LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ซ่อมภาคฤดูร้อน/2551

การสอบซ่อมภาค  2  และภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ผู้เสียหายในคดีอาญามีความหมายว่าอย่างไร  มีกี่ประเภท  อะไรบ้าง  ให้อธิบายมาโดยละเอียด  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4  5  และ  6

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกอธิบายได้ดังนี้

1       ผู้เสียหายโดยตรง  คือ  ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งการจะพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือเป็นผู้เสียหายโดยแท้จริงนั้น  มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  คือ

 ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น

บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น

เป็นความเสียหายต่อสิทธิ

บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

2       ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  คือ  แม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายแท้จริงแต่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในความหมายของคำว่า  ผู้เสียหาย  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย

มาตรา  4  ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีและเป็นผู้เสียหายโดยตรง  หญิงมีสามีนั้นสามารถฟ้องคดีอาญาได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  ตามกฎหมายถือว่าหญิงมีสามีมีอำนาจเต็มทุกประการ  ทั้งนี้ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  4  วรรคแรก

มาตรา  4  วรรคสอง  มามีมีอำนาจจัดการ  (ฟ้องคดีอาญา)  แทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  5(2)  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย

มาตรา  5  บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5  นั้นได้แก่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยา  เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคล  เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  6

กรณีที่จะมีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลนั้นตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา  6  นั้น  มีอยู่  2  ประการ  คือ

(1) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์  ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์

(2) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ  ไม่มีผู้อนุบาล  หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้อนุบาลมีผลประโยชน์ขัดกันกับคนไร้ความสามารถ

 

ข้อ  2  คำร้องทุกข์กับคำกล่าวโทษแตกต่างกันอย่างไร  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

คำร้องทุกข์กับคำกล่าวโทษเป็นกระบวนการในการดำเนินคดีอาญาภายใต้ระบบกล่าวหา  โดยมีข้อแตกต่างกันดังนี้

คำร้องทุกข์  หมายถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  (ป. วิอาญา  มาตรา  2(7))

คำกล่าวโทษ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดี  ได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งขึ้น  (ป. วิอาญา  มาตรา  2(8))

ข้อ  3  นางสาวน้ำ  อายุ  17  ปี  ถูกนายเสือกระทำอนาจาร  ให้วินิจฉัยว่า  นางสาวน้ำซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  (4)  ผู้เสียหาย  หมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  , 5    และ  6

มาตรา  2  (7)  คำร้องทุกข์  หมายถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

นางสาวน้ำซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่สามารถร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเสือได้  ตามมาตรา  2(4) , (7)  เนื่องจากศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่า  การร้องทุกข์ไม่ใช่การทำนิติกรรม  เมื่อมีอายุพอสมควรย่อมร้องทุกข์เองได้  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติตัดสิทธิแต่อย่างใด

ข้อ  4  นายเมฆเป็นทนายความของนายหมอก  (ตัวความ)  ต่อมาปรากฏว่านายเมฆรับชำระเงินจำนวนห้าหมื่นบาทจากฝ่ายตรงข้าม  โดยที่นายหมอกไม่ได้มอบหมายให้นายเมฆมีอำนาจรับเงินจากฝ่ายตรงข้าม  และนายเมฆได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริต  นายหมอกจึงไปแจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเมฆ  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

คดีนี้ผู้เสียหายคือคู่ความฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเจ้าของเงินในความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ดังนั้น  เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน  เนื่องจากในคดีความผิดต่อส่วนตัว  ถ้าสอบสวนโดยไม่มีคำร้องทุกข์หรือมีคำร้องทุกข์แต่เป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการสอบสวนคดีนั้น  ตาม  ป. วิ. อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงขั้นตอน  เค้าโครงการดำเนินคดีอาญา  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  ตั้งแต่มีการกระทำความผิดอาญาจนถึงศาลมาโดยสังเขป  พร้อมอ้างหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ขั้นตอน  เค้าโครงการดำเนินคดีอาญา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มีดังนี้

1       เริ่มต้นด้วยการมีคำกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น  คำกล่าวหาเช่นว่านี้ก็ได้แก่  คำร้องทุกข์โดยผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ. อาญา  มาตรา  2(7)  หรือคำกล่าวโทษตาม  มาตรา  2 (8)  โดยอาจเป็นการกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  123  และประกอบมาตรา  127  หรืออาจจะเป็นการกล่าวหาต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  ซึ่งมีหน้าที่รองหรือเหนือพนักงานสอบสวนและเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายก็ได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  124  และประกอบมาตรา  127  กรณีของคำกล่าวโทษ

2       พนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบสวนตามคำกล่าวหา  ซึ่งจะมีอำนาจสอบสวนได้ทั้งกรณีความผิดต่อส่วนตัวและความผิดต่ออาญาแผ่นดิน

3       เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดในการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนเสร็จแล้วก็ต้องสรุปสำนวนพร้อมทำความเห็นทางคดี  เช่น  งดการสอบสวน  ควรให้งดการสอบสวน  สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง  แล้วส่งสำนวนต่อไปยังพนักงานอัยการ (ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  140 , 141  และมาตรา  142)

4       เมื่อสำนวนส่งถึงพนักงานอัยการ  พนักงานอัยการก็จะมีความเห็นทางคดี  เช่น  สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง  ถ้าพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องก็ต้องส่งสำนวนเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด  แล้วแต่กรณี  (ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา  145)  และถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด  แล้วแต่กรณีมีความเห็นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ  ก็ให้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด  และกฎหมายกำหนดว่าให้แจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีนี้ให้ผู้ต้องหาและผู้ร้องทุกข์ทราบด้วย  และถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุมหรือขังอยู่ให้จัดการปล่อยตัวไปหรือขอให้ศาลปล่อยแล้วแต่กรณี  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  146)  และนอกจากนี้  มาตรา  147  ยังกำหนดไว้อีกว่า  เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว  ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นเรื่องเดียวกันนั้นอีก  เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี  ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้

5       ในกรณีพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง  กระบวนการพิจารณาก็จะไปสู่ศาลชั้นต้น  คือพนักงานอัยการจะยื่นฟ้องคดีต่อศาล  ซึ่งในกรณีพนักงานอัยการฟ้องนี้จะไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  162 (2))  แต่ถ้ากรณีผู้เสียหายหรือราษฎรฟองกันเองต้องไต่สวนมูลฟ้องทุกกรณี  (ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  162 (1))

6       เมื่อได้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว  คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลต่อไป  ถึงแม้ว่าจะได้ฟ้องคดีต่อศาลแล้วก็ตาม  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทยพุทธศักราช  2550  ในหมวด  3  ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย  มาตรา  39  ก็ได้  บัญญัติคุ้มครองไว้ว่า  ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด

 

ข้อ  2  สิทธิของผู้ต้องหาในการดำเนินคดีอาญามีอะไรบ้าง  ให้ตอบเป็นข้อๆพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ในการดำเนินคดีอาญาผู้ต้องหามีสิทธิดังนี้

1       กรณีผู้ต้องหาเป็นนิติบุคคล  ย่อมมีสิทธิตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  7

ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหา  การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นนิติบุคคลนั้นกฎหมายให้ออกหมายเรียกผู้จัดการ  หรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคลนั้นให้ไปยังพนักงานสอบสวนได้  และถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกจะออกหมายจับผู้นั้นมาก็ได้  แต่เมื่อจับมาแล้วจะใช้บทบัญญัติว่าด้วยปล่อยชั่วคราวกับผู้นั้นไม่ได้

2       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  7/1

ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมหรือขัง  มีสิทธิแจ้งหรือขอให้เจ้าพนักงานแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหามีสิทธิดังต่อไปนี้ด้วย

(1) พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว

(2) ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้ใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน

(3) ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร

(4) ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย

ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมอบตัวผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีหน้าที่แจ้งให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหานั้นทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิดังกล่าว

3       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  134  ซึ่งโดยสรุปคือ

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว  ต่อเนื่อง  และเป็นธรรม

(2) พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหา  และแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้

4       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  135  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

(1) ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

(2) ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้

5       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  134/3  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

ผู้ต้องหามิสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

6       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  135  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ถูกสอบสวนโดยมิชอบด้วย  ป.วิอาญา มาตรา  135

7       สิทธิของผู้ต้องหา  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย  พ.ศ. 2550  อาทิเช่น

(1) ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด (มาตรา  39) 

(2) สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม  รวมทั้งสิทธิในการสอบสวนอย่างถูกต้อง  รวดเร็ว  เป็นธรรม  และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง  (มาตรา  40 (4))

(3) สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง  และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ (มาตรา  40 (5))

 

ข้อ  3  หนุ่ยกับโหน่งสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนุ่ยจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4    5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

หนุ่ยจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้  เพราะหนุ่ยไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย  เนื่องจากหนุ่ยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้กระทำความผิดด้วยจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย  ดังนั้น  หนุ่ยจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2 (4) และ (7)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3 ข้างต้นนั้น  ให้วินิจฉัยว่า  ถ้าหนุ่ยได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งแล้ว  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่หนุ่ยกับโหน่งสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายกันจนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดินพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (เทียบนัยคำพิพากษาฎีกาที่  1681/2535,  748/24831)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  หลักการสัมภาษณ์พยานมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การสัมภาษณ์พยานจะต้องกระทำโดยยึดหลัก  ดังนี้

1       จะไม่ถามเชิงแนะนำที่ดูเหมือนว่าต้องการคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง  เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องมีแผนในการสัมภาษณ์เพื่อประหยัดเวลา

2       จะไม่ป้อนข่าวและข้อมูลให้แก่พยานที่ไม่รู้มาก่อน  เพราะพยานอาจจะเพิ่มเติมเรื่องของตนเข้าไปผสมผสานกับคำแนะนำหรือความเห็นจากการป้อนข่าวของเจ้าหน้าที่  ซึ่งอาจเป็นไปโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ทำให้ผลที่ได้ในเรื่องดังกล่าวไม่ตรงกับที่พยานได้เห็นเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุนั้น

3       สิ่งที่ต้องการได้แก่เรื่องจริงที่จำได้เท่านั้นจึงจะเป็นลักษณะของงานสืบสวนที่กำลังปฏิบัติอยู่

