LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

 ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หลักการที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเกี่ยวกับสนธิสัญญาคือสนธิสัญญาย่อมมีผลผูกพันต่อรัฐคู่สัญญาเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันต่อรัฐที่สามนอกจากรัฐที่สามจะยินยอม แต่ก็มีข้อยกเว้นในบางกรณีที่สนธิสัญญา บางอย่างอาจก่อให้เกิดผลทางกฎหมายแกรัฐที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญา นักศึกษาจงอธิบายให้ชัดเจน และโดยครบถ้วน กรณีของสนธิสัญญาดังกล่าวนี้

งคำตอบ

สนธิสัญญาอาจก่อให้เกิดผลทางกฎหมายแก่รัฐที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญา ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของหลักทั่วไป ในลักษณะของการก่อให้เกิดสิทธิแกรัฐที่สาม หรือก่อให้เกิดภาระแก่รัฐที่สามที่ไมได้เป็นคู่สัญญา ดังต่อไปนี้

1.         กรณีสนธิสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิแก่รัฐที่สาม ได้แก่

ก. สนธิสัญญาเกี่ยวกับการคมนาคม  โดยเฉพาะการคมนาคมในแม่น้ำหรือทะเลกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคมนาคมยอมรับให้สิทธิแก่รัฐอื่นที่ไมได้ร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญา ได้รับประโยชน์ จากสนธิสัญญานั้นตามหลัก Erga Omnes ซึ่งเป็นหลักการให้สิทธิในการผ่านช่องแคบหรือคลองระหว่างประเทศ แกทุกประเทศที่มิได้เป็นคู่สนธิสัญญา

ข. สนธิสัญญาป้องกันเอกราชของรัฐ หมายถึง สนธิสัญญาที่รัฐหนึ่งซึ่งมีกำลังทหาร ทำสัญญาระหว่างกันเพื่อป้องกันมิให้รัฐใดรัฐหนึ่งเสียเอกราชโดยรัฐที่ได้รับการค้ำประกันไมได้เป็นภาคีในสนธิสัญญา

ค. สนธิสัญญาที่กำหนดให้ความอนุเคราะห์ยิ่ง หมายถึง ข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน สนธิสัญญาระหว่างรัฐ 2 รัฐ ซึ่งเป็นภาคในสนธิสัญญา กำหนดว่าตนจะปฏิบัติต่อภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอย่าง ที่ตนได้ให้หรือจะได้ให้แก่รัฐอื่นอันเป็นคุณแกรัฐนั้นมากที่สุด โดยปกติข้อกำหนดดังกล่าวมักจะมีอยู่ในสนธิสัญญา เกี่ยวกับการค้า การเดินเรือ ความสัมพันธ์เกี่ยวกับกงสุล

2.         กรณีสนธิสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระแก่รัฐที่สาม ได้แก่

ก. สนธิสัญญาเกี่ยวกับบทบัญญัติกำหนดสภาพดินแดน เช่น อนุสัญญาระหว่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ลงวันที่ 15 มีนาคม 1856 กำหนดให้เกาะ A land ซึ่งเป็นของฟินแลนด์ เป็นดินแดน ที่เป็นกลาง เพราะถือว่าดินแดนดังกล่าวเป็นจุดยุทธศาสตร์เป็นประโยชน์ร่วมกันของประเทศยุโรปที่จะให้เกาะ ดังกล่าวเป็นเขตปลอดทหาร อนุสัญญานี้ใช้บังคับแกสวีเดนและฟินแลนด์ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะไม่ได้เป็นภาคี สนธิสัญญากันก็ตาม

ข. สนธิสัญญาเกี่ยวกับการสร้างรัฐใหม่ของคู่สัญญาก่อให้เกิดผลผูกพันแกรัฐที่สาม ด้วย เช่น สนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ วันที่ 28 มิถุนายน 1919 สร้างเมืองดันซิกส์

ค. สนธิสัญญาเกี่ยวกับการคมนาคมทางทะเล รัฐที่มิได้เป็นคู่สัญญาจำเป็นต้อง ปฏิบัติตาม จะปิดกั้นไม่ยอมให้เรือชาติอื่นผ่าน โดยถือว่าตนไม่ได้เป็นคูสนธิสัญญาไมได้ เช่น สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ให้คลองคีลเป็นคลองเปิดแกทุกชาติ ศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศได้ประกาศว่า ทุกชาติมีสิทธิจะเดินเรือ โดยเสรีในคลองคีล

ง. กฎบัตรสหประชาชาติกำหนดภาระแกรัฐที่ไม่ได้เป็นสมชิกของตนด้วย มาตรา 2(6) ของกฎบัตรสหประชาชาติกำหนดให้ชาติที่ไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติปฏิบัติตามหลักการของสหประชาชาติเท่าที่จำเป็นแก่การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

 

ข้อ 2. ปัจจุบันในสังคมระหว่างประเทศประกอบไปด้วยรูปของรัฐที่เป็นแบบสหพันธรัฐ หรือสหรัฐ (Federal of State) เป็นจำนวนมาก นักศึกษาจงอธิบายถึงลักษณะสำคัญของรัฐดังกล่าวนี้ให้เข้าใจ และจะมี ความแตกต่างจากลักษณะของสมาพันธรัฐ (Confederation of State) ในสาระสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

ลักษณะสำคัญของสหพันธรัฐ หรือสหรัฐ เป็นการรวมกันระหว่างรัฐหลายรัฐ เพื่อก่อให้เกิด รัฐใหม่ขึ้นมาเพียงรัฐเดียว โดยรัฐที่มารวมกันยอมสละอำนาจอธิปไตยบางประการให้กับรัฐใหม่ ซึ่งจะมีประมุข คนเดียวกันและมีรัฐบาลกลาง บริหาร ปกครองรวมกัน ซึ่งสหพันธรัฐจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้ โดยการเปรียบเทียบ ข้อแตกต่างจากสมาพันธรัฐ

1.         เป็นการรวมตัวกันของรัฐหลายรัฐ เพื่อก่อให้เกิดเป็นรัฐใหม่ขึ้นมาแทนที่เพียงรัฐเดียว ซึ่งมีรากฐานทางกฎหมายจากรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐ ขณะที่การรวมตัวแบบสมาพันธรัฐเกิดจากผลของ สนธิสัญญา ไม่เกิดเป็นรัฐใหม่แต่อย่างใด

2.         รัฐที่มารวมตัวกันแบบสหพันธรัฐหมดสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ มีประมุข และรัฐบาลกลางร่วมกันเพื่อบริหารปกครองประเทศ ส่วนสมาพันธรัฐไม่มีลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงการรวมตัว เป็นสมาคมของรัฐเท่านั้น รัฐที่มารวมกันยังคงมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพียงแต่มอบภารกิจ ตามที่ตกลงกันให้สมาพันธ์ดำเนินการเท่านั้น

3.         รัฐบาลของสหพันธรัฐจะรับผิดชอบภารกิจระหว่างประเทศหรือภายนอกรัฐ แต่รัฐสมาชิก ยังคงมีอำนาจอิสระภายในของตนเหมือนเดิม กรณีของสมาพันธรัฐจะไม่มีการแบ่งแยกอำนาจดังกล่าว รัฐที่มา รวมตัวกันยังคงมีอำนาจเช่นรัฐเหมือนเดิม ทั้งกิจการภายนอกและภายในของตน

4.         รัฐสมาชิกของสหพันธรัฐมีส่วนร่วมในการบริหารปกครอง ตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดและไม่สามารถแยกตัวออกไปได้ แต่สมาพันธรัฐ รัฐสมาชิกสามารถแยกตัวออกได้ เพราะเป็นการรวมตัว ภายใต้ข้อตกลงตามสนธิสัญญาเท่านั้น

 

ข้อ 3. ดินแดน (Territory) ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งของความเป็นรัฐ ซึ่งรัฐสามารถใช้ อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของรัฐได้ นักศึกษาจงอธิบายว่าดินแดนของรัฐประกอบไปด้วยบริเวณ ใดบ้าง และปัจจุบันไทยและกัมพูชากำลังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณทะเลอ่าวไทย จะถือได้หรือไม่ว่าเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนของรัฐ และเป็นการพิพาทเขตทางทะเลใดตาม หลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ

ธงคำตอบ

ดินแดนของรัฐ คือ บริเวณซึ่งรัฐสามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้ จะประกอบด้วย

1.         พื้นดิน พื้นดินที่เป็นดินแดนของรัฐย่อมรวมถึงพื้นดินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของเอกชน หรือของรัฐ หรือของชาวต่างประเทศที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐ ดินแดนของรัฐถูกกำหนดโดยเส้นเขตแดน และรวมถึง พื้นที่ใต้พื้นดินด้วย ทั้งนี้ดินแดนที่รวมกันเป็นอาณาเขตของรัฐไม่จำเป็นต้องติดต่อกัน อาจจะอยู่ในดินแดนของ ประเทศอื่นก็ได้

2.         พื้นน้ำบางส่วนที่เป็นน่านน้ำภายในและทะเลอาณาเขต น่านน้ำภายใน หมายถึง น่านน้ำ ที่อยู่ถัดจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตเข้ามาทางแผ่นดิน

ทะเลอาณาเขต หมายถึง ส่วนหนึ่งของพื้นน้ำซึ่งอยู่ระหว่างทะเลกลางกับรัฐ

3.         ห้วงอากาศ เหนือบริเวณต่าง ๆ ดังกล่าว

กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นจะต้องพิจารณาว่าเป็นพื้นที่ ทับซ้อนบริเวณใดของทะเล หากเป็นการทับซ้อนกันของน่านน้ำภายใน หรือทะเลอาณาเขต จะถือว่าเป็นข้อพิพาท เกี่ยวกับบริเวณที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐ จะเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนของรัฐ (Territory) ในกรณี ทับซ้อนทางทะเลที่เกิดขึ้นจะรวมไปถึงไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะด้วย แต่บริเวณดังกล่าวนี้รัฐมีเพียง สิทธิอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น ไม่ถือว่ามีอำนาจอธิปไตยเช่นน่านน้ำภายใน หรือทะเลอาณาเขต ซึ่งการแก้ไขปัญหาจำเป็นจะต้องแยกพิจารณาแต่ละเขตของทะเลประกอบด้วย เพื่อจะได้เกิดความชัดเจนว่าเป็น การพิพาทเรื่องดินแดนของรัฐ หรือพิพาทเกี่ยวกับสิทธิอธิปไตย ในการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีความแตกต่างกัน

 

ข้อ 4. นักศึกษาจะอธิบายว่า การสิ้นสุดของอำนาจหน้าที่ของคณะผู้แทนทางการทูต นอกจากกรณีการตาย และลาออกแล้ว มีกรณีอื่นใดบ้างที่จะถือได้ว่าภาระหน้าที่ของผู้แทนทางการทูตจะสิ้นสุดลง โดย นักศึกษาจะต้องอธิบายโดยสังเขปในแต่ละกรณีประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ภาระหน้าที่ของผู้แทนทางการทูตจะสิ้นสุดลงนอกจากการตาย และลาออก มีกรณีอื่นดังนี

1.         สำหรับผู้แทนทางการทูตที่ส่งไปเพื่อปฏิบัติภารกิจบางชนิด เมื่อปฏิบัติภารกิจนั้นเสร็จ ก็ถือว่าหน้าที่สิ้นสุดลง

2.         ระยะเวลาที่กำหนดในสาส์นตราตั้งสิ้นสุดลง

3.         เมื่อผู้แทนทางการทูตถูกเรียกตัวกลับประเทศ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายกรณี เช่น กรณีที่ รัฐที่รับทูตได้แจ้งให้รัฐที่ตั้งทูตทราบว่าตนปฏิเสธที่จะยอมรับบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นทูต อีกต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา หรือกรณีที่สถานการณ์ระหว่างประเทศ ทั้งสองตึงเครียด หรืออาจจะเป็นกรณีที่รัฐที่ตั้งทูตได้เรียกตัวทูตกลับเนื่องจากมีการ ปฏิวัติในประเทศที่รับทูต และรัฐที่ตั้งทูตไมยอมรับรัฐบาลใหม่ เป็นต้น

4.         เมื่อประเทศที่แต่งตั้งหรือรับทูตหมดสภาพความเป็นรัฐ เช่น ถูกผนวกเข้ากับรัฐอื่น หรือยอมรวมตัวเข้ากับรัฐอื่น

5.         เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัฐทั้งสอง เป็นผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตสิ้นสุดลง

6.         เมื่อมีการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐทั้งสอง ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม

กรณีตามข้อ 1. – 3. เป็นการสิ้นสุดของผู้แทนทางการทูตแต่ละคนเท่านั้น แต่ถ้าเป็นกรณี ตามข้อ 4. – 6. เป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

 ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายให้ชัดเจนดังทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในว่าประกอบไปด้วยทฤษฎีใดบ้าง และประเทศไทยยึดถือปฏิบัติแนวทางทฤษฎีใดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ธงคำตอบ

ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในประกอบไปด้วยทฤษฎี 2 ทฤษฎี คือ

1.         ทฤษฎีทวินิยม (Dualism) ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายภายในกับกฎหมายระหว่างประเทศ มีลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เป็นกฎหมายคนละระบบแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แตกต่างกันทั้งที่มา การบังคับใช้ และความผูกพัน ในการนี้ถ้ากฎหมายภายในขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ ยังถือว่ากฎหมายภายในสมบูรณ์อยู่ใช้บังคับได้ภายในรัฐ แต่ถ้าการบังคับใช้กฎหมายภายในดังกล่าวก่อให้เกิด ความเสียหายต่อรัฐอื่น รัฐนั้นในฐานะเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้นด้วย นอกจากนี้รัฐที่นิยมในทฤษฎีดังกล่าว เมื่อเข้าผูกพันในกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ในกรณีที่จะนำ กฎหมายระหว่างประเทศมาใช้บังคับภายในประเทศ จะนำมาใช้บังคับเลยไม่ได้ จะต้องนำกฎหมายนั้นมาแปลง ให้เป็นกฎหมายภายในเสียก่อน เช่น ออกประกาศ หรือ พ.ร.บ. รองรับ เป็นต้น

2.         ทฤษฎีเอกนิยม (Monism) อธิบายว่า กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายใน ไม่แตกต่างกัน มีความสัมพันธ์กัน ทั้งนี้เพราะกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศต่างมีเจตนารมณ์ เดียวกัน คือ เพื่อก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไมว่าจะเป็นสังคมภายในหรือระหว่างประเทศ แต่ก็เห็นว่า กฎหมายระหว่างประเทศมีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่า ดังนั้นรัฐที่นิยมทฤษฎีนี้จึงไม่ต้องทำการแปลงรูปกฎหมาย ระหว่างประเทศ เพราะกฎหมายระหว่างประเทศจะเข้ามามีผลเป็นกฎหมายกายในโดยอัตโนมัติ เพราะกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้

สำหรับประเทศไทยยึดถือปฏิบัติตามแนวทาง ทฤษฎีทวินิยม หรือ Dualism” ซึ่งเห็นว่า กฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศมีฐานะเทาเทียมกัน และเป็นอิสระจากกันและกัน ดังนั้นจึงไม่อาจที่ จะนำกฎหมายระหว่างประเทศมาบังคับใช้ภายในประเทศได้โดยอัตโนมัติ แต่ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนหรือแปลง รูปกฎหมายนั้นให้เป็นกฎหมายภายในเสียก่อนจึงจะสามารถนำมาบังคับใช้ได้

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่า ข้อสงวนของสนธิสัญญา (Reservation) หมายถึงอะไร และข้อสงวนนี้สามารถดำเนินการได้เสมอไปหรือไม่

ธงคำตอบ

ข้อสงวนของสนธิสัญญา (Reservation) หมายถึง ข้อความซึ่งรัฐคู่สัญญาได้ประกาศออกมาว่า ตนไม่ผูกพันในข้อความหนึ่งข้อความใดในสนธิสัญญา หรือตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดอย่างไร หรือตน รับจะปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้ให้คำนิยามไว้ว่า การตั้งข้อสงวน ได้แก่ คำแถลง ฝ่ายเดียวของรัฐภาคีรัฐหนึ่งรัฐใดของสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นขณะที่ลงนาม ให้สัตยาบัน ยอมรับ อนุมัติ หรือ ทำภาคยานุวัติสนธิสัญญา โดยคำแถลงนี้แสดงว่าต้องการระงับหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของบทบัญญัติ บางอย่างของสนธิสัญญาในส่วนที่ใช้กับรัฐนั้น

