการนั้น  หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  นายดำจำนำสร้อยคอทองคำไว้กับนางส้ม  ไม่มีเงินชำระหนี้แต่อยากได้คืน  จึงไปขอยืมสร้อยที่จำนำโดยอ้างว่าจะนำไปให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง  แต่นางส้มไม่ยอม  นายดำจึงใช้อาวุธมีดขู่เข็ญให้นางส้มคืนสร้อยให้  การกระทำของนายดำเช่นนี้ถือเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ  โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพตามมาตรา  309  วรรคแรก  แต่เมื่อนางส้มยังไม่ได้คืนสร้อยให้ตามที่ถูกข่มขืนใจ  จึงเป็นกรณีที่นายดำได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  อันเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ  ตามมาตรา  309  วรรคแรกประกอบมาตรา  80

สรุป  นายดำมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ  ตามมาตรา  309  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  3  วันเกิดเหตุจำเลยเห็นนาย  ก  เดินผ่านมา  จำเลยใช้มือลูบคลำตามเสื้อและกางเกงของนาย  ก  จากนั้น  จำเลยพูดขอแว่นตาที่นาย  ก  สวมอยู่  นาย  ก  ไม่ยอมให้  จำเลยแย่งแว่นตาไปจากนาย  ก  นาย  ก  แย่งคืนมาได้  จำเลยแย่งไปได้อีก  แล้วพูดว่า  “ถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว”  หลังจากพูดเสร็จ  จำเลยเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง

ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  336  ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ต้องระวางโทษ

มาตรา  339  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การจะพิจารณาว่าเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่  การกระทำนั้นนอกจากจะเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว  ประการสำคัญคือ  การลักทรัพย์นั้นต้องได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา  1(6)  หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายด้วย  มิฉะนั้นย่อมไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339

การที่จำเลยพูดขอแว่นตาที่นาย  ก  สวมอยู่  นาย  ก  ไม่ยอมให้  จำเลยแย่งแว่นตาไปจากนาย  ก  นาย  ก  แย่งคืนมาได้  จำเลยแย่งไปได้อีก  ถือว่าเป็นการเอาไปจากการครอบครองซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  โดยทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาได้ในลักษณะเป็นการตัดสิทธิของเจ้าทรัพย์อย่างถาวร  โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง  การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  แต่การที่จำเลยพูดกับนาย  ก  ว่า  “ถ้าเอ็งมีอาวุธกูแทงเสียแล้ว”  หลังจากพูดเสร็จ  จำเลยเอามือล้วงใต้เสื้อตรงขอบกางเกงหน้าท้อง  พฤติการณ์เช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย  ทั้งคำกล่าวนั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339 

อย่างไรก็ตาม  การกระทำของจำเลยที่ไปแย่งแว่นตาไปจากนาย  ก  และมีการแย่งกันไปมาจนทรัพย์ไปอยู่กับจำเลยนั้น  เป็นการลักทรัพย์โดยการเอาทรัพย์ไปโดยการหยิบหรือกระชากเอา  หรือแย่งเอาในลักษณะที่รวดเร็วอันถือว่าเป็นการฉกฉวย  ซึ่งได้กระทำซึ่งหน้านาย  ก  เจ้าของทรัพย์  การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ตามมาตรา  336  (ฎ. 1088/2520)

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ตามมาตรา  336

 

ข้อ  4  นายหนึ่งกับนายสองเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน  ปรากฏว่าปั๊มน้ำมันของนายหนึ่งขายดี  นายหนึ่งจึงไปขอยืมน้ำมันดีเซลจากนายสอง จำนวน  5,000  ลิตร  คิดเป็นเงิน  35,000  บาท  เพื่อนำไปขายที่ปั๊มน้ำมันของนายหนึ่ง  โดยสัญญาว่าจะนำมาคืนให้ภายในเวลาที่กำหนด  ปรากฏว่าเมื่อครบกำหนดนายหนึ่งไม่ยอมคืน  ดังนี้  นายหนึ่งมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การกระทำของนายหนึ่งมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่  เห็นว่า  ความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  เป็นความผิดที่ประทุษร้ายต่อกรรมสิทธิ์  หรือกล่าวได้ว่าเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองกรรมสิทธิ์ของบุคคลมิให้ถูกผู้ครอบครองทรัพย์นั้นเบียดบังไป  จึงต้องพิจารณาว่า  ทรัพย์ที่ถูกเบียดบังไม่ว่าด้วยวิธีการนำไปใช้สอย  หรือจำหน่ายจ่ายโอนนั้นเป็นของจำเลยหรือไม่  กล่าวคือ  ทรัพย์สินที่เป็นของผู้อื่นมาก่อน  หากผู้นั้นได้มอบหมายการครอบครองและโอนกรรมสิทธิ์ให้อีกบุคคลหนึ่ง  ผู้นั้นย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์  จึงไม่อาจมีความผิดฐานยักยอกได้  การโอนกรรมสิทธิ์อาจอาศัยนิติกรรมสัญญา  เช่น  สัญญาซื้อขายแลกเปลี่ยนให้  ยืมใช้สิ้นเปลือง  ฝากเงิน  เป็นต้น

การที่นายหนึ่งยืมน้ำมันดีเซลจากนายสอง  เพื่อนำไปขายที่ปั๊มของตนเอง  แล้วไม่ยอมคืนนั้น  เห็นว่า  การยืมน้ำมันเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง  ซึ่งเป็นสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปให้แก่ผู้ยืม  ผู้ยืมจึงเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นโดยผลของสัญญายืมและบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  650  ย่อมนำทรัพย์นั้นไปใช้สอยได้ด้วยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์  ตามมาตรา 1336  น้ำมันจึงไม่เป็นทรัพย์ของนายสองหรือที่นายสองเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เมื่อน้ำมันไม่ใช่ทรัพย์ของผู้อื่น  การกระทำของนายหนึ่งจึงไม่เป็นผิดฐานยักยอก  เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิด  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  การที่นายหนึ่งไม่ส่งทรัพย์ที่ยืมคืน  แม้จะไม่ได้นำไปใช้หรือใช้แล้วแต่ยังเหลืออยู่  หรือใช้หมดไปแต่ไม่หาทรัพย์ที่เป็นประเภท  ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันมาคืน  ย่อมเป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่ง  และเมื่อนายสองไปทวงถามทรัพย์คืนจากนายหนึ่ง  แม้นายหนึ่งจะอ้างเหตุในการไม่คืนด้วยเหตุใดก็ตาม  ก็หาทำให้กลายเป็นผิดฐานยักยอกไปได้  (ฎ. 1250/2530)

สรุป  นายหนึ่งไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  น.ส.แจ๋วต้องการลักทรัพย์ของนายจ้าง  จึงแอบเอายานอนหลับผสมในเครื่องดื่มให้นายจ้างดื่มจะได้ลักทรัพย์ได้สะดวก  ปรากฏว่านายจ้างแพ้ยาทำให้หัวใจวายถึงแก่ความตาย  ดังนี้  น.ส.แจ๋ว  จะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  290  วรรคแรก  ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า  แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิด  ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา  ตามมาตรา  290  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1  ทำร้ายผู้อื่น

2  เป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย

3  โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  น.ส.แจ๋วต้องการลักทรัพย์นายจ้างจึงได้แอบเอายานอนหลับผสมเครื่องดื่มให้นายจ้างดื่ม  จะได้ลักทรัพย์ได้สะดวก  การกระทำของ  น.ส.แจ๋วเช่นนี้  ไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  เพราะเหตุว่า  น.ส.แจ๋วไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลในชีวิตของนายจ้าง  หรือการที่นำยานอนหลับผสมในเครื่องดื่มให้นายจ้างดื่มนั้น  ก็ไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าจะทำให้นายจ้างถึงแก่ความตายแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่  น.ส.แจ๋วเอายานอนหลับให้นายจ้างกิน  ถือได้ว่า  น.ส.แจ๋วมีเจตนาทำร้ายนายจ้าง  เมื่อนายจ้างถึงแก่ความตาย น.ส.แจ๋วจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ตามมาตรา  290  วรรคแรก

สรุป  น.ส.แจ๋วมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ตามมาตรา  290  วรรคแรก

 

ข้อ  2  หนึ่งบอกขายที่ดินให้กับสองในราคา  15  ล้านบาท  สองเห็นว่าราคาไม่แพงและกำลังต้องการที่ดินเพื่อสร้างบ้าน  แต่เนื่องจากโฉนดที่ดินของหนึ่งถูกนายแดงยึดไว้เป็นประกันเงินที่หนึ่งกู้ไป  3  ล้านบาท  หนึ่งจึงขอให้สองเอาเงินสดมาชำระหนี้นายแดงแทนตนก่อน  จะได้รีบนำโฉนดไปโอนขายกันในวันนั้นเลย  สองตกลงนำเงินสดมาตามที่นัดหมายกัน  โดยให้หนึ่งขับรถพาไปบ้านนายแดง  ระหว่างทางหนึ่งเกิดความโลภจึงขับรถไปจอดหน้าร้านขายยา  และหลอกให้สองช่วยลงไปซื้อยาแก้ไข้แก้ปวด  โดยอ้างว่าตนลงไปไม่ได้เพราะเป็นที่ห้ามจอด  พอสองลงจากรถเดินเข้าไปในร้านขายยา  หนึ่งรีบขับรถพากระเป๋าใส่เงิน  3  ล้านบาทของสองหนีไป  ดังนี้หนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

ทั้งความผิดฐานลักทรัพย์และความผิดฐานฉ้อโกง  ต่างทำให้ผู้กระทำความผิดได้ทรัพย์ไปจากผู้ครอบครองเช่นเดียวกัน  แต่ลักษณะการได้มาจะแตกต่างกัน  กล่าวคือ  ในความผิดฐานลักทรัพย์ผู้กระทำความผิดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ  เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ยินยอม  และการครอบครองยังอยู่ที่เจ้าของทรัพย์หรือผู้ครอบครอง  ส่วนความผิดฐานฉ้อโกง  ผู้กระทำความผิดได้ทรัพย์ไปโดยความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์  แต่ความยินยอมดังกล่าวเกิดจากการหลอกลวง

