LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1 นายแพทย์สมชายเข้าหุ้นกับนายแพทย์สมนึก เปิดคลินิกเสริมความงามและลดความอ้วน แต่การเข้าหุ้นของนายแพทย์ทั้งสองมิได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ทั้งสองได้นำเงินมาลงหุ้นคนละ 3 ล้านบาท เปิดกิจการที่ห้างบิ๊กซี สาขาบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยเปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 นาฬิกา ถึง 21.00 นาฬิกา มีนายแพทย์สมชายเป็นผู้ดำเนินกิจการทั้งหมด ส่วนนายแพทย์สมนึกนำเงินมาลงหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว

หากมีกำไรจะแบ่งกำไรเป็นสามส่วน นายแพทย์สมชายได้สองส่วน นายแพทย์สมนึกได้หนึ่งส่วน กิจการดำเนินไปมีกำไรดีทุกปี นายแพทย์สมนึกจึงชักชวนแพทย์หญิงกุลธิดา ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรมตกแต่งและเสริมความงามมาเข้าหุ้นกันเปิดคลินิกเสริมความงามอีกแห่งหนึ่ง 

โดยเปิดที่ห้างบิ๊กซี สาขาบางพลีเช่นเดียวกัน แต่อยู่กันคนละชั้น มีแพทย์หญิงกุลธิดาเป็นผู้ดำเนินกิจการทั้งหมด ส่วนนายแพทย์สมนึกมิได้ดำเนินกิจการแต่อย่างใด คงนำเงินมาลงหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว นายแพทย์สมชายเห็นว่า นายแพทย์สมนึกมาเปิดคลินิกเสริมความงามที่ห้างบิ๊กซี สาขาบางพลี

ทำให้กิจการของห้างหุ้นส่วนที่ตนลงหุ้นกับนายแพทย์สมนึกมีกำไรลดลง จึงกล่าวหาว่านายแพทย์สมนึกประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วน และประสงค์จะเรียกเอากำไรที่นายแพทย์สมนึกได้รับมาจากการลงหุ้นด้วย จึงได้มาปรึกษาท่านว่า ในกรณีดังกล่าว นายแพทย์สมชายจะเรียกร้องเอากำไรจากนายแพทย์สมนึกได้หรือไม่ ให้ท่านแนะนำนายแพทย์สมชายด้วย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1038 ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้นไม่ว่าทำเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆชอบที่จะเรียกเอาผลกำไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทำการฝ่าฝืน

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1038 บัญญัติห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนประกอบกิจการที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการค้าขายแข่งกับห้างฯ หากผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นสามารถเรียกเอาผลกำไรทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นได้

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเพียงแต่ไปลงหุ้นกับผู้อื่นโดยมิได้เป็นผู้ดำเนินกิจการในห้างหุ้นส่วนอันใหม่นั้น แม้ว่ากิจการที่ร่วมลงหุ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นการค้าขายแข่งกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ถือว่าเป็นการประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมแต่อย่างใด

ตามอุทาหรณ์ การเข้าหุ้นเปิดคลินิกเสริมความงามและลดความอ้วนระหว่างนายแพทย์สมชายกับนายแพทย์สมนึก เมื่อมิได้มีการจดทะเบียนจึงถือเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน และการที่นายแพทย์สมนึกได้เข้ามาหุ้นกับแพทย์หญิงกุลธิดาเปิดคลินิกเสริมความงามอีกแห่งหนึ่งนั้น ถึงแม้กิจการดังกล่าวจะมีสภาพดุจเดียวกันและมีลักษณะเป็นการประกอบกิจการค้าขายแข่งกับห้างหุ้นส่วนเดิม แต่เมื่อนายแพทย์สมนึกเพียงแต่นำเงินมาลงหุ้น มิได้เข้าดำเนินกิจการในห้างหุ้นส่วนอันใหม่แต่อย่างใด จึงไม่ถือว่านายแพทย์สมนึกได้ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมตามมาตรา 1038 วรรคแรก ดังนั้นนายแพทย์สมชายจึงเรียกเอากำไรที่นายแพทย์สมนึกได้รับมาจากการลงหุ้นจากการเข้าไปเป็นหุ้นส่วนกับแพทย์หญิงกุลธิดาไม่ได้

สรุป นายแพทย์สมชายจะเรียกร้องเอาผลกำไรจากนายแพทย์สมนึกไม่ได้ เพราะการกระทำของนายแพทย์สมนึก ไม่ถือว่าเป็นการประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างฯ ตามมาตรา 1038 วรรคแรก

 

ข้อ 2 ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรเดช มีนายพรเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด นายเดชเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้ได้จดทะเบียนแล้ว ดำเนินกิจการมาได้สามปี เป็นหนี้นายสมศักดิ์ 8 แสนบาท นายพรเห็นว่ากิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่มีกำไรเลย จึงได้โอนหุ้นที่ตนลงไว้ทั้งหมด 1 แสนบาท ให้นายอภิชาติ และได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจำกัดไป แต่ก่อนออกจากห้างฯไปนั้น นายพรได้ไปจดทะเบียนออกจากห้างฯด้วย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 และได้จดทะเบียนเพิ่มชื่อนายอภิชาตลงไปว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดลงหุ้นไว้เป็นเงิน 1 แสนบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรเดชยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปในชื่อเดิมทุกประการ ต่อมาหนี้จำนวน 8 แสนบาท ซึ่งนายสมศักดิ์เป็นเจ้าหนี้ถึงกำหนดชำระ และห้างหุ้นส่วนจำกัดพรเดชยังเป็นหนี้ค่าสินค้าอีกจำนวน 8 หมื่นบาท นายสมศักดิ์ประสงค์จะฟ้องให้นายพรรับผิดชอบร่วมกับห้างฯด้วย จึงมาปรึกษากับท่านเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 นี้ว่า ในกรณีดังกล่าว นายสมศักดิ์จะเรียกร้องให้นายพรรับผิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป

มาตรา 1068 ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจำกัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน

มาตรา 1080 วรรคแรก บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใดๆ หากมิได้ยกเว้นหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นำมาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วย

มาตรา 1082 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดฉะนั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเองระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วนจำกัดพรเดช นายพรจึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ เสมือนว่าตนเองเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และเมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นเป็นหนี้นายสมศักดิ์ 8 แสนบาท และนายพรได้โอนหุ้นที่ตนลงไว้ให้นายอภิชาติและได้จดทะเบียนออกจากห้างฯไปนั้น กรณีนี้แม้นายพรจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว แต่หนี้สินดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่นายพรได้ออกจากหุ้นส่วนไป นายพรจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วยตามมาตรา 1051 ประกอบกับมาตรา 1080 วรรคแรก และเมื่อปรากฏว่านายสมศักดิ์ได้มาปรึกษาข้าพเจ้าเพื่อที่จะฟ้องนายพรให้รับผิดชอบร่วมกับห้างฯนั้น คือวันที่ 28 กันยายน 2553 ซึ่งยังไม่ครบกำหนดเวลา 2 ปีนับแต่วันที่นายพรได้ออกจากห้างหุ้นส่วนไป ดังนั้นนายสมศักดิ์ย่อมสามารถฟ้องให้นายพรรับผิดร่วมกับห้างฯได้ตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก

สรุป นายสมศักดิ์เรียกร้องให้นายพรรับผิดได้

 

ข้อ 3 นางสาวเพ็ญ นางสาวพร และนายเพชร เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท น้ำเพชร จำกัด แต่ก่อนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำกัด นายเพชรได้สั่งซื้อสินค้าจากนายทองเพื่อจะนำมาขายในบริษัท น้ำเพชรจำกัด ไว้เป็นเงิน 5 แสนบาท เนื่องจากเกรงว่าหากไม่สั่งซื้อไว้ก่อนสินค้าดังกล่าวจะขึ้นราคาไปมากกว่านี้ แต่เมื่อวันประชุมตั้งบริษัท นายเพชรไม่ได้นำสัญญาที่สั่งซื้อสินค้านั้นมาให้ที่ประชุมตั้งบริษัทให้ความเห็นชอบ แต่เมื่อบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว นายเพชรซึ่งได้รับเลือกเป็นกรรมการบริษัทก็ได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นทุกคน เมื่อถึงวันประชุม ผู้ถือหุ้นทุกคนก็มีมติให้การรับรองสัญญาที่นายเพชรได้ทำไว้ทั้งหมดรวมทั้งสัญญาที่สั่งซื้อสินค้าจากนายทองด้วย แต่การบริหารงานของนายเพชรทำให้บริษัทขาดทุนไม่อาจใช้หนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ นายทองจึงมาปรึกษาท่านว่าในกรณีดังกล่าว นายทองจะเรียกร้องให้ผู้ใดรับผิดในหนี้ค่าสินค้าจำนวน 5 แสนบาทได้บ้าง ให้ท่านแนะนำนายทอง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1113 ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จำกัดในบรรดาหนี้และการจ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้มีอนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นไปจนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1113 นั้น บัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการต้องร่วมรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดในบรรดาหนี้และการจ่ายเงิน ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้ที่ประชุมตั้งบริษัทจะได้อนุมัติแล้ว ผู้เริ่มก่อการก็ยังต้องรับผิดจนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ดังนั้นผู้เริ่มก่อการจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของบริษัทก็ต่อเมื่อที่ประชุมตั้งบริษัทได้อนุมัติหนี้ดังกล่าวแล้วและบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเพชรซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท น้ำเพชร จำกัด ร่วมกับนางสาวเพ็ญ และนางสาวพร ได้สั่งซื้อสินค้าจากนายทองเพื่อจะนำมาขายในบริษัท น้ำเพชร จำกัด ถือเป็นหนี้ที่ผู้เริ่มก่อการบริษัทได้ทำไว้ในการเริ่มก่อตั้งบริษัท เมื่อปรากฏว่าในวันประชุมตั้งบริษัท นายเพชรไม่ได้นำสัญญาที่สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวมาให้ที่ประชุมตั้งบริษัทให้ความเห็นชอบและอนุมัติ นายเพชรและผู้เริ่มก่อการทั้งหมดจึงยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ตามสัญญานั้นตามมาตรา 1113

และกรณีตามข้อเท็จจริง เมื่อบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นแล้ว ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ให้การรับรองสัญญาที่นายเพชรสั่งซื้อสินค้าจากนายทองด้วย จึงเท่ากับว่าบริษัท น้ำเพชร จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ยินยอมรับผิดชดใช้หนี้ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นนายทองจึงเรียกร้องให้บริษัท น้ำเพชร จำกัด พร้อมทั้งนายเพชร นางสาวเพ็ญและนางสาวพร ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการบริษัทรับผิดในหนี้ค่าสินค้าได้

สรุป นางทองเรียกร้องให้บริษัท น้ำเพชร จำกัด นายเพชร นางสาวเพ็ญ และนางสาวพร รับผิดในหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวได้

LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1 ก เข้าหุ้นกับ ข เปิดร้านขายอาหารชื่อว่าห้างหุ้นส่วนสามัญชวนชิม โดยมิได้จดทะเบียนห้างฯ ต่อมาทั้งสองคนได้ชวน ค เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหม่ในร้านนี้หลังจากเปิดร้านมาได้สองปี หลังจากที่ ค เข้ามาเป็นหุ้นส่วนได้หกเดือน ธนาคารสยามเจ้าหนี้รายหนึ่งของห้างฯฟ้องให้ ก และ ข ชำระหนี้ที่ห้างฯกู้มาลงทุนตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดร้านจำนวนสองแสนบาท ดังนี้ ก และ ข จะเรียกให้ ค เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับตนเพื่อรับผิดในหนี้เงินกู้ต่อธนาคารสยามได้หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1050 การใดๆอันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้นๆด้วย และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น

มาตรา 1052 บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใดๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1050 ได้บัญญัติไว้ว่า ในกรณีของห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน

กรณีตามอุทาหรณ์ หนี้เงินกู้จากธนาคารสยามนั้น เป็นหนี้ที่ ก และ ข กู้มาใช้ในการลงทุนตอนเริ่มเปิดร้านขายอาหาร จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างฯ ดังนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ดังกล่าวโดยไม่จำกัดจำนวนตามมาตรา 1050

สำหรับกรณีของ ค นั้น แม้จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในภายหลัง แต่ตามมาตรา 1052 ได้บัญญัติให้ผู้ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย ดังนั้น ก และ ข จึงเรียกให้ ค เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับตนเพื่อรับผิดในหนี้เงินกู้ต่อธนาคารสยามได้

