LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสมควรทำสัญญาหมั้นนางสาวฤดีด้วยแหวนเพชร  1  วง  นางสาวฤดีได้ลาออกจากงานมาช่วยทำงานและอยู่กินด้วยฉันสามีภริยาที่บ้านของนายสมควร  เมื่อใกล้วันจดทะเบียนสมรส  สามีของนางดาราแฟนเก่าป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งซึ่งจะเสียชีวิตแน่นอน  นายสมควรยังมีความรักนางดาราอยู่จึงได้ทำสัญญาหมั้นนางดาราด้วยแหวนเพชรและจะสมรสกันในอีก  1  ปีข้างหน้า  และนายสมควรได้ขับไล่นางสาวฤดีไปอยู่กับนางลัดดามารดา  แต่นายสมควรยอมรับผิดจะชดใช้ค่าทดแทนให้นางสาวฤดีเป็นเงิน  300,000  บาท  โดยรับสภาพเป็นหนังสือไว้  หลังจากนั้นนางสาวฤดีถึงแก่ความตาย

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  นางสาวฤดีจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนอะไรบ้าง  และเมื่อนางสาวฤดีถึงแก่ความตาย  นางลัดดามารกาจะมีสิทธิอย่างไร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1437  วรรคแรก  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1440  ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(1)          ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2)          ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น  บิดามารดา  หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3)          ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส

มาตรา  1447  วรรคสอง  สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนตามหมวดนี้  นอกจากค่าทดแทนตามมาตรา  1440(2)  ไม่อาจโอนกันได้และไม่ตกทอดไปถึงทายาท  เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้เป็นหนังสือหรือผู้เสียหายได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว

วินิจฉัย

การที่นายสมควรได้ทำสัญญาหมั้นนางสาวฤดีด้วยแหวนเพชร  1  วง  ถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  เพราะมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นางสาวฤดีมีสิทธิเรียกค่าทดแทนอะไรบ้าง  เห็นว่า  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  การที่สมควรได้ขับไล่นางสาวฤดีกลับไปอยู่กับนางลัดดามารดาในขณะเมื่อใกล้วันจดทะเบียนสมรสนั้น  ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา  1439 เนื่องจากเป็นกรณีที่คู่หมั้นฝ่ายหนึ่งปฏิเสธไม่สมรสกับอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร  สำหรับผลของการผิดสัญญาหมั้น  เมื่อกรณีนี้นายสมควรฝ่ายชายเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น  นางสาวฤดีจึงไม่ต้องคืนแหวนเพชรของหมั้นให้แก่นายสมควรฝ่ายชาย  (ฎ.982/251/)

นอกจากนี้นางสาวฤดียังมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ตามที่ระบุไว้ในมาตรา  1440  กล่าวคือ  มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายแก่กายหรือชื่อเสียงตามมาตรา  1440(1)  และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากการอื่นอันเกี่ยวเนื่องกับอาชีพโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรสตามมาตรา  1440(3)  ส่วนค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้ใช้จ่าย  หรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควรตามมาตรา  1440(2)  นั้น  เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านางสาวฤดีได้ใช้จ่ายไปในการนี้แต่อย่างใด  จึงไม่มีสิทธิเรียกได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  เมื่อนางสาวฤดีถึงแก่ความตาย  นางลัดดามารดาจะมีสิทธิอย่างไร  เห็นว่า  สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนที่โอนหรือตกทอดไปยังทายาทได้คงมีแต่เฉพาะค่าทดแทนตามมาตรา  1440(2)  เท่านั้น  ส่วนค่าทดแทนอื่นๆ  ไม่อาจโอนกันได้และไม่ตกทอดไปถึงทายาท  เป็นสิทธิเฉพาะตัวของชายหรือหญิงคู่หมั้นเท่านั้นที่จะต้องเรียกร้องเอง  บุคคลอื่นไม่มีสิทธิ  เว้นแต่จะมีการรับสภาพกันไว้เป็นหนังสือหรือผู้เสียหายได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธิเหล่านี้ไว้แล้ว  ทั้งนี้ตามมาตรา  1447  วรรคสอง

กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายสมควรได้ยอมรับผิดจะชดใช้ค่าทดแทนให้นางสาวฤดีเป็นเงิน  300,000  บาท  โดยรับสภาพเป็นหนังสือไว้แล้วก่อนที่นางสาวฤดีจะถึงแก่ความตาย  กรณีจึงต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา  1447  วรรคสอง  สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนตามมาตรา  1440(1)  และมาตรา  1440(3)  ย่อมเป็นมรดกตกทอดไปยังนางลัดดามารดาซึ่งเป็นทายาทได้  นางลัดดาจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นายสมควรรับผิดชดใช้ค่าทดแทนดังกล่าวได้

สรุป  นางสาวฤดีมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนตามมาตรา  1440(1)  และมาตรา  1440(3)  และนางลัดดามีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนดังกล่าวได้

 

ข้อ  2  นายเอกและนางใจทำสัญญาก่อนสมรสให้นายเอกมีอำนาจในการจัดการสินสมรสแต่เพียงผู้เดียว  หลังจากสมรสนางใจเปิดร้านตัดเสื้อ  นางใจได้นำเงินเดือนของนายเอกที่ได้มาระหว่างสมรสจำนวน  50,000  บาท  ไปซื้อจักรเย็บผ้าเพื่อมาใช้ในร้าน  ต่อมานางใจต้องการเปลี่ยนอาชีพไปขายอาหาร  นางใจจึงขายจักรเย็บผ้าให้กับนางสวยในราคา  40,000  บาท  นางใจได้นำเงินดังกล่าวไปให้นายชอบยืมโดยที่นายเอกไม่ได้รู้เห็นในการให้ยืมเงินนั้น  ต่อมานางใจไปไปทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งเป็นเวลา  5  ปี  เพื่อที่จะมาเปิดร้านอาหารโดยที่นายเอกไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอม  ภายหลังนายเอกทราบเรื่องทั้งหมด  นายเอกอ้างว่านางใจไม่มีอำนาจนำเงินไปให้นายชอบยืมและไปเช่าที่ดินตามลำพังได้  เพราะนายเอกมีอำนาจในการจัดการสินสมรสแต่เพียงผู้เดียวตามสัญญาก่อนสมรส  ดังนี้  นายเอกจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการให้ยืมเงินและการเช่าที่ดินได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(2) ที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว  เครื่องแต่งกาย  หรือเครื่องประดับกายตามสมควรแก่ฐานะหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

มาตรา  1472  วรรคแรก  สินส่วนตัวนั้น  ถ้าได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี  ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี  หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี  ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว

มาตรา  1473  สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1476  สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(2)  ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง  สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

มาตรา  1476/1  วรรคแรก  สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา  1476  ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทำสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา  1465  และมาตรา  1466  ในกรณีดังกล่าวนี้  การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส

มาตรา  1480  วรรคแรก  การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน  หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา  1476  ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว  หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง  คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้  เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว  หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

วินิจฉัย

การที่นางใจนำเงินเดือนของนายเอกจำนวน  50,000  บาท  ที่ได้มาระหว่างสมรสซึ่งถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา  1474(1)  ไปซื้อจักรเย็บผ้าซึ่งเป็นเครื่องมือใช้ในการประกอบอาชีพตัดเสื้อของนางใจ  จักรเย็บผ้าจึงถือว่าเป็นสินส่วนตัวของนางใจตามมาตรา  1471(2)  แม้จะได้มาระหว่างสมรสโดยการเอาเงินสินสมรสไปซื้อมาก็ตาม  (ฎ.3666  3667/2535)  เมื่อนางใจขายจักรเย็บผ้าได้เงินมา  40,000  บาท  เงินที่ได้จากการขายจักรเย็บผ้าก็คงเป็นสินส่วนตัวของนางใจตามมาตรา  1472  วรรคแรกที่ว่า  สินส่วนตัวนั้น  ถ้าขายได้เป็นเงินมา  เงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว  นางใจจึงมีอำนาจในการจัดการสินส่วนตัวโดยการนำเงินนั้นไปให้นายชอบยืมตามลำพังได้ตามมาตรา  1473  นายเอกจึงฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้เงินไม่ได้  (ฎ.2472/2522)

ส่วนการที่นางใจได้ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งเป็นเวลา  5  ปี  เพื่อที่จะมาเปิดร้านขายอาหารนั้นไม่ใช่นิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสที่นายเอกมีอำนาจจัดการแต่เพียงผู้เดียวตามสัญญาก่อนสมรสตามมาตรา  1476/1  วรรคแรก  เนื่องจากมิใช่การจัดการสินสมรสที่สามีและภริยาจะต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อนตามมาตรา  1476  วรรคแรก  (3)  เพราะมิใช่การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า  3  ปี  ดังนั้นนางใจจึงมีอำนาจที่จะกระทำตามลำพังได้ตามมาตรา  1476  วรรคสอง  นายเอกจะฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการเช่าที่ดินดังกล่าวตามมาตรา  1480  วรรคแรก  ไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้น  แม้นายเอกจะมีอำนาจในการจัดการสินสมรสแต่เพียงผู้เดียวตามสัญญาก่อนสมรสก็ตาม    แต่เมื่อไม่ใช่นิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส  นายเอกจึงฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินและการเช่าที่ดินไม่ได้

สรุป  นายเอกจะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินและการเช่าที่ดินไม่ได้

 

ข้อ  3  ก.  มีที่ดิน  1  แปลง  ข.  มีเงินในธนาคาร  100,000  บาท  ต่อมา  ก.  และ  ข.  ได้จดทะเบียนสมรสกัน  ข.  ได้ถอนเงินจากธนาคาร  50,000  บาท  ไปซื้อต้นมะม่วงในที่ดิน  ก.  เมื่อมะม่วงออกผล  ข.  เก็บไปขายได้เงิน  40,000  บาท  20,000  บาท  นำไปซื้อรถยนต์  อีก  20,000  บาท  ฝากไว้ในธนาคาร  ต่อมา  ข.  เป็นนักเล่นการผันไปยืมเงิน  ค.  มา  200,000  บาท  ข. ไม่ชำระหนี้  ค.  จะบังคับชำระหนี้อย่างไรจาก

(1) เงินในบัญชีธนาคาร  และ/หรือ

(2) รถยนต์

ธงคำตอบ

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

มาตรา  1472  วรรคแรก  สินส่วนตัวนั้น  ถ้าได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี  ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี  หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี  ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1)  ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(3)  ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

มาตรา  1488  ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชำระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่างสมรส  ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน  เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น

มาตรา  1490  หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

 (1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว  การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว  แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน

วินิจฉัย

หนี้เงิน  200,000  บาท  ที่  ข  ไปยืม  ค  เพื่อมาเล่นการพนันนั้นถือว่าเป็นหนี้ส่วนตัวของ  ข  แต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา  1488  ไม่ถือว่าหนี้ร่วมของสามีภริยาตามมาตรา  1490  เนื่องจากไม่ใช่หนี้ตามที่ระบุไว้ใน  (1)  (4)  ของบทบัญญัติดังกล่าว  ดังนั้นแม้จะเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส  แต่เมื่อมีวัตถุประสงค์เป็นเรื่องส่วนตัวแล้วย่อมต้องถือว่าเป็นหนี้ส่วนตัว  (ฎ.159/2537)

เมื่อถือว่าเป็นหนี้ส่วนตัวแล้ว  การบังคับชำระหนี้จึงต้องเป็นไปตามลำดับตามที่มาตรา  1488  กำหนดไว้  คือ  ลำดับแรกให้บังคับชำระหนี้จากเงินฝากในธนาคารที่เป็นชื่อบัญชีของ  ข  ที่เหลืออีก  50,000  บาท  ก่อน  เพราะจากข้อเท็จจริง  เงินฝากในธนาคารเป็นทรัพย์สินที่ ข  ได้มาก่อนจดทะเบียนสมรส  จึงถือว่าเป็นสินส่วนตัวของ  ข  ตามมาตรา  1471(1)  จึงต้องถูกบังคับชำระหนี้เป็นอันดับแรก

เมื่อบังคับชำระหนี้จากเงินฝากในธนาคารไม่พอชำระหนี้  ค  เจ้าหนี้ก็สามารถบังคับชำระหนี้จากต้นมะม่วงซึ่ง  ข  ได้นำเงินฝากธนาคารที่เป็นสินส่วนตัวมาซื้อ  ต้นมะม่วงย่อมเป็นสินส่วนตัวด้วยตามมาตรา  1472  วรรคแรก

อนึ่งในการนี้  ถ้าบังคับชำระหนี้จากต้นมะม่วงแล้วยังไม่พอชำระหนี้อีก  ค  เจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้จากสินสมรสได้  กล่าวคือ  ผลมะม่วงนั้นเป็นดอกผลของสินส่วนตัวที่เกิดขึ้นในระหว่างสมรส  จึงถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา  1474(3)  เมื่อถือว่าเป็นสินสมรส  แม้จะได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี  ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี  หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี  ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นก็ย่อมเป็นสินสมรสด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้ตามมาตรา  1474(1)  ดังนั้นเงินฝากจำนวน  20,000  บาทและรถยนต์ถือเป็นสินสมรสอันอาจถูกบังคับชำระหนี้ได้ครึ่งหนึ่งในส่วนของ  ข  ตามมาตรา  1533

สรุป  ค  จะต้องบังคับชำระหนี้จากเงินในบัญชีธนาคารซึ่งเป็นสินส่วนตัวก่อน  หากไม่พอชำระหนี้จึงจะมีสิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากรถยนต์ที่เป็นสินสมรสได้ครึ่งหนึ่งในส่วนของ  ข

 

ข้อ  4  นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ต่อมานางไข่หนีไปอยู่กับนายขวดและมีบุตรคือ  หนึ่ง  หลังจากนั้นไม่นานนายไก่ตาย  นางไข่ก็ไปจดทะเบียนสมรสทันทีกับนายขิง  5  เดือนต่อมา  นางไข่คลอดบุตรอีกคือ  สอง  นายขิงรู้สึกว่าตนเป็นคนแสนโง่ถูกนางไข่หลอกลวงจึงหนีนางไข่ไปบวชได้ปีกว่าแล้ว

(1) การสมรสระหว่างนางไข่และนายขิงมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) หนึ่งต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร

(3) นางไข่จะฟ้องหย่านายขิงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1453  วรรคแรก  หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

มาตรา  1536  วรรคแรก  เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี  หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี

มาตรา  1537  ในกรณีที่หญิงทำการสมรสใหม่นั้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1453  และคลอดบุตรภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กที่เกิดแต่หญิงนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีคนใหม่  และห้ามมิให้นำข้อสันนิษฐานในมาตรา  1536  ที่ว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีเดิมมาใช้บังคับ  ทั้งนี้เว้นแต่มีคำพิพากษาของศาล  แสดงว่าเด็กมิใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีคนใหม่

วินิจฉัย

 (1) นายขิงจดทะเบียนสมรสกับนางไข่เป็นการสมรสฝ่าฝืนมาตรา  1453  วรรคแรก  คือ นางไข่ต้องรอให้ผ่านไป  310  วันก่อน  นับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  (การตายเป็นเหตุให้การสมรสสิ้นสุดลงตามมาตรา  1501)  แต่การฝ่าฝืนมาตรา  1453  วรรคแรก  กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าเป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่อย่างใด  การสมรสดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

 (2) หนึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่  นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  เพราะเป็นบุตรที่เกิดระหว่างสมรสตามมาตรา  1536  วรรคแรก  แม้จะเกิดในขณะนางไข่หนีไปอยู่กินกับนายขวด  แต่เมื่อการสมรสระหว่างนายไก่และนางไข่ยังไม่สิ้นสุด  จึงต้องถือว่าหนึ่งเป็นบุตรที่เกิดในระหว่างที่บิดามารดาเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายขิงและนางไข่  เพราะเป็นบุตรที่เกิดจากหญิงที่ทำการสมรสใหม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1453  และคลอดภายใน  310  วันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  กรณีเช่นนี้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามมาตรา  1537  ว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีคนใหม่ซึ่งก็คือ  นายขิง  นอกจากนั้นในกรณีของบุตรที่เกิดจากการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1453  นี้  กฎหมายห้ามมิให้นำข้อสันนิษฐานตามมาตรา  1536  ที่ว่า  เด็กที่เกิดภายใน  310  วันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เคยเป็นสามี  คือ  นายไก่มาใช้บังคับ

 (3) การที่นายขิงหนีไปบวชได้ปีกว่านั้น  ถือได้ว่าสามีจงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกิน  1  ปีแล้ว  นางไข่จึงฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1516(4)

สรุป 

(1) การสมรสสมบูรณ์ตามกฎหมาย

(2) หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่  ส่วนสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายขิงและนางไข่

(3) นางไข่สามารถฟ้องหย่านายขิงได้

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสมบัติตกลงกับ  น.ส.สุดา  ว่าจะมาทำการหมั้นโดยจะมอบแหวนเพชร  1  วง  และทอง  10  บาท  ให้เป็นของหมั้นในวันที่ตกลงมาทำสัญญาหมั้น  นายสมบัติไม่สามารถหาแหวนและทองได้ทันเวลา  แต่  น.ส.เมตตา  เพื่อนของ  น.ส.สุดา  เห็นว่าไม่ควรให้เลื่อนเวลาหมั้นจึงถอดแหวนให้นายสมบัตินำไปสวมให้  น.ส.สุดาก่อน  ซึ่ง  น.ส.สุดา  ก็เห็นด้วย  ส่วนทอง  10  บาทนั้นได้ทำสัญญากู้ยืมเงิน  170,000  บาทไว้ให้แทน  ต่อมา  น.ส.สุดาได้ลาออกจากงานมาช่วยทำงานที่บ้านของนายสมบัติ  แต่นายสมบัติได้ไปร่วมประเวณีกับ  น.ส.เมตตา  และชวนมาอาศัยอยู่ในบ้านและปฏิเสธไม่สมรสกับ  น.ส.สุดา  น.ส.สุดา  ไม่พอใจจึงต้องการฟ้องเรียกเงินกู้  170,000  บาท  เรียกค่าทดแทนที่ได้ลาออกจากงาน  และฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก  น.ส.เมตตาด้วย  เช่นนี้จะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1437  วรรคแรกและวรรคสอง  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง

มาตรา  1440  ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส

มาตรา  1445  ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น  เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา  1442  หรือมาตรา  1443  แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

การหมั้นจะสมบูรณ์หรือไม่นั้น  ต้องพิจารณาว่า  ฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าจะสมรสกับหญิงหรือไม่  หรับการส่งมอบหรือการโอนจะเป็นอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของทรัพย์สินอันเป็นของหมั้น

ทรัพย์สินและกรรมสิทธิ์ในของหมั้นนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นของฝ่ายชายเสมอ  กล่าวคือ  ฝ่ายชายอาจไม่มีทรัพย์สินเงินทองเป็นของตนเองแล้วไปหยิบยืมจากบุคคลอื่นมาใช้เป็นของหมั้น  เช่นนี้  ของหมั้นเป็นสิทธิของหญิงหรือไม่  หรือการหมั้นจะสมบูรณ์หรือไม่  ต้องพิจารณาว่า  ถ้าเจ้าของทรัพย์สินให้ยืมทรัพย์สินไปใช้เป็นของหมั้นชั่วคราว  เมื่อฝ่ายหญิงไม่ทราบ  ของหมั้นนั้นย่อมตกเป็นสิทธิของฝ่ายหญิง  (ฎ.1198/2492)  แต่ถ้าหญิงก็ทราบว่าทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ของฝ่ายชาย  และเจ้าของทรัพย์สินนั้นก็ยังคงต้องการทรัพย์สินนั้นอยู่  กรณีเช่นนี้ถ้าฝ่ายชายส่งมอบทรัพย์สินนี้เป็นของหมั้นให้แก่หญิง  การหมั้นก็คงไม่สมบูรณ์  เพราะไม่อาจถือได้ว่ามีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่หญิง ซึ่งทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นสิทธิแก่หญิงได้ตามมาตรา  1437  วรรคสอง 

เมื่อแหวนที่นายสมบัตินำมาหมั้น  เป็นแหวนที่ยืมมาจาก  น.ส.เมตตา  โดย  น.ส.สุดา  ฝ่ายหญิงก็ทราบว่าแหวนดังกล่าวเป็นของ  น.ส.เมตตา  ดังนี้  แหวนที่สวมให้  น.ส.สุดา  จึงไม่ใช่ของหมั้นเพราะไม่ถือว่าฝ่ายชายได้ส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง  การหมั้นจึงไม่สมบูรณ์ตามมาตรา  1437 วรรคแรก

สำหรับสัญญากู้ยืมเงินนั้น  ก็ไม่ถือว่าเป็นการให้ของหมั้นตามกฎหมาย  ทั้งนี้เพราะรูปแบบของการหมั้นตามกฎหมายจะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ  การส่งมอบ  หรือการโอนทรัพย์สิน  รูปแบบของการหมั้นจึงไม่สามารถเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างชายกับหญิงได้  เมื่อสัญญากู้ยืมไม่ถือว่าเป็นของหมั้นตามกฎหมาย  น.ส.สุดา  จึงฟ้องเรียกเงินกู้ไม่ได้ 

ดังนั้น  เมื่อไม่ได้ทำสัญญาหมั้นตามกฎหมาย  การกระทำของนายสมบัติจึงไม่อาจถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นที่ น.ส.สุดา  จะเรียกค่าทดแทนตามมาตรา  1440(3)  ได้

ส่วนการที่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก  น.ส.เมตตา  ก็ไม่สามารถฟ้องตามมาตรา  1445  ได้เช่นกัน  ทั้งนี้เพราะสัญญาหมั้นไม่สมบูรณ์

สรุป  น.ส.สุดา  จะฟ้องเรียกเงินกู้  170,000  บาท  เรียกค่าทดแทนที่ได้ลาออกจากงานและฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก  น.ส.เมตตา  ไม่ได้

 

ข้อ  2  นายสอนและนางสร้อยเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย  นายสอนได้ทำหนังสือและจดทะเบียนให้บ้านและที่ดิน  1  แปลง  ที่เป็นสินสมรสให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนางสร้อยแต่เพียงผู้เดียว  ต่อมานางสร้อยไปกู้ยืมเงินนายก่อ  จำนวน  10,000  บาท  เพื่อมาจ่ายค่ารักษานางสร้อยที่ประสบอุบัติเหตุ  โดยนายสอนไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด  หลังจากนั้น  นายสอนและนางสร้อยทะเลาะกัน  ทั้งสองได้จดทะเบียนหย่ากัน  หลังจากที่หย่ากันได้  3  เดือน  นายสอนได้มาปรึกษาท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายครอบครัวว่า  นายสอนจะบอกล้างนิติกรรมการให้บ้านและที่ดินที่เป็นสินสมรสกับนางสร้อยได้หรือไม่  และนายสอนต้องร่วมรับผิดในหนี้จำนวน  10,000  บาทที่นางสร้อยยืมมาจากนายก่อหรือไม่  จงให้คำปรึกษาแก่นายสอน

ธงคำตอบ

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1490  หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว  การอุปการะเลี้ยงดู  ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

วินิจฉัย

การที่นายสอนได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนให้บ้านและที่ดิน  1  แปลงที่เป็นสินสมรสให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนางสร้อยแต่เพียงผู้เดียว  กรณีถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา  1469  นายสอนจึงมีสิทธิบอกล้างการให้บ้านและที่ดินในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนด  1  ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  หลังจากที่นายสอนและนางสร้อยจดทะเบียนหย่ากันได้  3  เดือน  ซึ่งถือว่าอยู่ภายในกำหนด  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากัน  นายสอนจึงมีสิทธิบอกล้างการให้บ้านและที่ดินที่เป็นสินสมรสได้

ส่วนการที่นางสร้อยไปกู้ยืมเงินจำนวน  10,000  บาท  เพื่อม่ายค่ารักษานางสร้อยที่ประสบอุบัติเหตุนั้น  กรณีถือว่าเป็นหนี้ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวที่เกิดในระหว่างสมรส  จึงเป็นหนี้ร่วมที่สามีภริยาต้องรับผิดร่วมกันตามมาตรา  1490(1)  ทั้งนี้แม้ว่านายสอนและนางสร้อยได้หย่ากันแล้ว  และนายสอนไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้ยืมเงินนั้นก็ตาม  นายสอนก็ต้องรับผิดร่วมกันกับนางสร้อยในหนี้จำนวน  10,000  บาท  ที่นางสร้อยกู้ยืมจากนายก่อ

สรุป  นายสอนบอกล้างนิติกรรมการให้บ้านและที่ดินที่เป็นสินสมรสกับนางสร้อยได้  และนายสอนจะต้องร่วมรับผิดในหนี้จำนวน  10,000 บาท  ที่นางสร้อยยืมมาจากนายก่อ

 

ข้อ  3  นายแสบหลอกนางใสว่าเป็นหนุ่มโสดนางใสจึงจดทะเบียนสมรสด้วย  มาทราบภายหลังว่านายแสบมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วคือ  นางสี  ต่อมานายแสบไปอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับนางแม้วและมีบุตรด้วยกันคือ  ด.ช.เอก  เมื่อนางสีตาย  นายแสบจึงไปจดทะเบียนสมรสกับนางแม้วด้วยความสงสาร

การสมรสระหว่างนายแสบและนางใส  การสมรสระหว่างนายแสบและนางแม้วมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

บุตรที่นางแม้วคลอดมานั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร  ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1452  ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา  1457  การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1501  การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย  การหย่า  หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา  1546  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

วินิจฉัย

 (1)          การที่นางใสจดทะเบียนสมรสกับนายแสบ  ในขณะที่นายแสบมีภริยาคือ  นางสีอยู่  จึงเป็นการสมรสซ้อนตามมาตรา  1452  มีผลเป็นโมฆะตามมาตรา  1495

ส่วนการสมรสระหว่างนายแสบและนางแม้วนั้น  เมื่อนางสีถึงแก่ความตาย  การสมรสระหว่างนายแสบกับนางสีย่อมสิ้นสุดลงตามมาตรา  1501  นายแสบไปจดทะเบียนสมรสกับนางแม้วจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด  การสมรสมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ทั้งนี้ตามมาตรา  1547

 (2)          ด.ช.เอก  เป็นบุตรของนายแสบและนางแม้วซึ่งเกิดก่อนที่บิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกัน  ดังนั้น  ด.ช.เอก  จึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนางแม้วนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา  1546  ที่ว่า  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  และเมื่อนายแสบและนางแม้วจดทะเบียนสมรสกันภายหลัง  ด.ช.เอก  จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายแสบบิดานับตั้งแต่ที่  ด.ช.เอก  เกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุให้เสื่อมเสียสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่  ด.ช.เอก  เกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันไม่ได้ตามมาตรา  1547  ประกอบมาตรา  1557

สรุป

(1)          การสมรสระหว่างนายแสบและนางใสเป็นโมฆะ  ส่วนการสมรสระหว่างนายแสบและนางแม้วมีผลสมบูรณ์

(2)          ด.ช.เอก  เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนางแม้วนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและเมื่อนางแม้วและนายแสบจดทะเบียนสมรสกัน  ด.ช.เอก  จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายแสบนับแต่บิดามารดาจดทะเบียนสมรสกันย้อนไปถึงเกิด

 

ข้อ  4  นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  มีบุตรด้วยกันคือหนึ่ง  ต่อมานางไข่ป่วยจึงยกนางแดงสาวใช้ให้ทำหน้าที่ภริยาอีกคนหนึ่ง  ต่อมานายไก่ได้ไปรู้จักรักใคร่ชอบพอนางสาวสดใสส่งเสียเลี้ยงดูประหนึ่งเป็นภริยาอีกคนหนึ่ง

นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่  เพราะนายไก่มีภริยาน้อย  2  คน  คือ  นางแดงและนางสาวสดใสได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร  ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา  1517  วรรคแรก  เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา  1516(1)  และ  (2)  ถ้ามามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี  ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้น  ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้

มาตรา  1536  วรรคแรก  เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี  หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