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของหนึ่งมีความผิดฐานลักทรัพย์  เพราะการที่สองลงไปซื้อยาแก้ปวด  การครอบครองเงินยังอยู่ที่สอง  นายสองมิได้มีเจตนาที่จะสละการครอบครอง  เมื่อหนึ่งขับรถพากระเป๋าใส่เงินของสองหนีไป  จึงถือเป็นการแย่งการครอบครองโดยพาเอาทรัพย์นั้นไปในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์  โดยมีเจตนาทุจริต  เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  การกระทำของหนึ่งจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334

ส่วนการที่หนึ่งหลอกให้สองไปซื้อยาให้นั้น  ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกง  เพราะเป็นการหลอกลวงเพื่อความสะดวกที่จะลักทรัพย์ ซึ่งการหลอกลวงนั้นไม่ทำให้หนึ่งได้ทรัพย์และไม่ได้การครอบครองแต่อย่างใด  หนึ่งยังคงต้องกระทำการเอาทรัพย์ไปจากสองโดยทุจริตจึงเป็นการลักทรัพย์

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานลักทรัพย์

 

ข้อ  3  น.ส.หน่อย  อายุ  16  ปี  เป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย  และเป็นเพื่อนกับ  น.ส.พลอย  บุตรสาวของนายสิงหา  น.ส.หน่อยไปที่บ้านของนายสิงหาเป็นประจำเพื่อติดรถของนายสิงหาไปโรงเรียนพร้อมกับน.ส.พลอย  ในวันหยุดก็ไปทำการบ้านและนั่งเล่นกับ  น.ส.พลอยที่บ้านของนายสิงหาบ่อยครั้ง  วันเกิดเหตุ  น.ส.หน่อยไปที่บ้านของนายสิงหา  แต่  น.ส.พลอยไม่อยู่บ้าน  นายสิงหาจึงถือโอกาสชวน น.ส.หน่อยเข้าไปในห้องนอนโดยมีเจตนาจะกระทำชำเรา  ขณะนั้น  น.ส.พลอยกลับเข้ามาในบ้านนายสิงหาจึงไม่ได้กระทำชำเรากับ  น.ส.หน่อยแต่อย่างใด  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายสิงหาจะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  319  วรรคแรก  ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี  แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  เพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิด ตามมาตรา  319  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       พรากผู้เยาว์อายุกว่า  15  ปี  แต่ยังไม่เกิน  18  ปี

2       ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล

3       โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย

4       โดยเจตนา

5       เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร

การพราก  หมายถึง  การพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  ทำให้ความปกครองดูแลของบุคคลดังกล่าว  ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน  อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบุคคลดังกล่าว

กรณีตามอุทาหรณ์  น.ส.หน่อย  อายุ  16  ปี  ก่อนเกิดเหตุ  น.ส.หน่อยโดยสารรถของนายสิงหาไปโรงเรียนเป็นประจำ  เมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วมีบ่อยครั้งที่  น.ส.หน่อยนั่งเล่นและทำการบ้านอยู่กับ  น.ส.พลอย  ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายสิงหาที่บ้านของนายสิงหา  พฤติการณ์เช่นนี้แม้ขณะที่  น.ส.หน่อยเล่นอยู่ที่บ้านนายสิงหา  ก็ถือว่า  น.ส.หน่อยยังอยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดา  ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลก็ตาม

แต่การที่  น.ส.หน่อยได้มาหา  น.ส.พลอยบุตรสาวของนายสิงหาที่บ้าน  โดยที่นายสิงหาไม่ได้ชักชวนให้มาแต่อย่างใด  จึงเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ไปบ้านของนายสิงหาเองโดยสมัครใจ  มิได้เกิดจากนายสิงหาหรือบุคคลอื่นใดชักพาไป  การที่  น.ส.หน่อยมาที่บ้านของนายสิงหา จึงไม่ถือว่าเป็น  “การพราก”  ตามนัยของมาตรา  319  วรรคแรก

เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการพรากแล้ว  แม้นายสิงหาจะชวน  น.ส.หน่อยเข้าไปในห้องนอนโดยมีเจตนากระทำชำเรา  แต่ยังไม่มีการร่วมประเวณีกัน  ก็ไม่เป็นการพรากไปเพื่ออนาจาร  เพราะเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในบริเวณบ้านของนายสิงหาเอง  นายสิงหาไม่ได้ชักชวนหรือพา  น.ส.หน่อยไปยังสถานที่อื่น  กรณีจึงถือไม่ได้ว่านายสิงหาพราก  น.ส.หน่อยไปเสียจากความปกครองดูแลของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง  ดังนั้นการกระทำของนายสิงหาจึงไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ  ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจาร  ตามมาตรา  319  วรรคแรก  แต่อย่างใด  (ฎ. 1102/2541)

สรุป  นายสิงหาไม่มีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ  ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจาร  ตามมาตรา  319  วรรคแรก

 

ข้อ  4  ดำซึ่งเป็นนายจ้างได้ไปกับขาวลูกจ้าง  เพื่อไปซื้อหมูในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ดำเกิดมีปากเสียงกับมืดพ่อค้าขายหมูจึงมีการท้าชกต่อยกัน  ดำจึงให้ขาวลูกจ้างนำกระเป๋าซึ่งมีเงิน  15,000  บาท  ออกไปจากที่เกิดเหตุที่จะมีการชกต่อยกัน  และดำบอกให้ขาวไปรอที่หน้าปากซอยซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุพอประมาณ  เมื่อขาวนำกระเป๋าออกไปรอดำอยู่นั้น  ขาวเปิดกระเป๋าพบเงินจำนวนมาก  ขาวจึงได้เอากระเป๋าที่มีเงินนั้นหนีไปเลย  ขาวมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

ความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานยักยอกทรัพย์  มีข้อแตกต่างหรือจุดแยกที่สำคัญก็คือ  จะต้องพิจารณาว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดหรือไม่  เพราะความผิดฐานลักทรัพย์  เป็นเรื่องของการแย่งการครอบครอง  แต่ถ้าความครอบครองอยู่ที่ผู้กระทำความผิดแล้วเบียดบังโดยทุจริตก็เป็นเรื่องของการยักยอกทรัพย์

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำให้ขาวลูกจ้างนำกระเป๋าซึ่งมีเงิน  15,000  บาท  ออกไปจากที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัยแห่งทรัพย์  กรณีถือเป็นการส่งมอบการครอบครองกระเป๋าซึ่งมีเงินให้แก่ขาวลูกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมาย  ขาวจึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น  มิได้ยึดถือไว้แทนดำในฐานะลูกจ้างแต่อย่างใด  เมื่อขาวได้เอากระเป๋าที่มีเงินนั้นหนีไป  จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นนั้นไปโดยทุจริต  เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้  โดยชอบด้วยกฎหมาย  ขาวจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  หาใช่กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ไม่  (ฎ. 460/2512 (ประชุมใหญ่))

สรุป  ขาวมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  เข้มแอบซุ่มอยู่ข้างทางเพื่อดักชิงทรัพย์  เข้มเห็นเขียวขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาจึงใช้ปืนเอ็ม  16  ยิงไปที่ยางรถจักรยานยนต์ของเขียวหลายนัด  เพื่อให้รถล้มลงจะได้เข้าไปปลดทรัพย์สิน  ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกยางรถและถูกขาของเขียวจนได้รับอันตรายสาหัส  ดังนี้ เข้มจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

การพิจารณาว่าผู้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา  288  ดังกล่าวข้างต้นหรือไม่นั้น  ในเบื้องต้นจะต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือผู้เสียหายโดยประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสองหรือไม่  ถ้าผู้กระทำไม่มีเจตนาฆ่าดังกล่าว  แม้ผู้ถูกกระทำจะถึงแก่ความตายก็ไม่อาจถือได้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เข้มใช้อาวุธปืนเอ็ม  16  ยิงไปที่ยางรถจักรยานยนต์ของเขียวหลายนัด  โดยมีเจตนาเพียงเพื่อให้รถจักรยานยนต์ของเขียวล้ม  ในขณะที่อาจยิงเขียวให้ถึงแก่ความตายได้โดยตรงนั้น  ไม่ถือว่า  เข้มมีเจตนาฆ่าเขียวโดยประสงค์ต่อผลให้เขียวตาย  แต่โดยที่ลักษณะของการกระทำเช่นนั้น  เข้มย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า  การใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงดังกล่าวยิงไป  กระสุนปืนอาจถูกที่บริเวณอวัยวะสำคัญของเขียว  ทำให้เขียวได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตายได้  กรณีเช่นนี้จึงถือว่าเข้มมีเจตนาเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสอง

เมื่อปรากฏว่า  เข้มได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  คือกระสุนปืนถูกขาของเขียวได้รับอันตรายสาหัสเท่านั้น  ไม่ถึงแก่ความตาย  เข้มจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80 (ฎ. 2991/2536)

สรุป  เข้มมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  เด็กหญิงน้ำหวานทะเลาะกับมารดาแล้วหนีออกจากบ้านไปพักอยู่กับเพื่อนที่หอพัก  มารดาเคยไปตามที่หอพักแต่ไม่พบเพราะนายสิงห์ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มารับเด็กหญิงน้ำหวานไปที่ห้องเช่าของตน  ในขณะอยู่ในห้องเช่านายสิงห์ได้กอดจูบเด็กหญิงน้ำหวาน  โดยเด็กหญิงน้ำหวานก็สมัครใจ  ต่อมามารดาตามมาพบจึงได้พาตัวเด็กหญิงน้ำหวานกลับบ้านและดำเนินคดีกับนายสิงห์ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเพื่อการอนาจาร  นายสิงห์ต่อสู้ว่าตนไม่มีความผิดเพราะขณะพาเด็กหญิงน้ำหวานไปนั้น  เด็กหญิงน้ำหวานได้หนีออกจากบ้านก่อนแล้ว  ไม่เป็นการพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาแต่อย่างใด  และตอนที่กอดจูบเด็กหญิงน้ำหวานก็สมัครใจไม่มีการใช้อุบายหลอกลวงหรือบังคับขืนใจ

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การกระทำของนายสิงห์จะเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  317  วรรคแรกและวรรคสาม  ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร  พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล  ต้องระวางโทษ

ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจาร  ผู้กระทำต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร  ตามมาตรา  317  วรรคสาม  ประกอบด้วย

1       โดยปราศจากเหตุอันสมควร

2       พรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี

3       ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล

4       เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร

5       โดยเจตนา

การพราก  หมายถึง  การพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  ทำให้ความปกครองดูแลบุคคลดังกล่าว  ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน  อันเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบุคคลดังกล่าว

