LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่นา  ส.ค.1  จากจำเลย  อ้างว่าเป็นมรดกของปู่โจทก์  ซึ่งตกได้แก่โจทก์และจำเลยร่วมกัน  และได้ครอบครองร่วมกันมา  จำเลยให้การว่าปู่ของโจทก์ยกที่นาพิพาทให้แก่บิดาของจำเลยก่อนตาย  จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาประมาณ  30  ปีแล้ว  อีกทั้งโจทก์และบิดาโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยเลย  ดังนี้ให้นักศึกษาพิจารณาว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรบ้าง  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ  จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดถึงตน  พร้อมกับขอแบ่งที่พิพาทดังกล่าว  จึงเท่ากับว่า  โจทก์กล่าวอ้างในฐานะที่ตนมีสิทธิในที่ดินมรดก  และจากที่จำเลยให้การถึงการที่ได้รับที่นา  และมีการครอบครองมาโดยตลอดเป็นเวลาประมาณ 30  ปี  จึงเท่ากับว่า  จำเลยปฏิเสธว่าที่พิพาทไม่ใช่มรดก  ดังนี้  ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า  ที่นาพิพาทเป็นมรดกหรือไม่

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  (ส.ค.1)  และจำเลยครอบครองอยู่  กรณีเช่นนี้  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ. มาตรา  1369  และมาตรา  1372  ที่บัญญัติว่า  เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง  เมื่อโจทก์กล่าวอ้างที่นา  ส.ค.1  เป็นมรดก  โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าที่นาพิพาทเป็นมรดกดังโจทก์อ้าง  เพราะจำเลยให้การปฏิเสธ  (ฎ. 376/2525 ฎ. 3059  3060/2516)

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  ที่นาพิพาทดังกล่าวเป็นมรดกหรือไม่  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

หมายเหตุ  กรณีที่จะปรับเข้าข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  ได้นั้น  เฉพาะกรณีที่พิพาทกันว่าใครมีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินที่มีโฉนดหรือที่ดินที่มี  น.ส. 3  หรือ  น.ส.3  ก.  เท่านั้น (ฏ. 3565/2538)  ส่วนที่ดิน  ส.ค.1  ไม่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  แต่ในกรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ที่ครอบครองที่ดินอยู่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา  1369  และ  1372  ที่ว่า  ผู้ที่ยึดถืออยู่นั้นเป็นการยึดถือเพื่อตนและมีสิทธิครอบครอง  (ฎ. 2550/2543)


ข้อ  2  โจทก์จำเลยพิพาทกันว่าที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย  การพิจารณาของศาลชั้นต้นได้สั่งให้มีการเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทดังกล่าว  ในประเด็นที่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท  แล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการเดินเผชิญสืบว่าที่พิพาทดังกล่าวไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของทั้งโจทก์และจำเลย  แต่เป็นที่ชายเลนน้ำท่วมถึงจะเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  อยากทราบว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  86  เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดี  หรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้  แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้

เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดฟุ่มเฟือยเกินสมควร  หรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น  ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  หรือพยานหลักฐานอื่นต่อไป

เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม  ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไป  ซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วย  โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ  และ

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การที่ศาลจะรับฟังพยานหลักฐาน  กรณีย่อมจะต้องเป็นพยานหลักฐานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  86  และมาตรา  87  กล่าวคือ  จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี  หรือประเด็นข้อพิพาทและจะต้องเป็นข้อเท็จจริงตามข้ออ้างข้อเถียงในคำฟ้องหรือคำให้การ  มิฉะนั้น  ย่อมจะถือเป็นการนอกฟ้อง  นอกคำให้การหรือนอกประเด็น

คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันดังกล่าว  ประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงมีเพียงว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยเท่านั้น  ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งหรือไม่  ดังนั้นการที่ศาลพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากการเดินเผชิญสืบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลย  แล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  กรณีจึงถือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา  ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87  ที่ศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง  จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง  นอกประเด็น  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 3415/2535)

สรุป  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  3  แดงกู้เงินเขียวโดยแดงได้ทำหนังสือกู้เงินจำนวน  
300,000  บาท  ให้เขียว  โดยที่เขียวมิได้ลงลายมือชื่อ  คงมีแต่แดงผู้เดียวและมิได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ต่อกัน  ต่อมาปรากฏว่าแดงลงทุนค้าขายขาดทุนมาก  เขียวเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินกู้คืน  จึงฟ้องแดงขอให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน  และขอนำเหลืองเป็นพยานบุคคลมาสืบให้เห็นว่าแดงเป็นผู้กู้เงินจากเขียวจริง  ดังนี้อยากทราบว่าเขียวมีสิทธินำเหลืองเข้าสืบได้หรือไม่  และแดงจะต้องชำระหนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดหรือไม่  เพราะเหตุใดจงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย 

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก  กำหนดว่า  การกู้ยืมเงินกว่า  2,000  บาท  ขึ้นไปนั้น  กฎหมายบังคับว่า  ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด  ซึ่งก็คือ  ผู้กู้  เป็นสำคัญเท่านั้นจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  กฎหมายหาได้บัญญัติให้ผู้ให้กู้ลงลายมือชื่อด้วยแต่อย่างใดไม่  ดังนั้น  สัญญากู้ยืมเงินที่มีแดงผู้กู้แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อ  ย่อมถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรกแล้ว  ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้  (ฎ. 6930/2537)  ส่วนในกรณีที่มิได้กำหนดวันชำระหนี้เงินกู้คืนไว้เขียวก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้แดงทำการชำระหนี้ได้โดยพลัน  นับแต่วันที่แดงผู้กู้ได้รับมอบเงินกู้จากเขียว  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  203  วรรคแรก)  ส่วนดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้นั้น  โดยหลักแล้ว  เขียวจะเรียกดอกเบี้ยจากแดงไม่ได้เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กัน  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง  ป.พ.พ.  มาตรา  7  ที่ว่า  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน  ซึ่งหมายความเฉพาะกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันหรือมีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยจากกัน  แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เท่านั้น  เขียวจึงเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากแดงในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  7  ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เขียวฟ้องแดงให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย  ถือว่าการฟ้องคดีต่อศาลเป็นการบอกกล่าวทวงถามไปในตัว  กรณีนี้ถือว่าลูกหนี้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วในวันฟ้อง  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  204  วรรคแรก)  เขียวจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปีได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  224  วรรคแรก  (ฎ. 1137/2540)

ส่วนการที่เขียวขอนำเหลืองพยานบุคคลมาสืบอธิบายให้เห็นว่า  เขียวได้มีการให้แดงกู้เงินตามสัญญากู้  ก็ไม่ถือเป็นการนำสืบเพิ่มเติม  หรือเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารอันจะต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่อย่างใด  เขียวจึงขอนำนายเหลืองพยานบุคคลมาสืบได้  (ฎ. 1302/2535)

สรุป  เขียวมีสิทธินำเหลืองเข้าสืบได้  และแดงจะต้องชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  224  วรรคแรก

หมายเหตุ  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  ผู้จัดทำเห็นว่ายังมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อีกหลายประการ  จึงนำเสนอเพื่อประโยชน์แก่นักศึกษาโดยสังเขปดังนี้

1       เมื่อหลักฐานการกู้ยืมไม่ได้ระบุเวลาชำระหนี้ไว้  ถือเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้  จะนำสืบพยานบุคคลว่ามีกำหนดเวลาชำระโดยตกลงให้ผ่อนชำระหนี้เป็นงวดๆ ไม่ได้  เป็นการสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร  ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  (ฎ. 1962/2525  ฎ. 1124/2511)

2       สัญญากู้ยืมไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้  ต้องฟังว่าสัญญากู้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้จะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้  (ฎ. 9866/2544)

3       ถ้าสัญญากู้ยืมระบุว่าแดงกู้ยืมเงินของผู้ให้กู้  โดยมิได้ระบุชื่อเขียวว่าเป็นผู้ให้กู้  เขียวนำพยานบุคคลมาสืบ  อธิบายให้เห็นว่าเขียวเป็นผู้ให้แดงกู้ยืมเงินได้  ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  (ฎ.  1302/2535)

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์  100,000  บาท  โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราตามกฎหมาย  ปรากฏตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้อง  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามสัญญา  จำเลยไม่ชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย  โจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้ว  จำเลยเพิกเฉย  ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง  รวมเป็นเงิน  150,000  บาท  และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินต้น  100,000  บาท  นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์  ไม่เคยได้รับเงินและไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม  หากศาลฟังว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริงแล้ว  จำเลยก็ไม่ต้องชดใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์  เมื่อหกเจ็ดปีที่ผ่านมา  ภริยาของจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยจำเลยลงชื่อในหนังสือสัญญาซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้โจทก์ยึดถือไว้ แต่ภริยาของจำเลยก็ได้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ครบถ้วนตรงตาม

สัญญาแล้ว  โจทก์ไม่คืนหนังสือสัญญาที่จำเลยทำไว้โดยอ้างว่าหาหนังสือสัญญาดังกล่าวไม่พบ  หากพบแล้วจะนำมาคืนให้  เมื่อภริยาของจำเลยหลงลืมไม่ได้ติดตามทวงถาม  โจทก์กลับนำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมากรอกข้อความและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้  โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้  โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  เพราะตามสัญญาระบุให้คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น  และสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยนี้ขาดอายุความแล้ว  ขอให้ยกฟ้อง

เช่นนี้  คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด  จงอธิบายเหตุผลประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

กรณีตามอุทาหรณ์  คดีมีประเด็นข้อพิพาทประการใดนั้น  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาตามคำให้การของจำเลยมีหลายนัย  กล่าวคือ  ตอนแรกจำเลยให้การว่า  จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์  ไม่เคยได้รับเงิน  และไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้อง  ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม  แต่ในต่อมาจำเลยกลับให้การว่า  สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากภริยาจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลย ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาโดยไม่ได้กรอกข้อความ  ต่อมาภริยาจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว  แต่โจทก์ไม่ได้คืนสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความนั้น  แล้วโจทก์กรอกข้อความในสัญญาดังกล่าวโดยที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน  จะเห็นได้ว่า  คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน  ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง  ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ  แต่คำให้การดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดีได้  (ฎ.  7714/2547  ฎ. 609/2530)

คำให้การในส่วนที่ว่า  โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีนั้น  ในส่วนนี้ถือเป็นคำให้การที่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องกำหนด

คำให้การในส่วนที่ว่า  โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้นั้น  ในส่วนนี้ไม่มีผลกระทบต่อการแพ้ชนะของคดี  จึงไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท

และคำให้การในส่วนที่ว่า  สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยขาดอายุความแล้ว  ในส่วนนี้จำเลยให้การเพียงลอยๆ  โดยไม่ได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความเพราะเหตุใด  ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ  คำให้การของจำเลยจึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย  จึงไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นพิพาท  (ฎ. 2941/2547)

ดังนั้น  คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้  คือ

1       จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่

2       โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีหรือไม่

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นแรก  ตามข้อพิพาทที่ว่า  จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง  จำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ  ส่วนคำให้การของจำเลยดังกล่าวปฏิเสธไม่ชัดแจ้งจึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ  (ฎ . 7047/2540)

ประเด็นที่สอง  ตามข้อพิพาทที่ว่า  โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีหรือไม่  ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวถือเป็นการตีความตามข้อตกลงในสัญญา  จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย  ซึ่งศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง  คู่ความไม่ต้องนำสืบ

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้  คือ

1       จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  และหน้าที่นำสืบตกอยู่แก่โจทก์

2       โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีหรือไม่  คู่ความไม่ต้องนำสืบเป็นปัญหาข้อกฎหมาย  ที่ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง


ข้อ  2  คดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำเป็นจำเลยที่  1  นายขมเป็นจำเลยที่  2  กล่าวหาว่า  จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของนางสาวสวยผู้เสียหาย  จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด  หลังจากที่สืบพยานโจทก์ปากนางสาวสวยผู้เสียหายเสร็จแล้ว  นายดำได้แถลงขอถอนคำให้การเดิม  และขอให้การใหม่  เป็นรับสารภาพผิดตามฟ้อง    ศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องนายขมจำเลยที่  2 เป็นคดีใหม่  และพิพากษาในคดีเดิมให้จำคุกนายดำมีกำหนด  6  เดือน  ต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องนายขมเป็นคดีใหม่  ในระหว่างการพิจารณาคดี  โจทก์ได้อ้างคำเบิกความนางสาวสวย  ซึ่งอยู่ในคดีเดิมเป็นพยาน  และอ้างนายดำซึ่งศาลพิพากษาลงโทษในคดีเดิมไปแล้วเป็นพยาน  นายขมต่อสู้คดีว่าคำเบิกความของนางสาวสวยในคดีเดิมรับฟังเป้นพยานไม่ได้  เนื่องจากโจทก์มิได้นำนางสาวสวยมาเบิกความต่อหน้านายขมในคดีใหม่  และการที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานก็ต้องห้ามตามกฎหมายเนื่องจากเป็นการอ้างจำเลยผู้ร่วมกระทำความผิดกับนายขมเป็นพยาน

ให้วินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายขมทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  172  วรรคแรก  การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยเว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  232  ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  คำเบิกความของนางสาวสวยในคดีเดิมรับฟังเป็นพยานได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้โจทก์จะมิได้นำนางสาวสวยมาเบิกความเป็นพยานในคดีหลังต่อหน้านายขมจำเลยก็ตาม  แต่อย่างไรก็ตาม  เอได้ความว่า  นางสาวสวยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีแรกต่อหน้านายขมจำเลยมาแล้ว  กรณีเช่นนี้  จึงถือได้ว่าคำเบิกความของนางสาวสวยที่โจทก์อ้างได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้านายขมจำเลยแล้ว  จึงรับฟังเป็นพยานในคดีหลังได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  172  วรรคแรก  แต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของนายขมจำเลยในประเด็นจึงฟังไม่ขึ้น  (ฎ. 1457/2531)

การที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  บทบัญญัติ  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  ที่ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น  หมายถึงจำเลยในคดีเดียวกันเท่านั้น  กรณีนี้แม้นายดำจะถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดกับนายขมจำเลยและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกันมาแล้วก็ตามแต่ขณะที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานในคดีนี้นั้น  พนักงานอัยการโจทก์ได้แยกฟ้องนายขมเป็นคดีใหม่  และให้ศาลได้พิพากษาลงโทษนายดำในคดีเดิมไปแล้ว  ดังนั้น  นายดำจึงมิได้มีฐานะเป็นจำเลยในคดีหลัง  การที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานจึงไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  แต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของนายขมในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน  (ฎ. 1202/2520  ฎ.  1513/2532)

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายขมทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  3  นายแดงทำใบคำเสนอขอสินเชื่อจากธนาคารโดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ  14.5  ต่อปี  ต่อมาธนาคารอนุมัติสินเชื่อจำนวน  
300,000  บาท  นายแดงจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือให้กับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  ซึ่งนายแดงได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้ว  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามสัญญา  นายแดงไม่ยอมชำระหนี้  ธนาคารจึงฟ้องนายแดงต่อศาล  นายแดงให้การต่อสู้ในประเด็นดอกเบี้ยว่า

ธนาคารเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด  ดังนี้  ธนาคารจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่นายแดงผิดนัดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

วินิจฉัย

ธนาคารจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่นายแดงผิดนัดได้หรือไม่  เห็นว่า  นายแดงทำใบเสนอขอสินเชื่อจากธนาคารโดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ  14.5  ต่อปี และธนาคารอนุมัติสินเชื่อนายแดงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือให้กับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  ซึ่งนายแดงได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้ว  จะเห็นได้ว่า  ใบเสนอขอสินเชื่อเป็นเพียงคำเสนอของนายแดงที่เสนอต่อธนาคารเท่านั้น  ส่วนสัญญากู้ยืมเงินเป็นข้อตกลงในการทำสัญญาที่จัดทำขึ้นภายหลังที่ธนาคารได้พิจารณาคำเสนอของนายแดงแล้ว  โจทก์จึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ  19  ต่อปี  ดังนั้น  ข้อความหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ธนาคารให้นายแดงกู้ยืม  จึงเป็นจำนวนที่ชัดแจ้งไม่มีข้อความเป็นที่น่าสงสัยหรือมีความเป็นสองนัยอันจะต้องตีความตามเจตนาอันแท้จริงของธนาคารแต่อย่างใด  ธนาคารจึงไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยผิดนัด  เพราะต้องห้ามมิให้นำสืบตาม ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  (ฎ.  6509/2545)

สรุป  ธนาคารไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงิน  อัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยผิดนัด  เพราะต้องห้ามมิให้นำสืบตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94 (ข)

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  ที่นาพิพาทมี  ส.ค.1  เป็นของโจทก์  ให้จำเลยเช่าแล้วจำเลยไม่ชำระค่าเช่า  โจทก์จะเข้าทำนาเอง  จำเลยกลับบุกรุกเข้าทำนา  ทำให้โจทก์เสียหาย  ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย  จำเลยให้การว่า  ไม่เคยเช่านาจากโจทก์  แต่โจทก์ได้ขายและตนได้เข้าครอบครองเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ไม่เคยบุกรุกที่นาเลย  ดังนี้  อยากทราบว่า  คดีนี้ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์  จงอธิบาย  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ในเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ

การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์โดยมี  ส.ค.1  เป็นหลักฐานโจทก์ให้จำเลยเช่าแล้วไม่ชำระค่าเช่า  โจทก์จะเข้าทำ จำเลยกลับบุกรุกเข้าทำ  กรณีจึงเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างในฐานะที่ตนมีสิทธิในที่ดิน  (ส.ค.1)  และจากที่จำเลยให้การถึงการที่ได้ที่นามาโดยการที่โจทก์ขายที่นาพิพาทให้จำเลยและครอบครองมาเป็นเวลาเกินกว่า  10  ปีแล้ว  กรณีจึงเท่ากับว่า  จำเลยปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์  และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  (ส.ค.1)  และจำเลยครอบครองอยู่  กรณีเช่นนี้  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1369  และมาตรา  1372  ว่ามีสิทธิครอบครอง  เมื่อโจทก์กล่าวอ้างโจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อนว่า  โจทก์ให้จำเลยเช่าจริงหรือไม่  และจำเลยบุกรุกที่ของโจทก์หรือไม่  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  (ฎ. 1649/2513)

สรุป  ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่โจทก์     


ข้อ  2  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน  เมื่อล่วงเลยระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88(1)(2)  โดยมิได้มีการยื่นคำร้องแสดงเหตุผลใดๆ  แก่ศาล  แต่ศาลกลับมีคำสั่งให้รับบัญชีระบุพยานโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจงใจและไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบ  ดังนี้  คำสั่งของศาลดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รับฟังได้หรือไม่  จงอธิบาย  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

มาตรา  88  วรรคสาม  เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วแต่กรณี  ได้สิ้นสุดลงแล้ว  ถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว  มีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด  หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า  มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้  คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใดๆ  ก่อนพิพากษาคดีและถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเดนเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำสั่งของศาลดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในกำหนดตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  หรือมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายในกำหนดตามมาตรา  88  วรรคสอง  คู่ความฝ่ายนั้นก็อาจยื่นคำร้องต่อศาลโดยใช้สิทธิตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  กล่าวคือ  ยื่นคำร้องขออ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานโดยแสดงเหตุอันสมควรที่เป็นอุปสรรค  ทำให้ไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานได้ทันตามกำหนดเวลา  ทั้งนี้เพราะการยื่นบัญชีระบุพยานก็เพื่อมิให้คู่ความเกิดความเสียเปรียบได้เปรียบในเชิงคดีที่มีอยู่อย่างชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะกลายเป็นข้อยกเว้นของ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88 

ส่วนการที่จะอ้าง ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้ายที่ว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา  88  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้  ก็จะต้องเข้าเงื่อนไข  3 ประการ  คือ

1       พยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี

2       ศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานนั้น

3       ไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบในเชิงคดี

เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกหรือบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาล  เมื่อล่วงเลยเวลาตามมาตรา  88  วรรคแรกหรือวรรคสองแล้ว  โดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้  เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  ดังนี้  ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยโดยเหตุผลเพียงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจงใจ  และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่  เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง  (ฎ. 2591/2520ม  ฎ. 943/2512)

ทั้งการที่จำเลยมิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุผลอันสมควรที่ไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามกำหนดเวลาตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสามย่อมทำให้เกิดการเอาเปรียบโจทก์ในการดำเนินคดีโดยวิธีจู่โจม  พยานหลักฐานทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี  ดังนี้  แม้พยานหลักฐานดังกล่าวจะสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีที่ทำให้จำเลยแพ้หรือชนะคดีก็ตาม  แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมไม่สมควรรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามข้อยกเว้นของ  ป.พ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้าย  กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะให้รับบัญชีระบุพยานของจำเลยได้ตามกฎหมาย  คำสั่งของศาลที่ให้รับบัญชีระบุพยานดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำสั่งของศาลดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  3  นายเสียมราบพยานของนายไทวาจำเลย  ได้เข้านั่งฟังคำเบิกความของนายตะบอง  ซึ่งเป็นพยานของนายไทคมโจทก์ในคดีเรื่องหนึ่งโดยตลอด  เมื่อถึงคราวที่นายเสียมราบจะต้องเบิกความ  นายไทคมโจทก์จึงคัดค้านว่า  คำเบิกความของนายเสียมราบรับฟังไม่ได้ เนื่องจากได้เข้านั่งฟังคำเบิกความของพยานอื่นแล้ว  ขอให้ศาลห้ามมิให้รับฟังคำพยานดังกล่าว  อยากทราบว่า  คำคัดค้านของนายไทคมรับฟังได้หรือไม่  และมีหลักกฎหมายอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย 

ธงคำตอบ

มาตรา  114  ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานคนอื่นที่จะเบิกความภายหลัง  และศาลมีอำนาจที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้

แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว  และคู่ความอีกกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคำเบิกความเช่นว่านี้  เพราะเป็นการผิดระเบียบ  ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้  หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน  หรือไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้  ศาลจะไม่ฟังว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้

วินิจฉัย

การห้ามไม่ให้พยานคนหลังได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  ดังกล่าวข้างต้นนั้น  คำว่า  พยานคนก่อน  หมายความถึงพยานฝ่ายของตน  หรือพยานของคู่ความฝ่ายเดียวกันเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะอาจทำให้มีโอกาสบิดเบือนคำเบิกความของตนให้สอดคล้องกันได้

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเสียมราบเป็นพยานของนายไทวาจำเลย  ซึ่งรับฟังคำเบิกความของนายตะบองซึ่งเป็นพยานของนายไทคมโจทก์  มิใช่พยานของนายไทวาจำเลยด้วยกันเอง  กรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  เพราะมิใช่เป็นการเบิกความโดยฟังคำพยานคนก่อน

ดังนั้น  คำเบิกความของนายเสียมราบจึงไม่เป็นการผิดระเบียบและสามารถรับฟังได้  คำคัดค้านของนายไทคมจึงรับฟังไม่ได้  (ฎ . 3328/2536)

สรุป  คำคัดค้านของนายไทคมรับฟังไม่ได้

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  (1)  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  84  วรรคสอง  (1)  บัญญัติว่า  คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

ให้นักศึกษาอธิบายว่า  ข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

ธงคำตอบ

อธิบาย

นคดีแพ่ง  ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล

1       เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว  จำเลยต้องทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน  15  วัน  ซึ่งจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  แต่อย่างไรก็ดี  ในกรณีดังต่อไปนี้  แม้จำเลยจะให้การโดยไม่ชัดแจ้ง  แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยยอมรับแล้ว  หรือที่เรียกว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย  ดังนี้ 

จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องข้อใด  กล่าวคือ  เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องข้อใด  ก็ถือโดยปริยายว่าจำเลยยอมรับโดยปริยายในฟ้องข้อนั้นแล้ว  เว้นแต่ในเรื่องค่าเสียหายและในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ  ซึ่งแม้จำเลยจะไม่ได้โต้แย้งในเรื่องค่าเสียหาย  หรือไม่ได้ยื่นคำให้การก็จะถือว่าจำเลยยอมรับในข้อนั้นไม่ได้

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยไม่ชัดแจ้ง  เช่น  ให้การว่า  นอกจากที่จำเลยให้การต่อไปนี้ขอให้ถือว่าปฏิเสธฟ้องโจทก์  หรือ   นอกจากให้การไปแล้วให้ถือว่าปฏิเสธ  เป็นต้น  ซึ่งคำให้การในลักษณะนี้  ถือเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง  ต้องถือว่าจำเลยยอมรับตามฟ้อง 

2        คำรับตามที่ศาลสอบถามในการชี้สองสถาน  กล่าวคือ  ในการชี้สองสถานแต่ละฝ่ายจะต้องตอบคำถามที่ศาลถามเอง  หรือถามตามคำขอของคู่ความฝ่ายอื่น  อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายอื่นยกขึ้นอ้าง  ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด  หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร  ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว  เว้นแต่คู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธได้ขณะนั้น  (ป.วิ.พ. มาตรา  183  วรรคสอง)

3       คำรับตามที่คู่ความสอบถาม  กล่าวคือ  คู่ความฝ่ายใดประสงค์จะอ้างข้อเท็จจริงใดและขอให้คู่ความฝ่ายอื่นตอบรับว่าจะรับรองข้อเท็จจริงนั้นว่าถูกต้องหรือไม่  เมื่อได้ร้องขอต่อศาลในวันสืบพยานให้ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายอื่น  ว่าจะยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นว่าถูกต้องหรือไม่  ถ้าคู่ความฝ่ายนั้นไม่ยอมตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด  หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง  ในขณะนั้น  ให้ถือว่าได้ยอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว  เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งในขณะนั้น  กรณีเช่นนี้  ศาลจะมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นทำคำแถลงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงมายื่นต่อศาลในเวลาที่ศาลเห็นสมควรก็ได้  (ป.วิ.พ.  มาตรา  100)

4       คำรับเกี่ยวกับเอกสาร  กล่าวคือ  การไม่ส่งต้นฉบับเอกสารในความครอบครองตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  123, 124  ให้ถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่ผู้ขอจะต้องนำสืบโดยเอกสารนั้น  คู่ความฝ่ายที่ไม่ยื่นเอกสารดังกล่าวได้ยอมรับแล้ว  หรือการไม่คัดค้านเอกสารโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน  หรือสำเนาไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ  ก็ถือว่าคู่ความฝ่ายที่ไม่ได้คัดค้านได้ยอมรับความถูกต้องในเอกสารนั้นแล้วตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  125

5       คำรับตามข้อตกลง  (คำท้า)  กล่าวคือ  เป็นการกระทำในศาลโดยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน แต่เงื่อนไขนั้นจะต้องเป็นเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนการพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากันอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับตามข้ออ้างของฝ่ายที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด

ในคดีอาญา  ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล

1       คำให้การรับสารภาพของจำเลย  กล่าวคือ  ปกติฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร  แต่อย่างไรก็ตาม  ก็มีบางกรณีที่ไม่ต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงนั้น  คำรับของจำเลยในชั้นพิจารณาของศาลก็เป็นกรณีหนึ่งที่ทำให้ศาลลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีการนำสืบข้อเท็จจริง  คำรับของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นไปตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  176  วรรคแรกที่ว่า  ในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง  ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้

2       การแถลงยอมรับข้อเท็จจริงใดในระหว่างพิจารณาคดี  กล่าวคือ  ในระหว่างพิจารณาคดีโจทก์จำเลยในคดีอาญาอาจแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อบางประเด็นต่อศาล  ซึ่งเมื่อแถลงแล้วก็ย่อมฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำรับนั้น

(2) โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่  30  กันยายน  2548  กล่าวหาว่า  จำเลยตั้งโรงงานใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า  เมื่อวันที่  13  กันยายน  2547  จำเลยกระทำประมาทเลินเล่อโดยใช้เครื่องจักรเกินกำลัง  เป็นเหตุให้มอเตอร์ระเบิด  บ้านเรือนของโจทก์เสียหายครึ่งหลัง  ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน  100,000  บาท  ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย  จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ประมาทตามฟ้อง  อย่างไรก็ตาม  คดีของโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันเกิดเหตุ  ขอให้ยกฟ้อง

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  คดีนี้มีประเด็นใดบ้างที่คู่ความไม่ต้องสืบเพราะเป็นข้อเท็จจริง  ซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ยอมรับแล้ว  และหากคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน  ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะคดี

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

วินิจฉัย

ข้อเท็จจริงต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

1       จำเลยตั้งโรงงานใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า

ประเด็นนี้  จำเลยไม่ได้ให้การรับหรือปฏิเสธ  จึงถือว่าจำเลยให้การรับแล้วว่าจำเลยใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า  โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงในส่วนนี้

2       โจทก์เสียหายหรือไม่

ประเด็นนี้  จำเลยไม่ได้ให้การรับหรือปฏิเสธ  จึงถือว่าจำเลยให้การรับแล้วว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย  โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบถึงความเสียหายที่เกิดแก่บ้านของโจทก์ครึ่งหลัง

สำหรับประเด็นข้อพิพาท  มีดังนี้

1       จำเลยกระทำโดยประมาทหรือไม่

2       คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่  และ

3       โจทก์เสียหายเพียงใด

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นข้อ  1  แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธแต่เพียงว่าไม่ได้ประมาทตามฟ้องโดยไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ  (ปฏิเสธลอย)  ซึ่งไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  แต่ก็ยังถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงตามฟ้อง  จึงีประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยังต้องมีหน้าที่นำสืบ  แต่จำเลยไม่มีประเด็นสืบแก้

ประเด็นข้อ  2 แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายกล่าวอ้างประเด็นข้อนี้ขึ้นมา  แต่การที่โจทก์ยื่นฟ้อง  ถือเป็นปริยายว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีนั้นภายในกำหนดอายุความ  เมื่อจำเลยให้การต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความ  จึงเป็นการปฏิเสธฟ้องของโจทก์  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบปรากฏว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ  (ฎ. 3042/2548  ฎ. 4610/2547)

ประเด็นข้อ  3  แม้จำเลยไม่ให้การปฏิเสธ  ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  438  วรรคแรก  แต่หากโจทก์ประสงค์จะได้ค่าเสียหายตามฟ้อง  โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องนำสืบ

จะเห็นว่าข้อพิพาททั้ง  3  ประเด็น  หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์  โดยเฉพาะประเด็นข้อพิพาทข้อ  1  และข้อ  2  ถือว่าเป็นประเด็นข้อสำคัญแห่งคดี  เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน  โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี  และจำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดี

สรุป  มีประเด็นที่คู่ความไม่ต้องนำสืบเพราะเป็นข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

1       จำเลยตั้งโรงงานใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า

2       โจทก์เสียหายหรือไม่

และถ้าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน  จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดี


ข้อ  2  จงอธิบายหลักเกณฑ์การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาว่ามีอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญา  อาจแยกออกได้เป็น  2  กรณีคือ

ก  คดีอาญาที่ศาลมิได้กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน

กรณีนี้  ป.วิ.อ.  มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง  ป.วิ.พ.  มาใช้บังคับตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  โดยต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  กล่าวคือ  ในคดีอาญาเรื่องใด  ถ้าศาลมิได้มีคำสั่งให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน  แต่ได้กำหนดให้นัดสืบพยานโจทก์ไปเลย  คู่ความทุกฝ่ายก็มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันสืบพยานโจทก์ไม่น้อยกว่า  7  วัน  และถ้าคู่ความฝ่ายใดยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วนมีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอีก  ก็ต้องยื่นแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาลภายใน  15  วัน  นับแต่วันสืบพยาน

แต่ก็มีข้อสังเกตว่า  หลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้นใช้บังคับสำหรับคดีแพ่งซึ่งคู่ความทุกฝ่ายอยู่ในฐานะเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ  แต่ในคดีอาญาต้องใช้หลักให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่  ดังนั้นการอนุโลมนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาใช้ในคดีอาญาจึงค่อนข้างผ่อนปรนกับจำเลยค่อนข้างมาก  ดังนั้นถ้าหากพยานหลักฐานของจำเลยเป็นพยานสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  แม้จำเลยจะไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน  ศาลก็มักจะใช้ดุลพินิจตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้าย  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  รับฟังพยานหลักฐานของจำเลยเสมอ

ข  คดีอาญาที่ศาลกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน

การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาที่ศาลมีคำสั่งกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน  ป.วิ.อ.  ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วตามมาตรา 173/1  วรรคสองและวรรคสาม  จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์ในเรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  มาอนุโลมใช้บังคับได้  กล่าวคือ  ถ้าศาลมีคำสั่งกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานแล้วคู่ความมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานแล้ว  คู่ความมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า  7  วัน  พร้อมสำเนาในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นรับไปจากเจ้าพนักงานศาลเอง  โยคู่ความฝ่ายที่ยื่นบัญชีระบุพยานไม่มีหน้าที่ต้องเอาสำเนาบัญชีระบุพยานไปส่งให้แก่คู่ความฝ่ายอื่น

ถ้าคู่ความฝ่ายใดที่ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วนคู่ความฝ่ายนั้นก็มีสิทธิยื่นระบุพยานเพิ่มต่อศาลได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล  แต่ต้องยื่นก่อนการตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.อ. ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม  ทำให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาที่ศาลมิได้มีคำสั่งกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานไว้โดยเฉพาะแล้ว  คือมาตรา  229/1  ซึ่งมีหลักต่างจากที่ได้อธิบายข้างต้นคือ  การยื่นบัญชีระบุพยานในการไต่สวนมูลฟ้องหรือการพิจารณาคดี  โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลไม่น้อยกว่า  15  วันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้งหรือวันสืบพยาน  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป  ส่วนจำเลยให้ยื่นบัญชีระบุพยานพร้อมสำเนาก่อนวันสืบพยานจำเลย


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมเรียกค่าเสียหาย  ซึ่งเป็นเรื่องละเมิด  จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน  โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกัน  และโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา  โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย  ในชั้นพิจารณาคดีจำเลยมีภาระการพิสูจน์และศาลกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน  จำเลยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นพยาน  ซึ่งจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า  จำเลยไม่ได้ซื้อที่ดินจำนวน  15  ไร่  ที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไว้เดิม  แต่ซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ที่อยู่ติดกันเนื้อที่ประมาณ  15  ไร่  เช่นเดียวกัน  และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่ซื้อใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว  โจทก์จึงขอสืบพยานบุคคลว่ามรการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวต่อกันจริง  แต่โจทก์ไม่ได้โอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย  เพราะที่ดินดังกล่าวติดที่ราชพัสดุบางส่วน  จำเลยจึงขอย้ายแปลงไปเอาแปลงถัดไป  ดังนี้  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่ามีการทำสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันจริง  แต่โจทก์ไม่ได้โอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย  เพราะที่ดินดังกล่าวติดที่ราชพัสดุบางส่วน  จำเลยจึงขอย้ายแปลงไปเอแปลงถัดไปนั้น  กรณีถือเป็นการสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่าหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระงับไปแล้ว  เพราะโจทก์จำเลยได้ตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าว  และตกลงซื้อขายที่ดินแปลงอื่นต่อกันแทน  เอกสารดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้อีกต่อไป  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว  กรณีไม่ใช่เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแกไขเอกสารตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่ประการใด  (ฎ. 8571/2547)