 (1) นายไก่และนางไข่เป็นภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  การที่นายไก่มีภริยาน้อย  คือ  นางแดงสาวใช้  กรณีเช่นนี้โดยหลักแล้วนางไข่ย่อมสามารถนำไปเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1516(1)  แต่อย่างไรก็ดีเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางไข่ป่วยจึงยกนางแดงสาวใช้ให้ทำหน้าที่ภริยา  กรณีจึงต้องถือว่านางไข่รู้เห็นเป็นใจ  จึงไม่สามารถนำเหตุดังกล่าวมาเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1517  วรรคแรก

ส่วนกรณีที่นายไก่ได้ไปอุปการะเลี้ยงดูนางสาวสดใสนั้น  เมื่อนางไข่ไม่ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำของนายไก่  นางไข่จึงสามารถยกเหตุที่ว่านี้มาเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1516(1)

 (2) เมื่อหนึ่งเกิดในขณะที่นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  หนึ่งจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่  นับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก  เพราะเป็นเด็กที่เกิดระหว่างสมรสตามมาตรา  1536

สรุป 

(1) นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่เพราะมีนางแดงภริยาน้อยไม่ได้  แต่ฟ้องหย่าเพราะนายไก่มีนางสาวสดใสภริยาน้อยได้

(2) หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่  นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายนพพรและบิดามารดาได้มาทำการสู่ขอนางสาวแววตาเพื่อทำการสมรส  และตกลงกันว่าให้ฝ่ายหญิงจัดเตรียมงานสมรสในพิธีการต่างๆ  รวมทั้งการจัดเลี้ยงมงคลสมรส  ส่วนฝ่ายชายจะจัดเตรียมเรือนหอเพื่อการอยู่กินฉันสามีภริยากัน  เมื่อถึงวันทำพิธีสมรสปรากฏว่านายนพพรไม่ได้มาทำการสมรสตามที่ตกลงกัน  นางสาวแววตาเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส  การจัดงานเลี้ยงมงคลสมรส  ชุดวิวาห์  และอื่นๆอีก  จึงฟ้องเรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงและการเตรียมการสมรสด้วย  เช่นนี้  จะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1437  วรรคแรก  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1440  ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(1)          ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2)          ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น  บิดามารดา  หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3)          ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส

วินิจฉัย

โดยหลักของกฎหมาย  ในกรณีที่มีการหมั้น  และการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  คือฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง  เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นแล้ว  เมื่อมีการผิดสัญญาหมั้น  ฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาหมั้นย่อมมีสิทธิเรียกให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา  1439  และมาตรา  1440

การที่นายนพพรและบิดามารดาได้มาทำการสู่ขอนางสาวแววตาเพื่อทำการสมรส  แต่ไม่ได้ทำการหมั้นกัน  คือไม่ได้มีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่นางสาวแววตา  ดังนั้นการหมั้นจึงไม่สมบูรณ์ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  คือให้ถือว่าไม่ได้มีการทำสัญญาหมั้นกันแต่อย่างใด

เมื่อถึงวันทำพิธีสมรส  การที่นายนพพรไม่ได้มาทำการสมรสนั้น  โดยหลักแล้วย่อมถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น  แต่อย่างไรก็ตาม  กรณีที่จะถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น  และทำให้ฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาหมั้นสามารถเรียกให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนตามมาตรา  1439  และมาตรา  1440  ได้นั้น  ตามกฎหมายจะต้องได้มีการหมั้นกันก่อน  และการหมั้นนั้นสมบูรณ์  แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่ได้มีการหมั้นกัน  ดังนั้นการที่นางสาวแววตาเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส  และค่าใช้จ่ายอื่นๆรวมทั้งต้องเสียหายต่อชื่อเสียงนั้น  นางสาวแววตาจึงไม่สามารถฟ้องเรียกให้นายนพพรรับผิดใช้ค่าทดแทนดังกล่าวได้

สรุป  นางสาวแววตาจะเรียกค่าทดแทนเพื่อความเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายเนื่องจากการเตรียมการสมรสจากนายนพพรไม่ได้

 

ข้อ  2  นายนิกรชอบนางสาวกาญจนา  แต่นางสาวกาญจนาไม่ชอบนายนิกร  ต่อมานายนิกรจึงได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวกาญจนาจดทะเบียนสมรสด้วย  แปดเดือนต่อมา  (เดือนกุมภาพันธ์)  นายนิกรได้ปล่อยให้นางสาวกาญจนามีอิสระไปไหนมาไหนได้  นางสาวกาญจนาได้พบเพื่อนเก่าคือนายสมหวังซึ่งเคยชอบพอกันมาก่อน  จึงได้พูดคุยตกลงกันและจดทะเบียนสมรสกันในเดือนสิงหาคม  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ถ้านายนิกรมีบ้านก่อนสมรส  1  หลัง  ได้ให้เช่าได้รับค่าเช่าเดือนละ  10,000  บาท  และนางสาวกาญจนาได้ซื้อสลากออมสินมูลค่า  1  ล้านบาท  ก่อนทำการสมรสกับนายนิกร  และมาได้รับรางวัล  1  ล้านบาท  ในเดือนตุลาคม  (เมื่อทำการสมรสกับนายสมหวังแล้ว)  เช่นนี้  ทรัพย์สินต่างๆจะตกเป็นของใคร  เพราะเหตุใด  ตามกำหมายใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1452  ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1)  ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(3)  ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1498  การสมรสที่เป็นโมฆะ  ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ  ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น  ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง  เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น  เมื่อได้เคราะห์ถึงภาระในครอบครัว  ภาระในการหาเลี้ยงชีพ  และฐานะของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย  ตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว

มาตรา  1502  การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา  1507  วรรคแรก  ถ้าคู่สมรสได้ทำการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะไม่ทำการสมรส  การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

การที่นายนิกรได้ข่มขู่อันถึงขนาดทำให้นางสาวกาญจนาจดทะเบียนสมรสด้วยเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1507  ย่อมทำให้การสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนาตกเป็นโมฆียะ  แต่การสมรสยังไม่สิ้นสุดลง  เพราะการสมรสจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้นแล้ว  (มาตรา1502)  ดังนั้นเมื่อนางสาวกาญจนาได้จดทะเบียนสมรสกับนายสมหวังอีก  จึงเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วถือว่าเป็นการสมรสซ้อนที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา  1452  การสมรสระหว่างนางสาวกาญจนากับนายสมหวังจึงเป็นโมฆะตามมาตรา  1495

และตามข้อเท็จจริง  การที่นายนิกรมีบ้านอยู่ก่อนสมรส  บ้านจึงเป็นสินส่วนตัวของนายนิกร  เพราะเป็นทรัพย์สินที่นายนิกรมีอยู่ก่อนสมรสตามมาตรา  1471(1)  แต่สำหรับค่าเช่าบ้านเดือนละ  10,000  บาท  ที่ได้รับหลังจากสมรส  ถือว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนา  เพราะเป็นทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัวตามมาตรา  1474(3)

สำหรับสลากออมสิน  1  ล้านบาท  ที่นางสาวกาญจนามีอยู่ก่อนสมรส  ย่อมเป็นสินส่วนตัวของนางสาวกาญจนาตามมาตรา  1471(1)  แต่รางวัลจากสลากออมสิน  1  ล้านบาท  เป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสตามมาตรา  1474(1)  โดยหลักย่อมเป็นสินสมรสของนางสาวกาญจนากับนายสมหวัง  แต่เมื่อการสมรสระหว่างนางสาวกาญจนากับนายสมหวังเป็นโมฆะ จึงไม่เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา  1498  วรรคแรก  ดังนั้นระหว่างนางสาวกาญจนากับนายสมหวัง  รางวัล  1  ล้านบาท  ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาหลังการสมรสจึงเป็นของนางสาวกาญจนาตามมาตรา  1498  วรรคสอง  แต่ระหว่างนางสาวกาญจนากับนายนิกร  ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส  และเมื่อการสมรสระหว่างทั้งสองยังไม่สิ้นสุดลง  ดังนั้นรางวัล  1  ล้านบาทดังกล่าว  จึงถือว่าเป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนาตามมาตรา  1474(1)  ประกอบมาตรา  1502

สรุป 

บ้าน  เป็นสินส่วนตัวของนายนิกร 

ค่าเช่าบ้าน  เป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนา 

สลากออมสิน  1  ล้านบาท  เป็นสินส่วนตัวของนางสาวกาญจนา 

รางวัลสลากออมสิน  1  ล้านบาท  เป็นสินสมรสระหว่างนายนิกรกับนางสาวกาญจนา

 

ข้อ  3  นายสมบูรณ์กับนางอรสาเป็นสามีภริยากันแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา  ต่อมานางอรสาได้เก็บเสื้อผ้ากลับไปอยู่ที่บ้านบิดามารดาตั้งแต่วันที่  1  กุมภาพันธ์  เมื่อถึงวันที่  28  ตุลาคม  นางอรสาได้ฟ้องหย่านายสมบูรณ์ต่อศาล  หลังจากนั้นนายสมบูรณ์ได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางสาวดาราไปเที่ยวเตร่กันตลอดเวลากับเพื่อนๆ  ของนางสาวดาราและนายสมบูรณ์  เมื่อไปเที่ยวเตร่นายสมบูรณและนางสาวดาราก็หลับนอนร่วมกันในห้องพักเดียวกันตลอดเวลาเป็นประจำสม่ำเสมอ  นางสาวดาราเองก็กล่าวต่อหน้าเพื่อนๆว่า  นายสมบูรณ์เป็นสามีที่ดีมาก  และในกรณีนี้นางอรสาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดาราจะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1523  วรรคสอง  สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้

วินิจฉัย

การที่นายสมบูรณ์สามีของนางอรสาได้ใช้ชีวิตร่วมกับนางสาวดาราซึ่งเห็นได้จากการไปเที่ยวเตร่ร่วมกันกับผู้อื่น  และหลับนอนร่วมกันในห้องพักเดียวกันตลอดเวลาเป็นประจำสม่ำเสมอ  อีกทั้งนางสาวดาราเองก็กล่าวต่อหน้าเพื่อนๆว่านายสมบูรณ์เป็นสามีที่ดี  การกระทำของนางสาวดาราถือว่าเป็นการแสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับนายสมบูรณ์ในทำนองชู้สาวแล้ว  ดังนั้น  นางอรสาสามารถเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดาราได้ตามมาตรา  1523  วรรคสอง  โดยไม่ต้องฟ้องหย่านายสมบูรณ์

สรุป  นางอรสาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวดาราได้

 

ข้อ  4  นายสำเภาได้ทำสัญญาหมั้นนางสาวสุนิสาด้วยแหวนหนึ่งวง  ต่อมาในวันอังคารที่  9  เมษายน  ได้ทำการจดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอบางรักเวลา  09.09  น.  เมื่อเดินออกมาจากที่ว่าการอำเภอบางรัก  นายสำเภานำรถยนต์ที่ตั้งใจให้เป็นของหมั้นมาจอดไว้ที่หน้าตึกมอบให้นางสาวสุนิสาดีใจมาก  หลายเดือนต่อมานางสาวสุนิสาได้กลับไปมีความสัมพันธ์กับนายร่าเริงแฟนเก่าเกินกว่าความเหมาะสม  นายสำเภาโกรธมากจึงขอแหวนเพชรและรถยนต์คืน  เช่นนี้จะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3)  ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา

(4)  ที่เป็นของหมั้น

วินิจฉัย

การที่นายสำเภาได้ทำสัญญาหมั้นนางสาวสุนิสาด้วยแหวนเพชรหนึ่งวงและได้ส่งมอบแหวนเพชรให้แก่นางสาวสุนิสาแล้วนั้น  การหมั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  และถือว่าแหวนเพชรที่เป็นของหมั้นนั้นเป็นสินส่วนตัวของนางสาวสุนิสาตามมาตรา  1471(4)

และเมื่อมีการสมรสกันแล้ว  นายสำเภาได้มอบรถยนต์ให้นางสาวสุนิสาจึงเป็นการให้โดยเสน่ห์หารถยนต์จึงเป็นสินส่วนตัวของนางสาวสุนิสาตามมาตรา  1471(3)  และการให้ดังกล่าวนั้น  ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสด้วยตามมาตรา  1469

ต่อมาเมื่อนางสาวสุนิสาได้กลับไปมีความสัมพันธ์กับนายร่าเริงแฟนเก่าทำให้นายสำเภาโกรธจึงขอแหวนเพชรและรถยนต์คืนจากนางสาวสุนิสานั้น  จะเห็นได้ว่านายสำเภาจะเรียกแหวนเพชนคืนไม่ได้  เพราะแหวนเพชรเป็นสินส่วนตัวของนางสาวสุนิสาตามมาตรา  1471(4)  ส่วนรถยนต์นั้น  เมื่อการให้รถยนต์แก่นางสาวสุนิสาเป็นสัญญาระหว่างสมรส  ซึ่งนายสำเภาสามารถบอกล้างได้ในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่ตามมาตรา  1469  ดังนั้น  นายสำเภาจึงเรียกรถยนต์คืนได้  โดยการบอกล้างสัญญาให้ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างสมรสนั้น

สรุป  นายสำเภาจะขอแหวนเพชรคืนไม่ได้  แต่ขอรถยนต์คืนได้

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสุขสมได้ทำสัญญาหมั้น  น.ส.ดวงตาด้วยแหวนเพชรหนึ่งวงและเงินสด  400,000  บาท  ทั้งสองได้จัดพิธีสมรสกันในวันที่  14 กุมภาพันธ์  2552  ต่อมานายสุขสมได้ไปทำงานที่ต่างจังหวัดและได้ไปมีความสัมพันธ์หลับนอนกับ  น.ส.อุสา  บิดามารดาของ  น.ส.อุสาจึงให้นายสุขสมจดทะเบียนสมรสกับ  น.ส.อุสา  เมื่อวันที่  24  มิถุนายน  2552  เมื่อ  น.ส.ดวงตาทราบก็ไม่พอใจต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุขสมได้หรือไม่

ต่อมาเมื่อ  น.ส.อุสาทราบว่านายสุขสมมีภริยาอยู่ก่อนแล้วคือ  น.ส.ดวงตาทำให้ตนเป็นภริยาน้อย  ก็เสียใจจึงได้จดทะเบียนสมรสอยู่กินกับนายเดชโดยไม่ทราบว่านายเดชถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  การสมรสจะมีผลเป็นอย่างไร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1440  ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(1)          ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2)          ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น  บิดามารดา  หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3)          ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส

มาตรา  1452  ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา  1457  การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

