LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  เนื่องจากในจังหวัดนั้นไม่มีศาลอื่นตั้งอยู่  นายจีนจึงนำคดีไปฟ้องนายแขกยังศาลจังหวัดในข้อหาฐานลักทรัพย์ของนายจีน  ขอให้ศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกินหกพันบาท  นายดำรงผู้พิพากษาศาลจังหวัดไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  เห็นว่า  พยานโจทก์รับฟังไม่ได้  คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง

นายจีนอุทธรณ์ว่า  คำพิพากษาของนายดำรงผู้พิพากษาศาลจังหวัดไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะผู้พิพากษาศาลจังหวัดนั่งพิจารณาพิพากษาคดีไม่ครบองค์คณะตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ซึ่งบัญญัติว่า  องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนจึงจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง

อุทธรณ์ของนายจีนฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  167  ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูล  ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล  ถ้าคดีไม่มีมูลให้พิพากษายกฟ้อง

วินิจฉัย

ศาลจังหวัดโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  6,000  บาท  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(3),(5)

เมื่อนายดำรงผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่าพยานโจทก์รับฟังไม่ได้คดีไม่มีมูลจึงพิพากษายกฟ้อง  นายดำรงผู้พิพากษาคนเดียวย่อมสามารถกระทำได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(3)  และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  167

ที่นายจีนอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของนายดำรงผู้พิพากษาศาลจังหวัดไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะผู้พิพากษาศาลจังหวัดนั่งพิจารณาพิพากษาคดีไม่ครบองค์คณะตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  นั้น  เห็นว่า  อำนาจในการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา  ตามมาตรา  25  วรรคแรก  ให้อำนาจผู้พิพากษาคนเดียวที่จะกระทำได้  ดังนั้นอุทธรณ์ของนายจีนจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  อุทธรณ์ของนายจีนฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  ในศาลอาญามีคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  นายกรกฎผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญา  และนายเมษาผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  เมื่อองค์คณะทั้งสองคนได้พิจารณาคดีเสร็จแล้วจึงปรึกษาคดีกันเพื่อทำคำพิพากษา  ปรากฏว่า  นายกรกฎผู้พิพากษาหัวหน้าคณะมีความเห็นแย้งกับนายเมษา  จึงไม่สามารถทำคำพิพากษาได้  นายกรกฎได้นำสำนวนคดีดังกล่าวไปปรึกษากับนายเอกซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  นายเอกมีความเห็นเช่นเดียวกับนายกรกฎจึงลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายกรกฎ  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(3) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้น  จะต้องกระทำโดยองค์คณะซึ่งประกอบด้วย  ผู้พิพากษาหลายคน  และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  184  ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง  ให้อธิบดีผู้พิพากษา  ข้าหลวงศาลยุติธรรม  หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้นหรือเจ้าของสำนวนเป็นประธานถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคน  ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย  ให้ประธานออกความเห็นสุดท้ายการวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก  ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งเป็นสองฝ่ายหรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไป  จะหาเสียงข้างมากมิได้  ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นแย้งเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วในคดีแพ่ง  ถ้าผู้พิพากษาหลายคนซึ่งเป็นองค์คณะในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งมีความเห็นแย้งกันจนกาเสียงข้างมากมิได้  ให้ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(3)  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์ขณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  บทบัญญัติมาตรา  29(3)  กำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาได้

แต่กรณีตามอุทาหรณ์  เป็นคดีอาญาต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  184  อันเป็นบทเฉพาะนั้นมาใช้บังคับจะนำพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29(3)  ประกอบมาตรา  31(3)  มาใช้บังคับไม่ได้ดังนั้นในกรณีนี้จึงต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นแย้งเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก  ยอมเห็นด้วยกับผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า  การที่นายกรกฎนำสำนวนคดีดังกล่าวไปปรึกษากับนายเอกซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  และนายเอกมีความเห็นเช่นเดียวกับนายกรกฎจึงลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายกรกฎ  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  นายเทพได้กู้เงินนายรวย  เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้นายเทพไม่ยอมชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน  5  แสนบาท  ในวันที่  2  ตุลาคม  2550  นายรวยได้ยื่นฟ้องนายเทพต่อศาลแพ่ง  ขอให้ชำระเงินจำนวนดังกล่าว  ต่อมาวันที่  16  กรกฎาคม  2550  นายเทพได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายเฮง  ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีราคาสามแสนบาท  ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน

นายรวยเจ้าหนี้ได้ทราบถึงการทำนิติกรรมดังกล่าว  จึงมาฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของนายเทพ  เนื่องจากนายเทพไม่มีทรัพย์อื่นใด  เมื่อยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเฮงแล้วหากศาลแพ่งพิพากษาให้นายรวยชนะคดีข้างต้น  นายรวยย่อมเสียเปรียบ เพราะไม่สามารถบังคับคดีให้ได้เงินที่นายเทพกู้ยืมไปคืน  ศาลแพ่งสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่า  ที่ดินดังกล่าวมีราคาสามแสนบาท  ต้องไปยื่นฟ้องที่ศาลแขวงจึงจะถูกต้อง

การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  16  วรรคสอง  ศาลแพ่งและศาลอาญามีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร  นอกจากท้องที่ที่อยู่ในเขตของศาลแพ่งกรุงเทพใต้  ศาลแพ่งธนบุรี  ศาลอาญากรุงเทพใต้  ศาลอาญาธนบุรี  ศาลจังหวัดมีนบุรีและศาลยุติธรรมอื่นตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์เป็นเรื่องที่นายเทพลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายเฮง  ซึ่งนายเทพไม่มีทรัพย์สินใดอีก  ถือได้ว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นฉ้อฉลเจ้าหนี้  ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  237

การที่นายรวยได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของนายเทพ  เป็นเพียงคดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเท่านั้น มิได้เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์มาเป็นของนายรวยหรือนายรวยได้รับประโยชน์แต่อย่างใด  เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์พิพาทกลับมาเป้นของลูกหนี้  ฟ้องเช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้  จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  (ฎ. 919/2508 (ประชุทใหญ่))

เมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแพ่ง  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  16  วรรคสอง  คำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณาจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม 

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดว่า  โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องโดยได้รับการยกให้จากบิดาโจทก์  จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินส่วนที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง  โจทก์คัดค้านการรังวัดแต่เจ้าพนักงานที่ดินเห็นว่าที่ดินเป็นของจำเลย  จึงออกโฉนดให้จำเลย  ขอให้ศาลจังหวัดพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว

จำเลยต่อสู้ว่า  จำเลยซื้อที่ดินพิพาทในราคาสองแสนห้าหมื่นบาทจากผู้มีชื่อ  และได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมา โจทก์ไม่ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตามฟ้อง  ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง

ศาลจังหวัดพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้ว  คดีอยู่ระหว่างทำคำพิพากษา  ศาลจังหวัดเห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสามแสนบาทอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง  จึงสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวง  ศาลแขวงพิจารณาแล้วเห็นว่า  ศาลจังหวัดรับฟ้องคดีนี้แล้ว  แม้ต่อมาจะปรากฏว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง  ศาลจังหวัดดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาต่อไปได้  และศาลจังหวัดได้สืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จสิ้นและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจทำคำพิพากษาคดีนี้ได้  จึงมีคำสั่งไม่รับโอนคดีจากศาลจังหวัด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ความเห็นของศาลทั้งสองนั้น  ศาลใดวินิจฉัยถูกต้องตามกฎหมาย

ธงคำตอบ

มาตรา  16  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด  และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำสั่งของศาลแขวงที่ไม่รับโอนคดีนี้จากศาลจังหวัดชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  คำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองโดยไม่มีสิทธิ  จำเลยให้การโต้แย้งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทว่าเป็นของจำเลย  จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์  เมื่อศาลจังหวัดเห็นว่าราคาที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทุนทรัพย์ของคดีไม่เกิน  3  แสนบาท  คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา  แม้ศาลจังหวัดจะได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลยจนเสร็จและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว  แต่ตราบใดที่ศาลจังหวัดยังมิได้มีคำพิพากษา  ศาลจังหวัดชอบที่จะมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  16  วรรคท้าย

