LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4002  การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสาววรรณา โจทก์ยื่นฟ้องนางสาววรรณี จำเลยในความผิดฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายเป็นทุนทรัพย์ ในการฟ้องคดีจำนวน ห้าแสนบาทถ้วน โดยนางสาววรรณาซึ่งเป็นโจทก์ระบุในคำฟ้องว่า ตนเองอายุ 21 ปี ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันนี้ แต่นางสาววรรณี จำเลยได้ไปขอคัดทะเบียนบ้าน เลขที่ 100/100 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปี กรุงเทพมหานคร จากนายทะเบียน เขตบางกะปิแล้ว ปรากฏว่า นางสาววรรณามีอายุเพียง 19 ปี ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ นางสาววรรณี จำเลยจึงมีความประสงค์ที่จะขอให้ศาลทำการสอบสวนในเรื่องความสามารถของนางสาววรรณา โจทก์เสียก่อนที่จะเริ่มดำเนินการสืบพยาน

ดังนั้น ให้ท่านในฐานะทนายความของนางสาววรรณี จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลตามความประสงค์ ของตัวความ (ให้ร่างแต่ใจความในคำร้องเท่านั้น โดยไมต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ของศาล)

ธงคำตอบ

คำร้อง

ข้อ 1. คดีนี้ ศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันนี้ ดังความแจ้งแล้วนั้น

ข้อ 2. จำเลยขอกราบเรียนต่อศาลว่า โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า อายุ 21 ปีนั้นไม่เป็นความจริง โดยจำเลยได้ไปขอคัดทะเบียนบ้านเลขที่ 100/100 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ของโจทก์จากนายทะเบียนเขตบางกะปิแล้ว ปรากฏว่าโจทก์มีอายุเพียง 19 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้าน เอกสารท้ายคำร้อง จึงเห็นได้ชัดเจนว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้โดยเป็นผู้บกพร่องทางความสามารถ ฉะนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้โปรด ทำการไต่สวนและมีค่าสั่งต่อไป ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

.           ลงชื่อ….(ลายมือชื่อนักศึกษาหรือจำเลย)…..ทนายจำเลย (ผู้ร้อง)

ค่าร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษทนายจำเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ……(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ผู้เรียงและพิมพ์

 

 

ข้อ 2. โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ เจ้าพนักงานเดินหมายของศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้กับจำเลยเป็นครั้งแรก แต่ไม่สามารถส่งได้ เพราะไม่พบจำเลยและไม่มีผู้ใด ยอมรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แทน

ดังนั้น จึงให้ท่านในฐานะทนายโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาล ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานเดินหมาย ของศาลนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้กับจำเลยอีกครั้งหนึ่ง หากไม่พบจำเลยหรือไม่มีผู้ใด ยอมรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แทนก็ไห้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ภูมิลำเนา ของจำเลยตามความประสงค์ของโจทก์ (ให้ร่างแต่ใจความในคำแถลงเท่านั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึง แบบพิมพ์ของศาล)

ธงคำตอบ

คำแถลง

ข้อ 1. คดีนี้ เจ้าพนักงานเดินหมายของศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้กับ จำเลยครั้งแรกแต่ไม่พบจำเลย และไมมีผู้ใดยอมรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้แทน โจทก์จึงขอให้ศาลได้โปรด มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้กับจำเลยอีกครั้งหนึ่ง หากไมพบจำเลย หรือไม่มีผู้ใดยอมรับไว้แทนโดยชอบแล้ว ขอศาลได้โปรดมีคำสั่งให้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ภูมิสำเนา ของจำเลยด้วย ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ….(ลายมือชื่อนักศึกษา)….ทนายโจทก์

คำแถลงฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ผู้เรียงและพิมพ์

ข้อ 3. นายล็ก ว่าจ้างให้นายใหญ่ เป็นทนายความ ฟ้องคดีอาญานายน้อย ในข้อหาความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็คเป็นเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท นายใหญ่ทนายความ ได้ยื่นฟ้องนายน้อยตอศาล หลังจากยื่นฟ้องแล้ว นายน้อยได้ชำระเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายใหญ่ นายใหญ่ จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง หลังจากที่นายใหญ่ได้รับเงินจำนวน 200,000 บาท จากนายน้อย แล้วก็ไม่ได้ส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แกนายเล็กแต่อย่างใด

ให้วินิจฉัยว่า การที่นายใหญ่ไม่ส่งมอบเงินจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายเล็ก เป็นการประพฤติผิด มรรยาททนายความตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หรือไม่ อย่างไร ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529

ข้อ 15 กระทำการใดอันเป็นการฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความ หรือครอบครองหรือ หน่วงเหนี่ยวเงินหรือทรัพย์สินของลูกความที่ตนได้รับมาโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องไว้นานเกินกว่าเหตุ โดยมิได้รับความยินยอมจากลูกความ เว้นแต่จะมีเหตุอันสมควร

ข้อ 18 ประกอบอาชีพ ดำเนินธุรกิจ หรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายใหญ่ทนายความได้รับเงินจำนวน 200,000 บาท จากนายน้อยนั้น ถือว่าเป็นการรับแทนนายเล็กซึ่งเป็นลูกความ นายใหญ่ย่อมมีหน้าที่ต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมอบให้แก่นายเล็ก ที่เป็นตัวการ

เมื่อนายใหญ่ไม่มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายเล็ก จึงเป็นการฉ้อโกงหรือยักยอกเงิน หรือทรัพย์สินของลูกความ ซึ่งนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ เป็นการ ประพฤติผิดมรรยาททนายความตามข้อบังคับสภทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 15 และข้อ 18 (เทียบได้ตามคำสั่งสภาทนายความพิเศษแห่งสภาทนายความที่ 6/2545)

สรุป การกระทำของนายใหญ่ดังกล่าว เป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความตามข้อบังคับ สภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 15 และข้อ 18

 

ข้อ 4. ในสำนวนการสอบสวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา ประมาณ 20.30 นาฬิกา ขณะที่นายชอบ ชื่นชม เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ แขวงบางกะปิ เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร อยู่นั้น ได้มีนายเด่น และนายดวง นักเรียนต่างสถาบัน ซึ่งเคยมีเรื่องกันมาก่อนวิ่งตามเข้าไป แล้วนายเด่นได้ใช้มีดดาบปลายแหลมยาว 12 นิ้ว ฟันด้านหลัง และแทงบริเวณชายโครง นายดวงใช้อาวุธปีนลูกซองยิงบริเวณหน้าอกของนายชอบหนึ่งนัด เป็นเหตุให้นายชอบถึงแกความตาย ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 เวลาประมาณ 16.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายเด่นได้พร้อมกับยึดมีดดาบที่ใช้ไนการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลางนำส่ง พนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายเด่นให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนได้นำตัว นายเด่นไปฝากขังไว้ที่ศาลอาญา ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 30/2554 ส่วนนายดวงนั้นพนักงานสอบสวน ได้ขอให้ศาลอาญาออกหมายจับไว้ แต่ยังจับตัวไม่ได้ และได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด

สมมุติว่า นักศึกษาเป็นพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาผู้รบผิดชอบคดีนี้ ให้นักศึกษาเรียง คำฟ้องคดีนี้ โดยเรียงเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) เท่านั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ผู้นั้นต้อง…

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา ผู้รับผิดชอบคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้อง คดีนี้ เฉพาะเนื้อหาคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ดังต่อไปนี้

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยนี้กับพวกอีกหนึ่งคน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธมีดดาบปลายแหลมยาว 12 นิ้ว และอาวุธปีนลูกซอง พันด้านหลัง แทงบริเวณชายโครง และยิงนายชอบ ชื่นชม ผู้ตาย บริเวณหน้าอกหนึ่งนัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก รายละเอียดบาตแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง

เหตุเกิดที่ แขวงบางกะปิ เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยนี้ได้พร้อมกับ ยึดมีดดาบที่ใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ ของกลางเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวตลอดมา ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ในคดี หมายเลขดำที่ ฝ. 30/2554 ขอศาลได้โปรดเบิกตัวจำเลยมาพิจารณาและพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. คำคูความคดีอาญา (คำฟ้อง)

ข้อเท็จจริง จากการเตรียมคดีในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2554 เวลาประมาณ 20.00 นาที[กา ขณะที่นายทองแดงเดินอยู่หน้าโรงเรียนวัดสนามไชย ตำบลสนามชัย อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีนายทองดำเดินเข้ามาประกบด้านข้างแล้วใช้มีด ปลายแหลมยาว 5 นิ้ว จี้ที่เอวแล้วบอกให้นายทองแดงส่งโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาท ของนายทองแดงให้แก่ตน ถ้าไมส่งมาให้ก็จะแทงทำร้ายให้ถึงแก่ความตาย นายทองแดง เกิดความกลัวจึงส่งโทรศัพท์มือถือให้ไป จากนั้นนายทองดำก็วิ่งหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 สิบตำรวจโทสมชายจับนายทองดำได้ที่บ้านพักพร้อมกับยึดโทรศัพท์มือถือที่ชิงไปจาก นายทองแดงเป็นของกลางนำส่งร้อยตำรวจตรีนาวี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางไทร ทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายทองดำให้การรับสารภาพ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัวจึงได้นำไป ฝากขังที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวน การสอบสวนส่งพนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแกการลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก…

สมมุติว่า นักศึกษาเป็นพนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ให้ นักศึกษาเรียงคำฟ้องในข้อหาชิงทรัพย์ (เฉพาะเนื้อหาคำฟ้องโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง)

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องคดีนี้ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2554 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยซึ่งมีมีดปลายแหลมยาว 5 นิ้วเป็นอาวุธติดตัว ได้บังอาจลักเอาโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่องราคา 10,000 บาท ของนายทองแดงผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยได้ใช้มีดจี้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะแทงประทุษร้ายผู้เสียหายให้ถึงแกความตาย เพื่อให้ผู้เสียหายให้ความสะดวกแกการลักทรัพย์ ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น หรือยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

เหตุเกิดที่ตำบลสนามชัย อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2554 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมโทรศัพท์มือถือ ของกลางที่จำเลยเอาไปจากผู้เสียหายนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอนสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ของกลางเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวตลอดมา ขณะนี้ต้องขังอยู่ที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงขอให้ศาลเบิกตัวจำเลยมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

 

ข้อ 2. คำคู่ความคดีแพ่ง (คำฟ้อง)

