LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิขา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเขมชาติได้ทำสัญญาให้บางสาวหนูเล็กกู้ยืมเงินจำนวน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี มีการส่งมอบและทำสัญญาในวันที่ 10 เมษายน 2556 โดยมีกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ครั้นพอครบกำหนดระยะเวลา 1 ปี นางสาวหนูเล็กกลับเพิกเฉย นายเขมชาติจึงได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์ให้นางสาวหนูเล็กชำระเงินจำนวน 15,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย 1,500,000 บาท แต่นางสาวหนูเล็กกลับเพิกเฉย ดังนั้น ให้ท่านในฐานะทนายความส่งหนังสือทวงถามไปยัง บางสาวหนูเล็กอีกครั้งหนึ่งจากนั้นให้ร่างฟ้องคดีแพ่งเรียกคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดจาก นางสาวหนูเล็ก โดยร่างเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีแพ่งคดีนี้

ธงคำตอบ

หนังสือบอกกล่าวเรื่องขอให้ข้าระหนี้

                                                                                                     ทำที่……………………………       

                                                              วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557   

เรื่อง     ขอให้ชำระหนี้

เรียบ    นางสาวหนูเล็ก ผู้กู้

อ้างถึง หนังสือสัญญากู้ยืมเงินระหว่าง นายเขมชาติ ผู้ให้กู้ กับนางสาวหนูเล็กผู้กู้ ฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2556

ตามสัญญากู้ยืมเงินที่อ้างถึง ท่านได้กู้ยืมเงินไปจาก นายเขมชาติ ผู้ให้กู้จำนวน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) โดยท่านตกลงชำระดอกเบี้ยใบอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวและสัญญาจะคืน ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ภายในกำหนด 1 ปีนั้น

บัดนี้ปรากฏว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาวันที่ 10 เมษายน 2557 ท่านมิได้นำต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย มาชำระนับเป็นเวลาสองเดือนเศษแล้ว จึงถือได้ว่าท่านผิดสัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผู้ให้กู้จึงได้มอบหมายให้ ข้าพเจ้าดำเนินการทวงถามท่านให้ชำระเงินต้นจำนวน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) พร้อมทั้งดอกเบี้ย ตามสัญญาอีกจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,500,000 บาท (สิบหกล้าน ห้าแสนบาทถ้วน)

ข้าพเจ้าในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจึงเรียนมายังท่าน เพื่อนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน ดังกล่าวไปชำระให้กับ นายเขมชาติ ผู้ให้กู้ ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ท่านได้รับหนังสือฉบับนี้ ก่อนที่ข้าพเจ้า จะได้ดำเนินการทางคดีกับท่านต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

…………………………

(                                 )

ทนายความผู้รับมอบอำนาจ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจำนวน 15.000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน)โดยจำเลยยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี มีกำหนดเวลาใช้คืนภายใน 1 ปี ซึ่งจำเลย ได้รับเงินจำนวนที่กู้ไปครบถ้วนแล้ว และได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานในวันดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2556 เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้จำนวน 15,000,000 บาท (ลืบห้าล้านบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ได้ทวงถาม แล้วแต่จำเลยกลับเพิกเฉย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

จำเลยต้องรับผิดชำระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จำนวน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) และ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสบบาทถ้วน) รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ 16,500,000 บาท (สิบหกล้านห้าแสนบาทถ้วน)

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจำเลยต่อไป

คำขอท้ายฟ้อง

ข้อ 1. ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,500,000 บาท (สิบหกล้านห้าแสนบาทถ้วน)

ข้อ 2.ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากต้นเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น

ข้อ 3. ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 2. ในสำนวนการสอบสวนคดีเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา นายหมูกับนายหมีได้เข้าไปลักเอารถจักรยานยนต์ ราคา 35,000 บาท ของบายแช่ม ชิดชอบ ที่จอดอยู่ในโรงรถของบ้านพักอาศัยของนายแช่มฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ครั้นต่อมาวันที่ 2 มกราคม 2557 เวลาประมาณ 12.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายหมูได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ที่นายหมูกับนายหมีร่วมกับลักเอาไปดังกล่าว เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ขั้นสอบสวนนายหมูให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายหมูไปฝากขังไว้ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.60/2557 เสร็จแล้วสรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง ส่วนนายหมียังจับตัวไม่ใด้แต่ใด้ออกหมายจับไว้

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น…ไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน…

มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1) ในเวลากลางคืน

(8)       ในเคหสถาน…

(9)       โดย…หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ต้องระวางโทษ …

หากนักศึกษาเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง ผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ และมีคำสั่งฟ้องนายหมูในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ให้เรียงคำฟ้องคดีนี้เฉพาะเนื้อหาคำฟ้อง ในภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวนายหมีมาดำเนินคดีเท่านั้น ทั้งนี้ไมต้องคำนึงถึง แบบพิมพ์คำฟ้องแต่ประการใด

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง ผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ และ มีคำสั่งฟ้องนายหมูในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องคดีนี้ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 เวลากลางวัน จำเลยนี้กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกหนึ่งคน ได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจลักเอารถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน ราคา 35,000 บาท (สามหมื่นห้าพันบาท) ของนายแช่ม ชิดชอบ ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยและพวก ได้เข้าไปในโรงรถของบ้านพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย และได้เอาทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหาย ที่จอดอยู่ไป

เหตุเกิดที่แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 มกราคม 2557 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยนี้มาได้พร้อมกับยึด รถจักรยานยนต์ที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักเอาไปเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ขั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ

ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวบ จำเลยถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.60/2557 ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาเพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

 

ข้อ 3. นายมกราสมรสกับนางกุมพาในวันแม่แห่งชาติอันตรงกับวันเกิดของนายมกราพอดี อยู่อาศัยที่บ้านเลขที่ 666 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240 เปิดร้านขายขนมไทย มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายมีนา นายเมษา และนายพฤษภา ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 นางกุมพาเสียชีวิตลงด้วยโรคชราที่โรงพยาบาลรามคำแหง บรรดาทายาทจึงตกลงให้นายมกรา อายุ 57 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดกของนางกุมพา คือ เงินสดฝากอยู่ใน ธนาคารมหานคร สาขาบางกะปิ เป็นเงินจำนวน 100 ล้านบาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 123/56 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร มีราคาประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนางกุมพาไม่ได้ทำ พินัยกรรมเอาไว้แต่อย่างใด ให้นักศึกษาเขียนคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก (เขียนแต่เนื้อหา ไม่ต้องคำนึงถึงแบบฟอร์ม)

ธงคำตอบ

คำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

ข้าพเจ้า นายมกรา ผู้ร้อง เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย อาชีพ ค้าขาย เกิดวันที่ 12 เดือน สิงหาคม พ.ค. 2500 อายุ 5ปี อยู่บ้านเลขที่ 666 หมู่ที่ –  ถนนรามคำแหง ตรอก/ซอย – ตำบล/แขวง หัวหมาก. อำเภอ/เขต บางกะปิ จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10240 ขอยื่นคำร้องมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

ข้อ 1. ผู้ร้องเกี่ยวข้องเป็นสามีของนางกุมพา ผู้วายชนม์ ปรากฏตามบัญชีเครือญาติ เอกสาร ท้ายคำร้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 นางกุมพาถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามสำเนามรณบัตร เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2

ข้อ 3. นางกุมพา ผู้วายชนม์ มีมรดก คือ เงินฝากอยู่ในธนาคารมหานคร สาขาบางกะปิ เป็น จำนวน 100 ล้านบาท ที่ดินจำนวน 1 แปลง ราคา 50 ล้านบาท รายละเอียดปรากฏตามบัญชีเอกสารท้ายคำร้อง หมายเลข 3

มรดกดังกล่าวนี้ นางกุมพา ผู้วายชนม์ ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้แต่อย่างใด

ข้อ 4. ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดการมรดกของผู้ตายได้ เนื่องจากธนาคารผู้รับฝากเงิน คือธนาคารมหานคร และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร ปฏิเสธไม่ดำเนินการจ่ายเงินและโอนที่ดินให้แก่ผู้ร้อง โดยอ้างว่าให้นำคำสั่งศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกมาแสดงก่อนจึงจะจัดการให้

ผู้ร้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริต บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย มีความสามารถที่จะจัดการมรดกรายนี้ได้

ฉะนั้น ขอศาลได้โปรดไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางกุมพาผู้วายชนม์ต่อไป

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายวิเชียรทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  ได้รับเงินเดือนๆละ  50,000  บาท  เมื่อวันที่  20  มกราคม  2550  นายวิเชียรได้ประกอบพิธีสมรสและจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิสมัย  ในการสมรสครั้งนี้นายสมศักดิ์บิดาของนายวิเชียรได้ยกเรือนหอให้แก่นายวิเชียรและนางพิสมัย  1  หลัง  ราคา  3  ล้านบาท  ก่อนทำการสมรสนางพิสมัยได้ทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิตจำกัด  อายุกรมธรรม์มีกำหนด  15  ปี  ส่งเบี้ยประกันปีละ  15,000  บาท  หลังจากสมรสแล้วนางพิสมัยไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆทั้งสิ้น  นอกจากนี้นายวิเชียรได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลในงวดวันที่  1  ตุลาคม  2550  และถูกรางวัล  30,000  บาท  ดังนี้อยากทราบว่า

(ก)  เงินได้ที่นายวิเชียรได้รับทั้งเงินเดือน  เรือนหอ  และรางวัลสลากกินแบ่งจะต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายวิเชียรจะนำนางพิสมัยมาหักลดหย่อนได้หรือไม่  และเงินเบี้ยประกันชีวิตของนางพิสมัยนายวิเชียรจะนำมาหักลดหย่อนเบี้ยประกันในปีภาษี  2550  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(10)                    เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ  โดยหน้าที่ธรรมจรรยา  เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดกหรือจากการให้โดยเสน่ห์หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี

(11)                    รางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ  รางวัลสลากกินแบ่งหรือสลากออมสินของรัฐบาล  รางวัลที่ทางราชการจ่ายให้ในการประกวดหรือแข่งขัน  ซึ่งผู้รับมิได้มีอาชีพในการประกวดหรือแข่งขัน  หรือสินบนรางวัลที่ทางราชการจ่ายให้เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามกระทำความผิด

มาตรา  47  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  เมื่อได้หักตามมาตรา  42  ทวิถึงมาตรา  46  แล้ว  เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี  ให้หักลดหย่อนได้อีกดังต่อไปนี้ 

(1) ลดหย่อนให้สำหรับ

(ข)  สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้  30,000  บาท

(ง) เบี้ยประกันภัยที่ผู้มีเงินได้จ่ายไปในปีภาษีสำหรับการประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน  10,000  บาท  ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่กรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลาตั้งแต่สิบปีขึ้นไป  การประกันชีวิตนั้นได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาญาจักร

ในกรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิต  และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีให้หักลดหย่อนได้ด้วยสำหรับเบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับการประกันชีวิตของสามีหรือภริยานั้นตามเกณฑ์ในวรรคหนึ่ง

วินิจฉัย

(ก)  เงินเดือนที่นายวิเชียรได้รับจะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพราะเป็นเงินที่ได้รับจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย  เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรมาตรา  41  วรรคแรก

สำหรับเงินได้จากเรือนหอราคา  3  ล้านบาทที่นายวิเชียรและนางพิสมัยได้รับจากนายสมศักดิ์บิดาเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี  เพราะเรือนหอนั้นได้ให้ในวันสมรส  ซึ่งเป็นเงินได้จากการให้โดยเสน่ห์หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี  จึงได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา  42(10)

