LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

ข้อ 1. จงอธิบายถึงอำนาจในการให้สัตยาบันสนธิสัญญาของรัฐว่าแบ่งเป็นอำนาจของฝ่ายใดบ้าง   และอำนาจในการให้สัตยาบันของประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม (ฉบับ พ.ศ. 2540 มาตรา 224) เป็นอำนาจของฝ่ายใดบ้าง

ธงคำตอบ

อำนาจในการให้สัตยาบันสนธิสัญญา แบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ

1.         เป็นของฝ่ายบริหารแต่ฝ่ายเดียว ซึ่งส่วนใหญ่มักอยู่ในระบบการปกครองแบบเผด็จการ หรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์

2.         เป็นของฝ่ายนิติบัญญัติแต่ฝ่ายเดียว

3.         เป็นการแบ่งบันกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญอาจมอบ อำนาจให้ประมุขของรัฐให้สัตยาบันสนธิสัญญาบางชนิดไปได้เลย แต่ถ้าเป็นสนธิสัญญาที่ มีความสำคัญมาก หรือจะต้องออกกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาก็จะต้อง ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะให้สัตยาบัน

จากรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 อำนาจในการให้สัตยาบันของไทยจัดอยู่ในรูปแบบที่ 3 คือ การแบ่งปันอำนาจกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร โดยวรรคแรกของมาตรา 224 บัญญัติหลักทั่วไปว่าเป็นอำนาจ ของฝ่ายบริหาร ส่วนในวรรคหลังได้บังคับไว้ว่าถ้าสนธิสัญญานั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขต อำนาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อน

 

ข้อ 2. อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญาได้กำหนดไว้ว่า กรณีใดบ้างที่รัฐไม่สามารถ ตั้งข้อสงวนได้ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญา มาตรา 19 ได้กำหนดไว้ว่า รัฐคู่สัญญา ย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญาฉบับนั้นห้ามไว้

2.         สนธิสัญญาได้กำหนดกรณีที่จะตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

 

ข้อ 3. จงอธิบายให้ชัดเจนว่า การได้ดินแดนของรัฐตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศโดยวิธีการ ครอบครองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ และการครอบครองโดยปรปักษ์ มีลักษณะสำคัญอย่างไรบ้าง และมีความแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

การได้ดินแดนโดยการครอบครองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ คือการเข้าครอบครองดินแดนที่ยังไม่ ได้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐใด หรืออาจเคยอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐมาก่อน แต่รัฐนั้นได้ทอดทิ้งไปแล้ว และต้องครอบครองในนามของรัฐ เอกชนที่เข้าครอบครองไม่มีสิทธิที่จะอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นได้

การครอบครองดินแดนโดยปรปักษ์ เป็นวิธีการที่รัฐเข้าครอบครองและใช้อำนาจอธิปไตยเหนือ ดินแดนนั้นเป็นระยะเวลานาน โดยดินแดนนั้นเป็นหรือเคยเป็นของรัฐอื่นมาก่อน และรัฐที่เข้ามาครอบครองภายหลัง โดยรัฐเดิมไม่ได้คัดค้าน และรัฐอื่นมิได้โต้แย้ง การครอบครองปรปักษ์เป็นหลักการทำนองเดียวกับกฎหมายภายใน แต่ไม่ได้กำหนดเงื่อนเวลาไว้อย่างชัดเจน แต่โดยปกติรัฐก็จะต้องครอบครองดินแดนนั้นเป็นเวลานาน

 

ข้อ 4. จงอธิบายว่ากรณีพิพาทระหว่างประเทศสามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้อย่างไรบ้าง และกระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศในแต่ละประเภท รัฐอาจดำเนินการระงับกรณีพิพาท ระหว่างประเทศโดยสันติวิธีได้โดยวิธีใดบ้าง ซึ่งมักจะนำมาใช้ในการแก้ไขข้อพิพาทในแต่ละประเภท ดังกล่าว

ธงคำตอบ

ข้อพิพาทระหว่างประเทศ แยกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.         ข้อพิพาททางกฎหมาย หมายถึง ข้อขัดแย้งซึ่งคู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการ บังคับใช้ หรือตีความในกฎหมายที่ใช้อยู่

2.         ข้อพิพาททางการเมือง หมายถึง ข้อพิพาทซึ่งคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้แก้ไขสิทธิหรือ กฎหมายที่ใช้กันอยู่

การระงับข้อพิพาททางกฎหมาย รัฐมักจะแก้ไขโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ศาลอนุญาโตตุลาการ หรือศาล ส่วนการระงับข้อพิพาททางการเมืองนั้น คู่พิพาทมักจะใช้วิธีการทางการทูต เช่น การเจรจาไกล่เกลี่ย หรือประนีประนอม เป็นต้น

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

ข้อ 1. จงอธิบายโดยสังเขปถึงวิธีการที่เรียกวา ภาคยานุวัติ” หรือการเข้าร่วมในสนธิสัญญา(Adhesion) และ การลงนามภายหลัง” (Deferred Signature) ว่ามีความหมายอย่างไร และประเด็นสำคัญที่จะให้นักศึกษาตอบให้ชัดเจนคือวิธีการดังกลาวข้างต้นนี้มีความคล้ายกันหรือแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

ภาคยานุวัติ คือ วิธีการเข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาในภายหลัง หลังจากที่สนธิสัญญามีผล บังคับใช้แล้ว โดยรัฐยอมรับผูกพันตามสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญานับแต่มีการภาคยานุวัติ

การลงนามภายหลัง คือ การที่รัฐไม่ได้เข้าร่วมเจรจาในการทำสนธิสัญญา แต่อาจเข้ามาร่วมลงนาม ในภายหลังได้ และระยะเวลาการลงนามยังไมสิ้นสุตลง แต่จะมีผลผูกพันได้ต้องมีการให้สัตยาบันอีกครั้งหนึ่ง

ความคล้ายกัน คือ เป็นกรณีที่รัฐไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำสนธิสัญญาแต่แรกเช่นเดียวกัน

ความแตกต่างกัน คือ การภาคยานุวัติ ผลผูกพันสมบูรณ์นับแต่มีการเข้าร่วมเป็นภาคี แต่การ ลงนามภายหลังยังไม่มีผลผูกพันจนกว่ารัฐนั้นต้องให้สัตยาบันก่อน แต่อาจไม่แตกต่างกันเลยหากการเข้าร่วมได้กระทำภายใต้ข้อสงวนว่าจะต้องให้สัตยาบันก่อน

 

ข้อ 2. หากมีการเปรียบเทียบถึงความสำคัญของที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศระหว่างสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศและหลักความยุติธรรม ที่มาประเภทใดถือว่าเป็นที่มาหลักของกฎหมายระหว่างประเทศและที่มาขั้นรองของกฎหมายระหว่างประเทศ และหากศาลจะพิจารณาคดี โดยยึดถือหลักความยุติธรรมมาตัดสินจะใช้ได้เสมอไปหรือไม่

ธงคำตอบ

สนธิสัญญาและจารีตประเพณีระหว่างประเทศเป็นที่มาหลักของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ หลักความยุติธรรมเป็นที่มาขั้นรองและศาลอาจพิจารณาคดีโดยใช้หลักความยุติธรรมได้ต่อเมื่อไม่มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดที่จะถือเป็นหลักในการตัดสินได้เท่านั้น และบางครั้งกฎหมายระหว่างประเทศอาจ เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้ง หรือมีความจำเป็นต้องปรับหลักกฎหมายให้สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน แต่การที่ศาลจะใช้ หลักความยุติธรรมตัดสินได้จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่กรณีก่อน

 

ข้อ 3. นายรักรามไม่เข้าใจถึงความหมายและความแตกต่างของ อำนาจอธิปไตย” หรืออำนาจอิสระ (Sovereignty) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นองค์ประกอบของความเป็นรัฐ ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง และอำนาจของเทศบาลซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจอิสระในการบริหารกิจการของตนเช่นกัน นักศึกษาในฐานะที่ผ่านการศึกษาวิชากฎหมาย ระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมาแล้ว จะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจอย่างชัดเจนอย่างไร

ธงคำตอบ

อำนาจอธิปไตยของรัฐ คือ การมีอำนาจอิสระในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกรัฐ โดยสามารถจัดกิจการต่าง ๆ ภายในแต่เพียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซง หรือบงการจากภายนอก

เช่นเดียวกับอำนาจอิสระในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ภายนอกรัฐได้โดยไม่ต้องฟังคำสั่ง หรือความยินยอมจากรัฐ หรือองค์กรอื่นใด

ส่วนอำนาจของเทศบาลเป็นการกระจายอำนาจการปกครองภายในอาณาเขตของตนโดยได้รับ มอบอำนาจจากรัฐ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากรัฐอยู่แม้จะมีอำนาจอิสระ ในการบริหารตนเองระดับหนึ่งก็ตาม ไม่มีอำนาจอิสระอย่างสมบูรณ์ เช่น การดำเนินการของรัฐ ส่วนอำนาจอิสระภายนอกอาณาเขตของตน หรือนอกรัฐ ไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ อย่างกรณีการใช้อำนาจของรัฐภายนอกอาณาเขตของรัฐตน โดยต้องอยู่ภายใต้กฎหมายหรือการดำเนินการโดยรัฐเท่านั้น

 

ข้อ 4. การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศแบบ “Reprisal” นั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร และมีเงื่อนไขในการ ใช้มาตรการนี้อย่างไรบ้าง จงอธิบายโดยละเอียด

งคำตอบ

การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศแบบ “Reprisal” นั้นเป็นมาตรการตอบโต้การกระทำที่ ละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งมาตรการนี้ถือเป็นมาตรการที่รุนแรงและเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย

ดังนั้นรัฐที่เสียหายจากการถูกละเมิดจากรัฐอื่น ควรหาทางให้รัฐที่ละเมิดชดใช้ก่อน ถ้าไม่เป็น ผลค่อยนำมาตรการนี้มาใช้ โดยมีเงื่อนไขคือ

1.         การกระทำนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

2.         ไม่สามารถตกลงโดยวิธีอื่น

3.         รัฐที่เสียหายต้องเรียกร้องค่าทดแทนก่อน

4.         มาตรการตอบโต้ต้องแบบสมเหตุผลกับความเสียหายที่ได้รับ

การตอบโต้อาจทำในรูปเดียวกันกับที่ถูกกระทำหรือรูปแบบอื่นก็ได้ โดยอาจกระทำต่อบุคคล หรือทรัพย์สินก็ได้ ซึ่งการตอบโต้นั้นจะต้องตอบโต้ต่อรัฐที่ทำผิดและต้องทำโดยองค์กรของรัฐ หรือเจ้าหน้าที ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

ข้อ 1. นายทิดรามเข้าใจว่า การที่สนธิสัญญาได้ผ่านขั้นตอนการลงนามและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรีก็ถือได้ว่าสนธิสัญญานั้นได้รับการให้สัตยาบันแล้ว นักศึกษาในฐานะที่ผ่านการศึกษาวิชากฎหมายระหว่างประเทศมาแล้วจะวินิจฉัยและอธิบายให้ชัดเจนได้หรือไม่ ว่าความเข้าใจของเทิดรามถูกต้องหรือไม่ หรืออย่างไร

ธงคำตอบ

สนธิสัญญาที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรี ยังไม่ถือว่าสนธิสัญญานั้นได้รับ การให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันจะต้องมีรูปแบบโดยการจัดทำเป็นเอกสารโดยรัฐคูสัญญาเรียกว่า สัตยาบันสาร” ซึ่งกระทำในนามของประมุขของรัฐหรือรัฐบาล ในสัตยาบันสารจะระบุข้อความในสนธิสัญญาและคำรับรองที่จะ ปฏิบัติตามข้อผูกพันในสนธิสัญญานั้น โดยผลของสนธิสัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารระหว่างกัน ในกรณีเป็นสนธิสัญญาทวิภาคี หรือวางไว้ ณ สถานที่กำหนดไวในกรณีเป็นสนธิสัญญาพหุภาคี

 

ข้อ 2. นักศึกษาจงอธิบายว่าสมาพันธรัฐหรือ Confederation of State มีลักษณะของการรวมรัฐที่ก่อ ให้เกิดฐานะเป็นรัฐใหม่ขึ้นมาหรือไม่ และสมาพันธรัฐมีลักษณะสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

