LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ1. ในศาลจังหวัดแห่งหนึ่ง มีนายหนึ่งดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล นายสอง ผู้พิพากษาอาวุโส นายสาม นายสี่ นายห้า และนายหก ผู้พิพากษาศาลจังหวัด ตามลำดับ

นายหนึ่งได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายสามและนายสี่เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อองค์คณะทั้งสองได้รับสำนวนคดีแล้ว นายสามพบว่าจำเลยคนหนึ่งเป็นผู้ที่นายสามได้รู้จักคุ้นเคย ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลาย

นายสามเห็นว่าเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการ พิจารณาพิพากษาคดี จึงทำบันทึกเสนอความเห็นต่อนายหนึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลให้โอนสำนวนคดี ให้แกผู้พิพากษาอื่น นายหนึ่งเห็นด้วยกับนายสามจึงโอนสำนวนคดีดังกล่าวให้นายหกเป็นองค์คณะ แทนนายสาม

ท่านเห็นว่าการกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไมเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 33 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น

หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อ ความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษอรรถคดีของศาลนั้น และรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มี อาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณีที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดี ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ไมอาจ ปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธาน- ศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น

หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตาม ลำดับในศาลนั้น เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น มีหนึ่งคนหรือมีหลายคนแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลนั้น เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็น

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลไมมีอำนาจในการเสนอความเห็นตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว โดยหลักแล้วเมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล จ่ายสำนวนคดีให้แกองค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาคดีไปจนเสร็จสำนวน จะเรียกคืนสำนวนคดี หรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไมได้ เว้นแต่

1 เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคติ ของศาลนั้น และ

2 ในกรณีของศาลจังหวัด ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้น เสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น หรือให้โอนสำนวนคดีนั้นไปให้ องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด ได้จ่ายสำนวนคดีอาญา เรื่องหนึ่งให้นายสามและนายสี่เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา

เมื่อนายสามเห็นว่าในการดำเนินกระบวนพิจารณา คดีขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีดังกลาวเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณา พิพากษาคดีนั้น จึงทำบันทึกเสนอความเห็นต่อนายหนึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลให้โอนสำนวนคดีให้แก่ผู้พิพกษาอื่น ดังนี้ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีอยู่ว่า นายสามมีอำนาจในการเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีหรือไม่

กรณีดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 33 ประกอบกับข้อเท็จจริง ตามอุทาหรณ์ เห็นว่า นายสามไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีดังกล่าว ทั้งนี้เพราะเมื่อนายสาม ผู้พิพากษาศาลจังหวัดและเป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ทำการเสนอความเห็นตามมาตร33 วรรคแรก ซึงผู้ที่มีอำนาจทำความเห็นเสนอได้

คือนายห้าซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามมาตรา 33 วรรดสอง (นายสองไมมีอำนาจเสนอความเห็น เพราะเป็นผู้พิพากษาอาวุโสตามมาตรา 33 วรรคลาม) ดังนั้น การที่นายหนึ่งเห็นด้วยกับนายสามจึงโอนสำนวนคดีดังกล่าวให้นายหกเป็นองค์คณะแทนนายสามจึงไม่ชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. นายกลมเช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งราคาแปดแสนบาทเจากบริษัท ยานยนต์ จากัด ในสัญญาเช่าซื้อ มีข้อกำหนดว่า ในระหว่างที่ผู้ซื้อยังผ่อนชำระราคาค่าเช่าซื้อไม่ครบ ผู้เช่าซื้อจะนำรถที่เช่าซื้อไปใช้ในการทำธุรกิจของผู้เช่าซื้อเท่านั้น

และห้ามนำไปใช้ในกิจการที่ผิดกฎหมาย เมื่อนายกลมชำระค่า เช่าซื้อครบถ้วนแล้ว บริษัท ยานยนต์ จำกัด จะไปโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่นายกลม ต่อกรมการขนส่งทางบก

นายกลมรับรถยนต์ที่เช่าซื้อมาแล้ว ในระหว่างที่นายกลมชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบ นายกลมนำรถคันดังกลาวไปขับแข่งความเร็วกับเพื่อนในถนนหลวงในเวลาค่ำคืน เจ้าพนักงานตำรวจจับนายกลมพร้อมด้วยรถยนต์ที่เช่าซื้อนำส่งพนักงานอัยการส่งฟ้องศาลจังหวัดสมุทรปราการ

ขอให้ลงโทษนายกลมจำเลยตามกฎหมาย และขอให้ริบรถยนต์ของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด ศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยนยอรรถพลผู้พิพากษาพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายกลมมีความผิดตามฟ้อง ให้ปรับนายกลมหกพันบาท และริบรถยนต์ของกลาง

ผู้จัดการบริษัท ยานยนต์ จ่ากัด ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการว่า รถยนต์ของกลางเป็น ของบริษัท ยานยนต์ จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อ ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์คันดังกล่าวแก่บริษัท ยานยนต์ จำกัด โดยอ้างว่า ผู้ให้เช่าซื้อมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย ศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยนายอรรถพลไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้คืนรถยนต์ของกลางแก่บริษัท ยานยนต์ จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อ

คำสั่งของนายอรรถพล ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุได

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจดังต่อไปนี้ (2) ออกคำสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี

มาตรา 26 “ภายใต้บังดับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะทีjมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า ศาลจังหวัดซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น และในการ พิจารณาพิพากษาคดีของศาลจังหวัดซึ่งเป็นศาลชั้นต้นนั้น จะต้องมีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะอย่างน้อย 2 คน จึงจะเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม มาตร 24(2) ได้บัญญัติให้อำนาจผู้พิพากษาคนหนึ่ง สามารถที่จะออกคำสั่งใดๆ ได้ ถ้าคำสั่งนั้นมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งดดี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นศาลชั้นต้นมีคำสั่งริบรถยนต์ของกลาง และเมื่อผู้ร้องคือ บริษัท ยานยนต์ จำกัด ยื่นคำร้องขอคืนของกลางโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์และผู้ร้องมิได้ รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดของจำเลย ดังนี้ ศาลจังหวัดสมุทรปราการต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คน จึงเป็นองค์คณะในการสั่งคำร้องดังกล่าวตามมาตรา 26

ดังนั้นเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลจังหวัดสมุทรปราการโดยนายอรรถพลผู้พิพากษาคนเดียว พิจารณาพิพากษาสั่งคืนรถยนต์ของกลางดังกล่าว จึงเป็นการไมชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24(2) และมาตรา 26 เพราะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะสั่งได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 2492/25481891/2551)

สรุป คำสั่งของนายอรรถพล ผู้พิพากษาศาลจังหวัดสมุทรปราการไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

 

ข้อ 3. นางสวยฟ้องคดีต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษนายแสบฐานชิงทรัพย์ (ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี) โดยเหตุเกิดในท้องที่เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร นายยิ่งผู้พิพากษาประจำศาลในศาลอาญา สั่งคำฟ้องว่านัดไต่สวนมูลฟ้องหมายแจ้งนัดจำเลย

่อมา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้จ่าย สำนวนคดีให้นายยอดผู้พิพากษาศาลอาญาและนายยิ่งเป็นองค์คณะ เมื่อถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง นายยอดลาป่วย นายยิ่งคนเดียวนั่งไต่สวนมูลฟ้องจนคดีเสร็จสิ้นการไต่สวน นายยิ่งจึงมีคำสั่งว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

เมื่อถึงวันนัดสอบคำให้การ นายยิ่งจึงมีความเห็นคล้อยตามนายยอดว่า เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดตลิ่งชัน นายยอดและนายยิ่งจึงร่วมกันทำคำสั่งโอนคดี ไปยังศาลจังหวัดตลิ่งชัน ให้วินิจฉัยว่า

1)         คำสั่งนัดไต่สวนมูลพ้องของนายยิ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

2)         การไต่สวนมูลฟ้องและการมีคำสั่งประทับฟ้องของนายยิ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

3)         คำสั่งโอนคดีของนายยอดกับนายยิ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 16 วรรคสาม ‘‘ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญา และคดีนั้น เกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งหรือศาลอาญา ศาลแพ่งหรือศาลอาญาแล้วแต่กรณี อาจใช้ดุลพินิจยอมรับไว้ พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอํานาจดังต่อไปนี้

(2)        ออกคำสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจ ของศาลนั้นดังตอไปนี้

(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง

(2)        ไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย

(3)        ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(4)        พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไมเกิน สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

(5)        พิจารณาพิพากษคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไมได้

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม (3)(4) หรือ (5)

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1) การที่นางสวยฟ้องคดีต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษนายแสบฐานชิงทรัพย์ โดยเหตุเกิดใน ท้องที่เขตตลิ่งชันนั่น โดยหลักตามมาตรา 16 วรรคสามแห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม แม้คดีจะเกิดนอกเขต ศาลอาญา เมื่อมีการนำคดีมาฟ้องต่อศาลอาญา ศาลอาญาอาจใช้ดุลพินิจยอมรับไว้พิจารณาพิพากษา หรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลที่มีเขตอำนาจได้

และการที่ศาลอาญาโดยนายยิ่งสั่งคำฟ้องว่านัดไต่สวนมูลฟ้องหมายแจ้งนัดจำเลยนั้น ไม่ถือเป็นการดำเนินคดีตามมาตรา 25(3)(4)(5) นายยิ่งผู้พิพากษาประจำศาลจึงมีอำนาจออกคำสั่งได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 25 วรรคสอง ประกอบกับคำสั่งดังกล่าวก็มิใช่คำสั่งที่เป็นไปในหางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ผู้พิพากษาคนเดียวย่อมมีอำนาจสั่งได้ตามมาตรา 24(2) ดังนั้น คำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องของนายยิ่ง จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

2)         การไตสวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญาตามมาตรา 25(3) นั้น ผู้พิพากษาประจำศาล ไม่สามารถทำได้ตามมาตรา 25 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อนายยิ่งเป็นผู้พิพากษาประจำศาล การไต่สวนมูลฟ้องและการมีคำสั่งประทับฟ้องของนายยิ่งจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

3)         เมื่อการสั่งประทับฟ้องของนายยิ่งไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม จึงถือไม่ได้ว่า ศาลอาญาได้ใช้ดุลพินิจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามมาตรา 16 วรรคสาม แต่ศาลอาญายังคงมีอำนาจตามมาตรา ดังกล่าวในการที่จะสั่งโอนคดีไปยังศาลจังหวัดตลิ่งชันที่มีเขตอำนาจได้ ดังนั้น คำสั่งโอนคดีของนายยอดและ นายยิ่งจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป 1) คำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องของนายยิ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

2)         การไตสวนมูลฟ้องและการมีคำสั่งประทับฟ้องของนายยิ่งไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

3)         คำสั่งโอนคดีของนายยอดกับนายยิ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม 

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายใหญ่ถูกฟ้องต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี ข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5 บีถึง 10 บี) ต่อมานายใหญ่หลบหนีไมมาศาล นายหนุ่มผู้พิพากษาประจำศาลในศาลจังหวัดอุทัยธานีได้ออกหมายจับนายใหญ่ การที่นายหนุ่มผู้พิพากษาประจำศาล ออกหมายจับนายใหญ่ ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 24 ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1)        ออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสั่งให้ส่งคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น

(2)        ออกคำสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี

วินิจฉัย

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 24(1) ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาทุกคนมีอำนาจออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสั่งให้ส่งคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษาในศาลใด จะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา หรือศาลแขวงก็ได้ และอำนาจดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว ไม่จำต้องมีผู้พิพากษาอื่นลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะด้วยแต่อย่างใด 

ซึ่ง หมายอาญา” ก็คือ หนังสือซึ่งออกตาม ป.วิ.อาญามาตรา 2(9) และมาตรา 77 ซึ่งสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการจับกุม ขัง จำคุก หรือปล่อยผู้ต้องหา จำเลย หรือ นักโทษ หรือให้ทำการค้นสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายใหญ่ถูกฟ้องต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี ข้อหาชิงทรัพย์ และต่อมา นายใหญ่หลบหนีไม่มาศาล เช่นนี้ นายหนุ่มผู้พิพากษาประจำศาลในศาลจังหวัดอุทัยธานี ย่อมมีอำนาจออกหมายจับ ซึ่งเป็นหมายอาญาประเภทหนึ่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 24(1) ดังนั้น การที่นายหนุ่มผู้พิพากษา ประจำศาลออกหมายจับนายใหญ่ จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การที่นายหนุ่มผู้พิพากษาประจำศาลออกหมายจับนายใหญ่ ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น 

 

ข้อ 2. นายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายแดงและนายเขียวผู้พิพากษาศาลอาญา เป็นองค์คณะพิจารณาคดี ขณะทำคำพิพากษาในคดีนั้น นายแดงย้ายไปรับราชการ ยังศาลอื่น

นายเขียวจึงนำคดีไปปรึกษานายดำ แต่นายดำได้ไปราชการยังต่างประเทศพอดี นายขาว รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่มีอาวุโสสูงสุดจึงมอบหมายนายส้มผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าเป็น องค์คณะแทนนายแดง ร่วมกับนายเขียวทำคำพิพากษาต่อไป การกระทำของนายขาวรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม เพราะเหตุใด

ธงคำต

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 8 วรรคสอง เมื่อตำแหน่งประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรืออธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นว่างลง หรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น แล้วแต่กรณี เป็นผู้ทำการแทน

ถ้ามีรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหลายคน ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุด ไม่อาจปฏิบัติราชการแทนได้ ให้ผู้ที่มีอาวุโสทัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง หรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา 29 “ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(1)        ในศาลฎีกา ได้แก่ ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา

(2)        ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ได้แก่ ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองประธานศาลอุทธรณ์ หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี

(3)        ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 13 มีอำนาจตาม (1)(2)และ (3) ด้วย

มาตรา 30 “เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีทีผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไมสามารถนั่งพิจารณา หรือทำคำพิพากษาในคดีนั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ให้นายแดง และนายเขียวผู้พิพากษาศาลอาญา เป็นองค์คณะพิจารณาคดีนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 ที่บังคับว่า ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คน จึงเป็นองค์คณะที่มี อนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของนายขาวรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่มอบหมายให้นายส้มผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าเป็นองค์คณะแทนนายแดงนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม เห็นว่า ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 29 ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแกผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี

เช่น เจ็บป่วย ตาย หรือโอนย้ายไปรับราชการ ในตำแหน่งอื่น เป็นต้น ทำให้ไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ บทบัญญัติมาตรา 29(1) – (3) จึงกำหนดให้ ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจลงลายมิอชื่อทำคำพิพากษาได้

ตามข้อเท็จจริง การที่นายแดงย้ายไปรับราชการยังศาลอื่นในระหว่างการทำคำพิพากษา ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 30 กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 29(3) ที่ต้องให้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นเป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา เพื่อให้ครบองค์คณะ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ไปราชการยังต่างประเทศพอดี จึงไม่อาจปฏิบัติราชการได้

ดังนั้นนายขาว รองอธิบดีศาลอาญาทีมีอาวุโสสูงสุดจึงต้องเป็นผู้ทำการแทน และมีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้ตามมาตรา 29(3) และวรรคท้าย ประกอบมาตรา 8 วรรคสอง ซึ่งนายขาวจะต้องลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาด้วยตนเองเท่านั้น จะมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลเข้าเป็นองค์คณะแทนไม่ได้ เพราะมาตรา 29(3) ไม่ได้ให้อำนาจในการมอบหมาย เอาไว้ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า นายขาวได้มอบหมายให้นายส้มผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าเป็นองค์คณะแทนนายแดง ร่วมกับนายเขียวทำคำพิพากษาต่อไป การกระทำของนายขาวดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การกระทำของนายขาวรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น 

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง ขอให้จำเลยชำระหนี้เงินตามสัญญากู้ยืมเงิน จำนวน 3 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วย มีนายเอกผู้พิพากษาอาวุโสในศาลแขวง เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อการพิจารณาเสร็จสิ้น นายเอกพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่ โจทก์ จำนวน 300,000 บาท

คำพิพากษาของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่ง ใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ใน อำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน

สามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม คดีแพ่งที่ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ต้องเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ที่ฟ้องนั้นต้องมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือ จำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่า 3 แสนบาท ศาลแขวงจะรับคดีนั้นไว้พิจารณาไม่ได้ (มาตรา 25(4) ประกอบกับมาตรา 7)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง ขอให้จำเลยชำระหนี้เงินตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 3 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องนั้น นายเอกผู้พิพากษาอาวุโสในศาลแขวงย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ เพราะเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน 3 แสนบาท (ดอกเบี้ยนับแต่ วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ไม่นำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ด้วย

เพราะจำนวนทุนทรัพย์จะพิจารณาขณะยื่นฟ้องเท่านั้น) ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25(4) ประกอบมาตรา 17 ดังนั้น การที่นายเอกพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ให้แกโจทก์จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป คำพิพากษาของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ในศาลแพ่งมีนายเอก ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง นายโท นายตรี และนายจัตวา ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง นายเอกได้จ่ายสำนวนคดีให้นายดำและ น.ส.สวย ผู้พิพากษาศาลแพ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง

เมื่อได้มีการสืบพยานโจทก์ ไปแล้วสามปาก นายโทได้รับคำร้องเรียนจากฝ่ายจำเลยว่า น.ส.สวยเป็นญาติกับฝ่ายภริยาโจทก์ จำเลยเกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรมขอให้โอนสำนวนคดีให้กับผู้พิพากษาอื่นเป็นองค์คณะ

นายโทจึงนำหนังสือร้องเรียนนี้ไปปรึกษากับนายเอก นายเอกบอกให้นายโททำความเห็นเสนอขอ เรียกคืนและโอนสำนวนคดีเสนอต่อตน นายโทแจ้งว่าตนเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาผู้ซึ่งได้รับคำร้อง เห็นควรให้นายตรีซึ่งเป็นรองอธิบดีเช่นกันเป็นผู้เสนอความเห็นแทน นายเอกจึงอนุญาตให้นายตรี เสนอความเห็นแทนนายโท เมื่อนายเอกได้รับความเห็นจากนายตรีแล้ว จึงเรียกสำนวนคดีดังกล่าวคืน และโอนให้นายแมนผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะแทน น.ส.สวย

ท่านเห็นว่า การกระทำดังกล่าว ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 33 วรรคแรกและวรรคสอง การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดีซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด ประธนศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น และรองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มี อาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น แล้วแต่กรณี ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น ให้รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโส ถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น มีหนึ่งคนหรือมีหลายคนแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุด ของศาลนั้นเป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็น‘’

วินิจฉัย

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 33 วรรคแรกนั้น เมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล จ่ายสำนวนคดีให้แกองค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาคดีไปจนเสร็จสำนวน จะเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น ไม่ได้ เว้นแต่

1. เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม และ

2. รองประธานศาลฎีกา รองประธนศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง ซึงมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้น เสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น หรือให้โอนสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งได้จ่ายสำนวนคดีให้นายดำและ น.ส.สวย ผู้พิพากษาศาลแพ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อได้มีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว สามปาก

ได้มีการร้องเรียนจากฝ่ายจำเลยว่า น.ส.สวยเป็นญาติกับฝ่ายภริยาโจทก์ จึงถือว่าเป็นกรณีที่อาจจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม ดังนั้นในการเรียกสำนวนคดีคืนและโอนสำนวนคดีนี้ไปให้องค์คณะ ผู้พิพากษาอื่นเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป ในกรณีนี้เป็นศาลแพ่ง นายเอกอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งจะกระทำได้ ก็ต่อเมื่อให้รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น คือนายโทได้เสนอความเห็นให้กระทําได้

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ปรากฏว่า นายโทซึ่งเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งที่มีอาวุโส สูงสุดในศาลนั้นไมได้เป็นผู้ทำความเห็นเสนอขอเรียกคืนและโอนสำนวนคดีเสนอต่อนายเอก แต่ผู้ที่ทำความเห็น เสนอต่อนายเอกเป็นนายตรี ซึงเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งที่มีอาวุโสถัดลงมา และกรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นของมาตรา 33 วรรคสอง

ที่นายโทไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือเข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืน หรือโอนนั้นแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายเอกได้อนุญาตให้นายตรีเสนอความเห็นแทนนายโท และเมื่อนายเอกได้รับ ความเห็นจากนายตรีแล้วจึงเรียกสำนวนคดีดังกล่าวคืน และโอนให้นายแมนผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะ แทน น.ส.สวยนั้น จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 33

สรุป การกระทำดังกล่าวของนายเอกไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ 2. มานิตย์ทายาทของมนัสผู้ตายยื่นคำร้องต่อศาลแขวงนครปฐม ขอเป็นผู้จัดการมรดกไมมีพินัยกรรม ของมนัสซึ่งมีเงินอยู่สองแสนเก้าหมื่นบาทอยู่ในธนาคาร มาโนชทายาทอีกคนหนึ่งของมนัสยื่นคำร้องคัดค้านว่าค่าร้องของมานิตย์ไม่เป็นความจริง

ความจริงมนัสมีเงินฝากอยู่ในธนาคารสองล้านบาท การที่มานิตย์มายื่นคำร้องต่อศาลแขวงไม่ถูกต้องและศาลแขวงไม่มีอำนาจรับค่าร้องของมานิตย์ ไว้พิจารณา เพราะขัดต่อพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคหนึ่ง (4) โดยศาลแขวงมีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่เกินสามแสนบาทเท่านั้น ขอให้ศาลแขวงนครปฐมพิพากษา ยกคำร้องของมานิตย์ ตามหลักฐานซึ่งมาโนชนำส่งศาลพร้อมคำร้องคัดค้านได้ความว่ามนัสผู้ตาย มีเงินฝากอยู่ในธนาคารจำนวนหนึ่งล้านสองแสนเก้าหมื่นบาท

ท่านเห็นด้วยกับคำร้องคัดค้านของ มาโนชหรือไม่ และถ้าท่านเป็นผู้พิพากษาศาลแขวงนครปฐม ท่านจะพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใดๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแกคดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ตามมาตรา 17 ประกอบกับมาตรา 25(4) ผู้พิพากษาคนเดียวของศาลแขวงมีอำนาจพิจารณา พิพากษาคดีแพ่งซึ่งเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ โดยราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องต้องไม่เกินสามแสนบาท

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มานิตย์ทายาทของมนัสผู้ตายยื่นคำร้องต่อศาลแขวงนครปฐมขอเป็น ผู้จัดการมรดกไม่มีพินัยกรรมของมนัสนั้น มานิตย์ไม่ได้ยื้นคำร้องขอรับมรดกของมนัส ดังนั้น คดีนี้ถือว่าเป็นคดี ไม่มีทุนทรัพย์ เพราะผู้จัดการมรดกมีหน้าที่แต่เพียงจัดการมรดกเท่านั้นไมได้รับทรัพย์สินของผู้ตายมาเป็นของตน

และเมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่ไม่มีทุนทรัพย์จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวง เพราะศาลแขวง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเฉพาะคดีแพงที่มีทุนทรัพย์เท่านั้น ดังนั้น คดีนี้ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลแขวงนครปฐม ข้าพเจ้าต้องพิพากษายกฟ้อง

ส่วนกรณีที่มาโนชทายาทอีกคนหนึ่งของมนัสได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่าคำร้องของมานิตย์ที่ว่า มีเงินของมนัสอยู่ในธนาคารสองแสนเก้าหมื่นบาทนั้นไมเป็นความจริง ความจริงมนัสมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร สองล้านบาท การที่มานิตย์มายื่นต่อศาลแขวงไม่ถูกต้องและศาลแขวงไม่มีอำนาจรับคำร้องของมานิตย์ไว้พิจารณา เพราะขัดต่อพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25(4)

โดยศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ ไม่เกินสามแสนบาทเท่านั้น ดังนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำร้องคัดค้านของมาโนช เพราะแม้ศาลแขวงจะไมมี อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพงที่มีทุนทรัพย์เกินกว่าสามแสนบาทก็ตาม แต่ตามมาตรา 25(4) นั้น หมายความถึง คดีที่มีทุนทรัพย์เท่านั้น แต่คดีนี้ที่ศาลแขวงนครปฐมไมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาและต้องพิพากษายกฟ้อง ก็เพราะคดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์ไม่ได้พิพากษายกฟ้องตามคำคัดค้านของมาโนช

สรุป ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำร้องคัดค้านของมาโนช และถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลแขวง- นครปฐมจะพิพากษายกฟ้องคดีนี้ 

 

ข้อ 3. นายบีถูกฟ้องต่อศาลจังหวดนนทบุรี ข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 (อัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ห้าบีถึงสิบปี) ปรากฏว่านายบีหลบหนีไมศาล

นายธนัยผู้พิพากษาประจำศาลในศลจังหวัดนนทบุรีได้ออกหมายจับนายบี ต่อมานายบีถูกจับตัวส่งศาลจังหวัดนนทบุรีผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จังหวัดนนทบุรีมอบหมายให้นายพรผู้พิพากษาศาลจังหวัดนนทบุรีและนายธนัยร่วมเป็นองค์คณะ พิจารณาคดีนี้

ระหว่างการพิจารณาคดีนายพรย้ายไปรับราชการยังศาลอื่น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จึงมอบหมายให้นายนัทผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนนทบุรีนั่งพิจารณาคดีร่วมกับนายธนัย จนเสร็จการพิจารณาแล้ว นายนัทกับนายธนัยพิพากษาจำคุกนายบีมีกำหนด 9 ปี จงวินิจฉัยว่า การออกหมายจับ การพิจารณาและการทำคำพิพากษาคดีดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 24 “ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) ออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสั่งให้ส่งคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกิน สามบี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไมได้

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจาก ศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย สองคนและต้องไมเป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพง หรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา 28 “ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้พิพากษา ดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค ผู้พิพากษา หัวหน้าศาล หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นซึ่งอธิบดีผู้พิพากษา- ศาลชั้นด้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา 30 “เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 หมายถึง กรณีที่ ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือ ไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา หรือทำคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การออกหมายจับ การพิจารณาและการทำคำพิพากษาคดีดังกล่าวชอบด้วย พระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