สรุป ก และ ข เรียกให้ ค เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับตนเพื่อรับผิดในหนี้เงินกู้ต่อธนาคารสยามได้

 

ข้อ 2 นายเอก นายโท และนายตรี เข้าหุ้นกันจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเพื่อรับเหมาก่อสร้างทั่วไป โดยมีนายเอกเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายโทและนายตรีเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ห้างฯได้ตกลงใช้ชื่อว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดมีทรัพย์ โดยใช้ชื่อสกุลของนายโทเป็นชื่อห้างฯ เพราะเห็นว่ามีความหมายดี หลังจากประกอบกิจการมาได้ห้าปี ห้างฯมีหนี้ค้างชำระบริษัท ปูนตราเสือ จำกัด อยู่สี่แสนบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ซื้อวัสดุก่อสร้างมาใช้ในการรับเหมาและยังไม่มีการชำระหนี้ ดังนี้ นายโทและนายตรีจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดมีทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1081 ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดมาเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง

มาตรา 1082 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดฉะนั้น

มาตรา 1095 วรรคแรก ตราบใดห้างหุ้นส่วนจำกัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้

แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นได้เลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้เพียงจำนวนดังนี้ คือ

(1) จำนวนลงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนเท่าที่ยังค้างส่งแก่ห้างหุ้นส่วน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายโทและนายตรีจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดมีทรัพย์หรือไม่นั้น เห็นว่า

กรณีของนายโท แม้จะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่เมื่อยอมให้ใช้ชื่อตนระคนเป็นชื่อห้างฯ (แม้จะเป็นชื่อสกุลก็อยู่ในความหมายของชื่อด้วย) ตามที่มาตรา 1081 ได้บัญญัติห้ามไว้ จึงมีผลตามมาตรา 1082 วรรคแรก คือ นายโทต้องรับผิดต่อบริษัท ปูนตราเสือ จำกัด เจ้าหนี้ เสมือนเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และทำให้บริษัท ปูนตราเสือ จำกัด สามารถฟ้องนายโทได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ห้างฯเลิกแต่อย่างใดตามมาตรา 1095 วรรคแรก

ส่วนกรณีของนายตรีนั้น เมื่อนายตรีเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด จึงยังไม่ต้องรับผิดใดๆต่อบริษัทฯ ปูนตราเสือ จำกัด เจ้าหนี้ จนกว่าห้างฯนั้นจะได้เลิกกันแล้วตามมาตรา 1095

สรุป นายโทจะต้องรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดมีทรัพย์เสมือนเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และบริษัท ปูนตราเสือ จำกัด สามารถฟ้องนายโทได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ห้างฯเลิก ส่วนนายตรียังไม่ต้องรับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดมีทรัพย์จนกว่าห้างฯจะเลิกกันแล้ว

 

ข้อ 3 บริษัท ศรีคราม จำกัด มีนายศรีและนายรามเป็นกรรมการ บริษัทมีความต้องการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่จำนวน 1,000 หุ้น กรรมการจึงมีหนังสือเรียกผู้ถือหุ้นทั้งหมดมาประชุมเรื่องการเพิ่มทุนบริษัท โดยส่งทางไปรษณีย์ตอบรับในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ครั้นถึงวันนัดประชุมคือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 ผู้ถือหุ้นมาประชุมเพียง 8 คน อีก 2 คน ไม่มาประชุม ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิ่มทุนโดยออกหุ้นใหม่อีก 1,000 หุ้น ดังนี้ หากผู้ถือหุ้น 2 คนที่ไม่มาประชุมต้องการขอให้เพิกถอนมติที่ประชุม หลังจากการประชุมผ่านไปแล้ว 7 วัน จึงมาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำปรึกษาอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้กระทำการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนำเสนอให้ลงมติด้วย

มาตรา 1195 การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น

วินิจฉัย

ในเรื่องการบอกกล่าวนัดเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทนั้นตามมาตรา 1175 ได้บัญญัติหลักไว้ว่าคำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และส่งไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในทะเบียนของบริษัท ซึ่งหากฝ่าฝืน การนัดเรียกประชุมใหญ่นั้น จะเป็นการนัดเรียกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่กรรมการของบริษัทมีหนังสือเรียกผู้ถือหุ้นทั้งหมดมาประชุมเรื่องการเพิ่มทุนของบริษัทซึ่งถือเป็นการประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษนั้น เมื่อเพียงแต่ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวแต่อย่างใด การนัดเรียกประชุมใหญ่ดังกล่าวจึงฝ่าฝืนบทบัญญัติของมาตรา 1175 และเป็นการนัดเรียกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้มติของที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย

ดังนั้น เมื่อการนัดเรียกประชุมใหญ่ฝ่าฝืนบทบัญญัติของมาตรา 1175 หากผู้ถือหุ้น 2 คน ที่ไม่มาประชุมต้องการขอให้เพิกถอนมติที่ประชุม จึงสามารถร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติของที่ประชุมอันผิดระเบียบนั้นได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมติตามมาตรา 1195

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ผู้ถือหุ้น 2 คนที่ไม่ประชุมดังกล่าวข้างต้น

LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกตั้งโรงงานขนมปังอยู่แล้ว  นายโทและนายตรีชวนนายเอกให้เข้าหุ้นส่วนตั้งโรงงานทำขนมปังอีกโรงหนึ่ง  นายเอกก็ตกลง แล้วจดทะเบียนให้นายโทเป็นผู้จัดการโรงงานขนมปังของห้างหุ้นส่วนแต่เพียงผู้เดียว  ปรากฏต่อมาว่า  โรงงานขนมปังของนายเอกขายดี ส่วนโรงงานขนมปังของห้างหุ้นส่วนขายไม่ดี  จึงขาดทุนไป  100,000  บาท  ดังนี้  ห้างหุ้นส่วนจะเรียกร้องแก่นายเอกได้อย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1066  ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน  และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น  ไม่ว่าทำเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น  หรือไปเข้าเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่น  ซึ่งประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน  และแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น เว้นไว้แต่จะได้รับคำยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นทั้งหมด

แต่ข้อห้ามเช่นว่ามานี้  ท่านว่าจะไม่พึงใช้ได้  ถ้าหากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายได้รู้อยู่แล้วในเวลาเมื่อลงทะเบียนห้างหุ้นส่วนนั้นว่า  ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งได้ทำกิจการหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างหุ้นส่วนอื่นอันมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน  และในสัญญาเข้าหุ้นส่วนที่ทำไว้ต่อกันนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ถอนตัวออก

มาตรา  1067  วรรคแรก  ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตราก่อนนี้ไซร้  ท่านว่าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนนั้นชอบที่จะเรียกเอาผลกำไรอันผู้นั้นหาได้ทั้งหมด  หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งห้างหุ้นส่วนได้รับเพราะเหตุนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายเอกได้ประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน  และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนหรือไม่  เห็นว่าการที่นายเอกได้ตั้งโรงงานขนมปังอยู่ก่อนแล้ว  เมื่อนายโทและนายตรีได้ชวนนายเอกให้เข้าหุ้นส่วนตั้งโรงงานขนมปังอีกโรงหนึ่ง  ซึ่งนายเอกได้ตกลงและได้จดทะเบียนให้นายโทเป็นผู้จัดการนั้น  จะเห็นได้ว่าแม้นายเอกจะยังคงประกอบกิจการโรงงานขนมปังต่อไปซึ่งเป็นกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับกิจการของห้างหุ้นส่วน  แต่เมื่อในสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้นก็ไม่ได้บังคับให้นายเอกเลิกกิจการ  ดังนั้น  จะถือว่าการกระทำของนายเอกเป็นการประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนไม่ได้  ตามมาตรา  1066  วรรคสอง

และเมื่อไม่ถือว่านายเอกได้กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา  1066  วรรคแรก  ดังนั้น  ห้างหุ้นส่วนจะใช้สิทธิตามมาตรา  1067  วรรคแรก  เพื่อเรียกร้องเอาผลกำไรหรือเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนใดๆ  แก่นายเอกไม่ได้เลย

สรุป  ห้างหุ้นส่วนจะเรียกร้องแก่นายเอกเพื่อเรียกเอาผลกำไรที่นายเอกหาได้ทั้งหมด  หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนใดๆไม่ได้เลย

 

ข้อ  2  ห้างหุ้นส่วนจำกัดแดงดำ  มีนายแดงและนายดำเป็นหุ้นส่วนกัน  2  คน  โดยนายแดงเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไว้  100,000  บาท  แต่ได้ส่งเงินไปแล้ว  50,000  บาท  ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดแดงดำนั้น  เป็นหนี้นายขาว  100,000  บาท  ดังนี้  ขาวจะฟ้องนายแดงและนายดำให้ใช้หนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้อย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1081  ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดมาเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง

มาตรา  1082  ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้  ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดฉะนั้น

มาตรา  1095  วรรคแรก  ตราบใดห้างหุ้นส่วนจำกัดยังมิได้เลิกกัน  ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้

แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นได้เลิกกันแล้ว  เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้เพียงจำนวนดังนี้  คือ 

(1) จำนวนลงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนเท่าที่ยังค้างส่งแก่ห้างหุ้นส่วน

วินิจฉัย

โดยหลักตามมาตรา  1095  วรรคแรก  ถ้าห้างหุ้นส่วนจำกัดยังมิได้เลิกกัน  เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด  จะฟ้องหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดไม่ได้  จะฟ้องได้ก็แต่เฉพาะหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น  เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นบางกรณีที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดแม้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน  เช่น  กรณีที่หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง  เป็นต้น

ตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  1081  โดยยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง  ดังนั้น  นายแดงจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดตามมาตรา  1082 และอาจถูกเจ้าหนี้ฟ้องได้แม้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแดงดำจะยังมิได้เลิกกัน

ดังนั้นตามอุทาหรณ์  เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดแดงดำเป็นหนี้นายขาว  100,000  บาท  นายขาวย่อมสามารถฟ้องให้นายดำหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด  และนายแดงซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดร่วมกันรับผิดชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่ตนได้

สรุป  นายขาวสามารถฟ้องนายแดงและนายดำให้ใช้หนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำนวน  100,000  บาทแก่ตนได้

 

ข้อ  3  บริษัท  สยาม  จำกัด  จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม  2554  มีทุนจดทะเบียน  3,000,000  บาท  มีมูลค่าหุ้นละ  100  บาท  มีนายหนึ่งและนายสองเป็นกรรมการ  ต่อมาในเดือนมีนาคม  2554  บริษัทฯขาดเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ  จึงขอยืมเงินจากนายหนึ่งจำนวน  1,000,000  บาท  อย่างไรก็ตาม  ในเดือนสิงหาคม  2554  กิจการของบริษัทฯดีขึ้น  ผู้ถือหุ้นประสงค์จะตอบแทนความช่วยเหลือของนายหนึ่ง  ผู้ถือหุ้นจึงได้ประชุมกันลงมติพิเศษให้บริษัทฯ  ออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนทั้งสิ้น  10,000  หุ้น  โดยให้เสนอขายให้นายหนึ่งคนเดียวในราคาหุ้นละ  90  บาท  โดยให้ถือว่า  เงินที่กู้ยืมส่วนหนึ่งจำนวน  900,000  บาท  ที่บริษัทฯยืมไปจากนายหนึ่งเป็นเงินชำระค่าหุ้นและให้คืนเงินที่กู้ยืมที่เหลืออีก  100,000  บาท  ให้นายหนึ่ง  ให้วินิจฉัยว่ามติพิเศษของผู้ถือหุ้นดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1105  วรรคแรก  อันหุ้นนั้น  ท่านห้ามมิให้ออกโดยราคาต่ำไปกว่ามูลค่าของหุ้นที่ตั้งไว้

มาตรา  1220  บริษัทจำกัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของประชุมผู้ถือหุ้น

