LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2546

การสอบไล่ภาค  2   ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิจารณาคดีอาญาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  288  แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วคู่ความมิได้อุทธรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนคดีดังกล่าวแล้วจึงนำมาดำเนินการพิจารณาพิพากษา  องค์คณะของศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยมีพฤติการณ์ทารุณโหดร้าย  จึงร่วมกันพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นประหารชีวิต

ท่านเห็นว่าการรับคดีซึ่งคู่ความมิได้อุทธรณ์  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ตลอดจนการแก้ไขคำพิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรีของศาลอุทธรณ์  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  212  คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ  ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย  เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  22  ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว  จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว  ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น  ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์  คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  แต่ความในมาตรา  22(1)  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  คือ  เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ในกรณีนี้ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  คดีก็เป็นอันยุติ  จะฎีกาอีกต่อไปมิได้

ดังนั้นเมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต  พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรีจึงต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารราความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  การที่ศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนดังกล่าวมาเพื่อพิจารณาพิพากษาจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  22(1)

แต่อย่างไรก็ตาม  ศาลอุทธรณ์จะแก้ไขคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีเพื่อลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นไม่ได้  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  212  ทั้งนี้เพราะคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษา  ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคดีนั้นโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยเท่านั้น

สรุป 

การรับคดีของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การแก้ไขคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์  ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

 

ข้อ  2  โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระจำนวนสองแสนบาท  พร้อมทั้งขับไล่จำเลยออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่าต่อศาลจังหวัดสมุทรสงคราม  นายนิติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่ตนเองและนายเริงฤทธิ์ผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ในวันสืบพยานโจทก์นัดแรกทนายโจทก์ประสบอุบัติเหตุต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนคดีนายเริงฤทธิ์ผู้พิพากษามีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีไป  ต่อมาวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยครั้งต่อๆไป  นายนิติและนายเริงฤทธิ์ได้ออกนั่งพิจารณาคดีจนเสร็จ  ในวันที่  15  มกราคม  2547  และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่  27  กุมภาพันธ์  2547  นายเริงฤทธิ์ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายในวันที่  31  มกราคม  2547  นายนิติจึงให้นายมีเกียรติ  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสรองลงมาจากตนเป็นองค์คณะแทนนายเริงฤทธิ์  นายนิติและนายมีเกียรติจึงร่วมกันทำคำพิพากษาหลังจากนายมีเกียรติได้ตรวจสำนวนคดีแล้วท่านเห็นว่าคำสั่งของนายเริงฤทธิ์ที่อนุญาตเลื่อนคดี  การทำคำพิพากษาของนายนิติและนายมีเกียรติชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  หรือมีคำสั่งใดๆหรือทำการไต่สวน  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (1)  (5)  และสำหรับผู้พิพากษาประจำศาลมีอำนาจตามมาตรา  25  วรรคแรก  (1)(2)  เท่านั้น  ทั้งนี้ตามมาตรา  25  วรรคท้าย

คำร้องขอเลื่อนคดีเป็นคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาล  ผู้พิพากษาประจำศาลจึงมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งให้เลื่อนคดีได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (1)  คำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีของนายเริงฤทธิ์จึงชอบแล้ว

เมื่อองค์คณะทั้งสองได้นั่งพิจารณาคดีจนเสร็จและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว  แต่ก่อนจะได้อ่านคำพิพากษา  นายเริงฤทธิ์  ผู้พิพากษาประจำศาลซึ่งเป็นองค์คณะประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  จึงถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  30  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษาตามมาตรา  29(3)  จึงกำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาแทน  แต่อย่างไรก็ดีเมื่อนายนิติเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  และเป็นองค์คณะในคดีด้วย  จึงไม่อาจลงลายมือชื่อเดียวในสองฐานะได้  กรณีจึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคเป็นผู้มีอำนาจทำคำพิพากษา

การที่นายนิติให้นายมีเกียรติ  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสรองลงมาจากตนเป็นองค์คณะแทนนายเริงฤทธิ์จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29(3)

สรุป

คำสั่งของนายเริงฤทธิ์ที่อนุญาตเลื่อนคดี  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การทำคำพิพากษาของนายนิติและนายมีเกียรติไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีค้ายาเสพติดแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยค้ายาเสพติด  จึงพิพากษาจำคุกจำเลยตลอดชีวิต  อัยการโจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์  ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  พนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเบาไป  ควรลงโทษประหารชีวิต  ส่วนจำเลยเห็นว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยหนักเกินไป  พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยจึงฎีกาขึ้นไปยังศาลฎีกา  โดยพนักงานอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิตจำเลย  ส่วนจำเลยฎีกาขอให้ศาลลงโทษจำเลยเบากว่าที่ศาลล่างลงโทษ  ถ้าท่านเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา  ท่านจะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ว่าอย่างไร 

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาคดีที่ศาลชั้นต้นส่งขึ้นมาโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  และตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  22(1)  เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น  คดีเป็นอันยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  245  วรรคสอง  พนักงานอัยการโจทก์และจำเลยจะฎีกาต่อไปไม่ได้

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาจะพิพากษายกฎีกาทั้งของโจทก์และจำเลย

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซ่อมภาค 2 และ S/2547

การสอบซ่อมภาค  2  และภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเก่งกาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายมานะผู้พิพากษาอาวุโสและนายรองฤทธิ์ผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะ  เมื่อองค์คณะทั้งสองได้พิจารณาคดีเสร็จแล้ว  จึงนำสำนวนคดีไปปรึกษานายเก่งกาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  เมื่อนายเก่งกาจได้ตรวจสำนวนคดีแล้ว  มีความเห็นเช่นเดียวกันกับองค์คณะทั้งสองว่า  จำเลยกระทำความผิดจริง  สมควรลงโทษจำคุกจำเลยสิบปี  นายมานะซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้ทำคำพิพากษา  นายรองฤทธิ์ซึ่งเป็นองค์คณะที่เหลืออยู่ได้เรียบเรียงคำพิพากษาแล้วนำไปให้นายสมเดชรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุดในจำนวนรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทั้งหมด  นายสมเดชได้ตรวจสำนวนคดีแล้วมีความเห็นเช่นเดียวกับองค์คณะเดิมและอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาซึ่งได้เคยปรึกษาคดีกันมาก่อนจึงลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมกับนายรองฤทธิ์  (ในขณะนั้นอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาอีกสองคนยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ)

ท่านเห็นว่าการให้คำปรึกษาของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและการลงลายมือชื่อของนายสมเดชชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  11  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ต้องรับผิดชอบในราชการของศาลให้เป็นไปโดยเรียบร้อย  และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย

(4) ให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในศาลนั้นในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญามีอำนาจให้คำปรึกษาได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  11(4)  ที่ให้อำนาจอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นให้คำแนะนำแก่ผู้พิพากษาในศาลนั้นในข้อขัดข้องเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา  หรือการพิจารณาพิพากษาคดี  ทั้งนี้จะบังคับหรือสั่งให้กระทำตามความเห็นของตนมิได้  เพราะกฎหมายให้อำนาจเพียงแค่การให้คำแนะนำเท่านั้น  ผู้พิพากษาจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นดุลพินิจ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายมานะและนายรองฤทธิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีเสร็จแล้ว  คดีจึงอยู่ระหว่างการทำคำพิพากษา  การที่นายมานะซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว  ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้ทำคำพิพากษา  จึงถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  ต้องให้ผู้พิพากษาตามมาตรา  29(3)  มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วม  ซึ่งได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  หรือผู้ทำการแทน  ดังนั้นการที่นายสมเดชตรวจสำนวนคดีและร่วมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะร่วมกับนายรองฤทธิ์  จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว  แม้ขณะนั้นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่มีอาวุโสมากกว่ายังคงมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติก็ตาม

