LAW 3001 กฎหมายอาญา3 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  เอกทำธุรกิจการค้า  ถูกโทคู่แข่งทางธุรกิจช่วงชิงผลประโยชน์หลายครั้งจนเกิดความแค้น  เอกว่าจ้างเบิ้มให้ไปฆ่าโทเป็นเงินสามแสนบาท  เบิ้มรับเงินค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งแสนบาท  จากนั้นได้ไปดักคอยเพื่อลอบฆ่าโท  ที่บริเวณลานจอดรถของโท  เมื่อเห็นโทเดินมาเบิ้มชักปืนออกมาถือไว้  แต่ยังไม่ได้ยกขึ้นเล็ง  เบิ้มจำได้ว่าโทเคยมีบุญคุณกับตนจึงเปลี่ยนใจไม่ฆ่าโทและนำเงินมาคืนเอก  ดังนี้  เอกและเบิ้มจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้นต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้นมาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

ตามอุทาหรณ์  การที่เบิ้มไปดักคอยเพื่อลอบฆ่าโทนั้น  ถือว่าเบิ้มมีเจตนาที่จะฆ่าโทโดยประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสองแล้ว  แต่เมื่อเบิ้มเพียงแต่ชักปืนออกมาถือไว้  โดยที่ยังไม่ได้ยกขึ้นเล็ง  การกระทำของเบิ้มจึงยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำ  เบิ้มจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

ส่วนกรณีของเอกนั้น  การที่เอกว่าจ้างเบิ้มให้ไปฆ่าโท  ถือเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด  เอกจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  84  แต่เมื่อความผิดดังกล่าวยังมิได้กระทำลงเพราะเบิ้มยังไม่ได้ลงมือฆ่าโท  เอกจึงรับโทษเพียงหนึ่งในสามของความผิด

สรุป  เอกมีความผิดเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  84  ส่วนเบิ้มไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  วันเกิดเหตุเวลาประมาณ  16.00  น.  นายสิงห์ได้จับตัว  ด.ญ.นกจากหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งไปเพื่อเรียกค่าไถ่  โดยนำตัว  ด.ญ.นกไปขังไว้ที่บ้านร้างชานเมือง  หลังจากนั้นนายสิงห์ได้ย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองเพื่อหาซื้ออาหารและหาตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อติดต่อเรียกค่าไถ่จากผู้ปกครองของ  ด.ญ.นก  นายสิงห์ถูกเจ้าพนักงานจับตัวได้โดยที่ยังไม่ได้โทรศัพท์เรียกค่าไถ่  นายสิงห์รับสารภาพว่าได้จับตัว  ด.ญ.นกไป  และพาตำรวจไปปล่อยตัว  ด.ญ.นกออกมาโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  ดังนี้  ถ้าถูกดำเนินคดีในชั้นศาล  อยากทราบว่านายสิงห์จะมีความผิดเกี่ยวกับฐานเรียกค่าไถ่หรือไม่  และต้องรับโทษอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย  ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังบุคคลใด

ต้องระวางโทษ…

มาตรา  316  ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา  313  มาตรา  314  หรือมาตรา  315  จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปีไปเรียกค่าไถ่  ตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)  ประกอบด้วย

1       เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน  15  ปีไป

2       โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

ตามอุทาหรณ์  การที่นายสิงห์จับตัว  ด.ญ.นก  ไปเพื่อเรียกค่าไถ่และได้กระทำโดยเจตนานั้น  ถึงแม้จะยังไม่ได้เรียกค่าไถ่เนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวได้ก่อน  แต่เมื่อการกระทำของนายสิงห์ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ย่อมเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)

ส่วนการที่นายสิงห์ได้พาตำรวจไปปล่อยตัว  ด.ญ.นก  ออกมาโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายสิงห์ได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  จึงเป็นเหตุให้ศาลลดโทษ  คือลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้  แต่ต้องลงโทษไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งสำหรับความผิดนั้นตามมาตรา  316

สรุป  นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา  313  แต่ลดโทษให้ตามมาตรา  316

 

ข้อ  3  แดงเป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่ง  ขาวได้ไปเช่าอพาร์ตเม้นต์จากแดงไว้อยู่อาศัยหนึ่งห้อง  โดยต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละ  6,000  บาท  ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขาวไม่ได้ชำระค่าเช่าให้กับแดงมาเป็นเวลา  3  เดือน  แดงทวงค่าเช่าจากขาว  แต่ขาวก็ไม่ยอมชำระให้  ขณะที่ขาวออกไปธุระนอกอพาร์ตเม้นต์  แดงได้เข้าไปในห้องที่ขาวเช่าอยู่  แดงพบโทรศัพท์มือถือของขาวซึ่งซื้อมาใหม่ราคาประมาณ  20,000  บาท  แดงจึงเอาโทรศัพท์ของขาวไว้  และแดงได้เขียนข้อความในกระดาษไว้บนโต๊ะในห้องของขาวว่า  ถ้าหากอยากได้โทรศัพท์คืน  ขาวต้องนำเงินค่าเช่า  18,000  บาท  ที่ขาวเป็นหนี้แดงมาชำระให้กับแดง  แล้วแดงจึงจะคืนโทรศัพท์มือถือให้ขาว  ดังนี้  แดงมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

ตามอุทาหรณ์  การที่แดงเอาโทรศัพท์มือถือของขาวไปนั้น  ถือเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนา  แต่อย่างไรก็ตามแดงก็ไม่ได้เอาไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น  เพราะแดงเอาโทรศัพท์มือถือของขาวไปเพื่อต้องการให้ขาวชำระหนี้ค่าเช่า  ซึ่งแดงมีสิทธิจะได้รับจากขาวเท่านั้น  จึงไม่ถือว่าแดงเอาไปโดยทุจริต  ดังนั้นเมื่อไม่ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้น  การกระทำของแดงจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

สรุป  แดงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  นาย  ก  ถูกจับกุมตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาคดีหนึ่ง  นาย  ก  มอบฉันทะให้จำเลยไปถอนเงินของนาย  ก  จำนวน  2  ล้านบาท  จากธนาคารเพื่อนำมาประกันตัวนาย  ก  เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้นาย  ก  ออกไปถอนเงินด้วยตนเอง  จำเลยถอนเงินแล้วนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากประจำของจำเลย  แล้วนำสมุดเงินฝากไปประกันตัวนาย  ก  เมื่อเสร็จสิ้นการประกันตัวแล้วไม่ยอมคืนเงินให้แก่นาย  ก  กลับนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบฉันทะให้จำเลยไปถอนเงินของนาย  ก  จำนวน  2  ล้านบาทจากธนาคาร  เพื่อนำมาประกันตัวนาย  ก  นั้น  ถือได้ว่านาย  ก  ได้มอบการครอบครองเงินดังกล่าวให้กับจำเลยแล้ว  ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการประกันตัวการที่จำเลยไม่ยอมคืนเงินให้แก่นาย  ก  แต่กลับนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน  จึงเป็นการเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่อยู่ในความครอบครองของตนเป็นของตนโดยทุจริต  การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้น  ดังนั้นจำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  352  วรรคแรก  (ฎ. 2884/2551)

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  352  วรรคแรก

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  หนึ่งใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะสองอย่างแรงหลายครั้งโดยมีเจตนาฆ่า  สองยังไม่ตายทันที  ถูกสามน้องชายของสองนำตัวส่งโรงพยาบาล  แพทย์แจ้งกับสามว่าผู้ป่วยได้รับความกระทบกระเทือนมากจนกะโหลกศีรษะร้าว  และก้านสมองถูกทำลาย  จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน  5  วัน  ต้องถึงแก่ความตายแน่นอน  สามสงสารพี่ชายไม่อยากให้ต้องทนทุกข์ทรมานก่อนตาย  จึงตัดสินใจแอบใช้ผ้าปิดปากและจมูกของสองจนขาดอากาศหายใจถึงแก่ความตายทันที  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัยองค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งใช้ท่อนเหล็กตีศีรษะสองอย่างแรงหลายครั้งโดยมีเจตนาฆ่านั้น  หากสองตายเนื่องจากการกระทำของหนึ่ง หนึ่งจะมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา  288

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  สองตายเนื่องจากการกระทำของสาม  กล่าวคือ  ถึงแม้แพทย์จะระบุว่าสองจะต้องตายจากการที่หนึ่งตีศีรษะสองก็ตาม  แต่การที่สามใช้ผ้าปิดปากและจมูกของสองจนเป็นเหตุให้สองตายทันทีนั้น  ถือเป็นเหตุแทรกแซงที่เข้ามาตัดความสัมพันธ์ระหว่างการฆ่าของหนึ่งและความตายของสอง  ดังนั้น  หนึ่งจึงมีความผิดเพียงฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80  เท่านั้น

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  นายหนึ่งสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่นายสอง  นายสองสลักหลังโอนเช็คฉบับนั้นชำระราคาสินค้าให้แก่นายสาม  เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงในเช็ค  นายสามได้นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  เพราะเงินในบัญชีของนายหนึ่งไม่พอจ่าย  นายสามนำเช็คมาคืนให้แก่นายสองและนายสองได้จ่ายเงินตามเช็คให้แก่นายสาม  หลังจากนั้นนายสองได้ไปเรียกเงินตามเช็คจากนายหนึ่ง  แต่นายหนึ่งก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา  วันหนึ่งนายสองพบนายหนึ่งที่หน้าตลาด  นายสองจึงจับตัวนายหนึ่งขึ้นรถไปด้วยกัน  เมื่อถึงที่เปลี่ยวนายสองจอดรถแล้วขู่บังคับให้นายหนึ่งเขียนจดหมายถึงภริยาของนายหนึ่งให้จ่ายเงินแก่ผู้ถือจดหมายตามจำนวนเงินที่ระบุในเช็ค  ขณะที่นายหนึ่งกำลังเขียนจดหมายตามที่ถูกบังคับอยู่นั้น  เจ้าพนักงานตำรวจได้มาจับกุมตัวนายสองและดำเนินคดีกับนายสองในข้อหาเอาตัวบุคคลไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่านายสองจะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย  ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังบุคคลใด

ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปีไปเรียกค่าไถ่  ตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)  ประกอบด้วย

1       เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน  15  ปีไป

2       โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

“ค่าไถ่”  หมายความว่า  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา  หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง  (ป.อ. มาตรา  1(13))

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สองจับตัวหนึ่งขึ้นรถไปนั้น  ถือเป็นการเจตนาเอาตัวบุคคลไปเพื่อหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง  แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำของสองก็มิได้มีเจตนาเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งค่าไถ่  เพียงแต่ต้องการเรียกเอาเงินตามเช็ค  ซึ่งสองมีสิทธิจะได้เงินดังกล่าวโดยชอบเท่านั้น  เงินดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นค่าไถ่ตามกฎหมาย  ดังนั้น  การกระทำของสองจึงไม่เป็นความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา  313 สองจึงไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

สรุป  สองไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

 

ข้อ  3  นายสิงห์ลอบเข้าไปในบ้านของนายสา  นายสิงห์เห็นกรงนกที่มีนกอยู่ในกรงหนึ่งตัว  ซึ่งถ้าซื้อขายในท้องตลาดจะมีราคา  100,000  บาท  นายสิงห์ได้ยกกรงนกพาเคลื่อนที่ไปได้  2  เมตร  ปรากฏว่า  นางสาวสมศรีซึ่งเป็นคนรับใช้ในบ้านของนายสามาพบเข้าจึงแย่งกรงนก  แต่สู้กำลังของนายสิงห์ไม่ได้  นายสิงห์จึงแย่งเอากรงนกไปได้  เป็นเวลาเดียวกัน  นายสาเจ้าของนกมาพบเข้าจึงออกติดตามในทันที  และติดตามไปในระยะกระชั้นชิด  นายสิงห์จึงวางกรงนกลงแล้ววิ่งหนีไป  ดังนี้  นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

มาตรา  339  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสิงห์ได้ยกกรงนกพาเคลื่อนที่ไปได้  2  เมตร  และนางสาวสมศรีมาพบจึงแย่งกรงนก  แต่สู้กำลังของนายสิงห์ไม่ได้  นายสิงห์จึงแย่งเอากรงนกไปได้นั้น  พฤติการณ์ที่นายสิงห์แย่งกรงนกไป  ไม่ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย  ดังนั้นการกระทำของนายสิงห์จึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339

แต่อย่างไรก็ตาม  พฤติการณ์ที่นายสิงห์ยกกรงนกพาเคลื่อนที่ไปนั้น  ถือเป็นการทำให้ทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้  ซึ่งถือได้ว่านายสิงห์แย่งการครอบครองไปจากนายสาโดยทุจริต  และเป็นการแย่งการครอบครองได้สำเร็จแล้ว  ดังนั้น  นายสิงห์จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334  แม้ต่อมานายสิงห์จะวางกรงนกลงแล้ววิ่งหนีไปก็ตาม  (ฎ.  2103/2521)

สรุป  นายสิงห์มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  นายแดงเป็นเจ้าของร้านขายของชำ  วันเกิดเหตุ  นาย  ก  เข้าไปซื้อสบู่ในร้านของนายแดง  1  ก้อน  ราคา  3  บาท  นาย  ก  ส่งธนบัตรใบละ  100  บาทให้  นายแดงส่งสบู่ให้พร้อมเงินทอน  97  บาท  นาย  ก  รับสบู่พร้อมเงินทอนแล้วจึงเดินออกจากร้านไป  ต่อมาประมาณ  15  นาที  นาย  ก  กลับมาที่ร้านของนายแดง  และบอกนายแดงว่าซื้อผิดไปขอคืน  นายแดงยอมให้คืนโดยดี  นาย  ก  ส่งสบู่คืนให้นายแดงพร้อมเงินทอน  57  บาท  โดยยักเอาไว้เสีย  40  บาท  นายแดงรับเงินทอนไป  โดยไม่ทันได้นับดู  แล้วคืนธนบัตรใบละ  100  บาท  ให้นาย  ก  ไป  ดังนี้  นาย  ก  มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  ส่งสบู่คืนให้นายแดงพร้อมเงินทอน  57  บาท  โดยยักเอาไว้เสีย  40  บาทนั้นถือเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  ในจำนวนเงินที่ส่งคืนให้นายแดงว่าครบ  97  บาท  ทั้งๆที่ความจริงเป็นเงินเพียง  57  บาท  และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้นาย  ก  ได้ไปซึ่งธนบัตรใบละ  100  บาท  จากนายแดง  โดยนาย  ก  มีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายในเงินกำไร  40 บาท  จากการหลอกลวงดังกล่าว  ดังนั้น  การกระทำของนาย  ก  จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341

สรุป  นาย  ก  มีความผิดฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  เอกขับเรือหางยาวรับจ้างขนผู้โดยสารข้ามฟากแม่น้ำ  เอกมักจะบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดทำให้เรือเพียบแต่ก็ยังขับรับส่งผู้โดยสารมาโดยตลอด 

วันเกิดเหตุเอกบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดเช่นเคย  เมื่อขับเรือไปถึงกลางแม่น้ำเกิดพายุรุนแรงพัดมาโดยไม่คาดหมาย  ทำให้เรือล่มผู้โดยสารจมน้ำตาย  2  คน  ส่วนเรือโดยสารลำอื่นๆ  ที่แล่นอยู่ในน้ำ  แม้จะบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินขนาดต่างก็ถูกพายุพัดจนเรือล่มเช่นกัน  ดังนี้  เอกจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคสี่  กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น  จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  291  ผู้ใดกระทำประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291  ประกอบด้วย

1       กระทำด้วยประการใดๆ

2       การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

3       โดยประมาท

ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  291  นั้น  จะต้องเป็นการกระทำที่ผู้กระทำได้กระทำโดยประมาทตามมาตรา 59  วรรคสี่  และการกระทำนั้นทำให้เกิดผลคือเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามหลักที่ว่า  “ถ้าไม่มีการกระทำ  (โดยประมาท)  ผลจะไม่เกิด”  แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นนั้น  แม้ไม่มีการกระทำของบุคคลนั้น  ผลก็ยังคงเกิดขึ้นเช่นกัน  ดังนี้จะถือว่าผลเกิดจากการกระทำของเขาไม่ได้  ตามหลักที่ว่า  “แม้ไม่มีการกระทำ  ผลก็ยังเกิด”

ตามอุทาหรณ์  การที่เอกขับเรือหางยาวรับจ้างและบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดทำให้เรือเพียบนั้น  เป็นการกระทำความผิดตาม  พ.ร.บ.  การเดินเรือในน่านน้ำไทย  พ.ศ.2546  แต่ในกรณีที่เรือล่มและผู้โดยสารจมน้ำตาย  2  คนนั้น  เอกจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291  หรือไม่นั้น  เห็นว่า  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุที่ทำให้เรือล่มนั้น  เป็นเพราะเกิดพายุรุนแรงพัดมาโดยไม่คาดหมาย  มิได้เกิดขึ้นเพราะเอกบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดแต่อย่างใด  ดังจะเห็นได้จากการที่เรือโดยสารลำอื่นๆที่แล่นอยู่ในแม่น้ำ  แม้จะบรรทุกผู้โดยสารไม่เกินขนาดต่างก็ถูกพายุพัดจนเรือล่มเช่นกัน  ดังนั้นกรณีที่เรือของเอกล่ม  และมีผู้โดยสารจมน้ำตาย  2  คนนั้น  จึงไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยประมาทของเอกโดยตรง  ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่า  “แม้ไม่มีการกระทำ  (โดยประมาทของเอก)  ผลก็ยังเกิด”  กล่าวคือ  จะถือว่าการที่ผู้โดยสารจมน้ำตายเป็นผลที่เกิดจากการกระทำโดยประมาทของเอกไม่ได้  ดังนั้น  เอกจึงไม่มีความผิดต่อชีวิตร่างกาย  ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  (ฎ. 1073/2464)

สรุป  เอกไม่มีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ข้อ  2  นายหนึ่งต้องการจับนายสองไปเรียกค่าไถ่  วันเกิดเหตุขณะที่นายสามซึ่งเป็นพี่ชายของนายสองจอดรถอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง  นายหนึ่งเข้าใจว่าเป็นนายสองจึงจับตัวนายสามไป  หลังจากรถแล่นไปได้  1  กิโลเมตร  พอนายหนึ่งรู้ว่าจับผิดคนจึงจอดรถแล้วปล่อยนายสามลงจากรถและกำชับด้วยว่าไม่ให้นำเรื่องไปบอกใคร  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่านายหนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใด  และจะต้องรับโทษเพียงใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด  ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง  ขู่เข็ญ  ใช้กำลังประทุษร้าย  ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม  หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด  หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังบุคคลใด

ต้องระวางโทษ…

มาตรา  316  ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา  313  มาตรา  314  หรือมาตรา  315  จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก (3)  ประกอบด้วย

 1       หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใด

2        โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่งมีเจตนาต้องการจับนายสองไปเรียกค่าไถ่  แต่เพราะความสำคัญผิดนายหนึ่งได้จับตัวนายสามซึ่งเป็นพี่ชายของนายสองไปโดยเข้าใจว่าเป็นนายสอง  ดังนี้  นายหนึ่งจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาจะจับตัวนายสามไปเรียกค่าไถ่หาได้ไม่  ตามมาตรา  61

และการที่นายหนึ่งจับตัวนายสามไปโดยมีเจตนาเพื่อเรียกค่าไถ่นั้น  ถึงแม้ว่านายหนึ่งจะยังไม่ได้เรียกค่าไถ่เนื่องจากนายหนึ่งได้รู้ว่าจับผิดคนจึงได้ปล่อยตัวนายสามไป  การกระทำของนายหนึ่งก็ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา  313  วรรคแรก (3)  แล้ว  เพราะการกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว

ส่วนการที่นายหนึ่งได้ปล่อยตัวนายสาม  และนายสามก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น  ถือได้ว่าเป็นการจัดให้ผู้ถูกเอาตัวไปได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกใจอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  จึงเป็นเหตุให้ได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายได้กำหนดไว้แต่ต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา  316

สรุป  นายหนึ่งมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยว  หรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก (3) แต่ได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา  316

 

ข้อ  3  หนึ่งและสองเข้าหุ้นกันเปิดร้านขายของชำประเภทมินิมาร์ท   โดยหนึ่งทำหน้าที่ติดต่อซื้อของเข้าร้านและดูแลสต๊อกสินค้า  ส่วนสองทำหน้าที่เป็นคนขายคิดราคาและเก็บเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน  สองคิดไม่ซื่อนัดหมายให้สามมาแอบลักเอาสินค้าในร้านออกไปโดยสองแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นปล่อยให้สามเอาของออกไปโดยไม่จ่ายเงิน  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าสองจะมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334  นั้น  จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง  ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  ไปโดยทุจริต  ในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป  ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่  ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์  แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา  352  วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์  การที่หนึ่งและสองเข้าหุ้นกันเปิดร้านขายของชำประเภทมินิมาร์ท  โดยหนึ่งทำหน้าที่ติดต่อสั่งซื้อของเข้าร้านและดูแลสต๊อกสินค้า  ส่วนสองทำหน้าที่เป็นคนขายคิดราคาและเก็บเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน  กรณีดังกล่าวถือได้ว่า  ทั้งหนึ่งและสองเป็นเจ้าของสินค้าในร้านและต่างก็ร่วมกันครอบครองสินค้าในร้านนั้นด้วยกันในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม

ดังนั้น  ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  การที่สองให้สามแอบลักเอาสินค้าในร้านออกไป  จะถือว่าสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ได้  เพราะในขณะนั้นสองได้ครอบครองทรัพย์หรือสินค้านั้นอยู่  และจะถือว่าสองมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ลักทรัพย์ก็ไม่ได้  (ฎ. 554/2509  และ  ฎ.  1891 – 1892/2536)  ถ้าสองจะมีความผิดก็มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

สรุป  สองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์  ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  4  นายอาทิตย์เจ้าของที่ดินมอบให้นางราตรีเป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดินโดยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละ  5  ของราคาที่ดินที่ขายได้  นางราตรีได้พานางสมศรีมาติดต่อซื้อที่ดินจากนายอาทิตย์  หลังจากได้มีการจดทะเบียนซื้อขายและชำระราคาที่ดินให้แก่กันแล้ว  นางราตรีได้มาที่บ้านของนายอาทิตย์เพื่อขอรับค่านายหน้า  นายอาทิตย์ได้ใช้อุบายหลอกลวงว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกันด้วยเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้า  ต่อมานางราตรีได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงรู้ว่านายอาทิตย์หลอกลวง   นางราตรีจึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายอาทิตย์ในข้อหาฉ้อโกง  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่านายอาทิตย์จะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

 3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายอาทิตย์ได้ใช้อุบายหลอกลวงนางราตรีว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายที่ดินกับนางสมศรีโดยมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าให้นางราตรีนั้น  ถือว่าเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและได้กระทำโดยเจตนา

แต่อย่างไรก็ดี  การหลอกลวงของนายอาทิตย์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้นายอาทิตย์ได้ทรัพย์สินจากนางราตรีผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด  และในการหลอกลวงนั้นก็ไม่ได้ทำให้นางราตรีผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิแต่อย่างใด  เป็นแต่เพียงนายอาทิตย์มีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าเท่านั้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป  ดังนั้น  การกระทำของนายอาทิตย์จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

สรุป  นายอาทิตย์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาตามที่นางราตรีได้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแต่อย่างใด  ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 3001 กฎหมายอาญา3 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

 ข้อ  1  หนึ่งมีเหตุทะเลาะวิวาทกับสองซึ่งเป็นนักเรียนต่างสถาบัน  ต่อมาหนึ่งได้มาชวนแจ็คเพื่อนนักเรียนให้ไปดักชกต่อยสองเพื่อสั่งสอน  ทั้งสองคนไปดักรอ  เมื่อเห็นสองเดินผ่านมา  หนึ่งและแจ็คได้เข้าไปรุมชกต่อยสอง  แจ็คโดนสองต่อยกลับมาถูกปากแตก  เกิดโมโหจึงชักมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าปาดถูกข้อมือสองเป็นแผลฉกรรจ์เส้นเอ็นขาด  ทำให้มือข้างนั้นใช้การไม่ได้ตามปกตินานกว่า  1  เดือน  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าหนึ่งจะมีความผิดต่อร่างกายฐานใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  295  ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้นั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ต้องระวางโทษ

มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษ

อันตรายสาหัสนั้น  คือ

(8)  ทุพพลภาพ  หรือเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน  หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน

วินิจฉัย

ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297  เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ต้องรับโทษหนักขึ้น  เพราะผลที่เกิดจากการกระทำ  ดังนั้น  ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาก่อนว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา  295  หรือไม่

องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ประกอบด้วย

1       ทำร้าย

2       ผู้อื่น

3       จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่แจ็คชักมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋าปาดถูกข้อมือสองเป็นบาดแผลฉกรรจ์เส้นเอ็นขาดโดยเจตนานั้น  การกระทำดังกล่าวของแจ็คถือว่าเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295 แล้ว  เมื่อผลที่เกิดจากการกระทำผิดดังกล่าวทำให้มือข้างนั้นของสองใช้การไม่ได้ตามปกตินานกว่า  1  เดือน  แจ็คจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา  297(8)

และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  จะปรากฏว่าแจ็คแต่ผู้เดียวที่เป็นผู้ใช้มีดคัตเตอร์ทำร้ายสอง  และหนึ่งมีเจตนาแค่ทำร้ายสองโดย ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายสองให้สาหัส  แต่เมื่อผลที่เกิดขึ้นกับสองนั้น  เป็นอันตรายสาหัส  ซึ่งถือเป็นผลธรรมดาที่เกิดขึ้นได้จากการทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธและเป็นผลที่ผู้กระทำมิต้องมีเจตนา  เมื่อหนึ่งและแจ็คมีเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายและมีการกระทำร่วมกัน  จึงเป็นตัวการร่วม  ดังนั้น  หนึ่งจึงต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของแจ็คด้วย  หนึ่งจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา  297(8)  ประกอบมาตรา  83

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตาม  ป.อ.  มาตรา  297(8)  ประกอบมาตรา  83

 

ข้อ  2  นายหนึ่งกับนายสองทะเลาะกันเรื่องกิ่งไม้บ้านของนายหนึ่งรุกล้ำที่ดินของนายสอง  นายสองบอกให้ตัดแต่นายหนึ่งไม่ยอมตัด  นายสองจึงตัดกิ่งไม้และนายหนึ่งไม่พอใจ  ขณะกำลังยืนทะเลาะกันอยู่ที่หน้าบ้าน  นางเดือนภริยาของนายสองกลับมาจากตลาดเห็นบุคคลทั้งสองทะเลาะกัน  นางเดือนจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า  “พี่สองอย่าเสียเวลาทะเลาะเดี๋ยวสุนัขจะกัดเอา”  ขณะที่นางเดือนพูดเพื่อนบ้านคนอื่นซึ่งยืนดูอยู่แถวนั้นก็ได้ยินหลายคน  ต่อมานายหนึ่งจึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับนางเดือนในข้อหาหมิ่นประมาท  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของนางเดือนจะเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  326  ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326  ประกอบด้วย

1       ใส่ความผู้อื่น

2       ต่อบุคคลที่สาม

3       โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง

4       โดยเจตนา

คำว่า  “ใส่ความ”  ตามนัยมาตรา  326  หมายความว่า  พูดหาเหตุร้าย  หรือกล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย  โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง  ซึ่งกระทำต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง  ดังนั้นข้อความที่เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้อับอาย  หรือข้อความที่ไม่ทำให้บุคคลซึ่งได้ยินเชื่อว่าจะเป็นไปได้  ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันเป็นการใส่ความตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางเดือนพูดว่า  “พี่สองอย่าเสียเวลาทะเลาะเดี๋ยวสุนัขจะกัดเอา”  นั้น  ถึงแม้คำพูดดังกล่าวของนางเดือนจะเป็นการเปรียบนายหนึ่งว่าเป็นสุนัข  และเพื่อนบ้านคนอื่นซึ่งยืนดูอยู่แถวนั้นก็ได้ยินหลายคน  อีกทั้งนางเดือนก็ได้พูดโดยเจตนาก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏว่าคำพูดของนางเดือนดังกล่าวไม่อาจทำให้บุคคลซึ่งได้ยินจะเชื่อว่าเป็นไปได้  (คนไม่สามารถกลายเป็นสุนัขได้)  ดังนั้น  คำพูดดังกล่าวจึงไม่น่าจะทำให้นายหนึ่งเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชังอันถือเป็นการใส่ความตามมาตรา  326  แต่อย่างใด  นางเดือนจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  326  ตามที่นายหนึ่งกล่าวหา 