วินิจฉัย

การที่นายสุขสมได้ทำสัญญาหมั้น  น.ส.ดวงตา  และได้จัดพิธีสมรสกันในวันที่  14  กุมภาพันธ์  2552  นั้น  เมื่อไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสตามมาตรา  1457  จึงยังไม่ถือว่าเป็นการสมรส  คือ  ให้ถือว่ายังอยู่ในระหว่างการหมั้นเท่านั้น  ดังนั้นเมื่อนายสุขสมได้จดทะเบียนสมรสกับ  น.ส.อุสา  เมื่อวันที่  24  มิถุนายน  2552  การกระทำของนายสุขสมจึงเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา  1439  และ  น.ส.ดวงตาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้ตามมาตรา  1440 

ส่วนกรณีที่  น.ส.อุสาได้จดทะเบียนสมรสกับนายสุขสมตามมาตรา  1457  นั้น  ถือว่า  น.ส.อุสากับนายสุขสม  เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้นเมื่อ  น.ส.อุสาได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเดชคนเสมือนไร้ความสามารถ  แม้กฎหมายจะไม่ห้ามคนเสมือนไร้ความสามารถทำการสมรสก็ตาม  แต่การกระทำของ  น.ส.อุสาที่จดทะเบียนสมรสกับนายเดชนั้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1452  คือเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้ว  ซึ่งถือเป็นการสมรสซ้อน  ดังนั้นการสมรสจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  1495

สรุป  น.ส.ดวงตาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุขสมได้

การสมรสระหว่าง  น.ส.อุสากับนายเดชมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ  2  นายสดหมั้นนายใสด้วยแหวนเพชร  1  วง  มูลค่า  1  ล้านบาท  ต่อมานายใสก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนางแสงหญิงที่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายหนีไปบวชพระไม่ยอมสึก

 (1)          การหมั้นระหว่างนายสดและนายใสมีผลในทางกฎหมายอย่างไร  นายสดจะเรียกแหวนเพชรคืนและเรียกค่าทดแทนจากนายใสได้หรือไม่

(2)          การสมรสระหว่างนายใสและนางแสงมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  1435  การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว  การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ

มาตรา  1452  ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

วินิจฉัย

 (1)          โดยหลักการหมั้นจะทำได้และมีผลสมบูรณ์ต้องเป็นการหมั้นกันระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น  ดังนั้นเมื่อเป็นการหมั้นกันระหว่างชายกับชายคือระหว่างนายสดกับนายใส  การหมั้นจึงตกเป็นโมฆะ  เพราะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1435  และเมื่อการหมั้นเป็นโมฆะ  การที่นายใสได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางแสงจึงไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น  นายสดจะเรียกค่าทดแทนจากนายใสไม่ได้  แต่นายใสจะต้องคืนแหวนเพชรให้แก่นายสด

(2)          การที่นางแสงซึ่งมีสามีอยู่แล้วโดยชอบด้วยกฎหมายได้จดทะเบียนสมรสกับนายใส  ถือว่าเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้ว  (เป็นการสมรสซ้อน)  จึงเป็นการสมรสที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1452  จึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา  1495

สรุป 

(1)          การหมั้นระหว่างนายสดและนายใสมีผลเป็นโมฆะ  นายสดเรียกแหวนเพชรคืนได้  แต่จะเรียกค่าทดแทนจากนายใสไม่ได้

(2)          การสมรสระหว่างนายใสและนางแสงมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ต่อมานายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางแอนมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายที เมื่อนางไข่ทราบก็ไม่ว่าอะไรและพร้อมจะรับเด็กและนางแอนมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน  ต่อมานางแอนเหยียดหยามนางไข่อย่างรุนแรง  บางครั้งลามปามไปถึงบรรพบุรุษของนางไข่

 (1)          นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่จากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น

(2)          เด็กชายทีเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใครนับแต่เมื่อนั้น

ธงคำตอบ

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(3) สามีหรือภริยาทำร้าย  หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ  หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง  ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง  อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

มาตรา  1518  สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว

มาตรา  1546  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

 (1)          การที่นายไก่สามีของนางไข่ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางแอนและมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายทีนั้น  เมื่อนางไข่ทราบก็ไม่ว่าอะไรและยังรับเด็กและนางแอนมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน  ถือว่านางไข่ได้ให้อภัยแก่นายไก่แล้ว  ดังนั้นสิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปตามมาตรา  1518

ส่วนการที่นางแอดเหยียดหยามนางไข่และบรรพบุรุษของนางไข่อย่างร้ายแรงนั้น  ก็มิใช่เป็นการกระทำของนายไก่  ดังนั้นจะฟ้องหย่าเพราะเหตุนี้ไม่ได้ตามมาตรา  1516(3)

 (2)          เด็กชายทีซึ่งเกิดจากนางแอนมารดา  เมื่อนางแอนมิได้สมรสกับนายไก่ดังนั้นเด็กชายทีจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางแอนแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา  1546  และเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางแอนนับตังแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1)          นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่จากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้

(2)          เด็กชายทีเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางแอนนับแต่เมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นมารก

 

ข้อ  4  นายสอนและนางสวยเป็นสามีภริยากันตามกำหมาย  นายสอนให้กำไลเพชรที่เป็นสินส่วนตัวของนายสอนแก่นางสวยเป็นของขวัญวันเกิด  ต่อมานางสวยให้กำไลเพชรดังกล่าวแก่นาวสาวเกดน้องสาวที่นางสวยรักมาก  โดยที่นางสาวเกดไม่ทราบว่าเป็นกำไลเพชรที่นายสอนให้นางสวย  หลังจากนั้นนายสอนและนางสวยอยากเปิดร้านขายอาหาร  นางสวยไปทำสัญญาเช่าตึกแถวแห่งหนึ่งเพื่อทำร้านอาหารโดยที่นายสอนไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใด  ต่อมานายสอนโกรธมากเมื่อทราบว่านางสวยให้กำไลเพชรแก่นางสาวเกดและนางสวยได้ไปเช่าตึกแถวโดยไม่ปรึกษาตน  โดยนายสอนเห็นว่าตึกแถวที่นางสวยเช่ามานั้นอยู่ในทำเลที่ไม่ดี  ไม่น่าจะขายอาหารได้  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

 (ก)        นายสอนจะบอกล้างการให้กำไลเพชรแก่นางสวยได้หรือไม่  และกำไลเพชรจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร  เพราะเหตุใด

(ข)        นายสอนจะฟ้องศาลขอเพิกถอนสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3)          ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา

มาตรา  1476  สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง  สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

วินิจฉัย

 (ก)        การที่นายสอนให้กำไลเพชรที่เป็นสินส่วนตัวของนายสอนแก่นางสวยเป็นของขวัญวันเกิดนั้น  ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา  1469  กำไลเพชรจึงตกเป็นสินส่วนตัวของนางสวยตามมาตรา  1471(3)  เพราะเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่ห์หา  นางสวยจึงมีอำนาจจัดการกำไลเพชรโดยให้กำไลเพชรแก่นางสาวเกดได้ตามมาตรา  1473

แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส  แม้ว่านางสวยได้ให้กำไลเพชรแก่นางสาวเกดแล้ว  นายสอนก็ยังมีสิทธิบอกล้างการให้กำไลเพชรแก่นางสวยได้  โดยนายสอนสามารถบอกล้างในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตตามมาตรา  1469  ดังนั้นเมื่อนางสาวเกดไม่ทราบว่ากำไลเพชรที่ตนเองได้รับมาจากนางสวยเป็นกำไลเพชรที่นายสอนให้นางสวย  จึงถือว่านางสาวเกดสุจริต  กำไลเพชรจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวเกด

 (ข)        ส่วนการที่นางสวยได้ไปทำสัญญาเช่าตึกแถวเพื่อทำร้านอาหารโดยที่นายสอนไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใดนั้น  การเช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่ถือว่าเป็นการจัดการสินสมรสตามมาตรา  1476  (8)  ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน  หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง  ดังนั้น  นางสวยจึงสามารถเช่าตึกแถวตามลำพังได้  นายสอนไม่สามารถฟ้องศาลขอเพิกถอนสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวได้

สรุป

(ก)        นายสอนจะบอกล้างการให้กำไลเพชรแก่นางสวยได้และกำไลเพชรตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวเกด

(ข)        นายสอนจะฟ้องศาลขอเพิกถอนสัญญาเช่าตึกแถวดังกล่าวไม่ได้       

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2553

การสอบไล่ภาค 2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ 1 นายมั่น อายุ 25 ปี ทำสัญญาหมั้น น.ส.ประไพ อายุ 19 ปี 8 เดือน ด้วยแหวนเพชร 1 วง และให้สินสอด 1 แสนบาทแก่บิดามารดาของ น.ส.ประไพ หนึ่งเดือนต่อมาได้มีการจัดพิธีสมรสตามประเพณีและได้อยู่กินกันฉันสามีภริยา อีกหนึ่งเดือนต่อมาทั้งคู่ได้ไปที่ว่าการอำเภอเพื่อทำการจดทะเบียนสมรส แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้เพราะบิดาได้เดินทางไปทำงานที่จังหวัดอื่น นายมั่นและ น.ส.ประไพได้อยู่กินฉันสามีภริยาต่อมาเป็นเวลา 8 เดือนเศษ ก็ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน นายมั่นได้ไปแจ้งที่อำเภอให้เรียก น.ส.ประไพมาทำการจดทะเบียนสมรส แต่ น.ส.ประไพ ไม่ยินยอมไปจดทะเบียนสมรสด้วย นายมั่นจึงต้องการฟ้องเรียกแหวนหมั้นสินสอดและค่าทดแทนด้วย เช่นนี้ จะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา

มาตรา 1437 วรรคแรกและวรรคสาม การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิงแล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทำให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้

มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส

มาตรา 1454 ผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ดังนี้คือ

1 การหมั้นระหว่างนายมั่นกับ น.ส.ประไพผู้เยาว์สมบูรณ์หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่าเมื่อการหมั้นระหว่างนายมั่นกับ น.ส.ประไพผู้เยาว์ ได้ทำถูกต้องตามบทบัญญัติมาตรา 1436 และมาตรา 1437 วรรคแรก กล่าวคือ เมื่อการหมั้นนั้นบิดามารดาของ น.ส.ประไพผู้เยาว์ได้ให้ความยินยอม และได้มีการส่งมอบแหวนหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว การหมั้นดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ ดังนั้นถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาหมั้นย่อมมีสิทธิเรียกให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1439 และมาตรา 1440 และในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นจะต้องคืนของหมั้นให้แก่ฝ่ายชายด้วย และฝ่ายชายมีสิทธิเรียกสินสอด (ถ้ามี) คืนได้ตามมาตรา 1437วรรคสาม

2 การที่นายมั่นได้ไปแจ้งที่อำเภอให้เรียก น.ส.ประไพมาทำการสมรส แต่ น.ส.ประไพไม่ยินยอมไปจดทะเบียนสมรสด้วย กรณีนี้ถือว่า น.ส.ประไพเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้นปรากฏว่า การที่ น.ส.ประไพไม่ยินยอมไปจดทะเบียนสมรสกับนายมั่น เป็นเพราะว่าในตอนแรกหลังจากที่ทั้งสองได้หมั้นกันและได้มีการจัดพิธีสมรสตามประเพณี และได้อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้น ทั้งสองก็มีเจตนาที่จะสมรสกันตามสัญญาโดยจะเห็นได้จากการที่ทั้งสองได้ไปที่ที่ว่าการอำเภอเพื่อทำการจดทะเบียนสมรสกันแต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ เพราะขณะนั้น น.ส.ประไพยังเป็นผู้เยาว์และไม่ได้รับความยินยอมจากบิดาเนื่องจากบิดาของ น.ส.ประไพไม่อยู่ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สามารถทำการสมรสกันได้ตามมาตรา 1454 และหลังจากนั้นการที่ทั้งสองได้อยู่กินกันฉันสามีภริยาเป็นเวลา 8 เดือนเศษ โดยทั้งสองฝ่ายต่างไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส ดังนั้นเมื่อทั้งสองได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนเป็นเหตุให้ น.ส.ประไพไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสกับนายมั่นตามที่นายมั่นเรียกร้องนั้น กรณีนี้จะถือว่า น.ส.ประไพเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ไม่ได้ (ฎ. 356/2513)

3 เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ไม่ถือว่า น.ส.ประไพเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ดังนั้นนายมั่นไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าทดแทน และเรียกของหมั้นคืนจาก น.ส.ประไพตามมาตรา 1439 และมาตรา 1440 และการที่ น.ส.ประไพไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนายมั่นตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ก็ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ไม่มีการสมรส โดยมีเหตุสำคัญเกิดแก่หญิงหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบตามมาตรา 1437 วรรคสาม ดังนั้น นายมั่นจะเรียกสินสอดคืนก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

สรุป นายมั่นไม่สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทน และไม่สามารถฟ้องเรียกแหวนหมั้นและสินสอดคืน

 

ข้อ 2 นางสาวสมหญิงเห็นนายไก่รูปหล่อ ขับรถยุโรปราคาแพงอาศัยอยู่ในบ้านหลังมโหฬาร จึงหลงรักและคิดว่านายไก่เป็นคนรวยรูปหล่อและรสนิยมดี เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วนางสมหญิงเพิ่งจะทราบความจริงว่านายไก่มีฐานะเป็นเพียงคนขับรถและอาศัยอยู่กับนายจ้าง ซึ่งมักจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจอยู่เป็นประจำ นางสมหญิงจึงมาปรึกษาท่านว่าจะฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสว่าตนถูกกลฉ้อฉลถึงขนาดได้หรือไม่ หรือมีวิธีการใดที่จะทำให้การสมรสของตนยุติลงโดยไม่ต้องฟ้องศาล

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1503 เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทำการฝ่าฝืนมาตรา 1448มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509

มาตรา 1506 วรรคแรก ถ้าคู่สมรสได้ทำการสมรสโดยถูกกลฉ้อฉลอันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลนั้นจะไม่ทำการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา 1514 การหย่านั้นจะทำได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคำพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน

มาตรา 1515 เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า นางสมหญิงจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสว่าตนถูกกลฉ้อฉลถึงขนาดได้หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 1503 ประกอบกับมาตรา 1506 วรรคแรกนั้น ได้บัญญัติหลักไว้ว่า เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะนั้น ต้องเป็นกรณีที่คู่สมรสได้ทำการสมรสโดยถูกกลฉ้อฉลอันถึงขนาด ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลนั้นจะไม่ทำการสมรสด้วย แต่ข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่า การที่นางสมหญิงได้ทำการสมรสกับนายไก่นั้น เป็นเพราะนางสมหญิงเข้าใจผิดเองว่า นายไก่เป็นคนรวยและรสนิยมดีมิได้เกิดจากกลฉ้อฉลของนายไก่แต่อย่างใด ดังนั้นนางสมหญิงจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสเพราะเหตุดังกล่าวไม่ได้

ส่วนประเด็นต่อมาที่ว่าจะมีวิธีการใดที่จะทำให้การสมรสของนางสมหญิงยุติลงโดยไม่ต้องฟ้องศาลนั้นตามมาตรา 1514 และมาตรา 1515ได้กำหนดวิธีการดังกล่าวไว้แล้ว กล่าวคือ ให้คู่สมรสทั้งสองตกลงหย่ากันโดยความยินยอม โดยการทำเป็นหนังสือหย่าลงลายมือชื่อของทั้งสองฝ่ายและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคนและไปจดทะเบียนการหย่านั้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นางสมหญิงในแต่ละประเด็นดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

 

ข้อ 3 นายกรและนางนวลเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย หลังจากสมรสนายกรและนางนวลทำสัญญาระหว่างสมรสให้นายกรมีอำนาจในการจัดการสินสมรสแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายกรนำเงินโบนัสที่ได้ประจำปีซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายกรในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นนายกรทำหนังสือและจดทะเบียนสิทธิอาศัยให้นายโชคญาติของนายกรมีสิทธิอาศัยในที่ดินดังกล่าวเป็นเวลา 3 ปี โดยนางนวลไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมแต่อย่างใด ต่อมานายกรทำสัญญาให้นายชินเพื่อนของนายกรเช่ารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสเพื่อทำเป็นแท็กซี่เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยนายชินก็ทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นสินสมรสของนายกรและนางนวล แต่นางนวลไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการเช่ารถยนต์นั้น นางนวลมาทราบเรื่องราวต่างๆภายหลัง นางนวลโกรธมาก นางนวลจึงอยากฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยในที่ดินแก่นายโชค และการให้เช่ารถยนต์กับนายชิน ดังนี้ นางนวลจะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(2) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกินหรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

มาตรา 1476/1 วรรคแรก สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทำสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และมาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส

มาตรา 1480 วรรคแรก การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายกรและนางนวลทำสัญญาระหว่างสมรสให้นายกรเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้น สัญญาระหว่างสมรสดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ เพราะการที่สามีหรือภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 1476ได้ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นสัญญาก่อนสมรสเท่านั้น (มาตรา 1476/1)

เงินโบนัสที่นายกรได้รับประจำปีเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474(1) เมื่อนายกรนำเงินที่เป็นสินสมรสไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งนั้น ที่ดินที่นายกรซื้อมาย่อมถือว่าเป็นสินสมรส และการที่นายกรได้ทำหนังสือและจดทะเบียนสิทธิอาศัยในที่ดินที่เป็นสินสมรสให้แก่นายโชคเป็นระยะเวลา 3 ปีนั้น เป็นนิติกรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476(2) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนางนวลไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการจัดการดังกล่าว นางนวลจึงสามารถที่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิอาศัยในที่ดินที่เป็นสินสมรสดังกล่าวได้

ส่วนกรณีที่นายกรทำสัญญาให้นายชินเพื่อนของนายกรเช่ารถยนต์ที่เป็นสินสมรสเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางนวลนั้น เมื่อรถยนต์เป็นเพียงสังหาริมทรัพย์มิใช่อสังหาริมทรัพย์ จึงไม่ใช่นิติกรรมตามมาตรา 1476(3) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายกรย่อมมีอำนาจในการจัดการให้นายชินเช่ารถยนต์ที่เป็นสินสมรสได้โดยลำพัง นางนวลจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่ารถยนต์ไม่ได้

สรุป นางนวลจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยในที่ดินได้ แต่นางนวลจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่ารถยนต์ไม่ได้

 

ข้อ 4 นายเดือนและนางดาวอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา จนมีลูกสาว 1 คน คือเด็กหญิงแจ๋ว นายเดือนและนางดาวจึงได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมานางดาวล้มป่วยและเจ็บออดๆแอดๆ ไม่หายขาด นางดาวจึงให้นางแดงสาวใช้ของตนเองไปทำหน้าที่ภริยาอีกคนหนึ่งของนายเดือน ต่อมานายเดือนและนางแดงมีลูกด้วยกัน 2 คน คือ เด็กชายเอ และเด็กชายบี นายเดือนหลงรักนางแดงและลูกชายสองคนมาก นางแดงอยากให้นางดาวหย่าขาดจากนายเดือน จึงด่าว่านางดาวเสียๆหายๆอยู่เสมอ บางครั้งก้าวร้าว ลามปาม หยาบหมิ่นถึงบุพการีของนางดาว นางดาวโกรธมากขอหย่าจากนายเดือน นายเดือนก็ไม่ยอม นางดาวจะฟ้องหย่านายเดือนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และเด็กหญิงแจ๋ว เด็กชายเอ เด็กชายบี เป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายของใคร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

มาตรา 1517 วรรคแรก เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) และ(2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้

มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดามารดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ นางดาวจะฟ้องหย่านายเดือนได้หรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ 2 กรณี คือ

กรณีแรก

การที่นายเดือนยกย่องนางแดงเป็นภริยาอีกคนหนึ่งนั้น โดยหลักแล้วถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายเดือนได้นางแดงเป็นภริยานั้นก็เพราะนางดาวได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการจัดหาให้ ดังนั้นจึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคแรก นางดาวจึงยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้

กรณีที่สอง

การที่นางดาวถูกนางแดงทรมานจิตใจ หมิ่นประมาท หรือเหยียดหยามอย่างร้ายแรงและบางครั้งนางแดงก็ได้กระทำต่อบุพการีของนางดาวด้วยนั้น กรณีนี้นางดาวจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นฟ้องหย่านายเดือนไม่ได้เช่นกัน เพราะมิใช่เป็นการกระทำของนายเดือนสามีจึงไม่ถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(3)

ส่วนกรณีที่ว่า เด็กหญิงแจ๋ว เด็กชายเอ เด็กชายบี เป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายของใครนั้น เห็นว่า เด็กหญิงแจ๋ว แม้จะเกิดมาในขณะที่บิดามารดามิได้สมรสกัน แต่เมื่อในภายหลังบิดามารดาได้สมรสกัน ดังนั้นเด็กหญิงแจ๋วย่อมเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนและนางดาว (ตามมาตรา 1547) แต่เด็กชายเอ และเด็กชายบีนั้นเมื่อเกิดจากมารดาที่มิได้มีการสมรสกับบิดา ดังนั้นเด็กชายเอและเด็กชายบีจึงเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาคือนางแดงแต่เพียงผู้เดียว (ตามมาตรา 1546)

สรุป นางดาวจะฟ้องหย่านายเดือนไม่ได้ และเด็กหญิงแจ๋วเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเดือนและนางดาว ส่วนเด็กชายเอและเด็กชายบีเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายของนางแดงแต่เพียงผู้เดียว

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว s/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ 1 นายสมบูรณ์ทำสัญญาหมั้น น.ส.ดารา ด้วยแหวนหมั้น 1 วง เมื่อทำสัญญาหมั้นกันแล้ว นายสมบูรณ์ได้ชักชวนให้ น.ส.ดาราลาออกจากงาน และมาอยู่กินกันฉันสามีภริยาที่บ้านของนายสมบูรณ์ ต่อมานางปราณีแฟนเก่าของนายสมบูรณ์ได้ทะเลาะกับสามีและตกลงทำหนังสือหย่ากันโดยตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยากันเรียบร้อยแล้ว แม้จะเกรงใจทางครอบครัวของนายสมบูรณ์แต่ด้วยเป็นเพื่อนสนิทกัน นางปราณีได้ติดต่อปรึกษาหารือกับนายสมบูรณ์ ทำให้นายสมบูรณ์มีจิตใจรักใคร่จนได้หลับนอนกับนางปราณี น.ส.ดารา ไม่พอใจ และไม่ต้องการสมรสกับนายสมบูรณ์ แต่ต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมบูรณ์และนางปราณี จะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส

มาตรา 1443 ในกรณีมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทำให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายคนนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย

มาตรา 1444 ถ้าเหตุอันทำให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทำภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทำชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น

มาตรา 1445 ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี

มาตรา 1514 การหย่านั้นจะทำได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคำพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน

มาตรา 1515 เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมบูรณ์ ได้ทำสัญญาหมั้น น.ส.ดารา ด้วยแหวนหมั้น 1 วงนั้น เมื่อมีการส่งมอบแหวนหมั้นให้แก่หญิงแล้ว ย่อมเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก

ตามข้อเท็จจริง ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า น.ส.ดารา ไม่ต้องการสมรสกับนายสมบูรณ์จะทำได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายสมบูรณ์ได้หลับนอนกับนางปราณีซึ่งทะเลาะเบาะแว้งกับสามีอยู่นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุสำคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ซึ่งทำให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้นตามมาตรา 1443 ดังนั้น น.ส.ดาราจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องสมรสกับนายสมบูรณ์ได้ โดยไม่ต้องคืนแหวนหมั้นให้นายสมบูรณ์

และประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า น.ส.ดาราต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมบูรณ์และนางปราณี จะทำได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายสมบูรณ์ได้ร่วมหลับนอนกับนางปราณีภริยาของผู้อื่นภายหลังการหมั้นนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงที่นายสมบูรณ์คู่หมั้นได้กระทำภายหลังการหมั้น ตามมาตรา 1444 ทั้งนี้ เพราะนางปราณีเพียงแต่ได้ทำหนังสือหย่ากับสามีแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า จึงทำให้การหย่ายังไม่สมบูรณ์ (มาตรา 1514 และ 1515) การสมรสจึงยังไม่สิ้นสุด การกระทำของนายสมบูรณ์จึงเป็นการทำชู้กับภริยาของผู้อื่น ดังนั้น เมื่อเหตุที่ทำให้ น.ส.ดารา บอกเลิกสัญญาหมั้นเป็นเพราะการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของนายสมบูรณ์ซึ่งได้กระทำภายหลังการหมั้น นายสมบูรณ์จึงต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนให้แก่ น.ส.ดารา นั่นเอง กล่าวคือ น.ส.ดารา มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายแก่กายหรือชื่อเสียงตามมาตรา 1440(1) และมีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่ น.ส.ดาราได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่อาชีพหรือทางทำมาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส คือการที่ตนต้องลาออกจากงานตามมาตรา 1440(3) ส่วนค่าทดแทนเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้ใช้จ่าย หรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริต และตามสมควรตามมาตรา 1440(2) นั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.ส.ดาราได้ใช้จ่ายไปในการนี้จึงไม่มีสิทธิเรียก

ส่วนกรณีของนางปราณีนั้น การที่นางปราณีร่วมหลับนอนกับนายสมบูรณ์ นางปราณีย่อมรู้หรือควรจะรู้ว่านายสมบูรณ์เป็นคู่หมั้นของ น.ส.ดารา เพราะนางปราณีเป็นแฟนเก่าและเป็นเพื่อนสนิทของนายสมบูรณ์ ดังนั้น น.ส.ดารา จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากนางปราณีผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนได้เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1443 แล้ว (มาตรา 1445)

สรุป น.ส.ดารา สามารถบอกเลิกสัญญาหมั้นเพื่อไม่ต้องสมรสกับนายสมบูรณ์ และฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมบูรณ์และนางปราณีได้

 

ข้อ 2 นายนพพรได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้ น.ส.เมตตา จดทะเบียนสมรสด้วย เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วนายนพพรได้ยกที่ดินหนึ่งแปลงให้ น.ส.เมตตา และยกรถยนต์ 1 คัน ให้บิดาของ น.ส.เมตตา สองเดือนต่อมา น.ส.เมตตาได้หนีพ้นจากการข่มขู่ของนายนพพร อีกสองเดือนต่อมา น.ส.เมตตาได้จดทะเบียนสมรสกับนายสุชาติซึ่งเคยชอบพอกัน แต่ก็ไม่ทราบว่านายสุชาติถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ในระหว่างนั้นเอง น.ส.เมตตาได้ขายที่ดินให้แก่ น.ส.อุไร เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย นายนพพรไม่พอใจจึงต้องการบอกล้างการให้ที่ดินและรถยนต์ เช่นนี้ จะทำได้หรือไม่ และการสมรสจะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 521 อันว่าให้นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับ และผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น

มาตรา 531 อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา หรือ

(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ

(3) ถ้าผู้รับบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้

มาตรา 1452 ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา 1469 สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมอบมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา

มาตรา 1473 สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ

มาตรา 1495 การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ

มาตรา 1502 การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา 1507 วรรคแรก ถ้าคู่สมรสได้ทำการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะไม่ทำการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนพพรได้ข่มขู่อันถึงขนาดทำให้ น.ส.เมตตา จดทะเบียนสมรสด้วย ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1507 ย่อมทำให้การสมรสระหว่างนายนพพรกับ น.ส.เมตตาตกเป็นโมฆียะ แต่การสมรสยังไม่สิ้นสุดลง เพราะการสมรสจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้นแล้ว ตามมาตรา 1502

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว นายนพพรได้ยกที่ดินหนึ่งแปลงให้ น.ส.เมตตา การให้ที่ดินดังกล่าว จึงถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 ที่ดินจึงตกเป็นสินส่วนตัวของ น.ส.เมตตา ตามมาตรา 1471(3) เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา น.ส.เมตตาจึงมีอำนาจจัดการได้โดยลำพังตามมาตรา 1473 ดังนั้น น.ส.เมตตา จึงมีสิทธิขายที่ดินให้แก่ น.ส.อุไรได้