สรุป  การให้คำปรึกษาของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม 

การลงลายมือชื่อของนายสมเดชชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  ประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายบันลือ  นายก้องเกียรติ  และนายมีศักดิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  ต่อมาคดีนี้ได้นำเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทุกคนได้เข้าประชุมใหญ่  พิจารณาคดีแพ่งเรื่องดังกล่าวจนเสร็จสิ้น  นายบันลือ  นายก้องเกียรติ  และนายมีศักดิ์ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่  นายเก่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  ซึ่งได้เข้าประชุมใหญ่ด้วย  แต่มีความเห็นไม่ตรงกับที่ประชุมใหญ่  ได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาและทำความเห็นแย้งหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว

ท่านเห็นว่า  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค  และผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว  เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว  มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งคดีนั้นได้  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

วินิจฉัย

การที่ประธานศาลอุทธรณ์จ่ายสำนวนคดีให้นายบันลือ  นางก้องเกียรติและนายมีศักดิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนั้น  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรกที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คนเป็นองค์คณะ

เมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้  เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว  ดังนั้นการที่นายบันลือ  นายก้องเกียรติ  และนายมีศักดิ์ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่  และนายเก่งได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาด้วยนั้น  คำพิพากษาดังกล่าวก็ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคสอง  เพระนายเก่งเป็นผู้พิพากษาที่เข้าประชุมใหญ่นั้น  แม้จะทำให้มีองค์คณะเกินกว่า  3  คน  ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  27  วรรคแรกแต่อย่างใด

ส่วนการที่นายเก่งมีความเห็นไม่ตรงกับที่ประชุมใหญ่  และได้ทำความเห็นแย้งหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้วนั้น  นายเก่งมีอำนาจกระทำได้  ตามมาตรา  27  วรรคสองตอนท้าย

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  ศาลอาญากรุงเทพใต้มีนายดำเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้  มีนายเอก  นายโท  นายตรี  เป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เรียงลำดับความอาวุโส  มีนายเก่งเป็นผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ที่มีอาวุโสรองจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้

นายหนึ่งฟ้องนายสองข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  339  ระวางโทษจำคุกตั้งแต่  5  ปี  ถึง  10  ปี  และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาทต่อศาลอาญากรุงเทพใต้  โดยมีนายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นผู้ไต่สวนมูลฟ้อง  นายดำเห็นว่าคำฟ้องของนายหนึ่งไม่มีมูล  จึงพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่ง  โดยนายดำให้นายเก่งผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ที่มีอาวุโสรองจากนายดำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่ง

การไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าว  และการพิพากษายกฟ้องที่นายดำทำร่วมกับนายเก่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  อย่างไร 

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา  25(5)

วินิจฉัย

นายดำ  อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาคนเดียวทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานชิงทรัพย์  ย่อมมีอำนาจกระทำได้  ตามมาตรา  25(3)

เมื่อนายดำผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้ว  เห็นว่าคดีไม่มีมูล  ควรพิพากษายกฟ้อง  แต่ความผิดฐานชิงทรัพย์นั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนด  คือ  จำคุกตั้งแต่  5  ปี  ถึง  10  ปี  และปรับตั้งแต่  10,000  ถึง  20,000  บาท  ซึ่งถือว่าเกินอัตราโทษตามมาตรา  25(5)  คือ  อัตราโทษจำคุกเกินกว่า  3  ปี  ไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียว  นายดำผู้พิพากษาที่ทำการไต่สวนมูลฟ้องจะพิพากษายกฟ้องไม่ได้  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  31(1)  ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ดังนั้นจึงต้องมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะ  และผู้พิพากษาที่จะเป็นองค์คณะมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษานั้นได้แก่  ผู้พิพากษาที่บัญญัติไว้ในมาตรา  29(3)  คือ  อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา

เมื่อนายดำเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้และเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้จึงไม่อาจลงลายมือชื่อเดียวในสองฐานะได้  ผู้ที่จะเข้ามาร่วมทำคำพิพากษายกฟ้องกับนายดำต้องเป็นรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้  ซึ่งก็คือ  นายเอก  นายโท  หรือนายตรี ดังนั้นการที่นายดำให้นายเก่งผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้เข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องนายหนึ่ง  จึงมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  31(1)  ประกอบมาตรา  29(3)

สรุป 

การไต่สวนมูลฟ้องของนายดำชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การพิพากษายกฟ้องของนายดำและนายเก่งมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2547

การสอบไล่ภาค  2   ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004  พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายสมคิดได้กู้เงินนายเศรษฐีจำนวนห้าแสนบาทตั้งแต่ปี  พ.ศ.2540  และไม่ยอมชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยคืนให้แก่นายเศรษฐี  ต่อมาวันที่  15  มกราคม  2548  นายเศรษฐีจึงได้ยื่นฟ้องนายสมคิดต่อศาลแพ่งขอให้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวนหกแสนบาท

วันที่  30  มกราคม  2548  นายสมคิดได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งจำนวนสามสิบตารางวาให้แก่นายโชคดี  ที่ดินแปลงนี้ราคาสามแสนบาท  (ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน) 

นายเศรษฐีซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ทราบการทำนิติกรรมดังกล่าว  จึงมาฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้ศาลเพิกถอนการให้ที่ดินของนายสมคิด  เพราะนายสมคิดไม่มีทรัพย์อื่นใด  เมื่อยกที่ดินให้แก่นายโชคดีแล้วหากศาลแพ่งพิพากษาให้ตนชนะคดีข้างต้น  ตนย่อมเสียเปรียบเพราะไม่อาจบังคับคดีให้ได้เงินที่นายสมคิดเป็นหนี้คืน  ศาลแพ่งสั่งไม่รับฟ้องเพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาเพียงสามแสนบาทต้องไปยื่นฟ้องต่อศาลแขวงจึงจะถูกต้อง

ท่านเห็นว่า  การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

เป็นเรื่องที่นายสมคิดลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายโชคดี  ซึ่งนายสมคิดไม่มีทรัพย์สินใดอีก  ถือได้ว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  237

การที่นายเศรษฐีได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินของนายสมคิดเป็นเพียงคดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเท่านั้น  มิได้เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์มาเป็นของนายเศรษฐี  หรือนายเศรษฐีได้รับประโยชน์แต่อย่างใด  เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์พิพาทกลับมาเป็นของลูกหนี้  ฟ้องเช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้  จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  (ฎ.919/2508 (ประชุมใหญ่))

เมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17 คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลจังหวัด  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  18  คำสั่งของศาลแพ่งที่ไม่รับคดีนี้ไว้พิจารณาจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การสั่งไม่รับฟ้องของศาลแพ่งไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  ก  และ  ข  ไปทัศนาจรที่ประเทศสิงคโปร์  ในขณะที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์  ก  เกิดทะเลาะกับ  ข  ข  ทำร้ายร่างกาย  ก  บาดเจ็บสาหัสเมื่อ  ก  และ  ข  กลับเข้ามาในประเทศไทย  ก  ได้นำคดีไปฟ้อง  ข  ต่อศาลจังหวัดสงขลา  ศาลจังหวัดสงขลารับประทับฟ้องไว้แล้ว  ก  และ  ข  ได้เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร  ต่อมา  ก  เห็นว่าการเดินทางไปดำเนินคดีกับ  ข  ที่ศาลจังหวัดสงขลาเป็นการยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก  จึงนำคดีมาฟ้องที่ศาลอาญาอีก  ศาลอาญารับประทับฟ้อง  ข  ให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องของ  ก  เป็นฟ้องซ้ำ  เพราะ  ก  ฟ้อง  ข  ไว้ที่ศาลจังหวัดสงขลาและศาลจังหวัดสงขลารับประทับฟ้องไว้แล้ว  ขอให้ศาลยกฟ้อง 

ให้วินิจฉัยว่า  การฟ้องคดีของ  ก  และการต่อสู้คดีของ  ข  ถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  15  ห้ามมิให้ศาลยุติธรรมศาลใดศาลหนึ่งรับคดี  ซึ่งศาลยุติธรรมอื่นได้สั่งรับประทับฟ้องโดยชอบแล้วไว้พิจารณาพิพากษา  เว้นแต่คดีนั้นจะได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความหรือตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  22  เมื่อความผิดเกิดขึ้น  อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด  ให้ชำระที่ศาลนั้น  แต่ถ้า