ข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2552 นายสมศักดิ์ได้กู้เงินไปจากนายสมัคร เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท โดยนายสมศักดิ์ยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี มีกำหนดเวลาใช้คืนภายใน วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 นายสมศักดิ์ได้รับเงินจำนวนที่กู้ไปครบถ้วนแล้วและได้ทำสัญญากู้ไว้เป็น หลักฐานในวันดังกล่าว ต่อมาเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว นายสมศักดิ์ ไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้จำนวนดังกล่าวพร้อมชำระดอกเบี้ยคืนตามสัญญา นายสมัครจึงประสงค์จะฟ้อง เรียกเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดจากนายสมศักดิ์

ฉะนั้นสมมุติว่า นักศึกษาเป็นทนายความของนายสมัคร ให้นักศึกษาเรียงคำฟ้องเรียกเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดจากนายสมศักดิ์

ธงคำตอบ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2552 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจำนวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) โดยจำเลยยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยสะ 15 ต่อปี มีกำหนดเวลาใช้คืนภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจำเลยได้รับเงินจำนวนที่กู้ปครบถ้วนแล้ว และได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานในวันดังกล่าว รายละเอียด ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2552 เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ จำนวน 200.000 บท (สองแสนบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แกโจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ได้ ทวงถามแล้วแต่จำเลยกลับเพิกเฉย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย

จำเลยต้องรันผิดชำระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จำนวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) และ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 45,000 บาท (สี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน) รวม เป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระคืนให้แกโจทก์ 245,000 บาท (สองแสนสี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน)

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจำเลยต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ทนายโจทก์

คำฟ้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ……(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ผู้เรียงและพิมพ์

 คำขอท้ายฟ้อง

ข้อ 1. ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 245,000 บาท (สองแสนสี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน)

ข้อ 2. ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น

ข้อ 3. ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

ข้อ 3. การจัดทำเอกสารทางกฎหมาย (สัญญา/หนังสือทวงถาม)

ข้อเท็จจริง 

 

ข้อ 3. นางสดศรี สายสมร ได้มาพบนักศึกษาพร้อมกับแจ้งว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 ตนเองได้ให้นายยอดชาย คล้ายคลึง เช่าบ้านเลขที่ 212 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เพื่อการอยู่อาศัยเป็นเวลา 2 ปีนับแต่วันทำสัญญาเช่า ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,500 บาท โดยต้องชำระค่าเช่าทุกวันสิ้นเดือน แต่ต่อมาเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2553 นายยอดชาย มิได้ชำระค่าเช่าของเดือนธันวาคม 2553 และไม่ยอมชำระค่าเช่าเดือนต่อมาจนถึงปัจจุบัน นางสดศรี จึงมอบหมายให้นักศึกษาเป็นผู้รับอำนาจทวงถามค่าเช่าที่ค้างชำระและขับไล่นายยอดชายแทนตน ในเบื้องต้น จึงให้นักศึกษาทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า ทวงถามค่าเช่าที่ค้างชำระและแจ้งให้ นายยอดชายพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเช่าดังกล่าวต่อไป

ธงคำตอบ

หนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า

                           วันที่…………..เดือน………….พ.ศ……………

เรื่อง บอกเลิกสัญญาเช่า เรียน คุณยอดชาย คล้ายคลึง

ตามที่ท่านได้ทำสัญญาเช่าบ้านเลขที่ 212 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร กับนางสดศรี สายสมร ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและเป็นผู้ให้เช่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 เพื่อการอยู่อาศัยเป็นเวลา 2 ปีนับแต่วันทำสัญญาเช่า ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกวันสิ้นเดือนนั้น

บัดนี้ ปรากฏว่าท่านไค้ผิดสัญญาเช่า กล่าวดือท่านไม่ได้ชำระค่าเช่าของเดือนธันวาคม 2553 และ ไม่ยอมชำระค่าเช่าเดือนต่อมาจนถึงปัจจุบัน และนางสดศรี สายสมร ผู้ให้เช่าไมประสงค์ที่จะให้ทานเช่าบ้านเลขที่ ดังกล่าวต่อไป จึงได้มอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าดำเนินการ

ฉะนั้น โดยหนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้าในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางสดศรี สายสมร จึงขอบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านเลขที่ดังกล่าวข้างต้นตามที่ท่านได้ทำความตกลงไว้กับนางสดศรี สายสมร เสีย และขอให้ท่าน ได้โปรดทำการขนย้ายทรัพย์สิน และบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ดังกล่าว และส่งมอบบ้านพร้อมทั้งขอให้ท่าน ชำระค่าเช่าที่ท่านค้างชำระทั้งหมดนับแต่ที่ท่านได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 เป็นต้นมา ให้แก่ นางสดศรี สายสมร ภายในกำหนดเวลา 15 วันนับแต่วันที่ท่านได้รับหนังสือฉบับนี้

หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านยังไม่จัดการประการใด ข้าพเจ้ามีความจำเป็น ที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับท่านตามความประสงค์ของนางสดศรี สายสมร ต่อไป

อนึ่ง หากท่านมีความประสงค์ที่จะตกลงในเรื่องนี้ด้วยดีประการใดขอท่านได้โปรดติดต่อกับ

ข้าพเจ้า ณ…………โทร………….ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย จักได้รับ

ความขอบคุณยิ่ง

ขอแสดงความนับถือ

ลงชื่อ…………….(ลายมือชื่อนักศึกษา)………………..

(………………………………………………………………..)

ผู้รับมอบอำนาจ

ข้อ 4. พระราชบัญญัติทนายความ

คำถาม นักศึกษามีความเข้าไจในมรรยาททนายความที่มีต่อตัวความว่าอย่างไร และเหตุใดจึงต้อง กำหนดมรรยาทในเรื่องนี้ ให้นักศึกษาอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบโดยย่อ

ธงคำตอบ

มรรยาททนายความ หมายถึง จรรยาบรรณที่กำหนดเป็นข้อปฏิบัติแสะข้อห้ามปฏิบัติในการ ประกอบวิชาชีพทนายความ (Professional Ethics) มรรยาททนายความจึงเป็นข้อบังคับที่เป็นแนวทางในการ ประกอบวิชาชีพทนายความ ซึ่งทนายความทุกคนต้องเคร่งครัดถือปฏิบัติตามเพื่อให้วิชาชีพทนายความเป็นวิชาชีพ ที่ผดุงความยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 เรื่องมรรยาทายความ ที่มีต่อตัวความนั้นมีบัญญัติไว้ในข้อ 9 ถึงข้อ 15 มีดังต่อไปนี้

ข้อ 9 กระทำการใดอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน ในกรณีอันหามูลมิได้

ข้อ 10 ใช้อุบายอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ เพื่อจูงใจให้ผู้ใดมอบคดีให้ว่าต่างหรือแก้ต่าง

(1)       หลอกลวงให้เขาหลงว่าคดีนั้นจะชนะ เมื่อตนรู้สึกแกใจว่าจะแพ้

(2)       อวดอ้างว่าตนมีความรู้ยิ่งกว่าทนายความอื่น

(3)       อวดอ้างว่าเกี่ยวเป็นสมัครพรรคพวกรู้จักคุ้นเคยกับผู้ใด อันกระทำให้เขาหลงว่า ตนสามารถจะกระทำให้เขาได้รับผลเป็นพิเศษ นอกจากทางว่าความ หรือหลอกลวงว่าจะชักนำจูงใจให้ผู้นั้นช่วยเหลือ คดีในทางใด ๆ ได้ หรือแอบอ้างขู่ว่าถ้าไม่ให้ตนว่าคดีนั้น แล้วจะหาหนทางให้ผู้นั้นกระทำให้คดีของเขาแพ้

ข้อ 11 เปิดเผยความลับของลูกความที่ได้รู้ในหน้าที่ของทนายความ เว้นแตจะได้รับอนุญาต จากลูกความนั้นแล้ว หรือโดยอำนาจศาล

ข้อ 12 กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อ ไปนี้ อันอาจทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของลูกความ

(1)       จงใจขาดนัด หรือทอดทิ้งคดี

(2)       จงใจละเว้นหน้าที่ ที่ควรกระทำอันเกี่ยวแก่การดำเนินคดีแหงลูกความของตน หรือปิดบังข้อความที่ควรแจ้งให้ลูกความทราบ

ข้อ 13 ได้รับปรึกษาหารือ หรือได้รู้เรื่องกรณีแห่งคดีใดโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องกับคูความ ฝ่ายหนึ่ง แล้วภายหลังไปรับเป็นทนายความหรือใช้ความรู้ที่ได้มานั้นช่วยเหลือคูความอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นปรปักษ์ อยู่ในกรณีเดียวกัน

ข้อ 14 ได้รับเป็นทนายความแล้ว ภายหลังใช้อุบายด้วยประการใด ๆ โดยปราศจากเหตุผล อันสมควรเพื่อจะให้ตนได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่ลูกความได้ตกลงสัญญาให้

ข้อ 15 กระทำการใดอันเป็นการฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความ หรือครอบครอง หรือหน่วงเหนี่ยวเงินหรือทรัพย์สินของลูกความที่ตนได้รับมาโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องไว้นานเกินกว่าเหตุ โดยมิได้รับความยินยอมจากลูกความ เว้นแต่จะมีเหตุอันสมควร

สำหรับเหตุผลที่ต้องมีการกำหนดมรรยาทในเรื่องนี้ก็เพราะว่า อาชีพทนายความเป็นอาชีพอิสระ และต้องสัมผัสใกล้ชิดลูกความของตน เพราะฉะนั้นทนายความจึงต้องซื่อสัตย์ ดำรงตนอย่างมีศักดิ์ศรี สร้างความเชื่อถือแก่บุคคลทั่วไป ทั้งต้องประพฤติตนสะสมความดีงามมิให้มีมลทินด่างพร้อยในวิชาชีพ เนื่องจาก ทนายความก็คือปุถุชนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ย่อมมีกิเลสประพฤติดีประพฤติชั่วได้ ยิ่งประกอบอาชีพเป็นอิสระด้วยแล้ว ถ้าหากไมมีกรอบหรือวินัยคอยควบคุมแล้ว ลูกความหรือบุคคลอื่น ๆ อาจได้รับความเสียหายได้โดยง่าย

และมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ. ทนายความ พ.ค. 2528 ยังได้บัญญัติไว้อีกว่า ทนายความต้อง ประพฤติตนตามข้อบังคับว่าด้วยมรรยาททนายความ…

ทนายความผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่สภาทนายความตราขึ้นตามวรรคหนึ่ง ให้ ถือว่าทนายความผู้นั้นประพฤติผิดมรรยาททนายความ

คัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นทนายความ ได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ยุยงส่งเสริมให้มี การฟ้องร้องคดีกันทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ไม่มีมูล หรือได้เปิดเผยความลับของลูกความตามที่ตนได้รู้มาในหน้าที่ของทนายความ หรือไม่เอาใจใส่ทอดทิ้งคดีของลูกความซึ่งอาจเป็นเหตุให้ลูกความแพ้คดี การกระทำดังกล่าวของ นาย ก. ทนายความ ถือว่าเป็นการกระทำผิดมรรยาททนายความตาม พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 51

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. ในคดีอาญา พนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาลักทรัพย์ ศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุก จำเลยเป็นเวลา 2 ปี เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554 ครบกำหนดที่คู่ความจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ชองศาลอาญาได้ภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2554 จำเลยมีความประสงค์ที่จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ของศาลอาญาดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของศาลอาญาคัดคำพิพากษาให้จำเลย ไมทันภายในระยะเวลาของการยื่นอุทธรณ์ จำเลยมีความประสงค์ที่จะยื่นคำร้องเพื่อขอขยาย ระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดการยื่นอุทธรณ์

ให้ท่านในฐานะทนายความของจำเลยร่างคำร้องเพี่อขอขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ ตามความ ประสงค์ของจำเลย (ให้ร่างแต่ใจความในคำร้องเท่านั้น โดยไมต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ของศาล)

ธงคำตอบ

คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์

ข้อ 1. คดีนี้ ครบกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ในวันที่ 14 ตุลาคม 2554 แต่เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ของศาลคัดคำพิพากษาให้จำเลยไมทันภายในระยะเวลาของการยื่นอุทธรณ์ ทำให้จำเลยไม่สามารถ เรียงอุทธรณ์ได้ทันตามกำหนดได้ จึงมีความประสงค์ที่จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไปสัก 30 วัน นับแต่ วันครบกำหนดการยื่นอุทธรณ์ ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมีควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ……(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ทนายจำเลย

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายจำเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ผู้เรียงและพิมพ์

ข้อ 2. วันนี้เป็นวันที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในคดีฟ้องเพิกถอนผู้จัดการมรดก นายธีรพงษ์ซึ่งเป็นโจทก์และต้องการเบิกความเป็นพยานปากแรกและเป็นพยานสำคัญในคดีนี้เกิดป่วยด้วยโรคท้องร่วงอย่างรุนแรง แพทย์ให้พัก 3 วัน ตามใบรับรองแพทย์ที่นำมาแสดง ทำให้ไม่สามารถมาเบิกความ ต่อศาลในวันนี้ได้ โจทก์มีความประสงค์ที่จะเลื่อนการสืบพยานโจทก์ออกไปนัดหนึ่ง ดังนั้น ให้ท่าน ในฐานะทนายความของโจทก์ร่างคำร้องเพี่อยื่นต่อศาลตามความประสงค์ของตัวความ (ให้ร่างแต่ ใจความในคำร้องเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ของศาล)

ธงคำตอบ

คำร้องขอเลื่อนคดี

ข้อ 1. คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันนี้ แต่เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นพยานสำคัญที่ จะต้องเบิกความเป็นพยานคนแรกในวันนี้ เกิดป่วยด้วยโรคท้องร่วงอย่างรุนแรง แพทย์ให้พัก 3 วัน ทำให้ไม่สามารถ มาเบิกความต่อศาลในวันนี้ได้ รายละเอียดปรากฏตามใบรับรองแพทย์ที่ได้แนบมาพร้อมคำร้องฉบับนี้

ด้วยเหตุดังได้ประทานกราบเรียนมาแล้วข้างต้น โจทก์จึงขอเลื่อนการสืบพยานในวันนี้ออกไป สักนัดหนึ่ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ……(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ทนายโจทก์

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ผู้เรียงและพิมพ์

ข้อ 3. ข้อเท็จจริง จากการเตรียมคดีในสำนวนการสอบสวนคดีเรื่องหนึ่งได้ความว่าเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา นายจอมกับนายจอบได้เข้าไปใช้คีมตัดเหล็กดัดกุญแจและ โซ่ที่คล้องรถจักรยานยนต์ราคา 45,000 บาท ของนายทะนงผู้เป็นเกษตรกรทำนา โดยรถจักรยานยนต์ คันดังกล่าวจอดอยู่บนเนินดินข้างบ้านเพราะบริเวณบ้านถูกน้ำท่วมจากอุทกภัยในพื้นที่ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วลักเอารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไป ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2554 เวลาประมาณ 16.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายจอมได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ ที่นายจอมกับนายจอบร่วมกันลักเอาไปดังกล่าวเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายจอมให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายจอมไปฝากขังไว้ที่ศาล จังหวัดสุพรรณบุรี ตามคดีหมายเลขตำที่ ฝ.339/2554 เสร็จแล้วสรุปสำนวนการสอบสวนส่ง พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนนายจอบยังจับตัวไมได้

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน…

มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1)       ในเวลากลางคืน

(2)       ในที่หรือบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด อุทกภัย หรือในที่ หรือบริเวณที่…

(3)       โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์…

(7) โดย…หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป (12) ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรม…

ต้องระวางโทษ…

สมมุติว่านักศึกษาเป็นพนักงานอัยการสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ และมีคำสั่งฟ้องนายจอมในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ให้นักศึกษาเรียงคำฟ้องคดีนี้เฉพาะเนื้อหาคำฟ้อง ในภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวนายจอมมาดำเนินคดีเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงถึง แบบพิมพ์คำฟ้องแต่ประการใด

 ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ และมีคำสั่งฟ้องนายจอมในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องคดีนี้ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยนี้กับพวกที่ยังไมได้ตัว มาฟ้องอีกหนึ่งคน ได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจลักเอารถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน ราคา 45,000 บาท (สี่หมื่นห้าพันบาท) ของนายทะนงผู้เสียหายซึ่งมีอาชีพกสิกรรมไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยและพวกได้ใช้คีมตัดเหล็กตัดกุญแจและโซ่ที่คล้องรถจักรยานยนต์อันเป็นการ ทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์นั้น ซึ่งจอดในที่หรือบริเวณที่มีเหตุอุทกภัย

เหตุเกิดที่ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2554 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยนี้มาได้พร้อมกับ ยึดรถจักรยานยนต์ที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักเอาไปเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ชันสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ

ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.339/2554 ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาเพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4002  การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเฉลิมได้ว่าจ้างให้นายฉลาด ทนายความยื่นฟ้องและดำเนินคดีกับนายแจ่มต่อศาลแพ่งในข้อหา ผิดสัญญาซื้อขาย ซึ่งต่อมาศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว นายฉลาดทนายความ จึงได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาซองศาลแพ่ง แต่ปรากฏว่าหลังจากนายฉลาดทนายความได้ ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาแล้ว นายฉลาดทนายความไม่ได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ไห้แก่นายแจ่ม จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้ เป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี

ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของนายฉลาดทนายความในกรณีดังกล่าว มีความผิดตามข้อบังคับ สภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529

ข้อ 12. กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวต่อไปนี้ อันอาจทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของ

ลูกความ

(2)       จงใจละเว้นหน้าที่ ที่ควรกระทำอันเกี่ยวแก่การดำเนินคดีแห่งลูกความของตนหรือปิดบัง ข้อความที่ควรแจ้งให้ลูกความทราบ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายฉลาดทนายความของนายเฉลิมได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา ของศาลแพ่งที่ได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว แต่หลังจากได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษานั้นแล้ว นายฉลาดทนายความไม่ได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่นายแจ่มจำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้ เป็นเหตุให้ศาล มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ของลูกความโดยการจงใจละเว้นหน้าที่ ที่ควรกระทำอันเกี่ยวแกการดำเนินคดีแห่งลูกความของตน จึงเป็นการประพฤติผิดมรรยาททนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 12. (2) (คำสั่งสภานายกพิเศษฯ ที่ 4/2540)

สรุป การกระทำของนายฉลาดทนายความในกรณีดังกล่าว มีความผิดตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 ข้อ 12. (2)

 

ข้อ 2. นายสมหมายมีบุตรชายสองคนคือ นายสมชาย และนายสมศักดิ์ ต่อมานายสมหมายถึงแก่กรรมลง โดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ และไม่ได้กำหนดให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก นายสมศักดิ์บุตรต่างมารดา ของนายสมหมายได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมหมายเจ้ามรดก นายสมชายทราบเรื่องจึงมีความประสงค์ที่จะคัดค้านความไมเหมาะสมของการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ นายสมศักดิ์ โดยมีเหตุผลดังนี้

1)         นายสมศักดิ์ เป็นบุคคลที่ชอบเล่นการพนันและเมาสุราเป็นอาจิณ เป็นเหตุที่แสดงให้เห็นถึง ความไม่สามารถของผู้ร้องที่จะจัดการมรดกให้เป็นไปโดยสุจริต

2)         นายสมศักดิ์ เป็นบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1718(3) เป็นการแสดงให้เห็นความขาดคุณสมบัติของผู้ร้องตามกฎหมาย

ดังนั้น ให้ท่านในฐานะทนายความของนายสมชาย ยื่นคำร้องคัดค้านการขอเป็นผู้จัดการมรดกของ นายสมศักดิ์ ตามความประสงค์ของตัวความ (ให้ร่างใจความในคำร้องเทานั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึง แบบพิมพ์ศาล)

ธงคำตอบ

คำร้องคัดค้านการขอเป็นผู้จัดการมรดก

ข้อ 1. คดีนี้ ผู้ร้องได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมหมายผู้ตาย โดยนายสมหมายผู้ตาย ไมได้ทำพินัยกรรมไว้ และไม่ได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ดังความแจ้งแล้วนั้น

ข้อ 2. ผู้ร้องคัดค้านเป็นบุตรของผู้ตายและเป็นทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอร้องคัดค้าน ความไมเหมาะสมของการร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้อง ทั้งนี้ผู้ร้องคัดค้านมีเหตุผลดังต่อไปนี้

2.1       ผู้ร้องเป็นบุคคลที่ชอบเล่นการพนันและเมาสุราเป็นอาจิณ เป็นเหตุที่แสดงให้เห็นถึง ความไม่สามารถของผู้ร้องที่จะจัดการมรดกให้เป็นไปโดยสุจริตและยุติธรรม

2.2       ผู้ร้องเป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1718(3) เป็นการแสดงให้เห็นความขาดคุณสมบัติของผู้ร้องตามกฎหมาย