การออกหมายจับ ตามมาตรา 24(1) ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจออกหมายเรียก หมายอาญาได้ ดังนั้น การที่นายธนัยผู้พิพากษาประจำศาลในจังหวัดนนทบุรีได้ออกหมายจับซึ่งเป็นหมายอาญา ประเภทหนึ่ง การออกหมายจับจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การพิจารณาคดี ตามมาตรา 26 ได้บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาคดี ของศาลชั้นต้น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคนเป็นองค์คณะ ดังนั้น การที่นายพรผู้พิพากษาศาลจังหวัดนนทบุรีกับนายธนัยผู้พิพากษาประจำศาลในจังหวัดนนทบุรีร่วมกัน พิจารณาคดีชิงทรัพย์ (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี) ดังกล่าว จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การทำคำพิพากษา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดี นายพรย้ายไปรับราชการ ยังศาลอื่น ถือเป็นการพ้นจากตำแหน่งเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 30 ดังนั้น การที่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนนทบุรีมอบหมายให้นายนัทผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนนทบุรีร่วมเป็นองค์คณะ พิจารณาคดีกับนายธนัยจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 28(3) คำพิพากษาให้จำคุกนายบี 9 ปี ของนายนัทและนายธนัยจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป การออกหมายจับ การพิจารณา และการทำคำพิพากษาคดีดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว ซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ในวันที่หมั้นหมายนั้นนายถวิลได้หมั้น  น.ส.ชูศรีด้วยแหวนเพชรหนึ่งวงซึ่งเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวจึงขอให้ดูแลรักษาไว้อย่างระมัดระวัง  และตกลงจะให้เงินอีก  2  แสนบาทเป็นของหมั้น  หนึ่งเดือนต่อมา  น.ส.ชูศรีมีความจำเป็นในเรื่องหนี้สินจึงขายแหวนเพชรเพื่อนำเงินมาชำระหนี้  นายถวิลจึงไม่ให้เงินอีก  2  แสนบาทตามสัญญา  และมีความไม่พอใจ  น.ส.ชูศรีมากจึงไม่ยอมสมรสด้วย  นายถวิลขอให้  น.ส.ชูศรีนำแหวนมาคืน  ส่วน  น.ส.ชูศรีฟ้องนายถวิลให้ส่งมอบเงิน  2  แสนบาท  ตามสัญญาและฟ้องเรียกค่าทดแทนเนื่องจากการเตรียมการสมรสจำนวน  50,000  บาท  เช่นนี้  ท่านเห็นว่านายถวิลและ  น.ส.ชูศรีจะสามารถทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1437  วรรคแรกและวรรคสอง  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1440  ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(2)  ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น  บิดามารดา  หรือบุคคลผู้กระทำการในฐานะเช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องจากในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

วินิจฉัย

การหมั้นจะทำได้โดยการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นตามมาตรา  1437  วรรคแรก  และตกเป็นสิทธิแก่หญิงตามมาตรา 1437  วรรคสอง  เมื่อได้ความว่านายถวิลได้หมั้น  น.ส.ชูศรีด้วยแหวนเพชรหนึ่งวงจึงถือว่าสัญญาหมั้นสมบูรณ์  แหวนหมั้นจึงตกเป็นสิทธิของ  น.ส.ชูศรีที่จะจำหน่ายจ่ายโอนอย่างใดๆก็ได้  ดังนั้น  น.ส.ชูศรีจึงมีสิทธิขายแหวนหมั้นได้

เมื่อนายถวิลไม่ยอมสมรสด้วยจึงถือว่าเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา  1439  น.ส.ชูศรีมีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายเนื่องจากการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควรได้ตามมาตรา  1440(2)

ส่วนเงิน  2  แสนบาทนั้น  นายถวิลยังไม่ได้ส่งมอบให้  จึงไม่ใช่ของหมั้นตามมาตรา  1437  วรรคแรก  (ฎ.1852/2506)  น.ส.ชูศรีจึงเรียกเงินนี้จากนายถวิลในฐานะของหมั้นไม่ได้

สรุป  น.ส.ชูศรีมีสิทธิขายแหวนหมั้น  และเรียกค่าทดแทนเนื่องจากการเตรียมการสมรส  แต่ไม่มีสิทธิเรียกเงิน  2  แสนบาทจากนายถวิล 

 

ข้อ  2  นายจุฑาจดทะเบียนสมรสกับนางสาวรัตนา  และต่อมาสองเดือนนายจุฑาได้กู้เงินนายสมจินต์เป็นจำนวน  2  ล้านบาทเพื่อนำมาซื้ออาคารพาณิชย์  1  คูหา  นายจุฑาและนางรัตนาได้ทำมาหากินร่วมกันจนได้กำไร  3  แสนบาท  ถ้านายสุชาติบิดาของนายจุฑาได้ทราบความจริงว่านางรัตนาเป็นน้องร่วมมารดาเดียวกันกับนายจุฑา  นายสุชาติจะฟ้องเรื่องการสมรสระหว่างนายจุฑากับนางรัตนาได้หรือไม่  และหากนางรัตนาขอให้อาคารพาณิชย์และเงิน  3  แสนบาทเป็นของตน  แต่นายจุฑาไม่ยินยอม  เช่นนี้  ทรัพย์สินจะตกเป็นของใคร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1450  ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี  เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี  จะทำการสมรสกันไม่ได้  ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายดลหิตโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1496  วรรคสอง  คู่สมรส  บิดามารดา  หรือผู้สืบสันดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะได้

มาตรา  1498  การสมรสที่เป็นโมฆะ  ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ  ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น  ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง  เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น  เมื่อได้เคราะห์ถึงภาระในครอบครัว  ภาระในการหาเลี้ยงชีพ  และฐานะของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย  ตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว

วินิจฉัย

เมื่อนายจุฑาและนางรัตนาเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน  การสมรสของบุคคลทั้งสองจึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามมาตรา  1450 ผลคือ  การสมรสเป็นโมฆะตามมาตรา  1495  นายสุชาติบิดาของนายจุฑาสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1496  วรรคสอง 

การสมรสที่เป็นโมฆะไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา  1498  วรรคแรก  ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสยังคงเป็นของฝ่ายนั้นตามมาตรา  1498  วรรคสอง  ดังนั้นอาคารพาณิชย์  1  คูหาจึงเป็นของนายจุฑา

สำหรับกำไร  3  แสนบาทที่ทำมาหาได้ร่วมกันเป็นทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันตามมาตรา  1498  วรรคสอง  ให้แบ่งคนละครึ่ง  จึงให้แบ่งเป็นของนายจุฑา  1.5  แสนบาท  และเป็นของนางรัตนา  1.5  แสนบาท

สรุป  อาคารพาณิชย์เป็นของนายจุพา  ส่วนกำไร  3  แสนบาทให้แบ่งนายจุฑาและนางรัตนาคนละครึ่ง

 

ข้อ  3  ก่อนจดทะเบียนสมรสนายไก่หมั้นนางไข่ด้วยที่ดิน  1  แปลง  หลังจากจดทะเบียนสมรส  นางไข่และนายไก่ไปกู้เงินนายดำมา  4 ล้านบาท  เพื่อทำห้องชุดให้เช่าเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว  และใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน  หลังจากนั้นไม่นานบิดานายไก่ถึงแก่กรรม  นายไก่ได้รับมรดกเป็นเงินสดมา  4  ล้านบาท  นางไข่บอกให้นำไปชำระหนี้นายดำ  นายไก่ก็ไม่ยอม  นางไข่จึงมาปรึกษาท่านว่าถ้าหย่ากันทรัพย์สินหนี้สินที่มีแบ่งกันอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมอบมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา

(4) ที่เป็นของหมั้น

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1490  หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้น  ให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว  การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

มาตรา  1533  เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน

มาตรา  1535  เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง  ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ที่จะต้องรับผิดด้วยกันตามส่วนเท่ากัน

วินิจฉัย

ที่ดินเป็นของหมั้นจึงเป็นสินส่วนตัวของนางไข่  ตามมาตรา  1471(4)  ส่วนห้องชุดนั้นสร้างด้วยเงินสินสมรสจึงเป็นสินสมรสและเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสต้องแบ่งคนละครึ่ง  ตามมาตรา  1474(1)  ประกอบมาตรา  1533  ส่วนเงิน  4  ล้านบาทซึ่งนายไก่ได้รับมรดกมานั้นเป็นสินส่วนตัวของนายไก่ตามมาตรา  1471(3)

สำหรับหนี้เงินกู้นายดำ  4  ล้านบาทนั้นเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา  149(1)  เพราะไปกู้ด้วยกันและเพื่อทำมาหาได้เลี้ยงครอบครัว  และใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน  จึงเป็นหนี้ร่วม  นายไก่และนางไข่ต้องรับผิดชอบคนละครึ่ง  ตามมาตรา  1535 

สรุป  ที่ดินเป็นสินส่วนตัวของนางไข่

เงิน  4  ล้านบาทที่ได้รับมรดกเป็นสินส่วนตัวนายไก่

อาคารชุดเป็นสินสมรสแบ่งกันคนละครึ่ง

หนี้เงินกู้เป็นหนี้ร่วมนายไก่และนางไข่ต้องรับผิดชอบกันคนละครึ่ง

 

ข้อ  4  นางแมวกับนายหนูอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตร  1  คน  ก่อนจดทะเบียนสมรสคือหนึ่ง  หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้วก็มีบุตรด้วยกันอีก  1  คน  คือสอง  หลังจากนั้นไม่นานนายหนูป่วยตาย  นางแมวจึงไปอยู่กินร่วมกันกับนายมดและมีบุตรด้วยกันคือสาม

1       หนึ่ง  สอง  สาม  เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร  ตั้งแต่เมื่อใด

2       นางแมวฟ้องหย่านายหนู  หรือนายหนูฟ้องหย่านางแมวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา  1536  วรรคแรก  เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี  หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี

มาตรา  1546  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

วินิจฉัย

1       หนึ่ง  สอง  สาม  เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางแมวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามหลักที่ว่า  บุตรย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ

หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายหนูด้วย  ทั้งนี้ตามมาตรา  1547  ที่ว่าเด็กเกิดจากบิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาต่อเมื่อบิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง  โดยความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนั้นให้เริ่มนับแต่วันที่เด็กเกิด  ตามมาตรา  1557

สองเป็นบุตรที่เกิดระหว่างสมรส  จึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายหนูและนางแมวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา 1536  วรรคแรก

สามนั้นแม้เป็นบุตรที่เกิดจากนางแมวและนายมด  ในระหว่างที่นางแมวไปอยู่กินร่วมกันกับนายมดฉันสามีภริยา  แต่เมื่อเกิดในระหว่างสมรสระหว่างนายหนูและนางแมว  ก็ต้องถือว่าสามเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายหนู  โดยผลของข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามมาตรา  1536  วรรคแรก  เพราะนางแมวคลอดในระหว่างเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายหนู  (ส่วนนายหนูจะต่อสู้ว่าไม่ใช่บุตรของตนตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามมาตรา  1539  หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

2       การกระทำของนางแมวที่ไปอยู่กินร่วมกันกับนายมด  ถือว่านางแมวมีชู้  นายหนูจึงสามารถฟ้องหย่านางแมวได้  ตามมาตรา  1516(1)  ส่วนนางแมวไม่สามารถฟ้องหย่านายหนูได้  เพราะไม่มีเหตุใดที่จะทำให้นางแมวใช้สิทธิฟ้องหย่าได้เลย

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสมคิดและ  น.ส.มณี  เป็นเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกันที่กรุงเทพฯ  ในวันปีใหม่  นายสมคิดได้ให้แหวนเพชร  น.ส.มณี  หนึ่งวง  และทั้งสองได้ตกลงวางแผนชีวิตในอนาคตที่จะสมรสกัน  น.ส.มณีกลับบ้านที่จังหวัดเลย  บิดามารดาให้  น.ส.มณีทำสัญญาหมั้นกับ  นายจุฑา  ด้วยแหวนเพชรหนึ่งวง  น.ส.มณีสนิทสนมกับนายจุฑาอย่างรวดเร็ว  จนมีความสัมพันธ์ทางเพศกันโดยนายจุฑาไม่ทราบว่า  น.ส.มณีมีนายสมคิดอยู่ก่อนแล้ว  เมื่อนายสมคิดทราบก็ไม่พอใจต้องการฟ้องเรียกแหวนเพชรคืนจาก  น.ส.มณี  และฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายจุฑา  เช่นนี้  จะสามารถทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1437  วรรคแรก  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1442  ในกรณีมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น  ทำให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น  ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย

มาตรา  1445  ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น  เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา  1442  หรือมาตรา  1443  แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

การที่นายสมคิดให้แหวนเพชรแก่  น.ส.มณี  ในวันปีใหม่  ถือเป็นการให้โดยเสน่หา  ตามมาตรา  521  ไม่ก่อให้เกิดเป็นสัญญาหมั้นตามมาตรา  1437  วรรคแรกแต่อย่างใด  แม้จะมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่หญิง  แต่ก็ไม่อาจฟังได้ว่าให้เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น  นายสมคิดจึงฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนฐานผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา  1439  หรือจะอ้างเหตุบอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442  ไม่ได้เพราะไม่มีการหมั้นเกิดขึ้นนั่นเอง

ดังนั้น  นายสมคิดจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายจุฑา  เพราะได้ร่วมประเวณีกับหญิงคู่หมั้นโดยรู้หรือควรจะรู้ว่าหญิงได้หมั้นกับชายคู่หมั้นแล้วตามมาตรา  1445  ไม่ได้  เพราะนายจุฑาไม่ทราบว่านายสมคิดเป็นแฟนกับ  น.ส.มณี  และไม่มีการหมั้นเกิดขึ้น  จึงไม่สามารถปรับใช้บทมาตรา  1445  ได้

สรุป  นายสมคิดไม่สามารถฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนจาก  น.ส.มณี  และไม่สามารถเรียกค่าทดแทนจากนายจุฑาได้

 

ข้อ  2  นายเทพและนางพิณเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย  หลังจากสมรส  นายเทพได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในระหว่างที่พระภิกษุเทพอุปสมบทอยู่  นางพิณประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน  นายจ้างปลดนางพิณออกจากงาน  โดยนางพิณได้รับเงินค่าชดเชยจากนายจ้างมาจำนวน  100,000  บาท  ต่อมาพระภิกษุเทพสึกจากสมณเพศ  นายเทพได้ให้ที่ดินที่นายเทพซื้อไว้ก่อนสมรสกับนางพิณ  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากนั้นนายเทพและนางพิณมีปัญหาในชีวิตสมรส  ทั้งสองประสงค์จะหย่ากัน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