4       ต้องไม่ย่อท้อเมื่อสัมภาษณ์พยานแต่ละคน  จนกว่าจะสามารถรู้เรื่องที่พยานรู้และได้เห็นโดยตลอด  และเข้าใจชัดเจนปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นในความคิดขนาดที่ผู้สืบสวนคดีสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคนเห็นหรือได้ยินด้วยตนเองหรือเสมือนกับว่าตนได้อยู่ในที่นั้นด้วย

5       พิจารณาโดยมิให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่าพยานเชื่อถือได้  ไว้ใจได้  และมีความสามารถขนาดไหน  ควรรู้จักธรรมชาติของพยานเพื่อสรุปอย่างตรงประเด็นว่าพยานรู้อะไร  เห็นอะไร  และไม่รู้อะไร  ไม่เห็นอะไร

6       รักษามารยาทที่ดีงามตามแบบแผนและประเพณีของสังคม  ทั้งต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน  (Human  Rights)  ด้วย

 

ข้อ  2  ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรม  พิจารณาเฉพาะบาดแผลมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยละเอียด  (ไม่น้อยกว่า 5  ลักษณะ)

ธงคำตอบ

กรณีตามปัญหาพิจารณาได้ดังนี้

จุดสังเกต

การฆ่าตัวตาย

การถูกฆาตกรรม

1  ตำแหน่งของบาดแผล จำกัดเฉพาะบริเวณที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง  ส่วนใหญ่จะมีบาดแผลด้านหน้า  ส่วนใหญ่จะกระทำที่จุดสำคัญ  เช่น ลำคอ  อก  ท้องข้อพับ  แขน  ข้อมือ  และจะไม่กระทำในส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น หากพบบาดแผลที่ด้านหลังหรือส่วนอื่นที่ไม่ใช่จุดสำคัญของร่างกายแล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกฆ่า
2  บาดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย –  มักจะมีแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  บาดแผลที่เกิดจากการ พยายามฆ่าตัวตายเป็นตัวตัดสินว่าเป็นการฆ่าตัวตาย  เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณา

–  มักจะขนานกับแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตาย  เช่น  ส่วนใหญ่จะเป็นแผลที่ตื้น  และมีหลายแห่ง

–  แต่ก็น้อยที่พบแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตายที่อยู่คนละตำแหน่งกับผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายตามลำคอ  อก  ข้อพับแขน  ข้อมือ  ซึ่งบาดแผลที่เกิดจากการ พยายามฆ่าตัวตาย  โดยการแทงนั้น  ส่วนใหญ่จะเป็นแผลตื้นที่แทงด้วยปลายของมีคมมักจะมีหลาย แห่ง

–  ไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  หากมีบาดแผลหลายแห่ง  ทิศทางจะไม่คงที่  ผู้ถูกฆาตกรรมจะต่อสู้ดิ้นรน  ดังนั้น  จะไม่มีทางเป็นไปได้ที่บาดแผลอยู่ในแนวเดียวกัน

–  อาจมีบางครั้งที่ทำให้ดูเหมือนกับเป็นการฆ่าตัวตายโดยการทำให้เกิดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  ในกรณีนี้จะเป็นแผลที่ไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่มีชีวิต

3  จำนวนบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ ความตาย ปกติบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายจะมีเพียงที่เดียวเท่านั้น  มีบ้างเป็นบางครั้งที่มีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายมากกว่า  2  แห่งพร้อมกัน หากมีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายมากกว่า  2  แห่ง  ให้พิจารณาว่าเป็นการถูกฆาตกรรม  หากทำให้เกิดบาดแผลเป็นจำนวนมากให้พิจารณาว่าเกิดจากความโกรธแค้นอย่างรุนแรง
4  ความลึกของบาดแผล ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลที่ตื้น มีแผลลึกเป็นจำนวนมากหรือแทงจนทะลุ
5  จุดเริ่มต้นของบาดแผล –  บาดแผลเริ่มจากฝั่งตรงข้ามของมือที่ถนัดและถูกปาดไปทางด้านมือที่ถนัด

–  จุดเริ่มต้นบาดแผลนั้นจะลึก

–  ตำแหน่งทิศทางและลักษณะของบาดแผลจะไม่คงที่เมื่อเปรียบเทียบจากมือที่ถนัด
 

6  บาดแผลที่กระดูก

 

–  กรณีแทงบริเวณด้านหน้าอกมักจะหลีกเลี่ยงกระดูกหน้าอกหรือกระดูกซี่โครง  จะแทงระหว่างกระดูกซี่โครง

–  แต่หากของมีคมนั้นมีขนาดใหญ่  อาจทำให้เกิดบาดแผลที่กระดูกซี่โครงด้วย

 

–  หากแทงที่กระดูกหน้าอกให้พิจารณาว่าเป็นการฆาตกรรม  และหากเป็นการแทงจนกระทั่งทำให้กระดูกซี่โครงถูกตัดขาดให้พิจารณาว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรม

7  มีบาดแผลเกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัวหรือไม่ มือหรือแขนไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัว  มีบ้างเป็นบางครั้งที่ถูกของมีคมนั้นพลาดทำให้เกิดบาดแผลขึ้น มักจะพบเห็นบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัวตามแขน  ขา  เนื่องจากกำหรือใช้มือรับอาวุธของฝ่ายตรงข้าม
     


 

ข้อ  3  ดินออกเช็คหนึ่งฉบับชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่ฟ้า  จำนวนเงินที่ระบุในเช็คคือ  120,000  บาท  ซึ่งจำนวนเงิน  120,000  บาทนี้  เป็นเงินต้น  100,000  บาท  และเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  10  ต่อเดือน  เป็นเวลาสองเดือน  คิดเป็นดอกเบี้ย  20,000  บาท  รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน  120,000  บาท  เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ  ฟ้าได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร  แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ฟ้าจะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับดินในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4    5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

จำนวนเงินในเช็คพิพาทได้รวมดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ  10  ต่อเดือนเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งเป็นอัตราที่ผิดกฎหมาย  ถือได้ว่าฟ้าเป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่ฟ้าคิดเกินอัตราตามกฎหมาย  แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  ฟ้าก็ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย  กรณีจึงไม่เป็นผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  ฟ้าจึงร้องทุกข์ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  ไม่ได้

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ถ้าฟ้าได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับดินแล้ว  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

การแจ้งข้อกล่าวหาของฟ้าไม่เป็นคำร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง   เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของไทยเป็นระบบกล่าวหา  ไม่ใช่ระบบไต่สวน  ดังนั้น  เจ้าพนักงานของรัฐจะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญาได้นั้น  ก็ต้องปรากฏว่ามีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายโดยถูกต้องตามกำหมายก่อนนั่นเอง

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  จงอธิบายเรื่องต่อไปนี้

–                    ยกตัวอย่างกฎหมายปกครองมาสามฉบับ

–                    อธิบายว่าเพราะเหตุใดกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครอง

–                    หน่วยงานของรัฐได้แก่หน่วยงานใด

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐได้แก่ใครบ้าง

–                    การใช้อำนาจทางปกครองเป็นอย่างไร

–                    การบริการสาธารณะหมายความว่าอย่างไร

ข  จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายปกครอง  หน่วยงานของรัฐ  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  การใช้อำนาจปกครอง  การบริการสาธารณะ  และศาลปกครอง

ธงคำตอบ  ก

–                    กฎหมายปกครองมีอยู่ประมาณเจ็ดร้อยกว่าฉบับ  เช่น  กฎหมายที่ดิน  และพระราชบัญญัติต่างๆ  นักศึกษาจะยกตัวอย่างกฎหมายฉบับใดก็ได้มา  3  ฉบับ  (ยกเว้นกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา)  เช่น  พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534  พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535  พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร  พ.ศ. 2528  เป็นต้น

–                    กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครองเพราะเป็นกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  และเมื่อเกิดกรณีพิพาทเป็นกรณีพิพาททางปกครอง  จะต้องนำคดีให้ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา

–                    หน่วยงานของรัฐ  ได้แก่  หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  และรัฐวิสาหกิจ

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง  ได้แก่  ข้าราชการ  พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ

–                    การใช้อำนาจทางปกครอง  คือการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมาย  แล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับต่อสถานภาพหรือสิทธิของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร

ธงคำตอบ  ข

กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยหน่วยงานของรัฐ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  จะใช้อำนาจปกครอง  หรือจะดำเนินการในการบริการสาธารณะได้จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้  และเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเรียกว่าเป็นกรณีพิพาททางปกครอง  จะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครอง

 


ข้อ  2  ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า  ผู้ฟ้องคดีกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกันจับกุมผู้ลักลอบนำน้ำมันโซล่าหลบหนีภาษีศุลกากร  (น้ำมันเถื่อน)  เข้ามาในราชอาณาจักร  พร้อมทั้งยึดเรือของกลาง  จำนวน  2  ลำ  ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค  3  มีคำพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าว  แต่ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์  ต่อมาเจ้าของเรือได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสตูลเพื่อขอคืนเรือของกลาง

และคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล  ปรากฏว่าเรือของกลางทั้ง  2  ลำได้หายไป  ผู้ฟ้องคดีจึงได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมองสตูล  แต่ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูลผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ลง บันทึกประจำวันและไม่ได้มีการดำเนินการตามที่ผู้ฟ้องคดีแจ้งความร้องทุกข์

จงวินิจฉัยว่า

1       ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจฟ้องหรือไม่  หลักกฎหมายมาตราใดบัญญัติว่าอย่างไร

2       ฟ้องศาลใด  หลักกฎหมายมาตราใดบัญญัติว่าอย่างไร

3       หากท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้ว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

1       ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจฟ้องตามมาตรา  42  แห่งพระราชบัญญัติ  จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ.  2542  เนื่องจากเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย  หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา  42  วรรคหนึ่ง

2       ต้องนำคดีไปฟ้องศาลปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจ  ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคหนึ่ง  (2)  บัญญัติว่า  คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กำหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

3       สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนด  ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร  ตามบทบัญญัติมาตรา  72 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542 

 