สรุป  นางเดือนไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  326

 

ข้อ  3  จำเลยกับนาย  ก  นำโคไปเลี้ยงกลางทุ่งนา  ปรากฏว่าฝูงโคของนาย  ก  เดินปะปนไปกับฝูงโคของจำเลยจนแยกไม่ออก  นาย  ก  ไม่สามารถแยกฝูงโคของนาย  ก  ออกมาได้  นาย  ก  จึงบอกแก่จำเลยให้ดูไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอา  จำเลยรับปากว่าจะดูให้  ต่อมาจำเลยพาฝูงโคของจำเลยและของนาย  ก  ไปที่บ้านของจำเลย  จากนั้นนำโคของนาย  ก  ไปขาย  ดังนี้  จำเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  นั้น  จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต  หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง  ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป  ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์  แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์  (ตามมาตรา  352  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  บอกให้จำเลยดูฝูงโคของนาย  ก  ไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอานั้น  ถือเป็นการบอกให้จำเลยช่วยดูแลทรัพย์เป็นการชั่วคราว  ยังไม่ถึงกับเป็นการฝากทรัพย์  จึงยังไม่เป็นการส่งมอบการครอบครอง  ดังนั้น  การครอบครองฝูงโคดังกล่าวจึงยังคงอยู่ที่นาย  ก  การที่จำเลยนำโคของนาย  ก  ไปขาย  จึงเป็นการแย่งการครอบครองจากผู้อื่น  และเมื่อเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต  จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  (ฎ.  535/2500)

สรุป  จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  นายเอกมีบุตรชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคือนายโท  วันเกิดเหตุนายตรีเขียนจดหมายส่งไปถึงนายเอกในจดหมายมีข้อความว่า  “ให้นายเอกส่งเงินจำนวน  100,000  บาท  ไปให้แก่นายตรีมิฉะนั้นอีก  7  วัน  นายตรีจะฆ่านายโทให้ตาย”  ปรากฏว่านายเอกกลัวและไม่ตกลงด้วย  ข้อเท็จจริงได้ความว่านายโทเป็นคนบอกให้นายตรีเขียนจดหมายไปขู่เข็ญนายเอก  ดังนี้  นายตรีมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

มาตรา  337  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ..

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจผู้อื่น

2       โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สาม

3       ให้  ยอมให้  หรือยอมจะให้  ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

4       จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น 

5       โดยเจตนา

ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ตามมาตรานี้  จะเป็นความผิดสำเร็จต่อเมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  หรือยอมตามที่ถูกบังคับ  กล่าวคือ  ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินในเวลาที่ถูกบังคับ  หรือยอมจะให้ประโยชน์ดังกล่าวในภายหน้านั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายตรีเขียนจดหมายส่งไปถึงนายเอก  โดยในจดหมายมีข้อความว่า  “ให้นายเอกส่งเงินจำนวน  100,000  บาท  ไปให้นายตรี  มิฉะนั้นอีก  7  วัน  นายตรีจะฆ่านายโทให้ตาย”  นั้น  การกระทำของนายตรีถือเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิตของบุคคลที่สาม  เพื่อให้ผู้อื่นนั้นให้  ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินและได้กระทำไปโดยเจตนาแล้ว

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเอกไม่กลัวและไม่ตกลงด้วย  จึงเป็นกรณีที่นายตรีได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  นายตรีจึงมีความผิดฐานพยายามกรรโชกทรัพย์ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

สรุป  นายตรีมีความผิดฐานพยายามกรรโชกทรัพย์  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2544

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา 2544

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1  อุทลุมคืออะไร  ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้และพระอัยการลักษณะรับฟ้องมีการบัญญัติเรื่องอุทลุมไว้อย่างไร  และมีความแตกต่างกับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

คำว่า อุทลุม ในพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. 2525  หมายความว่า  ผิดประเพณี  ผิดธรรมมะ  นอกแบบ  นอกทาง  คือ  คดีที่ลูกหลานฟ้องบุพการีของตนต่อศาล เรียกลูกหลานที่ฟ้องบุพการีของตนต่อศาลว่า  คนอุทลุม

ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้บัญญัติว่า  บิดามารดากู้ยืมเงินบุตรชายหญิงเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดก็ดี  ห้ามบุตรชายหญิงฟ้องบิดามารดา  ณ  โรงศาล  กรมใดๆเลย  ให้ว่ากล่าวกันโดยปกติ  ส่วนลูกเขย  และลูกสะใภ้อาจฟ้องพ่อตา  แม่ยาย  แต่จะได้ต้นเงินเท่านั้น  ดอกเบี้ยมากน้อยเท่าใดไม่ให้คิดเลย  แต่ก็ยังถือเป็นคนอุทลุมยู่ดี

ในพระอัยการรับฟ้องห้ามลูกหลานฟ้องพ่อแม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  เป็นการห้ามฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  แต่ไม่ห้ามเหลนฟ้องทวด  ดังนั้นถ้าเหลนฟ้องทวดย่อมไม่เป็นอุทลุม

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1562  บัญญัติว่า  ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรืออาญามิได้  แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ  อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ 

บุพการี  หมายถึง  บิดามารดา  ปู่  ย่า  ตายาย  และทวดด้วย  ดังนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ลูกหลาน  เหลน  จะฟ้อง  พ่อ แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  และทวดไม่ได้  แต่ถ้าต้องการจะฟ้อง  ต้องให้ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาล  (ฟ้องคดีแทน)  หรือจะร้องขอให้พนักงานอัยการนำคดีขึ้นสู่ศาลแทนก็ได้ 

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายตราสามดวงคืออะไร  เพราะเหตุใดจึงมีการประมวลกฎหมายตราสามดวง  อธิบาย

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายตราสามดวง  คือ  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้รวบรวมและชำระสะสางให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อปีจุลศักราช  1166  (พุทธศักราช  2347)  ประกอบด้วยพระธรรมศาสตร์  หลักอินทภาษ  และพระอัยการต่างๆ  รวม  29  ลักษณะ  เสร็จแล้วทรงให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน  3  ชุดๆละ  41 เล่ม  ทรงให้ประทับตราราชสีห์  พระคชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไวเป็นสำคัญ  และใช้เป็นกฎหมาย ตลอดมาจนค่อยๆมีการทยอยยกเลิกจนหมดสิ้นเมื่อปี  พ.ศ.  2481

เหตุเมื่อมีประมวลกฎหมายตราสามดวงเนื่องจากมีการร้องทุกข์ทูลเกล้าถวายฎีกาของนายบุญศรี  ช่างเหล็กหลวง  กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ  เนื่องด้วยอำแดงป้อมภรรยานายบุญศรีฟ้องหย่านายบุญศรี  นายบุญศรีให้การแก่พระเกษมว่าอำแดงป้อมนอกใจทำชู้ด้วยนายราชาอรรถแล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีนายบุญศรีไม่ยอมหย่า  พระเกษมหาพิจารณาตามคำให้การนายบุญศรีไม่  พระเกษมพูดจาแทะโลมอำแดงป้อมและพิจารณาไม่เป็นสัจเป็นธรรม  เข้าด้วยอำแดงป้อม  แล้วคัดเอาข้อความมาให้ลูกขุน  ณ  ศาลหลวงปรึกษาว่าเป็นหญิงหย่าชาย  ให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีหย่าขาดจากกันตามกฎหมาย  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่าเป็นเรื่องหญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า  ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่  จึงทรงให้จักกรชำระบทกฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นเสียใหม่  ซึ่งมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ 3  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย  มาตรา  861  บัญญัติว่า  อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น  คือ  สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน  หรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีขึ้น  หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดั่งได้ระบุไว้ในสัญญา  และในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่า  เบี้ยประกันภัย  จากมาตรานี้แสดงว่าการประกันภัยเป็นสัญญาที่มีข้อตกลงว่าฝ่ายหนึ่งใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเงินเมื่อมีวินาศภัยหรือเหตุอื่น  ซึ่งเป็นลักษณะของการประกันภัยที่เป็นกฎหมายเอกชนในปัจจุบัน  แต่ตามที่ได้ศึกษาระบบกฎหมายหลักหรือประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศ  พบว่า  สมัยของชนชาติหนึ่งนอกจากมีกฎหมายเอกชน  6  ประเภทที่เกิดขึ้นในสมัยของชนชาตินั้นแล้ว  อยากทราบว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีการบันทึกเรื่องกำเนิดการประกันภัยของชนชาตินั้นไว้อย่างไร  เกิดขึ้นในสมัยชนชาติใด  อาชีพอะไร  และมีข้อตกลงที่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการประกันภัยในสมัยโบราณไว้อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