ก.      ถ้านายเทพและนางพิณหย่ากัน  เงินค่าชดเชยที่นางพิณได้รับมา  100,000  บาท  นางพิณจะต้องแบ่งเงินดังกล่าวนี้ให้กับนายเทพหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      ถ้าหลังจากที่ทั้งสองหย่ากันได้  6  เดือน  นายเทพจะบอกล้างการให้ที่ดินแก่นางพิณได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1533  เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน

วินิจฉัย

ก.      เงินค่าชดเชยจำนวน  100,000  บาท  เป็นเงินที่นายจ้างให้แก่นางพิณตามสิทธิที่นางพิณพึงได้ตามกฎหมาย  ไม่ใช่เป็นเงินที่นายจ้างให้นางพิณโดยเสน่หา  แม้นางพิณได้เงินค่าชดเชยมาในระหว่างที่นายเทพอุปสมบทอยู่ก็ตาม  ก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส  เพราะการอุปสมบทไม่ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง  เงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสตามมาตรา  1474(1)  ดังนั้น  ถ้านายเทพและนางพิณหย่ากัน  นางพิณจะต้องแบ่งเงินค่าชดเชยดังกล่าวให้กับนายเทพครึ่งหนึ่งตามมาตรา  1553  (ฎ.93/2531)

ข.      การที่นายเทพได้ให้ที่ดินที่นายเทพซื้อไว้ก่อนสมรสอันเป็นสินส่วนตัวของนายเทพตามมาตรา  1471(1)  ให้กับนางพิณถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรส  นายเทพมีสิทธิที่จะบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสนี้ในเวลาใดก็ได้ระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่  หรือภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  ตามมาตรา  1469  ดังนั้น  เมื่อทั้งสองหย่ากันได้เพียง  6  เดือน  นายเทพจึงบอกล้างการให้ที่ดินแก่นางพิณได้ 

สรุป

ก.      เงินค่าชดเชย  นางพิณต้องแบ่งแก่นายเทพครึ่งหนึ่ง

ข.      นายเทพบอกล้างการให้ที่ดินแก่นางพิณได้

 

ข้อ  3  ก  จดทะเบียนสมรสกับ  ข  ก่อนจดทะเบียน  ก  มีรถยนต์  1  คัน  เงินฝากในธนาคาร  1  แสนบาท  ในระหว่างสมรส  ก  ขายรถ และนำเงินที่ได้มารวมกับเงินที่ฝากในธนาคาร  ซื้อรถยนต์ให้  ข  เป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงาน  ขณะเดียวกัน  ข  ได้รับมรดกเป็นสวน  1  แปลงจากบิดาตน  ทั้งสองขัดใจกันตกลงหย่ากัน  นอกจากทรัพย์สินที่ว่าไว้ข้างต้น  ยังมีรายได้จากการทำสวนเป็นเงิน  20,000  บาท  ให้ท่านแบ่งทรัพย์สินให้แก่คนทั้งสอง

ธงคำตอบ

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1)  ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(3)  ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมอบมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา

มาตรา  1472  วรรคแรก  สินส่วนตัวนั้น  ถ้าได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี  ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี  หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี  ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1)  ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1533  เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน

วินิจฉัย

รถยนต์และเงินฝากในธนาคาร  1  แสนบาท  เป็นสินส่วนตัวของนาย  ก.  เพราะเป็นทรัพย์สินที่นาย  ก.  มีอยู่ก่อนสมรส  ตามมาตรา  1471(1)

สำหรับรถยนต์ซึ่งเป็นสินส่วนตัวนั้น  เมื่อขายได้เงินมา  เงินที่ได้มานั้นก็เป็นสินส่วนตัวของ  ก.  ตามมาตรา  1472  วรรคแรก  แม้จะทำการขายและได้เงินมาในระหว่างสมรสก็ตาม

การที่  ก.  นำเงินที่ได้จากการขายรถซึ่งเป็นสินส่วนตัวมารวมกับเงินที่ฝากในธนาคารซึ่งเป็นสินส่วนตัวเช่นกันไปซื้อรถยนต์ให้  ข.  รถยนต์ที่ซื้อมานั้นย่อมเป็นสินส่วนตัวของ  ก.  ตามมาตรา  1472  วรรคแรก  เมื่อ  ก.  ยกรถยนต์ให้  ข.  รถยนต์จึงเป็นสินส่วนตัวของ  ข.  ตามมาตรา  1471(3)  เพราะ  ข.  ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา

ส่วนสวน  1  แปลงนั้น  ข.  ได้รับมรดกมาในระหว่างสมรส  จึงเป็นสินส่วนตัว  ตามมาตรา  1471(3)  และรายได้จากการทำสวนเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส  จึงเป็นสินสมรส  ตามมาตรา  1474(1)  ซึ่งสินสมรสนี้เมื่อหย่ากันให้แบ่งชายและหญิงเท่ากัน  ตามมาตรา  1533

 

ข้อ  4  นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  และมีบุตรด้วยกันคือหนึ่ง  หลังจากนั้นไม่นานนายไก่ก็ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางขวดและมีบุตรด้วยกันคือสอง  นายไก่สำนึกผิดที่เป็นเหตุทำให้นางไข่เสียใจจนขอไปบวชชี  เวลาผ่านไปปีกว่าแล้วก็ไม่ยอมสึก  ไปขอร้องให้สึกเพื่อมาตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกันก็ไม่ยอม

ก.      นายไก่ฟ้องหย่านางไข่ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      หนึ่งและสอง  เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใครนับตั้งแต่เมื่อใด

ธงคำตอบ 

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(4/2)  สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา  1536  วรรคแรก  เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี  หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี

มาตรา  1546  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

ก.      นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่โดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา  1516(4)  ไม่ได้  เพราะการที่นางไข่ไปบวชชีได้ขออนุญาตนายไก่แล้ว  แม้เวลาจะผ่านไปปีกว่าแล้วก็ตาม  ก็ไม่ถือว่านางไข่จงใจละทิ้งนายไก่ไปเกินกว่า  1  ปี

แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถือได้ว่านายไก่และนางไข่สมัครใจแยกกันอยู่  เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข  ซึ่งจะนำไปเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เมื่อสามีภริยาแยกกันอยู่เกิน  3  ปีแล้ว  ตามมาตรา  1516(4/2)  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเวลาผ่านไปเพียงปีกว่า  นายไก่จึงไม่อาจยกเหตุนี้ไปเป็นเหตุฟ้องหย่าได้

ข.      หนึ่งเป็นบุตรที่เกิดระหว่างสมรสจากบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  หนึ่งจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่  นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา  1536  วรรคแรก

ส่วนสองนั้นเกิดจากนายไก่และนางขวด  ซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกัน  จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางขวดแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา  1546

สรุป

ก.      นายไก่ฟ้องหย่านางไข่ไม่ได้

ข.      หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่  ส่วนสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางขวดแต่เพียงผู้เดียว

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสุชาติทำสัญญาหมั้น  น.ส.รำไพด้วยแหวนเพชรหนึ่งวง  ต่อมานายสุชาติมีหนี้สินมากขึ้นจากการทำการค้า  ทำให้  น.ส.รำไพไม่ต้องการสมรสด้วย  น.ส.รำไพจึงไปจดทะเบียนสมรสกับนายสุเทพ  ในวันที่  3  มกราคม  ในระหว่างสมรสนายสุเทพมอบรถยนต์  1  คันให้นางรำไพโดยเสน่หา  ต่อมานายสุเทพทราบว่านางรำไพมีคู่หมั้นอยู่แล้วแต่กลับมาจดทะเบียนสมรสกับตนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง  นายสุเทพจึงจดทะเบียนหย่ากับนางรำไพตามกฎหมายเช่นนี้

ก.      ถ้านายสุชาติต้องการฟ้องนางรำไพเพื่อเรียกแหวนหมั้นคืน  และเรียกค่าทดแทนด้วยในวันที่  20  กรกฎาคม  จะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      ภายหลังการหย่าหนึ่งเดือน  นายสุเทพต้องการเอารถยนต์ที่ให้นางรำไพไว้คืน  แต่นางรำไพไม่ให้คืน  จะสามารถทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1440  ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

มาตรา  1447/1  วรรคแรก  สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนตามมาตรา  1439  ให้มีอายุความหกเดือนนับแต่วันที่ผิดสัญญาหมั้น

มาตรา  1447/2  วรรคแรก  สิทธิเรียกคืนของหมั้นตามมาตรา  1439  ให้มีอายุความหกเดือนนับแต่วันที่ผิดสัญญาหมั้น

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

วินิจฉัย

ก.      การที่นายสุชาติทำสัญญาหมั้น  น.ส.รำไพ  ด้วยแหวนเพชรหนึ่งวง  จึงถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์  ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  เมื่อได้ความว่า  น.ส.รำไพ  ไปจดทะเบียนสมรสกับนายสุเทพจึงเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา  1439  นายสุชาติจึงสามารถฟ้องเรียกของหมั้นคืนได้ตามมาตรา  1439  และฟ้องเรียกค่าทดแทนในความเสียหายต่อชื่อเสียงได้  ตามมาตรา  1440(1)  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางรำไพจดทะเบียนสมรสวันที่  3  มกราคม  แต่นายสุชาติมาฟ้องเรียกของหมั้นและค่าทดแทนในวันที่  20  กรกฎาคม  นั้น  ไม่สามารถทำได้  เพราะสิทธิเรียกร้องค่าทดแทน  และสิทธิเรียกคืนของหมั้นตามมาตรา  1439  นั้น  จะต้องฟ้องในอายุความ  6  เดือนนับแต่วันที่ผิดสัญญาหมั้น  ทั้งนี้ตามมาตรา  1447/1  วรรคแรก  และมาตรา  1447/2  วรรคแรก

ข.      เมื่อนางรำไพจดทะเบียนสมรสกับนายสุเทพ  และในระหว่างสมรสการที่นายสุเทพมอบรถยนต์ให้นางรำไพโดยเสน่หานั้นถือเป็นการทำสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา  1469  เพราะเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทำต่อกันในระหว่างสมรส  ซึ่งตามมาตรา  1469  กำหนดว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างสัญญาเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่  หรือภายในกำหนด  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  ดังนั้นภายหลังการหย่า  1  เดือน  นายสุเทพสามารถบอกล้างสัญญาการให้รถยนต์และให้นางรำไพคืนรถยนต์ได้ตามมาตรา  1469

สรุป 

ก.      นายสุชาติไม่สามารถฟ้องเรียกแหวนหมั้นและค่าทดแทนได้

ข.      นายสุเทพสามารถเรียกให้นางรำไพคืนรถยนต์ได้

 

ข้อ  2  นายจอมและนางภาเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย  ปู่นายจอมได้ให้เงินนายจอมจำนวน  100,000  บาท  หลังจากที่สมรสกับนางภา  นายจอมนำเงินดังกล่าวไปให้นายสิงห์เพื่อนรักกู้ยืมโดยไม่ได้รับดอกเบี้ยซึ่งนางภาไม่เห็นด้วย  และไม่ได้ให้ความยินยอมในการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด  ต่อมานายจอมได้นำเงินเดือนของตนเองที่ได้มาระหว่างสมรสจำนวน  200,000  บาท  ไปซื้อหุ้นในบริษัทแห่งหนึ่ง  หลังจากนั้นนายจอมได้นำหุ้นดังกล่าวไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินแปลงหนึ่งของนายชาญเพื่อนของนายจอม  โดยที่นางภาไม่ได้รู้เห็นและไม่ได้ให้ความยินยอมในการแลกเปลี่ยนดังกล่าว  ต่อมานางภาได้ทราบเรื่องทั้งหมด  นางภาเห็นว่าที่ดินแปลงที่นายจอมได้แลกเปลี่ยนมานั้นอยู่ในทำเลที่ไม่ดี  นางภาจึงมาปรึกษาท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายครอบครัวว่า  นางภาจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินและการแลกเปลี่ยนดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา

มาตรา  1473  สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1476  สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1)  ขาย  แลกเปลี่ยน  ขายฝาก  ให้เช่าซื้อ  จำนอง  ปลดจำนอง  หรือโอนสิทธิจำนอง  ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง  สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

วินิจฉัย

เงินที่นายจอมได้รับจากปู่โดยการให้โดยเสน่หาจำนวน  100,000  บาท  ในระหว่างสมรสนั้นถือว่าเป็นสินส่วนตัวของนายจอม  ตามมาตรา 1471(3)  นายจอมจึงมีอำนาจจัดการเงินดังกล่าวได้โดยลำพังตามมาตรา  1473  แม้นายจอมนำเงินดังกล่าวไปให้นายสิงห์เพื่อนรักกู้ยืมโดยไม่ได้รับดอกเบี้ย  และโดยที่นางภาไม่เห็นด้วยและไม่ได้ให้ความยินยอมก็ตาม  นางภาก็จะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินตามมาตรา  1480  ไม่ได้  (ฎ.337/2530)