เพื่อการอนาจาร  หมายความว่า  เพื่อความใคร่หรือการอื่นใดในทางประเวณีหรือชู้สาวถึงขั้นร่วมประเวณีหรือไม่ก็ได้  เพื่อผู้กระทำผิดกระทำอนาจารกับเด็ก  ให้ผู้อื่นกระทำอนาจารกับเด็ก  หรือให้เด็กกระทำอนาจารก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้ก่อนเกิดเหตุเด็กหญิงน้ำหวานจะทะเลาะกับมารดาและหนีออกจากบ้านไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนที่หอพัก  แต่เมื่ออาศัยอยู่กับเพื่อนที่หอพักดังกล่าวนั้น  มารดาก็ยังเอาใจใส่ติดตามตัวอยู่  พฤติการณ์บ่งชี้แสดงให้เห็นว่าเด็กหญิงน้ำหวานยังคงอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของมารดา  ดังนั้น  การที่นายสิงห์ขับรถจักรยานยนต์มารับเด็กหญิงน้ำหวานที่หอพักแล้วพาไปที่ห้องเช่าของตน  และขณะอยู่ที่ห้องพักนายสิงห์ได้กอดจูบเด็กหญิงน้ำหวาน  กรณีจึงเป็นการพาเด็กหญิงน้ำหวานออกจากหอพักไปโดยมีเจตนามุ่งที่จะล่วงเกินทางเพศหรือกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงน้ำหวานโดยไม่ได้รับความยินยอมจากมารดาของเด็กหญิงน้ำหวาน  ซึ่งผลของการกระทำของนายสิงห์เช่นนี้  ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ของบิดามารดาที่มีต่อเด็กหญิงน้ำหวานได้ถูกพรากไปโดยปริยาย  การกระทำของนายสิงห์จึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุผลสมควรเพื่อการอนาจาร  อันเป็นความผิดตามมาตรา  317  วรรคสาม

สำหรับประเด็นที่นายสิงห์ต่อสู้ว่า  ขณะที่พาเด็กหญิงน้ำหวานไปนั้น  เด็กหญิงน้ำหวานได้หนีออกจากบ้านก่อนแล้วไม่เป็นการพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดา  และตอนที่กอดจูบกันเด็กหญิงน้ำหวานสมัครใจ  ไม่มีการใช้อุบายหลอกลวงหรือบังคับขืนใจนั้น  เห็นว่า  ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแลตามมาตรา  317  กฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะปกป้องคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา  ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ  อันเป็นการกระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครอง  เมื่อการกระทำของนายสิงห์ดังกล่าวมีผลทำให้อำนาจปกครองของบิดามารดาถูกพรากไปเสียโดยปริยาย  แม้การกระทำของนายสิงห์นั้น  เด็กเต็มใจหรือสมัครใจไปกับนายสิงห์ด้วย  ก็หามีผลทำให้การกระทำของนายสิงห์ไม่เป็นความผิดไม่  (ฎ. 8052/2549)

สรุป  นายสิงห์มีความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน  15  ปี  ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร  ตามมาตรา  317วรรคสาม

 

ข้อ  3  ขณะที่แดงกำลังนั่งรอเพื่อนอยู่  ณ  สถานที่แห่งหนึ่ง  มืดค่อยๆย่องไปด้านหลังของแดง  และดึงเอาสร้อยคอทองคำมีพระเลี่ยมทองที่แดงสวมใส่อยู่ที่คอแดง  สร้อยคอหลุดลงบนพื้นบริเวณนั้น  มืดจึงรีบคว้าสร้อยคอเส้นนั้นใส่กระเป๋าและวิ่งหนีไป  แดงเห็นดังนั้นรีบวิ่งตามไปทันทีประมาณ  10  วินาที  มืดวิ่งไปแอบที่ตึกแถว  ขณะเดียวกันมืดรีบเอาท่อนไม้ที่พบบริเวณนั้นขึ้นมาขวางทำให้แดงวิ่งตามมาชนท่อนไม้สะดุดหกล้มทันที  มืดจึงวิ่งหนีไปได้  มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่มืดทำการขัดขวางการติดตามของแดง  มืดได้ทำสร้อยคอและพระเลี่ยมทองหล่นหายไปเสียแล้ว  เมื่อแดงพบสร้อยคอดังกล่าวจึงได้สร้อยกลับคืนมา  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  มืดมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  339  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339  ประกอบด้วย

1       ลักทรัพย์

2       โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย

3       โดยเจตนา

4       เจตนาพิเศษ  เพื่อ

(1)  ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

การใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายที่เกิดขึ้นภายหลังลักทรัพย์สำเร็จแล้ว  จะต้องกระทำต่อเนื่องกับการลักทรัพย์  จึงจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  ถ้าการลักทรัพย์ได้ขาดตอนไปแล้ว  จึงได้มีการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  ก็ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์กระทงหนึ่งและฐานทำร้ายร่างกายอีกกระทงหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มืดค่อยๆย่องไปด้านหลังของแดง  และดึงเอาสร้อยคอทองคำที่แดงสวมใส่อยู่ที่คอ  สร้อยคอหลุดลงบนพื้น  มืดจึงรีบคว้าสร้อยคอแล้วใส่กระเป๋าวิ่งหนีไป  การกระทำของมืดดังกล่าวถือว่าเป็นการเอาไปจากการครอบครองซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  โดยทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาได้  ในลักษณะเป็นการตัดสิทธิของเจ้าทรัพย์อย่างถาวร  โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้  โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง  การกระทำของมืดเป็นความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ทั้งนี้ แม้มืดจะไม่ได้ขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  หรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อภายหลังจากที่มืดหนีไป  มืดได้ใช้ท่อนไม้ขวางเพื่อให้แดงตามมาชนท่อนไม้  กรณีจึงถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อที่มืดจะยึดทรัพย์นั้นไว้  แม้จะมีการลักทรัพย์ไปสำเร็จแล้ว  แต่ก็ยังไม่ขาดตอน  และแม้มืดจะทำสร้อยคอตกหายไปก็ตาม  ในระหว่างนั้นก็ถือว่าเป็นการชิงทรัพย์สำเร็จแล้วตามมาตรา  339  มิใช่พยายามชิงทรัพย์

สรุป  มืดมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา  339  

 

ข้อ  4  ดำมีเงินในบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งตามสมุดเงินฝาก  2,000  บาท  ปรากฏว่าดำนำเงินไปฝากธนาคารเพียง  1,000  บาท  แต่ธนาคารพิมพ์ในสมุดบัญชีเงินฝากของดำเป็นเงิน  30,000  บาท  ผิดไปจากความจริง  ต่อมาอีก  3  วัน  ดำได้ไปถอนเงินและปิดบัญชีของตนโดยถอนเงินจากธนาคารไปทั้งหมด  30,000  บาท  และเอาเงินที่เกินไป  27,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ดำมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  352  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

ถ้าทรัพย์นั้นตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด  หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้  ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

บทบัญญัติมาตรา  352  วรรคสอง  เป็นเหตุลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดฐานยักยอกตามมาตรา  352  วรรคแรก  ถ้าทรัพย์ที่ผู้กระทำความผิดยักยอกนั้นตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด  หรือเป็นทรัพย์สินหาย  ซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้แล้วยักยอกไว้  ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งของโทษตามมาตรา  352  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำนำเงินไปฝากเพียง  1,000  บาท  แต่ธนาคารพิมพ์ในสมุดบัญชีเงินฝากของดำเป็นเงิน  30,000  บาท  และดำได้ไปถอนเงินและปิดบัญชีของตนโดยถอนเงินจากธนาคารไปทั้งหมด  30,000  บาท  ดังนี้  ดำย่อมทราบดีว่ามีการนำเงินเข้าบัญชีของตนโดยเป็นความผิดพลาดของธนาคาร  เพราะในขณะที่ดำฝากเงิน  ดำฝากไปเพียง  1,000  บาท  รวมกับเงินที่ดำมีอยู่ก่อนในบัญชี  2,000 บาท  คงรวมกันได้เพียง  3,000 บาท  หาใช่  30,000  บาทไม่  จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์มาอยู่ในความครอบครองของดำโดยเป็นการที่ธนาคารสำคัญผิดส่งมอบให้  ดังนั้น  การที่ดำถอนเงินและปิดบัญชีของตนและเอาเงินที่เกิน  27,000  บาทไป  จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  อันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิด  ดำต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งตามมาตรา  352  วรรคสอง  (ฎ. 442/2540)

สรุป  ดำมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิด  ดำต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งตามมาตรา  352  วรรคสอง

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 2/2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ร.ต.ท.สมปองเข้าไปรับประทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ก่อนที่จะนั่งได้ดึงเอาอาวุธปืนที่เหน็บไว้ที่เอวออกมาเพื่อที่จะตรวจ  ล็อคเซฟกระสุนปืน  แต่ด้วยความรีบร้อนทำปืนหล่นลงพื้น  กระสุนปืนลั่นเสียงดัง  ทำให้เอ๋ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆตกใจ  โรคหัวใจกำเริบจนช็อคและถึงแก่ความตาย  ดังนี้  ร.ต.ท.สมปองจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคสี่  กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น  จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  291  ผู้ใดกระทำประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291  ประกอบด้วย

1       กระทำด้วยประการใดๆ

2       การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

3       โดยประมาท

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ร.ต.ท.สมปองได้ทำปืนหล่นลงพื้น  กระสุนปืนลั่นเสียงดัง  ถือว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และ  ร.ต.ท.สมปองผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  อันถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่

อย่างไรก็ดี  การที่เอ๋ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ  เกิดตกใจเสียงปืนจนช็อคตายนั้น  ถือว่าเป็นผลที่ห่างไกลเกินเหตุ  ซึ่งตามปกติแล้วการที่มีเสียงดังไม่น่าจะทำให้คนตกใจจนถึงแก่ความตายได้  จึงเป็นการบังเอิญที่เอ๋ซึ่งเป็นโรคหัวใจมานั่งใกล้กับที่ทำปืนหล่น  และตกใจเสียงปืนที่บังเอิญเกิดลั่นขณะหล่นลงพื้น  ผลคือความตายจึงไม่มีความสัมพันธ์กับการกระทำของ  รต.ท.สมปอง  ดังนั้น  ร.ต.ท.สมปอง  จึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้น  ดังนั้น  ร.ต.ท.สมปองจึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291