สมาพันธรัฐ (Confederation of State) เป็นการรวมกลุ่มระหว่างรัฐหลายรัฐโดยสนธิสัญญา เพื่อวัตถุประสงค์หรือผลประโยชน์ร่วมกันบางประการ เช่น การป้องกันทางทหาร การเศรษฐกิจการค้า เป็นต้น มีลักษณะการรวมคล้ายกับสมาคมของรัฐ โดยไม่ก่อให้เกิดฐานะเป็นรัฐใหม่ขึ้นอีก จะไม่มีรัฐบาลกลาง แต่มีองค์กรกลางที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประสานงานและดำเนินการบางอย่างตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา

ลักษณะสำคัญของสมาพันธรัฐ มีดังต่อไปนี้

1.         รัฐที่เข้ามารวมเป็นสมาพันธรัฐยังคงมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้ สามารถที่จะรับส่งผู้แทนทางการทูตได้ เพียงแต่มอบกิจการบางอย่างตามที่ได้ ตกลงกันไว้ในสนธิสัญญาเท่านั้นที่ให้สมาพันธรัฐดำเนินการแทน

2.         รัฐที่เข้ามารวมเป็นสมาพันธรัฐเกิดจากข้อตกลงระหว่างประเทศหรือสนธิสัญญา ซึ่งจะ กำหนดจุดประสงค์และขอบเขตอำนาจขององค์กรกลางของสมาพันธรัฐ แต่รัฐสมาชิกสมาพันธรัฐยังมีอำนาจอิสระ อย่างสมบูรณ์ในกิจการที่ไม่ได้มอบหมายหน้าที่ให้องค์กรกลางกระทำ

3.         สมาพันธรัฐไม่มีอำนาจเหนือประชาชนภายในรัฐของสมาชิกสมาพันธรัฐโดยตรง ดังนั้น มติขององค์กรกลางจะใช้บังคับแก่ประชาชนของรัฐสมาชิกได้ ก็ต่อเมื่อรัฐสมาชิกนำมตินั้นมาออกเป็นกฎหมาย ภายในของรัฐตน จึงจะมีผลใช้บังคับได้

4.         รัฐสมาชิกสามารถถอนตัวออกจากสมาพันธรัฐได้ ไม่เป็นกบฏ

เห็นได้ว่า กลไกการบริหารงานในรูปสมาพันธรัฐนั้นยากแก่การปฏิบัติ เช่น มติขององค์กรกลาง ต้องเป็นเอกฉันท์ ถ้าผู้แทนของรัฐเพียงรัฐเดียวไม่ยินยอม มตินั้นก็ถือว่าไม่ได้รับการอนุมัติ หรือการให้รัฐสมาชิกสามารถถอนตัวออกจากสมาพันธรัฐได้ เป็นต้น ปัจจุบันการรวมแบบสมาพันธรัฐไมมีแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาเคยเป็น สมาพันธรัฐ (ค.ศ. 1781 – 1787) ต่อมาเปลี่ยนเป็นรูปของสหรัฐ หรือสมาพันธรัฐเยอรมัน (ค.ศ. 1815 – 1866) ก็กลายเป็นรูปสหรัฐเช่นกัน

 

ข้อ 3. กรณีการสืบเนื่องข้อผูกพันระหว่างประเทศของรัฐในกรณีที่รัฐเดิมยังคงอยู่จะระงับการใช้กับดินแดน ที่เสียไปหรือแยกตัวออกไปเสมอไปหรือไม่ (ตัวอย่างกรณีติมอร์ตะวันออก แยกตัวออกไปจาก ประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น) นักศึกษาจงอธิบายให้ชัดเจนถึงกรณีดังกล่าวว่า ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศมีการปฏิบัติอย่างไร

ธงคำตอบ

กรณีที่รัฐเดิมยังคงอยู่ตามหลักทั่วไปแล้ว ถือว่าข้อผูกพันหรือสนธิสัญญาที่รัฐทำขึ้นย่อมมีผล ต่อดินแดนที่ได้รับเพิ่มมา และระงับการบังคับใช้ต่อดินแดนที่เสียไปหรือแยกตัวออกไป แต่มีข้อยกเว้น ถ้าเป็น สนธิสัญญาต่อไปนี้ข้อผูกพันจะมีผลสืบเนื่องต่อดินแดนที่เสียไปหรือแยกออกไป

–           สนธิสัญญาประเภทกฎหมาย

–           สนธิสัญญาที่มีลักษณะทางเศรษฐกิจและรัฐที่แยกตัวยอมรับ เช่น สนธิสัญญาการค้า สนธิสัญญาการเดินเรือ ฯลฯ

–           สนธิสัญญาที่มีลักษณะเป็นพันธะติดกับดินแดนที่แยกตัวไป เช่น สนธิสัญญาเกี่ยวกับ พรมแดน พันธะการเดินเรือ เป็นต้น

ส่วนสนธิสัญญาทางการเมือง เช่น สนธิสัญญาพันธมิตร สนธิสัญญาค้ำประกันเอกราชของรัฐอื่น สนธิสัญญาความเป็นกลาง ย่อมไม่ถือว่ามีผลสืบเนื่องต่อดินแดนที่เสียไปหรือแยกออกไปนั้น

 

ข้อ 4. นักศึกษาจงอธิบายการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธี โดยวิธีการ เจรจา” และ “Good office” ว่ามีลักษณะที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

การเจรจาเป็นกรณีคู่กรณีที่พิพาทมาดำเนินการเจรจากันโดยตรง เพื่อหาทางระงับข้อพิพาท รัฐคู่กรณีมักจะใช้วิธีการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาก่อนวิธีอื่น ๆ เป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะและความคิดเห็นในปัญหาที่ เกิดขึ้นโดยการติดต่อด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร ถ้าการเจรจาล้มเหลวตกลงกันไมได้ รัฐคู่พิพาทอาจจะใช้วิธี อื่นในการยุติข้อพิพาทต่อไป

Good office เป็นการไกล่เกลี่ยลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะมีรัฐเป็นกลางโน้มน้าวชักชวนให้คู่กรณีมา พบกัน โดยจะอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้แต่ไม่มีส่วนในการระงับข้อพิพาทอย่างเป็นทางการเป็นเรื่องของคู่กรณี จะดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างกันเอง

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

การสอบล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

 ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. จงอธิบายว่า ข้อสงวนของสนธิสัญญาคืออะไร และกรณีใดบ้างที่รัฐคูสัญญาสามารถตั้งข้อสงวนได้

งคำตอบ

ข้อสงวน หมายถึง ข้อความซึ่งรัฐคู่สัญญาได้ประกาศออกมาว่าตนไมผูกพันในข้อความหนึ่งข้อความใดในสนธิสัญญาหรือตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดอย่างไรหรือตนรับจะปฏิบัติแต่เพียงบางส่วน

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้ให้คำนิยามไว้ว่า การตั้งข้อสงวน ได้แก่ คำแถลงฝ่ายเดียว ของรัฐภาคีรัฐหนึ่งรัฐใดของสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นขณะที่ลงนาม ให้สัตยาบัน ยอมรับ อนุมัติ หรือทำภาคยานุวัติ สนธิสัญญา โดยคำแถลงนี้แสดงว่าต้องการระงับหรือเปลี่ยนแปลงผลทางกฎหมายของบทบัญญัติบางอย่างของสนธิสัญญาในส่วนที่ใช้กับรัฐนั้น

เห็นได้ว่า การตั้งข้อสงวนคือวิธีการที่รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาต้องการหลีกเลี่ยงพันธกรณีตาม สนธิสัญญาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือในหลายเรื่อง เป็นวิธีการจำกัดความผูกพันตามสนธิสัญญาของรัฐ เช่น แจ้งว่าตนจะ ไมรับพันธะที่จะปฏิบัติทั้งหมด หรือรับที่จะปฏิบัติบางส่วน หรือว่าตนเข้าใจความหมายของข้อกำหนดนั้นว่าอย่างไร

การตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญานั้น จะกระทำได้เฉพาะในสนธิสัญญาประเภทพหุภาคีเท่านั้น สำหรับสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้นไมสามารถกระทำได้ เพราะการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาประเภททวิภาคีนั้น เท่ากับเป็นการปฏิเสธการให้สัตยาบันและยื่นข้อเสนอใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อเมื่อคู่สัญญายอมรับ ถ้าอีกฝ่ายไมยอมรับ ข้อเสนอสนธิสัญญาย่อมตกไป ดังนั้นสนธิสัญญาประเภททวิภาคีจึงไม่อาจมีข้อสงวนได้

อนุสัญญากรุงเวียนนาท ค.ศ. 1969 มาตรา 19 ระบุว่า รัฐคูสัญญาย่อมตั้งข้อสงวนได้ เว้นแต่

1.         สนธิสัญญามีข้อกำหนดห้ามการตั้งข้อสงวนไว้ชัดแจ้ง

 2.        สนธิสัญญากำหนดกรณีที่อาจตั้งข้อสงวนไล้ นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดแล้ว รัฐไม่อาจ ตั้งข้อสงวนได้

3.         ข้อสงวนนั้นขัดต่อวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา

การตั้งข้อสงวนหรือการรับข้อสงวนหรือการคัดค้านการตั้งข้อสงวน ต้องทำเป็นหนังสือและ .แจ้งไปไห้รัฐคู่สัญญาทราบ และการตั้งข้อสงวนนั้น รัฐที่ตั้งข้อสงวนอาจจะขอถอนคืนข้อสงวนของตนได้ เว้นแต่สนธิสัญญาดังกล่าวได้ระบุห้ามการถอนคืนข้อสงวนไว้

 

ข้อ 2. ประเทศไทยได้แพ้คดีปราสาทเขาพระวิหารเพราะหลักกฎหมายปิดปากอันเป็นหลักหนึ่งของหลักกฎหมายทั่วไป จึงให้นักศึกษาอธิบายว่าหลักกฎหมายทั่วไปคืออะไร และต่างจากจารีตประเพณีระหว่างประเทศ อย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายทั่วไปและจารีตประเพณีระหว่างประเทศต่างก็เป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศ

หลักกฎหมายทั่วไป เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายที่ได้รับการยอมรับจากประเทศศิวิไลซ์ ทั้งหลาย ซึ่งหมายถึง

1.         หลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั่วไปที่ยอมรับและใช้บังคับอยูในกฎหมายภายในของรัฐทั้งหลาย โดยบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในกฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ หรือกฎหมายภายในของประเทศที่มีความเจริญ ในทางกฎหมาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายทั่วไป อันอาจนำมาเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัยคดีได้ เช่น หลักที่ว่าสัญญาจะต้องได้รับการปฏิบัติจากผู้ทำสัญญา หลักความสุจริตใจ หลักกฎหมายปิดปาก หลักผู้รับโอน ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

2.         หลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต่าง ๆ ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป โดยมิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น หลักความเสมอภาค เท่าเทียมกันของรัฐไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เป็นต้น

หลักกฎหมายทั่วไปเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ ยอมรับคล้ายจารีตประเพณี แต่ยังไม่ถึงขั้นที่เป็น จารีตประเพณีระหว่างประเทศ เพราะไม่ได้เกิดขึ้นจากการยอมรับปฏิบัติติดต่อกันมาเหมือนจารีตประเพณี แต่เกิดจากการที่สังคมระหว่างประเทศยอมรับเพราะถือว่าชอบด้วยเหตุผล

ส่วนจารีตประเพณีระหว่างประเทศเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร     มีลักษณะไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ หรือยกเลิกได้ โดยการปฏิบัติหรือไมรับปฏิบัติของรัฐต่าง ๆ

การก่อให้เกิดเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ

1. การปฏิบัติ (ปัจจัยภายนอก) หมายถึง รัฐทั่วไปยอมรับปฏิบัติอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลงเป็นระยะเวลานานพอสมควร        สำหรับระยะเวลานานเท่าใดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่ก็คงต้องเป็นระยะเวลายาวนานพอควร และไมมีประเทศใดคัดค้าน แต่การปฏิบัติไม่จำเป็นจะต้องเป็นการปฏิบัติของรัฐทุกรัฐในโลภเพียงแต่เป็นการปฏิบัติของรัฐกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอ

2. การยอมรับ (ปัจจัยภายใน) กล่าวคือ การจะเปลี่ยนการปฏิบัติให้เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศนั้น จะต้องได้รับการยอมรับการกระทำดังกล่าวจากสมาชิกสังคมระหว่างประเทศ คือ รัฐหรือองศ์การระหว่างประเทศได้ตกลงยอมรับลักษณะบังคับของการปฏิบัติเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติ แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศไม่จำต้องยอมรับโดยทุกประเทศ

 