(2) เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย  ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา  ถ้าการสอบสวนได้กระทำลงในท้องที่หนึ่งซึ่งอยู่ในเขตของศาลใด  ให้ชำระที่ศาลนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

การฟ้องคดีอาญาซึ่งมูลคดีเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  22(2)  บังคับให้นำคดีไปฟ้องที่ศาลอาญา  เว้นแต่โจทก์หรือผู้เสียหายจะได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลใด  ให้ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ด้วยเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  ก  ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสงขลาและไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้กระทำการสอบสวนแต่อย่างใด  การรับประทับฟ้องคดีของศาลจังหวัดสงขลาจึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  22(2)

สำหรับข้อต่อสู้ของ  ข  ที่ว่าฟ้องของ  ก  เป็นฟ้องซ้ำนั้นฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  15  ที่ว่า  ห้ามมิให้ศาลใดศาลหนึ่งรับคดีซึ่งศาลอื่นรับประทับฟ้องโดยชอบแล้วไว้พิจารณาพิพากษา  จะเห็นว่าเป็นการห้ามเฉพาะเมื่อศาลอื่นประทับฟ้องคดีไว้โดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น  การฟ้องคดีเรื่องเดียวกันอีกจะเป็นฟ้องซ้อน  ต้องห้ามตามกฎหมาย  แต่หากศาลรับประทับฟ้องไว้โดยไม่ชอบ  โจทก์ก็อาจนำคดีไปฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้  ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  15  นี้

ดังนั้นเมื่อศาลจังหวัดสงขลารับประทับฟ้องคดีไว้โดยไม่ชอบ  การที่  ก  นำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องต่อศาลอาญาอีก  จึงสามารถกระทำได้ศาลอาญามีอำนาจรับประทับฟ้องได้  ไม่ต้องห้ามตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  15  และไม่เป็นฟ้องซ้อน  (เทียบ  ฎ.122/2547)

ส่วนจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่  เห็นว่า  การจะเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามกฎหมาย  หมายถึง  คดีเรื่องเดียวกันนั้นศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว  แต่กรณีนี้ศาลจังหวัดสงขลายังมิได้พิจารณาพิพากษาคดี  การฟ้องของ  ก  จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

สรุป  การฟ้องคดีของ  ก  ต่อศาลจังหวัดสงขลาไม่ถูกต้อง  และการต่อสู้คดีของ  ข  ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน

 

ข้อ  3  นายดีประธานศาลฎีกา  ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายหมื่นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา  นายแสนและนายล้านผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี

ในตอนบ่ายวันนั้นเอง  นายหมื่นประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  นายแสนและนายล้านจึงนำเรื่องไปแจ้งต่อนายดีประธานศาลฎีกา  ปรากฏว่านายดีได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศพอดี  นายเก่งรองประธานศาลฎีกาคนที่หนึ่งจึงสั่งให้นายสิบ  ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนนายหมื่นร่วมกับนายแสนและนายล้านทำการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป

การกระทำของนายเก่งรองประธานศาลฎีกาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(1) ในศาลฎีกา  ได้แก่  ประธานศาลฎีกา  หรือรองประธานศาลฎีกา  หรือผู้พิพากษาในศาลฎีกา  ซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆ  ตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)(2)และ  (3)  ด้วย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

นายดี  ประธานศาลฎีกาจ่ายสำนวนคดีให้นายหมื่น  นายแสนและนายล้าน  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรก  ที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายเก่ง  รองประธานศาลฎีกาคนที่หนึ่งสั่งให้นายสิบเป็นองค์คณะแทนนายหมื่น  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  28  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย  หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะพิจารณาคดี  เช่น  เจ็บ  ป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ขาดองค์คณะพิจารณาคดี  บทบัญญัติมาตรา  28(1)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจนั่งพิจารณาคดีแทนต่อไปได้

การที่นายหมื่นประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดี  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  28(1)  ที่ให้ประธานศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทน  หรือมอบหมายให้รองประธานศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาในศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนก็ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายดี  ประธานศาลฎีกาลาพักผ่อนไปต่างประเทศ  ไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ต้องให้รองประธานศาลฎีกาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลฎีกาเป็นผู้ทำการแทน  ตามมาตรา  8  วรรคสอง  นายเก่งซึ่งเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่หนึ่ง  เป็นรองประธานศาลฎีกาที่มีอาวุโสสูงสุด  จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา

ดังนั้นการที่นายเก่ง  ผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกาสั่งให้นายสิบ  ผู้พิพากษาศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนนายหมื่น  ย่อมสามารถกระทำได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  28  ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำการแทนมีอำนาจตามมาตรา  28(1)  ในการมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลฎีกาเป็นองค์คณะแทนได้

สรุป  การกระทำของนายเก่ง  รองประธานศาลฎีกาชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำต่อศาลจังหวัดข้อหากระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 338  ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท  นายเสริมศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่นายยิ่งยศผู้พิพากษาศาลจังหวัด  (ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น)  และนางสาวสมฤดีผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว  นายยิ่งยศได้ถูกฝ่ายจำเลยคัดค้านจึงถอนตัวไม่เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป  นายเสริมศักดิ์จึงนำสำนวนคดีดังกล่าวมอบให้นายเก่งกล้า  ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนั้น  เป็นองค์คณะแทนนายยิ่งยศร่วมกันพิจารณาพิพากษาคดีกับนางสาวสมฤดีต่อไป

ท่านว่าการกระทำของนายเสริมศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3)  ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

นายเสริมศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่นายยิ่งยศและนางสาวสมฤดีเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายเสริมศักดิ์นำสำนวนคดีมอบให้นายเก่งกล้าผู้พิพากษาอาวุโสในศาลจังหวัดนั้น  เป็นองค์คณะแทนนายยิ่งยศชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  28  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย  หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการพิจารณาคดี  เช่น  เจ็บป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  เป็นต้น  ทำให้ขาดองค์คณะพิจารณาคดี  บทบัญญัติมาตรา  28(3)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจนั่งพิจารณาคดีแทนต่อไปได้

การที่นายยิ่งยศองค์คณะถูกฝ่ายจำเลยคัดค้านจึงถอนตัวไป  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดี  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  28(3)  ที่ให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นองค์คณะแทน  หรือมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลนั้นเป็นองค์คณะแทนก็ได้  ดังนั้นเมื่อนายเสริมศักดิ์ไม่เป็นองค์คณะเอง  แต่มอบให้นายเก่งกล้าเป็นองค์คณะแทนนั้น  ย่อมกระทำได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  28(3)  การกระทำของนายเสริมศักดิ์จึงชอบแล้ว

สรุป  การกระทำของนายเสริมศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  จังหวัดชลบุรีเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค  2  มีศาลจังหวัดชลบุรี  ศาลจังหวัดพัทยา  ศาลแขวงชลบุรี  โดยมีนายเอก  นายโท  และนายตรี  เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลดังกล่าวเรียงตามลำดับอาวุโส

พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำต่อศาลแขวงชลบุรีในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  264  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  นายตรีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงชลบุรีได้พิจารณาคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่า  นายดำกระทำความผิดจริงตามที่พนักงานอัยการฟ้องต้องการลงโทษจำคุกนายดำสองปี  จึงนำสำนวนไปปรึกษาอธิบดีผู้พิพากษาภาค  2  แต่ปรากฏว่าอธิบดีผู้พิพากษาภาค  2  ไปราชการยังสำนักศาลยุติธรรมกรุงเทพมหานคร  นายตรีจึงนำสำนวนคดีไปปรึกษานายเอก  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี  เมื่อนายเอกได้ตรวจสำนวนคดีแล้วมีความเห็นเช่นเดียวกับนายตรี  จึงร่วมกันทำคำพิพากษาลงโทษจำคุกนายดำสองปี

ท่านเห็นว่านายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรีลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายตรี  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงชลบุรีดังกล่าวข้างต้น  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  13  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาภาคว่างลงหรือเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาภาคไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ประธานศาลฎีกาสั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆ  ตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)  (2)  และ  (3)  ด้วย

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(2)  กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา  25(5)  แล้ว  เห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว

คำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่  861/2544  เมื่อตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาภาคว่างลง  หรือเมื่ออธิบดี  ผู้พิพากษาไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลในจังหวัดที่อธิบดีผู้พิพากษามีสถานที่ตั้งเป็นผู้ทำการแทนอธิบดีผู้พิพากษา  ถ้าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับของศาลในจังหวัดที่อธิบดี  ผู้พิพากษาภาคมีสถานที่ตั้งเป็นผู้ทำการแทน  เว้นแต่จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  264  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  6,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา 25(5)  ประกอบมาตรา  17  แต่ทั้งนี้ศาลแขวงจะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน  6  เดือนหรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับไม่ได้  ถ้าเห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่า  6  เดือน  หรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ให้ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ดังนั้นการที่นายตรีพิจารณาคดีแล้วเห็นว่า  นายดำกระทำผิดจริงตามที่พนักงานอัยการฟ้อง  ต้องการลงโทษจำคุกนายดำ  2  ปี  ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทำคำพิพากษา  ตามมาตรา  31(2)  ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาได้จะต้องเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค  ตามมาตรา  29(3)  หรือผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาค  ตามมาตรา  29  วรรคท้าย  เมื่อนายตรีเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีและเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  จึงไม่อาจลงลายมือชื่อเพียงคนเดียวในสองฐานะได้  จึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  ตามมาตรา  29(3)

เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาภาคไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ประธานศาลฎีกาสั่งให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งเป็นผู้ทำการแทน  ตามมาตรา  13  วรรคสอง ซึ่งประธานศาลฎีกาได้มีคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรมที่  861/2544  ลงวันที่  25  ธันวาคม  2544  ว่าเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาภาคไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลในจังหวัดที่อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีสถานที่ตั้งเป็นผู้ทำการแทน  นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลในจังหวัดที่อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีสถานที่ตั้ง  จึงเป็นผู้ทำการแทนอธิบดีผู้พิพากษาภาค  นายเอกจึงมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายตรี  เพื่อพิพากษาลงโทษจำคุกนายดำ  2  ปี  ได้ตามมาตรา  29  วรรคท้าย

สรุป  การที่นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรีลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายตรีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงชลบุรีชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  นายดีเป็นโจทก์ฟ้องนายโกงในคดีแพ่งซึ่งมีจำนวนทุนทรัพย์สามแสนบาทต่อศาลจังหวัดอ่างทอง  (จังหวัดอ่างทองไม่มีศาลแขวง)  นายยิ่งศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดอ่างทองได้เป็นองค์คณะพิจารณาคดีดังกล่าว  ต่อมาในทางพิจารณาปรากฏว่าทุนทรัพย์ที่ฟ้องมีราคาถึงห้าแสนบาท  นายยิ่งศักดิ์จึงได้ให้นายตรีผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดอ่างทองเป็นองค์คณะร่วมพิจารณาคดีดังกล่าวด้วยจนเสร็จและได้ร่วมกันทำคำพิพากษาให้นายโกงชดใช้เงินให้กับนายดีจำนวนห้าแสนบาท 

คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3)  ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น  จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคนเป็นองค์คณะ  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  แต่การพิจารณาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่เกิน  3  แสนบาท  ผู้พิพากษาคนเดียวย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้  ตามมาตรา  25(4)

การที่ผู้พิพากษาพิจารณาคดีแพ่ง  ตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาในทางพิจารณาปรากฏว่าทุนทรัพย์ที่ฟ้องมีราคาถึง  5  แสนบาท  ซึ่งเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว  ต้องถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(4)  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดี  ต้องให้ผู้พิพากษาตามมาตรา  28(3)  นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไป  ซึ่งได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาภาคหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือผู้พิพากษาในศาลนั้นซึ่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมอบหมายก็ได้  ดังนั้นการที่นายยิ่งศักดิ์ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมอบหมายให้นายตรีผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดอ่างทอง  เป็นองค์คณะร่วมพิจารณาคดีจนเสร็จ  และได้ร่วมกันทำคำพิพากษาให้นายโกงชดใช้เงินให้กับนายดีจำนวน  5  แสนบาท  คำพิพากษาดังกล่าวจึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซ่อมภาค 2 และภาค S/2548

การสอบซ่อมภาค  2  และภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเศรษฐีเป็นโจทก์ฟ้องนายจนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้  ว่านายจนได้กู้เงินไปจากตนจำนวนห้าล้านบาทแล้วผิดนัดชำระหนี้มาโดยตลอด  ตนได้ทวงถามหลายครั้งแต่นายจนเพิกเฉยและอ้างว่าไม่มีเงินชำระหนี้  จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายจนใช้เงินต้นจำนวนห้าล้านบาท  และดอกเบี้ยที่ค้างชำระอีกจำนวนหนึ่งแสนบาท  อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายมีเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลแพ่งกรุงเทพใต้  และนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  หลังจากโจทก์อื่นฟ้องแล้วได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้อายัดเงินในธนาคารของจำเลยจำนวนสามล้านบาทและบ้านพร้อมที่ดิน  (ราคาประมาณสองล้านบาท)  ของจำเลยไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา  นายสมสกุลได้ไต่สวนคำร้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วมีคำสั่งให้อายัดไว้ตามที่โจทก์ร้องขอ

ท่านเห็นว่า  การไต่สวนและมีคำสั่งของนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาล  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

วินิจฉัย

ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจทำการไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลและมีคำสั่งได้ในคดีทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นแพ่งหรือคดีอาญา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(1)  ทั้งนี้อำนาจดังกล่าว  ผู้พิพากษาประจำศาลก็สามารถกระทำได้ ตามมาตรา  25  วรรคท้าย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้จำหน่ายคดีให้นายมีเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ  และนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายสมสกุล  ผู้พิพากษาประจำศาลแต่เพียงผู้เดียวมีคำสั่งให้อายัดเงินในธนาคารของจำเลยตามที่โจทก์ร้องขอนั้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนคำร้องขอให้อายัดเงินและมีคำสั่งให้อายัดเงินในธนาคารตามคำร้องที่ยื่นต่อศาลได้  ตามมาตรา  25(1)  แม้นายสมสกุลจะเป็นผู้พิพากษาประจำศาล  ก็ย่อมมีอำนาจกระทำได้และไม่ถูกห้ามแต่อย่างใดตามมาตรา  25  วรรคท้าย

สรุป  การไต่สวนและมีคำสั่งของนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  นางน้อยได้ไปทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายใหญ่เป็นจำนวนเงินสามแสนบาท  โดยนำโฉนดที่ดินของตนจำนวนหนึ่งร้อยตารางวา  ซึ่งราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้นประเมินราคาที่ดินดังกล่าวไว้สามแสนบาทไปไว้ให้นายใหญ่ยึดถือไว้เป็นการประกันเงินกู้ดังกล่าว  ต่อมาเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้กู้ยืมเงินตามสัญญา  นางน้อยได้นำเงินไปชำระให้แก่นายใหญ่พร้อมดอกเบี้ยจนครบถ้วน  แต่นายใหญ่กลับไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวของนายน้อยและบ่ายเบี่ยงตลอดมา

นางน้อยจะต้องนำคดีไปฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายใหญ่คืนโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่ตนที่ศาลใด  (ถ้าในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง)

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

เป็นเรื่องที่นางน้อยจะนำคดีไปฟ้องต่อศาลขอให้บังคับให้นายใหญ่คืนโฉนดที่ดินให้แก่ตน  มิใช่คำฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท  อันจะทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์  ดังนั้นกรณีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่ไม่มีทุนทรัพย์  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  ทั้งนี้เพราะศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ของคดีไม่เกิน  3  แสนบาทเท่านั้น  (ฎ.1593/2521)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง  กรณีนี้นางน้อยจึงต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลจังหวัด  เพราะศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น  ไม่ว่าจะเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่มีทุนทรัพย์  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  18

สรุป  นางน้อยต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลจังหวัด

 

