HIS1003 อารยธรรมโลก การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1003 อารยธรรมโลก

คำสั่ง ให้น้กศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         แหล่งอารยธรรมโบราณขอองจีนเกิดขึ้นบริเวณใด

(1) ลุ่มนํ้าแยงซี           

(2) ลุ่มนํ้าฮวงโห          

(3) ลุ่มนํ้ายาลู 

(4) ลุ่มนํ้าอามูร์

ตอบ 2 หน้า 272 ตามทฤษฎีสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เชื่อว่า อารยธรรมจีนสมัยแรกเริ่มนั้น กำเนิดขึ้นในยุคหินใหม่ หรือเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณ ลุ่มแม่น้ำเหลืองหรือแม่น้ำฮวงโหอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหลักฐานสำคัญทางโบราณคดีที่แสดงถึง ความเก่าแก่ที่สุดของอารยธรรมจีนในยุคนี้ได้แก่ วัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผา เช่น วัฒนธรรมลี และเสียน วัฒนธรรมยังเชาและลุงชาน เป็นต้น

2.         ชาวตะวันตกในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรียกแหล่งอารยธรรมจีนโบราณว่า

(1)       อาณาจักรกลาง          

(2)       ตะวันออกไกล

(3)       เอเชียตะวันออก         

(4)       อาณาจักรทะเลใต้

ตอบ 2 หน้า 270 จีนได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางทางด้านอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีปเอเชีย ซึ่งดินแดนแถบนี้เดิมทีชาวจีนเรียกว่า อาณาจักรกลาง” แต่สำหรับชาวตะวันตกจะรู้จักกันในชื่อ ตะวันออกไกล” พอมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เอเชียตะวันออก

3.         เครื่องปั้นดินเผาซึ่งเป็นหลักฐานทางโบราณคดีของจีนที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุประมาณ

(1) 4,000ปี     

(2) 10,000ปี  

(3) 50,000ปี  

(4) 100,000ปี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

4.         ข้อใดเกิดขึ้นลมัยราชวงศ์เฉีย

(1) เริ่มใช้อักษรภาพ

(2) เกิดคำสอนลัทธิเต๋า          

(3) จารึกพุทธศาสนาลงบนเสาหิน     

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 273 ผลงานสำคัญที่ราชวงศ์เฉียได้สร้างไว้ มีดังนี้

1. ตำแหน่งจักรพรรดิสืบทอดกับทาง สายโลหิต และมีการปกครองแบบนครรัฐ

2. มีการใช้รถม้าในการทำสงคราม

3 มีการนำทองสำริดเข้ามาใช้แทนดินเผา

4. เริ่มมีการใช้อักษรภาพเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร

5.         มีการริเริ่มทำปฎิทินซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีความใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด

5.         ภาวะจลาจลหรือเลียดก๊กเกิดขึ้นสมัยใด

(1) โจวตะวันตก         

(2) โจวตะวันออก       

(3) โจวเหนือ   

(4) โจวใต้

ตรบ 2 หน้า 275 – 276, (คำบรรยาย) ยุคแห่งความแตกแยกของจีนในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออกนั้น บ้านเมืองได้เกิดสงครามจนถึงขั้นที่เรียกว่า ภาวะจลาจหรือเลียดก๊ก” ซึ่งทำให้เกิดการเสนอ ข้อคิดเห็นทางปรัชญาขึ้นมากมาย เสมือนหนึ่งการเบ่งบานสะพรั่งของดอกไม้นับร้อยดอก ควบคู่ไปด้วย

6.         นักปราชญ์ท่านใดในช่วงปลายสมัยราชวงศ์โจวมีชาติกำเนิดสูงสุด

(1) ขงจื๊อ         

(2) เหลาจื๊อ     

(3) เม่งจื๊อ       

(4) หานเพ่ยจื๊อ

ตอบ 4 หน้า 277 ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์โจวนั้น สำนักนิติธรรมนิยมหรือสำนักฝาเจี่ยมีนักปรัชญา ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ฮั่นไฝสือ (หานเฟยจื๊อ) ซึ่งมีชาติกำเนิดสูงสุดคือ เป็นเจ้าชายแห่งรัฐฮั่น ในมณฑลเหอหนัน โดยแนวคิดของสำนักนี้เชื่อว่า สังคมที่แตกแยกเกิดจากธรรมชาติที่ไม่ดีของมนุษย์ ซึ่งแนวทางแก้ไขก็คือ ต้องสอนให้มนุษย์เป็นคนรู้จักคิดและมีเหตุผลมากขึ้น

7.         ศาสนาพุทธเผยแผ่เข้ามาในสังคมจีนสมัยใด

(1) โจว

(2) จิ๋น 

(3) ฮั่น 

(4) สุย

ตอบ 3 หน้า 278 – 279 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญซึ่งเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีดังนี้

1.         เป็นสมัยแรกที่ศาสนาพุทธเผยแผ่จากอินเดียเข้าสู่จีน

2.         มีระบบการสอบไล่เข้ารับราชการเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ตำราของขงจื๊อเป็นแนวทาง

3.         เป็นสมัยแรกที่จีนส่งกองคาราวานเดินทางไปค้าขายกับตะวันตก (ยุโรป) ไกลถึงอาณาจักรโรมัน (กรุงโรม) จนทำให้เกิด เส้นทางสายไหม” (Silk Route) ขึ้น

4.         มีการนำกระดาษมาพิมพ์เป็นธนบัตรแทนเงินตราที่ทำด้วยโลหะเป็นครั้งแรก ฯลฯ

8.         Silk Route เกิดขึ้นสมัยใด

(1) โจว-อียิปต์

(2) จิ๋น-กรีก     

(3) ฮั่น-โรม      

(4) ถัง-ไบแซนไทน์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9.         ใครคือผู้นำในการขับไล่พวกมองโกลออกไป แล้วสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นปกครองจีน

(1) เจากวงอิน 

(2) หลีซื่อหมิน

(3) จูหยวนจาง           

(4) หวางอันซือ

ตอบ 3 หน้า 284, (คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1368 กัวซือซิงและจูหยวนจางได้เป็นผู้นำในการขับไล่พวกมองโกลออกไปจากแผ่นดินจีน โดยสามารถยึดเมืองต่าง ๆ ได้สำเร็จทำให้กษัตริย์โตกอนเตมูร์ หลบหนีกลับไปมองโกเลีย ส่วนจูหยวนจางได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง โดยทรงพระนามว่า พระเจ้าฮังวู

10.       ราชวงศ์ใดของจีนได้ชื่อว่าปกครองแบบเผด็จการมากที่สุด

(1) แมนจู        

(2) ถัง 

(3) หยวน        

(4) หมิง

ตอบ 4 หน้า 285 โครงสรางการปกครองในสมัยราชวงศ์หมิงยังคงใช้รูปแบบเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น เพียงแต่ว่าจักรพรรดิแต่ละพระองศ์ไม่ค่อยยึดคำสั่งสอนของขงจื๊อ ทำให้จักรพรรดิ ขาดเมตตาธรรมในการบริหารประเทศ อีกทั้งไม่ยอมรับฟังคำปรึกษาของขุนนางเหมือนแต่ก่อน ทำให้มีผู้เรียกราชวงศ์นี้ว่าเป็น ราชวงศ์ที่ใช้อำนาจเผด็จการมากที่สุด

11.       สงครามฝิ่นคือความขัดแย้งระหว่างจีนกับใคร

(1) อังกฤษ     

(2) ฝรั่งเศส     

(3) รัสเซีย       

(4) ญี่ปุ่น

ตอบ 1 หน้า 287, (คำบรรยาย) สงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839 – 1842) เป็นสงครามระหว่างจีนกับอังกฤษ ที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์แมนจู ซึ่งผลปรากฏว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้ต้องลงนามใน สนธิสัญญาไม่เสมอภาคฉบับแรกกับชาวตะวันตกคือ สนธิสัญญานานกิง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

1.         จีนต้องเปิดเมืองท่า 5 แห่ง ได้แก่ แคนตอน เอหมึง ฟูเจา นิงโป และเซี่ยงไฮ้ ให้เป็น เขตสัมปทานซึ่งอยู่ในความดูแลของอังกฤษ

2.         จีนต้องสูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับชาวตะวันตก

3.         จีนต้องสูญเสียอำนาจในการกำหนดอัตราภาษี

4. จีนต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษ

12.       บุคคลใดต่อไปนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนรุ่นนรก ๆ ที่ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนขึ้น

(1) คังยู่เหว่ย-ซุนยัดเซ็น         

(2) เฉินตู้ซิ่ว-หลีต้าเจา

(3) เหมาเจ๋อตุง-โจวเอินไหล   

(4) เตั้งเสี่ยวผิง-หยางซางคุน

ตอบ 2 หนา 291 – 293, (คำบรรยาย) เมื่อปัญญาชนจีนพบว่าแนวคิดแบบตะวันตกไม่สามารถแก้ปัญหา ให้แก่จีนได้อีกต่อไป พวกเขาจึงได้หันไปสู่แนวทางใหม่ นับคือ การแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสังคมนิยม หลังจากนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเริ่มถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1921 ภายใต้การนำของปัญญาชนจีน 2 ท่าน คือ เฉินตู้ซิ่ว และหลี่ต้าเจา ต่อมาเมื่อเหมาเจ๋อตุงได้ประกาศจัดตั้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นที่ปักกิ่งในปี ค.ศ. 1949 เขาจึงดำเนินการปฏิรูปประเทศให้เข้าสู่ ระบอบคอมมิวนิสต์ตามแนวทางของลัทธิมาร์กซ์ (Marxism), เลนิน (Leninism) และเหมา (Maoism)

13.       เหตุที่พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้พวกคอมมิวนิสต์ เพราะ

(1) เจียงไคเช็คปราบคอมมิวนิสต์หนักเกินไป

(2) คอมมิวนิสต์ได้อาวุธและแนวร่วมจากการต่อต้านญี่ปุ่น

(3) ประชาชนเข้าข้างเพราะความรู้สึกแบบชาตินิยม  

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 291 – 293 สาเหตุที่ทำให้พรรคก๊กมินตั้งต้องพ่ายแพ้ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ มีดังนี้

1. ชาวจีนเข้าข้างพรรคคอมมิวนิสต์เพราะมีความรู้สึกชาตินิยม จึงได้ร่วมกันต่อต้านความเจริญ ของชาติตะวันตกภายใต้พรรคก๊กมินตั๋ง

2.         รัสเซียได้มอบอาวุธที่ยึดมาได้จากญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์

3.         เจียงไคเช็คมุงปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์มากเกินไป ทำให้ถูกชาวจีนขับไล่ออกนอกประเทศ

14.       ก่อนที่จะมีการรับอารยธรรมพุทธศาสนา ชาวญี่ปุ่นนับถืออะไร

(1) ชินโต         

(2) ขงจื๊อ         

(3) เต๋า

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 303315 ก่อนที่ศาสนาและลัทธิจากต่างชาติ เช่น ศาสนาพุทธ ลัทธิขงจื๊อและเต๋า ฯลฯ จะเข้ามาเผยแผ่ในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นได้มีการนับถือเทพเจ้าอยู่แล้วซึ่งก็คือ เทพเจ้าแห่งดวงอ ทิตย์ (สุริยเทวีหริอพระนางอะมาเตราสึ) ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดในสมัยนั้น โดยต่อมารู้จักกันในชื่อว่า ลัทธิชินโต” หรือวิถีทางของเทพเจ้า ทั้งนี้ลัทธิชินโตรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยโตกูกาวาตอนปลาย และในสมัยเมอิจิ

15.       สังคมสมัยแรกของญี่ปุ่นมีชื่อว่า

(1) อูจิ 

(2) กิมจิ          

(3) โกกิ           

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 312 สังคมสมัยแรกของญี่ปุ่นมีชื่อว่า สังคมอูจิ” ซึ่งชาวญี่ปุ่นในสมัยนี้จะอยู่รวมกัน เป็นเผ่า โดยสมาชิกทุกคนในเผ่าจะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ทางวงศ์ตระกูล หรือจากการแต่งงาน ผู้ที่อาวุโสที่สุดจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเผ่า ซึ่งอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้

16.       ข้อใดคือขุนศึกกลุ่มสุดท้ายที่ร่วมมือกับโชกุนตระกูลโตกูกาวา

(1) ชิมปัน       

(2) ฟูได           

(3) โตซามา     

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 309313 ในสมัยโตกูกาวา โชกุนได้แบ่งชนชั้นขุนนางซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่           

1. ชิมปัน เป็นขุนศึกที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือดกับตระกูลโตกูกาวาและปกครองบริเวณเมืองเอโดะ      

2. ฟูได เป็นขุนศึกที่เข้าร่วมกับตระกูลโตกูกาวาก่อนขึ้นมามีอำนาจ (ก่อนปี ค.ศ. 1603)       

3. โตซามา เป็นขุนศึกกลุ่มสุดท้ายที่เข้าร่วมกับตระกูลโตกูกาวา หลังจากขึ้นมามีอำนาจในญี่ปุ่นแล้ว

17.       ระบบตัวประกันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า

(1) ซันกิน โกไต          

(2) บากูฟู       

(3) แคมปากุ   

(4)ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า313 วิธีการควบคุมสังคมที่เรียกว่า ซันกินโกไต” หรือระบบตัวประกันมีหลักการ สำคัญคือ ทุกปีขุนนางท้องถิ่นจะต้องเดินทางมาเมืองหลวงที่เมืองเอโดะ เพื่อเป็นการแสดง ความจงรักภักดี และก่อนกลับต้องทิ้งญาติพี่น้องไว้ที่เมืองหลวงเพื่อเป็นตัวประกัน ทั้งนี้เพื่อ ควบคุมดูแลขุนนางท้องถิ่นมิให้ก่อเหตุร้ายและกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อโชกุน

18.       ตามตำนานใครคือผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลี

(1) Tangun

(2) Kitze   

(3) Hwan Woong      

(4) Hwan In

ตอบ1 หน้า 328, (คำบรรยาย) ชนเผ่าตังกัส (Tangus) ถือว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวเกาหลีในปัจจุบัน โดยตามตำนานของเกาหลี เชื่อว่า รัฐบุรุษกึ่งเทพเจ้านามว่า ตันกุน” (Tangun) เป็นปฐมกษัตริย์ ผู้ให้กำเนิดชาติเกาหลี ซึ่งได้รวบรวมแคว้นต่างๆ ที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่บนคาบสมุทรเกาหลี เข้าด้วยกันและก่อตั้งเป็นชาติเกาหลีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2333 ก่อนคริสต์ศักราช ดังนั้นในปัจจุบันจึงได้มีการกำหนดให้วันที่ 3 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันกำเนิดชาติเกาหลี

19.       ข้อใดคือชนชั้นสูงสุดของเกาหลีก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19

(1) Sunmin         

(2) Sang-min     

(3) Shin-jin        

(4) Yang-ban

ตอบ 4 หน้า 333 สังคมเกาหลีก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 แบ่งออกเป็น 4 ชนชั้น คือ

1          ชนชั้นสูงหรือยางบัน (Yang-ban) ได้แก่ พวกขุนนาง ข้าราชการระดับสูง นักวิชาการ และนักปราชญ์

2          ชนชั้นกลางหรือซินจิน (Shin-jin) ได้แก่ ข้าราการระดับกลางและต่ำ

3.         ชนชั้นสามัญหรือแซงมิน (Sang-min) ได้แก่ นักธุรกิจ ชาวไร่ชาวนา และช่างฝีมือ

4.         ชนชั้นตํ่าหรือซุนมิน (Sunmin) ได้แก่ นักแสดง คนล่าสัตว์ และทาส โดยชนชั้นสูง จะเรียกชนชั้นที่ตำกว่าว่า แซงนอม” (Sang-nom) หรือไพร่

20.       เกาหลีตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่นเป็นเวลานานเท่าใด

(1) 5ปี            

(2) 15ปี        

(3) 25ปี          

(4) 35ปี

ตอบ 4 หน้า 330 ในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1910 ญี่ปุ่นได้ยึดครองและบังคับให้เกาหลีลงนามยอมเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น ทำให้เกาหลีต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นนานถึง 35 ปี ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างความขมขื่นและเกลียดชังให้แก่ชาวเกาหลีเป็นอย่างมาก

21.       ประเทศใดต่อไปนี้จัดอยู่ในกลุ่มประเทศเอเชียใต้

(1) อินเดียศรีลังกาภูฏาน  

(2) อินเดียบรูไนบังกลาเทศ

(3) อินเดียเปอร์เซียปากีสถาน      

(4) อินเดียอินโดนีเซียเนปาล

ตอบ 1 หน้า 7375 เอเชียใต้ (South Asia) หรือที่สื่อมวลชนทางตะวันตกนิยมเรียกว่า อนุทวีปอินเดีย” (Indian Sub-continent) ซึ่งในอดีตนั้นเอเชียใต้มักหมายถึงประเทศอินเดีย แต่ในปัจจุบัน เอเชียใต้จะมีทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ภูฏาน และมัลดีฟส์

22.       แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุปัจจุบันอยู่ในประเทศใด

(1) อินเดีย      

(2) ปากีสถาน 

(3) เนปาล      

(4) บังกลาเทศ

ตอบ 2 หน้า 7581 อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าสินธุหรืออินดัส บริเวณแคว้นปัญจาบตะวันตกในประเทศปากีสถานปัจจุบัน โดยเชื่อกันว่ามีอายุประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอารยธรรมเริ่มแรกที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้

23.       สิ่งใดต่อไปนี้ไม่ปรากฏให้เห็นในซากเมีองโมเหนโจดาโรและเมืองฮารัปปา

(1) ห้องอาบนํ้า           

(2) ท่อระบายน้ำ         

(3) เตาเผา      

(4) ถนน

ตอบ 3 หน้า 82 จากหลักฐานที่ขุดค้นพบในซากเมืองโมเหนโจดาโรและเมืองฮารัปปานั้น แสดงให้ เห็นว่าชาวสินธุมีความสามารถทางด้านวิศวกรสำรวจและความรู้ทางด้านเรขาคณิตเบื้องต้นเป็น อย่างดี ซึ่งที่เห็นเด่นชัดก็คือ การวางผังเมือง เช่น มีการตัดถนน มีท่อระบายนํ้า บ่อนํ้าสาธารณะ รวมทั้งอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่มีการจัดห้องนํ้าแบบยืนตักอาบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะ ของสุขาภิบาลที่ดีและมีความเจริญสูงมากกว่าดินแดนอื่นๆ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์

24.       ศาสนาพราหมณ์เชนพุทธ และสิกข์ เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำใด

(1) สินธุ-คงคา

(2) คงคา-พรหมบุตร   

(3) พรหมบุตร-มหานที

(4) มหานที-กฤษณา

ตอบ 2 หน้า 7991108 หลังจากที่ชาวอารยันได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและขยายอิทธิพลบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาและแม่นํ้าพรหมบุตรแล้ว พวกเขาได้สร้างสมอารยธรรมของตนเองขึ้นมา เรียกว่า อารยธรรมอินโด-อารยัน” หรือ อารยธรรมยุคพระเวท” ซึ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมและ สำคัญที่สุดก็คือ อารยธรรมด้านศาสนา ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ และศาสนาสิกข์

25.       ชาวอินเดียบริเวณใดในปัจจุบันที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

(1) ปัญจาบ    

(2) พาราณสี   

(3) เบงกอล    

(4) มัทราส

ตอบ 4 หน้า 79 – 80133 ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่โปรตุเกสนำเข้ามาเผยแผ่ในอินเดีย สมัยราชวงศ์โมกุลนั้น ยังคงมีอิทธิพลต่อชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลตะวันตก นับจากบอมเบย์ กัว (ศูนย์กลางทางการค้าและศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ลงมาจนถึง เกาะลังกา และบริเวณที่ราบมัทราสทางตะวันออกของอินเดียตราบจนปัจจุบันนี้

26.       โครงสร้างของระบบวรรณะเกิดขึ้นครั้งแรกในประวัตศาสตร์อินเดียสมัยใด

(1) สินธุ          

(2) พุทธกาล   

(3) มหากาพย์ 

(4) พระเวท

ตอบ 4 หน้า 92157 ในสมัยพระเวทได้ปรากฏโครงสร้างทางสังคมแบบวรรณะขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อินเดียโดยมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 3ชนชั้น ได้แก่ นักรบหรือกษัตริย์ สามัญชน และพระ ซึ่งสาเหตุเริ่มแรกของการเกิดระบบวรรณะก็คือ กลัวว่าเผ่าพันธุ์ของอารยันจะไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นผู้นำเผ่าจึงออกกฎห้ามชาวอารยันแต่งงานกับชนพื้นเมือง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของชาติพันธุ์ของตนเอาไว้

27.       คัมภีร์ใดต่อไปนี้ถือว่าเกิดขึ้นก่อนและเก่าแก่ที่สุด

(1) ฤคเวท       

(2) ยชุรเวท     

(3) สามเวท     

(4) ไม่มีข้อดถูก

ตอบ 1 หน้า 9196 คัมภีร์สำคัญในศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งมี 3 เล่ม เรียกว่า ไตรเพท” หรือ ไตรเวท” ซึ่งจารึกเป็นภาษาสันสกฤต ประกอบด้วย ฤคเวท (เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุด) ยชุรเวท และสามเวท

28.       คำกล่าวว่า ‘‘ทุกชีวิตล้วนมีกำเนิดมาจากพรหมัน‘’ ควรปรากฏในที่ใด

(1) ไตรปิฎก    

(2) นิครนถ์นาฏบุตร   

(3) อุปนิษัท     

(4) อัลกุรอาน

ตอบ 3 (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 198) คัมภีร์อุปนิษัท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมหลักปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) โดยสรุปได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลกำเนิดมาจากพรหมหรือพรหมัน ซึ่งมีสภาพเป็นอมตะ ไม่เกิด ไม่ตาย และไม่เปลี่ยนแปลง

29.       ในวรรณคดีเรื่องมหาภารตะมีตอนที่สำคัญที่สุดชื่อว่า

(1) สัตยาเคราะห์        

(2) อัคคัญสูตร

(3) อรรถศาสตร์          

(4) ภควัทคีตา

ตอบ 4 หน้า 94, (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 194) มหาภารตะที่ประพันธ์โดยฤาษีวยาสะในยุคมหากาพย์นั้น ถือว่าเป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองที่ยาวที่สุดในโลก และมีตอนที่ สำคัญที่สุดชื่อว่า ภควัทคีตา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัดมาจากตอนพระกฤษณะ (เป็นอวตารปางที่ 8 ของพระนารายณ์) ให้คำสอนแก่อรชุนซึ่งเป็นกษัตริย์ตระกูลปาณฑพ (ตัวแทนฝ่ายธรรมะ)ในการทำสงครามกับตระกูลเการพ (ตัวแทนฝ่ายอธรรม) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผลของสงคราม ปรากฏว่าฝ่ายปาณฑพได้รับชัยชนะ

30.       อวรรณะในสังคมอินเดีย หมายถึง

(1) พราหมณ์-ปุโรหิต  

(2) แพทย์-ไวศยะ       

(3) หริชน-ปัญจมะ      

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 98 พวกอวรรณะ หมายถึง พวกที่ไม่มีวรรณะสังกัด ซึ่งถือเป็นวรรณะที่ 5 ในสังคมฮินดู ที่โดนดูถูกเหยียดหยามจากพวกสวรรณะ (พวกมีวรรณะสังกัด) ว่าเป็นพวกต่ำช้า เป็นตัวเสนียด เป็นอัปมงคลแก่ผู้ที่ได้พบเห็น และมีฐานะต่ำต้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน โดยพวกอวรรณะจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น จัณฑาล หริชน หินชาติ ปาริหะ ปัญจมะ มาหาร์ อธิศูทร เป็นต้น

31.       วรรณคดีเรื่องใดต่อไปนี้ที่แสดงให้เห็นว่า คนไทยได้รู้จักศาสนาเชนมานานแล้ว

(1) รามเกียรติ์ 

(2) อิเหนา       

(3) ขุนช้าง-ขุนแผน     

(4) พระอภัยมณี

ตอบ 4 หน้า 103, (คำบรรยาย) ศาสนาเชนแบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือ

1. ทิฆัมพร คือ นักบวชเปลือยที่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ผูกพันกับสิ่งใด ๆ แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ โดยนักบวชเปลือย (ชีเปลือย) นั้นได้ปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักนิกายนี้ มานานแล้ว

2. เศวตัมพร คือ นักบวชนุ่งขาวห่มขาว (ชีปะขาว) ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในอินเดีย

32.       Asoka’s Pillars หมายถึง

(1) เสาหิน       

(2) พระพุทธรูปหิน      

(3) เสมาธรรมจักร      

(4) สถูปอันศักดิ์สิทธิ์

ตอบ 1 หน้า 114-115 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแหงราชวงศ์โมริยะหรือเมาริยะของอินเดีย ถือว่าเป็นสมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยทรงมีผลงานที่สำคัญดังนี้

1.         ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาและทรงเป็นพุทธมามกะ   

2. ทรงสร้าง Asoka’s Pillars ซึ่งเป็นเสาหินที่จารึกหลักธรรมะของพุทธศาสนาเอาไว้มากมายกระจายอยู่ทั่วอินเดีย

3.         ทรงส่งสมณทูตหลายคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนาออกนอกอนุทวีปอินเดียเป็นครั้งแรก

4.         ทรงทำสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของพุทธศาสนา เช่น เสมาธรรมจักร หมายถึง การแสดงปฐมเทศนา ฯล

33.       จุดมุ่งหมายสูงสุดร่วมกันในงานปรัชญาความคิดของอินเดียคือ

(1) แสวงหาความสงบวิเวกเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  

(2) ใช้หนทางสันติวิธีในการดำเนินชีวิต

(3) ชี้หนทางของการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ    

(4) ยึดหลักกาลามสูตรในการดำเนินชีวิต

ตอบ 3 (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 200) โมกษะ คือ ความหลุดพ้นจากสังสารวัฏหรือวัฎสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์ตามคติฮินดู และได้กลายเป็น จุดมุ่งหมายสูงสุดร่วมกันในงานปรัชญาความคิดของอินเดีย

34.       ยุคทองของอินเดียอยู่ในสมัยใด

(1) คันธาระ    

(2) โมริยะ       

(3) คุปตะ       

(4) โมกุล

ตอบ 3 หน้า 116118-120 สมัยคุปตะถือว่าเป็นยุคทองของอินเดียโบราณ’’โดยความเจริญ ที่เด่น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยนี้ได้แก่

1.         มีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น ตักศิลา นาลันทา อะชันตา ฯลฯ

2.         เป็นสมัยที่วรรณคดีสันสกฤตเจริญรุ่งเรืองมาก โดยกวีที่สำคัญในสมัยนี้คือ กาลิทาสซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น เชคสเปียร์แห่งอินเดีย” โดยเป็นผู้แต่งเรื่อง ศกุนตลา” ซึ่งถือว่าเป็น วรรณกรรมชิ้นเอกของยุค

3.         มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นโดยทั่วไป และเป็นต้นแบบของการสร้างพระพุทธรูปใน เอเชียตะวันออก เอเชียอาคเนย์ และไทย ทั้งนี้การสร้างพระพุทธรูปเกิดขึ้นครั้งแรก ในสมัยคันธาระ ในรัชกาลของพระเจ้ากนิษกะ ราชวงศ์กุษาณะ เป็นต้น