ข้อ  3  
หลักกระจายอำนาจปกครองนั้นเป็นวิธีการจัดระเบียบการปกครองโดยให้ท้องถิ่นต่างๆ  มีความเป็นอิสระตามสมควรที่จะปกครองตนเองโดยราษฎรในท้องถิ่นนั้น  ราชการบริหารส่วนกลางเป็นแต่เพียงกำกับดูแลเท่านั้น  ดังนี้ให้อธิบายสาระสำคัญของ  หลักกระจายอำนาจปกครอง  และ  การกำกับดูแล  ตามที่ได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

หลักการกระจายอำนาจทางปกครอง  เป็นวิธีการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้องค์การอื่นนอกจากราชการบริหารส่วนกลางจัดทำบริการสาธารณะบางอย่างโดยมีอิสระตามสมควร  ไม่ต้องขึ้นอยู่ในความบังคับบัญชาของราชการบริหารส่วนกลาง

ลักษณะสำคัญของหลักกระจายอำนาจปกครอง

1       มีการแยกหน่วยงานออกไปเป็นองค์กรนิติบุคคลอิสระจากราชการบริหารส่วนกลาง

2       มีการเลือกตั้ง

3       มีความเป็นอิสระที่จะวินิจฉัยสั่งการและดำเนินการด้วยงบประมาณและด้วยเจ้าหน้าที่ของตนเอง

การกำกับดูแล  เป้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ  ได้แก่  อำนาจกำกับดูแลของส่วนกลางที่มีอยู่เหนือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น  ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา  อำนาจกำกับดูแลเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและต้องเป็นไปตามรุปแบบที่กฎหมายกำหนด

ลักษณะทั่วไปของการกำกับดูแล

1       อำนาจกำกับดูแลจะต้องก่อตั้งขึ้นโดยกฎหมาย

2       อำนาจกำกับดูแลต้องมาจากส่วนกลาง

3       อำนาจกำกับดูแลเฉพาะความชอบด้วยกฎหมาย

 


ข้อ  4  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอาศัยอำนาจตามกฎหมายข้าราชการตำรวจ  แต่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพันตำรวจเอกรักรามผู้ใต้บังคับบัญชา  และได้มีคำสั่งพักราชการพันตำรวจเอกรักรามในระหว่างการสอบสวนวินัยร้ายแรง  เพื่อรอฟังผลการสอบสวน  โดยอ้างว่าพันตำรวจเอกรักรามดำเนินการปกปิดและทำลายพยานหลักฐานสำคัญ

ในการสอบสวนพันตำรวจเอกรักรามเห็นว่าคำสั่งพักราชการมีผลกระทบต่อสถานภาพของ สิทธิและหน้าที่ของตนเองแม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตาม  โดยที่ตนเองไม่มีโอกาสโต้แย้งแสดงหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาออกคำสั่งพักราชการ  แต่ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาทั้งสองกลับเห็นว่า  คำสั่งพักราชการเป็นเพียงคำสั่งภายในเพื่อรอฟังผลการสอบสวนวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยเท่านั้น

ซึ่งผลการสอบสวนอาจไม่ปรากฏมูลเหตุความผิดวินับร้ายแรงก็ได้  ดังนี้  พันตำรวจเอกรักรามจะโต้แย้งว่า  คำสั่งพักราชการเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน  (ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.  2539  หรือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542)

ธงคำตอบ

คำสั่งพักราชการโจทก์เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาเป็นคำสั่งทางปกครอง  มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของพันตำรวจเอกรักราม  แม้จะเป็นการชั่วคราว  แต่ก็ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  ตามนัยที่บัญญัติไว้ในมาตรา  5 (1)  ห่างพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ให้นิยามคำว่า 

คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  (1)  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวคำสั่ง พักราชการเจ้าหน้าที่พิจารณาทางปกครองจะเห็นสมควรเปิดโอกาสให้คู่กรณีมี สิทธิทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนได้ตามมาตรา  30 (6)  (กฎกระทรวงฉบับที่  2  พ.ศ. 2540)  เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่มิได้ให้โอกาสพันตำรวจเอกรัก รามทราบข้อเท็จจริงก่อนและไม่ให้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานที่อาศัยเป็นเหตุใน การออกคำสั่งพักราชการ  คำสั่งพักราชการจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อาจถูกเพิกถอนได้

หรือพันตำรวจเอกรักรามอาจขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่ง เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น ได้  ตามมาตรา  9(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

สรุป  พันตำรวจเอกรักรามสามารถโต้แย้งคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบ ด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้รับทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาส โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน  ตามมาตรา  30  พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539

หรือพันตำรวจเอกรักรามสามารถโต้แย้งคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการออกคำสั่งทางปกครอง  ตามมาตรา  9 (1)  พะราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก)     กฎหมายใดต่อไปนี้เป็นกฎหมายปกครองเพราะเหตุผลใด  (20  คะแนน  หากตอบผิดจะไม่ได้คะแนนในข้อนี้เลย  เพราะถือว่าเป็นสาระสำคัญของวิชา)

1)    ประมวลกฎหมายอาญา

2)    ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

3)    พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง  ทบวง  กรม

4)    พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมกสิกรรม

5)    กฎกระทรวง

6)    พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาล

7)    ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร

8)    เทศบัญญัติ

ข)     คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่าอย่างไร  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ 

กฎหมายที่จะเป็นกฎหมายปกครองนั้น  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  2  ประการ  คือ

1       จะต้องเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ

2       จะต้องเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  (รัฐสภา)  เท่านั้น  ซึ่งอาจใช้ชื่อของกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ  พระราชบัญญัติ  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  พระราชกำหนด  หรือในรูปของกฎหมายอื่นๆ  เช่น  ประมวลกฎหมาย  เป็นต้น

ดังนั้นในคำถาม  กฎหมายต่างๆ  ดังกล่าว  ที่จะมาเป็นกฎหมายปกครอง  ได้แก่

3)    พระราชบัญญัติปรับปรุง  กระทรวง  ทบวง  กรม

6)    พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาล

ธงคำตอบ  ข

มาตรา  5  แห่ง  พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  นั้น  คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า

(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัย  อุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่ไหมายความรวมถึงการออกกฎ

(2) การอื่นที่กำหนดในกระทรวง

ตัวอย่างของคำสั่งทางปกครอง  เช่น  การออกใบอนุญาตให้บุคคลกระทำการต่างๆ  หรือคำสั่งลงโทษวินัยข้าราชการ  เป็นต้น

 

ข้อ  2  นายราม  รักเรียน  มีที่ดินอยู่ติดทางหลวงแผ่นดิน  ซึ่งบนท้องถนนหน้าที่ดินของนายรามฯ  เป็นที่กลับรถที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงเป็นประจำ  ดังนั้นกรมทางหลวงจึงขยายผิวจราจรของถนนออกไปเพื่อเป็นที่กลับรถให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาบนถนนหลวง  แต่การขยายผิวจราจรของกรมทางหลวงได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของนายรามฯ

นายราม  รักเรียน  ไม่พอใจนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง  ตามมาตรา  9(3)  พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

ถามว่า 

1)    ถ้าท่านเป็นศาลปกครองจะรับคดีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่  เพราะเหตุใด

2)    มาตรา  9(3)  ดังกล่าว  บัญญัติว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

1)    การที่กรมทางหลวงได้ขยายผิวจราจรออกไปเพื่อเป็นที่กลับรถให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาบนถนนหลวงนั้น  ถือว่ากมทางหลวงซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้กระทำการโดยการใช้อำนาจตามกฎหมาย

แต่เมื่อการขยายผิวจราจรของกรมทางหลวงได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของนายรามฯ  ย่อมถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อนายรามฯ  ซึ่งเป็นเอกชน  และเมื่อกรณีดังกล่าวเป็นการทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  จึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดทางปกครอง  เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นย่อมอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครองตามมาตรา  9(3)  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

ดังนั้น  ตามปัญหาเมื่อนายราม  รักเรียนไม่พอใจและนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลปกครอง  ข้าพเจ้าจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาเพราะเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองตาม  มาตรา  9(3)

2)    ตามมาตรา  9(3)  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  ได้บัญญัติว่า

ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษา  หรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด  หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

 

ข้อ  3  จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการควบคุมบังคับบัญชากับการควบคุมกำกับดูแลมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

อำนาจบังคับบัญชา  เป็นอำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา  เป็นอำนาจที่ไม่มีเงื่อนไข  ผู้บังคับบัญชาสามารถที่จะสั่งการใดๆ  ก็ได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม  สามารถที่จะกลับ  แก้ไข  ยกเลิกเพิกถอน  คำสั่งหรือกรกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ  เว้นแต่จะมีกฎเกณฑ์บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่น

แต่อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจบังคับบัญชานั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย  จะใช้อำนาจบังคับบัญชาที่ขัดต่อกฎหมายไม่ได้แม้ว่าจะได้ใช้ไปในทางที่เหมาะสมก็ตาม

อำนาจกำกับดูแล  หรืออำนาจควบคุมกำกับ ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา  แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับองค์กรภายใต้การควบคุมกำกับ  จึงเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  คือจะใช้ได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด

ในการควบคุมกำกับนั้น  องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติตามที่เห็นสมควร  องค์กรภายใต้ควบคุมกำกับมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย  องค์กรควบคุมกำกับจึงเพียงแต่ควบคุมกำกับให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

โดยสรุปอำนาจบังคับบัญชาเป็นอำนาจในระบบการบริหารของนิติบุคคลหนึ่ง  เช่น  ภายในนิติบุคคลที่เรียกว่า  รัฐหรือองค์กรกระจายอำนาจอื่นๆ  เช่น  เทศบาลเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา

ส่วนอำนาจควบคุมกำกับเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับนิติบุคคลอื่นๆ  ที่ต้องจัดทำกิจการเฉพาะของตน  ความสัมพันธ์ระหว่างราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของไทยจัดเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะการบังคับบัญชา  ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลาง  (รวมถึงส่วนภูมิภาค)  กับส่วนท้องถิ่นนั้น  เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะการควบคุมกำกับ

 

ข้อ  4  จงอธิบายความหมายของการกระทำทางปกครองและรูปแบบการกระทำทางปกครอง  และให้วินิจฉัยกรณีดังต่อไปนี้ว่าเป็นการกระทำทางปกครองหรือไม่  รูปแบบใด  เพราะเหตุใด