เห็นได้ว่า การตั้งข้อสงวนคือวิธีการที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาต้องการหลีกเลี่ยงพันธกรณีตาม สนธิสัญญาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือในหลายเรื่อง เป็นวิธีการจำกัดความผูกพันตามสนธิสัญญาของรัฐ เช่น แจ้งว่า ตนจะไม่รับพันธะที่จะปฏิบัติทั้งหมด หรือรับที่จะปฏิบัติบางส่วน หรือว่าตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดนั้น ว่าอย่างไร

การตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญานั้น จะกระทำได้ เฉพาะในสนธิสัญญาประเภทพหุภาคีเท่านั้นสำหรับสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้นไม่สามารถกระทำได้ เพราะการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาประเภททวีภาคีนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธการให้สัตยาบันและยื่นข้อเสนอใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อคูสัญญายอมรับ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับ ข้อเสนอสนธิสัญญาย่อมตกไป ดังนั้นสนธิสัญญาประเภททวิภาคีจึงไม่อาจมีข้อสงวนได้

สำหรับการตั้งข้อสงวนของสนธิสัญญานั้น รัฐคูสัญญาไม่สามารถดำเนินการได้เสมอไป เพราะ อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 19 ระบุว่า รัฐคู่สัญญาย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญามีข้อกำหนดห้ามการตั้งข้อสงวนไว้ชัดแจ้ง

2.         สนธิสัญญากำหนดกรณีที่อาจตั้งข้อสงวนได้ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดแล้ว รัฐไม่ อาจตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

การตั้งข้อสงวนหรือการรับข้อสงวนหรือการคัดค้านการตั้งข้อสงวน ต้องทำเป็นหนังสือและแจ้งไปให้รัฐคู่สัญญาทราบ และการตั้งข้อสงวนนั้น รัฐที่ตั้งข้อสงวนอาจจะขอถอนคืนข้อสงวนของตนได้ เว้นแต่ สนธิสัญญาดังกล่าวได้ระบุห้ามการถอนคืนข้อสงวนไว้

 

ข้อ 3. สภาพบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 15 กำหนดให้เริ่มตั้งแต่เมื่อคลอด แล้วอยู่รอดเป็นทารก ให้นักศึกษาอธิบายไห้ชัดเจนว่า สภาพบุคคลของรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะเริ่มเกิดขึ้นได้อย่างไร และสภาพบุคคลของรัฐจะเป็นที่รับรู้ได้อย่างไรในสังคมระหว่างประเทศ และหากนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาวิเคราะห์ถึงสถานะของไต้หวัน นักศึกษาเห็นว่ามีสถานะเป็นรัฐ ตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ และจะเป็นที่รับรู้ หรือยอมรับอย่างไรในสังคมระหว่างประเทศ

ธงคำตอบ

สภาพบุคคลของรัฐ หรือรัฐในฐานะที่เป็นบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ จะเริ่มเกิดขึ้น ได้เมื่อมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ

1.         ดินแดน กล่าวคือ รัฐต้องมีดินแดนให้ประชาชนได้อยูอาศัย ซึ่งดินแดนของรัฐนั้น รวมทั้งพื้นดิน ผืนน้ำ และท้องฟ้าเหนือดินแดนด้วย ดินแดนไม่จ่าเป็นต้องเป็นผืนเดียวติดต่อกัน อาจจะเป็น ดินแดนโพนทะเลก็ได้ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไมได้กำหนดขนาดของดินแดนไว้ ฉะนั้นรัฐจะมีดินแดน มากน้อยเพียงใดไม่ใช่ข้อสำคัญ แต่ต้องมีความแน่นอนมั่นคงถาวร และกำหนดเขตแดนไว้แน่นอนชัดเจน

2.         ประชากร กล่าวคือ มีประชากรอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีความแน่นอน ซึ่งกฎหมาย ระหว่างประเทศก็ไมได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนประชากรมากน้อยเท่าไร เพียงแต่ต้องมีจำนวนมากพอสมควรที่ จะสามารถดำรงความเป็นรัฐได้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐนี้ไม่จำเป็นต้องมีชนชาติเดียวกัน อาจมี เชื้อชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่มีความผูกพันทางนิตินัยกับรัฐ คือ มีสัญชาติเดียวกัน

3.         รัฐบาล กล่าวคือ มีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรมาทำการ บริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ จัดบริการสาธารณะให้แกประชาชน จัดระเบียบการปกครองภายใน รักษา ความสงบเรียบร้อยในดินแดนของตน ดำเนินการป้องกันประเทศ ส่งเสริมความเจริญของประเทศ และรักษาสิทธิ ผลประโยชน์ของประชาชน

4.         อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ รัฐสามารถที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อำนาจอิสระภายใน หมายถึง อำนาจของรัฐในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระเสรีแต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ส่วนอำนาจอิสระภายนอก หมายถึง อำนาจของรัฐในการติดต่อ สัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น และได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับรัฐอื่น

เมื่อเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การมีสภาพบุคคลของรัฐจะ เป็นที่รับรู้ได้ในสังคมระหว่างประเทศ ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น ๆ โดยเฉพาะจาก รัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย

สำหรับการรับรองรัฐนั้น แปงออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.         การรับรองโดยพฤตินัย เป็นลักษณะการรับรองชั่วคราว โดยไม่ได้ไปดำเนินการอย่าง เป็นทางการหรือกระทำอย่างชัดแจ้ง เช่น การทำข้อตกลงชั่วคราวหรือมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างไม่เป็นทางการ จากนั้นจึงให้การรับรองโดยนิตินัยต่อไป

2.         การรับรองโดยนิตินัย  เป็นการรับรองรัฐอยางถาวรซึ่งรัฐแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งที่ จะเข้าไปดำเนินความสัมพันธ์กับรัฐใหม่อย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ การรับรองรัฐไม่มีแบบพิธีเป็นพิเศษ อาจจะกระทำได้โดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้ สำหรับสถานะของ ไต้หวัน” นั้น ถือว่ามีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะ มีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่สำคัญครบทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น คือมีดินแดนและมีประชากรที่อยู่อาศัยในดินแดนที่แน่นอน มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรทำการบริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ และ ที่สำคัญคือการมีอำนาจอธิปไตย ในอันที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อาทิเช่น มีอำนาจในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก และมีอำนาจใน การติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น เป็นต้น

และเช่นเดียวกันเมื่อถือว่า ไต้หวัน” มีสถานะเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย ระหว่างประเทศแล้ว การมีฐานะเป็นรัฐของ ไต้หวัน” จะเป็นที่รับรู้หรือเป็นที่ยอมรับในสังคมระหว่างประเทศก็ ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น โดยเฉพาะจากรัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วยนั่นเอง

 

ข้อ 4. จงอธิบายถึงกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลกให้ชัดเจนว่ามีโครงสร้างการดำเนินการ และขอบเขตอำนาจหน้าที่อย่างไร และในกรณีที่มี การกล่าวอ้างว่าจะนำคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปดำเนินคดียังศาลโลก จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ และอย่างไร

ธงคำตอบ

การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นการระงับข้อพิพาททางศาล ตามความหมายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นลักษณะของการเสนอข้อพิพาทให้ศาลที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างถาวร โดยมี ผู้พิพากษาประจำอยู่ มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาความของตนเอง แตกต่างจากศาลอนุญาโตตุลาการ- ระหว่างประเทศ แต่ก็เป็นการระงับข้อพิพาทในทางกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพกฎหมายเช่นเดียวกัน

สำหรับโครงสร้างของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 นาย แต่ จะเป็นคนในสัญชาติเดียวกันไม่ได้ ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่ง 9 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่ นอกจากนั้นก็มี การเลือกตั้งซ่อมทุก ๆ 3 ปี โดยผู้พิพากษา 5 คน จะอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 5 คนอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี และ 5 คน ที่เหลืออยู่ในตำแหน่งได้ครบ 9 ปี ถ้ามีตำแหน่งว่างให้มีการเลือกตั้งซ่อม ผู้ที่ได้รับเลือกจะอยู่ได้เท่าเวลาของ ผู้ที่ตนแทน การเลือกตั้งกระทำโดยความเห็นชอบร่วมกันของสมัชชาสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งในกรณีนี้สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงไม่สามารถใช้สิทธิวีโต้ได้ มติถือเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ ศาลเลือกประธานและรองประธานซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่อีก

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือรัฐเท่านั้น และต้องการเกิดจากความสมัครใจของรัฐคู่กรณีด้วย มีเขตอำนาจในเรื่องดังต่อไปนี้คือ

1.         การตีความสนธิสัญญา

2.         ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ

3.         ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศ

4.         กรณีเกิดการเสียหายเพราะละเมิดพันธะระหว่างประเทศ

นอกจากนี้คู่พิพาทอาจจะขอให้ศาลพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในสนธิสัญญา และ ยังมีหน้าที่ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายแก่คณะมนตรีและสมัชชาของสันนิบาตชาติด้วย ในกรณีที่ถูกร้องขอ

ในการตัดสินคดี ศาลจะใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้เป็นหลักในการพิจารณาคดี

1.         สนธิสัญญา

2.         จารีตประเพณีระหว่างประเทศ

3.         หลักกฎหมายทั่วไป

4.         คำพิพากษาของศาล

5.         ความเห็นของนักนิติศาสตร์

6.         หลักเกณฑ์อื่น ๆ เช่น หลักความยุติธรรม หลักมนุษยธรรม เป็นต้น

การนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยปกติเป็นความประสงค์ของคู่กรณีเอง นอกจากจะมีสนธิสัญญาที่ คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ คำตัดสินของศาลผูกพันคูกรณีให้ต้องปฏิบัติ และถือเป็นที่สุดไมมี อุทธรณ์ ฎีกา คำพิพากษาของศาลมีลักษณะเป็นพันธกรณีที่คู่กรณีจะต้องปฏิบัติตาม และคำพิพากษาถือเป็นสิ้นสุด และผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น ถ้ารัฐใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา รัฐอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยัง คณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่าจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะ ดำเนินการเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษา

สำหรับกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าจะนำคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปดำเนินคดียัง ศาลโลกนั้น จะเห็นได้ว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้เพราะดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกนั้น มีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือรัฐเท่านั้น แต่กรณีคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับประเทศไทยนั้นไม่ใช่ข้อพิพาทระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ไนอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลโลก

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิซา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นรัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. รัฐภาคสามารถใช้สิทธิบอกเลิกสนธิสัญญาสองฝ่าย และถอนตัวจากสนธิสัญญาหลายฝ่ายได้หรือไม อย่างไร และจะเกิดผลอย่างไรต่อสนธิสัญญาดังกล่าวนั้น

ธงคำตอบ

ตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญา ข้อ 55 นั้น รัฐภาคีสามารถใช้ สิทธิบอกเลิกสนธิสัญญาสองฝ่ายได้ในกรณีที่ได้มีข้อตกลงไว้ในสนธิสัญญาว่า ให้รัฐภาคีสามารถใช้สิทธิบอกเลิก ฝ่ายเดียวได้ แต่ถ้าไม่มีข้อตกลงกันไว้ดังนี้ รัฐภาคีก็ยังสามารถใช้สิทธิบอกเลิกสนธิสัญญาได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง หรือในกรณีที่เกิดเหตุการณ์บางอย่างซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศยอมให้คู่กรณี บอกเลิกได้ เช่น เกิดสงครามระหว่างรัฐที่เป็นคู่สัญญา เป็นต้น

สำหรับกรณีสนธิสัญญาหลายฝ่าย รัฐภาคีก็สามารถขอถอนตัวออกจากการเป็นภาคีได้ ถ้าได้ มีการตกลงกันไว้ในสนธิสัญญา แต่ถ้าไม่ได้มีการตกลงกันไว้ก็ต้องได้รับความยินยอมจากรัฐภาคีทุกฝ่ายในสนธิสัญญานั้น

ส่วนผลของการบอกเลิกสนธิสัญญา จะต้องพิจารณาว่าเป็นสนธิสัญญาสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย ถ้าเป็นสนธิสัญญาสองฝ่าย การบอกเลิกทำให้สนธิสัญญาสิ้นสุดลง แต่ถ้าเป็นสนธิสัญญาหลายฝ่ายการบอกเลิก มีผลเพียงการถอนตัวของภาคีที่บอกเลิกจากพันธะของสนธิสัญญาเท่านั้น ไม่ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงแต่อย่างใด ภาคีสนธิสัญญาที่เหลือยังคงผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาเช่นเดิม

 

ข้อ 2. สนธิสัญญาจะต้องจดทะเบียนหรือไม และหากไมจดทะเบียนจะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 102 กำหนดว่า

สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศทุกฉบับ ซึ่งสมาชิกใด ๆ แห่งสหประชาชาติได้เข้าเป็นภาคี ภายหลังที่กฎบัตรฉบับปัจจุบันใช้บังคับ จะต้องจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการโดยเร็วที่สุดเท่าทีจะทำได้ และจะได้จัดพิมพ์ขึ้นโดยสำนักงานนี้

ภาคีโดยสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ เช่นว่าใด ๆ ซึ่งมิได้จดทะเบียนไว้ ไม่อาจ ยกเอาสนธิสัญญา หรือความตกลงนั้น ๆ ขึ้นกล่าวอ้างต่อองค์กรใด ๆ ของสหประชาชาติ

ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 102 นั้น ได้บังคับให้สนธิสัญญาทุกฉบับที่รัฐภาคีขององค์การ สหประชาชาติได้ไปจัดทำไว้นั้น จะต้องนำมาจดทะเบียนต่อองค์การสหประชาชาติ ถ้าหากไม่นำไปจดทะเบียนก็ จะไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสนธิสัญญา สนธิสัญญานั้นจะไม่ตกเป็นโมฆะ หรือโมฆียะแต่ประการใด แต่จะเกิดผลเสียก็คือถ้าเกิดมีการละเมิดต่อสนธิสัญญา รัฐหนึ่งรัฐใดจะนำเอาสนธิสัญญาดังกล่าวนั้นมาฟ้องร้อง ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือร้องขอให้องค์การสหประชาชาติบังคับให้ไม่ได้แต่อย่างใด

 

ข้อ 3. นายรักรามเป็นผู้สนใจในเรื่องข่าวสารเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ไม่เข้าใจในประเด็น เกี่ยวกับรัฐต่างประเทศที่มีรัฐบาลใหม่ขึ้นมาบริหารปกครองประเทศของตนแทนรัฐบาลเดิมว่า จะต้องมีการรับรองรัฐบาลใหม่เสมอไปหรือไม และมีแนวคิดในการพิจารณาเกี่ยวกับการรับรองรัฐบาลอย่างไรบ้าง นอกจากนี้หากเป็นกรณีที่เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รับการรับรองจะเกิดผลเสียอย่างไร ท่าน ในฐานะที่ผ่านการศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมาแล้ว จะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจอย่างชัดเจนอย่างไร

ธงคำตอบ

ข้าพเจ้าจะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจในประเด็นการรับรองรัฐบาลใหม่ ดังนี้คือ

ในกรณีที่รัฐต่างประเทศมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมาบริหารปกครองประเทศของตนแทนรัฐบาลเดิมนั้น จะต้องมีการรับรองรัฐบาลใหม่เสมอไปหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1.         กรณีไม่จำเป็นต้องรับรอง คือกรณีที่รัฐบาลใหม่ได้ขึ้นมาบริหารประเทศตามกระบวนการ ตามปกติวิสัยหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือโดย วิธีการอื่น ๆ ก็ตาม ก็ไมจำเป็นต้องรับรองรัฐบาลชุดใหม่นี้ เพราะถือว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องและชอบธรรมแล้ว

2.         กรณีที่จะต้องมีการรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

(1)       กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็น กรณีที่มีคณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโดยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็น อยู่เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

(2)       กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการ แย่งอำนาจปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใน กรณีดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

การตัดสินใจในการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ และอาจจะรับรองโดยมีเงื่อนไขก็ได้ การรับรองรัฐบาลนี้มีผลในลักษณะของการประกาศให้นานาชาติทราบถึง สถานภาพของรัฐบาลที่ได้รับการรับรองเช่นเดียวกับการรับรองรัฐ

สำหรับแนวคิดในการพิจารณาเกี่ยวกับการรับรองรัฐบาลใหม่นี้ มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องดังนี้ คือ