ส่วนเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลที่นายวิเชียรได้รับจำนวน  30,000  บาท  ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี  เพราะเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(11)

(ข)  นายวิเชียรสามารถนำนางพิสมัยมาหักลดหย่อนได้เพราะนางพิสมัยเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  โดยไม่จำต้องอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  และนางพิสมัยก็ไม่ได้ประกอบอาชีพใดจึงนำมาหักลดหย่อนได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47  (1)(ข)

ส่วนเงินเบี้ยประกันชีวิตของนางพิสมัย  นายวิเชียรจะนำมาหักลดหย่อนไม่ได้  เพราะการจะหักลดหย่อนสำหรับเบี้ยประกันชีวิตนั้นจะต้องเป็นกรณีที่สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิตและความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี  ทั้งนี้ให้หักลดหย่อนสำหรับเบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับการประกันชีวิตของสามีหรือภริยาได้ไม่เกิน  10,000  บาท  แต่กรณีนี้  นายวิเชียรและนางพิสมัยมิได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  (ปีภาษีคือ  1  ม.ค.  ถึง  31  ธ.ค.)  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47 (1)(ง)  วรรคสอง

สรุป 

(ก)  เงินได้ที่นายวิเชียรได้รับเฉพาะเงินเดือนเท่านั้นที่ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(ข)  นายวิเชียรสามารถนำนางพิสมัยมาหักลดหย่อนได้  แต่ในส่วนเบี้ยประกันชีวิตในปีภาษี  2550  นายวิเชียรไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนได้

 

ข้อ  2  Food  Production  &  Corporation  (ชื่อย่อ  “Food  Production”  เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และมีสาขาอยู่ในประเทศไทย  สำนักงานใหญ่ของ  Food  Production  มีข้อผูกพันตามสัญญาที่จะต้องจ่ายค่าบริการในการติดตั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้แก่  Machine  Service  Corporation  จำนวน  100  ล้านบาท  จึงได้สั่งให้สาขาในประเทศไทยส่งเงินจำนวน  80  ล้านบาท  เพื่อนำไปชำระค่าบริการดังกล่าว  ดังนี้  อยากทราบว่าสาขาในประเทศไทยของ  Food  Production  จะนำเงินจำนวน  80  ล้านบาท  ที่ส่งไปชำระค่าบริการของสำนักงานใหญ่มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีในประเทศไทยได้หรือไม่  และจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินจำนวนดังกล่าวด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  65  วรรคแรก  เงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามความในส่วนนี้คือกำไรสุทธิซึ่งคำนวณได้จากรายได้จากกิจการ  หรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา  65  ทวิ  และมาตรา  65  ตรี  และรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวให้มีกำหนดสิบสองเดือน

มาตรา  65  ทวิ  การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสิทธิในส่วนนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(1) รายการที่ระบุไว้ในมาตรา  65  ตรี  ไม่ให้ถือเป็นรายจ่าย

มาตรา  65  ตรี  รายการต่อไปนี้ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

(14)รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะ

มาตรา  70  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดจำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย  ให้เสียภาษีเงินได้  โดยหักภาษีจากจำนวนเงินที่จำหน่ายนั้นตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่าย

วินิจฉัย

แม้ว่า Food  Production  สาขาประเทศไทยและสำนักงานใหญ่จะเป็นนิติบุคคลเดียวกัน  แต่การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ  Food Production  ในกรณีนี้จะต้องเสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชี  และการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา  65  และมาตรา  65  ทวิ  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคสอง  ดังนั้น  ทั้งรายได้และรายจ่ายที่จะใช้ในการคำนวณสุทธิจะต้องเกี่ยวเนื่องกับกิจการในประเทศไทย  การที่  Food  Production  สาขาประเทศไทยส่งเงินจำนวน  80  ล้านบาท  เพื่อนำไปใช้ชำระค่าบริการของสำนักงานใหญ่  ซึ่งเป็นรายจ่ายที่มิใช่รายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะ  เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  65  ตรี  (14)  และไม่อาจนำรายจ่ายดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิของสาขาได้ตามกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตามการที่  Food  Production  สาขาประเทศไทยส่งเงินจำนวน  80  ล้านบาท  ไปใช้ในการชำระค่าบริการซึ่งเป็นรายจ่ายของสำนักงานใหญ่  ถือว่าเป็นการจำหน่ายเงินกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย  จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้โดยหักจากจำนวนเงินที่จำหน่ายออกไปตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกรณีนี้คืออัตราร้อยละ  10  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  70  ทวิวรรคแรก

สรุป  Food  Production  ไม่สามารถนำเงินจำนวน  80  ล้านบาท  มาหักเป็นรายจ่ายได้แต่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  โดยหักจากจำนวนที่จำหน่ายออกไปในอัตราร้อยละ  10

 

ข้อ  3  เด็กชายแดงเป็นผู้เยาว์และมีบิดาชอบด้วยกฎหมายคือ  นายดำ  หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าทั้งคู่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตลอดปีภาษี  2550  และในปีภาษีดังกล่าว  เด็กชายแดงได้รับเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศไทย  เป็นจำนวนเงิน  1,400,000  บาท 

จงวินิจฉัยว่าหากเงินได้ดังกล่าวถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีประจำปีแล้ว

(ก)  เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินของเด็กชายแดง  หรือถือเป็นเงินได้ของนายดำผู้เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย  และเพราะเหตุใด

(ข)  เงินได้ดังกล่าวจะสามารถเครดิตภาษีตามมาตรา  47  ทวิ  แห่งประมวลรัษฎากรได้หรือไม่  และหากได้รับจำนวนเครดิตภาษีจะมีจำนวนเท่าใด  และเครดิตดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด  (อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปัจจุบันเท่ากับร้อยละ  30)

ธงคำตอบ

มาตรา  39  ในหมวดนี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

เงินได้พึงประเมิน  หมายความว่าเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ  ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน  เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆ  และเครดิตภาษีตามมาตรา  47  ทวิด้วย

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(4) เงินได้ที่เป็น

(ข)  เงินปันผล  เงินส่วนแบ่งของกำไร  หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  กองทุนรวม  หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม  พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม  เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่าย  ตามกฎหมายดังกล่าว

เพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินได้ตามวรรคหนึ่ง  ในกรณีที่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้มีเงินได้และความเป็นสามีของบิดาและมาดาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี  ให้ถือว่าเงินได้ของบุตรดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดา

มาตรา  47  ทวิ  ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา  40(4)(ข)  ซึ่งได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี  โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้นได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ  ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี  ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา  ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี  ณ  ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด

วินิจฉัย

(ก)  การที่เด็กชายแดงได้รับเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  4  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)  เมื่อเด็กชายแดงได้รับเงินปันผลในขณะยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยมีนายดำบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง  ในกรณีเช่นนี้  เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายดำผู้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย  อันถือว่าเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กชายแดง  ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในขณะที่ได้รับเงินปันผล  ทั้งนี้  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)  วรรคสอง

(ข)  เงินได้ดังกล่าว  สามารถได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากรมาตรา  47  ทวิ  เนื่องจากบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  และผู้รับเงินปันผลเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  ในกรณีนี้จะได้รับเครดิตภาษีเท่ากับอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสีย (ร้อยละ30)  หารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าว  และคูณด้วยจำนวนเงินปันผลที่ได้รับ

และเครดิตภาษีจำนวน  600,000  บาท  ดังกล่าว  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  39  ให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายดำด้วย

สรุป

(ก)  เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้ของนายดำ

(ข)  เงินได้ดังกล่าวสามารถได้รับเครดิตภาษีเป็นจำนวน  600,000  บาท  และให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายดำด้วย

 

ข้อ  4  บริษัทอเมริกัน  โฮลดิ้ง  จำกัด  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  บริษัทอเมริกันฯได้ซื้อหุ้นของบริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  จำนวน  1,000  ล้านบาท  ปรากฏว่าในปี  พ.ศ.  2550  บริษัทเทเลคอมไทยฯ  ได้จ่ายเงินปันผล  จำนวน  10  ล้านบาทให้แก่บริษัทอเมริกันฯ  โดยโอนเงินผ่านธนาคารและมิได้หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่าย  ดังนี้

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  จะมีหน้าที่หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่ายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(4) เงินได้ที่เป็น

(ข) เงินปันผล  เงินส่วนแบ่งของกำไร  หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  กองทุนรวม  หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม  พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม  เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่าย  ตามกฎหมายดังกล่าว

เพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินได้ตามวรรคหนึ่ง  ในกรณีที่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้มีเงินได้และความเป็นสามีของบิดาและมาดาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี  ให้ถือว่าเงินได้ของบุตรดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดา

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การหักภาษี  ณ  ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  วรรคแรก  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       ผู้รับเงินต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  และ

3       เงินได้ที่จ่ายจะต้องเป็นเงินได้ตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยเท่านั้น

บริษัทอเมริกัน  โอลดิ้ง  จำกัด  เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  ในปี  พ.ศ.2550  ได้รับเงินปันผลจำนวน  100  ล้านบาท  ที่จ่ายจากประเทศไทยโดยบริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด (มหาชน)  เงินได้ดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้จากเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุนส่วนนิติบุคคล  อันถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  4 ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)  ดังนั้น  บริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  ผู้จ่าย  ต้องมีหน้าที่หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่ายจากเงินปันผลดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  วรรคแรก

สรุป  บริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  มีหน้าที่หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่ายจากเงินปันผลดังกล่าว

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ธนคารสยามไทย  จำกัด   มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ถนนรัชดา  กรุงเทพมหานคร  ธนาคารสยามไทย  จำกัด  มีสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ในเดือนมกราคม    2550  ธนาคารสยามไทย  จำกัด  ได้ไปเปิดสาขาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย  ประเทศสหรัฐอเมริกา  การเปิดธนาคารสาขาแห่งใหม่นี้ทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งนายเสกสรรซึ่งเป้นพนักงานของธนาคารไปเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแคลิฟอร์เนีย  เกี่ยวกับเงินเดือนของนายเสกสรรทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งเงินเดือนไปให้นายเสกสรรที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทุกเดือน  สำหรับสาขาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  นายเสกสรรได้จ้างนางสาวกรุณาซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป้นพนักงานของธนาคารสำหรับบริการลูกค้าที่เป็นคนไทย  โดยธนาคารสาขาในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่นางสาวกรุณาทุกเดือน

ดังนี้  อยากทราบว่า  เงินเดือนของนายเสกสรรและของนางสาวกรุณาจะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  วรรคแรก  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

วินิจฉัย

โดยหลัก  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้นเกิดเนื่องจาก

1       หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  หรือ

2       กิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือ

3       กิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือ

4       ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย

การที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารสยามไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้ส่งนายเสกสรรซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารไปเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแคลิฟอร์เนีย  และทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งเงินเดือนไปให้นายเสกสรรทุกเดือน  ถือว่าเงินเดือนที่นายเสกสรรได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  นายเสกสรรจึงต้องมีหน้าที่ต้องนำเงินเดือนที่ได้จากสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย  มาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่านายเสกสรรจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่  และไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

สำหรับนางสาวกรุณา  นายเสกสรรได้จ้างนางสาวกรุณา  ซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นพนักงานของธนาคารโดยธนาคารสาขาเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่นางสาวกรุณาทุกเดือน  กรณีนี้นางสาวกรุณาไม่ต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย  เพราะสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยมิได้เป็นผู้จ่ายเงินเดือน  และธนาคารสาขาในต่างประเทศก็เป็นกิจการนอกประเทศของสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย  ฉะนั้นเงินเดือนที่นางสาวกรุณาได้รับจึงเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศมิใช่เงินได้เนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  เมื่อนางสาวกรุณามิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมิได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย  จึงไม่ต้องเสียภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก

สรุป

เงินเดือนของนายเสกสรรต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย  ส่วนนางสาวกรุณาไม่ต้องนำเงินเดือนมาเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย

 

ข้อ  2  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการขนส่งทางทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ปรากฏว่า  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทฯมีรายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดียและประเทศจีนเข้ามาในประเทศไทยจำนวน  700  ล้านบาท

ดังนี้  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลัก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด  ที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  จะต้องนำรายได้ทั่วโลก  (Worldwide  Income  Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากร  โดยรวมทั้งสาขาในต่างประเทศทุกสาขา

บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  อันถือว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย  ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการขนส่งสินค้า  700  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเมื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคแรก

สรุป  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  ต้องนำรายได้  700  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  3  นายวินิจมีบุตรชาย  1  คน  อายุ  23  ปี  กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอยู่ในประเทศอังกฤษส่วนภรรยาเสียชีวิตแล้ว  ในปีภาษี 2550  นายวินิจได้รับเงินได้พึงประเมินจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์  จำนวน  3  ล้านบาท  เงินส่วนแบ่งกำไรจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญจำนวน  5  ล้านบาท  เงินได้จากการขายรถยนต์ซึ่งซื้อมาใช้ส่วนตัวจำนวน  1  ล้านบาท  และได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจากการประกันอัคคีภัยบ้านที่ให้เช่าจำนวน  2  ล้านบาท 

ดังนี้  อยากทราบว่า  นายวินิจต้องนำเงินได้พึงประเมินทุกจำนวนไปยื่นแบบรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่  และมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรและการศึกษาบุตรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้  ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(9) การขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก  หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร  แต่ไม่รวมถึงเรือกำปั่น  เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไปเรือกลไฟ

(13)                    ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  เงินที่ได้จากการประกันภัยหรือการฌาปนกิจสงเคราะห์

(14)                    เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ  หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม

มาตรา  47  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  เมื่อได้หักตามมาตรา  42  ทวิถึงมาตรา  46  แล้ว  เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี  ให้หักลดหย่อนภาษีได้อีกดังต่อไปนี้

(1) ลดหย่อนให้สำหรับ

(ค)  บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย  คนละ  15,000  บาท  แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน

การหักลดหย่อนสำหรับบุตร  ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบปีและยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา  หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์  หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในอุปการะเลี้ยงดู  แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่  15,000  บาทขึ้นไป  โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา  42

(ฉ)  บุตรของผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิหักลดหย่อนตามเงื่อนไข (ค) และยังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของทางราชการ  สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันศึกษาเอกชนหรือโรงเรียนราษฎร์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนราษฎร์  ให้หักลดหย่อนเพื่อการศึกษาได้อีกคนละ  2,000  บาท

วินิจฉัย

เงินส่วนแบ่งกำไรจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ  จำนวน  15  ล้านบาท  ของนายวินิจเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(14)  เนื่องจากห้างหุ้นส่วนสามัญจะต้องนำเงินได้ของห้างหุ้นส่วนไปเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาแล้ว ส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวจึงไม่ต้องเสียภาษีอีก  ส่วนเงินได้จากการขายรถยนต์ซึ่งซื้อมาใช้ส่วนตัว  จำนวน  1  ล้านบาท  เป็นเงินได้เนื่องจากการขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร  ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(9)  และค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจากการประกันอัคคีภัยบ้านที่ให้เช่าจำนวน  2  ล้านบาท  ก็เป็นเงินได้จากการประกันภัยที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(13)  เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  นายวินิจจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินเฉพาะเงินได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จำนวน  3  ล้านบาท  ไปยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น

สำหรับบุตรของนายวินิจซึ่งมีอายุ  23  ปี  และกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทซึ่งถือว่าเป็นชั้นอุดมศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ  ก็ย่อมมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรจำนวน  15,000  บาท  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47(1)(ค)  วรรคแรกและวรรคสี่  แต่การหักลดหย่อนสำหรับการศึกษาบุตรจำนวน  2,000  บาทนั้น  เนื่องจากบุตรของนายวินิจไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของทางราชการ  สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันเอกชนตามประมวลรัษฎากร    มาตรา 47(1)(ฉ)  นายวินิจจึงไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับการศึกษาบุตรในส่วนนี้

สรุป  นายวินิจมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินเฉพาะเงินได้จากการให้อสังหาริมทรัพย์ไปยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น  ส่วนเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นได้รับการยกเว้นภาษี  ส่วนบุตร  นายวินิจมีสิทธิหักลดหย่อนจำนวน  15,000  บาท  แต่ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับการศึกษา

 

ข้อ  4  นายสมัคร  อดีตข้าราชการ  อายุวัย  65  ในปี  2550  ได้รับการติดต่อจากบริษัทริชชี่  จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย  ไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย  ว่าจ้างให้นายสมัครทำหน้าที่เป็นผู้แทนของบริษัทริชชี่  จำกัด  ในการลงนามขายสินค้ามูลค่า  500  ล้านบาทให้แก่  บริษัทไทยแท้  จำกัด  ผู้ซื้อซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศไทย  ทั้งนี้การลงนามสัญญามีขึ้นที่กรุงเทพมหานคร  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  จงวินิจฉัยพร้องปรับบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อตอบคำถามดังต่อไปนี้

(ก)  บริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  หากบริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวแล้ว  หน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีในประเทศไทยเป็นหน้าที่ของผู้ใด

(ค)  หากบริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวแล้ว  แต่ไม่ประสงค์จะเสียภาษีจากกำไรสุทธิในอัตราร้อยละ  30  จะมีเหตุใดตามกฎหมายที่ทำให้เสียภาษีในอัตราที่ลดลง  และเป็นอัตราใด

  ธงคำตอบ

มาตรา  71  ในกรณีที่

(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด  ไม่ยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  หรือมิได้ทำบัญชีหรือทำไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  17  หรือมาตรา  68  ทวิ  หรือไม่นำบัญชี  เอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา  19  หรือมาตรา  23  เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ  5  ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใดๆของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า  ถ้ายอดรายรับก่อนกักรายจ่ายหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายดังกล่าว  ไม่ปรากฏเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินโดยอาศัยเทียบเคียงกับยอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไป  ถ้ายอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไปไม่ปรากฏให้ประเมินได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

ในกรณีที่กล่าวในวรรคแรก  ถ้าบุคคลผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ได้  ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษี  ตามมาตรา  71(1)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม 

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย

(ก)  บริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าว  เนื่องจากเป็นบริษัทต่างประเทศจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย  และมีนายสมัครเป็นผู้ทำการแทนในการขายสินค้าในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก

(ข)  เป็นหน้าที่ของนายสมัคร  เนื่องจากนายสมัครเป็นผู้ทำการแทนของบริษัทต่างประเทศ  คือ  บริษัทริชชี่  จำกัด  ในการขายสินค้าในประเทศไทย  วึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก

(ค)  นายสมัครซึ่งเป็นผู้ทำการแทนของบริษัทต่างประเทศ  คือ  บริษัทริชชี่  จำกัด  ในการขายสินค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  อาจร้องขอต่อกรมสรรพากรว่าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้  จึงขอเสียจากยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  71(1)  คือ  ในอัตราภาษีร้อยละ  5  จากยอดขาย  500  ล้านบาท  ทั้งนี้  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคสอง

สรุป

(ก)  บริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย

(ข)  เป็นหน้าที่ของนายสมัครผู้ทำการแทน

(ค)  นายสมัครอาจร้องขอต่อกรมสรรพากรว่าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้  โดยขอเสียจากยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายอุดม  เป็นเจ้าของร้านอาหารทะเลตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร  และมีสาขาในย่านธุรกิจหลายแห่งในปีภาษี  2550  นายอุดมมีเงินได้จากการขายอาหารจำนวน  3  ล้านบาท  และในปีเดียวกันนี้เอง  นายอุดมได้เดินทางไปเปิดร้านอาหารไทยที่ประเทศแคนาดา  ในวันที่ 10  มีนาคม  2550  และมีเงินได้จากการขายอาหารจำนวน  5  ล้านบาท  หลังจากนั้นได้เดินทางกลับประเทศไทย  ในวันที่  10  ธันวาคม  2550  โดยนำเงินจำนวน  5  ล้านบาทกลับมาด้วย

จงวินิจฉัยว่า  นายอุดมต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในเงินได้จากการขายอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศตามประมวลรัษฎากรหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้อยู่ในประเทศไทย  มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ  ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น  เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย  หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคแรก)

ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมีเงินได้พึงประเมิน  เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ  และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม)

ในปีภาษี  2550  นายอุดมมีแหล่งเงินได้จากกิจการในประเทศไทย  จำนวน  3  ล้านบาท  จึงต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  ส่วนเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศไทย  จำนวน  5  ล้านบาทนั้น  ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  เพราะในปีภาษี  2550  นายดำมิใช่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  เนื่องจากอยู่ในประเทศไทยไม่ครบ  180  วัน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา 41  วรรคสอง  และวรรคสาม  ทั้งนี้  แม้นายดำจะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันก็ตาม

สรุป  นายอุดมต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในเงินที่ได้จากการขายอาหารในประเทศไทยเท่านั้น

 

ข้อ  2  ในปีภาษี  2550  นายเอกและนางโท  เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายและอยู่กินร่วมกันตลอดปีภาษี  โดยต่างฝ่ายต่างมีเงินได้พึงประเมิน  ดังต่อไปนี้

(1) เงินค่านายหน้าจากการเป็นตัวแทนบริษัทผู้รับประกันภัยของนายเอก

(2) เงินได้จากเงินปันผลในการถือหุ้นบริษัทของนายเอก

(3) เงินได้จากการเปิดร้านขายของชำของนายเอก

(4) เงินได้จากเงินเดือนของนางโทในการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ

(5) เงินได้จากการมีบ้านให้เช่าของนางโท

จงวินิจฉัยว่า

 1       ในปีภาษี  2550  นายเอกและนางโท  มีเงินได้พึงประเมินประเภทใดตามประมวลรัษฎากร

2       เงินได้พึงประเมินประเภทใดทั้งของนายเอกและนางโทที่ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการ  (ภ.ง.ด.94)  เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี  ภายในเดือนกันยายน  2550

3       ถ้านางโทต้องการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ฯ  แยกต่างหากจากสามีแล้วประมวลรัษฎากรกำหนดหลักเกณฑ์ไว้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้  ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม  ค่านายหน้า  ค่าส่วนลด  เงินอุดหนุนในงานที่ทำ  เบี้ยประชุม  บำเหน็จ  โบนัส  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้นั้นไม่ว่าหน้าที่  หรือตำแหน่งงาน  หรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว

(4) เงินได้ที่เป็น

(ข)  เงินปันผล  เงินส่วนแบ่งของกำไร  หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  กองทุนรวม  หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม  พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม  เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่าย  ตามกฎหมายดังกล่าว

(5) เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก

(ก)  การให้เช่าทรัพย์สิน

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  ถึง  (7)  แล้ว

มาตรา  56  ทวิ  วรรคแรก  เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลาตามมาตรา  56  ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นรายการตามมาตรา  56 มาตรา  57  มาตรา  57  ทวิ  และมาตรา  57  ตรี  ยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดแสดงรายการเงินได้เฉพาะตามมาตรา  40(5) (6) (7) หรือ  (8)  ไม่ว่าจะมีเงินได้ประเภทอื่นรวมอยู่ด้วยหรือไม่  ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน  ภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