ก)     การที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในคูคลองสาธารณะที่ปลูกสร้างผิดกฎหมาย

ข)     การที่ฝ่ายปกครองตกลงเข้าทำสัญญาเช้าอาคารจากเอกชนเพื่อใช้เป็นที่ทำกรชั่วคราว

ค)     การที่บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตตรวจสภาพรถยนต์ออกใบรับรองว่ารถยนต์คันที่มารับการตรวจผ่านการตรวจสภาพ

ธงคำตอบ

การกระทำทางปกครอง  หมายถึง  การกระทำของรัฐที่กระทำโดยองค์กรของรัฐฝ่ายปกครอง  ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่นที่มีค่าเสมอพระราชบัญญัติ

รูปแบบของการกระทำทางปกครอง  สามารถพิจารณาได้ดังนี้

1       คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

2       กฎ  หมายความว่า  พระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวง  ประกาศกระทรวง  ข้อบัญญัติท้องถิ่น  ระเบียบข้อบังคับ  หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป  โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

3       สัญญาทางปกครอง  หมายความรวมถึงสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ  และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทานสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

4       ปฏิบัติการทางปกครอง  ได้แก่  การกระทำทางปกครองทั้งหลายที่มิใช่การออกกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือสัญญาทางปกครอง  แต่เป็นการกระทำทางปกครองเพื่อให้บรรลุผลในทางข้อเท็จจริง

ก.      การที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในคูคลองสาธารณะที่ปลูกสร้างผิดกฎหมาย  เป็นการกระทำทางปกครองในรูปแบบปฏิบัติการทางปกครอง  เพราะมิได้มีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาใดๆ  ให้ปรากฏต่อผู้ใดเลย  แต่เป็นการกระทำที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังทางกายภาพเพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่

ข.      การที่ฝ่ายปกครองตกลงเข้าทำสัญญาเช่าอาคารจากเอกชนเพื่อใช้เป็นการชั่วคราว  ไม่ใช่การกระทำทางปกครองรูปแบบใด  เพราะเป็นความสัมพันธ์ภายใต้ระบบกฎหมายเอกชน

ค.      การที่บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตตรวจสภาพรถยนต์ออกใบรับรองว่ารถยนต์คันที่มารับการตรวจสภาพผ่านการตรวจสภาพ  เป็นการกระทำทางปกครองในรูปแบบคำสั่งทางปกครอง  เพราะบริษัทเอกชนได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาคซ่อม S/2549

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง  (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก.              1     จงยกตัวอย่างกฎหมายปกครองมา  10  ฉบับ

2       หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานทางปกครองได้แก่หน่วยงานใดบ้าง

3       เจ้าหน้าที่ของรัฐได้แก่ใครบ้าง

4       การใช้อำนาจทางปกครองหมายความว่าอย่างไร

5       การบริการสาธารณะเป็นอย่างไร

ธงคำตอบ

1  กฎหมายปกครอง  ได้แก่  พระราชบัญญัติ  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  พระราชกำหนด  และกฎหมายต่างๆ  ที่เมื่อเกิดกรณีพิพาทแล้วนำคดีไปขึ้นศาลปกครอง  ตัวอย่างเช่น

(1) กฎหมายที่ดิน

(2) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

(3) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน

(4) พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด

(5) พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล

(6) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร

(7) พระราชบัญญัติเทศบาล

(8) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง

(9) พระราชบัญญัติการไฟฟ้า

 (10) พระราชบัญญัติการท่าเรือ

(11)พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(12) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(13)  พระราชกำหนดการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน

2  หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง  ได้แก่  หน่วยงานการบริหารราชการส่วนกลางส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  รัฐวิสาหกิจ  และหน่วยงานอื่นที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง  รวมทั้งหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  ตัวอย่างเช่น

(1) หน่วยงานการบริหารราชการส่วนกลาง  ได้แก่  กระทรวง  ทบวง  กรม

(2) หน่วยงานการบริหารราชการส่วนภูมิภาค  ได้แก่  จังหวัด  อำเภอ

(3) หน่วยงานการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  ได้แก่  องค์การบริหารส่วนตำบล  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด  กรุงเทพมหานคร  และเมืองพัทยา

(4) รัฐวิสาหกิจ  ได้แก่  การไฟฟ้านครหลวง  การประปานครหลวง  ธนาคารออมสิน  การท่าเรือแห่งประเทศไทย  การรถไฟแห่งประเทศไทย

(5) หน่วยงานอื่นๆ  ของรัฐที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง

(6) หน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจหรือได้รับให้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมาย  ได้แก่  สำนักงานรังวัดเอกชน  สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์  สภาทนายความ  แพทยสภา  เป็นต้น

3  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  รวมถึงคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นและมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายด้วย  เช่น  ข้าราชการพนักงาน  เจ้าหน้าที่  รวมถึงคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายด้วย

 การใช้อำนาจทางปกครอง  คือ  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่อันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับต่อสถานภาพหรือสิทธิของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร

5  การบริการสาธารณะ  คือ  กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรืออยู่ในความควบคุมของฝ่ายปกครองที่ จัดทำขึ้นเพื่อสนองตอบความต้องการส่วนรวมของประชาชนและกิจการดังกล่าวจะต้อง มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้  ตัวอย่างเช่น  การจัดการศึกษา  การสาธารณสุข  การคมนาคม  การสาธารณูปโภค  เป็นต้น

ข  จงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายปกครอง  หน่วยงานทางปกครอง  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  การใช้อำนาจทางปกครอง  การบริการสาธารณะ  และศาลปกครอง  พร้อมยกตัวอย่างให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง  หรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยหน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องใช้อำนาจทางปกครอง  เพื่อการบริการสาธารณะตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้  และเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือเกิดกรณีพิพาททางปกครองขึ้นมา  จะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครอง  ตัวอย่างเช่น

นายดำมีที่ดินติดทางหลวงแผ่นดิน  ซึ่งบนท้องถนนหน้าที่ดินของนายดำเป็นที่กลับรถที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงเป็นประจำ  ดังนั้นกรมทางหลวงซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเป็นหน่วยงานทางปกครองจึงขยายผิวจราจรของถนนออกไป  เพื่อเป็นที่กลับรถให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาบนถนนหลวง  ซึ่งการขยายผิวจราจรถือเป็นการใช้อำนาจทางปกครองของกรมทางหลวงเพื่อเป็นการบริการสาธารณะ  แต่การขยายผิวจราจรของกรมทางหลวงได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายดำ  ทำให้นายดำได้รับความเดือดร้อนเสียหาย  ดังนั้นนายดำจึงนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ปัจจุบันประเทศไทยมีศาลอยู่  3  ศาล  ได้แก่  ศาลยุติธรรม  ศาลปกครอง  และศาลทหาร  (ศาลรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกโดยคณะปฏิรูปฯ  เมื่อ  19  กันยายน  2549)  ซึ่งแต่ละศาลมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีแตกต่างกัน

จงอธิบายว่าศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ.  2542  ว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  บัญญัติว่า  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด  เนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจ  หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่  หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน

หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น  หรือโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น  หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร  หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

(2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด  หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

(5) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครอง  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด

(6) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

 

ข้อ  3  การจัดระเบียบราชการแผ่นดิน  โดยมอบอำนาจในการปกครองให้แก่ราชการบริหารส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินการปกครองตลอดทั้งอาณาเขตของประเทศ  เป็นความหมายของหลักการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแบบใด  หลักดังกล่าวมีสาระสำคัญถึงข้อดีและข้อเสียอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักที่ใช้ในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  โดยมอบอำนาจในการปกครองให้แก่ราชการบริหารส่วนกลาง  เป็นผู้ดำเนินการปกครองตลอดทั้งอาณาเขตของประเทศเรียกว่า  หลักการรวมอำนาจปกครอง  ซึ่งมีสาระสำคัญ  ได้แก่

1       มีการรวมกำลังทหารและตำรวจขึ้นต่อส่วนกลาง

2       มีการรวมอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น

3       มีการลำดับขั้นการบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ลดหลั่นกันไป

ข้อดีของหลักการรวมอำนาจปกครอง  ได้แก่

1       ทำให้อำนาจรัฐบาลมั่นคงและแผ่ขยายไปทั่วทั้งอาณาเขตประเทศ

2       เป็นวิธีการปกครองที่ให้ความเสมอภาคแก่ประชาชนทั่วทั้งประเทศ

3       เป็นหลักการปกครองที่ประหยัด

4       เป็นหลักที่ทำให้เกิดความเป็นเอกภาพในการปกครอง

ข้อเสียของหลักการรวมอำนาจปกครอง  ได้แก่

1       ไม่สามารถจัดทำบริการสาธารณะได้ผลดีและทั่วถึงทุกท้องถิ่นพร้อมกัน

2       มีความชักช้าเกี่ยวกับแบบแผนของราชการ

 

ข้อ  4  ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย  และไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยแทนการจัดสรรที่ดินของคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ  ปรากฏรายชื่อทั้งหมด  100  คน  นายขาวมีชื่อปรากฏในประกาศดังกล่าวว่าเป็นผู้ไม่มีสิทธิได้รับเงินชดเชย  จึงต้องการจะโต้แย้งสิทธิของตนตามประกาศดังกล่าว  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าประกาศดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  หรือกฎ  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  5  แห่ง  พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  นั้น  คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า

(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัย  อุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่ไหมายความรวมถึงการออกกฎ

(2) การอื่นที่กำหนดในกระทรวง

กฎ  หมายความว่า  พระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวง  ประกาศกระทรวง  ข้อบัญญัติท้องถิ่น  ระเบียบ  ข้อบังคับ  หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป  โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

วินิจฉัย

ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยที่ดินและไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยที่ดิน  การจัดสรรที่ดินของคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแห่งชาติเป็นคำสั่งทางปกครอง  เพราะประกาศดังกล่าวก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างนายขาวกับคณะกรรมการจัดสรรที่ดินแห่งชาติ  ทำให้นายขาวไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยที่ดิน  คณะกรรมการฯก็ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนแก่นายขาว  จึงเป็นคำสั่งที่เกิดผลเฉพาะเจาะจงแก่นายขาว  ประกาศดังกล่าวถือเป็นคำสั่งทางปกครองที่มีผลแก่ผู้มีรายชื่อทั้งหมด  100  คน  เป็นการเฉพาะราย  เพียงแต่เป็นคำสั่งทางปกครองที่ได้รวมแจ้งเป็นประกาศให้ทราบในฉบับเดียวกัน  