ส่วนการที่นายจอมได้นำเงินเดือนของตนเองที่ได้มาระหว่างสมรสจำนวน  200,000  บาท  ซึ่งถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา  1474(1)  ไปซื้อหุ้นในบริษัทแห่งหนึ่งนั้น  หุ้นดังกล่าวก็ถือว่าเป็นสินสมรสด้วยเช่นกัน  แต่การที่นายจอมนำหุ้นที่เป็นสินสมรสไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินแปลงหนึ่งของนายชาญไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามมาตรา  1476(1)  ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง  เพราะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนระหว่างอสังหาริมทรัพย์กับอสังหาริมทรัพย์  หรืออสังหาริมทรัพย์กับสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้  นายจอมจึงจัดการแลกเปลี่ยนหุ้นกับที่ดินได้ตามลำพังโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากนางภาตามมาตรา  1476  วรรคสอง  ดังนั้นนางภาจึงฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการแลกเปลี่ยนดังกล่าวไม่ได้เช่นกัน

สรุป  นางภาจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินและการแลกเปลี่ยนหุ้นกับที่ดินไม่ได้

 

ข้อ  3  นายปรีชาและนางนิติมา  เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  นางนิติมาทราบว่านายปรีชาได้ไปอุปการะเลี้ยงดูนายสุรีย์ฉันภริยา  นางนิติมาจึงฟ้องหย่าในระหว่างที่ศาลกำลังดำเนินกระบวนการพิจารณา  นายปรีชาได้ขอให้นางนิติมาถอนฟ้องโดยสัญญายกเงิน  1  ล้านบาท  ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของตนให้แก่นางนิติมาและสัญญาว่าตนจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับนายสุรีย์อีก  นางนิติมาจึงยอมถอนฟ้อง  ต่อมานายปรีชาก็ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับนายสุรีย์อีกจนนางนิติมาทนไม่ได้จึงมาฟ้องหย่าอีกครั้ง  นายปรีชาต่อสู้ว่าเรื่องนี้นางนิติมาได้ให้อภัยตนแล้ว  จึงไม่เป็นเหตุหย่า

1       อยากทราบว่าข้อต่อสู้ของนายปรีชาฟังขึ้นหรือไม่

2       นายปรีชาจะเรียกเงิน  1  ล้านบาทคืนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา  1518  สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว

วินิจฉัย

1       ข้อต่อสู้ของนายปรีชาที่ว่านางนิติมาได้ให้อภัยตนแล้วฟังไม่ขึ้น  เพราะการอภัยนั้นนางนิติมาได้อภัยการกระทำที่นายปรีชาได้ไปอุปการะเลี้ยงดูนายสุรีย์ฉันภริยาโดยการถอนฟ้อง  เมื่อปรากฏว่าหลังจากนางนิติมาถอนฟ้องแล้ว  นายปรีชายังคงไปยุ่งเกี่ยวกับนายสุรีย์อีก  ทั้งการที่นางนิติมายอมถอนฟ้องในคดีก่อนที่นางนิติมาฟ้องหย่านายปรีชานั้นก็เป็นเพราะนายปรีชาตกลงเงื่อนไขว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนายสุรีย์อีก  เมื่อนายปรีชาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข  ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้อื่น  จึงมิใช่กรณีที่นางนิติมายอมให้อภัยนายปรีชาตลอดไป  ตามมาตรา  1518  การกระทำของนายปรีชาจึงเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1516(1)  (ฎ.173/2540)

2       การที่นายปรีชาสัญญายกเงิน  1  ล้านให้กับนางนิติมานั้น  เป็นสัญญาระหว่างสมรส  ตามมาตรา  1469  เพราะเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดๆที่สามีภริยาได้ทำต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน  (ศาลยังมิได้พิพากษาให้หย่ากัน)  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกลเกเสียในเวลาที่เป็นสามีภริยากันอยู่  หรือภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  ดังนั้นนายปรีชาสามารถเรียกเงิน  1  ล้านบาทคืนได้

สรุป

1       ข้อต่อสู้ของนายปรีชาฟังไม่ขึ้น

2       นายปรีชาเรียกเงิน  1  ล้านบาทคืนได้

 

ข้อ  4  นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนนางไข่ตั้งครรภ์  นายไก่จึงไปกู้เงินนายดำมา  5  แสนบาท  เพื่อใช้ในการคลอดของนางไข่และต่อเติมบ้านของนายไก่เพื่อใช้อยู่อาศัยร่วมกันกับนางไข่  หลังจากคลอด  ด.ช.หนึ่ง  นายไก่และนางไข่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน  ห้าเดือนต่อมานางไข่ก็คลอดบุตรอีกคนหนึ่งคือ  สอง  ต่อมานายดำทวงเงิน  5  แสนบาทจากนางไข่ๆปฏิเสธ

1       ด.ช.หนึ่งและสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร  ตั้งแต่เมื่อใด

2       หนี้นายดำ  5  แสนบาท  นายไก่และนางไข่จะต้องรับผิดชอบอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1488  ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชำระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่างสมรสให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน  เมื่อไม่พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น

มาตรา  1489  ถ้าสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน  ให้ชำระหนี้นั้นจากสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย

มาตรา  1490  หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้น  ให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว  การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

มาตรา  1536  วรรคแรก  เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี  หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี

มาตรา  1546  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

มาตรา  1557  การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้

วินิจฉัย

1       ด.ช.หนึ่งเป็นบุตรของนายไก่และนางไข่ซึ่งเกิดก่อนที่บิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกัน  ดังนั้นด.ช.หนึ่งจึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นมารก  ตามมาตรา  1546  ที่ว่า  เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย  ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  และเมื่อนายไก่และนางไข่จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง  ด.ช.หนึ่งจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่บิดานับแต่วันที่  ด.ช.หนึ่งเกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุให้เสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่  ด.ช.หนึ่งเกิดจนถึงเวลาที่บาดามารดาได้สมรสกันไม่ได้  ตามมาตรา  1547  ประกอบมาตรา  1557

ส่วนสองนั้นเป็นบุตรที่เกิดเมื่อบิดามารดาจดทะเบียนสมรสกันแล้ว  (เกิดระหว่างสมรส)  จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา  1536  วรรคแรก

2       หนี้เงินกู้จำนวน  5  แสนบาท  ที่นายไก่ไปกู้ยืมมาจากนายดำ  เป็นหนี้ส่วนตัวของนายดำตามมาตรา  1488  เพราะเป็นหนี้ที่นายไก่ได้ก่อขึ้นก่อนจดทะเบียนสมรส  แม้จะมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้คลอดบุตรและต่อเติมบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว  ก็ไม่ทำให้เป็นหนี้ร่วมตามมาตรา  1490(1)  อันจะทำให้สามีภริยาต้องรับผิดร่วมกันตามมาตรา  1489  ได้  เพราะหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาจะต้องเกิดขึ้นระหว่างสมรสเท่านั้น  ดังนั้นหนี้เงินกู้จำนวน  5  แสนบาทนี้นายไก่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

สรุป

1       ด.ช.หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่  นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา  1546  และเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่  นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา  1547  ประกอบมาตรา  1557

2       หนี้เงินกู้จำนวน  5  แสนบาท  นายไก่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายมนูญ  น.ส.ดารา  และ  น.ส.มณี  เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว  ต่อมา  น.ส.ดารา  ได้จดทะเบียนสมรสกับนายอำนวย  หกเดือนต่อมานายมนูญได้ทำสัญญาหมั้น  น.ส.มณีด้วยแหวนเพชรหนึ่งวง  นางดาราทราบข่าวและด้วยความชอบนายมนูญได้ไปเที่ยวด้วยกันและมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน  นางดาราไม่มีความสุขกับสามีจึงจดทะเบียนหย่าตามกฎหมายกับนายอำนวย  เมื่อ  น.ส.มณีทราบความจริงจึงต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญและนางดาราได้หรือไม่  ด้วยสาเหตุใดและหากนายมนูญจดทะเบียนสมรสกับนางดาราจะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1443  ในกรณีมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น  ทำให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายคนนั้น  หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย

มาตรา  1444  ถ้าเหตุอันทำให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น  เป็นเพราะการกระทำชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทำภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทำชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น

มาตรา  1445  ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น  เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา  1442  หรือมาตรา  1443  แล้วแต่กรณี

มาตรา  1453  หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน

วินิจฉัย

การที่นายมนูญทำสัญญาหมั้น  น.ส.มณีด้วยแหวนเพชร  1  วง  จึงเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์  ตามมาตรา  1437  วรรคแรก

ส่วนการที่นางดาราได้ร่วมประเวณีกับนายมนูญโดยทราบว่านายมนูญได้ทำสัญญาหมั้นกับ  น.ส.มณีด้วย  จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1445  ที่นางดาราเป็นผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของ  น.ส.มณีโดยรู้ว่าได้หมั้นแล้ว  น.ส.มณีจึงสามารถเรียกค่าทดแทนจากนางดาราได้  โดยต้องบอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา  1443  ก่อน

และ  น.ส.มณีสามารถเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญคู่หมั้นได้  เพราะเป็นการกระทำชั่วอย่างร้ายแรง  ที่ได้กระทำภายหลังการหมั้น  ตามมาตรา  1444  เพราะนายมนูญได้ร่วมประเวณีกับภริยาของนายอำนวยซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง

ต่อมาได้ความว่านางดาราได้จดทะเบียนหย่ากับนายอำนวยและหากมีการจดทะเบียนกับนายมนูญในเวลานั้น  จะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1453  ซึ่งยังไม่พ้น  310  วันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนหย่า  แต่การฝ่าฝืนมาตรา  1453  ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่อย่างใด  การจดทะเบียนสมรสจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

สรุป  น.ส.มณีฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญและนางดาราได้  และนายมนูญสามารถจดทะเบียนสมรสกับนางดาราได้

 

ข้อ  2  นายจารึกหลังจากได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวสำเริงไม่นานนักก็เกิดอาการวิกลจริตอย่างหนัก  ต้องนำส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล  นายจารึกได้ทราบความจริงว่านางสำเริงได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมากกว่า  1  ปีแล้ว  ต่อมานายจารึกได้จดทะเบียนสมรสกับ  น.ส.น้ำหวาน  ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตน  เช่นนี้  การสมรสทั้งสองครั้งจะมีผลอย่างไร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1449  การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

มาตรา  1451  ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้

มาตรา  1452  ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1598/32  การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกเมื่อมีการสมรสฝ่าฝืนมาตรา  1451

วินิจฉัย

การสมรสของนายจารึกกับนางสำเริงมีผลสมบูรณ์  แม้ว่านางสำเริงจะถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมาก่อนก็ตาม  เพราะไม่ได้เป็นการฝ่าฝืน  มาตรา  1449  ที่ห้ามจดทะเบียนสมรสกับบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถเท่านั้น  และแม้นางสำเริงจะมีอาการวิกลจริต  แต่ก็เป็นอาการวิกลจริตหลังจากทำการสมรสแล้วไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด

ส่วนการสมรสของนายจารึกกับ  น.ส.น้ำหวาน  บุตรบุญธรรมนั้น  เมื่อนายจารึกมีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว  จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  1452  ที่ห้ามทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่  การสมรสจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา  1495

สำหรับการสมรสระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมนั้นทำไม่ได้  ตามมาตรา  1451  แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่อย่างใด  คงมีแต่มาตรา  1598/32  ที่บัญญัติไว้ว่า  การรับบุตรบุญธรรมเป็นอันยกเลิก  เมื่อมีการสมรสฝ่าฝืนมาตรา  1451  ความเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมเป็นอันสิ้นสุด  คงมีฐานะเป็นสามีภริยากันเท่านั้น

สรุป  การสมรสของนายจารึกกับนางสำเริงมีผลสมบูรณ์

การสมรสของนายจารึกกับนางสาวน้ำหวานเป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  นายสมคิดและนางอุสาเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย  ได้ทำสัญญาก่อนสมรสกำหนดให้นายสมคิดมีอำนาจจัดการสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์แต่ผู้เดียว  ต่อมานายสมคิดได้เดินทางไปต่างประเทศ  นางอุสาได้จัดการโดยลำพังคือนำเงินค่าเช่าที่ดินสินสมรสจำนวน  8  แสนบาท  ไปซื้อรถยนต์นำมาใช้เมื่อนายสมคิดกลับมาก็ไม่พอใจเพราะต้องการนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติม  เช่นนี้  นายสมคิดจะขอเพิกถอนการซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1476  สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1)  ขาย  แลกเปลี่ยน  ขายฝาก  ให้เช่าซื้อ  จำนอง  ปลดจำนอง  หรือโอนสิทธิจำนอง  ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง  สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

มาตรา  1476/1  วรรคแรก  สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา  1476  ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทำสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  1465  และมาตรา  1466  ในกรณีดังกล่าวนี้  การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส

ในกรณีที่สัญญาก่อนสมรสระบุการจัดการทรัพย์สินไว้แต่เพียงบางส่วนของมาตรา  1476  การจัดการสินสมรสนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรสให้เป็นไปตามมาตรา  1476

วินิจฉัย

การทำสัญญาก่อนสมรสที่กำหนดให้นายสมคิดมีอำนาจจัดการสินสมรสที่เป็นอสังหาริมทรัพย์แต่ผู้เดียว  สามารถทำได้ตามมาตรา  1476/1  วรรคแรก  สำหรับทรัพย์สินส่วนอื่นๆให้จัดการตามมาตรา  1476/1  วรรคสอง

การที่อุสาได้จัดการโดยลำพังคือนำเงินค่าเช่าที่ดินสินสมรสไปซื้อรถยนต์นั้น  เห็นว่า  เงินค่าเช่าที่ดินไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์  ตามที่กำหนดไว้ให้นายสมคิดมีอำนาจจัดการแต่เพียงผู้เดียว  จำต้องพิจารณาตามมาตรา  1476  ว่าสามีภริยามีกรณีใดต้องจัดการร่วมกัน  หรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามมาตรา  1476  แล้ว  การซื้อรถยนต์ไม่ใช่กรณีที่ต้องขอความยินยอมจากคู่สมรสก่อน  ตามมาตรา  1476(1)  แต่อย่างใด  ดังนั้นนางอุสาจึงสามารถจัดการได้โดยลำพัง  ตามมาตรา  1476  วรรคสอง