สรุป  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดาของโจทก์จำเลย  แต่จำเลยครอบครองไว้เพียงผู้เดียวโดยไม่แบ่งให้แก่โจทก์  ขอให้บังคับจำเลย  จำเลยให้การว่าบิดายกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่บิดายังมีชีวิตอยู่  หลังจากนั้นจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนมาเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ที่ดินพิพาทจึงมิได้เป็นมรดกของบิดาที่จะต้องแบ่งให้แก่โจทก์  อย่างไรก็ตาม  บิดาตายมานานหลายปีแล้ว  ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ  ขอให้ยกฟ้อง

คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด

อนึ่ง  ถ้าในการชี้สองสถาน  ศาลกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบและนำพยานเข้าสืบก่อน  แต่ในวันสืบพยาน  จำเลยและโจทก์ต่างแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยาน  ขอให้ศาลพิพากษาไปตามรูปคดี  เช่นนี้  ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดชนะคดี

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

คดีมีประเด็นพิพาทประการเดียวว่า  ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดาหรือไม่  เนื่องจากโจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าและเป็นมรดกของบิดาของโจทก์จำเลย    จำเลยครอบครองไว้เพียงผู้เดียว  จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินมือเปล่าและโจทก์จำเลยไม่ได้เป็นทายาทโดยธรรมของบิดา  แต่ให้การรับว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท  ประเด็นแห่งคดีจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  โจทก์จำเลยเป็นทายาทโดยธรรมของบิดา  และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอยู่เพียงผู้เดียว

ส่วนคำให้การของจำเลยที่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความนั้น  จำเลยให้การไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด  นับแต่วันใดถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว  จึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องอายุความ (ฎ. 1801/2539 (ที่ประชุมใหญ่))  ดังนั้นคำให้การของจำเลยที่ปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทมิใช่เป็นมรดกของบิดา  แต่เป็นของจำเลย  เนื่องจากบิดายกให้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่  จึงทำให้คดีมีประเด็นข้อพิพาทประการเดียวดังกล่าวข้างต้น

ส่วนหน้าที่นำสืบในประเด็นดังกล่าวนั้นตกแก่โจทก์  เนื่องจากโจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดา  จำเลยให้การปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทมิใช่เป็นมรดกของบิดา  เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของ  ป.พ.พ.  มาตรา  1369  และ  1372  ว่ามีสิทธิครอบครอง  โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบิดา  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าที่พิพาทเป็นมรดกของบิดาตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคสอง (2)  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1 (ฎ. 1527/2497)

เมื่อได้ความว่าตามกฎหมายโจทก์มีหน้าที่นำสืบ  แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้สมหน้าที่  โจทก์ก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี  การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน  แม้จำเลยจะไม่คัดค้าน  เมื่อไม่มีการสืบพยาน  ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปทีเดียวไม่ได้  เพราะการที่ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดชนะคดีโดยถือหน้าที่นำสืบเป็นหลักนั้น  ต้องถือตามหน้าที่นำสืบที่ถูกต้องตามกฎหมาย  ดังนั้น  ศาลต้องพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี  โดยยกฟ้องโจทก์  (ฎ. 3059  3060/2516)

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  ที่พิพาทเป็นมรดกของบิดาหรือไม่  หน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

และถ้าในการชี้สองสถาน  ศาลกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบและนำพยานเข้าสืบก่อน  แต่ในวันสืบพยานจำเลยและโจทก์ต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน  ขอให้ศาลพิพากษาไปตามรูปคดี  เช่นนี้  โจทก์จะเป็นฝ่ายแพ้คดี  ตามหน้าที่นำสืบที่ถูกต้อง


ข้อ  2  คดีอาญานายเขียวเป็นโจทก์ฟ้องนายดำ  ข้อหายักยอกทรัพย์  ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่  1  กุมภาพันธ์  2549  ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง  นายเขียว  นายขาวซึ่งเป็นทนายความของนายเขียว  และนายเหลืองซึ่งเป็นทนายความของนายดำไปศาล  ในการไต่สวน นายเขียวอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความต่อศาล  และอ้างใบเสร็จรับเงิน  2  ฉบับ  เป็นพยานหลักฐาน  ส่วนนายเหลืองนำจดหมายของนายเขียวซึ่งมีข้อความว่าได้รับเงินตามใบเสร็จสองฉบับจากนายดำไว้แล้วซักถามนายเขียวและเสนอจดหมายดังกล่าวต่อศาล  หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายขาวทนายความของนายเขียวเพิ่งจะยื่นบัญชีระบุพยาน  อ้างนายเขียวกับใบเสร็จรับเงินทั้งสองฉบับเป็นพยานหลังจากไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  7  วัน  แต่ยังไม่ถึงวันนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา  แต่นายเหลืองไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน  อ้างจดหมายที่นำส่งศาลเป็นพยาน

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานคือ  คำเบิกความของนายเขียว  ใบเสร็จรับเงินทั้งสองฉบับ  และจดหมายของนายเขียวที่นายเหลืองอ้างส่งศาลเป็นพยานได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  88  วรรคแรก  เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด  หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล  วัตถุ  สถานที่  หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง  เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง  หรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง  และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล  วัตถุ  หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน  หรือขอให้ศาลไปตรวจ  หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ  เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

วินิจฉัย

ในการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีแพ่ง  ป.วิ.พ.  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ว่า  ในการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก  ต้องยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า  7  วัน  โดยยื่นพร้อมสำเนาบัญชีระบุพยานเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล  (ป.วิ.พ. มาตรา  88  วรรคแรก)  แต่สำหรับการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญา  ในกรณีปกติ  ป.วิ.อ. มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะกรณีจึงต้องนำหลักการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีแพ่งตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม  ป.วิ.อ. มาตรา  15

กรณีตามอุทาหรณ์  การไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาลเพื่อให้เห็นว่า  คดีของโจทก์มีมูล  เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับศาลไม่มีกรณีที่จะเอารัดเอาเปรียบในการเสนอพยานหลักฐานหรือจู่โจมในทางพยาน  จึงเป็นข้อยกเว้นที่โจทก์ไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องไม่น้อยกว่า  7  วัน  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  ประกอบ  ป.วิ.อ. มาตรา  15  ฉะนั้น  แม้โจทก์จะเพิ่งยื่นบัญชีระบุพยานอ้างนายเขียวกับใบเสร็จรับเงิน  2  ฉบับเป็นพยาน  หลังจากไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  7  วัน  ศาลก็รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้  ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  87(2)  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15

ส่วนนานเหลืองทนายความของนายดำก็มีสิทธิอ้างจดหมายของนายเขียวมาซักค้านนายเขียวและเสนอต่อศาลได้  โดยถือว่าจดหมายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์  มิใช่เป็นพยานหลักฐานของนายดำ  เนื่องจากศาลยังมิได้มีคำสั่งประทับฟ้อง นายดำจึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลยในคดีอันจะถือเป็นคู่ความตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  1(3)(15)  ประกอบมาตรา  163  วรรคสาม  จึงไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  เพราะบทมาตรานี้มีไว้เพื่อรักษาประโยชน์ให้ คู่ความ เท่านั้น  กรณีนี้ศาลก็รับฟังจดหมายดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีได้เช่นกัน  (ฎ. 124/2502)

สรุป  ศาลรับฟังคำเบิกความของนายเขียว  ใบเสร็จรับเงินทั้ง  2  ฉบับ  และจดหมายของนายเขียวที่นายเหลืองอ้างส่งศาลเป็นพยานได้

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.อ.  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโยให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานตามมาตรา  229/1  ซึ่งมีหลักคือ  การยื่นบัญชีระบุพยานในการไต่สวนมูลฟ้อง  โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลไม่น้อยกว่า  15  วันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องพร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป  จึงไม่อาจนำบทบัญญัติ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  มาใช้บังคับโดยผลของ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  ได้อีกต่อไป


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3 ก.)  เลขที่  456  ให้แก่โจทก์  วันทำสัญญาโจทก์ชำระราคาให้จำเลยครบถ้วนแล้ว  จำเลยตกลงจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์  ต่อมาจำเลยผิดนัด  ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ตกลงขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์  สัญญาจะซื้อขายทำขึ้นเพื่อเป็นประกันหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์  ไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา  สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ  ขอให้ยกฟ้อง  ดังนี้  จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่ให้การดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่ให้การดังกล่าวได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยประสงค์จะนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องเป็นสัญญาประกันหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ใช่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันจริงๆนั้น  เป็นการนำสืบหักล้างว่า  สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องไม่ถูกต้อง  และไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมาย  ไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร  อันจะต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลเข้าสืบตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลเข้าสืบได้ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  วรรคท้าย  (ฎ. 704/2542)

สรุป  จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่ให้การดังกล่าวได้

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  นางโสภีมีบุตร  3  คน  นายหนึ่ง  นายสองและนายสาม  นางโสภี  นายหนึ่งและนายสองร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายสามว่าโจทก์ทั้งสามได้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม  แต่เข้าครอบครองที่ดินมี  น.ส.3  ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกไม่ได้  เพราะจำเลยขัดขวาง  จึงขอเรียกทรัพย์มรดก  โดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่  1  กึ่งหนึ่ง  อีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของสามีโจทก์ที่  1  ซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยในฐานะทายาทส่วนละเท่าๆกัน  นายสามซึ่งตกเป็นจำเลยต่อสู่ว่าที่ดินพิพาทจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาทและจำเลยมีชื่อใน  น.ส.3  จำเลยครอบครองโดยสงบ  เปิดเผย  ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้สิทธิครอบครอง  หากในวันสืบพยาน  คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบอยากทราบว่าคดีนี้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายแพ้คดี

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ในเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีที่คู่ความพาทกันว่าทรัพย์สินเป็นของคู่ความฝ่ายใด  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์จำพวกที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน  หรือทะเบียนสิทธิครอบครองเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3  หรือ  น.ส.3  ก.)  บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นสิทธิครอบครองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  และโฉนดที่ดิน  น.ส.3  หรือ  น.ส.3 ก.  ก็เป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น  ซึ่งตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  127  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้และถูกต้อง  กรณีเช่นนี้  จึงต้องเป็นหน้าที่ของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม  ในคดีมรดกซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกซึ่งอยู่ที่จำเลยนั้น  แม้ว่าจำเลยจะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก็มิใช่ว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานเสมอไป  หากจำเลยรับว่าเป็นทรัพย์ของผู้ตายจริง  แต่ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นไปแล้ว  หรือว่าได้มีการแบ่งมรดกกันแล้ว  กรณีเช่นนี้  ถือว่าเป็นกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่  ดังนี้  ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่จำเลย  (ฎ.122/2490,  ฎ. 596/2534)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  หากในวันสืบพยาน  คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  คู่ความฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้คดี  เห็นว่าคดีนี้  แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)  ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท  และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตาม  แต่การที่จำเลยให้การรับว่าที่พิพาทเป็นมรดก  และกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่า  จำเลยมีชื่อใน  น.ส.3  แต่ผู้เดียวตามข้อตกลงของทายาท  จำเลยครอบครองโดยสงบ  เปิดเผย  ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้สิทธิครอบครอง  จำเลยจึงยังต้องมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่า  จำเลยได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทอันเกิดเป็นมรดกตามข้อตกลงของทายาทโดยชอบ  และได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองดังกล่าวได้ครอบครองเพื่อตนและสุจริตอันเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่อีกด้วย  ดังนั้นจำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  เช่นนี้  หากในวันสืบพยาน  คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  จำเลยจะเป็นฝ่ายแพ้คดีเพราะไม่นำพยานเข้าสืบตามหน้าที่(ฎ. 5132/2539)

สรุป  หากในวันสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ยอมนำพยานของตนเข้าสืบ  จำเลยจะเป็นฝ่ายแพ้คดี

 


ข้อ  2  พยานไม่ไปศาลในวันสืบพยาน  ศาลจะปฏิบัติอย่างไร

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่พยานคนใดคู่ความได้บอกกล่าวความจำนงจะอ้างอิงคำเบิกความของพยานโดยชอบ  ไม่ไปศาลในวันกำหนดสืบพยาน  ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความของพยานที่ไม่มานั้น  ไม่เป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัยคดี  ศาลก็ชอบที่จะดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปและชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องสืบพยาน (ป.วิ.พ. มาตรา 110)