35.       พระพุทธรูปถกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยใด

(1) คันธาระ    

(2) โมริยะ       

(3) คุปตะ       

(4) ปาละ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

36.       บุคคลใดต่อไปนี้คือผู้ที่ได้รับการขนานนามให้เป็นเชคสเปียร์แห่งอินเดีย

(1) รพินทรนาถ ฐากูร

(2) กาลิทาส   

(3) เกาฏิลยะ  

(4) กฤษณะ วยาสะ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

37.       ราชวงศ์โมกุลเป็นมุสลิมเชื้อสายใด

(1) โมริยะ       

(2) มองโกล    

(3) คุปตะ       

(4) เติร์ก

ตอบ 2 หน้า 122 – 123 ราชวงศ์โมกุลแห่งอินเดียเป็นมุสลิมเชื้อสายมองโกล เพราะถูกตั้งขึ้นมาจากการบุกรุกของพวกมองโกลจากจีน นำโดยทายาทของพระเจ้าเจงกิสข่านชื่อ พระเจ้าไทมูร์ (Timur) ที่บุกเข้าโจมตีจนได้ครองเมืองเดลีในแคว้นปัญจาบ และกวาดต้อนช่างฝีมือตลอดจนผู้คนไปเป็นเชลยสร้างเมืองใหม่ในเปอร์เซียและตุรกี จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชวงศ์โมกุล จึงได้ครอบครองอินเดียจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19

38.       พระเจ้าอักบาร์มหาราชทรงนับถือศาสนาอิสลามนิกายใด

(1) ซุนนี          

(2) ชีอะ           

(3) โมโรส์        

(4) ซูฟี

ตอบ 4 หน้า 123 พระเจ้าอักบาร์มหาราชแห่งราชวงศ์โมกุลทรงเป็นมุสลิมโดยกำเนิด โดยทรงมีพระบิดานับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่หรือซุนนี พระมารดานับถือนิกายชีอะ ส่วนพระองค์ ประสูติในอินเดีย จึงทรงนับถือนิกายฃูฟี ซึ่งเป็นศาสนาอิสลามนิกายใหม่ทีเกิดขึ้นในอินเดีย

39.       คำกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ จะมีก็แต่พระเจ้าองค์เดียวที่เป็นพระเจ้า ของมนุษย์ทุกคนเท่านั้น” เป็นแนวความคิดของนักปราชญ์อินเดียท่านใด

(1) คุรุนานัก    

(2) มหาวีระ    

(3) สิทธัตถะ   

(4) อาลี จินนาห์

ตอบ 1 หน้า 131 – 133, (คำบรรยาย) ศาสนาสิกข์เกิดขึ้นในรัฐปัญจาบทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดียในปี ค.ศ. 1440ซึ่งผู้ที่ก่อตั้งคือ ท่านกะบีร์โดยมีเป้าหมายที่จะรวมเอาศาสนาฮินดู และศาลนาอิสลามเข้าด้วยกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ส่วนผู้ที่ประกาศศาสนานี้อย่างแท้จริง คือ คุรุนานัก ซึ่งได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ จะมีก็แต่ พระเจ้าองค์เดียวที่เป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคนเท่านั้น” ทั้งนี้ศูนย์กลางของศาสนาสิกข์ จะอยู่ที่สุวรรณริหาร เมืองอมฤตสาร์ รัฐปัญจาบ

40.       ในสมัยอาณานิคม อินเดียเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบอะไรสำหรับป้อนกรพัฒนาอุตสาหกรรมในโลกตะวันตก

(1) ดีบุก          

(2) ฝ้าย          

(3) ยางพารา  

(4) นํ้ามันดิบ

ตอบ 2 หน้า 147, (คำบรรยาย) ในขณะที่อินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษนั้น อังกฤษได้พัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินเดีย และส่งเสริมให้มีการค้าขายที่เป็นสากล ซึ่งส่งผลให้อินเดีย กลายเป็นแหล่งผลิตฝ้ายสำหรับป้อนการพัฒนาอุตสาหกรรมในโลกตะวันตก

41.       เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ระหว่างมหาสมุทรใด      

(1) Indian-Atlantic

(2) Indian-Antractic 

(3) Indian-Pacific      

(4) Andaman-South China

ตอบ 3 หน้า 360 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยดินแดน 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ บริเวณที่เป็นแผ่นดินใหญ่และบริเวณหมู่เกาะ ซึ่งดินแดนทั้งสองส่วนนี้เปรียบเสมือนกำแพงที่แบ่ง มหาสมุทรอินเดีย (Indian) และมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific) ออกจากกัน

42.       ข้อใดคืออาณาจักรแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกระบุในเอกสารจีน

(1) ฟูนัน          

(2) จามปา      

(3) เจนละ       

(4) เสียน

ตอบ 1 หน้า 361367372 ตามจดหมายเหตุของจีนได้บันทึกไว้ว่า ฟูนันเป็นอาณาจักรแรกและ เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตั้งขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 1-6 นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นอาณาจักรแรกที่ส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับจีนในสมัยราชวงค์จิ๋น มีเมืองออกแก้ว เป็นศูนย์กลางการค้าทางบกแห่งแรกบริเวณปากแม่นํ้าโขง และเป็นอาณาจักรแรกที่รับเอา วัฒนธรรมอินเดียเข้ามาสร้างความเจริญให้กับตน

43.       ข้อใดคือศูนย์กลางการค้าทางทะเลแห่งแรก

(1) ออกแก้ว    

(2) ปาเล็มบัง  

(3) มะละกา   

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 361 ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 เมืองปาเล็มบังของอาณาจักรศรีริชัยถือว่าเป็นศูนย์กลาง การค้าทางทะเลแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เมืองมะละกา ในช่องแคบมะละกาได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลที่สำคัญและเป็นเมืองท่าจอดพักเรือ ของชาติตะวันตกและชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้

44.       ใครคือคนกลุ่มแรกๆ ที่ถ่ายทอดความรู้ความเชื่อแบบพราหมณ์-ฮินดูแก่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) พราหมณ์  

(2) พ่อค้า        

(3) นักรบ        

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 363 กลุ่มคนที่มีบทบาทในการนำเอาวัฒนธรรมอินเดียมาเผยแพร่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ พวกพราหมณ์ พระ และพ่อค้าชาวอินเดีย โดยพวกพราหมณ์และพระถือว่าเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ความเชื่อแบบพราหมณ์-ฮินดู ให้แก่ บระชาชนในภูมิภาคนี้ ส่วนพวกพ่อค้าได้นำเอาวัฒนธรรมทางการค้า ภาษาและชีวิตความเป็นอยู่ ของอินเดียเข้ามาเผยแพร่

45.       ตามหลักการปกครองที่รับมาจากอินเดีย ใครคือผู้มีอำนาจเป็นอันดับสองรองจากกษัตริย์

(1) กรมพระราชวังบวร           

(2) พระบรมโอรสาธิราช         

(3) เอกอัครมเหสี        

(4) สมฺหนายก

ตอบ 4 หน้า 364 รูปแบบการปกครองแบบศักดินาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับมาจากอินเดียแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้

1. ตำแหน่งประมุขสูงสุด คือ กษัตริย์

2. ตำแหน่งรองจากกษัตริย์ คือ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ซึ่งได้แก่ สมุหกลาโหมและสมุหนายก

3.         ตำแหน่งรองจากอัครมหาเสนาบดี คือ จตุสดมภ์ กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา

4.         ส่วนหัวเมือง แบ่งออกเป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมืองประเทศราช

46.       สินแร่ประเภทใดในบริเวณภาคพื้นทวีปที่ได้รับความสนใจจากพ่อค้าชาวอินเดียมากที่สุด

(1) ทองคำ      

(2) เงิน

(3) ดีบุก          

(4) ตะกั่ว

ตอบ 1 หน้า 363 สาเหตุที่พ่อค้าชาวอินเดียเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมากนั้น เนื่องจากต้องการสินค้าพื้นเมืองและแร่ทองคำจากดินแดนสุวรรณภูมิ

47.       พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงรวบรวมอาณาจักรเจนละบก-นํ้า เข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรใหม่คือ

(1) พุกาม        

(2) ชวา           

(3) กัมพูชา     

(4) มอญ

ตอบ 3 หน้า 374 พวกเขมรได้รวมตัวเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่งในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งพระองค์ทรงได้ยกทัพขึ้นมายึดครองอาณาจักรเจนละได้สำเร็จ และได้รวมเจนละบก และเจนละน้ำเข้าด้วยกัน โดยให้ชื่อใหม่ว่า อาณาจักรกัมพูชา

48.       การสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่โตมโหฬารของกัมพูชา ถือว่าเป็นการเลียนแบบอาณาจักรของเทพเจ้าองค์ใด

(1) พระพรหม 

(2) พระอิศวร  

(3) พระนารายณ์        

(4) พระอินทร์

ตอบ 2 หน้า 374 จากคติความเชื่อในลัทธิเทวราชา ทำให้อาณาจักรกัมพูชานิยมสร้างสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเพื่อเลียนแบบที่ประทับของพระอิศวร (พระศิวะ) หรือการสร้างเทวสถาน เพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ ทำให้ต้องมีการเกณฑ์แรงงานคนมาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการควบคุม ประชาชนและทำให้ประชาชนรับทราบในพระราชอำนาจของกษัตริย์

49.       พื้นที่ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรจามปาในอดีต ปัจจุบันอยู่ในประเทศ

(1) เมียนมาร์  

(2) ลาว           

(3) เวียดนาม  

(4) กัมพูชา

ตอบ 3 หน้า 372 – 373 อาณาจักรจามปาหรือสินยี่ ตั้งอยู่ในบริเวณเว้ของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน อาณาจักรนี้ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย โดยมีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณกวางนำซึ่งมีชื่อเรียก เป็นภาษาอินเดียว่า อมราวดี” และมีการปกครองแบบเทวราชา

50.       หลักฐานประเภทจารึกที่พบบริเวณคาบสมุทรและหมู่เกาะ ส่วนใหญ่ถูกจารึกเป็นภาษาใด

(1) บาลี          

(2) สันสกฤต  

(3) ชวา           

(4) อาหรับ

ตอบ 2 หน้า 378, (คำบรรยาย) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 – 15 เป็นต้นมา อาณาจักรในคาบสมุทรมลายู และหมูเกาะจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางวัฒนธรรมและคติความเชื่อตามแบบศาสนาอิสสาม และศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียอิกมากมาย ซึ่งจะเห็นได้จากการพบหลักฐานประเภทจารึกที่มีการบันทึกด้วยภาษาสันสกฤตในเกาะบอร์เนียว และเกาะชวา รวมทั้งยังพบพระพุทธรูปแบบอมราวดีในเกาะสุมาตราอีกด้วย

51.       ประเทศใดต่อไปนี้รับอิทธิพลแบบพุทธเถรวาทลังกาวงศ์และศาสนาอิสลามน้อยที่สุด

(1) ไต้หวันลาว         

(2) ฮ่องกงมาเลเซีย 

(3) บรูไนสิงคโปร์     

(4) เวียดนามฟิลิปปินส์

ตอบ 4 หน้า 361 – 362368 – 369389 – 390 เวียดนามเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน ดังนั้นจึงมีการนับถือลัทธิขงจื๊อตามแบบจีน และนับถือ พุทธคาสนานิกายมหายาน ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ก่อนการสำรวจของสเปนจะอยู่ในสภาพ ล้าหลังทางวัฒนธรรม ดังนั้นจึงแทบไม่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนและอินเดียเลย เว้นแต่ทางตอนใต้ของเกาะมินดาเนาเท่านั้นที่ได้รับอิทธิพลของศาสนาอิสลามเรียกว่า พวกโมโรส์” (Moros) การปกครองจะกระจัดกระจายเป็นหมู่บ้าน (Barangay) มีหัวหน้าหมู่บ้าน ที่เรียกว่า ดาตู” (Datu) เป็นผู้ดูแล และปกครองในระบบเครือญาติ

52.       ข้อใดคือลักษณะของโปรตุเกส

(1)       ตั้งสถานีการค้าพร้อมค่ายทหารตามเมืองท่า

(2)       เผยแพร่ความรู้ทางด้านคริสต์ศาสนาผ่านชนชั้นนำ

(3)       ตั้งบริษัทการค้าเพื่อค้าขายกับชาวพื้นเมืองโดยตรง

(4)       เข้ามาเจรจาขอทำสนธิสัญญาค้าขายโดยเสรี

ตอบ 1 หน้า 387 – 389 ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เป็นผู้นำด้าน การเดินเรือเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สำเร็จ โดยในปี ค.ศ. 1511 โปรตุเกสสามารถ ทำสงครามยึดเมืองมะละกาได้สำเร็จ จากนั้นจึงตั้งสถานีการค้าแห่งแรกขึ้นที่เมืองนี้ และ ตั้งป้อมค่ายทหารเพื่อสร้างอิทธิพลทางการเมือง

53.       สเปนได้ชื่อว่ประสบความสำเร็จเหนือชาติอื่นใดทั้งหมดในยุโรปทางด้านใด

(1)       การทำมาค้าขาย         

(2) การจัดระเบียบการปกครอง

(3)       การเผยแผ่ศาสนา      

(4) ประสิทธิภาพของเทคโนโลยี

ตอบ 3 หน้า 390 การเผยแผ่คริสต์ศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบความสำเร็จสูงสุดใน ประเทศฟิลิปปินส์ โดยการเผยแผ่คริสต์ศสนาของสเปนในฟิลิปปินส์นั้นจะไม่ใช้วิธีการบังคับ ข่มขู่ให้คนพื้นเมืองหันมานับถือ แต่จะให้คณะมิชชันนารีออกไปเผยแผ่ศาสนาโดยชักจูงโน้มน้าว ให้คนพื้นเมืองกลับใจมารับนับถือพระเยซูคริสต์แทนภูตผีต่าง ๆ เอง ซึ่งวิธีนี้ทำให้สเปน ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่คริสต์ศาสนามากกว่าชาติยุโรปอื่น ๆ ที่เข้ามาในภูมิภาคนี้

54.       ฟิลิปปินส์ก่อนที่จะถูกสเปนครอบครอง มีรูปแบบการปกครองในลักษณะใด

(1) เทวราชา    

(2) จักรพรรดิราช        

(3) โองการสวรรค์       

(4) เครือญาติ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

55.       สินค้าประเภทลูกจันทน์กระวานกานพลู ฯลฯ เรียกรวมๆ กันในภาษาอังกฤษว่า

(1) Spices 

(2) Herbs  

(3) Relish 

(4) Ingredient

ตอบ 1 หน้า 390 – 391, (คำบรรยาย) นโยบายสำคัญของฮอลันดาในระยะแรกที่เข้ามาขยายอำนาจ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในแถบหมู่เกาะอินโดนีเซียก็คือ มุ่งทำการค้าด้วยการ ผูกขาดการค้าเครื่องเทศ โดยได้เข้ามาผูกขาดการรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เป็นเครื่องเทศ (Spices) เช่น ลูกจันทน์ กระวาน กานพลู พริกไทย อบเชย ฯลฯ จากคนพื้นเมืองไว้แต่เพียงผู้เดียว

56.       Culture System ที่ฮอลันดานำมาใช้ในอินโดนีเซีย หมายถึง

(1) การบริหารแผ่นดินผ่านระบบราชการ       

(2) การค้าขายแบบใหม่ที่ทันสมัย

(3) การซื้อขายสินค้าผ่านตัวแทนบริษัท          

(4) การบังคับชาวพื้นเมืองปลูกพืชไร่ขนาดใหญ่

ตอบ 4 หน้า 400 ในปี ค.ค. 1830 รัฐบาลฮอลันดาได้นำระบบบังคับการเพาะปลูก (Culture System) เข้ามาใช้ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการบังคับให้ชาวพื้นเมืองปลูกพืชไร่ขนาดใหญ่ตามที่รัฐบาลกำหนด เช่น อ้อย ยาสูบ กาแฟ ฯลฯ โดยผ่านทางสุลต่าน ทั้งนี้ชาวพื้นเมืองไม่ต้องเสียภาษีที่ดินเป็นเงิน แต่เสียเป็นผลผลิตแทน ส่วนที่เหลือต้องขายให้แก่รัฐบาล

57.       อังกฤษขยายอำนาจเข้ามาคุมพื้นที่บริเวณ Malaca หลังโปรตุเกสหมดอำนาจแล้วผ่านเมืองใด

(1) Singapore   

(2) Jakarta

(3) Jambi  

(4) Palembang

ตอบ 1 หน้า 392 – 393 อังกฤษได้ขยายอำนาจเข้ามาในมลายู หลังจากที่โปรตุเกสหมดอำนาจลงแล้ว โดยในขั้นแรกนั้นอังกฤษได้ขอเช่าเกาะปีนังจากพระยาไทรบุรีในปี ค.ศ. 1781 เพื่อตั้งเป็น สถานีการค้าและฐานทัพเรือแห่งแรกในบริเวณช่องแคบมะละกา (Malaca) นอกจากนี้อังกฤษ ยังได้ขอเช่ามณฑลเวลสเลย์ เกาะสิงคโปร์ (Singapore) และได้แลกเปลี่ยนเมืองท่าเบนดูเลน ของอังกฤษบนเกาะสุมาตรากับมะละกาของฮอลันดา ทำให้อังกฤษมีอิทธิพลในช่องแคบมะละกา อย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1824 นั่นคือ คุมปีนังตอนบนและสิงคโปร์ตอนล่าง ทำให้สิงคโปร์ กลายเป็นเมืองท่าเสรี และมีเรือจากชาติต่าง ๆ เข้ามาจอดค้าขายมากมาย

58.       ข้อใดคือลักษณะที่ฝรั่งเศสเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองสมัยอาณานิคม

(1) เลือกตัวแทนจากหมู่บ้าน  

(2) เลือกตัวแทนจากอาชีพต่าง ๆ

(3) ใช้ระบบพรรคการเมือง     

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 403 – 404 การปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีนนั้นจะใช้การปกครองทางอ้อม โดยนำนโยบายผสมกลมกลืน (Assimilation) มาใช้ ทั้งนี้ฝรั่งเศสแทบจะไม่เปิดโอกาสให้ชาวพื้นเมือง เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองเลย โดยฝรั่งเศสจะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของตนเข้าไปปกครอง นอกจากนี้ชาวพื้นเมืองยังไม่มีสิทธิเป็นผู้แทนในสภานิติบัญญัติ ยกเว้นโคชินไชน่าของเวียดนาม เพียงแคว้นเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งผู้แทนไปร่วมประชุมสภานิติบัญญัติในฝรั่งเศสได้ และผู้แทนจะต้องมีคุณสมบัติตามที่ฝรั่งเศสกำหนดด้วย

59.       ประเทศใดต่อไปนี้ถูกฝรั่งเศสผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพอินโดจีนหลังสุด

(1) เมียนมาร์  

(2) เวียดนาม  

(3) ลาว           

(4) กัมพูชา

ตอบ 3 หน้า 398 – 399433 สหภาพอินโดจีนของฝรั่งเศส (Indo China Union) ในปัจจุบัน หมายถึง ประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ กัมพูชา (เขมร) เวียดนาม และลาว โดยฝรั่งเศสได้รวมเอาเขมร และเวียดนามทั้ง 3 ภาคเข้าไว้ในสหภาพในปี ค.ค. 1887 และได้รวมลาวเข้าไว้ในสหภาพเป็นลำดับสุดท้ายในปี ค.ศ. 1893

60.       ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเอกราชในช่วงไหน

(1) ช่วงปลายรัชกาลที่ 5         

(2) ช่วงปลายคริสต์คดวรรษที่ 19

(3) ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2        

(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 405 ความรู้สึกชาตินิยมและความรู้สึกตื่นตัวเรื่องความเป็นเอกราชของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกได้เริ่มขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และมาได้รับเอกราชภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20) ซึ่งแต่ละประเทศ จะมีการดำเนินการทั้งที่คล้ายคลึงกันและต่างกันตามพื้นฐานทางวัฒนธรรม และการปกครองของเมืองแม่

61.       ในอียิปต์โบราน ผู้ช่วยของฟาโรห์ที่ทำหน้าที่จดสำมะโนครัวและสำรวจภาษีรายได้คือใคร

(1) วิเซียร์        

(2) ข้าหลวง    

(3) อาลักษณ์  

(4) พระ

ตอบ 1 หน้า 10 วิเซียร์ (Vizier) เป็นผู้ช่วยคนที่สำคัญที่สุดของฟาโรห์ ซึ่งมีหน้าที่ปฎิบัติภารกิจต่าง ๆ แทนฟาโรห์อยู่ในเมืองหลวง โดยจะดูแลการปกครองภายใน การจดและสำรวจสำมะโนครัว กรสำรวจภาษีรายได้ การเกษตร การชลประทาน และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ

62.       ตัวอย่างประติมากรรมของอียิปต์

(1) สุสาน        

(2) พีระมิด      

(3) วิหารอาเมน มุท คอนซู      

(4) สฟิงซ์

ตอบ 4 หน้า 11-12, (คำบรรยาย) งานด้านประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของอียิปต์โบราณ คือ สฟิงซ์ (Sphinx) ซึ่งเป็นรูปแกะสลักหินขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ โดยมีส่วนศีรษะ เป็นมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระพักตร์ของฟาโรห์ ส่วนลำตัวจะเป็นสิงโตและหันหน้าไปทาง ทิศตะวันออก ปกติแล้วสฟิงซ์จะหมอบอยู่ด้านหน้าพีระมิด เพื่อทำหน้าที่เฝ้าศพและสมบัติของฟาโรห์ที่บรรจุไว้ในพีระมิด

63.       ผลงานเด่นของฟาโรห์อเมเนมเฮท (Amenemhet)

(1)       สร้างความมั่นคงให้อาณาจักรอียิปต์โดยทำลายอำนาจของขุนนาง

(2)       สร้างศิลาจารึกโรเซตตา

(3)       รวมอียิปต์สูงและอียิปต์ต่ำเข้าด้วยกัน          

(4) ขยายดินแดนไปถึงปาเลสไตน์และเอธิโอเปีย

ตอบ 1 หน้า 9, (คำบรรยาย) ในสมัยอาณาจักรกลางของอียิปต์ ฟาโรห์อเมเนมเฮท (Amenemhet)ทรงยึดอำนาจคืนมาจากพวกขุนนางได้สำเร็จ โดยได้รับความช่วยเหลือจากประชาชน จึงทรงตอบแทนโดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองด้วยการให้เข้ารับราชการ ซึ่งถือว่า เป็นสมัยเริ่มต้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของอียิปต์ นอกจากนี้ยังเป็นสมัยที่อียิปต์ เจริญรุ่งเรืองมากทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ศิลปกรรม และวรรณคดี จนเรียกได้ว่าเป็น ยุคทอง ของอียิปต์” เลยทีเดียว

64.       มรดกทางวัฒนธรรมของอียิปต์โบราณที่ทิ้งไว้ให้โลกรู้จัก      

(1) เชื่อในมนุษยนิยม

(2) ดำรงชีวิตปัจจุบันให้ดีที่สุด

(3) ความเชื่อในชีวิตเป็นอมตะ

(4) บ้านสำคัญกว่าวัด

ตอบ 3 หน้า 11 ชาวอียิปต์โบราณเป็นชนกลุ่มแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง จึงทำให้นิยมฝังศพคนตายไปพร้อมๆ กับข้าวของเครื่องใช้และอาหาร ส่วนร่างกายจะเก็บรักษาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำเป็นมัมมี่ และมีการสร้างสุสานไว้เก็บศพ สำหรับฟาโรห์ก็จะมีการสร้างพีระมิดไว้เก็บพระศพด้วย

65.       นักโบราณคดีผู้ศึกษาและอ่านอักษรเฮียโรกลิฟิกของอียิปต์ได้สำเร็จเป็นท่านแรก   

(1) Herodotus

(2) Francois Champotlion         

(3) Hobson        

(4) Francis Bacon

ตอบ 2 หน้า 9, (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 18) ในปี 1822 B.C. ฟรองซัวส์ ของโปลิยอง(Francois Champollion) นักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส สามารถตตีความ ในแผ่นศิลาจารึกโรเซตตา (Rosetta stone) ซึ่งจารึกด้วยอักษรเฮียโรกลิฟิก เดโมติก และกรีกโบราณได้สำเร็จเป็นท่านแรก จึงทำให้นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาได้ทราบว่าอียิปต์ ในสมัยราชวงศ์ถูกแบ่งออกเป็น 3 สมัยย่อย ได้แก่ สมัยอาณาจักรเก่าหรือสมัยพีระมิด สมัยอาณาจักรกลาง และสมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ

66.       หลักการลงโทษแบบสนองตอบปรากฏเป็นครั้งแรกในกฎหมายใด

(1) สุเมเรียน   

(2) ฮัมมูราบี    

(3) สิบสองโต๊ะ

(4) จัสติเนียน

ตอบ 1 หน้า 17 – 18 กฎหมายของสุเมเรียนจะเป็นกฎหมายแบบสนองตอบ หมายความว่าใครทำผิดอย่างไรต้องได้รับการลงโทษอย่างนั้น ต่อมาหลักการดังกล่าวได้กลายเป็นรากฐาน ของประมวลกฎหมายฮัมมูราบีของพวกอะมอไรท์ ซึ่งยังคงมิอิทธิพลอยู่ในดินแดนแถบเอเชียตะวันตกจนถึงปัจจุบัน

67.       ซิกกูแรต” เป็นสิ่งก่อสร้างบนฐานที่ยกสูง ข้างบนทำเป็นวิหารของเทพเจ้า เป็นผลงานของชนชาติใด

(1) เอเธนส์     

(2) สปาร์ตา    

(3) สุเมเรียน   

(4) โรมัน

ตอบ 3 หน้า 17, (คำบรรยาย) ความเจริญของชนชาติสุเมเรียนมีหลายด้านดังนี้

1. เป็นกลุ่มนที่ ประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 B.C. โดยใช้ต้นอ้อแห้งหรือเหล็กแหลมกดลงบนแผ่นดินเหนียวแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง

2.         มีการสร้างสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ด้วยอิฐ ที่เด่นคือ ซิกกูแรต (Ziggurat) ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้าง เพื่อคาสนาที่มีลักษณะคล้ายกับพีระมิด สร้างบนฐานที่ยกสูงจากระดับพื้นดิน ข้างบนทำเป็น วิหารของเทพเจ้า โดยมีบันไดทอดยาวขึ้นไป ฯลฯ

68.       ความหมายของ “Satrapy”

(1) เทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ          

(2) ข้าหลวงโรมัน

(3) หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นของเปอร์เซีย         

(4) เทพเจ้าของพวกสุเมเรียน

ตอบ 3 หน้า 21 ในสมัยพระเจ้าดาริอุสมหาราช ได้ทรงปรับปรุงหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นของเปอร์เซียใหเป็นระเบียบโดยทรงแบ่งจักรวรรดิออกเป็นมณฑล เรียกว่า แซแทรปปี” (Satrapy) มีผู้ว่าราชการปกครองซึ่งมีอำนาจสิทธิขาดเท่ากับกษัตริย์เรียกว่า แซแทรป” (Satrap) โดยจะขึ้นตรงต่อกษัตริย์ และดูแลกิจการทุกอย่างภายในมณฑล ยกเว้นการทหาร

69.       ดินแดนใดในยุคโบราณที่ได้ชื่อว่ามีระบบไปรษณีย์ดีที่สุด

(1) เปอร์เซีย   

(2) กรีก           

(3) โรมัน         

(4) บาบิโลเนีย

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ดินแดนเปอร์เซียในยุคโบราณนั้นได้ชื่อว่ามีระบบไปรษณีย์ดีที่สุด โดยจะเห็นได้จากบทความของเฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งได้เขียนวิจารณ์ถึงระบบไปรษณีย์ ของเปอร์เซียเอาไว้ว่า ไม่ว่าหิมะ ฝน ความร้อน หรือความมืดในยามค่ำคืนก็ไม่อาจที่จะหยุด บรุษไปรษณีย์เหล่านี้จากการเดินทางส่งไปรษณีย์จนครบตามกำหนดที่ได้รับมอบหมายเอาไว้