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส แม้ว่า น.ส.เมตตา ได้ขายที่ดินให้แก่ น.ส.อุไรไปแล้ว นายนพพรก็ยังมีสิทธิบอกล้างการให้ที่ดินแก่ น.ส.เมตตาได้ โดยนายนพพรสามารถบอกล้างในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตตามมาตรา 1469 เมื่อ น.ส.อุไรไม่ทราบว่าที่ดินที่ตนซื้อมาจาก น.ส.เมตตาเป็นที่ดินที่นายนพพรยกให้ น.ส.เมตตา จึงถือว่า น.ส.อุไรสุจริต ดังนั้น การที่นายนพพรใช้สิทธิบอกล้างการให้ที่ดินซึ่งเป็นสัญญาระหว่างสมรสก็จะไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของ น.ส.อุไร กล่าวคือ น.ส.อุไรยังคงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น นายนพพรจะเรียกที่ดินคืนจาก น.ส.อุไรไม่ได้

ส่วนการที่นายนพพร ยกรถยนต์ให้บิดาของ น.ส.เมตตานั้น ถือเป็นการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 521 เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบิดาของ น.ส.เมตตา ได้ประพฤติเนรคุณต่อนายนพพรผู้ให้ตามมาตรา 531 แต่อย่างใด ดังนั้น นายนพพรจะบอกล้างการให้รถยนต์ดังกล่าวไม่ได้

และกรณีการสมรสระหว่าง น.ส.เมตตา กับนายสุชาตินั้น ถือเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 กล่าวคือ เป็นกรณีที่ น.ส.เมตตาทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ (สมรสซ้อน) เพราะศาลยังไม่ได้มีการพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายนพพรกับ น.ส.เมตตา ดังนั้น การสมรสระหว่าง น.ส.เมตตากับนายสุชาติจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

สรุป นายนพพรบอกล้างการให้ที่ดินได้ แต่ที่ดินยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ น.ส.อุไร และจะบอกล้างการให้รถยนต์ไม่ได้ ส่วนกรณีการสมรสนั้น การสมรสระหว่างนายนพพรกับ น.ส.เมตตามีผลเป็นโมฆียะ แต่การสมรสระหว่าง น.ส.เมตตากับนายสุชาติ มีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายสกลจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.รัตนาโดยทราบดีว่า น.ส.รัตนาได้เคยอยู่กินกับนายมนูญมาก่อน ต่อมานายมนูญได้พยายามกลับมาตีสนิทขอคืนดี และได้ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน น.ส.รัตนา นายมนูญให้สัญญาว่าจะรับผิดชอบดูแล น.ส.รัตนาต่อไป นายสกลโกรธมากจึงต้องการฟ้องหย่า แต่ น.ส.รัตนาต่อสู้ว่านายสกลทราบดีอยู่แล้วว่า น.ส.รัตนาเคยอยู่กินกับนายมนูญ ดังนี้ นายสกลจะฟ้องหย่า น.ส.รัตนาได้หรือไม่ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

มาตรา 1517 วรรคแรก เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) และ(2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้

มาตรา 1523 วรรคสองและวรรคสาม สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้

ถ้าสามีหรือภริยายินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้อีกฝ่ายหนึ่งกระทำการตามมาตรา 1516(1) หรือให้ผู้อื่นกระทำการตามวรรคสอง สามีหรือภริยานั้นจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมนูญได้ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน น.ส.รัตนานั้น ไม่ถือว่า น.ส.รัตนาเป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับนายมนูญเป็นอาจิณตามมาตรา 1516(1) และไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ น.ส.รัตนาประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้นายสกลซึ่งเป็นสามีได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516(2)(ก) ดังนั้น นายสกลจะฟ้องหย่า น.ส.รัตนาไม่ได้

และการที่ น.ส.รัตนาได้ต่อสู้ว่านายสกลทราบดีอยู่แล้วว่า น.ส.รัตนาได้เคยอยู่กินกับนายมนูญมาก่อน ก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1517 วรรคแรก และมาตรา 1523 วรรคสาม ที่จะถือว่าเป็นการที่สามีคือนายสกลได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำของนายมนูญ

ดังนั้น เมื่อการกระทำของนายมนูญที่ปลุกปล้ำข่มขืน น.ส.รัตนาซึ่งถือว่าเป็นการล่วงเกิน น.ส.รัตนา ภริยาของนายสกลไปในทำนองชู้สาว นายสกลจึงสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง

สรุป นายสกลจะฟ้องหย่า น.ส.รัตนาไม่ได้ แต่ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญได้

 

ข้อ 4 นายถวิลกับนางอำไพเป็นสามีภริยากัน ต่อมาได้ทำบันทึกเป็นสัญญาระหว่างสมรสให้นางอำไพ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินสินสมรสที่เป็นส่วนของนายถวิล โดยมีข้อตกลงกันว่าจะไม่ให้ยกเลิกข้อตกลงในสัญญาระหว่างสมรสนี้ ต่อมานายถวิลและนางอำไพทะเลาะกัน นายถวิลจึงขอบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสที่ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินสินสมรสให้แก่นางอำไพ แต่นางอำไพไม่สนใจได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้กับนายสมคิดโดยอ้างว่า ได้ทำข้อตกลงกันไว้ไม่ให้ยกเลิกข้อตกลงในสัญญาระหว่างสมรสไว้แล้วจึงทำได้โดยลำพัง เพราะเป็นสินส่วนตัวของตน เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา

มาตรา 1473 สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ

มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนองซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

มาตรา 1480 วรรคแรก การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายถวิลทำบันทึกเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 ให้นางอำไพมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินสินสมรสที่เป็นส่วนของนายถวิล โดยมีข้อตกลงกันว่าจะไม่ให้ยกเลิกข้อตกลงในสัญญาระหว่างสมรสนี้นั้น ย่อมทำให้ที่ดินสินสมรสทั้งหมดตกเป็นสินส่วนตัวของนางอำไพตามมาตรา 1471(3) เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา นางอำไพจึงมีอำนาจจัดการที่ดินซึ่งเป็นสินส่วนตัวนี้ได้ตามลำพังตามมาตรา 1473

แต่อย่างไรก็ตาม การทำสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 โดยตกลงกันไม่ให้ยกเลิกข้อตกลงนั้นไม่สามารถทำได้ (ฎ. 5974/2538) ดังนั้น นายถวิลจึงขอบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสได้ในระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 และเมื่อบอกล้างสัญญาแล้วย่อมทำให้ที่ดินดังกล่าวกลับมาเป็นสินสมรสเช่นเดิม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางอำไพได้โอนขายที่ดินสินสมรสดังกล่าวให้กับนายสมคิดโดยลำพังจึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1476(1) ที่กำหนดว่า การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสินสมรส สามีและภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายถวิลจึงมีสิทธิฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480

แต่อย่างไรก็ดี หากนายสมคิดได้มาซื้อที่ดินสินสมรสนี้ไปโดยสุจริต กล่าวคือ ไม่รู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างนายถวิลกับนางอำไพ ดังนี้ นายถวิลย่อมไม่สามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินได้เพราะบทบัญญัติมาตรา 1480 นี้ คุ้มครองบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

สรุป กรณีดังกล่าวข้าพเจ้าเห็นว่า นายถวิลสามารถบอกเลิกสัญญาระหว่างสมรสได้ และสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างนางอำไพกับนายสมคิดได้ เว้นแต่ถ้านายสมคิดจะได้ซื้อที่ดินไปโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน นายถวิลจะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนไม่ได้

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ 1 นายมนูญอายุ 29 ปี ทำสัญญาหมั้นนางสาวรัศมีอายุ 25 ปี ด้วยแหวนเพชร 1 วง และทอง 5 บาท ต่อมานายมนูญได้จัดงานพิธีมงคลสมรสกับนางสาวรัศมี และตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสในอีก 1 ปีข้างหน้า ในระหว่างนั้นเอง นายมนูญได้เที่ยวเตร่หลับนอนกับนางสาวสุดาอายุ 19 ปี และนางสาวสุดาได้ขู่ว่าจะบอกบิดาซึ่งมีนิสัยโมโหร้าย นายมนูญและนางสาวสุดาจึงแอบจดทะเบียนสมรสโดยไม่บอกให้ผู้ใดทราบ ต่อมานางสาวรัศมีทราบความจริงก็โกรธจึงต้องการฟ้องว่าการสมรสไม่ถูกต้องได้หรือไม่ และต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา 1439 เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา 1440 ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

มาตรา 1454 ผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 1503 เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทำการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509

มาตรา 1509 การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา 1510 วรรคแรก การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้

วินิจฉัย

โดยหลักของกฎหมาย ในกรณีที่มีการหมั้น และการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก คือฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นแล้ว เมื่อมีการผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายที่มิได้ผิดสัญญาหมั้นย่อมมีสิทธิเรียกให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาหมั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1439 และมาตรา 1440

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมนูญได้ทำการหมั้นกับนางสาวรัศมีด้วยแหวนเพชร 1 วง และทอง 5 บาท โดยตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสกันในอีก 1 ปี ข้างหน้านั้น การหมั้นระหว่างนายมนูญกับนางสาวรัศมีมีผลสมบูรณ์ ตามมาตรา 1437 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อต่อมานายมนูญได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวสุดา จึงถือว่านายมนูญผิดสัญญาหมั้น นางสาวรัศมีจึงมีสิทธิเรียกให้นายมนูญรับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1439 และค่าทดแทนที่นางสาวรัศมีสามารถเรียกได้ คือค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงของนางสาวรัศมีตามมาตรา 1440(1)

และการที่นายมนูญได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวสุดาซึ่งมีอายุ 19 ปี และยังเป็นผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดาของนางสาวสุดานั้น เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1509 การสมรสจึงมีผลเป็นโมฆียะ และตามมาตรา 1503 ประกอบกับมาตรา 1510 วรรคแรก ผู้ที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้คือ บิดาและมารดาของนางสาวสุดานั่นเอง ดังนั้น นางสาวรัศมีจะฟ้องให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสระหว่างนายมนูญกับนางสาวสุดาไม่ได้

สรุป นางสาวรัศมีจะฟ้องว่าการสมรสไม่ถูกต้องไม่ได้ แต่สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญได้ ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 นายสุริยาหมั้นนางสาวจันทราซึ่งมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว และได้รับความยินยอมจากบิดามารดาด้วยแหวนเพชร 1 วง มูลค่า 1 ล้านบาท ต่อมานายสุริยาก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาวนภา เพราะถูกนางสาวนภาข่มขู่ว่าถ้าไม่จดทะเบียนสมรสกับตนจะเปิดเผยว่า นายสุริยาข่มขืนกระทำชำเราตนและเพื่อนของตน

1) การหมั้นระหว่างนายสุริยาและนางสาวจันทรามีผลในทางกฎหมายอย่างไร นางสาวจันทราจะบอกเลิกการหมั้นไม่คืนแหวนเพชรและเรียกค่าทดแทนจากนายสุริยาได้หรือไม่

2) การสมรสระหว่างนายสุริยาและนางสาวนภามีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ

มาตรา 1436 ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา

การหมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ

มาตรา 1437 วรรคแรก การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา 1457 การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น

มาตรา 1502 การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน

มาตรา 1507 วรรคแรก ถ้าคู่สมรสได้ทำการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะไม่ทำการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

วินิจฉัย

1) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุริยาหมั้นกับนางสาวจันทราซึ่งมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้วนั้น แม้การหมั้นนั้นจะได้มีการส่งมอบของหมั้นคือแหวนเพชร 1 วง ให้แก่หญิงแล้ว และได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดาของนางสาวจันทราตามมาตรา 1436 และมาตรา 1437 แล้วก็ตาม แต่เมื่อนางสาวจันทรายังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงถือว่าการหมั้นนั้นฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1435 ดังนั้น การหมั้นระหว่างนายสุริยาและนางสาวจันทรามีผลเป็นโมฆะ

และเมื่อการหมั้นดังกล่าวมีผลเป็นโมฆะ จึงถือเสมือนว่าไม่มีการหมั้นกันเกิดขึ้น ดังนั้นนางสาวจันทราจึงต้องคืนของหมั้นคือแหวนเพชรให้แก่นายสุริยา และเมื่อนายสุริยาไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาวนภา ก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น ดังนั้นนางสาวนภาก็จะเรียกค่าทดแทนจากนายสุริยาไม่ได้เช่นกัน

2) การที่นายสุริยาได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวนภานั้น เป็นเพราะนางสาวนภาข่มขู่ว่าถ้าไม่จดทะเบียนสมรสกับตนก็จะเปิดเผยว่า นายสุริยาข่มขืนกระทำชำเราตนและเพื่อนของตน ดังนี้ ถือว่าการสมรสได้เกิดขึ้นเพราะถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะไม่ทำการสมรส ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสุริยาและนางสาวนภาจึงมีผลเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 1507 วรรคแรก ซึ่งถ้าจะทำให้การสมรสสิ้นสุดลงก็ต้องให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสนั้น (มาตรา 1502)

สรุป

1) การหมั้นระหว่างนายสุริยาและนางสาวจันทรามีผลเป็นโมฆะ นางสาวจันทราจะบอกเลิกการหมั้นโดยไม่คืนแหวนเพชรและเรียกค่าทดแทนจากนายสุริยาไม่ได้

2) การสมรสระหว่างนายสุริยาและนางสาวนภามีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3 นายเก่งอยู่กินกันฉันสามีภริยากับนางสาวน้อยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน นายเก่งไปทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายคงจำนวน 1,000,000 บาท โดยนางสาวน้อยลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้นั้น นายเก่งนำเงินทั้งหมดไปซื้อบ้านหลังหนึ่ง หลังจากนั้นนายเก่งและนางสาวน้อยจดทะเบียนสมรสกัน นายเก่งและนางน้อยย้ายไปอยู่ในบ้านดังกล่าว ต่อมานายเก่งไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ 1,000,000 บาท แก่นายคง นายคงมาทวงเงินที่นายเก่งกู้ไปจากนางน้อย โดยนายคงอ้างว่านางน้อยเป็นภริยาจะต้องร่วมชำระหนี้ด้วย นางน้อยปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นผู้กู้ หลังจากนั้นนายเก่งและนางน้อยทะเลาะกัน นางน้อยย้ายออกมาจากบ้ายไปอาศัยกับพี่ชายของตน พี่ชายของนางน้อยได้จดทะเบียนให้นางน้อยมีสิทธิอาศัยในบ้านพี่ชายนางน้อยเป็นเวลา 10 ปี โดยที่นายเก่งไม่ได้รู้เห็นแต่อย่างใด ต่อมานายเก่งอยากให้นางน้อยกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกันดังเดิม ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1) นางน้อยจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ 1,000,000 บาท ที่นายเก่งกู้ยืมมาจากนายคงหรือไม่