นอกจากกฎหมายเอกชน  6  ประเภทที่เกิดขึ้นในสมัยบาบิโลนดังกล่าวมาแล้ว  ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้ในเรื่องของกำเนิดการประกันภัยว่า  ชาวบาบิโลนได้ผลิตสินค้าออกขาย  และได้ส่งลูกจ้างหรือทาสของตนออกไปเร่ขายสินค้าตามเมืองต่างๆ  ทาสหรือลูกจ้างของตนนี้ไม่มีส่วนได้เสียในกำไรที่เกิดขึ้นกับการขายสินค้าเหล่านั้นเลย  และไม่มีอำนาจในการตกลงกับผู้ซื้อนอกเหนือไปจากที่ได้รับคำสั่งจากนายของตนเท่านั้น  เมื่อการค้าเจริญขึ้นการทำงานของทาสหรือลูกจ้างเกิดความไม่สะดวก  เนื่องจากขาดอำนาจต่างๆดังกล่าว  การใช้ทาสหรือลูกจ้างก็เปลี่ยนไปเป็นใช้พ่อค้าเร่  (Travelling  Salesman)  ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า  “Darmatha” แปลว่าคนตีกลอง เป็นผู้รับสินค้าจากพ่อค้าเจ้าของสินค้าไปจำหน่ายยังเมืองต่างๆ  พวกพ่อค้าเร่นี้ต้องมอบทรัพย์สิน  ภรรยา  และบุตร  ที่อยู่ทางบ้านให้พ่อค้าเป็นประกัน  โดยมีข้อสัญญากันว่ากำไรที่ได้รับนั้นพ่อค้าเร่ต้องแบ่งให้พ่อค้าเจ้าของสินค้าครึ่งหนึ่ง  หากพ่อค้าเร่หนีหายไปหรือถูกโจรปล้นเอาสินค้าไปหมด  บรรดาทรัพย์สินจะถูกพ่อค้าเจ้าของสินค้าริบ  และภรรยากับบุตรก็จะตกเป็นทาสไปด้วย  เงื่อนไขดังกล่าวนี้เมื่อปฏิบัติไปได้เพียงไม่นาน  บรรดาพ่อค้าเร่เกิดความไม่พอใจและแข็งข้อ  ไม่ยอมรับเงื่อนไขอันเสียเปรียบนี้  ในที่สุดได้มีการตกลงเงื่อนไขใหม่ว่า  การสูญเสียสินค้าโดยมิใช่ความผิดของพ่อค้าเร่  หรือพ่อค้าเร่มิได้เพิกเฉยต่อการป้องกันรักษาสินค้าอย่างเต็มที่แล้ว  ให้ถือว่าพ่อค้าเร่ไม่มีความผิด  พ่อค้าเจ้าของสินค้าจะริบเอาทรัพย์สิน  ภรรยา  และบุตรไม่ได้  ข้อตกลงนี้จึงได้ใช้ต่อมาอย่างแพร่หลายในการค้าสมัยนั้น  นับได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการเริ่มต้นของการประกันภัยในสมัยโบราณ

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2544

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2544

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1  กฎหมายตราสามดวงคืออะไร  เพราะเหตุใดจึงมีการกล่าวว่ากฎหมายตราสามดวงคือกฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา  อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายตราสามดวงคือ  กฎหมายที่ทรงบัญญัติขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อจุลศักราช 1166  พ.ศ. 2347 เป็นการนำเอากฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยามาตรวจชำระใหม่ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นไป  เพื่อมิให้กฎหมายมีเนื้อความผิดเพี้ยน  ซ้ำกัน  และดัดแปลงบทกฎหมายให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อชำระเสร็จเรียบร้อยแล้วให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน 3  ชุด ประทับตราพระราชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสำคัญ  จึงมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

เหตุที่มีการกล่าวว่ากฎหมายตราสามดวงคือกฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเพราะ

 1       พระอัยการลักษณะต่างๆ  ในกฎหมายตราสามดวงล้วนแต่บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ในยุคกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้ทรงบัญญัติขึ้นมาทั้งนั้น  เช่น  ในพระอัยการลักษณะผัวเมีย  จะมีนามของสมเด็จพระรามาธิบดี  (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นผู้ทรงบัญญัติขึ้นมา

2       ศักราชที่ปรากฏในพระอัยการลักษณะต่างๆ  ในกฎหมายตราสามดวงล้วนแต่เป็นศักราชที่มีอายุย้อนถอยหลังไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น

3       ในบทบัญญัติกฎหมายตราสามดวง  ซึ่งมีเนื้อความถึง  1,600 กว่าบท  (มาตรา) เศษ  คณะกรรมการที่ทำการตรากฎหมายตราสามดวงใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี  ก็สามารถดำเนินการเสร็จสมบูรณ์  ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าจะต้องอาศัยตัวบทกฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยามาชำระสะสางให้เรียบร้อย  ให้ถูกต้องตามความยุติธรรมอย่างแน่นอน

 

ข้อ 2  ตามพระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกัน  มีการยกเว้นยกโทษแก่ผู้กระทำความผิด  โดยอาศัยเหตุความเป็นญาติและอายุอย่างไรบ้าง  และมีเหตุผลในการยกเว้นโทษอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

ในพระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกันในกฎหมายตราสามดวง  มีการยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดโดยอาศัยเหตุความเป็นญาติและอายุ ดังนี้

 1       กรณีความเป็นญาติ  กฎหมายยกเว้นโทษแก่ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายมิถึงสาหัสระหว่างเครือญาติ  ทั้งนี้เพราะถึงอย่างไรเขาก็เสียกันมิได้  ความว่า  ในกรณีเครือญาติด่าตีกัน  ถ้าถึงแตกหักสาหัสจึงให้ปรับไหมแก่กันดังฉันผู้อื่น  ถ้ามิถึงแตกหักสาหัส  ให้บังคับว่ากล่าวกัน  ความผิดและชอบตามผู้ใหญ่ผู้น้อย  ให้ตกแต่งข้าวตอกดอกไม้  ธูปเทียน  สินนุ่งห่ม  เหล้าขาวเป็ดไก่  ไปแปลงขวัญกัน  เพราะเขาเสียกันมิได้ เช่น  พ่อตาแม่ยายด่าตีกับลูกเขย  ลูกเขยด่าตีพ่อตาแม่ยาย  ปู่ย่าด่าตีกับหลานเป็นต้น

2       การยกเว้นโทษโดยอาศัยเหตุอายุ   กล่าวคือ   มีการยกเว้นโทษให้แก่เด็กอายุ 7  ขวบลงมา  ไปด่าตีผู้อื่น  โดยกฎหมายเห็นว่าเด็กเป็นผู้ไม่รู้ผิดชอบ  และมีการยกเว้นโทษแก่คนชราอายุตั้งแต่  70  ปี  ขึ้นไป  โดยเหตุว่าเป็นคนสติหลงใหล  ทั้งนี้ให้นายบ้านนายเมืองว่ากล่าวให้สมัครสมานผู้เจ็บโดยควร

 

  ข้อ 3 ในประเทศอังกฤษมีกฎหมายสองสาขา  คือ  กฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) และเอคควิตี้ (Equity) ให้อธิบายว่า  กฎหมายทั้งสองสาขานี้มีความแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

กฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) และเอคควิตี้ (Equity)  มีความแตกต่างกันดังนี้

 1       สภาพแห่งคดี  กฎหมายคอมมอนลอว์  บังคับเอากับทรัพย์สิน  ส่วนกฎหมายเอคควิตี้บังคับเอากับร่างกาย

2       การพิจารณาคดี  คดีคอมมอนลอว์ ให้ลูกขุนเป็นผู้วินิจฉัยข้อเท็จจริง  ส่วนผู้พิพากษาเป็นผู้วินิจฉัยข้อกฎหมาย  สำหรับคดีเอคควิตี้นั้นเป็นการพิจารณาต่อหน้าชาลเซลเลอร์  ไม่มีการพิจารณาข้อเท็จจริงโดยลูกขุน  ชาลเซลเลอร์เป็นผู้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

3       การเยียวยา  คดีคอมมอนลอว์ให้การเยียวยาได้แต่เฉพาะเป็นเงินตรา  สำหรับคดีเอคควิตี้โจทก์อาจได้รับบรรเทาความเดือดร้อนโดยศาลอาจสั่งให้จำเลยชำระหนี้เฉพาะสิ่ง  (Specific  Performance)  ตามที่ระบุไว้ในสัญญา  หรือสั่งห้ามจำเลยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด (Injunction)

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 1  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวง  มีการแบ่งทรัพย์ออกเป็นกี่ประเภท  อะไรบ้าง  และการแบ่งประเภทของทรัพย์ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  และกฎหมายตราสามดวงมีผลในทางกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  เมื่อเทียบกับการแบ่งประเภทของทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ธงคำตอบ

ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวง  มีการแบ่งทรัพย์ออกเป็น  2  ประเภทคือ

 1       ทรัพย์มีวิญญาณ  (วิญญาณทรัพย์)  ซึ่งได้แก่  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  เป็ด  ไก่  ฯลฯ  ประเด็นที่น่าสนใจคือ  คนที่เป็นลูกหรือเมียผู้อื่น  ข้าทาส  ถือเป็นทรัพย์หรือไม่  เพราะพ่อแม่ขายลูกได้  ผัวขายเมียได้  นายเงินขายข้าทาสได้  ดังนั้นบางครั้งก็อาจจัดเป็นทรัพย์ประเภทมีวิญญาณได้เหมือนกัน  แต่คนที่มีฐานะเป็นทรัพย์มีลักษณะแตกต่างจากทรัพย์มีวิญญาณอื่น  เช่น  พวกสัตว์ต่างๆที่บางครั้งคนก็เป็นทรัพย์  แต่บางครั้งก็ไม่เป็นทรัพย์  หากคนนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจอิสระ  (อำนาจปกครอง)  ของใคร  หรือเป็นไทแก่ตนเอง  ในขณะที่สัตว์ต่างๆจะเป็นทรัพย์ตลอดกาลไม่มีการเปลี่ยนสถานะ

