LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมหวัง นายสมชัย นายสมศักดิ์ ได้เดินทางไปทัศนาจรที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น นายสมชายและนายสมศักดิ์ได้กู้ยืมเงินจากนายสมหวัง โดยทำสัญญายืมฉบับเดียวกันถูกต้องตามกฎหมาย ระบุว่านายสมชายกู้ 350,000 บาท นายสมศักดิ์กู้ 400,000 บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญากู้ นายสมหวังได้ทวงถามแล้วแต่ทั้งสองไม่ชำระ ดังนี้ นายสมหวังจะฟ้องนายสมชายและนายสมศักดิ์เป็นจำเลยร่วมกันได้หรือไม่ และถ้าปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่านายสมหวังมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายสมชายมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และนายสมศักดิ์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญ ดังนี้ นายสมหวังจะฟ้องนายสมชายและนายสมศักดิ์ต่อศาลใด และจะฟ้องทั้งสองยังเขตศาลเดียวกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)       คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

            มาตรา 5 “คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้

            มาตรา 59 “ บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี แต่ห้ามมิให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ หรือได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ดังนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกันเพียงเท่าที่จะกล่าวต่อไปนี้…

วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมชายและนายสมศักดิ์ได้กู้ยืมเงินจากนายสมหวัง โดยทำสัญญายืมฉบับเดียวกันนั้น ถือว่านายสมชายและนายสมศักดิ์มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ดังนั้นนายสมหวังจึงเป็นโจทก์ฟ้องนายสมชายและนายสมศักดิ์เป็นจำเลยร่วมกันได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59

            ซึ่งการฟ้องคดีนั้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) กำหนดไว้ว่า โจทก์จะต้องฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น และตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5 ได้ กำหนดไว้ว่าคำฟ้องซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคล หรือเพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันโจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดศาลหนึ่งก็ได้

            ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อนายสมชายมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และนายสมศักดิ์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญ นายสมหวังจึงต้องฟ้องนายสมชายต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี และฟ้องนายสมศักดิ์ต่อศาลจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสมชายและนายสมศักดิ์มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี คือ มีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น นายสมหวังจึงสามารถฟ้องทั้งนายสมชายและนายสมศักดิ์ยังเขตศาลเดียวกันได้โดยฟ้องได้ที่ศาลจังหวัดอุบลราชธานีหรือต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานีหรือต่อศาลจังหวัดอำนาจเจริญศาลใดศาลหนึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5

สรุป นายสมหวังต้องฟ้องนายสมชายและนายสมศักดิ์ต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานี และศาลจังหวัดอำนาจเจริญ หรือจะฟ้องทั้งสองคนยังเขตศาลเดียวกัน คือ ศาลจังหวัดอุบลราชธานี หรือศาลจังหวัดอำนาจเจริญศาลใดศาลหนึ่งก็ได้

 

ข้อ 2. ใหญ่ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งจากเล็กโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หลังจากเล็กส่งมอบที่ดินให้ใหญ่เข้าครอบครองแล้ว ต่อมาเล็กถึงแก่ความตาย ใหญ่จึงมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นทนายความว่าใหญ่จะฟ้องทายาทของเล็กให้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ใหญ่ หรือขอให้ศาลสั่งแสดงสิทธิ ดังนี้ ท่านจะแนะนำใหญ่อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                        มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

                        วินิจฉัย

                        ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใดๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำคดีเสนอต่อศาลจะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 ได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

1.         กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็ให้เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 172

2.         กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล ในกรณีเป็นเรื่องที่ต้องใช้สิทธิทางศาลเพราะเหตุว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้นจากกฎหมายบัญญัติไว้ตามกฎหมายสารบัญญัติ  ให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1) เช่น การขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของตนแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างใหญ่กับเล็กนั้น เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะ (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก) แต่ขณะที่ซื้อขายกันที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่า ซึ่งเล็กมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเล็กส่งมอบที่ดินให้ใหญ่เข้าครอบครองแล้ว ใหญ่ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าว (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1378) อันเป็นการได้สิทธิครอบครองมาด้วยการครอบครองตามกฎหมายมิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขาย เล็กจึงไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่ใหญ่ และเมื่อเล็กถึงแก่ความตาย ทายาทซึ่งเข้ารับมรดกของเล็กก็ย่อมไม่มีหน้าที่ดังกล่าวด้วย ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าทายาทของเล็กได้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใดที่ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของใหญ่ ใหญ่จะฟ้องทายาทของเล็กให้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ใหญ่ไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 และกรณีดังกล่าว ใหญ่ก็จะขอให้ศาลสั่งแสดงสิทธิในที่ดินให้ใหญ่ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีกฎหมายรับรองให้ใหญ่ใช้สิทธิทางศาลได้ แต่อย่างใดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนำใหญ่ว่า ใหญ่จะฟ้องทายาทของเล็กให้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ใหญ่หรือขอให้ศาลสั่งแสดงสิทธิไมได้

 

ข้อ 3. คดีแพ่งโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นลูกหนี้เงินโจทก์ จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ นางเรยาเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมพร้อมกับยื่นคำให้การเข้ามาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และหนี้กู้ยืมระงับไปโดยการแปลงหนี้ใหม่ ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นางเรยาเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ และสั่งรับคำให้การของจำเลยร่วม ส่วนจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่าผู้ร้องสมัครใจเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2)  เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง ดังนี้ คำแถลงคัดค้านของโจทก์ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 “ บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(2) ด้วยการสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตาม คู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการ เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย

                        มาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดที่ได้เป็นคู่ความตามอนุมาตรา (2) แห่งมาตราก่อนใช้สิทธิอย่างอื่น นอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอด และห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิม และให้ผู้ร้องสอดเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันเกิดแต่การที่ร้องสอด แต่ถ้าศาลได้อนุญาตให้เข้าแทนที่โจทก์หรือจำเลยเดิม ผู้ร้องสอดจึงมีฐานะเสมอด้วยคู่ความที่ตนเข้าแทน

                        วินิจฉัย

                        ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่ตนขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมและจะใช้สิทธิขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมไม่ได้

                        กรณีตามอุทาหรณ์ นางเรยาผู้ค้ำประกันร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยสมัครใจเองตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) สิทธิและหน้าที่ของนางเรยาผู้ร้องสอดจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58(2) กล่าวคือ ห้ามไม่ให้ผู้ร้องสอดที่เข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับคู่ความเดิมใช้สิทธิอย่างอื่นนอกเหนือจากสิทธิของคู่ความฝ่ายที่ตนเข้าร่วมหรือใช้สิทธิขัดกับสิทธิของคู่ความเดิมนั้น ซึ่งจะต้องพิจารณาในขณะที่ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความร่วมว่าคู่ความเดิมมีสิทธิอย่างไร และได้สิทธิไว้ก่อนหรือไม่อย่างไร

                        ตามข้อเท็จจริง นางเรยาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมพร้อมกับยื่นคำให้การเข้ามาก่อนที่จะครบกำหนดระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การและจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางเรยาผู้ร้องเข้าเป็นจำเลยร่วม จึงต้องถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิของจำเลยที่มีอยู่ในขณะที่ตนร้องสอดเข้ามาและเมื่อปรากฏต่อศาลว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงไม่มีกรณีที่จะถือว่าข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยร่วมเป็นการใช้สิทธิอย่างอื่นนอกเหนือจากสิทธิของจำเลยเดิมหรือเป็นไปในทางขัดกับสิทธิของจำเลยเดิมอันต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง แต่อย่างใด เพราะจำเลยเดิมยังไม่ได้สิทธิดังกล่าว ดังนั้น คำแถลงคัดค้านของโจทก์ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป คำแถลงคัดค้านของโจทก์ฟังไม่ขึ้น        

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องจำเลยว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาจากบุคคลอื่นแต่ใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อโจทก์แต่จำเลยไม่ยินยอมขอบังคับให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโจทก์จึงยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลสั่งให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดีโจทก์เพราะโจทก์ขาดนัด ดังนี้ ท่านเห็นด้วยกับคำสั่งศาลหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

            หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 198 ทวิวรรคท้าย ถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบตามความในมาตรานี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล และให้ศาลยกฟ้องของโจทก์

            วินิจฉัย

            ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิวรรคท้าย เป็นเรื่องจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลได้สั่งให้สืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว ซึ่งถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลและให้ศาลยกฟ้องของโจทก์

            กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลสั่งให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดนั้น ถือเป็นกรณีที่โจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดจึงให้ถือว่าคดีของโจทก์ก็ไม่มีมูล ศาลจึงชอบที่จะพิพากษายกฟ้องของโจทก์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิวรรคท้าย ซึ่งกรณีนี้มิใช่เรื่องโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 201 ที่ศาลจะมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากระบบความแต่อย่างใด ดังนั้น คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลดังกล่าว

สรุป ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลดังกล่าว

LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ขวดฟ้องขับไล่แก้วออกจากที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของขวด แก้วให้การต่อสู้คดีว่าที่ดินพิพาทเป็นของแก้วที่ได้รับมรดกจากบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่แก้วและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมกับให้แก้วชำระค่าเสียหายแก่ขวดไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาแก้วเป็นโจทก์ฟ้องว่าขวดดำเนินการออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของแก้วขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขเนื้อที่ดินในโฉนดของขวด หากท่านเป็นขวดท่านจะให้การต่อสู้คดีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 147 วรรคสอง คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง..

          มาตรา 148 “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุผลอย่างเดียวกัน..

          วินิจฉัย

          การฟ้องซ้ำมีบัญญัติไว้ในมาตรา 148 ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

1.      คดีนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว

2.      คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะต้องถึงที่สุด

3.      ห้ามคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก

4.      ห้ามเฉพาะประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว

5.      ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุใด ก็ห้ามฟ้องเฉพาะอ้างเหตุนั้นอีก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขวดฟ้องขับไล่แก้วออกจากที่ดินพิพาท และศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่แก้วและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมกับให้แก้วชำระค่าเสียหายแก่ขวดด้วยนั้น เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147

          เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ต่อมาแก้วได้เป็นโจทก์ฟ้องศาลว่าขวดดำเนินการออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของแก้ว ขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขเนื้อที่ดินในโฉนดของขวด ดังนี้ เมื่อคดีนี้และคดีก่อนเป็นคู่ความเดียวกัน และการที่แก้วฟ้องคดีนี้ศาลจะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุว่าที่ดินพิพาทเป็นของแก้วหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วในคดีก่อน กล่าวคือ หากข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของแก้ว ศาลจึงจะพิพากษาให้เพิกถอนและแก้ไขเนื้อที่ดินในโฉนดที่ดินของขวดตามฟ้องของแก้วได้ ดังนั้น ฟ้องของแก้วจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความรื้อร้องฟ้องกันอีกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 (ตามนัยคำพิพากษาฎีกา ที่ 1022/2552)

สรุป หากข้าพเจ้าเป็นขวด ข้าพเจ้าจะให้การต่อสู้ว่าฟ้องของแก้วเป็นฟ้องซ้ำ

 

ข้อ 2. ลักษณ์ซื้อที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งจากเจษฎาที่อยู่ติดกับที่ดินของเจนจิรา โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หลังจากเจษฎาส่งมอบที่ดินให้ลักษณ์เข้าครอบครองแล้ว ลักษณ์ได้ใช้ทางเดินในที่ดินของเจนจิราจนได้ภาระจำยอม ต่อมาลักษณ์ได้ทำสัญญากับรจเรขให้รจเรขมีสิทธิอาศัยในที่ดินมือเปล่านี้แปลงนี้ เมื่อเจษฎาถึงแก่ความตาย ลักษณ์จึงฟ้องทายาทของเจษฎาให้จดทะเบียนโอนที่ดินแก่ลักษณ์ ส่วนเจนจิราปิดทางเดินซึ่งเป็นทางภาระจำยอมในที่ดินของตนทำให้รจเรขไม่สามารถเดินผ่านทางภาระจำยอมดังกล่าวได้ รจเรขจึงยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับเจนจิราเปิดทางภาระจำยอม ท่านเห็นว่าลักษณ์และรจเรขมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

          วินิจฉัย

          ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใดๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำคดีเสนอต่อศาลได้จะต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

1.      กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็ให้เสนอเป็นคดีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 172