ข้อ  3  นายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายสอง  นายสาม  และนายสี่  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี  ขณะปรึกษากันเพื่อทำคำพิพากษาคดีนายสองหัวใจวายถึงแก่ความตาย  นายสามและนายสี่จึงนำคดีไปปรึกษานายหนึ่ง  แต่นายหนึ่งได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศพอดี  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงสั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ร่วมกับนายสามและนายสี่ทำคำพิพากษาคดีต่อไป

การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(2) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค  ได้แก่  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองประธานศาลอุทธรณ์  หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)  (2)  และ  (3)  ด้วย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

การที่นายหนึ่ง  ประธานศาลอุทธรณ์ภาคจ่ายสำนวนคดีให้นายสอง  นายสาม  และนายสี่  เป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่งนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรกที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี  เช่น  เจ็บป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  บทบัญญัติมาตรา  29(2)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาและมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสอง  หัวใจวายกะทันหันในระหว่างการทำคำพิพากษา  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  29(2)  ที่ต้องให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  เพื่อให้ครบองค์คณะ  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศ  จึงไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ดังนั้นรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนและมีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้  ตามมาตรา  29(2)  และวรรคท้าย  ประกอบมาตรา  8  วรรคสอง  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาด้วยตนเองเท่านั้น  จะมอบหมายให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสองไม่ได้  เพราะมาตรา  29(2)  ไม่ได้ให้อำนาจในการมอบหมายเอาไว้  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การกระทำของนายยอดไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซ่อม 1/2548

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเศรษฐีเป็นโจทก์ฟ้องนายจนต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้  ว่านายจนได้กู้เงินไปจากตนจำนวนห้าล้านบาทแล้วผิดนัดชำระหนี้มาโดยตลอด  ตนได้ทวงถามหลายครั้งแต่นายจนเพิกเฉยและอ้างว่าไม่มีเงินชำระหนี้  จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายจนใช้เงินต้นจำนวนห้าล้านบาท  และดอกเบี้ยที่ค้างชำระอีกจำนวนหนึ่งแสนบาท  อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายมีเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลแพ่งกรุงเทพใต้  และนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  หลังจากโจทก์อื่นฟ้องแล้วได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลให้อายัดเงินในธนาคารของจำเลยจำนวนสามล้านบาทและบ้านพร้อมที่ดิน  (ราคาประมาณสองล้านบาท)  ของจำเลยไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา  นายสมสกุลได้ไต่สวนคำร้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วมีคำสั่งให้อายัดไว้ตามที่โจทก์ร้องขอ

ท่านเห็นว่า  การไต่สวนและมีคำสั่งของนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาล  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(1) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

วินิจฉัย

ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจทำการไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลและมีคำสั่งได้ในคดีทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นแพ่งหรือคดีอาญา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(1)  ทั้งนี้อำนาจดังกล่าว  ผู้พิพากษาประจำศาลก็สามารถกระทำได้ ตามมาตรา  25  วรรคท้าย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้จำหน่ายคดีให้นายมีเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ  และนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายสมสกุล  ผู้พิพากษาประจำศาลแต่เพียงผู้เดียวมีคำสั่งให้อายัดเงินในธนาคารของจำเลยตามที่โจทก์ร้องขอนั้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจไต่สวนคำร้องขอให้อายัดเงินและมีคำสั่งให้อายัดเงินในธนาคารตามคำร้องที่ยื่นต่อศาลได้  ตามมาตรา  25(1)  แม้นายสมสกุลจะเป็นผู้พิพากษาประจำศาล  ก็ย่อมมีอำนาจกระทำได้และไม่ถูกห้ามแต่อย่างใดตามมาตรา  25  วรรคท้าย

สรุป  การไต่สวนและมีคำสั่งของนายสมสกุลผู้พิพากษาประจำศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  เจ้ามรดกมีเงินฝากอยู่ในธนาคารจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนบาท  มีทายาทโดยธรรมในลำดับเดียวกันห้าคน  คือ  นายหนึ่ง  นายสอง  นายสาม  นายสี่  และนายห้า  แต่นายหนึ่งอ้างว่าตนเองและบิดาซึ่งเป็นเจ้ามรดกที่เสียชีวิตไปนี้  ได้ร่วมกันดำเนินกิจการจนมีเงินฝากในธนาคารจำนวนดังกล่าว  ตนซึ่งเป็นพี่ชายคนโตควรได้รับส่วนแบ่งจำนวนครึ่งหนึ่งทายาทที่เหลืออีกสี่คนเห็นว่าการแบ่งเช่นนี้ไม่เป็นธรรมเพราะเป็นทายาทลำดับเดียวกันควรแบ่งเท่าๆกัน  นายสอง  นายสาม  นายสี่  และนายห้า  จึงเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลแขวงขอบังคับนายหนึ่งแบ่งเงินมรดกให้กับพวกตน  คนละสามแสนบาท  ศาลแขวงได้ตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลจังหวัด  จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลแขวงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน  3  แสนบาท  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

สำหรับการพิจารณาทุนทรัพย์ในกรณีที่โจทก์หลายคนฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน  การคำนวณทุนทรัพย์ให้คำนวณจากทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกจากกัน

นายสอง  นายสาม  นายสี่และนายห้าเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลแขวงขอให้บังคับนายหนึ่งแบ่งมรดกให้กับพวกตนคนละ  3  แสนบาท  ดังนั้นการคำนวณทุนทรัพย์พิพาทจึงต้องแยกจากกันเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน  3  แสนบาทจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวง ตามมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  การที่ศาลแขวงตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลจังหวัด  แล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องจึงไม่ชอบ  (ฎ.5971/2544)

สรุป  คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลแขวงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  ประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายบันลือ  นายก้องเกียรติ  และนายมีศักดิ์เป็นองคณะพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  ต่อมาคดีนี้ได้นำเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทุกคนได้เข้าร่วมประชุมใหญ่  พิจารณาคดีแพ่งเรื่องดังกล่าวจนเสร็จสิ้น  นายบันลือนายก้องเกียรติ  และนายมีศักดิ์ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่  นายเก่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  ซึ่งได้เข้าประชุมใหญ่ด้วย  แต่มีความเห็นไม่ตรงกับที่ประชุมใหญ่  ได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาและทำความเห็นแย้งหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว

ท่านเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค  และผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว  เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว  มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งคดีนั้นได้  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

วินิจฉัย

การที่ประธานศาลอุทธรณ์จ่ายสำนวนคดีให้นายบันลือ  นางก้องเกียรติและนายมีศักดิ์เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่งนั้น  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรกที่บังคับว่าต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คนเป็นองค์คณะ

เมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาคดีนั้นได้  เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้ว  ดังนั้นการที่นายบันลือ  นายก้องเกียรติ  และนายมีศักดิ์ได้ร่วมกันทำคำพิพากษาตามมติที่ประชุมใหญ่  และนายเก่งได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาด้วยนั้น  คำพิพากษาดังกล่าวก็ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคสอง  เพระนายเก่งเป็นผู้พิพากษาที่เข้าประชุมใหญ่นั้น  แม้จะทำให้มีองค์คณะเกินกว่า  3  คน  ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  27  วรรคแรกแต่อย่างใด

ส่วนการที่นายเก่งมีความเห็นไม่ตรงกับที่ประชุมใหญ่  และได้ทำความเห็นแย้งหลังจากได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่แล้วนั้น  นายเก่งมีอำนาจกระทำได้  ตามมาตรา  27  วรรคสองตอนท้าย

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ในศาลอุทธรณ์ภาค  1  มีนายเอกดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  นายโทดำรงตำแหน่งรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  นางสาวสวย  ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีเด็กและเยาวชนในศาลอุทธรณ์ภาค  1  และมีนายหนึ่ง  นายสอง  นายสาม  นายสี่จนถึงนายยี่สิบ  เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค  1  กับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค  1  ทั้งนี้  โดยผู้พิพากษาทั้งหมดมีอาวุโสเรียงตามลำดับ  นายเอกได้จ่ายสำนวนคดีแพ่งทุนทรัพย์สี่สิบล้านให้แก่นายสาม  นายเจ็ด  และนายเก้าเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  เมื่อผู้พิพากษาทั้งสามได้รับสำนวนคดีแล้ว  ต่อมาในวันรุ่งขึ้น  นายเก้าหัวใจวายถึงแก่ความตายอย่างกะทันหัน  ในระหว่างนั้นนายเอกได้เดินทางไปราชการต่างประเทศ  นายโทจึงมอบหมายให้นายห้าเป็นองค์คณะแทนนายเก้าซึ่งถึงแก่ความตาย