สรุป  ร.ต.ท.สมปองไม่มีความผิดต่อชีวิตฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ข้อ  2  นางน้อยภริยาของนายใหญ่แอบมีชู้กับนายเล็ก  โดยนัดหมายให้นายเล็กมาหาที่บ้านและร่วมประเวณีกัน  ขณะที่นายใหญ่เดินทางไปทำงานในต่างจังหวัด  นางเดือนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านเคยเห็นการกระทำของนางน้อยหลายครั้ง  วันหนึ่งนางเดือนได้เล่าเรื่องที่ตนเห็นให้นางสมศรีฟัง  นางสมศรีได้บอกให้นายใหญ่รู้ถึงพฤติกรรมของนางน้อยโดยบอกด้วยว่าเรื่องทั้งหมดนางเดือนเล่าให้ฟัง  ต่อมานางน้อยจึงดำเนินคดีกับนางเดือนว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ในชั้นศาลนางเดือนให้การรับสารภาพว่าได้พูดจริง  แต่ขอพิสูจน์ความจริงเพราะมีเพื่อนบ้านอีกหลายคนจะเป็นพยานให้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  นางเดือนจะขอพิสูจน์ความจริงได้หรือไม่  และจะมีความผิดตามที่นางน้อยฟ้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  326  ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  330  วรรคสอง  แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์  ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้น  เป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว  และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326  ประกอบด้วย

1       ใส่ความผู้อื่น

2       ต่อบุคคลที่สาม

3       โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง

4       โดยเจตนา

คำว่า  “ใส่ความ”  ตามนัยมาตรา  326  หมายความว่า  พูดหาเหตุร้าย  หรือกล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย  โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง  ซึ่งกระทำต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง  ดังนั้นข้อความที่เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้อับอาย  ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันเป็นการใส่ความ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางเดือนเล่าถึงการกระทำของนางน้อยให้นางสมศรีฟัง  กรณีถือเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้นางน้อยเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  นางเดือนจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา  326

ส่วนการที่นางเดือนจะขอพิสูจน์ความจริงนั้น  เห็นว่า  กรณีเข้าข้อห้ามพิสูจน์ตามมาตรา  330  วรรคสอง  เพราะเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์นั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน นางเดือนจึงขอพิสูจน์ความจริงไม่ได้

ดังนั้น  นางเดือนจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  326  และจะขอพิสูจน์ความจริงนั้นไม่ได้  ตามมาตรา  330  วรรคสอง

สรุป  นางเดือนมีความผิดฐานหมิ่นประมาท  และขอพิสูจน์ความจริงนั้นไม่ได้

 

ข้อ  3  จำเลยเป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์  มีประชาชนนับถือมาก  วันเกิดเหตุ  นาย  ก  ได้เชิญจำเลยมาทำพิธีขึ้นบ้านใหม่  จำเลยบอกนาย  ก  ว่า  เพื่อความเป็นสิริมงคลในการขึ้นบ้านใหม่  ให้นาย  ก  นำเงินและทองมาใส่ถุงย่ามที่จำเลยสะพายอยู่  นาย  ก  หลงเชื่อจึงนำเงิน  2,000  บาท  และสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทใส่ไปในถุงย่าม  จากนั้นจำเลยและนาย  ก  เดินทางไปที่บ้านของนาย  ก  เพื่อทำพิธี ระหว่างทางจำเลยได้ล้วงเอาเงินและสร้อยคอไป  เมื่อไปถึงบ้านหลังใหม่จึงไม่ได้ทำพิธีโดยจำเลยบอกนาย  ก  ว่า  ไม่มีเงินและทองมาทำพิธี  ส่วนนาย  ก  โต้เถียงว่าได้มอบให้ไปแล้ว  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  นำเงิน  2,000  บาท  และสร้อยคอทองคำหนัก  1  บาท  ใส่ไปในถุงย่ามเป็นเพียงให้จำเลยยึดถือไว้ชั่วคราว  โดยที่นาย  ก  ยังมิได้สละการครอบครองให้จำเลย  การครอบครองทรัพย์ยังคงอยู่กับนาย  ก  เมื่อจำเลยเอาเงินและสร้อยคอทองคำไป  โดยที่นาย  ก  เจ้าของทรัพย์ไม่ทราบเรื่อง  การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นโดยทุจริต  อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์

 

ข้อ  4  นายหนึ่งพูดกับนายสองว่า  ถ้านายสองไม่ให้เงินแก่นายหนึ่งอีก  7  วัน  จะมาฆ่านายสองให้ตาย  ซึ่งการพูดของนายหนึ่งเป็นการล้อเล่น  และนายหนึ่งคิดว่านายสองจะรู้ว่าเป็นการล้อเล่น  แต่นายสองคิดว่าเป็นจริงจึงส่งเงินให้แก่นายหนึ่ง  5,000  บาท  ปรากฏว่านายหนึ่งก็รับเงินนั้นไว้  ต่อมานำเงินนั้นไปใช้  ดังนี้นายหนึ่งมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  337  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ..

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจผู้อื่น

2       โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สาม

3       ให้  ยอมให้  หรือยอมจะให้  ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

4       จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น 

5       โดยเจตนา

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่งพูดกับนายสองว่า  “ถ้านายสองไม่ให้เงินแก่นายหนึ่งอีก  7  วัน  จะฆ่านายสองให้ตาย”  ซึ่งการพูดของนายหนึ่งเป็นการล้อเล่น  และนายหนึ่งคิดว่านายสองจะรู้ว่าเป็นการล้อเล่น  การกระทำของนายหนึ่งดังกล่าวจึงไม่ผิดฐานกรรโชกทรัพย์ตามมาตรา  337  เพราะนายหนึ่งไม่มีเจตนา  เป็นเพียงการพูดล้อเล่นเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ดี  การที่นายสองส่งเงินให้นายหนึ่งดังกล่าว  ถือว่านายสองได้ส่งมอบการครอบครองเงินให้แก่นายหนึ่ง  นายหนึ่งจึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น  เมื่อนายหนึ่งนำเงินดังกล่าวไปใช้  การกระทำของนายหนึ่งจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นนั้นไปโดยทุจริต  นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352

สรุป  นายหนึ่งมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  สุเทพต้องการฆ่าบรรจบเลยเอายาพิษใส่ในถ้วยเครื่องดื่มของบรรจบที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของบรรจบ  แต่อ้อมเลขาฯของบรรจบแอบเห็นจึงเอาถ้วยเครื่องดื่มไปเททิ้งก่อนที่บรรจบจะได้ดื่ม  ดังนี้  สุเทพจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัยองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สุเทพต้องการฆ่าบรรจบ  จึงเอายาพิษใส่ในถ้วยเครื่องดื่มของบรรจบนั้น  ย่อมแสดงให้เห็นว่า  สุเทพมีเจตนาฆ่าบรรจบโดยประสงค์ต่อผล  คือ  ความตายของบรรจบ  ซึ่งถ้าบรรจบตาย  สุเทพจะมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา  288

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  บรรจบไม่ตายเนื่องจากอ้อมเอาถ้วยเครื่องดื่มไปเททิ้งก่อน  จึงเป็นกรณีที่สุเทพลงมือกระทำความผิดโดยมีเจตนาฆ่าและได้กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  คือบรรจบไม่ตาย  สุเทพจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

สรุป  สุเทพมีความผิดฐานพยายามฆ่า  ตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  นายหมูกู้ยืมเงินจากนายเสือ  20,000  บาท  โดยมีหลักฐานการกู้ยืมตามกฎหมาย  ต่อมาหนี้ถึงกำหนด  นายหมูไม่ได้ชำระหนี้  นายเสือทวงถามหลายครั้ง  นายหมูก็ท้าทายให้นายเสือไปฟ้องเอา  วันเกิดเหตุ  นายเสือมีอาวุธเข้าไปในบ้านของนายหมูแล้วใช้อาวุธขู่เข็ญให้นายหมูหาเงินมาชำระหนี้  ขณะที่กำลังขู่เข็ญอยู่นั้นภริยาของนายหมูแอบโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาจับกุมตัวนายเสือโดยนายหมูยังไม่ได้ชำระหนี้แต่อย่างใด  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายเสือจะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  309  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด  ไม่กระทำการใด  หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น  หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น  ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ  ตามมาตรา  309  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด  ไม่กระทำการใด  หรือจำยอมต่อสิ่งใด

2       โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง  หรือของผู้อื่น  หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย

3       จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น  ไม่กระทำการนั้น  หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเสือนำอาวุธเข้าไปในบ้านของนายหมูแล้วใช้อาวุธขู่เข็ญให้นายหมูหาเงินมาชำระหนี้  การกระทำของนายเสือเช่นนี้จึงถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ  โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพตามมาตรา  309  วรรคแรก แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายหมูยังไม่ได้ชำระหนี้ตามที่ถูกข่มขืนใจเนื่องจากภริยาของนายหมูโทรศัพท์แจ้งตำรวจมาจับกุมตัวนายเสือเสียก่อน  จึงเป็นกรณีที่นายเสือได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  อันเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆตามมาตรา  309  วรรคแรกประกอบมาตรา  80

สรุป  นายเสือมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ  ตามมาตรา  309  วรรคแรกประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  3  นายเพชรตกลงให้นางทับทิมเป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดิน  โดยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละ  5  ของราคาที่ดิน  นางทับทิมได้พานางเดือนมาซื้อที่ดินจากนายเพชร  หลังจากได้มีการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันแล้ว  นางทับทิมจึงมาที่บ้านของนายเพชรเพื่อขอรับค่านายหน้า  นายเพชรใช้อุบายหลอกลวงว่ายังไม่ได้ซื้อขายที่ดินกันโดยเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้า  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายเพชร  จะเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเพชรได้ใช้อุบายหลอกลวงนางทับทิมว่ายังไม่ได้ซื้อขายที่ดินกับนางเดือน  โดยมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าให้นางทับทิม  จึงเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนา  แต่อย่างไรก็ดี  การหลอกลวงดังกล่าวก็ไม่ทำให้นายเพชรได้ทรัพย์สินจากนางทับทิมผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด  เป็นเพียงนายเพชรมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าเท่านั้น  ซึ่งเป็นเรื่องต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป  ดังนั้น  การกระทำของนายเพชรจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341

สรุป  นายเพชรไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

 