การที่ศาลแขวงมีความเห็นว่า  ศาลจังหวัดรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาแล้ว  แม้ต่อมาจะปรากฏว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง  ศาลจังหวัดก็ยังมีอำนาจดำเนินกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปได้  ทั้งศาลจังหวัดได้สืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจทำคำพิพากษาคดีนี้ได้นั้น  เห็นว่า  แม้ศาลจังหวัดจะได้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จและอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏภายหลังว่าเป้นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  17  ประกอบมาตรา  25  วรรคแรก  (4)  ไม่ใช่คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดเสียแล้ว  ศาลจังหวัดย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  18  ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้อำนาจศาลจังหวัดที่จะใช้ดุลพินิจรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปดังที่ศาลแขวงมีความเห็น  ดังนั้นการที่ศาลจังหวัดมีอำนาจโอนคดีเรื่องนี้ไปยังศาลแขวงซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้นั้น  เป็นการชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  16  วรรคท้ายแล้ว  และเมื่อศาลแขวงจะเป็นผู้พิจารณาคดีนี้ต่อไป  ผู้พิพากษาศาลแขวงจึงมีอำนาจทำคำพิพากษาคดีนี้ได้  ที่ศาลแขวงมีความเห็นว่าผู้พิพากษาศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารราพิพากษาคดีนี้และมีคำสั่งไม่รับโอนคดีนั้นเป็นการไม่ชอบ  (ฎ.1966/2550)

สรุป  ความเห็นของศาลจังหวัดถูกต้อง  ศาลแขวงมีอำนาจทำคำพิพากษาคดีนี้ได้

 

ข้อ  2  ในศาลจังหวัดมีนายเอกเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  นายโทผู้พิพากษาอาวุโส  นายตรี  นายจัตวา  นายขาว  นายเขียว  เป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดและนายแดงเป็นผู้พิพากษาประจำศาล  นายเอกได้จ่ายสำนวนคดีอาญาให้นายจัตวาและนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  องค์คณะทั้งสองได้เริ่มสืบพยานโจทก์ไปได้สองปาก  นายจัตวาได้ย้ายไปรับราชการยังศาลจังหวัดอื่น  นายเอกเห็นว่า เมื่อนายจัตวาได้ย้ายไปแล้วเกรงจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  จึงได้โอนสำนวนคดีดังกล่าวไปให้นายเขียวและนายขาวเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาต่อไป

ท่านเห็นว่า  กากระทำของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  33  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี  ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และรองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณีที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

วินิจฉัย

เมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล  จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว  ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาไปจนเสร็จสำนวน  จะเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้  เว้นแต่

1       เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และ

2       รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด  ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น  หรือให้โอนสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

นายเอกเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่นายจัตวาและนายแดงเป็นองค์คณะผู้พิพากษา  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายจัตวาได้ย้ายไปรับราชการที่ศาลจังหวัดอื่น  ทำให้องค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษามีจำนวนไม่ครบ  2  คน  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  เมื่อได้เริ่มสืบพยานโจทก์ไปได้  2  ปากแล้ว  จึงถือว่าเป็นกรณีที่อาจจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  ในกรณีนี้เป็นศาลจังหวัด  จึงต้องให้ผู้พิพากษาศาลจังหวัดที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  ที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

ดังนี้เมื่อนายมนตรีเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดที่มีอาวุโสสูงสุด  ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าว  มิได้เสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดี  การที่นายเอกโอนสำนวนคดีดังกล่าวไปให้นายเขียวและนายขาวเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาต่อไป  จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  ตามมาตรา  33  วรรคแรก  (นายโทผู้พิพากษาอาวุโส  ไม่มีอำนาจเสนอความเห็น  ตามมาตรา  33  วรรคสาม)

สรุป  การกระทำของนายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  นายเก่งเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายโกงเป็นจำเลยต่อศาลอาญาในข้อหาออกเช็คไม่มีเงิน  ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง  มีหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาและสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าจำเลยออกเช็คที่จังหวัดราชบุรี  ธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตั้งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี  ความผิดเกิดขึ้นในเขตจังหวัดราชบุรี  โจทก์ชอบที่จะฟ้องต่อศาลนั้น  จึงยกฟ้อง  ดังนี้คำพิพากษาศาลอาญาชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  16  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญา  และคดีนั้นเกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งหรือศาลอาญาแล้วแต่กรณี  อาจใช้ดุลพินิจยอมรับไว้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ในการใช้ดุลพินิจรับหรือไม่รับคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลแพ่งและศาลอาญาตามมาตรา  16  วรรคสาม  ประกอบด้วย

1       ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งหรือศาลอาญา

2       คดีนั้นเกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งหรือศาลอาญา  (ไม่หมายความรวมถึงคดีที่เกิดนอกราชอาณาจักรไทย)

3       ศาลแพ่งหรือศาลอาญาอาจใช้ดุลพินิจยอมรับไว้พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ

นายเก่งยื่นฟ้องนายโกงในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินต่อศาลอาญา  ซึ่งความผิดตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ  นั้นเกิดขึ้นเมื่อธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค  สถานที่ตั้งของธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงิน  จึงเป็นสถานที่ที่ความผิดเกิดขึ้น คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดราชบุรี (ฎ.1229/2519  (ประชุมใหญ่))  เป็นกรณีที่คดีเกิดขึ้นนอกเขตของศาลแพ่งหรือศาลอาญา 

แต่เมื่อศาลอาญาได้ประทับฟ้องในคดี  ถือเป็นการใช้ดุลพินิจยอมรับคดีที่เกิดนอกเขตศาลไว้พิจารณาพิพากษาแล้ว  ศาลอาญาจะพิพากษายกฟ้อง  โดยอ้างว่าเกิดนอกเขตอำนาจศาล  หรือสั่งจำหน่ายคดีหรือสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง  หรือจะสั่งหรือพิพากษาให้โจทก์นำคดีไปยื่นฟ้องต่อศาลอื่นที่มีเขตอำนาจไม่ได้  (ฎ.2019/2528)  คำพิพากษาศาลอาญาจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  16  วรรคสาม

สรุป  คำพิพากษาศาลอาญาไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  เขียวเป็นโจทก์ฟ้องนายเหลืองต่อศาลจังหวัดข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  290  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่  3  ปี  ถึง  15  ปี  นายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีดังกล่าวให้นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดไต่สวนมูลฟ้อง  นายเอกได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้องจึงนำสำนวนคดีไปปรึกษากับนายใหญ่  นายใหญ่จึงมอบหมายให้นายเด่นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนั้น  ตรวจสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องร่วมกับนายเอก

ท่านเห็นว่าการกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา  25(5)

วินิจฉัย

การที่นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัด  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียวทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ย่อมมีอำนาจทำได้  ตามมาตรา  25(3)

เมื่อนายเอกผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว  เห็นว่าคดีไม่มีมูล  ควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนานั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด  คือจำคุกตั้งแต่  3  ปีถึง  15  ปี  ซึ่งถือว่าเกินอัตราโทษตามมาตรา  25(5)  คือ  มีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า  3  ปี  จึงไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียว  นายเอกผู้พิพากษาที่ทำการไต่สวนมูลฟ้องจะพิพากษายกฟ้องไม่ได้  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  31(1)  ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะ  และผู้พิพากษาที่จะเป็นองค์คณะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษานั้น  ได้แก่  ผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา  29(3)  คือ  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค  ตามมาตรา  29  วรรคท้าย

ดังนั้นในกรณีนี้นายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมกับนายเอกเท่านั้น  จะมอบหมายให้ผู้ใดทำคำพิพากษาแทนไม่ได้  การที่นายใหญ่มอบหมายให้นายเด่นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนั้นตรวจสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องร่วมกับนายเอก  จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  31(1)  ประกอบมาตรา  29(3) 