ให้วินิจฉัยว่า  การกระทำของนายโทชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(2) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค  ได้แก่  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  หรือรองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  หรือผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค  ซึ่งประธานศาลอุทธรณ์หรือประธานศาลอุทธรณ์ภาค  แล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

นายเอก  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  จ่ายสำนวนคดีให้แก่นายสาม  นายเจ็ด  และนายเก้าเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเรื่องหนึ่งซึ่งมีทุนทรัพย์  40  ล้านบาท  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  27  วรรคแรก  ที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การที่นายโท  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  มอบหมายให้นายห้า  เป็นองค์คณะแทนนายเก้า  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  หรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  28  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย  หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการพิจารณาคดี  เช่น  เจ็บป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ขาดองค์คณะพิจารณาคดี  บทบัญญัติมาตรา  28(2)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจนั่งพิจารณาคดีแทนต่อไปได้

การที่นายเก้าหัวใจวายถึงแก่ความตายอย่างกะทันหัน  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างพิจารณาคดี  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  28(2)  ที่ให้ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  เป็นองค์คณะแทน  หรือมอบหมายให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  หรือผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ภาค  1  คนใดคนหนึ่งเป็นองค์คณะแทนก็ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายเอก  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  เดินทางไปราชการต่างประเทศ  ไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ต้องให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  เป็นผู้ทำการแทนตามมาตรา  8  วรรคสอง  นายโทซึ่งเป็นรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1

ดังนั้นการที่นายโท  ผู้ทำการแทนประธานศาลอุทธรณ์มอบหมายให้นายห้า  ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค  1  เป็นองค์คณะแทนนายเก้าซึ่งถึงแก่ความตาย  ย่อมสามารถกระทำได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  28  วรรคท้าย  ที่ได้กำหนดให้ผู้ทำการแทนมีอำนาจตามมาตรา  28(2)  ในการมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ภาคเป็นองค์คณะแทนได้

สรุป  การกระทำของนายโท  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  1  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  เขียวเป็นโจทก์ฟ้องนายเหลืองต่อศาลจังหวัดข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  290  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่  3  ปี  ถึง  15  ปี  นายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้จ่ายสำนวนคดีดังกล่าวให้นายเอกผู้พิพากษาศาลจังหวัดไต่สวนมูลฟ้อง  นายเอกได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้องจึงนำสำนวนคดีไปปรึกษากับนายใหญ่  นายใหญ่จึงให้นายเด่นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลนั้นตรวจสำนวนการไต่สวนมูลฟ้อง  และลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องร่วมกับนายเอก

ท่านเห็นว่า  การกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา  25(5)

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ผู้พิพากษาคนเดียวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  เพราะความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  มีกำหนดอัตราโทษตามกฎหมายให้จำคุกเกิน  3  ปี  ต้องให้ผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คนเป็นองค์คณะ

แต่การไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา  ไม่ว่าคดีนั้นกฎหมายจะกำหนดอัตราโทษจำคุกกี่ปีก็ตาม  ผู้พิพากษาคนเดียวก็ย่อมมีอำนาจกระทำได้  ตามมาตรา  25(3)  เมื่อนายเอกไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษ  ตามมาตรา  25(5)  ถือได้ว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(1)  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษา  จึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือผู้ทำการแทนในตำแหน่งดังกล่าวเข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องด้วย  ตามมาตรา  29(3)  กรณีนี้นายเอกต้องให้นายใหญ่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลร่วมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเท่านั้น  และนายใหญ่จะมอบหมายหรือสั่งให้ผู้พิพากษาคนอื่นตรวจสำนวนการไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องไม่ได้  ดังนั้นการที่นายใหญ่ให้นายเด่นผู้พิพากษาอาวุโสตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29(3)

สรุป  นายเอกไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาได้  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

การทำคำพิพากษายกฟ้องไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  ในศาลแขวงพระนครเหนือ  นายสมภพผู้พิพากษาศาลแขวงและนายเกียรติศักดิ์ผู้พิพากษาประจำศาลได้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีอาญาฐานฉ้อฉลอันเป้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  341  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาท  เมื่อองค์คณะทั้งสองได้พิจารณาคดีเสร็จแล้วจึงร่วมกันพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหนึ่งปี

ท่านเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(2) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา  25(5)  แล้ว  เห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ศาลแขวง  โดยผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารราพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวนหรือมีคำสั่งใดๆซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ตามมาตรา  25  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  17

นายสมภพ  ผู้พิพากษาศาลแขวงพระนครเหนือมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาฐานฉ้อโกง  ได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา 25(5)  ประกอบมาตรา  17  เพราะคดีนี้มีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดไม่เกิน  3  ปี  ส่วนนายเกียรติศักดิ์ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาตามมาตรา  25(5)  ทั้งนี้ตามมาตรา  25  วรรคท้าย  กรณีนี้จึงต้องถือว่านายสมภพเท่านั้นเป็นองค์คณะ

เมื่อนายสมภพผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา  25(5)  แล้วเห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่า  6  เดือน  กรณีถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(2)  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษา  ดังนี้ต้องให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครเหนือลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาตามมาตรา  29(3)  การที่นายสมภพและนายมีเกียรติร่วมกันพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย  1  ปี  จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  เพราะเป็นการที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน  6 เดือน  (ฎ.1082/2481)

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ในศาลจังหวัดแห่งหนึ่งมีนายยิ่งยศ  ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  และมีนายเก่งผู้พิพากษาอาวุโส  นายซื่อ  นายสัตย์  และนางสาวสุดสวย  ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตามลำดับ  นายยิ่งยศได้จ่ายสำนวนคดีแพ่งให้นายสัตย์  และนางสาวสุดสวยเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  เมื่อองค์คณะทั้งสองได้พิจารณาคดีจนเสร็จสิ้นแล้วจึงประชุมปรึกษาคดีกัน  ปรากฏว่าทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกัน  จึงนำสำนวนคดีไปปรึกษานายเก่งผู้พิพากษาอาวุโส  (ในขณะนั้นนายยิ่งยศได้เดินทางไปราชการต่างประเทศ)  เมื่อนายเก่งได้ตรวจสำนวนคดีดังกล่าวแล้วปรากฏว่านายเก่งมีความเห็นเช่นเดียวกับนางสาวสุดสวยจึงร่วมกันลงลายมือชื่อทำคำพิพากษากับองค์คณะทั้งสอง  (แม้นายสัตย์จะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานายสัตย์ก็ยอมลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเพราะเห็นว่าตนเป็นองค์คณะเดิม)

ท่านเห็นว่า  คำพิพากษาของศาลจังหวัดดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  9  วรรคสองและวรรคท้าย  เมื่อตำแหน่งผู้พิพากษาศาลจังหวัดหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงว่างลง  หรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลจะเป็นผู้ทำการแทนในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลไม่ได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(3) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้น  จะต้องกระทำโดยองค์คณะซึ่งประกอบด้วย  ผู้พิพากษาหลายคน  และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้

วินิจฉัย

เมื่อผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีแพ่ง  มีความเห็นแย้งกันในการทำคำพิพากษาจนหาเสียงข้างมากมิได้  ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  31(4)  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษา  พระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29(3)  จึงกำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  หรือผู้ทำการแทนลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาเป็นองค์คณะด้วย  กรณีนี้นายยิ่งยศ  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจึงต้องเป็นองค์คณะร่วมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา

แต่เมื่อในขณะนั้นนายยิ่งยศได้เดินทางไปราชการต่างประเทศไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ดังนั้นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29  วรรคท้าย  ประกอบมาตรา  9  วรรคสอง  จึงให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน  ซึ่งในที่นี้ก็คือ  นายซื่อ

การที่นายเก่งได้ตรวจสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว  มีความเห็นเช่นเดียวกับนางสาวสุดสวย  จึงร่วมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  9  วรรคท้าย  ประกอบมาตรา  29  เพราะผู้พิพากษาอาวุโสไม่อาจเป็นผู้ทำการแทนผู้พิพากษาหัวหน้าศาลได้