ด้วยเหตุผลดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ร้องคัดค้านจึงขอคัดค้านการขอเป็นผู้จัดการมรดก ของผู้ร้อง โดยขอศาลได้โปรดยกคำร้องของผู้ร้องเสีย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ….(ลายมือชื่อนายสมชาย)….ผู้ร้องคัดค้าน

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายผู้ร้องคัดค้านเป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)….ผู้เรียงและพิมพ์

 

 

ข้อ 3. คดีแพ่งเรื่องหนึ่งจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว แต่ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงชำระหนี้กันได้ ตามที่โจทก์ต้องการเหลือดอกเบี้ยคงค้างกันเพียงเล็กน้อย โจทก์ไม่ติดใจส่วนที่เหลือจึงประสงค์ จะถอนฟ้องจำเลย ในฐานะที่ท่านเป็นทนายโจทก์ ให้เรียบเรียงคำร้องขอถอนฟ้องให้กับโจทก์ (เรียบเรียงเฉพาะส่วนเนื้อหาคำร้อง โดยให้ลงชื่อเป็นผู้ร้องและเขียนคำร้องด้วย)

ธงคำตอบ

คำร้องขอถอนฟ้อง

ข้อ 1. คดีนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยและจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีตามกฎหมายแล้ว แต่โจทก์และจำเลยตกลงกันได้ โดยจำเลยขอประนีประนอมยอมความและได้ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นส่วนใหญ่ คงค้างบางส่วนเล็กน้อย โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องส่วนที่เหลืออีกต่อไป จึงข้อถอนฟ้องคดีนี้เสีย ขอศาลได้โปรดกรุณาอนุญาตด้วย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ……(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ทนายโจทก์

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)….ผู้เรียงและพิมพ์

ข้อ 4. จากการเตรียมคดีในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2555 เวลาประมาณ 20.00 นาฬิกา นายน้อยกับนายนิดได้ใช้ไขควงยาว 7 นิ้ว งัดหน้าต่างบ้านพักของนายมั่งมีซึ่งเป็น นายจ้างของตนที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แล้วเข้าไปทางหน้าต่างและลักเอา โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ราคา 16,000 บาท ของนายมั่งมี ทรัพย์สมบูรณ์ ซึ่งเก็บไว้ในบ้านพัก ดังกล่าวแล้วพากันหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 12.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายน้อยกับนายนิดได้ที่บ้านพัก พร้อมกับยึดโทรศัพท์มือถือที่ลักมาจากบ้านของนายมั่งมี เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครหัวหมากทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายน้อย และนายนิดให้การรับสารภาพ โทรศัพท์มือถือของกลางพนักงานสอบสวนคืนแก่นายมั่งมี ครั้นเมื่อ ครบกำหนดควบคุมตัว พนักงานสอบสวนจึงได้นำไปฝากขังที่ศาลอาญา ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ.443/2555 ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…

มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1) ในเวลากลางคืน

(3) โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้น เข้าไปด้วยประการใด ๆ

 

(3)       โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไมได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า หรือ…

(7)       โดย… โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป

(8)       ในเคหสถาน

สมมุติว่า นักศึกษาเป็นพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา ผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ให้นักศึกษา เรียงคำฟ้องเพื่อฟ้องนายน้อยกับนายนิดในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์เพื่อยื่นห้องต่อศาลอาญา โดยเรียงคำฟ้องเฉพาะภาคความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และภาคการได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีเท่านั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้องแต่อย่างใด

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียง คำฟ้องเพื่อฟ้องนายน้อยและนายนิดในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์เพื่อยื่นฟ้องต่อคาสอาญา ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2555 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำการ อันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจร่วมกันเอาโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่อง ราคา 16,000 บาท (หนึ่งหมื่นหกพันบาท) ของนายมั่งมี ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยทั้งสองไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ใช้ไขควงยาว 7 นิ้ว งัดหน้าต่างบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัย ของผู้เสียหายอันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ และเข้าไปทางหน้าต่างบ้านดังกล่าว ซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า

เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับ ยึดโทรศัพท์มือถือที่จำเลยทั้งสองลักเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการ สอบสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

โทรศัพท์มือถือของกลางพนักงานสอบสวนคืนแกผู้เสียหายไปแล้ว

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวตลอดมา ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ.443/2555 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. คดีแพ่งเรื่องหนึ่งศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน เอาไว้แล้ว แต่เนื่องจากมีพยานเอกสารตามบัญชีระบุพยานอันดับที่ 3 ได้อยู่ในครอบครองของนายดำรง ไทยธรรมน้องชายจำเลยในคดีนี้ โจทก์ไม่สามารถนำมาศาลได้ โจทก์ต้องการนำเอา เอกสารดังกล่าวมาอ้างเป็นพยานในคดีตนในวันนัดพิจารณา ให้ท่านในฐานะทนายความโจทก์ ร่างคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารจากผู้ครอบครองนำส่งศาลก่อนวันนัดพิจารณา โดยให้ทนายลงลายมือชื่อผู้ขอ ผู้เรียงและผู้พิมพ์ด้วย

ธงคำตอบ

คำร้องขอศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสาร

ข้อ 1. คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์ ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน เอาไว้แล้ว แต่เนื่องจากพยานเอกสารตามบัญชีระบุพยานอันดับ 3 โจทก์ไม่สามารถนำมาศาลได้ จึงขอความกรุณา ศาลได้โปรดมีคำสั่งเรียกเอกสารดังกล่าวจากนายดำรง ไทยธรรมผู้ครอบครองนำส่งศาลก่อนวันนัดพิจารณาด้วย ขอศาลได้โปรดอนุญาต

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ……(ลายมือชื่อโจทก์)……ผู้ร้อง

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…….(ลายมือชื่อนักศึกษา)……ผู้เรียงและพิมพ์

ข้อ 2. โดยนางน้อยได้ร่วมลงทุนทำธุรกิจทำบ่อปลาและออกเงินเป็นจำนวนห้าแสนบาท ซึ่งเป็นการจ่าย ค่าเช่าบ่อปลาสามปีจำนวนหนึ่งแสนบาท และค่าซื้อพันธุปลาและค่าอาหารในการเลี้ยงและดูแล บ่อปลาอีกสี่แสนบาท ส่วนนายแดงลงแรงด้วยการดูแลบ่อปลา เลี้ยงปลา และขายปลา ทุกปีนางน้อย ทวงถามถึงผลกำไรที่จะแบ่งกันตามส่วนจากนายแดงแต่นายแดงปฏิเสธทุกปี จนเข้าสู่ปีที่สามนางน้อย ทวงถามอีกครั้งแต่นายแดงก็ปฏิเสธตลอดมา นางน้อยจึงเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงเป็นจำเลยในคดีแพ่ง ขอเลิกสัญญาหุ้นส่วนและทวงผลกำไรที่ติดค้างกันอยู่คืนจากนายแดงพร้อมดอกเบี้ยย้อนหลัง นายแดง จึงมาขอให้ท่านในฐานะทนายความร่างคำให้การโดยมีข้อต่อสู้ดังนี้

1.         นายแดงขอปฏิเสธว่าตนไม่ได้ร่วมลงทุนกับนางน้อยแต่เป็นกรณีที่นายแดงยืมเงินนางน้อยมาทำ ธุรกิจของตนเองจำนวนห้าแสนบาท โดยกำหนดชำระคืนเมือครบกำหนดสามปี

2.         นายแดงยอมรับว่าได้รับเงินจากนางน้อยจริง แต่การที่นางน้อยมาฟ้องเป็นคดีโดยเอาหลักฐาน การโอนเงินเข้าบัญชีมายืนยันเป็นการโอนเงินที่ตนยืมผ่านทางบัญชีธนาคารไม่ใช่การโอนเงิน มาร่วมลงทุน

3.         นายแดงขอต่อสู้ว่า มีการจ่ายเงินต้นคืนบางส่วนจำนวนห้าหมื่นบาทให้กับนางน้อยมาแล้ว หนึ่งครั้ง จึงเหลือเงินต้นเพียงสี่แสนห้าหมื่นบาท

ให้ท่านในฐานะทนายความของนายแดง ร่างคำให้การตามความประสงค์ของนายแดง (ร่างเฉพาะ คำให้การนายแดง โดยไม่คำนึงถึงแบบฟอร์มของศาล)

ธงคำตอบ

คำให้การ

ข้อ 1. จำเลยขอปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้ร่วมลงทุนกับโจทก์แต่เป็นกรณีที่จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ มาทำธุรกิจของจำเลยเองจำนวน 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน) โดยกำหนดชำระคืนเมื่อครบกำหนด 3 ปี

ข้อ 2. จำเลยยอมรับว่าได้รับเงินจากโจทก์จริง แต่การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีโดยเอาหลักฐาน การโอนเงินเข้าบัญชีมายืนยัน เป็นการโอนเงินที่จำเลยยืมผ่านทางบัญชีธนาคาร ไม่ใช่การโอนเงินมารวมลงทุน

ข้อ 3. จำเลยขอต่อสู้ว่า มีการจ่ายเงินต้นคืนบางส่วนจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ให้กับโจทก์มาแล้วหนึ่งครั้ง จึงเหลือเงินต้นเพียง 450,000 บาท (สี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน)

อาศัยเหตุผลดังกล่าวขอศาลได้โปรดพิพากษายกฟ้องของโจทก์โดยให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียม และค่าทนายความแทนจำเลยด้วย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ทนายจำเลย

คำให้การฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ชื่อนักศึกษา) ทนายจำเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…..(ลายมือชื่อนักศึกษา)…..ผู้เรียงและพิมพ์

ข้อ 3. สมมุติข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 เวลาประมาณเที่ยงวัน นางสมนึกได้กลับไปยัง บ้านเช่าของตน เลขที่ 11 หมู่บ้านเสรี แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โดยขณะที่ นางสมนึกอยู่ในครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน นายโกงได้ย่องเข้ามาในบ้านพร้อมกับหยิบ คอมพิวเตอร์โน้ตบุกยี่ห้อเอเซอร์ มูลค่า 20,000 บาท ที่วางอยู่ห้องรับแขกของนางสมนึกไป เมื่อนางสมนึกเดินมายังห้องรับแขกเห็นประตูบ้านเปิดอยู่ และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหายไปจึงร้องตะโกน ให้คนช่วย และขณะเดียวกับตำรวจสายตรวจขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมา นางสมนึกจึงแจ้งตำรวจ ขับตามหานายโกง พบนายโกงและคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของกลางอยู่อีกซอยหนึ่งถัดจากหมู่บ้านเสรี จึงได้นำนายโกงและของกลางส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน นายโกงให้การรับสารภาพ ระหว่างการสอบสวนนายโกงถูกควบคุมตัวมาโดยตลอด ส่วนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของกลาง พนักงานสอบสวนคืนให้บางสมนึกรับไปแล้ว