2) นายเก่งจะฟ้องศาลขอเพิกถอนการรับสิทธิอาศัยของนางน้อยได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(2) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกินหรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

มาตรา 1480 วรรคแรก การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

มาตรา 1488 ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชำระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่างสมรส ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น

มาตรา 1490 หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

1) หนี้เงินกู้จำนวน 1,000,000 บาท ที่นายเก่งไปทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายคงจัดเป็นหนี้ส่วนตัวของนายเก่งตามมาตรา 1488 เพราะเป็นหนี้ที่นายเก่งได้ก่อขึ้นก่อนที่จะจดทะเบียนสมรสกับนางน้อย แม้ว่าภายหลังนายเก่งและนางน้อยจะไปอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ก็ไม่ทำให้เป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490(1) แต่อย่างใด อีกทั้งการที่นางน้อยได้ปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้แก่นายคง ถือได้ว่านางน้อยไม่ได้ให้สัตยาบันในหนี้สินส่วนตัวของนายเก่ง จึงไม่ทำให้เป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490(4) ด้วย ดังนั้น นางน้อยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ 1,000,000 บาท โดยนายเก่งจะต้องรับผิดในการชำระหนี้ดังกล่าวแก่นางคงแต่เพียงผู้เดียว

2) การที่นางน้อยจดทะเบียนรับสิทธิอาศัยในบ้านของพี่ชายนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินสมรสแต่อย่างใด จึงไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476(2) ที่กำหนดว่าการก่อตั้งหรือกระทำให้สิ้นสุดซึ่งสิทธิอาศัยในอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสินสมรส สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน ดังนั้น นายเก่งจึงฟ้องศาลขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับสิทธิอาศัยของนางน้อยตามมาตรา 1480 วรรคแรก นั้นไม่ได้

สรุป

1) นางน้อยไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ 1,000,000 บาท ที่นายเก่งกู้ยืมมาจากนายคง

2) นายเก่งจะฟ้องศาลขอเพิกถอนการรับสิทธิอาศัยของนางน้อยไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานายไก่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หลังศาลมีคำสั่ง นางไข่จึงไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาทันทีกับนายเป็ดและมีบุตรด้วยกันคือหนึ่ง ต่อมานายไก่กลับมา

1) นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ได้หรือไม่

2) หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ

มาตรา 1536 วรรคแรก เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี

มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

1) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และต่อมานายไก่ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้น มิได้ทำให้การสมรสระหว่างนายไก่และนางไข่สิ้นสุดลงแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงทำให้นางไข่สามารถถือเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้ตามมาตรา 1516(5) เท่านั้น การที่นางไข่ซึ่งยังเป็นภริยาของนายไก่อยู่แต่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายเป็ด จึงถือว่าเป็นกรณีที่นางไข่มีชู้และเข้าเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) ดังนั้น นายไก่จึงสามารถฟ้องหย่านางไข่ได้

2) หนึ่งซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากนางไข่ในขณะที่ยังถือว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ ย่อมถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่ ตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก เพราะเป็นบุตรที่เกิดระหว่างสมรสของนายไก่และนางไข่ตามมาตรา 1536 วรรคแรก และ 1546

สรุป

1) นายไก่ฟ้องหย่านางไข่ได้

2) หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่

LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน ซ่อม S/2546

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดงเห็นที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ในทำเลที่ดีมาก  เจ้าของที่ดินได้ติดประกาศขายไว้ในราคา  1  ล้านบาท  นายแดงต้องการซื้อไว้เพื่อขายเก็งกำไร  แต่นายแดงมีเงินไม่พอ  จึงได้ชักชวนนายขาวลงเงินกันคนละ  5  แสนบาท  เพื่อซื้อที่ดินแปลดังกล่าวไว้ขายเพื่อหากำไรมาแบ่งกัน  แต่นายขาวเกรงว่าหากขายไม่ได้เวลาที่กำหนดหรือขายได้น้อยกว่าทุนที่ลงไปก็อาจขาดทุนได้  นายขาวจึงให้นายแดงทำหนังสือนับรองไว้ว่าหากขายที่ดินได้ต่ำกว่าราคาทุน  นายแดงจะประกันคืนเงินให้นายขาวจนครบ  5  แสนบาท  นายขาวจึงตกลงและมอบเงินให้นายแดงไป  5  แสนบาท  เพื่อไปซื้อที่ดินดังกล่าว  โดยใส่ชื่อนายแดงเป็นผู้ซื้อแต่เพียงผู้เดียว  ดังนี้  ข้อตกลงของนายแดงและนายขาวนี้จะเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  1012  อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้น

วินิจฉัย

ข้อตกลงของนายแดงและนายขาวที่มีการลงทุนร่วมกันด้วยเงินคนละ  5  แสนบาท  เพื่อทำกิจการซื้อที่ดินมาขายหากำไรมาแบ่งกัน  จึงเป็นลักษณะของสัญญาเข้าหุ้นส่วนกัน  ตามมาตรา  1012  แม้จะมีข้อตกลงเพิ่มเติมว่าหากขายได้ต่ำกว่าทุนที่ลงไป  นายแดงจะคืนเงินให้นายขาวจนครบ  5  แสนบาทตามที่ได้ลงทุน  ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้สัญญาเข้าหุ้นเสียไปแต่อย่างใด  เพราะสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชนจึงจะตกลงกันอย่างไรก็ได้  ข้อตกลงดังกล่าวจึงเข้าองค์ประกอบตามมาตรา  1012  แล้ว  กล่าวคือ  มีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเข้าทุนกัน  เพื่อทำกิจการร่วมกัน  ด้วยวัตถุประสงค์แบ่งปันกำไร  อันจะพึงได้จากกิจการที่ทำนั้น

สรุป  ข้อตกลงของนายแดงและนายขาว  เป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันตามมาตรา  1012

 

ข้อ  2  นายอาทิตย์  นายจันทร์  และนายอังคาร  ได้ตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด  โดยนายอาทิตย์และนายจันทร์เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  นายอังคารเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ  ห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้ได้จดทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว  และได้ดำเนินกิจการมาเป็นเวลาสองปีแล้ว  ต่อมานายจันทร์ต้องการไปประกอบอาชีพเช่นเดียวกับการค้าขายของห้างหุ้นส่วนจึงเกรงว่าจะเป็นการกระทบกับผลประโยชน์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด  นายจันทร์จึงขอลาออกจากห้างฯแต่หุ้นส่วนทั้งสองคือนายอาทิตย์และนายอังคารไม่ยอมให้ออก  นายจันทร์จึงมาปรึกษาท่านว่าในกรณีดังกล่าวข้างต้น   หากนายจันทร์ยังเป็นหุ้นส่วนอยู่  นายจันทร์จะมีสิทธิประกอบกิจการค้าขายแข่งกับห้างหุ้นส่วนหรือไม่  ให้ท่านแนะนำนายจันทร์

ธงคำตอบ

มาตรา  1090  ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดจะประกอบการค้าขายอย่างใดๆ  เพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกก็ได้  แม้ว่าการเช่นนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับการค้าขายของห้างหุ้นส่วนก็ไม่ห้าม

วินิจฉัย

นายจันทร์เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  จึงมีสิทธิประกอบกิจการค้าขายที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับการค้าขายของห้างหุ้นส่วนจำกัด  ซึ่งการค้าขายที่มีสภาพอย่างเดียวกันนี้ก็หมายถึงการค้าขายที่เป็นกิจการอย่างเดียวกัน  และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั่นเอง  ซึ่งบทบัญญัติมาตรา  1090  อนุญาตให้หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดดำเนินการได้  เพราะหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดนี้ถูกต้องห้ามมิให้เข้ามาจัดการงานของห้างฯ  หุ้นส่วนประเภทนี้จึงอาจประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการงานของห้างได้

สรุป  ข้าพเจ้าจะแนะนำนายจันทร์ว่า  นายจันทร์มีสิทธิประกอบกิจการค้าขายแข่งกับห้างหุ้นส่วนได้

 

ข้อ  3  บริษัท  นพคุณ  จำกัด  มีทุนจดทะเบียน  2  ล้านบาท  โดยแบ่งออกเป็น  1  แสนหุ้น  มูลค่าหุ้นละ  20  บาท  บริษัทนี้ได้ประกอบกิจการมาหลายปีแล้ว  มีกำไรดีทุกปี  จนมีทุนสำรองนับได้  1  แสนบาท  ต่อมาบริษัทต้องการลดทุนลงเหลือ  1  ล้านบาท  โดยลดมูลค่าหุ้นให้ต่ำลงเหลือหุ้นละ  10  บาท  คณะกรรมการจึงได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อปรึกษาในเรื่องการลดทุนตามวิธีการดังกล่าว  ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ลงมติครั้งแรกด้วยคะแนนเสียงสามในสี่ของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและออกเสียงทั้งหมดให้ลดทุนตามวิธีการดังกล่าวข้างต้น  ต่อมาได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นอีกเป็นครั้งที่สองตามที่กฎหมายกำหนดและในการประชุมครั้งที่สองนี้  คณะกรรมการได้เสนอให้ลดทุนลงเหลือ  1  ล้านบาทเหมือนเดิม  โยวิธีลดจำนวนหุ้นลงเหลือ  5  หมื่นหุ้น  แต่มูลค่าหุ้นให้คงไว้ที่  20  บาทเท่าเดิม  เนื่องจากเกรงว่าหาดลดมูลค่าหุ้นลงจะทำให้ราคาหุ้นตก  บุคคลภายนอกที่มาติดต่อค้าขายกับบริษัทจะไม่เชื่อถือในหลักทรัพย์ของบริษัท  ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ฟังเหตุผลของคณะกรรมการแล้วก็เห็นคล้อยตามจึงได้ลงมติเป็นเอกฉันตามที่คณะกรรมการเสนอ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การลดทุนของบริษัท  นพคุณ  จำกัด  ชอบด้วยหลักกฎหมายหรือไม่  

ธงคำตอบ

มาตรา  1194  วรรคแรก  ถ้าที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติอันใดเป็นลำดับกันสองครั้งประชุมแล้ว  มติอันนั้นท่านให้ถือว่าเป็นมติพิเศษ  เมื่อได้ทำให้เป็นไปโดยวิธีดั่งจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

วรรคท้าย  ที่ประชุมครั้งหลังได้ลงมติยืนตามมติของที่ประชุมครั้งแรกโดยคะแนนเสียงข้างมากนับได้ไม่น้อยกว่าสองในสามส่วนของจำนวนเสียงทั้งหมด

วินิจฉัย

การลดทุนของบริษัท  นพคุณ  จำกัด  ไม่ชอบด้วยมาตรา  1194  กล่าวคือ  ที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่สอง  มิได้ลงมติยืนตามมติของที่ประชุมครั้งแรก  เนื่องจากมติที่ประชุมครั้งแรกได้ลงมติลดทุนด้วยการลดมูลค่าหุ้นให้ต่ำลงเหลือหุ้นละ  10  บาท  แต่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่สองได้ลงมติลดทุนด้วยการลดจำนวนหุ้นให้ต่ำลง  มติครั้งแรกกับมติครั้งที่สองจึงต่างกัน  เมื่อมติครั้งที่สองมิได้ลงมติยืนตามมติครั้งแรก  การลงมติให้ลดทุนของบริษัทนพคุณ  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  การลดทุนของบริษัท  นพคุณ  จำกัด  ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแสงกับนางโสมเป็นพี่น้องกัน  ได้ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน  มีวัตถุประสงค์เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู  โดยลงหุ้นกันคนละ  3  หมื่นบาท  และใช้ชื่อร้านว่า  ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเต็กกอ  นครปฐม

โดยเปิดขายที่ถนนรามคำแหง  ซอย  49/1  เหตุที่ใช้ชื่อนี้ก็เพราะว่า  ได้ตกลงกับนายเต็กกอ  แซ่ตั้ง  ซึ่งเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวหมูที่จังหวัดนครปฐมมาก่อน  จนมีลูกค้ามากมาย  มีชื่อเสียงโงดังคนรู้จักกันไปทั่ว  โดยนายเต็กกอ  แซ่ตั้ง  ได้เรียกเก็บเงินเป็นค่าตอบแทนจำนวน 15,000  บาท  และยอมให้นายแสงและนางโสม  ใช้ชื่อนี้เป็นชื่อร้านก๋วยเตี๋ยว  และนายเต็กกอจะเป็นผู้นำลูกชิ้นหมูที่ตนผลิตได้มาส่งขายให้นายแสงและนางโสม  เพื่อนำมาทำเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูขายต่อไป

ต่อมานายแสงได้กู้ยืมเงินนางแมวจำนวน  100,000  บาท  เพื่อนำมาขยายกิจการร้านขายก๋วยเตี๋ยว  โดยนางแมวเห็นว่าร้านขายก๋วยเตี๋ยวหมูเต็กกอ  นครปฐม  ที่นายแสงและนางโสมทำอยู่นี้รสอร่อยเป็นที่ถูกปากของลูกค้า  และเข้าใจว่านายเต็กกอ  แซ่ตั้ง  เป็นหุ้นส่วนด้วย 

จึงยอมให้กู้เงินไป  แต่เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระ  นางแมวก็ทวงถามจากนายแสงและนางโสม  แต่ทั้งสองคนไม่มีเงินชำระหนี้  นางแมวจึงได้ทวงถามจากนายเต็กกอ  แซ่ตั้ง  แต่นายเต็กกอไม่ยอมชำระหนี้  โดยอ้างว่าตนมิใช่หุ้นส่วนกับนายแสง  นางโสม  และตนไม่ใช่เจ้าของร้านแห่งนี้  แต่การที่ตนยอมให้นายแสงกับนางโสมใช้ชื่อตนเป็นชื่อร้านก็เพราะเป็นเรื่องของการทำธุรกิจการค้าสมัยใหม่  ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากใครๆก็เข้าใจดี  นางแมวจึงมาปรึกษาท่านว่าในกรณีดังกล่าวข้างต้น