สรุป  การกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  ศาลแขวงสุพรรณบุรี  โดยนายอรรถวิทย์  ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรี  พิจารณาคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องมีทุนทรัพย์สามแสนบาท ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์ที่พิพาทเกินสามแสนบาท  นายอรรถวิทย์เห็นว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นไม่อาจก้าวล่วงได้  จึงนำคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสุพรรณตรวจสำนวนลงชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะ  แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี  คำพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว

วินิจฉัย

ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  คือคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน  3  แสนบาท  และมีผู้พิพากษาคนเดียว

โจทก์ฟ้องคดีมีทุนทรัพย์  3  แสนบาท  ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง  แต่เมื่อพิจารณาไปแล้วปรากฏว่า  ทุนทรัพย์ที่พิพาทมีราคาเกินกว่า  3  แสนบาท  คดีจึงเกินอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา  นายอรรถวิทย์ผู้พิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความ  และคืนฟ้องให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจ  นายอรรถวิทย์จะนำคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสุพรรณบุรีตรวจสำนวนและลงชื่อเป็นองค์คณะทำคำพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ประกอบมาตรา  31(4)  โดยถือว่าเป็นเหตุอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้มิได้  เพราะคดีตามมาตรา  31(4)  เป็นคดีที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  คือ ศาลจังหวัดคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(4)  ถ้านายอรรถวิทย์เป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัด  จึงจะมีอำนาจนำคดีไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะสองคนเพื่อให้ครบองค์คณะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  26  ได้  แต่เมื่อกรณีเป็นเรื่องของศาลแขวง  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกินอำนาจของศาลแขวง  เพราะจะเป็นการขยายอำนาจของศาลแขวงให้มีอำนาจเหมือนศาลจังหวัด

สรุป  คำพิพากษาศาลแขวงสุพรรณบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  ในจังหวัดราชบุรีมีศาลจังหวัดและศาลแขวง  พนักงานอัยการได้นำคดีลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี  ปรับไม่เกินหกพันบาท  ไปฟ้องต่อศาลแขวง  ซึ่งจำเลยในคดีนี้เคยกระทำความผิดมาก่อนและศาลจังหวัดได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนดหนึ่งปี  และปรับหกพันบาท  มีเหตุอันควรปราณีตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  56  ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดสองปี  จำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้อีกโดยยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลารอการลงโทษ  จึงขอให้ศาลนำโทษจำคุกที่ศาลจังหวัดรอการลงโทษไว้มาบวกกับโทษในคดีนี้ด้วย  ศาลแขวงได้สั่งประทับรับฟ้อง  จำเลยให้การรับสารภาพ  นายรักเกียรติ  ผู้พิพากษาศาลแขวงจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนดหนึ่งปี  ปรับหกพันบาท  จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  78  ให้จำคุกจำเลยหกเดือน  ปรับสามพันบาท  และให้นำโทษจำคุกที่ศาลจังหวัดรอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยหนึ่งปีหกเดือน  และปรับสามพันบาท

การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงถูกต้องหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

มาตรา  58  วรรคแรก  เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง  หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า  ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา  56  ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ  และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น  ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง  หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง  แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  6,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  ประกอบมาตรา  17

แต่ในการพิพากษาคดีอาญา  ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวถูกจำกัดอำนาจในการพิพากษาตามมาตรา  25(5)  กล่าวคือ  จะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน  6  เดือน  หรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้  ดังนั้นการที่ศาลแขวงโดยนายรักเกียรติ  ผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด  1  ปี  ปรับ  6,000  บาท  แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  78  คงเหลือให้จำคุก  6  เดือน และปรับ  3,000  บาท  ย่อมกระทำได้  เพราะไม่เกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว  ตามมาตรา  25(5)

ส่วนประเด็นว่าการที่ศาลแขวงนำโทษจำคุกที่ศาลจังหวัดรอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้รวมเป็นจำคุกจำเลย  1  ปี  6  เดือน  และปรับ  3,000  บาท  ซึ่งถือว่าเกินอำนาจของศาลแขวงในการพิพากษาคดีอาญา  ตามมาตรา  25(5)  จะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  หรือไม่  เห็นว่า  การบวกโทษที่รอการลงโทษไว้เป็นการนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยไว้  แต่ให้รอการลงโทษที่กำหนดไว้นั้นภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด  เมื่อจำเลยมากระทำผิดขึ้นอีกภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้  และคดีนั้นอยู่ในอำนาจศาลแขวง  ศาลแขวงก็จะต้องนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนกำหนดและให้รอการลงโทษจำเลยไว้มาบวกกับโทษในคดีหลัง  ตาม  ป.อ.มาตรา  58  ซึ่งบัญญัติบังคับและให้อำนาจไว้  แม้โทษนั้นจะให้จำคุกเกิน  6  เดือนหรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวก็มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้  ไม่ถือว่าเกินอำนาจ  ดังนั้นการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงในคดีนี้จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  ตามมาตรา  25(5)  ประกอบ  ป.อ.มาตรา  58

และในกรณีนี้ก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  31(2)  ในเรื่องเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ที่จะต้องให้ผู้พิพากษาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาภาคหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมด้วย  ตามมาตรา  29(3)  แต่อย่างใด

สรุป  การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1.       ประสงค์ยื่นคำร้องขอรับมรดกไม่มีพินัยกรรมของประสานซึ่งเป็นเงินฝากในธนาคาร เป็นเงินจำนวนสามแสนบาท ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ประสิทธิ์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าประสงค์ไม่มีสิทธิรับมรดกของประสานเพราะไม่ได้เป็นทายาทของประสาน มรดกของประสานเป็นเงินฝากในธนาคารมีจำนวนเก้าแสนบาท คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือจะรับไว้พิจารณา ขอให้ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษายกคำร้องของประสงค์ ศาลแขวง  พระนครเหนือพิจารณาแล้วเห็นว่าประสงค์เป็นทายาทโดยธรรมของประสาน มีสิทธิรับมรดกของประสาน ประสงค์ร้องขอรับมรดกของประสานจำนวนสามแสนบาท
คดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือ พิพากษาว่าประสงค์  มีสิทธิรับมรดกของประสานจำนวนสามแสนบาท ยกคำร้องคัดค้านของประสิทธิ์
คำพิพากษาศาลแขวงพระนครเหนือชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ให้อธิบาย
ธงคำตอบ
คำพิพากษาศาลแขวงพระนครเหนือชอบด้วยกฎหมาย  ประสงค์เป็นทายาทโดยธรรมของประสานจึงมีสิทธิรับมรดกของประสาน  แม้มรดกของประสานในธนาคารจะมีจำนวนถึงเก้าแสนบาทตามที่ประสิทธิกล่าวอ้าง  แต่ประสงค์ร้องขอรับมรดกของประสานเสียงสามแสนบาท  ไม่ได้ขอรับมรดกซึ่งเป็นเงินฝากทั้งหมดในธนาคาร  คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงพระนครเหนือที่จะพิจารณาพิพากษา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคหนึ่ง (4)
ข้อ 2.       นายเอก ประธานศาลอุทธรณ์ ได้จ่ายสำนวนคดีให้นาย ก. นาย ข. และนาย ค. ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ และผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามลำดับ เป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง เมื่อนาย ก. นาย ข. และนาย ค. ได้รับสำนวนคดีแล้ว แต่ยังมิได้มีการปรึกษาคดีกัน ปรากฏว่า นาย ก. หัวใจวายกะทันหัน และนาย ข. ได้ย้ายไปรับราชการยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 นายเอกจึงมอบหมายให้นายดำผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ และนายแดงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวแทนนาย ก. และนาย ข.
นายโท รองประธานศาลอุทธรณ์ คนที่ 1 ได้ทำหนังสือโต้แย้งเสนอต่อประธานศาลอุทธรณ์ว่า การที่ประธานศาลอุทธรณ์มอบหมายสำนวนคดีให้นายดำและนายแดง เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการโอนสำนวนคดี จะต้องให้รองประธานศาลอุทธรณ์ที่มีอาวุโสสูงสุดได้เสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีเสียก่อน ประธานศาลอุทธรณ์จึงจะทำการโอนคดีให้นายดำและนายแดงได้
ท่านเห็นว่าการกระทำของนายเอกและนายโทชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่
ธงคำตอบ

การกระทำของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ตามมาตรา 30 และมาตรา 28 (2)การกระทำหรือคำโต้แย้งของนายโทไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง เพราะกรณีตามอุทาหรณ์เป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 30 มิใช่เป็นการโอนสำนวนตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ  3.      นายปอผู้พิพากษาศาลแขวงได้นั่งพิจารณาคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท เมื่อพิจารณาคดีเสร็จแล้วเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแปดเดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกสี่เดือน แต่เนื่องจากจำเลยกระทำความผิดเป็นครั้งแรกสมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอไว้มีกำหนดหนึ่งปี

คำพิพากษาของนายปอชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

คำพิพากษาของนายปอชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5)

การทำคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือนของนายปอ อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะที่จะทำได้ตามมาตรา 25 (5) ประกอบกับการรอการลงโทษนั้นมิใช่โทษที่ศาลลง คำพิพากษาของนายปอผู้พิพากษาศาลแขวงจึงชอบตามมาตรา 25 (5)

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  ฟ้องนาย  ข  ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนต่อศาลจังหวัด  ขอให้ศาลจังหวัดพิพากษาลงโทษประหารชีวิต  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดจ่ายสำนวนให้นายยุติธรรมผู้พิพากษาศาลจังหวัดทำการไต่สวนมูลฟ้อง  นายยุติธรรมไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  เห็นว่า

(ก)  คดีมีมูล  จึงสั่งประทับฟ้อง

(ข)  คดีไม่มีมูล  จึงพิพากษายกฟ้อง

คำสั่ง  หรือคำพิพากษาของนายยุติธรรมทั้งสองกรณีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  ให้อธิบายและยกเหตุผลประกอบคำตอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา  25(5)

วินิจฉัย

(ก)  การที่นายยุติธรรมผู้พิพากษาศาลจังหวัด  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียวทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วเห็นว่าคดีมีมูล  จึงมีคำสั่งประทับฟ้อง  นายยุติธรรมย่อมมีอำนาจทำได้  คำสั่งของนายยุติธรรมกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย  เพราะคำสั่งประทับฟ้องเป็นคำสั่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(3)  ไม่ทำให้คดีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องเสร็จเด็ดขาด  จะต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

(ข)  เมื่อนายยุติธรรมผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล  ควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด  คือมีอัตราโทษประหารชีวิต  ซึ่งถือว่าเกินอัตราโทษตามมาตรา  25(5)  ไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียว  นายยุติธรรมผู้พิพากษาที่ทำการไต่สวนมูลฟ้องจะพิพากษายกฟ้อง  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  31(1)  ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ระหว่างการทำพิพากษาคดี  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะ  ตามมาตรา  26  และผู้พิพากษาที่จะเป็นองค์คณะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาดังกล่าวนั้นได้แก่  ผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา  29(3)  คือ  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  หรือผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาล

ดังนั้นการที่นายยุติธรรมโดยลำพังไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล  พิพากษายกฟ้อง  คำพิพากษาของนายยุติธรรมจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

(ก)  คำสั่งประทับฟ้องของนายยุติธรรมชอบด้วยกฎหมาย

(ข)  คำพิพากษายกฟ้องของนายยุติธรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายขาวฟ้องนายดำฐานยักยอก  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  หรือปรับไม่เกิน  60,000  บาท  ต่อศาลแขวง  โดยมีนายธรรมผู้พิพากษาประจำศาลแขวง  เป็นผู้พิจารณาคดี  ต่อมานายธรรมพิพากษาลงโทษจำคุกนายดำ  1  ปี  นายธรรมจึงนำสำนวนไปปรึกษานายจักร  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวง  แต่เนื่องจากนายจักรติดราชการที่อื่น  จึงมอบหมายให้นายดุล  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลแขวงนั้นเป็นผู้ทำการแทน  เมื่อนายดุลตรวจสำนวนแล้ว  จึงลงลายมือชื่อร่วมกับนายธรรม  คำพิพากษานี้ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(2) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา  25(5)  แล้ว  เห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว

วินิจฉัย

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจในคดีอาญาตามมาตรา  25(3)  และ  (5)  กล่าวคือ  ไม่มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา  และไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกิน  3  ปี  หรือปรับไม่เกิน  60,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกิน  6  เดือน  หรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

เมื่อนายธรรมผู้พิพากษาประจำศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  การที่นายธรรมพิพากษาลงโทษจำคุกนายดำเกิน  1  ปี  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคท้าย

ดังนั้น  เมื่อนายธรรมไม่มีอำนาจมาตั้งแต่ต้นแล้ว  แม้จะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน  6  เดือน  ก็ไม่จำต้องพิเคราะห์บทบัญญัติตามมาตรา 29(3)  และมาตรา  31(2)  แต่อย่างใด

สรุป  คำพิพากษาไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  (ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  288)  แล้วเห็นว่า  ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้องจริง  จึงพิพากษาจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์ภายในระยะเวลาอุทธรณ์  ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  พนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเบาไป  ควรลงโทษประหารชีวิต  ส่วนจำเลย  เห็นว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยหนักเกินไป  พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยจึงฎีกาขึ้นไปยังศาลฎีกา  โดยพนักงานอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตจำเลย  ส่วนจำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยเบากว่าที่ศาลล่างลงโทษ

ถ้าท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา  ท่านจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  22  ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว  จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว  ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น  ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์  คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  แต่ความในมาตรา  22(1)  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  คือ  เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ในกรณีนี้ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  คดีก็เป็นอันยุติ  จะฎีกาอีกต่อไปมิได้

ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์  ศาลชั้นต้นจึงต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  การที่ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนไว้พิจารณาและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  คดีจึงเป็นอันยุติ  ตามมาตรา  245  วรรคสองตอนท้าย  โจทก์และจำเลยจะฎีกาต่อไปไม่ได้  ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะยกฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลย

สรุป  ข้าพเจ้าฯจะยกฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลย

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดีเป็นโจทก์ฟ้องนายเกเรต่อศาลแขวง  (ในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง)  ในข้อหากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี  ปรับไม่เกินหกพันบาท  นายนิติผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดแห่งนั้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล  จึงพิพากษายกฟ้อง  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  6,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  ประกอบมาตรา  17 

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำพิพากษายกฟ้องของนายนิติผู้พิพากษาประจำศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  อำนาจของผู้พิพากษาประจำศาลนั้นถูกจำกัดโดยบทบัญญัติมาตรา  25  วรรคท้าย  กล่าวคือ  ไม่มีอำนาจตามมาตรา  25(3)  (4)  และ  (5)  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายนิติเป็นผู้พิพากษาประจำศาล  นายนิติจึงไม่มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา  การที่นายนิติผู้พิพากษาประจำศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล  จึงพิพากษายกฟ้อง  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(3) ประกอบวรรคท้าย

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายดำผู้พิพากษาศาลแขวงได้นั่งพิจารณาคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่พันบาท  เมื่อพิจารณาคดีเสร็จแล้วเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยสิบเดือนและปรับสองพันบาท  จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  คงลงโทษจำคุกห้าเดือนและปรับหนึ่งพันบาท  แต่เนื่องจากจำเลยเป็นนักศึกษาและเป็นความผิดครั้งแรกสมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี  โทษจำคุกจึงให้รอไว้มีกำหนดหนึ่งปี

คำพิพากษาของนายดำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบมาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