1. ทฤษฎี Tobar เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงความชอบธรรมของรัฐบาลที่ ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศว่าเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้เป็นความคิดที่พยายามจะป้องกัน กาวปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยในลาตินอเมริกา ซึ่ง Tobar รัฐมนตรีต่างประเทศเอกวาดอร์ เห็นว่ารัฐไมควร รับรองรัฐบาลที่ได้อำนาจมาโดยการปฏิวัติรัฐประหาร เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลใหม่จะทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนชอง รัฐธรรมนูญ โดยได้รับความยินยอมจากสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสียก่อน

ทฤษฎี Tobar ใช้เฉพาะในทวีปอเมริกาเท่านั้น ประเทศในยุโรปไม่ยอมรับนับถือปฏิบัติ โดยหลักการแล้วทฤษฎีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เพราะการรับรองรัฐบาลใหม่ก็เหมือนกับการรับรองรัฐ ซึ่งเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศสภาพของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วเท่านั้น และการปฏิเสธการรับรองรัฐบาลโดยอ้างว่า เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้น เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ดังนั้นทฤษฎี Tobar จึงไม่ได้รับการยึดถือ ปฏิบัติตั้งแต่ปลายมี ค.ศ. 1932 เป็นต้นมา

2. ทฤษฎี Estrada เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลนั้น ว่ามีอำนาจอันแท้จริงในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่าง ประเทศได้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลมีความสามารถเช่นว่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์ได้ โดยมิต้องไป พิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมายภายในของรัฐบาล เพราะเป็นกิจการภายในของรัฐนั้น รัฐอื่นไม่มีหน้าที่ไป พิจารณา รัฐทุกรัฐย่อมมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ซึ่งสังคมระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้ยึดถือตามทฤษฎี Estrada นี

และในกรณีที่เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รับการรับรองจะเกิดผลเสีย ดังนี้คือ

(1)       กิจการภายใน เช่น กฎหมาย การกระทำของฝ่ายปกครอง คำพิพากษาของศาล หรือ กิจการภายนอก เช่น ข้อตกลง สนธิสัญญา ที่รัฐบาลได้ไปทำไว้ อาจจะไม่สมบูรณ์ในสายตาของรัฐที่ไม่ได้ให้การรับรอง

(2)       ประเทศที่ไม่ได้ให้การรับรองอาจจะไม่ทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย

(3)       สิทธิในทางศาล อาจถูกปฏิเสธในรัฐที่ไม่ได้ให้การรับรอง

(4)       สิทธิในทรัพย์สมบัติในประเทศที่ไมได้ให้การรับรองอาจถูกปฏิเสธ หรืออาจถูกปฏิเสธ สิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สมบัติในประเทศที่ไมได้ให้การรับรอง

 

ข้อ 4. จงอธิบายวิธีการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่เรียกว่า การไกล่เกลี่ย” (Mediation) ว่ามีลักษณะของการดำเนินการอย่างไร และหากเปรียบเทียบวิธีการไกล่เกลี่ยกับวิธีการที่เรียกว่า “Good Office” และ การเจรจา” (Negotiation) จะมีข้อแตกต่างหรือคล้ายกันในสาระสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่เรียกว่า การไกลเกลี่ย” (Mediation) เป็นกรณีที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ติดต่อให้คูกรณีมีการเจรจากัน และตนก็เข้าร่วมในการเจรจาด้วย รวมทั้งสามารถ เสนอแนวทางในการยุติข้อพิพาทให้คู่กรณีพิจารณาได้ด้วย แต่ไม่ผูกพันรัฐคู่พิพาท ซึ่งอาจจะยอมรับแนวทาง การไกล่เกลี่ยนั้นหรือไม่ก็ได้ เพราะกระบวนการไกล่เกลี่ยนั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความสมัครใจของทุกฝ่าย

การไกล่เกลี่ยรูปนี้มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ

1.         ผู้เสนอตัวหรือผู้รับการไกล่เกลี่ยเป็นไปด้วยความสมัครใจ

2.         ข้อเสนอการไกล่เกลี่ยรัฐคูพิพาทอาจจะรับหรือไม่ก็ได้

ส่วน “Good Offices” เป็นกรณีที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเข้ามาอำนวยความสะดวกให้ คู่กรณีทำการเจรจากันโดยตรง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นกรณีที่รัฐที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะตัวกลางเพื่อโน้มน้าว ชักจูง ประสานให้คู่กรณีมาพบกัน เพื่อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างกัน โดยตนไมได้เข้าไปมีสวนร่วมในการเจรจา หรือเสนอข้อยุติแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกจัดให้มีการเจรจากันเท่านั้น เช่น จัดสถานที่เจรจาให้ เป็นต้น

การไกล่เกลี่ย (Mediation) กับ Good Offices ต่างกันตรงที่รัฐที่ทำหน้าที่ Good Offices จะไมเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการระงับข้อพิพาทเช่นรัฐที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและการระงับกรณีพิพาทด้วยวิธี การเจรจา” (Negotiation) เป็นกรณีที่คู่กรณีตกลง ที่จะมาเจรจากันเองโดยตรง ไม่มีรัฐที่สาม หรือบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งจะแตกต่างกับวิธีการ ไกล่เกลี่ย และ Good Offices

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศในกรณีของจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้น มีลักษณะอย่างไร และมีข้อดีข้อด้อยอย่างไร

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไมได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลงเป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอนแต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องศ์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น

1.         จารีตประเพณีทั่วไป ซึ่งรัฐส่วนใหญ่ยอมรับและถือปฏิบัติ สามารถใช้บังคับแก่ทุกรัฐในโลก

2.         จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับและถือปฏิบัติในภูมิภาคเท่านั้น ซึ่งใช้บังคับ แกรัฐที่อยู่ในภูมิภาคนั้นเท่านั้น

จารีตประเพณีระหว่างประเทศอาจเกิดจาก

1.         เกิดจากจารีตประเพณีหรือกฎหมายภายในหรือคำตัดสินของศาลยุติธรรมของรัฐหนึ่ง แต่ประเทศอื่นเห็นว่าดีก็นำหลักการดังกล่าวมาปฏิบัติ จนนานเข้าก็กลายเป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศ

2.         เกิดจากสนธิสัญญาประเภทกฎหมาย คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษา ของศาลระหว่างประเทศ

ข้อดีและข้อด้อยของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

ข้อดี” ของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ คือ มีความยืดหยุ่นมาก เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ของสภาพสังคมก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้

ส่วน ข้อด้อย” ของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ คือ ขาดความชัดเจนเพราะเป็นเพียง แนวทางที่ยืดถือปฏิบัติต่อกันเท่านั้น มิได้บัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

 

ข้อ 2. สนธิสัญญาที่ทำเต็มตามแบบนั้น มีขั้นตอนการจัดทำอย่างไร ขั้นตอนใดที่จะก่อให้เกิดผลผูกพัน ภาคีสมาชิก และสนธิสัญญาที่มิได้จดทะเบียนต่อสหประชาชาติจะมีผลอย่างไร

ธงคำตอบ

สนธิสัญญาที่ทำเต็มตามแบบนั้น มีขั้นตอนการจัดทำดังนี้ คือ

1.         การเจรจา

2.         การลงนาม

3.         การให้สัตยาบัน

4.         ภารจดทะเบียน

1.         การเจรจา การเจรจาเป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการทำสนธิสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ในการทำสนธิสัญญา ซึ่งองค์กรที่มีอำนาจในการเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญาจะถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นประมุขของรัฐ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ หรือในบางกรณีผู้มีอำนาจในการเจรจาอาจจะไม่ทำการเจรจาด้วยตนเองก็ได้แต่มอบอำนาจให้ผู้อื่น เช่น ตัวแทนทางการทูต หรือคณะผู้แทน เข้าทำการเจรจาแทน แต่ต้องทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งผู้แทนจะนำมามอบให้แก่รัฐคู่เจรจา หรือต่อที่ประชุมในกรณีที่มีรัฐหลายรัฐร่วมเจรจาด้วย

การร่างสนธิสัญญาเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญของรัฐคู่เจรจา จะทำความตกลงกันใน หลักการและข้อความในสนธิสัญญา โดยจะมีการประชุมพิจารณาร่างข้อความในสนธิสัญญา และตามมาตรา 9 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาระบุว่า ร่างสนธิสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบโดยเอกฉันท์จากรัฐคู่เจรจา เว้นแต่ ที่ประชุมจะให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์

2.         การลงนาม การลงนามในสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดข้อความเด็ดขาดใน สนธิสัญญา และการแสดงความยินยอมที่จะผูกพันในสนธิสัญญาของรัฐคู่เจรจา ซึ่งการลงนามในสนธิสัญญานั้น จะกระทำเมื่อผู้แทนในการเจรจาเห็นชอบกับข้อความในร่างสนธิสัญญานั้นแล้ว

การลงนามในสนธิสัญญานั้น อาจจะเป็นการลงนามเลย หรือลงนามย่อก่อนและ ลงนามจริงในภายหลังก็ได้ และสนธิสัญญาที่ได้มีการลงนามแล้วนั้นยังไมก่อให้เกิดผลผูกพันความรับผิดชอบของรัฐ จะต้องมีการให้สัตยาบันเสียก่อนจึงจะสมบูรณ์

3.         การให้สัตยาบัน การให้สัตยาบัน หมายถึง การยอมรับขั้นสุดท้าย เป็นการแสดง เจตนาของรัฐที่จะรับข้อผูกพันและปฏิบัติตามพันธะในสนธิสัญญา และการไห้สัตยาบันแกสนธิสัญญานั้น จะต้องมีการจัดทำสัตยาบันสาร (Instrument of Ratification) ซึ่งกระทำในนามประมุขของรัฐ หรือรัฐบาล หรือ อาจจะลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ และในสัตยาบันสารนั้นจะระบุข้อความในสนธิสัญญา และคำรับรอง ที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันในสนธิสัญญานั้น

4.         การจดทะเบียน เมื่อมีภารทำสนธิสัญญาเสร็จแล้ว โดยหลักจะต้องนำสนธิสัญญานั้น ไปจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ (มาตรา 102 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ) แต่อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาบางฉบับอาจจะไม่ได้นำไปจดทะเบียนก็ได้ ทั้งนี้เพราะกฎหมายมิได้บังคับว่าสนธิสัญญาจะมีผลสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนแล้วเท่านั้น สนธิสัญญาบางฉบับแม้จะไม่ได้จดทะเบียนก็มีผลสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

และจากขั้นตอนในการจัดทำสนธิสัญญาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนที่ทำให้สนธิสัญญามี ผลผูกพันกับภาคีสมาชิกคือขั้นตอนการให้สัตยาบันนั่นเอง

 ส่วนสนธิสัญญาที่มิได้จดทะเบียนต่อสหประชาชาตินั้นจะมีผลสมบูรณ์ทุกประการ แต่ถ้า ภาคีสมาชิกไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญานั้น ภาคีสมาชิกที่เหลือจะนำสนธิสัญญาดังกล่าวมาฟ้อง หรือมาอ้างต่อ องค์กรใด ๆ ของสหประชาชาติหรือต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อบังคับให้เป็นไปตามสนธิสัญญานั้นไม่ได้ เพราะสหประชาชาติมิได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของสนธิสัญญาฉบับนั้น

 

ข้อ 3. จงอธิบายเงื่อนไข หรือองค์ประกอบของความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศให้ชัดเจน และ เมื่อมีความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว จะสามารถติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศ ได้โดยอัตโนมัติหรือไม มีหลักเกณฑ์หรือแนวคิดใดมาอธิบายเรื่องนี้บ้าง ให้นักศึกษาศึกษาวิเคราะห์ กรณีของไต้หวัน (Taiwan) โดยยึดถือหลักเกณฑ์ข้างต้นอธิบายประกอบให้เห็นจริง

ธงคำตอบ

ความเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศจะต้องมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ

1.         ดินแดน กล่าวคือ รัฐต้องมีดินแดนให้ประชาชนได้อยู่อาศัย ซึ่งดินแดนของรัฐนั้น รวมทั้งพื้นดิน ผืนน้ำ และท้องฟ้าเหนือดินแดนด้วย ดินแดนไมจำเป็นต้องเป็นผืนเดียวติดต่อกัน อาจจะเป็น ดินแดนโพ้นทะเลก็ได้ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไมได้กำหนดขนาดของดินแดนไว้ ฉะนั้นรัฐจะมีดินแดนมากน้อย เพียงใดไมใช่ข้อสำคัญ แต่ต้องมีความแน่นอนมั่นคงถาวร และกำหนดเขตแดนไว้แน่นอนชัดเจน

2.         ประชากร กล่าวคือ มีประชากรอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีความแน่นอน ซึ่งกฎหมาย ระหว่างประเทศก็ไมได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนประชากรมากน้อยเท่าไร เพียงแต่ต้องมีจำนวนมากพอสมควรที่จะ สามารถดำรงความเป็นรัฐได้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐนี้ไม่จำเป็นต้องมีชนชาติเดียวกัน อาจมีเชื้อชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่มีความผูกพันทางนิตินัยกับรัฐ คือ มีสัญชาติเดียวกัน

3.         รัฐบาล กล่าวคือ มีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรมาทำการบริหารงาน ทั้งภายในและภายนอกรัฐ จัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน จัดระเบียบการปกครองภายใน รักษาความสงบเรียบร้อย ในดินแดนของตน ดำเนินการป้องกันประเทศ ส่งเสริมความเจริญของประเทศ และรักษาสิทธิผลประโยชน์ของประชาชน

4.         อำนาจอธิปไตย (หรือเอกราชอธิปไตย) กล่าวคือ รัฐสามารถที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้ อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อำนาจอิสระภายใน หมายถึง อำนาจของรัฐในการจัดกิจการภายในประเทศ ได้อย่างอิสรเสรีแต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ส่วนอำนาจอิสระภายนอก หมายถึง อำนาจของรัฐในการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น และได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับรัฐอื่น

และการที่ตัวตนใดมีองค์ประกอบของความเป็นรัฐครบ 4 ประการ สภาพความเป็นรัฐตาม กฎหมายย่อมเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้โดยอัตโนมัติ ทั้งนี้เพราะขึ้นอยูกับรัฐอื่นว่าจะรับรองความเป็นรัฐหรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์ในการรับรองความเป็นรัฐโดยรัฐอื่นนั้น มีทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรองรัฐอยู่ 2 ทฤษฎี คือ

1.         ทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไข (การก่อกำเนิดรัฐ) หมายความว่า แม้รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจะมี องค์ประกอบของความเป็นรัฐครบ 4 ประกรแล้วก็ตาม สภาพของรัฐก็ยังไม่เกิดขึ้น สภาพของรัฐจะเกิดขึ้นและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ จะต้องมีการรับรองรัฐโดยรัฐอื่นด้วย และเมื่อรัฐอื่นไดให้การรับรองแล้ว รัฐที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะมีสภาพบุคคล มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสามารถที่จะติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้

2.         ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศ (ยืนยัน) ซึ่งทฤษฎีนี้ถือว่าการรับรองนั้นไม่ก่อให้เกิดสภาพ ของรัฐ เพราะเมื่อรัฐที่เกิดขึ้นใหม่มีองค์ประกอบความเป็นรัฐครบถ้วนแล้วก็ย่อมเป็นรัฐที่สมบูรณ์แม้จะไม่มีการ รับรองจากรัฐอื่นก็ตาม และรัฐนั้นก็ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ การรับรองนั้น ถือว่าเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศความเกินจริง (ความเกินรัฐ) ที่เป็นอยู่แล้วเท่านั้น

สำหรับสถานะของ ไต้หวัน” นั้น ถือว่ามีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะ มีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่สำคัญครบทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น คือมีดินแดนและมีประชากรที่อยู่อาศัยใน ดินแดนที่แน่นอน มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรทำการบริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ และ ที่สำคัญคือการมีอำนาจอธิปไตย ในอันที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อาทิเช่น มีอำนาจในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก และมีอำนาจใน การติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องฟ้งคำสั่งจากรัฐอื่น เป็นต้น

และเช่นเดียวกันเมื่อถือว่า ไต้หวัน” มีสถานะเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย ระหว่างประเทศแล้ว การมีฐานะเป็นรัฐของ ไต้หวัน” จะเป็นที่รับรู้หรือเกินที่ยอมรับในสังคมระหว่างประเทศ ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น โดยเฉพาะจากรัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย นั่นเอง