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง  (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายบดี  บ้านด่าน  ถูกเวนคืนที่ดินและคณะกรรมการพิจารณาค่าเวนคืนได้มีหนังสือแจ้งให้นายบดีไปรับเงินค่าเวนคืนเป็นเงินหนึ่งล้านบาท  นายบดี  ไม่พอใจกับจำนวนเงินดังกล่าวเนื่องจากที่ดินของตนที่ถูกเวนคืน  ควรจะได้ค่าเวนคืนไม่ต่ำกว่าห้าล้านบาท  ดังนี้  หากนายบดี  มาปรึกษาท่าน  ท่านจะแนะนำอย่างไร

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคแรก  (1)  (2) บัญญัติว่า  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วย

กฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด  เนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจ  หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่  หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน  หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น  หรือโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น  หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร  หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

(2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

และมาตรา  42  วรรคสอง  บัญญัติว่า

ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ  การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว  และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น  หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด

วินิจฉัย

ข้อเท็จจริงตามปัญหาดังกล่าว  ถ้านายบดี  บ้านด่าน  มาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำตามขั้นตอน  ดังนี้  คือ

1       การที่คณะกรรมการพิจารณาค่าเวนคืน  ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีหนังสือแจ้งให้นายบดีไปรับเงินค่าเวนคืนนั้น  ถือว่าหนังสือแจ้งค่าเวนคืนดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  เพราะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล  และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล

2       กรณีพิพาทที่เกิดขึ้น  เนื่องจากนายบดี  ไม่พอใจกับจำนวนเงินค่าเวนคืนที่คณะกรรมการพิจารณาค่าเวนคืนกำหนด  คือจำนวนเงินหนึ่งล้านบาท  เพราะที่ดินของนายบดี  ที่ถูกเวนคืนควรจะได้ค่าเวนคืนไม่ต่ำกว่าห้าล้านบาทนั้น  ถือว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  คือได้ออกคำสั่งโดยการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ  คือการกำหนดจำนวนเงินค่าเวนคืนต่ำกว่าความเป็นจริง  คดีพิพาทดังกล่าวจึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตาม  มาตรา  9  วรรคแรก  (1)  ซึ่งนายบดี สามารถที่จะนำคดีไปฟ้องศาลปกครองได้

3       แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อคดีพิพาทดังกล่าว  เป็นคดีพิพาทที่เกี่ยวกับการออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้นก่อนที่นายบดี  จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง  นายบดีจะต้องปฏิบัติตามมาตรา  42  วรรคสองก่อน  คือจะต้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าเวนคืนผู้ออกคำสั่ง  ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือแจ้งนั้น  ถ้านายบดี  ไม่อุทธรณ์คำสั่งนั้น  ก็ไม่สามารถที่จะนำคดีไปฟ้องศาลปกครองได้

4       ในกรณีที่มีการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแล้ว  เมื่อพ้นกำหนด  60  วัน  ยังไม่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์  ถือได้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ  คือคณะกรรมการพิจารณาค่าเวนคืนปฏิบัติหน้าที่คือพิจารณาค่าเวนคืนล่าช้าเกินสมควร  ดังนี้ผู้อุทธรณ์คือนายบดี  สามารถนำคดีพิพาทดังกล่าวไปฟ้องศาลปกครองได้ภายในกำหนด  1  ปี

 

ข้อ  2  โรงงานน้ำตาลมั่วกี่ได้ปล่อยน้ำเสียลงลำน้ำสาธารณะ  เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบตามกฎหมายได้ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย  แม้จะมีประชาชนร้องเรียนหลายครั้งแล้วก็ตาม  จนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค  เกิดโรคผิวหนังผื่นคันซึ่งแพทย์ระบุว่าเกิดจากน้ำเป็นพิษ  ประชากรเสียค่ารักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคผิวหนังดังกล่าวติดต่อกันมารวมเป็นเงินคนละหลายหมื่นบาท

ถ้าท่านเป็นชาวบ้านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคแรก  (2)  และ  (3)  บัญญัติว่า  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด  หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

วินิจฉัย

การที่โรงงานน้ำตาลมั่วกี่ได้ปล่อยน้ำเสียลงลำน้ำสาธารณะ  โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบตามกฎหมายได้ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย  แม้จะมีประชาชนร้องเรียนหลายครั้งแล้วก็ตาม  ถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายได้ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  ตาม  พ.ร.บ.  จัดตั้งศาลปกครองฯ  มาตรา 9  วรรคแรก  (2)

และเมื่อการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน  คือทำให้ประชาชนที่ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคเกิดโรคผิวหนัง  และต้องเสียค่ารักษาพยาบาล  ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดทางปกครอง  ตาม  พ.ร.บ.  จัดตั้งศาลปกครองฯ  มาตรา  9  วรรคแรก  (3)

ดังนั้นคดีพิพาทดังกล่าว  ถือว่าเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง  ถ้าข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายดังกล่าว  ก็จะนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง  โดย ฟ้องหน่วยงานที่เป็นนิติบุคคลที่เจ้าหน้าที่นั้นสังกัดอยู่เพื่อให้ศาล ปกครองสั่งให้หน่วยงานทางปกครองนั้นใช้เงินค่าเสียหายให้แก่ประชาชนที่ได้ รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าว

 

ข้อ  3  จงอธิบายเหตุผลของการที่ราชการบริหารส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาคใช้ อำนาจกำกับดูแลกับราชการบริหารส่วนท้องถิ่นแทนที่จะใช้อำนาจบังคับบัญชาว่า เป็นเพราะเหตุใด  รวมถึงอธิบายลักษณะของอำนาจบังคับบัญชาและอำนาจกำกับดูแลตามที่ท่านได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

อำนาจบังคับบัญชา  เป็นอำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถที่จะสั่งการใดๆ  ก็ได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม  สามารถที่จะกลับ  แก้ไข  ยกเลิก  เพิกถอน  คำสั่งหรือการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ

เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่น  แต่อย่างไรก็ตาม  การใช้อำนาจบังคับบัญชานั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย  จะใช้อำนาจบังคับบัญชาที่ขัดต่อกฎหมายไม่ได้แม้ว่าจะได้ใช้ไปในทางที่เหมาะสมก็ตาม

อำนาจกำกับดูแล  เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับองค์กรภายใต้ควบคุมกำกับซึ่งเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  คือองค์กรควบคุมกำกับจะใช้อำนาจได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้และการใช้อำนาจนั้นต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด

องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้ควบคุมกำกับปฏิบัติการตามที่ตนเห็นสมควร

เหตุผลที่มีการบัญญัติให้อำนาจบังคับบัญชาต่างกับการบังคับบัญชาเพราะว่า  หลักการกระจายอำนาจเป็นการฝึกให้ประชาชนในท้องถิ่นตัดสินใจด้วยตนเอง  มีการปกครองด้วยตนเอง  การใช้อำนาจบังคับบัญชาเหนือราชการบริหารส่วนท้องถิ่นจึงเท่ากับทำลายระบบกระจายอำนาจในการให้ประชาชนปกครองตนเอง  ดังนั้น  การใช้อำนาจควบคุมกำกับดูแลควรจะอยู่ในขอบเขต

โดยพิจารณาแต่เพียงว่าท้องถิ่นทำกิจการในขอบอำนาจของตนหรือไม่  ละเมิดกฎหมายหรือไม่  รวมถึงควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของนิติกรรมทางปกครองของท้องถิ่นเท่านั้น  ไม่สามารถควบคุมดุลพินิจได้  เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้

 

ข้อ  4  ขาวตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัสดุ  เป็นกรรมการพิจารณาผู้เข้ารับการประมูลติดตั้งระบบไฟฟ้าของอาคารสำนักงานของหน่วยงานของรัฐที่ตนสังกัด  ปรากฏว่าแดงซึ่งเป็นอดีตสามีของขาวและมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการบริษัท ได้ยื่นซองประมูลเพื่อติดตั้งระบบไฟฟ้าของอาคารสำนักงานดังกล่าวด้วย

แดงเกรงว่าขาวจะพิจารณาเรื่องของตนไม่เป็นกลางเพราะตนเองทำร้ายจิตใจของขาวไว้อย่างมาก  ในขณะที่ขาวเองไม่ได้ติดใจและคิดอาฆาตแค้นกับแดงแต่อย่างใด  ดังนี้  ให้ท่านพิจารณาว่าขาวเป็นเจ้าหน้าที่ที่สามารถพิจารณาทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  มาตรา  13  บัญญัติว่า

เจ้าหน้าที่ดังต่อนี้  จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้

(1) เป็นคู่กรณีเอง

(2) เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรสของคู่กรณี

(3) เป็นญาติของคู่กรณี  คือ  เป็นบุพการี  หรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ  หรือเป็นพี่น้อง  หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น

(4) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้พิทักษ์  หรือผู้แทน  หรือตัวแทน  ของคู่กรณี

(5) เป็นเจ้าหนี้  หรือลูกหนี้  หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี

(6) กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 

และมาตรา  16  บัญญัติว่า

ในกรณีมีเหตุอื่นใดนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา  13  เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง  เจ้าหน้าที่หรือกรรมการผู้นั้นจะทำการพิจารณาทางปกครองในเรื่องนั้นไม่ได้

วินิจฉัย

การที่ขาวซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ  จะเป็นกรรมการพิจารณาผู้เข้ารับการประมูลติดตั้งระบบไฟฟ้าของอาคาร  โดยมีแดงซึ่งเป็นอดีตสามีของขาวได้ยื่นซองประมูลเพื่อติดตั้งระบบไฟฟ้าของอาคารดังกล่าวด้วยนั้น  ถือว่าขาวสามารถที่จะเป็นกรรมการที่จะทำการพิจารณากรณีดังกล่าวได้  เพราะไม่ต้องห้ามตาม  พ.ร.บ.  วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ  มาตรา  13(2)  ที่ได้บัญญัติห้ามไว้เฉพาะกรณีที่เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรสของคู่กรณีเท่านั้น  ไม่รวมถึงอดีตสามีหรืออดีตภรรยาที่การสมรสได้สิ้นสุดลงแล้ว