วินิจฉัย

ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  60,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  ประกอบมาตรา  17

แต่ในการพิพากษาคดีอาญา  ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวถูกจำกัดอำนาจในการพิพากษาตามมาตรา  25(5)  กล่าวคือ  จะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน  6  เดือนหรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้  ทั้งนี้พิจารณาจากอัตราโทษที่ศาลลงแก่จำเลยในขั้นสุดท้ายหลังจากมีการลดมาตราส่วนโทษ  เพิ่มโทษ  หรือลดโทษตามกฎหมายแล้ว  ดังนั้นการที่ศาลแขวงโดยนายดำ  ผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด  10  เดือน  ปรับ  2,000  บาทแต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  78  คงเหลือให้จำคุก  5  เดือน  และปรับ  1,000  บาท  ย่อมกระทำได้  เพราะไม่เกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว  ตามมาตรา  25(5)  (ฎ.1125/2481)

ส่วนประเด็นที่ศาลรอการลงโทษจำคุกกำหนด  1  ปีนั้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  แม้ศาลจะรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนดเกินกว่า  6  เดือน  ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวก็มีอำนาจทำได้  ไม่ถือว่าเกินอำนาจของศาลแขวง  ทั้งนี้เนื่องจากการรอการลงโทษมิใช่การลงโทษ  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  18

สรุป  คำพิพากษาของนายดำชอบด้วยกฎหมาย 

 

ข้อ  3  นายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายสอง  นายสามและนายสี่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี  ขณะทำคำพิพากษาคดีนั้น  นายสองหัวใจวายถึงแก่ความตาย  นายสามและนายสี่จึงนำคดีไปปรึกษานายหนึ่ง  แต่นายหนึ่งได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศพอดี  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ที่มีอาวุโสสูงสุดจึงสั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ร่วมกับนายสามและนายสี่  ทำคำพิพากษาคดีต่อไป

การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(2) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค  ได้แก่  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองประธานศาลอุทธรณ์  หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)  (2)  และ  (3)  ด้วย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

การที่นายหนึ่ง  ประธานศาลอุทธรณ์ภาคจ่ายสำนวนคดีให้นายสอง  นายสาม  และนายสี่  เป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่งนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรกที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย  หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี  เช่น  เจ็บป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  บทบัญญัติมาตรา  29(2)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาและมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสอง  หัวใจวายกะทันหันในระหว่างการทำคำพิพากษา  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  29(2)  ที่ต้องให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  เพื่อให้ครบองค์คณะ  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศ  จึงไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ดังนั้นรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนและมีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้  ตามมาตรา  29(2)  และวรรคท้าย  ประกอบมาตรา  8  วรรคสอง  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาด้วยตนเองเท่านั้น  จะมอบหมายให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสองไม่ได้  เพราะมาตรา  29(2)  ไม่ได้ให้อำนาจในการมอบหมายเอาไว้  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การกระทำของนายยอดไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ศาลจังหวัดราชบุรีและศาลแขวงราชบุรีมีอาณาเขตตลอดจังหวัดราชบุรี  โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดราชบุรีขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินซึ่งอ้างว่าเป้นของโจทก์  จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย  ศาลสั่งไต่สวนราคาที่ดินและให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาลตามราคาที่ดินที่พิพาท  ปรากฏว่าเมื่อไต่สวนแล้วที่ดินพิพาทมีราคาสองแสนเจ็ดหมื่นบาท  ศาลจังหวัดราชบุรีเห็นว่าราคาที่ดินพิพาทไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลจังหวัดราชบุรี  จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องและสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจ

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่าศาลจังหวัดราชบุรีสั่งไม่ชอบ  ท่านเห็นด้วยกับโจทก์หรือไม่  ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  16  วรรคท้าย  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด  และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน  3  แสนบาท  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน  โดยหลักแล้วคำฟ้องเช่นนี้ไม่ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย  คดีจึงเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือจำเลย  ส่งผลให้คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์

เมื่อกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์  ก็ต้องมีการตีราคาที่ดินพิพาท  ปรากฏว่าเมื่อไต่สวนแล้วที่ดินพิพาทมีราคาสองแสนเจ็ดหมื่นบาท  ถือว่าทุนทรัพย์ไม่เกินสามแสนบาท  คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า  การที่ศาลจังหวัดมีคำสั่งไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจนั้นชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่  เห็นว่า  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด  แต่ปรากฏภายหลังว่าคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  บทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  16  วรรคท้ายได้กำหนดบังคับให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจเท่านั้น  ดังนั้นการที่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  และให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลแขวงนั้นย่อมไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  โจทก์ย่อมอุทธรณ์คำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้

สรุป  ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับโจทก์  เนื่องจากคำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม  จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้แก่นายดำผู้พิพากษาศาลจังหวัดและนางสาวสวยผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดนครพนมมาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา องค์คณะดังกล่าวได้สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว  ยังไม่ได้สืบพยานจำเลย  นายเอกได้โอนสำนวนคดีไปให้นายเขียวและนายขาวผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครพนมเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาแทน  โดยให้ความเห็นว่าเพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  นายดำจึงโต้แย้งว่านายเอกไม่มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดี  ผู้มีอำนาจทำความเห็นจะต้องเป็นตน  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุด

ท่านเห็นว่า  การโต้แย้งของนายดำฟังขึ้นหรือไม่  (ในศาลจังหวัดนครพนมมีนายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  นายแดงผู้พิพากษาอาวุโส  นายดำ  นายเขียว  นายขาวและนางสาวสวย  ผู้พิพากษาจังหวัดและผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดตามลำดับ)

ธงคำตอบ

มาตรา  33  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี  ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และรองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณีที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดี  ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง  ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณี  ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น  ให้รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น  เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน  ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  มีหนึ่งคนหรอมีหลายคนแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลนั้นเป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็น

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง

วินิจฉัย

เมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล  จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว  ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาไปจนเสร็จสำนวน  จะเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้  เว้นแต่

1       เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และ

2       ในกรณีของศาลจังหวัด  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด  ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น  หรือให้โอนสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายเอกมีอำนาจในการทำความเห็นให้โอนสำนวนคดีหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อนายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว  แม้นายเอกจะเห็นว่าเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาคดี  นายเอกก็ไม่มีอำนาจทำความเห็นให้โอนสำนวนคดีดังกล่าวไปให้นายเขียวและนายขาวผู้พิพากษาอื่นในศาลจังหวัดเป็นองค์คณะแทนได้  เนื่องจากพระธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดไว้โดยเฉพาะตัวแล้วว่าผู้มีอำนาจเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นได้นั้น  ต้องเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเท่านั้น  ซึ่งในที่นี้ก็คือ  นายเขียว  (ส่วนนายแดงแม้จะเป็นผู้พิพากษาอาวุโส  ก็ไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีได้ตามมาตรา  33  วรรคสาม)  ดังนั้นที่นายดำโต้แย้งว่านายเอกไม่มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดีจึงฟังขึ้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ที่นายดำโต้แย้งว่า  ผู้มีอำนาจทำความเห็นจะต้องเป็นตน  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดนั้นฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาถึงลำดับอาวุโสในศาลจังหวัดนครพนมแล้ว  ถือว่านายดำเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุด  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายดำเป็นองค์คณะในคดีดังกล่าว  นายดำจึงไม่อาจเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีดังกล่าวได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  33  วรรคแรก  ในกรณีนี้บทบัญญัติมาตรา  33  วรรคสองจึงให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น  เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน  ซึ่งก็คือ  นายเขียว  ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง  การโต้แย้งของนายดำในประเด็นจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ที่นายดำโต้แย้งว่านายเอกไม่มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดีนั้นฟังขึ้น  ส่วนที่โต้แย้งว่าผู้มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดีจะต้องเป็นตนเพราะเป็นผู้พิพากษาที่มอาวุโสสูงสุดนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินให้เช่า  และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นจำนวนเงินสองแสนบาทต่อศาลจังหวัด  จำเลยให้การต่อสู้ว่า  สัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดเวลา  และไม่เคยค้างค่าเช่า  โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยโดยมีนายจันทร์ผู้พิพากษาอาวุโส  และนายอังคารผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  นายจันทร์เห็นว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทไม่ยุ่งยาก  และจำนวนที่พิพาทก็ไม่เกินสามแสน  จึงทำการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จแล้วให้นายอังคารทำการตรวจสำนวน  ก่อนที่ทั้งสองจะลงลายมือชื่อร่วมกันในคำพิพากษา  คำพิพากษานี้ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น  และในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจังหวัดซึ่งเป็นศาลชั้นต้นนั้น  ต้องมีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะอย่างน้อย  2  คนโดยต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คนตามมาตรา  18  และมาตรา  26