ให้ท่านในฐานะพนักงานอัยการ จงเรียบเรียงคำฟ้องอาญาฐานลักทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น…ไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์…ฯลฯ มาตรา 335 ผู้ใด ลักทรัพย์ (8) ในเคหสถาน… (เรียบเรียงเฉพาะเนื้อหาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5))

 ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องเพื่อฟ้องนายโกงในข้อหาลักทรัพย์ดังนี้คือ

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 เวลากลางวัน จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยได้บังอาจลักเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กยีห้อเอเซอร์ 1 เครื่อง ราคา 20,000 บาท (สองหมื่นบาท) ของนางสมนัก ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยจำเลยได้เข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายและได้เอาทรัพย์ ดังกล่าวของผู้เสียหายที่วางอยู่ในห้องรับแขกไป

เหตุเกิดที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ในวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เวลากลางวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมกับ ยึดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่จำเลยลักเอาไปเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวน จำเลยให้การรับสารภาพ

คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของกลางพนักงานสอบสวนคืนให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว ระหว่างสอบสวน จำเลยได้ถูกควบคุมตัวมาโดยตลอด ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาเพื่อ พิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็บอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อท่านเป็นทนายฝึกหัดอยู่ในสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับมอบหมายจาก หัวหน้าสำนักงานให้สอบข้อเท็จจริงและทำความเห็นในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะยื่นคำร้องขอเป็น ผู้จัดการมรดก ท่านมีแนวโน้มที่จะสอบข้อเท็จจริงในประเด็นใดบ้าง ให้ระบุหัวข้ออย่างน้อย 4 หัวข้อ และสรุปความเห็นเสนอต่อหัวหน้าสำนักงาน

ธงคำตอบ

เมื่อข้าพเจ้าเป็นทนายฝึกหัดอยู่ในสำนักงานกฎหมาย และได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสำนักงาน ให้สอบข้อเท็จจริง และทำความเห็นในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนั้น ข้าพเจ้ามีแนวโน้ม ที่จะสอบข้อเท็จจริง และสรุปความเห็นเสนอต่อหัวหน้าสำนักงานในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

1.         การตายของเจ้ามรดกมีใบมรณบัตรหรือไม่ เพราะใบมรณบัตรถือว่าเป็นเอกสารที่สำคัญ ที่สุดใบการยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก กล่าวคือ เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแสดงว่าเจ้ามรดกได้ตายแล้ว นั่นเอง

2.         ทะเบียนบ้านของผู้ตาย (เจ้ามรดก) ที่มีตัวหนังสิอประทับคำว่า ตาย” มีหรือไม่ เพราะ เอกสารดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกับใบมรณบัตร

3.         ใบขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องระบุด้วยว่ามีใครบ้าง และเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะใด

4.         ผู้ยื่นคำร้องขอมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกหรือไม่ เช่นเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์ มรดกหรือไม่ ถ้ามีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก จะมีสิทธิในฐานะใด เช่น เป็นผู้มีสิทธิในฐานะทายาทโดยธรรม หรือในฐานะผู้รับพินัยกรรม

5.         ทรัพย์มรดกของผู้ตายมีอะไรบ้าง และมีเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่

6.         เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้หรือไม่

7.         ผู้ยื่นคำร้องมีความจำเป็นที่จะต้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการ มรดกเพราะเหตุใด หรือให้ศาลมีคำสั่งให้จัดการทรัพย์มรดกอย่างไร

8.         มีพินัยกรรมแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ หรือมีหนังสือให้ความยินยอม ของทายาทคนอื่น ๆ ให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 บริษัท เจเจคอมพิวเตอร์ จำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียน หุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด โดยมีนายดี สุขสันต์ และนายเด่น มีสุข เป็นกรรมการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัทได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายเครื่อง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกับนายสมจิต เชิดชู จำนวน 10 เครื่อง มูลค่าทั้งสิ้นรวม 300,000 บาท โดย ในสัญญาได้ระบุให้นายสมจิต ชำระเงินในวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันส่งมอบสินค้า ครั้นเมือถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 บริษัทฯ ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์ทั้ง 10 เครื่องให้กับนายสมจิต แต่นายสมจิต ได้แจ้งแก่บริษัทว่าขอโอนเงินเข้าไปชำระผ่านบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทฯ เอง ในวันนี้ และขอเลขที่บัญชีเอาไว้ จวบจนล่วงเลยมาถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 นายสมจิตฯ ก็ยังไม่ชำระ บริษัทฯ ได้มืการติดตามทวงถามทางโทรคัพทํหลายครั้ง และส่งจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้ นายสมจิตฯ ชำระราคาส่วนที่เหลือ แต่นายสมจิตฯ เพิกเฉย บริษัทฯ จึงทำหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้ง ให้นายใจดี ไม้งาม ผู้จัดการเป็นโจทก์ในการฟ้องคดีนี้โดยเรียกให้นายสมจิตฯ ชำระหนี้ทั้งหมด หากชำระไม่ได้ขอให้ส่งคืนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท

ดังนี้ นายใจดี ไม้งาม ได้ติดต่อให้ท่านเป็นทนายความให้กับบริษัทฯ และในฐานะทนายความของ บริษัทฯ ให้ท่านยื่นคำฟ้องเรียกให้นายสมจิตฯ ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่เหลือตามความประสงค์ ของตัวความ

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานพะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใช้ชื่อว่า บริษัท เจเจคอมพิวเตอร์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ ในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด โดยมีนายดี สุขสันต์ และนายเด่น มีสุข เป็นกรรมการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1

ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายใจดี ไม้งาม กรรมการบริษัทโจทก์มีอำนาจ ฟ้องคดีแทน รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องหมายเลข 2

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ทำสัญญาขายเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกับ จำเลยจำนวน 10 เครื่อง มูลค่ารวม 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระเงิน ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันส่งมอบสินค้า รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขาย ฉบับลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3

ข้อ 3. ครั้นเมื่อถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์ทั้ง 10 เครื่อง ให้กับจำเลย แต่จำเลยได้แจ้งแก่โจทก์โดยขอชำระผ่านบัญชีธนาคารให้แก่โจทก์เองในวันดังกล่าว จวบจนล่วงเลย มาถึงวันที 30 พฤษภาคม 2555 จำเลยก็ยังไม่ชำระซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้

โจทก์ได้มีการติดตามทวงถามทางโทรศัพท์หลายครั้ง จนท้ายสุดโจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้จำเลยชำระราคา 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) หากชำระไมได้ให้ส่งมอบสินค้าคืน ทั้งหมดรวมทั้งค่าเสียหายให้กับโจทก์จำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5 จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและ ไปรษณีย์ตอบรับแต่กลับเพิกเฉย

โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ……..(ลายมือขอนักศึกษา)…………ทนายโจทก์

คำฟ้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ……….(ลายมือชื่อนักศึกษา)………..ผู้เรียงและพิมพ์

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ให้จำเลยชำระราคาคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) หากชำระไม่ได้ให้คืนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)

2.         ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น

3.         ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา ขณะที่นายสมศักดิ์ คนขยัน กำลังนั่งอยู่ในร้านขายทองรูปพรรณของตนอยู่นั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ได้มีนายหอย นายแหบ และนายหด เข้ามาในร้าน แล้วนายหอยได้ชักอาวุธปืนออกมาจี้เล็งไปยังนายสมศักดิ์มิให้ต่อสู้ขัดขืนและสั่งให้หมอบลงกับพื้น มิฉะนั้นจะยิงให้ตาย นายสมศักดิ์จึงหมอบลงกับพื้น แล้วนายแหบก็ใช้ค้อนทุบกระจกตู้ทองและร่วมกับ นายหดกวาดเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ ไป 150 เส้น น้ำหนัก 250 บาท ราคาทั้งสิ้น 5,500,000 บาท ใส่ถุงผ้าที่เตรียมมาแล้วพากันหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายหอย กับนายแหบได้ที่บ้านพักพร้อมกับยึดสร้อยทองคำที่ปล้นไปจำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 4,400,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ปล้นมาเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวบสถานีตำรวจ นครบาลพระโขนงทำการสอบสวน ขั้นสอบสวนทั้งสองให้การรับสารภาพ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัว พนักงาบสอบสวนจึงได้นำทั้งสองไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพระโขนง ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 2130/2555 ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายอาญาใต้ (พระโขนง)

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยืนให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก…

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก …

หากท่านเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ให้ท่านเรียงคำฟ้องในข้อหาปล้นทรัพย์ เฉพาะ เนื้อหาคำฟ้องภาคความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง

ธงคำตอบ

หากข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องในข้อหา ปล้นทรัพย์ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกหนึ่งคบได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือได้บังอาจร่วมลักเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆไป 150 เส้น น้ำหนัก 250 บาท ราคาทั้งสิ้น 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนบาท) ซองนายลมศักดิ คนขยัน ผู้เสียหายไป โดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกไต้ร่วมกันใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ต่อสู้ขัดขืน มิฉะนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายยิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์ นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุม

เหตุเกิดที่แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดสร้อยทองคำ จำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 4,400,000 บาท (สี่ล้านสี่แสนบาท) ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่จำเลยทั้งสอง กับพวกปล้นเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวบทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวนจำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 2130/2555 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อผู้สูงอายุชายวัย 84 ปี มาขอให้ท่านในฐานะนักกฎหมายจัดทำพินัยกรรมแบบธรรมดาซึ่งต้องมีผู้เขียนพินัยกรรมและพยานลงชื่อรับรองสองคนนั้น ท่านควรมีข้อแนะนำต่อผู้ประสงค์จะทำพินัยกรรม อย่างไรบ้าง ให้ยกหัวข้อที่จะแนะนำอย่างน้อย 4 หัวข้อ

ธงคำตอบ

เมื่อมีบุคคลมาขอให้ข้าพเจ้าจัดทำพินัยกรรมธรรมดาซึ่งต้องมีผู้เขียนพินัยกรรมและพยาน ลงชื่อรับรองสองคนนั้น ข้าพเจ้าจะมีข้อแนะนำต่อบุคคลผู้ประสงค์จะทำพินัยกรรมดังกล่าว (ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1656) ดังนี้คือ