สรุป  นายสมคิดจะขอเพิกถอนการซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ  4  นายอำนาจกับนางปราณีเป็นสามีภริยากัน  แต่มีปัญหาเข้ากันไม่ได้  ทั้งสองได้ตกลงสมัครใจแยกกันอยู่สองปีต่อมานายอำนาจได้รู้จักกับนางอรดีซึ่งมีปัญหากับสามี  (นายสมบูรณ์)  และกำลังจะหย่ากัน  นายอำนาจกับนางอรดีเข้ากันได้ดีจึงใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกัน  นางปราณีได้รู้จักกับนายไมตรีเพื่อนร่วมงานใหม่  จึงได้ตกลงทำการค้าร่วมกัน  เช่นนี้  นางปราณีจะฟ้องหย่านายอำนาจได้หรือไม่  และนายสมบูรณ์จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายอำนาจและนางอรดีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา  1523  วรรคแรก  เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา  1516(1)  ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากหญิงอื่นหรือชู้  แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

นางปราณีสามารถฟ้องหย่านายอำนาจได้  โดยอาศัยเหตุที่นายอำนาจไปใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกันกับนางอรดีซึ่งเป็นภริยาของนายสมบูรณ์  จึงเข้าเหตุฟ้องหย่า  ตามมาตรา  1516(1)  คือ  สามีเป็นชู้กับภริยานายสมบูรณ์

ส่วนนายสมบูรณ์ก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายอำนาจและนางอรดีได้  ตามมาตรา  1523  วรรคแรก  โดยจะต้องฟ้องหย่านางอรดี  ตามมาตรา  1516(1)  เพราะเหตุมีชู้ก่อน  เมื่อศาลสั่งให้หย่ากันแล้ว  นายสมบูรณ์ก็ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากภริยาและผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้นได้

สรุป  นางปราณีฟ้องหย่านายอำนาจได้

นายสมบูรณ์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายอำนาจและนางอรดีได้

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2551

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายสมบุญได้ทำสัญญาหมั้น น.ส.ลำดวน ด้วยแหวนเพชรและเงิน 1 ล้านบาท ต่อมาบิดามารดาของ น.ส.ลำดวน เห็นว่านายสมบุญไม่เหมาะสมจึงแนะนำให้บุตรสาวมีครอบครัวกับนายทองคำซึ่งมีฐานะดี แต่ภริยาป่วยหนักเป็นเวลานานแล้ว นายทองคำได้ทำสัญญาหมั้น น.ส.ลำดวน ด้วยแหวนเพชรและเงิน 3 ล้านบาท น.ส.ลำดวน ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนายทองคำแต่ไม่สามารถทนต่อคำวิจารณ์ต่าง ๆ จากคนรอบข้างได้ น.ส.ลำดวน จึงตัดสินใจไปจดทะเบียนสมรสกับนายอำนาจซึ่งภริยาได้ละทิ้งร้างนายอำนาจไปกว่าสามปีแล้ว เช่นนี้นายสมบุญและนายทองคำจะฟ้องเรียกของหมั้นคืน และฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ลำดวน ได้หรือไม่ สำหรับการสมรสระหว่างนายอำนาจ กับ น.ส.ลำดวน จะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ธงคำตอบ

นายสมบุญได้ทำสัญญาหมั้น น.ส.ลำดวน ด้วยแหวนเพชรและเงิน 1 ล้านบาท จึงเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เมื่อ น.ส.ลำดวน ไปจดทะเบียนสมรสกับนายอำนาจจึงเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 นายสมบุญสามารถฟ้องเรียกของหมั้นคืนได้ตามมาตรา 1439 และฟ้องเรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงได้ตามมาตรา 1440

ส่วนนายทองคำทำสัญญาหมั้น น.ส.ลำดวน ด้วยแหวนเพชรและเงิน 3 ล้านบาท สัญญาหมั้นเป็นโมฆะเพราะนายทองคำมีภริยาอยู่แล้วการทำสัญญาหมั้น น.ส.ลำดวน จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของบ้านเมืองตามมาตรา 150 นายทองคำจึงไม่สามารถฟ้องเรียกของหมั้นและค่าทดแทนได้

สำหรับการสมรสของนายอำนาจกับ น.ส.ลำดวน เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1452 คือทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ การสมรสจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

 

ข้อ 2 นายโชคและนางน้ำเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายโชคได้เหรียญทองแดงจากการแข่งขันชกมวยกีฬาโอลิมปิก นายโชคได้รับเงินรางวัลเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาท นายโชคนำเงินรางวัลดังกล่าวจำนวนหนึ่งแสนบาทไปให้นางหวานน้าสาวที่เลี้ยงดูนายโชคมาตั้งแต่เล็กกู้ยืม โดยที่นางน้ำไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้กู้ยืมเงินนั้น หลังจากนั้นนายโชคได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการสมัครเข้าทำงานของนางสาวชิดน้องสาวของนายโชคตามลำพัง ต่อมานางน้ำซึ่งมีเรื่องโกรธเคืองกับญาติ ๆ ของนายโชคได้ทราบเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านางน้ำจะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินและการค้ำประกันของนายโชคได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(4) ให้กู้ยืมเงิน

มาตรา 1480 การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับ ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตาม มาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่ สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรม นั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่า ตอบแทน

การฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้น หนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่ วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้น

วินิจฉัย

เงินรางวัลที่นายโชคได้รับมาจากการแข่งขันชกมวยกีฬาโอลิมปิกจำนวนหนึ่งล้านบาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส จึงถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474(1) ซึ่งการนำเงินที่เป็นสินสมรสไปให้ผู้อื่นกู้ยืมนั้นเป็นนิติกรรมตามมาตรา 1476(4) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนายโชคเอาเงินที่เป็นสินสมรสจำนวนหนึ่งแสนบาทไปให้กับนางหวานกู้ยืมโดยที่นางน้ำไม่ได้ให้ความยินยอมในการให้กู้ยืมเงินนั้น นางน้ำจึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เงินกู้ยืมเงินดังกล่าวตามมาตรา 1480 ได้

ส่วนการที่นายโชคได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการสมัครเข้าทำงานของนางสาวชิดน้องสาวนั้น ไม่ใช่นิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส จึงไม่เป็นการจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 ที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง นางน้ำจึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้

สรุป นางน้ำฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เงินกู้ยืมเงินได้ แต่นางน้ำฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาค้ำประกันไม่ได้

 

ข้อ 3 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรคือหนึ่ง นายไก่จึงไปกู้เงินนายเป็ดมา 2 ล้านบาทเพื่อซื้อบ้านและที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน หลังจากนั้นนายไก่และนางไข่จึงไปจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมานายไก่ก็ไปกู้ยืมเงินนายเป็ดมาอีก 3 ล้านบาทเพื่อใช้ในการซื้อห้องแถวเพื่อเปิดร้านเสริมสวยให้นางไข่หาเลี้ยงครอบครัวเป็นเงิน 2 ล้านบาท ส่วนอีก 1 ล้านบาทที่เหลือนายไก่นำไปซื้อรถตู้ไว้ขับรับจ้างเพื่อหารายได้อีกส่วนหนึ่ง เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระนายเป็ดมาทวงหนี้จากนางไข่ ๆ ปฏิเสธโดยอ้างว่านางมิได้เป็นผู้ก่อหนี้

1) หนี้นายเป็ดทั้งหมด 5 ล้านบาท นายไก่และนางไข่แบ่งความรับผิดชอบกันอย่างไร เพราะเหตุใด

2) ทรัพย์สินที่มีคือ บ้านและที่ดิน ร้านเสริมสวย และรถตู้ นายไก่และนางไข่มีส่วนในทรัพย์สินดังกล่าวนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา 1488 ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชำระหนี้ก่อไว้ ก่อนหรือระหว่างสมรส ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่ พอจึงให้ชำระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น มาตรา 1489 ถ้าสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ให้ชำระหนี้นั้นจาก สินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย

มาตรา 1490 หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามี หรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้ (1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือน และจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบ ครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและ การศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ได้ให้สัตยาบัน

มาตรา 1535 เมื่อการสมรสสิ้นสุดลง ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ที่จะต้อง รับผิดด้วยกันตามส่วนเท่ากัน

มาตรา 1471 สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(2) ที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว เครื่องแต่งกาย หรือเครื่องประดับ กายตามควรแก่ฐานะ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดก หรือโดย การให้โดยเสน่หา

(4) ที่เป็นของหมั้น

มาตรา 1474 สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(2) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดย การให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส

มาตรา 1533 เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน

1) หนี้ 2 ล้านบาทเป็นหนี้ส่วนตัวนายไก่เพราะก่อขึ้นก่อนจดทะเบียนสมรส นายไก่รับผิดชอบเพียงผู้เดียว (มาตรา 1488)

หนี้ 3 ล้านบาท นายไก่และนางไข่รับผิดชอบร่วมกันเพราะเป็นหนี้ร่วมเกิดระหว่างสมรสเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว นายไก่รับผิดชอบ 1.5 ล้านบาท และนางไข่ก็ต้องรับผิดชอบ 1.5 ล้านบาทเช่นกัน (มาตรา 1489, 1490, 1535)

2) บ้านและที่ดินเป็นสินส่วนตัว เพราะนายไก่มีมาก่อนจดทะเบียนสมรส ส่วนร้านเสริมสวย และรถตู้ ซื้อหามาจากเงินสินสมรสเป็นเงินได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรส นายไก่และนางไข่มีส่วนกันคนละครึ่ง (มาตรา 1471, 1474, 1533)

 

ข้อ 4 นายดำและนางแดงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นางแดงป่วยกระเสาะกระแสะจึงอนุญาตให้นายดำสามีไปใช้บริการทางเพศจากหญิงค้าบริการได้ตามสะดวก ต่อมานายดำไปพบรักกับนางสีแสดในสถานบริการและเลี้ยงดูยกย่องให้เป็นภริยาอีกคนหนึ่งและมีบุตรกับนางสีแสดคือเด็กหญิงส้ม นางแดงจึงมาปรึกษาท่านว่านางจะฟ้องหย่านายดำสามีเพราะเหตุ

1) นายดำไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงค้าบริการเป็นประจำ

2) ยกย่องเลี้ยงดูนางสีแสดเป็นภริยาอีกคนหนึ่ง และ

3) เด็กหญิงส้มเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคำตอบ

มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาหรือภริยามีชู้อีกฝ่าย หนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา 1517 เหตุฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามี หรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุ หย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้

เหตุฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 (10) ถ้าเกิดเพราะการกระทำของอีก ฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้

ในกรณีฟ้องหย่าโดยอาศัยเหตุแห่งการผิดทัณฑ์บนตาม มาตรา 1516 (8) นั้น ถ้าศาลเห็นว่าความประพฤติของสามีหรือภริยาอันเป็นเหตุให้ทำทัณฑ์บน เป็นเหตุเล็กน้อยหรือไม่สำคัญเกี่ยวแก่การอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยปกติสุข ศาลจะไม่พิพากษาให้หย่าก็ได้

มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็น บุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น

วินิจฉัย

1) แม้นายดำจะไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการเป็นประจำ นางแดงจะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ เพราะนางยินยอม (มาตรา 1516(1), 1517)

2) การที่นายดำไปยกย่องหญิงอื่นฐานภริยาอีกคนหนึ่ง นางแดงฟ้องหย่าได้ (มาตรา 1516(1))

3) เด็กหญิงส้มเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสีแสดแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก (มาตรา 1546)

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสมคิดทำสัญญาหมั้น  น.ส.น้ำผึ้งด้วยแหวนเพชร  1  วง  ต่อมาทั้งสองได้มีเพศสัมพันธ์กันทำให้  น.ส.น้ำผึ้งตั้งครรภ์  แต่นายสมคิดไม่ทราบ  นายสมคิดได้ไปเที่ยวเตร่กับแฟนเก่าอีก  ทำให้  น.ส.น้ำผึ้งน้อยใจ  จึงไปคบกับนายมานพเพื่อนเก่าที่ชอบ  น.ส.น้ำผึ้งอยู่ นายมานพขอทำสัญญาหมั้น  น.ส.น้ำผึ้งด้วยแหวนเพชร  1  วง  ซึ่ง  น.ส.น้ำผึ้งก็ยินยอมตกลงจะจดทะเบียนสมรสกัน  นายสมคิดได้กลับมาง้องอนขอคืนดีนางน้ำผึ้งจึงทำหนังสือหย่ากับนายมานพและลงลายมือชื่อไว้เรียบร้อย  นางน้ำผึ้งจึงจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิดทันที  เช่นนี้  การหมั้นระหว่างนายมานพกับ  น.ส.น้ำผึ้งจะมีผลอย่างไร  การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางน้ำผึ้งจะมีผลอย่างไร  บุตรที่เกิดมาเป็นบุตรของใคร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1437  วรรคแรก  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา  1438  การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้  ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น  ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  1452  ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1514  การหย่านั้นจะทำได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคำพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน

มาตรา  1515  เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว

มาตรา  1538  วรรคแรก  ในกรณีที่ชายหรือหญิงสมรสฝ่าฝืนมาตรา  1452  เด็กที่เกิดในระหว่างการสมรสที่ฝ่าฝืนนั้น  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีซึ่งได้จดทะเบียนสมรสครั้งหลัง