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำพิพากษาของศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่เช่าและเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นเงินสองแสนบาท  โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินที่เช่าเป็นของจำเลยแต่อย่างใด  จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดตามมาตรา  18

สำหรับการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งของศาลจังหวัดนั้น  ถ้าเป็นคดีมีทุนทรัพย์และราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ตามมาตรา  25(4)  แต่สำหรับคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้น  ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลจังหวัดซึ่งเป็นศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีไม่มีทุนทรัพย์ทุกประเภท  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  เป็นองค์คณะ  ดังนั้น  การที่นายจันทร์ผู้พิพากษาอาวุโสแต่เพียงผู้เดียวได้ทำการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จโดยมิได้ร่วมพิจารณาคดีกับนายอังคารด้วย  จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  26  นายอังคารจึงไม่สามารถทำคำพิพากษาในคดีนี้ได้

ดังนั้น  การที่นายอังคารทำการตรวจสำนวนก่อนที่จะร่วมลงลายมือชื่อในคำพิพากษา  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องนาย  ก  ว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ต่อศาลจังหวัดราชบุรี  ระหว่างพิจารณาคดีนาย  ก  ไปกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ขึ้นอีกในเขตอำนาจของศาลแขวงราชบุรี  ศาลแขวงราชบุรีพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำคุกนาย  ก  มีกำหนด  6  เดือน  แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด  2  ปี  ในระหว่างที่ยังไม่พ้นกำหนดการรอการลงโทษ  ศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาให้จำคุกนาย  ก  มีกำหนด  1  ปี  และให้นำโทษจำคุกที่ศาลแขวงราชบุรีรอการลงโทษไว้มาบวกเข้าเป็นลงโทษจำคุกนาย  ก  1  ปี  6  เดือน

คำพิพากษาของศาลจังหวัดราชบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  58  วรรคแรก  เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง  หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่า  ภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา  56  ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ  และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น  ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง  หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง  แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

การบวกโทษที่รอการลงโทษไว้  เป็นการนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยไว้  แต่ให้รอการลงโทษที่กำหนดไว้นั้นภายในเวลาที่ศาลกำหนด  เมื่อจำเลยมากระทำผิดขึ้นอีกภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้  และคดีนั้นอยู่ในอำนาจศาลจังหวัด  ศาลจังหวัดก็จะต้องนำเอาโทษที่ศาลในคดีก่อนกำหนดและให้รอการลงโทษจำเลยไว้มาบวกกับโทษในคดีหลังตาม  ป.อ.มาตรา  58

คำพิพากษาศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบ  เพราะนาย  ก  กระทำความผิดในคดีก่อนคดีที่ศาลแขวงราชบุรีจะพิจารณาพิพากษาให้รอการลงโทษ  ไม่ได้กระทำผิดในระหว่างที่ศาลแขวงพิพากษาให้รอการลงโทษ  ทั้งนี้แม้ศาลจังหวัดจะพิพากษาให้จำคุกนาย  ก  ศาลจังหวัดก็ไม่มีอำนาจที่จะนำโทษจำคุกในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีของศาลจังหวัดราชบุรีได้  เพราะมิใช่เป็นการกระทำความผิดภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษ  (ฎ.3523/2545)

สรุป  คำพิพากษาของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  พันตำรวจเอกขาวออกตรวจราชการในเวลากลางคืนพบนายแดงขับรถในขณะเมาสุรา  จึงเรียกให้หยุดและทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์  แต่นายแดงไม่ยอมอ้างว่าไม่ได้เมาสุรา  นายดำเพื่อนนายแดงซึ่งนั่งอยู่ในรถด้วย  จึงออกมาโต้เถียงแทนนายแดง  เมื่อเห็นว่าพันตำรวจเอกขาวไม่ยอมปล่อยนายแดงแน่แล้วจึงด่าทอพันตำรวจเอกขาวด้วยถ้อยคำหยาบคายต่อหน้าตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน ต่อมาพนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องนายดำต่อศาลแขวงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  326  ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน  1  ปี  และปรับไม่เกิน  20,000  บาท  และขอให้ศาลแขวงบังคับให้นายดำจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน  300,000  บาทด้วย  เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลแขวงได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายดำมีกำหนด  6  เดือน  และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  100,000  บาท  คำพิพากษาของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  44/1  วรรคแรก  ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต  ร่างกาย  จิตใจ  หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย  ชื่อเสียงหรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากกากระทำความผิดของจำเลย  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้

วินิจฉัย

ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  326  ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน  1  ปี  และปรับไม่เกิน  20,000  บาท  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(5)  ประกอบมาตรา  17

แม้ศาลแขวงจะพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย  6  เดือน  ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลแขวงตามมาตรา  25(5)  ก็ตาม  แต่กรณีเรียกค่าสินไหมทดแทนนั้น  พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเรียกแทนผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  44/1  ดังนั้น  คำพิพากษาของศาลแขวงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำพิพากษาของศาลแขวงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิจารณาคดีอาญาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  288  ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิต  หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี  แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนคดีดังกล่าวแล้วจึงนำมาดำเนินการพิจารณาพิพากษาองค์คณะของศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ทารุณโหดร้าย  จึงร่วมกันแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นประหารชีวิต

ท่านเห็นว่าการรับคดีซึ่งคู่ความมิได้อุทธรณ์  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ตลอดจนการแก้ไขคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  212  คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ  ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย  เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  22  ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าวจะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว  ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น  ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์  คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  แต่ความในมาตรา  22(1)  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีได้ส่งมายังศาลอุทธรณ์  หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  245  วรรคสอง  คือ  เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ในกรณีนี้หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  คดีเป็นอันยุติ  คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้

ดังนั้น  เมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  245  วรรคสอง  การที่ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนดังกล่าวมาเพื่อพิจารณาพิพากษาจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  22(1)

แต่อย่างไรก็ตาม  ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเพื่อลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  212  ทั้งนี้เพราะคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษา  ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคดีนั้นโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยเท่านั้น

สรุป

การรับคดีของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การแก้ไขคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์  ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเจี๊ยบผู้พิพากษาศาลจังหวัดได้พิจารณาคดีแพ่งที่นายป๋อฟ้องนายแป๋งว่าทำละเมิด  เรียกค่าสินไหมทดแทน  3  แสนบาท  นายแป๋งให้การต่อสู้ว่า  นายป๋อเป็นผู้ทำละเมิดและฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทน  4  แสนบาท  แล้วพิพากษาให้นายป๋อเป็นฝ่ายชนะคดี ยกฟ้องนายแป๋ง 

ท่านว่าการพิจารณาพิพากษาคดีของนายเจี๊ยบชอบหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ตามหลักพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาคนเดียวของศาลจังหวัด  (ศาลชั้นต้น)  มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์  (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้อง)  ไม่เกิน  3  แสนบาท