1.         ต้องทำเป็นหนังสือ โดยผู้ทำพินัยกรรมจะเขียนหรือพิมพ์เอง หรือจะให้ผู้อื่นเขียน หรือพิมพ์แทนก็ได้ หากใช้วิธีเขียนก็ต้องเขียนทั้งฉบับ หากใช้วิธีพิมพ์ก็ต้องพิมพ์ทั้งฉบับ และในการเขียนต้องใช้ คน ๆ เดียวเขียนพินัยกรรมทั้งฉบับ และในการพิมพ์ก็ต้องใช้เครื่องพิมพ์เครื่องเดียวกันทั้งฉบับ

2.         ต้องลง วัน เดือน ปี ขณะที่ทำพินัยกรรม เพราะถ้าไม่ลง วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม แล้วย่อมไม่ถือว่าเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย

3.         ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรมไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคน พร้อมกัน ในกรณีที่ผู้ทำพินัยกรรมไมลงลายมือชื่อ ผู้ทำพินัยกรรมอาจลงลายพิมพ์นิ้วมือก็ได้โดยมีพยาน ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมไว้ด้วยสองคนในขณะนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 1665) แต่จะ ใช้ตราประทับแทนการลงลายมือชื่อหรือลงแกงได หรือลงเครื่องหมายอย่างอื่นแทนการลงลายมือชื่อไม่ได้

4.         พยานอย่างน้อยสองคนซึ่งผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้านั้นต้องลงลายมือชื่อ รับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะทำพินัยกรรม จะลงลายมือชื่อในเวลาอื่นไม่ได้

และพยานในพินัยกรรมจะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว และต้องไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือบุคคลที่ศาลลังให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และต้องไมเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้หรือตาบอดทั้งสองข้าง

5.         การขูดลบ ตกเติม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นซึ่งพินัยกรรมนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ เว้นแต่จะไต้ปฏิบัติตามแบบอย่างเดียวกันกับการทำพินัยกรรมตามมาตรานี้ (ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคสอง)

6.         ผู้เขียนและพยานในการทำพินัยกรรม รวมทั้งคู่สมรส จะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้

 

 

ข้อ 2. คำฟ้องคดีอาญา

ข้อเท็จจริง ในสำนวนการสอบสวนคดีเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลาประมาณ 03.30 นาฬิกา นายจอมกับนายจิต ได้เข้าไปในวัดขุนข้าง ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 ตำบล ตาลเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย แล้วลักรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน ราคา 45,000 บาท ของนายพงศ์ศักดิ์ มารวย ซึ่งจอดอยู่ข้างโบสถในวัด แล้วหลบหนีไป ตอมาวันที่ 20 มีนาคม 2556 เวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายจอมและนายจิตได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ คันที่ทั้งสองร่วมกันลักเอาไปดังกล่าวเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายจอมให้การปฏิเสธ ส่วนนายจิตให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้นำตัว ทั้งสองไปฝากขังไว้ที่ศาลจังหวัดสุโขทัยตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 339/2556 เสร็จแล้วสรุปสำนวน การสอบสวนส่งพนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน…

มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1) ในเวลากลางคืน

(7) โดย… หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ต้องระวางโทษ…

มาตรา 335 ทวิ ผู้ใดลักทรัพย์ที่เป็น…

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก ได้กระทำในวัด สำนักสงฆ์ สถานอันเป็นที่เคารพใน ทางศาสนา… ผู้กระทำต้อง ระวางโทษ…

สมมุติว่า นักศึกษาเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย ได้มีคำสั่งฟ้องคดีนี้ให้เรียงคำฟ้องนายจอมกับนายจิต เฉพาะเนื้อหาคำฟ้องในภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดี เท่านั้น ทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้องแต่ประการใด

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัยผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้า จะเรียงคำฟ้องเพื่อฟ้องนายจอมกับนายจิตในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 เวลากลางคืนก่อนเทียง จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำการ อันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจร่วมกันเอารถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน ราคา 45,000 บาท (สี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน) ของบายพงศ์ศักดิ์ มารวย ผู้เสียหายซึ่งจอดอยู่ข้างโบสถ์ในวัดไปโดยทุจริต

เหตุเกิดที่ ตำบลตาลเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกัน ยึดรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวบ

ขั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่คดีมีมูล ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำ ที่ ฝ.339/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

 

 

ข้อ 3. บริษัท ผลไม้ไทย จำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายผลไม้คัดสรรทุกชนิด โดยมีนายอำนวย ยิ่งยวด และนายประสาน สิงหภพ เป็นกรรมการบริหารมีอำนาจลงลายมือชื่อและ ประทับตราสำคัญแทนบริษัท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 บริษัทฯ ได้ทำสัญญาขายมะม่วงอย่างดี จำนวน 500 กล่องราคารวมทั้งหมด 200,000 บาทให้แก่นายปรีดา มงคลทรัพย์ โดยในสัญญาระบุให้ ชำระราคาและรับมอบมะม่วงในวันที่ 22 มกราคม 2556 

ครั้นเมื่อถึงวันที่ 22 มกราคม 2556 นายปรีดาฯ บิดพลิ้วไม่ยอมชำระราคาและไม่ยอมรับมอบมะม่วงกลับปล่อยทิ้งไว้หน้าโกดังเก็บสินค้าตนเอง ไม่แจ้งกลับให้ทางบริษัทฯ ทราบว่าไม่ต้องการมะม่วงกว่าบริษัทจะทราบก็ล่วงเลยเวลาไป 7 วันแล้ว ส่งผลให้ทางบริษัทฯ เกิดความเสียหายเพราะมะม่วงเน่าเสียเกือบทั้งหมด รวมถึงมีค่าใช้จ่าย ในการขนส่ง การจัดเตรียมสินค้าทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท 

บริษัทฯ ได้มีการติดตามทวงถาม ทางโทรศัพท์กับนายปรีดาฯ หลายครั้ง และส่งจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้นายปรีดาฯ ดังกล่าวชำระราคาและค่าเสียหายในราคาสินค้าทั้งหมดและที่เกิดขึ้น บริษัทฯ โดยนายอำนวย ยิ่งยวด และนายประสาน สิงหภพ จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้ท่านเป็นตัวแทนในการฟ้องคดี และเป็นทนายความให้กับบริษัทฯ ดังนั้นในฐานะทนายความของบริษัทฯ ให้ท่านยื่นคำฟ้องเรียกให้ นายปรีดาฯ ชำระราคารวมถึงค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามความประสงค์ของตัวความ

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใช้ชื่อว่า บริษัท ผลไม้ไทย จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการ จำหน่ายผลไม้คัดสรรทุกชนิด โดยมีนายอำนวย ยิ่งยวด และนายประสาน สิงหภพ เป็นกรรมการบริหารมีอำนาจ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1

ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้ (ชื่อนักศึกษา) มีอำนาจฟ้องคดีแทน

รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง หมายเลข 2

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 โจทก์ได้ทำสัญญาขายมะม่วงอย่างดีจำนวน 500 กล่อง ราคารวมทั้งหมด 200,000 บาท (สองแสบบาทถ้วน) ให้แก่จำเลย โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระราคาและ รับมอบสินค้าในวันที่ 22 มกราคม 2556 รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขาย ฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2556 เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 3

ข้อ 3. ครั้นถึงวันที่ 22 มกราคม 2556 จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระราคาและไม่ยอมรับมอบสินค้า กลับปล่อยทิ้งไว้หน้าโกดังสินค้า โดยจำเลยไม่ได้แจ้งกลับให้โจทก์ทราบว่าไม่ต้องการสินค้า และกว่าโจทก์จะทราบ ก็ล่วงเลยเวลาไป 7 วันแล้ว ส่งผลให้ทางโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะสินค้าเน่าเสียเกือบทั้งหมด รวมถึง มีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และการจัดเตรียมสินค้าทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)

โจทก์ได้มีการติดตามทวงถามทางโทรศัพท์กับจำเลยหลายครั้ง จนท้ายสุดโจทก์ได้ส่งหนังสือ ทวงถามลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้จำเลยชำระราคาและค่าเสียหายในราคาสินค้าทั้งหมดและที่เกิดขึ้นเป็นเงิน  200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 4 และ 5 จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับ แต่กลับเพิกเฉย

โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ…….(ลายมือชื่อนักศึกษา)…….ทนายโจทก์

คำฟ้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…….(ลายมือชื่อนักศึกษา)…….ผู้เรียงและพิมพ์

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ให้จำเลยชำระราคาและค่าเสียหายในราคาสินค้าทั้งหมดและที่เกิดขึ้นเป็นเงินจำนวน

200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)

2.         ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าเสียหายทั้งหมดนับแต่วันฟ้อ จนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น

3.         ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ตระกูลธราธรเทพมีนายเทวพันธ์แต่งงานกับนางดารามีบุตรด้วยกันจำนวน 5 คน เรียงลำดับดังนี้ คือ

1.         ชายใหญ่ นักโบราณคดี ข้าราชการประจำกรมศิลปากร อาจารย์พิเศษของคณะสังคมศาสตร์

2.         ชายรุจ ทำงานเป็นนักการทูต ประจำกระทรวงต่างประเทศ

3. ชายภัทร มีอาชีพเป็นหมอ- ศัลยแพทย์ประสาทอันดับ 1 ของประเทศไทย และอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์

4. ชายเล็ก มีอาชีพเป็นวิศวกรโยธา และ

5. ชายพีรี รับราชการเป็นข้าราชการในกองทัพอากาศโดยมียศ ทางทหารเป็นเรืออากาศโท วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 นายเทวพันธ์พานางดาราไปท่องเที่ยวเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปรากฏว่าประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิตทั้งคู่ ทำให้ย่าเอียดที่เกษียณอายุราชการ จากการเป็นนางพยาบาล ที่ครองตัวเป็นโสดเพราะผิดหวังจากความรักในครั้งยังเป็นสาวแรกรุ่น ปัจจุบันอายุ 70 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวของนายเทวพันธ์ จึงมีความประสงค์จะเข้ามาช่วยดูแลเงินในบัญชีธนาคารออมสิน บ้านพักตากอากาศที่เกาะสมุย และทรัพย์สินอื่น ๆ ของพี่ชาย ก่อนที่จะแบ่งทรัพย์สิน เหล่านั้นให้แก่หลาน ๆ ที่ต่างยังคงไมมีครอบครัวกัน ซึ่งบรรดาหลาน ๆ ต่างก็ยินยอม ระหว่างที่กำลัง มีข่าวร้ายนั้นเอง นายแก้วซึ่งเป็นหัวหน้าโจรที่ได้แฝงกายเข้ามาเป็นคนใช้ในบ้าน ได้ทำการขโมย โต๊ะเครื่องแป้งของย่าเอียด แต่ทว่าถูกจับได้ขณะกำลังหลบหนีออกไปยังบ้านข้าง ๆ ย่าเอียดจึงมาปรึกษา กับนายพินิจ รักยุติธรรม ผู้เป็นทนายความอันดับต้น ๆ ของประเทศเพื่อขอคำปรึกษาดังต่อไปนี้

1.1       การร่างหนังสือให้ความยินยอมในการร้องขอให้ย่าเอียดเป็นผู้จัดการมรดก  (10 คะแนน)

1.2       เรียงคำร้องขอตั้งย่าเอียดเป็นผู้จัดการมรดก  (15 คะแนน)

ธงคำตอบ

ทำที่………………………….