2       ทรัพย์ไม่มีวิญญาณ  ได้แก่  แก้ว  แหวน  เงิน  ทอง  ผ้าผ่อนแพรพรรณ  อีกนัยหนึ่งทรัพย์ไม่มีวิญญาณคือทรัพย์ที่ไม่ใช่คนหรือสัตว์ชนิดต่างๆนั่นเอง

กล่าวกันว่า  การแบ่งประเภทของทรัพย์ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวงไม่มีผลในทางกฎหมายแต่ประการใด  ไม่เหมือนกับการแบ่งประเภทของทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แบ่งทรัพย์ออกเป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์  ซึ่งถ้าเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ  ส่วนการซื้อขายสังหาริมทรัพย์โดยปกติไม่มีแบบหรือการที่ที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์มีแดนกรรมสิทธิ์  ส่วนสังหาริมทรัพย์ไม่มีแดนกรรมสิทธิ์  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ระบบกฎหมายศาสนาที่สำคัญศาสนาหนึ่ง  คือ  ศาสนาฮินดู  อยากทราบที่มาของกฎหมายฮินดูมีที่มาจากอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ที่มาของกฎหมายฮินดูมี  4  ประการคือ

 1       ศรุติ  (Srutis)  ได้แก่  หลักการในศาสนาฮินดู  ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์  ได้แก่  พระเวท  เวทางค์  และอุปนิษัย  โดยได้เกิดขึ้น  เมื่อประมาณ  2,570 – 3,470  ปีมาแล้ว  ในคัมภีร์ต่างๆเหล่านี้นอกจากจะมีกฎเกณฑ์ทางกฎหมายแล้ว  ยังประกอบไปด้วยบทบัญญัติทางอภิปรัชญา  พิธีการทางศาสนา  และวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย  ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นหลักการสำคัญขั้นมูลฐานที่จำเป็นแก่มนุษย์  และหลักการดังกล่าวนี้ได้กำหนดไว้เช่นเดียวกันกับในศาสนาพราหมณ์

2       ศาสตร์  Sastras)  หรือ  สมฤติ  (Smritis)   บางตำราเรียกว่า  พระราชศาสตร์  หรือสาขาคดี  ได้แก่บทบัญญัติที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเพื่อประกอบกับพระธรรมศาสตร์

3       ธรรมะ (Dharma) ได้แก่  บทบัญญัติซึ่งกำหนดถึงหน้าที่   ซึ่งผู้นับถือศาสนาฮินดูทั้งหลายจะต้องปฏิบัติ  ธรรมะนี้ได้กำหนดไว้เฉพาะหน้าที่เท่านั้น  แต่ไม่ได้กำหนดถึงสิทธิด้วย

หน้าที่ๆกำหนดไว้นี้จะแตกต่างกันไปตามฐานะและสภาพของบุคคล  รวมทั้งอายุด้วย  แม้แต่กษัตริย์เองก็ต้องปฏิบัติตามธรรมะในส่วนที่เกี่ยวกับกษัตริย์ด้วย

4       ธรรมศาสตร์  (Dharmasastras)  และนิพนธ์  (Nibandhas)  ธรรมะที่กล่าวมาแล้วจะพบอยู่ในตำรากฎหมายซึ่งเรียกว่า  ธรรมศาสตร์  และในบทวิจารณ์ของธรรมศาสตร์ซึ่งเรียกว่า  นิพนธ์

ในส่วนที่เกี่วกับธรรมศาสตร์เอง  ปรากฏว่ามีอยู่มากมาย  แต่ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ฉบับของมนู  ซึ่งชาวตะวันตกนิยมเรียกว่า  Manu Code  แต่ประเทศไทยเรียกว่าคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของมโนสาราจารย์  นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ยัชนวัลย์  และคัมภีร์นรราช เป็นต้น

สำหรับนิพนธ์นั้น  มีประโยชน์เพื่อช่วยให้เข้าใจความหมายของธรรมศาสตร์ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ข้อความในธรรมศาสตร์คลุมเครือไม่ชัดเจน  หรือขัดแย้งกันระหว่างธรรมศาสตร์ฉบับต่างๆ

 

ข้อ  3  คอมมอนลอว์  (Common  Law)  เป็นระบบกฎหมายหลักของโลกระบบหนึ่ง  ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน  จงอธิบายระบบกฎหมายนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยย่อ

ธงคำตอบ

ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์  มีแหล่งกำเนิดและวิวัฒนาการในประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกการทำความเข้าใจในระบบกฎหมายนี้จึงต้องทราบประวัติศาสตร์ระบบกฎหมายอังกฤษ  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ซึ่งมี  4  ยุค  ดังนี้คือ

ยุคที่  1  ยุคแองโกลแซกซอน  ค.ศ. 600  1066  ยุคนี้ปกครองโดยกษัตริย์ชนเผ่าแองโกลแซกซอน  กฎหมายยุคแองโกลแซกซอนนับว่าเป็ยกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ  ซึ่งนำเอากฎหมายจารีตประเพณีมาใช้  กฎหมายสมัยแองโกลแซกซอนจำนวนมากกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการชะระค่าเสียหายไว้  โดยการชำระเป็นเงินตรา

เนื่องจากกฎหมายยุคแองโกลแซกซอนเป็นกฎหมายจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น  ยุคนี้จึงยังไม่เกิดกฎหมาย  Common  Law

ยุคที่  2  ยุคนอร์แมน  ค.ศ. 1016  1035  ยุคนี้ปกครองโดยกษัตริย์ชนเผ่านอร์แมนพระองค์แรกคือ  พระเจ้าวิลเลี่ยมที่  1  ซึ่งนำเอาการปกครองที่เรียกว่า  Feudalism  มาใช้ในประเทศอังกฤษ  ในยุคนี้ศาลท้องถิ่นตัดสินคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นซึ่งล้าสมัย  ทำให้ฝ่ายที่แพ้คดีไม่ได้รับความเป็นธรรม  ราษฎรฝ่ายที่แพ้คดีจึงร้องเรียนต่อพระเจ้าวิลเลี่ยม  พระองค์จึงจัดตั้งศาลกษัตริย์  (King’ Court)  หรือศาลหลวง  (Royal  Court)  ไปวางหลักเกณฑ์ที่เหมือนๆกัน  มีลักษณะสามัญ  (Common)  และใช้กันทั่วประเทศ  ทำให้กฎหมาย Common  Law  เริ่มเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษแต่นั้นเป็นต้นมา

ยุคนี้เกิดแม็คนา  คาตาร์  ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษ  และศาลหลวงได้มีการปฏิรูปใหม่แยกออกเป็น  3 ศาล  คือ  ศาลคอมมอนพลีส์  ศาลเอ็คซ์เช็คเกอร์  และศาลคิงส์เบนส์  ในยุคนี้ศาลหลวงได้นำวิธีพิจารณาคดีแบบใหม่มาใช้  โดยมีคณะลูกขุน  (Jury)

ยุคที่ 3  ยุคเอ็คคิวตี้  ค.ศ.  1485  1832   ยุคนี้ศาลหลวงหรือศาลคอมมอนลอว์ใช้จารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์ในการพิจารณา  จนทำให้กฎหมายคอมมอนลอว์พัฒนาเป็นระบบมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน  ตายตัวไม่ยืดหยุ่น  ทำให้การแก้ไขปรับปรุงได้ลำบาก และไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือเกิดความล้าสมัย  ซึ่งถ้าศาลหลวงตัดสินตามจารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์แล้ว ผลของคำพิพากษาทำให้คู่ความเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  หรือความเสียหายของเขาไม่ได้รับการเยียวยาตามที่คู่ความฝ่ายนั้นต้องการ  จึงได้มีการถวายฎีกาต่อกษัตริย์ ๆ  มอบให้ชานเซลเลอร์เป็นผู้ตัดสิน  หลักกฎหมายที่ศาลชานเซอรี่นำมาใช้เพื่อแก้ไขความไม่เหมาะสมหรือความไม่เป็นธรรมอันเกิดจากคอมมอนลอว์  หลักที่ศาลชานเซอรี่นำมาอ้างตัดสินแทนจารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์ถือความยุติธรรม  (Equity)  เรียกว่า  หลักความยุติธรรมในสังคมหรือหลักประโยชน์สุขของสังคมนั่นเอง

ยุคที่  4  ยุคปัจจุบัน   เริ่มตั้งแต่ ศตวรรษที่  19  เป็นต้นมา  แนวความคิดในเรื่องเกี่ยวกับสังคมของอังกฤษเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ยึดหลักเสรีนิยมมาเป็นสังคมนิยม  ตั้งแต่ปี  ค.ศ.  1914  อังกฤษยุคนี้กลายเป็นสังคมที่เกิดปัญหาใหม่ๆ  ขึ้นจำนวนมาก  ปัญหาใหม่ของสังคมมีความสลับซับซ้อนละยุ่งยาก  กฎหมาบคอมมอนลอว์และกฎหมายเอ็คคิวตี้  ไม่อาจนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะในสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ด้วยเหตุนี้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปกฎหมายลักษณะต่างๆ  เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม

อังกฤษยุคปัจจุบันมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  2  ประเภท  คือ  กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภา 

เรียกว่า  พระราชบัญญัติ  หรือ  Act  และกฎหมายของฝ่ายบริหาร  เรียกว่า พระราชกฤษฎีกา

นอกจากนี้ในศตวรรษที่  19   ได้มีการปฏิรูประบบศาล  ระบบศาลอังกฤษสมัยใหม่แบ่งศาลออกเป็น  3  ชั้น  ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  คือ ศาลสูงสุด  ศาลสูงชั้นกลาง  และศาลชั้นต้น  สาเหตุที่มีการปฏิรูปศาลเกิดจากเขตอำนาจศาลที่ขัดแย้งและซ้ำซ้อนกัน.