มาตรา  1222  วรรคแรก  บรรดาหุ้นที่ออกใหม่นั้น  ต้องเสนอให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายตามส่วนจำนวนหุ้นซึ่งเขาถืออยู่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ผู้ถือหุ้นได้ประชุมกันและลงมติพิเศษให้บริษัทฯ  ออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน  10,000  หุ้นนั้น  แม้การเพิ่มทุนของบริษัทฯ  โดยการออกหุ้นใหม่เพิ่มขึ้นจะได้กระทำถูกต้องตามมาตรา  1220  แต่การที่บริษัทได้เสนอขายหุ้นทั้งหมดให้แก่นายหนึ่งคนเดียวในราคาหุ้นละ  90  บาทนั้น  ถือว่าเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา  1222  วรรคแรก  ที่กำหนดให้หุ้นที่ออกใหม่นั้นต้องเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายตามจำนวนหุ้นซึ่งเขาถืออยู่  และเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา  1105  วรรคแรก  ซึ่งกำหนดห้ามมิให้นำหุ้นออกขายในราคาต่ำไปกว่ามูลค่าของหุ้นที่ตั้งไว้  ดังนั้น  มติพิเศษของผู้ถือหุ้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  มติพิเศษของผู้ถือหุ้นที่ให้เสนอขายหุ้นออกใหม่ทั้งหมดให้แก่นายหนึ่งคนเดียวในราคาหุ้นละ  90  บาท  ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายไก่  นายเป็ด  และนายห่าน  สามพี่น้องได้ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำธุรกิจร่วมกัน  ในกิจการรับถมดินโดยมีข้อตกลงกันว่า  ถ้าดำเนินธุรกิจไปแล้วมีกำไรก็จะแบ่งปันผลกำไรระหว่างกัน  แต่ไม่พบว่าทั้งสามพี่น้องได้นำกิจการของตนไปทำการจดทะเบียนแต่อย่างใด ต่อมานายเป็ดเพียงผู้เดียวได้ไปตกลงทำสัญญาซื้อรถแบคโฮจากบริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  ราคา  2  ล้านบาท  เพื่อใช้ในกิจการถมดิน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1       นายไก่และนายห่านจะต้องร่วมกันรับผิดกับนายเป็ด  ในการชำระหนี้ค่ารถแบคโฮราคา  2  ล้านบาทให้แก่บริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  หรือไม่  อย่างไร

2       ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเป็ดได้ทำการชำระราคาค่ารถแบคโฮให้แก่บริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  ไปแล้ว  แต่บริษัทฯยังไม่ยอมส่งมอบรถแบคโฮให้  นายไก่และนายห่านจะมีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัทฯส่งมอบรถแบคโฮได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1012  อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น

มาตรา  1025  อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น  คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดร่วมกัน  เพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจำกัด

มาตรา  1049  ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใดๆแก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขายซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนนั้นหาได้ไม่

มาตรา  1050  การใดๆอันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น  ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้นๆด้วย  และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้  อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายไก่  นายเป็ด  และนายห่าน  ได้ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำธุรกิจร่วมกัน  ในกิจการรับถมดิน  โดยมีข้อตกลงกันว่าถ้ามีกำไรก็จะแบ่งผลกำไรจากกิจการนั้น  ถือได้ว่าทั้งสามคนได้ทำสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา  1012  แล้ว  และเมื่อทั้งสามคนมิได้นำห้างหุ้นส่วนนั้นไปจดทะเบียน  จึงถือว่าห้างหุ้นส่วนนั้นเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิได้จดทะเบียน  ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดเพื่อหนี้ของหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวนตามมาตรา  1025

และเมื่อต่อมานายเป็ดเพียงผู้เดียวได้ไปตกลงทำสัญญาซื้อรถแบคโฮจากบริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  ราคา  2  ล้านบาท  เพื่อใช้ในกิจการถมดิน  ดังนี้

1       การดำเนินการของนายเป็ด  ถือว่า  เป็นการจัดทำไปในฐานะผู้เป็นหุ้นส่วนและได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น  ดังนั้น  นายไก่และนายห่านย่อมต้องมีความผูกพันในการนั้นด้วย  คือ  จะต้องร่วมกันรับผิดกับนายเป็ดโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้ค่ารถแบคโฮจำนวน  2  ล้านบาทให้แก่บริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  ตามมาตรา  1050  (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่  2624/2551)

2       ถ้านายเป็ดได้ทำการชำระราคาค่ารถแบคโฮให้แก่บริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  ไปแล้ว  แต่บริษัทฯ  ยังไม่ยอมส่งมอบรถแบคโฮให้  ดังนี้เฉพาะนายเป็ดเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะมีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัทฯส่งมอบรถแบคโฮตามสัญญา  ทั้งนี้เพราะแม้นายไก่และนายห่านจะเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นด้วย  แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น  เป็นห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน  จึงต้องนำมาตรา  1049  มาใช้บังคับ  กล่าวคือ  เมื่อนายเป็ดเพียงผู้เดียวเป็นผู้ปรากฏชื่อในการทำสัญญาซื้อขายรถแบคโฮ  นายไก่และนายห่านมิได้เป็นคู่สัญญากับบริษัทฯ  จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับบริษัทฯ  ดังนั้น  นายไก่และนายห่านจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้บริษัทฯส่งมอบรถแบคโฮตามสัญญาได้  เพราะสิทธิเรียกร้องให้บริษัทฯ  ส่งมอบรถแบคโฮเป็นสิทธิของนายเป็ดแต่เพียงผู้เดียว  (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่  7721/2543)

สรุป

1       นายไก่และนายห่านจะต้องร่วมกันรับผิดกับนายเป็ด  ในการชำระหนี้ค่ารถแบคโฮราคา  2  ล้านบาท  ให้แก่บริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด

2         นายไก่และนายห่านไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้บริษัท  ไทยมอเตอร์  จำกัด  ส่งมอบรถแบคโฮตามสัญญา

 

ข้อ  2  ห้างหุ้นส่วนจำกัด  งามวิไล  มีวัตถุประสงค์รับตัดเย็บชุดวิวาห์  มีนางวิไลเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ  นางสาวงามเนตรเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้เป็นหนี้ค่าผ้าที่ซื้อมาตัดชุดวิวาห์  200,000  บาท  ต่อมานางสาวงามเนตรซึ่งมีชื่อเล่นว่า  งาม  ได้ทะเลาะกับนางวิไลเนื่องจากไม่พอใจที่นางวิไลจัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้วเกิดการขาดทุนหลายแสนบาท  นางสาวงามเนตรจึงขอลาออกจากการลงหุ้นโดยโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาววลัยพร  และได้จดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนไป  โดยนางสาววลัยพรได้จดทะเบียนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดแทนที่  ทั้งนี้ได้มีการจดทะเบียนเมื่อวันที่  26 กันยายน  2553  ต่อมาหนี้ค่าผ้า  จำนวน  200,000  บาท  ถึงกำหนดชำระ  แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่มีเงินชำระหนี้  ดังนี้เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้นางสาวงามเนตรรับผิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1051  ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป

มาตรา  1068  ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนอันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น  ย่อมมีจำกัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน

มาตรา  1080  วรรคแรก  บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใดๆ  หากมิได้ยกเว้นหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด  3  นี้  ท่านให้นำมาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วย

มาตรา  1082  ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้  ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดฉะนั้น

มาตรา  1091  ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดจะโอนหุ้นของตนปราศจากความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นๆก็โอนได้

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นางสาวงามเนตรซึ่งมีชื่อเล่นว่า  งาม  ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเองระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วนจำกัด  งามวิไล  นางสาวงามเนตรจึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ  เสมือนว่าตนเองเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดตามมาตรา  1082  วรรคแรก  คือต้องรับผิดในหนี้สินของห้างโดยไม่จำกัดจำนวน

การที่นางสาวงามเนตรได้ขอลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน  และได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้แก่นางสาววลัยพรนั้น  ย่อมสามารถทำได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นๆ  ตามมาตรา  1091 

และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  เมื่อปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด  งามวิไล  เป็นหนี้ค่าผ้าที่ซื้อมาตัดชุดวิวาห์  200,000  บาท  หนี้รายนี้แม้นางสาวงามเนตรจะได้โอนหุ้นให้นางสาววลัยพรและได้จดทะเบียนออกจากห้างฯไปแล้วก็ตาม  แต่เมื่อเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่นางสาวงามเนตรจะได้ออกจากหุ้นส่วนไป  นางสาวงามเนตรจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วย  และต้องรับผิดเป็นเวลา  2  ปี  นับแต่วันที่ได้ออกจากหุ้นส่วนไปตามมาตรา  1051  มาตรา  1068  ประกอบกับมาตรา  1080  วรรคแรก  ดังนั้น  เมื่อหนี้ค่าผ้าจำนวน  200,000  บาท  ถึงกำหนดชำระ  แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่มีเงินชำระหนี้  เจ้าหนี้ย่อมสามารถเรียกร้องให้นางสาวงามเนตรรับผิดในหนี้ดังกล่าวได้

สรุป  เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องให้นางสาวงามเนตรรับผิดในหนี้ดังกล่าวได้ 

 

ข้อ  3  บริษัท  ต้นกล้า  จำกัด  ได้นัดประชุมผู้ถือหุ้น  เมื่อวันที่  26  สิงหาคม  2554  แต่เมื่อถึงวันเวลาประชุมแล้ว  ผู้ถือหุ้นก็ยังมาไม่ครบเป็นองค์ประชุม  จนเวลาล่วงเลยไปถึงหนึ่งชั่วโมงเศษแล้ว  ผู้ถือหุ้นก็ยังมาไม่ครบเป็นองค์ประชุม  นายต้นกล้าประธานกรรมการจึงมาปรึกษาท่านว่า  บริษัทมีความจำเป็นต้องประชุมผู้ถือหุ้นเป็นอย่างยิ่ง  ดังนี้  บริษัทควรจะทำอย่างไรต่อไป  จึงจะประชุมได้แม้ผู้ถือหุ้นจะมาไม่ครบองค์ประชุมในครั้งต่อไปก็ตาม  ดังนี้  ให้ท่านแนะนำนายต้นกล้าด้วย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1179  การประชุมใหญ่เรียกนัดเวลาใด  เมื่อล่วงเวลานัดนั้นไปแล้วถึงชั่วโมงหนึ่ง  จำนวนผู้ถือหุ้นซึ่งมาเข้าประชุมยังไม่ครบถ้วนเป็นองค์ประชุมดังบัญญัติไว้ในมาตรา  1178  นั้นไซร้  หากว่าการประชุมใหญ่นั้นได้เรียกนัดเพราะผู้ถือหุ้นร้องขอ  ท่านให้เลิกประชุม

ถ้าการประชุมใหญ่นั้นมิใช่ชนิดซึ่งเรียกนัดเพราะผู้ถือหุ้นร้องขอไซร้  ท่านให้เรียกนัดใหม่อีกคราวหนึ่งภายในสิบสี่วัน  และการประชุมใหญ่ครั้งหลังนี้ท่านไม่บังคับว่าจำต้องครบองค์ประชุม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่บริษัท  ต้นกล้า  จำกัด  ได้นัดประชุมผู้ถือหุ้นวันที่  26  สิงหาคม  2554  แต่เมื่อถึงวันและเวลาประชุมแล้ว  ผู้ถือหุ้นก็ยังมาไม่ครบเป็นองค์ประชุม  จนเวลานัดล่วงเลยไปถึงหนึ่งชั่วโมงเศษแล้ว  ผู้ถือหุ้นก็ยังมาไม่ครบเป็นองค์ประชุม  ดังนี้  เมื่อการประชุมใหญ่ดังกล่าวมิใช่การประชุมใหญ่ซึ่งเรียกนัดเพราะผู้ถือหุ้นร้องขอ  และเมื่อบริษัทมีความจำเป็นต้องประชุมผู้ถือหุ้นเป็นอย่างยิ่ง บริษัทก็ต้องเรียกนัดประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นใหม่ภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่  26  สิงหาคม  2554  กล่าวคือ  บริษัทจะต้องบอกกล่าวเรียกนัดประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นใหม่ภายในวันที่  9  กันยายน  2554  ซึ่งในการประชุมใหญ่ครั้งหลังนี้เมื่อถึงวันและเวลานัดประชุมตามที่ได้ส่งคำบอกกล่าวไปแล้ว  ถ้าผู้ถือหุ้นมาไม่ครบเป็นองค์ประชุมก็สามารถประชุมกันได้  ตามมาตรา  1179