70.       ชนชาติใดในยุคโบราณได้ชื่อว่าสามารถดำรงความศรัทธาร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยไม่จำเป็น ต้องมีเอกภาพทางการเมือง

(1) สุเมเรียน   

(2) อัคเคเดียน

(3) ฟินิเชียน    

(4) ฮิบรู

ตอบ 4 หน้า 20 – 21, (คำบรรยาย) ชาวฮิบรูหรือยิว เป็นชนเผ่าเซเมติกเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในเมโสโปเตเมีย ต่อมาในขณะที่ชาวฮิบรูกำลังเดินทางจากอียิปต์เพื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนคานานหรือ ปาเลสไตน์นั้นโมเสสผู้นำฮิบรูซึ่งเป็นผู้วางรากฐานของการก่อตั้งชาติฮิบรูและศาสนายูดาห์ได้มอบบทบัญญัติ 10 ประการให้แก่ฮิบรู เพื่อเตืยนให้ชาวฮิบรูทำความดี รักใคร่สามัคคีกัน และยึดมั่นในพระเจ้าองค์เดียว คือ พระยะโฮวา ดังนั้นชาวฮิบรูในยุคโบราณจึงได้ชื่อว่าเป็นชาติที่สามารถ ดำรงความศรัทธาร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเอกภาพทางการเมือง

71.       ข้อใดเป็นสถาปัตยกรรมของกรีก

(1) วิหารพาร์เธนอน    

(2) ลวนลอยฟ้า          

(3) ประตูชัยทราจัน    

(4) ถูกทุกข้อ

ตบบ 1 (ค่าบรรยาย) สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของกรีก คือ มหาวิหารพาร์เธนอน (Parthenon) บนยอดอะโครโพลิสในเอเธนส์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของเทวีอเธนา (เทพีประจำกรุงเอเธนส์) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมของกรีกที่งดงามที่สุดตามอุดมคติของชาวกรีก

72.       หนึ่งในคณะนายพลทั้ง 10 ของเอเธนส์ที่มีความสามารถสูงและได้รับเลือกตั้งหลายสมัย

(1) Solon  

(2) Plato   

(3) Pericles        

(4) Peisistratus

ตอบ 3 หน้า 34 ในสมัยเพริคลิส (Pericles) เป็นสมัยที่ประชาธิปไตยของเอเธนส์เจริญสูงสุด โดยสภาประชาชนจะมีสิทธิออกกฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจในการให้สัตยาบันหรือปฏิเสธข้อเสนอ ของสภาขุนนางได้ และเป็นช่วงที่สถาบันการปกครองที่เรียกว่า คณะนายพลทั้ง 10(Board of Ten Generals) เริ่มเข้ามามีบทบาท ซึ่งคณะนายพลจะถูกเลือกโดยพิจารณาจาก ความสามารถโดยสภาประชาชนให้อยู่ในตำแหนง 1 ปี และอาจได้รับเลือกเข้ามาใหม่อีกโดย ไม่มีกำหนด ทั้งนี้เพริคลิสได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของคณะนายพลทั้ง 10 เป็นเวลา นานกว่า 30 ปี

73.       บทละครของกรีกที่เสนอภาพของความไร้สาระ ไม่เป็นแก่นสารของมนุษย์

(1) Classic 

(2) Romantic    

(3) Tragedy       

(4) Comedy

ตอบ 4 หน้า 39 – 40 การละครของกรีกมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

1. ละครโศกนาฏกรรม (Tragedy) เป็นยอดละครของกรีกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันศาสนา นั่นคือ งานฉลองเทพเจ้าไดโอนิซุส เทพเจ้า แห่งเหล้าองุ่น

2. ละครสุขนาฏกรรม (Comedy) มักจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการล้อเลียนบุคคล ที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะนักการเมืองแสะความไร้สาระไม่เป็นแก่นสารของมนุษย์

74.       ชาวกริกเรียกนครรัฐของพวกเขาว่าอย่างไร

(1) City      

(2) Town  

(3) State   

(4) Polis

ตอบ 4 หน้า 27 – 28 การปกครองของกริกจะมีลักษณะเป็นแบบนครรัฐ (City-State) หรือที่เรียกว่า “Polis” ซึ่งเน้นถึงการพึ่งพาตนเองและสนใจแต่กิจการภายในรัฐของตน โดยแต่ละนครรัฐ จะประกอบด้วยบริเวณป้อมที่เรียกว่า อะโครโปลิส” (Acropolis) ซึ่งจะใช้เป็นที่ประชุมและ เป็นศูนย์กลางทางศาสนา

75.       คำว่า พลเมือง” (Citizens)ในนครรัฐของกรีกมีความหมายอยางไร     

(1) สิทธิในการเลือกอาชีพ

(2) สิทธิทางการเมือง 

(3) ความเท่าเทียมทางสังคม  

(4) สิทธิในการเลือกคู่ครอง

ตอบ 2 (HI 101 (H) เลขพิมพ์ 57081 หน้า 38) คำว่า พลเมือง” (Citizens) ของแต่ละนครรัฐของกริกจะมีสิทธิ ดังนี้    

1. เป็นผู้มีสิทธิและมีส่วนที่จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

2. เป็นผู้มีสิทธิและมีส่วนร่วมทางการเมือง     

3. เป็นผู้มีส่วนในการต่อสู้เพื่อป้องกันนครรัฐ

76.       สาเหตุของสงครามเพลอพอเนเชียนในช่วง 431 – 404 ก่อนคริสต์ศักราช

(1)       เปอร์เซียต้องการมีอำนาจเหนือสปาร์ตา

(2)       เปอร์เซียต้องการมีอำนาจเหนือเอเธนส์

(3)       ความเห็นไม่ตรงกันระหว่างเอเธนส์และสปาร์ตาในการวางแผนเพื่อล้มอำนาจเปอร์เซีย

(4)       ความแตกต่างระหว่างเอเธนส์และสปาร์ตา ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน

ตอบ 4 หน้า 35 สงครามเพลอพอเนเชียน (The Petoponesian War) เป็นสงครามระหว่างนครรัฐ เอเธนส์กับสปาร์ตาที่เกิดขึ้นในช่วง 431 – 404 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งมีสาเหตุโดยเริ่มจากการ ที่นครรัฐต่างๆ ของกรีกได้ร่วมกันจัดตั้ง สหพันธ์แห่งเกาะเดลอส” (The Confederation of Delos) ขึ้นมา เพื่อป้องกันการรุกรานจากเปอร์เซีย และใช้เป็นศูนย์กลางในการเก็บสมบัติของ สมาชิก แต่ในความเป็นจริงแล้วการจัดตั้งสหพันธ์นี้กลับเอื้อให้เอเธนส์เป็นผู้นำที่มีอิทธิพลสูงสุด ซึ่งต่อมาสหพันธ์ก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นจักรวรรดิของเอเธนส์ สวนนครรัฐอื่น ๆ ก็ถูกลดฐานะ ให้เป็นเพียงรัฐบริวารเท่านั้น ทำให้สปาร์ตาเกิดความหวาดระแวงและกลัวว่าเอเธนส์จะเป็นผู้นำของกรีกทั้งหมด ด้วยเหตุนี่จึงเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างพวกกรีกด้วยกันในที่สุด

77.       ข้อใดถูกต้องในเรื่องของตำแหน่งผู้เผด็จการทางทหาร (Dictator) ของโรมัน

(1)       มีอำนาจสูงสุดในจักรวรรดิโรมัน

(2)       สภาสามัญเป็นผู้เลือกและเห็นชอบ

(3)       เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นจากสภาพที่กษัตริย์ไร้ความสามารถ

(4)       เกิดขึ้นในยามที่บ้านเมืองมีเหตุร้ายเร่งต่วน และจะสลายไปเมื่อเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ

ตอบ 4 หน้า 49 รูปแบบการปกครองในสมัยสาธารณรัฐโรมันตอนต้น ประกอบด้วย

1.         สภาขุนนางหรือสภาซีเนท (Senate) เป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญที่สุด ส่วนใหญ่มาจากพวกแพทริเชียน

2.         กงสุล (Consul) เป็นประมุขของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ซึ่งมี 2 คน

3.         ผู้เผด็จการทางทหาร (Dictator) เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในยามที่บ้านเมืองมีเหตุร้าย เร่งด่วนหรือในยามสงคราม และจะสลายไปเมื่อเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ

4.         สภาสามัญ (Centuriate Assembly) ทำหน้าที่ในการเลือกกงสุลและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ทุกตำแหนง แต่ไม่มีสิทธิที่จะเข้ารับตำแหน่งนั้น ๆ

78.       ยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน ปกครองประชาชนหลายเชื้อชาติโดยใช้อะไรเป็นเครื่องมือสำคัญ

(1) กองทัพประจำการ

(2) การตรวจสอบ       

(3) การลงโทษ

(4) ภาษาและกฎมาย

ตอบ 4 หน้า 61 โรมันมีพัฒนาการการปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐและจักรวรรดิตามลำดับ โดย จักรวรรดิโรมันจะมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก และสามารถปกครองประชาชนหลาย เชื้อชาติให้อยู่รวมกันได้โดยใช้ภาษาและกฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน

79.       สถาปัตยกรรมของโรมัน

(1) โคลอสเซียม          

(2) ประตูชัยทราจัน    

(3) บาซิลิกา   

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมเด่น ๆ ของโรมัน ได้แก่

1. บาซิลิกา (Basilica) เป็นสิ่งก่อสร้างสาธารณะของโรมันโบราณ

2. แอมพิเธียเตอร์หรือสนามกีฬาโคลอสเซียม

3 ประตูชัยรูปโค้งที่เด่นๆ เช่น ประตูชัยของจักรพรรดิทราจัน (Trajan)

4 สะพานและท่อลำเลียงนํ้า

80.       กฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโรมัน

(1) ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี           

(2) กฎหมายสุเมเรียน

(3) กฎหมายสิบสองโต๊ะ        

(4) กฎแห่งพระเจ้า

ตอบ 3 หน้า 5058, (HI 101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 161) ในสมัยสาธารณรัฐโรมันตอนต้นพวกพลีเบียนได้เรียกร้องให้พวกแพทริเชียนร่างกฎหมายของโรมันเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น เป็นครั้งแรกเมื่อปี 449 B.C. โดยมีการจารึกลงบนแผ่นทองแดง 12 แผ่น แล้วนำไปติดที่ฟอรัม เพื่อประกาศให้ราษฎรทุกคนทราบเรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ” (Law of the Twelve Tables)

81.       ศาสนาโรมันคาทอลิกใช้ภาษาใดเป็นภาษาราชการ

(1) อังกฤษ     

(2) ฝรั่งเศส     

(3) กรีก           

(4) ละติน

ตอบ 4 หน้า 205 ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ศาสนาคริสต์ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 นิกาย ได้แก่

1.         นิกายโรมันคาทอลิก (ภาคตะวันตก) มีประมุขสูงสุดคือ สันตะปาปา (Pope) มีศูนย์กลาง อยู่ที่กรุงโรม ใช้ภาษาละติน และเจริญแพร่หลายในยุโรปตะวันตกและอิตาลี

2.         นิกายกรีกออร์ธอดอกซ์ (ภาคตะวันออก) มีประมุขสูงสุดคือ แพทริอาร์ค (Patriarch)มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล ใช้ภาษากรีก และเจริญแพร่หลายในยุโรปตะวันออก และรัสเซีย

82.       การขับบุคคลออกจากศาสนา (Excommunication) เป็นบทลงโทษของศาสนาใด

(1) อิสลาม      

(2) นิกายอาเรียน        

(3) คริสต์        

(4) โซโรแอสเตอร์

ตอบ 3 หน้า 207 วิธีการลงโทษผู้กระทำผิดของศาสนาคริสต์ในยุคกลาง ได้แก่

1          วิธีบัพพาชนียกรรม (Excommunication) คือ การขับบุคคลสำคัญ เช่น กษัตริย์ หรือนักคิดคนสำคัญ ออกจากศาสนา ด้วยการไม่ให้เข้าร่วมประกอบพิธีกรรมใด ๆ ทางศาสนา ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้น ๆ เป็นที่รังเกียจและถูกตัดออกจากสังคม

2          วิธีอินเทอดิค (Interdict) คือ การขับกลุ่มบุคคลหรือประเทศหรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งออกจากศาสนา โดยประกาศว่าประเทศหรือเขตที่มีกลุ่มบุคคลละเมิดศาสนาเป็นเขต ต้องห้าม และห้ามไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ติดต่อมีไมตรีด้วย ซึ่งวิธีการลงโทษทางศาสนา ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสันตะปาปาในยุคกลางมีอำนาจเหนือกว่ากษัตริย์

83.       หลังจากทำสงครามครูเสดทั้งหมด 8 ครั้ง ได้ผลสรุปอย่างไร

(1)       พวกคริสเตียนไม่สามารถยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนมาได้

(2)       กรุงเยรูซาเล็มเป็นนครเป็นกลางของคริสต์และมุสลิม

(3)       อำนาจของพระสันตะปาปาสูงสุด

(4)       คริสเตียนยอมรับในอำนาจของนบีมะหะหมัด

ตอบ 1 หน้า 208 – 209, (HI 101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 280283 – 284) สงครามครูเสดเกิดขึ้น ทั้งหมด 8 ครั้ง รวมระยะเวลาประมาณ 200 ปี (ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11-13) ซึ่งผลสรุป ของสงครามปรากฏว่า พวกคริสเตียนไม่สามารถยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนมาจากพวกมอสเล็มได้ ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลว แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นความล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จที่สุดใน ประวัติศาสตร์ เพราะชาวยุโรปได้รับบทเรียนต่าง ๆ จากพวกอาหรับและอิสลามอื่น ๆ เป็นอย่างมาก จนเกิดคำขวัญที่ว่า เป็นการดีแม้ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากศัตรู

84.       บทบาทเด่นของวิคลิฟ (John Wycliffe) ในคริสต์ศตวรรษที่ 14

(1) ประธานในสภาแห่งเทรนท์           

(2) นักปฏิรูปศสนา

(3) ผู้ก่อตั้งนิกายคาลแวง       

(4) ตั้งนิกายโปรเตสแตนต์

ตอบ 2 หน้า 211 นักปฏิรูปศาสนาคนสำคัญของยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 14มี 2ท่านได้แก่

1.         จอห์น วิคลิฟ เป็นผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลฉบับวัลเกดเป็นภาษาพื้นเมืองของอังกฤษ เพื่อให้ ประชาชนทั่วไปได้อ่านและศึกษาด้วยตนเอง จนเกิดความเข้าใจศาสนาได้อย่างถูกต้อง

2.         จอห์น ฮุส ไม่เห็นด้วยกับการบังคับให้สวดมนต์เป็นภาษาละตินเพียงอย่างเดียว แต่ควรใช้ ภาษาพื้นเมืองที่ประชาชนสามารถอ่านและเข้าใจได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ฮุสยังได้ประณาม การขายใบบุญไถ่บาป และต่อต้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ไม่เหมาะสม จนทำให้เขาถูกสังหารด้วยการเผาทั้งเป็นในที่สุด

85.       เหตุการณ์ใดที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของคริสต์ศาสนา  

(1) Edict of Milan

(2) Council of Constance 

(3) Edict of Nantes   

(4) Babylonian Captivity

ตอบ 4 หน้า 210452 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้คริสต์ศาสนาและสันตะปาปาเสื่อมลงในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 14 ได้แก่

1.         การคุมขังแห่งบาบิโลนหรือการคุมขังอาวิญญอง (Babylonian Captivity/Arvigon Captivity) เกิดขึ้นเพราะสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 5 ไม่ไปประทับที่สำนักวาติกันในกรุงโรมตามธรรมเนียมปฏิบัติ แต่กลับไปประทับที่เมืองอาวิญญองในประเทศฝรั่งเศสแทน

2.         ความแตกแยกทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ (The Great Schism) เกิดขึ้นเพราะมีสันตะปาปา 2 องค์ ในเวลาเดียวกัน คือ สันตะปาปาเออร์บันที่ 6 ชาวอิตาลี และสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ชาวฝรั่งเศส

86.       เมืองหลวงของอาณาจักรบิแซนทีน

(1) Avignon       

(2) Alexandria  

(3) Constantinople  

(4) Rome

ตอบ 3 หน้า 217 อาณาจักรบิแซนทีนหรืออาณาจักรโรมันตะวันออก ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอนาโตเลีย (บระเทศตุรกีในปัจจุบัน) และมีเมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) หรือเมืองโรมา โนวา (Foma Nova) ในอดีตเป็นเมืองหลวง โดยเมืองนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางที่ตะวันตก (กรีก) และ ตะวันออกมาพบกัน ดังนั้นจึงได้รับสมญานามว่าเป็น โรมใหม่” (The New Rome) หรือ โรมแห่งที่ 2 ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคลังสินค้าของวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการต่าง ๆ ในยุคกลาง

87.       การรุกรานของชนกลุ่มใดที่มีผลทำให้อาณาจักรบิแซนทีนเสื่อมสลาย

(1) Germanic    

(2) Mongol       

(3) Seljuk Turks

(4) Ottoman Turks

ตอบ 4 หน้า 217229 ในปี ค.ศ. 1453 อาณาจักรบิแซนทีนได้เสื่อมสลายไป เพราะถูกพวกออตโตมาน เติร์ก (Ottoman Turks) เข้ายึดครอง หลังจากนั้นอารยธรรมบิแซนทีนจึงถูกถ่ายทอดให้แก่รัสเซีย จนมีคำกล่าวว่าเมืองมอสโก (Moscow) ของรัสเซียคือ โรมแห่งที่ 3 (The Third Rome) ดังนั้นรัสเซียจึงได้กลายเป็นทายาททางวัฒนธรรมที่แท้จริงของอาณาจักรบิแซนทีน

88.       ตามระบบฟิวดัล ขุนนางที่ถือที่ดินโดยตรงจากกษัตริย์เรียกว่าอย่างไร

(1) Sub-vassal   

(2) Tenants-in-chief

(3) Knight

(4) The First Lord

ตอบ 2 หน้า 187 กลุ่มบุคคลในระบบฟิวดัล ประกอบด้วย

1 ซูเซอเรนหรือลอร์ดคนที่ 1 หรือกษัตริย์ (Suzerian/The First Lord/King) เป็นเจ้าของที่ดินโดยสมบูรณ์ไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใด

2. ลอร์ดหรือเจ้า (Lord) เป็นขุนนางชั้นสูงที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยขุนนางที่ถือครองที่ดิน โดยตรงจากกษัตริย์เรียกว่า “Tenants- in-chief”

3.         วัสซาล (Vassal) เป็นข้าที่ได้ทำพิธีรับมอบที่ดินจากเจ้าไปทำผลประโยชน์และต้องแบ่งผลประโยชน์ให้แก่เจ้า

4.         อัศวินหรือซับวัสซาล (Knight/Sub-vassal) เป็นขุนนางระดับตํ่าที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อจาก ขุนนางชั้นสูงอีกทอดหนึง

5.         ชาวไร่ชาวนาและทาสติดที่ดิน (Peasant & Serf) เป็นสามัญชนที่ทำมาหากินบนที่ดินของขุนนางและอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเจ้าของที่ดิน

89.       ประมุขสูงสุดของนิกายกรีกออร์ธอดอกซ์

(1) แพทริอาร์ค

(2) พระสันตะปาปา   

(3) คาร์ดินาล  

(4) เซนต์ออกัสติน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

90.       ทายาททางวัฒนธรรมของอาณาจักรบิแซนทีน

(1) เยอรมนี     

(2) อังกฤษ     

(3) ฝรั่งเศส     

(4) รัสเซีย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

91.       ผู้ที่ทำการเผยแผ่คำสอนของพระเยซู เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาเทววิทยา

(1) St. Peter       

(2)       St. Paul    

(3)       St. Augustine  

(4)       St. Benedict

ตอบ 2 หน้า 199,203 เซนต์ปอล (St. Paul) เป็นสาวกคนสำคัญของพระเยซูคริสต์ โดยเป็นผู้ที่สร้างกฎเกณฑ์ทางศาสนาให้สอดคล้องกับคำสอนซองพระเยซู ก่อให้เกิดสถาบันทางศาสนา เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาเทววิทยา (Theology) และเผยแผ่คำสอนให้กว้างไกลออกไป

92.       การกีฬาต่อสู้กันด้วยหอกบนหลังม้าของขุนนางในยุคกลางเรียกว่าอย่างไร

(1) Joust   

(2) Tournament        

(3) Dice     

(4) Chess

ตอบ 1 หน้า 195 กิจกรรมเพื่อความบันเทิงใจของพวกขุนนางหรือชนชั้นสูงในยุคกลางมักจะนิยม เล่นกีฬาทั้งกลางแจ้งและในร่ม การต่อสู้และเตรียมตัวเพื่อทำสงคราม การเล่นกีฬาต่อสู้กันด้วยหอกบนหลังม้า เรียกว่า จูสท์” (Joust) และการข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ เรียกว่า ทัวนาเมนท์” (Tournament)

93.       ประเพณี Comitatus เป็นวัฒนธรรมของชนชาติใด

(1) โรมัน         

(2) กรีก           

(3) เยอรมัน     

(4) เปอร์เซีย

ตอบ 3 หน้า 186 พวกอนารยชนเยอรมันมีประเพณีอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ระบบสวามิภักดิ์(Comitatus) คือ ประเพณีที่ชายฉกรรจ์หรือนักรบกระทำสัตย์ปฏิญาณว่าจะสวามิภักดิ์และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนทั้งในยามสงบและยามสงคราม ซึ่งเป็นความผูกพันตามระเบียบวินัยทหารของเยอรมัน

94.       อาณาจักรบิแซนทีนมีอายุถึงเมื่อใด

(1) ค.ศ. 1353

(2) ค.ศ. 1400

(3) ค.ศ. 1453

(4) ค.ศ. 1500

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

95.       ยุคแห่งศรัทธา (Age of Faith) หมายถึงความเจริญในยุคใด

(1) ยุคโบราณ 

(2) ยุคกลาง

(3) ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ     

(4) ยุคทรงภูมิธรรมทางปัญญา

ตอบ 2 หนัา 206 – 207 ในยุคกลางตอนต้นและตอนกลาง วัดเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ศิลปะ วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและความนึกคิดของประชาชน ดังนั้นศาสนาคริสต์ในยุคกลางจึงมีอิทธิพลครอบงำวิถีชีวิตของประชาชนในทุกด้าน ส่งผลให้ยุคกลางได้ชื่อว่า ยุคแห่งศรัทธา” (Age of Faith) ทั้งนี้หากผู้ใดคัดค้านความเชื่อ ทางศาสนาหรือแสดงความคิดก้าวหน้าเกินยุคสมัยก็จะถูกลงโทษด้วยวิธีการรุนแรง

96.       สถาปัตยกรรมที่เด่นของอาณาจักรบิแซนทีน

(1) Santa Sophia

(2) Colosseum 

(3) Pantheon    

(4) Ziggurat

ตอบ 1 หน้า 225 – 226 สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรบิแซนทีน มี 3 อย่าง ได้แก่

1.         พระราชวังของจักรพรรดิ (The Imperial Palace)

2. ฮิปโปดรอม (Hippodrome)

3.         วิหารซานต้า โซเฟีย (Santa Sophia Church) นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก ที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกกับตะวันตกเข้าไว้ด้วยกับเป็นอย่างดี

97.       จอห์น ฮุส มีบทบาทสำคัญอย่างไรในยุคกลางตอนปลาย

(1) ปฏิรูปศาสนา        

(2) ปฏิรูปสังคม          

(3) ปฏิรูปการศึกษา   

(4) ปฏิรูปการเมือง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

98.       การฟื้นฟูศิลปวิทยาการคาโรแลงเจียนเกิดขึ้นในยุคใด

(1) เมโรแวงเจียน

(2) ชาร์เลอมาญ         

(3) ยุคโบราณ 

(4) เปแปง

ตอบ 2 หน้า 178180 การฟื้นฟูศิลปวิทยาการคาโรแลงเจียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 เกิดขึ้น ในสมัยพระเจ้าชาร์เลอมาญ โดยเป็นยุคที่มีการพัฒนาทางด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม อย่างชัดเจน ซึ่งเปรียบประดุจแสงเทียนน้อยนิดที่ให้ความสว่างท่ามกลางความมืดมนของ ยุคกลางตอนต้น

99.       คำว่า มอสเล็ม” (Moslem) มีความหมายอย่างไร

(1) ผู้รับใช้พระเจ้า      

(2) พี่น้อง        

(3) เครือญาติ 

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1          หน้า 235, (HI 101 (H) เลขพิมพ์ 57081 หน้า 6470 – 71) คำว่า มอสเล็ม” (Moslem)มาจากคำว่า “Muslim” ซึ่งแปลว่า ผู้รับใช้พระเจ้า โดยพวกมอสเล็มได้ตั้งจักรวรรดิมุสลิมอยู่ บริเวณแอฟริกาเหนือ ซึ่งมีอาณาเขตตั้งแต่อินเดียไปจนถึงสเปน และได้ขยายอำนาจเข้าไปใน ยุโรปยุคกลาง โดยได้รุกรานอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน

100.    เมืองที่ได้ชื่อว่า โรมใหม่” ที่อยู่ในดินแดนของชนชาติเยอรมัน

(1) Saxony

(2) Aix-la Chapelle

(3) Constantinople  

(4) Verdun

ตอบ 2 หน้า 178 – 179 หลังจากที่พระเจ้าชาร์เลอมาญได้รับการยอมรับว่าเป็นจักรพรรดิที่ถูกต้องแล้ว ก็ไม่โปรดที่จะประทับอยู่ที่กรุงโรม จึงได้สร้างพระราชวังและเมืองหลวงใหม่ที่เมืองเอกซ์ ลา ชาแปล (Aix-la Chapelle) หรือเมืองอาเคน (Archen) ซึ่งเลียนแบบมาจากเมืองคอนสแตนติโนเปิล และกลายเป็นกรุงโรมใหม่ (The New Rome) อยู่ในดินแดนเยอรมนี

101.    ต้นตอสำคัญของวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกตํ่าทั่วโลก ค.ศ. 1929 มาจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศใด

(1) เยอรมนี     

(2) อิตาลี        

(3) ฝรั่งเศส     

(4) สหรัฐอเมริกา

ตอบ 4 หน้า 535 – 536 สาเหตุสำคัญของการเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกอย่างรุนแรง ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1929 นั้น ก็เนื่องมาจากการล่มสลายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา กล่าวคือ ในขณะนั้นสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกประสบปัญหาทางการเงินภายในประเทศ ประกอบกับตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ปั่นป่วน ทำให้ราคาหุ้นตกฮวบฮาบ ส่งผลให้การเงินของโลก พังทลาย อุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเสียหายอย่างหนัก มีคนว่างงานจำนวนมหาศาล มาตรฐานการครองชีพของทุกประเทศตกตํ่าลง และผู้คนมีชีวิตทุกข์ยากคับแค้นอย่างแสนสาหัส

102.    มนุษย์เป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งปวง มนุษย์ชี้ชะตาตนเองได้ มนุษย์ทำได้ทั้งนั้นถ้าจะทำ” เป็นคำจำกัดความที่สำคัญของลัทธิอะไร