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าแม้แดงจะเคยทำร้ายจิตใจของขาว  แต่ขาวไม่ได้ติดใจและคิดอาฆาตแค้นแดงแต่อย่างใด  และการพิจารณาทางปกครองดังกล่าวก็เป็นเพียงการพิจารณาผู้เข้ารับการประมูลติดตั้งระบบไฟฟ้าของอาคารสำนักงานของหน่วยงานของรัฐเท่านั้น  ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่มีสภาพร้ายแรงที่จะกระทบต่อความไม่เป็นกลางในการพิจารณาทางปกครอง  ตามมาตรา  16  เป็นเพียงกรณีที่แดงหวาดระแวงไปเอง

สรุป  ขาวเป็นเจ้าหน้าที่สามารถพิจารณาทางปกครองได้  ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  13  และ  16  แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง 

(สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก.      ข้อใดต่อไปนี้มิใช่  กฎ  (ตอบผิดจะไม่ได้คะแนนเลยเพราะเป็นสาระสำคัญ)

1       พระราชกฤษฎีกาการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร

2       ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่  พ.ศ. 2539

3       พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่  พ.ศ. 2539

4       ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับเรื่องความสะอาด

5       เทศบัญญัติเทศบาลเมืองวารินชำราบ

6       ประมวลกฎหมายอาญา

7       ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง

8       คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติงานในวันส่งท้ายปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่

9       กฎกระทรวงเรื่องหลักเกณฑ์ในการขออนุญาตสร้างสิ่งรุกล้ำลำน้ำ

10  คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี

11  ข้อบัญญัติตำบลนายืน

12  ข้อบัญญัติเมืองพัทยา

ธงคำตอบ

คำว่า  กฎ  หมายความว่า  พระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวง  ประกาศกระทรวง  ข้อบัญญัติท้องถิ่น  ระเบียบ  ข้อบังคับ  หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป  โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

ดังนั้นจากคำถามเมื่อพิจารณาประกอบกับความหมายของคำว่า  กฎ  ดังกล่าว  ข้อที่มิใช่กฎ  ได้แก่

3       พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่  พ.ศ. 2539  

6       ประมวลกฎหมายอาญา

7       ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง

8       คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติงานในวันส่งท้ายปีเก่าและวันขึ้นปีใหม่

10  คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี

ข  จงอธิบายว่ามีใครบ้างเป็นผู้ใช้กฎหมายปกครอง

1       ผู้ใช้กฎหมายปกครอง  ได้แก่  หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

1)    หน่วยงานทางปกครอง  เช่น

(1) หน่วยงานการบริหารราชการส่วนกลาง  ได้แก่  กระทรวง  ทบวง  กรม

(2) หน่วยงานการบริหารราชการส่วนภูมิภาค  ได้แก่  จังหวัด  อำเภอ

(3) หน่วยงานการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  ได้แก่  องค์การบริหารส่วนตำบล  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด  กรุงเทพมหานคร  และเมืองพัทยา

(4) รัฐวิสาหกิจ  ได้แก่  การไฟฟ้านครหลวง  การประปานครหลวง  ธนาคารออมสิน  การท่าเรือแห่งประเทศไทย  การรถไฟแห่งประเทศไทย

(5) หน่วยงานอื่นๆ  ของรัฐที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง

(6) หน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจหรือได้รับให้ใช้อำนาจปกครองตามกฎหมาย  ได้แก่  สำนักงานรังวัดเอกชน  สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์  สภาทนายความ  แพทยสภา  เป็นต้น

2)    เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  รวมถึงคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นและมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายด้วย  เช่น  ข้าราชการพนักงาน  เจ้าหน้าที่  รวมถึงคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายด้วย

 

ข้อ  2  องค์การบริหารส่วนตำบลได้สร้างถนนเข้าหมู่บ้านระยะทาง  800  เมตร  ต่อมานายสมชายฯ  ได้แจ้งกับองค์การบริหารส่วนตำบลเมื่อวันที่  5  กุมภาพันธ์  2550  ว่าส่วนหนึ่งของถนนได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของตนเป็นเนื้อที่  25  ตารางวา

และการสร้างถนนดังกล่าวทำให้ตัวบ้านของตนทรุดและแตกร้าวคิดค่าเสียหาย  300,000  บาท  องค์การบริหารส่วนตำบลได้ตอบนายสมชายฯ  ไปเมื่อวันที่  15  มีนาคม  2550  ว่าที่ดินที่ทำถนนทั้งหมดนั้นเป็นที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล  ส่วนบ้านที่ชำรุดเสียหายนั้นได้ให้วิศวกรไปตรวจสอบค่าเสียหายแล้ว  องค์การ

บริหารส่วนตำบลชดใช้ค่าบ้านชำรุดและเสียหายได้เพียง  100,000  บาท  วันที่  21  กุมภาพันธ์  2551  นายสมชายฯ  มาหาท่าน  ท่านจะแนะนำในกรณีดังกล่าวอย่างไร  จงอธิบายและยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน 

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคแรก  (1)  (2)  และ  (3)  บัญญัติว่า  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่ง  หรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน  หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น  หรือโดยไม่สุจริต  หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น  หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร  หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

(2) คดี พิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อ หน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้า เกินสมควร

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎคำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

และมาตรา  42  วรรค  2  บัญญัติว่า 

ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ   การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว  และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น  หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด

วินิจฉัย

ข้อพิพาทระหว่างองค์การบริหารส่วนตำบล  กับนายสมชาย  มีอยู่  2  ประเด็น  ได้แก่

ประเด็นที่  1  นายสมชายอ้างว่าที่ดินที่องค์การบริหารส่วนตำบลได้สร้างถนนเข้าหมู่บ้านนั้นมีที่ดินจำนวนเนื้อที่  25  ตารางวาเป้นของตน  แต่องค์การบริหารส่วนตำบลก็อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินขององค์การบริหารส่วนตำบล  ประเด็นพิพาทที่เกิดขึ้น  จึงเป็นเรื่องของการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่  25  ตารางวานั้นว่าเป็นของใคร  คดีพิพาทดังกล่าว

จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องของกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ใช่คดีพิพาทตามมาตรา  9  (1)  (2)  และ  (3)  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ  ดังนั้นคดีพิพาทดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษา  จึงต้องนำคดีดังกล่าวไปฟ้องศาลยุติธรรมคือศาลแพ่ง  จะฟ้องศาลปกครองไม่ได้

ประเด็นที่  2  การที่องค์การบริหารส่วนตำบลได้สร้างถนนเข้าหมู่บ้าน  และการสร้างถนนดังกล่าวทำให้ตัวบ้านของนายสมชายทรุดและแตกร้าวนั้น  การกระทำดังกล่าวขอองค์การบริหารส่วนตำบล  ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายขององค์การบริหารส่วนตำบลตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้

และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นตามมาตรา  9  (3)  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ  จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง  ดังนั้นจึงต้องนำคดีพิพาทดังกล่าวไปฟ้องศาลปกครองภายในอายุความ  1  ปี

แต่เนื่องจากนายสมชายได้เรียกร้องให้องค์การบริหารส่วนตำบลชดใช้ค่าเสียหาย  300,000  บาท  แต่องค์การบริหารส่วนตำบลตอบกลับมาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายได้เพียง  100,000  บาท  ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายขององค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง

ดังนั้นถ้านายสมชายไม่พอใจกับค่าเสียหายที่องค์การบริหารส่วนตำบลชดใช้ให้  นายสมชายจะต้องปฏิบัติตามมาตรา  42  วรรค  2  ก่อน  คือ  จะต้องอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นก่อนที่จะนำคดีพาทนั้นไปฟ้องศาลปกครอง

สรุป  เมื่อนายสมชายมาหาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะแนะนำกรณีดังกล่าวแก่นายสมชาย  ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  3  จงอธิบายว่าประเทศไทยนำหลักการรวมอำนาจปกครอง  (Centralization)  มาใช้ในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักการรวมอำนาจปกครอง  เป็นหลักในการจัดระเบียบบริหารราชการ  โดยการมอบอำนาจปกครองให้แก่ราชการบริหารส่วนกลาง  และมีเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลางเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองซึ่งหลักการรวมอำนาจปกครองนี้จะแบ่งออกเป็น  2  รูปแบบ  คือ  การรวมศูนย์อำนาจปกครอง  และการกระจายการรวมศูนย์อำนาจปกครองหรือการแบ่งอำนาจปกครอง

1       การรวมศูนย์อำนาจปกครอง  คือ  การรวมอำนาจวินิจฉัยสั่งการทั้งหมดไว้ที่ศูนย์กลางหรือส่วนกลาง  และต้องมีระบบการบังคับบัญชาที่เคร่งครัด  มีการรวมกำลังในการบังคับต่างๆ  คือ  กำลังทหาร  และกำลังตำรวจให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง  และมีลำดับชั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่

2       การแบ่งอำนาจปกครองหรือการกระจายการรวมศูนย์อำนาจปกครอง  เป็นรูปแบบที่อ่อนตัวลงมาของการรวมศูนย์อำนาจปกครอง  โดย การมอบอำนาจในการตัดสินใจหรือการวินิจฉัยสั่งการบางอย่างให้แก่องค์กรหรือ เจ้าหน้าที่ของส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำอยู่ในแต่ละท้องที่การปกครอง  โอยองค์กรหรือเจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังคงอยู่ในระบบบังคับบัญชาของส่วนกลาง

ประเทศไทยได้นำแนวคิดเรื่องหลักการรวมอำนาจมาใช้ในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินคือ  การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางจะใช้หลักการรวมศูนย์อำนาจปกครอง  และการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคใช้หลักการกระจายการรวมศูนย์อำนาจหรือหลักการแบ่งอำนาจปกครอง

 