ข้อ 3. บริษัทประมงไทย จำกัด สัญชาติไทย ได้ส่งเรือประมงของตนออกไปทำการประมงในทะเลหลวง แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าบังเอิญไปพบเกาะซึ่งไม่ปรากฏว่ามีรัฐใดเป็นเจ้าของ จึงเข้าครอบครองเกาะนั้น เป็นของตน และประกาศให้รับทราบทั่วไปถึงความเป็นเจ้าของเกาะในระยะเวลาต่อมา ดังนั้น หากพิจารณา ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการได้ดินแดนของรัฐ บริษัทประมงไทย จำกัด สามารถอ้างการครอบครองเกาะดังกล่าวได้หรือไม

ธงคำตอบ

การครอบครองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ คือ การเข้าครอบครองดินแดนที่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้ อำนาจอธิปไตยของรัฐใด หรืออาจเคยอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐอื่น แต่รัฐนั้นได้ทอดทิ้งไปแล้ว ซึ่งการเข้าครอบครองต้องกระทำโดยรัฐหรือในนามของรัฐ เอกชนหรือองศ์กรของเอกชนไม่สามารถเข้าครอบครองดินแดนได้ อนึ่งการครอบครองต้องกระทำติดต่อมีลักษณะถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว

มีหลักเกณฑ์ที่ยอมรับนับถือเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศว่า การครอบครองดินแดน ที่ไม่มีเจ้าของต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการ คือ

1) ต้องแจ้งการครอบครองดินแดนต่อรัฐอื่น

2) ต้องมีการครอบครองอย่างแท้จริง โดยสามารถที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย และ สิทธิต่าง ๆ เหนือดินแดนดังกล่าว ใช้อำนาจอธิปไตยบนดินแดนนั้น และสามารถ ให้บริการสาธารณะที่จำเป็นแกประชาชนด้วย

3) ต้องเป็นการครอบครองโดยองศ์กรของรัฐ

ดังนั้นตามอุทาหรณ์ บริษัทประมงไทย จำกัด  เป็นองศ์กรเอกชน แม้จะค้นพบดินแดนที่

ไม่มีเจ้าของและประกาศการครอบครองแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถได้ดินแดนนั้นเป็นของตนได้ ต้องกระทำการครอบ ครองโดยองศ์กรของรัฐจึงจะถือเป็นการได้ดินแดนของรัฐโดยการครอบครองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ

สรุป บริษัทประมงไทย จำกัด ไมสามารถอ้างการครอบครองเกาะดังกล่าวได้

 

ข้อ 4. จงอธิบายให้ชัดเจนว่ากระบวนการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธี รีไพรซัล” (Reprisals) มีลักษณะอย่างไร และมีความแตกต่างจากวิธีการ ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต” ในประเด็นสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

รีไพรซัล เป็นมาตรการบังคับที่รัฐหนึ่งกระทำตอบโต้การกระทำอันไมชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศของอีกรัฐหนึ่ง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้รัฐนั้นเคารพสิทธิของตนและชดใช้ค่าเสียหาย

การกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอาจจะเป็นการงดเว้นไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ทำไว้ การละเมิดอำนาจอธิปไตยของรัฐ ละเมิดเกียรติยศของประเทศ หรือละเมิดจารีตประเพณีระหว่างประเทศก็ได้

ก่อนจะใช้วิธีรีไพรซัลนั้น รัฐที่เสียหายจะต้องพยายามเจรจากับรัฐที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศก่อน เพื่อให้รัฐนั้นรับผิดชอบหรือชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าหากไมประสบผลสำเร็จจึงอาจใช้วิธีรีไพรซัลได้

การใช้มาตรการรีไพรซัลนั้นต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 4 ประการ คือ

1. การกระทำนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

2.         ไมสามารถตกลงได้โดยวิธีอื่น

3.         รัฐที่เสียหายต้องเรียกร้องค่าทดแทนก่อน

4.         มาตรการตอบโต้ต้องพอสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้รับ

มาตรการรีไพรซัลนี้ต้องกระทำต่อรัฐที่กระทำผิด และต้องกระทำโดยองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐ ถ้าเป็นคนต่างด้าวหรือเอกชนกระทำความผิดขึ้นต้องร้องเรียนต่อรัฐของผู้นั้นเสียก่อน ถ้ารัฐนั้นเพิกเฉยไม่จัดการอย่างใด รัฐผู้เสียหายจึงกระทำตอบโต้ได้ การตอบโต้อาจกระทำต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน โดยวิธีการอาจเป็นลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกระทำหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าให้รุนแรงเกินขนาดจนอาจกลายเป็น สงครามไปได้

มาตรการตอบโต้อาจจะเป็นการละเว้นการกระทำบางอย่างโดยไมได้ใช้กำลัง เช่น ยกเลิกสนธิสัญญา ที่ได้ทำไว้ต่อกัน หรือบอยคอตสินค้า ยึดทรัพย์สินของรัฐ หรือเนรเทศคนของรัฐที่ละเมิด การรีไพรซัลอาจจะเป็น มาตรการใช้กำลัง เช่น ยึดครองดินแดนบางส่วนทางทหาร จับเรือที่กำลังเดินทางของรัฐนั้น การปิดอ่าวโดยสงบ เป็นต้น แต่การรีไพรซัลในรูปการใช้กำลังนั้นถือว่าขัดกับกฎบัตรสหประชาชาติ เพราะอาจจะทำให้ เกิดสงครามได้ ส่วนรีไพรซัลในรูปที่ไม่ได้ใช้กำลังบังคับ รัฐย่อมมีสิทธิกระทำได้ไม่ต้องห้ามแต่อย่างใด

ส่วนการตัดความสัมพันธ์ทางการทูต   เป็นวิธีการที่เปรียบเสมือนเป็นการเตือนรัฐคู่กรณีว่าข้อพิพาทที่มีอยู่ระหว่างกันนั้นได้ถึงระดับที่ทำให้ไม่สามารถจะคงความสัมพันธ์ทางการทูตกันตามปกติได้ จึงจำเป็น ต้องตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ปกติจะเป็นวิธีการขั้นต้นก่อนที่จะมีมาตรการรุนแรงอื่นตามไปอีก

การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นวิธีการบังคับทางอ้อมที่จะให้อีกฝายหนึ่งปฏิบัติตามคำ เรียกร้องของตน และจะได้ผลถ้าเป็นการกระทำของรัฐที่มีอิทธิพลสูงกว่า ไมว่าจะเป็นทางทหารหรือเศรษฐกิจก็ตาม อนึ่งวิธีการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตนั้นเป็นสิทธิของรัฐที่จะกระทำได้ ไมถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่าง ประเทศ เพราะการมีความสัมพันธ์ทางการทูตอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจ

รีไพรซัลแตกต่างจากการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตในประเด็นสำคัญ คือ

–           เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

–           เป็นมาตรการในลักษณะของการกดดันให้อีกรัฐหนึ่งปฏิบัติตามที่รัฐตนต้องการ ซึ่งอาจมี มาตรการอื่น ๆ ตามมาอีกหากไม่ได้ผล

–           ข้อพิพาทที่เกิดขึ้น จนนำมาสู่การตัดความสัมพันธ์ทางการทูต อาจไม่เป็นการละเมิดกฎหมาย

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

ข้อ 1. นายรักรามเป็นผู้ที่สนใจเนื้อหาเกี่ยวกับวิชากฎหมายระหว่างประเทศอย่างมาก แต่ไม่เข้าใจประเด็น เกี่ยวกับการสิ้นสุดของสนธิสัญญาในกรณีการเกิดสงครามว่า สนธิสัญญาที่รัฐทำขึ้นก่อนการเกิดสงครามระหว่างกันจะสิ้นสุดลงหรือไม่ อาจบังคับได้ระหว่างคูสงครามเสมอไปหรือไม่ ท่านในฐานะ ที่ผ่านการศึกษาวิชา LAW 4003 มาแล้ว จะอธิบายให้นายรักรามเข้าใจในประเด็นปัญหานี้อย่างไร

ธงคำตอบ

สงครามทำให้สนธิสัญญาซึ่งทำระหว่างรัฐคู่สงครามก่อนเกิดสงครามสิ้นสุดลง ซึ่งสงครามในที่นี้ หมายถึงสงครามตามความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ การใช้กำลังบังคับในรูปแบบอื่นที่ไมถึงขั้นทำสงคราม ยังไม่มีผลทำให้สนธิสัญญาสิ้นสุดลงได้

หลักการที่ว่าสงครามทำให้สนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิดสงครามสิ้นสุดลง จะต้องแยกพิจารณาว่า เป็นสนธิสัญญาสองฝาย (ทวิภาคี) หรือหลายฝ่าย (พหุภาคี)

สำหรับสนธิสัญญาสองฝ่าย (ทวิภาคี) โดยหลักการแล้วถือว่าสนธิสัญญาที่ทำไว้ก่อนเกิด สงครามของรัฐคู่สงครามสิ้นสุดลง เว้นแต่

1.         สนธิสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อบังคับใช้โดยตรงในเวลาสงคราม เช่น อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย กฎหมายและจารีตประเพณีในการทำสงครามทางบก ค.ศ. 1907 อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วย การปฏิบัติต่อเชลยศึก ค.ศ. 1949

2.         สนธิสัญญาบางชนิด เช่น การยกดินแดน

3.         สนธิสัญญานั้นเองได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้คงดำเนินต่อไปแม้เมื่อเกิดสงคราม เช่น สนธิสัญญา ลงวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1815 ระหว่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งกำหนดว่า อังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้รัสเซียแม้ว่าจะทำสงครามกับรัสเซียก็ตาม ในสงครามไคเมีย ระหว่างอังกฤษกับรัสเซีย อังกฤษก็ยังชำระหนี้ให้รัสเซียต่อไป

สำหรับสนธิสัญญาหลายฝ่าย (พหุภาคี) ซึ่งมีทั้งรัฐคูสงครามและรัฐเป็นกลางเป็นภาคีใน สนธิสัญญา ผลของสนธิสัญญาระหว่างคู่สงครามเป็นแต่เพียงระงับไปชั่วคราวจนกว่าสงครามสงบ โดยมีการทำ สนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญานั้นยังไมถือว่าสิ้นสุดลง แต่ผลระหว่างรัฐเป็นกลางกับรัฐคู่สงคราม หรือระหว่าง รัฐเป็นกลางที่เป็นภาคีสนธิสัญญายังใช้บังคับอยู่เช่นเดิม เช่น สงครามในปี ค.ศ. 1870 ไม่ได้ทำให้สนธิสัญญาปารีส วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1856 สิ้นสุดลง และสนธิสัญญาวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1839 ที่ค้ำประกันความเป็นกลาง ของเบลเยียมไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 แต่ยังคงใช้อยู่จนกระทั่ง ได้มีการทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่นเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1939 ก็ไมได้ทำให้องค์การ สันนิบาตชาติเลิกล้มไป จนกระทั่งเกิดองค์การสหประชาชาติขึ้นมาแทน

 

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ว่าข้อพิพาทระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศโคลัมเบีย ในคดีหนึ่ง อนุญาโตตุลาการได้ตัดสินว่า สนธิสัญญามีค่าเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของรัฐ หรือรัฐไม่อาจ อ้างรัฐธรรมนูญของตนเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันในสนธิสัญญาได้ จากข้อเท็จจริง ดังกล่าวนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน สามารถแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแนวความคิดของทฤษฎีใด ทั้งนี้นักศึกษาจะต้องอธิบายรายละเอียด ของทฤษฎีนั้นประกอบในการตอบคำถามด้วย

ธงคำตอบ

ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในนั้น มีความเห็น ทางทฤษฎีที่ขัดแย้งกัน 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีทวินิยมที่เห็นว่ากฎหมายทั้งสองมีลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่มีความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน และทฤษฎีเอกนิยม

สำหรับทฤษฎีเอกนิยมนี้ ผู้สนับสนุนเห็นวา กฎหมายทั้งสองไม่แตกต่างกัน ทังนี้เพราะ กฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศต่างมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ เพื่อก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นสังคมภายในหรือระหว่างประเทศ แต่ผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีเอกนิยมมีความเห็นต่างกันในประเด็นที่ว่า กฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในนั้น กฎหมายใดจะมีค่าบังคับสูงกว่ากัน

กลุ่มแรก เห็นว่า กฎหมายภายในมีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ความเห็นนี้เป็นที่ยอมรับในยุคแรก ๆ ที่ประเทศต่าง ๆ พึ่งได้รับเอกราช จึงหวงแหนในอำนาจอธิปไตยของตน โดยอ้างเหตุผลว่า ในสังคมระหว่างรัฐ ไม่มีองค์กรใดที่มีอำนาจเหนือรัฐ กล่าวคือ รัฐทั้งหลายต่างมีอำนาจอธิปไตยที่จะตัดสินใจอย่างอิสระว่ารัฐต้องการมีพันธกรณีระหว่างประเทศในเรื่องใด ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังใคร จึงถือว่ากฎหมายภายใน สูงกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ

กลุ่มที่สอง เห็นว่า กฎหมายระหว่างประเทศมีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายภายใน กฎหมายภายในจะขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ ถ้ากฎหมายทั้งสองขัดแย้งกัน จะต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศบังคับ ถือว่ากฎหมายภายในเป็นกฎหมายที่แตกแยกมาจากกฎหมายระหว่างประเทศ

ในปัจจุบันความเห็นที่ว่ากฎหมายระหว่างประเทศมีคาบังคับสูงกว่ากฎหมายภายในได้รับการยอมรับโดยทั่วไป กรณีตามอุทาหรณ์นั้นเป็นการแสดงถึงการยอมรับแนวคิดทฤษฎีเอกนิยมดังกล่าวนั้นเอง

 

ข้อ 3. จงอธิบายให้ชัดเจนถึงการครอบครองปรปักษ์ (Prescription) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งของการที่รัฐได้ดินแดนเพิ่มขึ้นมาในทางกฎหมายระหว่างประเทศ และหากเปรียบเทียบกับการได้ดินแดนของรัฐ โดยการใช้กำลังจะมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

การครอบครองดินแดนโดยปรปักษ์ (Prescription) เป็นวิธีการที่รัฐเข้าครอบครองและใช้ อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นเป็นระยะเวลานาน โดยดินแดนนั้นเป็นหรือเคยเป็นของรัฐอื่นมาก่อน และรัฐที่เข้ามาครอบครองภายหลังโดยรัฐเดิมไม่ได้คัดค้าน และรัฐอื่นมิได้โต้แย้ง การครอบครองปรปักษ์เป็นหลักการทำนองเดียวกับกฎหมายภายใน แต่ไมได้กำหนดเงื่อนเวลาไว้อยางชัดเจน แต่โดยปกติรัฐก็จะต้องครอบครอง ดินแดนนั้นเป็นเวลานาน

ซึ่งแตกต่างจากการใช้กำลังเข้ายึดครองที่ว่าการได้ดินแดนของรัฐโดยการใช้กำลัง เป็นวิธีการ ที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าถูกต้องหรือความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ

 

ข้อ 4. การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยวิธีการแทรกแซงที่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศนั้น มีลักษณะ สำคัญอย่างไร และมีกรณีใดบ้าง

ธงคำตอบ

การแทรกแซง หมายถึง การที่รัฐหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน หรือภายนอกของรัฐอื่น เพื่อบังคับให้รัฐนั้นกระทำหรืองดเว้นการกระทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการของรัฐที่เข้าแทรกแซง โดยรัฐที่ถูกแทรกแซงนั้นต้องเป็นรัฐที่เป็นเอกราช

การแทรกแซง มีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ

1. เป็นการกระทำที่แทรกแซงต่อกิจการภายในหรือภายนอกของรัฐอื่น

2.         รัฐที่ถูกแทรกแซงต้องเป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตยของตนเองทั้งภายในและภายนอก

3.         มีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับให้รัฐนั้นกระทำตามความประสงค์ของตน

การแทรกแซงที่ถือว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่

1. การแทรกแซงโดยมีสนธิสัญญาต่อกันให้ดำเนินการได้

2. การแทรกแซงโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอ

3. การแทรกแซงโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลในสัญชาติตนในรัฐอื่น แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้

1) รัฐนั้นไมให้ความคุ้มครองหรือไมสามารถให้ความคุ้มครองแกบุคคล หรือ ทรัพย์สินของชาติที่ทำการแทรกแซง และองค์การสหประชาชาติก็ไม่สามารถจะให้ ความคุ้มครองได้ทันที

2)         มีการคุกคามซึ่งจำเป็นจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

3)         การปฏิบัติการแทรกแซงต้องสมเหตุสมผลกับความเสียหายที่ได้รับ และต้องหยุดการกระทำเมื่อทำการคุ้มครองเป็นผลสำเร็จหรืออพยพประชาชนหมดสิ้นแล้ว

4.         การแทรกแซงโดยเหตุผลของมนุษยธรรม เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกแทรกแซงกระทำการป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม หรือไมยุติธรรมต่อบุคคลในสัญชาติของรัฐที่ถูกแทรกแซงเอง

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

ข้อ 1. ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า รัฐ ได้ทำสนธิสัญญากับรัฐ จนมีผลบังคับใช้ระหว่างกันโดยสมบูรณ์แล้ว ต่อมารัฐ ไมต้องการที่จะปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ โดยอ้างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ เนื่องจากการที่รัฐ ยอมทำขึ้น เพราะมีการบังคับข่มขู่หรือใช้กำลังจากรัฐ ถือว่าเป็นสนธิสัญญาที่ ขาดเจตนา ดังนั้น ให้ท่านจงวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของรัฐ ตามกฎหมายระหว่างประเทศฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

สนธิสัญญา ถือว่าเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่ง จึงอาจมีผลเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ได้ หากว่ามี สถานการณ์หรือเงื่อนไขบางอย่างเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสนธิสัญญา ซึ่งส่งผลให้สนธิสัญญานั้น ไมมีผลใช้บังคับได้

สนธิสัญญาที่ทำขึ้นโดยขาดเจตนาเพราะมีการบังคับข่มขู่หรือใช้กำลัง ถ้าเป็นการกระทำต่อ บุคคล ย่อมถือว่าสนธิสัญญานั้นไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าเป็นการกระทำต่อรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศถือว่า สนธิสัญญานั้นยังสมบูรณ์อยู่มีผลใช้บังคับได้ เช่น กรณีการทำสนธิสัญญาสันติภาพ อาจจะมีการบังคับข่มขู่ ใช้กำลังให้รัฐที่แพ้สงครามยอมทำสนธิสัญญาสันติภาพ สนธิสัญญาสันติภาพดังกล่าวนี้ยังถือว่าสมบูรณ์อยู่

ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 52 ระบุว่า สนธิสัญญาที่ทำขึ้นโดยการบังคับ หรือการคุกคามที่จะใช้กำลัง โดยละเมิดต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งบัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ถือว่าไม่สมบูรณ์” อย่างไรก็ตามการคุกคามโดยใช้กำลังที่จะมีผลทำให้สนธิสัญญาเป็นโมะนั้น จะต้องเป็นการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

กรณีตามอุทาหรณ์ ต้องแยกประเด็นพิจารณาออกเป็น 2 ประการ คือ

1.         เป็นการข่มขู่หรือใช้กำลังบังคับซึ่งมุงกระทำต่อรัฐ หรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำที่มุ่งต่อ รัฐแล้ว สนธิสัญญาระหว่างรัฐ และรัฐ ยังคงสมบูรณ์ ใช้บังคับได้ ไม่ต้องตามอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 52 ดังกล่าวข้างต้น

2.         เป็นการข่มขู่หรือใช้กำลังบังคับซึ่งมุ่งกระทำต่อบุคคลหรือไม่ ถ้าเป็นการกระทำที่มุ่งต่อ บุคคลซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐ เพื่อทำสนธิสัญญาโดยตรงแล้ว สนธิสัญญาระหว่างรัฐ และรัฐ ตกเป็นโมฆะ ไมสมบูรณ์ ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 มาตรา 52 รัฐ จึงสามารถอ้างเพื่อไมปฏิบัติตาม สนธิสัญญาได้

 

ข้อ 2 คำพิพากษาของศาลสำหรับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ถือว่าเป็นกฎหมายเพราะศาลมีอำนาจแต่เพียงนำหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยูแล้วมาบังคับใช้ในการตัดสินคดีเท่านั้น ไม่สามารถสร้าง หลักกฎหมายขึ้นมาเองได้ แต่ในทางตำรา คำพิพากษาของศาลถือว่าเป็นที่มาประการหนึ่งของ กฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ท่านจะอธิบายให้ชัดเจนได้อย่างไรเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ ประเด็นดังกล่าวนี้

ธงคำตอบ

คำพิพากษาของศาล มีอิทธิพลในการสร้างกฎหมายภายในอย่างมาก แต่คำพิพากษาของศาล ยังไมถือว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงแต่แหล่งที่มาอีกประการหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ไม่ใช่แหล่งที่มาโดยตรงเหมือนเช่นสนธิสัญญาและจารีตประเพณีระหว่างประเทศ กล่าวคือ คำพิพากษาของศาลในคดีก่อนเป็นเพียงวิธีการเสริมที่ช่วยผู้พิพากษาหรืออนุญาโตตุลาการในการใช้กฎหมายหรือแปลความหมายของ กฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตามคำพิพากษาของศาลมีบทบาทในการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศดยทงอ้อม ไนกรณีดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจทำให้เป็นหลักกฎหมายได้ในที่สุด

1.         ในการใช้หลักกฎหมายบังคับคดี       ผู้พิพากษาอาจจะต้องตีความตัวบทกฎหมายซึ่ง สามารถถือเป็นหลักกฎหมายในการบังคับคดีในครั้งต่อไปได้

2.         ในบางกรณีศาลอนุญาโตตุลาการหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอาจจะได้รับมอบหมาย จากคู่กรณีให้สร้างหลักกฎหมายขึ้นมาใหม่

3.         การยึดถือคำพิพากษาของศาในคดีก่อนๆ มาเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานในการพิจารณาคดี แม้ว่าไม่ผูกพันศาลที่จะต้องตัดสินคดีตามคำพิพากษาเดิม แต่ทางปฏิบัติหากข้อเท็จจริงทำนองเดียวกัน ศาลมักจะตัดสินตามแนวคำพิพากษาเดิมที่ตัดสินไว้ และจะกลายเป็นหลักกฎหมายในที่สุด

 

 

ข้อ 3. จงอธิบายว่าการดำเนินการเพื่อที่จะรับรองรัฐบาลใหม่ของประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น จะเกิดขึ้นได้ ในกรณีใดบ้าง และรัฐบาลที่ไมได้รับการรับรองมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร หรือไม

งคำตอบ

รัฐบาล คือ คณะบุคคลที่มีอำนาจกระทำการในนามองค์กรฝ่ายบริหารของรัฐ ซึ่งเป็นองค์ประกอบ สำคัญของรัฐ ในกรณีมีรัฐเกิดขึ้นใหม่และมีการรับรองรัฐก็ถือเป็นการรับรองรัฐบาลโดยปริยายด้วย ตามปกติแล้ว รัฐต่าง ๆ ย่อมมีคณะบุคคลผลัดเปลี่ยนเข้ามามีอำนาจกระทำการเป็นฝ่ายบริหารของรัฐ

ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามปกติหรือตามวิถีทางของกฎหมายภายในของรัฐ เช่น รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการรับรองรัฐบาลชุดใหม่ แต่อย่างใด

การรับรองรัฐบาลใหม่ จะเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ

1.         กรณีที่รัฐบาลใหม่มิได้ขึ้นมาปกครองประเทศตามวิถีทางของกฎหมาย คือ เป็นกรณีที่มี คณะบุคคลขึ้นครองอำนาจโดยวิธีการที่ผิดแปลกไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติที่ปรากฏให้เห็นอยู่ เสมอ คือ การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการได้อำนาจโดยการใช้กำลังบังคับ

2.         กรณีที่มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมีอำนาจปกครองดินแดนส่วนหนึ่งของรัฐ โดยการแย่งอำนาจ ปกครองจากรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐ ทำให้มี 2 รัฐบาลในรัฐเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในกรณีดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลโดยพฤตินัย จึงสมควรที่จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐอื่น

การตัดสินใจในการให้การรับรองรัฐบาลใหม่นี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐที่จะให้การรับรองหรือไม่ และอาจจะรับรองโดยมีเงื่อนไขก็ได้ การรับรองรัฐบาลนี้มีผลในลักษณะของการประกาศให้นานาชาติทราบถึง สถานภาพของรัฐบาลที่ได้รับการรับรองเช่นเดียวกับการรับรองรัฐ สำหรับหลักการพิจารณาเพื่อการรับรองรัฐบาลนี้ มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องดังนี้

1.         ทฤษฎี Tobar เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงความชอบธรรมของรัฐบาลที่ ขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศว่าเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้เป็นความคิดที่พยายามจะป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยในลาตินอเมริกา ซึ่ง Tobar รัฐมนตรีต่างประเทศเอกวาดอร์ เห็นว่ารัฐไม่ควรรับรอง รัฐบาลที่ได้อำนาจมาโดยการปฏิวัติรัฐประหาร เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลใหม่จะทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ โดยได้รับความยินยอมจากสภาที่มาจากการเลือกตั้งเสียก่อน