1       เงินค่านายหน้าขากการเป็นตัวแทนบริษัทผู้รับประกันภัยของนายเอก  ถือว่าเป็นเงินได้จากการรับทำงานให้อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  2  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(2)

– เงินได้จากเงินปันผลในการถือหุ้นบริษัทของนายเอก  ถือว่าเป็นเงินได้จากเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  4  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)

 เงินได้จากการเปิดร้านขายของชำของนายเอก  ถือว่าเป็นเงินได้จากการพาณิชย์  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)

เงินเดือนของนางโทในการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ  ถือว่าเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงานอันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)

เงินได้จากการมีบ้านให้เช่าของนางโท  ถือว่าเป็นเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  5  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(5)(ก)

2       เงินได้จากการเปิดร้านขายของชำของนายเอก  และค่าเช่าบ้านของนางโท  อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)  และมาตรา  40(5)(ก)  ตามลำดับ  ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการ  (ภ.ง.ด.  94)  เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบครึ่งปี  ภายในเดือนกันยายน  2550  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  56  ทวิ  วรรคแรก

3       โดยหลัก  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  เงินได้ของภริยาให้ถือเป็นเงินได้ของสามี  แต่ภริยามีสิทธิที่จะนำเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามมาตรา  40(1)  มาแยกยื่นรายการภาษีโดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามี

เงินเดือนของนางโท  เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามมาตรา  40(1)  ในกรณีนี้  นางโทมีสิทธิแยกยื่นรายการภาษี  เฉพาะในส่วนของเงินเดือน  โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก

ส่วนเงินจากค่าเช่าบ้านของนางโท  เมื่อได้ความว่า  นายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีเงินได้ดังกล่าวจึงเป็นเงินได้ของนายเอกสามี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  ตรี  และในกรณีนี้  นางโทไม่มีสิทธิแยกยื่นรายการภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  57  เบญจ  เพราะมิใช่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)

 

ข้อ  3  ไทยเดินทะเล  จำกัด  เป็นบริษัทรับจ้างขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550 บริษัทฯมีรายได้จากการประกอบกิจการดังนี้

ก.      รายได้จากการขนสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา  จำนวน  400  ล้านบาท

ข.      รายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดีย  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เพราะเหตุใด

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา  

บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  ทั้งตาม  (ก)  และ  (ข)  เป็นจำนวนทั้งสิ้น  1,000  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิ  เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  66  วรรคแรก  ทั้งนี้  ไม่ว่าเงินได้ดังกล่าวจะเกิดจากการขนส่งสินค้ามาจากหรือไปจากที่ใดก็ตาม  หากได้ความว่า  บริษัทดังกล่าวได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยแล้ว  ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรทั้งสิ้น

สรุป    บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  1,000  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  บริษัทโรม  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอิตาลี  ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการในประเทศไทย  ได้ทำสัญญารับจ้างซ่อมเครื่องบินของกองทัพอากาศไทย  โดยบริษัทโรง  จำกัด  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาทำสัญญารับจ้างซ่อมเครื่องบินในประเทศไทย  แต่การซ่อมเครื่องบินได้กระทำที่ประเทศอิตาลี  เมื่อการซ่อมเครื่องบินแล้วเสร็จ  ทางกองทัพอากาศไทยต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่บริษัทโรม  จำกัด  ตามสัญญาจ้างเป็นเงินทั้งสิ้น  10  ล้านบาท  อยากทราบว่า  บริษัทโรม  จำกัด  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(7) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย  สำหรับตามเงื่อนไขประการที่  3  นี้ต้องพิจารณา  ตามลักษณะของสัญญาด้วย  เช่น  สัญญาจ้างทำของหรือให้บริการ  ให้ถือเอาสถานที่ให้บริการเป็นสำคัญ  หากรับจ้างทำของหรือให้บริการนั้นได้ทำในต่างประเทศทั้งหมดก็ไม่ถือว่าบริษัทต่างประเทศนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  แม้สัญญานั้นจะได้ทำในประเทศไทยก็ตาม

บริษัทโรม  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาทำสัญญารับจ้างซ่อมเครื่องบินในประเทศไทย แต่การซ่อมเครื่องบินอันถือว่าเป็นสาระสำคัญของสัญญาจ้างทำของได้กระทำที่ประเทศอิตาลี  เช่นนี้  จึงถือไม่ได้ว่า  บริษัทโรม  จำกัด ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  อันเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรแต่อย่างใด  ดังนั้น  จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  รวมทั้งเงินค่าซ่อมเครื่องบินอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(7)  ที่กระทำ  ณ  ประเทศอิตาลี  ก็ไม่ต้องเสียภาษีเพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา  70  วรรคแรกเช่นกัน  ทั้งนี้เนื่องจากมิใช่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)  หรือ  (6)  ดังนั้น  บริษัทโรม  จำกัด  จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด

สรุป  บริษัทโรม  จำกัด  ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทย

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ซ่อม 1/2551

การสอบไล่ภาคซ่อม  1  ปีการศึกษา  2551
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

 ข้อ 1.    นายจอห์นทำงานกับบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซีย นายจอห์นได้รับเงินเดือน ๆ ละ 200,000 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 บริษัทได้ส่งนายจอห์นมาทำงานกับบริษัทในประเทศไทยแห่งหนึ่งเพื่อสำรวจบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเป็นเวลา 3 เดือน เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับในระหว่างที่อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา         3 เดือนเป็นเงิน จำนวน 600,000 บาท บริษัทที่ประเทศมาเลเซียได้โอนเข้าบัญชีเงินเดือนของนายจอห์นที่ประเทศมาเลเซีย ในการเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ นายจอห์นได้นำเงินเดือนที่ได้รับในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ติดตัวเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย จำนวน 200,000 บาท เมื่อทำงานเสร็จตามกำหนดนายจอห์นได้เดินทางกลับไปประเทศมาเลเซียในวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับระหว่างที่มาทำงานในประเทศไทย จำนวน 600,000 บาท และเงินที่นำติดตัวเข้ามา จำนวน 200,000 บาท จะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับในระหว่างที่มาทำงานกับบริษัทในประเทศไทยเพื่อสำรวจบ่อน้ำมันในอ่าวไทย จำนวน 600,000 บาท นายจอห์นต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย เพราะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร

ส่วนเงินที่นำติดตัวเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 200,000 บาท แม้จะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ และได้นำเข้ามาในประเทศไทยในปีเดียวกับ ที่อยู่ในประเทศไทย ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร แต่นายจอห์นก็อยู่ในประเทศไทย ในปีภาษี 2551 ไม่ครบ 180 วัน ตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร นายจอห์นจึงไม่ต้องนำเงินได้จำนวนดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย เพราะไม่เข้าหลักการตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร

 

ข้อ 2. นายเอกและนางโทเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองมีบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู 1 คน คือ นายสิน อายุ 22 ปี เป็นคนวิกลจริต นายเอกทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งได้รับเงินเดือน ๆ ละ 40,000 บาท นางโทมิได้ทำงาน แต่นางโทได้ประกันชีวิตไว้กับบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต กรมธรรม์มีกำหนด 20 ปี ส่งเบี้ยประกันชีวิตปีละ 20,000 บาท นายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

                (ก)  ในการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี นายเอกจะนำนางโทและนายสินบุตรชายมาหักลดหย่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

                (ข)  นายเอกจะนำเบี้ยประกันชีวิตของนางโทมาหักลดหย่อนได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

                (ค)  เงินเดือนของนายเอกจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ จงอธิบาย

แนวคำตอบ 

(ก)  ในการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี นายเอกจะนำนางโทมาหักลดหย่อนได้ เพราะนางโทเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีรายได้ หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท ตามมาตรา 47(1) (8) แห่งประมวลรัษฎากร

      สำหรับนายสินบุตรชาย นายเอกจะนำมาหักลดหย่อนไม่ได้ แม้นายสินจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของนายเอก แต่นายสินมีอายุ 22 ปีแล้ว และเป็นคนวิกลจริตที่ไม่ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนำมาหักลดหย่อนได้ ตามมาตรา 47(1)(ค)

(ข)  นายเอกจะนำเบี้ยประกันชีวิตของนางโทมาหักลดหย่อนได้ เพราะความเป็นสามีภริยาระหว่างนายเอกและนางโทได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตของนางโทภริยาได้ 10,000 บาท ตามมาตรา 47(1)(ง) วรรคสอง

(ค)  เงินเดือนของนายเอกจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร

 

ข้อ3. บริษัท ไทยเทเลคอม จำกัด เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย    ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 ได้เปิดสาขา (Branch) ที่ประเทศกัมพูชาและดำเนินกิจการด้านการสื่อสาร โดยมีรายได้จำนวน 800 ล้านบาท แต่ฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศสิงคโปร์ไม่นำเข้ามาในประเทศไทย รวมทั้งมีรายได้ในประเทศไทย จำนวน 1,000 ล้านบาท จงวินิจฉัยว่า บริษัท ไทยเทเลคอม จำกัด มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวอย่างไร เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ   บริษัทไทยเทเลคอม จำกัด เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550  ต้องนำรายได้ทั้งหมดจำนวน 1,800 ล้านบาท มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 66 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร โดยหลักรับรู้รายได้ทั่วโลก (Worldwide Income Basis) แม้ว่ารายได้นั้นจะไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม

ข้อ 4. บริษัท ไทยเดินทะเลระหว่างประเทศ จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้ประกอบกิจการรับขนสินค้าในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 ดังนี้

                (1)  รายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน จำนวน 200 ล้านบาท

                (2)  รายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดียเข้ามาในประเทศไทย 100 ล้านบาท

                จงวินิจฉัยว่า บริษัท ไทยเดินทะเลระหว่างประเทศ จำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรอย่างไร เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  บริษัทไทยเดินทะเลระหว่างประเทศ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 ต้องนำรายได้ทั้งหมดจำนวน 300 ล้านบาท มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 66 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายวินัยมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี  2551  ดังนี้

1       รายได้จากการให้คำปรึกษาในประเทศไทยหนึ่งล้านบาท  แต่ได้รับเงินได้ดังกล่าวในต่างประเทศและ

2       เงินปันผลจำนวนเจ็ดแสนบาทโดยบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายในประเทศไทย  หากในปีภาษี  2551  นายวินัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง  180  วัน  จงวินิจฉัยพร้อมยกมาตราประกอบคำอธิบายของท่านว่า

(ก)  นายวินัยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินทั้งสองรายการในประเทศไทยหรือไม่

(ข)  หากนายวินัยต้องเสียภาษีจากกรณีเงินปันผล  นายวินัยมีสิทธิได้รับเครดิตตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  วรรคแรก  และวรรคสาม  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

มาตรา  47  ทวิ  ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา  40(4)(ข)  ซึ่งได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี  โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้นได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ  ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี  ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา  ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี  ณ  ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด

เครดิตภาษีที่คำนวณได้ตามความในวรรคหนึ่งให้นำมารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ในมาตรา  48  เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด  ให้นำเครดิตภาษีที่คำนวณได้ดังกล่าวหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย  ถ้ายังขาดหรือเหลือเท่าใด  ให้ผู้มีเงินได้เสียภาษีสำหรับจำนวนที่ขาด  หรือมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เหลือนั้นคืน

ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยและมิได้เป็นผู้อยุ่ในประเทศไทย