 

ข้อ 4. จงอธิบายว่าผู้แทนทางการทูต ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 กำหนดให้แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ อย่างไรบ้าง และผู้แทนทางการทูตแต่ละชั้นจะได้รับเอกสิทธิและ ความคุ้มกันพิเศษแตกต่างกันอย่างไร หรือไม

ธงคำตอบ

ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ได้กำหนดชั้นของ ผู้แทนทางการทูต โดยให้แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ 3 ชั้น ได้แก่

1.         เอกอัครราชทูต หรือเอกอัครสมณทูต หรือหัวหน้าคณะผู้แทนอื่นที่มีชั้นเท่ากัน

2.         รัฐทูต อัครราชทูต และอัครสมณทูต

3.         อุปทูต

ผู้แทนทางการทูต จะได้รับเอกสิทธ์และความคุ้มกันดังต่อไปนี้

1.         สิทธิล่วงละเมิดมิได้ ประกอบด้วยสิทธิในตัวบุคคลของผู้แทนทางการทูต และสิทธิใน ทรัพย์สิน ไมว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ของผู้แทนทางการทูต เช่น ตามมาตรา 29 อนุสัญญา กรุงเวียนนาฯ ห้ามจับกุมหรือกักขังในรูปใด ๆ และกระทำการอันกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพและเกียรติยศซอง ผู้แทนทางการทูต รัฐผู้รับต้องปฏิบัติต่อผู้แทนทางการทูตด้วยความเคารพตามสมควร หรือตามมาตรา 27 ได้ กำหนดว่า ถุงทางการทูต เอกสารทางราชการ สมุดทะเบียน เครื่องใช้ในการสื่อสาร จะต้องได้รับการคุ้มกันไม่ถูก ตรวจค้น ยึด หรือเกณฑ์เอาไปใช้ เป็นต้น

2.         สิทธิไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐผู้รับ (สิทธิได้รับยกเว้นในทางศาล) สิทธิดังกล่าว เป็นหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระของคณะทูตและเป็นการให้เกียรติในฐานะตัวแทนของรัฐ ซึ่งจะเห็น ได้จากมาตรา 31 อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ที่ระบุให้สิทธิผู้แทนทางการทูตจะไม่ถูกฟ้องทั้งในคดีอาญาและคดีแพ่ง แม้ว่าจะเป็นการกระทำนอกหน้าที่ก็ตาม

3.         สิทธิพิเศษเรื่องภาษี ผู้แทนทางการทูตจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีทางตรงไม่ว่าจะ เป็นของรัฐ ของท้องถิ่น เช่น ภาษีเงินได้ เป็นต้น และสำหรับภาษีทางอ้อมโดยปกติก็จะได้รับยกเว้นภาษีบางชนิด เช่น ภาษีศุลกากร เป็นต้น

และโดยหลักแล้ว ผู้แทนทางการทูตไม่ว่าชั้นใดจะได้รับเอกสิทธ์และความคุ้มทันเท่าเทียมกัน ความแตกต่างจะอยู่ที่การจัดลำดับอาวุโสในงานพิธีการต่าง ๆ เท่านั้น เช่น ผู้ที่อยู่ระดับชั้นสูงกว่าย่อมมาก่อน เป็นต้น

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายรักรามติดตามข่าวสารระหว่างประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจพัฒนาจนอาจกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศได้ ประเด็นที่นยรักราม ไมเข้าใจ คือ ไทยและกัมพูชามีการทำสนธิสัญญาระหว่างกันหลายเรื่อง และหากเกิดสงครามขึ้นจริง สนธิสัญญาระหว่างประเทศทั้งสองจะมีผลบังคับใช้ต่อไปหรือไม่ นักศึกษาในฐานะที่ผ่านการศึกษา วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมาแล้ว จะอธิบายหลักการดังกล่าวนี้ให้นายรักรามเข้าใจ อย่างชัดเจนอย่างไร

ธงคำตอบ

ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาที่กำหนดให้คู่สัญญาปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้ปฏิบัติไปตามนั้นแล้ว สนธิสัญญาก็ถือว่าสิ้นสุดลง ส่วนสนธิสัญญาที่คู่สัญญาต้องปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นประจำ ก็อาจสิ้นสุดลงได้ด้วยสาเหตุ 7 ประการ เช่น คู่สัญญายินยอมตกลงเลิกสัญญา มีการทำสัญญาใหม่ หรือมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เป็นต้น

สำหรับกรณีการสิ้นสุดของสนธิสัญญา เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นหรือที่เรียกว่า สภาพการณ์แวดล้อมผิดไปจากเดิม (Rebus sic stantibus) นั้น กรณีที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็คือ การเกิดสงคราม ซึ่งสงครามจะทำให้สนธิสัญญาที่ทำระหว่างรัฐคู่สงครามก่อนเกิดสงครามสิ้นสุดลง และสงครามในที่นี้หมายถึง สงครามตามความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ถ้าเป็นการใช้กำลังบังคับในรูปแบบอื่นที่ไม่ถึงขั้นทำสงคราม ไม่มีผลทำให้สนธิสัญญาสิ้นสุดลงแต่อย่างใด

หลักการที่ว่าสงครามทำให้สนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิดสงครามสิ้นสุดลง จะต้องแยกพิจารณา ว่าเป็นสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) หรือหลายฝาย (พหุภาคี)

สำหรับสนธิสัญญาสองฝาย (ทวิภาคี) โดยหลักการแล้วถือว่าสนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิด สงครามของรัฐคู่สงครามสิ้นสุดลง เว้นแต่

1.         สนธิสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อบังคับใช้โดยตรงในเวลาสงคราม เช่น อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย กฎหมายและจารีตปะเพณีในการทำสงครามทางบก ค.ศ. 1907อนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก ค.ศ. 1949

2.         สนธิสัญญาบางชนิด เช่น การยกดินแดนให้แกกัน

3.         สนธิสัญญานั้นเองได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้คงดำเนินต่อไปแม้เมื่อเกิดสงคราม เช่น สนธิสัญญาลงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 ระหว่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งกำหนดว่าอังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้รัสเซียแม้ว่าจะทำสงครามกับรัสเซียก็ตาม ใน สงครามไคเมียระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังชำระหนี้ให้รัสเซียต่อไป

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ หากไทยกับกัมพูชาเกิดสงครามกัน สนธิสัญญาระหว่างประเทศทั้งสองซึ่งเป็น สนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) ที่ทำขึ้นนั้นจะสิ้นสุดการบังคับใช้ หากไม่ใช่สนธิสัญญาที่เป็นไปตามข้อยกเว้นดังกล่าว

สรุป ข้าพเจ้าจะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจอย่างชัดเจนตามหลักการดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่า หลักความยุติธรรม ซึ่งถือว่าเป็นที่มาประการหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ อาจนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินข้อพิพาทโดยศาลระหว่างประเทศได้อย่างไร และหลักความยุติธรรม แตกต่างจากหลักกฎหมายทั่วไปในประเด็นสำคัญอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักความยุติธรรม ถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศชั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลง ให้ปฏิบัติ เช่นนั้น” กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรมได้ต่อเมือ ไมมีกฎหมายระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไม่มีจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ และคู่กรณีตกลงยินยอมให้ ศาลใช้หลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดีมาใช้พิจารณาตัดสินแทนได้ และแนวการตัดสินดังกล่าว จะพัฒนาเป็นหลักกฎหมายในเรื่องนั้นในที่สุด แต่ศาลจะนำมาใช้โดยพลการไม่ได้ ต้องได้รับความยินยอมจาก คู่กรณีก่อน อีกทั้งต้องไมขัดต่อหลักกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย

ส่วนหลักกฎหมายทั่วไปเป็นหลักกฎหมายที่ประเทศต่าง ๆ ยึดถือปฏิบัติเนื่องจากเป็น หลักการร่วมกันของกฎหมาย เช่น หลักกฎหมายที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา เป็นต้น ซึ่งศาลอาจนำมาเป็นหลักในการวินิจฉัยตัดสินคดีได้ ซึ่งแตกต่างจากหลักความยุติธรรมที่ศาลจะนำมาใช้ได้ต่อเมื่อ ไม่มีหลักกฎหมายใดตัดสินได้ และต้องเกิดจากความยินยอมของคูกรณีด้วย

 

ข้อ 3. จงอธิบายว่าการรับรองรัฐจะใช้ในกรณีใดบ้าง และมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการรับรองรัฐ อธิบายให้ เห็นถึงความแตกต่างในเรื่องดังกล่าวนี้อย่างไรบ้าง และทฤษฎีใดเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในปัจจุบัน

ธงคำตอบ

เนื่องจากรัฐเป็นหน่วยหนึ่งในสังคมระหว่างประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องมีการติดต่อสัมพันธ์ กับประเทศอื่น ๆ ในด้านการทูต การค้า การเศรษฐกิจ ฯลฯ ซึ่งการติดต่อสัมพันธ์ดังกล่าวจะกระทำได้โดยสะดวก ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐที่ตนเข้าไปทำการติดต่อด้วย กล่าวคือ แม้รัฐจะมีองค์ประกอบ ของความเป็นรัฐครบ 4 ประการ และสภาพความเป็นรัฐตามกฎหมายเกิดขึ้นแล้วก็ตาม แตกไม่สามารถติดต่อ กับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้โดยอัตโนมัติ ทั้งนี้เพราะขึ้นอยู่กับรัฐอื่นว่าจะรับรองความเป็นรัฐหรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์ในการรับรองความเป็นรัฐโดยรัฐอื่นนั้น มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการรับรองรัฐอยู่ 2 ทฤษฎี คือ

1.         ทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไข (การก่อกำเนิดรัฐ) หมายความว่า แม้รัฐใหม่ทีเกิดขึ้นจะมีองค์ประกอบของความเป็นรัฐครบ 4 ประการแล้วก็ตาม สภาพของรัฐก็ยังไม่เกิดขึ้น สภาพของรัฐจะเกิดขึ้นและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ จะต้องมีการรับรองรัฐโดยรัฐอื่นด้วย และเมื่อรัฐอื่นได้ให้การรับรองแล้ว รัฐที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะมีสภาพบุคคล มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสามารถที่จะติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้

2.         ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศ (ยืนยัน) ซึ่งทฤษฎีนี้ถือว่าการรับรองนั้นไม่ก่อให้เกิดสภาพ ของรัฐ เพราะเมื่อรัฐที่เกิดขึ้นใหม่มีองค์ประกอบความเป็นรัฐครบถ้วนแล้วก็ย่อมเป็นรัฐที่สมบูรณ์แม้จะไม่มีการรับรองจากรัฐอื่นก็ตาม และรัฐนั้นก็ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ การรับรองนั้น ถือว่าเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศความเป็นจริง (ความเป็นรัฐ) ที่เป็นอยู่แล้วเท่านั้น

ความแตกต่างในสาระสำคัญของทั้งสองทฤษฎี คือ การรับรองรัฐตามทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไข เป็นเงื่อนไขสำคัญของการทำให้ความเป็นรัฐเกิดขึ้น เนื่องจากมีแนวคิดว่าการเป็นรัฐไมสามารถก่อกำเนิดได้ด้วยตนเอง แต่เกิดจากการรับรองจากรัฐอื่น แต่ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศมีแนวคิดว่าการรับรองรัฐเป็นเพียงการ ดำเนินการเพื่อรับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น กล่าวคือ รัฐมีสภาพความเป็นรัฐแล้ว แต่การรับรอง เป็นเพียงการยอมรับความเป็นจริงเท่านั้น ไม่เป็นเงื่อนไขทางกฎหมายแต่อย่างใด

ในปัจจุบันนักนิติศาสตร์ส่วนใหญ่ และสถาบันกฎหมายระหว่างประเทศรวมทั้งรัฐต่าง ๆ มี ความเห็นคล้อยตามและให้การยอมรับในทฤษฎีที่สอง คือ ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศ ที่ถือว่าการรับรองรัฐเป็น แต่เพียงการยืนยันสภาพการดำรงอยู่ของรัฐเท่านั้น เพราะถ้าถือตามทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไขที่ถือว่ารัฐที่ไม่ได้รับการรับรองย่อมไมมีสภาพบุคคลระหว่างประเทศ ทรัพย์สินของรัฐนั้นกิตองถือเป็นทรัพย์สินไม่มีเจ้าของ และถ้ารัฐนั้นไปก่อให้เกิดความเสียหายแกรัฐอื่นก็ย่อมพ้นจากความรับผิดชอบ ซึ่งขัดแย้งกันในทางปฏิบัติที่ได้เคยยึดถือปฏิบัติกันมาระหว่างประเทศ

 

ข้อ 4 จงอธิบายกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีที่เรียกว่าวิธีการ“Good Offices” โดยละเอียด และวิธีการนี้แตกต่างจากวิธีการ ไกล่เกลี่ย” และ การเจรจา” ในประเด็นสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีที่เรียกว่าวิธีการ “Good Offices” นั้นเป็น กรณีที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเข้ามาอำนวยความสะดวกให้คูกรณีทำการเจรจากันโดยตรง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นกรณีที่รัฐที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะตัวกลางเพื่อโน้มน้าว ชักจูง ประสานให้คูกรณีมาพบกัน เพื่อตกลงระงับ ข้อพิพาทระหว่างกัน โดยตนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาหรือเสนอข้อยุติแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้อำนวย ความสะดวกจัดให้มีการเจรจากันเท่านั้น เช่น จัดสถานที่เจรจาไห้ เป็นต้น

ส่วนวิธีการ ไกล่เกลี่ย” (Mediation) เป็นกรณีที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ติดต่อให้ คูกรณีมีการเจรจากัน และตนก็เข้าร่วมในการเจรจาด้วย รวมทั้งสามารถเสนอแนวทางในการยุติข้อพิพาทให้คูกรณี พิจารณาได้ด้วย แต่ไม่ผูกพันรัฐคูพิพาท ซึ่งอาจจะยอมรับแนวทางการไกล่เกลี่ยนั้นหรือไมก็ได้ เพราะกระบวนการไกลเกลี่ยนั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความสมัครใจของทุกฝ่าย

วิธีการ Good Offices กับวิธีการไกล่เกลี่ย (Mediation) ต่างกันตรงที่รัฐที่ทำหน้าที่ Good Offices จะไมเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการระงับข้อพิพาทเช่นรัฐที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย

และการระงับกรณีพิพาทด้วยวิธี เจรจา” (Negotiation) เป็นกรณีที่รัฐคูกรณีตกลงที่จะ มาเจรจากันเองโดยตรง ไม่มีรัฐที่สาม หรือบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งจะแตกต่างกับวิธีการ Good Offices และไกล่เกลี่ย

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายถึงผลของสนธิสัญญา เมื่อสนธิสัญญานั้นขัดต่อหลักเกณฑ์บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ (Jus Cogens) และกรณีที่ 2 สนธิสัญญานั้นถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ไปขัดต่อ หลักกฎหมายภายใน

ธงคำตอบ

ในกรณีที่มีการทำสนธิสัญญา และปรากฏว่าสนธิสัญญานั้นขัดต่อหลักเกณฑ์บังคับของ กฎหมายระหว่างประเทศ (Jus Cogens) ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้สนธิสัญญานั้นตกเป็นโมฆะทันที ตามบทบัญญัติ ของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญามาตรา 53 ทั้งนี้เพราะหลักเกณฑ์บังคับของกฎหมาย- ระหว่างประเทศ (Jus Cogens) นั้น ถือว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่ยอมรับและรับรองโดยประชาคมระหว่างประเทศ ของรัฐโดยส่วนรวมในฐานะที่เป็นหลักเกณฑ์

หลักเกณฑ์บังคับทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นที่ยอมรับกันโดยทัว่ไปและไม่มี ข้อยกเว้น เช่น หลักเกณฑ์การไม่ใช้กำลังระงับข้อพิพาท หลักการไม่รุกรานประเทศอื่น หลักการเกี่ยวกับ การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หลักการเกี่ยวกับศีลธรรม เช่น ห้ามการค้าทาส ห้ามเป็นโจรสลัด ห้ามค้ายาเสพติด เป็นต้น