2.      กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล ในกรณีเป็นเรื่องที่ต้องใช้สิทธิทางศาลเพราะเหตุว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้นจากกฎหมายบัญญัติไว้ตามกฎหมายสารบัญญัติ ให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยืนต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1) เช่น การขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของตนแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นต้น

          กรณีตามอุทาหรณ์ การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างลักษณ์กับเจษฎานั้น เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก แต่ขณะที่ซื้อขายกันที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินมือเปล่า ซึ่งเจษฎามีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเจษฎาส่งมอบที่ดินพิพาทและลักษณ์ได้เข้าครอบครองแล้ว ลักษณ์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 และ 1378 อันเป็นการได้สิทธิครอบครองมาด้วยการครอบครองตามกฎหมายมิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขาย เจษฎาจึงไม่มีหน้าที่ในทางนิติกรรมที่จะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่ลักษณ์ ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าลักษณ์ได้ถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่แต่อย่างใด ลักษณ์จึงไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลขอให้บังคับทายาทของเจษฎาให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ลักษณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 675/2550)

          ส่วนกรณีของภาระจำยอมในทางเดินนั้น ถือเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์เท่านั้น เมื่อรจเรขเป็นเพียงผู้อาศัย มิใช่เจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์ การที่เจนจิราปิดทางเดินซึ่งเป็นทางภาระจำยอมในที่ดินของตน จึงไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของรจเรขแต่อย่างใด ดังนั้น รจเรขจึงไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลขอให้บังคับเจนจิราเปิดทางภาระจำยอมได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3514-3515/2542)

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่าทั้งลักษณ์และรจเรขไม่มีอำนาจฟ้องตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. แดงฟ้องขับไล่เขียวให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทของแดง เนื่องจากเขียวผิดสัญญาเช่า และแดงบอกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งขอให้เขียวชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย เขียวให้การว่าเขียวไม่ได้ผิดสัญญายังไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่า และแดงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ระหว่างการพิจารณาเหลืองยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีนี้อ้างว่า เหลืองได้ครอบครองที่ดินพิพาทบางส่วน โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทบางส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าเหลือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ครอบครอง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของเหลือง โดยไม่อนุญาตให้เหลืองเข้ามาเป็นคู่ความ ต่อมาศาลพิพากษาและออกคำบังคับให้เขียวและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ก่อนมีการบังคับคดีขาวยื่นคำร้องว่าขาวเป็นเจ้าของบ้านและสิ่งปลูกสร้างขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการบังคับคดี ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของขาวโดยเห็นว่าไม่มีส่วนได้เสีย ท่านเห็นด้วยกับคำสั่งศาลในกรณีของเหลืองและขาวหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจาณาความแพ่ง

          มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)    ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

                             มาตรา 296 ทวิ ในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกพิพากษาให้ขับไล่ หรือต้องออกไปหรือต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์ที่ครอบครอง ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียว โดยทำเป็นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์ดังกล่าว

วินิจฉัย

                             ตามบทบัญญัติมาตรา 57(1) แห่ง ป.วิ.พ. ได้บัญญัติเป็นหลักไว้ว่า บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอดเข้ามาในคดีด้วยความสมัครใจเอง หากบุคคลดังกล่าวมีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดี กล่าวคือ เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วจะมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของตน จึงต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่นั่นเอง

          หรือเป็นกรณีที่ตนมีส่วนได้เสียในการบังคับคดีและถูกโต้แย้งสิทธิ กล่าวคือ ตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น ก็สามารถร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีได้

          กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำสั่งศาลในกรณีของเหลืองและขาวหรือไม่ เป็นดังนี้

          ข้าพเจ้าเห็นด้วยในกรณีของเหลือง เพราะเหลืองมิได้กล่าวอ้างเลยว่า เหลืองมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับเขียวอย่างใด ข้ออ้างของเหลืองดังกล่าวเป็นกรณีที่เหลืองตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับแดงทั้งสิ้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้เลย กล่าวคือ เหลืองมีสิทธิในที่ดินพิพาทอยู่อย่างใดก็คงมีอยู่อย่างนั้น หากศาลพิพากษาขับไล่เขียวก็ย่อมไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของเหลือง ดังนั้น เหลืองจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดีนี้  และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ คำร้องขอของเหลืองไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1) (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 4517/2540)

          แต่ไม่เห็นด้วยในกรณีของขาว เพราะการที่เขียวจะต้องรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปตามคำบังคับนั้น ย่อมจะเป็นผลเสียแก่ขาว หากขาวเป็นเจ้าของบ้านและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ดังนั้นเมื่อขาวเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีและถูกโต้แย้งสิทธิ จึงชอบที่จะร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57(1) โดยไม่ต้องรอให้มีการบังคับคดีเสียก่อน เนื่องจากแดงสามารถขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างได้ทันทีตามมาตรา 296 ทวิ (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3776/2534 ประชุมใหญ่)

                   สรุป ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำสั่งศาลในกรณีของเหลือง แต่ไม่เห็นด้วยในกรณีของขาวตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. ในคดีแพ่งคดีหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่าเจ้าของที่ดินพิพาทได้ทำสัญญาอนุญาตให้โจทก์อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทจำเลยเข้ามาอยู่โดยไม่มีสิทธิ ขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ศาลพิจารณาและพิพากษาให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่ความตาย สมศรีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์หลังจากโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วเกินกว่า 1 ปี จำเลยโต้แย้งว่า การยื่นคำร้องของสมศรีไม่ชอบเพราะคดีนี้เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ สิทธิอาศัยของโจทก์ย่อมระงับเพราะความตายของโจทก์และสมศรียื่นคำร้องเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ขอให้ยกคำร้องขอ ท่านเห็นว่าศาลอุทธรณ์ควรจะพิจารณาคำร้องของสมศรีอย่างไร

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 42 “ ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดี ให้ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปจนกว่าทายาทของผู้มรณะหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะหรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้ จะได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ โดยมีคำขอเข้ามาเอง หรือโดยที่ศาลหมายเรียกให้เข้ามา เนื่องจากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอฝ่ายเดียว คำขอเช่นว่านี้จะต้องยื่นภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นมรณะ

          ถ้าไม่มีคำขอของบุคคลดังกล่าวมาแล้ว หรือไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเรื่องนั้นเสียจากสารบบความ

          มาตรา 132 “ให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ โดยไม่ต้องมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องนั้น และให้กำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควร

          (3) ถ้าความมรณะของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังให้คดีนั้นไม่มีประโยชน์ต่อไป หรือถ้าไม่มีผู้ใดเข้ามาแทนที่คู่ความฝ่ายที่มรณะดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 42”

          วินิจฉัย

          กรณีตามอุทาหรณ์ แม้สิทธิอาศัยจะเป็นสิทธิเฉพาะตัว ซึ่งเมื่อโจทก์ผู้ได้รับสิทธิอาศัยถึงแก่ความตาย สิทธิอาศัยย่อมเป็นอันระงับลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 มิใช่สิทธิเฉพาะตัวอันทำให้ความมรณะของคู่ความฝ่ายโจทก์ยังให้คดีไม่มีประโยชน์ต่อไปแต่อย่างใด (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1180/2538)

          ดังนั้น การเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่คู่ความผู้มรณะของสมศรีนั้น แม้จะร้องขอเข้ามาเมื่อเกินกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นมรณะก็ตาม แต่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 ประกอบด้วยมาตรา 132(3) บัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงสามารถรับคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความของสมศรีและอนุญาตให้สมศรีซึ่งเป็นทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้

          สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่าศาลอุทธรณ์ควรรับคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความของสมศรีและอนุญาตให้สมศรีเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์

LAW3005 กฎหมายวิพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.  โตมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดลำปาง ใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โตเป็นลูกจ้างใหญ่ได้ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าของใหญ่ในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อ ชนท้ายรถยนต์น้อยได้รับความเสียหาย และนิดนั่งมาในรถยนต์ได้รับบาดเจ็บ โดยเหตุละเมิดรถชนกันที่จังหวัดเชียงรายน้อยและนิดร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโตและใหญ่เป็นจำเลยที่ศาลจังหวัดลำปาง โตจำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ทั้งสองต่างเรียกร้องค่าเสียหายเป็นคนละส่วนแยกต่างหากจากกัน จึงไม่มีอำนาจฟ้องรวมกันมาในคดีเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดลำปาง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลที่จังหวัดลำปาง ศาลที่จังหวัดลำปางรับฟ้องของโจทก์ทั้งสองไว้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 4 “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)    คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

มาตรา 5 “คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้

มาตรา 59 “บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี แต่ห้ามมิให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ หรือได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ ดังนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกันเพียงเท่าที่จะกล่าวต่อไปนี้…

วินิจฉัย

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่น้อยและนิดได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดของโต ถือว่าน้อยและนิดมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ดังนั้นน้อยและนิดจึงเป็นโจทก์ร่วมกันฟ้องโตและใหญ่เป็นจำเลยร่วมกันได้ เพราะโตและใหญ่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีเช่นเดียวกันตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59

          โดยปกติการฟ้องคดีนั้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) โจทก์จะต้องฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น แต่ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5 ได้บัญญัติไว้ว่าคำฟ้องซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคล หรือเพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันโจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลใดศาลหนึ่งก็ได้

          ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ การที่โตมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดลำปาง แต่ใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อโตและใหญ่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี คือมีมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน น้อยและนิดในฐานะโจทก์ร่วมจึงสามารถเสนอคำฟ้องต่อศาลใดศาลหนึ่งก็ได้ กล่าวคือน้อยและนิดโจทก์ร่วมสามารถฟ้องโตและใหญ่ต่อศาลที่จังหวัดลำปางหรือที่จังหวัดเชียงใหม่ก็ได้ ดังนั้นการที่น้อยและนิดร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องโตและใหญ่เป็นจำเลยที่ศาลจังหวัดลำปาง และการที่ศาลจังหวัดลำปางได้รับฟ้องของโจทก์ทั้งสองไว้จึงชอบด้วยกฎหมาย ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. คดีแพ่งโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่า จำเลยเป็นลูกหนี้เงินกู้โจทก์ จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ นายเอกเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมพร้อมกับยื่นคำให้การเข้ามาว่าฟ้องโจทก์ก็เคลือบคลุม และหนี้กู้ยืมระงับไปโดยการแปลงหนี้ใหม่ ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นายเอกเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ และสั่งรับคำให้การของจำเลยร่วม ส่วนจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่าผู้ร้องสมัครใจเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง ดังนี้ คำแถลงคัดค้านของโจทก์ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(2)    ด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตาม คู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย

มาตรา 58 วรรคสอง ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดที่ได้เป็นคู่ความตามอนุมาตรา (2) แห่งมาตราก่อนใช้สิทธิอย่างอื่น นอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้องสอด และห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิม และให้ผู้ร้องสอดเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันเกิดแต่การที่ร้องสอด แต่ถ้าศาลได้อนุญาตให้เข้าแทนที่โจทก์หรือจำเลยเดิม ผู้ร้องสอดจึงมีฐานเสมอด้วยคู่ความที่ตนเข้าแทน

วินิจฉัย

          การที่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความได้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความด้วยความสมัครใจเองตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) นั้น มาตรา 58 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดนั้นใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความที่ตนขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม และจะใช้สิทธิขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่บทบัญญัติต้องห้ามดังกล่าว จะต้องพิจารณาในขณะที่ผู้นั้นเข้าเป็นคู่ความร่วมว่าคู่ความเดิมมิสิทธิอย่างไร และได้ใช้สิทธิไว้ก่อนหรือไม่อย่างไรด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกได้ยื่นคำร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วมพร้อมกับคำให้การเข้ามาก่อนที่จะครบกำหนดระยะเวลาที่จำเลยจะยื่นคำให้การและจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายเอกผู้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงต้องถือว่าจำเลยร่วมได้ใช้สิทธิของจำเลยที่มีอยู่ขณะที่ตนร้องสอดเข้ามา และเมื่อปรากฏต่อศาลว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงไม่มีกรณีที่จะถือว่าข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยร่วมเป็นไปในทางที่ขัดกับสิทธิของจำเลยเดิมแต่อย่างใด ดังนั้นคำแถลงคัดค้านของโจทก์ที่ว่า เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยร่วมจะยื่นคำให้การไม่ได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58 วรรคสอง นั้นจึงฟังไม่ขึ้น