วันที่……….เดือน……….พ.ศ………….    

ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1.         นายชายใหญ่ ธราธรเทพ

2.         นายชายรุจ ธราธรเทพ

3.         นายชายภัทร ธราธรเทพ

4.         นายชายเล็ก ธราธรเทพ

5.         นายชายพีรี ธราธรเทพ

เป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของ นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ขอให้ความยินยอม และไม่คัดค้านในการที่นางสาวเอียด ธราธรเทพ ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาล ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงลงลายมือชื่อ ไว้เป็นสำคัญ

1.         ลงชื่อ………………………………………..(นายชายใหญ่ ธราธรเทพ)

2.         ลงชื่อ………………………………………..(นายชายรุจ ธราธรเทพ)

3.         ลงชื่อ……………………………………….. (นายชายภัทร ธราธรเทพ)

4.         ลงชื่อ……………………………………….. (นายชายเล็ก ธราธรเทพ)

5.         ลงชื่อ……………………………………….. (นายชายพีร์ ธราธรเทพ)

 

1.2       คำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

ข้าพเจ้า นางสาเอียด ธราธรเทพ ผู้ร้อง เชื้อขาติ ไทย สัญชาติ ไทย อาชีพ เกษียณอายุราชการ

เกิดวันที่…………เดือน…………พ.ศ…………อายุ 7อยู่บ้านเลขที่………..หมู่ที่………ถนน……..

ตรอก/ซอย…………ตำบล/แขวง………….อำเภอ/เขต……………จังหวัด  

ขอยื่นคำร้องมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

ข้อ 1. ผู้ร้องเกี่ยวข้องเป็นน้องสาวของนายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ ปรากฏตามบัญชี เครือญาติ เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ถึงแก่กรรมจากการจมน้ำ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปรากฏตามสำเนามรณบัตร เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2

ข้อ 3. นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ มีมรดก คือ เงินฝากอยู่ในธนาคารออมสิน

สาขา………เป็นจำนวน…………บาท บ้านและที่ดินจำนวน………….แปลง ราคา……….บาท รายละเอียด ปรากฏตามบัญชี เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 3

มรดกดังกล่าวนี้ นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้แต่อย่างใด

ข้อ 4. ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดการมรดกของผู้ตายได้ เนื่องจากธนาคารผู้รับฝากเงิน คือธนาคารออมสิน และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปฏิเสธไม่ดำเนินการจ่ายเงินและโอนที่ดินให้แก่ผู้ร้อง โดยอ้างว่าให้นำคำสั่งศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกมาแสดงก่อนจึงจะจัดการให้

ผู้ร้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริต บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย มีความสามารถที่จะจัดการมรดกรายนี้ได้

ฉะนั้น ขอศาลได้โปรดไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ ต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ…………………………..ทนายผู้ร้อง

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า………………………….ทนายผู้ร้องเป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ………………………….ผู้เรียงและพิมพ์

 ข้อ 2. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์ได้ทำสัญญาขายปุยจำนวน 100 กระสอบ ให้กับนายขจร ไพศาลกุล โดยในสัญญาระบุให้ชำระราคาก่อน 5 หมื่นบาทในวันทำสัญญาและอีก 5 หมื่นบาทให้ชำระในวันรับมอบสินค้าคือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ครั้นเมื่อถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์ได้ส่งมอบปุ๋ยแกนายขจรฯ ครบถ้วน แต่นายขจรฯ ไม่ยอมชำระ ราคาปุ๋ยที่เหลือ จวบจนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์ได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้นายขจรฯ ชำระราคาส่วนที่เหลือแต่นายขจร เพิกเฉย ดังนั้น ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์จึงมอบอำนาจให้นายกิตติ บุญใหญ่ เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกให้ นายขจร ชำระราคาส่วนที่เหลือคืน ให้ท่านในฐานะทนายความคดีนี้ร่างคำฟ้องคดีแพ่งพร้อม คำขอท้ายฟ้องโดยไม่คำนึงถึงแบบพิมพ์ศาล

ธงคำตอบ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. โจทก์เป็นร้านค้าปุ๋ยและอาหารสัตว์ประกอบกิจการขายปุ๋ยและอาหารสัตว์ ได้มอบอำนาจ ให้นายกิตติ บุญใหญ่ เป็นผู้ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ได้ทำสัญญาขายปุ๋ยจำนวน 100 กระสอบให้กับ จำเลย โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระราคาก่อนจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ในวันทำสัญญา และอีก 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ให้จำเลยชำระในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งเป็นวันรับมอบสินค้า รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2

ข้อ 3. ครั้นเมื่อถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ได้ส่งมอบปุ๋ยแก่จำเลยครบถ้วน แต่จำเลย ไม่ยอมชำระราคาปุ๋ยที่เหลือ จวบจบวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถามลงทะเบียนไปรษณีย์ เรียกให้จำเลยชำระราคาส่วนที่เหลือ แต่จำเลยเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3

โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ………..(ลายมือชื่อนักศึกษา)………..ทนายโจทก์

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ……………(ลายมือชื่อนักศึกษา)……………..ผู้เรียงและพิมพ์

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ให้จำเลยชำระราคาปุ๋ยส่วนที่เหลือเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)

2.         ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าปุ๋ยส่วนที่เหลือนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น

3.         ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริง จากการเตรียมคดีในสำนวนการสอบสวนเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 เวลาประมาณ 05.00 นาฬิกา ขณะที่นางสาววนิดา งามสม กำลังเดินอยู่ในตลาดบางแค แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร ได้ถูกนายฉก ยอดเลว กระชากกระเป๋าสตางค์ ราคา 12,000 บาท ซึ่งมีเงินจำนวน 7,000 บาทบรรจุอยู่ในกระเป๋าอย่างแรงจนนางสาววนิดาล้มลงและได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลที่แขนและหัวเข่าถลอก ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2556 เวลา 16.00 นาฬิกา เจ้าพนักงาน จับนายฉกได้ พร้อมกับกระเป๋าสตางค์ที่นายฉกลักเอาไปดังกล่าวเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนนายฉกให้การรับสารภาพ กระเป๋าสตางค์ของกลางได้คืนให้แก่นางสาววนิดา และนำ นายฉกไปฝากขังที่ศาลอาญา ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 293/2556

ข้อกฎหมาย

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…

มาตรา 336 “ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษ…

ให้นักศึกษาในฐานะพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี เรียงคำฟ้องคดีนี้เพื่อฟ้องต่อศาลอาญา- ธนบุรีต่อไป โดยให้เรียงเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดี โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง

ธงคำตอบ

ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี ผู้รับผิดชอบในการดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องเพื่อฟ้องนายฉก ยอดเลว ในข้อหาวิงราวทรัพย์ ดังนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้บังอาจลักทรัพย์คือ กระเป๋าสตางค์ราคา 12,000 บาทซึ่งมีเงินจำนวน 7,000บาทบรรจุอยู่ในกระเป๋าของนางสาววนิดา งามสม ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต ในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยได้กระชากทรัพย์ที่ลักอย่างแรงอันถือเป็นการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายล้มลงและได้รับบาดเจ็บเป็นแผลที่แขนและหัวเข่าถลอก และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตราย แก่กายหรือจิตใจ

เหตุเกิดที่แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ พร้อมกับ กระเป๋าสตางค์ที่จำเลยได้ลักเอาไปตามฟ้องข้อ 1 เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ของกลางผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว

ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำ ที่ ฝ. 293/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาเพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญนำโชค เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดำเนินกิจการแบ่งพื้นที่ให้เช่า ค้าขายเป็นห้อง ๆ จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ในตลาดตะวันนา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ห้างฯ ได้ทำสัญญาให้นางสาวสาวิตรี มีชัย เช่าค้าขายเป็นรายเดือนเก็บค่าเช่า เดือนละ 15,000 บาท โดยเริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2555จนถึง 31 ธันวาคม 2555 ครั้นเมือวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 นางสาวสาวิตรีฯ ไมชำระค่าเช่า จวบจนล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ทางห้างฯ ได้พยายามติดต่อทวงถามหลายครั้งแต่นางสาวสาวิตรีฯ บ่ายเบี่ยงขอเลื่อนมาตลอด และ ยังคงดำเนินการค้าขายของตนเองในห้องเช่าห้องนั้นตลอดมา

จนวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 ทางห้างฯ จึงได้ทวงถามค่าเช่าเป็นหนังสือไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเรียกร้องให้นางสาวสาวิตรีฯ ย้ายออก พร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทั้งหมด และแจ้งให้นางสาวสาวิตรีฯ ย้ายออกไปจากห้องเช่านางสาวสาวิตรีฯ ได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย ห้างฯ ต้องการฟ้องขับไล่ นางสาวสาวิตรีฯ พร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระ 2 เดือน จำนวน 30,000 บาท

ทางห้างฯ จึงได้ทำหนังสือ มอบอำนาจให้นายปริญญา บุญชัย เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีนี้โดยให้ท่านในฐานะทนายความ ทำการร่างคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีนี้โดยเน้นเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโดย ไม่คำนึงถึงแบบพิมพ์ศาล

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนำโชค” ดำเนิน กิจการแบ่งพื้นที่ให้เช่าค้าขายเป็นห้อง ๆ จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ในตลาดตะวันนา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายปริญญา บุญชัย ดำเนินการฟ้องคดีแทนโจทก์ ราpละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 โจทก์ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าค้าขายเป็นรายเดือน เก็บค่าเช่าเดือนละ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยเริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือเช่าฉบับลงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 2