(1)       Humanism       

(2) Romanticism

(3) Conservatism

(4) Realism

ตอบ 1 หน้า 444, (คำบรรยาย) เลออน บัสติสต้า อัลแบร์ติ ได้ชื่อว่าเป็น บุรุษในอุดมคติแห่งยุค เรอแนสของส์” หรือที่เรียกว่า The Renaissance Man โดยเขาได้กล่าวถึงความสำคัญของลัทธิมนุษยนิยม (Humanism) ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องคุณค่าของมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นศูนย์กลาง ของเรื่องทั้งปวง มนุษย์ชี้ชะตาของตนเองได้โดยไม่ต้องอาศัยพลังเหนือธรรมชาติ เป้าหมาย ของชีวิตอยู่ที่การพัฒนาศักยภาพภายในของตนเอง และที่สำคัญก็คือ มนุษย์ทำได้ทั้งนั้นถ้าจะทำ

103.    ระบบเศรษฐกิจชองยุโรปในยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุด          

(1) การแลกเปลี่ยนสินค้า

(2) เศรษฐกิจที่เลี้ยงตัวเองได้ 

(3) การค้า       

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 459 – 460, (HI 101 (H) เลขพิมพ์ 57081 หน้า 88 – 89) ระบบเศรษฐกิจของยุโรป ในยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับการค้าในโลกกว้างเพื่อหวังผลกำไรเป็นอย่างมาก เนื่องจากการปฏิวัติทางการค้าทำให้เกิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่คือ ระบบทุนนิยม ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจเพื่อความมั่งคั่ง ส่งเสริมให้มีการแสวงหาอาณานิคม มีการใช้เงินตราหมุนเวียน มากขึ้น และทำให้ชนชั้นกลางกลายเป็นพวกที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

104.    ชนชาติแรกที่เป็นผู้บุกเบิกงานด้านอาณานิคม คือชนชาติใด

(1) อังกฤษ     

(2) ฝรั่งเศส     

(3) สหรัฐอเมริกา        

(4) โปรตุเกส

ตอบ 4 หน้า 468 – 471 ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สเปนและโปรตุเกส (ชาวไอบีเรียน) เป็นผู้บุกเบิก และเป็นผู้นำในการขยายอำนาจของยุโรปไปยังดินแดนต่าง ๆ โดยนักสำรวจของทั้ง 2 ชาติได้ เดินทางเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปแอฟริกาและเอเชีย เนื่องจากต้องการแร่ทองคำ และเงิน รวมทั้งเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในดินแดนดังกล่าว ทั้งนี้โปรตุเกสได้เข้าไปสร้างจักรวรรดิ ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ส่วนสเปนได้เข้าไปสร้างจักรวรรดิในทวีปอเมริกาบริเวณฝั่งตะวันออก ของอเมริกากลาง ได้แก่ เม็กซิโก เปรู และคิวบา

105.    มาร์ติน ลูเธอร์ ทำการปฏิรูปศาสนาเพราะไม่พอใจอะไร        

(1) พระขาดวินัย

(2) พระสันตะปาปาขายใบไถ่บาป     

(3) มีการขายตำแหน่งทางศาสนา      

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 452 – 453 ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 พระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ทรงประกาศขายใบไถ่บาปจำนวนมากทั่วยุโรปและในเยอรมนี เพื่อหาค่าซ่อมแซมมหาวิหารเชนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้มาร์ติน ลูเธอร์ ไม่พอใจ จนนำไปสู่การปฏิรูปศาสนาครั้งใหญ่ในเยอรมนี โดยเขาได้เผาใบประกาศบัพพาชนียกรรมของตัวเอง จากนั้นได้แปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาเยอรมัน และก่อตั้งวัดเยอรมันอิสระขึ้นในระหว่างลี้ภัย ทั้งนี้เพ่อต้องการท้าทายและปฏิเสธอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิก

106. บุคคลใดต่อไปนี้ที่จัดอยู่ในกลุ่มของนักคิดที่เกียวข้องกับสัญญาประชาคม

(1) รุสโซ         

(2) เพลโต       

(3) โลเครติส   

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หนา 485 แนวคิดในสมัยทรงภูมิธรรมทางปัญญาด้านการปกครองจะยึดหลัก สัญญาประซาคม” ซึ่งเชื่อว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองเป็นของประชาชน โดยมีนักคิดที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1.         จอห์น ล็อค ได้เขียนหนังสือชื่อ “Essay on Civil Government” ซึ่งมีสาระสำคัญว่า รัฐบาลคือสัญญาทางการเมืองระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ในความปกครองหรือประชาชน

2.         รุสโซ ได้เขียนหนังสือชื่อ “The Social Contract” ซึ่งมีสาระสำคัญว่า เจตนาหลักคือ อำนาจสูงสุดทางการปกครองเป็นของประชาชน รัฐบาลเป็นเพียงคณะผู้รับมอบหมาย ให้ทำงานเท่านั้น

107.    เศรษฐกิจแบบเสรี (Laissez-faire) มีหลักการสำคัญอย่างไร

(1)       ระบบผูกขาด

(2)       รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเอง

(3)       รัฐบาลถือว่ามีหน้าที่ต้องควบคุมธุรกิจของเอกชน

(4)       รัฐบาลจะไม่เข้าแทรกแซงนกิจการต่างๆ ที่เอกชนดำเนินงาน

ตอบ 4 หนัา 484492 – 493 แนวคิดในสมัยทรงภูมิธรรมทางปัญญาด้านเศรษฐกิจจะยึดหลักปล่อยให้ทำ” (Laissez-faire) โดยพวกฟิโลซอฟจะคัดค้านรัฐบาลที่เข้ามาแทรกแซงโดยตั้ง ข้อจำกัดเข้มงวดทางเศรษฐกิจหรือที่เรียกว่า ลัทธิพาณิชย์นิยม” แต่เห็นว่ารัฐบาลควรปล่อย ให้เอกชนมีเสรีภาพที่จะดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงในกิจการ ต่าง ๆ ที่เอกชนดำเนินงาน ซึ่งแนวคิดนี้เป็นที่มาของเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมในปัจจุบัน

108.    แนวความคิดใดที่ส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรมและความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม

(1) ชาตินิยม   

(2) สังคมนิยม

(3) เสรีนิยม    

(4) จินตนิยม

ตอบ 2 หน้า 493 – 494 นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ชนชั้นกรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานได้หันมานิยมลัทธิสังคมนิยม ซึ่งมีแนวความคิดที่ส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรม ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันในสังคม โดยเน้นส่งเสริมการอยู่ดีกินดีของคนในสังคม และไม่ส่งเสริม แต่กำไรเฉพาะบุคคล ดังนั้นลัทธินี้จึงเน้นที่ชุมชนและสวัสดิการร่วมกันเป็นหลัก

109.    คำขวัญของการปฏิวัติบอลเชวิคคือ

(1) สันติภาพ ที่ดิน ขบมปัง     

(2) สันติภาพ ที่ดิน สังคมนิยม

(3) สันติภาพ ที่ดิน ชาตินิยม   

(4) ที่ดิน ขนมปัง คอมมิวนิสต์

ตอบ 1 หน้า 495530 – 531, (คำบรรยาย) การปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 เป็นการปฏิวัติของพวกบอลเชวิคภายใต้คำขวัญที่ว่า สันติภาพ ที่ดิน และขนมปัง” โดยพวกบอลเซวิคยืนยันที่จะต่อต้านรัฐบาลชั่วคราวที่จะให้ที่ดินแก่ชาวไร่ชาวนา อีกทั้งยังยืนยันว่าจะต้องยุติสงครามและ คืนอำนาจทั้งมวลให้แก่รัสเซีย ซึ่งผลจากการปฏิวัติปรากฎว่าพวกบอลเซวิคเป็นฝ่ายชนะ และได้จัดตั้งรัฐบาลแหงชนชั้นแรงงาน (ชนชั้นกรรมาซีพ) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้รัสเซียต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ จนนำไปสู่การก่อตั้งสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียในที่สุด 

110.    อังกฤษสูญเสียอาณานิคม 13 รัฐในทวีปอเมริกาในสมัยใด

(1) เจมส์ที่ 1   

(2) ยอร์ชที่ 1   

(3) ชาร์ลที่ 1   

(4) ยอร์ชที่ 3

ตอบ 4 หน้า 515 – 517, (HI 101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 453 – 454) ในสมัยพระเจ้ายอร์ชที่ 3 แห่งอังกฤษ สัมพันธภาพระหว่างอังกฤษกับชาวอาณานิคมในทวีปอเมริกามีความตึงเครียด มากขึ้น เนื่องจากอังกฤษพยายามบังคับให้ชาวอาณานิคมต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่ชาวอาณานิคม ไม่ยอมปฏิบัติตาม จนในที่สุดอาณนิคมทั้ง 13 รัฐทางตะวันออกของทวีปอเมริกาก็ได้ประกาศอิสรภาพและแยกตัวออกจากอังกฤษในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ซึ่งเท่ากับเป็นการสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมา

111.    การรวมตัวในรูปของ Triple Entente ในช่วงสงครามโคกครั้งที่ 1 ประกอบด้วยประเทศใด

(1) อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา      

(2) เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี

(3) อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย     

(4) เยอรมนี ออสเตรีย -ฮังการี รัสเซีย

ตอบ 3 (HI 101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 533) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการแบ่งกลุ่มประเทศ ออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่

1.         ฝ่ายไตรพันธไมตรี (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี

2.         ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple Entente) ประกอบด้วย ฝรั่งเศส รัลเซีย และอังกฤษ

112.    เรอแนสซองส์ในอิตาลีปรากฏผลงานทางด้านใดเป็นส่วนใหญ่

(1) ศิลปวรรณคดี       

(2) ศาสนา      

(3) สถาปัตยกรรม      

(4) ดนตรี

ตอบ 1 หน้า 442 – 445 ขบวนการเรอแนสซองส์เริ่มขึ้นที่อิตาลีเป็นแห่งแรก โดยความเจริญแบบใหม่ ที่เริ่มเกิดขึ้นในสมัยเรอแนสซองลี มีดังนี้        

1. ให้ความสำคัญในเรื่องอุดมคติเกี่ยวกับคุณค่าอุดมคติสุภาพชน และคุณค่าของมนุษย์ตามความเชื่อในลัทธิมนุษยนิยม (Humanism)

2.         ผู้คนจะใฝ่ใจวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ต่าง ๆ มีความอยากรู้อยากเห็น มองโลกในแง่ดี ให้ความสนใจในเรื่องทางโลก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง รวมทั้งยึดถือธรรมเนียม ปัจเจกบุคคลนิยมหรือปัจเจกชนนิยม (Individualism) และสัจนิยม

3.         มีการสร้างสรรค์งานศิลปะและวรรณคดี ซึ่งมีลักษณะเป็นปัจเจกชนนิยมและอัจฉริยภาพ ที่แสดงออกถึงสุนทรียภาพเป็นสำคัญ ฯลฯ

113.    ลักษณะมองโลกในแง่ดี สนใจเรื่องทางโลก และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เป็นลักษณะเด่นของคนในยุคใด

(1) ยุคโบราณ 

(2) ยุคกลาง   

(3) ยุคเรอแนสซองส์   

(4) ยุคมืด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 112. ประกอบ

114.    มิเชล เดอ มองแตญ ฟรังซัวส์ รับเบอเลย์ จอฟฟรีย์ ชอเซอร์ อัจฉริยบุรุษแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีความสามารถเด่นทางด้านใด

(1) ศาสนา      

(2) จิตรกรรม  

(3) วรรณกรรม

(4) วิทยาศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 449 – 450 อัจฉริยบุรุษแห่งยุคเรอแนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการที่มีความสามารถ เด่นทางด้านวรรณกรรม ได้แก่        

1 ฟรังซัวส์ รับเบอเลย์ และมิเชล เดอ มองแตญ ซึ่งได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเขียนงานวรรณคดีประจำสมัย เมื่อบัณฑิตยสมาคมแห่งฝรั่งเศสตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อกำหนดไวยากรณ์และศัพท์ภาษาประจำชาติในปี ค.ศ. 1635

2 จอฟฟรีย์ ชอเซอร์ ซึ่งได้เขียนเรื่อง “Canterbury Tales” โดยมีเนื้อหาบอกถึงความแข็งแกร่ง ของโลกในแวดวงคริสเตียนและการนับถือลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล 

115.    แนวความคิดเรื่อง ชะตากำหนด” (Predestination) เป็นแนวความคิดของนักปฏิรูปศาสนาท่านใด

(1) มารติน ลูเธอร์       

(2) คาลแวง    

(3) เซนต์ปอล 

(4) ซีริล

ตอบ 2 หน้า 453 – 454 จอห์น คาลแวง เป็นนักปฏิรูปศาสนาในสวิตเซอร์แลนด์ที่เห็นด้วยกับลูเธอร์ ในเรื่องการไถ่บาปด้วย งาน” แต่เขากลับปฏิเสธในเรื่องการไถ่บาปด้วย ศรัทธา” ของลูเธอร์ คาลแวงจึงได้เทศน์เรื่อง ชะตากำหนด” (Predestination) ว่า พระเจ้าทรงกำหนดศรัทธา ของบุคคลไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว หลังจากนั้นเขาได้จัดตั้งประชาคมคริสเตียนขึ้นที่กรุงเจนีวา ทำให้กรุงเจนีวากลายเป็นศูนยปฏิบัติการทางศาสนานอกประเทศที่ส่งผลอย่างมากต่อโบฮีเมีย ฮังการี เนเธอร์แลนด์ สกอตแลนด์ อังกฤษ และอาณานิคมโพ้นทะเล 13 รัฐ

116.    ในยุคที่กษัตริย์แห่งรัฐชาติขยายอำนาจของรัฐบาลกลางได้มั่นคงขึ้น กษัตริย์เหล่านี้ได้รับแรงสนับสนุนจากชนชั้นใดมากที่สุด

(1) พ่อค้า        

(2) ขุนนาง      

(3) พระ           

(4) กรรมกร

ตอบ 1 หน้า460-461 ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15ถึงยุโรปยุคใหม่อำนาจของกษัตริย์แห่งรัฐชาติยุโรปเจริญมั่นคงขึ้นแทนที่อำนาจของศาสนจักรที่เสื่อมลง โดยปัจจัยที่ส่งเสริมอำนาจของกษัตริย์ ได้แก่

1.         การปฏิวัติเทคโนโลยีทางการทหาร โดยมีการประดิษฐ์ปืนใหญ่ขึ้นใช้

2.         มีเงินทุนสะสมและหน่วยบริการจัดซื้อปืน ดินปืน และกระสุน เพื่อจัดกำลังบำรุงหน่วยทหาร

3.         การเป็นภาคีกับชนชั้นพ่อค้า (ชนชั้นกลาง) ผู้มั่งคั่ง

4.         การจัดตั้งระบบราชการให้ทำงานได้อย่างแข็งขัน

117.    มาเคียเวลลีเขียนเรื่อง เจ้าชาย” ขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด

(1) เพื่อให้อิตาลีรวมกันได้      

(2) ให้กษัตริย์คำนึงถึงความสุขของประชาชนเป็นหลัก

(3) ต่อต้านการรวมอิตาลี        

(4) ต่อต้านอำนาจของศาสนจักร

ตอบ 1 หน้า 443 444461 งานเขียนของมาเคียเวลลีเรื่อง เจ้าชาย” (The Prince) เป็นงานเขียนชิ้นสำคัญในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ซึ่งงานเขียนชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นจากความรู้สึกผิดหวัง สับสนกับสภาพบ้านเมืองของอิตาลีในขณะนั้นที่ไม่มีความเป็นปึกแผ่นทางการเมือง เขาจึงต้องการ รวมดินแดนอิตาลีให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและก่อตั้งเป็นรัฐชาติอิตาลี ซึ่งการที่ชาติจะเป็น ปึกแผ่นได้นั้นต้องมีเจ้าชายที่รักชาติ เหี้ยมหาญ ไร้เมตตา และใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งให้แยกเรื่องการเมืองออกจากเรื่องศาสนาอีกด้วย

118.    สนธิสัญญาปารีส ค.ศ. 1763 ซึ่งยุติความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ส่งผลสำคัญประการหนึ่งคืออะไร

(1) อังกฤษได้อินเดียโดยสมบูรณ์       

(2) ฝรั่งเศสได้อินเดียโดยสมบูรณ์

(3) เร่งให้ฝรั่งเศสขยายอิทธิพลในเอเชียมากฃี้น        

(4) อังกฤษเป็นฝ่ายแพ้สงคราม

ตอบ 1 หน้า 134151475 – 477 ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษและฝรั่งเศสได้ทำสงคราม ขับเคี่ยวกันหลายครั้ง เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้าและชิงความเป็นเจ้าอาณานิคม ซึ่งผล ปรากฎว่าอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้นทั้ง 2 ประเทศได้มีการยุติสงครามด้วยสนธิสัญญาปารีส ในปี ค.ศ. 1763 ส่งผลให้จักรวรรดิอาณานิคมของฝรั่งเศสสิ้นสุดลง อเมริกาทางตอนเหนือของแม่นํ้าริโอแกรนด์เจริญด้วยภาษาอังกฤษ ทำให้อังกฤษได้ครอบครองอินเดียทั้งปะเทศโดยสมบูรณ์ เพียงชาติเดียว และสามารถขยายอำนาจเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ด้วย

119.    บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์เป็นการรวมตัวของกลุ่มใดเข้าด้วยกัน

(1) บริษัทเอกชน         

(2) ขุนนาง      

(3) ข้าราชการ 

(4) แรงงาน

ตอบ 1 หน้า 475 ในปี ค.ศ. 1602 ดัตช์ได้รวมบริษัทเอกชนเข้ามาอยู่ภายใต้ความดูแลของชาติ เรียกว่า บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์” โดยถือสิทธิบัตรจากรัฐบาลเพื่อผูกขาดการค้า ระหว่างแหลมกู้ดโฮปกับช่องแคบแมกเจลแลน นอกจากนี้ยังสามารถประกาศสงครามหรือ สันติภาพได้ ยึดเรือต่างชาติได้ จัดตั้งอาณานิคม ตั้งป้อม และผลิตเงินเหรียญได้

120.    ปอนดิเชรีเป็นเมืองสำคัญที่_____ได้ครอบครองในอินเดีย

(1) รัสเซีย       

(2) อังกฤษ     

(3) สหรัฐอเมริกา        

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 4 หน้า 475 – 476 ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์บริเวณหมู่เกาะอินเดียตะวันตก โดยอังกฤษได้ครองเมืองสำคัญของอินเดีย 4 เมือง ได้แก่ กัลกัตตา มัทราส สุรัต และบอมเบย์ ส่วนฝรั่งเศสได้เข้าไปตั้งสถานีการค้า 2 แห่งที่เมือง จันทรนคราและปอนดิเชรี

HIS1003 อารยธรรมโลก การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1003 อารยธรรมโลก

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.      คำว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) เกิดขึ้นเมื่อสมัยใด

(1)    สงครามโลกครั้งที่ 1

(2) สงครามโลกครั้งที่ 2

(3) สงครามเย็น        

(4) พุทธกาล

ตอบ 2 หน้า 357 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่มีชื่อเดิมว่า อินโดจีน” (Indo China) เพราะได้รับอิทธิพลจากจีนและอินเดียซึ่งตั้งขนาบดินแดนนี้อยู่ ส่วนชื่อที่พวกเดินทางผ่านไปมา เพื่อค้าขายจะเรียกว่า เอเชียกลาง” หรือ เอเชียใน” ส่วนคำว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ เอเชียอาคเนย์” (Southeast Asia) นั้น เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อกำหนด เขตปฏิบัติการของกองทัพพันธมิตรในภูมิภาคนี้

2.      วัฒนธรรมของชนชาติใดที่ปูพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครองให้แก่อาณาจักรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอย่างมาก

(1) เปอร์เซีย 

(2) อินเดีย     

(3) จีน           

(4) เขมรโบราณ

ตอบ 2 หน้า 363 – 364 วัฒนธรรมของอินเดียที่ถือว่าเป็นการปูพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครอง ให้แก่อาณาจักรต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจ ให้ผู้นำ ได้แก่

1.      การปกครองแบบเทวราชา เป็นการปกครองที่รับแบบอย่างมาจากศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ในลัทธิตันตระ ซึ่งเชื่อว่ากษัตริย์เป็นเทพเจ้าที่มาจุติในโลกมนุษย์ และต้องได้รับอำนาจจาก เทพเจ้าทั้งหลายจึงจะปกครองได้ นอกจากนี้การประกอบพิธีราชาภิเษกของพวกพราหมณ์ ยังทำให้กษัตริย์ดำรงตนเป็นสมมุติเทพอีกด้วย

2.      กฎหมายพระมนูธรรมศาสตร์ เป็นกฎหมายที่มุ่งให้ราษฎรรับใช้ตัวผู้นำ และทำให้ พระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแท้จริง

3.      ศูนย์กลางการค้าทางบกสมัยแรกอยู่บริเวณใด

(1) ลุ่มแม่น้ำโขง       

(2) ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

(3) ที่ราบสูงโคราช    

(4) ช่องแคบมะละกา

ตอบ 1 หน้า 357 – 358, 361 ในสมัยแรกความเจริญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะจำกัดอยู่บริเวณ ที่ราบลุ่มแม่นํ้า ซึ่งในระยะที่การค้าทางบกแพร่หลาย ศูนย์กลางการค้าทางบกแห่งแรกจะอยู่ที่ เมืองออกแก้ว บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ต่อมาเมื่อเปลี่ยนมานิยมการเดินเรือ ศูนย์กลางการค้าได้ย้ายลงไปบริเวณช่องแคบมะละกาแทน

4.      ศาสนาอิสลามแผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในคริสต์ศตวรรษที่เท่าใด

(1) 13       

(2) 14       

(3) 15       

(4) 16

ตอบ 1 หน้า 358, 369 ศาสนาอิสลามได้แผ่เข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยพ่อค้าจากเมืองกุจราฐในอินเดียเป็นผู้ที่นำเอาศาสนาอิสลามไปเผยแผ่ ให้แก่ดินแดนที่ตนเดินทางไปติดต่อค้าขายด้วย ซึ่งดินแดนที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม มากที่สุด ได้แก่ บริเวณคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะต่าง ๆ

5.      ชนชาติตะวันตกเข้ามาแสวงหาอาณานิคมในภูมิภาคนี้ในคริสต์ศตวรรษที่เท่าใด

(1) 13       

(2) 14       

(3) 15       

(4) 16

ตอบ 4 หน้า 387 – 388 ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เดินทางเข้ามา แสวงหาอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นก็มีชาติตะวันตกชาติอื่นติดตาม โปรตุเกสเข้ามา อันได้แก่ สเปน ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา โดยประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาคนี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือ ต้องการเครื่องเทศและทองคำ ต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และอุดมการณ์ทางการเมือง รวมทั้งต้องการหาแหล่งวัตถุดิบและ ขยายตลาดการค้า

6.      ลักษณะภูมิอากาศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอบอุ่นและฝนตกตลอดปี เพราะเหตุใด

(1) ลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดีย   

(2) ลมมรสุมจากทะเลจีนใต้

(3) ลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้

(4) ลมบกลมทะเล

ตอบ 3 หน้า 360 ลักษณะภูมิอากาศซองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอบอุ่นตลอดทั้งปีคล้ายคลึงกัน ทั่วภูมิภาค โดยได้รับอิทธิพลของลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ ทำให้มีฝนตกตลอดทั้งปี ซึ่งปริมาณนํ้าฝนจะแตกต่างกันไปในแต่ละเขตของภูมิภาค

7.      ช่องแคบที่เป็นทางผ่านสำคัญที่มีผู้สัญจรเพื่อการเดินเรือและการค้ามากที่สุดคือ

(1) ช่องแคบมะละกา

(2) ช่องแคบซุนดา     

(3) ช่องแคบกระ       

(4) ช่องแคบลมบก

ตอบ 1 หน้า 361, 387 ช่องแคบมะละกาถือว่าเป็นทางผ่านสำคัญที่มีผู้คนสัญจรเพื่อการเดินเรือและ การค้ามากที่สุด อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าจากจีนและอินเดีย เป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศ และถือว่าเป็นรัฐอิสลามแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 มะละกาได้ตกเป็นเป้าหมายสำคัญของชาติตะวันตกในการยึดครองเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า และเศรษฐกิจ

8.      ชาติใดมาตั้งถิ่นฐานเป็นอาณาจักรในบริเวณลุ่มแม่น้ำแดง

(1) มอญ       

(2) ไทย         

(3) เวียด        

(4) จาม

ตอบ 3 หน้า 362, 368 ยุคโลหะเป็นยุคที่มนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน เริ่มอพยพลงมา ตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำสายสำคัญ ดังนี้

1. บริเวณลุ่มแม่นํ้าโขง ได้แก่ ฟูนัน จามปา เจนละ และกัมพูชา       

2. บริเวณลุ่มแม่นํ้าอิระวดีและสาละวิน ได้แก่ มอญ พยู่ และพม่า

3.      บริเวณลุ่มแม่น้ำแดง ได้แก่ ชาวเวียด

4. บริเวณลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา ได้แก่ ไทย

9.      กษัตริย์อินเดียที่ส่งสมณทูตมาเผยแผ่พุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือใคร

(1) พระเจ้าอักบาร์    

(2) พระเจ้าพรหมทัต 

(3)     พระเจ้าสุทโธทนะ       

(4)     พระเจ้าอโศกมหาราช

ตอบ 4 หน้า114-116,(คำบรรยาย) สมัยราชวงศ์โมริยะหรือเมารยะแห่งอินเดียเป็นยุคที่พุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดโดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทรงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟู และทำนุบำรุงพุทธศาสนาครั้งใหญ่ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. ทรงเป็นพุทธมามกะและเป็น เอกอัครศาสนูปถัมภก

2. ทรงสร้างเสาหินซึ่งเรียกว่า “Asoka’s Pillars” เพื่อจารึกหลักธรรม ของพระพุทธศาสนา

3. ทรงส่งสมณทูตหลายคณะไปเผยแผ่พุทธศาสนายังต่างแดน เช่น ส่งพระโสณะและพระอุตตระไปยังสุวรรณภูมิหรือดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พม่า มอญ ไทย)

4.      ทรงให้สังคายนาพระไตรปิฎกและมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก เป็นต้น

10.    ลัทธิตันตระ คือ

(1) ศานาพราหมณ์ 

(2) ศาสนาเชน          

(3) ศาสนาอิสลาม     

(4) ศาสนาสิกข์

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

11.    ข้อใดที่ไม่ใช่วรรณคดีในศาสนาพราหมณ์

(1) ชาดก      

(2) ตำนานมูลศาสนา

(3) ไตรภูมิพระร่วง    

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 365, (คำบรรยาย) วรรณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ได้แก่ รามเกียรติ์หรือมหากาพย์รามายณะ และมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งเป็นวรรณคดี ที่ยกย่องเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ส่วนวรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ได้แก่ ชาดก ไตรภูมิพระร่วง พระไตรปิฎก และตำนานมูลศาสนา

12.    ลัทธิขงจื๊ออยู่ในวัฒนธรรมของชนชาติใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) มอญ       

(2) เขมร        

(3) ลาว         

(4) เวียดนาม

ตอบ 4 หน้า 368 – 369 วัฒนธรรมที่จีนนำมาให้เวียดนาม ได้แก่

1.      การปกครองแบบโอรสสวรรค์หรืออาณัติสวรรค์

2.      ระเบียบการบริหารราชการ ซึ่งแบ่งออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน

3.      ลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเน้นความกตัญญูและระบบอาวุโส และศาสนาพุทธนิกายมหายาน