 มาตรา  50  ให้บุคคล  ห้างหุ้นส่วน  บริษัท  สมาคม  หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้

(2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(3)  และ  (4)  ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้  เว้นแต่

(จ)   ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(4)(ข)  ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ  10.0  ของเงินได้

วินิจฉัย

(ก)  นายวินัยมีหน้าที่ต้องนำเงินได้จากการให้คำปรึกษาในประเทศไทยจำนวน  1  ล้านบาทมาเสียภาษีในประเทศไทย  เพราะเงินได้ดังกล่าวเกิดจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย  เนื่องจากหน้าที่งานที่เกิดในประเทศไทย  แม้เงินได้นั้นจะได้รับในต่างประเทศก็ต้องเสียภาษีให้ประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก

ส่วนเงินปันผลจำนวน  7  แสนบาท  ที่จ่ายโดยบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  นายวินัยต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีในประเทศไทยโดยบริษัทผู้จ่ายเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี  ณ  ที่จ่ายโดยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ  10  ของเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  50(2)(จ)

(ข)  นายวินัยต้องเสียภาษีจากเงินปันผลโดยบริษัทผู้จ่ายมีหน้าที่ต้องหักภาษี  ณ  ที่จ่ายในอัตราร้อยละ  10  ของเงินได้  แต่นายวินัยไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากร  เพราะผู้ที่มีสิทธิได้รับเครดิตเงินปันผลจะต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยและเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  ตามมาตรา  47  ทวิวรรคสามประกอบมาตรา  41  วรรคสามแห่งประมวลรัษฎากร  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  นายวินัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง  180  วัน  ถือว่านายวินัยไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเครดิตภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47  ทวิ  วรรคสาม

สรุป 

(ก)  นายวินัยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินทั้ง  2  รายการในประเทศไทย

(ข)  นายวินัยไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  2  นายสมชายและนางสมศรีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย  ทั้งสองมีบุตรซึ่งอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูด้วยกันหนึ่งคนคือ  นายน้อย  อายุ  22  ปี  เป็นคนวิกลจริต  นายสมชายเปิดร้านขายเครื่องไฟฟ้าในปี  พ.ศ.2550  มีเงินได้จากการขายเครื่องไฟฟ้าตลอดทั้งปีเป็นเงินจำนวน  500,000  บาท  ส่วนนางสมศรีเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง  ในปี  พ.ศ.2550  มีเงินได้จากการขายเสื้อผ้าตลอดทั้งปีเป็นเงินจำนวน  400,000  บาท  ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  สิ้นปีนายสมชายและนางสมศรีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี  แต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการคำนวณภาษีจึงไปปรึกษานายแดงซึ่งมีร้านค้าอยู่ใกล้เคียงกัน  นายแดงได้ให้คำปรึกษาแก่นายสมชายว่าการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี  (ภ.ง.ด.90)  ให้นายสมชายและนางสมศรีต่างคนต่างยื่นแบบแสดงรายการคนละฉบับ  และต่างคนต่างคำนวณภาษีของตนเอง  ส่วนบุตรชายให้ทั้งสองนำมาหักลดหย่อนได้คนละกึ่งหนึ่ง  เพราะนายน้อยเป็นบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบุคคลทั้งสอง

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  คำปรึกษาของนายแดงที่ให้แก่นายสมชายถูกต้องตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้  รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอาการที่ผู้จ่ายเงิน  หรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน

(1) ถึง (7) แล้ว

มาตรา  47  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  เมื่อได้หักตามมาตรา  42  ทวิถึงมาตรา  46  แล้ว  เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี  ให้หักลดหย่อนภาษีได้อีกดังต่อไปนี้

(1) ลดหย่อนให้สำหรับ

(ค)  บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย  คนละ  15,000  บาท  แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน

การหักลดหย่อนสำหรับบุตร  ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบปีและยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา  หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์  หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในอุปการะเลี้ยงดู  แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่  15,000  บาทขึ้นไป  โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา  42

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

โดยหลักในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี

คำปรึกษาของนายแดงที่ให้แก่นายสมชายไม่ถูกต้อง  เพราะนายสมชายและนางสมศรีเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  เมื่อนางสมศรีมีเงินได้จากการขายเสื้อผ้าซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามมาตรา  40(8)  นางสมศรีจึงต้องนำเงินได้จากการขายเสื้อผ้าไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีรวมกับนายสมชาย  เพราะถือว่าเงินได้ของนางสมศรีเป็นเงินได้ของนายสมชาย และให้นายสมชายมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีตามมาตรา  57  ตรี  วรรคแรก

สำหรับการหักลดหย่อนบุตร  การที่นายแดงให้คำปรึกษาว่าให้นายสมชายและนางสมศรีนำบุตรมาหักได้คลละกึ่งหนึ่ง  เป็นการให้คำปรึกษาที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน  เพราะบุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนได้จะต้องเป็นผู้เยาว์หรือบุตรที่อายุไม่เกิน  25  ปี  และยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย  หรือคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารุและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้เท่านั้น  แต่นายน้อยแม้จะเป็นบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูแต่นายน้องก็เป็นเพียงคนวิกลจริตเท่านั้น  เพราะศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนำมาหักลดหย่อนได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47(1)(ค)  วรรคแรกและวรรคสี่ 

สรุป  คำปรึกษาของนายแดงที่ให้นายสมชายไม่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  3  ในปี  พ.ศ.2550  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ประกอบกิจการโรงแรมในประเทศไทย  และเปิดสาขา  (Branch)  ประกอบกิจการภัตตาคารในประเทศเวียดนาม  บริษัทฯมีรายได้จากการประกอบกิจการในประเทศ  20  ล้านบาท  และมีรายได้จากสาขาในประเทศเวียดนาม  7  ล้านบาท  โดยรายได้จากกิจการภัตตาคารไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทย  ดังนี้  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา  

บริษัทไทยบริการ  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  กล่าวคือ  รายได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทย  20  ล้านบาท  และรายได้จากสาขาในเวียดนาม  7  ล้านบาท  เป็นจำนวนทั้งสิ้น  27  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร  มาตรา 66  วรรคแรก

สรุป  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  27  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศกัมพูชา  มีวัตถุประสงค์ในการผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพร  ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการใดๆในประเทศไทย  บริษัทต้องการที่จะเผยแพร่สูตรการผลิตยาสมุนไพรในประเทศไทย  โดยผู้ที่ต้องการใช้สูตรในการผลิตยาสมุนไพรต่างๆสามารถติดต่อผ่านทางตัวแทน  คือ  นายเตียฮองซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชา  และมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย  เมื่อตกลงกันได้แล้วบริษัทก็จะคิดค่าใช้สูตรในการผลิตโดยตรงจากผู้ที่ขอใช้สูตรดังกล่าว  บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทย  มีความสนใจในสูตรการผลิตยาสมุนไพรดังกล่าวนี้  จึงได้ติดต่อผ่านทางนายเตียฮอง  และต่อมาสามารถตกลงกันได้โดยบริษัทเณรแอร์ต้องจ่ายค่าสิทธิในการผลิตให้แก่  Cambodia  Herb  เป็นเงินจำนวน  10  ล้านบาทต่อปี  ซึ่งเป็นการจ่ายตรงให้แก่  Cambodia  Herb  ไม่ผ่านทางนายเตียฮองแต่อย่างใด  ดังนี้  อยากทราบว่าบริษัท Cambodia  Herb  จำกัด  นายเตียฮอง  และบริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีหรือนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(3) ค่าแห่งกู๊ดวิลล์  ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น  เงินปี  หรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม  นิติกรรมอย่างอื่น  หรือคำพิพากษาของศาล

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย

บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการใดๆในประเทศไทย  แต่การที่บริษัทมีนายเตียฮองซึ่งเป็นตัวแทนในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินค่าสิทธิในการผลิตยาสมุนไพรอันเป็นเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ถือว่า บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ประกอบกิจการในประเทศไทย  นายเตียฮองซึ่งเป็นตัวแทนจึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้ดังกล่าว  ดังนั้นบริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยโดยนายเตียฮองเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าว  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก

สำหรับการที่บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  ได้จ่ายเงินค่าสูตรในการผลิตสมุนไพรให้แก่บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  แม้ว่าจะเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(3)  ก็ตาม  แต่เมื่อเป็นกรณีที่ถือว่า บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ประกอบกิจการในประเทศไทยซึ่งต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา  76  ทวิ  วรรคแรกแล้ว  จึงไม่ต้องเสียภาษีตามมาตรา  70  วรรคแรกอีก บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีนำส่งค่าสิทธิในการผลิตยาสมุนไพรที่จ่ายให้แก่บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  แต่อย่างใด

สรุป  บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยโดยมีนายเตียฮองเป็นผู้มีอำนาจยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าว  สำหรับเงินค่าสูตรในการผลิตยา  บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี 

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ก  อธิบายความแตกต่างของหน่วยภาษีที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  กรณีกิจการร่วมค้าตามมาตรา  39  และห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล

ข  บริษัท  A  เป็นบริษัทจำกัด  จดทะเบียนขึ้นตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่น  มีสำนักงานสาขาที่จังหวัดชลบุรีหากในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัท  A  มีรายได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทยจำนวน  50  ล้านบาท  และมีรายได้จากสำนักงานอื่นๆทั่วโลกอีก  150  ล้านบาท  จงวินิจฉัยว่า  บริษัท  A  มีภาระภาษีเงินได้ในประเทศไทยหรือไม่  จากฐานใด  และหากมีภาระภาษีการคำนวณรายได้คิดตามกฎหมายอย่างไรจากจำนวนเท่าใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  ในหมวดนี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(2) กิจการร่วมค้า  ซึ่งได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท  บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา  คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น

มาตรา  66  วรรคสอง  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย  ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชีและการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา  65  และมาตรา  65  ทวิ  แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา  71(1)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ก  อธิบาย

กิจการร่วมค้า  คือ  กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร  อันเป็นการค้าโดยสัญญาระหว่างคู่ค้าที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นนิติบุคคลเสมอ  ได้แก่  กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร  ระหว่างบริษัทกับบริษัท  บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา  คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น

ส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล  คือ  การที่บุคคลธรรมดาตั้งแต่  2  คนขึ้นไปตกลงหุ้นกันไม่ว่าจะเป็นเงิน  แรงงาน  ทรัพย์สิน  ฯลฯ เพื่อกระทำกิจการร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งผลกำไรที่ได้แต่กิจการนั้น  โดยที่หุ้นส่วนทั้งหมดต้องมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น  ไม่มีนิติบุคคล

ข  วินิจฉัย

บริษัท  A  เป็นบริษัทจำกัด  จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่นมีสำนักงานสาขาที่จังหวัดชลบุรี  กรณีเช่นนี้  ถือว่าบริษัท  A  เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งประเทศไทย  ซึ่งบริษัท  A  มีภาระภาษีในประเทศจากฐานกำไรสุทธิโดยคำนวณจากรายได้ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ทำในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคสอง

ดังนั้น  จำนวนเงินที่บริษัท  A  ต้องนำมารวมคำนวณ  คือ  50  ล้านบาท  ที่ได้จากสำนักงานสาขาในประเทศไทยเท่านั้น

สรุป  บริษัท  A  มีภาระภาษีในประเทศไทยจากฐานกำไรสุทธิโดยคำนวณจากรายได้ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ทำในประเทศไทย  คือ  จำนวน  50  ล้านบาท

 