ทฤษฎี Tobar ใช้เฉพาะในทวีปอเมริกาเทานั้น ประเทศในยุโรปไม่ยอมรับนับถือปฏิบัติ โดยหลักการแล้วทฤษฎีดังกล่าวขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เพราะการรับรองรัฐบาลใหม่ก็เหมือนกับการรับรองรัฐ ซึ่งเป็นเพียงการยืนยันหรือประกาศสภาพของรัฐบาลที่มีอยูแล้วเท่านั้น และการปฏิเสธการรับรองรัฐบาลโดยอ้างว่า เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้น เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น ดังนั้นทฤษฎี Tobar จึงไม่ได้รับการยึดถือปฏิบัติแต่ปลายปี ค.ศ. 1932 เป็นต้นมา

2.         ทฤษฎี Estrada เป็นหลักการรับรองรัฐบาลโดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลนั้น ที่มีอำนาจอันแท้จริงในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลมีความสามารถเช่นว่านี้ก็เพียงพอที่จะเป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์ได้ โดยมิต้องไปพิจารณาถึงความถูกต้องตามกฎหมายภายในของรัฐบาล เพราะเป็นกิจการภายในของรัฐนั้น รัฐอื่นไม่มีหน้าที่ไปพิจารณา รัฐทุกรัฐย่อมมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ซึ่งสังคมระหวางประเทศในปัจจุบันนี้ยึดถือตามทฤษฎี Estrada นี้

การรับรองรัฐบาลเป็นอำนาจอิสระของรัฐ แต่เมื่อรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่มีความมั่นคง มีอำนาจที่ แท้จริงในดินแดน รัฐอื่นก็ควรจะรับรองรัฐบาลใหม่โดยมิชักช้า แต่รัฐบาลที่ยังไม่ได้รับการรับรองย่อมมีฐานะและ สิทธิแตกต่างจากรัฐบาลที่ได้รับการรับรอง ถึงกระนั้นก็ตาม รัฐบาลที่ยังไม่ได้รับการรับรองยังคงมีสิทธิและหน้าที่ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ

1.         มีสิทธิทำสนธิสัญญาได้

2.         มีสิทธิส่งและรับผู้แทนทางการทูต

3.         มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่รัฐตนก่อให้เกิดแกรัฐอื่น

ผลเสียของรัฐบาลที่ยังไม่ได้รับการรับรองอาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณี

1.         กิจการภายในหรือกิจการภายนอก อาจจะไม่สมบูรณ์ในสายตาของรัฐที่ไม่ได้ให้การรับรอง

2.         ประเทศที่ไม่ได้ให้ การรับรองจะไม่ทำการติดต่อสัมพันธ์ด้วย

3.         สิทธิในทางศาลถูกปฏิเสธในรัฐที่ไม่ได้ให้การรับรอง

4.         สิทธิในทรัพย์สินในประเทศที่ไม่ได้ให้การรับรองอาจถูกปฏิเสธ หรือถูกปฏิเสธสิทธิที่จะ เรียกร้องทรัพย์สินในประเทศที่ไม่ได้ให้การรับรอง

รูปแบบการรับรองของรัฐบาลไม่มีกำหนดไว้โดยชัดเจนเช่นเดียวกับการรับรองรัฐ อาจจะกระทำ โดยตรง เช่น การส่งโทรเลข จดหมาย ออกแถลงการณ์ หรือประกาศ หรือโดยปริยาย เช่น การติดต่อสัมพันธ์ ทางการทูต โดยการตั้งทูตไปประจำหรือแลกเปลี่ยนทูตซึ่งกันและกัน หรือไม่เรียกทูตของตนกลับเมื่อมีรัฐบาลใหม่ หรือการทำสนธิสัญญากับรัฐบาลใหม่ก็มีผลเท่ากับยอมรับรองโดยปริยายเช่นกัน

 

ข้อ 4. เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ผู้แทนทางการทูตจะได้รับสิทธิพิเศษ และความคุ้มกันหลายประการ ในเรื่องดังกล่าวนี้มีทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายและให้เหตุผลถึงการได้รับสิทธิพิเศษ และความคุ้มกัน ของผู้แทนทางการทูต ให้นักศึกษาอธิบายถึงทฤษฎีดังกล่าวโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การให้สิทธิและความคุ้มครองทางการทูตแก่คณะผู้แทนทางการทูต เป็นผลสืบเนื่องมาจาก สมัยโบราณที่กษัตริย์ได้รับเกียรติและการเคารพจากรัฐต่างประเทศ สิทธิดังกล่าวจึงตกทอดไปยังคณะทูต ซึ่งถือว่า เป็นตัวแทนของกษัตริย์ได้รับความคุ้มครองทั้งในและนอกหน้าที่ ในเรื่องนี้ได้มีทฤษฎี 2 ทฤษฎีเกี่ยวข้องมาอธิบาย ถึงเหตุผลที่คณะทูตได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางภารทูต คือ

1. ทฤษฎีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต มาจากความเชื่อว่า กษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดไมต้อง รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงไม่ต้องอยู่ในอำนาจของศาลของรัฐต่างประเทศ และตัวแทนของกษัตริย์ก็มีฐานะเช่นเดียวกัน จึงถือว่าผู้แทนทางการทูตในขณะที่ไปประจำอยู่ในรัฐผู้รับ ไม่ถือว่าอยู่ในดินแดนของรัฐผู้รับ แต่ถือ เสมือนว่าอยู่ในดินแดนของตนเอง แม้แต่สถานทูตก็ถือว่าอยู่นอกอาณาเขตของรัฐผู้รับ ฉะนั้นเมื่อผู้แทนทางการทูต ไปกระทำผิด จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลของรัฐที่ตนไปประจำอยู่

ทฤษฎีดังกล่าวได้รับการยอมรับนับถือจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ได้เกิดมีความคิดเห็นว่า สิทธิสภาพนอกอาณาเขตไม่ถูกต้องกับความเป็นจริง เพราะถ้ามีอาชญากรหลบหนีเข้าไปในสถานทูต ตามหลักการ ดังกล่าวก็จะต้องทำพิธีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติ ต่อมาทฤษฎีนี้ก็เสื่อมความนิยมไป

2. ทฤษฎีบริการสาธารณะ เนื่องจากเห็นว่าคณะทูตดำเนินงานทางการทูต ซึ่งถือว่าเป็นบริการสาธารณะระหว่างประเทศ เพื่อให้คณะทูตดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของรัฐที่ตนไปประจำอยู่ จะได้ไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องให้เอกสิทธิ์ และความคุ้มกันแกผู้แทนทางการทูต ซึ่งได้ยอมรับทฤษฎีนี้เป็นต้นมา

สิทธิพิเศษที่ผู้แทนทางการทูตได้รับตามกฎหมายระหว่างประเทศ มีลักษณะเช่นเดียวกับ ประมุขของรัฐ ได้แก่ สิทธิล่วงละเมิดมิได้ทั้งในตัวบุคคลและทรัพย์สิน สิทธิได้รับยกเว้นในทางศาล สิทธิได้รับ ยกเว้นภาษี เป็นต้น

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. สนธิสัญญาแบบใดบ้างที่ก่อนการให้สัตยาบันจะต้องขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ และการ ที่ประเทศไทยทำความตกลง FTA อาเซียน-สหภาพยุโรป นั้น ก่อนการให้สัตยาบันจะต้องขอความ เห็นชอบจากสภานิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 190 วรรคสองว่าหนังสือ สัญญาใดที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติก่อน ทั้งนี้รัฐสภาจะต้อง พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวได้แก่

1. สนธิสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือ

2.         สนธิสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือ

3.         สนธิสัญญาที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือ

4.         สนธิสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่าง กว้างขวาง หรือ

5.         สนธิสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมี นัยสำคัญ

กรณีความตกลง FTA อาเซียน-สหภาพยุโรปเป็นสนธิสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ที่จะ ต้องขอความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติก่อนการให้สัตยาบันเพราะมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุนของประเทศ

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงของความขัดแย้งภายในรัฐอาจนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองที่มีการต่อสู้กันของ ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายกบฏ ดังเช่น กรณีของประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมานี้ ซึ่งการต่อสู้ กันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแกรัฐต่างประเทศหรือคนในสัญชาติของรัฐต่างประเทศได้ ประเด็น ปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ คือ รัฐจะต้องรับผิดชอบต่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากสงครามกลางเมือง หรือไมอย่างไร นักศึกษาจงอธิบายประเด็น ดังกล่าวนี้ ให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ซึ่งอาจไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐต่างประเทศหรือคนต่างด้าวได้ ซึ่งมีปัญหาว่า รัฐจำเป็นต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากสงครามกลางเมืองหรือไม ซึ่งต้องแยกพิจารณาว่าความเสียหายนั้นเกิดจากการกระทำของฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายกบฏ

1.         ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายรัฐบาล กฎหมายระหว่างประเทศยอมรับ หลักการว่า รัฐไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายรัฐบาล เพราะถือเสมือนว่า เป็นลักษณะเดียวกับการเกิดสงคราม ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย

แต่อย่างไรก็ตาม หลักการดังกล่าวก็มีข้อยกเว้น ถ้าความเสียหายที่รัฐบาลก่อให้เกิดแกชาวต่างประเทศนั้น มิได้เกิดจากการต่อสู้ในสงครามกันตามปกติวิสัยของการปราบกบฏ เช่น ไปทำลายบ้านเรือนของเอกชน โดยไม่มีความจำเป็นทางทหาร หรือไปยิงคนต่างด้าว หรือปล้นทารุณ หรือฆาตกรรม โดยไม่เกี่ยวข้องกับการปราบกบฏเลย กรณีนี้รัฐก็ยังต้องรับผิดชอบ

2.         ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายกบฏ จะต้องแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี

2.1       กรณีที่ฝายกบฏเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามกลางเมือง รัฐไม่ต้องรับผิดชอบต่อความ เสียหายที่ฝ่ายกบฏได้ก่อขึ้น เพราะฝ่ายกบฏไม่ใช่ตัวแทนของรัฐ ฉะนั้นรัฐบาล จึงพ้นความรับผิดชอบ

แต่อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้น ให้รัฐต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจากการ กระทำของฝ่ายกบฏ ซึ่งเป็นฝ่ายแพ้สงคราม

1)         ถ้ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการอย่างใดเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่รัฐได้ทราบอยู่แล้วว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น และรัฐมีกำลังเพียงพอ ที่จะป้องกันได้ แต่ละเลยไม่กระทำการป้องกัน

2)         กรณีที่รัฐได้ยอมยกโทษให้ฝ่ายกบฏหรืออาจยอมให้ฝ่ายกบฏเข้าร่วมใน คณะรัฐบาล ซึ่งเท่ากับว่ารัฐยอมรับรู้การกระทำของฝายกบฏ

2.2       กรณีที่ฝ่ายกบฏเป็นฝ่ายชนะในสงคราม ถือว่าฝ่ายกบฏต้องรับผิดชอบต่อความ เสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดจากการกระทำของตน หรือของฝ่ายรัฐบาล

 

ข้อ 3. ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งเป็นข่าวที่แพร่หลายโดยทั่วไป ซึ่งรูปแบบของสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐรวมแบบสหพันธรัฐ หรือสหรัฐ (Federal of State) นักศึกษา จงอธิบายถึงลักษณะสำคัญของรัฐรวมในลักษณะดังกล่าวนี้โดยละเอียด และหากนำมาเปรียบเทียบกับรัฐในรูปแบบของรัฐเดียว (Single State) จะมีลักษณะที่แตกต่างกันในประเด็นสำคัญอย่างไร

ธงคำตอบ

สหพันธรัฐหรือสหรัฐ (Federal of State) เป็นการรวมกันของรัฐหลายรัฐในลักษณะที่ก่อให้เกิด รัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว ซึ่งรัฐเดิมที่เข้ามารวมนี้จะสูญสภาพความเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป โดยยอมสละอำนาจอธิปไตยบางส่วนให้แกรัฐบาลกลางของสหพันธรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิจการภายนอก เช่น อำนาจในการป้องกันประเทศ อำนาจในการติดต่อกับต่างประเทศ ส่วนกิจการภายในรัฐสมาชิกยังคงมีอิสระเช่นเดิม