และสำหรับกรณีที่มีการทำสนธิสัญญา และสนธิสัญญานั้นได้ทำถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแต่ไปขัดกับกฎหมายภายใน ดังนี้ ถือว่าสนธิสัญญายังคงสมบูรณ์มีผลบังคับเป็นกฎหมาย รัฐจะ อ้างเหตุของการขัดกันนี้เพื่อไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสนธิสัญญานั้นเป็นการกำหนดข้อผูกพัน ระหว่างรัฐต่อรัฐเท่านั้น โดยรัฐมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันที่กำหนดในสนธิสัญญา และแม้ว่าสนธิสัญญา ที่ไปขัดกับกฎหมายภายในจะไม่สามารถใช้บังคับแก่ประชาชนได้โดยตรงเหมือนกับกฎหมายภายใน รัฐก็อาจจะ ออกเป็นกฎหมายหรือข้อบังคับภายในเพื่อให้สนธิสัญญานั้นมีผลใช้บังคับโดยตรงแกพลเมืองของตน หรือบางที รัฐอาจจะประกาศใช้สนธิสัญญาให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เลยก็ได้

 

ข้อ 2. กรณีการเกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐภาคีสนธิสัญญา ผลชองสนธิสัญญาจะเป็นอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กรณีเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐภาคีสนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น จะต้องแยกพิจารณาว่า เป็นสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) หรือสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี)

สำหรับสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) โดยหลักการแล้วถือว่าสนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิด สงครามของรัฐคู่สงคราม (รัฐภาคีสนธิสัญญา) สิ้นสุดลง เว้นแต่

1.         สนธิสัญญาที่ทำขึ้นเพี่อบังคับใช้โดยตรงในเวลาสงคราม เช่น อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย กฎหมายและจารีตประเพณีในการทำสงครามทางบก ค.ศ. 1907อนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก ค.ศ. 1949

2.         สนธิสัญญาบางชนิด เช่น การยกดินแดน

3.         สนธิสัญญานั้นเองได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้คงดำเนินต่อไปแม้เมื่อเกิดสงคราม เช่น สนธิสัญญาลงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 ระหว่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ และ รัสเซีย ซึ่งกำหนดว่าอังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้รัสเซียแม้ว่าจะทำสงครามกับรัสเซียก็ตาม ในสงครามไคเมียระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังชำระหนี้ให้รัสเซียต่อไป

สำหรับสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี) ซึ่งมีทั้งรัฐคู่สงคราม (รัฐภาคีสนธิสัญญา) และ รัฐเป็นกลางเป็นภาคีในสนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาระหว่างคู่สงครามเป็นแต่เพียงระงับไปชั่วคราวจนกว่า สงครามสงบ โดยมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญานั้นยังไม่ถือว่าสิ้นสุดลง แต่ผลระหว่างรัฐเป็นกลาง กับรัฐคูสงคราม หรือระหว่างรัฐเป็นกลางที่เป็นภาคีสนธิสัญญายังใช้บังคับอยู่เช่นเดิม เช่น สงครามในปี ค.ศ. 1870 ไม่ได้ทำให้สนธิสัญญาปารีสวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1856 สิ้นสุดลง และสนธิสัญญาวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1839 ที่ค้ำประกันความเป็นกลางของเบลเยียมไมได้สิ้นสุดลง เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียมในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 แต่ยังคงใช้อยู่จนกระทั่งได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่นเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1939 ก็ไม่ได้ทำให้องค์การสันนิบาตชาติเลิกล้มไป จนกระทั่งเกิดองค์การสหประชาชาติขึ้นมาแทน

 

ข้อ 3. ตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทยทุกฉบับจะบัญญัติในมาตรา 1 ว่า ประเทศไทยเป็น ราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้” ในทำนองเดียวกันโดยตลอด นักศึกษาจงอธิบายว่า ประเทศไทยมีลักษณะของรัฐในรูปแบบใด และหากเปรียบเทียบกับรูปแบบของรัฐของประเทศมาเลเซีย จะแตกต่างและคล้ายคลึงกันในสาระสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

รูปแบบของรัฐ อาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ รัฐเดี่ยว และรัฐรวม

1.         รัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีภารปกครองเป็นเอกภาพไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีรัฐบาลกลางปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว แม้จะมีการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นแต่ก็ยังอยู่ใน ความควบคุมของรัฐบาลกลาง มีประมุขของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และมีองค์กรนิติบัญญัติเพียงองค์กรเดียว

ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว ได้แก่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม อิตาลี และประเทศไทยเป็นต้น

2.         รัฐรวม หมายถึง รัฐหลายรัฐมารวมกันโดยเหตุการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง ซึ่งรัฐรวมระหว่างหลายรัฐดังกล่าวอาจจะเป็นรัฐรวมแบบสมาพันธรัฐ หรือแบบสหพันธรัฐก็ได้

สำหรับรัฐรวมแบบสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เป็นการรวมกันของรัฐหลายรัฐในลักษณะที่ ก่อให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว ซึ่งรัฐเดิมที่เข้ามารวมนี้จะสูญสภาพความเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป โดยยอมสละอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้แกรัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิจการภายนอก เช่น อำนาจในการป้องกันประเทศ อำนาจในการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนกิจการภายในรัฐสมาชิกยังคงมีอิสระเช่นเดิม

ลักษณะสำคัญของสหพันธรัฐ มีดังต่อไปนี้

1.         การรวมในรูปสหพันธรัฐไมใช่การรวมแบบสมาคมระหว่างรัฐ แต่เป็นการรวมที่ก่อให้เกิด รัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว และจะมีรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐเพื่อเป็นกฎหมายแม่บทใน การปกครอง กำหนดหน้าที่ของรัฐบาลกลางและหน้าที่ของรัฐสมาชิก

2.         รัฐที่มารวมจะหมดสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป ซึ่งรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นมา จะมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศเพียงรัฐเดียว

3.         อำนาจการติดต่อภายนอก เช่น การทำสนธิสัญญา การรับส่งผู้แทนทางการทูต การป้องกันประเทศ ฯลฯ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลกลางแต่ผู้เดียว แต่รัฐสมาชิกก็ยังมี อำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ในกิจการภายในของตนเอง แต่รัฐธรรมนูญของมลรัฐ จะขัดกับรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐไมได้

4.         มลรัฐมีส่วนในการบริหารงานของสหพันธรัฐ  โดยสภาสูงจะประกอบด้วยผู้แทนของแต่ละมลรัฐ

5.         ในกรณีที่มลรัฐไปก่อให้เกิดความเสียหายแกรัฐต่างประเทศ สหพันธรัฐจะเป็นผู้รับ ผิดชอบแต่ผู้เดียว

สหพันธรัฐอาจจะเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น เกิดจากหลายรัฐมารวมกันในรูปของสหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ หรือเกิดการเปลี่ยนรูปจากรัฐเดียวมาเป็นสหพันธรัฐ เช่น เม็กซิโก บราซิล เป็นต้น โดยปกติแล้วรัฐสมาชิกของสหพันธรัฐจะไม่สามารถถอนตัวออกไปได้ เว้นแต่จะกำหนดไวในรัฐธรรมนูญ ของสหพันธรัฐให้รัฐสมาชิกถอนตัวออกได้

ในปัจจุบันมีรัฐเป็นจำนวนมากที่มีรูปการปกครองแบบสหพันธรัฐ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก บราซิล อินเดีย ปากีสถาน ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และมาเลเซีย เป็นต้น

ดังนั้น ตามรัฐธรรมนูญฯ ทุกฉบับที่บัญญัติไว้ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” นั้น แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีรูปแบบของรัฐเป็นลักษณะของรัฐเดี่ยว โดยมีประมุขคนเดียวกันและมีรัฐบาลกลางบริหารปกครองประเทศรัฐบาลเดียว

ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซียที่มีลักษณะของรัฐเป็นรัฐรวมแบบสหพันธรัฐ ซึ่งจะ คล้ายคลึงกัน คือมีประมุขและรัฐบาลกลางเดียวกัน เพียงแต่รัฐบาลกลางของสหพันธรัฐจะรับผิดชอบการบริหาร กิจการภายนอกหรือกิจการระหว่างประเทศเป็นสำคัญ ส่วนรัฐที่มารวมกันยังคงมีอำนาจอิสระในการบริหารปกครอง การดำเนินกิจการภายในของตน มีผู้ปกครองเขตแดนและมีประชากรของตนเองอยู่เช่นเดิม

 

ข้อ 4. จงอธิบายวิธีการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศที่เรียกว่า การแทรกแซง” (Intervention) ว่า มีลักษณะสำคัญอย่างไร และการแทรกแซงที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการ ของกฎหมายระหว่างประเทศมีหรือไม่ และ การแทรกแซง” จะแตกต่างจาก การตัดความสัมพันธ์ ทางการทูต” อย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

วิธีการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศที่เรียกว่า การแทรกแซง” (Intervention) หมายถึง การที่รัฐหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น เพื่อบังคับให้รัฐนั้นปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามความต้องการของรัฐที่เข้าแทรกแซง โดยรัฐที่ถูกแทรกแซงนั้นต้องเป็นรัฐที่เป็นเอกราช

การแทรกแซงจะต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1.         เป็นการกระทำที่แทรกแซงต่อกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น

2.         รัฐที่ถูกแทรกแซงต้องเป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองทั้งภายในและภายนอก

3.         มีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับให้รัฐนั้นกระทำตามความประสงค์ของตน

และการแทรกแซงที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีได้ แตจะต้องเป็นการแทรกแซงในกรณีดังต่อไปนี้

1.         การแทรกแซงโดยมีสนธิสัญญาต่อกันให้ดำเนินการได้

2.         กาวแทรกแซงโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอ

3.         การแทรกแซงโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลในสัญชาติตนในรัฐอื่น แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้

1)         รัฐนั้นไม่ให้ความคุ้มครองหรือไม่สามารถให้ความคุ้มครองแกบุคคล หรือทรัพย์สิน ของชาติที่ทำการแทรกแซง และองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถจะให้ความ คุ้มครองได้ทันที

2)         มีการคุกคามซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

3)         การปฏิบัติการแทรกแซงต้องสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้รับ  และต้องหยุดการกระทำเมื่อทำการคุ้มครองเป็นผลสำเร็จหรืออพยพประชาชนหมดสิ้นแล้ว

4.         การแทรกแซงโดยเหตุผลของมนุษยธรรม เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกแทรกแซงกระทำการป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม หรือไมยุติธรรมต่อบุคคลในสัญชาติชองรัฐที่ถูกแทรกแซงเอง

ส่วนการตัดความสัมพันธ์ทางการทูต   เป็นวิธีการที่เปรียบเสมือนเป็นการเตือนรัฐคูกรณีว่าข้อพิพาทที่มีอยู่ระหว่างกันนั้นได้ถึงระดับที่ทำให้ไมสามารถจะคงความสัมพันธ์ทางการทูตกันตามปกติได้ จึงจำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ปกติจะเป็นวิธีการขั้นต้นก่อนที่จะมีมาตรการรุนแรงอื่นตามไปอีก

การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นวิธีการบังคับทางอ้อมที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามคำเรียกร้องของตน และจะได้ผลถ้าเป็นการกระทำซองรัฐที่มีอิทธิพลสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นทางทหารหรือเศรษฐกิจ ก็ตาม อนึ่งวิธีการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตนั้นเป็นสิทธิของรัฐที่จะกระทำได้ ไม่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะการมีความสัมพันธ์ทางการทูตอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การแทรกแซง” จะแตกต่างกับ การตัดความสัมพันธ์ทางการทูต” เพราะการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตนั้นเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจการ ภายในและภายนอกของรัฐอื่น แต่เป็นการกระทำเพื่อกดดันเบื้องต้นให้รัฐอื่นที่ถูกตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ให้ปฏิบัติตามความต้องการของรัฐตน มิฉะนั้นแล้วความเป็นมิตรประเทศต่อกันก็ไม่อาจจะดำรงอยู่อีกต่อไป

LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ        1. ข้อสงวนของสนธิสัญญาคืออะไร และมีหลักเกณฑ์ในการตั้งข้อสงวนอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ข้อสงวนของสนธิสัญญา (Reservation) หมายถึง ข้อความซึ่งรัฐคูสัญญาได้ประกาศออกมาว่า ตนไม่ผูกพันในข้อความหนึ่งข้อความใดในสนธิสัญญา หรือตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดอย่างไร หรือตน รับจะปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้ให้คำนิยามไว้ว่า การตั้งข้อสงวน ได้แก คำแถลง ฝ่ายเดียวของรัฐภาคีรัฐหนึ่งรัฐใดของสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นขณะที่ลงนาม ให้สัตยาบัน ยอมรับ อนุมัติ หรือ ทำภาคยานุวัติสนธิสัญญา โดยคำแถลงนี้แสดงว่าต้องการระงับหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของบทบัญญัติ บางอย่างของสนธิสัญญาในส่วนที่ใช้กับรัฐนั้น

เห็นได้ว่า การตั้งข้อสงวนคือวิธีการที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาต้องการหลีกเลี่ยงพันธกรณีตาม สนธิสัญญาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือในหลายเรื่อง เป็นวิธีการจำกัดความผูกพันตามสนธิสัญญาของรัฐ เช่น แจ้งว่าตน จะไม่รับพันธะที่จะปฏิบัติทั้งหมด หรือรับที่จะปฏิบัติบางส่วน หรือว่าตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดนั้นว่าอย่างไร

การตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญานั้น จะกระทำได้เฉพาะในสนธิสัญญาประเภทพหุภาคีเท่านั้นสำหรับสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้นไม่สามารถกระทำได้ เพราะการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธการให้สัตยาบันและยื่นข้อเสนอใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อคูสัญญายอมรับ ถ้าอีกฝ่ายไมยอมรับ ข้อเสนอสนธิสัญญาย่อมตกไป ดังนั้นสนธิสัญญาประเภททวิภาคีจึงไม่อาจมีข้อสงวนได้

สำหรับการตั้งข้อสงวนของสนธิสัญญานั้น รัฐคูสัญญาไมสามารถดำเนินการได้เสมอไป เพราะ อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 19 ระบุว่า รัฐคูสัญญาย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญามีข้อกำหนดห้ามการตั้งข้อสงวนไว้ชัดแจ้ง

2.         สนธิสัญญากำหนดกรณีที่อาจตั้งข้อสงวนได้ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดแล้ว รัฐไม่อาจ ตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

การตั้งข้อสงวนหรือการรับข้อสงวนหรือการคัดค้านการตั้งข้อสงวน ต้องทำเป็นหนังสือและ แจ้งไปให้รัฐคูสัญญาทราบ และการตั้งข้อสงวนนั้น รัฐที่ตั้งข้อสงวนอาจจะขอถอนคืนข้อสงวนของตนได้ เว้นแต่  สนธิสัญญาดังกล่าวได้ระบุห้ามการถอนคืนข้อสงวนไว้

 

ข้อ 2. ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศในกรณีของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป มีลักษณะอย่างไร มีความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไมได้บัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ ซึ่งการก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง

และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร      สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอนแต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐ ในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ ดือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ (เสมือนเป็นกฎหมาย) แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ ต่าง ๆ ที่มีความศิวิไลซ์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง

1.         หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยูในกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มี ความเจริญในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย คดีได้ เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอนไมมีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

2.         หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติโดย ทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น หลักความเสมอภาค เท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

จะเห็นว่าหลักกฎหมายทั่วไปเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ ยอมรับคล้ายกับจารีตประเพณี แต่ยังไม่ถึง ขั้นที่เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพราะไม่ได้เกิดจากการยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเหมือนจารีตประเพณี แต่เกิดจากการที่สังคมระหว่างประเทศยอมรับเพราะถือว่าชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ซึ่งจะแตกต่างกับ จารีตประเพณีระหว่างประเทศที่เกิดจากการที่รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ไมว่าเรื่องดังกล่าว จะชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมายหรือไมก็ตาม ดังนั้น จารีตประเพณีระหว่างประเทศจึงแตกต่างจากหลักกฎหมาย ทั่วไปในเรื่องของเหตุผลทางกฎหมาย

 

ข้อ 3. จงอธิบายให้ชัดเจนว่า ดินแดนของรัฐประกอบด้วยบริเวณใดบ้าง และดินแดนของรัฐเกี่ยวข้องกับ อำนาจอธิปไตยของรัฐอย่างไร นอกจากนี้การจะเป็นดินแดนชองรัฐจะต้องมีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างไร ให้นักศึกษาอธิบายกรณีของประเทศปาเลสไตน์ ในประเด็นดังกล่าวนี้ให้เข้าใจประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ดินแดนของรัฐ คือ บริเวณที่รัฐสามารถมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งดินแดนของรัฐจะสอดคล้องกับเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐ กล่าวคือ รัฐย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและอำนาจ เหนือบุคคลก็เฉพาะในดินแดนของรัฐเท่านั้น