4.      วรรณคดีและอักษรศาสตร์

5.      วัฒนธรรมความเป็นอยู่และประเพณ์ เช่น การแต่งกาย การกิน การแต่งงาน การทำศพ เป็นต้น

13.    ภาษาของจามจัดอยู่ในตระกูลภาษาเดียวกับชาติใด

(1) อินโดนีเซีย          

(2)ไทย           

(3) มอญ       

(4) เวียดนาม

ตอบ 1 หน้า 372 – 373 อาณาจักรจามปาตั้งอยู่ในบริเวณเว้ของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน โดยลักษณะเด่นของอาณาจักรนี้ ได้แก่

1.      ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย โดยมีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณกวางนำหรือ อมราวดี” ซึ่งมีการปกครองแบบเทวราชา

2.      ภาษาที่ใช้จะอยู่ในตระกูลเดียวกับอินโดนีเซียเรียกว่า ภาษาจาม

3.      ชาวจามส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่มีพิธีกรรมแบบฮินดูปะปนอยู่มาก

14.    มอญที่สุธรรมวดีรู้เรื่องชลประทานจากชาติใด

(1) จีน           

(2) ไทย         

(3) อินเดีย     

(4) จาม

ตอบ 3 หน้า 375 มอญเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เชื้อสายเดียวกับเขมร ซึ่งได้เริ่มรวมตัวกันตั้งเป็นอาณาจักรมอญขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสุธรรมวดีหรือเมืองท่าตุน บริเวณลุ่มแม่นํ้าสะโตงของพม่า (เมียนม่าร์) ซึ่งพวกมอญที่สุธรรมวดีจะมีความรู้ทางด้าน เกษตรกรรม การทำนาทำไร่ และมีความชำนาญในการชลประทาน ซึ่งเรียนรู้มาจากพวกอินเดีย โดยเฉพาะการเป็นผู้ริเริ่มการชลประทานขึ้นในที่ราบกยอเสในบริเวณตอนกลางของพม่า นอกจากนี้ ยังมีการติดต่อค้าขายอย่างใกล้ชิดกับอินเดียและลังกา ทำให้มอญได้รับอารยธรรมอินเดีย ไว้เต็มที่หลายประการ

15.    จีนเรียกอาณาจักรโตโลโปติ (To Lo Po Ti) หมายถึงอาณาจักรใด

(1) สยาม      

(2) ศรีวิชัย     

(3) พุกาม      

(4) ทวารวดี

ตอบ 4 หน้า 375 อาณาจักรทวารวดีหรือที่ชาวจีนเรียกว่า โตโลโปติ” (To Lo Po Ti) นั้นเป็นอาณาจักรมอญที่เข้ามาตั้งชุนชนขึ้นบริเวณลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ในบริเวณตอนกลาง ของประเทศไทยในปัจจุบันโดยหลักฐานที่แสดงถึงร่องรอยของอารยธรรมในบริเวณนี้ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ พระพุทธรูปแบบคุปตะ พระธรรมจักรมีกวางหมอบ เป็นต้น

16.    ชาติตะวันตกที่ยึดครองมะละกาได้จากการทำสงครามใน ค.ศ. 1511 คือชาติใด

(1)    อังกฤษ           

(2) โปรตุเกส 

(3) ฝรั่งเศส   

(4) สเปน

ตอบ 2 หน้า 388 – 389 วิธีการขยายอำนาจของโปรตุเกสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือ ใช้วิธีการ ตั้งสถานีการค้าแล้วตั้งป้อมค่ายทหาร และการทำสงครามยึดครองดินแดน โดยในปี ค.ศ. 1511 โปรตุเกสสามารถทำสงครามยึดเมืองมะละกาได้สำเร็จ จากนั้นจึงตั้งสถานีการค้าแห่งแรกขึ้น ที่เมืองนี้ และใช้การปกครองแบบค่ายทหารเพื่อสร้างอิทธิพลทางการเมือง

17.    ชาวตะวันตกชาติใดที่ขยายอำนาจปกครองอินโดนีเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 17

(1)    อังกฤษ           

(2) โปรตุเกส 

(3) ฮอลันดา  

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 390 – 391 สภาพของหมู่เกาะอินโดนีเซียก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของฮอลันดาใน คริสต์ศตวรรษที่ 17 นั้น จะมีการแตกแยกเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่นับถือคาสนาอิสลาม ทำให้รัฐต่าง ๆ เหล่านี้ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางการเมือง นอกจากนี้ยังมีการแย่งชิงผลประโยชน์กัน ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ฮอลันดาซึ่งสนใจการค้าเครื่องเทศ ในดินแดนนี้อยู่แล้ว สามารถเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายใน และครอบครองดินแดนต่าง ๆ ในหมู่เกาะอินโดนีเซียได้สำเร็จ

18.    ชาติใดที่ได้เมียนม่าร์เป็นอาณานิคม

(1) อังกฤษ   

(2) ฝรั่งเศส   

(3) ฮอลันดา  

(4) โปรตุเกส

ตอบ 1 หน้า 393 – 396 อังกฤษมีความสนใจที่จะเข้าไปขยายอำนาจในเมียนม่าร์ เนื่องจากต้องการ รักษาผลประโยชน์ฃองบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษในอินเดียที่มีเขตแดนติดกับเมียนม่าร์ ซึ่งการขยายอำนาจของอังกฤษในเมียนม่าร์นั้นจะตัดสินปัญหาด้วยการทำสงครามเสมอ ไม่ใช่การเจรจาทางการทูตด้วยสันติวิธี

19.    ในสมัยที่พระเจ้าเวียดนามยาลองเสด็จขึ้นครองราชย์ตรงกับสมัยของกษัตริย์ไทยพระองค์ใด

(1) พระนารายณ์มหาราช     

(2) พระเจ้ากรุงธนบุรี

(3) รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

(4) รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ตอบ 3 หน้า 396, (คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1802 (พ.ศ. 2345) เหงียนอันห์ ได้สถาปนาตนเป็นจักรพรรดิ ของเวียดนาม ทรงมีพระนามว่า พระเจ้าเวียดนามยาลอง” (Vietnam Gia Long)โดยได้รับการรับรองจากจีน ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ของไทย

20.    วัตถุประสงค์สำคัญของสมาคมอาเซียน (ASEAN) คืออะไร

(1) ความร่วมมือทางการเมือง           

(2) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

(3) การต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกัน           

(4) เพื่อกีดกันออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ออกจากภูมิภาค

ตอบ 2 หน้า 424 – 425 สมาคมอาเซียน (ASEAN) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1967โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการสร้างสันติภาพ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันอาเซียนมีสมาชิกทั้งสิ้น 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม ลาว เมียนม่าร์ และกัมพูชา

21.    คำว่าเอเชียใต้หมายถึง           

(1)     South West Asia

(2)    South Asia       

(3) Indian Sub-Continent         

(4)    ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 73, 75 เอเชียใต้ (South Asia) หรือที่สื่อมวลชนทางตะวันตกนิยมเรียกว่า อนุทวีปอินเดีย” (Indian Sub-Continent) ซึ่งในอดีตนั้นเอเชียใต้มักหมายถึงประเทศอินเดีย แต่ในปัจจุบัน เอเชียใต้จะมีทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา เนปาล ภูฏาน และมัลดีฟส์

22.    แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสินธุ ปัจจุบันอยู่ในประเทศใด

(1)    อินเดีย

(2) ปากีสถาน           

(3) เนปาล     

(4) บังกลาเทศ

ตอบ 2 หน้า 75, 81 อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุหรืออินดัส บริเวณ แคว้นปัญจาบตะวันตกในประเทศปากีสถานปัจจุบัน โดยเชื่อกันว่ามีอายุประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ดังนั้นจึงถือว่าเป็นอารยธรรมเริ่มแรกที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้

23.    ถิ่นฐานดั้งเดิมของพวกอารยันอยู่ ณ ที่ใด       

(1)     บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ

(2)    คาบสมุทรอนาโตเลีย  

(3) ทะเลสาบแคสเปียน        

(4)     ลุ่มแม่นํ้าฮวงโห

ตอบ 3 หน้า 91 – 92, 108, 156 ชาวอารยันมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางภาคกลางของทวีปเอเชียบริเวณ รอบ ๆ ทะเลสาบแคสเปียน โดยแบ่งออกไต้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1. พวกยูโรเปียน-อารยัน (European-Aryans) ได้อพยพเข้าไปอยู่ในยุโรปบริเวณประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และโปแลนด์   

2. พวกอิราเนียน-อารยัน (Iranian-Aryans) ได้อพยพเข้าไปอยู่นประเทศอัฟกานิสถาน และบริเวณอ่าวเปอร์เซีย         

3. พวกอินโด-อารยัน (Indo-Aryans)ได้อพยพเข้ามายึดครองเอเชียใต้ (อินเดีย) แถบลุ่มแม่นํ้าคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร

24.    ภาษาใดต่อไปนี้คือภาษาของชาวอารยัน

(1) บาลี        

(2) สันสกฤต 

(3) ฮินดี         

(4) อูร์ดู

ตอบ 2 หน้า 93 ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาของพวกอารยันที่อินเดียได้รับถ่ายทอดมาอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้จากคำว่าราชาและมหาราชาที่ใช้ในอินเดียปัจจุบันนั้น ก็มาจากคำว่า ราชา” หรือ ราชันย์” ซึ่งเป็นคำที่ชาวอารยันใช้เรียกหัวหน้าเผ่าในอดีตนั่นเอง

25.    โครงสร้างของระบบวรรณะเกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใด

(1) สินธุ        

(2) พุทธกาล 

(3) มหากาพย์           

(4) พระเวท

ตอบ 4 หน้า 92, 157 ในสมัยพระเวทได้ปรากฏโครงสร้างทางสังคมแบบวรรณะขึ้นเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์อินเดีย โดยมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่ นักรบหรือกษัตริย์ สามัญชน และพระ ซึ่งสาเหตุเริ่มแรกของการเกิดระบบวรรณะก็คือ กลัวว่าเผ่าพันธุ์ของ อารยันจะไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นผู้นำเผ่าจึงออกกฎห้ามชาวอารยันแต่งงานกับชนพื้นเมือง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของชาติพันธุ์ของตนเอาไว้

26.    คำกล่าวว่า ทุกชีวิตล้วนมีกำเนิดมาจากพรหมัน” ควรปรากฏในที่ใด

(1) ไตรปิฎก  

(2) นิครนฐ์นาฏบุตร  

(3) อุปนิษัท   

(4) อัลกุรอาน

ตอบ 3 (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 198) คัมภีร์อุปนิษัท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมหลักปรัชญาของ ศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) โดยสรุได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลกำเนิดมาจากพรหมหรือพรหมัน ซึ่งมีสภาพเป็นอมตะ ไม่เกิด ไม่ตาย และไม่เปลี่ยนปลง

27.    ในวรรณคดีเรื่อง มหาภารตะ มีตอนที่สำคัญที่สุดชื่อว่า

(1) สัตยาเคราะห์      

(2) อัคคัญสูตร          

(3) อรรถศาสตร์        

(4) ภควัทคีตา

ตอบ 4 หน้า 94, (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 194) มหาภารตะที่ประพันธ์โดยฤาษีวยาสะในยุคมหากาพย์นั้น ถือว่าเป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองที่ยาวที่สุดในโลก และมีตอนที่สำคัญที่สุดชื่อว่า ภควัทคีตา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัดมาจากตอนพระกฤษณะ (เป็นอวตารปางที่ 8 ของพระนารายณ์)ให้คำสอนแก่อรชุนซึ่งเป็นกษัตริย์ตระกูลปาณฑพ (ตัวแทนฝ่ายธรรมะ)ในการทำสงครามกับตระกูลเการพ (ตัวแทนฝ่ายอธรรม) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ผลของสงคราม ปรากฏว่าฝ่ายปาณฑพได้รับชัยชนะ

28.    ตามความเชื่อในระบบวรรณะ แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวจะเป็นพวกที่เกิดจากอวัยวะส่วนใดของพระพรหม

(1) พระโอษฐ์

(2) พระพาหา

(3) พระโสณี 

(4) พระบาท

ตอบ 3 หน้า 98, (คำบรรยาย) ตามคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) เชื่อว่า พระพรหมได้ ทรงสร้างมนุษย์เป็นชนชั้นต่าง ๆ ไว้เพื่อสันติของสังคมจากพระวรกายของพระองค์4 ส่วน ดังนี้

1.      พราหมณ์ สร้างจากพระโอษฐ์ ได้แก่ นักบวช นักปราชญ์ ครูอาจารย์

2.      กษัตริย์ สร้างจากพระพาหา ได้แก่ นักรบ นักปกครอง

3.      แพศย์ สร้างจากพระโสณี (ลำตัวถึงสะโพก) ได้แก่ แม่ค้า พ่อค้า ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือ

4.      ศูทร สร้างจากพระบาท ได้แก่ กรรมกร ทาส

29.    สภาในสมัยอารยันคือที่ชุมนุมของคนกลุ่มใด

(1) ผู้อาวุโส   

(2) นักรบ      

(3) พ่อค้า      

(4) ราษฎร

ตอบ 1 หน้า 93 ลักษณะการปกครองของชาวอารยันในสมัยแรกนั้นจะอยู่รวมกันเป็นเผ่า โดยมีหัวหน้าเผ่าที่เรียกว่า ราชา” หรือ ราชันย์” เป็นผู้ปกครอง ซึ่งหัวหน้าเผ่าจะปกครองโดยมี สภา (Sabha) และสมิติ (Samiti) เป็นผู้ช่วย โดยสภาจะเป็นที่ชุมนุมของผู้อาวุโสในเผ่า และ สมิติจะเป็นที่ชุมนุมของราษฎรในเผ่า ซึ่งเทียบได้กับวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบัน

30.    วรรณคดีเรื่องใดต่อไปนี้ที่แสดงให้เห็นว่าคนไทยได้รู้จักศาสนาเชนมานานแล้ว

(1) รามเกียรติ์           

(2) อิเหนา     

(3) ขุนข้าง-ขุนแผน    

(4) พระอภัยมณี

ตอบ 4 หน้า 103, (คำบรรยาย) ศาสนาเชนแบ่งออกเป็น 2 นิกาย ได้แก่

1. ทิฆัมพร คือ นักบวชเปลือยที่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ผูกพันกับสิ่งใด ๆ แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ โดยนักบวชเปลือย (ชีเปลือย) นั้นได้ปรากฏใบวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักนิกายนี้ มานานแล้ว

2. เศวตัมพร คือ นักบวชนุ่งขาวห่มขาว (ชีปะขาว) ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในอินเดีย

31.    “ชีปะขาว” มีลักษณะใกล้เคียงกับความเชื่อในนิกายใด

(1) ทิฆัมพร   

(2) เศวตัมพร 

(3) อาจริยวาท           

(4) เถรวาท

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ

32.    Asoka’s Pillars หมายถึง

(1) เสาหิน     

(2) พระพุทธรูปหิน    

(3) เสมาธรรมจักร     

(4) สถูปอันศักดิ์สิทธิ์

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

33.    ใครคือผู้แต่งคัมภีร์อรรถศาสตร์

(1) เกาฎิลยะ

(2) โกณทัญญะ        

(3) พิมพิสาร  

(4) จันทรคุปต์ที่ 2

ตอบ 1 หน้า 113, (คำบรรยาย) เกาฏิลยะ พราหมณ์ในสมัยราชวงศ์โมริยะ เป็นผู้แต่งคัมภีร์อรรถศาสตร์ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่มีต่อคำอธิบายของศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) กล่าวคือ เป็นหลักธรรมที่เกื้อกูล ระบบอาศรม 4 ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ โดยเป็นหลักปฏิบัติที่เน้นเรื่องของการทำงาน และการปกครองให้มีประสิทธิภาพ

34.    ข้อใดคือ ปฏิกิริยา‘’ ที่มีต่อคำอธิบายของศาสนาพราหมณ์

(1) อรรถศาสตร์        

(2) ศกุนตลา 

(3) มหากาพย์           

(4) อริยสัจ

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

35.    จุดมุ่งหมายสูงสุดร่วมกันในงานปรัชญาความคิดอินเดีย คือ

(1) แสวงหาความสงบวิเวก เจริญวิปัสสนากรรมฐาน

(2) ใช้หนทางสันติวิธีในการดำเนินชีวิต

(3)    ชี้หนทางของการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ          

(4) ยึดหลักกาลามสูตรในการดำเนินชีวิต

ตอบ 3 (HI 102 เลขพิมพ์ 52058 หน้า 200) โมกษะ คือ การแสวงหาหนทางของการหลุดพ้นจาก สังสารวัฏหรือวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์ ตามคติฮินดู และได้กลายเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดร่วมกันในงานปรัชญาความคิดของอินเดีย

36.    การปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติอย่างเคร่งครัด เป็นลักษณะที่สำคัญของนิกายใด

(1) อาจริยวาท          

(2) เถรวาท    

(3) มหาสังฆิกะ         

(4) ธรรมยุติกนิกาย

ตอบ 2 หน้า 105 – 106 ศาสนาพุทธแบ่งออกเป็น 2 นิกาย ได้แก่

1.      นิกายหินยานหรือเถรวาท เป็นนิกายดั้งเดิมที่ปฏิบัติตามกฎหรือพระวินัยที่พระพุทธเจ้า บัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดที่สุด

2.      นิกายมหายานหรืออาจริยวาท เป็นนิกายใหม่ที่มีการปฏิรูปคำสอนของพระพุทธเจ้า

37.    ราชวงศ์โมกุลเป็นมุสลิมเชื้อสายใด

(1) โมริยะ     

(2) มองโกล   

(3) คุปตะ      

(4) เติร์ก

ตอบ 2 หน้า 122 – 123 ราชวงศ์โมกุลแห่งอินเดียเป็นมุสลิมเชื้อสายมองโกล เพราะถูกตั้งขึ้นมาจากการบุกรุกของพวกมองโกลจากจีน นำโดยทายาทของพระเจ้าเจงกิสข่านชื่อ พระเจ้าไทมูร์ (Timur) ที่บุกเข้าโจมตีจนได้ครองเมืองเดลีในแคว้นปัญจาบ และกวาดต้อนช่างฝีมือตลอดจนผู้คน ไปเป็นเชลยสร้างเมืองใหม่ในเปอร์เซียและตุรกี จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชวงศ์โมกุล จึงได้ครอบครองอินเดียจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19

38.    คำกล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ จะมีก็แต่พระเจ้าองค์เดียวที่เป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคนเท่านั้น” เป็นแนวความคิดของนักปราชญ์อินเดียท่านใด

(1) คุรุนานัก  

(2) มหาวีระ   

(3) สิทธัตถะ 

(4) อาลี จินนาห์

ตอบ 1 หน้า 131 – 133, (คำบรรยาย) ศาสนาสิกข์เกิดขึ้นในรัฐปัญจาบทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ของอินเดียในปี ค.ศ. 1440 ซึ่งผู้ที่ก่อตั้งคือ ท่านกะบีร์ โดยมีเป้าหมายที่จะรวมเอาศาสนาฮินดู และศาสนาอิสลามเจ้าด้วยกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ส่วนผู้ที่ประกาศศาสนานี้อย่างแท้จริง คือ คุรุนานัก ซึ่งได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ จะมีก็แต่ พระเจ้าองค์เดียวที่เป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคนเท่านั้น” ทั้งนี้ศูนย์กลางของศาสนาสิกข์จะอยู่ที่ สุวรรณวิหาร เมืองอมฤตสาร์รัฐปัญจาบ

39.    ข้าหลวงอังกฤษประจำอินเดียมีหน้าที่

(1)    ให้ความคุ้มครองดูแลทรัพย์สินและชีวิตของคนอังกฤษในอินเดีย

(2)    ประสานงานระหว่างบริษัทอีสต์อินเดียกับอังกฤษ

(3) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2   

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 135 ในปี ค.ศ. 1757 – 1774 อังกฤษได้ส่งข้าหลวงมาประจำอินเดีย เพื่อช่วยเหลือบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (English East Indian Company) ซึ่งอำนาจหน้าที่ของข้าหลวงคือ       

1. ประสานงานระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกกับรัฐบาลอังกฤษ

2.      ให้ความคุ้มครองดูแลทรัพย์สินและชีวิตของคนอังกฤษในอินเดีย

3.      เสนอร่างกฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ไปยังรัฐบาลอังกฤษ แล้วนำมาประกาศใช้ในอินเดีย

40.    หลักการใดที่คานธีใช้ในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชกับอังกฤษ

(1) สัตยาเคราะห์      

(2) อริยสัจ     

(3) ฮัจญ์        

(4) ปฏิรูปประเทศ

ตอบ 1 หน้า 144 – 145 วิธีที่มหาตมะ คานธี ใช้ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ เรียกว่า สัตยาเคราะห์” ซึ่งประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ประการ คือ

1. ความสัตย์หรือความจริง (Truth)

2. อหิงสา (Non-Violence) คือ การไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเนื้อ หรือไม่ใช้วิธีการรุนแรง

3.      การดื้อแพ่ง (Civil Disobedience) คือ การไม่ปฏิบัติตามหรือไม่เชื่อฟังโดยไม่ใช้อาวุธต่อสู้ กับผู้ปกครอง

41.    การขุดค้นพบเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมากในจีน ทำให้นักโบราณคดีส่วนใหญ่สันนิษฐานว่า แหล่งอารยธรรมโบราณของจีนมีอายุเก่าแก่ย้อนหลังขึ้นไปเท่าใด

(1) 4,000 ปีก่อน    ค.ศ.    

(2) 4,000   ปีก่อน ค.ศ.     

(3) 4,000 ปีก่อน    พ.ศ.    

(4) 4,000 ปีก่อน ร.ศ.

ตอบ 1 หน้า 272 ตามทฤษฎีสังคมวิทยาและมานษยวิทยา เชื่อว่า อารยธรรมจีนสมัยแรกเริ่มนั้น กำเนิดขึ้นในยุคหินใหม่ หรือเมื่อประมาณ 4,000ปีก่อนคริสตกาล (ก่อน ค.ศ.) โดยมีศูนย์กลาง อยู่บริเวณลุ่มแม่นํ้าเหลืองหรือแม่นํ้าฮวงโหอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งหลักฐานสำคัญทางโบราณคดี ที่แสดงถึงความเก่าแก่ที่สุดของอารยธรรมจีนในยุคนี้ ได้แก่ วัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผา เช่น วัฒนธรรมลีและเสียน วัฒนธรรมยังเชาและลุงซาน เป็นต้น

42.    พื้นที่บริเวณลุ่มแม่นํ้าเหลืองเป็นแหล่งที่ให้ผลผลิตอะไรแก่ประเทศจีนมากที่สุด

(1)    ข้าว     

(2) ปลา         

(3) ปู 

(4) เกลือ

ตอบ 4 หน้า271 จีนเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะถ่านหินน้ำมันปีโตรเลียม เหล็ก ทองแดง ทอง เงิน เป็นต้น นอกจากนี้ในบริเวณ 2 ข้างฝั่งแม่น้ำเหลือง นับว่าเป็นแหล่งผลิตเกลือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอีกด้วย

43.    ข้อใดเกิดขึ้นสมัยราชวงค์เฉีย

(1) ค้าขายกับโรม

(2) ใช้รถม้าทำสงคราม         

(3) ขยายอำนาจไปชนแดนอาหรับ    

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 273 ผลงานสำคัญที่ราชวงศ์เฉียได้สร้างไว้ มีดังนี้

1. ตำแหน่งจักรพรรดิสืบทอดกันทางสายโลหิต และมีการปกครองแบบนครรัฐ

2. มีการใช้รถม้าในการทำสงคราม

3. มีการนำทองสำริดเข้ามาใช้แทนดินเผา

4. เริ่มมีการใช้อักษรภาพเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร

5.      มีการริเริ่มทำปฏิทินซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีความใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด

44.    ราชวงศ์โจวสมัยแรก คือ

(1) โจวตะวันตก       

(2) โจวตะวันออก      

(3) โจวเหนือ  

(4) โจวใต้

ตอบ 1 หน้า 266, 274 – 275 นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งประวัติศาสตร์ของราชวงศ์โจวออกเป็น 2 สมัย ด้วยกัน คือ           

1. สมัยโจวตะวันตก (สมัยแรก) มีเมืองหลวงอยู่ในมณฑลสั่นซี

2. สมัยโจวตะวันออก (สมัยหลัง) มีเมืองหลวงอยู่ในมณฑลเหอหนัน

45.    มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนดี แต่สภาพแวดล้อมต่างหากที่ทำให้มนุษย์แปรเปลี่ยนไปเป็นคนไม่ดี เป็นคำสอนของใคร

(1) ซูสี           

(2) ซุนจื๊อ       

(3) เม่งจื๊อ      

(4) ขงจื๊อ

ตอบ 3 หน้า 276 – 277 เม่งจื๊อ ได้กล่าวว่า โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนเป็นคนดี โดยกำเนิด แต่สิ่งแวดล้อมทำให้มนุษย์กลายเป็นคนไม่ดีไป” ซึ่งเขาได้เสนอแนวทางแก้ไขคือ ต้องให้มนุษย์มีการศึกษา

46.    ปฐมจักรพรรดิต้นราชวงศ์ฮั่นที่มาจากสามัญชน คือ

(1) หลิวปัง    

(2)     หลี่ซื่อหมิน      

(3)     จูหยวนจาง     

(4) หวางอันซือ

ตอบ 1 หน้า 278 หลิวปัง หรือจักรพรรดิฮั่น เกา สู ถือว่าเป็นสามัญชนคนแรกในประวัติศาสตร์จีน ที่ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกก่อการปฏิวัติ ภายหลังการสิ้นพระชนมของจักรพรรดิจิ๋นซี โดยเขาได้ตั้งราชวงศ์ใหม่เรียกว่า ราขวงศ์ฮั่น” ขึ้นปกครองแผ่นดินจีนในเวลาต่อมา

47.    เนื้อหาในวรรณกรรมเรื่องไซอิวเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยใด

(1) จิน           

(2)     ฮั่น      

(3)     สุย      

(4) ถัง

ตอบ 4 หน้า 281 เนื้อหาในวรรณกรรมเรื่องไซอิ้วนั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังโดยได้กล่าวถึงการเดินทางของเจ้าชายนักธุดงค์ หรือพระถัง ซัม จั๋ง ซึ่งได้ใช้เวลาเกือบ 20 ปี ในการเดินทางไปอินเดีย เพื่อนำเอาคัมภีร์พุทธศาสนากลับมาเผยแผ่และแปลเป็นภาษาจีน จึงส่งผลทำให้พุทธศาสนาในสมัยราชวงศ์ถังมีความเจริญสูงสุด

48.    ราชวงศ์ถังเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยใด

(1) จิ๋นซี        

(2) ขงจื๊อ       

(3) ไถจง        

(4) หวางอันซือ

ตอบ 3 หน้า 280 – 281 ในสมัยราชวงศ์ถังเป็นสมัยที่ได้ชื่อว่า มีความเจริญมากที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา ในประวัติศาสตร์โลก” โดยเฉพาะทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ ศิลปวิทยาการ วรรณกรรม การค้ากับต่างประเทศ รวมทั้งการเผยแผ่ของศาสนาคริสต์ ศาสนายิว และศาสนาอิสลามในจีน เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งผู้ที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ราชวงศ์นี้คือ จักรพรรดิถัง ไถจง หรือ หลี ซือ-มีน และพระนางหวู หรือพระนางบูเชคเทียน