ลักษณะสำคัญของสหพันธรัฐ มีดังต่อไปนี้

1.         การรวมในรูปสหพันธรัฐไม่ใช่การรวมแบบสมาคมระหว่างรัฐ แต่เป็นการรวมที่ก่อให้เกิด รัฐใหม่ขึ้นมารัฐเดียว และจะมีรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐเพื่อเป็นกฎหมายแม่บทใน การปกครอง กำหนดหน้าที่ของรัฐบาลกลางและหน้าที่ของรัฐสมาชิก

2.         รัฐที่มารวมจะหมดสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศไป ซึ่งรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นมา จะมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศเพียงรัฐเดียว

3.         อำนาจการติดต่อภายนอก เช่น การทำสนธิสัญญา การรับส่งผู้แทนทางการทูต กาป้องกันประเทศ ฯลฯ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลกลางแต่ผู้เดียว แต่รัฐสมาชิกก็ยังมีอำนาจอธิปไตย อย่างสมบูรณ์ในกิจการภายในของตนเอง แต่รัฐธรรมนูญของมลรัฐจะขัดกับรัฐธรรมนูญ ของสหพันธรัฐไม่ได้

4.         มลรัฐมีส่วนในการบริหารงานของสหพันธรัฐ โดยสภาสูงจะประกอบด้วยผู้แทนของแต่ละมลรัฐ

5.         ในกรณีที่มลรัฐไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐต่างประเทศ สหพันธรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว

สหพันธรัฐอาจจะเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น เกิดจากหลายรัฐมารวมกันในรูปของสหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ หรือเกิดการเปลี่ยนรูปจากรัฐเดียวมาเป็นสหพันธรัฐ เช่น เม็กชิโก บราซิล เป็นต้น โดยปกติแล้วรัฐสมาชิกของสหพันธรัฐจะไม่สามารกถอนตัวออกไปได้ เว้นแต่จะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ของสหพันธรัฐให้รัฐสมาชิกถอนตัวออกได้

ในปัจจุบันมีรัฐเป็นจำนวนมากที่มีรูปการปกครองแบบสหพันธรัฐ เช่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก บราซิล อินเดีย ปากิสถาน ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน เป็นต้น

ส่วนรัฐเดี่ยว หมายถึง รัฐซึ่งมีการปกครองเป็นเอกภาพ โดยไมมีการแบ่งแยกออกจากกัน ตามปกติจะมีรัฐบาลกลางปกครองประเทศเพียงรัฐบาลเดียว มีการรวมศูนย์อำนาจปกครองไว้ที่รัฐบาลกลาง อาจจะมีการกระจายอำนาจปกครองให้ท้องถิ่นไปดำเนินการปกครองตนเอง แต่ยังอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลกลาง

ตัวอย่างของรัฐเดี่ยว เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สเปน เบลเยียม อิตาลี ไทย เป็นต้น

 

ข้อ 4. กงสุลมีสถานภาพเช่นเดียวกับผู้แทนทางการทูตหรือไม่อย่างไร  ภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1963 ได้แบ่งชั้นกงสุลไว้อย่างไร และกงสุลมีกี่ประเภท จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กงสุลเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในต่างประเทศที่มิใช่ผู้แทนทางการทูต เพื่อช่วยเหลือดูแลรักษา ผลประโยชน์ของบุคคลในสัญชาติของรัฐที่ส่งตนมา

เดิมนั้นระเบียบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกงสุล ได้ถูกกำหนดโดยสนธิสัญญาซึ่งรัฐต่าง ๆ ทำระหว่างกัน ต่อมาคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศจึงได้จัดทำอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกงสุล ค.ศ. 1963 ซึ่งใช้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ประเภทของกงสุล มี 2 ประเภท คือ

1.         กงสุลประจ่าตำแหน่ง ซึ่งเป็นข้าราชการของรัฐ สังกัดกระทรวงต่างประเทศ

2.         กงสุลกิตติมศักดิ์ ไม่มีฐานะเป็นข้าราชการของรัฐ ส่วนใหญ่จะแต่งตั้งจากบุคคลของรัฐ ที่รับกงสุลนั้นเอง ซึ่งตามปกติจะเป็นนักธุรกิจในเมืองนั้นที่มีความสัมพันธ์กับรัฐผู้ส่ง

การแต่งตั้งกงสุล ตามหลักการแล้ว กงสุลขึ้นตรงต่อกระทรวงการต่างประเทศ แต่อยู่ภายใต้ การบังคับบัญชาของสถานทูตของรัฐผู้ส่งในประเทศที่ประจำอยู่ โดยปกติกฎหมายภายในของแต่ละรัฐจะกำหนด คุณสมบัติ วิธีการคัดเลือกและแต่งตั้งกงสุลไว้ การแต่งตั้งกงสุลจะมีลักษณะคล้ายกับการแต่งตั้งผู้แทนทางการทูต โดยจะออกสัญญาบัตรแต่งตั้งเมื่อได้รับความเห็นชอบในตัวบุคคลจากรัฐผู้รับแล้ว

ลำดับชั้นของกงสุล อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1963 มาตรา 9 กำหนดชั้นของกงสุลไว้ดังนี้

1.         กงสุลใหญ่ เป็นหัวหน้ากงสุลหลายเขต หรือหัวหน้าของเขตกงสุลที่ใหญ่มาก

2.         กงสุล เป็นกงสุลประจำเขตที่เล็กลงไป มีอำนาจและขอบเขตอยู่เฉพาะในท้องที่หนึ่งเท่านั้น

3.         รองกงสุล ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยกงสุลใหญ่หรือกงสุลก็ได้

4.         ตัวแทนกงสุล เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปประจำที่ใดที่หนึ่งในเขตกงสุล

หน้าที่ของกงสุล กงสุลมีหน้าที่ที่สำคัญดังต่อไปนี้

1.         กงสุลมีหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐผู้ส่งและบุคคลสัญชาติของรัฐผู้ส่ง ทั้งที่เป็น บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล

2.         สืบเสาะด้วยวิธีการอันชอบด้วยกฎหมายถึงสภาวะและความเคลื่อนไหวในด้านการค้า เศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ของรัฐที่ตนไปประจำ แล้วรายงานต่อรัฐผู้ส่ง

3.         ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การท่องที่ยว วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ ระหว่างรัฐผู้ส่งกับรัฐผู้รับ

4.         ทำหน้าที่อย่างอื่น เช่น ออกใบรับรอง ออกหนังสือเดินทาง งานทะเบียนราษฎร์ จดทะเบียนสมรส และในกรณีจำเป็นส่งคนในสัญชาติของรัฐผู้ส่งกลับประเทศ

5.         ปฏิบัติหน้าที่ที่รัฐผู้ส่งมอบหมายให้ในขอบเขต และที่มิได้ต้องห้ามตามกฎหมายของรัฐ ผู้รับ

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (ข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1. รัฐ และรัฐ ทำสนธิสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างกันโดยกำหนดให้เส้นกึ่งกลางของแม่น้ำที่คั่นกลางระหว่างสองรัฐนี้เป็นเส้นเขตแดนระหว่างกันและสนธิสัญญานี้มีผลบังคับอย่างสมบูรณ์แล้ว ต่อมาปรากฏว่าแม่น้ำนี้เปลี่ยนเส้นทางเดินโดยผลจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ทำให้ลำน้ำล้ำเข้ามา ในดินแดนของรัฐ ส่วนแนวแม่น้ำเดิมตื้นเขินจนกลายเป็นพื้นดิน จากผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ รัฐ เห็นว่ารัฐตนหากขอยกเลิกสนธิสัญญาโดยอ้างหลักการเปลี่ยนแปลงปัจจัยแวดล้อมผิดไปจาก ขณะทำสนธิสัญญาจะได้รับประโยชน์จากการกำหนดเขตแดนกับรัฐ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าตาม หลักการของกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญา ข้ออ้างของรัฐ ที่จะขอให้สนธิสัญญา กำหนดเขตแตนระหว่างตนกับรัฐ สิ้นสุดการบังคับใช้ฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักการอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดส้อมที่สำคัญซึ่งผิดไปจากขณะทำสนธิสัญญา หรือเรียก “Rebus sic stantibus” นั้น นักนิติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้สนธิสัญญาสิ้นสุดลงนั้น จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม ซึ่งเป็นอยู่ในขณะทำสนธิสัญญา จนทำให้ไมสามารถปฏิบัติตามพันธะที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาได้ และการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องชัดแจ้งที่ทุกฝ่ายยอมรับ ได้ด้วย

ตามปกติหลัก Rebus sic stantibus มักจะนำมาใช้แกสนธิสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลานาน หรือไม่มีกำหนดระยะเวลา และการอ้างหลักการดังกล่าว คูสัญญาจะบอกเลิกสนธิสัญญาโดยพลการฝ่ายเดียวไม่ได้ จะต้องทำความตกลงกับคูสนธิสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมรับเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ในมาตรา 62 ได้บัญญัติไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสิ่งแวดล้อมนี้ ไม่อาจอ้างเป็นมูลเหตุเพื่อบอกเลิกสนธิสัญญาหรือ ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาได้ ในกรณีที่

1.         สนธิสัญญานั้นเป็นสนธิสัญญากำหนดเขตแดน

2.         การเปลี่ยนแปลงเป็นผลจากการที่ภาคีไม่ปฏิบัติตามหนี้แห่งสนธิสัญญา ซึ่งจะต้องกระทำต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ สนธิสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างรัฐ กับรัฐ ที่กำหนดให้เส้นกึ่งกลาง ของแม่น้ำที่คั่นกลางระหว่างสองรัฐนี้เป็นเส้นเขตแตนระหว่างกัน แม้ต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ สิ่งแวดล้อมผิดไปจากขณะที่ทำความตกลงกันอย่างมากมายก็ตาม รัฐ ก็ไมอาจอ้างมูลเหตุดังกล่าวเพี่อบอกเลิก สนธิสัญญากำหนดเขตแดนกับรัฐ ได้ เพราะเป็นสนธิสัญญาที่เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน จึงเข้าข้อยกเว้น ไมอาจบอกเลิกสนธิสัญญาด้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าว ดังนั้นข้ออ้างของรัฐ ที่จะขอให้ สนธิสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างตนกับรัฐ สิ้นสุดการบังคับใช้จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของรัฐ ที่จะขอให้สนธิสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างตนกับรัฐ สิ้นสุดการบังคับใช้ ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นักศึกษาอธิบายให้ชัดเจนว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัย หลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดีพิจารณาคดีได้อย่างไรหรือไม และมีเงื่อนไขอย่างไร ในการดำเนินการดังกล่าวนี้

ธงคำตอบ

หลักความยุติธรรมถือเป็นที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศชั้นรองลงมาจากสนธิสัญญา จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไป ตามมาตรา 38 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า ศาลอาจวินิจฉัยคดีโดยอาศัยหลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดี หากคู่ความตกลงให้ปฏิบัติเช่นนั้น

กล่าวคือ เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ศาลจะวินิจฉัยคดีโดยยึดหลักความยุติธรรม ได้ต่อเมือไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศใดที่จะยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาคดีได้ เช่น ไม่มีสนธิสัญญา ไมมี จารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทั่วไปใด ๆ ที่จะยึดเป็นหลักในการวินิจฉัยคดีได้ คู่ความอาจตกลงกัน ให้ศาลใช้หลักความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบอันดีของศาลเองนำมาพิจารณาตัดสินคดีได้ แต่ศาลจะนำมาใช้ โดยพลการไมได้ต้องได้รับความยินยอมจากคูกรณีก่อน อีกทั้งต้องไม่ขัดต่อหลักกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย

 

ข้อ3. จงอธิบายถึงสถานะของรัฐเป็นกลางถาวร เช่น สวิสเซอร์แลนด์ว่ามีลักษณะและ เกิดขึ้นได้อย่างไร และรัฐที่เป็นกลางนี้ยังมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่

ธงคำตอบ

สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าปัจจุบันเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีสถานะเป็นกลางถาวรนั้น ถือว่า สถานะความเป็นกลางถาวรเป็นสภาวะทางกฎหมายของประเทศหนึ่ง ซึ่งผูกพันเกิดขึ้นโดยสนธิสัญญาหลายฝ่าย มีสังคมระหว่างประเทศหลาย ๆ ประเทศทำสนธิสัญญาขึ้นมาค้ำประกันความเป็นกลางของประเทศนั้น ๆ โดย สวิสเซอร์แลนด์ได้รับสภาพความเป็นกลางถาวรโดยสนธิสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1815

รัฐที่เป็นกลางถาวรนี้ถือได้ว่ายังมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ทุกประการแต่ไม่มีสิทธิทำสงครามได้ นอกจากสงครามป้องกันตัวเอง รัฐที่เป็นกลางถาวรจึงปลอดจากเรื่องเกี่ยวกับทหาร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทหาร ไม่มีการร่วมมือทางทหารกับประเทศใด ในความเป็นรัฐที่เป็นกลางถาวรจึงมีข้อจำกัด บางอย่างในการทำสนธิสัญญาเกี่ยวข้องกับประเทศใด ๆ ที่อาจกระทบกระเทือนสภาพความเป็นกลางของตน เช่น สนธิสัญญาพันธมิตรทางทหาร แต่ในเรื่องอื่น ๆ นอกจากนี้ รัฐที่เป็นกลางถาวรมีสถานะอย่างสมบูรณ์คงเดิม

 

ข้อ 4.