ธงคำตอบ

การที่นายสมคิดได้ทำสัญญาหมั้น  น.ส.น้ำผึ้งด้วยแหวนเพชร  1  วง  ถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์  ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  เพราะมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

แต่เนื่องจากการหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้  ตามมาตรา  1438  การที่  น.ส.น้ำผึ้งรับหั้นนายมานพอีกย่อมสามารถกระทำได้  และเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์  ตามมาตรา  1437 วรรคแรก  เพราะมีการส่งมอบแหวนเพชรของหมั้นแก่  น.ส.น้ำผึ้งแล้ว  ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด

เมื่อนายมานพและ  น.ส.น้ำผึ้งจดทะเบียนสมรสกัน  ย่อมเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย  การหย่าโดยความยินยอม  มาตรา  1514  บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อย  2  คน  และการหย่านั้นจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว  ทั้งนี้ตามมาตรา  1515  ดังนั้นการที่  น.ส.น้ำผึ้งทำหนังสือหย่ากับนายมานพโดยลงลายมือชื่อไว้เรียบร้อยโดยยังมิได้จดทะเบียนหย่า  การหย่าจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  มาตรา  1514  และ  1515  การสมรสระหว่างนายมานพและ  น.ส.น้ำผึ้งจึงยังสมบูรณ์อยู่  เมื่อนางน้ำผึ้งได้จดทะเบียนสมรสกับนายสมคิดจึงเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่  อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  1452  การสมรสที่ฝ่าฝืนนั้นจึงมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1495

ส่วนบุตรที่เกิดมานั้น  เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนางน้ำผึ้งมารดา  และเมื่อนางน้ำผึ้งสมรสโดยฝ่าฝืนมาตรา  1452  และเด็กนั้นก็เกิดในระหว่างการสมรสที่ฝ่าฝืน  ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐาน  ตามมาตรา  1538  วรรคแรก  คือ  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายสมคิดชายผู้เป็นสามีซึ่งได้จดทะเบียนสมรสครั้งหลังด้วย

สรุป

(1) การหมั้นระหว่างนายมานพกับ  น.ส.น้ำผึ้งมีผลสมบูรณ์

(2) การสมรสระหว่างนายสมคิดกับนางน้ำผึ้งมีผลเป็นโมฆะ

(3) บุตรที่เกิดมานั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนางน้ำผึ้งและนายสมคิด

 

ข้อ  2  ในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลของสมาคมแห่งหนึ่ง  ทางคณะผู้จัดได้จัดให้มีการแสดงลิเกที่เป็นการแสดงของคนไทย  ตัวพระเอกในเรื่องนี้ชื่อว่า  นายไชยา  ในขณะที่มีการแสดงอยู่นั้น  ปรากฏว่าไม่มีใครคาดฝันนายไชยาได้ร้องและรำเดินลงมาจากเวที  มาขอหมั้นนางสาวแบม  อายุ  18  ปี  จากบิดามารดาซึ่งนั่งอยู่  ณ  ที่นั้น  โดยรับรองว่าจะเลี้ยงดูและจะซื่อสัตย์สุจริต  ซึ่งบิดามารดาหญิงก็ยินยอมต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติในงานนั้น  ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสภายใน  2  ปีข้างหน้า  ครั้นถึงวันที่กำหนด  นางสาวแบมไม่ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย  โดยอ้างว่าแพทย์ประจำตัวของตนได้บอกว่าตนจะมีชีวิตอยู่อีกเพียง  2  ปี  อยากทราบว่า  นายไชยาจะเรียกค่าเสียหายที่ตนได้รับความอับอายขายหน้า  เสียหายต่อชื่อเสียง  จากบิดามารดาหรือจากนางสาวแบมได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1435  การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว

การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ

มาตรา  1436  ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา  ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา

การหมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ

มาตรา  1437  วรรคแรก  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1440  ค่าตอบแทนนั้นอาจเรียกได้  ดังต่อไปนี้

(1)          ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

วินิจฉัย

แม้นางสาวแบมจะมีอายุ  18  ปี  ซึ่งสามารถทำการหมั้นได้  ตามมาตรา  1435  และแม้การหมั้นดังกล่าว  จะได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของนางสาวแบมผู้เยาว์ให้หมั้นกับนายไชยา  ตามมาตรา  1436(1)  ก็ตาม  แต่การหมั้นนั้นจะสมบูรณ์ตามกฎหมายก็ต่อเมื่อชายหรือฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น  ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการหมั้นครั้งนี้ไม่มีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นแต่อย่างใดให้นางสาวแบมเลย  การหมั้นจึงไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการหมั้นเกิดขึ้น

เมื่อไม่มีการหมั้นเกิดขึ้น  แม้นางสาวแบมจะปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนายไชยา  ก็ไม่ถือว่านางสาวแบมผิดสัญญาหมั้น  ตามมาตรา  1439  แต่อย่างใด  เพราะการจะถือว่าคู้หมั้นฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นจะต้องเป็นกรณีที่การหมั้นมีผลสมบูรณ์  ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  และคู่หมั้นมีเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย (ฎ.8954/2549)  เมื่อการหมั้นไม่สมบูรณ์  ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาหมั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้  นายไชยาจึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อชื่อเสียง  ตามมาตรา  1440(1)  จากบิดามารดาหรือจากนางสาวแบมได้  ไม่มีบทมาตราใดบัญญัติว่า  ในกรณีที่ไม่มีการหมั้น  หากฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้น  ให้ฝ่ายนั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนอย่างเช่นกรณีที่มีการหมั้น  (ฎ.45/2532)

สรุป  นายไชยาไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อชื่อเสียงจากบิดามารดาหรือนางสาวแบมได้

 

ข้อ  3  นายสันต์และนางแก้วเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย  นางแก้วได้ยกเครื่องลายครามที่นางแก้วได้รับมรดกจากบิดาในระหว่างสมรสให้กับนายสันต์  ต่อมานายสันต์ได้นำเครื่องลายครามไปให้นายเพชรซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่นายสันต์นับถือ  โดยนายเพชรไม่ได้ทราบว่าเป็นเครื่องลายครามที่นางแก้วยกให้นายสันต์  หลังจากนั้นนายสันต์เกษียณอายุราชการ  นายสันต์นำเงินบำเหน็จจำนวน  500,000  บาท  ไปเช่าซื้อบ้านและที่ดินแปลงหนึ่งในต่างจังหวัดที่ซึ่งนายสันต์ตั้งใจจะไปอยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตโดยนายสันต์ทำตามลำพัง  นางแก้วไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมแต่อย่างใด  ต่อมานางแก้วทราบเรื่องดังกล่าวทั้งหมด  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

ก)     นางแก้วจะบอกล้างนิติกรรมการให้เครื่องลายครามกับนายสันต์ได้หรือไม่  และนางแก้วจะฟ้องเรียกเอาเครื่องลายครามคืนจากนายเพชรได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ข)     นางแก้วจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการเช่าซื้อบ้านและที่ดินได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา

มาตรา  1473  สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1)  ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1476  สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย  แลกเปลี่ยน  ขายฝาก  ให้เช่าซื้อ  จำนอง  ปลดจำนอง  หรือโอนสิทธิจำนอง  ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

มาตรา  1480  การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา  1476  ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว  หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง  คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้  เว้นแต่คู้สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว  หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

วินิจฉัย

ก)     การที่นางแก้วยกเครื่องลายครามที่นางแก้วได้รับมรดกจากบิดาในระหว่างสมรสอันเป็นสินส่วนตัวของนางแก้ว  ตามมาตรา  1471(3)  ให้กับนายสันต์ถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา  1469  เครื่องลายครามเป็นทรัพย์สินที่นายสันต์ได้มาโดยเสน่หาระหว่างสมรสจึงตกเป็นสินส่วนตัวของนายสันต์  ตามมาตรา  1471(3)  นายสันต์มีอำนาจในการจัดการเกี่ยวกับเครื่องลายครามได้  ตามมาตรา  1473  นายสันต์จึงมีสิทธิให้เครื่องลายครามแก่นายเพชรได้  แต่เนื่องจากการให้เครื่องลายครามระหว่างนางแก้วและนายสันต์เป็นสัญญาระหว่างสมรส  นางแก้วจึงมีสิทธิบอกล้างการให้เครื่องลายครามในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนด  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่การบอกล้างต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต  ตามมาตรา  1469  ดังนั้นเมื่อนายเพชรซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับเครื่องลายครามจากนายสันต์โดยสุจริต  เพราะนายเพชรไม่ทราบว่าเป็นเครื่องลายครามที่นางแก้วยกให้นายสันต์  นายเพชรจึงมีกรรมสิทธิ์ในเครื่องลายครามดังกล่าว  นางแก้วจะฟ้องเรียกเครื่องลายครามคืนจากนายเพชรไม่ได้

ข)     ส่วนการที่นายสันต์ได้นำเงินบำเหน็จ  จำนวน  500,000  บาท  ซึ่งถือว่าเป็นสินสมรส  ตามมาตรา  1474(1)  ไปเช่าซื้อบ้านและที่ดินแปลงหนึ่งในต่างจังหวัดนั้น  การเช่าซื้อไม่ใช่การจัดการสินสมรส  ตามมาตรา  1476(1)  ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง  นายสันต์จึงสามารถเช่าซื้อบ้านและที่ดินดังกล่าวตามลำพังได้  นางแก้วจึงฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการเช่าซื้อบ้านและที่ดิน  ตามมาตรา  1480  ไม่ได้

สรุป

ก)     นางแก้วบอกล้างนิติกรรมการให้กับนายสันต์ได้  แต่ฟ้องเรียกเอาเครื่องลายครามคืนจากนายเพชรไม่ได้

ข)     นางแก้วฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการเช่าซื้อบ้านและที่ดินตามมาตรา  1480  ไม่ได้

 

ข้อ  4  นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันคือ  ด.ช.หนึ่ง  จึงไปจดทะเบียนสมรสกัน  หลังจากนั้นไม่นาน  นางไข่ก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายห่านแฟนเก่าและคลอดบุตรอีกหนึ่งคนคือ  เด็กหญิงสอง  ซึ่งการกระทำของนางไข่ทำให้นายไก่เสียใจมาก  จึงไปตัดอวัยวะเพศทิ้งแปลงเพศเป็นหญิง

1)    หนึ่งและสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร  นับแต่เมื่อใด

2)    นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่  และนางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย  ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล  อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

มาตรา  1517  วรรคสอง  เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา  1516(10)  ถ้าเกิดเพราะการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง  อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้

มาตรา  1546  เด็กหญิงจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

มาตรา  1557  การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้

วินิจฉัย

1)    ด.ช.หนึ่งเป็นบุตรของนายไก่และนางไข่ซึ่งเกิดก่อนที่บิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกัน  ดังนั้น  ด.ช.หนึ่งจึงเป็นบุตรที่อชด้วยกฎหมายของนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา  1546  ที่ว่าเด็กเกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย  ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น  และเมื่อนายไก่และนางไข่จดทะเบียนสมรสกันภายหลัง  ด.ช.หนึ่งจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่บิดานับแต่วันที่  ด.ช.หนึ่งเกิด  ตามมาตรา  1547  ประกอบมาตรา  1557

ส่วน  ด.ญ.สอง  เป็นบุตรที่เกิดจากนางไข่และนายห่านซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรส  ด.ญ.สองจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก  ตามมาตรา  1546

2)    นายไก่เป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงมีสิทธิฟ้องหย่านางไข่ได้  ตามมาตรา  1516(1)  เพราะถือว่านางไข่มีชู้  ส่วนนางไข่ก็สามารถฟ้องหย่านายไก่ได้เช่นกัน  ตามมาตรา  1516(10)  เพราะนายไก่มีสภาพแห่งกายที่ทำให้ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล  ทั้งการที่นายไก่ไปตัดอวัยวะเพศและแปลงเพศเป็นหญิง  ก็เกิดจากความสมัครใจของนายไก่เอง  มิใช่เกิดเพราะการกระทำของนางไข่  (นางไข่มิได้เป็นผู้ตัดอวัยวะเพศ)  กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา  1517  วรรคสอง

LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสุธีอายุ  21  ปี  ทำสัญญาหมั้น  น.ส.รัศมี  อายุ  17  ปี  ด้วยแหวนเพชร  1  วง  โดยบิดามารดาให้ความยินยอมถูกต้อง น.ส.รัศมีได้แอบไปเที่ยวเตร่กับนายสมบัติอายุ  21  ปี  ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายสุธีด้วย  จนเกินเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศกันและตั้งครรภ์  นายสมบัติเห็นว่า  น.ส.รัศมีตั้งครรภ์แล้วจึงตัดสินใจจดทะเบียนสมรสด้วย  แต่บิดามารดาของ  น.ส.รัศมีไม่เห็นด้วย  จึงต้องการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรส  เช่นนี้  นายสุธีต้องการฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมบัติ  และบิดาของ  น.ส.รัศมีจะฟ้องเพิกถอนการสมรสได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1435  การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว  การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ

มาตรา  1436  ผู้เยาว์จะทำการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา  ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา

การหมั้นที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ

มาตรา  1437  วรรคแรก  การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

มาตรา  1439  เมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน  ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย

มาตรา  1445  ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น  เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา  1442  หรือมาตรา  1443  แล้วแต่กรณี

มาตรา  1454  ผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา  1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  1509  การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454  การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  1510  วรรคแรกและวรรคสอง  การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา  1454  เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา  1454  เท่านั้น  ขอให้เพิกถอนการสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์