49.    ใครคือผู้นำ การปฏิรูป 100 วัน

(1) หวางอันซือ          

(2) คังยู่เหวย 

(3) ซุนยัดเซ็น

(4) เจียงไคเซ็ค

ตอบ 2 หน้า 289 กังยู่ไหว (คังยู่เหวย) เป็นผู้นำในการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก ทางภาคเหนือ โดยเขาได้นำแนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิทยาการจากตะวันตกทั้งหมดเข้ามาใช้ ได้เพียง 100 วัน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ การปฏิรูป 100 วัน” แต่โครงการปฏิรูปนี้ประสบกับความล้มเหลว ทำให้กังยู่ไหวและพรรคพวกถูกจับเนรเทศ บางส่วนก็ถูกประหารชีวิต

50.    จีนรับอุดมการณ์แบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาจากนักคิดตะวันตกท่านใด

(1)    Georg Hegel

(2) Sigmund Freud

(3) Karl Marx   

(4) Max Weber

ตอบ 3 หน้า 291 – 293 ในระยะแรก ๆ ปัญญาชนจีนไม่ให้ความสนใจในลัทธิคอมมิวนิสต์มากเท่าไรนัก เพราะหลักการส่วนใหญ่ขัดกับธรรมเนียมประเพณีที่เคยปฏิบัติมา แต่เมื่อเห็นความสำเร็จใน การปฏิวัติบอลเชวิคแล้ว ทำให้ปัญญาชนเหล่านั้นเชื่อมั่นว่าปัญหาของจีนจะสามารถแก้ไขได้ ด้วยวิธีการเดียวกันนั้นคือ การปฏิวัติสังคมตามแนวความคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) หรือลัทธิมาร์ก (Marxism), เลนิน (Leninism) และเหมา (Maoism)

51.    ข้อใดคือหลักการที่สำคัญที่สุดของระบบสังคมนิยม

(1) เชื่อในพลังชนชั้นกรรมาชีพ         

(2) เน้นระบบอาวุโสและเชื่อฟังผู้นำ

(3)    รับรองกรรมสิทธิ์เอกชน          

(4) เน้นเสรีภาพส่วนบุคคล

ตอบ 1 หน้า 494 คาร์ล มาร์กซ์ เป็นบิดาแห่งลัทธิสังคมนิยมสมัยใหม่ (ลังคมนิยมคอมมิวนิสต์)ที่เชื่อในพลังชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งเขาเห็นว่าหนทางเดียวที่จะเปลี่ยนสังคมได้ก็คือ การต่อสู้ ระหว่างชนชั้น โดยในปี ค.ศ. 1864 มาร์กซ์ได้ก่อตั้งภาคีกรรมกรระหว่างประเทศขึ้น และได้ ประกาศแนวคิดของเขาว่า กรรมกรโลกจงรวมตัวกัน” เพื่อกระตุ้นให้ชนชั้นแรงงานรวมตัวกัน เป็นกองกำลังที่มรอำนาจในการต่อรอง

52.    อาณาจักรแห่งแรกของญี่ปุ่นตั้งอยู่บริเวณใด

(1) เกาะคิวชู 

(2)     เกาะออนชู      

(3)     เกาะออกไกโด

(4)     เกาะชิโกกุ

ตอบ 2 หน้า 301 บรรพบุรุษของญี่ปุ่นเดินทางมาจากทางภาคเหนือและภาคตะวันตก โดยได้เข้ามา ตั้งรกรากอยู่ในหมู่เกาะทางภาคเหนือ จากนั้นจึงขยายตัวลงสู่ภาคใต้ และมาตั้งอาณาจักรแห่งแรก ทางภาคตะวันออกของเกาะฮอนชู จากนั้นก็ได้ขยายอิทธิพลไปทั่วหมู่เกาะน้อยใหญ่ต่าง ๆ

53.    ข้อใดจัดเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นยุคปลายหินเก่าถึงหินใหม่

(1) วัฒนธรรมโจมอน

(2)     วัฒนธรรมยาโยอิ        

(3) วัฒนธรรมทูมูลิ    

(4)     ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 302 – 303, 313 วัฒนธรรมโจมอน คือ วัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาลายเชือกซึ่งเป็น วัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคหินเก่าตอนปลายจนถึงในช่วงต้นของยุคหินใหม่ ซึ่งขุดค้นพบได้ทั่วไปในญี่ปุ่นและเกาะริวกิว โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกและภาคเหนือ

54.    การภักดีต่อบริษัทอย่างถวายหัวของพนักงานบริษัทญี่ปุ่น เป็นอิทธิพลมาจากลัทธิความเชื่อใด

(1) เซน         

(2)     เต๋า     

(3)     ขงจื๊อ  

(4)     พุทธ

ตอบ 3 หน้า 313 คำสอนของลัทธิขงจื๊อที่มีอิทธิพลต่อสังคมญีปุ่น ได้แก่ ความกล้าหาญ ความมีระเบียบ- วินัย ความจงรักภักดี ความกตัญญูกตเวที ความอ่อนน้อม (โดยเฉพาะกับสตรี) การเสียสละ ความสุขส่วนตัว การรักษาผลประโยชน์ฃองส่วนรวม รวมทั้งการใช้ชีวิตอย่างสำรวมและสมถะ

55.    ญี่ปุ่นเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบศักดินาช่วงใด

(1) คริสต์ศตวรรษที่   9      

(2)    คริสต์ศตวรรษที่ 10  

(3)    คริสต์ศตวรรษที่ 11  

(4)    คริสต์ศตวรรษที่ 12

ตอบ 1 หน้า 305 ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 9 อำนาจของจักรพรรดิญี่ปุ่นเริ่มเสื่อมลง ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากความฟุ้งเฟ้อในราชสำนัก และความลุ่มหลงในวรรณคดีจีน ทำให้อำนาจค่อย ๆ โอนถ่ายไปสู่ขุนนางตระกูลฟูจิวารา ซึ่งเราถือว่าญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบ ศักดินานับตั้งแต่นั้น

56.    ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการในช่วงที่องค์จักรพรรดิยังไม่บรรลุนิติภาวะในสมัยศักดินาของญี่ปุ่น เรียกว่า

(1)    ไดเมียว           

(2) โชกุน       

(3) แคมปากุ 

(4) เลสโซ

ตอบ 4 หน้า 308 ในสมัยศักดินาของญี่ปุ่นที่ตระกูลฟูจิวารามีอำนาจนั้น ได้มีการแต่งตั้ง เลสโซซึ่งก็คือ ตำแหน่งของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของจักรพรรดิที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพื่อเข้ามาช่วย ราชกิจขององค์จักรพรรดิที่ยังทรงพระเยาว์ นอกจากนี้ยังมีตำแหน่ง แคมปากุ” ซึ่งก็คือ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของจักรพรรดิที่บรรลุนิติภาวะแล้วอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

57.    ระบอบการปกครองที่โชกุนมีอำนาจสูงสุด มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า

(1)    ชิมปัน 

(2) ฟูได         

(3) บากูฟู      

(4) โตซามา

ตอบ 3 หน้า 308 ในสมัยฟูจิวาราได้เกิดตำแหน่งผู้นำทางทหารที่เรียกว่า โชกุน” และระบอบ ศักดินาสวามิภักดิ์ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12โดยมีรัฐบาลภายใต้การนำของโชกุนที่เรียกว่า รัฐบาลบากูฟู” หรือ รัฐบาลเต็นท์” ซึ่งก็คือ รัฐบาลที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในการควบคุม บังคับบัญชาขุนศึกผู้มีอำนาจ และครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาล ที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ

58.    ประเทศเกาหลีได้ชื่อว่ามีคุณสมบัติพิเศษทางด้านทรัพยากรเหนือชาติอื่นใดในเรื่องใด

(1) ทองแดง  

(2) เหล็กกล้า

(3) เงิน          

(4) สังกะสี

ตอบ 2 หน้า 336, (คำบรรยาย) จากการที่ประเทศเกาหลีมีคุณสมบัติพิเศษทางด้านทรัพยากรเหนือชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของเหล็กกล้านั้น ทำให้เกาหลีกลายเป็นที่รู้จักของประเทศต่าง ๆ ในฐานะที่มีโรงงานเหล็กกล้าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก

59.    การยึดครองเกาหลีของญี่ปุ่นสิ้นสุดลงเมื่อใด

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง         

(2) หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

(3)    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง     

(4) หลังสงครามเกาหลี

ตอบ 3 หน้า 331 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงพร้อมกับความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น เกาหลี จึงได้รับเอกราชในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 หลังจากที่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นนานถึง 35 ปี และในขณะเดียวกันเกาหลีได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ตรงเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ซึ่งเป็นเขตปลอดทหาร

60.    Pulgogi หมายถึง

(1) เนื้อทอด  

(2) เนื้อย่าง   

(3) เนื้อตุ๋น     

(4) เนื้อดิบ

ตอบ 2 หน้า 342 เนื้อย่างเกาหลี หรือที่เรียกว่า พูลโกกิ” (Pulgogi) นั้น คือ ชิ้นเนื้อแช่น้ำซีอิ้ว ผสมงาและเครื่องเทศ แล้วนำมาปิ้งบนตะแกรงบนเตาไฟที่จัดวางไว้ที่โต๊ะอาหาร

61.    ความเชื่อของคนอียิปต์โบราณเชื่อว่าเมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทรงได้รับยกย่องให้เป็นเทพองค์ใด

(1) Re       

(2) Ra       

(3) Amon

(4) Osiris

ตปีบ 4 (HI 101 (H) เลขพิมพ์ 57081 หน้า 18) ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า การขึ้นลงของแม่นํ้าเกิดจาก อิทธิพลของฟาโรห์ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่เข้าใจถึงความกลมกลืนและความสอดคล้องของจักรวาล ในขณะที่ฟาโรห์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ก็จะดำรงตำแหน่งเทพโฮรัส (Horus) พระบุตรของ เทพโอซิริส (Osiris) ซึ่งเป็นเทพแห่งแม่นํ้าไนล์ แต่เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็จะได้รับ ยกย่องให้เป็นเทพโอซิริสอีกองค์หนึ่ง

62.    อารยธรรมของโลกโบราณมักกำเนิดบริเวณใดเป็นสำคัญ

(1) ที่ราบสูง  

(2)     หุบเขา

(3)     ลุ่มแม่น้ำ         

(4)     ทะเลทราย

ตอบ 3 หน้า 7 อารยธรรมของโลกโบราณในยุคแรกมักมีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่นํ้าใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ แม่นํ้าไนล์ แม่นํ้าไทกริส-ยูเฟรติส แม่นํ้าสินธุ และแม่นํ้าฮวงห ทั้งนี้เพราะนํ้าเป็นสิ่งจำเป็น ในการเกษตรกรรม การคมนาคม และการดำรงชีวิตของมนุษย์นั่นเอง

63.    ในอียิปต์โบราณ ผู้ช่วยของฟาโรห์ที่ทำหน้าที่จดสำมะโนครัวและสำรวจภาษีรายได้คือใคร

(1) วิเซียร์      

(2)     ข้าหลวง          

(3)     อาลักษณ์       

(4)     พระ

ตอบ 1 หน้า 10, (คำบรรยาย) วิเซียร์ (Vizier) เป็นผู้ช่วยคนที่สำคัญที่สุดของฟาโรห์ ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ แทนฟาโรห์อยู่ในเมืองหลวง โดยจะดูแลการปกครองภายใน การจดและ สำรวจสำมะโนครัว การสำรวจภาษีรายได้ การเกษตร การชลประทาน และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ

64.    อักษรภาพ (Hieroglyphic) ของอียิปต์โบราณประกอบด้วยตัวอักษรประมาณเท่าใด

(1) 300 – 400    

(2)    400 – 500

(3)    600 – 700

(4)    900 – 1,000

ตอบ 3 หน้า 12, (คำบรรยาย) ชาวอียิปต์ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เมื่อ 3,000 B.C. เรียกว่าอักษรเฮียโรกลิฟิก” (Hieroglyphic) ซึ่งเป็นอักษรภาพที่ใช้แทนตัวอักษร และบันทึกลงบน กระดาษปาปิรุส แต่เดิมนั้นจะมีจำนวนอักษร 600 – 700 ตัว จนกระทั่งพัฒนามาเป็นพยัญชนะ 24 ตัว ต่อมาอียิปต์ได้แบ่งตัวอักษรออกเป็น 2 ชนิด คือ อักษรเฮียราติกและอักษรเดโมติก ซึ่งเป็นอักษรเครื่องหมายหรืออักษรเส้นที่มีจำนวนตัวอักษรน้อยลง

65.    ความเชื่อในเรื่องโลกหน้าและวิญญาณอมตะเป็นที่มาของการสร้างสรรค์สิ่งใด

(1) การทำปฏิทิน      

(2) มัมมี่        

(3) การประดิษฐ์ตัวอักษร      

(4) ศาสนาโซโรแอสเตอร์

ตอบ 2 หน้า 11 ชาวอียิปต์โบราณเป็นชนกลุ่มแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง จึงทำให้นิยมฝังศพคนตายไปพร้อม ๆ กับข้าวของเครื่องใช้และอาหาร ส่วนร่างกายจะเก็บรักษาไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำเป็นมัมมี่ และมีการสร้างสุสานไว้เก็บศพ สำหรับฟาโรห์ก็จะมีการสร้างพีระมิดไว้เก็บพระศพด้วย

66.    ปีทางจันทรคติของสุเมเรียนมีกี่วัน

(1)    365 

(2) 360     

(3) 350     

(4) 354

ตอบ 4 หน้า 17 ปฏิทินของชาวสุเมเรียนจะเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ คือ เดือนหนึ่งมี 29 วันครึ่ง ปีหนึ่งมี 12 เดือน หนึ่งปีมี 354 วัน และวันหนึ่งมี 12 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นกลางวัน 6 ชั่วโม กลางคืน 6 ชั่วโมง

67.    ความหมายของ Satrapy  

(1) ผู้ปกครองของสุเมเรียน

(2)    เทพเจ้าแหงภูเขาไฟ

(3) ข้าหลวงโรมัน      

(4) หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นของเปอร์เซีย

ตอบ 4 หน้า 21 ในสมัยพระเจ้าดาริอุสมหาราช ได้ทรงปรับปรุงหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นของเปอร์เซียให้เป็นระเบียบ โดยทรงแบ่งจักรวรรดิออกเป็นมณฑล เรียกว่า แซแทรปปี” (Satrapy) มีผู้ว่าราชการปกครองซึ่งมีอำนาจสิทธิขาดเท่ากับกษัตริย์เรียกว่า แซแทรป” (Satrap)โดยจะ ขึ้นตรงต่อกษัตริย์ และดูแลกิจการทุกอย่างภายในมณฑล ยกเว้นการทหาร

68.    ผู้ปกครองที่นำหลักการลงโทษแบบสนองตอบของสุเมเรียนมาประยุกต์ใช้ให้มีความเข้มงวดในแบวปฎิบัติยิ่งขึ้น

(1)    ฟาโรห์เมเนส   

(2) พระเจ้าฮัมมูราบี  

(3) พระเจ้าไซรัสมหาราช

(4) พระเจ้าซาร์กอน

ตอบ 2 หน้า 18 ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี แห่งอาณาจักรอะมอไรท์จะใช้หลัก“Lex Talionis” คือ หลักการลงโทษแบบสนองตอบ หรือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ซึ่งได้รับ อิทธิพลมาจากกฎหมายของชาวสุเมเรียน แต่จะมีความเข้มงวดในแนวปฏิบัติมากยิ่งขึ้น

69.    ชนชาติใดในยุคโบราณที่เป็นนักเดินเรือที่อาศัยการเดินเรือเพื่อการค้า จนสามารถสร้างอาณานิคมในทะเล เมดิเตอร์เรเนียนสำเร็จ

(1) สุเมเรียน 

(2)     ฮิตไตท์

(3)     ฟินิเชียน         

(4)     ฮิบรู

ตอบ 3 หน้า 19 ชาวฟินิเชียนเป็นนักเดินเรือที่อาศัยการเดินเรือเพื่อการค้า จนสามารถสร้างอาณานิคม เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการค้าได้สำเร็จ โดยอาณานิคมที่สำคัญมี 2 แห่ง คือ เมืองท่าคาดิซในสเปน และเมืองท่าคาร์เถจ บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งตั้งอยู่ในแอฟริกาเหนือ

70.    อักษรลิ่ม (Cuneiform) เป็นผลงานของชนชาติใด

(1) ฟินิเชียน  

(2)     สุเมเรียร          

(3)     อียิปต์ 

(4)     กรีก

ตอบ 2 หน้า 17, (คำบรรยาย) ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติที่ประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,500 B.C. โดยใช้ต้นอ้อแห้งหรือเหล็กแหลมกดลงบน แผ่นดินเหนียวแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง

71.    ดินแดนประเทคกรีซโบราณตั้งอยู่บนคาบสมุทรใด

(1) มีโนน      

(2)     เพลอพอเนซัส 

(3)     ไมซีเน 

(4)     ซีนาย

ตอบ 2 หน้า 26 – 27, (คำบรรยาย) เอเคียนเป็นชาวกรีกกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากและเริ่มสร้าง อารยธรรมกรีกโบราณขึ้นที่เมีองไมซีเนบนคาบสมุทรเพลอพอเนซัส โดยได้รับอิทธิพลอารยธรรมจากครีตเป็นส่วนใหญ่ เช่น ตัวอักษร ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม การค้าขาย ฯลฯ

72.    สงครามเพลอพอเนเชียนเป็นความขัดแย้งระหว่างใคร

(1) กรีกกับโรมัน       

(2)     กรีกกับอียิปต์ 

(3)     เอเธนส์กับสปาร์ตา    

(4)     เอเธนส์กับเปอร์เซีย

ตอบ 3 หน้า 35 สงครามเพลอพอเนเชียน (The Peloponesian War) เป็นสงครามระหว่างนครรัฐ เอเธนส์กับสปาร์ตาที่เกิดขึ้นในช่วง 431 – 404 ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งมีสาเหตุโดยเริ่มจากการ ที่นครรัฐต่าง ๆ ของกรีกได้ร่วมกันจัดตั้ง สหพันธ์แห่งเกาะเดลอส” (The Confederation of Delos) ขึ้นมา เพื่อป้องกันการรุกรานจากเปอร์เซีย และใช้เป็นศูนย์กลางในการเก็บสมบัติของสมาชิก แต่ในความเป็นจริงแล้วการจัดตั้งสหพันธ์นี้กลับเอื้อให้เอเธนส์เป็นผู้นำที่มีอีทธิพลสูงสุด ซึ่งต่อมาสหพันธ์ก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นจักรวรรดิของเอเธนส์ ส่วนนครรัฐอื่นๆ ก็ถูกลดฐานะ ให้เป็นเพียงรัฐบริวารเท่านั้น ทำให้สปาร์ตาเกิดความหวาดระแวงและกลัวว่าเอเธนส์จะเป็นผู้นำของกรีกทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จีงเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างพวกกรีกด้วยกันในที่สุด

73.    ความเชื่อทางศาสนาของชาวมีโนน

(1) เทพโอซิริส           

(2) เทพวีนัส  

(3) แม่พระธรณี         

(4) เทพีอเธนา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ความเจริญที่สำคัญในสมัยอารยธรรมมีโนน มีดังนี้

1. มีการปกครองแบบเทวราชา

2.      มีสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ นํ้ามันมะกอก องุ่น ข้าวบาเลย์ และเครื่องเคลือบดินเผา

3.      นิยมเล่นกีฬาประเภทสู้วัว กรีฑา ฯลฯ           

4. มีการนับถือแม่พระธรณี

74.    หนังสือที่นักประวัติศาสตร์ใช้เป็นข้อมูลในการศึกษาประวัติศาสตร์กรีกในสมัยแรก ๆ

(1) Historia      

(2) Epic of Gilgamesh

(3) Book of the Dead       

(4) Illiad

ตอบ 4 หน้า 40, (คำบรรยาย) โฮเมอร์ นักประพันธ์ที่ยิงใหญ่ของกริก ได้ประพันธ์มหากาพย์ 2 เรื่อง คือ อีเลียด (Illiad) และออดิสซี (Odyssey) ซึ่งได้ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงยุคมืดของกริก และ ถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่นักประวัติศาสตร์ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ของกริกในสมัยแรกๆ

75.    ตามรัฐธรรมนูญของสปาร์ตา นครรัฐสปาร์ตามีกษัตริย์กี่พระองค์

(1) ไม่มี         

(2)     หนึ่ง    

(3)     สอง    

(4)     สาม

ตอบ 3 หน้า 30 รัฐธรรมนูญของสปาร์ตามีรูปแบบการปกครองดังนี้

1.      กษัตริย์ 2 องค์ โดยเป็นผู้นำทางการทหาร คือ เป็นแม่ทัพสูงสุดและเป็นผู้นำทางศาสนา

2.      สภาขุนนาง ประกอบด้วยกษัตริย์ 2 องค์ และขุนนาง 28 คน รวมเป็น 30 คน อายุ 60 ปีขึ้นไป และดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต

3.      สภาประชาชน ประกอบด้วยชายสปาร์ตาที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป และพลเมืองชั้นอื่นที่พอจะหาอาวุธได้

4.      คณะเอเฟอเรท (Ephorate) ประกอบด้วยกลุ่มบุคคล 5 คน (คณะบริหาร) ที่มีอำนาจสูงสุด ในการปกครองของสปาร์ตา

76.    ชาวโรมันถือว่าเทพองค์ใดที่มีความงามมากที่สุด

(1) Ceros 

(2)    Venus      

(3)    Jupiter     

(4)    Neptune

ตอบ 2 หน้า 36, 58 ในสมัยสาธารณรัฐโรมันได้มีการรับเอาความเชื่อทางศาสนาในเรื่องเทพเจ้าของกรีกเข้ามา โดยชาวโรมันได้แปลงชื่อเทพเจ้าของกรีกมาเป็นเทพเจ้าของโรมัน เช่น เทพซีอุสหรือซุส (บิดาแห่งเทพเจ้า) มาเป็นเทพจูปีเตอร์ (Jupiter), เทพีดีมีเตอร์ (เทพีแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร) มาเป็นเทพีเซอโรส (Ceros), เทพีอะโฟรไดท์ (เทพีแห่งความรักและความงาม) มาเป็นเทพีวีนัส (Venus), เทพโพไซดอน (เทพเจ้าแห่งท้องทะเล) มาเป็นเทพเนปจูน (Neptune) เป็นต้น

77.    กฎหมายฉบับแรกที่ได้รับการจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อปี 449 ก่อนคริสตกาล

(1)    กฎของพระเจ้า

(2)     กฎหมายจัสติเนียน    

(3)     กฎหมายสิบสองโต๊ะ  

(4)     Natural Law

ตอบ 3 หน้า 50, 58, (HI  101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 161) ในสมัยสาธารณรัฐโรมันตอนต้นพวกพลีเบียนได้เรียกร้องให้พวกแพทริเชียนร่างกฎหมายของโรมันเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 449 B.C. โดยมีการจารึกลงบนแผ่นทองแดง 12 แผ่น แล้วนำไปติดที่ฟอรัม เพื่อประกาศให้ราษฎรทุกคนทราบเรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ’’ (Law of the Twelve Tables)

78.    มรดกทางด้านศิลปะของโรมันที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง          

(1) การก่อสร้างประตูรูปโค้ง

(2)    หลังคาทรงกลม         

(3) หอคอยเรียวสูง    

(4) ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 48, 53, (คำบรรยาย) ผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของโรมันที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ โคลอสเซียม (Colosseum), อาคารแพนเธออน (Pantheon), บาสิลิกา (Basilica), แอมพิเธียเตอร์ (Amphitheater) รวมทั้งศิลปะการ ก่อสร้างประตูรูปโค้ง (Arches), หลังคาทรงกลม (Dome) และอุโมงค์ (Vaults) ซึ่งรับมาจาก พวกอีทรัสคันด้วย

79.    สภาเผ่า (Tribal Assembly) เป็นสภาที่มีสิทธิในการออกกฎหมายและแต่งตั้งทรีบูนของชนชั้นใด

(1)    Helots      

(2) Quaestors  

(3) Patrician    

(4) Plebian

ตอบ 4 หน้า 50 สภาเผ่า (Tribal Assembly) คือ สภาของพวกพลีเบียน (Plebian) โดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นสภาที่มีสิทธิในการออกกฎหมายและแต่งตั้งทรีบูน ซึ่งมีสมาชิกจำนวน 10 คน

80.    ในยุคที่จักรวรรดิโรมันรุ่งเรือง สามารถปกครองประชาชนหลายเชื้อชาติให้อยู่รวมกันได้โดยใช้อะไรเป็นเครื่องมือสำคัญ

(1) กองทัพประจำการ

(2)    การตรวจสอบอย่างเข้มงวด   

(3) การลงโทษอย่างรุนแรง   

(4) ภาษาและกฎหมาย

ตอบ 4 หน้า 61 โรมันมีพัฒนาการการปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐและจักรวรรดิตามลำดับโดยในยุคจักรวรรดินั้นโรมันจะมีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก และสามารถปกครอง ประชาชนหลายเชื้อชาติให้อยู่รวมกันได้โดยใช้ภาษาและกฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

81.    อาคารที่สร้างในสมัยจักรวรรดิบีแซนทีนซึ่งนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกที่มีการผสมผสาน ศิลปะความเจริญของตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันเป็นอย่างดี คืออะไร (1) มหาวิหารซานต้าโซเฟีย        

(2) พระราชวังเชินบรุน

(3)    ทัชมาฮาล       

(4) มหาวิหารเซนต์เบเซิล

ตอบ 1 หน้า 225 – 226 สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิบิแซนทีนหรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก มี 3 อย่าง ได้แก่  

1. พระราชวังของจักรพรรดิ (The Imperial Palace)

2.      ฮิปโปดรอม (Hippodrome)    

3. วิหารซานต้า โซเฟีย (Santa Sophia Church)

นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกกับตะวันตก เข้าไว้ด้วยกันเป็นอย่างดี

82.    ลาติฟันเดียของบิแซนทีนคืออะไร

(1) ชุดเกราะของนักรบ         

(2) ที่ดินทำไร่นาขนาดใหญ่

(3)    ลัทธิทำลายรูปเคารพ  

(4) กฎหมายของบิแซนทีน

ตอบ 2 หน้า 221 ลักษณะการเกษตรในอาณาจักรบีแซนทินนั้นจะมีการทำไร่นาขนาดใหญ่ โดยที่ดินพื้นราบจะถูกแบ่งเป็นผืนใหญ่ เรียกว่า ลาติฟันเดีย” (Latifundia) ซึ่งได้รับแบบอย่างมาจาก อิตาลี ทั้งนี้ชาวนาเสริมจะมีจำนวนน้อยกว่าชาวนารับจ้างและพวกเซิร์ฟ

83.    เหตุการณ์ใดต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงการแตกแยกทางศาสนาครั้งใหญ่ (Great Schism ค.ศ. 1378 – 1417)

(1)    ยุคที่ไม่มีพระสันตะปาปาปกครอง

(2)    ความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าฟิลิปที่ 4 กับพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7

(3)    กลุ่มพระคาร์ดินัลเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่พระนามว่าคลีเมนต์ที่ 7 และประทับที่อาวิญญอง