แต่อย่างไรก็ตาม  สำหรับพยานที่ไม่มาศาลมีความสำคัญในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี  ศาลก็สามารถที่จะใช้ดุลพินิจในการสืบพยานนั้นได้  กล่าวคือ

1       ถ้าศาลเห็นว่า  ข้ออ้างของพยานที่ไม่มาศาลมีข้อแก้ตัวอันควร  เช่น  เจ็บป่วย  หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นที่รับฟังได้  ศาลก็อาจจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปเพื่อให้พยานมาศาล  หรือเพื่อสืบพยานนั้น  ณ  สถานที่และเวลาอันควรแก่พฤติการณ์ก็ได้

2       ถ้าศาลเห็นว่า  พยานได้รับหมายเรียกโดยชอบแล้ว  จงใจไม่ไปยังศาลนั้น  หรือได้รับคำสั่งศาลให้รอคอยอยู่แล้วจงใจหลบเสีย  กรณีเช่นนี้  ศาลก็อาจจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปและออกหมายจับและเอาตัวพยานกักขังไว้จนกว่าพยานจะได้เบิกความตามวันที่ศาลเห็นสมควรก็ได้  ทั้งนี้  การไม่ไปศาลของพยานก็ยังคงเป็นความผิดฐานขัดขืนหมายเรียกของศาลให้มาเบิกความอยู่เช่นเดิม  (ป.วิ.พ. มาตรา 111)

 


ข้อ  3  คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์นำสืบแสดงสำเนาใบส่งของต่อศาล  จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสารแต่อย่างใด  ศาลได้วินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว  จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลล่างรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น  เป็นการรับฟังพยานเอกสารที่มิชอบด้วยกฎหมาย  เพราะโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลก่อนเพื่อนำสำเนาเอกสารดังกล่าวมาสืบ  ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  93  การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น  เว้นแต่

(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้  เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือสูญหาย  หรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น  อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ  หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น  ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้

วินิจฉัย

ตามมาตรา  93(2)  กำหนดว่า  ถ้าต้นฉบับเอกสารนำมาไม่ได้  เพราะถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือสูญหาย  หรือไม่สามารถนำมาได้โดยประการอื่น  อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ  หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นำมาไม่ได้นั้น  ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้  ถ้อยคำในตัวบทที่ว่า  ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้  มีลักษณะทำนองว่าจะต้องขออนุญาตต่อศาล  กล่าวคือ หากมีเหตุตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  93(2)  แล้ว  ศาลย่อมอนุญาตให้นำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนได้เสมอ  หรือหากศาลยอมให้สืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนไปเลย  ก็ถือได้ว่าอนุญาตโดยปริยาย  ไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลก่อน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า  การที่ศาลล่างทั้งสองศาลรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น  เป็นการรับฟังที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การที่โจทก์นำสืบแสดงสำเนาใบส่งของต่อศาล  และจำเลยมิได้โต้แย้งว่าโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับเอกสาร  เมื่อศาลล่างได้วินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว  ก็ถือได้ว่าศาลได้อนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ในกรณีไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารมาได้โดยประการอื่นตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  93(2)  แล้ว  โดยโจทก์ไม่จำต้องขออนุญาตศาลก่อน  ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น  (ฎ. 5841/2545)

สรุป  การที่ศาลล่างทั้งสองศาลรับฟังสำเนาเอกสารของโจทก์นั้น  เป็นการรับฟังที่ชอบด้วยกฎหมาย  ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น 

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน ซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่  1234  เป็นของโจทก์  ถูกฝ่ายจำเลยบุกรุกเข้าครอบครอง  จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  ทั้งยังต่อสู้ว่าเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่  1342  อันเป็นที่ดินของฝ่ายจำเลย  คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไร  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

คดีมีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรนั้น  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า  ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 1234  เป็นของโจทก์  ถูกฝ่ายจำเลยบุกรุกเข้าครอบครอง  และจากคำการของจำเลยที่ปฏิเสธไม่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  ทั้งยังต่อสู้ว่าเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่  1342  อันเป็นที่ดินของฝ่ายจำเลย  ดังนี้  ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่า  ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด  (ฎ . 1992/2511)

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  เมื่อโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้าง  จำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบตามหลัก  ป.วิ.พ.  มาตรา  84 (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  และในกรณีดังกล่าวนี้  ย่อมไม่อาจปรับเข้าข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  ว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองได้  เพราะไม่ใช่เป็นการพิพาทกันว่า  ใครมีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินที่มีโฉนด  แต่เป็นการพิพาทกันว่าที่พิพาทอยู่ในโฉนดของฝ่ายใด  (ฎ. 2227/2533)

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

 

ข้อ  2  ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  ระหว่างสืบพยานโจทก์  ทนายจำเลยถามค้านว่าพยานร่วมกับจำเลยค้าของผิดกฎหมายด้วยกันแล้วผิดใจกันจริงไหม  ทนายโจทก์คัดค้านไม่ให้ทนายจำเลยถามค้านเช่นนี้  ถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะอนุญาตให้ทนายจำเลยถามค้านเช่นนั้นหรือไม่

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

มาตรา  234  พยานไม่ต้องตอบคำถามซึ่งโดยตรงหรืออ้อม  อาจจะทำให้เขาถูกฟ้องคดีอาญาเมื่อมีคำถามเช่นนั้น  ให้ศาลเตือนพยาน

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  118  วรรคสาม  ไม่ว่าในกรณีใดๆ  ห้ามไม่ให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถามพยานด้วย

(2) คำถามที่อาจทำให้พยาน  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกต้องรับโทษทางอาญา  หรือคำถามที่เป็นหมิ่นประมาทพยาน  เว้นแต่คำถามเช่นว่านั้นเป็นข้อสาระสำคัญในอันที่จะชี้ขาดข้อพิพาท

วินิจฉัย

ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  234  ได้ให้สิทธิแก่พยานที่ไม่ต้องตอบคำถามไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม  ซึ่งอาจทำให้พยานนั้นถูกฟ้องเป็นคดีอาญาได้  หากมีคำถามเช่นว่านั้นศาลต้องเตือนพยานให้รู้ตัว  และ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  ประกอบ  ป.วิ.พ.  มาตรา  118  วรรคสาม  (2) ก็ได้วางหลักห้ามมิให้คู่ความฝ่ายหนึ่งถามพยานด้วยคำถามอันอาจทำให้พยานต้องรับโทษทางอาญาหรือคำถามที่เป็นการหมิ่นประมาทพยาน  ไม่ว่ากรณีใดๆเว้นแต่  คำถามนั้นเป็นข้อสาระสำคัญในอันที่จะชี้ขาดข้อพิพาทหรือตัดสินคดี

การที่ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ว่า  พยานร่วมกับจำเลยค้าของผิดกฎหมายด้วยกันแล้วผิดใจกันจริงไหม  เห็นได้ชัดว่าเป็นคำถามที่อาจทำให้พยานถูกฟ้องเป็นคดีอาญาและอาจต้องโทษทางอาญาได้หากพยานถูกฟ้อง  เพราะการค้าของผิดกฎหมายเป็นความผิดตามกฎหมายและมีโทษทางอาญา  และเป็นคำถามที่เป็นการหมิ่นประมาทพยานอีกด้วย  ทั้งคำถามเช่นว่านั้นก็มิได้เป็นข้อสาระสำคัญในอันที่จะชี้ขาดข้อพิพาทหรือตัดสินคดีทนายจำเลยจึงไม่อาจค้านพยานโจทก์ได้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  118  วรรคสาม  (2)  ประกอบ  ป.วิ.อ. มาตรา  15  และศาลต้องไม่อนุญาต

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์เช่นนั้น

 


ข้อ  3  แดงฟ้องดำให้รับผิดตามสัญญากู้เงินจำนวน  
500,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ  20  ต่อปี  ซึ่งเป็นอัตราพิเศษตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย  ในวันยื่นบัญชีระบุพยานปรากฏว่า  แดงได้ระบุสัญญาเงินกู้เป็นพยานหลักฐานอย่างเดียวโดยมิได้ระบุประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย   ในวันสืบพยานแดงติดธุระจึงทำหนังสือแต่งตั้งนายเขียวทนายความเป็นผู้กระทำการแทน  นายเขียวได้ส่งสำเนาหนังสือสัญญากู้ให้กับนายดำ  แต่มิได้ส่งประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและหนังสือมอบอำนาจของนายแดงแก่นายดำ  เมื่อถึงวันสืบพยาน  นายเขียวขอนำสืบถึงประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย  นายดำคัดค้านและคำคัดค้านในข้อที่ว่า  มิได้ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจแก่นายดำด้วย  อยากทราบว่า  ข้อคัดค้านของนายดำรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  88  วรรคแรกและวรรคท้าย  เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด  หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล  วัตถุ  สถานที่  หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง  เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง  หรือข้อเถียงของตน  ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง  และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล  วัตถุ  หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน  หรือขอให้ศาลไปตรวจ  หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ  เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล

เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วแต่กรณี  ได้สิ้นสุดลงแล้ว  ถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว  มีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด  หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า  มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้  คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใดๆ  ก่อนพิพากษาคดีและถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเดนเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง

มาตรา  90  วรรคแรก  ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อถกเถียงของตนตามมาตรา  88  วรรคหนึ่ง  ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

วินิจฉัย

การที่จะนำพยานหลักฐานเข้าสืบนั้น  ต้องเป็นไปตามที่  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  กำหนดไว้  กล่าวคือ  จะต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า  7  วัน  โดยยื่นพร้อมสำเนาบัญชีระบุพยานเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล  (ป.วิ.พ. มาตรา  88  วรรคแรก)  แต่ถ้ามิได้ยื่นภายในกำหนดอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดได้  และถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านั้น  ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง  (ป.วิ.พ. มาตรา  88 วรรคสาม)

อนึ่ง  ในการยื่นบัญชีระบุพยาน  ถ้าเป็นพยานเอกสารจะต้องมีการส่งสำเนาพยานเอกสารแก่ศาลและคู่ความฝ่ายอื่น  จึงจะมีสิทธิขอสืบตามพยานเอกสารดังกล่าวได้ (ป.วิ.พ. มาตรา  90)

เมื่อได้ความว่า  แดงโจทก์ให้ดำจำเลยกู้เงินโดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ  20  ต่อปี  ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย  ประกาศดังกล่าวจึงถือเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบและเป็นพยานเอกสารที่โจทก์จะต้องระบุในบัญชีระบุพยาน  พร้อมทั้งสำเนาให้แก่ศาลและคู่ความตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  90  การที่โจทก์ไม่ระบุอ้างประกาศธนาคารฯ  ดังกล่าวเป็นพยานในบัญชีระบุพยาน  จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  ประกาศดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้  ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  วรรคแรก  (ฎ. 2043/2540)  ทั้งกรณีไม่เข้าตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  วรรคสามแต่อย่างใด  คำคัดค้านของโจทก์ในกรณีนี้จึงรับฟังได้

ส่วนกรณีหนังสือมอบอำนาจนั้น  ถือเป็นกิจการส่วนตัวซึ่งไม่มีผลเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีที่ฟ้องร้องกันอยู่  เพราะพยานเอกสารดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของโจทก์  แม้จะมิได้ระบุไว้ในบัญชีระบุพยานและส่งสำเนาให้จำเลยก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง  กรณีไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติ  ป.วิ.พ. มาตรา  88  และมาตรา  90  ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้  (ฎ. 3470/2538, ฎ.1129/2499)  คำคัดค้านของนายดำในกรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

สรุป  คำคัดค้านของนายดำจึงรับฟังได้เฉพาะกรณีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย  เนื่องจากมิได้มีการระบุในบัญชีระบุพยาน  ส่วนหนังสือมอบอำนาจนั้น  รับฟังไม่ได้