ดินแดนของรัฐจะประกอบไปด้วย

1.         พื้นดิน พื้นดินที่เป็นดินแดนของรัฐย่อมรวมถึงพื้นดินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของเอกชน หรือของรัฐ หรือของชาวต่างประเทศที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐ ดินแดนของรัฐถูกกำหนดโดยเส้นเขตแดน และรวมถึงพื้นที่ใต้พื้นดินด้วย ทั้งนี้ดินแดนที่รวมกันเป็นอาณาเขตของรัฐไมจำเป็นต้องติดต่อกัน อาจจะอยู่ใน ดินแดนของประเทศอื่นก็ได้

2.         พื้นน้ำบางส่วนที่เป็นน่านน้ำภายในและทะเลอาณาเขต น่านน้ำภายใน หมายถึง น่านน้ำ ที่อยู่ถัดจากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตเข้ามาทางแผ่นดิน

ทะเลอาณาเขต หมายถึง ส่วนหนึ่งของพื้นน้ำซึ่งอยู่ระหว่างทะเลหลวงกับรัฐ

3.         ห้วงอากาศ เหนือบริเวณต่าง ๆ ดังกล่าว

และการจะเป็นดินแดนของรัฐได้นั้น จะต้องมีเงื่อนไข 2 ข้อ คือ

1. มีความแน่นอน กล่าวคือ จะต้องสามารถรู้ได้แน่นอนว่าส่วนใดบ้างเป็นดินแดนของรัฐ และจะต้องมีความมั่นคงถาวรด้วย

2. สามารถกำหนดขอบเขตได้ชัดเจน คือ สามารถกำหนดเขตแดนของรัฐได้ชัดเจนนั่นเอง โดยอาจจะใช้เส้นเขตแดนในการกำหนดดังกล่าว ซึ่งดินแดนของรัฐจะเล็กหรือใหญ่ หรือมีอาณาเขตติดต่อกัน หรือไม่ไม่สำคัญ แต่ดินแดนของรัฐจะต้องมีความชัดเจนแน่นอน

กรณีของประเทศปาเลสไตน์ จะมีปัญหาในเรื่องความแน่นอนของดินแดนของรัฐ ซึ่งปาเลสไตน์ ยังไมสามารถกำหนดได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับประเทศอิสราเอล (ประเทศปาเลสไตน์ เป็นประเทศที่แยกตัวออกมาจากประเทศอิสราเอล)

 

ข้อ 4. จงอธิบายโดยสังเขปว่า กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีมีลักษณะสำคัญ อย่างไร แตกต่างจากการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงครามในประเด็น สำคัญอย่างไร โดยให้ยกตัวอย่างประกอบการอธิบายในแต่ละกรณี และวิเคราะห์เปรียบเทียบ ให้เห็นความแตกต่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดแจ้งด้วย

ธงคำตอบ

การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี เป็นวิธีการแรก ๆ ที่จะถูกนำมาใช้เมื่อมี ข้อพิพาทระหว่างรัฐเกิดขึ้น ซึ่งจะมีลักษณะสำคัญดังนี้ คือ

1.         จะต้องเกิดความสมัครใจของรัฐคูกรณี มิได้เกิดจากการตัดสินใจดำเนินการของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว

2.         จะมีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือในการระงับกรณีพิพาทด้วย โดยฝ่ายที่สามนี้ อาจเพียงแต่เข้ามาอำนวยความสะดวกให้คูกรณีได้ทำการเจรจาตกลงกัน หรือเข้ามา มีส่วนร่วมในการเจรจาหรือเสนอข้อยุติด้วยก็ได้

ซึ่งการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี อาจจะกระทำได้หลายวิธี เช่น การเจรจา การไกลเกลี่ย การไต่สวน การประนีประนอม ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นต้น

ส่วนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงคราม เป็นวิธีการที่รัฐนำมาใช้ ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐขึ้นและไม่สามารถตกลงกันได้โดยสันติวิธี หรือเมื่อรัฐคูกรณีไมต้องการตกลงกัน ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญ คือ

1.         ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่กรณี กล่าวคือ เป็นการตัดสินใจดำเนินการของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว

2.         ไม่มีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือในการระงับกรณีพิพาทด้วย

ซึ่งการระงับกรณีพิพาทโดยวิธีที่ยังไม่ถึงขั้นทำสงครามนั้น อาจกระทำโดย การตัดสัมพันธ์ ทางการทูต รีทอร์ชั่น รีไพรซัล การแทรกแซง

ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีกับการระงับ กรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับทำสงคราม จึงอยู่ตรงประเด็นสำคัญเรื่อง ความสมัครใจของคู่กรณี และการเข้ามาเกี่ยวข้องของฝ่ายที่สาม ตัวอย่างเช่น การไกล่เกลี่ยเกิดจากความสมัครใจของคู่กรณี และผู้ไกล่เกลี่ย เป็นฝ่ายที่สามเข้ามาช่วยระงับข้อพิพาท แต่การตัดสัมพันธ์ทางการทูตนั้น เป็นการดำเนินการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายมิได้สมัครใจ และไม่มีฝ่ายที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องไนการระงับข้อพิพาท เช่น กรณีที่ อังกฤษตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับเม็กซิโกในกรณีการเวนคืนบริษัทน้ำมันของอังกฤษ เป็นต้น

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงอธิบายลักษณะของจารีตประเพณีระหว่างประเทศโดยละเอียด และหากนำมาเปรียบเทียบกับ หลักความยุติธรรม จะแตกต่างกันอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไมได้บัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายบอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกับไม่เปลี่ยนแปลง เป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนาน พอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็น การปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำด้งกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่ จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องัอมรีบโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น

1.         จารีตประเพณีทั่วไป ซึ่งรัฐส่วนใหญ่ยอมรับและถือปฏิบัติ สามารถใช้บังคับแก่ทุกรัฐในโลก

2.         จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับและถือปฏิบัติใบภูมิภาคเท่านั้น ซึ่งใช้บังคับ แก่รัฐที่อยู่ในภูมิภาคนั้นเท่านั้น

จารีตประเพณีระหว่างประเทศอาจเกิดจาก

1.         เกิดจากจารีตประเพณีหรือกฎหมายภายในหรือคำตัดสินของศาลยุติธรรมของรัฐหนึ่ง แต่ประเทศอื่นเห็นว่าดีก็นำหลักการดังกล่าวมาปฏิบัติ จบนานเข้าก็กลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

2.         เกิดจากสนธิสัญญาประเภทกฎหมาย คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษา ของศาลระหว่างประเทศ

ส่วนหลักความยุติธรรม ถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศขั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติ เช่นนั้น” กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรมได้ต่อเมื่อ ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไม่มีจารีตประเพณี ระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ และคู่กรณีตกลงยินยอมให้ ศาลใช้หลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดีมาใช้พิจารณาตัดสินแทนได้ และแนวการตัดสินดังกล่าว จะพัฒนาเป็นหลักกฎหมายในเรื่องนั้นในที่สุด แต่ศาลจะนำมาใช้โดยพลการไม่ได้ ต้องได้รับความยินยอมจาก คู่กรณีก่อน อีกทั้งต้องไม่ขัดต่อหลักกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่าการที่รัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำสนธิสัญญากับรัฐอื่น จะสามารถ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นได้หรือไม่ และอย่างไร

ธงคำตอบ

การที่รัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดทำสนธิสัญญากับรัฐอื่น สามารถเข้ามา มีส่วนร่วมเนินภาคีสนธิสัญญานั้นได้ โดยวิธีการดังต่อไปนี้

1.         การลงนามภายหลัง (Deferred Signature) เป็นกรณีที่รัฐไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการทำสนธิสัญญานั้นแต่แรก แต่เข้ามามีส่วนในขั้นตอนหลังจากการเจรจาผ่านไปแล้วและอยู่ในระยะของขั้นตอน ที่ 2 คือการ.ลงนาม การลงนามภายหลังนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเข้าร่วม แต่ต่างกับตรงที่การเข้าร่วมนั้นจะมีผล ผูกพนนับแต่มีการปฏิญญาขอเข้าร่วมในสนธิสัญญา ส่วนการลงนามภายหลังนี้รัฐที่ลงนามภายหลังยังไม่มีพันธกรณี ตามสนธิสัญญา เพราะจะต้องให้สัตยาบันก่อนจึงจะถือว่าเนินภาคีสนธิสัญญาและมีผลผูกพันรัฐนั้น

2.         ภาคยานุวัติหรือการเข้าร่วม (Adhesion) คือ การที่รัฐหนึ่งรัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วน ในการทำสนธิสัญญาตังแต่แรก แต่เมื่อสนธิสัญญาผ่านขั้นตอนการลงนามจนมีผลใช้บังคับ และมิได้ระบุห้ามการ ภาคยาบุวัติไว้ รัฐนั้นก็อาจเข้าไปร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นในภายหลังหลังจากระยะเวลาการลงนามได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยยอมรับผูกพันตามสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา ซึ่งมีผลผูกพันนับแต่วันทำภาคยานุวัติ ไม่มีผลย้อนหลัง แต่อย่างใด

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้กำหนดว่า ความยินยอมของรัฐที่จะรับพันธกรณี ตามสนธิสัญญาด้วยการทำภาคยานุวัติ จะทำได้ในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้

1)         สนธิสัญญานั้นกำหนดไว้โดยตรงให้มีการทำภาคยานุวัติได้

2)         ทุกรัฐที่เป็นภาคีของสนธิสัญญานั้นตกลงให้มีการภาคยานุวัติได้

การเข้าร่วมหรือภาคยานุวัติสามารถกระทำได้ 3 วิธี คือ

1)         การทำสนธิสัญญาพิเศษระหว่างรัฐที่เข้าร่วมกับรัฐภาคีสนธิสัญญาเดิม ซึ่งต้อง

มีการให้สัตยาบันตามปกติ

2)         โดยการแลกเปลี่ยนปฏิญญา (Declaration) คือรัฐที่เข้าร่วมทำปฏิญญาขอเข้าร่วม และรัฐคู่สัญญาทำปฏิญญารับเข้าร่วม และต้องมีการให้สัตยาบันปฏิญญาด้วย

3)         โดยรัฐที่ขอเข้าร่วมส่งคำปฏิญญาฝ่ายเดียวไปยังรัฐบาลที่สนธิสัญญากำหนดให้ เป็นผู้รับเรื่องและแจ้งให้ภาคีสนธิสัญญาทราบ การเข้าร่วมวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องให้สัตยาบันอีก เว้นแต่รัฐที่ขอเข้าร่วม จะระบุว่าตนขอเข้าร่วมภายใต้ข้อสงวนในการให้สัตยาบัน วิธีที่สามนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กับอยู่ในปัจจุบัน

 

ข้อ 3. ประเทศฝรั่งเศสเพิ่งจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคสังคมนิยมซึ่งไม่เคยเป็นรัฐบาล บริหารปกครองประเทศมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ในประเด็นของการรับรองรัฐบาล รัฐบาลของ พรรคสังคมนิยมนี้จะต้องมีการรับรองรัฐบาลหรือไม่ ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ และการรับรองรัฐบาลกระทบต่อสถานะความเป็นรัฐหรือไม่

ธงคำตอบ

รัฐบาล คือ คณะบุคคลที่มีอำนาจกระทำการในนามองค์กรฝ่ายบริหารของรัฐ ซึ่งเป็น องค์ประกอบสำคัญของรัฐ ในกรณีมีรัฐเกิดขึ้นใหม่และมีการรับรองรัฐก็ถือเป็นการรับรองรัฐบาลโดยปริยายด้วย ตามปกติแล้วรัฐต่าง ๆ ย่อมมีคณะบุคคลผลัดเปลี่ยนเข้ามามีอำนาจกระทำการเป็นฝ่ายบริหารของรัฐ

ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามปกติหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐ เช่น รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองรัฐบาลชุดใหม่ แต่อย่างใด

การรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

1.         กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็นกรณีที่มี คณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโดยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

2.         กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการแย่งอำนาจ ปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน

กรณีตามปัญหา การที่ประเทศฝรั่งเศสมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคสังคมนิยม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการรับรอง รัฐบาล เพราะไม่เข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว และแม้จะไม่มีการรับรองรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำ ของพรรคสังคมนิยม ก็ถือว่ารัฐบาลใหม่นี้เป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถปฏิบัติพันธกรณีระหว่างประเทศได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

และในกรณีที่มีการรับรองรัฐบาลย่อมไม่มีผลกระทบต่อสถานะความเป็นรัฐ ทั้งนี้เพราะโดย หลักการแล้ว การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกระเทือนถึงความเป็นบุคคลระหว่างประเทศของรัฐ แต่อย่างไรก็ตามในฐานะที่รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนรัฐ ดังนั้นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่ ได้กล่าวไว้ข้างต้นถือได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

 

ข้อ 4. จงอธิบายให้ชัดเจนว่าสิทธิพิเศษที่ผู้แทนทางการทูตได้รับความคุ้มครองประกอบไปด้วยเรื่องใดบ้าง และ แตกต่างจากกรณีของสิทธิพิเศษที่กงสุลได้รับอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

สิทธิพิเศษที่ผู้แทนทางการทูตได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศเช่นเดียวกับ ประมุขของรัฐ ได้แก่ การได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในเรื่องดังต่อไปนี้

1.         สิทธิล่วงละเมิดมิได้ ประกอบด้วยสิทธิในตัวบุคคลของผู้แทนทางการทูต และสิทธิใน ทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ของผู้แทนทางการทูต เช่น ตามมาตรา 29 อนุสัญญา กรุงเวียนนาฯ ห้ามจับกุมหรือกักขังในรูปใด ๆ และกระทำการอันกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพและเกียรติยศของ ผู้แทนทางการทูต รัฐผู้รับต้องปฏิบัติต่อผู้แทนทางการทูตด้วยความเคารพตามสมควร หรือตามมาตรา 27 ได้ กำหนดว่า ถุงทางการทูต เอกสารทางราชการ สมุดทะเบียน เครื่องใช้ในการสื่อสาร จะต้องได้รับการคุ้มกันไม่ถูกตรวจค้น ยึด หรือเกณฑ์เอาไปใช้ เป็นต้น

2.         สิทธิไมอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลของรัฐผู้รับ (สิทธิได้รับยกเว้นในทางศาล) สิทธิ ดังกล่าวเป็นหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระของคณะทูตและเป็นการห้เกียรติในฐานะตัวแทนของรัฐ ซึ่งจะเห็นได้จากมาตรา 31 อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ที่ระบุให้สิทธิผู้แทนทางการทูตจะไม่ถูกฟ้องทั้งในคดีอาญา และคดีแพ่ง แม้ว่าจะเป็นการกระทำนอกหน้าที่ก็ตาม

3.         สิทธิพิเศษเรื่องภาษี ผู้แทนทางการทูตจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีทางตรงไม่ว่าจะ เป็นของรัฐ ของท้องถิ่น เช่น ภาษีเงินได้ เป็นต้น และสำหรับภาษีทางอ้อมโดยปกติก็จะได้รับยกเว้นภาษีบางชนิด เช่น ภาษีศุลกากร เป็นต้น

ส่วนสิทธิพิเศษที่กงสุลได้รับนั้น เนื่องจากกงสุลไม่ใช่ผู้แทนทางการทูต จึงไม่ได้รับเอกสิทธิ์และ ความคุ้มกันทางการทูตอย่างเต็มที่เหมือนผู้แทนทางการทูต อย่างไรก็ดีกฎหมายระหว่างประเทศก็ยังรับรู้ให้กงสุล ได้รับสิทธิในการล่วงละเมิดมิได้ในตัวบุคคล จะจับหรือขังกงสุลไมได้ยกเว้นความผิดซึ่งหน้า

สถานที่ทำการกงสุลได้รับความคุ้มครองจะล่วงละเมิดมิได้ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ทั้งไม่มีสิทธิเข้าไป ตรวจค้นในสถานกงสุล รัฐที่ทั้งกงสุลจะต้องอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของกงสุล และที่ทำการกงสุล มีสิทธิชักธงและติดตราของรัฐที่ส่งกงสุล