ข้อ  4  แดงเจ้าของรถยนต์  นำรถยนต์ไปซ่อมกับอู่ซ่อมรถยนต์ของขาวมีกำหนด  1  เดือน  ซึ่งมีมืดลูกจ้างของขาวเป็นคนทำงานซ่อมรถในอู่ซ่อมรถยนต์นั้น  ขณะที่มืดกำลังซ่อมรถยนต์อยู่นั้นมืดเห็นยางอะไหล่รถยนต์เป็นยางรถยนต์ที่ใหม่และมีล้อแมกซ์ที่สวยมาก  มืดจึงแอบเปลี่ยนเอายางรถยนต์เก่าและล้อแมกซ์เก่าใส่แทนยางอะไหล่รถยนต์ในรถยนต์ของแดง  และมืดได้นำยางรถยนต์ของขาวพร้อมล้อแมกซ์ไปใช้เป็นของมืดเอง  ท่านจงวินิจฉัยว่ามืดมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่แดงนำรถยนต์ไปซ่อมยังอู่ซ่อมรถยนต์ของขาว  ขาวซึ่งเป็นเจ้าของอู่ย่อมเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันนั้น  เมื่อปรากฏตามข้อเท็จจริงว่า  มืดลูกจ้างของขาวซึ่งเป็นผู้ซ่อมรถยนต์ในอู่ของขาว  ได้นำยางอะไหล่พร้อมล้อแมกซ์ในรถยนต์ของแดงซึ่งอยู่ในความครอบครองของขาวไป  โดยมีเจตนาจะนำไปใช้เป็นของมืดเอง  จึงเป็นกรณีที่มืดได้เอาทรัพย์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นไปโดยทุจริตคือ  เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย  มืดจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

สรุป  มืดมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  เอกทำธุรกิจการค้า  ถูกโทคู่แข่งทางธุรกิจช่วงชิงผลประโยชน์หลายครั้งจนเกิดความแค้น  เอกว่าจ้างเบิ้มให้ไปฆ่าโทเป็นเงินสามแสนบาท  เบิ้มรับเงินค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งแสนบาท  จากนั้นได้ไปดักคอยเพื่อลอบฆ่าโท  ที่บริเวณลานจอดรถของโท  เมื่อเห็นโทเดินมาเบิ้มชักปืนออกมาถือไว้  แต่ยังไม่ได้ยกขึ้นเล็ง  เบิ้มจำได้ว่าโทเคยมีบุญคุณกับตนจึงเปลี่ยนใจไม่ฆ่าโทและนำเงินมาคืนเอก  ดังนี้  เอกและเบิ้มจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้นต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้นมาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

ตามอุทาหรณ์  การที่เบิ้มไปดักคอยเพื่อลอบฆ่าโทนั้น  ถือว่าเบิ้มมีเจตนาที่จะฆ่าโทโดยประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสองแล้ว  แต่เมื่อเบิ้มเพียงแต่ชักปืนออกมาถือไว้  โดยที่ยังไม่ได้ยกขึ้นเล็ง  การกระทำของเบิ้มจึงยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำ  เบิ้มจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

ส่วนกรณีของเอกนั้น  การที่เอกว่าจ้างเบิ้มให้ไปฆ่าโท  ถือเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด  เอกจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  84  แต่เมื่อความผิดดังกล่าวยังมิได้กระทำลงเพราะเบิ้มยังไม่ได้ลงมือฆ่าโท  เอกจึงรับโทษเพียงหนึ่งในสามของความผิด

สรุป  เอกมีความผิดเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  84  ส่วนเบิ้มไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  วันเกิดเหตุเวลาประมาณ  16.00  น.  นายสิงห์ได้จับตัว  ด.ญ.นกจากหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งไปเพื่อเรียกค่าไถ่  โดยนำตัว  ด.ญ.นกไปขังไว้ที่บ้านร้างชานเมือง  หลังจากนั้นนายสิงห์ได้ย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองเพื่อหาซื้ออาหารและหาตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อติดต่อเรียกค่าไถ่จากผู้ปกครองของ  ด.ญ.นก  นายสิงห์ถูกเจ้าพนักงานจับตัวได้โดยที่ยังไม่ได้โทรศัพท์เรียกค่าไถ่  นายสิงห์รับสารภาพว่าได้จับตัว  ด.ญ.นกไป  และพาตำรวจไปปล่อยตัว  ด.ญ.นกออกมาโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  ดังนี้  ถ้าถูกดำเนินคดีในชั้นศาล  อยากทราบว่านายสิงห์จะมีความผิดเกี่ยวกับฐานเรียกค่าไถ่หรือไม่  และต้องรับโทษอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย  ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังบุคคลใด

ต้องระวางโทษ…

มาตรา  316  ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา  313  มาตรา  314  หรือมาตรา  315  จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปีไปเรียกค่าไถ่  ตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)  ประกอบด้วย

1       เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน  15  ปีไป

2       โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

ตามอุทาหรณ์  การที่นายสิงห์จับตัว  ด.ญ.นก  ไปเพื่อเรียกค่าไถ่และได้กระทำโดยเจตนานั้น  ถึงแม้จะยังไม่ได้เรียกค่าไถ่เนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวได้ก่อน  แต่เมื่อการกระทำของนายสิงห์ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ย่อมเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)

ส่วนการที่นายสิงห์ได้พาตำรวจไปปล่อยตัว  ด.ญ.นก  ออกมาโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายสิงห์ได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  จึงเป็นเหตุให้ศาลลดโทษ  คือลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้  แต่ต้องลงโทษไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งสำหรับความผิดนั้นตามมาตรา  316

สรุป  นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา  313  แต่ลดโทษให้ตามมาตรา  316

 

ข้อ  3  แดงเป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่ง  ขาวได้ไปเช่าอพาร์ตเม้นต์จากแดงไว้อยู่อาศัยหนึ่งห้อง  โดยต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละ  6,000  บาท  ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขาวไม่ได้ชำระค่าเช่าให้กับแดงมาเป็นเวลา  3  เดือน  แดงทวงค่าเช่าจากขาว  แต่ขาวก็ไม่ยอมชำระให้  ขณะที่ขาวออกไปธุระนอกอพาร์ตเม้นต์  แดงได้เข้าไปในห้องที่ขาวเช่าอยู่  แดงพบโทรศัพท์มือถือของขาวซึ่งซื้อมาใหม่ราคาประมาณ  20,000  บาท  แดงจึงเอาโทรศัพท์ของขาวไว้  และแดงได้เขียนข้อความในกระดาษไว้บนโต๊ะในห้องของขาวว่า  ถ้าหากอยากได้โทรศัพท์คืน  ขาวต้องนำเงินค่าเช่า  18,000  บาท  ที่ขาวเป็นหนี้แดงมาชำระให้กับแดง  แล้วแดงจึงจะคืนโทรศัพท์มือถือให้ขาว  ดังนี้  แดงมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

ตามอุทาหรณ์  การที่แดงเอาโทรศัพท์มือถือของขาวไปนั้น  ถือเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนา  แต่อย่างไรก็ตามแดงก็ไม่ได้เอาไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น  เพราะแดงเอาโทรศัพท์มือถือของขาวไปเพื่อต้องการให้ขาวชำระหนี้ค่าเช่า  ซึ่งแดงมีสิทธิจะได้รับจากขาวเท่านั้น  จึงไม่ถือว่าแดงเอาไปโดยทุจริต  ดังนั้นเมื่อไม่ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้น  การกระทำของแดงจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

สรุป  แดงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  นาย  ก  ถูกจับกุมตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาคดีหนึ่ง  นาย  ก  มอบฉันทะให้จำเลยไปถอนเงินของนาย  ก  จำนวน  2  ล้านบาท  จากธนาคารเพื่อนำมาประกันตัวนาย  ก  เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้นาย  ก  ออกไปถอนเงินด้วยตนเอง  จำเลยถอนเงินแล้วนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากประจำของจำเลย  แล้วนำสมุดเงินฝากไปประกันตัวนาย  ก  เมื่อเสร็จสิ้นการประกันตัวแล้วไม่ยอมคืนเงินให้แก่นาย  ก  กลับนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบฉันทะให้จำเลยไปถอนเงินของนาย  ก  จำนวน  2  ล้านบาทจากธนาคาร  เพื่อนำมาประกันตัวนาย  ก  นั้น  ถือได้ว่านาย  ก  ได้มอบการครอบครองเงินดังกล่าวให้กับจำเลยแล้ว  ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการประกันตัวการที่จำเลยไม่ยอมคืนเงินให้แก่นาย  ก  แต่กลับนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน  จึงเป็นการเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่อยู่ในความครอบครองของตนเป็นของตนโดยทุจริต  การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้น  ดังนั้นจำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  352  วรรคแรก  (ฎ. 2884/2551)

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  352  วรรคแรก

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  หนึ่งใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะสองอย่างแรงหลายครั้งโดยมีเจตนาฆ่า  สองยังไม่ตายทันที  ถูกสามน้องชายของสองนำตัวส่งโรงพยาบาล  แพทย์แจ้งกับสามว่าผู้ป่วยได้รับความกระทบกระเทือนมากจนกะโหลกศีรษะร้าว  และก้านสมองถูกทำลาย  จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน  5  วัน  ต้องถึงแก่ความตายแน่นอน  สามสงสารพี่ชายไม่อยากให้ต้องทนทุกข์ทรมานก่อนตาย  จึงตัดสินใจแอบใช้ผ้าปิดปากและจมูกของสองจนขาดอากาศหายใจถึงแก่ความตายทันที  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัยองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะสองอย่างแรงหลายครั้งโดยมีเจตนาฆ่านั้น  หากสองตายเนื่องจากการกระทำของหนึ่ง หนึ่งจะมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา  288

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  สองตายเนื่องจากการกระทำของสาม  กล่าวคือ  ถึงแม้แพทย์จะระบุว่าสองจะต้องตายจากการที่หนึ่งตีศีรษะสองก็ตาม  แต่การที่สามใช้ผ้าปิดปากและจมูกของสองจนเป็นเหตุให้สองตายทันทีนั้น  ถือเป็นเหตุแทรกแซงที่เข้ามาตัดความสัมพันธ์ระหว่างการฆ่าของหนึ่งและความตายของสอง  ดังนั้น  หนึ่งจึงมีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80  เท่านั้น