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ตามพระอัยการลักษณะผัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง  มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นเงื่อนไขการสมรสอย่างไรบ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

บทบัญญัติพระอัยการลักษณะผัวเมียในกฎหมายตรา  3  ดวง  มีบทบัญญัติทำนองเงื่อนไขการสมรสดังนี้

1       หญิงต้องไม่มีสามีอยู่ก่อนแล้ว

2       ชายต้องไม่เป็นพระภิกษุ

3       ชายหญิงต้องไม่เป็นญาติกัน

4       หญิงหม้ายจะแต่งงานใหม่ได้ต้องเผาศพสามีเรียบร้อยเสียก่อน

5       หญิงจะแต่งงานได้ต้องมีอายุกว่า  12  ปี

 

ข้อ  2  ตามที่หนังสือพิมพ์รายวัน  คม  ชัด  ลึก  ฉบับภาคเหนือ  ประจำวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2546  หน้า  1  ลงข่าวว่า  ทักษิณนำทัพรบยาบ้า  แตกหัก  ลั่น ตาต่อตา  เริ่มมาตรการปราบแก๊งยาเสพติดทักษิณขอเป็นแม่ทัพใหญ่รบตาต่อตาฟันต่อฟัน  จากการที่ๆได้ศึกษาเรื่องระบบกฎหมายหลักมา  จงตอบคำถามดังนี้

ก  ข้อความที่ขีดเส้นใต้มีที่มาจากกฎหมายในสมัยใด  5  คะแนน

ข  กฎหมายนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร 5 คะแนน

ค  เป็นกฎหมายประเภทใด 5  คะแนน

ง  วลีที่ว่า  ตาต่อตา  หมายความว่าอย่างไร  และกฎหมายสมัยนั้นบัญญัติมีข้อความอย่างไร  ให้กล่าวเฉพาะข้อความที่เกี่ยวข้องโดยตรง  10  คะแนน

ธงคำตอบ

ก  กฎหมายนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ  1765  ปีก่อนคริสต์ศักราช  พวกอะมอไรท์ที่มาจากทะเลทรายอาราเบีย  เข้ามายึดครองเมืองบาบิโลเนีย  แล้วสถาปนาเป็นนครหลวงของจักรวรรดิ  จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  ชาวบาบิโลเนียหรือสมัยบาบิโลนนั่นเอง

ข  ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบี

ค  กฎหมายอาญา

ง  ตาต่อตา  หมายความว่า  ทำอย่างไรต้องรับผลตอบแทนเช่นนั้น  ซึ่งยึดหลักการแก้แค้นตอบแทนที่รุนแรงมาก

ข้อความที่กฎหมายบัญญัติไว้คือ  ถ้าบุคคลใดทำลายดวงตาของอีกผู้หนึ่ง  ดวงตาของบุคคลนั้นจะถูกทำลายเช่นกัน

 

ข้อ  3  จงตอบคำถามเรื่อง  ทรัสต์  (Trust)  ในหัวข้อต่อไปนี้

ก  ทรัสต์ คื่ออะไร  และความหมายของทรัสต์คือ  บริษัทเงินทุนใช่หรือไม่  5  คะแนน

ข  ทรัสต์  มีในระบบกฎหมายใด 5  คะแนน

ค  ทรัสต์  เกี่ยวข้องกับบุคคลกี่คน  ใครบ้าง 

และบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัสต์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร  10  คะแนน

ง  ทรัสต์  มีในประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด    5  คะแนน

ธงคำตอบ

ก  ทรัสต์  หมายความว่า  ทรัพย์สินหรือกองทุนที่มีผู้จัดตั้งขึ้น  โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง  เช่น  กองทุนมรดก  กองทุนเพื่อการกุศล  ฯลฯ  ลักษณะของทรัสต์คือ  ต้องมีการแต่งตั้งทรัสตีเป็นผู้ดูแลบริหารสินทรัพย์ของกองทุน

ทรัสจึงไม่ใช่กิจการบริษัทเงินทุน  แต่เป็นกฎหมายเอ็คคิวตี้ (Equity)

ข  ทรัสต์  มีในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common  Law)

ค  ทรัสต์  เกี่ยวข้องกับบุคคล สามฝ่ายคือ  บุคคลแรกเรียกว่า  ผู้ตั้งทรัสต์  (Settlor)  แสดงเจตนาให้บุคคลที่สองเรียกว่า  ทรัสตี (Trustee)  ซึ่งเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคน  ยึดถือทรัพย์สินในฐานะเป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์  แต่จะไม่ใช้กรรมสิทธิ์เพื่อประโยชน์ของตนเอง  แต่เพื่อประโยชน์ของบุคคลที่สาม  รียกว่า  ผู้รับประโยชน์แห่ง  ทรัสต์  (Beneficiary)

ง  ทรัสต์  ไม่มีในประเทศไทย  เพราะมีกฎหมายบัญญัติห้ามก่อตั้งทรัสต์  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1686  บัญญัติว่า  อันว่าทรัสต์นั้น  จะก่อตั้งขึ้นโดยตรงหรือโดยทางอ้อมด้วยพินัยกรรมหรือด้วยนิติกรรมใดๆที่มีผลในระหว่างชีวิตก็ดี  หรือเมื่อตายแล้วก็ดี  หามีผลไม่

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2032 (LA 232),(LW 103) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  อุทลุมคืออะไร  ในพระอัยการลักษณะกู้หนี้และพระอัยการลักษณะพยานบัญญัติเรื่องอุทลุมไว้อย่างไร  และแตกต่างกัลป์บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.  2525  ได้ให้ความหมายของคำว่า  อุทลุม  หมายความถึง  ผิดประเพณี  ผิดธรรมมะ  นอกแบบ  นอกทาง  เช่น  ผู้ใดเป็นอุทลุม  มิรู้คุณบิดามารดา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ท่านให้มีโทษทวนด้วยลวดหนังโดยฉกรรจ์  ตามพระอัยการลักษณะกู้หนี้  ในกฎหมายตรา  3  ดวง  บัญญัติว่า  ถ้าหากบิดามารดากู้ยืมบุตรแล้วไม่มีเงินใช้คืน  ห้ามบุตรฟ้องบิดามารดา  ณ  โรงศาลใดๆ  เพราะเป็นอุทลุม  ถือว่าไม่รู้คุณบิดามารดา  ให้ว่ากล่าวกันตามปกติ  ในพระอัยการลักษณะรับฟ้องในกฎหมายตรา  3  ดวง  ห้ามลูกหลานฟ้องบิดามารดา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  เหลนฟ้องทวดได้  ไม่เป็นอุทลุม  แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1562  บัญญัติว่า  ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรืออาญามิได้  แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ  อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้  บุพการี  หมายถึง  บิดามารดา  ปู่  ย่า  ตายาย  และทวดด้วย  ดังนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ลูกหลาน  เหลน  จะฟ้อง  พ่อ  แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  และทวดไม่ได้ 

 

ข้อ  2  หลักอินทภาษคืออะไร  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหลักอินทภาษมีผลอย่างไร  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักอินทภาษ  เป็นค่ำสั่งสอนที่พระอินทร์มีต่อบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นตุลาการว่า  การจะเป็นตุลาการที่ดีจะต้องไม่มีอคติ  4  ประการ  คือ  ฉันทาคติ  (รัก)  โทสาคติ  (โกรธ)  ภยาคติ  (กลัว)  โมหาคติ  (หลง)  และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดนคลองธรรมอันเป็นจัตุรัส  ซึ่งหมายความว่า  พลิกยากไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์ของตุลาการ  การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติมีผลต่อตุลาการผู้นั้นคือ  ถ้าตัดสินความโดยปราศจากอคติดังกล่าวแล้ว  อิสริยยศ   และบริวารยศแห่งบุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง  เปรียบประดุจเดือนข้างขึ้น  ถ้าผู้ใดตัดสินโดยมีอคติ  4  ประการดังกล่าว  อิสริยยศ  และบริวารยศ  ก็จะเสื่อมสูญไปเปรียบประดุจเดือนข้างแรม

ที่ว่าให้ผู้พิพากษาปราศจากฉันทาคตินั้น  หมายถึง  ให้ทำจิตใจให้ปราศจากความโลภ  อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง  อย่าเข้าข้างด้วยฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเหตุจะได้ทรัพย์จากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แม้ว่าผู้ต้องคดีจะเป็นบิดามารดาก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง

การทำใจให้ปราศจากโทสาคติ  หมายถึง  อย่าตัดสินความโดยความโกรธ  พยาบาท  อาฆาต  เพราะผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์แก่ตน 