(4)    ราชสำนักของพระสันตะปาปาที่กรุงโรมมีความหรูหราฟุ่มเฟือย

ตอบ 3 หน้า 210, 452 ความแตกแยกทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ในปลายยุคกลางช่วงปี ค.ศ. 1378 เกิดขึ้นเพราะมีสันตะปาปา 2 องค์ในเวลาเดียวกัน คือ สันตะปาปาเออร์บันที่ 6 ชาวอิตาลี ประทับที่กรุงโรม และสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 ชาวฝรั่งเศส ประทับที่เมืองอาวิญญองจนกระทั่ง ในปี ค.ศ. 1417 จึงได้มีการประชุมที่เมืองคอนสแตนซ์ (Council of Constance) เพื่อยุติปัญหานี้ ทั้งนี้ได้มีการเลือกสันตะปาปาองค์ใหม่ ได้แก่ สันตะปาปามาร์ตินที่ 5 โดยให้มาประทับ ที่กรุงวาติกัน ซึ่งนับว่าเป็นการสิ้นสุดความแตกแยกครั้งใหญ่ที่กินเวลานานถึง 40ปี

84.    ศาสนาอิสลามนิกายใดมีศาสนิกชนมากที่สุด

(1)    อุมัยหยัด        

(2) โซฟี         

(3) สุหนี่        

(4) ชีอะห์

ตอบ 3 หน้า 243 ศาสนาอิสลามแบ่งออกเป็น 2 นิกายใหญ่ ๆ คือ

1.      นิกายสุหนี่หรือซุนนี เป็นนิกายที่นับถือคัมภีร์อัลกุรอานตามแบบฉบับเดิมอย่างเคร่งครัด นับถือคำสอนของซุนนา และยอมรับอาบู บากร์ เป็นกาหลิบ ซึ่งถือว่าเป็นนิกายที่มีศาสนิกชน นับถือมากที่สุด

2.      นิกายชีอะห์ เป็นนิกายที่นับถือเฉพาะคัมภีร์อัลกุรอาน ไม่ยอมรับคำสอนของซุนนา

มีผู้นำเรียกว่า อิหม่าม” และยอมรับอาลีเป็นกาหลิบ ซึ่งศาสนิกชนที่นับถือนิกายนี้ได้แก่ ชาวอิหร่าน อิรัก และอาระเบียน

85.    การฟื้นฟูศิลปวิทยาการคาโรแลงเจียนเกิดขึ้นในยุคใด

(1) เมโรแวงเจียน      

(2) ชาร์เลอมาญ        

(3) ยุคโบราณของยุโรป

(4) เปแปง

ตอบ 2 หน้า 178, 180 การฟื้นฟูศิลปวิทยาการคาโรแลงเจียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8-9 เกิดขึ้น ในสมัยพระเจ้าชาร์เลอมาญ โดยเป็นยุคที่มีการพัฒนาทางด้านการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม อย่างชัดเจน ซึ่งเปรียบประดุจแสงเทียนน้อยนิดที่ให้ความสว่างท่ามกลางความมืดมนของยุคกลางตอนต้น

86.    เทพเจ้าแห่งพายุและสงครามที่ชาวเยอรมันนิกในสมัยกลางนับถือ

(1) Zeus   

(2) Athena       

(3) Woden       

(4) Jupiter

ตอบ 3 หน้า 175 ชาวเยอรมันนิกในสมัยกลางจะนับถือเทพเจ้าหลายองค์ รวมทั้งมีความเชื่อในเรื่อโชคลางและอภินิหารต่าง ๆ โดยเทพเจ้าที่สำคัญที่สุดคือ เทพโวเดน (Woden) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งพายุและสงคราม

87.    ลักษณะของการทำเกษตรกรรมในแมนเนอร์

(1) ระบบล้อมรั้ว       

(2) เพิ่มผลผลิตโดยใช้ปุ๋ย

(3) ใช้เทคโนโลยี       

(4) ระบบนา 3 แปลง

ตอบ 4 หน้า 184, 191 – 192 ระบบเศรษฐกิจของยุโรปในยุคกลางจะเป็นระบบแมนเนอร์ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง (Self—sufficency) หรือเศรษฐกิจที่เลี้ยงตนเองได้ โดยมีการทำการเกษตรเป็นหลักสำคัญ ซึ่งการเกษตรในแมนเนอร์นั้นจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ

1.      ระบบไร่นา 3 แปลง (Three-fields System) สำหรับใช้ปลูกพืชหมุนเวียน

2.      ระบบไร่นาเปิดโล่ง (Open-fields System) สำหรับใช้ปลูกพืชโดยไม่มีรั้วกั้น

88.    ระบบการพจารณาคดีโดยใช้การพิสูจน์ด้วยการทรมานต่าง ๆ เป็นวัฒนธรรมของใคร

(1) เยอรมันนิก          

(2) กรีก         

(3) อียิปต์      

(4) สุเมเรียน

ตอบ 1 หน้า 176 ในการตัดสินคดีความต่างๆ พวกยอรมันนิกจะใช้ระบบการสาบานตน (Trial of Odeal) จึงจะใช้วิธีการทรมานต่าง ๆ เช่น ลุยไฟ ดำน้ำ หรือการต่อสู้ด้วยการดวล เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ สำหรับด้านกฎหมายจะไม่เน้นที่ความยุติธรรม แต่มีไว้เพื่อยุติการต่อสู้ การรบ และยกเลิกการล้างแค้นกันมาเป็นการตกลงด้วยการจ่ายเงินเป็นค่าทดแทน เรียกว่า เวอร์กิลด์” (Wergeld)

89.    กษัตริย์ผู้วางรากฐานราชวงศ์เมโรแวงเจียน

(1)    ชาร์เลอมาญ   

(2) โคลวิส     

(3) ชาร์ลพระเศียรล้าน          

(4) เปแปง

ตอบ 2 หน้า 177 – 178 อาณาจักรแฟรงค์ ก่อตั้งขึ้นโดยพวกแฟรงค์ ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณแคว้นกอล ประกอบด้วย 2 ราชวงศ์ คือ

1. ราชวงศ์เมโรแวงเจียน มีกษัตริย์ที่มีความสามารถมากคือ โคลวิส ซึ่งได้รวบรวมดินแดนต่าง ๆ และก่อตั้งเป็นราชวงศ์เมโรแวงเจียนขึ้น

2. ราชวงศ์คาโรแลงเจียน มีกษัตริย์ที่มีความสามารถเด่นที่สุดคือ พระเจ้าชาร์เลอมาญ ซึ่งได้ทรงขยายอาณาเขตของอาณาจักรแฟรงค์ออกไปอย่างกว้างขวาง

90.    ประเพณี Comitatus เป็นวัฒนธรรมของใคร

(1) โรมัน       

(2) กรีก         

(3) เยอรมัน   

(4) เปอร์เซีย

ตอบ 3 หน้า 186 พวกอนารยชนเยอรมันมีประเพณีอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ระบบสวามิภักดิ์

(Comitatus) คือ ประเพณีที่ชายฉกรรจ์หรือนักรบกระทำสัตย์ปฏิญาณว่าจะสวามิภักดิ์และ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนทั้งในยามสงบและยามสงคราม ซึ่งเป็นความผูกพันตามระเบียบวินัย ทหารของเยอรมัน

91.    อนารยชนกลุ่มใดที่เข้ามาโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลใน ค.ศ. 1453

(1) Huns  

(2) Germanic   

(3) Ottoman    

(4) Tatar

ตอบ 3 หน้า 217 ในปี ค.ศ. 1453 อาณาจักรบีแซนทีนหรืออาณาจักรโรมันตะวันออกได้เสื่อมสลายไป เพราะถูกพวกออตโตมาน เติร์ก (Ottoman Turks) เข้ายึดครองเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ หลังจากนั้นอารยธรรมบีแซนทีนจึงถูกถ่ายทอดให้แก่รัสเซีย จนมีคำกล่าวว่า เมืองมอสโกของรัลเซียคือ โรมแห่งที่ 3 (The Third Rome)

92.    กฎหมายของอนารยชนเป็นแบบใด    

(1) กฎหมายธรรมชาติ

(2)    กฎหมายประจำตัวบุคคล       

(3) กฎของพระเจ้า    

(4) กฎหมายจัสติเนียน

ตอบ 2 หน้า 176 กฎหมายของพวกอนารยชนเยอรมันจะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่า ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน โดยชาวเยอรมันมักนำกฎหมายติดตัวไปด้วยทุกแห่ง ดังนั้นจึงไม่มีกฎหมายประจำท้องที่และไม่มีการจารึกกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีลักษณะเป็นกฎหมายประจำตัวบุคคล (Personal Law) เมื่อมีกรณีพิพาทระหว่างเผ่า ก็จะมีการพิจารณาแต่ละคดีว่าจะใช้กฎหมายของเผ่าใด

93.    ลักษณะการปกครองของอนารยชนเยอรมันรวมตัวกันในรูปแบบใด

(1) Satrapy       

(2) District        

(3) Nomes        

(4) Tribe

ตอบ 4 หน้า 176 ลักษณะการปกครองของอนารยชนเยอรมันจะแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน (Village) หลายหมู่บ้านจะรวมกันเป็นแคนตอน (Canton) และหลายแคนตอนจะรวมกันเป็นเผ่า (Tribe) โดยแต่ละเผ่าจะมีผู้นำเผ่าและเลือกกษัตริย์ที่มีเชื้อสายนักรบที่กล้าหาญมาปกครอง

94.    กาหลิบพระองค์แรกที่ได้ปกครองจักรวรรดิอิสลามหลังจากพระมะหะหมัดสิ้นพระชนม์

(1)อาบู บากร์

(2)โอมาร์       

(3)อุสมาน     

(4)อาลี

ตอบ . 1 หน้า 241 กาหลิบอาบู บากร์ (Abu Bakr) เป็นทั้งเพื่อนสนิทและพ่อตาของพระมะหะหมัด โดยได้รับเลือกให้เป็นกาหลิบองค์แรกของจักรวรรดิอิสลามหลังจากที่พระมะหะหมัดสิ้นพระชนม์ นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำสำคัญในการรวบรวมคำสอนของพระมะหะหมัดมาเขียนเป็นคัมภีร์โกหร่าน หรืออัลกุรอาน และได้ขยายอาณาเขตของจักรวรรดิอิสลามออกไปอย่างกว้างขวางบนคาบสมุทรอาระเบีย

95.    ในระบบแมนเนอร์ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดเรียกว่าอะไร

(1) Fief     

(2) Latifundia  

(3) Tenement 

(4) Demeans

ตอบ 4 หน้า 192 ที่ดินในระบบแมนเนอร์จะแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งมีแนวยาว เรียกว่า สตริป” (Stripe) โดยขุนนางเจ้าของที่ดินจะครอบครองที่ดินส่วนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เรียกว่า ดีมีนส์” (Demeans) สำหรับชาวไร่ชาวนาจะได้ที่ดินส่วนที่ไม่ค่อยดีนัก เรียกว่า เทนเนเมนต์” (Tenement)

96.    คาบสมุทรอนาโตเลียปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศใด

(1) อิตาลี      

(2) เปอร์เซีย  

(3) ตุรกี         

(4) อียิปต์

ตอบ 3 หน้า 217 อาณาจักรบิแซนทีน ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอนาโตเลีย (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) และ มีเมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) หรือเมืองโรมา โนวา (Roma Nova) ในอดีต เป็นเมืองหลวง โดยเมืองนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางที่ตะวันตก (กรีก) และตะวันออกมาพบกัน ดังนั้น จึงได้รับสมญานามว่าเป็น โรมใหม่” (The New Rome) หรือโรมแห่งที่ 2 ซึ่งเปรียบเสมือน เป็นคลังสินค้าของวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการต่าง ๆ ในยุคกลาง

97.    พระมะหะหมัดได้รับแนวความคิดในการนับถือพระเจ้าองค์เดียวจากความเชื่อของชนกลุ่มใด

(1) ชาวอียิปต์           

(2) ชาวสุเมเรียน       

(3) ชาวยิว     

(4) ชาวกรีก

ตอบ 3 หน้า 235 – 236, 239 ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นในคาบสมุทรอาระเบียประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 6 ดินแดนในบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกคริสเตียน และพวกยิว ซึ่งต่อมาได้มีบทบาทในการถ่ายทอดความเชื่อในเรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียว โดยผ่านมาทางหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของพวกยิว และศาสนาคริสต์ของพวกคริสเตียน ให้แก่พระมะหะหมัดและชนเผ่าต่าง ๆ จนกระทั่งได้กลายเป็นหลักคำสอนสำคัญของศาสนาอิสลาม

98.    แหล่งรายได้ของวัดในยุคกลางของยุโรปมาจากไหน

(1) เงินบำรุงศาสนา  

(2) ภาษีจากที่ดิน      

(3) ค่าธรรมเนียมศาล           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 206 – 207 ยุโรปในนยุคกลางตอนด้นและตอนกลาง วัดในศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นศูนย์กลาง ทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ศิลปะ วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณี รวมทั้งความเชื่อและความนึกคิดของประชาชน จนทำให้ยุคกลางได้ชื่อว่าเป็น ยุคแห่งศรัทธา” (Age of Faith) นอกจากนี้วัดยังมีความมั่งคั่งและมีรายได้หลายทาง ได้แก่ เงินบำรุงศาสนา รายได้และภาษีจากที่ดิน ค่าธรรมเนียมศาล รายได้จากการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และ เงินบริจาคอื่นๆ

99.    ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กิจกรรมเพื่อการบันเทิงของขุนนางยุโรปในยุคกลาง

(1) Tournament       

(2) Ostracism  

(3) Falconry     

(4) Joust

ตอบ 2 หน้า 195 แนวปฏิบัติกิจกรรมเพื่อความบันเทิงใจของพวกขุนนางหรือชนชั้นสูงในยุคกลางได้แก่

1.      การล่านกด้วยเหยี่ยวนกเขาที่เรียกว่า ฟอลคันรี” (Falconry)

2.      การเล่นกีฬาต่อสู้กันด้วยหอกบนหลังม้า เรียกว่า จูสท์” (Joust)

3.      การแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ เรียกว่า ทัวนาเมนท์” (Tournament)

4.      การเล่นทอดลูกเต๋าเพื่อเดินตัวเล่นบนกระดาน เรียกว่า แบ็คแกมมัน” (Backgammon)

5.      การเล่นลูกเต๋า (Dice) และการเล่นหมากรุก (Chess) เป็นต้น

100. อารยธรรมบิแซนทีนด้านใดที่รัสเซียรับเข้าไป

(1) ตัวอักษร  

(2) ศาลนากรีกออร์ธอดอกซ์

(3)    สถาปัตยกรรม

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ4 หน้า 228 – 229, (ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ) อาณาจักรบิแซนทีนมีอิทธิพลต่อพัฒนาการ ของประชาชนชาวสลาฟซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวรัสเซีย ดังนั้นจึงส่งผลให้รัสเซียได้รับอิทธิพล จากอารยธรรมบิแซนทีนทั้งสิ้น อันได้แก่ ศาสนากรีกออร์ธอดอกซ์ สถาปัตยกรรมที่เมืองเคียฟ ปฏิทิน และตัวอักษร

101. หลักการทรูแมนที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้เพื่อสกัดกั้นการปกครองในรูปแบบใด(1) ฟาสซิสต์ 

(2) ฟิวดัล      

(3) คอมมิวนิสต์         

(4) ประชาธิปไตย

ตอบ 3 หน้า 545 ใบปี ค.ศ. 1947 ประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศให้มีการยุติ การขยายอำนาจของคอมมิวนิสต์ หรือที่เรียกว่า วาทะทรูแมน” (Trueman Doctrine)โดยเสนอให้ความช่วยเหลือทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเงินแก่ชาติที่ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์ คุกคาม และจัดตั้งภาคีป้องกันทางทหารเพื่อตีวงกั้นการขยายอำนาจของคอมมิวนิสต์อีกด้วย

102. ประเทศใดเป็นผู้นำในกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอว์ (Warsaw Pact)

(1) สหรัฐอเมริกา      

(2) โปแลนด์  

(3) รัสเซีย      

(4) อังกฤษ

ตอบ 3 หน้า 546, (HI 101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 560) ในปี ค.ศ. 1955 ฝ่ายประเทศคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) ได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มประเทศสนธิสัญญาวอร์ซอว์ (The Warsaw Pact) ขึ้น เพื่อตอบโต้การตั้งองค์การนาโต้ของฝ่ายตะวันตก โดยมีสมาชิก 8ประเทศ คือ รัสเซีย โปแลนด์ เยอรมนีตะวันออก เชคโกสโลวะเกีย ฮังการี โรมาเนีย บัลแกเรีย และแอลเบเนีย (ถอนตัวออกไปในปี ค.ศ. 1968)

103. ผลงานเรื่อง เจ้าชาย” ของมาเคียเวลลี ผู้เขียนต้องการสื่อถึงแนวความคิดทางด้านใด

(1) เศรษฐกิจ

(2) การเมือง  

(3) สังคม      

(4) ศาสนา

ตอบ 2 หน้า 443 – 444, 461 งานเขียนของมาเคียเวลลีเรื่อง เจ้าชาย” (The Prince) เป็นงานเขียน ชิ้นสำคัญในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรอแนสซองส์ ซึ่งถูกเขียนขึ้นจากความรู้สึกผิดหวัง สับสนกับสภาพบ้านเมืองของอิตาลีในขณะนั้นที่ไม่มีความเป็นปึกแผ่นทางการเมือง เขาจึงต้องการรวมดินแดนอิตาลีให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและก่อตั้งเป็นรัฐชาติอิตาลี ซึ่งการที่ชาติจะเป็น ปึกแผ่นได้นั้นต้องมีเจ้าชายที่รักชาติ เหี้ยมหาญ ไร้เมตตา และใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ รวมทั้ง ให้แยกเรื่องการเมืองออกจากเรื่องศาสนาอีกด้วย

104. ชนชาติแรกที่เป็นผู้บุกเบิกงานด้านอาณานิคม คือชนชาติใด

(1) อังกฤษ   

(2) ฝรั่งเศส   

(3) รัสเซีย      

(4) โปรตุเกส

ตอบ 4 หน้า 468 – 471 ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สเปนและโปรตุเกส (ชาวไอบีเรียน) เป็นผู้บุกเบิก และเป็นผู้นำในการขยายอำนาจของยุโรปไปยังดินแดนต่าง ๆ โดยนักสำรวจของทั้ง 2 ชาติ ได้เดินทางเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปแอฟริกาและเอเชีย เนื่องจากต้องการแร่ทองคำ และเงิน รวมทั้งเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในดินแดนดังกล่าว ทั้งนี้โปรตุเกสได้เข้าไปสร้างจักรวรรดิ ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ส่วนสเปนได้เข้าไปสร้างจักรวรรดิในทวีปอเมริกาบริเวณฝั่งตะวันออก ของอเมริกากลาง ได้แก่ เม็กซิโก เปรู และคิวบา

105. ประกาศแห่งสิทธิ (Bill of Right ค.ศ. 1689) มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อังกฤษอย่างไร

(1)    สถาบันกษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาด

(2)    สถาบันรัฐสภามีอำนาจมากขึ้น

(3)    ให้เสรีภาพทางการเมืองและศาสนากับพระมหากษัตริย์       

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 483 ในปี ค.ศ. 1688ได้เกิดการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ขึ้นในประเทศอังกฤษ โดยเป็นสมัยที่พระเจ้าวิลเลียมแห่งราชวงศ์โอเรนจได้ขึ้นครองราชย์ และทรงยอมรับคำประกาศแห่งสิทธิ (Bill of Right) ค.ศ. 1689 ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการปกครองที่มุ่งให้อำนาจสูงสุดแก่สถาบันรัฐสภาตามหลักเสรีนิยม นั่นคือ กษัตริย์ไม่มีอำนาจยับยั้งกฎหมายที่ออกโดยสภา สภาเป็นผู้ให้การยินยอมขึ้นภาษีและบำรุงกองทัพ และการจับกุมคุมขังต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

106. ฟรังซัวส์ รับเบอเลย อัจฉริยบุรุษแห่งยุคเรอแนสซองส์ มีความสามารถเด่นทางด้านใด

(1) วิทยาศาสตร์       

(2) ปรัชญา   

(3) วรรณกรรม          

(4) กีฬา

ตอบ-3 หน้า 449 – 450 อัจฉริยบุรุษแห่งยุคเรอแนสซองส์ที่มีความสามารถเด่นทางด้านวรรณกรรม ได้แก่

1.      ฟรังซัวส์ รับเบอเลย์ และมิเชล เดอ มองแตญ ซึ่งได้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเขียนงานวรรณคดี ประจำสมัย เมื่อบัณฑิตยสมาคมแห่งฝรั่งเศสตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อกำหนดไวยากรณ์ และศัพท์ภาษาประจำชาติในปี ค.ศ. 1635

2.      จอฟฟรีย์ ชอเซอร์ ซึ่งได้เขียนเรื่อง “Canterbury Tales” โดยมีเนื้อหาบอกถึงความแข็งแกร่งของโลกในแวดวงคริสเตียนและการนับถือลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล

107. เรอแนสซองส์ในอิตาลีปรากฏผลงานในด้านใดเป็นส่วนใหญ่

(1) ศิลปะและวรรณคดี

(2) ศาสนา    

(3) สถาปัตยกรรม     

(4) ดนตรี

ตอบ 1 หน้า 442 – 445 ขบวนการเรอแนสซองส์เริ่มขึ้นที่อิตาลีเป็นแห่งแรก โดยความเจริญแบบใหม่ที่เริ่มเกิดขึ้นในสมัยเรอแนสซองส์ มีดังนี้

1.      ให้ความสำคัญในเรื่องอุดมคติเกี่ยวกับคุณค่า อุดมคติสุภาพชน และคุณค่าของมนุษย์ ตามความเชื่อในลัทธิมนุษยนิยม (Humanism)

2.      ผู้คนจะใฝ่ใจวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ต่าง ๆ มีความอยากรู้อยากเห็น มองโลกในแง่ดี ให้ความสนใจในเรื่องทางโลก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง รวมทั้งยึดถือธรรมเนียม ปัจเจกบุคคลนิยมหรือปัจเจกชนนิยม (Individualism) และสัจนิยม

3.      มีการสร้างสรรค์งานศิลปะและวรรณคดี ซึ่งมีลักษณะเป็นปัจเจกชนนิยมและอัจฉริยภาพ ที่แสดงออกถึงสุนทรียภาพเป็นสำคัญ ฯลฯ

108. ข้อใดคือขบวนการปฏิรูปศาสนาของคาทอลิก

(1)    สภาแห่งเมืองเทรนท์

(2) สภาแห่งกองสตองค์

(3) ขบวนการลอร์ลาร์ด

(4) คำประกาศ 95 ข้อ

ตอบ 1 หน้า 455, (คำบรรยาย) พระสันตะปาปาปอลที่ 3 ได้ทรงดำเนินมาตรการ 3 ประการเพื่อทำการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และต่อต้านการปฏิรูปศาสนาของ ฝ่ายโปรเตสแตนต์ ดังนี้

1. จัดประชุมสภาที่เมืองเทรนท์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1545 – 1563

2. จัดตั้งคณะเยซูอิตตามวิธีของทหารในปี ค.ศ. 1540 โดยผู้นำในการก่อตั้งสมาคมนี้ก็คือ อิกนาเชียส โลโยลา  

3. การจัดตั้งศาลพิเศษทางศาสนา (Inquisition)

109. เพราะเหตุใดโปรตุเกสจึงเป็นชาติแรกที่พิชิตดินแดนในเอเชีย           

(1) คริสต์ศาสนา

(2)    กษัตริย์ที่สามารถ      

(3) มีอำนาจทางเรือและอาวุธที่เหนือกว่า      

(4) เป็นเจ้าอุตสาหกรรม

ตอบ 3 หน้า 470 โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่ได้ครองอำนาจเหนือเอเชีย ทั้งนี้เพราะ

1.      โปรตุเกสได้แร่ทองคำและเงินมูลค่ามหาศาลจากจักรวรรดิแอสเท็คและอาณาจักรอินคา จากเหมืองในเม็กซิโกและเปรูมาใช้ลงทุนทำการค้า

2.      โปรตุเกสมีอำนาจทางเรือและอาวุธที่เหนือกว่าชาติอื่น ๆ โดยจุดมุ่งหมายหลักที่โปรตุเกส เดินทางเข้ามาในทวีปเอเชียก็คือ เพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ ขจัดมุสลิมให้ออกนอก เส้นทางการค้าและเผยแผ่ศาสนาคริสต์

110. บริษัทอินเดิยตะวันออกของอังกฤษเป็นการรวมตัวของกลุ่มใดเข้าด้วยกัน

(1) บริษัทเอกชน       

(2) ขุนนาง     

(3) ข้าราชการ           

(4) แรงงาน

ตอบ 1 หน้า 135 บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (English East Indian Company)เป็นการรวมตัวกันของบริษัทเอกชนของชาวอังกฤษที่เข้ามาตั้งในอินเดีย โดยมีข้าหลวงชาวอังกฤษ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกกับรัฐบาลอังกฤษ ตลอดจนให้ความ คุ้มครองแก่คนอังกฤษในอินเดียด้วย

111. สมัยทรงภูมิธรรมทางปัญญา ชาวยุโรปให้ความสำคัญกับสิ่งใดสูงสุด

(1) ศรัทธา    

(2) เหตุผล     

(3) ความรัก   

(4) ความซื่อสัตย์

ตอบ 2 หน้า 484 หลังจากเกิดการปฏิวัติในอังกฤษได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า สมัยทรงภูมิธรรม ทางปัญญา” ซึ่งเป็นยุคแห่งความสว่างไสวไปด้วยความรู้ และเชื่อว่ามนุษย์สามารถใช้เหตุผล เพื่อสร้างความก้าวหน้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นความก้าวหน้าและหลักเหตุผลจึงเป็น กุญแจสำคัญที่ใช้ไขปริศนาต่าง ๆ ของสมัยนี้

112. นักดาราศาสตร์ที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

(1) โคเปอร์นิคัส        

(2)     ปโทเลมี          

(3)     กาลิเลโอ         

(4)     นิวตัน

ตอบ 2 หน้า 502, (HI 101 เลขพิมพ์ 53214 หน้า 178, 434, 436) คลอเดียส ปโทเลมี (Claudius Ptolemy) นักดาราศาสตร์ยุคโบราณ ได้สรุปไว้เมื่อปี ค.ศ. 100 ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของ จักรวาลที่หยุดนิ่ง มีดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์โคจรโดยรอบ ซึ่งความเชื่อนี้ เป็นที่ยอมรับกันมาตลอดจนสิ้นสุดยุคกลาง

113. นักปรัชญาในกลุ่มสังคมนิยมยูโทเปีย

(1) เดอ แซงต์ ซีมอง 

(2)     ฟูริเอร์ 

(3)     โอเวน  

(4)     ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 494 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกสังคมนิยมยูโทเปียซึ่งนิยมการปฏิรูปสังคมอย่างรุนแรงได้พยายามสร้างโครงการจัดสังคมใหม่ โดยวางเป็นทฤษฎีและจำลองแบบตัวอย่าง แต่ประสบปัญหาที่ไม่สามารถนำเอาแบบจำลองนั้นมาใช้กับสังคมจริงได้ ซึ่งนักปรัชญาที่นิยม แนวความคิดแบบบี้ เช่น โอเวนฟูริเอร์เดอ แซงต์ ซีมอง เป็นต้น

114. เจมส์ ฮาร์เกรฟซามูเอล ครอมตัน มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านใด

(1) สื่อสาร    

(2) เหมืองแร่ 

(3) ทอผ้า       

(4) หลอมโลหะ

ตอบ 3 หน้า 507 ในปี ค.ศ. 1830 อังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องจักรกลขึ้นใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เป็นครั้งแรก เช่น เอ็ดมันต์ คาร์ทไรท์ เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องทอผ้าเจมส์ ฮาร์เกรฟ เป็นผู้ประดิษฐ์ Spinning Jenny, ซามูเอล ครอมตัน เป็นผู้ประดิษฐ์ Spinning Mule หรือ เครื่องกรอด้าย เป็นต้น