และนอกจากนั้น จารีตประเพณีและสนธิสัญญาระหว่างรัฐเกี่ยวกับกงสุลยอมให้สิทธิกงสุลไม่อยู่ ใต้อำนาจของรัฐที่ตนไปประจำเฉพาะในกรณีที่กระทำตามหน้าที่ของกงสุลเท่านั้น แต่ถ้าเป็นความผิดที่มิได้เกิดจาก การกระทำตามหน้าที่กงสุลยังคงต้องรับผิดชอบ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ1. จงอธิบายขั้นตอนการจัดทำสนธิสัญญาให้ชัดเจนและขั้นตอนใดที่จะทำให้สนธิสัญญามีผลผูกพันรัฐ นอกจากนี้สนธิสัญญาหากไม่ได้นำไปจดทะเบียนจะมีผลอย่างไรหรือไม่ อธิบายให้ชัดเจนด้วย

ธงคำตอบ

การจัดทำสนธิสัญญา มีขั้นตอนการจัดทำ ดังนี้ 1. การเจรจา 2. การลงนาม 3. การให้สัตยาบัน

4. การจดทะเบียน

1.         การเจรจา การเจรจาเป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการทำสนธิสัญญาเพื่อกำหนดเงื่อนไข ต่าง ๆ ในการทำสนธิสัญญา ซึ่งองค์กรที่มีอำนาจในการเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญาจะถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญของ แต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นประมุขของรัฐ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ หรือในบางกรณีผู้มีอำนาจ ในการเจรจาอาจจะไม่ทำการเจรจาด้วยตนเองก็ได้แต่มอบอำนาจให้ผู้อื่น เช่น ตัวแทนทางการทูต หรือคณะผู้แทน เข้าทำการเจรจาแทน แต่ต้องทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ซึ่งผู้แทนจะนำมามอบให้แก่รัฐคู่เจรจา หรือต่อที่ประชุมในกรณีที่มีรัฐหลายรัฐร่วมเจรจาด้วย

การร่างสนธิสัญญาเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญของรัฐคู่เจรจา จะทำความตกลงกันใน หลักการและข้อความในสนธิสัญญา โดยจะมีการประชุมพิจารณาร่างข้อความในสนธิสัญญา และตามมาตร”’ 9 ของ อนุสัญญากรุงเวียนนาระบุว่า ร่างสนธิสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบโดยเอกฉันท์จากรัฐคู่เจรจา เว้นแต่ที่ประชุม จะให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์

2.         การลงนาม การลงนามในสนธิสัญญา มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดข้อความเด็ดขาดใน สนธิสัญญา และการแสดงความยินยอมที่จะผูกพันในสนธิสัญญาของรัฐคู่เจรจา ซึ่งการลงนามในสนธิสัญญานั้น จะกระทำเมื่อผู้แทนในการเจรจาเห็นชอบกับข้อความในร่างสนธิสัญญานั้นแล้ว

การลงนามในสนธิสัญญานั้น อาจจะเป็นการลงนามเลย หรือลงนามย่อก่อนและลงนามจริง ในภายหลังก็ได้ และสนธิสัญญาที่ได้มีการลงนามแล้วนั้นยังไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันความรับผิดชอบของรัฐ จะต้องมีการ ให้สัตยาบันเสียก่อนจึงจะสมบูรณ์ แต่หากว่าเป็นสนธิสัญญาแบบย่อ การลงนามจะมีผลผูกพันรัฐนับแต่มีการลงนาม

3.         การให้สัตยาบัน การให้สัตยาบัน หมายถึง การยอมรับขั้นสุดท้าย เป็นการแสดงเจตนา ของรัฐที่จะรับข้อผูกพันและปฏิบัติตามพันธะในสนธิสัญญา และการให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญานั้น จะต้องมีการ จัดทำสัตยาบันสาร (instrument of Ratification) ซึ่งกระทำในนามประมุขของรัฐ หรือรัฐบาล หรืออาจจะลงนาม โดยรัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ และในสัตยาบันสารนั้นจะระบุข้อความในสนธิสัญญา และคำรับรองที่จะปฏิบัติตาม ข้อผูกพันในสนธิสัญญานั้น

4.         การจดทะเบียน เมื่อมีการทำสนธิสัญญาเสร็จแล้ว โดยหลักจะต้องนำสนธิสัญญานั้น ไปจดทะเบียนไว้กับสำนักเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ (มาตรา 102 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ) แต่อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาบางฉบับอาจจะไม่ได้นำไปจดทะเบียนก็ได้ ทั้งนี้เพราะกฎหมายมิได้บังคับว่าสนธิสัญญาจะมีผลสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อต้องจดทะเบียนแล้วเท่านั้น สนธิสัญญาบางฉบับแม้จะไม่ได้จดทะเบียนก็มีผลสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

จากขั้นตอนในการจัดทำสนธิสัญญาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ขั้นตอนที่ทำให้สนธิสัญญามีผล ผูกพันกับรัฐ คือขั้นตอนการให้สัตยาบันนั่นเอง เว้นแต่สนธิสัญญาแบบย่อ ที่จะมีผลผูกพันรัฐสมาชิกนับแต่ที่ได้มี การลงนามกัน

ส่วนสนธิสัญญาที่มิได้นำไปจดทะเบียนต่อสหประชาชาตินั้นจะมีผลสมบูรณ์ทุกประการ แต่ถ้า ภาคีสมาชิกไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญานั้น ภาคีสมาชิกที่เหลือจะนำสนธิสัญญาดังกล่าวมาฟ้อง หรือมาอ้างต่อ องค์กรใด ๆ ของสหประชาชาติหรือต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อบังคับให้เป็นไปตามสนธิสัญญานั้นไม่ได้ เพราะสหประชาชาติมิได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของสนธิสัญญาฉบับนั้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายจารีตประเพณีระหว่างประเทศซึ่งถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศคืออะไร และ แตกต่างจากหลักความยุติธรรมในสาระสำคัญอย่างไรให้นักศึกษายกตัวอย่างประกอบการอธิบายด้วย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มิได้มีการบัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้หรือยกเลิกได้โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญา การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วย ปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง เป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลา ยาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่ จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น

1.         จารีตประเพณีทั่วไป ซึ่งรัฐส่วนใหญ่ยอมรับและถือปฏิบัติ สามารถใช้บังคับแก่ทุกรัฐในโลก

2.         จารีตประเพณีท้องถิ่นเป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับและถือปฏิบัติในภูมิภาคเท่านั้น ซึ่งใช้ บังคับแก่รัฐที่อยู่ในภูมิภาคนั้นเท่านั้น

จารีตประเพณีระหว่างประเทศอาจเกิดจาก

1.         เกิดจากจารีตประเพณีหรือกฎหมายภายในหรือคำตัดสินของศาลยุติธรรมของรัฐหนึ่ง แต่ประเทศอื่นเห็นว่าดีก็นำหลักการดังกล่าวมาปฏิบัติ จนนานเข้าก็กลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ

2.         เกิดจากสนธิสัญญาประเภทกฎหมาย คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการและคำพิพากษา ของศาลระหว่างประเทศ

ส่วนหลักความยุติธรรม ถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติเช่นนั้น

กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรมได้ต่อเมื่อไม่มีกฎหมาย ระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไม่มีจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ และคู่กรณีตกลงยินยอมให้ศาลใช้หลักความยุติธรรม และความรู้สึกผิดชอบอันดีมาใช้พิจารณาตัดสินแทนได้ ซึ่งจะแตกต่างจากจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่า เป็นที่มาหลักหรือโดยทางตรงของกฎหมายระหว่างประเทศที่ศาลสามารถนำไปใช้เป็นหลักพื้นฐานในการตัดสินคดี ได้เลย

 

ข้อ 3. นักศึกษาทราบดีว่าสภาพบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 กำหนดให้เริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก แต่คำถามในข้อนี้ให้นักศึกษาอธิบายให้เข้าใจว่า สภาพบุคคลของรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศจะเริ่มเกิดขึ้นได้อย่างไรมีรูปแบบใดบ้าง และ สภาพบุคคลของรัฐจะเป็นที่รับรู้ได้อย่างไรในสังคมระหว่างประเทศ และตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม ระหว่างประเทศในกรณีของไต้หวัน (Taiwan) และกรณีของฮ่องกง (Hong Kong) สามารถอธิบายถึง ประเด็นนี้ให้เข้าใจอย่างชัดเจนอย่างไร

ธงคำตอบ

สภาพบุคคลของรัฐ หรือรัฐในฐานะที่เป็นบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ จะเริ่มเกิดขึ้น ได้เมื่อมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ

1.         ดินแดน กล่าวคือ รัฐต้องมีดินแดนให้ประชาชนได้อยู่อาศัย ซึ่งดินแดนของรัฐนั้น รวมทั้งพื้นดิน ผิวน้ำ และท้องฟ้าเหนือดินแดนด้วย ดินแดนไม่จำเป็นต้องเป็นผืนเดียวติดต่อกัน อาจจะเป็น ดินแดนโพ้นทะเลก็ได้ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไมได้กำหนดขนาดของดินแดนไว้ ฉะนั้นรัฐจะมีดินแดน มากน้อยเพียงใดไม่ใช่ข้อสำคัญ แต่ต้องมีความแน่นอนมั่นคงถาวร และกำหนดเขตแดนไว้แน่นอนชัดเจน

2.         ประชากร กล่าวคือ มีประชากรอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีความแน่นอน ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนประชากรมากน้อยเท่าไร เพียงแต่ต้องมีจำนวนมากพอสมควรที่จะสามารถดำรงความเป็นรัฐได้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐนี้ไมจำเป็นต้องมีชนชาติเดียวกัน อาจมี เชื้อชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่มีความผูกพันทางนิตินัยกับรัฐ คือ มีสัญชาติเดียวกัน

3.         รัฐบาล กล่าวคือ มีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรมาทำการ บริหารงานทั้งภายในและภายนอกรัฐ จัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน จัดระเบียบการปกครองภายใน รักษาความสงบเรียบร้อยในดินแดนของตน ดำเนินการป้องกันประเทศ ส่งเสริมความเจริญของประเทศ และ รักษาสิทธิผลประโยชน์ของประชาชน

4.         อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ รัฐสามารถที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อำนาจอิสระภายใน หมายถึง อำนาจของรัฐในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสรเสรีแต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ส่วนอำนาจอิสระภายนอก หมายถึง อำนาจของรัฐในการติดต่อ สัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น และได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับรัฐอื่น

รูปแบบของรัฐ อาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ รัฐเดี่ยว และรัฐรวม

1.         รัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีการปกครองเป็นเอกภาพไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีรัฐบาลกลางปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว แม้จะมีการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นแต่ก็ยังอยู่ใน ความควบคุมของรัฐบาลกลาง มีประมุขของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และมีองค์กรนิติบัญญัติเพียงองค์กรเดียว ตัวอย่าง ของรัฐเดี่ยว ได้แก่ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม อิตาลี และประเทศไทย เป็นต้น

2.         รัฐรวม หมายถึง รัฐหลายรัฐมารวมกันโดยเหตุการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกัน บางอย่าง ซึ่งรัฐรวมระหว่างหลายรัฐดังกล่าวอาจจะเป็นรัฐรวมแบบสมาพันธรัฐ หรือแบบสหพันธรัฐก็ได้

เมื่อเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การมีสภาพบุคคลของรัฐจะ เป็นที่รับรู้ได้ในสังคมระหว่างประเทศ ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น ๆ โดยเฉพาะจาก รัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์ในการรับรองความเป็นรัฐโดยรัฐอื่นนั้น มีทฤษฎีเกี่ยวกับ การรับรองรัฐอยู่ 2 ทฤษฎี คือ

1.         ทฤษฎีว่าด้วยเงื่อนไข (การก่อกำเนิดรัฐ) หมายความว่า แม้รัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจะมี องค์ประกอบของความเป็นรัฐครบ 4 ประการแล้วก็ตาม สภาพของรัฐก็ยังไม่เกิดขึ้น สภาพของรัฐจะเกิดขึ้นและ มีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ จะต้องมีการรับรองรัฐโดยรัฐอื่นด้วย และเมื่อรัฐอื่นได้ให้การรับรองแล้ว รัฐที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะมีสภาพบุคคล มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสามารถที่จะติดต่อกับรัฐอื่นในสังคมระหว่างประเทศได้

2.         ทฤษฎีว่าด้วยการประกาศ (ยืนยัน) ซึ่งทฤษฎีนี้ถือว่าการรับรองนั้นไม่ก่อให้เกิดสภาพ ของรัฐ เพราะเมื่อรัฐที่เกิดขึ้นใหม่มีองค์ประกอบความเป็นรัฐครบถ้วนแล้วก็ย่อมเป็นรัฐที่สมบูรณ์แม้จะไม่มีการ รับรองจากรัฐอื่นก็ตาม และรัฐนั้นก็ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ การรับรองนั้น ถือว่าเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศความเป็นจริง (ความเป็นรัฐ) ที่เป็นอยู่แล้วเท่านั้น

สำหรับสถานะของ ไต้หวัน” (Taiwan) นั้น ถือว่ามีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะมีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบที่สำคัญครบทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น คือมีดินแดนและมีประชากร ที่อยู่อาศัยในดินแดนที่แน่นอน มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรทำการบริหารงานทั้งภายในและ ภายนอกรัฐ และที่สำคัญคือการมีอำนาจอธิปไตย ในอันที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกรัฐ อาทิเช่น มีอำนาจในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก และ มีอำนาจในการติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น เป็นต้น

และเช่นเดียวกันเมื่อถือว่า ไต้หวัน” มีสถานะเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การมีฐานะเป็นรัฐของ ไต้หวัน” จะเป็นที่รับรู้หรือเป็นที่ยอมรับในสังคมระหว่างประเทศก็ต่อเมื่อ ได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐอื่น โดยเฉพาะจากรัฐที่ตนจะเข้าไปทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วยบันเอง (ปัจจุบันความเป็นรัฐของไต้หวันยังมีสถานะไม่มั่นคง เพราะมีการรับรองจากรัฐอื่นไม่มากนัก)

ส่วนกรณีฮ่องกง (Hong Kong) นั้น มีองค์ประกอบของความเป็นรัฐดังกล่าวข้างต้นไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจอธิปไตย เพราะฮ่องกงเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของจีน และเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีนเท่านั้น ดังนั้น ฮ่องกงจึงไม่มีสถานะเป็นรัฐตามกฎหมายระหว่างประเทศ

 

ข้อ 4. จงอธิบายกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับสงคราม ที่เรียกว่าวิธีการ ‘’แทรกแซง” โดยละเอียด และวิธีการแทรกแซงนี้ไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเสมอไป หรือไม่ อธิบายให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีที่ไม่ถึงกับสงครามที่เรียกว่า การแทรกแซง” (Intervention) หมายถึง การทีรัฐหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น เพื่อบังคับให้รัฐนั้น ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของรัฐที่เข้าแทรกแซง โดยรัฐที่ถูกแทรกแซงนั้นต้องเป็นรัฐที่เป็น เอกราช

การแทรกแซงจะต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1.         เป็นการกระทำที่แทรกแซงต่อกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น

2.         รัฐที่ถูกแทรกแซงต้องเป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองทั้งภายในและภายนอก

3.         มีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับให้รัฐนั้นกระทำตามความประสงค์ของตน

และการแทรกแซงที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นมีได้ แต่จะต้องเป็นการแทรกแซงในกรณีดังต่อไปนี้

1.         การแทรกแซงโดยมีสนธิสัญญาต่อกันให้ดำเนินการได้

2.         การแทรกแซงโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอ

3.         การแทรกแซงโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลในสัญชาติตนในรัฐอื่น แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้

1)         รัฐนั้นไม่ให้ความคุ้มครองหรือไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่บุคคล หรือทรัพย์สิน ของชาติที่ทำการแทรกแซง และองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถจะให้ความ คุ้มครองได้ทันที

2)         มีการคุกคามซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

3)         การปฏิบัติการแทรกแซงต้องสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ไต้รับ และต้องหยุด การกระทำเมื่อทำการคุ้มครองเป็นผลสำเร็จหรืออพยพประชาชนหมดสิ้นแล้ว

4.         การแทรกแซงโดยเหตุผลของมนุษยธรรม เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกแทรกแซงกระทำการป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม หรือไม่ยุติธรรมต่อบุคคลในสัญชาติของรัฐที่ถูกแทรกแซงเอง