ข้อ 3. ครั้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 จำเลยไม่ชำระค่าเช่า จวบจนล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือน มิถุนายน2555 โจทก์ได้พยายามติดต่อทวงถามหลายครั้ง แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงขอเลื่อนมาตลอด และยังคงดำเนินการ ค้าขายของจำเลยในห้องเช่าห้องนั้นตลอดมา

จนวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 โจทก์จึงได้ทวงถามค่าเช่าเป็นหนังสือไปรษณีย์ลงทะเบียน ตอบรับเรียกร้องให้จำเลยย้ายออกพร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทั้งหมด และแจ้ง ให้จำเลยย้ายออกไปจากห้องเช่า จำเลยได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือ ทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และ 4

ข้อ 4. โจทก์ไม่มีทางอื่นใดจะตกลงกับจำเลยได้อีก หากจำเลยยังคงอยู่ในห้องเช่าต่อไปจะทำให้ โจทก์ขาดรายได้เดือนละ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)ดังนั้นโจทก์จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งได้โปรดพิจารณา ขับไล่จำเลย และให้จำเลยขำระค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ 2 เดือน จำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) แก่โจทก์ด้วย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ขอให้จำเลยและบริวารย้ายออกจากห้องเช่าโจทก์พร้อมชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) แก่โจทก์

2.         ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 15,000บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) นับจาก วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะย้ายออก

3.         ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์

 

 

ข้อ 2. หากท่านมีหน้าที่ต้องร่างสัญญาเช่าทรัพย์ ท่านมีหลักเกณฑ์วางหัวข้อสำคัญในการร่างไว้อย่างไรให้ยกตัวอย่างอย่างน้อย 4 หัวข้อ

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์ของหัวข้อสำคัญในการร่างสัญญาเช่าทรัพย์ ได้แก่

1.         ชื่อของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

2.         เจตนาของคู่สัญญา

3.         รายละเอียดของทรัพย์ที่เช่า

4.         วันเริ่มทำสัญญาและวันสิ้นสุดของสัญญา

5.         หน้าที่และความรับผิดชอบของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

6.         กรณีที่มีการผิดสัญญาจะบังคับกันอย่างไร

7.         ถ้าร่างสัญญามีสองฉบับและเป็นร่างสองภาษาคือมีทังร่างภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ให้ถือเอาร่างภาษาไทยเป็นข้อปฏิบัติ

8.         หากภาษาที่ร่างเป็นภาษาต่างประเทศ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้น ให้ฟ้องที่ศาลในประเทศไทย

 

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริง ตามสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 เวลาประมาณ 22.45 นาฬิกา นายตุ้ย ประเทศเตือน นายวุฒิ ชนะมิตร และนายสมัย มูฮะหมัด ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปที่ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 สาขาอ่อนนุช ที่ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

เมื่อไปถึงร้านดังกล่าวนายสมัยได้ไปเฝ้าหน้าร้าน จากนั้นนายตุ้ยและนายวุฒิได้เข้าไปในร้านแล้ว นายตุ้ยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาว 12 นิ้ว จี้ น.ส.สุจินทรา ปั่นคำ พนักงานประจำร้าน พร้อมทั้ง ตะโกนว่า เปิดลิ้นชักและเอาเงินมาให้หมดมิฉะนั้นจะแทงทำร้าย น.ส.สุจินทรา จึงได้เปิดลิ้นชัก ตามคำสั่งของนายตุ้ย หลังจากนั้นนายวุฒิได้หยิบเงินในลิ้นชักไปเป็นจำนวน 1,440 บาท แล้วทั้งคู่ได้วิ่ง ออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่บริเวณใกล้เคียงก่อนขับหลบหนีไปพร้อมกับนายสมัย ต่อมา วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายตุ้ยและนายวุฒิได้ พร้อมกับยึดอาวุธมิดปลายแหลมที่ ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนงทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนนายตุ้ยให้การรับสารภาพ ส่วนนายวุฒิให้การปฏิเสธ ระหว่างสอบสวน พนักงานสอบสวนได้นำทั้งสองไปฝากขังไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ.1325/2556 เมื่อสอบสวนเสร็จจึงส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องนายตุ้ย นายวุฒิ และ นายสมัย ไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ แต่นายสมัยนั้นยังจับไม่ได้ จึงออก หมายจับไว้

ข้อกฎหมาย

มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ      

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ

ถ้าในการปล้นทรัพย์ ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษ        

ให้นักศึกษาในฐานะพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งมีคำสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนเรียงคำฟ้องนายตุ้ยเป็นจำเลยที่ 1 และนายวุฒิเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ (เฉพาะภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีเท่านั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ คำฟ้องแต่อย่างใด) เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ต่อไป

ธงคำตอบ

ในฐานะพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องนายตุ้ยเป็นจำเลยที่ 1 และ นายวุฒิเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ดังนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัว มาฟ้องอีกหนึ่งคน โดยมีอาวุธมีดปลายแหลมยาว 12 นิ้ว ติดตัวไปด้วย ได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธมีดที่ติดตัวมา ดังกล่าวจี้ขู่เข็ญ น.ส.สุจินทรา ปั่นคำ ผู้เสียหาย ว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การ ลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้นหรือ ให้พ้นจากการจับกุม แล้วลักเอาเงินจำนวน 1,440 บาท (หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ซึ่งอยู่ในความครอบครอง ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต

เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้ พร้อมกับยึดอาวุธมีดปลายแหลมที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน

ขั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

อาวุธมีดปลายแหลมของกลาง เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.1325/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อใช้เป็นกฎหมาย ท่านมีหลักเกณฑ์อย่างใด ให้ยกตัวอย่างเฉพาะ หลักเกณฑ์มาอย่างน้อย 4 ประการ

ธงคำตอบ

ในการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อใช้เป็นกฎหมายนั้น จะต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ที่สำคัญหลายประการ เช่น

1.         ประเภทของร่างพระราชบัญญัติ

ร่างพระราชบัญญัติจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ร่างพระราชบัญญัติทั่วไป และ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ต้องมีคำรับรองชอง นายกรัฐมีตริ

2.         เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติ

เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัตินั้น จะกำหนดเนื้อหาในเรื่องใดก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดหรือ แย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั่วไปที่เรียกว่า ประเพณีการปกครองของ ประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย

3.         การเสนอร่างพระราชบัญญัติ

ผู้มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติติตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ได้แก่

(1)       คณะรัฐมนตรี

(2)       สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน

(3)       ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กร และกฎหมายที่ประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ

(4)       ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน (สามารถเข้าชื่อเสนอร่าง พระราชบัญญัติที่มีเนื้อหาเฉพาะ หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ)

4.         การพิจารณาลงมติร่างพระราชบัญญัติ

ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น จะต้องมีการพิจารณา ให้ความเห็นชอบในสภาผู้แทนราษฎรก่อนส่งให้วุฒิสภาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด

5.         การลงนามประกาศใช้และการโฆษณาบังคับใช้

ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 20 วัน เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

 

ข้อ 2. นางกะรัตได้ทำสัญญาให้นางสาวสายน้ำผึ้งกู้ยืมเงินจำนวน 5,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี มีการส่งมอบและทำสัญญาในวันที่ 10 มกราคม 2556 โดยมีกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ครั้นพอครบกำหนดระยะเวลา 1 ปี นางสาวสายน้ำผึ้งกลับเพิกเฉย นางกะรัตจึงได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์ให้นางสาวสายน้ำผึ้งชำระเงินจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 500,000 บาท แต่นางสาวสายน้ำผึ้งกลับเพิกเฉย ดังนั้นให้ท่านในฐานะทนายความฟ้องเรียกคืน เงินกู้ทั้งหมดพร้อมตอกเบี้ยจากนางสาวสายน้ำผึ้ง โดยร่างคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีแพ่งคดีนี้

ธงคำตอบ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) โดยจำเลยยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี มีกำหนดเวลาใช้คืนภายใน 1 ปี ซึ่งจำเลย ได้รับเงินจำนวนที่กู้ไปครบถ้วนแล้ว และได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานในวันดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2556 เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยกลับเพิกเฉย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

จำเลยต้องรับผิดชำระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน) รวมเป็นเงิน ที่จำเลยจะต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจำเลยต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายฟ้อง

ข้อ 1. ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสบบาทถ้วน)

ข้อ 2. ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากต้นเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น

ข้อ 3. ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 13.00 นาฬิกา ขณะที่นายชีวา ชุ่มชื่น กำลังนั่งอยู่ในร้านขายทองรูปพรรณของตนอยู่นั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ แขวงพระนคร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ได้มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสามเข้ามาในร้านแล้ว นายหนึ่งได้ชักอาวุธปืนออกมาจี้เล็งไปยังนายชีวามิให้ต่อสู้ขัดขืนและสั่งให้หมอบลงกับพื้นมิฉะนั้น จะยิงให้ตาย นายชีวาจึงหมอบลงกับพื้น แล้วนายสองก็ใช้ค้อนทุบกระจกตู้ทองและร่วมกับนายสาม กวาดเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ ไป 200 เส้น น้ำหนัก 300 บาท ราคาทั้งสิ้น 7,000,000 บาท ใส่ถุงผ้าที่เตรียมมาแล้วพากับหลบหนีไป่ ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายหนึ่งกับนายสองได้ที่บ้านพักพร้อมกับยึดสร้อยคอทองคำที่ปล้นไปจำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 6,000,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ปล้นมาเป็นของกลาง นำส่งพนักงาบสอบสวบสถานีตำรวจนครบาลพระนครทำการสอบสวบ ชั้นสอบสวนทั้งสองให้การรับสารภาพ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัว พนักงานสอบสวนจึงได้นำทั้งสองไปฝากขังที่ศาลอาญา ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 205/2557 ต่อมา เมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการ

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก        

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกับตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก  

หากท่านเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ให้ท่านเรียงคำฟ้องในข้อหาปล้นทรัพย์ เฉพาะเนื้อหาคำฟ้องภาคความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง

ธงคำตอบ

หากข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องในข้อหา ปล้นทรัพย์ ดังต่อไปบี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกหนึ่งคน ได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจร่วมกับลักเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ จำนวน 200 เส้น น้ำหนัก 300 บาท ราคาทั้งสิ้น 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาท) ขอ4นายชีวา ชุ่มชื่น ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปีนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ต่อสู้ขัดขืน มิฉะนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายยิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์ นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุม

เหตุเกิดที่แขวงพระนคร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึด สร้อยทองคำ จำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 6,000,000 บาท (หกล้านบาท) ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองกับพวกปล้นเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวนจำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาดลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 205/2557 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

WordPress Ads
error: Content is protected !!