ข้อ  2  นายสมชัยและนางนงเยาว์เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  ในปีภาษี  2550  นายสมชัยมีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)  จำนวน  1,500,000  บาท  นางนงเยาว์ภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  จำนวน  1,000,000  บาท  และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  จำนวน  1,000,000  บาท  นายสมชัยและนางนงเยาว์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  (ภ.ง.ด.90  และ  ภ.ง.ด.91)  ในเดือนมีนาคม  2551  โดยนายสมชัยได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  ของนางนงเยาว์มารวมยื่นเป็นเงินได้พึงประเมินในแบบรายการภาษีของตน  และนางนงเยาว์ได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในส่วนของตนไปแยกยื่นแบบรายการภาษีเอง  ส่วนการหักค่าใช้จ่ายนั้นนางนงเยาว์นำค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  และ  (2)  ซึ่งหักได้ร้อยละ  40  แต่รวมกันไม่เกิน  60,000  บาท  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  42  ทวิ  ไปหักในแบบรายการภาษีของตนทั้งจำนวน  60,000  บาท  สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  ที่นำไปยื่นในแบบรายการภาษีของนายสมชัยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ  เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าการยื่นแบบรายการภาษีของนายสมชัยและนางนงเยาว์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  โดยเฉพาะในส่วนเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ของนางนงเยาว์จะต้องถัวเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนของเงินได้เพื่อไปหักทั้งในแบบรายการภาษีของนายสมชัยและนางนงเยาว์  ดังนั้น  อยากทราบว่าข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้  ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม  ค่านายหน้า  ค่าส่วนลด  เงินอุดหนุนในงานที่ทำ  เบี้ยประชุม  บำเหน็จ  โบนัส  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้นั้นไม่ว่าหน้าที่  หรือตำแหน่งงาน  หรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว

มาตรา  42  ทวิ  วรรคแรก  เงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา  40(1)  และ  (2)  ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ  40  แต่รวมกันต้องไม่เกิน  60,000  บาท

มาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี  แต่ถ้าภาษีค้างชำระและภริยาได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  7  วันแล้ว  ให้ภริยาร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้วให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  แต่ในส่วนเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  นั้น  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีได้  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ดังนั้น  การที่นางนงเยาว์นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ของตนไปแยกยื่นรายการภาษีต่างหากจากนายสมชัยจึงเป็นไปโดยถูกต้องแล้ว

ส่วนการหักค่าใช้จ่ายนั้น  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42  ทวิ  ให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะได้รับประโยชน์ในการที่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ของตนทั้งเป็นเงินได้ตามมาตรา  40(1)  และเงินได้ตามมาตรา  40(2)  โดยยอมให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ร้อยละ  40 แต่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ทั้งสองประเภทดังกล่าวรวมกันได้ไม่เกิน  60,000  บาท  โดยมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดว่าต้องหักจากเงินได้พึงประเมินประเภทใดในสัดส่วนเท่าใด  หรือต้องถัวเฉลี่ยกันอย่างไร  จึงมิใช่ว่ากรณีมีเงินได้พึงประเมินทั้งสองประเภทจะต้องถัวเฉลี่ยกันค่าใช้จ่ายกันดังที่เจ้าพนักงานประเมินกล่าวอ้างไม่  เมื่อกฎหมายเปิดช่องไว้เช่นนี้เท่ากับมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินว่าควรจะเลือกหักค่าใช้จ่ายในเงินได้ประเภทใด  อย่างไร  ในกรณีที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่อาจหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสองประเภท  ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระภาษีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในส่วนนี้  ดังเช่น  กรณีที่นางนงเยาว์เลือกหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ตามมาตรา  40(1)  อย่างเดียวเต็มจำนวน  60,000  บาท  ในแบบรายการภาษีของตน  ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  42  ทวิ  วรรคแรก  เพียงประเภทเดียว  โดยไม่ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา  40(2)  ซึ่งนายสมชัยสามีมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีในส่วนเงินได้พึงประเมินของนางนงเยาว์ผู้เป็นภริยาตามความในมาตรา  57  ตรี  ข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้  (ฎ.6220/2549)

สรุป  ข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้

 

ข้อ  3  บริษัท  ไทยก่อสร้าง  จำกัด  ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปี  พ.ศ.2549  ปรากฏว่าในปี  พ.ศ.2551  ได้ไปเปิดสาขา  (Branch)  ที่ประเทศลาว  และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างโดยมีรายได้จำนวน  100  ล้านบาทและฝากไว้ที่ธนาคาร  ณ  ประเทศลาวเพื่อการลงทุนต่อไปไม่นำจำนวนเงินนั้นเข้ามาในประเทศไทย  จงวินิจฉัยว่า  ในการคำนวณกำไรสุทธิประจำรอบระยะเวลาบัญชี  2551  ตามประมวลรัษฎากร  บริษัทไทยก่อสร้าง  จำกัด  ต้องนำยอดรายได้  100  ล้านบาทดังกล่าว  มารวมคำนวณกำไรสุทธิกับรายได้อื่นๆด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และกระทำกิจการในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา   ทั้งนี้ไม่คำนึงว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น  จะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม

บริษัทไทยก่อสร้าง  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น  ไม่ว่าจะมีรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ  ณ  ที่ใด  ก็ต้องนำยอดรายได้เหล่านั้นทั้งหมด  (100  ล้านบาท)  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร  ทั้งนี้  แม้จะไม่นำจำนวนเงินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม

สรุป  บริษัทไทยก่อสร้าง  จำกัด  ต้องนำยอดรายได้  100  ล้านบาท  ดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  นายจอห์นเป็นชาวอเมริกัน  ทำงานอยู่ที่บริษัทฟามาซีชิคอล  จำกัด  ซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  ได้รับเงินเดือนคอดเป็นเงินบาทเดือนละ  300,000  บาท  บริษัทฯมีโรงงานผลิตยารักษาโรคต่างๆขายทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ  บริษัทฯต้องการยาในประเทศไทย  เมื่อวันที่  1  กุมภาพันธ์  2552  บริษัทฯจึงได้ส่งนายจอห์นให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเสนอขายยาของบริษัทฯให้กับร้านขายยาในประเทศไทย  การเดินทางมาครั้งนี้ของนายจอห์นเพื่อมาทำงานให้กับบริษัทฯ  นายจอห์นจะอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา  1  เดือน  ส่วนเงินเดือนที่ได้รับในเดือนกุมภาพันธ์  2552  จำนวน  300,000  บาท  บริษัทฯได้โอนเข้าบัญชีของนายจอห์นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  และนายจอห์นได้นำเงินเดือนที่ได้รับในเดือนมกราคม  2552  ติดตัวเข้ามาจ่ายในประเทศไทยเป็นจำนวน  100,000  บาท ในระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย  นายจอห์นซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและถูกรางวัลประจำงวดวันที่  16  กุมภาพันธ์  2552  เป็นจำนวนเงิน 50,000  บาท  เมื่อนายจอห์นอยู่ครบกำหนดได้เดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่  1  มีนาคม  2552  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายจอห์นจะต้องนำเงินได้ทั้งสามจำนวนดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้อยู่ในประเทศไทย  มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ  ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(11)                    รางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ  รางวัลสลากกินแบ่งหรือสลากออมสินของรัฐบาล  รางวัลที่ทางราชการจ่ายให้ในการประกวดหรือแข่งขัน  ซึ่งผู้รับมิได้มีอาชีพในการประกวดหรือแข่งขัน  หรือสินบนรางวัลที่ทางราชการจ่ายให้เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามกระทำความผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น  เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย  หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคแรก)

ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมีเงินได้พึงประเมิน  เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ  และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม)

เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับจากบริษัทฟามาซีซิคอล  จำนวน  300,000  บาท  ของเดือนกุมภาพันธ์  2552  บริษัทฯได้โอนเข้าบัญชีของนายจอห์นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  นายจอห์นต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย  เพราะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  ไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก

สำหรับเงินที่นายจอห์นนำเข้ามาใช้จ่ายจำนวน  100,000  บาท  แม้จะเป็นเงินเดือนที่ได้รับในเดือนมกราคม  2552  เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ  และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคสอง  แต่เมื่อนายจอห์นอยู่ในประเทศไทยเพียง  1  เดือน  ซึ่งถือว่าไม่ถึง  180  วัน  ในปีภาษี  2552  จึงไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยเพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม

ส่วนเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล  จำนวน  50,000  บาท  นายจอห์นไม่ต้องนำมาเสียภาษีเพราะได้รับยกเว้น  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(11)

สรุป  นายจอห์นต้องนำเงินได้มาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยเฉพาะเงินเดือนที่นายจอห์นได้รับจากบริษัทฟามาซีซิคอล  จำนวน  300,000  บาท  ส่วนเงินที่นายจอห์นนำเข้ามาใช้จ่ายจำนวน  100,000  บาท  และเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล  จำนวน  50,000  บาท  ไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาคำนวณเสียภาษี

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ในปีภาษี  2551  นายยูโร  ชาวเยอรมันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ได้เดินทางเข้ามาแก้ไขระบบคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศไทยเป็นเวลา  30  วัน  ได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวน  500,000  บาท  โดยบริษัทฯผู้ว่าจ้างจะโอนเงินเข้าบัญชีให้กับนายยูโรที่ประเทศเยอรมันภายในวันที่  30  ธันวาคม  2551  จงวินิจฉัยว่า  นายยูโรต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  วรรคแรก  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

วินิจฉัย

โดยหลัก  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้นเกิดเนื่องจาก

1       หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  หรือ

2       กิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือ

3       กิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือ

4       ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย

นายยูโร  ชาวเยอรมัน  เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ได้เดินทางเข้ามาแก้ไขระบบคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศไทย  โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวน  500,000  บาท  ซึ่งค่าตอบแทนที่นายยูโรได้รับดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้  เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  ดังนั้น  นายยูโรจึงต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย  ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  ทั้งนี้  โดยไม่คำนึงว่านายยูโรจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่  และไม่ว่าเงินได้ดังกล่าวจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

สรุป  นายยูโรจะต้องนำรายได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทย

 

ข้อ  2  ในปีภาษี  2551  เด็กชายดำอายุ  10 ปี  กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่  4  (ป.4)  ของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง  โดยมีนายเอกเป็นบิดาประกอบอาชีพรับราชการได้รับเงินเดือนตลอดทั้งปี  จำนวน  500,000  บาท  และนางโทมารดา  มีอาชีพขายของชำได้รับเงินตลอดทั้งปี  800,000  บาท  ปรากฏว่าเด็กชายดำได้รับเงินจากการถ่ายแบบโฆษณาจำนวน  200,000  บาท  นายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  จงวินิจฉัยว่า  นายเอก  นางโท  และเด็กชายดำ  มีหน้าที่ในการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้  รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอาการที่ผู้จ่ายเงิน  หรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน

(1) ถึง (7) แล้ว

มาตรา  56  วรรคแรก  ให้บุคคลทุกคน  เว้นแต่ผู้เยาว์  หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ  ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  พร้อมทั้งข้อความอื่นๆภายในเดือนมีนาคมทุกๆ  ตามแบบที่อธิบดีกำหนดต่อเจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง  ถ้าบุคคลนั้น

(1) ไม่มีสามีหรือภริยา  และมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน  30,000  บาท

มาตรา  56  ทวิ  เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลาตามมาตรา  56  ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นรายการตามมาตรา  56  มาตรา  57 มาตรา  57  ทวิ  และมาตรา  57  ตรี  ยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดแสดงรายการเงินได้เฉพาะตามมาตรา  40(5) (6) (7)  หรือ  (8) ไม่ว่าจะมีเงินได้ประเภทอื่นรวมอยู่ด้วยหรือไม่  ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน  ภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี

เงินได้ตามมาตรา  40(5)  ตามวรรคหนึ่ง  ไม่รวมถึงเงินกินเปล่า  เงินช่วยค่าก่อสร้าง  เงินค่าซ่อมแซมค่าแห่งอาคารหรือโรงเรือนที่ได้รับกรรมสิทธิ์

การยื่นรายการตามวรรคหนึ่ง  ให้คำนวณภาษีตามมาตรา  48  โดยหักลดหย่อนตามมาตรา  47  ให้กึ่งหนึ่ง  และชำระภาษีถ้ามี  พร้อมกับการยื่นรายการนั้นต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  56

ภาษีที่ชำระตามวรรคสาม  ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา  57  จัตวา

มาตรา  57  ถ้าผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  56  วรรคหนึ่ง  เป็นผู้เยาว์  ผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถหรือเป็นผู้อยู่ในต่างประเทศ  ให้เป็นหน้าที่ของผู้แทนโดยชอบธรรม  ผู้อนุบาล  ผู้พิทักษ์  หรือผู้จัดการกิจการอันก่อให้เกิด เงินได้พึงประเมินนั้น  แล้วแต่กรณี  ต้องปฏิบัติตามมาตรา  56  วรรคหนึ่ง  และเป็นตัวแทนในการชำระภาษี

มาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี  แต่ถ้าภาษีค้างชำระและภริยาได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  7  วันแล้ว  ให้ภริยาร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  ให้ถือว่าเงินได้ของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  แต่ภริยามีสิทธิที่จะนำเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)  มาแยกยื่นรายการภาษี  โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีได้

นายเอก  นางโทและเด็กชายดำมีหน้าที่ในการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เห็นว่า  เมื่อนายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  และต่างฝ่ายต่างมีเงินได้  ดังนั้น  นายเอกและนางโทสามีภรรยาต้องยื่นภาษีร่วมกัน  โดยให้เสียภาษีในชื่อของนายเอกสามี  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  และในกรณีนี้  นางโทไม่มีสิทธิแยกยื่นรายการภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  เพราะเงินได้ที่นางโทได้รับจากการขายของชำ  ถือว่าเป็นเงินได้จากการพาณิชย์  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)  มิใช่เงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)

ส่วนเงินได้จากการถ่ายโฆษณาของเด็กชายดำ  จำนวน  2  แสนบาท  เงินได้ดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1) ถึง  (7)  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)  ต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรมคือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  56  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  57

และเมื่อนางโท  และเด็กชายดำเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  40(8)  ทั้งสองคนต้องยื่นชำระภาษีแบบครึ่งปี  ในกรณีเงินได้ของนางโท  นางโทต้องเป็นผู้ยื่นรายการภาษีแบบครึ่งปีในนามของตนเอง  ภายในเดือนกันยายน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  56  และกรณีเด็กชายดำ  ก็ต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรม  คือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  56  ทวิ  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  57

สรุป  นายเอกและนางโทสามีภรรยาต้องยื่นภาษีร่วมกัน  โดยให้เสียภาษีในชื่อของนายเอกสามี  ส่วนเงินได้จากการถ่ายโฆษณาของเด็กชายดำต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรม  คือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน

และสำหรับการยื่นชำระภาษีแบบครึ่งปีนางโทต้องยื่นในนามของตนเอง  และเด็กชายดำก็ต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรม  คือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน

 

ข้อ  3  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยโดยในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทฯมีรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศกัมพูชาไปประเทศสิงคโปร์จำนวน  10  ล้านบาท  และฝากเงินจำนวนนี้ไว้ที่ธนาคารในประเทศสิงคโปร์  และมีรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศไทยไปประเทศมาเลเซียและประเทศสิงคโปร์  จำนวน  20  ล้านบาท  โดยฝากไว้กับธนาคารในประเทศไทย  จงวินิจฉัยว่าในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวทั้งหมดอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และกระทำกิจการในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา   ทั้งนี้ไม่คำนึงว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น  จะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม

บริษัทสยามการบิน  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  กล่าวคือ  รายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศกัมพูชาไปประเทศสิงคโปร์จำนวน  10  ล้านบาท  และรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศไทยไปประเทศมาเลเซียและประเทศสิงคโปร์  จำนวน  20  ล้านบาท  เป็นจำนวนทั้งสิ้น  30  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคแรก

สรุป  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบกิจการทั้งหมด  30  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  บริษัทอเมริกันคอมพิวเตอร์โปรแกรม  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการในประเทศไทย  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาเซ็นสัญญาขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยกับบริษัทคอมอัจฉริยะ  จำกัด  ราคา  200  ล้านบาท  โดยบริษัทไทยคอมฯจะโอนเงินชำระราคาไปยังบริษัทอเมริกันคอมฯภายใน  1  เดือนหลังจากทำสัญญากันแล้ว  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทอเมริกันคอมพิวเตอร์โปรแกรม  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย

สำหรับหลักเกณฑ์ประการที่  3  นี้  ในกรณีที่มีการซื้อขายสินค้า  หากได้มีการทำสัญญาซื้อขายในประเทศไทยก็ถือได้ว่ามีการประกอบกิจการในประเทศไทยแล้ว  ส่วนการส่งมอบและการชำระราคา  เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติของคู่สัญญาเท่านั้น  มิใช่สาระสำคัญของสัญญา แม้จะมีการส่งมอบหรือชำระราคาในต่างประเทศก็ตาม  ก็ยังถือเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย  (ฎ.2637/2521)

บริษัทอเมริกันคอมพิวเตอร์โปรแกรม  จำกัด  เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาเซ็นสัญญาขายโปรแกรมฯ  กับบริษัทไทยคอมอัจฉริยะ  จำกัดในประเทศไทย  ราคา  200  ล้านบาท  กรณีเช่นนี้ถือว่า  บริษัทอเมริกันฯ  ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  อันเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้  หรือผลกำไรในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก ดังนั้น  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทอเมริกันฯ  จึงต้องนำรายได้จำนวน  200  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทย

สรุป  บริษัทอเมริกันฯ  ต้องนำรายได้จำนวน  200  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทย

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

นักศึกษาที่ลงทะเบียนกระบวนวิชา  LA  401  (รหัส  52…  เป็นต้นไป)  ให้ทำข้อ 1  3

นักศึกษาที่ลงทะเบียนกระบวนวิชา  LW  406  (รหัส  51…ลงไป)  ให้ทำข้อ  1  4

ข้อ  1  บริษัท  เหลืองแดงเขียว  จำกัด  ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายเหลืองซึ่งมีสัญชาติไทยให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ณ ประเทศสิงคโปร์  โดยทางบริษัทฯได้โอนเงินค่าจ้างไปเข้าบัญชีของนายเหลืองในต่างประเทศ  และในขณะเดียวกันบริษัทฯ  ได้ว่าจ้างนางเขียวซึ่งมีสัญชาติมาเลเซียให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ที่จังหวัดอุบลราชธานี  โดยบริษัทฯ  ได้โอนเงินค่าจ้างไปยังประเทศมาเลเซีย

นอกจากนี้บริษัทฯ  ได้ตกลงจ้างนางสาวแดงซึ่งเป็นนายหน้าอิสระสัญชาติไทย  (ไม่ได้เป็นลูกจ้างของบริษัทฯ)  ให้ทำหน้าที่นายหน้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแก่บริษัท  โดยบริษัท  ตกลงจะโอนเงินให้นางสาวแดงที่ประเทศไทย  หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นอกจากนางเขียวกรณีนายเหลืองและนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้แต่อย่างใด  จงวินิจฉัยว่าทั้งสามคนนี้มีภาระภาษีเงินได้ในประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้อยู่ในประเทศไทย  มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ  ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น  เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย  หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคแรก)

ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมีเงินได้พึงประเมิน  เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ  และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม)

การที่บริษัท  เหลืองแดงเขียว  จำกัด  ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายเหลืองให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ณ  ประเทศสิงคโปร์  โดยทางบริษัทฯ  ได้โอนเงินค่าจ้างไปเข้าบัญชีของนายเหลืองยังต่างประเทศ  กรณีถือว่าเงินค่าจ้างที่นายเหลืองได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  นายเหลืองจึงต้องมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ทั้งนี้  โดยไม่ต้องคำนึงว่านายเหลืองจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่  และไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

สำหรับนางเขียว  ซึ่งบริษัทฯได้ว่าจ้างนางเขียวซึ่งมีสัญชาติมาเลเซียทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ที่จังหวัดอุบลราชธานี  โดยบริษัทฯ  ได้โอนเงินค่าจ้างไปยังประเทศมาเลเซีย  กรณีถือว่าเงินค่าจ้างที่นางเขียวได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา  41  วรรคแรก  นางเขียวจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทยเช่นกัน  ทั้งนี้  ไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

ส่วนนางสาวแดงที่ได้รับค่าจ้างจากการเป็นนายหน้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแก่บริษัทฯ  ถือเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคสอง  นางสาวแดงไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีให้กับประเทศไทย  เพราะแม้บริษัทฯ  ได้โอนให้นางสาวแดงที่ประเทศไทย  แต่เมื่อนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้  นางสาวแดงจึงไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย  เพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา 41  วรรคสองและวรรคสาม

สรุป  นายเหลืองและนางเขียวมีภาระภาษีในประเทศไทย  ส่วนนางสาวแดงไม่มีภาระต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทย  เพราะนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

 

ข้อ  2  นายแดงทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินของบริษัท  อุปกรณ์การแพทย์  จำกัด  ได้รับเงินเดือนๆละ  20,000  บาท  นายแดงได้นำรถยนต์ส่วนตัวของตนมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ  และบริษัทฯได้จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์แบบเหมาจ่ายให้แก่นายแดงเดือนละ  4,000  บาท โดยมิได้คำนึงว่านายแดงจะได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นหรือไม่  และไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดงแก่บริษัทฯแต่อย่างใด  ในปีภาษี  2551 นายแดงได้รับเงินค่าน้ำมันจากบริษัทฯ  เป็นเงินรวมตลอดทั้งปีจำนวน  48,000  บาท  ปรากฏว่าเมื่อวันที่  10  มีนาคม  2551  รถยนต์ของนายแดงถูกนายเขียวขับชนโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ของนายแดงได้รับความเสียหาย  แต่นายแดงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย  นายแดงจึงเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการทำละมิดของนายเขียวเพื่อเป็นค่าซ่อมรถยนต์และค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน  40,000  บาท ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินได้ที่นายแดงได้รับทั้งสองจำนวนจะต้องนำมารวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้  ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(1) ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือพาหนะ  ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรือผู้รับทำงานให้ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น

(13)  ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  เงินที่ได้จากการประกันภัยหรือการฌาปนกิจสงเคราะห์

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วเงินค่าพาหนะซึ่งลูกจ้างได้รับจากนายจ้างอันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(1)  จะต้องเป็นค่าพาหนะซึ่งลูกจ้างได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น  ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  ค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทฯจ่ายให้นายแดงซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ  ที่นำรถยนต์ส่วนตัวของตนมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ  มีลักษณะเป็นการเหมาจ่าย  โดยมิได้คำนึงว่าจะจ่ายไปหมดในการนั้นหรือไม่  เงินค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทเหมาจ่ายให้แก่นายแดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นมาตรา  42(1)  (ฎ.5330/2537)

ดังนั้น  นายแดงจึงต้องนำเงินค่าน้ำมันรถยนต์จำนวน  48,000  บาท  ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ส่วนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน  40,000  บาท  ที่นายแดงได้รับจากนายเขียวเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  จึงได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(13)  ดังนั้น  นายแดงจึงไม่ต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