          สรุป คำแถลงคัดค้านของโจทก์ ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองดำเนินการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ ที่มีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ครองครอง โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์และเป็นที่ดินมรดกของนายไพรัชสามีโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทน การแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองให้การว่าซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายช่วยเจ้าของเดิมขอให้ยกฟ้อง ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนายช่วงเคยฟ้องขับไล่นายไพรัชสามีโจทก์ออกจากที่ดินพิพาทศาลในคดีนั้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายช่วง ห้ามโจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยว ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ซื้อที่ดินพิพาทแปลงนี้จากนายช่วง จำเลยทั้งสองในคดีนี้ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ท่านเห็นว่า คดีนี้ศาลจะสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำร้องของจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 24 “เมื่อคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้าง ซึ่งถ้าหากได้วินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายนั้นแล้ว จะไม่ต้องมีการพิจารณาคดีต่อไปอีก หรือไม่ต้องพิจารณาประเด็นสำคัญแห่งคดีบางข้อ หรือถึงแม้จะดำเนินการพิจาณาประเด็นข้อสำคัญแห่งคดีไปก็ไม่ทำให้ได้ความขัดขึ้นอีกแล้ว เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ ให้ศาลมีอำนาจที่จะมีคำสั่งให้มีผลว่าก่อนดำเนินการพิจารณาต่อไป ศาลจะได้พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายเช่นว่านี้ แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหานั้น

          ถ้าศาลเห็นว่า คำวินิจฉัยชี้ขาดเช่นว่านี้จะทำให้คดีเสร็จไปได้ทั้งเรื่อง หรือเฉพาะแต่ประเด็นแห่งคดีบางข้อ ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่กล่าวแล้ว และพิพากษาคดีเรื่องนั้น หรือเฉพาะแต่ประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยคำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับเดียวกันก็ได้

          มาตรา 145 วรรคแรก ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกา และการพิจารณาใหม่ คำพิพากษาหรือคำสั่งใดๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย ถ้าหากมี

          มาตรา 148 “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน…

          วินิจฉัย

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของโจทก์และเป็นที่ดินมรดกของนายไพรัชสามีโจทก์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสามีโจทก์เคยถูกฟ้องเป็นจำเลย และศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายช่วงโดยห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพาท คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ คือนายช่วงและสามีโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความเดิม รวมทั้งยังผูกพันผู้สืบสิทธิของคู่ความเดิมด้วยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก ซึ่งโจทก์ในคดีนี้ก็คือ ผู้สืบสิทธิของสามีโจทก์ในคดีเดิม และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายช่วง จึงถือว่าเป็นผู้สืบสิทธิมาจากนายช่วงคู่ความในคดีเดิมด้วย

          และเมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองให้การว่าซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายช่วงเจ้าของเดิมประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า โจทก์หรือจำเลยทั้งสองใครเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีเดิม ดังนั้นฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148 ศาลต้องยกฟ้องโจทก์ในคดีนี้ (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 7542/2548)

          แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อจำเลยทั้งสองในคดีนี้ร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย และเพื่อยุติประเด็นข้อพิพาทในคดี ศาลย่อมมีอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 24

          สรุป ศาลมีอำนาจในการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายได้ และต้องยกฟ้องโจทก์ในคดีนี้ เพราะเป็นฟ้องซ้ำ

 

ข้อ 4. โจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้ยืมจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในวันที่ 1สิงหาคม 2553 จำเลยมาศาลในวันที่ 13 สิงหาคม 2553 และแถลงยอมรับต่อศาลว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง ศาลได้บันทึกคำแถลงของจำเลยไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา เมื่อครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 16 สิงหาคม 2553 จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การตามแบบพิมพ์ของศาล ศาลได้กำหนดนัดวันสืบพยานโจทก์ในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยมาศาล แต่ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์โดยไม่สืบพยานโจทก์ ท่านเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 198 วรรคแรกและวรรคสอง ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้โจทก์มีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การสิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด

          ถ้าโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

          วินิจฉัย

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย และจำเลยได้มาศาลและแถลงยอมรับต่อศาลว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง ซึ่งศาลได้บันทึกคำแถลงของจำเลยไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ดังนี้ ยังถือไม่ได้รายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าว เป็นคำให้การของจำเลย ดังนั้นเมื่อครบกำหนดยื่นคำให้การ จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด  จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

          ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 วรรคแรก ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องมีคำขอต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การสิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี ซึ่งในกรณีนี้แม้จำเลยจะแถลงยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง และศาลชั้นต้นสามารถพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องทำการสืบพยานอีกต่อไป ก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องมีคำขอตามบทบัญญัติดังกล่าว  ดังนั้นเมื่อโจทก์มิได้มีคำขอ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง (ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2548)

                   สรุป คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์โดยไม่สืบพยานโจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมาย

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องสุขใจเป็นจำเลยให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีที่โจลูกจ้างของสุขใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างโดยโจทก์มิได้ฟ้องโจเป็นจำเลย ต่อมาโจทก์ทราบว่าโจเป็นลูกจ้างของสดใส จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกสดใสเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมให้เรียกสดใสเข้ามาเป็นจำเลยร่วม แล้วโจทก์ก็ได้ขอถอนฟ้องสุขใจ สดใสให้การต่อสู้ว่า กรณีที่โจกท์ขอให้ศาลเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยร่วมกับจำเลยไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของสดใสรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(3) ด้วยการถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี

(ก) ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี หรือ

(ข) โดยคำสั่งของศาล เมื่อศาลนั้นเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอในกรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดี หรือศาลเห็นจำเป็นที่จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม…

มาตรา 59 “บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี แต่ห้ามมิให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ หรือได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ดังนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกันเพียงเท่าที่จะกล่าวต่อไปนี้…

วินิจฉัย

          การร้องสอดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(3) กฎหมายให้สิทธิแก่คู่ความที่จะขอต่อศาลให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีได้ แต่ในกรณีที่โจทก์ฟ้องผิดตัว โจทก์จะขอให้ศาลหมายเรียกผู้ต้องรับผิดที่แท้จริงเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรานี้ไม่ได้ ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ เพราะบุคคลดังกล่าวไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีที่จะเป็นจำเลยร่วมกันได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59

          กรณีตามอุทาหรณ์ ข้อต่อสู้ของสดใสรับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องสุขใจเป็นจำเลยให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีที่โจกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยเข้าใจว่าสุขใจเป็นนายจ้างของโจนั้น ถือเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยผิดตัว เมื่อตามโจทก์ทราบว่าโจเป็นลูกจ้างของสดใสโจทก์ก็ชอบที่จะขอถอนฟ้องสุขใจ และฟ้องสดใสเป็นคดีใหม่ ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกสดใสเข้ามาเป็นจำเลยร่วมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะสุขใจกับสดใสไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีที่จะเป็นจำเลยร่วมกันได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59 กรณีจึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะขอให้ศาลหมายเรียกสดใสเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(3) (คำพิพากษาฎีกาที่ 1702/2525) ดังนั้น ข้อต่อสู้ของสดใสดังกล่าวจึงรับฟังได้

          สรุป ข้อต่อสู้ของสดใสรับฟังได้

 

ข้อ 2. โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา โดยอ้างเหตุหย่าตามกฎหมายหลายประการ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าไม่มีเหตุหย่า โจทก์กับจำเลยมีสินสมรสเป็นที่ดินหนึ่งแปลง ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยครึ่งหนึ่ง ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 117 วรรคสาม จำเลยจะฟ้องแย้งมาในคำให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก

          มาตรา 179 วรรคท้าย แต่ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายใดเสนอคำฟ้องใดต่อศาล ไม่ว่าโดยวิธีฟ้องเพิ่มเติมหรือฟ้องแย้ง ภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องเดิมต่อศาลแล้ว เว้นแต่คำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังนี้จะเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

          วินิจฉัย

          การที่จำเลยจะฟ้องแย้งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 177 วรรคท้าย จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์สำคัญ 3 ประการดังต่อไปนี้ คือ

1.       ต้องมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่

2.       ต้องมีฟ้องเดิม

3.       ฟ้องแย้งนั้นต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิม และจะต้องไม่เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข

ฟ้องแย้งมีเงื่อนไข หมายความว่า การที่ศาลจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าศาลจะพิพากษาคดีอย่างไร หากศาลเห็นว่าคำให้การของจำเลยฟังได้ศาลก็พิพากษายกฟ้องโจทก์ไปโดยไม่ต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลยอีก แต่หากศาลเห็นว่าคำให้การของจำเลยฟังไม่ได้ศาลจึงจะพิจารณาในส่วนของฟ้องแย้งต่อไป

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยโดยอ้างเหตุหย่าตามกฎหมาย และจำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าไม่มีเหตุหย่า ขอให้โจทก์แบ่งที่ดินที่เป็นสินสมรสให้จำเลยครึ่งหนึ่งนั้น ดังนี้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่มีเหตุหย่า ประเด็นพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยจึงมีว่ามีเหตุหย่าตามฟ้องหรือไม่ ถ้าปรากฏว่าไม่มีเหตุหย่าศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาตามฟ้องแย้งของจำเลยอีก ดังนั้น เมื่อศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดคดี ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงถือเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย

          สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย

 

ข้อ 3. เด่นเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ดอนเป็นจำเลยให้รื้อถอนโรงเรียน และให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ ดอนให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ ในวันนัดสืบพยาน โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนไม่มาศาล มาแต่จำเลย จำเลยแถลงขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ไม่มีพยานมาสืบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ปรากฏว่า ดอนยังคงอยู่ในโรงเรียน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตที่ดินพิพาท เด่นมาฟ้องขับไล่ดอนเป็นคดีหลัง ขอให้ขับไล่ดอนและรื้อโรงเรือนออกไป จากที่ดินของโจทก์อีกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 148 “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน…

          วินิจฉัย

          การฟ้องซ้ำมีบัญญัติไว้ในมาตรา 148 ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

1.       คดีนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว

2.       คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะต้องถึงที่สุด

3.       ห้ามคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก

4.       ห้ามเฉพาะประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว

5.       ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุใด ก็ห้ามฟ้องเฉพาะอ้างเหตุนั้นอีก

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่าฟ้องของเด่นในคดีหลังเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่าการที่เด่นเป็นโจทก์ในคดีแรกฟ้องขับไล่ดอนเป็นจำเลยให้รื้อถอนโรงเรือน และให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ไม่มีพยานมาสืบ กรณีจึงถือว่าศาลได้วินิจฉัยในประเด็นอันเป็นเนื้อหาแห่งคดีแล้วว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์

          เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เด่นมาฟ้องขับไล่ดอนเป็นคดีหลัง ขอให้ขับไล่ดอนและให้ดอนรื้อโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์อีก ดังนี้ เมื่อคดีนี้และคดีก่อนเป็นคู่ความเดียวกัน และการที่เด่นฟ้องคดีนี้ศาลจะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุว่าที่ดินพิพาทเป็นของเด่นหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วในคดีก่อน กล่าวคือ หากข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของเด่น ศาลจึงจะพิพากษาให้ขับไล่ดอนและรื้อโรงเรือนออกไปจากที่ดินของเด่นได้ ดังนั้น ฟ้องของเด่นในคดีหลังนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความรื้อร้องฟ้องกันอีกตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148

        สรุป เด่นจะมาฟ้องขับไล่ดอนเป็นคดีหลัง ขอให้ขับไล่ดอนและรื้อโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์อีกไม่ได้ เพราะเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148

 

ข้อ 4 คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าจำเลยจุดไฟเผาหญ้าและใบไม้ในที่ดินของจำเลย และไฟได้ลุกลามมาไหม้ต้นยางพาราในที่ดินของโจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่ได้สืบพยานโจทก์ไปฝายเดียวก่อน ดังนี้ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

        หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 198 วรรคแรก ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้โจทก์มีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด

          มาตรา 198 ทวิ วรรคแรกและวรรคสอง “ ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้

          เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้ แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลสิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

          วินิจฉัย

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลย แต่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ นั้น เป็นการดำเนินการตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 วรรคแรก และถ้าศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลอาจมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีก็ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคแรก

          แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าจำเลยจุดไฟเผาหญ้าและใบไม้ในที่ดินของจำเลย และไฟได้ลุกลามมาไหม้ต้นยางพาราในที่ดินของโจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย อันถือว่าเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นเมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 วรรคแรก กรณีดังกล่าวจึงต้องอยู่ในบังคับของมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง คือ ศาลจะต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วจึงจะมีคำพิพากษาได้ แต่ตามข้อเท็จจริง ศาลพิเคราะห์แต่เพียงว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย แล้วพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดี โดยไม่มีการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวก่อน คำพิพากษาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

          สรุป การดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลอาคารชุดให้เปิดทางจำเป็น คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลย โดยอ้างในคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทางเข้าออกพิพาท ตลอดจนสถานที่ต่างๆ ในสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของจำเลยอันเป็นทรัพย์สินส่วนกลาง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องสอดของผู้ร้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)   ด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตาม คู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการ เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย

        วินิจฉัย

        การร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) ผู้ร้องสอดจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น ซึ่งหมายถึง จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาคดีนั้นโดยตรงหรือผลของคดีตามกฎหมายจะมีผลไปถึงตนด้วยนั่นเอง

        กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลอาคารชุดให้เปิดทางจำเป็นนั้น แม้ว่าผู้ร้องจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทางเข้าออกพิพาท ตลอดจนสถานที่ต่างๆในสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของจำเลยอันเป็นทรัพย์สินส่วนกลางก็ตาม แต่ผู้ร้องไม่มีอำนาจจัดการใดๆ เกี่ยวกับอาคารชุดดังกล่าวตาม พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. 2552 เพราะเป็นเพียงเจ้าของห้องชุดเท่านั้น ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) ดังนั้น ผู้ร้องจึงร้องสอดเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยไม่ได้

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับคำร้องสอดของผู้ร้อง

 

ข้อ 2. อุดรมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศเยอรมนีได้รู้จักกับพอลชาวอเมริกันมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศเยอรมนี อุดรได้ขอยืมเงินพอล และทำหลักฐานการกู้ยืมเงินที่ประเทศเยอรมนี โดยมีจอห์นชาวอังกฤษมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศเยอรมนีเพื่อนของอุดรเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ที่เยอรมนีและมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดหนองคายได้นำที่ดินตั้งอยู่ที่จังหวัดหนองคายมาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งจอห์นและอุทิศขอรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ดังนี้ ถ้าอุดรผิดนัดชำระหนี้พอลประสงค์จะฟ้องอุดรให้รับผิดตามหลักฐานการกู้ยืม ฟ้องจอห์นให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและฟ้องบังคับจำนองอุทิศ พอลจะเสนอคำฟ้องต่อศาลไทยได้ที่ศาลใด และจะฟ้องทั้งสามให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวต่อศาลเดียวกันได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)   คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่” 

มาตรา 4 ตรี คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลแพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร  โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขาศาลก็ได้

มาตรา 4 ทวิ คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

มาตรา 5 “คำฟ้องหรือคำร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะภูมิลำเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคำฟ้องหรือคำร้องขอศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณากรณีของอุดร ตามกฎหมายนั้น การฟ้องเรียกหนี้เหนือบุคคลต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลย มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) จากข้อเท็จจริง การที่อุดรกู้เงินจากพอลโดยทำสัญญาการกู้ยืมเงินกันที่ประเทศเยอรมนีนั้น ย่อมถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่าอุดรมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น พอลจึงต้องฟ้องอุดรให้รับผิดตามหลักฐานการกู้ยืมต่อศาลจังหวัดขอนแก่นที่อุดรมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1)

กรณีของจอห์น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ตรีนั้น การฟ้องเรียกหนี้เหนือบุคคลซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรให้ฟ้องต่อศาลแพ่งหรือต่อศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล จากข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าจอห์นจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ประเทศเยอรมนีและมูลคดีตามสัญญาค้ำประกันก็เกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี อีกทั้งพอลโจทก์ก็มิได้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) และมาตรา 4 ตรี ดังนั้น พอลจึงฟ้องจอห์นต่อศาลไทยไม่ได้

กรณีของอุทิศ  คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายกำหนดให้ฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ทวิจากข้อเท็จจริง การที่พอลประสงค์จะฟ้องบังคับจำนองที่ดินของอุทิศนั้น ถือเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์เพราะเป็นการบังคับเอากับตัวทรัพย์โดยตรง ดังนั้น พอลจึงต้องฟ้องบังคับจำนองอุทิศที่ศาลจังหวัดหนองคายอันเป็นศาลที่อสังหาริมทรัพย์คือที่ดินนั้นตั้งอยู่ในเขตศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ทวิ

และเมื่อปรากฏว่ามูลคดีของอุดรและมูลคดีของอุทิศมีความเกี่ยวข้องกัน กล่าวคือ พอลประสงค์จะฟ้องอุดรให้รับผิดในมูล

คดีกู้ยืมเงิน  และฟ้องอุทิศให้รับผิดในมูลคดีจำนอง ซึ่งในกรณีดังกล่าว หากอุดรชำระหนี้เงินกู้ตามนัดแล้วอุทิศก็คงจะไม่ต้องถูกฟ้องบังคับจำนอง ดังนั้น เมื่อมูลความแห่งคดีมีความเกี่ยวข้องกัน พอลจึงสามารถฟ้องทั้งอุดรและอุทิศให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้ต่อศาลเดียวกันได้ โดยฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นหรือศาลจังหวัดหนองคายศาลใดศาลหนึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5

                        สรุป พอลฟ้องอุดรได้ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น และฟ้องอุทิศได้ที่ศาลจังหวัดหนองคาย แต่จะฟ้องจอห์นต่อศาลไทยไม่ได้ และพอลสามารถฟ้องทั้งอุดรและอุทิศต่อศาลเดียวกันได้ โดยฟ้องต่อศาลจังหวัดขอนแก่นหรือต่อศาลจังหวัดหนองคายศาลใดศาลหนึ่ง

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องจำเลยว่าทางพิพาทเป็นการภาระจำยอมและทางจำเป็น  ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยตกลงให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าที่ดินตกอยู่ในภาระจำยอมหรือไม่ ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอ้างว่าทางพิพาทไม่เป็นภาระจำยอม คดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีหลังนี้อ้างว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำฟ้องคดีหลังของโจทก์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธพิจารณาความแพ่ง

        มาตรา 148 “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน…

        วินิจฉัย

        การฟ้องซ้ำมีบัญญัติไว้ในมาตรา 148 ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

1.     คดีนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว

2.     คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะต้องถึงที่สุด

3.     ห้ามคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก

4.     ห้ามเฉพาะประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว

5.     ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุใด ก็ห้ามฟ้องเฉพาะอ้างเหตุนั้นอีก

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าฟ้องของโจทก์ในคดีหลังเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีก่อนโดยอ้างว่าทางพิพาทไม่เป็นภาระจำยอมนั้น ถือว่าศาลได้วินิจฉัยในประเด็นอันเป็นเนื้อหาแห่งคดีแต่เพียงว่าทางพิพาทไม่เป็นภาระจำยอม ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีหลังนี้โดยอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ซึ่งเป็นกระเด็นที่โจทก์และจำเลยได้สละไปแล้วในคดีก่อน และศาลยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148 ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับฟ้องคดีหลังของโจทก์

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับฟ้องคดีหลังของโจทก์

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินมีกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยไม่สุจริต ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ได้มีคำขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้วมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย และเห็นว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์จึงสั่งโจทก์นำพยานเข้าสืบ ระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยมาศาลและแจ้งต่อศาลว่าจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดีขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นไปโดยจงใจ และไม่มีเหตุอันสมควรจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและดำเนินการสืบพยานโจทก์ ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษานั้น ดังนี้ จำเลยจะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                มาตรา 199 “ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีและแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

                ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การมิได้แจ้งต่อศาลก็ดี หรือศาลเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การนั้นเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรก็ดี ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปในกรณีเช่นนี้จำเลยอาจถามค้านพยานโจทก์ที่อยู่ระหว่างการสืบได้ แต่จะนำสืบพยานหลักฐานของตนไม่ได้

                ในกรณีที่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง หรือศาลไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามวรรคสอง หรือศาลเคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ ตามคำขอของจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การตาม มาตรา 199 ตรี มาก่อน จำเลยนั้นจะขอยื่นคำให้การตามมาตรานี้อีกหรือจะร้องพิจารณาคดีใหม่ไม่ได้

                มาตรา 199 ตรี จำเลยซึ่งศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้แพ้คดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การถ้ามิได้ ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น จำเลยนั้นอาจมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ เว้นแต่

(2)   คำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นต้องห้ามตามกฎหมาย

        วินิจฉัย

        กรณีตามอุทาหรณ์ จำเลยจะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมายบุคคลที่มีสิทธิยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ จะต้องเป็นจำเลยซึ่งศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้แพ้คดีโดยขาดนัดโดยจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การดังกล่าวมิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การดังกล่าวจะต้องไม่ต้องห้ามตามกฎหมายด้วยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 199 ตรี (2) และมาตรา 199 วรรคสาม

        ตามข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 199 วรรคสองนั้นย่อมทำให้จำเลยจะขอยื่นคำให้การอีกหรือจะขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 199 วรรคสาม

        ดังนั้น เมื่อต่อศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี และแม้ว่าจำเลยจะมิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษานั้นก็ตาม จำเลยจะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ เพราะถือว่าคำขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นต้องห้ามกฎหมายตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 199 ตรี (2) ประกอบมาตรา 199 วรรคสาม

                สรุป  จำเลยจะมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้

LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005  กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. พอลเป็นคนสัญชาติอเมริกัน เข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยแต่งงานกับสมใจคนไทยอยู่กินกันที่จังหวัดอุดรธานี พอลได้กู้เงินจากเจมส์คนสัญชาติอังกฤษห้าแสนบาทโดยทำสัญญากู้ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 กันที่ประเทศลาว ต่อมาพอลเดินทางไปต่างประเทศพร้อมเจมส์โดยอากาศยานไทย ขณะที่อากาศยานไทยบินอยู่เหนือน่านฟ้าประเทศญี่ปุ่น พอลกับเจมส์เกิดโต้เถียงกันเรื่องเงินกู้ พอลทำร้ายร่างกายเจมส์ได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นพอลได้ย้ายภูมิลำเนากลับไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและผิดนัดไม่ชำระเงินกู้ ดังนี้ เจมส์ประสงค์จะยื่นฟ้องพอลในวันที่ 26 กันยายน 2554 ขอให้พอลชำระเงินกู้คดีหนึ่ง และให้ใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดอีกคดีหนึ่ง เจมส์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลไทย ศาลใดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 3 “เพื่อประโยชน์ในการเสนอคำฟ้อง

(1)     ในกรณีที่มูลคดีเกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทยที่อยู่นอกราชอาณาจักร ให้ศาลแพ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ

(2)     ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร

(ก)     ถ้าจำเลยเคยมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ใดในราชอาณาจักรภายในกำหนดสองปีก่อนวันที่มีการเสนอคำฟ้อง ให้ถือว่าที่นั้นเป็นภูมิลำเนาของจำเลย

มาตรา 4 “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1)     คำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่จะต้องวินิจฉัย คือ เจมส์จะยื่นฟ้องพอลให้ชำระเงินกู้ในวันที่ 26 กันยายน 2554 เจมส์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลไทยศาลใด เห็นว่า ตามกฎหมายนั้น การฟ้องเรียกหนี้เหนือบุคคลต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) ซึ่งคำว่า มูลคดี” ก็หมายถึง ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันทำให้เกิดอำนาจฟ้องนั่นเอง

ตามข้อเท็จจริง การที่พอลกู้เงินจากเจมส์โดยทำสัญญากู้กันที่ประเทศลาวนั้น ย่อมถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นที่ประเทศลาว และขณะที่เจมส์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องขอให้พอลชำระหนี้เงินกู้ พอลไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย เนื่องจากพอลได้ย้ายภูมิลำเนากลับไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าพอลเคยเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและแต่งงานกับสมใจคนไทยอยู่กินกันที่จังหวัดอุดรธานี ย่อมถือว่าพอลเคยมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยมาก่อน และเป็นระยะเวลาภายใน 2 ปีก่อนที่เจมส์จะเสนอคำฟ้อง ดังนั้น เจมส์จึงยื่นฟ้องขอให้พอลชำระเงินกู้ต่อศาลจังหวัดอุดรธานีที่พอลเคยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) ประกอบมาตรา 3(2)(ก)