สรุป  คำพิพากษาของศาลจังหวัดดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2  นายเขียวบุตรชายคนเดียวของนายดำผู้ตาย  ได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายดำต่อศาลแขวงธนบุรี  เนื่องจากนายดำมีที่ดินจำนวนสิบตารางวา  ซึ่งมีราคาสามแสนบาทถ้วน  ตามราคาประเมินของกรมที่ดิน  ศาลแขวงธนบุรีสั่งไม่รับคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเขียว  ท่านเห็นว่าคำสั่งของศาลแขวงดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์คำร้องขอแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าว  ถือเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทและไม่มีทุนทรัพย์  จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวง  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  ดังนั้นคำสั่งของศาลแขวงธนบุรีที่ไม่รับคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเขียว  จึงชอบแล้ว

สรุป

คำสั่งของศาลแขวงธนบุรีชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  นายหนึ่งฟ้องนายสองข้อหาชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  339  ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี  และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาทต่อศาลอาญา  มีนายเอกอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้ไต่สวนมูลฟ้อง  นายเอกเห็นว่าคำฟ้องของนายหนึ่งไม่มีมูลจึงพิพากษายกฟ้องของนายหนึ่ง  โดยนายเอกได้ให้นายโทรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  ซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุดเข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องนายหนึ่ง

การไต่สวนมูลฟ้องของนายเอกและการพิพากษายกฟ้องของนายเอกและนายโท  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  แล้วแต่กรณี

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา  25(5)

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ผู้พิพากษาคนเดียวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาฐานชิงทรัพย์ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  เพราะความผิดฐานชิงทรัพย์  มีกำหนดอัตราโทษตามกฎหมายให้จำคุกเกิน  3  ปี  ต้องให้ผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คนเป็นองค์คณะ

แต่สำหรับการไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา  ไม่ว่าคดีนั้นกฎหมายจะกำหนดอัตราโทษจำคุกกี่ปีก็ตาม  ผู้พิพากษาคนเดียวก็ย่อมมีอำนาจกระทำได้  ตามมาตรา  25(3)  เมื่อนายเอกไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลควรพิพากษายกฟ้อง  แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษ  ตามมาตรา  25(5)  ถือได้ว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(1)  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการทำคำพิพากษา  จึงต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเข้าร่วมตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษายกฟ้องด้วย  ตามมาตรา  29(3)  แต่เมื่อนายเอกเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา  จึงไม่อาจลงลายมือชื่อในอีกฐานะหนึ่งได้ เพราะตนเป็นผู้พิพากษาผู้ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  กรณีนี้จึงต้องให้รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  จึงจะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป

การไต่สวนมูลฟ้องของนายเอก  และการพิพากษายกฟ้องของนายเอกและนายโทชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ศาลแขวงพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินสามแสนบาท  จำเลยไม่ชำระ  โจทก์ขอให้ศาลแขวงออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อนำไปขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา  โจทก์ชี้ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ในโรงรถในบ้านของจำเลย  เพื่อนำไปขายทอดตลาด  ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถของนาย  ก เพื่อนบ้านของจำเลยนำมาอาศัยจอดไว้เพราะบ้านของนาย  ก  ไม่มีที่จอดรถ  นาย  ก  เจ้าของรถต้องการจะเอารถของตนคืน  และรถยนต์ที่ถูกยึดมีราคาสองล้านบาท

นาย  ก  มาปรึกษาท่านว่าทำอย่างไรจึงจะได้รถยนต์ของตนคืน  ให้ท่านให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมายแก่  นาย  ก

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  288  ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้  บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

นาย  ก  เจ้าของรถยนต์ที่ถูกยึดจะต้องไปยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ต่อศาลแขวงที่ออกหมายบังคับคดี  การยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ผู้ร้องจะต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามราคาทรัพย์  แม้ทรัพย์นั้นจะมีราคามากกว่า  3  แสนบาท  ซึ่งถือว่าเกินอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ตาม  แต่เนื่องจากการยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  288  บัญญัติบังคับให้ยื่นต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดี  ผู้ยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์จึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลแขวงเพราะเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีและต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามราคาทรัพย์  โดยไม่ถูกจำกัดราคาทรัพย์ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  (ฎ.901/2511)

สรุป  ข้าพเจ้าจะแนะนำนาย  ก  ให้ยื่นคำร้องขอปล่อยทรัพย์ต่อศาลแขวง  เพราะเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดี

 

ข้อ  2  ในศาลฎีกา  นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา  นายโทและนายตรีผู้พิพากษาศาลฎีกา  เป็นองค์คณะพิจารณาคดีแพ่งทุนทรัพย์สามสิบล้านบาท  องค์คณะทั้งสามได้ร่วมกันพิจารณาและประชุมปรึกษาคดีกันแล้วทั้งสามคนมีความเห็นแตกต่างกันเป็นสามแนวทางไม่สามารถที่จะทำคำพิพากษาได้  จึงได้นำสำนวนคดีไปปรึกษากับนายใหญ่  ประธานศาลฎีกา  นายใหญ่ติดงานราชการหลายอย่างจึงยังมิได้ตรวจดูสำนวนคดีและให้คำปรึกษาปรากฏว่าจนถึงวันที่  30  กันยายน  นายใหญ่และรองประธานศาลฎีกาอีกหกท่านได้พ้นจากตำแหน่ง  เนื่องจากมีอายุครบหกสิบปีและไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสพิจารณาคดีที่ศาลชั้นต้น  (วันที่  1  ตุลาคม  ประธานศาลฎีกาและรองประธานศาลฎีกาทั้งสามยังไม่มารับตำแหน่ง)  นายบดีซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลฎีกาจึงได้นำสำนวนคดีดังกล่าวมาตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายเอกและนายโท  แต่นายตรีนั้นไม่เห็นด้วยจึงไม่ยอมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา

ท่านเห็นว่า  คำพิพากษาชอบด้วยกฎหมายพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสองและวรรคสาม  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

ในกรณีที่ไม่มีผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา  ตามวรรคสอง  หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(1) ในศาลฎีกา  ได้แก่  ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)  (2)  และ  (3)  ด้วย

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(3) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้น  จะต้องกระทำโดยองค์คณะซึ่งประกอบด้วย  ผู้พิพากษาหลายคน  และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้

วินิจฉัย

ในศาลฎีกาที่องค์คณะทั้งสามคนมีความเห็นต่างกันจนไม่สามารถทำคำพิพากษาได้นั้น  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  31(3)  ผู้ที่จะเข้าเป็นองค์คณะแทนในระหว่างการทำคำพิพากษาได้นั้น  ได้แก่  ผู้พิพากษาตามมาตรา  29(1)  ซึ่งได้แก่  ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา  แต่เนื่องจากประธานศาลฎีกาได้พ้นจากตำแหน่งจึงต้องให้ผู้ที่ทำการแทนประธานศาลฎีกามีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้  ทั้งนี้ผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา  ได้แก่  รองประธานศาลฎีกา  ตามมาตรา  8  วรรคสอง  แต่เมื่อรองประธานศาลฎีกาอีกหกคนได้พ้นจากตำแหน่งด้วย  จึงถือว่าไม่มีผู้ทำการแทนประธานศาลฎีกา  ตามมาตรา  8  วรรคสาม  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้นเป็นผู้ทำการแทน

ดังนี้การที่นายบดีเป็นผู้พิพากษาที่มีความอาวุโสสูงสุดในศาลฎีกา  ได้นำสำนวนคดีมาตรวจและลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาร่วมกับนายเอกและนายโท  แม้นายตรีจะไม่เห็นด้วยและไม่ยอมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  คำพิพากษาดังกล่าวก็ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  3  โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดว่าโจทก์ได้ขายฝากที่ดินแก่จำเลย  โดยจดทะเบียนการขายฝาก  ณ  สำนักงานที่ดิน  ต่อมาโจทก์ได้ไถ่การขายฝากและจดทะเบียนการไถ่แล้ว  แต่จำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินที่ขายฝากให้แก่โจทก์  ขอให้ศาลจังหวัดบังคับให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์  ในวันนัดพิจารณานัดแรกผู้พิพากษาศาลจังหวัดที่นั่งพิจารณาคดีได้ถามโจทก์ถึงราคาที่ดิน  โจทก์แถลงว่าที่ดินที่ขายฝากราคา  250,000  บาท  ผู้พิพากษาศาลจังหวัด  จึงมีคำสั่งให้โอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจเหนือที่ดินที่ขายฝากกัน