สรุป  เมื่อนายต้นกล้าประธานกรรมการบริษัทมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะแนะนำนายต้นกล้าตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  โจ๋กับเพื่อนไปดูการแสดงคอนเสิร์ตประเทืองปัญญา  เห็นจ๋องนักเรียนอาชีวะต่างสถาบันที่เป็นคู่อริเดินมาดูคอนเสิร์ตด้วย  จึงถือไม้วิ่งไล่ตีแต่จ๋องวิ่งหนีไม่ยอมสู้ด้วย  ขณะเดียวกัน  เอกซึ่งเป็นคู่อริกับโรงเรียนของจ๋องเห็นจ๋องถูกไล่ตีจึงวิ่งตามไปเพื่อทำร้ายจ๋องด้วย  เมื่อโจ๋ไล่ตามทันตีจ๋องล้มลงได้รับบาดเจ็บ  เอกจึงตรงเข้าไปใช้มีดคัตเตอร์กรีดข้อมือจ๋องจนได้รับอันตรายสาหัส  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  โจ๋จะมีความผิดต่อร่างกายฐานใด

ธงคำตอบ

มาตรา  295  ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้นั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ต้องระวางโทษ

มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  299  วรรคแรก  ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป  และบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส  โดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้นต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ประกอบด้วย

1       ทำร้าย

2       ผู้อื่น

3       จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

องค์ประกอบความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  299  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้

2       ระหว่างบุคคลตั้งแต่  3  คนขึ้นไป

3       บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่  รับอันตรายสาหัสโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น

4       โดยเจตนา

โจ๋ถือไม้วิ่งไล่ตีจ๋อง  แต่จ๋องไม่ยอมสู้ด้วย  และขณะจ๋องวิ่งหนีโจ๋ไล่ตามทันตีจ๋องล้มลงได้รับบาดเจ็บ  เป็นกรณีที่โจ๋ทำร้ายจ๋องเพียงฝ่ายเดียว  ถือมิได้ว่าเป็นการสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน  โจ๋จึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295

ส่วนการที่เอกใช้มีดคัตเตอร์กรีดข้อมือจ๋องได้รับอันตรายสาหัส  โจ๋ก็มิต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297  ด้วย  เพราะมิใช่เป็นตัวการร่วมในการกระทำผิด  ทั้งนี้ลักษณะของการเป็นตัวการร่วมกันกระทำผิด  ต้องมีการกระทำร่วมกันและต้องมีเจตนาร่วมกันด้วย  ในส่วนของการกระทำอาจมีการแบ่งหน้าที่กันกระทำ  ส่วนการมีเจตนาร่วมกันนั้น  ต้องมีการตกลงหรือคบคิดกันว่าจะร่วมกันกระทำผิด  ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด เป็นเหตุให้มีคนหลายคนต่างเข้ามาทำร้ายผู้ใดถึงแก่ความตาย  โดยผู้ที่เข้ามาทำร้ายไม่ได้สมคบกันมาก่อน  จึงไม่มีเจตนาร่วมกันกระทำผิด  คงมีแต่การกระทำร่วมกันเท่านั้น  ไม่มีลักษณะร่วมกันกระทำผิด  แต่เป็นเรื่องต่างคนต่างทำร้าย  แต่ละคนจึงมีความผิดเฉพาะผลที่เกิดจากการกระทำของตนเท่านั้น

นอกจากนี้โจ๋ยังไม่มีความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ตามมาตรา  299  วรรคแรก  เพราะการที่โจ๋และเอกเข้าร่วมทำร้ายจ๋องฝ่ายเดียว  โดยจ๋องมิได้สมัครใจเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ด้วย  จึงมิใช่การชุลมุนต่อสู้ตามนัยมาตรา  299  วรรคแรก  โจ๋จึงไม่ต้องรับผิด

สรุป  โจ๋มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295

 

ข้อ  2  นายศุกร์หลอกลวงเด็กชายอาทิตย์บุตรของนายพุธให้ขึ้นรถไปด้วยกัน  หลังจากนั้น  2  วัน  นายศุกร์ได้โทรศัพท์เรียกเอาเงินค่าไถ่จากนายพุธ  โดยขู่เข็ญว่าถ้านายพุธไปแจ้งความต่อตำรวจจะตัดมือทั้ง  2  ข้างของเด็กชายอาทิตย์  นายพุธกลัวว่าบุตรจะได้รับอันตรายจึงยอมมอบเงินค่าไถ่ตามที่นายศุกร์เรียกเอา  หลังจากได้ค่าไถ่แล้วนายศุกร์ได้นำตัวเด็กชายอาทิตย์มาปล่อยไว้ที่หน้าบ้านของนายพุธ  และเด็กชายอาทิตย์ก็กลับเข้าบ้านโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ถ้าต่อมานายศุกร์ถูกจับกุมและถูกฟ้องต่อศาลว่ากระทำความผิดฐานเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายศุกร์จะเป็นความผิดตามคำฟ้องและต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

ต้องระวางโทษ…

มาตรา  316  ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา  313  มาตรา  314  หรือมาตรา  315  จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปีไปเรียกค่าไถ่  ตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)  ประกอบด้วย

1       เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน  15  ปีไป

2       โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

นายศุกร์หลอกลวงเด็กชายอาทิตย์บุตรของนายพุธให้ขึ้นรถไปด้วยกัน  และได้โทรศัพท์เรียกค่าไถ่จากนายพุธ  นายศุกร์มีความผิดฐานเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก  (1)  แต่หลังจากได้ค่าไถ่แล้ว  นายศุกร์ได้นำตัวเด็กชายอาทิตย์มาปล่อยไว้ที่หน้าบ้านของนายพุธ  เป็นกรณีที่นายศุกร์ได้จัดให้เด็กชายอาทิตย์ได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  และเด็กชายอาทิตย์ก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  จึงลดโทษให้โดยศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา  316

สรุป  นายศุกร์มีความผิดฐานเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก  (1)  แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา  316

 

ข้อ  3  โชคเป็นสามีของชุลีพร  ร่วมกันกับชัยคบคิดกันจะเอาเงินจากชุลีพรซึ่งเป็นภริยาของโชค  ชัยจึงไปพบชุลีพรที่บ้านตามแผนการของโชค  ชัยอ้างว่าโชคเป็นหนี้ตนเองอยู่  50,000  บาท  และพูดขู่ชุลีพรให้ชำระหนี้แก่ตน  มิฉะนั้นจะแจ้งตำรวจมาจับโชคไปนอนในตารางให้เข็ด  ชุลีพรกลัวว่าโชคผู้เป็นสามีจะถูกจับกุมตามคำขู่  จึงยอมตามคำขู่ของชัย  แต่เนื่องจากมีเงินไม่พอจึงขอเขียนเช็คเป็นจำนวน  50,000  บาทมอบแก่ชัยไป  โดยเช็คกำหนดให้ไปรับเงินอีก  15  วัน  นับแต่วันที่ได้มอบให้  แต่ปรากฏว่าชัยถูกตำรวจจับก่อนที่ไปรับเงิน  ดังนี้โชคกับชัยกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

มาตรา  337  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ..

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจ

2       ผู้อื่น

3       โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สาม

4       ให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตน  หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

5       จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น 

6       โดยเจตนา

ชัยได้ไปขู่จะแจ้งจับโชคซึ่งเป็นสามีของชุลีพรตามแผนการของโชคให้ชุลีพรยอมมอบเงินให้ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ  จึงเป็นการข่มขืนใจชุลีพรว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพของโชคบุคคลที่สามถึงแม้ว่าโชคซึ่งเป็นบุคคลที่สามจะรู้ก็ตาม  แต่เมื่อชุลีพรกลัวตามคำขู่และยอมจะให้เงิน  50,000  บาท  ถือว่าครบองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกทรัพย์แล้ว  แม้ชัยจะยังไม่ได้รับเงินตามที่ขู่เนื่องจากโดนตำรวจจับก็ตาม เพราะความผิดดังกล่าวเมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมให้  หรือยอมจะให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินตามที่ถูกข่มขืนใจแล้วย่อมเป็นความผิดสำเร็จทันที  ชัยจึงมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์  ตามมาตรา  337  วรรคแรก

ส่วนโชค ซึ่งเป็นผู้วางแผน  ถือได้ว่ามีเจตนาร่วมในการกระทำความผิด  แต่ไม่ได้เข้าร่วมในการกระทำความผิดด้วย  ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโชคอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ  ซึ่งเป็นวิสัยที่อาจจะช่วยเหลือชัยได้ทันท่วงที  จึงไม่ใช่การแบ่งหน้าที่กันทำ  ไม่เป็นตัวการ  แต่เป็นการส่งเสริมช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่ชัยก่อนกระทำผิด  โชคจึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนก่อนการกระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  86

สรุป  ชัยมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์  ส่วนโชคเป็นเพียงผู้สนับสนุน

 

ข้อ  4  ส้มฝากข้าวสารไว้กับชมพู่เป็นจำนวน  20  ถัง  ชมพู่นำข้าวสารดังกล่าวไปเก็บไว้  แต่ต่อมาชมพู่ได้เอาข้าวสารที่ส้มฝากไว้ไปขายให้แก่เงาะทั้งหมดในราคา  5,000  บาท  ภายหลังส้มมาทวงข้าวสารคืนชมพู่จึงบอกว่าได้ขายให้แก่เงาะไปแล้วเป็นเงิน  5,000  บาท เดี๋ยวจะจ่ายเป็นเงินให้แก่ส้มแทน  ส้มเห็นว่าได้ราคาดีจึงยอมรับเป็นเงินแทน  ชมพู่ให้เงินแก่ส้มไป  500  บาท  โดยบอกว่าตอนนี้ไม่มีเงินจึงขอผัดชำระเงิน  และให้ส้มมารับเงินสิ้นเดือน  ปรากฏว่าส้มมาขอรับชำระเงินตามวันนัด  ชมพู่อ้างว่าไม่รู้เรื่องดังกล่าวและปฏิเสธชำระเงิน  ส้มจึงฟ้องร้องเป็นคดีว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสารของตนเองไป  ดังนี้  การกระทำของชมพู่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหาของส้มหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

ส้มฝากข้าวสารไว้กับชมพู่จำนวน  20  ถัง  การที่ชมพู่ได้นำข้าวสารของส้มที่รับฝากไว้ไปขายได้เป็นเงิน  5,000  บาท  แล้วภายหลังส้มยอมรับจำนวนเงินดังกล่าวแทนข้าวสารที่ฝากไว้  แต่ชมพู่ชำระเพียงบางส่วนและขอผัดชำระเงินส่วนที่เหลือ  แล้วภายหลังไม่ชำระเงินตามนัด  ดังนี้เป็นเรื่องการเบียดบังเอาทรัพย์ที่รับฝากเป็นของตนโดยทุจริต  อันเป็นความผิดฐานยักยอกข้าวสาร  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

แต่ข้อเท็จจริงส้มฟ้องร้องเป็นคดีว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสาร  หาใช่เป็นการฟ้องหาว่ายักยอกข้าวสารไม่  แม้จะถือว่าข้าวสารเป็นของส้ม  ซึ่งหากจะมีกรณีจะต้องคืนข้าวสารและชมพู่คืนไม่ได้  ชมพู่อาจจะต้องใช้เงินแก่ส้ม  แต่ก็เป็นการบังคับตัวชมพู่เอาเงินมาใช้แทนทรัพย์

ส่วนตัวเงินที่ชมพู่ยักยอกเอาข้าวสารไปขายมาได้  ตกเป็นของชมพู่  ไม่ใช่เป็นของส้มหรือที่ส้มจะบังคับเอากับเงินนั้นได้โดยตรง  เพราะชมพู่ไม่ใช่ตัวแทนขายข้าวสารในนามของส้ม  แม้ชมพู่จะชำระให้บางส่วนแล้วปฏิเสธการชำระเงิน  เอาเงินจำนวนนี้ไปไม่เอามาให้ส้ม  ส้มจะว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสารนี้ไม่ได้  ฟ้องของส้มไม่มีมูลคดีอาญา  เมื่อชมพู่ไม่คืนเงินจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง  ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

เมื่อส้มฟ้องกล่าวหาว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสารไม่ได้ฟ้องว่าชมพู่ยักยอกข้าวสาร  ข้อกล่าวหาของส้มจึงไม่ถูกต้อง  เพราะเงินที่ขายข้าวสารได้เป็นของชมพู่

สรุป  การกระทำของชมพู่ไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหาของส้มแต่ประการใด