ส่วนประเด็นที่สองที่ต้องวินิจฉัย คือ เจมส์จะยื่นฟ้องพอลให้ใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดเจมส์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลไทยศาลใด เห็นว่า การที่พอลทำร้ายร่างกายเจมส์จนได้รับบาดเจ็บอันถือเป็นการกระทำละเมิดในอากาศยานไทยนั้น ได้เกิดขึ้นในขณะที่อากาศยานไทยบินอยู่เหนือน่านฟ้าประเทศญี่ปุ่น จึงถือว่ามูลคดีนี้เกิดขึ้นในอากาศยานไทยที่อยู่นอกราชอาณาจักร ดังนั้น เจมส์จึงสามารถยื่นฟ้องพอลได้ที่ศาลแพ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4(1) ประกอบมาตรา 3(1)

สรุป คดีที่เจมส์จะฟ้องขอให้พอลชำระเงินกู้นั้น เจมส์จะต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ส่วนคดีที่เจมส์จะฟ้องพอลให้ใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด เจมส์จะต้องเสนอคำฟ้องต่อศาลแพ่ง

 

ข้อ 2.  โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยบุกรุกที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่สุจริต จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยซึ่งได้รับการยกให้จากมารดา ขอให้ยกฟ้อง ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากจำเลยและเข้าครอบครองตลอดมา ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์และจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดได้เข้าเป็นคู่ความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(1) ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ของจำเลย และผู้ร้องสอดให้ขับไล่จำเลย และผู้ร้องสอดออกจากที่ดินพิพาทและยกคำร้องสอด ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นจำเลยด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษานอกฟ้องและเกินคำขอ ดังนี้ อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1) ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

มาตรา 58 วรรคแรก ผู้ร้องสอดที่ได้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แห่งมาตราก่อนนี้ มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้อเป็นคดีเรื่องใหม่ ซึ่งโดยเฉพาะผู้ร้องสอดอาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดง คัดค้านเอกสารที่ได้ยื่นไว้ ถามค้านพยานที่ได้สืบมาแล้ว และคัดค้านพยานหลักฐานที่ได้สืบไปแล้วก่อนที่ตนได้ร้องสอด อาจอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และอาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม

มาตรา 142 “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือคำสั่งให้สิ่งใดๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง…

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย โดยระบุในคำร้องว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากจำเลยและเข้าครอบครองตลอดมา ที่ดินไม่ใช่ของโจทก์และจำเลยนั้น ถือเป็นการร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(1) เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดได้เข้ามาเป็นคู่ความแล้ว ผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 58 วรรคแรก

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่ของจำเลยและผุ้ร้องสอด ให้ขับไล่จำเลยและผู้ร้องสอดออกจากที่ดินพิพาทและยกคำร้องสอด ดังนี้ แม้โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องสอดด้วยก็ตาม แต่โจทก์ได้มีคำขอให้ขับไล่จำเลยแล้ว ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาขับไล่ผู้ร้องสอดได้ โดยถือเสมือนว่าผู้ร้องสอดถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(1) ประกอบมาตรา 58 วรรคแรก คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถือว่านอกฟ้อง และเกินคำขอตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 142 ดังนั้น อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดที่ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้ร้องสอดเป็นจำเลยด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษานอกฟ้อง และเกินคำขอจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 3 โจทก์ฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้แทนสมชายผู้กู้ จำเลยให้การว่า สมชายไม่เคยทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ สัญญากู้เป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รอฟังผลคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องสมชายเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมาศาลชั้นต้นในคดีที่โจทก์ฟ้องสมชายเป็นจำเลยได้มีคำพิพากษาว่าสมชายได้กู้เงินโจทก์ไปจริงผิดนัดชำระหนี้คืนโจทก์ ให้สมชายชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ของสมชายอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะรับฟ้องของโจทก์ในคดีหลังนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 1 “ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(8) การพิจารณา” หมายความว่า กระบวนพิจารณาทั้งหมดในศาลใดศาลหนึ่ง ก่อนศาลนั้นชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดีโดยคำพิพากษาหรือคำสั่ง

มาตรา 39 “ถ้าการที่จะชี้ขาดตัดสินคดีเรื่องใดที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดจำต้องอาศัยทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งคำชี้ขาดตัดสินบางข้อที่ศาลนั้นเองหรือศาลอื่นจะต้องกระทำเสียก่อน หรือจำต้องรอให้เจ้าพนักงานฝ่ายธุรการวินิจฉัยชี้ขาดในข้อเช่นนั้นเสียก่อน หรือถ้าปรากฏว่าได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้นซึ่งอาจมีการฟ้องร้องอันอาจกระทำให้การชี้ขาดตัดสินคดีที่พิจารณาอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไป หรือในกรณีอื่นใด ซึ่งศาลเห็นว่าถ้าได้เลื่อนการพิจารณาไปจักทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอ ศาลจะมีคำสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณาต่อไปจนกว่าจะได้มีการพิพากษาหรือชี้ขาดในข้อนั้นๆ แล้วหรือภายในระยะเวลาใดๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้

ถ้าศาลมีคำสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณาดังกล่าวแล้วโดยไม่มีกำหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอ ศาลจะมีคำสั่งให้เริ่มการนั่งพิจารณาต่อไปในวันใดๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้

มาตรา 132 “ให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ โดยไม่ต้องมีคำวินิจฉัยขี้ขาดในประเด็นเรื่องนั้น และให้กำหนดเงื่อนไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควร…

มาตรา 173วรรคสอง นับแต่เวลาที่ได้ยื่นฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และผลแห่งการนี้

(1)     ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นและ…

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การฟ้องซ้อนมีบัญญัติไว้ในมาตรา 173 วรรคสอง(1) ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้

1.       คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือ ศาลฎีกา

2.       คู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีเดิมและคดีหลังจะต้องเป็นคู่ความเดียวกัน

3.       คดีเดิมกับคดีหลังต้องเป็นเรื่องเดียวกัน

4.       ห้ามโจทก์ฟ้อง

5.       ในศาลเดียวกันหรือศาลอื่น

          กรณีตามอุทาหรณ์ ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะรับฟ้องของโจทก์ในคดีหลังนี้หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยผู้ค้ำประกันถูกโจทก์ฟ้องให้ชำระหนี้เงินกู้แทนสมชายผู้กู้ และได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รอฟังผลคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องสมชายผู้กู้เป็นจำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของจำเลยชั่วคราวนั้น ถือเป็นกรณีที่คู่ความร้องขอให้ศาลชั้นต้นรอฟังผลของคำพิพากษาในคดีอื่น เพื่ออาศัยเป็นหลักในการชี้ขาดตัดสินคดีนี้ อันเป็นการร้องขอให้ศาลเลื่อนการนั่งพิจารณาไปตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 39 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของจำเลยชั่วคราวจึงมีผลเท่ากับมีคำสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณาไปนั่นเอง หามใช่การสั่งจำหน่ายคดีเสียจากระบบความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 132 ที่จะมีผลทำให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปจากศาลไม่คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 1(18) ที่บัญญัติให้ การพิจารณา” หมายความว่า กระบวนการพิจารณาทั้งหมดในศาลใดศาลหนึ่ง ก่อนศาลนั้นชี้ขาดตัดสินคดีหรือจำหน่ายคดีเสียจากระบบความ ซึ่งกรณีนี้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้เริ่มการนั่งพิจารณาคดีต่อไปในวันใดๆตามที่เห็นสมควรก็ได้ เนื่องจากเป็นการเลื่อนการนั่งพิจารณาโดยไม่มีกำหนด (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 39 วรรคสอง)

ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยคู่ความเดิมในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ของสมชายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีประเด็นอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1) ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกฟ้องของโจทก์ในคดีหลังนี้

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกฟ้องของโจทก์ในคดีหลังนี้

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าหนี้ระงับแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานและแจ้งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายทราบวันนัดแล้ว และสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่มาศาล ศาลเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา จึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ในวันเดียวกันนั้นโจทก์มาศาลและยื่นคำร้องว่าเหตุที่โจทก์มาศาลช้าเนื่องจากน้ำท่วมถนน รถไม่สามารถแล่นผ่านได้ โจทก์ไม่จงใจขาดนัด ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปหรือขอให้นัดสืบพยานจำเลยต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีไปแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องสืบพยานต่อไป ให้ยกคำร้อง ดังนี้ คำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 200 วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา 198 ทวิ และมาตรา 198 ตรี ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา

มาตรา 201 “ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

มาตรา 206 วรรคสาม ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณามาศาลภายหลังที่เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้ว และแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะดำเนินคดีเมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดพิจารณานั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร และศาลไม่เคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของคู่ความฝ่ายนั้นมาก่อนตามมาตรา 199 ตรี ซึ่งให้นำมาใช้บังคับกับการขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 207 ด้วย ให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่…

วินิจฉัย

การขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 200 วรรคแรกนั้น หมายความว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณาและหากคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา ศาลก็ต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสรบบความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 201 โดยไม่มีข้อที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณาโดยจงจงหรือไม่จงใจเพราะการขาดนัดโดยจงใจหรือไม่จงใจจะใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะเมื่อมีการพิจารณาฝ่ายเดียว (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 202 และมาตรา 204) และมีการขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 206 วรรคสาม เท่านั้น

                   กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน และศาลเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 201) ย่อมทำให้คดีเสร็จสิ้นไปจากศาล ไม่มีการพิจารณาฝ่ายเดียวอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์มาศาลและยื่นคำร้องว่าเหตุที่โจทก์มาศาลช้าเนื่องจากน้ำท่วมถนน รถไม่สามารถแล่นผ่านได้ โจทก์ไม่จงใจขาดนัด ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปหรือขอให้นัดสืบพยานจำเลยต่อไป ก็คือการขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่นั่นเอง ศาลจึงสามารถยกคำร้องของโจทก์โดยอ้างเหตุว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีไปแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องสืบพยานต่อไปได้ ดังนั้น คำสั่งของศาลที่ให้ออกคำร้องดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องชอบด้วยกฎหมาย

LAW3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.   โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการอาคารชุด และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการที่มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 ให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกสู่สาธารณะ นายเอกเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทางเข้าออกพิพาท ตลอดจนสถานที่ต่าง ๆ ในสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของจำเลยที่ 1 อันเป็นทรัพย์ส่วนกลาง ดังนี้ นายเอกจะร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอดด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตามคู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการ เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย

วินิจฉัย

การร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) ผู้ร้องสอดจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลคดีแห่งนั้น ซึ่งหมายถึง จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาคดีนั้นโดยตรงหรือผลของคดีตามกฎหมายจะมีผลไปถึงตนด้วยนั่นเอง       

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการอาคารชุดและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการที่มีอำนาจกระทำการแทนที่จำเลยที่ 1 ให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะนั้น เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 กระทำการหรืองเว้นกระทำการในที่ดินของจำเลยที่ 1 เพื่อประโยชน์ ของที่ดินโจทก์ ดังนี้แม้นายเอกจะมีกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทางเข้าออกพิพาท ตลอดจนสถานที่ต่าง ๆ ในสิ่งปลูกสร้างและที่ดินของจำเลยที่ 1 แต่นายเอกหาได้มีหน้าที่ต้องกระทำการหรืองดเว้นกระทำการใด ๆ ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ เพราะนายเอกไม่มีอำนาจจัดการใด ๆ เกี่ยวกับอาคารชุดดังกล่าวตาม พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ.2522 และถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี นายเอกก็ไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลคดีแห่งนั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57 (2) ดังนั้น นายเอกจะร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ไม่ได้

สรุป    นายเอกจะร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ไม่ได้

 

ข้อ 2.   โจทก์ฟ้องลูกหนี้เป็นจำเลยที่ 1 และผู้รับโอนเป็นจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 อันเกิดจากฉ้อฉล ต่อมาศาลได้สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเพราะโจทก์ทิ้งฟ้อง ดังนี้ศาลจะพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย            