การสั่งโอนคดีดังกล่าวของผู้พิพากษาศาลจังหวัด  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  16  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด  และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดขอให้บังคับคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์  มิใช่คำฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท  อันจะทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์  ดังนั้นกรณีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่ไม่มีทุนทรัพย์  ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17  ทั้งนี้เพราะศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ของคดีไม่เกิน  3 แสนบาทเท่านั้น  (ฎ.1593/2521)

ประเด็นที่ว่า  ศาลจังหวัดจะมีคำสั่งโอนคดีดังกล่าวไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจได้หรือไม่  เห็นว่า  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด แต่คดีนั้นเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  มาตรา  16  วรรคท้ายได้บัญญัติให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ  แต่กรณีนี้เมื่อคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว  ดังนั้นการที่ผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวง  จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การสั่งโอนคดีดังกล่าวของผู้พิพากษาศาลจังหวัดไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3004 (LA 304),(LW 305) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายสมเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมีนบุรี  ได้จ่ายสำนวนคดีให้นายทรงศักดิ์ผู้พิพากษาศาลจังหวัดมีนบุรี  ซึ่งสำนวนคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ยืมสร้อยทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองฝังเพชรของโจทก์ไป  แล้วไม่ยอมคืน  โจทก์ได้ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยบ่ายเบี่ยง  จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้โจทก์คืนทรัพย์ดังกล่าว  หรือชดใช้ราคาสามแสนบาทแก่โจทก์  ระหว่างการพิจารณาคดีข้อเท็จจริงได้ความว่า  สร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองฝังเพชรมีราคาสี่แสนบาท  นายสมเกียรติจึงให้นายยิ่งยศผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะร่วมกับนายทรงศักดิ์  นายทรงศักดิ์และนายยิ่งยศได้ร่วมกันพิจารณาและทำคำพิพากษาให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองฝังเพชร  หรือชดใช้ราคาสี่แสนบาทแก่โจทก์

ท่านเห็นว่า  การกระทำข้างต้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  (ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดมีนบุรี  ไม่มีศาลแขวง)

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3)  ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  กำหนดว่า  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คน  เป็นองค์คณะ  เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  25  ที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้เอง

กรณีตามอุทาหรณ์  ศาลจังหวัดมีนบุรี  โดยนายทรงศักดิ์ผู้พิพากษาคนเดียว  มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่ฟ้องขอให้บังคับให้โจทก์คืนสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองฝังเพชรได้  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  เพราะราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน  3  แสนบาทอยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว

เมื่อนายทรงศักดิ์ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่ง  ตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาปรากฏว่าราคาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองที่ฟ้องเกินกว่า  3  แสนบาท  อันเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว  กรณีจึงเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  31(4)  ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการพิจารณาคดีตามบทบัญญัติมาตรา  28(3)  จึงกำหนดให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นองค์คณะร่วมพิจารณาพิพากษา  หรือจะมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลนั้นนั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้  ดังนั้นการที่นายสมเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมีนบุรีให้นายยิ่งยศ  ผู้พิพากษาประจำศาลเป็นองค์คณะร่วมกับนายทรงศักดิ์  และทั้งสองได้ร่วมกันพิจารณาและทำคำพิพากษาให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองฝังเพชร  หรือชดใช้ราคา  4  แสนบาทแก่โจทก์  จึงชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การกระทำของนายสมเกียรติผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

 

ข้อ  2   โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งให้ใช้ราคาทรัพย์สินเป็นจำนวนเงินสองแสนห้าหมื่นบาท  จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง  ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง  ระหว่างพิจารณาคดีปรากฏว่าทรัพย์สินที่พิพาทมีราคาที่แท้จริงหนึ่งล้านบาท  ซึ่งคู่ความและศาลไม่ทราบมาก่อน  ศาลที่พิจารณาคดีจะต้องดำเนินคดีอย่างไรต่อไปถ้า

(ก)  คดีนี้โจทก์นำไปฟ้องยังศาลจังหวัดโดยคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้น  จึงจ่ายสำนวนให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งพิจารณาพิพากษา

(ข)  โจทก์เห็นว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง  จึงนำคดีไปฟ้องยังศาลแขวง  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงจ่ายสำนวนให้ผู้พิพากษาศาลแขวงคนหนึ่งพิจารณาพิพากษา

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

มาตรา  28  ในระหว่างการพิจารณาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น  ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้

(3)  ในศาลชั้นต้น  ได้แก่  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  อธิบดีผู้พิพากษาภาค  ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้นซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแล้วแต่กรณีมอบหมาย

มาตรา  31  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้างล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา  30  แล้วให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา  25(4)  ไปแล้ว  ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว

วินิจฉัย

ศาลจังหวัดโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  และมีอำนาจพิจารณาคดีได้ทุกตัวบทกฎหมายโดยมีผู้พิพากษาสองคนเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ส่วนศาลแขวงมีผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่เกิน  3  แสนบาท  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25  วรรคแรก  (4)

กรณีตามอุทาหรณ์  เป็นกรณีที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (4)  ในระหว่างพิจารณาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว  ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  31(4)  ดังนี้

(ก)  ถ้าเป็นศาลจังหวัด  ต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  หรือผู้ทำการแทนนั่งร่วมเป็นองค์คณะสองคนพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป  หรือจะมอบหมายให้ผู้พิพากษาในศาลนั้นนั่งร่วมเป็นองค์คณะก็ได้  ตามมาตรา  28(3)

(ข)  ถ้าเป็นศาลแขวง  ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะต้องสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  จะให้ผู้พิพากษาคนอื่นมานั่งร่วมเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปไม่ได้  เพราะจะเป็นการเพิ่มอำนาจให้ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกินอำนาจตามที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  วรรคแรก  (4)  กำหนดไว้

 

ข้อ  3  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายยอดแย่ต่อศาลจังหวัด  ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  288  ซึ่งบัญญัติไว้ว่า  ผู้ใดฆ่าผู้อื่น  ต้องระวางโทษประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิต  หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษาลงโทษนายยอดแย่ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา  ให้จำคุกตลอดชีวิต  โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษประหารชีวิต  นายยอดแย่ไม่อุทธรณ์  ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษประหารชีวิต  นายยอดแย่แก้ฎีกาว่าคดีนี้ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  โจทก์จะฎีกาอีกมิได้  ดังนี้  คำแก้ฎีกาของนายยอดแย่ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  22  ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการอุทธรณ์  และว่าด้วยเขตอำนาจศาลและมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) พิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรอยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพาทลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีนั้นได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์  และศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด  เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  22  ของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมดังกล่าว  จะเห็นว่าโดยหลักการแล้ว  ศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นมาเท่านั้น  ดังนั้นหากคู่ความมิได้อุทธรณ์  คดีย่อมยุติเสร็จเด็ดขาดไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น  แต่ความในมาตรา  22(1)  ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นกำหนดให้ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจพิพากษายืนตาม  แก้ไข  กลับ  หรือยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษประหารชีวิต  หรือจำคุกตลอดชีวิต  ในเมื่อคดีได้ส่งขึ้นมายังศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  วรรคสอง  คือ  เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น  และพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว  ในกรณีนี้ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  คดีก็เป็นอันยุติ  จะฎีกาอีกต่อไปมิได้

กรณีตามอุทาหรณ์  ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  245  เพราะโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย  กรณีจึงต้องเป็นไปตามหลักทั่วไป  เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  โจทก์จึงสามารถที่จะฎีกาขอให้ศาลฎีกาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้  (เทียบ  ฎ.1591/2529)

สรุป  คำแก้ฎีกาของนายยอดแย่จึงฟังไม่ขึ้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!