หมายเหตุ  ข้อเท็จจริงตามคำถามนี้มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่  2  ประการ  จึงเห็นควรนำมาลงไว้เพื่อการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมของน้องๆนักศึกษา  กล่าวคือ  ในกรณีที่เป็นพยานหลักฐานที่สำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  แม้ไม่ได้ระบุบัญชีระบุพยานตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  หรือมิได้นำส่งสำเนาตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  90  ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าว  ก็ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  84(2)  วรรคท้าย   

สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าร้อยละ  15  ต่อปีได้หรือไม่  โจทก์ได้นำสืบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมิได้ระบุอ้างไว้ในบัญชีระบุพยาน  ทั้งมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  กรณีนี้ศาลจะรับฟังประกาศดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  87(2)  วรรคท้ายไม่ได้  เพราะมิใช่พยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพราะมิใช่ข้อที่ทำให้โจทก์แพ้หรือชนะคดี  (ฎ. 2043/2540)

ส่วนประเด็นเรื่องเรื่องหนังสือมอบอำนาจของโจทก์นั้นถือเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพราะมีผลทำให้โจทก์แพ้หรือชนะคดี  ดังนั้น  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  ศาลจึงรับฟังเป็นพยานได้เพราะเข้าข้อยกเว้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  วรรคท้าย  แม้ไม่ได้ระบุอ้างไว้ในบัญชีระบุพยานและส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม  (ทำนองเดียวกับ  ฎ. 789  799/2499  ฎ. 580/2534  ฎ. 2251/2536)

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยยืมรถยนต์พิพาทของโจทก์แล้วไม่ส่งคืน  ขอให้บังคับจำเลยคืนรถยนต์พิพาทหรือมิฉะนั้นให้ชดใช้ราคา  จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ยืมรถยนต์พิพาท   หากแต่โจทก์ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยและได้รับเงินค่ารถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา  คำขอบังคับ  และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา  ขอให้ยกฟ้อง  ดังนี้

1       คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด

2       ถ้าระหว่างการสืบพยาน  โจทก์จำเลยตกลงกันให้สืบนายกนกเป็นพยานร่วมเพียงปากเดียว  ถ้านายกนกเบิกความว่า  ตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง  นายกนกเห็นจำเลยไปบ้านโจทก์และยืมรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์  จำเลยยอมแพ้  แต่ถ้านายกนกเบิกความว่าในวันเวลาดังกล่าว  ไม่เห็นจำเลย

ไปที่บ้านโจทก์  โจทก์ยอมแพ้  โดยโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป  ปรากฏว่าในวันสืบพยาน  นายกนกเบิกความว่าในวันที่โจทก์ฟ้อง  เห็นจำเลยไปยืมรถยนต์พิพาทที่บ้านโจทก์  แต่จำเลยคัดค้านว่า  นายกนกเบิกความโดยไม่สุจริต  ไม่ควรเชื่อฟัง  จึงขออนุญาตพิสูจน์พยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  120  และให้ศาลสั่งเพิกถอนข้อตกลงดังกล่าว

ดังนี้  ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามที่จำเลยร้องขอได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

แต่ว่า

(1) คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป  หรือซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้  หรือซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  120  ถ้าคู่ความฝ่ายใดอ้างว่าคำเบิกความของพยานคนใดที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างหรือที่ศาลเรียกมาไม่ควรเชื่อฟัง  โดยเหตุผลซึ่งศาลเห็นว่ามีมูล  ศาลอาจยอมให้คู่ความฝ่ายนั้นนำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้แล้วแต่จะเห็นควร

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์ไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า  จำเลยยืมรถยนต์คันพิพาทของโจทก์แล้วไม่ส่งคืน  และที่จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ยืมรถยนต์คันพิพาท  หากแต่โจทก์ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลย  และได้รับเงินค่ารถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา  จะเห็นได้ว่า  คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า  จำเลยยืมรถยนต์ไปจากโจทก์หรือไม่

ส่วนประเด็นที่จำเลยอ้างว่า  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น  จำเลยให้การโดยยกถ้อยคำตามกฎหมายมาอ้าง  โดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ  หรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องส่วนใดที่ไม่ได้ชัดแจ้ง  และไม่ชัดแจ้งอย่างไร  คำให้การในประเด็นนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง  ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  จึงไม่มีประเด็นให้ศาลต้องวินิจฉัย  ไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นพิพาท  (ฎ. 48/2536  ฎ. 913/2509)

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว  เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยครอบครองรถยนต์พิพาท  และจำเลยให้การว่าโจทก์ขายรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยและได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว  อันเป็นการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จำเลยครอบครอง  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า  จำเลยยึดถือรถยนต์คันพิพาทเพื่อตนเองและมีสิทธิครอบครองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1367  ประกอบมาตรา  1369  หน้าที่นำสืบในประเด็นข้อพิพาทจึงตกแก่โจทก์ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84(2)  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  (ฎ. 971/2492)

การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้สืบนายกนกเป็นพยานร่วมเพียงปากเดียว  โดยไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป  กรณีเช่นนี้  เป็นการถือเอาคำเบิกความของนายกนกเป็นข้อแพ้ชนะกันในคดี  จึงมีลักษณะเป็นคำท้าซึ่งโจทก์และจำเลยต้องผูกพันตามคำท้า  และถือว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84(1)  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84(3))  อันเป็นผลให้คู่ความที่ได้รับประโยชน์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยไม่ต้องมีการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ตามประเด็นพิพาท  เมื่อนายกนกเบิกความว่า  เห็นจำเลยไปยืมรถยนต์คันพิพาทที่บ้านโจทก์  ดังนี้ โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำท้า  จำเลยจะมายื่นคำร้องอ้างว่านายกนกเบิกความโดยไม่สุจริต  ขอพิสูจน์พยานและให้ศาลสั่งเพิกถอนคำท้าในภายหลังไม่ได้  (ฎ. 43/2545, ฎ. 957/2522)

สรุป

1       คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  จำเลยยืมรถยนต์ไปจากโจทก์หรือไม่  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

2       ศาลจะมีคำสั่งไม่อนุญาตตามที่จำเลยร้องขอ

 


ข้อ  2  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินซึ่งโจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว  แต่จำเลยผิดสัญญา  ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายตามสัญญา  จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง  ขอให้ยกฟ้อง  ระหว่างการสืบพยาน  โจทก์นำสืบสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้อง  จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องให้จำเลยล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  90  ซึ่งเป็นความจริงตามที่จำเลยค้าน  และโจทก์นำสืบด้วยสำเนาเอกสารโดยไม่ได้นำต้นฉบับมาสืบ  จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามมาตรา  93

ดังนี้  ศาลจะรับฟังสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

มาตรา  90  วรรคแรก  ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อถกเถียงของตนตามมาตรา  88  วรรคหนึ่ง  ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

มาตรา  93  การอ้างเอกสารเป็นพยานนั้นให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น  เว้นแต่

(1) เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว  จึงให้ศาลยอมรับฟังสำเนาเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้

มาตรา  125  วรรคแรก  คู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนอาจคัดค้านการนำเอกสานั้นมาสืบโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน  หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ  โดยคัดค้านต่อศาลก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ

วินิจฉัย

เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดิน  ซึ่งโจทก์ได้แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว  ดังนี้  จะเห็นได้ว่า  สำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินที่โจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง  ซึ่งแสดงว่าโจทก์แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอันถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยล่วงหน้าตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  90  วรรคแรกแล้ว  ถึงแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยล่วงหน้าตามที่จำเลยคัดค้านหรือโจทก์มิได้ขออนุญาตศาลขอถือเอาเอกาสารท้ายคำฟ้องแทนการส่งสำเนาให้จำเลยก็ตาม  กรณีเช่นนี้  จึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังตามมาตรา  87(2)  แต่ประการใด  (ฎ. 9501/2542)

และแม้จำเลยได้รับสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินที่โจทก์แนบมาท้ายคำฟ้องแล้ว  จำเลยมีหน้าที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  125  วรรคแรก  หากเห็นว่าไม่ถูกต้องแท้จริงต้องคัดค้านต่อศาลก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  จำเลยมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาหนังสือสัญญาดังกล่าว  จึงถือว่าจำเลยยอมรับโดยปริยายแล้วว่า สำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินนั้นถูกต้องแล้ว  ศาลจึงรับฟังสำเนาหนังสือสัญญาจะขายที่ดินนั้นเป็นพยานหลักฐานได้ตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  93(1)  โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก  (ฎ. 1047/2537  ฎ. 2459/2539  ฎ. 2295/2543)

สรุป  ศาลจึงรับฟังสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.พ.  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกรณีไม่คัดค้านเอกสารตามมาตรา  125  ให้เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  93(4)  ที่แก้ไขใหม่แล้ว  ซึ่งเป็นการบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมารองรับแนวคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้น  ดังนั้นกรณีไม่คัดค้านเอกสารตามมาตรา  125  ต้องปรับเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  93(4)  มิใช่มาตรา  93(1)

 


ข้อ  3  ก  พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา  ได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายลักษณะพยานอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ข  พระภิกษุสนองถูกอ้างเป็นพยานโจทก์ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง  เมื่ออัยการโจทก์ซักถามก็ตอบข้อซักถาม  ครั้งถึงคราวทนายจำเลยถามค้านบ้าง  พระภิกษุสนองนิ่งเสียไม่ตอบคำถามค้านเลย  ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะปฏิบัติอย่างไร

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา  ได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายลักษณะพยาน  ดังนี้

1       ไม่ต้องไปศาลตามหมายเรียกที่ศาลออกโดยชอบ  ไม่ว่ากรณีใดๆ  (ป.วิ.พ.  มาตรา  108  วรรคสอง (2))

2       ไม่ต้องสาบานหรือปฏิญาณตนก่อนเบิกความ  (ป.วิ.พ.  มาตรา  112 (2))  (ปัจจุบันคือมาตรา  112 (3))

3       จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆ  ก็ได้เมื่อไปเป็นพยานที่ศาล  (ป.วิ.พ.  มาตรา  115)

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.พ.  ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกรณีการออกหมายเรียกพยานที่เป็นพระภิกษุและสามเณรว่าห้ามมิให้ออกหมายเรียกพยานที่เป็นพระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนาไม่ว่ากรณีใดๆ  แต่กำหนดให้ศาลหรือผู้พิพากษาส่งคำบอกกล่าวว่าจะสืบพยานแทนการออกหมายเรียก  (มาตรา  106/1)

ข  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา  115  พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา  แม้มาเป็นพยาน  จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆก็ได้

วินิจฉัย

แม้พระภิกษุสนองจะได้ตอบข้อซักถามของอัยการโจทก์แล้ว  ก็มิใช่ว่าจะต้องตอบคำถามค้านของทนายจำเลยด้วยแต่ประการใด  เพราะเหตุที่กฎหมายได้ให้เอกสิทธิ์พระภิกษุสนองที่จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคำถามใดๆก็ได้  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  115

ดังนั้น  การที่พระภิกษุสนองนิ่งเฉยไม่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลย  ศาลก็ไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้พระภิกษุสนองเบิกความตอบคำถามค้านได้  กรณีเช่นนี้  ศาลต้องจดลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลถึงการที่พระภิกษุสนองไม่ยอมเบิกความ

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะจดลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลถึงการที่พระภิกษุสนองไม่ยอมเบิกความ

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3)  เลขที่  1111  โดยซื้อมาจากเจ้าของเดิมและจดทะเบียนรับโอนมาโดยชอบแล้ว  จำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงดังกล่าวก่อนที่โจทก์จะรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย  โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท  แต่จำเลยเพิกเฉย  โจทก์ได้รับความเสียหาย  ไม่อาจนำออกให้ผู้อื่นเช่าหาผลประโยชน์ได้  คิดค่าเสียหายเดือนละ  1,000  บาท  ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท  และชดใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทแก่โจทก์

จำเยให้การว่า  โจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริต  ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์มาแต่แรก  จำเลยครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดา  น.ส. 3 ก.  เลขที่  1111  ออกทับที่ดินที่บิดาของจำเลยครอบครอง  จึงออกมาไม่ชอบ  โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่  จำเลยไม่ทราบ  ขอให้ยกฟ้อง