การพิจารณาโดยปราศจากภยาคติ  คือ   ให้ผู้พิพากษาทำจิตใจให้มั่นคง  ไม่หวั่นไหว  กลัวฝ่ายโจทย์หรือจำเลย  เพราะเป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์  หรือเป็นผู้มีกำลังพวกพ้องมาก

การตัดสินโดยปราศจากโมหาคติ  หมายความว่า  จะต้องตัดสินคดีด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์  คดีใดควรแพ้ก็ต้องให้แพ้  คดีใดควรชนะก็ให้ชนะ จะต้องเป็นผู้รอบรู้ในธรรมศาสตร์  จะต้องไม่ตัดสินคดีโดยหลง

การตัดสินคดีโดยมีอคติ  4  ประการนี้  นับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง  กล่าวว่า  ถึงแม้จะฆ่าสิ่งมีชีวิตไปเป็นพันเป็นหมื่น  บาปกรรมนั้นก็ไม่เท่ากับบุคคลที่บังคับคดีไม่เที่ยงตรง

หลักอินทภาษ  มิใช่มีความสำคัญต่อผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการเท่านั้น  หากแต่ยังเป็นหลักที่ผู้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมด้วย

 

ข้อ  3  จงตอบคำถามตามลำดับต่อไปนี้

(1) เพราะเหตุใดจึงเกิดกฎหมายสาขาเอคควิตี้  (Equity)  ในประเทศอังกฤษ

(2) กฎหมายสาขาเอคควิตี้  (Equity)  กับกฎหมายคอมมอนลอว์  (Common  Law)  มีความแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

(1) กฎหมายสาขาเอคควิตี้ของประเทศอังกฤษมีกำเนิดมาจากการที่ศาลหลวงของกษัตริย์หรือศาลคอมมอนลอว์  ไม่อาจให้การเยียวยาแก่โจทย์อย่างเพียงพอ  กล่าวคือ  ศาลหลวงของกษัตริย์อาจให้การเยียวยาได้เฉพาะแต่เงินตราเท่านั้น  ไม่อาจบังคับให้จำเลยกระทำการเฉพาะสิ่ง  (Specific  Performance)  หรือจะห้ามมิให้จำเลยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้  (Injunction)  อีกทั้งการฟ้องความในศาลคอมมอนลอว์ต้องใช้คำฟ้อง  (Writ)  ที่แตกต่างกันสำหรับคดีแต่ละประเภท  การใช้คำฟ้อง  (Writ)  ฟ้องผิดประเภทมีผลทำให้ศาลยกฟ้องคดีของโจทก์  ทำให้โจทก์ไม่ได้รับการเยียวยา  จึงร้องขอความเป็นธรรมจากกษัตริย์  กษัตริย์จึงมอบให้ราชเลขาธิการ  (Chancellor)  ไปทำการพิจารณาคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรม  จึงเป็นเหตุให้เกิดกฎหมายสาขาเอคควิตี้

 (2)  เอคควิตี้กับคอมมอนลอว์มีข้อแตกต่างกัน  ดังนี้

1  สภาพแห่งคดี 

–  เอคควิตี้บังคับเอากับเนื้อตัวร่างกายของจำเลย

–  คอมมอนลอว์บังคับเอากับทรัพย์สินของจำเลย

 2       การพิจารณาคดี

– ตามคอมมอนลอว์  มีการให้คณะลูกขุนเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริง  ส่วนผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณาข้อกฎหมาย

–  ส่วนเอคควิตี้นั้นมีผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

3       การบังคับคดี

 –                    คอมมอนลอว์บังคับเอากับทรัพย์สินของจำเลย  มีลักษณะเป็นการให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินตรา

เอคควิตี้บังคับเอากับเนื้อตัวร่างกายของจำเลย  ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล  ถือเป็นการหมิ่นอำนาจศาล  ซึ่งศาลอาจสั่งขังจำเลยได้

LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ 

ข้อ 1  ประมวลกฎหมายตรา  3  ดวง  คืออะไร  และอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการประมวลกฎหมายตรา  3  ดวง  อธิบาย

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายตราสามดวง  คือ  กฎหมายเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้รวบรวมและชำระสะสางให้ถูกต้องตามความยุติธรรม  เมื่อปีจุลศักราช  1166  (พุทธศักราช  2347)  ประกอบด้วยพระธรรมศาสตร์  หลักอินทภาษ  และพระอัยการต่างๆ  รวม  29  ลักษณะ  เสร็จแล้วทรงให้อาลักษณ์เขียนเป็นฉบับหลวงจำนวน  3  ชุดๆละ  41 เล่ม  ทรงให้ประทับตราราชสีห์  พระคชสีห์  และบัวแก้ว  อันเป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก  สมุหพระกลาโหม  และเจ้าพระยาพระคลังไวเป็นสำคัญ  และใช้เป็นกฎหมาย ตลอดมาจนค่อยๆมีการทยอยยกเลิกจนหมดสิ้นเมื่อปี  พ.ศ.  2481

เหตุเมื่อมีประมวลกฎหมายตราสามดวงเนื่องจากมีการร้องทุกข์ทูลเกล้าถวายฎีกาของนายบุญศรี  ช่างเหล็กหลวง  กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ  เนื่องด้วยอำแดงป้อมภรรยานายบุญศรีฟ้องหย่านายบุญศรี  นายบุญศรีให้การแก่พระเกษมว่าอำแดงป้อมนอกใจทำชู้ด้วยนายราชาอรรถแล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีนายบุญศรีไม่ยอมหย่า  พระเกษมหาพิจารณาตามคำให้การนายบุญศรีไม่  พระเกษมพูดจาแทะโลมอำแดงป้อมและพิจารณาไม่เป็นสัจเป็นธรรม  เข้าด้วยอำแดงป้อม  แล้วคัดเอาข้อความมาให้ลูกขุน  ณ  ศาลหลวงปรึกษาว่าเป็นหญิงหย่าชาย  ให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีหย่าขาดจากกันตามกฎหมาย  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่าเป็นเรื่องหญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า  ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่  จึงทรงให้จักกรชำระบทกฎหมายทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้นเสียใหม่  ซึ่งมีชื่อเรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ  2  จงอธิบายระบบกฎหมายโรมาโน  เยอรมันนิค พอสังเขป

ธงคำตอบ

โรมาโนเป็นภาษาของชนเผ่าอีทรัสคัน  หมายความว่า  กรุงโรม  เมืองหลวงของประเทศอิตาลี  ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของประมวลกฎหมายแพ่ง

เยอรมันนิค  หมายความว่า  ชื่อชนเผ่าหนึ่งในปัจจุบันคือ  ชาวเยอรมัน  ซึ่งเป็นชนเผ่าที่นำเอาประมวลกฎหมายแพ่งไปใช้กับชนเผ่าของตน

ดังนั้นจึงนำชื่อเมืองหลวงและชื่อชนเผ่ามาตั้งเป็นชื่อระบบกฎหมาย

แต่มีผู้เห็นว่าควรยกย่องราษฎรโรมันชนเผ่าเดียว  จึงนำเอาคำว่าโรมันมาตั้งเป็นชื่อระบบกฎหมายว่า  กฎหมายโรมันหรือซีวิล  ลอว์

เนื่องจากกฎหมายโรมันเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร  จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  Written  law

การที่กฎหมายโรมันจัดทำเป็นประมวลกฎหมายจึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  Code  law

ระบบนี้มีหลักการสำคัญว่า  กฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  เป็นที่มาของกฎหมายและในการพิพากษาคดี  ศาลจะยึดถือตัวบทกฎหมายเป็นหลักเกณฑ์  ผู้พิพากษาในคดีหลังๆไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำพิพากษาในคดีก่อนๆ

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายนี้  คือ  อิตาลี  เยอรมัน  ฝรั่งเศส  สเปน  สวิส  ญี่ปุ่น  ไทย  ฯลฯ

 

ข้อ 3  ประเทศอังกฤษตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ศาลสูงชั้นกลาง  คือ  ซูพรีม  คอร์ท  เป็นศาลที่มีอำนาจออกหมาย  5  ประเภท  ตามกฎหมายปี  ค.ศ.  1935  คือ

ก  เฮเบียส  คอร์พัส

ข  เซอทิโอราไร

ค  โพร์  ฮิบิชั่น

ง  แมนดามัส

จ  คัว  วอร์เร็นโต

อยากทราบว่า  หมายทั้ง  5  ประเภท  คือหมายเกี่ยวกับเรื่องอะไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ก  เฮเบียส  คอร์พัส  คือ  หมายที่ออกเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง  ในการควบคุมตัวบุคคล  หมายนี้มีความสำคัญคือคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ข  เซอทิโอราไร  คือ  หมายที่ออกเพื่อตรวจตราคำวินิจฉัยของศาลล่าง  หรือฝ่ายบริหารให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชอบธรรมและอยู่ภายในเขตอำนาจศาล  ไม่เกินอำนาจที่ได้รับมอบหมาย  และปฏิบัติตามหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ  และมีคำสั่งให้ยกคำวินิจฉัยที่มิชอบ  แก้ไขหรือให้ดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องได้

ค  โพร์  ฮิบิชั่น  คือ  หมายที่สั่งให้ศาลล่างหรือฝ่ายบริหารหยุดกระทำการใดๆที่มิชอบด้วยกฎหมายหรือเกินกว่าอำนาจของตน

ง แมนดามัส  คือ  หมายที่สั่งให้ศาลล่างหรือฝ่ายบริหารปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย

จ  คัว  วอร์เร็นโต  คือ  หมายที่ตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องอำนาจศาล

WordPress Ads
error: Content is protected !!