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  หนึ่งและสองอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน  เกิดมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกัน  หนึ่งชกต่อยสองนอนหมดสติอยู่ในบ้านตามลำพัง  บังเอิญเกิดไฟฟ้าลัดวงจรทำให้เกิดไฟลุกไหม้บ้าน  สองซึ่งนอนหมดสติไม่สามารถหนีออกมาทันจึงถูกไฟคลอกถึงแก่ความตาย  ดังนี้  หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  290  วรรคแรก  ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า  แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  295  ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้นั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

หนึ่งชกต่อยสองนอนหมดสติอยู่ในบ้าน  หนึ่งมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา  295  ส่วนการที่ไฟฟ้าลัดวงจรทำให้ไฟลุกไหม้บ้านจนสองถูกไฟคลอกตายนั้น  หนึ่งไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา  290  เพราะความตายไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการที่หนึ่งทำร้ายสอง  การที่เกิดไฟไหม้บ้านทำให้สองตายเป็นเหตุแทรกแซงที่ไม่พึงคาดหมายได้  จึงตัดความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำของหนึ่งกับผลคือความตายของสอง

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา  295

 

ข้อ  2  นายอาทิตย์กับ น.ส.เดือนเด่น  ซึ่งมีอายุ  17  ปี  มีความรักต่อกันมาประมาณ  2  ปี  น.ส.เดือนเด่นเคยบอกให้นายอาทิตย์ไปสู่ขอแต่นายอาทิตย์ก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา  เพราะความจริงนายอาทิตย์มีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว  แต่ได้แยกกันอยู่เป็นเวลาหลายปีโดยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากันตามกฎหมาย  วันหนึ่ง  น.ส.เดือนเด่นได้หนีออกจากบ้านไปขออยู่กินฉันสามีภรรยากับนายอาทิตย์และนายอาทิตย์ก็ยินยอม  หลังจากอยู่กินกันได้ประมาณ  1  เดือน  นายอาทิตย์ก็ส่งตัว น.ส.เดือนเด่นกลับบ้านโดยบอกว่าถ้าหย่ากับภรรยาแล้วจะไปสู่ขอในภายหลัง  แต่นายอาทิตย์ก็ไม่ได้ไปสู่ขอ  น.ส.เดือนเด่นตามที่รับปากไว้  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่า  การกระทำของนายอาทิตย์จะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  319  วรรคแรก  ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี  แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  เพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย  ตามมาตรา  319  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       พรากผู้เยาว์อายุกว่า  15  ปี  แต่ยังไม่เกิน  18  ปี

2       ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล

3       โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย

4       โดยเจตนา

5       เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร

น.ส.เดือนเด่นอายุ  17  ปี  ได้หนีออกจากบ้านไปขออยู่กินฉันสามีภรรยากับนายอาทิตย์  ซึ่งนายอาทิตย์ถึงแม้จะมีภรรยาอยู่ก่อนและไม่สามารถให้  น.ส.เดือนเด่นเป็นภรรยาอีกได้ก็ตาม  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  น.ส.เดือนเด่นได้หนีออกจากบ้านไปขออยู่กับนายอาทิตย์เอง โดยนายอาทิตย์ไม่ได้พาหรือชักชวนแต่อย่างใด  นายอาทิตย์จึงไม่ได้พราก  น.ส.เดือนเด่นไปจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแลตามมาตรา  319

สรุป  นายอาทิตย์ไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร  ตามมาตรา  319

 

ข้อ  3  นายเก่ง  นายโก้  นายก้อง  และนายก้าน  ชักชวนกันจะไปทำร้ายนายเอก  และนายโท  นายเก่งและพวกได้ไปยืนดักรอนายเอกกับนายโทอยู่ที่ป้ายรถเมล์  ขณะนั้นเห็นนายแดงยืนสูบบุหรี่  นายเก่งพร้อมพวกเดินเข้าไปขอสูบบุหรี่  นายแดงไม่ไห้  นายเก่งจึงใช้มีดจี้เอวนายแดงแล้วพูดขอบุหรี่มิฉะนั้นจะถูกทำร้าย  นายแดงจึงยื่นซองบุหรี่ให้สูบ  นายเก่งรับมาแจกนายโก้  นายก้อง  และนายก้าน  ซึ่งยืนดูอยู่เฉยๆ  แต่ไม่ได้ขัดขวางการกระทำของนายเก่ง  ทั้งสี่คนได้ยืนสูบบุหรี่เพื่อรอนายเอก  กับนายโทต่อไป  ปรากฏว่านายเอกลงจากรถมาคนเดียว  นายเก่งกับพวกเข้ารุมทำร้ายและช่วยกันถอดเสื้อและกางเกงนายเอกด้วยความคึกคะนอง  และเพื่อให้นายเอกได้รับความอับอาย  จากนั้นนายเก่งกับพวกได้วิ่งหนีไปด้วยกัน  ระหว่างทางได้โยนเสื้อและกางเกงของนายเอกเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง  ดังนี้  นายเก่ง  นายโก้  นายก้อง  และนายก้าน  กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  339  วรรคแรก  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

2       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  340  ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์  ตามมาตรา  340  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ชิงทรัพย์

2       โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่  3  คนขึ้นไป

3       โดยเจตนา

การที่นายเก่งใช้มีดขู่นายแดงเพื่อขอบุหรี่  เป็นการขู่เข็ญในทันใดนั้นว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น  แม้นายโก้  นายก้อง  และนายก้านไม่ได้ทำอะไร  แต่ทั้งสามคนได้รับผลคือบุหรี่ที่นายเก่งเอามาแจกให้สูบ  และทั้งสามยืนร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะที่พร้อมช่วยเหลือพรรคพวกได้ทันท่วงที  พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน  ในการชิงทรัพย์นายแดงเมื่อได้ร่วมชิงทรัพย์ด้วยกันตั้งแต่  3  คนขึ้นไป  นายเก่ง  นายโก้  นายก้อง  และนายก้าน  จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา  340  วรรคแรก

ส่วนการที่นายเก่งกับพวกเจตนาเพียงจะไปทำร้ายนายเอก  ไม่ได้เจตนาจะไปชิงทรัพย์นายเอกการที่เอาเสื้อกางเกงไปก็เพื่อความคึกคะนองตามวิสัยที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยให้นายเอกได้รับความอับอายเท่านั้น  หาได้มีเจตนามุ่งหมายแสวงหาประโยชน์ในตัวทรัพย์ไม่  นายเก่งกับพวกหากระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์นายเอกไม่

สรุป  นายเก่งกับพวกกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์นายแดงเท่านั้น

หมายเหตุ  แม้นายเก่งกับพวกจะไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์นายเอก  ตามมาตรา  340  วรรคแรก  แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพของนายเอกตามมาตรา  309  วรรคแรก  ซึ่งไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะโจทย์ถามเฉพาะความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เท่านั้น

 

ข้อ  4  ต้นใช้เอกสารแสดงคุณวุฒิปลอมว่าตนจบการศึกษาด้านการเงินการธนาคาร  ไปสมัครเข้าทำงานที่ธนาคารกรุงทองจำกัด  ธนาคารฯหลงเชื่อจึงรับต้นเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อเงินเดือนๆละ  9,000  บาท  ต้นสามารถทำงานได้  โดยไม่มีใครสงสัย  และได้รับเงินเดือนตอบแทนการทำงานไปได้  2  เดือน  เป็นเงิน  18,000  บาท  ปรากฏว่าเดือนที่  3  ธนาคารฯทราบว่าต้นไม่ได้จบการศึกษาตามที่กล่าวอ้าง  ธนาคารฯจึงกล่าวหาว่าต้นฉ้อโกงทำให้ธนาคารฯต้องเสียเงินไป  18,000  บาท  ดังนี้  ต้นกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลาย  เอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

 1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

การที่จะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  นั้น  ผลของการหลอกลวงนั้น  ผู้กระทำผิดต้องได้ทรัพย์ไปจากผู้ถูกหลอกลวงหรือทำให้บุคคลที่สาม  ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ  กล่าวคือ  มีเจตนาให้ผู้ถูกหลอกลวงส่ง

มอบทรัพย์สิน  ทำ  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ  ดังนั้นถ้าหลอกลวงโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว  แต่ยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สิน  ก็เป็นเพียงพยายามฉ้อโกง

ต้นใช้เอกสารแสดงคุณวุฒิปลอมว่าตนจบการศึกษาด้านการเงินการธนาคารเพื่อสมัครเข้าทำงานที่ธนาคาร  กรุงทอง  จำกัด  ธนาคารฯก็รับเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อ  การที่ต้นไปหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความเป็นเท็จจนธนาคารฯ  รับเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อดังกล่าว  เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้งานทำเท่านั้น  มิได้มีเจตนาหลอกลวงเพื่อให้ได้ซึ่งทรัพย์สินของธนาคารฯ  ส่วนเงินเดือนที่ได้รับจำนวน  18,000  บาท  ก็เป็นเงินที่ได้จากการทำงานให้กับธนาคารฯ  ดังนั้นการกระทำของต้นจึงไม่ใช่เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง  อันจะเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  แต่ประการใด

สรุป  การกระทำของต้นจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001  กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ขณะที่นายเมฆขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อออกกำลังกายบนถนนในสวนสาธารณะ  ถูกสุนัขตัวโตท่าทางดุร้ายวิ่งไล่กวดจะกัดนายเมฆจนต้องความเร็วรถหนี  ทำให้รถเสียหลักพุ่งชนนางมืดที่เดินข้ามถนนล้มลงศีรษะกระแทกพื้นจนตาบอด  ดังนี้  นายเมฆจะมีความผิดต่อร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  297  อันตรายสาหัสนั้น  คือ

(1) ตาบอด  หูหนวก  ลิ้นขาด  หรือเสียฆานประสาท

มาตรา  300  ผู้ใดกระทำโดยประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  300  ประกอบด้วย

1       กระทำด้วยประการใดๆ

2       การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

3       โดยประมาท

นายเมฆขับขี่รถจักรยานในถนนสาธารณะ  ถูกสุนัขตัวโตท่าทางดุร้ายวิ่งไล่กวดจะกัดนายเมฆจนต้องเร่งความเร็วหนี  ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่นายเมฆไม่อาจใช้ความระมัดระวังในการขับขี่รถจักรยานเหมือนวิสัยของคนทั่วๆไปได้  เพราะนายเมฆถูกสุนัขวิ่งไล่จะกัด  ดังนั้นเมื่อรถจักรยานของนายเมฆพุ่งชนนางมืดที่เดินข้ามถนน  เป็นผลให้นางมืดตาบอด  นายเมฆก็ไม่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  300  แต่อย่างใด

สรุป  นายเมฆไม่มีความผิดต่อร่างกาย

 

ข้อ  2  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนายพุธซึ่งเป็นโจทก์ได้แต่งตั้งให้นายอาทิตย์เป็นทนายความ  คดีนั้นศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายพุธแพ้คดี  นายพุธไม่พอใจในการทำหน้าที่ทนายความของนายอาทิตย์  วันเกิดเหตุ  ขณะที่นายอาทิตย์กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่กับเพื่อนอีกหลายคน  นายพุธได้เดินเข้าไปหานายอาทิตย์และชี้หน้านายอาทิตย์พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า  ทนายกระจอก  เฮงซวย  ว่าความตอนแรกดีแต่ตอนท้ายกลายเป็นนกสองหัว  เหยียบเรือสองแคม  แล้วก็เดินจากไป  ต่อมานายอาทิตย์ได้ฟ้องนายพุธว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายพุธเป็นความผิดตามฟ้อองหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  326  ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326  ประกอบด้วย

1       ใส่ความผู้อื่น

2       ต่อบุคคลที่สาม

3       โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง

4       โดยเจตนา

คำว่า  ใส่ความ  ตามนัยมาตรา  326  หมายความว่า  พูดหาเหตุร้าย  หรือกล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย  โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง  ซึ่งกระทำต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง  ดังนั้นข้อความที่เป็นถ้อยคำเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้อับอาย  ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันเป็นการใส่ความ

การที่นายพุธได้เดินเข้าไปหานายอาทิตย์และชี้หน้านายอาทิตย์พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า  ทนายกระจอก  เฮงซวย  ซึ่งตามพฤติการณ์เป็นการกล่าวต่อหน้านายอาทิตย์และเพื่อนของนายอาทิตย์อีกหลายคน  แต่ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการดูหมิ่นเหยียดหยามให้อับอายเจ็บใจ  ยังไม่ถือว่าเป็นการใส่ความให้เสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง  ไม่เป็นการหมิ่นประมาท  ตามนัยมาตรา  326