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 55        เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องให้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 145      ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่า ด้วยการอุทธรณ์ฎีกาและการพิจารณาใหม่ คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมี คำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมี ถึงแม้ศาลจะได้กล่าวไว้โดยทั่วไปว่าให้ใช้คำพิพากษาบังคับแก่ บุคคลภายนอก ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาล ด้วยก็ดี คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก…”

มาตรา 176      การทิ้งคำฟ้องหรือถอนคำฟ้องย่อมลบล้างแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีต่อมาภายหลังยื่นคำฟ้องและทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย แต่ว่าคำฟ้องใด ๆ ที่ได้ทิ้งหรือถอนแล้ว อาจยื่นใหม่ได้ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ย่อมมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาล ที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น กรณีใดหากปรากฏว่าถ้าศาลพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งใดให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์ แล้วจะทำให้กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลย่อมต้องห้าม และศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้

คดีฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 โจทก์ต้องฟ้องลูกหนี้และผู้รับโอนทรัพย์สิน (ผู้ได้ลาภงอก) ศาลจึงจะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยบางคนเพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องนั้น ย่อมทำให้ศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามคำขอของโจทก์ได้เพราะจะมีผลกระทบไปถึงจำเลยที่ศาลได้สั่งจำหน่ายคดีซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 7247/2537 และ 2738/2550)

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อศาลได้สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความเพราะโจทก์ทิ้งฟ้อง ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เข้ามาในคดีเลยก็ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 176 ดังนั้น ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ เพราะการฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย จะฟ้องเพียงคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เพราะผลของคำพิพากษาไม่อาจบังคับแก่บุคคลภายนอกคดีได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 และมาตรา 145 ดังนั้น คดีนี้ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

สรุป ศาลจะพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวไม่ได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง

 

ข้อ 3.   ก.คดีแพ่งโจทก์นำยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 และบ้านของจำเลยที่ 2 นายเก่งและนายหนึ่งยื่นคำร้องขัดทรัพย์รวมมาในคำร้องฉบับเดียวกันโดยผู้ร้องที่ 1 ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินอ้างว่า เป็นเจ้าของ ส่วนผู้ร้องที่ 2 ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์บ้านอ้างว่าเป็นเจ้าของ ดังนี้ผู้ร้องที่ 1

ข.นายจอมและนายแจ้งมีที่ดินติดต่อเป็นแนวเดียวกัน โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์คนละฉบับ นายอ๋องบุกรุกที่ดินทั้งสองแปลง ดังนี้ นายจอมและนายแจ้งจะร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายอ๋องได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                        มาตรา 59 “บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปอาจเป็นคู่ความในคดี เดียวกันได้โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่า บุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี แต่ห้ามมิให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ หรือได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ดั่งนั้นโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้น แทนซึ่งกันและกันเพียงเท่าที่จะกล่าวต่อไปนี้ …

วินิจฉัย

                        ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป อาจเป็นคู่ความ ในคดีเดียวกันได้โดยเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วม ถ้าหากปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี

                        คำว่า ประโยชน์ร่วมกัน” หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือมูลเหตุแห่งคดีเป็นอย่างเดียวกัน เช่นการเป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน การเป็นลูกหนี้ร่วมกัน บุคคลที่กระทำละเมิดร่วมกัน หรือบุคคลซึ่งถูกละเมิดด้วยการละเมิดอันเดียวกัน เป็นต้น และต้องเป็นประโยชน์ร่วมกันตามกฎหมาย และต้องเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน อันเดียวกัน กระทบกระเทือนถึงกันและกัน

                        กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

                        กรณีตาม ก. การที่โจทก์นำยึดที่ดิน 1 แปลงของจำเลยที่ 1 และบ้านของจำเลยที่ 2 นาย เก่ง และนายหนึ่งยื่นคำร้องขัดทรัพย์รวมมาในคำร้องฉบับเดียวกันโดยมีผู้ร้องที่ 1 ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินอ้างว่าเป็นเจ้าของ ส่วนผู้ร้องที่ 2 ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์บ้านอ้างว่าเป็นเจ้าของนั้น ผู้ร้องทั้งสองมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีที่ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ การที่เหตุแห่งคดีเกิดขึ้นในวันเดียวกันหรือเป็นการสะดวกที่จะดำเนินคดีไปพร้อมกัน ก็หาใช่ข้อที่จะแสดงว่าผู้ร้องทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันแต่อย่างใดไม่ เพราะหากศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดก็เป็นทรัพย์คนละประเภทกัน ดังนั้น ผู้ร้องทั้งสองย่อมไม่อาจเป็นคู่ความในคดีเดียวกันได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59 (คำพิพากษาฎีกาที่ 4098/2539)

                        กรณีตาม ข. การที่นายจอมและนายแจ้งมีที่ดินติดต่อกันเป็นแนวเดียวกัน โดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์คนละฉบับ ได้ถูกนายอ๋องบุกรุกที่ดินทั้งสองแปลงนั้น ย่อมถือได้ว่านายจอมและนายแจ้งมีส่วนได้เสียร่วมกันหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีแล้วแล้ว เพราะเมื่อที่ดินที่ถูกนายอ๋องบุกรุกเป็นทรัพย์ประเภทเดียวกัน แม้จะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์คนละฉบับและที่ดินต่างแปลงกัน ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น แต่เมื่อทรัพย์ที่ดินนั้นอยู่ติดต่อเป็นแนวเดียวกันและถูกบุกรุกในวันเวลาเดียวกันจึงถือว่านายจอมและนายแจ้งมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงชอบที่จะเป็นโจทย์ร่วมกันฟ้องขับไล่นายอ๋องรวมกันมาในคดีเดียวกันได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 59 (คำพิพากษาฎีกาที่ 1966/2535)

สรุป ก.ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 เป็นคู่ความในคดีเดียวกันไม่ได้

ข.นายจอมและนายแจ้งจะร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายอ๋องมาในคดีเดียวกันได้

 

ข้อ 4.   โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงินกู้จำนวน  5,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีแล้วส่วนจำเลยที่ 2 ยังอยู่ในระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอ้างเหตุว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ว่าให้โจทก์ส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องแก่ทนายจำเลยที่ 1 ภายใน 5 วัน ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดมิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง เมื่อถึงวันนัดปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้ดำเนินการส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องแก่ทนายจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจึงสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกคำร้องขอถอนฟ้องและให้จำหน่อยคดีออกจากสารบบความ ให้วินิจฉัยว่าคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นในกรณีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย            ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                        มาตรา 174      ในกรณีต่อไปนี้ให้ถือว่าโจทก์ได้ทิ้งฟ้อง คือ โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งแก่โจทก์โดยชอบแล้ว

                        มาตรา 175      ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์อาจถอนคำฟ้องได้โดยยื่นคำบอกกล่าวเป็นหนังสือต่อศาล

                        ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้วโจทก์อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้แต่ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอด ถ้าหากมีก่อน

                        วินิจฉัย

                        ตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงินกู้โดยจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ยังอยู่ในระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ว่า ให้โจทก์ส่งหมายนัด และสำเนาคำร้องแก่ทนายจำเลยที่ 1 ภายใน 5 วัน และถ้าไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและเมื่อถึงวันนัดปรากฏว่าโจทก์ก็ยังมิได้ดำเนินการส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องแก่ทนายจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นจึงสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกคำร้องขอถอนฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ดังนี้คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของจำเลยที่ 1  ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง (1) นั้น การยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเป็นสิทธิของโจทก์

เพียงแต่ถ้าจำเลยยื่นคำให้การแล้วห้ามมิให้ศาลให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อน ดังนั้น ศาลก็ชอบที่จะยกคำร้องขอถอนฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เสียได้เท่านั้น ศาลจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 (2) และสั่งให้จำหน่ายคดีโดยอ้างเหตุว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไม่ได้ ดังนั้นคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นในกรณีของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 3443/2545)         

กรณีของจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องก่อนที่จำเลยที่ 2 จะยื่นคำให้การโจทก์ย่อมสามารถถอนฟ้องได้โดยยื่นคำบอกกล่าวเป็นหนังสือต่อศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 175 วรรคแรก และศาลชั้นต้นต้องสั่งอนุญาต ศาลจะยกคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่ได้ และจะสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นในกรณีของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน (คำพิพากษาฎีกาที่ 3443/2545)

สรุป คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นในกรณีของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

 คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. สมชายครอบครองที่ดินมือเปล่าอันเป็นมรดกของมารดาที่ถึงแก่ความตาย สมศักดิ์อ้างต่อสมชายว่าเป็นบุตรผู้ตายขอแบ่งที่ดินอันเป็นมรดก สมชายเป็นโจทก์ฟ้องสมศักดิ์ต่อศาลขอให้พิพากษาว่าสมศักดิ์ไม่ใช่บุตรผู้ตายไม่มีสิทธิได้รับมรดก คดีอยู่ระหว่างพิจารณาสมทรงบิดาผู้ตายยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความขอให้ศาลสั่งแบ่งที่ดินมรดกดังกล่าวให้ตนในฐานะทายาท 1 ใน 3ส่วน ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องสอดของสมทรงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)       ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1749 วรรคแรก ถ้ามีคดีฟ้องเรียกทรัพย์มรดก ผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทมีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้น จะร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้

วินิจฉัย

            กรณีตามอุทาหรณ์ ศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องสอดของสมทรงหรือไม่ เห็นว่าการที่สมชายเป็นโจทก์ฟ้องสมศักดิ์ต่อศาลขอให้พิพากษาว่าสมศักดิ์เป็นบุตรของผู้ตายหรือไม่นั้น ไม่มีประเด็นกรณีฟ้องเรียกทรัพย์มรดก อันทำให้สมทรงผู้ซึ่งอ้างว่าตนเป็นทายาทและมีสิทธิในทรัพย์มรดกมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1749 วรรคแรกแต่อย่างใด อีกทั้งการพิพาทกันระหว่างสมชายกับสมศักดิ์ก็มิได้โต้แย้งสิทธิของสมทรง สิทธิของสมทรงจึงไม่เป็นการจำเป็นที่จะได้รับรองคุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(1) สมทรงจึงร้องสอดเข้ามาในคดีไม่ได้ ดังนั้นการที่สมทรงยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดี ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับคำร้องสอดของสมทรง

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับคำร้องสอดของสมทรง

 

ข้อ 2 โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนโดยไม่สุจริตอันเป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบ ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อนายเสกสมซึ่งรับจำนองโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายเสกสม จำเลยที่ 2 ให้การว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาททำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นโจทก์ไม่นำค่าธรรมเนียมในการส่งหมายมาวางภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 1 ให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 จากสารบบความและพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ดังนี้ คำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

            มาตรา 145 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกาและกรพิจารณาใหม่ คำพิพากษาหรือคำสั่งใดๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี

            ถึงแม้ศาลจะได้กล่าวไว้โดยทั่วไปว่าให้ใช้คำพิพากษาบังคับแก่บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลด้วยก็ดี คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก…

            มาตรา 174 “ในกรณีต่อไปนี้ให้ถือว่าโจทก์ได้ทิ้งฟ้อง คือ

(2)       โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว

มาตรา 176 “การทิ้งคำฟ้องหรือถอนคำฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น รวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่นๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้อง และกระทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลย แต่ว่าคำฟ้องใดๆ ที่ได้ทิ้งหรือถอนแล้ว อาจยื่นใหม่ได้ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

วินิจฉัย

            ตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายเสกสมนั้น โจทก์ก็จะต้องฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนิติกรรมที่ขอให้เพิกถอนเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ศาลจึงจะมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้

การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เนื่องจากเป็นการกระทำโดยฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่นำค่าธรรมเนียมในการส่งหมายมาวางภายในเวลาที่ศาลกำหนด ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ได้ทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 174(2) และจะมีผลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 176 คือ ถือว่าโจทก์มิได้มีการฟ้องจำเลยที่ 1 เลย ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 จากสารบบความนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย

            ส่วนการที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับนายเสกสมนั้น โจทก์มิได้ฟ้องหรือขอให้ศาลหมายเรียกนายเสกสมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย หากศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและเพิกถอนการจดทะเบียนจำนอง ย่อมมีผลกระทบถึงสิทธิของนายเสกสมบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดีอันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 145 ดังนั้นโจทก์จึงมิอาจฟ้องคดีนี้ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 การที่ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3 คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่า นายบุญสร้างได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินมีโฉนดที่พิพาทให้โจทก์ จำเลยแจ้งเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยยังเป็นภริยานายบุญสร้างอยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อได้ทำนิติกรรมโอนที่พิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่พิพาทเป็นโมฆะขอให้เพิกถอนการโอนและแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่าโจทก์จะทำนาในที่พิพาทซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าเป็นของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ทำและจำเลยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมดเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่เรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 148 “คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน…

            มาตรา 173 วรรคสอง นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้

(1)       ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น…

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148 มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1.         คดีนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว

2.         คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นจะต้องถึงที่สุด

3.         ห้ามคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก

4.         ห้ามเฉพาะประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว

5.         ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุใด ก็ห้ามฟ้องเฉพาะอ้างเหตุนั้นอีก

 กรณีที่จะถือว่าเป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1.         คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา      

2.         คู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีเดิมและคดีหลังจะต้องเป็นคู่ความเดียวกัน

3.         คดีเดิมกับคดีหลังต้องเป็นเรื่องเดียวกัน

4.         ห้ามโจทก์ฟ้อง

5.         ในศาลเดียวกันหรือศาลอื่น

ตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่า นายบุญสร้างได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินมีโฉนดที่พิพาทให้โจทก์ จำเลยแจ้งเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยยังเป็นภริยานายบุญสร้างอยู่ เจ้าพนักงานหลงเชื่อได้ทำนิติกรรมโอนที่พิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่านิติกรรมโอนมรดกที่พิพาทเป็นโมฆะขอให้เพิกถอน การโอน และแสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ต่อมาโจทก์ก็ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ว่าโจทก์จะทำนาในที่พิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วว่าเป็นของโจทก์ จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ทำ และจำเลยเข้าแย่งทำนาเสียทั้งหมดเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายนั้น โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่เรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้หรือไม่นั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การฟ้องคดีใหม่ของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนหรือไม่

            ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จะเห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์คดีก่อนเป็นเรื่องการขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมโอนมรดกที่พิพาทเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนการโอนกับขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ส่วนฟ้องของโจทก์คดีหลังเป็นเรื่องที่โจทก์จะทำนาในที่ดินพิพาทรายนี้ของโจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมให้ทำและจำเลยเข้าแย่งทำนารายนี้เสียเองทั้งหมดนั้น เมื่อการฟ้องคดีใหม่ของโจทก์ในคดีหลังได้ฟ้องในขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา กล่าวคือ คดีก่อนนั้นยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุด ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148

            และมูลฟ้องในคดีใหม่ของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ได้ฟ้องคดีแรก และแม้คู่ความทั้งสองในคดีเดิมและคดีหลังจะเป็นคู่ความเดียวกัน แต่เมื่อปรากฏว่าคดีเดิมกับคดีหลังไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นการฟ้องอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังจึงไม่เป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ดังนั้นโจทก์จึงสามารถฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่เรียกค่าเสียหายได้

            สรุป โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่เรียกค่าเสียหายได้

 

ข้อที่ 4 คดีแพ่งโจทก์ฟ้องจำเลย จำเลยให้การต่อสู้คดี ศาลแจ้งกำหนดวันนับสืบพยานให้โจทก์และจำเลยทราบโดยชอบแล้ว ครั้นถึงวันนัดสืบพยาน ปรากฏว่าโจทก์และทนายไม่มาศาลมาแต่ทนายจำเลย ทนายจำเลยแจ้งต่อศาลให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความดังนี้ โจทก์และจำเลยจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างไรได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 27 วรรคแรก ในกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม หรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการเขียนและการยื่นหรือการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นๆ หรือในการพิจารณาคดี การพิจารณาพยานหลักฐานหรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควร

            มาตรา 202 “ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความเว้นแต่จำเลยจะได้แจ้งต่อศาลในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ก็ให้ศาลพิพากษาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว

            มาตรา 203 “ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 201 และมาตรา 202 แต่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องของตนใหม่

วินิจฉัย

            ตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์และทนายความไม่มาศาลในวันสืบพยานมาแต่ทนายจำเลยนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 202 ซึ่งศาลต้องสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความเว้นแต่จำเลยจะแจ้งต่อศาลให้ดำเนินพิจารณาคดีต่อไป ก็ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า ทนายจำเลยได้แจ้งต่อศาลให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ ถือว่าจำเลยได้แจ้งต่อศาลให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป แต่ศาลได้สั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ดังนี้ สำหรับโจทก์จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ประการเดียวกันคือ จะต้องเสนอคำฟ้องของตนใหม่ภายในอายุความ แต่จะอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 203

            ส่วนในกรณีของจำเลยนั้น สามารถอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีได้ เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 203 ได้บัญญัติห้ามเฉพาะโจทก์ มิได้ห้ามจำเลย หรือจำเลยอาจขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 27

            สรุป โจทก์สามารถเสนอคำฟ้องของตนใหม่ได้ภายในอายุความ แต่จะอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ได้ ส่วนจำเลยสามารถอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีได้ หรืออาจขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้

LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1

คำแนะนำ    ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกครอบครองทำประโยชน์ (น.ส.3) ในที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่ 450 ไร่ เป็นเวลาประมาณ 21 ปีแล้ว ต่อมาทางราชการได้ออกหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยกำหนดให้ผู้ครอบครองที่ดินขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ไม่เกินคนละ 50 ไร่ นายเอกขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในชื่อนายเอก ภริยาของนายเอก และบุตรของนายเอกที่บรรลุนิติภาวะอีก 6 คน คงเหลือที่ดินอีก 50 ไร่ นายเอกจึงให้นายโทจะโอนคืนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่นายเอกในภายหลัง ต่อมานายโทโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่นายตรี นายเอกจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายโทและนายตรีเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายเอกและเพิกถอนนิติกรรมหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน

ให้วินิจฉัยว่า นายเอกมีอำนาจฟ้องนายโทและนายตรีหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                   มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของ บุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

                   และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 5 “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต

วินิจฉัย      

                   ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใด ๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำคดีเสนอต่อศาลได้ จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 55 แล้วได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

                   1.กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็ให้เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 172

                   2.กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล ในกรณีเป็นเรื่องที่ต้องใช้สิทธิทางศาลเพราะเหตุว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้นจากกฎหมายบัญญัติไว้ตามกฎสารบัญญัติให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1)

                   กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกมีอำนาจฟ้องนายโท และนายตรีหรือไม่ เห็นว่าเมื่อกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขว่าทางราชการจะออกหนังสือรับรอบการทำประโยชน์ที่ดินในบริเวณดังกล่าวให้แก่บุคคลถือครองได้ไม่เกินคนละ 50ไร่ ที่ดินที่พิพาทจึงเป็นที่ดินส่วนที่นายเอกไม่อาจขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ใส่ชื่อนายเอกได้ตามกฎหมาย การที่นายเอกสมคบกับนายโทขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่นายโทแทนนายเอก จึงเป็นการหลีกเลี่ยงเงื่อนไขของกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนั้นนายเอกจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายเอกและเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างนายโทกับนายตรี และขอให้นายโทโอนที่ดินพิพาทแก่นายเอกได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 5 (เทียบแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 6428/2456)

สรุป นายเอกไม่มีอำนาจฟ้องนายโทและนายตรี

 

ข้อ 2  ลำดวนกับทองดีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท ทองดีนำที่ดินพิพาทไปขายฝากไว้แก่เด่นชัย ลำดวนจึงยื่นฟ้องทองดีและเด่นชัยต่อศาล ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา เด่นชัยมายื่นฟ้องทองดีต่อศาลขอให้ขับไล่ทองดีออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหาย เพราะทองดีไม่ไถ่ถอนการขายฝากภายในกำหนด ลำดวนจึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ อ้างว่าลำดวนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง ทองดีไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายฝากโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลำดวน การขายฝากไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ หากท่านเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งรับคำร้องสอดของลำดวนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                   มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด

(1)     หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น

มาตรา 173 วรรคสอง นับแต่เวลาที่ได้ยื่นฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และผลแห่งการนี้

(1)     ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นและ..

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การฟ้องซ้อนมีบัญญัติไว้ในมาตรา 173 วรรคสอง (1) ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้

1.       คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา

2.       คู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีเดิมและคดีหลังจะต้องเป็นคู่ความเดียวกัน

3.       คดีเดิมกับคดีหลังต้องเป็นเรื่องเดียวกัน

4.       ห้ามโจทก์ฟ้อง

5.       ในศาลเดียวกันหรือศาลอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ลำดวนได้ยื่นฟ้องเด่นชัยและทองดีต่อศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา เด่นชัยมายื่นฟ้องทองดีต่อศาลขอให้ขับไล่ทองดีออกจากที่ดินพิพาทเพราะทองดีไม่ไถ่ถอนการขายฝากภายในกำหนด ลำดวนจึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีอ้างว่าลำดวนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง ทองดีไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายฝากโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลำดวน การขายฝากไม่ชอบ ดังนี้จะเห็นได้ว่า คำร้องสอดของลำดวนเป็นการตั้งสิทธิเข้ามาในคดีในฐานะคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(1) เพราะการพิพาทกันระหว่างเด่นชัยกับทองดีได้โต้แย้งสิทธิของลำดวน คำร้องสอดของลำดวนจึงเป็นคำฟ้อง และลำดวนผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์

          เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ลำดวนได้ฟ้องเด่นชัยกับทองดีขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากและคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา เมื่อลำดวนนำเรื่องเดียวกันมาร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความและอยู่ในฐานโจทก์จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) เพราะเป็นฟ้องซ้อน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 8995/2542) ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับคำร้องสอดของลำดวน

          สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับคำร้องสอดของลำดวน

 

ข้อ 3 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ จำเลยที่ 1 นำโคของจำเลยที่ 1จำนวน 3ตัว จำเลยที่ 2 จำนวน 2 ตัว รวม 5ตัว เข้าไปปล่อยในสวนยางของโจทก์ซึ่งเพิ่งปลูกยางพารามาประมาณ 11 เดือน กำลังเจริญงอกงาม เป็นเหตุให้โคทั้งห้าตัวของจำเลยทั้งสองกัดกินต้นยางตายไปทั้งสิ้น 100ต้น ราคาต้นละ 500บาท รวมราคา 50,000 ทั้งนี้เป็นผลการประมาทของจำเลยทั้งสองโดยตรง และจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะทำลายทรัพย์ของโจทก์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระให้ ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000บาท แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่า โคของจำเลยแต่ละคนทำให้โจทก์ต้องเสียหายเพียงใด และโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง

ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างดังกล่าวตามคำให้การของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น

          วินิจฉัย

          ตาม ป. วิแพ่ง มาตรา 172 ได้บัญญัติไว้ว่า คำฟ้องโจทก์จะเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์นั้น จะต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งข้อหาเช่นว่านั้น ถ้าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ครบหลักเกณฑ์ตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว อาจถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม อันเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ข้ออ้างตามคำให้การของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

          กรณีแรก การที่จำเลยทั้งสองให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่า โคของจำเลยแต่ละคนทำให้โจทก์ต้องเสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องโดยระบุถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนที่ได้นำโคของตนปล่อยเข้าไปกัดกินต้นยางในสวนยางของโจทก์เป็นไปในลักษณะจำเลยแต่ละคนต่างคนทำละเมิดต่อโจทก์ แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าการกระทำอันเป็นการละเมิดของจำเลยแต่ละคนนั้นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในส่วนของแต่ละคนมากน้อยเป็นจำนวนเท่าใด ถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏชัดแจ้งซึ่งข้ออ้างแห่งการกระทำอันเป็นการละเมิดของจำเลยแต่ละคน และไม่ใช่หนี้ร่วมที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมได้ตามคำขอท้ายฟ้องจึงเป็นการขัดแย้งในตัว ยากที่จำเลยแต่ละคนจะต่อสู้คดีของตนได้ถูกต้อง การบรรยายฟ้องของโจทก์ในกรณีเช่นนี้จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับเอากับจำเลยแต่ละคนให้รับผิดในส่วนของแต่ละคน จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง(แนวคำพิพากษาฎีกาที่ 959/2525) ข้ออ้างของจำเลยในข้อนี้จึงฟังขึ้น