เช่นนี้  คดีมีประเด็นตามคำฟ้อง  ประเด็นตามคำให้การ  และประเด็นข้อพิพาทอย่างไร  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

มาตรา  438  ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น  ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด

มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ประเด็นตามฟ้อง  คือ  ข้ออ้างทั้งหลายที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง  ซึ่งมีดังนี้

1       โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน  น.ส. 3 ก.  ตามฟ้อง

2       จำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย

3       โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท  แต่จำเลยเพิกเฉย

4       โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ  1,000  บาท

ประเด็นตามคำให้การ  คือ  ข้อเถียงทั้งหลายที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ข้ออ้างของโจทก์  หรือกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในคำให้การ  ซึ่งมีดังนี้

1       โจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริต

2       ที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของจำเลยซึ่งครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดา

3       น.ส.3  ก.  เลขที่  1111  ออกมาโดยไม่ชอบเพราะออกทับที่ดินบิดาของจำเลยครอบครอง

4       โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด  จำเลยไม่ทราบ

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

ดังนั้น  คดีตามอุทาหรณ์จึงมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้

1       โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่

2       โจทก์เสียหายเพียงใด

เนื่องจากประเด็นตามคำฟ้อง  จ้อ  1  จำเลยให้การปฏิเสธไว้ตามประเด็นให้คำให้การข้อ  2  และ  ข้อ  3  จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่

ประเด็นตามคำฟ้อง  ข้อ  2  ในส่วนที่ว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท  ประเด็นนี้จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ  ถือว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท  จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทในส่วนนี้  สำหรับข้อที่ว่าจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมายนั้น จำเลยให้การปฏิเสธไว้แล้วตามประเด็นคำให้การข้อ  2  และข้อ  3  ไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นอีก

ประเด็นตามคำฟ้อง  ข้อ  3  จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ  จึงถือว่าจำเลยยอมรับ  ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในข้อนี้  ประเด็นตามคำฟ้อง  ข้อ 4  ที่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายนั้น  จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด  จำเลยไม่ทราบ  กรณีถือว่าเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งว่ารับหรือถูกปฏิเสธ  จึงไม่ชอบด้วย 

ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่  แต่ปัญหาว่าค่าเสียหายมีมากน้อยเพียงใดซึ่งแม้จำเลยให้การว่าไม่ทราบอันเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งก็ตาม  แต่ศาลยังต้องพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์นำสืบหรือตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด  จึงยังคงมีปัญหาข้อพิพาทที่ต้องกำหนดว่าโจทก์เสียหายเพียงใด

ส่วนประเด็นตามคำให้การข้อ  1  ที่จำเลยให้การว่าโจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริตนั้น  จำเลยให้การปฏิเสธโดยไม่ปรากฏเหตุแห่งการปฏิเสธว่าไม่สุจริตอย่างไร  จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ. มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคสอง  (2)  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นข้อพิพาทที่  1  เนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม  น.ส.  3  ก.  ที่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  โดยมีโจทก์เป็นผู้มีชื่อในทะเบียน  จึงเป็นกรณีที่มีข้อสันนิษฐานไว้ใน  ป.พ.พ.  มาตรา  1373 เป็นคุณแก่โจทก์  เมื่อข้อเท็จจริงเบื้องต้นปรากฏแล้วว่า  โจทก์มีชื่ออยู่ใน  น.ส.3  ก.  โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว  ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง  ดังนี้ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้  (ฎ. 2516/2549,  ฎ. 4343/2539)

ประเด็นข้อพิพาทข้อ  2  โจทก์กล่าวอ้าง  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้  แต่แม้โจทก์จะไม่นำสืบหรือนำสืบไม่ได้ตามฟ้อง  กรณีเช่นนี้ ศาลก็อาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้เองตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  438  วรรคแรก

สรุป  ประเด็นตามคำฟ้อง  มีดังนี้

1       โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้อง

2       จำเลยปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย

3       โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท  แต่จำเลยเพิกเฉย

4       โจทก์ได้รับความเสียหายเดือนละ  1,000  บาท

ประเด็นตามคำให้การ  มีดังนี้

1       โจทก์จดทะเบียนรับโอนที่ดิน  น.ส.3  ก.  ตามฟ้องมาโดยไม่สุจริต

2       ที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของจำเลยซึ่งครอบครองต่อเนื่องมาจากบิดา

3       น.ส.3  ก  เลขที่  1111  ออกมาโดยไม่ชอบเพราะออกทับที่ดินบิดาของจำเลยครอบครอง

4       โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด  จำเลยไม่ทราบ

ประเด็นข้อพิพาท  มีดังนี้

1       โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่จำเลย

2       โจทก์เสียหายเพียงใด  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่โจทก์

 


ข้อ  2  พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องนายหนึ่งและนายสองเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์  หลังจากศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้ฟังแล้ว  นายหนึ่งให้การรับสารภาพ  นายสองให้การปฏิเสธ  ศาลสั่งจำหน่ายคดีสำหรับนายสองโดยให้โจทก์แยกฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  และพิพากษาลงโทษจำคุกนายหนึ่งซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว  ในคดีที่โจทก์ฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  นายสองให้การปฏิเสธ  โจทก์นำนายหนึ่งมาเบิกความว่า  นายสองได้ร่วมลักทรัพย์กับนายหนึ่งตามฟ้อง  นายสามผู้ร่วมลักทรัพย์อีกคนหนึ่งแต่ถูกกันไว้เป็นพยานมาเบิกความว่า  นายสองร่วมกับนายหนึ่งและนายสามลักทรัพย์ตามฟ้อง  และนายสี่ซึ่งโจทก์ระบุไว้ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมศาลอนุญาตแล้วแต่พนักงานสอบสวนไม่ได้สอบคำให้การนายสี่ไว้ในชั้นสอบสวน  ทั้งโจทก์ก็มิได้สอบคำให้การไว้เช่นกันมาเบิกความว่า  ตามวันเวลาเกิดเหตุ  นายสี่เห็นนายหนึ่ง  นายสอง  และนายสามร่วมกันลักทรัพย์ตามฟ้อง  ดังนี้  ท่านเห็นว่า  คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสาม  และนายสี่พยานโจทก์รับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  226  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมิผิดหรือบริสุทธิ์  ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น  และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน

มาตรา  232  ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน

วินิจฉัย

การห้ามโจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  หมายถึง  จำเลยในคดีเดียวกันเท่านั้น  ผู้ที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันแต่ถูกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่ง  หรือผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับจำเลยแต่มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยเพราะถูกกันไว้เป็นพยาน  กรณีเช่นนี้ก็ย่อมไม่ต้องห้ามตามมาตรานี้แต่อย่างใด

คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสาม  และนายสี่รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้นายหนึ่งและนายสองจะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันก็ตาม  แต่เมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดี  โดยให้โจทก์แยกฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  กรณีเช่นนี้  นายหนึ่งจึงไม่ได้เป็นจำเลยในคดีที่โจทก์แยกฟ้องนายสองเป็นคดีใหม่  โจทก์จึงอ้างนายหนึ่งเป็นพยานได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  แต่อย่างใด  (ฎ. 1202/2520)

กรณีนายสาม  ซึ่งเป็นผู้ร่วมลักทรัพย์ไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วย  โดยถูกกันไว้เป็นพยาน  ดังนั้น  เมื่อนายสามมิได้อยู่ในฐานะเป็นจำเลย โจทก์จึงอ้างนายสามเป็นพยานได้ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232 (ฎ. 534/2512)

และนายสี่ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน  เมื่อพิจารณาแล้วน่าจะพิสูจน์ได้ว่านายองกระทำความผิดจริงตามฟ้อง  ทั้งไม่ปรากฏว่านายสี่เป็นพยานชนิดที่เกิดจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวง  หรือโดยมิชอบประการอื่น  ดังนั้น  โจทก์จึงอ้างนายสี่เป็นพยานได้ตาม ป.วิ.อ.  มาตรา  226  และไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าพยานบุคคลของโจทก์ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  226  นั้น  พนักงานสอบสวนต้องสอบคำให้การในชั้นสอบสวนหรือพนักงานอัยการได้เรียกมาสอบคำให้การเป็นพยานไว้แล้ว  จึงจะอ้างเป็นพยานในชั้นศาลได้  (ฎ.  2107/2514,

ฎ. 4012/2534)

ดังนั้น  คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสามและนายสี่พยานโจทก์จึงรับฟังได้  ส่วนจะเพียงพอให้แน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและนายสามเป็นผู้กระทำความผิดนั้นหรือไม่  เป็นดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักพยานบุคคลว่าพอฟังลงโทษนายสามจำเลยได้หรือไม่  ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ.  มาตรา  227

สรุป  คำเบิกความของนายหนึ่ง  นายสามและนายสี่  พยานโจทก์รับฟังได้

 


ข้อ  3  จงตอบคำถามต่อไปนี้

ก  พยานเอกสารคืออะไร  แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์  สส  999  กรุงเทพมหานคร  บัตรโดยสารเครื่องบินสายการบินนกแก้วแอร์  ซึ่งมีชื่อนายแดง  เป็นผู้โดยสาร  และกำหนดเที่ยวบินไว้เรียบร้อยแล้ว  เป็นพยานเอกสารหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

พยานเอกสาร  หมายถึง  ข้อความ  ตัวอักษร  ตัวเลข  รูป  รอย  หรือเครื่องหมายอย่างใดๆ  จะบันทึกไว้โดยการเขียน  พิมพ์  พิมพ์ดีด  แกะสลัก  ถักร้อยหรือวิธีอื่นใดก็ได้  ไว้ในเอกสารหรือวัตถุใด  ซึ่งคู่ความใช้อ้างอิงโดยอาศัยสื่อความหมายของข้อความตัวอักษร  รูป  รอย  หรือเครื่องหมายใดๆเป็นการนำสืบถึงความหมายของสิ่งที่ปรากฏในเอกสาร  หรือวัตถุใดๆเพื่อพิสูจน์ข้ออ้างหรือข้อเถียงของคู่ความ

พยานวัตถุ  หมายถึง  วัตถุหรือสิ่งอื่นใดที่อาจพิสูจน์ความจริงต่อศาลได้โดยการตรวจดูมิใช่โดยการอ่านหรือพิจารณาข้อความที่บันทึกไว้

1       แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์  สส  999  กรุงเทพมหานคร  ไม่ใช่พยานเอกสาร  เพราะแผ่นป้ายทะเบียนดังกล่าวไม่ได้สื่อความหมายของข้อความหรือความหมายอย่างหนึ่งอย่างใด  แต่เป็นพยานวัตถุเพราะเป็นการแสดงถึงรูปร่าง  ลักษณะ  หรือความมีอยู่จริงของแผ่นป้ายทะเบียน

2       บัตรโดยสารเครื่องบิน  สายการบินนกแก้วแอร์  ระบุชื่อนายแดงเป็นผู้โดยสาร  และกำหนดเที่ยวบินไว้แล้ว  จะเห็นได้ว่า  บัตรโดยสารดังกล่าว  สื่อความหมายให้เห็นว่า  นายแดงเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายดังกล่าว  กรณีจึงถือว่าเป็นพยานเอกสาร

ข  คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกคดีหนึ่ง  โจทก์อ้างว่าความจริงโจทก์ชื่อ  นายหวย  เป็นบุตรของนางหอมเจ้ามรดกแต่เหตุที่โจทก์มีชื่อในบัตรประจำตัวประชาชนว่า  นายเขียว  เนื่องจากโจทก์หลบหนีคดีอาญา  โจทก์จึงแจ้งชื่อโจทก์และชื่อบิดามารดาใหม่เพื่อมิให้คนอื่นรู้ว่าโจทก์คือนายหวย  ในชั้นพิจารณาคดี  โจทก์จะอ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

 มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

วินิจฉัย

ในชั้นพิจารณาคดี  โจทก์จะอ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่บุคคลใดจะเป็นทายาทของเจ้ามรดกหรือไม่มิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ฉะนั้นโจทก์จึงอ้างนายแห้วมาสืบหักล้างบัตรประชาชนได้ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่ประการใด