ก) ข้อพิพาทระหว่างประเทศแบ่งออกเป็นกี่ประเภท จงอธิบาย

ข) การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีมีกี่วิธี จงอธิบายมาพอสังเขป

ธงคำตอบ

ก) ข้อพิพาทระหว่างประเทศมี 2 ประเภท คือ

1.         ข้อพิพาทในด้านกฎหมาย หมายถึง ข้อขัดแย้งซึ่งคู่กรณีไมสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับ การบังคับใช้หรือตีความกฎหมายที่ใช้อยู่ และการระงับข้อพิพาทในด้านกฎหมายมักจะกระทำไปในรูปอนุญาโตตุลาการ หรือศาล

2.         ข้อพิพาททางด้านการเมือง หมายถึง ข้อพิพาทซึ่งคูกรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้แก้ไข สิทธิหรือกฎหมายที่ใช้อยู เช่น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเรียกร้องดินแดนคืน เป็นต้น

ข) การระงับกรณีพิพาทระหว่างรัฐโดยสันติวิธีได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 ของกฎบัตรสหประชาชาติว่า สมาชิกขององค์การสหประชาชาติผูกพันที่จะระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อ สันติภาพ ความมั่นคงระหว่างประเทศ และความยุติธรรม‘’ นอกจากนั้นสมัชชาสหประชาชาติได้ประกาศในปี ค.ศ. 1970 ว่า หน้าที่ของรัฐทุกรัฐมิใช่เฉพาะสมาชิกของสหประชาชาติที่จะต้องพยายามระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี แต่ทุกประเทศ ในโลกจะต้องใช้ความพยายามทุกอย่างเพื่อให้มีการระงับกรณีพิพาทโดยสันติวิธี

การระงับกรณีพิพาทโดยสันติวิธีอาจจะกระทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้

1.         การเจรจา (Negotiation) วิธีนี้รัฐส่วนใหญ่ใช้แก้ไขปัญหาก่อนวิธีอื่น ๆ ทั้งนี้อาจเจรจา โดยผ่านทางคณะทูต หรือเจรจากันโดยตรงระหว่างประมุขของรัฐหรือรัฐบาล ถ้าการเจรจาล้มเหลว รัฐคูพิพาทอาจ จะใช้วิธีอื่นในการยุติข้อพิพาทต่อไป

2.         การไกล่เกลี่ย (Mediation) เป็นกรณีที่รัฐฝ่ายที่สามหรือบุคคลที่สามอาจยื่นมือเข้ามา ช่วยไกลเกลี่ยปัญหาให้ อาจเป็นการไกล่เกลี่ยในลักษณะจัดให้มีการเจรจากันเท่านั้น (Good Offices) หรือ เข้าร่วมเจรจาและเสนอแนวทางยุติข้อพิพาท (Mediation) ก็ได้

3.         การไต่สวน (Enquiry) เป็นการเสนอข้อพิพาทต่อคณะกรรมการไต่สวนที่ตั้งขึ้น เพื่อ รวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาท โดยไม่มีการตัดสินชี้ขาดว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด รวมทั้ง ไม่มีการเสนอแนวทางยุติปัญหาแต่อย่างใด

4.         การประนีประนอม (Conciliation) เป็นการระงับกรณีพิพาทโดยการจัดตั้งคณะบุคคล หรือคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแสวงหาข้อเท็จจริง พร้อมทั้งเสนอแนวทางที่จะยุติข้อพิพาทได้ด้วย แต่ข้อเสนอนั้น ไมผูกพันคูกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

5.         อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) เป็นการพิจารณาตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐ โดยบุคคล คนหนึ่งหรือคณะบุคคลหรือศาลที่ไม่ใช่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐคูพิพาทเลือกแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็น อนุญาโตตุลาการด้วยความเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งปกติมักจะเป็นข้อพิพาทในทางกฎหมาย

6.         ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นอย่างถาวร โดยอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1899 และ 1907 เมื่อคู่พิพาทตกลงจะนำคดีขึ้นสู่ศาล รัฐคู่รณีจะเลือกผู้พิพากษาตามจำนวนที่คู่กรณีตกลงกัน อาจจะหลายคนหรือคนเดียวก็ได้ คำตัดสินของศาลถือเป็นสิ้นสุดและผูกพันรัฐคู่กรณี

7.         ศาลยุติธรรมระหว่างประทศ (ศาลโลก) เป็นการระงับข้อพิพาททางศาลตามความหมาย ที่แท้จริง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทเกี่ยวกับการตีความสนธิสัญญา ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศ กรณีเกิดการเสียหายเพราะละเมิดพันธะระหว่างประเทศ คำตัดสินของศาลผูกพันคูกรณีให้ต้องปฏิบัติ และถือเป็นที่สุดไมมีอุทธรณ์ ฎีกา

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

 ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กำหนดไว้ว่า คำพิพากษาของศาล เป็นเพียงเครื่องช่วยในการวินิจฉัยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเท่านั้น ศาลฯ ต้องตัดสินตามหลักกฎหมายที่มีอยู่แล้ว แต่จากการศึกษาถึงที่มาของกฎหมายระหว่างประเทศ เห็นว่าคำพิพากษาของศาลเป็นที่มาประการหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น นักศึกษาจงอธิบายให้ชัดเจนถึงประเด็นดังกล่าวนี้ว่าคำพิพากษา ของศาลอาจเป็นที่มาได้อย่างไร

ธงคำตอบ

คำพิพากษาของศาล มีอิทธิพลในการสร้างกฎหมายภายในอย่างมาก แต่คำพิพากษาของศาล ยังไม่ถือว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงแต่แหล่งที่มาอีกประการหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ ไม่ใช่แหล่งที่มาโดยตรงเหมือนเช่นสนธิสัญญาและจารีตประเพณีระหว่างประเทศ กล่าวคือ คำพิพากษาของศาลใน คดีก่อนเป็นเพียงวิธีการเสริมที่ช่วยผู้พิพากษาหรืออนุญาโตตุลาการในการใช้กฎหมายหรือแปลความหมายของกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตามคำพิพากษาของศาลมีบทบาทในการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศโดยทางอ้อม ในกรณีดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจทำให้เป็นหลักกฎหมายได้ในที่สุด

1. ในการใช้หลักกฎหมายบังคับคดี ศาลอาจจะต้องตีความตัวบทกฎหมายซึ่งสามารถถือเป็น หลักกฎหมายในการบังคับคดีในครั้งต่อไปได้

2.         ในบางกรณีศาลอนุญาโตตุลาการหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอาจจะได้รับมอบหมายจากคู่กรณีให้สร้างกฎเกณฑ์ในการตัดสินให้ ในกรณีที่ไม่สามารถนำหลักกฎหมายใดมาตัดสินได้ กฎเกณฑ์เหล่านั้น จะกลายเป็นหลักกฎหมายต่อมาได้

3.         การยึดถือคำพิพากษาของศาลในคดีก่อน ๆ มาเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานในการ พิจารณาคดี แม้ว่าไม่ผูกพันศาลที่จะต้องตัดสินคดีตามคำพิพากษาเดิม แต่ทางปฏิบัติหากข้อเท็จจริงทำนองเดียวกัน ศาลมักจะตัดสินตามแนวคำพิพากษาเดิมที่ตัดสินไว้ และจะกลายเป็นหลักกฎหมายในที่สุด

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า รัฐ ไมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำสนธิสัญญาฉบับหนึ่ง ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ต่อมารัฐ สนใจที่จะเข้ามาเป็นภาคีของสนธิสัญญานั้นในภายหลัง ท่านในฐานะที่ผ่านการศึกษา ในเรื่องสนธิสัญญามาแล้ว จะให้คำปรึกษาแก่รัฐ ว่ามีวิธีการที่จะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสนธิสัญญาฉบับนี้ และต้องอธิบายให้รัฐ เข้าใจอย่างละเอียดถึงวิธีการดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่รัฐ ว่า แม้รัฐ จะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำสนธิสัญญา ตั้งแต่เริ่มต้น รัฐ ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในสนธิสัญญาในภายหลังได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้

1.         การลงนามภายหลัง (Deferred Signature) เป็นกรณีที่รัฐไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมใน การทำสนธิสัญญานั้นแต่แรก แต่เข้ามามีส่วนในขั้นตอนหลังจากการเจรจาผ่านไปแล้วและอยู่ในระยะของขั้นตอนที่ 2 คือการลงนาม การลงนามภายหลังนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับการเข้าร่วม แต่ต่างกันตรงที่การเข้าร่วมนั้นจะมี ผลผูกพันนับแต่มีการปฏิญญาขอเข้าร่วมในสนธิสัญญา ส่วนการลงนามภายหลังนี้รัฐที่ลงนามภายหลังยังไม่มี พันธกรณีตามสนธิสัญญา เพราะจะต้องให้สัตยาบันก่อนจึงจะถือว่าเป็นภาคีสนธิสัญญาและมีผลผูกพันรัฐนั้น

2.         ภาคยานุวัติหรือการเข้าร่วม (Adhesion) คือ การที่รัฐหนึ่งรัฐใดไม่ได้เข้ามามีส่วนใน การทำสนธิสัญญาตั้งแต่แรก แต่เมื่อสนธิสัญญาผ่านขั้นตอนการลงนามจนมีผลใช้บังคับ และมิได้ระบุห้ามการ ภาคยานุวัติไว้ รัฐนั้นก็อาจเข้าไปร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญานั้นในภายหลังหลังจากระยะเวลาการลงนามได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยยอมรับผูกพันตามสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา ซึ่งมีผลผูกพันนับแต่วันทำภาคยานุวัติ ไม่มีผลย้อนหลังแต่อย่างใด

อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ค.ศ. 1969 ได้กำหนดว่า ความยินยอมของรัฐที่จะรับพันธกรณี ตามสนธิสัญญาด้วยการทำภาคยานุวัติ จะทำได้ในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้

1)         สนธิสัญญานั้นกำหนดไว้โดยตรงให้มีการทำภาคยานุวัติได้

2)         ทุกรัฐที่เป็นภาคีของสนธิสัญญานั้นตกลงให้มีการภาคยานุวัติได้

การเข้าร่วมหรือภาคยานุวัติสามารถกระทำได้ 3 วิธี คือ

1) การทำสนธิสัญญาพิเศษระหว่างรัฐที่เข้าร่วมกับรัฐภาคีสนธิสัญญาเดิม ซึ่งต้องมีภารให้สัตยาบันตามปกติ

2)         โดยการแลกเปลี่ยนปฏิญญา (Declaration) คือรัฐที่เข้าร่วมทำปฏิญญาขอเข้าร่วม และรัฐคูสัญญาทำปฏิญญารับเข้าร่วม และต้องมีการให้สัตยาบันปฏิญญาด้วย

3)         โดยรัฐที่ขอเข้าร่วมส่งคำปฏิญญาฝ่ายเดียวไปยังรัฐบาลที่สนธิสัญญากำหนดให้ เป็นผู้รับเรื่องและแจ้งให้ภาคีสนธิสัญญาทราบ การเข้าร่วมวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องให้ สัตยาบันอีก เว้นแต่รัฐที่ขอเข้าร่วมจะระบุว่าตนขอเข้าร่วมภายใต้ข้อสงวนในการ ให้สัตยาบัน วิธีที่สามนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

 

ข้อ 3. จงอธิบายว่าสภาพบุคคลของรัฐจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อรัฐมีสภาพบุคคลของความเป็นรัฐตาม กฎหมายระหว่างประเทศแล้ว จะสามารถติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้โดยอัตโนมัติหรือไม่

ธงคำตอบ

สภาพบุคคลของรัฐ หรือรัฐในฐานะที่เป็นบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ จะเกิดขึ้นได้เมื่อ มีเงื่อนไขหรือองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการดังต่อไปนี้ คือ