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  นายหนึ่งสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่นายสอง  นายสองสลักหลังโอนเช็คฉบับนั้นชำระราคาสินค้าให้แก่นายสาม  เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงในเช็ค  นายสามได้นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  เพราะเงินในบัญชีของนายหนึ่งไม่พอจ่าย  นายสามนำเช็คมาคืนให้แก่นายสองและนายสองได้จ่ายเงินตามเช็คให้แก่นายสาม  หลังจากนั้นนายสองได้ไปเรียกเงินตามเช็คจากนายหนึ่ง  แต่นายหนึ่งก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา  วันหนึ่งนายสองพบนายหนึ่งที่หน้าตลาด  นายสองจึงจับตัวนายหนึ่งขึ้นรถไปด้วยกัน  เมื่อถึงที่เปลี่ยวนายสองจอดรถแล้วขู่บังคับให้นายหนึ่งเขียนจดหมายถึงภริยาของนายหนึ่งให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือจดหมายตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็ค  ขณะที่นายหนึ่งกำลังเขียนจดหมายตามที่ถูกบังคับอยู่นั้น  เจ้าพนักงานตำรวจได้มาจับกุมตัวนายสองและดำเนินคดีกับนายสองในข้อหาเอาตัวบุคคลไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่านายสองจะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย  ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังบุคคลใด

ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปีไปเรียกค่าไถ่  ตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)  ประกอบด้วย

1       เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน  15  ปีไป

2       โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

“ค่าไถ่”  หมายความว่า  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา  หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง  (ป.อ. มาตรา  1(13))

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สองจับตัวหนึ่งขึ้นรถไปนั้น  ถือเป็นการเจตนาเอาตัวบุคคลไปเพื่อหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง  แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำของสองก็มิได้มีเจตนาเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งค่าไถ่  เพียงแต่ต้องการเรียกเอาเงินตามเช็ค  ซึ่งสองมีสิทธิจะได้เงินดังกล่าวโดยชอบเท่านั้น  เงินดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นค่าไถ่ตามกฎหมาย  ดังนั้น  การกระทำของสองจึงไม่เป็นความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา  313 สองจึงไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

สรุป  สองไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

 

ข้อ  3  นายสิงห์ลอบเข้าไปในบ้านของนายสา  นายสิงห์เห็นกรงนกที่มีนกอยู่ในกรงหนึ่งตัว  ซึ่งถ้าซื้อขายในท้องตลาดจะมีราคา  100,000  บาท  นายสิงห์ได้ยกกรงนกพาเคลื่อนที่ไปได้  2  เมตร  ปรากฏว่า  นางสาวสมศรีซึ่งเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายสามาพบเข้าจึงแย่งกรงนก  แต่สู้กำลังของนายสิงห์ไม่ได้  นายสิงห์จึงแย่งเอากรงนกไปได้  เป็นเวลาเดียวกัน  นายสาเจ้าของนกมาพบเข้าจึงออกติดตามในทันที  และติดตามไปในระยะกระชั้นชิด  นายสิงห์จึงวางกรงนกลงแล้ววิ่งหนีไป  ดังนี้  นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

มาตรา  339  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสิงห์ได้ยกกรงนกพาเคลื่อนที่ไปได้  2  เมตร  และนางสาวสมศรีมาพบจึงแย่งกรงนก  แต่สู้กำลังของนายสิงห์ไม่ได้  นายสิงห์จึงแย่งเอากรงนกไปได้นั้น  พฤติการณ์ที่นายสิงห์แย่งกรงนกไป  ไม่ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย  ดังนั้นการกระทำของนายสิงห์จึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339

แต่อย่างไรก็ตาม  พฤติการณ์ที่นายสิงห์ยกกรงนกพาเคลื่อนที่ไปนั้น  ถือเป็นการทำให้ทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้  ซึ่งถือได้ว่านายสิงห์แย่งการครอบครองไปจากนายสาโดยทุจริต  และเป็นการแย่งการครอบครองได้สำเร็จแล้ว  ดังนั้น  นายสิงห์จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334  แม้ต่อมานายสิงห์จะวางกรงนกลงแล้ววิ่งหนีไปก็ตาม  (ฎ.  2103/2521)

สรุป  นายสิงห์มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  นายแดงเป็นเจ้าของร้านขายของชำ  วันเกิดเหตุ  นาย  ก  เข้าไปซื้อสบู่ในร้านของนายแดง  1  ก้อน  ราคา  3  บาท  นาย  ก  ส่งธนบัตรใบละ  100  บาทให้  นายแดงส่งสบู่ให้พร้อมเงินทอน  97  บาท  นาย  ก  รับสบู่พร้อมเงินทอนแล้วจึงเดินออกจากร้านไป  ต่อมาประมาณ  15  นาที  นาย  ก  กลับมาที่ร้านของนายแดง  และบอกนายแดงว่าซื้อผิดไปขอคืน  นายแดงยอมให้คืนโดยดี  นาย  ก  ส่งสบู่คืนให้นายแดงพร้อมเงินทอน  57  บาท  โดยยักเอาไว้เสีย  40  บาท  นายแดงรับเงินทอนไป  โดยไม่ทันได้นับดู  แล้วคืนธนบัตรใบละ  100  บาท  ให้นาย  ก  ไป  ดังนี้  นาย  ก  มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  ส่งสบู่คืนให้นายแดงพร้อมเงินทอน  57  บาท  โดยยักเอาไว้เสีย  40  บาทนั้นถือเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  ในจำนวนเงินที่ส่งคืนให้นายแดงว่าครบ  97  บาท  ทั้งๆที่ความจริงเป็นเงินเพียง  57  บาท  และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้นาย  ก  ได้ไปซึ่งธนบัตรใบละ  100  บาท  จากนายแดง  โดยนาย  ก  มีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายในเงินกำไร  40 บาท  จากการหลอกลวงดังกล่าว  ดังนั้น  การกระทำของนาย  ก  จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341

สรุป  นาย  ก  มีความผิดฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  เอกขับเรือหางยาวรับจ้างขนผู้โดยสารข้ามฟากแม่น้ำ  เอกมักจะบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดทำให้เรือเพียบแต่ก็ยังขับรับส่งผู้โดยสารมาโดยตลอด 

วันเกิดเหตุเอกบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดเช่นเคย  เมื่อขับเรือไปถึงกลางแม่น้ำเกิดพายุรุนแรงพัดมาโดยไม่คาดหมาย  ทำให้เรือล่มผู้โดยสารจมน้ำตาย  2  คน  ส่วนเรือโดยสารลำอื่นๆ  ที่แล่นอยู่ในน้ำ  แม้จะบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินขนาดต่างก็ถูกพายุพัดจนเรือล่มเช่นกัน  ดังนี้  เอกจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคสี่  กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น  จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  291  ผู้ใดกระทำประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291  ประกอบด้วย

1       กระทำด้วยประการใดๆ

2       การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

3       โดยประมาท

ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  291  นั้น  จะต้องเป็นการกระทำที่ผู้กระทำได้กระทำโดยประมาทตามมาตรา 59  วรรคสี่  และการกระทำนั้นทำให้เกิดผลคือเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามหลักที่ว่า  “ถ้าไม่มีการกระทำ  (โดยประมาท)  ผลจะไม่เกิด”  แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นนั้น  แม้ไม่มีการกระทำของบุคคลนั้น  ผลก็ยังคงเกิดขึ้นเช่นกัน  ดังนี้จะถือว่าผลเกิดจากการกระทำของเขาไม่ได้  ตามหลักที่ว่า  “แม้ไม่มีการกระทำ  ผลก็ยังเกิด”

ตามอุทาหรณ์  การที่เอกขับเรือหางยาวรับจ้างและบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดทำให้เรือเพียบนั้น  เป็นการกระทำความผิดตาม  พ.ร.บ.  การเดินเรือในน่านน้ำไทย  พ.ศ.2546  แต่ในกรณีที่เรือล่มและผู้โดยสารจมน้ำตาย  2  คนนั้น  เอกจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291  หรือไม่นั้น  เห็นว่า  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุที่ทำให้เรือล่มนั้น  เป็นเพราะเกิดพายุรุนแรงพัดมาโดยไม่คาดหมาย  มิได้เกิดขึ้นเพราะเอกบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดแต่อย่างใด  ดังจะเห็นได้จากการที่เรือโดยสารลำอื่นๆที่แล่นอยู่ในแม่น้ำ  แม้จะบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินขนาดต่างก็ถูกพายุพัดจนเรือล่มเช่นกัน  ดังนั้นกรณีที่เรือของเอกล่ม  และมีผู้โดยสารจมน้ำตาย  2  คนนั้น  จึงไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของเอกโดยตรง  ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่า  “แม้ไม่มีการกระทำ  (โดยประมาทของเอก)  ผลก็ยังเกิด”  กล่าวคือ  จะถือว่าการที่ผู้โดยสารจมน้ำตายเป็นผลที่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของเอกไม่ได้  ดังนั้น  เอกจึงไม่มีความผิดต่อชีวิตร่างกาย  ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  (ฎ. 1073/2464)

สรุป  เอกไม่มีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ข้อ  2  นายหนึ่งต้องการจับนายสองไปเรียกค่าไถ่  วันเกิดเหตุขณะที่นายสามซึ่งเป็นพี่ชายของนายสองจอดรถอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง  นายหนึ่งเข้าใจว่าเป็นนายสองจึงจับตัวนายสามไป  หลังจากรถแล่นไปได้  1  กิโลเมตร  พอนายหนึ่งรู้ว่าจับผิดคนจึงจอดรถแล้วปล่อยนายสามลงจากรถและกำชับด้วยว่าไม่ให้นำเรื่องไปบอกใคร  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่านายหนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใด  และจะต้องรับโทษเพียงใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด  ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย  ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังบุคคลใด

ต้องระวางโทษ…

มาตรา  316  ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา  313  มาตรา  314  หรือมาตรา  315  จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก (3)  ประกอบด้วย

 1       หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใด

2        โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่งมีเจตนาต้องการจับนายสองไปเรียกค่าไถ่  แต่เพราะความสำคัญผิดนายหนึ่งได้จับตัวนายสามซึ่งเป็นพี่ชายของนายสองไปโดยเข้าใจว่าเป็นนายสอง  ดังนี้  นายหนึ่งจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาจะจับตัวนายสามไปเรียกค่าไถ่หาได้ไม่  ตามมาตรา  61