และแม้บัตรประจำตัวประชาชนจะเป็นเอกสารราชการอันเป็นเอกสารมหาชนตามมาตรา  127  ซึ่งให้สันนิษฐานว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องก็ตาม  แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่จะห้ามมิให้คู่ความนำสืบหรือห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นอย่างอื่น  ดังนั้น  ในชั้นพิจารณาคดี โจทก์จึงอ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้  (ฎ. 526/2540)

สรุป  ในชั้นพิจารณาคดี  โจทก์อ้างนายแห้วมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ได้

LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันก่อเหตุ  ในวันเวลาเกิดเหตุ  จำเลยขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทในขณะที่ร่างกายอ่อนเพลีย  มีอาการหลับใน  ไม่สามารถบังคับรถยนต์ได้  เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับพุ่งเข้าชนโจทก์ซึ่งเดินอยู่บนบาทวิถี  ได้รับอันตรายสาหัส  ขดให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินรวม  500,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี

จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ตามฟ้อง  ในวันเวลาเกิดเหตุ  จำเลยไม่ได้ขับรถด้วยความประมาท  ถนนบริเวณที่เกิดเหตุมีหลุมมีบ่อหลายแห่ง  จำเลยขับรถยนต์ตามฟ้องมาพบหลุมขนาดใหญ่กลางถนนซึ่งสำนักงานเขตไม่ได้ติดตั้งสัญญาณเตือนภัยไว้  จำเลยต้องหักหลบหลุมดังกล่าวโดยกะทันหันเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับเสียหลักขึ้นไปบนบาทวิถีและเฉี่ยวชนโจทก์  จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์  โจทก์เสียหายเป็นเงิน  500,000  บาท  จริงหรือไม่  จำเลยไม่ทราบ  ไม่รับรอง  โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา  คำขอบังคับ  และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขอให้ยกฟ้อง

ในวันชี้สองสถาน  ทนายโจทก์และทนายจำเลย  จำเลย  แถลงร่วมกันว่า  จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์คันก่อเหตุตามฟ้อง  แต่ขณะเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว

ให้วินิจฉัยว่า  คดีนี้มีประเด็นแห่งคดีที่ฟังเป็นยุติและประเด็นข้อพิพาทประการใด  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

มาตรา  437  วรรคแรก  บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง

มาตรา  438  ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น  ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด

วินิจฉัย

ประเด็นแห่งคดี  หมายถึง  ข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ระหว่างโจทก์หรือจำเลยหรือคู่ความฝ่ายอื่นๆ  ซึ่งปรากฏในคำฟ้องหรือในคำให้การหรือคำคู่ความอื่นๆ  (ถ้ามี)

กรณีตามอุทาหรณ์  โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  437  แม้จำเลยให้การต่อสู้คดี  แต่ก็มีประเด็นแห่งคดีที่คู่ความฟังได้เป็นยุติ  ดังนี้

1       ประเด็นตามฟ้องที่ว่า  จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันก่อเหตุหรือไม่  แม้จำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันก่อเหตุตามฟ้อง  แต่จำเลยก็ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธ  กรณีต้องถือว่าจำเลยยอมรับในประเด็นที่ว่า  จำเลยครอบครองควบคุมดูแลรถยนต์ตามฟ้องในขณะเกิดเหตุ  แม้ในวันชี้สองสถานทนายโจทก์และทนายจำเลยได้แถลงร่วมกันว่าขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวก็ตาม  แต่คำแถลงของคู่ความนี้ไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท  (ฎ. 862/2510)  คดีจึงฟังเป็นยุติตามคำให้การที่ถือว่ารับของจำเลย  ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์ตามฟ้องหรือไม่  แม้จำเลยให้การปฏิเสธก็ไม่มีผลกระทบต่อผลแพ้ชนะของคดี  จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย

2       ประเด็นตามฟ้องที่ว่า  จำเลยต้องรับผิดในการเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่  ในกรณีดังกล่าวจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า  โจทก์ไม่ได้เสียหายจากรถยนต์ที่จำเลยขับ  กรณีต้องถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์ได้รับการเสียหายจากรถยนต์ซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลที่จำเลยเป็นผู้ครอบครองควบคุมดูแล  โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  437  วรรคแรก  จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์เพื่อการเสียหายนี้  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเพราะความผิดของโจทก์ผู้เสียหายนั้นเอง  แต่เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การยกเหตุสุดวิสัยหรือเหตุเกิดเพราะความผิดของโจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้  ดังนั้น  จึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้  คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่า  จำเลยต้องรับผิดในการเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์  (เทียบ  ฎ. 762/2517)

3       ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ว่า  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม  ในกรณีดังกล่าวจำเลยให้การเพียงยกถ้อยคำตามกฎหมายมาอ้างโดยไม่ได้บรรยายว่าฟ้องโจทก์ไม่ชัดแจ้งอย่างไร  กรณีจึงถือว่าคำให้การของจำเลยแสดงเหตุการณ์ปฏิเสธไม่ชัดแจ้ง  ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ดังนั้น  จึงไม่มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัย  คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่า  คดีของโจทก์ไม่เคลือบคลุม  (ฎ .913/2509,  ฎ. 48/2536)

ดังนั้น  คดีจึงมีประเด็นแห่งคดีที่ฟังเป็นยุติ  ดังนี้

1       จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ

2       จำเลยต้องรับผิดในทางเสียหายที่เกิดขึ้น

3       ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม

สำหรับประเด็นข้อพิพาท  มีดังนี้

1       โจทก์เสียหายเพียงใด

2       โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยสำหรับค่าเสียหายในอัตราร้อยละสิบห้ามต่อปีหรือไม่

ส่วนหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

1       ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า  โจทก์เสียหายเพียงใดนั้น  ในกรณีดังกล่าวแม้จำเลยต่อสู้ว่า  โจทก์เสียหายเป็นเงิน  500,000  บาท  จริงหรือไม่  จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง  กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์เสียหายเป็นเงิน  500,000  บาท  กรณีเช่นนี้  โจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามจำนวนค่าเสียหายที่ฟ้องมา  แต่หากโจทก์ไม่นำสืบหรือนำสืบไม่ได้ตามฟ้อง  ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้เองตามสมควร  โดยพิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  438  วรรคแรก

2       ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า  โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีหรือไม่นั้น  ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยได้เอง  คู่ความไม่ต้องนำสืบ

สรุป  

คดีจึงมีประเด็นแห่งคดีที่ฟังเป็นยุติ  ดังนี้

1       จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ

2       จำเลยต้องรับผิดในทางเสียหายที่เกิดขึ้น

3       ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม

คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบ  ดังนี้

1       โจทก์เสียหายเพียงใด  โจทก์มีหน้าที่นำสืบ

2       โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีหรือไม่  เป็นปัญหาข้อกฎหมายคู่ความไม่ต้องนำสืบ  ศาลวินิจฉัยได้เอง

 


ข้อ  2  เมื่อวันที่  1  ตุลาคม  2550  นายจูมงชาวเกาหลีใต้ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าถูกคนทำร้ายชิงเอาทรัพย์ไป  นายแดงเห็นเหตุการณ์คนร้ายคือนายดำ  แต่นายจูมงจะต้องเดินทางกลับประเทศของตนโดยด่วน  พนักงานสอบสวนจึงเสนอเรื่องต่อพนักงานอัยการให้ร้องขอต่อศาลขอสืบนายจูมงเป็นพยานไว้ก่อน  โดยยังจับนายดำไม่ได้  ดังนี้  พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอสืบนายจูมงไว้ก่อนฟ้องได้หรือไม่  และถ้าจับนายดำมาฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว  นายแดงถูกทำร้ายอาจถึงแก่ความตายได้ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์  พนักงานอัยการโจทก์จะขอสืบนายแดงไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  173/2  วรรคสอง

ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอ  ศาลจะมีคำสั่งให้สืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันกำหนดนัดสืบพยานก็ได้

มาตรา  237  ทวิ  วรรคแรก  ก่อนฟ้องคดีต่อศาลเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร  ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี  หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม  หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า  พนักงานอัยการโดยตนเองได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหายหรือเจ้าพนักงานสอบสวน  จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้สืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้  ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด  และผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ  ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล  หากถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของศาล  ให้ศาลเบิกตัวผู้นั้นมาพิจารณาต่อไป

วินิจฉัย

นายจูมงเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของนายดำผู้ต้องหาในความผิดฐานชิงทรัพย์  กรณีนี้จึงถือว่านายจูมงเป็นพยานสำคัญในคดี  เมื่อได้ความว่าก่อนฟ้องคดีต่อศาลมีเหตุที่นายจูมงพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร  โดยนายจูมงเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดีทั้งมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า  ดังนั้น  เมื่อพนักงานสอบสวนเสนอคำร้องต่อพนักงานอัยการ  พนักงานอัยการจึงสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลขอสืบนายจูมงไว้ก่อนฟ้องได้  โดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่านายดำผู้ต้องหาได้กระทำผิดตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  237  ทวิ  วรรคแรก  ทั้งนี้  แม้จะยังจับตัวนายดำผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดไม่ได้ก็ตาม  (ฎ. 2980/2547)

ส่วนกรณีนายแดงซึ่งเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์  (ประจักษ์พยาน)  พนักงานอัยการโจทก์จะขอสืบนายแดงไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้หรือไม่นั้น  เห็นว่า  หากนายแดงถึงแก่ความตายโดยไม่มีการสืบพยานไว้ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์  ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผลของคดีได้  เพราะนายแดงประจักษ์พยานซึ่งถือว่าเป็นพยานที่สำคัญกรณีจึงถือว่ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ที่ต้องมีการสืบนายแดงซึ่งเป็นพยานอันเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีไว้ล่วงหน้าก่อนถึงกำหนดวันนัดสืบพยาน  ดังนั้น  พนักงานอัยการโจทก์จึงสามารถขอสืบนายแดงพยานไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  173/2  วรรคสอง

สรุป  พนักงานอัยการจึงสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลขอสืบนายจูมงไว้ก่อนฟ้องได้  และสามารถขอสืบนายแดงพยานไว้ล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ได้เช่นกัน


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามหนังสือสัญญากู้เงินจำนวน  
80,000  บาท  จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้เป็นเรื่องการเล่นแชร์กัน แล้วนำสืบนายแดงเป็นพยานว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์และจำเลยประมูลแชร์ได้  โจทก์ซึ่งเป็นนายวงแชร์ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินเพื่อเป็นประกันว่าจำเลยจะส่งชำระค่าแชร์ในงวดที่เหลือต่อไปและต่อมาการเล่นแชร์สิ้นสุดลงโดยจำเลยส่งชำระค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว  ซึ่งเป็นการนำสืบตามที่จำเลยให้การต่อสู่  ดังนี้  การนำสืบพยานของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก)  ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร  เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

การนำสืบพยานของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยนำสืบนายแดงเป็นพยานตามคำให้การต่อสู้ว่า  ไม่ได้กู้เป็นเรื่องการเล่นแชร์กันซึ่งจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์และจำเลยประมูลแชร์ได้  โจทก์ซึ่งเป็นนายวงแชร์ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินเพื่อเป็นประกันว่าจำเลยจะส่งชำระค่าแชร์ในงวดที่เหลือต่อไป  และต่อมาการเล่นแชร์สิ้นสุดลงโดยจำเลยส่งชำระค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว  การนำสืบพยานจำเลยดังกล่าวเป็นการสืบถึงมูลเหตุที่มาของการทำสัญญากู้  เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์  เพราะจำเลยส่งชำระค่าแชร์ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว  เท่ากับเป็นการนำสืบว่าสัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  วรรคท้าย  จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลเข้าสืบได้  หาใช่เป็นการนำสืบถึงการชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคสอง  อันจะต้องห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลไม่  (ฎ. 5292/2548)

สรุป  การนำสืบพยานของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!