การที่นายเจี๊ยบผู้พิพากษาคนเดียวของศาลจังหวัดได้พิจารณาคดีแพ่งที่นายป๋อฟ้องนายแป๋งว่าทำละเมิด  เรียกค่าสินไหมทดแทน  3 แสนบาทนั้น  ถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์  คือ  จำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน  3  แสนบาท  จึงอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียวในศาลจังหวัด  ดังนั้นนายเจี๊ยบจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว

แต่ในกรณีที่นายแป๋งให้การต่อสู้ว่านายป๋อเป็นผู้ทำละเมิด  และฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทน  4  แสนบาทนั้น  การฟ้องแย้งของนายแป๋งถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่  การคำนวณทุนทรัพย์จึงต้องคำนวณแยกจากฟ้องเดิม  ดังนั้นเมื่อการฟ้องแย้งของนายแป๋งเป็นคดีทีมีทุนทรัพย์เกิน  3  แสนบาท  จึงเกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าว  ดังนั้น  นายเจี๊ยบผู้พิพากษาคนเดียวในศาลจังหวัดจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาฟ้องแย้งของนายแป๋ง  และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  นายเจี๊ยบได้พิจารณาพิพากษาฟ้องแย้งของนายแป๋งโดยพิพากษายกฟ้องฟ้องแย้งของนายแป๋ง  การพิจารณาพิพากษาคดีของนายเจี๊ยบจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การพิจารณาพิพากษาคดีของนายเจี๊ยบ  ในกรณีที่นายป๋อฟ้องชอบด้วยกฎหมาย  แต่การพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนที่นายแป๋งฟ้องแย้งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  ในศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา  มีนายนิติ  ผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา  ได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์สามแสนบาท  ต่อมาในระหว่างพิจารณาคดี  ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทเกินสามแสนบาท  นายนิติเห็นว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  จึงนำคดีไปปรึกษากับนายยิ่งใหญ่  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาตรวจสำนวนลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายนิติ  พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์  (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้อง)  ไม่เกิน  3  แสนบาท  (มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17)

การที่ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาได้พิจารณาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์  3  แสนบาทนั้น  นายนิติผู้พิพากษาศาลแขวงฯ  ย่อมมีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวได้ตามมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในระหว่างการพิจารณาคดีว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทเกิน  3  แสนบาท  คดีจึงเกินอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา  ดังนั้นนายนิติผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ  และคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจ  นายนิติจะนำคดีไปปรึกษากับนายยิ่งใหญ่  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อเป็นองค์คณะทำคำพิพากษา  โดยเห็นว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  31(4)  มิได้  เพราะตามมาตรา  26  ประกอบกับมาตรา  31(4)  นั้นเป็นการให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้นเท่านั้น  มิได้ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาในการพิพากษาคดีในศาลแขวงแต่อย่างใด  อีกทั้งถ้าให้อำนาจผู้พิพากษาคนเดียวในศาลแขวงดำเนินการดังกล่าวได้  ก็จะเป็นการขยายอำนาจของศาลแขวงให้มีอำนาจเหมือนศาลจังหวัด

ดังนั้น  การที่นายนิติไม่สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแต่นำคดีดังกล่าวไปปรึกษากับนายยิ่งใหญ่  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาตรวจสำนวน  และลงลายมือชื่อร่วมกับนายนิติ  พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้น  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครศรีอยุธยาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  นายขาว  นายดำ  นายเทา  ผู้พิพากษาศาลฎีกา  ได้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  ปรากฏว่าคดีดังกล่าวมีปัญหาข้อกฎหมายที่องค์คณะทั้งสามไม่อาจหาข้อยุติได้  จึงได้เสนอต่อประธานศาลฎีกาให้มีการนำคดีเข้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา  ในการประชุมใหญ่นั้น  มีองค์คณะทั้งสามคนและผู้พิพากษาในศาลฎีกาอีกแปดสิบคนเข้าร่วมประชุมจนได้ข้อยุติ  แต่นายเทาไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่  จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะ  นายเก่งผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มิได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ศาลฎีกา  จึงลงลายมือชื่อในคำพิพากษาร่วมเป็นองค์คณะกับนายขาวและนายดำหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว 

คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค  และผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว  เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว  มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งคดีนั้นได้  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

วินิจฉัย

ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  27  วรรคแรก  ได้บัญญัติว่า  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกานั้น  จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้  ดังนั้นตามอุทาหรณ์  การที่นายขาว  นายดำ  และนายเทา  ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนั้น  การพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาทั้งสามคนในคดีดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

และในกรณีที่มีการนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา  พระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  27  วรรคสอง  ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ศาลฎีกาเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว  มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้

เมื่อตามอุทาหรณ์  ปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ได้มีการนำคดีแพ่งเรื่องดังกล่าวทีมีปัญหาข้อกฎหมายที่องค์คณะทั้งสามไม่อาจหาข้อยุติได้เข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจนได้ข้อยุติ  แต่นายเทาซึ่งไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุมใหญ่  จึงไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะ  และนายเก่งผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มิได้เข้าประชุมใหญ่ศาลฎีกา  จึงลงลายมือชื่อในคำพิพากษาร่วมเป็นองค์คณะกับนายขาว  และนายดำหลังจากได้ตรวจสำนวนแล้วนั้น  คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะแม้คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจะได้มีผู้พิพากษาลงลายมือชื่อในคำพิพากษาครบ  3  คนเป็นองค์คณะแล้วก็ตาม  แต่นายเก่งมิได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ของศาลฎีกาในครั้งนี้  ดังนั้นนายเก่งจึงไม่มีอำนาจในการตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาตามมาตรา  27  วรรคสอง

สรุป  คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายอรรถเป็นโจทย์ฟ้องนายนิติเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสงขลา  ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทย์  พร้อมทั้งดอกเบี้ยเป็นจำนวนสามแสนบาท  จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กู้ยืมเงินไปจากโจทย์  แต่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันทำธุรกิจการค้ากัน  ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์  และจำเลยฟ้องแย้งว่าในการทำธุรกิจการค้ากับโจทก์  โจทก์เป็นหนี้จำเลยเป็นเงินสี่แสนบาท  ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์ชำระหนี้จำนวนสี่แสนบาทแก่จำเลยประการหนึ่ง

นายดำเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสงขลาว่า  จำเลยยืมรถตัดฟ่อนข้าวของโจทก์ไปเพื่อตัดฟ่อนข้าวในนาของจำเลย เมื่อตัดฟ่อนข้าวเสร็จแล้วโจทก์ขอคืนรถตัดฟ่อนข้าวของโจทก์จำเลยก็ไม่ยอมคืน  ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนรถตัดฟ่อนข้าวให้แก่โจทก์  หากจำเลยคืนรถตัดฟ่อนข้าวให้แก่โจทก์ไม่ได้  ให้จำเลยใช้ค่ารถตัดฟ่อนข้าวแก่โจทก์เป็นเงินสองแสนเก้าหมื่นบาท  ศาลแขวงพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนรถตัดฟ่อนข้าวให้แก่โจทก์  หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงินสองแสนเก้าหมื่นบาท  หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล  โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์คันหนึ่งราคาแปดแสนบาทจากบ้านจำเลย  ปรากฏว่ารถยนต์เป็นของนายเขียวเพื่อนบ้านจำเลย  นายเขียวจึงมายื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลแขวงสงขลาว่ารถยนต์เป็นของตน  ขอให้ศาลปล่อยการยึด  อีกประการหนึ่ง

ศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยในประการแรก  และจะรับคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวในประการหลังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  288  ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้  บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25  วรรคแรก  (4)  ประกอบมาตรา  17  คือ  คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน  3  แสนบาท

มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยคือ  ประการแรก  ศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยได้หรือไม่  และประการที่สอง  ศาลแขวงสงขลาจะรับคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวได้หรือไม่