แต่อย่างไรก็ดีคำกล่าวที่ว่า  ว่าความตอนแรกดีแต่ตอนท้ายกลายเป็นนกสองหัว  เหยียบเรือสองแคม  ถึงแม้นายพุธจะพูดต่อหน้านายอาทิตย์โดยตรง  แต่ก็พูดด้วยเสียงอันดัง  ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเพื่อนของนายอาทิตย์จะทราบข้อความนั้นได้  จึงเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามแล้ว  และข้อความนั้นก็น่าจะทำให้นายอาทิตย์เสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  ถูกเกลียดชังได้  จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา  326

สรุป  นายพุธมีความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326

 

ข้อ  3  แดงและขาวเป็นเพื่อนกันวันหนึ่งขาวได้ซื้อนาฬิกาข้อมือใหม่มาเรือนหนึ่ง  แดงเห็นนาฬิกาใหม่ของขาวแดงอยากได้นาฬิกาเรือนนี้มาเป็นของตน  จึงมีเหตุการณ์เกิดขึ้นว่าขณะที่ขาวนอนหลับสนิทอยู่นั้นแดงได้ค่อยๆถอดนาฬิกาที่ข้อมือของขาวโดยที่ไม่ต้องการให้ขาวรู้สึกตัวเลย  เมื่อแดงดึงนาฬิกาพ้นจากมือของขาวมาอยู่ในมือของแดงแล้วด้วยความตื่นเต้นและกลังว่าขาวจะตื่นขึ้นมา  แดงได้ทำนาฬิกาตกตรงพื้นบริเวณที่ขาวกำลังหลับอยู่  ขาวรู้สึกตัวเพราะได้ยินของตกลงพื้นขาวจึงหยิบนาฬิกาเรือนนั้นมาใส่ตามเดิม  ดังนี้การกระทำของแดงมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

คำว่า  เอาไป  หมายความว่า  เอาไปจากการครอบครองของผู้อื่นจะด้วยวิธีการใดก็ได้  แต่ต้องเป็นการทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากเดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้  ทั้งนี้เพื่อแย่งการครอบครองหรือตัดสิทธิของเจ้าของทรัพย์  มิใช่เป็นการเอาไปชั่วคราว

ดังนั้น  ความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดสำเร็จทันทีที่ทรัพย์เคลื่อนที่ไป

แดงมีเจตนาทุจริตอยากได้นาฬิกาข้อมือของขาวมาเป็นของตน  จึงได้ถอดนาฬิกาเรือนนั้นออกจากข้อมือของขาวโดยไม่ได้ต้องการให้ขาวรู้สึกตัว  เมื่อแดงดึงนาฬิกาพ้นจากมือของขาว  ถือว่าแดงได้มีการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว  เพราะทรัพย์ได้เคลื่อนที่จากอำนาจการครอบครองของขาว  ไปสู่อำนาจการครอบครองของแดงแล้วจึงเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา  334  แล้ว  และเมื่อเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แม้ต่อมาแดงจะทำนาฬิกาตกพื้น  และขาวได้หยิบนาฬิกาเรือนนั้นมาใส่ตามเดิม  ก็ไม่มีผลทำให้ความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จกลายมาเป็น

ความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ได้  แดงจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334

อนึ่ง  การที่แดงเจตนาลักทรัพย์ในขณะที่ขาวหลับสนิทอยู่  ขาวมิได้เห็นหรือรู้สึกถึงการลักทรัพย์ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์ที่ฉกฉวยเอาซึ่งหน้าแต่อย่างใด  เพราะการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า  หมายถึง  กิริยาอาการที่หยิบหรือจับเอาทรัพย์ไปโดยเร็ว  ซึ่งทรัพย์ที่ฉกฉวยอยู่กับหรือใกล้ชิดกับตัวผู้ครอบครองหรือผู้ครอบครองแทน  และขณะที่ถูกฉกฉวยผู้นั้นรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้นไปด้วย    ดังนั้นถ้ามีการฉกฉวยเอาทรัพย์ไปโดยเร็วในขณะที่เจ้าทรัพย์กำลังนอนหลับอยู่  หรือผู้ครอบครองกำลังหลับอยู่จึงไม่น่าจะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  แดงจึงไม่มีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

สรุป  แดงมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  สมศรีไปซื้อของในร้านนายเหมือนในราคา  56  บาท  โดยส่งธนบัตรใบละ  1,000  บาทให้นายเหมือนรับเงินมาแล้วรีบซุกธนบัตรใบละ  1,000  บาท  นั้นไว้ใต้ลิ้นชักเก็บเงิน  แล้วทอนเงินให้สมศรีเพียง  44  บาท  สมศรีทวงเงินทอนที่ขาดอีก  900  แต่นายเหมือนไม่ยอมให้  อ้างว่าสมศรีชำระเงินค่าของเพียง  100  บาท  พร้อมทั้งหยิบธนบัตรใบละ  100  บาท  ในลิ้นชักเก็บเงินส่งให้ดู  สมศรีจึงไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญากับนายเหมือน  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่านายเหมือนจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

สมศรีส่งธนบัตรใบละ  1,000  บาท  เพื่อชำระค่าสินค้าเป็นเงิน  56  บาท  แก่นายเหมือน  ถือได้ว่าสมศรีได้มอบการครอบครองธนบัตรใบละ  1,000  บาท  ดังกล่าวแก่นายเหมือนแล้ว  เพราะผู้ที่ชำระหนี้ต้องการเงินทอนในจำนวนที่ขาดอยู่เท่านั้น  เงินที่ส่งมอบให้นั้นเท่ากับเป็นการโอนการครอบครองรวมทั้งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในเงินนั้นไปเลย  นายเหมือนจึงเป็นเจ้าของธนบัตรใบละ  1,000  บาทดังกล่าว  ดังนั้นการที่นายเหมือนรีบซุกธนบัตรใบละ  1,000  บาทดังกล่าวไว้ในลิ้นชัก  และทอนให้สมศรีเพียง  44  บาท  อ้างว่าสมศรีชำระเงินค่าสินค้าเพียง  100  บาท  พร้อมทั้งหยิบธนบัตรใบละ  100  บาท  ในลิ้นชักมาให้ดูด้วยนั้น  แม้จะเป็นเจตนาทุจริตของนายเหมือนที่จะไม่ทอนเงินแก่สมศรีให้ครบตามความจริง  โดยเจตนาที่จะเอาเงินที่เหลือจำนวน  900  บาทเป็นของตนอันเป็นการแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่เจตนาทุจริตดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ธนบัตรใบละ  1,000  บาทอยู่ในความครอบครองของนายเหมือนหรือนายเหมือนเป็นเจ้าของแล้ว  จึงไม่มีการแย่งการครอบครองจากสมศรี  ไม่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต  ไม่อาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา  334  ได้  ด้วยเหตุผลที่ว่า  ลักทรัพย์ของตนเองนั้นหาอาจมีได้ไม่

นอกจากนี้นายเหมือนยังไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  ด้วย  เพราะการจะเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์นั้น  จะต้องเป็นการมอบการครอบครองทรัพย์ให้ผ๔กระทำผิด  และผู้กระทำผิดนั้นเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริต  แต่กรณีตามอุทาหรณ์เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในธนบัตรใบละ  1,000  บาท  ให้นายเหมือนไปเลย  มิใช่เพียงแต่มอบการครอบครองเท่านั้น  นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าเงินทอนอีก  944  บาทยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเหมือน  ดังนั้นการที่นายเหมือนไม่ทอนเงินตามจำนวนที่แท้จริง  จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์  เพราะกรรมสิทธิ์ในธนบัตรได้โอนไปยังนายเหมือนแล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ดีนายเหมือนก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วย  เพราะไม่ได้มีการแสดงเจตนาข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยมีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก  กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น

สรุป  นายเหมือนไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  หนึ่งขับรถพาสองซึ่งเป็นเพื่อนกันไปร่วมงานเลี้ยงฉลองปีใหม่  ระหว่างทางรถที่หนึ่งขับขี่มาเกิดไปเฉี่ยวชนกับรถของยอด  แต่ตกลงค่าเสียหายกันไม่ได้เกิดปากเสียงกันอย่างรุนแรง  จนกระทั่งหนึ่งชักปืนออกยิงใส่ยอด  1  นัด  แต่กระสุนพลาดเป้าหมาย  สองซึ่งเห็นเหตุการณ์จึงหยิบมีดในรถวิ่งลงไปจ้วงแทงยอดจนถึงแก่ความตาย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

ลักษณะของการเป็นตัวการร่วมกันกระทำผิด  ต้องมีการกระทำร่วมกันและต้องมีเจตนาร่วมกันด้วย  ส่วนการมีเจตนาร่วมกันนั้น  โดยหลักจะต้องมีการตกลงหรือคบคิดกันว่าจะร่วมกันกระทำผิดแต่ในบางเหตุการณ์การร่วมกันกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องมีเจตนาร่วมกันมาก่อนเกิดเหตุเสมอไป  อาจเกิดขึ้นในขณะที่เกิดเหตุนั้นเองก็ได้  ทั้งนี้แล้วแต่ข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น

หนึ่งชักปืนยิงใส่ยอด  1  นัด  แต่กระสุนพลาดเป้าหมาย  สองซึ่งเห็นเหตุการณ์จึงหยิบมีดในรถวิ่งลงไปจ้วงแทงยอดจนถึงแก่ความตาย ดังนี้จะเห็นว่าหนึ่งและสองมิได้คบคิดกันว่าจะร่วมกันกระทำผิดหรือตกลงกันเพื่อประทุษร้ายผู้ตายมาก่อน  สองเห็นยอดถูกกระสุนปืนนัดแรก  แต่กระสุนพลาดไม่ถึงแก่ความตาย  สองก็ใช้มีดในรถวิ่งลงไปแทงจนถึงแก่ความตาย  ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าสองมีความประสงค์ที่จะช่วยหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย  จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิดในฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  83

สรุป  หนึ่งมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเป็นผลสำเร็จตามมาตรา  288  โดยต้องร่วมรับผิดกับสองในฐานะเป็นตัวการร่วม  ตามมาตรา  83   

 

ข้อ  2  นายอาทิตย์เป็นนายกเทศมนตรีซึ่งครอบครัวทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง  นายอาทิตย์ได้สั่งจ่ายเช็คในการทำธุรกิจของครอบครัว  ปรากฏว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  เพราะนายอาทิตย์ลืมนำเงินเข้าบัญชีธนาคารจึงปฏิเสธการจ่ายเงิน  ผู้ทรงเช็คได้นำเช็คไปแจ้งความดำนินคดีกับนายอาทิตย์  นายพุธซึ่งเคยลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับนาย

อาทิตย์ได้พูดกับบุคคลหลายคนว่าจะต้องเตรียมเลือกตั้งนายกเทศมนตรีใหม่  เพราะนายอาทิตย์จ่ายเช็คไม่มีเงินและกำลังจะถูกจับดำเนินคดี  ต่อมานายอาทิตย์จึงฟ้องนายพุธว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ในชั้นศาลนายพุธให้การรับสารภาพว่าได้พูดข้อความดังกล่าวจริง  แต่ก็ขอพิสูจน์ความจริง  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  326  ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  330  ในกรณีหมิ่นประมาท  ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด  พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์  ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้น  เป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว  และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326  ประกอบด้วย

1       ใส่ความผู้อื่น

2       ต่อบุคคลที่สาม

3       โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง

4       โดยเจตนา

นายพุธได้ใส่ความนายอาทิตย์ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีต่อบุคคลที่สามว่าต้องเตรียมเลือกตั้งนายกเทศมนตรีใหม่  เพราะนายอาทิตย์จ่ายเช็คไม่มีเงินและกำลังจะถูกจับดำเนินคดี  เป็นกรณีที่น่าจะทำให้นายอาทิตย์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง  นายพุธมีความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326  และข้อความที่นายพุธพูด  ถึงแม้จะเป็นความจริง  แต่ก็ห้ามมิให้พิสูจน์ความจริงตามมาตรา  330  วรรคสอง  เพราะการสั่งจ่ายเช็คของนายอาทิตย์เป็นเรื่องธุรกิจในครอบครัว  จึงเป็นเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเพราะนายอาทิตย์ไม่ได้กระทำในตำแหน่งนายกเทศมนตรี

สรุป  นายพุธจึงขอพิสูจน์ความจริงไม่ได้  และการกระทำของนายพุธเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท  ตามมาตรา  326