          กรณีที่สอง การที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า อายุความไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาโจทก์จึงไม่ต้องกล่าวมาในคำฟ้องว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด (เทียบแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 299/2545) ข้ออ้างของจำเลยในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น

          สรุป ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่าโคของจำเลยแต่ละคนทำให้โจทก์ต้องเสียหายเพียงใดนั้นฟังขึ้น ส่วนข้ออ้างที่ว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4 คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยขอให้พิจารณาคดีใหม่ อ้างว่ามิได้จงใจขาดนัด ศาลพิจาณาแล้วอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยขาดนัดพิจารณาอีก ศาลสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวในระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยมาศาลและแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะดำเนินคดีขอให้พิจาณาคดีใหม่ อ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ศาลจะมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

          มาตรา 199 ตรี จำเลยซึ่งศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้แพ้คดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การถ้ามิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น จำเลยนั้นอาจมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ เว้นแต่

(2)     คำขอให้พิจาณาคดีใหม่นั้นต้องห้ามตามกฎหมาย

มาตรา 206 วรรคสาม ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณามาศาลภายหลังที่เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้ว และแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะดำเนินคดี เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดพิจารณานั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร และศาลไม่เคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของคู่ความฝ่ายนั้นมาก่อนตามมาตรา 199ตรี ซึ่งให้นำมาใช้บังคับกับการขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 207ด้วย ให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่…

มาตรา 207 “เมื่อศาลพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณาแพ้คดี ให้นำบทบัญญัติมาตรา 199 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลม และคู่ความฝ่ายนั้นอาจมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ทั้งนี้ให้นำบทบัญญัติมาตรา 199ตรี… มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

          กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยขาดนัดพิจารณาศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวโดยพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 207 ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ถึงวันนัดสืบพยาน ปรากฏว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาอีก ศาลจึงสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ในระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยมาศาลและแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะดำเนินคดีขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่าไม่ได้จงใจขาดนัดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 206 วรรคสาม ซึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 206 วรรคสามนั้น ได้บัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณาซึ่งมาศาลในระหว่างพิจารณาฝ่ายเดียวมีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ถ้าการขาดนัดพิจารณานั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจ หรือมีเหตุอันสมควร แต่คู่ความที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่นี้จะต้องมิใช่เป็นคู่ความที่เคยขาดนัดพิจารณาจนศาลพิพากษาให้แพ้คดี และศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ และคู่ความนั้นขาดนัดพิจารณาอีก จึงต้องห้ามขอพิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 199ตรี ประกอบมาตรา 207 ดังนั้นจำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 206 วรรคสาม และศาลจะมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้

          สรุป ศาลจะมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้

LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3005 กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.   โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินและตึกแถวพิพาทจากโจทก์เป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทต่อไป แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินแปลงดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สิน ส่งมอบที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินและดึกแถวดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณา ส่วนจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินและตึกแถวดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ผิดสัญญาเช่า โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ความเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมากเกินความเป็นจริงขอให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่นายดำ ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายดำยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ให้วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หรือไม่ และนายดำมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทย์ร่วมได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือ บุคคลใดจะต้องให้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 57 “บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้โดยการร้องสอด

ด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตามคู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการ เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า

                        ในการนำคดีเสนอต่อศาลนั้นมิใช่บุคคลใด ๆ จะทำได้เสมอไป ผู้ที่จะนำคดีเสนอต่อศาลได้จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ซึ่งเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 55 แล้วได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิเสนอคดีต่อศาลได้ 2 กรณี กล่าวคือ

1.         กรณีที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งก็ให้

เสนอเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำฟ้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 172

2.         กรณีที่ต้องใช้สิทธิทางศาล ในกรณีเป็นเรื่องที่ต้องใช้สิทธิทางศาลเพราะเหตุว่ามีความ

จำเป็นเกิดขึ้นจากกฎหมายบัญญัติไว้ตามกฎหมายสารบัญญัติ ให้เสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลตามมาตรา 55 และมาตรา 188(1)

ตามข้อเท็จจริง ขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาล โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินและตึกแถวพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งอยู่โดยละเมิดต่อโจทก์ได้ เพราะถือว่าได้มีข้อแย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 และแม้ภายหลังฟ้องคดีแล้ว โจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้

                        ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า นายดำจะมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้หรือไม่ เห็นว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น ซึ่งหมายถึง จะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาคดีนั้นโดยตรงหรือผลของคดีตามกฎหมายจะมีผลไปถึงตนด้วยนั่นเอง

                        เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่นายดำแล้ว นายดำซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์ ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 57(2) และเมื่อโจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้องต่อไป นายดำจึงมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้

สรุป โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และนายดำมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้

 

ข้อ 2.   โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 นายเขียวขับรถยนต์ของผู้อื่นซึ่งประกันภัยไว้กับจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย

จำเลยตกลงรับรถยนต์ของโจทก์เข้าทำการซ่อมแต่จำเลยไม่จัดการซ่อมจนถึงวันฟ้อง ซึ่งหากจำเลยจัดการซ่อมแล้วควรจะแล้วเสร็จภายใน 15 วัน ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถยนต์ของโจทก์ไปประกอบธุรกิจตามปกติต้องเช่ารถยนต์เสียค่าเช่าวันละ 1,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียงวันละ 500 บาท นับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 100,000 บาท

ขอให้บังคับจำเลยจัดการซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วส่งมอบแก่โจทก์หากไม่จัดการซ่อมให้ใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 200,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายจำนวน 150,000 บาท และอีกวันละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะซ่อมหรือใช้ราคารถยนต์แทนเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากจำเลยไม่เข้าใจฟ้องโจทก์ว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับนายเขียวในฐานะใดและ จำเลยรับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากใคร

เหตุใดจึงต้องรับผิด เพราะแม้จำเลยจะเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวแต่จำเลยจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นจะต้องรับผิดตามกฎหมายเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง ให้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 172 วรรคสอง คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า คำฟ้องโจทก์จะเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์นั้น จะต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ถ้าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ครบหลักเกณฑ์ตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว อาจถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม อันเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคแรก บัญญัติว่า อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้นคือสัญญาประกันภัย ซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดจากบุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ” นั้น ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยไว้ และผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไร อันจะทำให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงถือเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญในเรื่องการบรรยายฟ้อง มิใช่เพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้

ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้บรรยายให้เห็นว่า ผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยและนายเขียวมีความสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยอย่างไรอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของนายเขียวฟ้องของโจทก์จึงถือเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยชัดเจนซึ่งสถานภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม

สรุป ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม

 

ข้อ 3.   เอกฟ้องหนึ่งว่าขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของเอกเสียหายขอบังคับให้หนึ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เอกเป็นเงิน 200,000 บาท หนึ่งให้การและฟ้องแย้งว่าหนึ่งมิได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ แต่เอกต่างหากที่เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของหนึ่งเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและบังคับเอกชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หนึ่งเป็นเงิน 300,000 บาท เอกให้การแก้ฟ้องแย้งว่าเอกมิได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานในวันนัดสืบพยาน หนึ่งมาศาลแต่เอกและทนายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาให้จำหน่ายคดีทั้งหมดออกจากสารบบความ หนึ่งยื่นอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งไม่ชอบเพราะจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งมาศาลแล้วชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้พิจารณาคดีจำเลยในส่วนของฟ้องไปฝ่ายเดียว ส่วนเอกยื่นฟ้องหนึ่งเป็นคดีใหม่โดยปริยายฟ้องและมีข้อบังคับเช่นเดียวกับคดีก่อน หนึ่งยื่นคำให้การและฟ้องในคดีนี้เช่นเดียวกับคดีก่อน ดังนี้ฟ้องของเอกและฟ้องแย้งของหนึ่งในคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่

ธงคำตอบ

          หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

            มาตรา 173 วรรคสอง นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้

 (1)      ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น…

วินิจฉัย

การที่จะถือว่าเป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1.         คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา

2.         คู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีเดิมและคดีหลังจะต้องเป็นคู่ความเดียวกัน

3.         คดีเดิมกับคดีหลังต้องเป็นเรื่องเดียวกัน

4.         ห้ามโจทก์ฟ้อง

5.         ในศาลเดียวกันหรือศาลอื่น    

กรณีตามอุทาหรณ์ ฟ้องของเอกและฟ้องแย้งของหนึ่งในคดีใหม่จะเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

            กรณีฟ้องของเอก การที่คดีเดิมเอกเป็นโจทก์ฟ้องหนึ่ง หนึ่งให้การและฟ้องแย้งเอก และในวันนัดสืบพยานหนึ่งมาศาล แต่เอกและทนายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาให้จำหน่ายคดีทั้งหมดออกจากสารบบความนั้น ย่อมทำให้คดีของเอกเสร็จสิ้นไปจากศาลแล้วและถือว่าไม่มีคดีอยู่ระหว่างพิจารณาแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อหนึ่งไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลในส่วนฟ้องของเอกในคดีเดิม คำฟ้องของเอกในคดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)

            กรณีฟ้องแย้งของหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเดิมออกจากสารบบความ แต่หนึ่งยื่นอุทธรณ์ในส่วนของฟ้องแย้งนั้น ย่อมทำให้คดีในส่วนของฟ้องแย้งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น การที่หนึ่งฟ้องแย้งใหม่ในเรื่องเดิม จึงถือเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)

            สรุป เอกฟ้องใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้อน ส่วนหนึ่งยื่นฟ้องแย้งใหม่เป็นฟ้องซ้อน

 

ข้อ 4.   โจทก์ฟ้องขอบังคับจำเลยชำระเงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าหนี้ระงับแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานและให้จำเลยนำสืบก่อน ในวันสืบพยานปรากฏว่าโจทก์และจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความในวันเดียวกันนั้นเองโจทก์ยื่นคำร้องว่าเหตุที่โจทก์มาศาลช้า เนื่องจากกลุ่มชุมนุมปิดถนนทุกสาย โจทก์ไม่จงใจขาดนัดขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปหรือขอให้นัดสืบพยานจำเลยต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีไปแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องสืบพยานต่อไปให้ยกคำร้อง ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                        มาตรา 200 วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา 198 ทวิ และมาตรา 198 ตรี ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา

                        มาตรา 201 “ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณาให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ

                        มาตรา 203 “ห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 201 และมาตรา 202 แต่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ คำสั่งเช่นว่านี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอคำฟ้องของตนใหม่

                        มาตรา 206 วรรคสาม ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้าคู่ความคดีฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณามาศาลภายหลังที่เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้ว และแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะดำเนินคดี เมื่อศาลเห็นว่าการขาดนัดพิจารณานั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร และศาลไม่เคยมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของคู่ความฝ่ายนั้นมาก่อนมาตรา 199 ตรี ซึ่งให้นำมาใช้บังคับกับการขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 207 ด้วย ให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่…

วินิจฉัย

                        การขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 200 วรรคแรกนั้น หมายความว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณาและหากคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา ศาลก็ต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 201 โดยไม่มีข้อที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าคู่ความนั้นขาดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่จงใจ เพราะการขาดนัดโดยจงใจหรือไม่จงใจจะใช้กล่าวอ้างได้เฉาะเมื่อมีการพิจารณาฝ่ายเดียว (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 202 และมาตรา 204) และมีการขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 206 วรรคสาม และมาตรา 207 เท่านั้น

                        กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่มาศาลไม่วันนัดสืบพยาน และศาลเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา (ตาม ป.ว.แพ่ง มาตรา 200 วรรคแรก) จึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ(ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 201) ย่อมทำให้คดีเสร็จสิ้นไปจากศาล ไม่มีการพิจารณาฝ่ายเดียวอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์มาศาลและยื่นคำร้องว่าเหตุที่โจทก์มาศาลช้าเนื่องจากกลุ่มชุมนุมปิดถนนทุกสาย โจทก์ไม่จงใจขาดนัด ขอให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไปหรือขอให้นัดสืบพยานจำเลยต่อไปก็คือการขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่นั่นเอง ศาลจึงสามารถยกคำร้องของโจทก์โดยอ้างเหตุว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีไปแล้วไม่มีเหตุที่จะต้องสืบพยานต่อไปได้ ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ภายในอายุความตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 203

สรุป คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!