ดังนั้นวิธีการแทรกแซงที่จะถือว่าเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต่อเมื่อมิได้กระทำให้ถูกต้อง ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น มิได้หมายความว่าวิธีการแทรกแซงจะไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเสมอไป

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศในกรณีของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป มีลักษณะอย่างไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็น

ลายลักษณ์อักษร มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไม่รับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ ซึ่งการก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1.         การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็น ระยะเวลายาวนานพอควร และไม่มีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลก เพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2.         การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) หมายถึง การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณี ระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือ องค์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ (เสมือนเป็นกฎหมาย) แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศ ต่าง ๆ ที่มีความศิวิไลซ์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง

1.         หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยู่ในกฎหมายภายในของรัฐ ทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่างๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มี ความเจริญในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย คดีได้ เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอนไม่มิสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

2.         หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น หลักความ เสมอภาคเท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

จะเห็นว่าหลักกฎหมายทั่วไปเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ ยอมรับคล้ายกับจารีตประเพณี แต่ยังไม่ถึง ขั้นที่เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพราะไม่ได้เกิดจากการยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเหมือนจารีตประเพณี แต่เกิดจากการที่สังคมระหว่างประเทศยอมรับเพราะถือว่าชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ซึ่งจะแตกต่างกับจารีตประเพณี ระหว่างประเทศที่เกิดจากการที่รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นเวลานานไม่ว่าเรื่องดังกล่าว จะชอบด้วยเหตุผล ทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น จารีตประเพณีระหว่างประเทศจึงแตกต่างจากหลักกฎหมายทั่วไปในเรื่องของเหตุผลทางกฎหมาย

 

ข้อ 2. ผลของสนธิสัญญา กรณีที่เกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐภาคีเป็นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กรณีเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่างรัฐภาคีสนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น จะต้องแยกพิจารณาว่า เป็นสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) หรือสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี)

สำหรับสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) โดยหลักการแล้วถือว่าสนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิด สงครามของรัฐคู่สงคราม (รัฐภาคีสนธิสัญญา) สิ้นสุดลง เว้นแต่

1.         สนธิสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อบังคับใช้โดยตรงในเวลาสงคราม เช่น อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย กฎหมายและจารีตประเพณีในการทำสงครามทางบก ค.ศ. 1907อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก ค.ศ. 1949

2.         สนธิสัญญาบางชนิด เช่น การยกดินแดน

3.         สนธิสัญญานั้นเองได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้คงดำเนิบต่อไปแม้เมื่อเกิดสงคราม เช่น สนธิสัญญาลงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 ระหว่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งกำหนดว่าอังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้รัสเซียแม้ว่าจะทำสงครามกับรัสเซียก็ตาม ใน สงครามไคเมียระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังชำระหนี้ให้รัสเซียต่อไป

สำหรับสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี) ซึ่งมีทั้งรัฐคู่สงคราม (รัฐภาคีสนธิสัญญา) และรัฐ เป็นกลางเป็นภาคีในสนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาระหว่างคู่สงครามเป็นแต่เพียงระงับไปชั่วคราวจนกว่า สงครามสงบ โดยมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญานั้นยังไม่ถือว่าสิ้นสุดลง แต่ผลระหว่างรัฐเป็นกลางกับ รัฐคู่สงคราม หรือระหว่างรัฐเป็นกลางที่เป็นภาคีสนธิสัญญายังใช้บังคับอยู่เช่นเดิม เช่น สงครามในปี ค.ศ. 1870 ไม่ได้ ทำให้สนธิสัญญาปารีสวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1856 สิ้นสุดลง และสนธิสัญญาวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1839 ที่ค้ำประกัน ความเป็นกลางของเบลเยียมไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียมในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 แต่ยังคงใช้อยู่ จนกระทั่งได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่นเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1939 ก็ไม่ได้ทำให้ องค์การสันนิบาตชาติเลิกล้มไป จนกระทั่งเกิดองค์การสหประชาชาติขึ้นมาแทน

 

ข้อ 3. นายบารัก โอบามา ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ และจะเป็นผู้นำรัฐบาล ของประเทศอเมริกาต่อไปอีกหนึ่งสมัย ในฐานะที่ท่านผ่านการศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ มาแล้ว อธิบายให้เข้าใจว่ารัฐบาลใหม่ของประเทศนี้จำเป็นที่จะต้องรับการรับรองตามหลักเกณฑ์ ของกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ (ต้องอธิบายหลักเกณฑ์โดยละเอียดประกอบด้วย) และ ประเทศอเมริกาเป็นรัฐในรูปแบบใด แตกต่างจากรูปแบบของประเทศไทยหรือไม่ อธิบายให้ชัดเจน

งคำตอบ

รัฐบาล คือ คณะบุคคลที่มีอำนาจกระทำการในนามองค์กรฝ่ายบริหารของรัฐ ซึ่งเป็น องค์ประกอบสำคัญของรัฐ ในกรณีมีรัฐเกิดขึ้นใหม่และมีการรับรองรัฐก็ถือเป็นการรับรองรัฐบาลโดยปริยายด้วย ตามปกติแล้วรัฐต่าง ๆ ย่อมมีคณะบุคคลผลัดเปลี่ยนเข้ามามีอำนาจกระทำการเป็นฝ่ายบริหารของรัฐ

ในกรณีทีมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามปกติหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐ เช่น รัฐบาล มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองรัฐบาลชุดใหม่แต่อย่างใด

การรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

1.         กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็นกรณีที่ มีคณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโตยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

2.         กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการแย่ง อำนาจปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในกรณี ดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

การตัดสินใจในการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ และอาจจะรับรองโดยมีเงื่อนไขก็ได้ การรับรองรัฐบาลนี้มีผลในลักษณะของการประกาศให้นานาชาติทราบถึง สถานภาพของรัฐบาลที่ได้รับการรับรองเช่นเดียวกับการรับรองรัฐ สำหรับหลักการพิจารณาเพื่อการรับรองรัฐบาลนี้ มีทฤษฎีทีเกี่ยวข้องดังนี้

1.         ทฤษฎี Tobar เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงความชอบธรรมของรัฐบาล ที่ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศว่าเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้เป็นความคิดที่พยายามจะ ป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยในลาตินอเมริกา ซึ่ง Tobar รัฐมนตรีต่างประเทศเอกวาดอร์ เห็นว่ารัฐ ไม่ควรรับรองรัฐบาลที่ได้อำนาจมาโดยการปฏิวัติรัฐประหาร เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลใหม่จะทำให้ถูกต้องตาม ขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ โดยได้รับความยินยอมจากสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสียก่อน

ทฤษฎี Tobar ใช้เฉพาะในทวิปอเมริกาเท่านั้น ประเทศใบยุโรปไม่ยอมรับนับถือ ปฏิบัติ โดยหลักการแล้วทฤษฎีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เพราะการรับรองรัฐบาลใหม่ก็เหมือนกับการรับรอง รัฐ ซึ่งเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศสภาพของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วเท่านั้น และการปฏิเสธการรับรองรัฐบาลโดย อ้างว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้น เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ดังนั้นทฤษฎี Tobar จึงไม่ได้รับ การยึดถือปฏิบัติแต่ปลายปี ค.ศ. 1932 เป็นต้นมา

2.         ทฤษฎี Estrada เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลนั้น ที่มีอำนาจอันแท้จริงในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลมีความสามารถเช่นว่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์ได้ โดยมิต้องไปพิจารณาถึง ความถูกต้องตามกฎหมายภายในของรัฐบาล เพราะเป็นกิจการภายในของรัฐนั้น รัฐอื่นไม่มีหน้าที่ไปพิจารณา รัฐทุกรัฐ ย่อมมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ซึ่งสังคมระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้ยึดถือตามทฤษฎี Estrada นี้

กรณีตามปัญหา การที่นายบารัก โอบามา ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาและจะเป็น ผู้นำรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไปอีกหนึ่งสมัยนั้น ถือได้ว่ารัฐบาลใหม่ของประเทศนี้ซึ่งมีนายบารัก โอบามา เป็นผู้นำเป็นรัฐบาลที่ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางที่กฎหมายได้กำหนดไว้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับการรับรอง ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศและแม้จะไม่มีการรับรองรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายบารัก โอบามา ก็ถือว่ารัฐบาลใหม่นี้เป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถปฏิบัติพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

สำหรับรูปแบบของรัฐนั้น อาจแบ่งแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ รัฐเดี่ยวและรัฐรวม

1. รัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีการปกครองเป็นเอกภาพไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีรัฐบาลกลาง ปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว แม้จะมีการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นแต่ก็ยังอยู่ในความควบคุม ของรัฐบาลกลาง มีประมุขของรัฐแต่เพียงผู้เดียว และมีองค์กรนิติบัญญัติเพียงองค์กรเดียว

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ จะบัญญัติไว้ว่า ประเทศไทยเป็น ราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้” แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีรูปแบบของรัฐเป็นลักษณะของ รัฐเดี่ยว” โดยมีประมุขคนเดียวกัน และมีรัฐบาลกลางบริหารปกครองประเทศรัฐบาลเดียว

2. รัฐรวม หมายถึง รัฐหลายรัฐมารวมกันโดยเหตุการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง ซึ่งรัฐรวมระหว่างหลายรัฐดังกล่าวอาจจะเป็นรัฐรวมแบบสมาพันธรัฐ หรือแบบสหพันธรัฐก็ได้

สำหรับรัฐรวมแบบสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เป็นการรวมกันของรัฐหลายรัฐในลักษณะที่ ก่อให้เกิดรัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว ซึ่งรัฐเดิมที่เข้ามารวมนี้จะสูญสภาพความเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป โดยยอมสละอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้แก่รัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิจการภายนอก เช่น อำนาจในการป้องกันประเทศ อำนาจในการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนกิจการภายในรัฐสมาชิกยังคงมีอิสระเช่นเดิม

สหพันธรัฐอาจจะเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น เกิดจากหลายรัฐมารวมกันในรูปของ สหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ หรือเกิดการเปลี่ยนรูปจากรัฐเดียวมาเป็นสหพันธรัฐ เช่น เม็กซิโก บราซิล เป็นต้น โดยปกติแล้วรัฐสมาชิกของสหพันธรัฐจะไม่สามารถถอนตัวออกไปได้ เว้นแต่จะกำหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐให้รัฐสมาชิกถอนตัวออกได้

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ารูปแบบของรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกากับของประเทศไทยจะแตกต่างกัน กล่าวคือ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐในรูปแบบของรัฐรวมแบบสหพันธรัฐหรือสหรัฐ แต่ของประเทศไทยเป็นรัฐ ในรูปแบบของรัฐเดี่ยว

 

ข้4. จงอธิบายกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีที่เรียกว่าวิธีการ ศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศ” (ศาลโลก)โดยละเอียด และวิธีกรนี้มีความแตกต่างจากวิธีการที่เรียกว่า ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ในประเด็นสำคัญอย่างไร ซึ่งจะต้องอธิบายแยกแยะให้ชัดเจนด้วย

ธงคำตอบ

การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นการระงับข้อพิพาท ทางศาลตามความหมายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นลักษณะของการเสนอข้อพิพาทให้ศาลที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างถาวร โดยมี ผู้พิพากษาประจำอยู่ มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาความของตนเอง แตกต่างจากศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ แต่ก็เป็นการระงับข้อพิพาทในทางกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพกฎหมายเช่นเดียวกัน

สำหรับโครงสร้างของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 นาย แต่จะ เป็นคนในสัญชาติเดียวกับไมได้ ได้รับเลือกตั้งอยู่ในตำแหน่ง 9 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่ นอกจากนั้นก็มีการ เลือกตั้งซ่อมทุก ๆ 3 ปี โดยผู้พิพากษา 5 คน จะอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี 5 คนอยู่ในตำแหน่ง 6 ปี และ 5 คนที่เหลือ อยู่ในตำแหน่งได้ครบ 9 ปี ถ้ามีตำแหน่งว่างให้มีการเลือกตั้งซ่อม ผู้ที่ได้รับเลือกจะอยู่ได้เท่าเวลาของผู้ที่ตนแทน การเลือกตั้งกระทำโดยความเห็นชอบร่วมกับของสมัชชาสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งในกรณีนี้ สมาชิกถาวรของคณะมนตริความมั่นคงไม่สามารถใช้สิทธิวีโต้ได้ มติถือเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ ศาลเลือกประธาน และรองประธานซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 3 ปี และอาจได้รับเลือกใหม่อีก

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือรัฐเท่านั้น และต้องการเกิดจากความสมัครใจของรัฐคู่กรณีด้วย มีเขตอำนาจในเรื่องตังต่อไปนี้คือ

1.         การตีความสนธิสัญญา

2.         ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ

3.         ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศ

4.         กรณีเกิดการเสียหายเพราะละเมิดพันธะระหว่างประเทศ

นอกจากนี้คู่พิพาทอาจจะขอให้ศาลพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในสนธิสัญญา และยังมีหน้าที่ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายแก่คณะมนตรีและสมัชชาของสันนิบาตชาติด้วย ในกรณีที่ถูกร้องขอ

การนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยปกติเป็นความประสงค์ชองคู่กรณีเอง นอกจากจะมีสนธิสัญญาที่ คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ คำตัดสินของศาลผูกพันคู่กรณีให้ต้องปฏิบัติ และถือเป็นที่สุดไม่มี อุทธรณ์ ฎีกา คำพิพากษาชองศาลมีลักษณะเป็นพันธกรณีที่คู่กรณีจะต้องปฏิบัติตาม และคำพิพากษาถือเป็นสิ้นสุด และผูกพันเฉพาะคูความในคดีเท่านั้น ถ้ารัฐใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา รัฐอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยัง คณะมนตรีความมันคง ซึ่งถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่าจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษา

ส่วนการระงับข้อพิพาทโดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นการระงับข้อพิพาท โดยองค์กรที่ยังไม่มีลักษณะเป็นศาลที่แท้จริง โดยศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นศาลที่มีการจัดตั้งขึ้นมา สืบเนื่องมาจากการประชุมที่กรุงเฮกในปี 1899 และปี 1907 ซึ่งได้มีการผลักดันให้มีการตั้งอนุญาโตตุลาการใน ลักษณะถาวรขึ้นเรียกว่า ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มีที่ทำการอยู่ทีกรุงเฮก ประเทศฮอลแลนด์ โดยรัฐที่เป็นภาคีสมาชิกจะส่งรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถในด้านกฎหมายระหว่างประเทศในประเทศชองตน เพื่อไปเป็นผู้พิพากษายังศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศจำนวน 4 คน และรายชื่อทั้งหมดจะรวบรวมทำเป็น บัญชีไว้ หากมีกรณีพิพาทมาสู่ศาลจึงจะเรียกผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นมาตัดสิน และกรณีที่ถือว่าศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศยังไม่มีลักษณะที่เป็นศาลอย่างแท้จริงก็เพราะว่า ถึงแม้จะมีที่ทำการศาลอย่างถาวรก็ตาม แต่ว่ายังไม่มี ผู้พิพากษาอยู่ประจำตลอดเวลาอย่างศาลทั่วไป และไม่มีการประชุมกันระหว่างผู้พิพากษาด้วยกันอย่างเช่นศาลทั่วไป

กระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศที่เรียกว่าวิธีการ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” (ศาลโลก) จะแตกตาางจากวิธีการที่เรียกว่าศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” ในประเด็นที่สำคัญ คือ

1.         การนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยปกติจะเป็นความประสงค์ของคู่กรณีเอง เว้นแต่จะมีสนธิสัญญาที่คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ แต่การนำคดีขึ้นสู่ศาลอนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของคู่กรณีเท่านั้น

2.         ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คือผู้พิพากษาที่ประจำอยู่ในศาล แต่ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ คือผู้พิพากษาที่คู่พิพาทเลือกมาจากบัญชีรายชื่อ (เป็นผู้พิพากษาที่ได้รับความยินยอมจากคู่กรณี)

3.         การพิจารณาคดีโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จะมีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณา เป็นของตนเอง รวมทั้งมีการประชุมร่วมกันของผู้พิพากษาในศาล แต่การพิจารณาคดีโดยศาลอนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศจะไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาเป็นของตนเองรวมทั้งไม่มีการประชุมกันระหว่างผู้พิพากษา เหมือนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

WordPress Ads
error: Content is protected !!