ข้อ  4  แดงทำหนังสือร้องเรียนต่อกรมที่ดินว่าตนเองถูกขาว ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินเรียกรับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้ตนเองได้เอกสาร สิทธิ์ในที่ดิน  กรมที่ดินจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขาว  ปรากฏว่าคณะกรรมการได้รายงานผลสอบข้อเท็จจริงต่อกรมที่ดินว่า  ไม่ปรากฏว่าขาวได้เรียกร้องรับเงินจากแดง

และไม่มีการออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ  แก่แดง  กรมที่ดินจึงนำผลรายงานดังกล่าวแจ้งให้กับแดงทราบ  แดงเห็นว่ากระบวนพิจารณาสอบข้อเท็จจริงไม่ชอบเพราะคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เปิดโอกาสให้ตนเองโต้แย้งพยานหลักฐานใดๆ  ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  มาตรา  30  จึงทำให้ผลรายงานการสอบข้อเจจริงดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนี้  ท่านคิดว่าความเห็นของแดงถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มีหลักกฎหมายตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ  ที่เกี่ยวข้องดังนี้

คำว่า  คู่กรณี  หมายความว่าผู้ยื่นคำขอหรือผู้คัดค้านคำขอ  ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง  และผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง  เนื่องจากสิทธิของผู้นั้นจะถูกกระทบกระเทือนจากผลของคำสั่งทางปกครอง

และมาตรา  30  วรรคแรก  ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี  เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน

จากหลักกฎหมายดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  การที่เจ้าหน้าที่จะต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ  และได้มีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการพิจารณาทางปกครอง  คือการเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง  และคำสั่งทางปกครองนั้นอาจจะกระทบถึงสิทธิของคู่กรณีเท่านั้น

วินิจฉัย

การที่กรมที่ดินมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขาวตามที่แดงได้ทำหนังสือร้องเรียนนั้น  เป็นเพียงการดำเนินการภายในของกรมที่ดินเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนของแดงเท่านั้น  มิใช่เป็นการดำเนินการเพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครองเหมือนเช่นการ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยเพื่อจัดให้มีคำสั่งลงโทษทางวินัยแต่อย่างใด  อีกทั้งแดงก็มิใช่คู่กรณีตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

ดังนั้นการดำเนินการของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง  จึงไม่จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้แดงได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานแต่อย่างใด

สรุป  ความเห็นของแดงที่ว่ากระบวนการพิจารณาสอบข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นจึงไม่ถูกต้อง  ตามมาตรา  30  แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง  (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์) 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก)     จงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง

–                    หน่วยงานทางปกครอง

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐ

–                    กฎหมายปกครอง

–                    การใช้อำนาจทางปกครอง

–                    การบริการสาธารณะ  และ

–                    ศาลปกครอง

พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน

ข)     เพราะเหตุใดจึงต้องตราพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ขึ้นมาใช้และมีความสำคัญอย่างไรกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ก  กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ส่วนใหญ่จะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติ  หรืออาจจะอยู่ในชื่อของกฎหมาย  เช่น  ประมวลกฎหมายที่ดิน  เป็นต้น

ดังนั้นหน่วยงานทางปกครอง  ซึ่งได้แก่หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น  รวมถึงหน่วยงานอื่นๆของรัฐ  รัฐวิสาหกิจ  และหน่วยงานเอกชนที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองด้วย  และเจ้าหน้าที่ของรัฐ   ซึ่งได้แก่  ข้าราชการ  พนักงาน  เจ้าหน้าที่จะดำเนินการในทางปกครองหรือบริการสาธารณะได้จะต้องมีกฎหมายปกครองบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้  มิฉะนั้นไม่สามารถดำเนินการได้

การใช้อำนาจทางปกครอง  คือ  การใช้อำนาจตามกฎหมายปกครองของเจ้าหน้าที่เพื่อออกคำสั่งหรือดำเนินการอื่นใดในทางปกครอง  หรือบริการสาธารณะ  คือ  กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรืออยู่ในความควบคุมของฝ่ายปกครอง  ซึ่งการใช้อำนาจทางปกครองและการบริการสาธารณะจะสำเร็จได้จะต้องมีกฎหมายปกครองบัญญัติให้อำนาจไว้  และเมื่อการใช้อำนาจทางปกครองหรือการบริการสาธารณะของเจ้าหน้าที่เกิดกรณีพิพาทตามมาตรา  9  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  ก็จะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

ตัวอย่างเช่น  ประมวลกฎหมายที่ดิน  ซึ่งเป็นกฎหมายปกครอง  เนื่องจากเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้  เช่น  บัญญัติให้อำนาจหน้าที่แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าพนักงาน ที่ดินมีอำนาจหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่เกี่ยวกับอสังหาริม ทรัพย์  หรือมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการออกโฉนดที่ดิน  หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน  เป็นต้น

ถ้าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายแล้วเกิดกรณีพิพาทขึ้น  เช่น  เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้ถือว่าข้อพิพาทดังกล่าวเป็นข้อพิพาททางปกครอง  หรือที่เรียกว่า  คดีปกครอง  ตามมาตรา  9  แห่ง  พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  จึงต้องนำคดีดังกล่าวไปฟ้องศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครองตาม  มาตรา  9  ดังกล่าว

ข  เนื่องจากกฎหมายปกครอง  ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น  มีอยู่เป็นจำนวนมาก  ซึ่งอาจจะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติ  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ในชื่อของกฎหมาย  หรืออยู่ในชื่อของพระราชกำหนด  ซึ่งรวมแล้วมีมากกว่า  700  ฉบับ  ซึ่งในการดำเนินการในทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ตามที่กฎหมายแต่ละฉบับได้บัญญัติไว้นั้น  อาจจะแตกต่างกัน

ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าว  จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ขึ้นมาใช้  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการวางมาตรฐานการปฏิบัติงานราชการและ เพื่อให้การดำเนินงานในทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายในแนวทางเดียวกัน  ได้แก่  การวางกรอบวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง  เช่น  การวางหลักเกี่ยวกับการพิจารณาทางปกครอง  รูปแบบและผลของคำสั่งการอุทธรณ์คำสั่ง  การเพิกถอนคำสั่ง  การขอให้พิจารณาใหม่  การบังคับทางปกครอง  วิธีแจ้งคำสั่งรวมทั้งระยะเวลาและอายุความ  เป็นต้น

 

ข้อ  2  กรณีพิพาทที่เกิดจากการใช้อำนาจทางปกครองจะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  จงอธิบายว่ากรณีพิพาทใดบ้างที่จะต้องนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง

ธงคำตอบ

กรณีพิพาทที่เกิดจากการใช้อำนาจทางปกครอง  และจะต้องนำคดีนั้นไปฟ้องยังศาลปกครองได้แก่  คดีที่บัญญัติไว้ในมาตรา  9  วรรคแรก  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542  ซึ่งมีดังนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่ง  หรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย  หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน  หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น  หรือโดยไม่สุจริต  หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น  หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร  หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

(2) คดี พิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อ หน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้า เกินสมควร

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎคำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

(5) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำ  หรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด

(6) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

 

ข้อ  3  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งได้แก่  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบลกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยานั้น  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2550  ได้กำหนดโครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง  5  รูปแบบไว้อย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2550  ได้กำหนดโครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง  5  รูปแบบ  ดังนี้

(1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องประกอบด้วยสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น  (มาตรา  284  วรรคแรก)

(2) สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง  (มาตรา  284  วรรคสอง)

(3) คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่น  (มาตรา  284  วรรคสาม)

(4) วิธีการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น  ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ  (มาตรา  284  วรรคสี่)

(5) วาระการดำรงตำแหน่ง  ทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น  คณะผู้บริหารหรือบริหารท้องถิ่น  มีวาระการดำรงตำแหน่งที่เท่ากัน  คือคราวละ  4  ปี  (มาตรา  284  วรรคห้า)

(6) คณะผู้บริหารท้องถิ่น  หรือผู้บริหารท้องถิ่น  จะเป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ  พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  หรือรัฐวิสาหกิจ  หรือของราชการส่วนท้องถิ่นและจะมีผลประโยชน์ขัดกันกับการดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายบัญญัติมิได้  (มาตรา  284  วรรคหก)

(7) การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีโครงสร้างการบริหารที่แตกต่างจากที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้  ให้กระทำได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ  แต่คณะผู้บริหารท้องถิ่น  หรือผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง  (มาตรา  284  วรรคเก้า)

 

ข้อ  4  นายเข้มเป็นข้าราชการ  ขณะปฏิบัติราชการได้ดื่มสุราและเกิดอุบิเหตุทำปืนลั่นแต่โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต  นายเข้มจึงถูกดำเนินคดีอาญาเปรียบเทียบปรับ  500  บาท  ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง  หมู่บ้านหรือที่ชุมชน  ผู้บังคับบัญชาของนายเข้มจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยกล่าวหานาย เข้มกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยต้องหาคดีอาญาฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิด โดยใช่เหตุฯ

แต่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายเข้มว่านายเข้มเมาสุรายิงปืนด้วยความคึกคะนอง  จากนั้นมีคำสั่งลงโทษปลดนายเข้มออกจากราชการ  โดยระบุว่ามีความผิดเพราะเมาสุรายิงปืนด้วยความคึกคะนอง  ดังนี้  คำสั่งปลดนายเข้มออกจากราชการเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองหรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  มาตรา  30  วรรคแรก  บัญญัติว่า

ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี  เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน

ตามบทบัญญัติดังกล่าว  หมายความว่า  ในกรณีที่เจ้าหน้าที่จะออกคำสั่งทางปกครองใด  และคำสั่งทางปกครองนั้นอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี  เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งทางปกครองนั้นจะต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ  และต้องให้คู่กรณีได้มีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน  เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา  30  วรรคสอง  และวรรคสาม

วินิจฉัย

การที่ผู้บังคับบัญชาได้ออกคำสั่งปลดนายเข้มออกจากราชการ  ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองและกระทบถึงสิทธิของคู่กรณีคือนายเข้ม  โดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่านายเข้มเมาสุรายิงปืนด้วยความคึกคะนอง  ซึ่งทำให้นายเข้มไม่มีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาอันนำไปสู่การลงโทษได้เพียงพอ  และไม่มีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน

อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่จะไม่ปฏิบัติตาม  มาตรา  30  วรรคแรก  ดังนั้น  คำสั่งปลดนายเข้มออกจากราชการจึงขัดต่อมาตรา  30  วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำสั่งปลดนายเข้มออกจากราชการ  เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง 

(สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์) 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

1.1            จงยกตัวอย่างกฎหมายปกครองมา  5  ฉบับ  พร้อมอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นกฎหมายปกครอง

1.2            จงอธิบายว่าผู้ใช้กฎหมายปกครองมีองค์กรใดหรือบุคคลใดบ้าง  ให้อธิบายอย่างละเอียด

1.3            จงอธิบายว่าการใช้อำนาจทางปกครองคืออะไร  และการใช้อำนาจทางปกครองได้แก่อะไรบ้าง

1.4            จงอธิบายอย่างละเอียดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายปกครอง  หน่วยงานทางปกครอง  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  การใช้อำนาจทางปกครอง  และศาลปกครองว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ธงคำตอบ

1.1            ตัวอย่างกฎหมายปกครอง  ได้แก่

(1) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534

(2) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535

(3) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539

(4) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

(5) พระราชบัญญัติเทศบาล  พ.ศ. 2496

(6) พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด  พ.ศ. 2540

(7) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย  คณะกรรมการการเลือกตั้ง

(8) พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

(9) ประมวลกฎหมายที่ดิน

หมายเหตุ ให้นักศึกษายกตัวอย่างของกฎหมายปกครองมาเพียง  5  ฉบับ  ซึ่งจะยกตัวอย่างชื่อของกฎหมายใดก็ได้  (โดยไม่ต้องเขียน  พ.ศ. ก็ได้)  แต่ต้องอยู่ในชื่อของ  พระราชบัญญัติหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  พระราชกำหนด  หรือในชื่อของกฎหมายอื่น  ยกเว้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประมวลกฎหมายอาญา

และตามตัวอย่างดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครอง  เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

1.2            ผู้ใช้กฎหมายปกครอง ได้แก่

1)    หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง  ได้แก่  หน่วยงานการบริหารราชการส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  และหน่วยงานอื่นที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง  รวมทั้งหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  ตัวอย่างเช่น

(1) หน่วยงานบริหารราชการส่วนกลาง  ได้แก่  กระทรวง  ทบวง  กรม

(2) หน่วยงานบริหารราชการส่วนภูมิภาค  ได้แก่  จังหวัด  อำเภอ

(3) หน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  ได้แก่  องค์การบริหารส่วนตำบล  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด  กรุงเทพมหานคร  และเมืองพัทยา

(4) รัฐวิสาหกิจ  ได้แก่  การไฟฟ้านครหลวง  การประปานครหลวง  ธนาคารออมสิน  การท่าเรือแห่งประเทศไทย  การรถไฟแห่งประเทศไทย  เป็นต้น

(5) หน่วยงานอื่นรวมทั้งหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจทางปกครอง  ได้แก่  สำนักงานรังวัดเอกชน  สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์  สภาทนายความ  แพทยสภา  เป็นต้น

2)    เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  ตัวอย่างเช่น  ข้าราชการ  พนักงาน  ลูกจ้าง  หรือคณะกรรมการที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานทางปกครอง  เป็นต้น

1.3            การใช้อำนาจทางปกครอง  คือ  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่อันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับต่อสถานภาพหรือสิทธิของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร

ตัวอย่างการใช้อำนาจทางปกครอง  ได้แก่

(1) การออกคำสั่งทางปกครอง  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การรับรอง  การรับจดทะเบียน  เป็นต้น

(2) การออกกฎ  เช่น  การออกพระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวง  ประกาศกระทรวง  ระเบียบ  ข้อบังคับ  หรือข้อบัญญัติท้องถิ่น  เป็นต้น

(3) การกระทำทางปกครองอื่นๆ  เช่น  การปฏิบัติการทางปกครองหรือสัญญาทางปกครอง

1.4            กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครองและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องใช้อำนาจทางปกครอง  เพื่อการบริการสาธารณะตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้  และเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจทางปกครองหรือเกิดกรณีพิพาททางปกครองขึ้นมา  จะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครอง 

 

ข้อ  2  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  พ.ศ. 2550  บัญญัติให้ศาลมี  4  ศาล  ได้แก่  ศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลปกครอง  ศาลทหาร  และศาลยุติธรรม  ซึ่งแต่ละศาลมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีแตกต่างกัน

ให้นักศึกษาอธิบายว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องใดบ้าง

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคแรก  (1)  (2)  และ  (3)  บัญญัติว่า  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด  เนื่องจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจ  หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่  หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน  หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น  หรือโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น  หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร  หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ

(2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด  หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง

(5) คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครอง  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด

(6) คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

 

ข้อ  3  ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534  บัญญัติให้การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้างเมืองที่ดี  ดังนี้  การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมีขอบเขตความหมายแค่ไหน  เพียงใด  จงอธิบายมาพอเข้าใจ

ธงคำตอบ

ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์  และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี  พ.ศ. 2546  ในมาตรา  6  ได้กำหนดขอบเขตความหมายของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไว้ว่า  การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีได้แก่การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้

1       เกิดประโยชน์สุขของประชาชน  คือสามารถสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนได้  พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้  ทำให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี  มีความสงบและปลอดภัย

2       เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ  ซึ่งการที่จะให้ภารกิจใดเกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นนั้น  การปฏิบัติงานจะต้องมีแผนงานจะต้องมีรายละเอียดแสดงถึงขั้นตอน  ระยะเวลา  และงบประมาณที่ใช้  เพื่อสามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามขั้นตอน  และระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในแผนงานหรือไม่เพียงใด

3       มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ  ซึ่งการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพนั้น  จะต้องดำเนินการตามหลักดังนี้  คือ

(1) หลักความโปร่งใส  คือ  ต้องเปิดเผยกำหนดงาน  แผนงาน  และงบประมาณให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้  ข้าราชการมีส่วนได้เสียอย่างไรหรือไม่  ซึ่งจะเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับประชาชน

(2) หลักของความคุ้มค่า  คือ  ในการใช้ทรัพยากรนั้นกฎหมายให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรด้วย

(3) หลักของความชัดเจนในการปฏิบัติงาน  เช่น  จะต้องกำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติงานให้ชัดเจน  เป็นต้น

4       ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น  เช่น  ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานลงโดยคำนึงถึงเนื้องานเป็นสำคัญ  เป็นต้น

5       มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์  ทั้งนี้เพราะสถานการณ์ต่างๆอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  ดังนั้นในส่วนราชการเองก็ต้องมีการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ด้วย

6       ประชาชนได้รับการอำนายความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ  อันเป็นแนวทางที่ส่วนราชการต้องจัดให้มีขึ้น

7       มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ  เพราะการประเมินผลถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ  ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่า  การปฏิบัติราชการต่างๆ  ที่ได้ทำไปแล้วนั้นได้ผลหรือไม่  หรือแผนที่กำหนดไว้นั้นเมื่อนำไปปฏิบัติแล้วบรรลุผลหรือไม่

 

ข้อ  4  นายเขียวจอดรถยนต์ไว้ที่ริมถนนติดกับสวนอัมพรซึ่งเป็นที่ห้ามจอด  แต่นายเขียวเห็นว่ามีรถยนต์คันอื่นจอดอยู่ในที่ห้ามจอดหลายคัน  จึงคิดว่าคงจอดได้  โดยตั้งใจว่าจะจอดชั่วคราวภายในเวลาไม่เกิน  15  นาที

จากนั้นนายเขียวจึงได้ไปทำธุระส่วนตัว  เมื่อกลับมาจึงพบว่ารถยนต์ของตนได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจใช้รถยกรถยนต์ของตนไปไว้ในที่สถานีตำรวจ  เนื่องจากส่วนราชการต้องการใช้พื้นที่ดังกล่าวจัดงานกาชาด เจ้าพนักงานตำรวจได้เขียนใบสั่งให้นายเขียวชำระค่าปรับและค่าใช้จ่ายในการยกรถยนต์  นายเขียวเห็นว่าเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้แจ้งให้ตนทราบว่าจะมีการจัดงานกาชาดบริเวณดังกล่าว

มิฉะนั้นตนเองคงไม่จอดบริเวณดังกล่าวและทำให้ต้องเสียเงินเช่นนี้  ดังนี้  ท่านคิดว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับเป็นคำสั่งทางปกครองที่จะต้องแจ้งผลกระทบสิทธิเพื่อให้นายเขียวมีโอกาสโต้แย้งเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง  ตามมาตรา  30  แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

 มาตรา  5  แห่ง  พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  นั้น  คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า

(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัย  อุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่ไหมายความรวมถึงการออกกฎ

(2) การอื่นที่กำหนดในกระทรวง

และมาตรา  30  วรรคแรก  บัญญัติว่า

ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี  เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ  และมีโอกาสโต้แย้ง  และแสดงพยานหลักฐานของตน

ตามบทบัญญัติมาตรา  30  วรรคแรก  แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  นั้น  การที่เจ้าหน้าที่จะต้องให้คู่กรณีมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ  และให้คู่กรณีได้มีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการพิจารณาทางปกครอง  คือ  การดำเนินการเพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง  และคำสั่งทางปกครองนั้นอาจจะไปกระทบสิทธิของคู่กรณีเท่านั้น  คู่กรณีจึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว

วินิจฉัย

การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เขียนใบสั่งให้นายเขียวชำระค่าปรับตามความผิดของกฎหมายจราจร  ซึ่งกฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานตำรวจจราจรสามารถเปรียบเทียบได้นั้นไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจทางปกครองแต่อย่างใด  ดังนั้นคำสั่งให้นายเขียวชำระค่าปรับดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งทางปกครอง  ตามความหมายของมาตรา  5  แห่ง  พระราชบัญญัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  และเมื่อไม่เป็นคำสั่งทางปกครอง  จึงไม่ต้องนำมาตรา  30  มาใช้บังคับกับข้อเท็จจริงดังกล่าว

สรุป  คำสั่งให้ชำระค่าปรับดังกล่าวไม่เป็นคำสั่งทางปกครองที่จะต้องแจ้งผลกระทบสิทธิเพื่อให้นายเขียวมีโอกาสโต้แย้ง  เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง  ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!