วินิจฉัย

การที่นายสุธีอายุ  21  ปี  ทำสัญญาหมั้น  น.ส.รัศมีอายุ  17  ปี  โดยบิดามารดาให้ความยินยอมถูกต้องตามมาตรา  1435  วรรคแรกและมาตรา  1436(1)  และมีการส่งมอบแหวนเพชร  1  วง  เป็นของหมั้น  ถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา  1437  วรรคแรก  เพราะมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

เมื่อมีการหมั้นแล้ว  การที่  น.ส.รัศมีไปจดทะเบียนสมรสกับนายสมบัติ  จึงเป็นการกระทำอันเป็นการผิดสัญญาหมั้น  ผลทางกฎหมายคือ

1       นายสุธี  คู่หมั้นสามารถฟ้องเรียกแหวนเพชนอันเป็นของหมั้นคืนได้  เพราะเป็นกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น  กฎหมายบังคับให้ฝ่ายหญิงคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชาย  ตามมาตรา  1439  (ส่วนนายสุธีจะเรียกค่าทดแทน  ตามมาตรา  1440  ได้หรือไม่นั้น  ไม่อยู่ในประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย)  และ

2       การที่  น.ส.รัศมีได้แอบไปเที่ยวเตร่กับนายสมบัติ  ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายสุธีจนเกินเลยมีความสัมพันธ์ทางเพศกันและตั้งครรภ์  นายสุธีสามารถเรียกค่าทดแทนจากนายสมบัติได้  ตามมาตรา  1445  เพราะนายสมบัติเป็นเพื่อนของนายสุธีจึงควรจะรู้ได้ว่า  น.ส.รัศมีหมั้นกับนายสุธีอยู่แล้วยังไปร่วมประเวณีด้วยอีก  แต่ทั้งนี้นายสุธีจะต้องบอกเลิกสัญญาหมั้น  ตามมาตรา  1442  ก่อน

สำหรับการจดทะเบียนสมรสระหว่างนายสมบัติและ  น.ส.รัศมี  โดยบิดามารดาของ  น.ส.รัศมีไม่เห็นด้วย  จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  1454  ประกอบมาตรา  1436(1)  การสมรสนี้จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา  1509  ซึ่งมาตรา  1510  วรรคแรก  กำหนดให้บุคคลดังกล่าวในมาตรา  1451  ประกอบมาตรา  1436  เท่านั้น  ขอให้เพิกถอนการสมรสได้  ดังนั้น  โดยหลักแล้วบิดามารดาของ  น.ส.รัศมีสามารถฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะได้  แต่กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  น.ส.รัศมีตั้งครรภ์  สิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  1509  จึงเป็นอันระงับสิ้นไป  ทั้งนี้ไม่ว่า  น.ส.รัศมีจะมีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์หรือไม่ก็ตาม  การสมรสจึงสมบูรณ์ตลอดไป

สรุป  นายสุธีฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนจาก  น.ส.รัศมีได้และเรียกค่าทดแทนจากนายสมบัติได้  ส่วนบิดามารดาของ  น.ส.รัศมีจะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการสมรสไม่ได้

 

ข้อ  2  นายอำนวยจดทะเบียนสมรสกับ  น.ส.นิสา  โดยไม่มีใครทราบว่า  น.ส.นิสาเป็นน้องสาวต่างมารดา  ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่นั้น  นายอำนวยได้รับเงิน  2  ล้านบาทโดยเสน่ห์หาจากญาติ  ส่วนนางนิสาได้ซื้อสลากกินแบ่งได้รับรางวัล  4  ล้านบาท  แต่ต่อมาต่างทราบความจริงจึงมีการฟ้องศาลให้พิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ  เช่นนี้  ถ้าศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะแล้วทรัพย์สินต่างๆจะตกเป็นของใคร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1450  ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี  เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี  จะทำการสมรสกันไม่ได้  ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายดลหิตโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส  โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่ห์หา

มาตรา  1474  สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1496  วรรคแรก  คำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา  1449  มาตรา  1450  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

มาตรา  1498  การสมรสที่เป็นโมฆะ  ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ  ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น  ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง  เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น  เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว  ภาระในการหาเลี้ยงชีพ  และฐานะของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายคลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว

วินิจฉัย

เมื่อนายอำนวยและ  น.ส.นิสาเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน  การสมรสของบุคคลทั้งสองจึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามมาตรา  1450  ผลคือ  การสมรสเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1495

สำหรับการสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  1450  เฉพาะแต่คำพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะ  ตามมาตรา 1496  วรรคแรก  ดังนั้น  ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา  ความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาจึงยังคงมีอยู่  เงิน  2  ล้านบาทที่นายอำนวยได้รับจากญาติโดยเสน่หา  จึงเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา  1471(3)  ส่วนเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน  4  ล้านบาท  ย่อมเป็นสินสมรสตามมาตรา  1474(1)  (ฎ.1053/2537)

แต่เมื่อศาลพิพากษาให้การสมรสระหว่างนายอำนวยและ  น.ส.นิสาเป็นโมฆะแล้ว  ผลทางกฎหมายตามมาตรา  1498  วรรคแรก  คือ  การสมรสที่เป็นโมฆะ  ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา  สินส่วนตัวและสินสมรสดังที่กล่าวมาข้างต้นจึงไม่มีอยู่อีกต่อไป  ดังนั้นเงิน  2  ล้านบาทที่นายอำนวยได้รับในระหว่างการสมรสที่เป็นโมฆะ  ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอำนวยแต่เพียงผู้เดียว  ตามมาตรา  1498  วรรคสอง  ซึ่งให้ถือว่าทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาหลังการสมรสที่เป็นโมฆะคงเป็นของฝ่ายนั้น

ส่วนเงินรางวัล  4  ล้านบาท  ก็คงเป็นกรรมสิทธิ์ของ  น.ส.นิสาแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน  ตามมาตรา  1498  วรรคสอง

สรุป  ถ้าศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ  เงิน  2  ล้านบาท  และเงินรางวัล  4  ล้านบาท  ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอำนวยและ  น.ส.นิสาตามลำดับ  ตามมาตรา  1498

 

ข้อ  3  นายสมคิดและนางดวงตาเป็นสามีภริยากัน  ต่อมาฐานะดีขึ้น  นางดวงตาจึงลาออกจากงานมาดูแลครอบครัว  และเพื่อให้นายสมคิดสามารถทำหน้าที่การงานได้อย่างคล่องตัว  นางดวงตาจึงทำสัญญามอบอำนาจให้นายสมคิดมีอำนาจซื้อขายกู้ยืมได้โดยลำพังในการจัดการสินสมรส  นายสมคิดได้มอบสร้อยทองซึ่งมีมาก่อนสมรสให้แก่นางดวงตาด้วยความรัก  หลายเดือนต่อมานายสมคิดได้ขายที่ดินสินสมรสให้แก่นายบันเทิงและได้ทำสัญญากู้ยืมเงินหนึ่งล้านบาทจากนางมะขาม  นางดวงตาไม่พอใจที่ไม่บอกกล่าวให้ทราบจึงต้องการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ทำไปนั้น  นายสมคิดก็ไม่พอใจจึงต้องการฟ้องเอาสร้อยทองคืน  เช่นนี้   จะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1465  วรรคแรก  ถ้าสามีภริยามิได้ทำสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส  ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น  ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้

มาตรา  1466  สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ  ถ้ามิได้จดแจ้งข้อตกลงกันเป็นสัญญาก่อนสมรสนั้นไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส  หรือมิได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยานอย่างน้อยสองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส  และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้

มาตรา  1469  สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากันนั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต

มาตรา  1471  สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

มาตรา  1476  สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1)  ขาย  แลกเปลี่ยน  ขายฝาก  ให้เช่าซื้อ  จำนอง  ปลดจำนอง  หรือโอนสิทธิจำนอง  ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

(4)  ให้กู้ยืมเงิน

มาตรา  1476/1  วรรคแรก  สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา  1476  ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทำสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  1465  และมาตรา  1466  ในกรณีดังกล่าวนี้  การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส

มาตรา  1480  วรรคแรก  การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา  1476  ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว  หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง  คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้  เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว  หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

วินิจฉัย

ในระหว่างสมรสนางดวงตาจะทำสัญญามอบอำนาจให้นายสมคิดมีอำนาจซื้อขายกู้ยืมได้โดยลำพังในการจัดการสินสมรสไม่ได้  เพราะตามมาตรา  1476/1  วรรคแรก  กำหนดว่าการตกลงให้จัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากมาตรา  1476  จะต้องทำเป็นสัญญาก่อนสมรส  ตามมาตรา  1465  และมาตรา  1466  เมื่อไม่ได้ทำสัญญาก่อนสมรส  การจัดการสินสมรสจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา  1476

การขายที่ดินซึ่งเป็นสินสมรส  สามีและภริยาจะต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง  ตามมาตรา  1476(1)  เมื่อนายสมคิดทำสัญญาขายที่ดินสินสมรสให้กับนายบันเทิงไปโดยลำพัง  นางดวงตาจึงขอเพิกถอนได้ตามมาตรา  1480  วรรคแรก  แต่อย่างไรก็ตาม  นางบันเทิงผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน  จึงต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา  1480  วรรคแรกตอนท้าย  ดังนั้นนางดวงตาจึงฟ้องขอเพิกถอนการซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้

ส่วนการกู้ยืมเงินจากนางมะขามนั้น  นายสมคิดสามารถกระทำได้โดยลำพังตนเอง  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  1476(4)  ที่มุ่งหมายถึงการให้กู้ยืมเงินเท่านั้น  กรณีนี้นางดวงตาจึงฟ้องขอเพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้ (ฎ.6193/2551)

สำหรับการที่นายสมคิดได้มอบสร้อยทองซึ่งเป็นสินส่วนตัวของตนตามมาตรา  1471(1)  ให้นางดวงตา  ถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา  1469  ที่นายสมคิดมีสิทธิบอกล้างในเวลาหนึ่งเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้  กรณีนี้นายสมคิดจึงฟ้องเอาสร้อยทองคืนได้

สรุป  นายสมคิดฟ้องเอาสร้อยทองคืนได้  ส่วนนางดวงตาจะฟ้องเพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้  คงฟ้องเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินได้เท่านั้น

 

ข้อ  4  นายมนูญกับนางน้ำหวานเป็นสามีภริยากัน  นายมนูญได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางรำพึงภริยาของนายนที  ต่อมานางน้ำหวานจับได้ว่านายมนูญมีพฤติการณ์ดังกล่าว  จึงต้องการฟ้องหย่า  เช่นนี้  จะฟ้องหย่าได้ด้วยเหตุฟ้องหย่าอะไรบ้าง  (ให้บอกตามลำดับความสำคัญของกฎหมายด้วย)

หากนางน้ำหวานต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญ  และนางรำพึงด้วย  จะสามารถทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2)  สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว  ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่  ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก)  ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(3)  สามีหรือภริยาทำร้าย  หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ  หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง  ทั้งนี้  ถ้าเป็นการร้ายแรง  อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ 

(6)  สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง  ทั้งนี้  ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ  อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

มาตรา  1523  วรรคแรก  เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา  1516(1)  ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับอุปการะเลี้ยงดู  หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น

วินิจฉัย

นายมนูญกับนางน้ำหวานเป็นสามีภริยากัน  นายมนูญได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับนางรำพึงภริยาของนายนที  ต่อมานางน้ำหวานจับได้ว่านายมนูญมีพฤติการณ์ดังกล่าว  จึงต้องการฟ้องหย่า  ดังนี้นางน้ำหวานสามารถฟ้องหย่าได้  เพราะทั้งสองเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  โดยปรับเข้ากับเหตุฟ้องหย่าตามบทบัญญัติมาตรา  1516  ตามลำดับความสำคัญดังนี้  คือ

1       การที่นายมนูญไปมีเพศสัมพันธ์กับนางรำพึงภริยาของนายนที  ถือว่านายมนูญเป็นชู้กับนางรำพึง  นางน้ำหวานฟ้องหย่าได้  ตามมาตรา  1516(1)

2       การกระทำดังกล่าวเป็นอุปสรรคหรือขัดขวางที่สามีและภริยาจะดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างสงบสุข  หรือขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ร่วมกันอันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่กายหรือคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง  ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรยากันอย่างร้ายแรง  นางน้ำหวานจึงฟ้องหย่านายมนูญได้  ตามมาตรา  1516(6)

3       การร่วมประเวณีกับหญิงมีสามี  ถือเป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้ภริยาได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง  นางน้ำหวานจึงสามารถฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1516(2)(ก)  และ

4       เป็นการทำร้ายหรือทรมานจิตใจอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการร้ายแรง  นางน้ำหวานฟ้องหย่าได้ตามมาตรา  1516(3)

สำหรับนางน้ำหวาน  หากจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากทั้งนายมนูญและนางรำพึงด้วย  นางน้ำหวานสามารถกระทำได้  โดยปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา  1523  วรรคแรก  กล่าวคือ  นางน้ำหวานจะต้องฟ้องหย่านายมนูญตามมาตรา  1516(1)  และศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา  1516(1)  จึงจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีและผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น  นางน้ำหวานจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากสามีและนางรำพึงโดยไม่ฟ้องหย่านายมนูญก่อนไม่ได้  (ฎ.2791/2515)

สรุป  นางน้ำหวานฟ้องหย่าได้ตามเหตุฟ้องหย่า  ตามมาตรา  1516(1)  (6)  (2)  (3)  ตามลำดับและมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมนูญและนางรำพึงได้ตามมาตรา  1523  วรรคแรก

WordPress Ads
error: Content is protected !!