1.         ดินแดน กล่าวคือ รัฐต้องมีดินแดนให้ประชาชนได้อยู่อาศัย ซึ่งดินแดนของรัฐนั้นรวม ทั้งพื้นดิน ผืนน้ำ และท้องฟ้าเหนือดินแดนด้วย ดินแดนไมจำเป็นต้องเป็นผืนเดียวติดต่อกัน อาจจะเป็นดินแดน โพ้นทะเลก็ได้ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่ได้กำหนดขนาดของดินแดนไว้ ฉะนั้นรัฐจะมีดินแดนมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ข้อสำคัญ แต่ต้องมีความแน่นอนมั่นคงถาวร และกำหนดเขตแดนไว้แน่นอนชัดเจน

2.         ประชากร กล่าวคือ มีประชากรอาศัยอยู่ในดินแดนที่มีความแน่นอน ซึ่งกฎหมายระหว่าง ประเทศก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมีจำนวนประชากรมากน้อยเท่าไร เพียงแต่ต้องมีจำนวนมากพอสมควรที่จะสามารถ ดำรงความเป็นรัฐได้ ซึ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนของรัฐนี้ไม่จำเป็นต้องมีชนชาติเดียวกัน อาจมีเชื้อชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน แต่มีความผูกพันทางนิตินัยกับรัฐ คือ มีสัญชาติเดียวกัน

3.         รัฐบาล กล่าวคือ มีคณะบุคคลที่ใช้อำนาจเหนือดินแดนและประชากรมาทำการบริหารงาน ทั้งภายโนและภายนอกรัฐ จัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน จัดระเบียบการปกครองภายใน รักษาความสงบเรียบร้อย ในดินแดนของตน ดำเนินการป้องกันประเทศ ส่งเสริมความเจริญของประเทศ และรักษาสิทธิผลประโยชน์ของประชาชน

4.         อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ รัฐลามารถที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างอิสระทั้งภายใน และภายนอกรัฐ อำนาจอิสระภายใน หมายถึง อำนาจของรัฐในการจัดกิจการภายในประเทศได้อย่างอิสระเสรีแต่ พียงผู้เดียว โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก ส่วนอำนาจอิสระภายนอก หมายถึง อำนาจของรัฐในการ ติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่นได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากรัฐอื่น และได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับรัฐอื่น

เมื่อเป็นรัฐและมีสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การจะติดต่อสัมพันธ์กับรัฐอื่น ได้จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองสภาพความเป็นรัฐจากรัฐที่ตนเข้าไปทำการติดต่อด้วย

สำหรับการรับรองรัฐนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.         การรับรองโดยพฤตินัย เป็นลักษณะการรับรองชั่วคราว โดยไม่ได้ไปดำเนินการอย่างเป็น ทางการหรือกระทำอย่างชัดแจ้ง เช่น การทำข้อตกลงชั่วคราวหรือมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างไมเป็นทางการ จากนั้นจึงให้การรับรองโดยนิตินัยต่อไป

2.         การรับรองโดยนิตินัย เป็นการรับรองรัฐอย่างถาวรซึ่งรัฐแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งที่จะ เข้าไปดำเนินความสัมพันธ์กับรัฐใหม่อย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ การรับรองรัฐไม่มีแบบพิธีเป็นพิเศษ อาจจะกระทำไดโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้

 

ข้อ 4. จงอธิบายวิธีการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติวิธีที่เรียกว่า การไกล่เกลี่ย” (Mediation) ว่ามีลักษณะอย่างไร และแตกต่างจากวิธีที่เรียกว่า Good Office อย่างไร

ธงคำตอบ

การไกลเกลี่ย (Mediation) เป็นกรณีที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ติดต่อให้คูกรณีมีการเจรจากัน และตนก็เข้าร่วมในการเจรจาด้วย รวมทั้งสามารถเสนอแนวทางในการยุติข้อพิพาทให้คู่กรณีพิจารณาได้ด้วย แต่ไม่ผูกพันรัฐคู่พิพาท ซึ่งอาจจะยอมรับแนวทางการไกล่เกลี่ยนั้นหรือไมก็ได้ เพราะกระบวนการไกล่เกลี่ยนั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความสมัครใจของทุกฝ่า ย

การไกลเกลี่ยรูปนี้มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ

1.         ผู้เสนอตัวหรือผู้รับการไกล่เกลี่ยเป็นไปด้วยความสมัครใจ

2.         ข้อเสนอการไกลเกลี่ยรัฐคู่พิพาทอาจจะรับหรือไมก็ได้

ส่วน Good Offices เป็นกรณีที่รัฐที่สามหรือบุคคลที่สามเข้ามาอำนวยความสะดวกให้คูกรณี ทำการเจรจากันโดยตรง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นกรณีที่รัฐที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะตัวกลางเพื่อโน้มน้าว ชักจูง ประสานให้คู่กรณีมาพบกัน เพื่อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างกัน โดยตนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเจรจาหรือเสนอ ข้อยุติแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกจัดให้มีการเจรจากันเท่านั้น เช่น จัดสถานที่เจรจาให้ เป็นต้น

การไกล่เกลี่ย (Mediation) กับ Good Offices ต่างกันตรงที่รัฐที่ทำหน้าที่ Good Offices จะ ไมเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการระงับข้อพิพาทเช่นรัฐที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย

LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4003 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สนธิสัญญาใดบ้างที่ในการจัดทำตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ว่าด้วยสนธิสัญญา ประเทศไทย จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา และถ้าสนธิสัญญาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบจากการ ปฏิบัติตามภายหลังเกิดความผูกพันแล้ว ต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการชนาดกลาง ขนาดย่อม รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 190 วรรคสองว่า หนังสือสัญญาใดที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติก่อน ทั้งนี้รัฐสภา จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวได้แก่

1.         สนธิสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือ

2.         สนธิสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือ

3.         สนธิสัญญาที่จะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือ

4.         สนธิสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่าง กว้างขวาง หรือ

5.         สนธิสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมี นัยสำคัญ

และในกรณีที่การปฏิบัติตามหนังสือสัญญาดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม คณะรัฐมนตรี (รัฐบาล) จะต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสมและเป็นธรรม (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 190 วรรคสี่)

 

ข้อ 2. กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในสามารถอธิบายได้โดย

ทฤษฎี 2 ทฤษฎีคือ

1.         ทฤษฎีทวินิยม (Dualism) ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายภายในกับกฎหมายระหว่างประเทศ มีลักษณะที่แตกต่างกัน ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เป็นกฎหมายคนละระบบแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แตกต่างกันทั้งที่มา การบังคับใช้ และความผูกพัน ในการนี้ถ้ากฎหมายภายในขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ ยังถือว่ากฎหมายภายในสมบูรณ์อยู่ใช้บังคับได้ภายในรัฐ แต่ถ้าการบังคับใช้กฎหมายภายในดังกล่าวก่อให้เกิด ความเสียหายต่อรัฐอื่น รัฐนั้นในฐานะเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้นด้วย นอกจากนี้รัฐที่นิยมในทฤษฎีดังกล่าว เมื่อเข้าผูกพันในกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ในกรณีที่จะนำกฎหมายระหว่างประเทศมาใช้บังคับภายในประเทศ จะนำมาใช้บังคับเลยไมได้ จะต้องนำกฎหมายนั้นมาแปลงให้ เป็นกฎหมายภายในเสียก่อน เช่น ออกประกาศ หรือ พ.ร.บ. รองรับ เป็นต้น

2. ทฤษฎีเอกนิยม (Monism) อธิบายว่า กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายใน ไม่แตกต่างกัน มีความสัมพันธ์กัน ทั้งนี้เพราะกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศต่างมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ เพื่อก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย ไมว่าจะเป็นสังคมภายในหรือระหว่างประเทศ แต่ก็เห็นว่ากฎหมายระหว่าง ประเทศมีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่า ดังนั้นรัฐที่นิยมทฤษฎีนี้จึงไม่ต้องทำการแปลงรูปกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะกฎหมายระหว่างประเทศจะเข้ามามีผลเป็นกฎหมายภายในโดยอัตโนมัติ เพราะกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไมได้

 

ข้อ 3. จงอธิบายวิธีการได้ดินแดนของรัฐ โดยการครอบศรองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ ตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศให้ชัดเจน และหากเปรียบเทียบกับการได้ดินแดนของรัฐโดยการใช้กำลังจะแตกต่างกันในสาระสำคัญตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

การครอบครองดินแดนที่ไมมีเจ้าของ คือ การเข้าครอบครองดินแดนที่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้ อำนาจอธิปไตยของรัฐใด หรืออาจเคยอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐอื่น แต่รัฐนั้นได้ทอดทั้งไปแล้ว ซึ่งการเข้าครอบครองต้องกระทำโดยรัฐหรือในนามของรัฐ เอกชนหรือองค์กรของเอกชนไมสามารถเข้าครอบครองดินแดนได้ อนึ่งการครอบครองต้องกระทำติดต่อมีลักษณะถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว

มีหลักเกณฑ์ที่ยอมรับนับถือเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศว่า การครอบครองดินแดนที่ ไม่มีเจ้าของต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 2 ประการ คือ

1.         ต้องแจ้งการครอบครองดินแดนต่อรัฐอื่น

2.         ต้องมีการครอบครองอย่างแท้จริง โดยสามารถที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย และสิทธิ ต่าง ๆ เหนือดินแดนดังกล่าว ใช้อำนาจอธิปไตยบนดินแดนนั้น และสามารถให้บริการ สาธารณะที่จำเป็นแก่ประชาชนด้วย

3.         ต้องเป็นการครอบครองในนามของรัฐหรือโดยองค์กรของรัฐ

ซึ่งปัจจุบันการครอบครองดินแดนที่ไม่มีเจ้าของยังสามารถดำเนินการได้ ต่างจากการได้ดินแดน โดยการใช้กำลังเข้ายึดครอง ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าถูกต้องหรือความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ และถือว่าการครอบครองดินแดนด้วยกำลังทางทหาร ไม่ก่อให้เกิดการโอนอำนาจอธิปไตย อย่างเด็ดขาด ทั้งยังเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย

 

ข้อ 4. จงอธิบายการระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศ โดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่ามีลักษณะการ ดำเนินงานอย่างไร ใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาคดี และเมื่อตัดสินชี้ขาดไปแล้ว จะมีผลผูกพันคู่กรณีอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นการระงับข้อพิพาททางศาล ตามความหมายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นลักษณะของการเสนอข้อพิพาทให้ศาลที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างถาวร โดยมี ผู้พิพากษาประจำอยู่ มีระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีพิจารณาความของตนเอง แตกต่างจากศาลอนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศ แต่ก็เป็นการระงับข้อพิพาทในทางกฎหมาย และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพกฎหมายเช่นเดียวกัน

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทระหว่างประเทศหรือรัฐเท่านั้น และต้องการเกิดจากความสมัครใจของรัฐคู่กรณีด้วย มีเขตอำนาจในเรื่องดังต่อไปนี้คือ

1.         การตีความสนธิสัญญา

2.         ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ

3.         ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อผูกพันระหว่างประเทศ

4.         กรณีเกิดการเสียหายเพราะละเมิดพันธะระหว่างประเทศ

นอกจากนี้คู่พิพาทอาจจะขอให้ศาลพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ในสนธิสัญญา และ ยังมีหน้าที่ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายแก่คณะมนตรีและสมัชชาของสันนิบาตชาติด้วย ในกรณีที่ถูกร้องขอ

ในการตัดสินคดี ศาลจะใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้เป็นหลักในการพิจารณาคดี

1.         สนธิสัญญา

2.         จารีตประเพณีระหว่างประเทศ

3.         หลักกฎหมายทั่วไป

4.         คำพิพากษาของศาล

5.         ความเห็นของนักนิติศาสตร์

6.         หลักเกณฑ์อื่น ๆ เช่น หลักความยุติธรรม หลักมนุษยธรรม เป็นต้น

การนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยปกติเป็นความประสงค์ของคู่กรณีเอง นอกจากจะมีสนธิสัญญาที่คู่กรณีทำไว้บังคับให้ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ คำตัดสินของศาลผูกพันคู่กรณีให้ต้องปฏิบัติ และถือเป็นที่สุดไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา คำพิพากษาของศาลมีลักษณะเป็นพันธกรณีที่คู่กรณีจะต้องปฏิบัติตาม และคำพิพากษาถือเป็นสินสุด และผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น ถ้ารัฐใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา รัฐอีกฝ่ายหนึ่งอาจร้องเรียนไปยังคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งถ้าคณะมนตรีความมั่นคงเห็นว่าจำเป็นก็อาจทำคำแนะนำ หรือวินิจฉัยมาตรการที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษา

WordPress Ads
error: Content is protected !!