 

ข้อ  3  แดงมีเรื่องทะเลาะกับขาวโดยแดงกล่าวหาขาวว่าขาวแย่งเขียวซึ่งเป็นคนรักของแดงไป  ด้วยความโกรธขาวมาก  แดงได้วางแผนเพื่อฆ่าขาว  วันหนึ่งขณะขาวกลับจากที่ทำงานก่อนที่ขาวจะเข้าไปในบ้านแดงได้ใช้ปืนยิงขาวจนถึงแก่ความตาย  แดงได้เข้าไปดูศพขาวเพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าขาวตายจริง  แดงพบว่าขาวสวมสร้อยคอทองคำหนักสิบบาท  แดงจึงเอาสร้อยที่คอของขาวไปโดยคิดว่าจะนำไปให้เขียว  เพราะแดงไม่ต้องการเอาสร้อยคอของขาวไปใช้เองอยู่แล้ว  ดังนี้  แดงมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคำตอบ

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334  ประกอบด้วย

1       เอาไป

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

การที่แดงใช้ปืนยิงขาวจนถึงแก่ความตาย  และพบว่าขาวมีสร้อยคอทองคำหนัก  10  บาทสวมอยู่ที่คอ  แดงจึงเอาสร้อยคอนั้นไป  ดังนี้เมื่อแดงถึงแก่ความตายแล้ว  มรดกของแดงทุกชนิดรวมทั้งสร้อยคอทองคำดังกล่าวจึงตกเป็นของทายาทของแดง  ตามกฎหมายมรดก  ถือว่าทายาทเป็นผู้ครอบครองเมื่อขาวตายแล้ว  แดงจึงเกิดเจตนาทุจริตขึ้นในภายหลังเอาทรัพย์ที่ศพไปเป็นประโยชน์ของผู้อื่นเสียเป็นการแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น  เป็นการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของทายาท  แดงจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334

สรุป  แดงมีความผิดฐานลักทรัพย์

หมายเหตุ  กรณีตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  แดงมีความผิดฐานลักทรัพย์กระทงหนึ่ง  และฆ่าผู้อื่นอีกกระทงหนึ่ง  แต่ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  เพราะในชั้นแรกการฆ่ามิได้ประสงค์เพื่อเอาทรัพย์ของผู้ตาย

 

ข้อ  4  อ้วนทำงานเป็นผู้จัดการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง  ได้นำรถยนต์เก่าของตนที่มีสภาพเบรก  และเครื่องยนต์ไม่ค่อยดี (ราคาประมาณ  100,000  บาท)  ไปทำสีรถยนต์ใหม่  จากนั้นอ้วนจึงไปทำสัญญากู้ผอมจำนวน  300,000  บาท  โดยเอารถยนต์ดังกล่าวไปจำนำตามสัญญากู้เงินไว้ด้วย  โดยอ้วนปกปิดไม่ยอมแจ้งให้ผอมทราบว่าตนไปทำสีรถยนต์ใหม่  ผอมดูจากสภาพภายนอกเห็นว่ารถยนต์สภาพดี  และเห็นว่าอ้วนทำงานเป็นหลักแหล่งก็เลยให้อ้วนกู้ยืมเงินไป  300,000  บาท  เมื่ออ้วนได้รับเงินจากผอมแล้ว  ก็นำเงินไปเล่นการพนันจนหมดภายในวันเดียวและไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่ผอมเลย  ในที่สุดผอมไปบังคับชำระหนี้กับรถยนต์ดังกล่าว  ปรากฏว่ารถยนต์ดังกล่าวขายได้เพียง  150,000  บาท  ดังนี้  ผอมจะฟ้องร้องอ้วนเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

อ้วนนำรถยนต์คันเก่าของตนไปทำสีรถยนต์ใหม่เพื่อนำไปประกันการชำระหนี้เงินกู้จากผอม  ซึ่งการที่ผอมจะให้อ้วนกู้ยืมเงินหรือไม่  ขึ้นอยู่กับว่าผอมเชื่อในหลักทรัพย์และความสามารถในการชำระหนี้ของอ้วน  และการที่อ้วนปกปิดไม่ยอมแจ้งให้ผอมทราบว่านไปทำสีรถยนต์ใหม่นั้น  อ้วนไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งให้ผอมทราบ  ไม่ถือว่าเป็นการหลอกลวงโดยปกปิดความจริง  ซึ่งควรบอกให้แจ้ง  ให้ผอมทำสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิหรือได้ไปซึ่งทรัพย์สิน  (เงิน  300,000  บาท)  แต่ประการใด  เมื่ออ้วนไม่ยอมชำระหนี้  จึงเป็นกรณีความผิดทางแพ่ง  ไม่เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

สรุป  การกระทำของอ้วนไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง  ตามมาตรา  341

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 ซ่อม S/2547

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายท้อแท้รู้สึกผิดหวังในชีวิตอย่างมากต้องการฆ่าตัวตายจึงไปนอนขวางถนนเพื่อให้รถทับ  นายบุญส่งขับรถบรรทุกมาตามถนนเห็นนายท้อแท้นอนอยู่บนถนนในระยะไกล  แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนมานอนคิดว่าเป็นเศษกองผ้าจึงมิได้ลดความเร็วของรถ  กว่าจะเห็นชัดว่าเป็นคนก็ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน  รถจึงทับนายท้อแท้ถึงแก่ความตาย  ดังนี้  นายบุญส่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  291  ผู้ใดกระทำประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291  ประกอบด้วย

1       กระทำด้วยประการใดๆ

2       การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

3       โดยประมาท

นายท้อแท้ต้องการฆ่าตัวตายจึงไปนอนขวางถนนเพื่อให้รถทับ  ปรากฏว่านายบุญส่งขับรถบรรทุกมาตามถนนเห็นนายท้อแท้นอนอยู่บนถนนจากระยะไกล  กลับมิได้ลดความเร็วของรถ  เป็นเหตุให้รถทับนายท้อแท้ถึงแก่ความตาย  นายบุญส่งมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  291  แม้นายท้อแท้จะมีเจตนาฆ่าตนเอง  แต่การที่นายบุญส่งเห็นแต่ไกลว่ามีสิ่งของกองอยู่ที่ถนนน่าจะลดความเร็วของรถลง  อันเป็นการใช้ความระมัดระวังของคนขับรถทั่วไปที่จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  แต่นายบุญส่งกลับขับรถไปทับนายท้อแท้ตาย  นายบุญส่งจึงต้องรับผิด

สรุป  นายบุญส่งมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  291 

 

ข้อ  2  นายเสน่ห์กับ  น.ส.อ้อยอายุ  17  ปี  มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาหลายปี  วันเกิดเหตุนายเสน่ห์ได้รับตัว  น.ส.อ้อยจากสถานศึกษาแห่งหนึ่งไปที่บ้านพักซึ่งนายเสน่ห์เช่าอยู่ด้วยเจตนาจะร่วมประเวณีกัน  เมื่อไปถึงบ้านพักโดยยังไม่ได้ร่วมประเวณี  บิดาของ  น.ส.อ้อยก็ตามไปพบและพาตัว  น.ส.อ้อยกลับบ้าน  และหลังจากนั้นบิดาของ  น.ส.อ้อยก็เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายเสน่ห์  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายเสน่ห์จะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  319  วรรคแรก  ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี  แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  เพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย  ตามมาตรา  319  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       พรากผู้เยาว์อายุกว่า  15  ปี  แต่ยังไม่เกิน  18  ปี

2       ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล

3       โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย

4       โดยเจตนา

5       เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร

การพรากเด็กหรือผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  หมายถึง  การพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองดูแลของบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  ทำให้ความปกครองดูแลของบุคคลดังกล่าว  ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน  อันเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบุคคลดังกล่าว

เมื่อผู้กระทำความผิดมีเจตนาพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร  ถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่ผู้กระทำความผิดเริ่มพรากผู้เยาว์แล้ว  แม้จำเลยจะยังไม่ได้กระทำการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม  การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราหลังจากนั้น  จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง

การที่นายเสน่ห์รับตัว  น.ส.อ้อยอายุ  17  ปี  ไปที่บ้านเช่าด้วยเจตนาจะร่วมประเวณี  เป็นการพรากผู้เยาว์  อายุกว่า  15  ปี  แต่ไม่เกิน  18  ปี  ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร  โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย  ตามมาตรา  319  วรรคแรก  ถึงแม้นายเสน่ห์จะยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับ  น.ส.อ้อย  แต่ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

สรุป  การกระทำของนายเสน่ห์เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์  ตามมาตรา  319  วรรคแรก

 

ข้อ  3  สร้อยเพื่อนบ้านของแหวนเห็นแหวนเห่อรถจักรยานยนต์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมามาก   สร้อยจึงวางแผนแกล้งแหวนเพื่อหยอกล้อแหวนเล่น  โดยนำตะปูเรือใบ  5  ตัวไปโรยปากซอยเข้าออกบ้านของแหวน  ปรากฏว่ากำไลเพื่อนหญิงของแหวนขี่รถจักรยานยนต์มาหาแหวน  เมื่อเลี้ยวเข้าซอยบ้านแหวนรถจักรยานยนต์ของกำไลจึงเหยียบตะปูที่สร้อยวางไว้  ขณะนั้นสร้อยซึ่งแอบดูอยู่เกิดความโลภอยากได้รถจักรยานยนต์ของกำไล  จึงทำทีเข้าไปช่วยเหลือ  และยินดีจะนำรถจักรยานยนต์ของกำไลไปปะยางที่ร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ให้กำไลรู้ว่าสร้อยเป็นเพื่อนบ้านของแหวน  จึงให้รถจักรยานยนต์ของตนกับสร้อย  เพื่อให้สร้อยนำไปปะยางตามที่สร้อยเสนอ  เมื่อทางร้านฯ ปะยางรถจักรยานยนต์ของกำไลเสร็จแล้ว  สร้อยกลับขี่รถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปไว้ที่บ้านของญาติซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของตนประมาณ  10 กิโลเมตร  โดยบอกกับญาติว่าเป็นของตนแล้วพรุ่งนี้ จะมารับคืน  ดังนี้  ท่านคิดว่าสร้อยกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  334  ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น  หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ต้องระวางโทษ

มาตรา  339  วรรคแรก  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

การที่สร้อยนำตะปูเรือใบโรยไว้ที่ปากซอยเพื่อเจตนาแกล้งแหวนนั้น  มิได้มีเจตนาที่จะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์  แม้การกระทำของสร้อยจะเล็งเห็นผลได้ว่าจะทำให้จักรยานยนต์ของผู้อื่นเสียหายก็ตาม  แต่ก็เป็นเจตนาเล็งเห็นผลที่ไม่ใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์  จึงไม่ใช่ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80  แต่การกระทำของสร้อยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว  ตามมาตรา  334  เพราะสร้อยเกิดเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์ในทรัพย์ของผู้อื่น โดยทำทีเข้าไปช่วยเหลือและจะนำรถไปปะยางที่ร้านซ่อม  แม้กำไลจะส่งมอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ของตนเพื่อให้สร้อยนำไปซ่อมก็ตาม  ก็มิได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจแต่เป็นการหลอกให้ส่งมอบการครอบครองเพื่อจะได้เอาทรัพย์นั้นไป  จึงเป็นการแย่งการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นโดยทุจริตนั่นเอง

สรุป  สร้อยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  334

 

ข้อ  4  แสงทำสัญญาจะซื้อขายข้าวสารกับสว่าง  5  เกวียน  ราคาเกวียนละ  5,000  บาท  เป็นจำนวนเงิน  25,000  บาท  โดยแสงได้วางเงินมัดจำให้แก่สว่างไว้แล้วเป็นจำนวนเงิน  10,000  บาท  โดยขณะนั้นสว่างมีข้าวเปลือกที่ตากอยู่ที่ลานนวดข้าวอยู่ประมาณ  10  เกวียน  ซึ่งพร้อมที่จะสีเป็นข้าวสาร  โดยสว่างจะจัดส่งข้าวสารไปให้แสงที่บ้าน  หลังจากนั้นมืดได้มาติดต่อซื้อข้าวเปลือกจากสว่าง  10  เกวียน  โดยให้ราคาสูงกว่าท้องตลาดมาก  เมื่อคำนวณแล้วสว่างจะได้ราคาจากมืดเป็นจำนวนเงินประมาณ  100,000  บาท  สว่างจึงขายข้าวเปลือก  ทั้งหมดของตนให้กับมืดไป  สว่างจึงไม่มีข้าวเปลือกที่จะสีเพื่อจัดส่งให้กับแสง  สว่างจึงโทรศัพท์ไปบอกกับแสงว่าไม่สามารถจัดส่งข้าวสารให้ได้  และไม่ยอมคืนเงินมัดจำให้แก่แสง    ดังนี้  ท่านคิดว่าสว่างกระทำ

ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  341  ผู้ใดโดยทุจริต  หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง  และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ  ถอน  หรือทำลาย  เอกสารสิทธิ  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา  341  ประกอบด้วย

1       หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก)  แสดงข้อความเป็นเท็จ  หรือ

(ข)  ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2       โดยการหลอกลวงนั้น

(ก)  ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม

(ข)  ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม  ถอน  หรือทำลายเอกสารสิทธิ

3       โดยเจตนา

4       โดยทุจริต

การแสดงข้อความอันเป็นเท็จอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้น  จะต้องเป็นการแสดงข้อความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน  ซึ่งทำให้เห็นว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก  ถ้าเป็นข้อตกลงตามสัญญาหรือคำรับรองว่าจะกระทำการใดในอนาคตแล้วไม่กระทำตามสัญญาหรือคำรับรอง  ไม่ถือเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง  คงเป็นการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น

การที่สว่างทำสัญญาจะซื้อขายข้าวสารให้กับแสงนั้น  ขณะนั้นข้าวเปลือกที่ตากอยู่ที่ลานนวดข้าวอยู่จริง  ซึ่งสามารถส่งให้แสงได้ตามสัญญา  แต่ปรากฏว่าภายหลังได้ขายข้าวเปลือกให้กับมืดไป  และไม่สามารถจัดส่งได้ตามสัญญา  ทั้งไม่ยอมคืนเงินมัดจำให้กับแสง  กรณีเป็นเรื่องของการผิดสัญญาซื้อขายเท่านั้น  เพราะการที่จะฟังว่าสว่างฉ้อโกงแสงหรือไม่นั้น  ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความว่าสว่างมีเจตาทุจริตมาตั้งแต่แรก  เมื่อไม่ปรากฏว่าขณะที่แสงทำสัญญาและวางมัดจำนั้น  สว่างได้ขายข้าวเปลือกไปให้คนอื่นแล้วอันจะทำให้เห็นว่าสว่างมีเจตนาทุจริตหลอกลวงแสงมาตั้งแต่แรก  จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง  ไม่มีมูลเป็นความผิดทางอาญา

สรุป  การกระทำของสว่างไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

LAW 3001 กฎหมายอาญา 3 S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายหนึ่งกำลังขับรถด้วยความเร็ว  80  กิโลเมตรต่อชั่วโมง  นายสองซึ่งขับรถตามหลังมาได้ให้สัญญาณขอแซง  นายหนึ่งเร่งเครื่องยนต์ขับรถเร็วขึ้นไม่ยอมให้แซง  จนถึงที่เกิดเหตุขณะที่นายสามขับรถสวนทางมา  นายหนึ่งจึงห้ามล้อกะทันหัน  นายสองจึงขับรถหลบไปทางด้านขวาเพื่อไม่ให้รถชนท้ายรถของนายหนึ่ง  รถของนายสองได้ชนเข้ากับรถของนายสามเป็นเหตุให้นายสองถึงแก่ความตาย  ส่วนนายสามได้รับอันตรายสาหัส  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายหนึ่งจะเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  288  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ประกอบด้วย

1       ฆ่า

2       ผู้อื่น

3       โดยเจตนา

นายหนึ่งขับรถด้วยความเร็ว  80  กิโลเมตรต่อชั่วโมง  นายสองซึ่งขับรถตามหลังมาได้ให้สัญญาณขอแซง  แต่นายหนึ่งกลับห้ามล้อกะทันหันในขณะที่นายสามขับรถสวนทางมา  นายหนึ่งย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำดังกล่าวได้ว่า  นายสองซึ่งขับรถตามหลังมาจะต้องขับรถหลบไปทางด้านขวาเพื่อไม่ให้รถชนท้ายรถของนายหนึ่งและชนกับรถของนายสามซึ่งขับสวนมา  จนเป็นเหตุให้มีคนตาย  จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า  เมื่อนายสองถึงแก่ความตาย  นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา  288  ส่วนกรณีนายสามที่ได้รับอันตรายสาหัสนั้น  นายหนึ่งย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่านายสามด้วย  ตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

สรุป  กรณีนายสอง  นายหนึ่งมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  288  ส่วนกรณีนายสาม  นายหนึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่า  ตามมาตรา  288  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  2  นายเสน่ห์มีภรรยาอยู่ก่อนแล้วแต่แยกกันอยู่เป็นเวลาหลายปี  นายเสน่ห์ได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวอยู่กับ  น.ส.สลักจิตซึ่งมีอายุ  16  ปีเศษ  น.ส.สลักจิตเคยขอร้องให้นายเสน่ห์ไปสู่ขอกับบิดามารดาแต่นายเสน่ห์อ้างว่ายังไม่พร้อมเพราะต้องแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน  วันหนึ่ง  น.ส.สลักจิตได้หนีออกจากบ้านไปหานายเสน่ห์และอยู่กินเป็นสามีภรรยากันที่บ้านของนายเสน่ห์  หลังจากนั้นประมาณ  1  เดือน  เมื่อบิดาของ  น.ส.สลักจิตทราบที่อยู่จึงได้ติดตามตัวและพาตัว  น.ส.สลักจิตกลับบ้านพร้อมกับไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายเสน่ห์  ให้วินิจฉัยว่า  นายเสน่ห์จะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  319  วรรคแรก  ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี  แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล  เพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย  ตามมาตรา  319  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       พรากผู้เยาว์อายุกว่า  15  ปี  แต่ยังไม่เกิน  18  ปี

2       ไปเสียจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแล

3       โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย

4       โดยเจตนา

5       เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร

ในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีภริยาเพียงแต่แยกกันอยู่  ยังถือว่าภริยานั้นยังคงเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย  การที่ผู้กระทำผิดมีภริยาอยู่แล้ว  ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้กระทำผิดไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยาการพาหรือชักชวนผู้เยาว์ไป  อาจเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารได้

อย่างไรก็ตาม  องค์ประกอบความผิดที่สำคัญประการหนึ่งของความผิดฐานพรากผู้เยาว์  คือต้องมีการพราก  ซึ่งหมายถึงการเอาไปหรือแยกเด็กออกมาจากบิดามารดา  ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยไม่จำกัดวิธีการ

น.ส.สลักจิตได้หนีออกจากบ้านไปหานายเสน่ห์เอง  โดยนายเสน่ห์ไม่ได้พาหรือชักชวน  เป็นเรื่องที่  น.ส.สลักจิตผู้เยาว์ต้องการเป็นภริยานายเสน่ห์  และสมัครใจไปจากบิดามารดา  การกระทำดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความหมายของคำว่าพรากอันเป็นองค์ประกอบความผิด  เมื่อนายเสน่ห์ไม่ได้พราก  น.ส.สลักจิตไปจากบิดามารดา  ผู้ปกครอง  หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไร  หรือเพื่อการอนาจารแต่อย่างใด  นายเสน่ห์จึงไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร  ตามมาตรา  319  วรรคแรก

สรุป  การกระทำของนายเสน่ห์ไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์  ตามมาตรา  319  วรรคแรก

 

ข้อ  3  วันหนึ่งแดงมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับขาวทั้งสองคนจึงเข้าต่อสู้กัน  ในการต่อสู้กันนี้มีม่วงและมืดเพื่อนของแดงยืนคุมเชิงเพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปช่วยขาว  เมื่อการต่อสู้ยุติลงโดยที่แดงได้ต่อยขาวจนขาวล้มลงอยู่กับพื้น  บังเอิญแดงเหลือบไปเห็นสร้อยคอทองคำที่ขาวสวมอยู่ แดงจึงรีบกระชากเอาสร้อยคอเส้นนั้นไปจากคอของขาว  การเอาสร้อยคอของขาวไปนี้ม่วงและมืดไม่เห็นการกระทำนี้เลย  หลังจากนั้นคนทั้งสามก็พากันหลบหนีไป  ดังนี้  แดง  ม่วง  และมืดมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  336  ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  339  วรรคแรก  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์  หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น  หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  340  ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์  ต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ตามมาตรา  336  ประกอบด้วย

1       ลักทรัพย์

2       โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า

3       โดยเจตนา

การที่แดงทะเลาะวิวาทกับขาว  ซึ่งแดงได้ต่อยขาวจนล้มลงกับพื้น  และยังได้รีบกระชากสร้อยคอไปจากคอของขาวด้วยนั้น  เป็นกิริยาอาการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเร็ว  และขณะที่ถูกฉกฉวยขาวรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้นไปด้วย  ทั้งนี้โดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง  ถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า  ดังนั้นแดงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ตามมาตรา  336  แต่แดงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์  เพราะแดงได้ทะเลาะวิวาท  ชกต่อยกับขาวในตอนแรกนั้นมิได้มีเจตนาจะเอาทรัพย์ไปจากขาว  เจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลังจึงไม่ใช่การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339  ส่วนม่วงและมืดก็มิใช่ตัวการในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์  ที่จะทำให้เป็นการร่วมกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของความผิดฐานปล้นทรัพย์  ตามมาตรา  340  แต่อย่างใด

อนึ่ง  การที่แดงรีบกระชากสร้อยคอไปจากขาว  หลังจากที่ขาวล้มลงนั้น  ม่วงและมืดไม่เห็นการกระทำนั้นเลย  ม่วงและมืดจึงมิใช่ตัวการในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วยเช่นกัน

สรุป  แดงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์  ตามมาตรา  336  ส่วนม่วงและมืดมิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยจึงไม่มีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์

 

ข้อ  4  เขียวไปซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งจากร้านของดำและได้ชำระเงินค่านาฬิกาให้ดำในราคา  3,000  บาท  ดำส่งนาฬิกาที่ห่อใส่กล่องให้เขียวและด้วยความเผอเรอของดำ  ดำลืมเก็บเงิน  3,000  บาท  ที่ได้รับมาจากเขียวแต่ดำได้ใส่เงินไว้ในกล่องนาฬิกาแล้วส่งมอบนาฬิกาและเงินในกล่องให้เขียวไป  เขียวกลับไปถึงบ้านจึงพบว่ามีเงินอยู่ในกล่องนาฬิกาที่ซื้อมา  เขียวจึงนำเงิน  3,000  บาท  ไปฝากธนาคารในชื่อบัญชีฝากของเขียวโดยคิดจะเก็บไว้ให้ลูกของเขียว  ดังนี้  ท่านเห็นว่า  เขียวมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบของผู้กระทำความผิด  เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด  หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้  ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

บทบัญญัติมาตรา  352  วรรคสอง  เป็นเหตุลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดฐานยักยอก  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ถ้าทรัพย์ที่ผู้กระทำความผิดยักยอกนั้นตกมาอยู่ในครอบครองของผู้กระทำความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด  หรือเป็นทรัพย์สินหาย  ซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้แล้วยักยอกไว้  ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งของโทษตามมาตรา  352  วรรคแรก

เขียวซื้อนาฬิกาจากร้านของดำโดยชำระเงิน  3,000  บาท  เงินดังกล่าวจึงตกเป็นของดำ  แต่ดำลืมเก็บเงิน  3,000  บาท  และยังได้ใส่เงินไว้ในกล่องนาฬิกาที่ได้มอบแก่เขียวไป  เขียวได้พบว่ามีเงินอยู่ในกล่อง  แล้วนำไปฝากธนาคารในชื่อบัญชีฝากของเขียว  ถือว่าเขียวได้ครอบครองเงิน  3,000  บาท  ที่ดำส่งมอบให้โดยสำคัญผิด  และได้เบียดบังโดยนำเงิน  3,000  บาท  ไปฝากไว้ในธนาคารในชื่อบัญชีเงินฝากของเขียวเอง  แม้จะเก็บไว้ให้ลูกของตน  ก็เป็นการกระทำโดยทุจริต  เพราะเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  เขียวมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดตามมาตรา  352  วรรคสอง

สรุป  เขียวมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคสอง

WordPress Ads
error: Content is protected !!