ข้ออ้างของนายเต็กกอจะรับฟังได้หรือไม่  ให้ท่านแนะนำนางแมวด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  1054  วรรคแรก  บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี  ด้วยลายลักษณ์อักษรก็ดี  ด้วยกิริยาก็ดี  ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี  หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนก็ดี  ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน

วินิจฉัย

ข้ออ้างของนายเต็กกอ  รับฟังไม่ได้  เนื่องจากนายเต็กกอซึ่งไม่ได้เป็นหุ้นส่วนร่วมกับนายแสงและนางโสม  แต่ได้ยอมให้นายแสงและนางโสมนำชื่อตนไปใช้เป็นชื่อห้างหุ้นส่วน  และนางแมวก็เข้าใจโดยสุจริตว่า  นายเต็กกอเป็นหุ้นส่วนร่วมกับนายแสงและนางโสม  นายเต็กกอจึงต้องรับผิดต่อนางแมวในหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสมือนเป็นหุ้นส่วน  ตามมาตรา  1054  วรรคแรก

สรุป  ข้าพเจ้าจะแนะนำนางแมวว่า  ข้ออ้างของนายเต็กกอรับฟังไม่ได้  นายเต็กกอจึงต้องรับผิดต่อนางแมว

 

ข้อ  2  นายเอกและนายโท  ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันเพื่อจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด  โดยนายเอกเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  ส่วนนายโทเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด  และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ  ห้างนี้ได้จดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว  ดำเนินกิจการมาได้  8  ปี  ขาดเงินสดหมุนเวียน  นายเอกจึงได้ไปกู้ยืมเงินจากนายจัตวา  จำนวน  500,000  บาท  เพื่อนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนของห้างฯ  แต่นายจัตวาได้ให้นายเอกนำอาคารที่ทำการของห้างฯ  มาจำนองเป็นการประกันหนี้เงินกู้รายนี้ด้วย  นายโททราบเรื่องดังกล่าวก็เกรงว่าห้างฯ  จะถูกยึดบังคับขายทอดตลาด  หากไม่มีเงินมาชำระหนี้แก่นายจัตวา  นายโทจึงฟ้องต่อศาลขอให้เพิกถอนการจำนอง  แต่นายจัตวาต่อสู้ว่านายโทมิใช่หุ้นส่วนผู้จัดการไม่มีอำนาจฟ้อง  ขอให้ศาลยกฟ้อง  ดังนี้  ข้อต่อสู้ของนายจัตวารับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  1087  อันว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น  ท่านว่าต้องให้เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ

วินิจฉัย

ข้อต่อสู้ของนายจัตวารับฟังไม่ได้  เนื่องจากนายโทเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ  จึงมีอำนาจจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ทุกเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรักษาผลประโยชน์ของห้าง  การดำเนินในทางการค้าขายตามวัตถุประสงค์หรือในทางธรรมดาการค้าขายของห้าง  รวมทั้งการฟ้องร้องต่อสู้คดีแทนห้างด้วย  เมื่อนายเอกได้สอดเข้าจัดการงานของห้างโดยกู้ยืมเงินนายจัตวา  พร้อมทั้งนำอาคารที่ทำการของห้างฯ  มาจำนองประกันหนี้เงินกู้รายดังกล่าว  นายโทซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเกรงว่าห้างฯ  จะเสียหาย  นายโทก็มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการจำนองได้  เพราะการฟ้องคดีก็ถือว่าเป็นการจัดการงานของห้างด้วยอย่างหนึ่ง  นายโทจึงมีอำนาจฟ้องตามมาตรา  1087

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายจัตวารับฟังไม่ได้

 

ข้อ  3  ประธานกรรมการบริษัทฯ  ได้บอกกล่าวนัดประชุมใหญ่  โดยมอบหมายให้เลขานุการของตนโทรศัพท์แจ้งไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน  ผู้ถือหุ้นทุกคนได้รับทราบเรื่องนัดประชุมแล้ว  แต่บางคนก็มิได้มาประชุม   เพราะเห็นว่าเป็นการบอกกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้  หากได้มีการประชุมกันและลงมติไปแล้ว  ผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้มาประชุม  จะฟ้องขอให้เพิกถอนมติในที่ประชุมใหญ่ในครั้งนั้นได้หรือไม่  

ธงคำตอบ

มาตรา  1175  คำบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ทุกคราวนั้นให้ลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ฉบับหนึ่ง  ก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวันหรือส่งทางไปรษณีย์ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคน  บรรดามีชื่อในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

ในคำบอกกล่าวนั้น  ให้ระบุสถานที่  วัน  เวลา  และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุมปรึกษากันนั้นด้วย

มาตรา  1195  การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน  หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี  หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี  เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว  ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย  แต่ต้องร้องขอภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น

มาตรา  1244  อันหนังสือบอกกล่าวซึ่งบริษัทจะพึงส่งถึงผู้ถือหุ้นนั้น  ถ้าว่าได้ส่งมอบให้แล้วถึงตัวก็ดี  หรือส่งไปโดยทางไปรษณีย์สลักหลังถึงสำนักอาศัยของผู้ถือหุ้นดังที่ปรากฏในทะเบียนของบริษัทแล้วก็ดี  ท่านให้ถือว่าเป็นอันได้ส่งชอบแล้ว

วินิจฉัย

การบอกกล่าวเรียกประชุมทางโทรศัพท์  เป็นการบอกกล่าวเรียกประชุมที่มิได้ทำตามมาตรา  1175  หรือมาตรา  1244  จึงเป็นการบอกกล่าวที่มิชอบด้วยกฎหมาย  จึงถือว่าเป็นการนัดประชุมที่ไม่ถูกต้อง  มติในที่ประชุมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้เข้าประชุมจึงร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมที่ผิดระเบียบนี้ได้  ตามมาตรา  1195

หมายเหตุ  อนึ่งในข้อ  3  นี้  หากนักศึกษาได้วินิจฉัยว่า  การบอกกล่าวการประชุม  เมื่อบอกไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนโดยทางโทรศัพท์ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันนัดประชุม  เมื่อผู้ถือหุ้นทุกคนทราบกำหนดนัดประชุมแล้ว  ก็ถือว่าการนัดประชุมครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมาย  ผู้ถือหุ้นที่มิได้เข้าประชุม  จะเพิกถอนมติที่ประชุมได้เพราะเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต  กล่าวคือ  เมื่อผู้ถือหุ้นทุกคนทราบแล้ว  ก็ควรมาประชุมจะอ้างว่าการบอกกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายจึงไม่ยอมมาร่วมประชุม    และขอเพิกถอนมติ  หากมติดังกล่าวตนไม่พอใจการกระทำอย่างนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจรติตามมาตรา  5  หากนักศึกษาวินิจฉัยในทำนองอย่างนี้ก็ให้ได้คะแนนเช่นเดียวกัน

LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายบุญมา  นายบุญมี  นายบุญมาก  ได้ตกลงตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน  มีวัตถุประสงค์ค้าขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง  และตกลงให้นายบุญมากเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ  นายบุญมากได้ไปกู้เงินจากนายเอกมาสองแสนบาทเพื่อจ่ายค่าปูนซีเมนต์ที่ซื้อมาขายในร้าน ต่อมานายบุญมาได้ไปชวนนายบุญเกิดเข้ามาเป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งโดยนายบุญมีและนายบุญมากเห็นชอบด้วย  พอสิ้นปีห้างหุ้นส่วนค้างชำระหนี้นายเอกอยู่อีกหนึ่งแสนบาท  ดังนี้  นายเอกฟ้องให้ผู้ใดชำระเงินกู้ต่อตนได้บ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1050  การใดๆอันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น  ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้นๆด้วย  และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้  อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น

มาตรา  1052  บุคคลผู้ข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใดๆ  ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย

วินิจฉัย

หนี้เงินกู้สองแสนบาทที่กู้จากนายเอกเพื่อจ่ายค่าปูนซีเมนต์เป็นหนี้ในทางธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนตามมาตรา  1050  จึงผูกพันหุ้นส่วนทุกคนได้ร่วมกันรับผิด

ส่วนนายบุญเกิดแม้เพิ่งเข้ามาเป็นหุ้นส่วนที่หลังการกู้เงิน  แต่มาตรา  1052  ให้หุ้นส่วนที่เข้ามาทีหลังต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ทั้งหลายที่มีอยู่ในห้างหุ้นส่วนด้วย  ดังนั้นนายเอกจึงฟ้องนายบุญเกิดได้

สรุป  นายเอกมีสิทธิฟ้องทั้งนายบุญมา  นายบุญมี  นายบุญมาก  และนายบุญเกิด  ให้ร่วมกันรับผิดในหนี้เงินกู้

 

ข้อ  2  นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  เข้าหุ้นกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขายบะหมี่สำเร็จรูป  และจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนใน  พ.ศ. 2546 นายหนึ่งและนายสองเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ  ส่วนนายสามเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  ต่อมานายสามได้จ่ายเช็ค  1  ฉบับ  โดยลงลายมือชื่อตนเองและประทับตราห้าง  ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของห้าง  จำนวน  30,000  บาท  โดยนายหนึ่งและนายสองมอบหมายให้นายสามลงชื่อในเช็คแทนตนได้  ดังนี้  หากหนี้ถึงกำหนดชำระปรากฏว่าเช็คของห้างใบที่นายสามลงชื่อเป็นเช็คเด้ง  เจ้าหนี้จะฟ้องให้ใครรับผิดในหนี้ดังกล่าวได้บ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1050  การใดๆอันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทำไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น  ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้นๆด้วย  และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้  อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น

มาตรา  1087  อันห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น  ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ

มาตรา  1088  วรรคแรก  ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จำกัดจำนวน

มาตรา  1095  วรรคแรก  ตราบใดห้างหุ้นส่วนจำกัดยังมิได้เลิกกัน  ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้

วินิจฉัย

เจ้าหนี้ฟ้องนายหนึ่งและนายสองได้เพราะนายหนึ่งและนายสองเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด  ต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา  1050 ในหนี้ที่เป็นในทางธรรมดาการค้าขายของห้าง

เจ้าหนี้ฟ้องนายสามได้  แม้จะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด  ซึ่งตามหลักกฎหมายแล้วเจ้าหนี้ของห้างไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดได้จนกว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิกกัน  ตามมาตรา  1095  วรรคแรก  แต่นายสามไม่มีอำนาจจัดการงานของห้างหุ้นส่วนตามมาตรา  1087  ดังนั้นการเซ็นเช็คและประทับตราห้างเพื่อชำระหนี้ของห้างเป็นการสอดเข้าไปจัดการของห้างฯ  จึงต้องร่วมรับผิดกับหุ้นส่วนอื่นๆ  โดยไม่จำกัดจำนวนตามมาตรา  1088  วรรคแรก  และแม้ห้างยังไม่เลิกก็ฟ้องได้ทันที

เจ้าหนี้ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดให้รับผิดได้  เพราะห้างมีสถานภาพเป็นนิติบุคคล  จึงถูกฟ้องได้แยกต่างหากจากหุ้นส่วน  และเมื่อผู้จัดการเป็นผู้มอบหมายให้นายสามเซ็นเช็คแทนตน  เช็คใบนี้จึงผูกพันห้าง  ห้างปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามเช็คนี้ไม่ได้

 

ข้อ  3  สมจิตเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัททอผ้าแห่งหนึ่ง  และต่อมาได้รับเลือกให้เป็นกรรมการในบริษัทดังกล่าว  โดยผู้ถือหุ้นทั้งหลายไม่ทราบว่าสมใจภรรยาของสมจิตมีกิจการทอผ้าตั้งอยู่ในท้องที่เดียวกับที่บริษัทตั้งอยู่  และเปิดกิจการมาหลายปีแล้ว  สมจิตได้ทำหน้าที่กรรมการบริษัทด้วยความระมัดระวังเช่นบุคคลค้าขายทั้งหลายพึงกระทำโดยไม่มีความบกพร่อง  แต่บริษัทก็ยังขาดทุนเป็นเงิน  50,000  บาท  ในตอนสิ้นปี  ต่อมาผู้ถือหุ้นทั้งหลายทราบว่าภรรยาของสมจิตมีกิจการประเภทเดียวกับบริษัท  จึงต้องการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสมจิต  ดังนี้  สมจิตจะต้องรับผิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1168  วรรคแรก  ในอันที่จะประกอบกิจการของบริษัทนั้น  กรรมการต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวัง

วรรคสาม  อนึ่งท่านห้ามมิให้ผู้เป็นกรรมการประกอบการค้าขายใดๆ  อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน  และเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของบริษัทนั้น  ไม่ว่าทำเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น  หรือเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างค้าขายอื่นซึ่งประกอบกิจการมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน  และแข่งขันกับกิจการของบริษัท  โดยมิได้รับความยินยอมของที่ประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้น

วรรคท้าย  บทบัญญัติที่กล่าวมาข้างบนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนของกรรมการด้วย

วินิจฉัย

สมจิตแม้ว่าจะเป็นกรรมการบริษัท  แต่ก็มิได้ประกอบการค้าขายใดๆ  อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน  และเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของบริษัท  ตามมาตรา  1168  วรรคสาม  และแม้สมใจจะเป็นภรรยาของสมจิตแต่ก็ไม่ถือว่าสมใจเป็นผู้แทนของสมจิตแต่อย่างใด  ตามมาตรา 1168  วรรคท้าย  สมจิตจึงไม่ต้องรับผิด  และแม้ว่าบริษัทขาดทุนเป็นเงิน  50,000  บาท  สมจิตก็ไม่ต้องรับผิด  เพราะสมจิตได้ทำหน้าที่กรรมการบริษัทด้วยความระมัดระวังเช่นบุคคลค้าขายทั้งหลายพึงกระทำโดยไม่มีความบกพร่องแล้ว  ตามมาตรา  1168  วรรคแรกซึ่งตามธรรมดาของการค้าขายนั้นก็ต้องมีขาดทุนบ้าง  ดังนั้น  สมจิตจึงไม่ต้องรับผิดใดๆ

สรุป  สมจิตไม่ต้องรับผิดใดๆ  บริษัทจึงฟ้องให้สมจิตรับผิดไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!