และการที่นายหนึ่งจับตัวนายสามไปโดยมีเจตนาเพื่อเรียกค่าไถ่นั้น  ถึงแม้ว่านายหนึ่งจะยังไม่ได้เรียกค่าไถ่เนื่องจากนายหนึ่งได้รู้ว่าจับผิดคนจึงได้ปล่อยตัวนายสามไป  การกระทำของนายหนึ่งก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา  313  วรรคแรก (3)  แล้ว  เพราะการกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว

ส่วนการที่นายหนึ่งได้ปล่อยตัวนายสาม  และนายสามก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น  ถือได้ว่าเป็นการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกใจอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  จึงเป็นเหตุให้ได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายได้กำหนดไว้แต่ต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา  316

สรุป  นายหนึ่งมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก (3) แต่ได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา  316

 

ข้อ  3  หนึ่งและสองเข้าหุ้นกันเปิดร้านขายของชำประเภทมินิมาร์ท   โดยหนึ่งทำหน้าที่ติดต่อซื้อของเข้าร้านและดูแลสต๊อกสินค้า  ส่วนสองทำหน้าที่เป็นคนขายคิดราคาและเก็บเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน  สองคิดไม่ซื่อนัดหมายให้สามมาแอบลักเอาสินค้าในร้านออกไปโดยสองแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นปล่อยให้สามเอาของออกไปโดยไม่จ่ายเงิน  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าสองจะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334  นั้น  จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง  ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  ไปโดยทุจริต  ในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป  ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่  ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์  แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  352  วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งและสองเข้าหุ้นกันเปิดร้านขายของชำประเภทมินิมาร์ท  โดยหนึ่งทำหน้าที่ติดต่อสั่งซื้อของเข้าร้านและดูแลสต๊อกสินค้า  ส่วนสองทำหน้าที่เป็นคนขายคิดราคาและเก็บเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน  กรณีดังกล่าวถือได้ว่า  ทั้งหนึ่งและสองเป็นเจ้าของสินค้าในร้านและต่างก็ร่วมกันครอบครองสินค้าในร้านนั้นด้วยกันในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม

ดังนั้น  ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  การที่สองให้สามแอบลักเอาสินค้าในร้านออกไป  จะถือว่าสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ได้  เพราะในขณะนั้นสองได้ครอบครองทรัพย์หรือสินค้านั้นอยู่  และจะถือว่าสองมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ลักทรัพย์ก็ไม่ได้  (ฎ. 554/2509  และ  ฎ.  1891 – 1892/2536)  ถ้าสองจะมีความผิดก็มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

สรุป  สองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์  ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  4  นายอาทิตย์เจ้าของที่ดินมอบให้นางราตรีเป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดินโดยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละ  5  ของราคาที่ดินที่ขายได้  นางราตรีได้พานางสมศรีมาติดต่อซื้อที่ดินจากนายอาทิตย์  หลังจากได้มีการจดทะเบียนซื้อขายและชำระราคาที่ดินให้แก่กันแล้ว  นางราตรีได้มาที่บ้านของนายอาทิตย์เพื่อขอรับค่านายหน้า  นายอาทิตย์ได้ใช้อุบายหลอกลวงว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกันด้วยเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้า  ต่อมานางราตรีได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงรู้ว่านายอาทิตย์หลอกลวง   นางราตรีจึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายอาทิตย์ในข้อหาฉ้อโกง  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่านายอาทิตย์จะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

 3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายอาทิตย์ได้ใช้อุบายหลอกลวงนางราตรีว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกับนางสมศรีโดยมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าให้นางราตรีนั้น  ถือว่าเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและได้กระทำโดยเจตนา

แต่อย่างไรก็ดี  การหลอกลวงของนายอาทิตย์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้นายอาทิตย์ได้ทรัพย์สินจากนางราตรีผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด  และในการหลอกลวงนั้นก็ไม่ได้ทำให้นางราตรีผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิแต่อย่างใด  เป็นแต่เพียงนายอาทิตย์มีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าเท่านั้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป  ดังนั้น  การกระทำของนายอาทิตย์จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

สรุป  นายอาทิตย์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาตามที่นางราตรีได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแต่อย่างใด  ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  หนึ่งมีเหตุทะเลาะวิวาทกับสองซึ่งเป็นนักเรียนต่างสถาบัน  ต่อมาหนึ่งได้มาชวนแจ็คเพื่อนนักเรียนให้ไปดักชกต่อยสองเพื่อสั่งสอน  ทั้งสองคนไปดักรอ  เมื่อเห็นสองเดินผ่านมา  หนึ่งและแจ็คได้เข้าไปรุมชกต่อยสอง  แจ็คโดนสองต่อยกลับมาถูกปากแตก  เกิดโมโหจึงชักมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าปาดถูกข้อมือสองเป็นแผลฉกรรจ์เส้นเอ็นขาด  ทำให้มือข้างนั้นใช้การไม่ได้ตามปกตินานกว่า  1  เดือน  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าหนึ่งจะมีความผิดต่อร่างกายฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  295  ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้นั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ต้องระวางโทษ

มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษ

อันตรายสาหัสนั้น  คือ

(8)  ทุพพลภาพ  หรือเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน  หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน

วินิจฉัย

ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297  เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ต้องรับโทษหนักขึ้น  เพราะผลที่เกิดจากการกระทำ  ดังนั้น  ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาก่อนว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา  295  หรือไม่

องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ประกอบด้วย

1       ทำร้าย

2       ผู้อื่น

3       จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่แจ็คชักมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าปาดถูกข้อมือสองเป็นบาดแผลฉกรรจ์เส้นเอ็นขาดโดยเจตนานั้น  การกระทำดังกล่าวของแจ็คถือว่าเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295 แล้ว  เมื่อผลที่เกิดจากการกระทำผิดดังกล่าวทำให้มือข้างนั้นของสองใช้การไม่ได้ตามปกตินานกว่า  1  เดือน  แจ็คจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา  297(8)

และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  จะปรากฏว่าแจ็คแต่ผู้เดียวที่เป็นผู้ใช้มีดคัตเตอร์ทำร้ายสอง  และหนึ่งมีเจตนาแค่ทำร้ายสองโดย ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายสองให้สาหัส  แต่เมื่อผลที่เกิดขึ้นกับสองนั้น  เป็นอันตรายสาหัส  ซึ่งถือเป็นผลธรรมดาที่เกิดขึ้นได้จากการทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธและเป็นผลที่ผู้กระทำมิต้องมีเจตนา  เมื่อหนึ่งและแจ็คมีเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายและมีการกระทำร่วมกัน  จึงเป็นตัวการร่วม  ดังนั้น  หนึ่งจึงต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของแจ็คด้วย  หนึ่งจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา  297(8)  ประกอบมาตรา  83

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตาม  ป.อ.  มาตรา  297(8)  ประกอบมาตรา  83

 

ข้อ  2  นายหนึ่งกับนายสองทะเลาะกันเรื่องกิ่งไม้บ้านของนายหนึ่งรุกล้ำที่ดินของนายสอง  นายสองบอกให้ตัดแต่นายหนึ่งไม่ยอมตัด  นายสองจึงตัดกิ่งไม้และนายหนึ่งไม่พอใจ  ขณะกำลังยืนทะเลาะกันอยู่ที่หน้าบ้าน  นางเดือนภริยาของนายสองกลับมาจากตลาดเห็นบุคคลทั้งสองทะเลาะกัน  นางเดือนจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า  “พี่สองอย่าเสียเวลาทะเลาะเดี๋ยวสุนัขจะกัดเอา”  ขณะที่นางเดือนพูดเพื่อนบ้านคนอื่นซึ่งยืนดูอยู่แถวนั้นก็ได้ยินหลายคน  ต่อมานายหนึ่งจึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนางเดือนในข้อหาหมิ่นประมาท  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของนางเดือนจะเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  326  ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326  ประกอบด้วย

1       ใส่ความผู้อื่น

2       ต่อบุคคลที่สาม

3       โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง

4       โดยเจตนา

คำว่า  “ใส่ความ”  ตามนัยมาตรา  326  หมายความว่า  พูดหาเหตุร้าย  หรือกล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย  โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง  ซึ่งกระทำต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง  ดังนั้นข้อความที่เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้อับอาย  หรือข้อความที่ไม่ทำให้บุคคลซึ่งได้ยินเชื่อว่าจะเป็นไปได้  ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันเป็นการใส่ความตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางเดือนพูดว่า  “พี่สองอย่าเสียเวลาทะเลาะเดี๋ยวสุนัขจะกัดเอา”  นั้น  ถึงแม้คำพูดดังกล่าวของนางเดือนจะเป็นการเปรียบนายหนึ่งว่าเป็นสุนัข  และเพื่อนบ้านคนอื่นซึ่งยืนดูอยู่แถวนั้นก็ได้ยินหลายคน  อีกทั้งนางเดือนก็ได้พูดโดยเจตนาก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏว่าคำพูดของนางเดือนดังกล่าวไม่อาจทำให้บุคคลซึ่งได้ยินจะเชื่อว่าเป็นไปได้  (คนไม่สามารถกลายเป็นสุนัขได้)  ดังนั้น  คำพูดดังกล่าวจึงไม่น่าจะทำให้นายหนึ่งเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชังอันถือเป็นการใส่ความตามมาตรา  326  แต่อย่างใด  นางเดือนจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  326  ตามที่นายหนึ่งกล่าวหา 

สรุป  นางเดือนไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  326

 

ข้อ  3  จำเลยกับนาย  ก  นำโคไปเลี้ยงกลางทุ่งนา  ปรากฏว่าฝูงโคของนาย  ก  เดินปะปนไปกับฝูงโคของจำเลยจนแยกไม่ออก  นาย  ก  ไม่สามารถแยกฝูงโคของนาย  ก  ออกมาได้  นาย  ก  จึงบอกแก่จำเลยให้ดูไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอา  จำเลยรับปากว่าจะดูให้  ต่อมาจำเลยพาฝูงโคของจำเลยและของนาย  ก  ไปที่บ้านของจำเลย  จากนั้นนำโคของนาย  ก  ไปขาย  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  นั้น  จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง  ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป  ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์  แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์  (ตามมาตรา  352  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  บอกให้จำเลยดูฝูงโคของนาย  ก  ไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอานั้น  ถือเป็นการบอกให้จำเลยช่วยดูแลทรัพย์เป็นการชั่วคราว  ยังไม่ถึงกับเป็นการฝากทรัพย์  จึงยังไม่เป็นการส่งมอบการครอบครอง  ดังนั้น  การครอบครองฝูงโคดังกล่าวจึงยังคงอยู่ที่นาย  ก  การที่จำเลยนำโคของนาย  ก  ไปขาย  จึงเป็นการแย่งการครอบครองจากผู้อื่น  และเมื่อเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต  จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  (ฎ.  535/2500)

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  นายเอกมีบุตรชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคือนายโท  วันเกิดเหตุนายตรีเขียนจดหมายส่งไปถึงนายเอกในจดหมายมีข้อความว่า  “ให้นายเอกส่งเงินจำนวน  100,000  บาท  ไปให้แก่นายตรีมิฉะนั้นอีก  7  วัน  นายตรีจะฆ่านายโทให้ตาย”  ปรากฏว่านายเอกกลัวและไม่ตกลงด้วย  ข้อเท็จจริงได้ความว่านายโทเป็นคนบอกให้นายตรีเขียนจดหมายไปขู่เข็ญนายเอก  ดังนี้  นายตรีมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

มาตรา  337  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ..