ประการแรก  กรณีเกี่ยวกับ  การฟ้องแย้ง  นั้น  มีหลักว่า  ถ้าจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีเดิม  (ฟ้องแย้ง)  และจำเลยได้ฟ้องมาในคำให้การของจำเลยตาม  ป.วิ.แพ่ง  มาตรา  177  นั้น  ถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่  ดังนั้นการคำนวณทุนทรัพย์จึงต้องคำนวณแยกต่างหากจากฟ้องเดิม  และถ้าฟ้องแย้งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  หรือมีทุนทรัพย์เกินกว่า  300,000  บาท  ศาลแขวงจะรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาไม่ได้

และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  การที่นายอรรถเป็นโจทก์ฟ้องนายนิติเป็นจำเลยต่อศาลแขวงสงขลา  ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์พร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวน  300,000  บาท  นั้นถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน  300,000  บาท  จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงสงขลาที่จะรับฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (4)  ประกอบมาตรา  17

แต่เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กู้ยืมเงินจากโจทก์  แต่เป็นเรื่องที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันทำธุรกิจการค้ากัน  และจำเลยได้ฟ้องแย้งว่าในการทำธุรกิจการค้ากับโจทก์  โจทก์เป็นหนี้จำเลยเป็นเงิน  400,000  บาท  จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์  และให้ศาลพิพากษาบังคับให้โจทก์ชำระหนี้จำนวน  400,000  บาท  แก่จำเลยนั้น  การฟ้องแย้งของจำเลยถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่  เมื่อคดีฟ้องแย้งเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์เกิน  300,000  บาท  จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง  ดังนั้นศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้เพื่อพิจารณาพิพากษาไม่ได้

ประการที่สอง  เกี่ยวกับ  การร้องขัดทรัพย์  นั้น  ตาม  ป.วิ.แพ่ง  มาตรา  288  ได้วางหลักไว้ว่า  ในการฟ้องขัดทรัพย์ต้องร้องยังศาลที่ออกหมายบังคับคดี  ถ้าคดีฟ้องร้องที่ศาลแขวง  ศาลแขวงออกหมายบังคับคดีการร้องขัดทรัพย์ต้องร้องที่ศาลแขวง  โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคาของทรัพย์ที่ถูกยึด  แม้ว่าราคาของทรัพย์ที่ถูกยึดจะเกิน  300,000  บาท  ผู้พิพากษาศาลแขวงก็มีอำนาจสั่งยกเลิกการยึดทรัพย์ได้

และกรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อศาลแขวงสงขลาได้ออกหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์คันหนึ่งราคา  800,000  [ท  จากบ้านจำเลย  แต่ปรากฏว่ารถยนต์เป็นของนายเขียว  และนายเขียวได้มายื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาลแขวงสงขลาว่ารถยนต์เป็นของตน  ขอให้ศาลปล่อยการยึดนั้น  ดังนี้แม้ทรัพย์ที่ถูกยึดจะมีราคาเกิน  300,000  บาท  ศาลแขวงสงขลาก็มีอำนาจสั่งคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวได้ตาม  ป.วิ.แพ่ง  มาตรา  288  โดยไม่ถูกจำกัดราคาของทรัพย์  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

สรุป  ศาลแขวงสงขลาจะรับฟ้องแย้งของจำเลยในประการแรกไม่ได้  แต่จะรับคำร้องขัดทรัพย์ของนายเขียวประการหลังได้

 

ข้อ  2  ในศาลจังหวัดมีนายเอกเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  นายโทผู้พิพากษาอาวุโส  นายดำ  นายแดง  นายเขียว  ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตามลำดับ  และนายกล้าผู้พิพากษาประจำศาล นายเอกได้จ่ายสำนวนคดีให้นายดำและนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ต่อมานายเขียวทราบว่านายแดงเป็นญาติกับฝ่ายจำเลยจึงนำความไปบอกนายเอก  นายเอกเห็นว่าอาจจะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น  นายเอกจึงให้นายเขียวทำความเห็นเสนอต่อตนและนายเอกได้เรียกคืนสำนวนคดีดังกล่าว

ท่านเห็นว่าการกระทำของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  33  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี  ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และรองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณีที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดี  ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง  ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณี  ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น  ให้รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น  เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน  ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  มีหนึ่งคนหรอมีหลายคนแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลนั้นเป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็น

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว  โดยหลักแล้วเมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล  จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว  ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาไปจนเสร็จสำนวน  จะเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้  เว้นแต่

1       เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และ

2       ในกรณีของศาลจังหวัด  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด  ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น  หรือโอนสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

การที่นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด  ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายดำและนายแดงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ดังนี้ถ้านายเอกเห็นว่าในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีดังกล่าวอาจกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น  จึงให้นายเขียวผู้พิพากษาศาลจังหวัดทำความเห็นเสนอต่อตน  และนายเอกได้เรียกคืนสำนวนคดีดังกล่าว  ดังนั้นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยอยู่ที่ว่า  นายเขียวมีอำนาจในการทำความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีได้หรือไม่

กรณีดังกล่าว  เมื่อพิจารณาจากพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  33  ประกอบกับข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  เห็นว่า  นายเขียวมีอำนาจในการทำความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีได้  ทั้งนี้เพราะเมื่อนายดำและนายแดง  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดตามลำดับได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ทำการเสนอความเห็นตามมาตรา  33  วรรคแรกและวรรคสอง  ดังนั้นนายเขียวซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้นจึงมีอำนาจในการเสนอความเห็นแทนตามมาตรา  33  วรรคสอง  ส่วนนายโทซึ่งเป็นผู้พิพากษาอาวุโสและนายกล้าผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจเสนอความเห็นดังกล่าวตามมาตรา  33  วรรคสาม  ดังนั้นการที่นายเอกได้ให้นายเขียวทำความเห็นเสนอต่อตน  และได้เรียกคืนสำนวนคดีดังกล่าว  จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การกระทำของนายเอกชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

 

ข้อ  3  โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเช่าบ้านที่ค้างชำระ  6  เดือนๆละ  50,000  บาท  ต่อศาลแขวงนนทบุรี  ซึ่งมีนายธรรมผู้พิพากษาศาลแขวงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง  เป็นค้างชำระค่าเช่า  7  เดือนๆละ  50,000  บาท  นายธรรมอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง  จากนั้นนายธรรมจึงได้ไปปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนนทบุรี  ซึ่งต่อมาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงได้มอบหมายให้นายจักรผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรีอีกคนหนึ่ง  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาร่วมกับนายธรรม  เมื่อการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว  นายธรรมและนายจักรจึงร่วมกันพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง  7  เดือน  ตามที่โจทก์ขอ

คำพิพากษาของนายธรรมและนายจักรชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4)  พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ตามหลักของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  ศาลแขวงซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ (ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้อง)  ไม่เกิน  3  แสนบาท  (มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าบ้านที่ค้างชำระ  6  เดือนๆละ  50,000  บาท  รวมเป็นเงิน  300,000  บาท  ต่อศาลแขวงนนทบุรีนั้น  นายธรรมผู้พิพากษาศาลแขวงย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้  เพราะเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน  300,000  บาท  ตามพระธรรมนูญมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

แต่อย่างไรก็ดี  เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นค้างค่าเช่า  7  เดือนๆละ  50,000  บาท  รวมเป็นเงิน  350,000  บาท  ซึ่งนายธรรมนูญอนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง  ดังนั้นกรณีดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า  คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกิน  300,000  บาท  จึงเป็นคดีที่เกินอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้  นายธรรมผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรีจะต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความและคืนฟ้องให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจต่อไป  การที่นายธรรมได้นำคดีไปปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนนทบุรี  และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนนทบุรีได้มอบหมายให้นายจักรผู้พิพากษาศาลแขวงนนทบุรีอีกคนหนึ่งเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาร่วมกับนายธรรม  และเมื่อการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว  นายธรรมและนายจักรจึงร่วมกันพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง  7  เดือนแก่โจทก์นั้น  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรร

สรุป  คำพิพากษาของนายธรรมและนายจักรไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม   

WordPress Ads
error: Content is protected !!