สรุป  นายแดงต้องนำเงินค่าน้ำมันรถยนต์จำนวน  48,000  บาท  ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น  ส่วนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน  40,000  บาท  ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

 

ข้อ  3  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2552  บริษัท  ไทยวิศวกรรม  จำกัด  (มหาชน)  ได้เช่ารถยกตีนตะขาบ  (Crawler  Crane)  พร้อมอุปกรณ์จากบริษัท  โตโย  จำกัด  ผู้ให้เช่าในประเทศญี่ปุ่นและได้ซื้ออุปกรณ์กำเนิดกำลัง  (Generator)  พร้อมอุปกรณ์จากบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ผู้ขายในประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำมาใช้ในโครงการขยายโรงกลั่นของบริษัท  ปิโตรไทย  จำกัด  (มหาชน)  บริษัทฯผู้ให้เช่าและบริษัทฯ  ผู้ขายทั้งสองเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์  มิได้ประกอบกิจการหรือมีตัวแทนหรือสถานประกอบการถาวร  (Permanent  Establishment)  ใดๆในประเทศไทยจงวินิจฉัยว่า  บริษัท  โตโย  จำกัด  และบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ต้องมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  อย่างไร  (ไม่ต้องพิจารณาเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน)

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(5) เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก

(ก)  การให้เช่าทรัพย์สิน

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  ถึง  (7)  แล้ว

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2) (3) (4) (5) หรือ (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี  โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การหักภาษี  ณ  ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  วรรคแรก  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       ผู้รับเงินจะต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ

2       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  และ

3       เงินได้ที่จ่ายจะต้องเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6)  ที่จ่ายจากหือในประเทศไทยเท่านั้น

บริษัท  ไทยวิศวกรรม  จำกัด  (มหาชน)  จ่ายเงินค่าเช่ารถยกและค่าซื้อเครื่องกำเนิดกำลัง  ให้แก่บริษัท  โตโย  จำกัด  ผู้ให้เช่าในประเทศญี่ปุ่นและบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ผู้ขายในประเทศสิงคโปร์  โดยผู้ให้เช่าและผู้ขายมิได้ประกอบกิจการหรือมีตัวแทนหรือสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย  จะมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร  ดังนี้

1       กรณีบริษัท  โตโย  จำกัด  ได้รับค่าเช่าอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา  40(5)  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  โดยบริษัทไทยวิศวกรรม  จำกัด  (มหาชน)  ต้องหักภาษีเงินได้ไว้  ณ  ที่จ่ายในอัตราร้อยละ  15  ของยอดเงินได้พึงประเมินที่จ่าย

2       กรณีบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ได้รับเงินจากการขายสินค้า  อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา  40(8)  จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามประมวลรัษฎากรมาตรา  70  ที่บังคับเฉพาะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  (6)  เท่านั้น

สรุป  บริษัท  โตโย  จำกัด  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทย  ส่วนบริษัทเยาเส็ง  จำกัด  ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

 

ข้อ  4  Marine  Shipping  &  Transportation  Corporation  (Marine  Corp)  เป็นบริษัทซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา  ประกอบกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยทางเรือ  มีสาขาตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย  บริษัท  ไทยนำสินฟู้ด  โปรดักส์  จำกัด  (ไทยนำสิน)  ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย  ตั้งอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส  ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารฮาลาล ไทยนำสินได้ขายสินค้าอาหารให้แก่ผู้ซื้อในประเทศกาตาร์  จึงได้ว่าจ้างให้  Marine  Corp  สาขามาเลเซียขนส่งสินค้าดังกล่าวไปยังประเทศกาตาร์  โดยไทยนำสินได้ขนสินค้าดังกล่าวทางรถบรรทุกไปส่งมอบให้แก่ Marine  Corp  ในประเทศมาเลเซีย  Marine  Corp ได้คิดค่าบริการในการขนสินค้าดังกล่าวจำนวน  10  ล้านบาท  อยากทราบว่า Marine  Corp  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายของค่าบริการรับขนของตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคสอง  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย  ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชีและการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา  65  และมาตรา  65  ทวิ  แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา  71(1)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  67  การเสียภาษีตามความในส่วนนี้  ให้เสียตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้  เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา  66  วรรคสอง  กระทำกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆให้เสียภาษีเฉพาะกิจการขนส่งตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(2) ในกรณีรับขนของ  ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ  3  ของค่าระวางค่าธรรมเนียม  และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บ  ไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใดๆ  เนื่องจากในการรับขนของออกจากประเทศไทยนั้น

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลยอดรายรับค่าระวาง  ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใดๆ  เนื่องในการรับขนของออกจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  67(2)  นั้นจะต้องเป็นกรณีที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งประเทศไทย  กล่าวคือ  ต้องมีการกระทำกิจการในประเทศไทยและเป็นการประกอบกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆด้วย  (มาตรา  66  วรรคสองประกอบมาตรา  67)

เมื่อ  Marine  Corp มีสาขาอยู่ในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียโดยไม่ปรากฏว่ามีสาขาหรือกระทำกิจการอยู่ในประเทศไทย  Marine  Corp  จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากค่าบริการรับขนของดังกล่าวแต่อย่างใด  ดังนั้น  เมื่อ  Marine  Corp  ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวแล้ว  กรณีจึงไม่ต้องพิจารณาว่าค่าบริการที่   Marine  Corp  ได้รับเป็นกรณีเนื่องจากการรับขนของออกไปจากประเทศไทยหรือไม่

สรุป  Marine  Corp  ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว     

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ 1  การสืบสวนและการสอบสวนมีความแตกต่างกัน  จึงให้ท่านอธิบายถึงความแตกต่างของการสืบสวนและสอบสวนอย่างน้อย  4 ประเด็น

ธงคำตอบ

การสืบสวน  หมายความถึง  การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน  ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(10)

การสอบสวน  หมายความถึง  การรวบรวมพยานหลักฐาน  และการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(11)

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการสืบสวนและการสอบสวนได้ดังนี้

1       วิธีการ

–                    การสืบสวน  เป็นลักษณะของการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด  ซึ่งอาจจะเป็นขั้นตอนก่อนที่จะมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นก็ได้

–                    การสอบสวน  เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นและมีการกล่าวหาในความผิดนั้น

2       สิ่งที่ต้องการ 

–                    การสืบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  ข้อเท็จจริงพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด

–                    การสอบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  พยานหลักฐาน  ซึ่งแบ่งได้เป็นพยานบุคคล  พยานวัตถุ  และพยานเอกสาร

3       วัตถุประสงค์ 

–                    การสืบสวน  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิด

–                    การสอบสวน  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  หรือพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ซึ่งอาจจะไม่มีผู้กระทำผิดตามที่กล่าวหาก็ได้

4       เจ้าพนักงานที่มีอำนาจ

–                    การสืบสวน  ได้แก่  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  รวมทั้งเจ้าพนักงานอื่นๆตามกฎหมายเฉพาะ  เช่น  พัศดี  เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต  กรมศุลกากร  กรมเจ้าท่า  พนักงานตรวจคนเข้าเมือง  เป็นต้น

–                    การสอบสวน  ได้แก่  พนักงานสอบสวน  ซึ่งหมายถึง  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน  ดังที่บัญญัติไว้ใน  ป.วิอาญา  มาตรา  18, 19, 20 และ  21

5       เงื่อนไข

–                    การสืบสวน  สามารถกระทำก่อน  ขณะ  หรือหลังจากเหตุเกิดก็ได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีความผิดเกิดขึ้น

–                    การสอบสวน  ต้องมีความผิดเกิดขึ้น  หรือมีการกล่าวหาในความผิดนั้นจึงทำการสอบสวน

 

ข้อ  2  การตรวจสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอมีความสำคัญยิ่งสำหรับการสืบสวนและการสอบสวน  จึงให้ท่านอธิบายถึงความหมายของสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ  และประโยชน์ของการตรวจสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอโดยสังเขป

ธงคำตอบ

สารพันธุกรรมหรือ DNA เป็นสารที่มีความจำเพาะสูงในแต่ละบุคคล  จึงใช้ในการตรวจพิสูจน์ตัวบุคคล  ไม่ว่าจะเป็น  DNA  จากคราบโลหิต  อสุจิ  เซลล์ของรากผม  ขน  ชิ้นส่วนของกระดูก  ฯลฯ  โดยมีวิธีการคือ  การนำสารพันธุกรรมที่ได้รับมาสกัดแยกและเพิ่มปริมาณตามเทคนิค  PCR (Polymerase  Chain  Reaction)  แล้วนำผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรวจสอบเฉพาะก็จะสามารถทำให้ทราบแบบของสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตนั้นได้

เทคนิคการตรวจหาสารพันธุกรรมนี้มีประโยชน์ในด้านการสืบสวนและการสอบสวนดังนี้  คือ

1       การตรวจพิสูจน์ในคดีข่มขืนกระทำชำเรา

2       การตรวจพิสูจน์ในคดีฆาตกรรม

3       การตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา  มารดา  และบุตร

4       การตรวจพิสูจน์โครงสร้างกระดูกหรือชิ้นส่วนของมนุษย์เพื่อนำมาพิสูจน์ตัวบุคคลซึ่งถูกฆาตกรรมหรือสูญหายไป

5       การตรวจผลของ  DNA  เพื่อพิสูจน์การติดเชื้อเอดส์  (HIV)  ของบุคคล

 

ข้อ  3  คดีความผิดฐานบุกรุก  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  362  เป็นความผิดอันยอมความได้  ในกรณีที่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ตามระเบียบพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้อธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

กรณีความผิดอันยอมความได้  ตาม  ป.อาญา  ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกับความผิดต่อส่วนตัว  ตาม  ป.วิอาญา  ในกรณีที่ผู้เสียยังไม่ได้ร้องทุกข์ตามระเบียบในความผิดอันยอมความได้  พนักงานสอบสวนจึงทำการสอบสวนคดีนี้ไม่ได้  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  121  วรรคสอง  เนื่องจากในคดีความผิดต่อส่วนตัว  ถ้าสอบสวนโดยไม่มีคำร้องทุกข์หรือมีคำร้องทุกข์แต่เป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการสอบสวนคดีนั้น

ข้อ  4  เจมส์ออกเช็คหนึ่งฉบับสั่งจ่ายเงินห้าหมื่นบาทเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อคอมพิวเตอร์แก่เจน  แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินเจนได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นที่ธนาคาร  ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน  อ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  เจนจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า  ขอแจ้งเรื่องเจมส์จ่ายเช็คไม่มีเงิน  โดยแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อกันไม่ให้คดีขาดอายุความ  ถ้าหากเจมส์ไม่ชำระเงินจะมาแจ้งความดำเนินคดีต่อไป  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การแจ้งความดังกล่าวถือเป็นการร้องทุกข์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

การแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า  ว่า  ขอแจ้งเรื่องเจมส์จ่ายเช็คไม่มีเงิน  โดยแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อกันไม่ให้คดีขาดอายุความ  ถ้าหากเจมส์ไม่ชำระเงินจะมาแจ้งความดำเนินคดีต่อไป”  นั้น  ถือว่าการแจ้งความดังกล่าวนี้ไม่เป็นคำร้องทุกข์  กรณีที่จะถือว่าเป็นคำร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  นั้น  ผู้เสียหายจะต้องกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  แต่กรณีตามปัญหายังไม่ได้ความว่าเจน  (ผู้เสียหาย)  มีเจตนาให้เจมส์ผู้กระทำความผิดได้รับโทษแต่อย่างใด  กรณีจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์

WordPress Ads
error: Content is protected !!