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจผู้อื่น

2       โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สาม

3       ให้  ยอมให้  หรือยอมจะให้  ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

4       จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น 

5       โดยเจตนา

ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ตามมาตรานี้  จะเป็นความผิดสำเร็จต่อเมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  หรือยอมตามที่ถูกบังคับ  กล่าวคือ  ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินในเวลาที่ถูกบังคับ  หรือยอมจะให้ประโยชน์ดังกล่าวในภายหน้านั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายตรีเขียนจดหมายส่งไปถึงนายเอก  โดยในจดหมายมีข้อความว่า  “ให้นายเอกส่งเงินจำนวน  100,000  บาท  ไปให้นายตรี  มิฉะนั้นอีก  7  วัน  นายตรีจะฆ่านายโทให้ตาย”  นั้น  การกระทำของนายตรีถือเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตของบุคคลที่สาม  เพื่อให้ผู้อื่นนั้นให้  ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินและได้กระทำไปโดยเจตนาแล้ว

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเอกไม่กลัวและไม่ตกลงด้วย  จึงเป็นกรณีที่นายตรีได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  นายตรีจึงมีความผิดฐานพยายามกรรโชกทรัพย์ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

สรุป  นายตรีมีความผิดฐานพยายามกรรโชกทรัพย์  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2544

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา 2544

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1  อุทลุมคืออะไร  ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้และพระอัยการลักษณะรับฟ้องมีการบัญญัติเรื่องอุทลุมไว้อย่างไร  และมีความแตกต่างกับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

คำว่า อุทลุม ในพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. 2525  หมายความว่า  ผิดประเพณี  ผิดธรรมมะ  นอกแบบ  นอกทาง  คือ  คดีที่ลูกหลานฟ้องบุพการีของตนต่อศาล เรียกลูกหลานที่ฟ้องบุพการีของตนต่อศาลว่า  คนอุทลุม

ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้บัญญัติว่า  บิดามารดากู้ยืมเงินบุตรชายหญิงเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดก็ดี  ห้ามบุตรชายหญิงฟ้องบิดามารดา  ณ  โรงศาล  กรมใดๆเลย  ให้ว่ากล่าวกันโดยปกติ  ส่วนลูกเขย  และลูกสะใภ้อาจฟ้องพ่อตา  แม่ยาย  แต่จะได้ต้นเงินเท่านั้น  ดอกเบี้ยมากน้อยเท่าใดไม่ให้คิดเลย  แต่ก็ยังถือเป็นคนอุทลุมยู่ดี

ในพระอัยการรับฟ้องห้ามลูกหลานฟ้องพ่อแม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  เป็นการห้ามฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  แต่ไม่ห้ามเหลนฟ้องทวด  ดังนั้นถ้าเหลนฟ้องทวดย่อมไม่เป็นอุทลุม

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1562  บัญญัติว่า  ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรืออาญามิได้  แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ  อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ 

บุพการี  หมายถึง  บิดามารดา  ปู่  ย่า  ตายาย  และทวดด้วย  ดังนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ลูกหลาน  เหลน  จะฟ้อง  พ่อ แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  และทวดไม่ได้  แต่ถ้าต้องการจะฟ้อง  ต้องให้ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาล  (ฟ้องคดีแทน)  หรือจะร้องขอให้พนักงานอัยการนำคดีขึ้นสู่ศาลแทนก็ได้ 

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายตราสามดวงคืออะไร  เพราะเหตุใดจึงมีการประมวลกฎหมายตราสามดวง  อธิบาย

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายตราสามดวง  คือ  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้รวบรวมและชำระสะสางให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อปีจุลศักราช  1166  (พุทธศักราช  2347)  ประกอบด้วยพระธรรมศาสตร์  หลักอินทภาษ  และพระอัยการต่างๆ  รวม  29  ลักษณะ  เสร็จแล้วทรงให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน  3  ชุดๆละ  41 เล่ม  ทรงให้ประทับตราราชสีห์  พระคชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไวเป็นสำคัญ  และใช้เป็นกฎหมาย ตลอดมาจนค่อยๆมีการทยอยยกเลิกจนหมดสิ้นเมื่อปี  พ.ศ.  2481

เหตุเมื่อมีประมวลกฎหมายตราสามดวงเนื่องจากมีการร้องทุกข์ทูลเกล้าถวายฎีกาของนายบุญศรี  ช่างเหล็กหลวง  กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ  เนื่องด้วยอำแดงป้อมภรรยานายบุญศรีฟ้องหย่านายบุญศรี  นายบุญศรีให้การแก่พระเกษมว่าอำแดงป้อมนอกใจทำชู้ด้วยนายราชาอรรถแล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีนายบุญศรีไม่ยอมหย่า  พระเกษมหาพิจารณาตามคำให้การนายบุญศรีไม่  พระเกษมพูดจาแทะโลมอำแดงป้อมและพิจารณาไม่เป็นสัจเป็นธรรม  เข้าด้วยอำแดงป้อม  แล้วคัดเอาข้อความมาให้ลูกขุน  ณ  ศาลหลวงปรึกษาว่าเป็นหญิงหย่าชาย  ให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีหย่าขาดจากกันตามกฎหมาย  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่าเป็นเรื่องหญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า  ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่  จึงทรงให้จักกรชำระบทกฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นเสียใหม่  ซึ่งมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ 3  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย  มาตรา  861  บัญญัติว่า  อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น  คือ  สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน  หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น  หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดั่งได้ระบุไว้ในสัญญา  และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า  เบี้ยประกันภัย  จากมาตรานี้แสดงว่าการประกันภัยเป็นสัญญาที่มีข้อตกลงว่าฝ่ายหนึ่งใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเงินเมื่อมีวินาศภัยหรือเหตุอื่น  ซึ่งเป็นลักษณะของการประกันภัยที่เป็นกฎหมายเอกชนในปัจจุบัน  แต่ตามที่ได้ศึกษาระบบกฎหมายหลักหรือประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศ  พบว่า  สมัยของชนชาติหนึ่งนอกจากมีกฎหมายเอกชน  6  ประเภทที่เกิดขึ้นในสมัยของชนชาตินั้นแล้ว  อยากทราบว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีการบันทึกเรื่องกำเนิดการประกันภัยของชนชาตินั้นไว้อย่างไร  เกิดขึ้นในสมัยชนชาติใด  อาชีพอะไร  และมีข้อตกลงที่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการประกันภัยในสมัยโบราณไว้อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

นอกจากกฎหมายเอกชน  6  ประเภทที่เกิดขึ้นในสมัยบาบิโลนดังกล่าวมาแล้ว  ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้ในเรื่องของกำเนิดการประกันภัยว่า  ชาวบาบิโลนได้ผลิตสินค้าออกขาย  และได้ส่งลูกจ้างหรือทาสของตนออกไปเร่ขายสินค้าตามเมืองต่างๆ  ทาสหรือลูกจ้างของตนนี้ไม่มีส่วนได้เสียในกำไรที่เกิดขึ้นกับการขายสินค้าเหล่านั้นเลย  และไม่มีอำนาจในการตกลงกับผู้ซื้อนอกเหนือไปจากที่ได้รับคำสั่งจากนายของตนเท่านั้น  เมื่อการค้าเจริญขึ้นการทำงานของทาสหรือลูกจ้างเกิดความไม่สะดวก  เนื่องจากขาดอำนาจต่างๆดังกล่าว  การใช้ทาสหรือลูกจ้างก็เปลี่ยนไปเป็นใช้พ่อค้าเร่  (Travelling  Salesman)  ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า  “Darmatha” แปลว่าคนตีกลอง เป็นผู้รับสินค้าจากพ่อค้าเจ้าของสินค้าไปจำหน่ายยังเมืองต่างๆ  พวกพ่อค้าเร่นี้ต้องมอบทรัพย์สิน  ภรรยา  และบุตร  ที่อยู่ทางบ้านให้พ่อค้าเป็นประกัน  โดยมีข้อสัญญากันว่ากำไรที่ได้รับนั้นพ่อค้าเร่ต้องแบ่งให้พ่อค้าเจ้าของสินค้าครึ่งหนึ่ง  หากพ่อค้าเร่หนีหายไปหรือถูกโจรปล้นเอาสินค้าไปหมด  บรรดาทรัพย์สินจะถูกพ่อค้าเจ้าของสินค้าริบ  และภรรยากับบุตรก็จะตกเป็นทาสไปด้วย  เงื่อนไขดังกล่าวนี้เมื่อปฏิบัติไปได้เพียงไม่นาน  บรรดาพ่อค้าเร่เกิดความไม่พอใจและแข็งข้อ  ไม่ยอมรับเงื่อนไขอันเสียเปรียบนี้  ในที่สุดได้มีการตกลงเงื่อนไขใหม่ว่า  การสูญเสียสินค้าโดยมิใช่ความผิดของพ่อค้าเร่  หรือพ่อค้าเร่มิได้เพิกเฉยต่อการป้องกันรักษาสินค้าอย่างเต็มที่แล้ว  ให้ถือว่าพ่อค้าเร่ไม่มีความผิด  พ่อค้าเจ้าของสินค้าจะริบเอาทรัพย์สิน  ภรรยา  และบุตรไม่ได้  ข้อตกลงนี้จึงได้ใช้ต่อมาอย่างแพร่หลายในการค้าสมัยนั้น  นับได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการเริ่มต้นของการประกันภัยในสมัยโบราณ

WordPress Ads
error: Content is protected !!