115. ภาคีป้องกันทางทหารที่ฝ่ายโลกเสรีจัดตั้งขึ้นเพื่อสกัดกั้นการขยายอำนาจของคอมมิวนิสต์หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2

(1) องค์การนาโต้      

(2) องค์การตลาดร่วม

(3)    องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอว์  

(4) องค์การทหารโลก

ตอบ 1 หน้า 545 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นยุคสงครามเย็น มหาอำนาจฝ่ายโลกเสรี หรือค่ายตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ได้จัดตั้งภาคีป้องกันทางทหารที่เรียกว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือองค์การนาโต้” (NATO) ขึ้นในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากประเทศยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา ตุรกี กรีซ และเยอรมันตะวันตก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นความร่วมมือทางการทหารในการสกัดกั้นการขยายอำนาจของ ลัทธิคอมมิวนิสต์

116. อัลแบร์ติ บรูเนลส์ซีแมนเนตติ บรามันเต้ เป็นสถาปนิกในยุคใด

(1) ยุคโบราณ           

(2) ยุคกลาง  

(3) ยุคเรอแนสซองส์ 

(4) ยุคร่วมสมัย

ตอบ 3 หน้า 447 สถาปนิกคนสำคัญนยุคเรอแนสซองส์ ได้แก่ อัลแบร์ติ บรูเนลส์ซีแมนเนตติบรามันเต้ไมเคิล แอนเจโล เป็นต้น ซึ่งสถาปัตยกรรมของสมัยนี้จะเลียนแบบโรมันด้านรูปแบบ และการตกแต่ง แต่จะไม่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย กลับมุ่งที่การตกแต่งเฉพาะที่ด้านหน้าตึก เท่านั้น

117. บริษัทร่วมหุ้น (Joint Stock Company) เป็นเครื่องมือปฏิบัติการสำคัญของระบบเศรษฐกิจใด

(1) แมนเนอร์

(2) ทุนนิยม   

(3) สังคมนิยม           

(4) คอมมิวนิสต์

ตอบ 2 หน้า 460 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 พ่อค้าชาวยุโรปจะใช้บริษัทร่วมหุ้น (Joint Stock Company) เป็นเครื่องมือปฏิบติการระบบทุนนิยมของชาวยุโรปในส่วนต่าง ๆ ของโลก เพราะบริษัทเหล่านี้มีความเป็นปึกแผ่น รับผิดชอบต่อผู้ลงทุนตามจำนวนหุ้นที่ซื้อ และสามารถระดมทุนจำนวนมหาศาลไปลงทุนในกิจการที่มีความเสื่ยงได้เป็นอย่างดี

118. ความคิดของพวกฟิโลซอฟมีอิทธิพลต่อการปกครองของยุโรปในยุคนั้นอย่างไร

(1) ระบบทรราช        

(2) ระบบอนาธิปไตย

(3)    กษัตริย์อัตตาธิปไตย  

(4) กษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรมทางปัญญา

ตอบ 4 หน้า 486 ความคิดของพวกฟิโลซอฟทำให้กษัตริย์ยุโรปที่ยังยึดมั่นในลัทธิเทวสิทธิราชย์เปลี่ยนความคิดในจุดประสงค์ของการปกครองมาเป็นกษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรมทางปัญญา กล่าวคือ อำนาจการปกครองเป็นของกษัตริย์ แต่ทรงใช้อำนาจนั้นเพื่อประชาชน โดยคำขวัญเกี่ยวกับกษัตริย์ในยุคนี้คือ เบื้องหน้ากฎหมายประชาชนทุกผู้เสมอกัน และมีกษัตริย์เพื่อบริการประชาชน

119. ชนกลุ่มใดคือปัจจัยที่ส่งเสริมอำนาจกษัตริย์แห่งรัฐของยุโรปยุคใหม่

(1) ขุนนาง    

(2) อัศวิน       

(3) ชนชั้นกลาง         

(4) พระ

ตอบ 3 หน้า 460 – 461 ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงยุโรปยุคใหม่ อำนาจของกษัตริย์แห่งรัฐชาติยุโรป เจริญมั่นคงขึ้นแทนที่อำนาจของศาสนจักรที่เสื่อมลงโดยปัจจัยที่ส่งเสริมอำนาจของกษัตริย์ได้แก่

1.      การปฏิวัติเทคโนโลยีทางการทหาร โดยมีการประดิษฐ์ปืนใหญ่ขึ้นใช้

2.      มีเงินทุนสะสมและหน่วยบริการจัดซื้อปืน ดินปืน และกระสุน เพื่อจัดกำลังบำรุงหน่วยทหาร

3.      การเป็นภาคีกับชนชั้นพ่อค้า (ชนชั้นกลาง) ผู้มั่งคั่ง

4.      การจัดตั้งระบบราชการให้ทำงานได้อย่างแข็งขัน

120. วิกฤติการณ์ใดคือชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1

(1) โมร็อกโกครั้งที่ 1

(2) โมร็อกโกครั้งที่ 2

(3) บอลข่านครั้งที่ 1

(4) ซาราเจโว

ตอบ 4 หน้า 527, 529 วิกฤติการณ์ซาราเจโวถือว่าเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งสาเหตุปัจจุบันที่ทำให้เกิดสงครามเชื่อว่าเกิดจากการลอบปลงพระชนม์อาชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย ด้วยฝีมือของนักศึกษาชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บชื่อ กาวริโล ปรินซิป ในนามขององค์กรลับชาวเซิร์บที่ชื่อว่า รวมหรือตาย” หรือ มือมืด

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1/2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)
1. ข้อใดคือความหมายของผู้นำ “มีฤทธิ์อำนาจ” ของชุมชนไทยในบริเวณภาคใต้ของจีน
1. ผู้นำที่เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า
2. ผู้นำที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิที่ชุมชนนับถือ
3. ผู้นำที่เป็นจักรพรรดิราช
4. ผู้นำที่สามารถแผ่อำนาจได้ทั้ง 8 ทิศ

ตอบ 2 หน้า 80-81 ลักษณะผู้นำของชุมชนไทยในบริเวณภาคใต้ของจีนประการหนึ่ง คือ ผู้ นำจะอ้างที่มาจากสวรรค์ และอ้างการมีความสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ เช่น สามารถติดต่อกับวิญญาณของอดีตผุ้นำคนก่อนๆ ได้ ซึ่งนักวิชาการจะเรียกผู้นำในลักษณะนี้ว่า “ผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจ” (Big Men or Men of Prowess) และเมื่อผู้นำนี้ตายไปก็จะได้รับการนับถือบูชาว่าเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งด้วย

2. หลักการเรื่องผู้นำที่เป็นมหาชนสมมุติ ปรากฏในหลักฐานใด
1. ไตรภูมิพระร่วง

2. ศิลาจารึกหลักที่ 1

3. พระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร

4. คัมภีร์พระเวท

ตอบ 3 หน้า 92 พระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร ได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำควรเป็นมนุษย์เหมือนประชาชนมิใช่เทพเจ้า ได้รับการยอมรับและเลือกสรรจากประชาชนเพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่นจึงเรียก ว่าเป็นมหาชนสมมุติ มีหน้าที่รักษาความสงบของชุมชนโดยลงโทษคนชั่ว และประชาชนจะตอบแทนด้วยการแบ่งผลผลิตหรือภาษีให้

3. พระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน มีคุณสมบัติอย่างไร
1. มีพระบรมเดชานุภาพจากชัยชนะในสงคราม

2. มีพระราชฐานะต่ำกว่า “มหาชนสมมุติ”

3. ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีจนเต็มเปี่ยม

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 93 พระไตรปิฎกในส่วนสุตตันตปิฎก จักรกวัตติสูตร ได้ระบุว่า ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศจะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจักรพรรดิราชหรือ จักรวาทิน ซึ่งหมายถึง กษัตริย์แห่งจักรวาลหรือพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิราชก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีมาจนเต็มเปี่ยม

4. ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 มีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัยคือ
1. เน้นความสูงส่งของจักรพรรดิราช

2. ไม่อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดั่งพระโพธิสัตว์

3. มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาใช้ช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการอ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดั่งพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย

5. ในคติพราหมณ์ เทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาล เรียกว่าอะไร
1. มหาเสนาบดี

2. จตุโลกบาล

3. ไศเลนทร์

4. จตุสดมภ์

ตอบ 2 หน้า 99, (คำบรรยาย) ในคดีพราหมณ์มีความเชื่อว่า ในระบบจักรวาล (universe หรือ Macrocosmos) มีทิศหลักที่สำคัญอยู่ 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ซึ่งแต่ละทิศจะมีเทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาลอยู่ประจำรวมทั้งหมด 4 ตน เรียกว่า โลกาปะละ หรือจตุโลกบาล

6. ข้อใดถูกในสมัยสุโขทัย
1. ไม่ปรากฏอิทธิพลลัทธิเทวราชาในสมัยสุโขทัย

2. สุโขทัยนำลัทธิเทวราชาเต็มรูปแบบมาใช้

3. สุโขทัยนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยกหรือมีการแย่งชิงอำนาจ

4. ลัทธิเทวราชามีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 100 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คงมีการนำคติบางอย่างของลัทธิเทวราชามาใช้ แต่อาจใช้ไม่เต็มรูปแบบหรือตลอดเวลา เช่น อาจนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยกและต้องรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่ หรือในยามที่มีการทำรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกษัตริย์พระองค์ก่อน

7. ในช่วงแรกของสุโขทัย ผู้ช่วยในการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์คือใคร
1. กรมพระราชวังบวรฯ หรือวังหน้า

2. จตุสดมภ์

3. ลูกเจ้าลูกขุน

4. ประชาชนชาวกรุงสุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 101 ในช่วงแรกของสุโขทัยนั้น ผู้ช่วยในการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ (พ่อขุน) หรือ ข้าราชการ ได้แก่ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เป็นญาติใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นบริวารที่ไม่ใช่ญาติ โดยเรียกข้าราชการเหล่านี้รวมๆ กันไปว่า ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งนี้ เพราะยังไม่มีการแยกกลุ่มบุคคลอย่างชัดเจนว่าเป็นเจ้านายหรือขุนนางเหมือนใน สมัยอยุธยา

8. คติทางศาสนาพราหมณ์ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบเทวราชา คือข้อใด
1. ราชธานีในโลกมนุษย์ต้องสร้างแบบรูปจำลองของจักรวาล

2. เกษียรสมุทร คือ ศูนย์กลางของจักรวาล

3. ทิศสำคัญในจักรวาลมี 10 ทิศ

4. เขาพระสุเมรุตั้งอยู่นอกชมพูทวีป

ตอบ 1 หน้า 99 คติทางศาสนาพราหมณ์ที่ เชื่อมโยงกับระบบเทวราชา คือ คติที่ว่าราชธานีของโลกมนุษย์จะต้องสร้างให้เป็นรูปจำลองของจักรวาล อาณาจักรของมนุษย์จึงจะเจริญรุ่งเรืองสืบไป ทั้งนี้โครงสร้างของจักรวาลตามคติของศาสนาพราหมณ์นั้นจะมีเขาพระสุเมรุเป็น แกนกลางและเขาพระสุเมรุจะตั้งอยู่ตรงใจกลางของชมพูทวีปซึ่งเป็นรูปกลม

9. เหตุใดจึงต้องมีการปกครองแบบทหาร
1. เพราะอาณาจักรต้องทำสงครามตลอดเวลา
2. เพื่อควบคุมประชากรที่มีมากเกินไป

3. เพราะประชากรมีจำนวนจำกัด

4. เพื่อควบคุมชาวต่างชาติให้อยู่ใต้การปกครองแบบทหาร

ตอบ 3 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบไปยามมีศึก ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ตั้งเดิมโดยมีรากฐานมาจาก ประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็นทหารประจำการและพลเรือนได้

10. ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบนครรัฐ
1. เมืองต่างๆ มีลักษณะเป็นอิสระดุจเป็นรัฐหนึ่ง

2. แว่นแคว้นมีการรวมกันอย่างหลวมๆ

3. การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพ

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 104-105, (คำบรรยาย) สุโขทัยจะมีการปกครองส่วนภูมิภาคแบบนครรัฐ (City Stale) คือ การที่เมืองหรือนครต่างๆ มีลักษณะเป็นอิสระดุจเป็นรัฐของตัวเอง แว่นแคว้นจึงมีการรวมตัวกันแต่เพียงหลวมๆ ในลักษณะสมาพันธรัฐ ทำให้การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพซึ่งจะส่งผลให้เจ้าเมือง ชั้นนอก (เมืองลูกหลวง) มีอิสระเป็นอย่างมากจากเมืองหลวง และอาจเคยตัวเป็นอิสระหรือเข้ามาแย่งชิงอำนาจเมื่อเมืองหลวงอ่อนแอ เช่น กรณีที่พญาลิไทยเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยยกกำลังเข้ามาชิงราชย์ที่เมืองสุโขทัย ได้สำเร็จ

11. ข้อใดถูก
1. สุโขทัยไม่มีปัญหาจากระบบนครรัฐ
2. สุโขทัยไม่มีการปกครอบแบบทหาร
3. ปัญหาการกบฏของเมืองลูกหลวงเกิดขึ้นมากในสมัยต้นอยุธยา
4. อยุธยาประสบความสำเร็จในการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง

12. ปัจจัยข้อใดทำให้อยุธยาเจริญก้าวหน้าเหนืออาณาจักรอื่นๆ
1. ระบบการเกณฑ์แรงงานที่รัดกุม
2. มีการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง
3. ไม่มีปัญหาจากระบบนครรัฐ
4. มีอำนาจเด็ดขาดเหนือเมืองประเทศราช

ตอบ 1 หน้า 47 ปัจจัยสำคัญในด้านอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ทำให้อยุธยาเจริญก้าวหน้าเหนืออาณาจักรไทยอื่นๆ มีดังนี้
1. มีที่ตั้งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์
2. ความสามารถของพระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้นำในการสงครามและการปกครอง 3. มีระบบการเกณฑ์แรงงานประชาชนอย่างรัดกุม
4. อาณาจักรโดยรอบอยุธยาอยู่ในสภาพอ่อนแอ ทำให้อยุธยาไม่มีศัตรูที่จะเข้ามาคุกคาม

13. ข้อใดคือเอกสารสำคัญที่ใช้ศึกษาการปกครองส่วนกลางในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ
1. โองการแช่งน้ำ

2. กฎมณเฑียรบาล

3. พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง

4. กฎหมายตราสามดวง

ตอบ 3 หน้า 149 การศึกษาลักษณะการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองส่วนกลางภายหลังการปฏิรูป ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สามารถหารายละเอียดและความแน่นอนได้มากขึ้นจากเอกสารสำคัญที่ตกทอดมาในยุค หลัง คือ พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่เชื่อว่าตราขึ้นในสมัยของพระองค์

14. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของกฎมณเฑียนบาล
1. เป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

2. เป็นการจัดทำเนียบศักดินา

3. เป็นกฎเกณฑ์ที่บุคคลทั้งหลายต้องปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

4. เป็นกฎหมายควบคุมไพร่พลทั่วราชอาณาจักร

ตอบ 3 หน้า 124 กฎหมายที่สำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ “กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรกที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหา กษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหา กษัตริย์และพระราชวงศ์

15. ข้อใดถูก
1. ธรรมศาสตร์เป็นสาขาคดีของราชศาสตร์

2. กฎหมายธรรมศาสตร์ครอบคลุมคดีความที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

3. พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ บัญญัติโดยยึดหลักธรรมศาสตร์

4. ราชศาสตร์ คือ กฎหมายหลักของอยุธยา

ตอบ 3 หน้า 134-135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่
1. พระ ธรรมศาสตร์ ถือเป็นกฎหมายหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด แต่กฎหมายธรรมศาสตร์ก็ไม่สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักร อยุธยาได้ทั้งหมด
2. พระ ราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดและพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตราขึ้นโดยใช้พระธรรมศาสตร์เป็น แม่บท จะใช้เมื่อมีกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ในพระธรรมศาสตร์ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าราชศาสตร์เป็นสาขาคดีของธรรมศาสตร์

16. ข้อใดหมายถึง “คดีศาลรับส่ง”
1. คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน

2. คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงรับสั่งให้กรมลูกขุนตัดสิน

3. คดีที่ประชาชนฟ้องร้องกรมลูกขุน

4. คดีพิพาทระหว่างคนไทยและคนต่างชาติ

ตอบ 1 หน้า 135-136 คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย จะเรียกว่า “ความรับสั่ง” แต่ถ้าเป็นคดีที่ราษฎรถวายฎีกาขึ้นมา โดยพระมหากษัตริย์ทรงมอบให้กรมพระตำรวจเป็นผู้สอบสวน และพระองค์จะทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุนคดีเช่นนี้เรียกว่า “คดีศาลรับสั่ง”

17. ข้อใดคือนโยบายการปฏิรูประบบราชการของพระบรมไตรโลกนาถ
1. แบ่งงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน

2. แบ่งการปกครองออกเป็นภูมิภาค

3. กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

4. จัดตั้งเมืองลูกหลวงในเขตเมืองชั้นใน

ตอบ 1 หน้า148 นโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้
1. แบ่ง แยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน
2. จัดการ ปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไปควบคุมโดยตรง

18. เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์
1. กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

2. เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมด

3. กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 155-156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้
1. กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน
2. เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง
3. กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงานเป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

19. การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะแบบใด
1. แบ่งงานตามหน้าที่โดยเคร่งครัด

2. ยกเลิกกรมสำคัญ 6 กรม

3. แบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาค

4. กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 157-158 การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลายคือ ระบบแบ่งงานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง (Functional Basis) ออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนสลายไปเป็นระบบแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นส่วนภูมิภาค (Territorial Basis) มีดังนี้
1. กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้
2. กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ
3. กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

20. ข้อใดคือผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองในส่วนกลาง
1. เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกัน

2. กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

3. กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้น

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 158-159 ผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีดังนี้
1.เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกับกรมที่เคยรับผิดชอบงานเฉพาะบางกรมเป็นเหตุให้กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง
2. กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้นทุกที
3. การจัดให้กรมเล็กขึ้นสังกัดกรมใหญ่สับสนกันมากขึ้น

21. เขตมณฑลราชธานีจัดตั้งขึ้นในรัชกาลใด
1. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
2. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
3. สมเด็จพระนเรศวร
4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

22. การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมีลักษณะอย่างไร
1. มีการจัดตั้งเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานคร
2. มีการแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ
3. มีการกระจายอำนาจสู่ส่วนภูมิภาค
4. มีการจัดตั้งเขตมณฑลราชธานี

ตอบ 2 หน้า 162-164 การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีดังนี้ 1. รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มอำนาจให้เมืองหวงควบคุมเขตภูมิภาคได้มั่นคงขึ้น (แต่มิได้มีผลถาวร) 2. ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานครในเขตเมืองชั้นนอกและจัดแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ 3. จัดส่งขุนนางออกไปเป็นเจ้าเมืองเหล่านี้ และให้แต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ฯลฯ

23. ข้อใดถูกในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงต้น
1. ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ข้าราชการต้องถวายบังคมพระรัตนตรัยก่อนพระเชษฐาบิดร

2. มีการยกเลิกพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

3. ยึดแบบอย่างพระราชพิธีฯ เหมือนในสมัยอยุธยา

4. พราหมณ์ไม่มีบทบาทในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาต่อไป

ตอบ 1 หน้า 126, 187-188 ในยุคต้นรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นยุคที่ความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเทวราชาของพระมหากษัตริย์ถูกลดลง ไป คือได้มีการเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดยให้มีการทำความเคารพรัตนตรัยก่อนพระเชษฐาบิดร (เทวรูปของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งแสดงว่าได้ลดฐานะของพระมหากษัตริย์ลงมาอยู่ใต้พระรัตนตรัยที่เป็นสิ่ง สูงสุด

24. ข้อใดที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยึดอุดมการณ์ธรรมราชา
1. การตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม

2. การสังคายนาพรไตรปิฎก

3. การลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 183-186 พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นทรงยึดอุดมการณ์ธรรมราชาเป็นหลักสำคัญที่สุด โดยมีแนวทางดังนี้
1. ทรงตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมซึ่งมิได้เกี่ยวกับราชการบ้านเมืองโดยตรงแต่อย่างใด
2. ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยการสังคายนาพระไตรปิฎก ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและพระพุทธรูปจำนวนมาก
3. ทรงปกป้องคุ้มครองประชาชน โดยการลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎรและดูแลมิให้มูลนายข่มเหงรังแกราษฎร ฯลฯ

25. การบริหารราชการในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีลักษณะแบบใด
1. มีการแบ่งงานตามลักษณะงานโดยไม่เคร่งครัด

2. มีการแบ่งงานออกเป็นภูมิภาค

3. มีการแบ่งงานตามลักษณะงานโดยเคร่งครัด

4. มีการแบ่งงานออกเป็นมณฑลต่างๆ

ตอบ 2 หน้า 158, 194-195 โครงสร้างระบบบริหารราชการแผ่นดินทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในสมัยต้นรัตน โกสินทร์ยังเป็นเช่นเดียวกับสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ จัดระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบแบ่งงานออกเป็นเขตแดนหรือภูมิภาค (Territorial Basis) เพียงแต่จะมีการเพิ่มจำนวนหรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกรมกองไปบ้าง (ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ)

26. ในสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองหลวงใช้มาตรการใดในการควบคุมอำนาจเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอก
1. ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมือง

2. ให้กรมการเมืองรับเงินเดือนจากเมืองหลวง

3. ให้เจ้านายไปกำกับราชการหัวเมืองชั้นนอก

4. ยกเลิกระบบกินเมือง

ตอบ 1 หน้า 195 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นไป ได้มีการใช้นโยบายแบ่งแยกความจงรักภักดีออกเป็นสองทาง (Dual Allegiance) กล่าวคือ ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมืองตำแหน่งต่างๆ แทนที่จะให้เจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งดังแต่ก่อน เพื่อให้เมืองหลวงมีอำนาจควบคุมเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอกได้มากขึ้น เพราะกรมการเมืองย่อมเกิดความภักดีต่อขุนนางในเมืองหลวงซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง ตนด้วย มิใช่ภักดีต่อเจ้าเมืองเพียงคนเดียว

27. ผลงานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลางในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงแรก พ.ศ. 2417-2418 คือข้อใด
1. จัดตั้งสภาพที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาองคมนตรี
2. จัดตั้งกระทรวงต่างๆ

3. การปรับคณะเสนาบดีครั้งใหญ่

4. การปฏิรูปกฎหมาย

ตอบ 1 หน้า 227-228 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลางช่วงแรก พ.ศ.2417-2418 โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (State Council หรือ Council of State) และสภาองคมนตรี (Privy Council) ซึ่งสภาทั้งสองนี้ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ก่อนลงมือปฏิบัติหน้าที่

28. ข้อใดคืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในช่วงแรกของ ร.5 ต้องหยุดชะงัก
1. การขัดขวางจากพวกอนุรักษนิยม

2. การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

3. การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 228-229 อุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในระยะแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงักลง ได้แก่
1. การขัดขวางจากฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งในลักษณะของการดื้อแพ่งและการต่อต้านด้วยกำลังอาวุธ
2. การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก
3. การ ขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม โดยเฉพาะบรรดาสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับการแสดง ความคิดเห็น และยังเกรงกลัวต่ออิทธิพลของฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่

29. ข้อใดคือผลงานเด่นของการปฏิรูปช่วงที่ 2 ของ ร.5
1. การตั้งกรมสำคัญ 6 กรม

2. การฟื้นฟูการปกครองแบบนครรัฐ

3. การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง

4. การจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์

ตอบ 3 หน้า 229-231 ผลงานเด่นของการปฏิรูปในระยะที่สองของรัชกาลที่ 5 คือ การออกประกาศพระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง โดยเพิ่มจากเดิม 6 กระทรวงแต่ละกระทรวงมีหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งการจัดตั้งกระทรวงในครั้งนี้จะเห็นได้ถึงการสูญอำนาจของขุนนางตระกูล บุนนาค และการขึ้นมามีอำนาจของฝ่ายเจ้านายที่ได้เป็นเสนาบดีถึง 10 กระทรวง

30. ผลสำเร็จในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดจากข้อใด
1. การใช้ระบบ “กินเมือง”

2. การเพิ่มอำนาจให้เมืองประเทศราช

3. การจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาล

4. การฟื้นฟูระบบเมืองลูกหลวง

ตอบ 3 หน้า 56, 234-235 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น เพื่อให้เมืองหลวงสามารถควบคุมอาณาจักรและประเทศราชได้อย่างทั่วถึง ทำให้ประเทศไทยสามารถผนวกดินแดนในเขตชั้นนอกและเขตประเทศราชให้เป็นปึกแผ่น อันหนึ่งอันเดียวกับส่วนกลางในลักษณะรัฐประชาชาติ (National State) ได้สำเร็จ

31. ข้อใดถูกต้องในการประนมมือไหว้ผู้มีพระคุณและผู้มีอาวุโส
1.ประนมมือให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ที่ปลายคาง นิ้วชี้จรดปลายจมูก
2. ประนมมือให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ที่ปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดหว่างคิ้ว
3. ประนมมือให้นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้จรดส่วนบนของหน้าผาก
4. ประนมมือให้นิ้วหัวแม่มือจรดหน้าผาก ปลายนิ้วชี้จรดศีรษะ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมการไหว้ตามประเพณีไทยมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. การไหว้ผู้มีฐานะเสมอกันหรือรับไหว้ ผู้ไหว้จะประนมมือกลางอก ปลายนิ้วตั้งตรงขึ้นเบื้องบนโดยอาจก้มหน้าลงเล็กน้อย
2. การไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วชี้อยู่ตรงปลายสันจมูก แล้วก้มหน้าลง
3. การ ไหว้บิดามารดาหรือผู้ที่มีพระคุณและผู้มีอาวุโสอันเป็นที่เคารพยิ่ง ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดหว่างคิ้ว พร้อมกับค้อมหรือย่อตัวลง
4. การไหว้พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้วปลายนิ้วชี้จรดตีนผมแนบหน้าผาก พร้อมกับค้อมหรือย่อตัวลง

32. เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำใด
1. แม่น้ำปิง

2. แม่น้ำยม

3. แม่น้ำน่าน

4. แม่น้ำเจ้าพระยา

ตอบ 2 หน้า 23-24, (คำบรรยาย) เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำยมซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง โดยจะมีศูนย์กลางของชุมชนเมื่อแรกตั้งอยู่ที่เมืองเก่าสุโขทัยบริเวณวัดพระ พายหลวง หลังจากนั้นจึงย้ายมาอยู่ในตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบันบริเวณวัดมหาธาตุ

33. เมืองหลวงของราชอาณาจักรไทยสมัยใดที่มีลักษณะเป็นเกาะ
1. สุโขทัย

2. ล้านนา

3. อยุธยา

4. ธนบุรี

ตอบ 3 หน้า 22-23, 35, 510, (คำบรรยาย) ราชอาณาจักรอยุธยาเริ่มขึ้นตั้งแต่มีการสร้าง กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ ใน พ.ศ. 1893 โดยพระเจ้าอู่ทองเป็นผู้ย้ายศูนย์กลางของแคว้นอโยธยาแต่เดิม เข้ามาตั้งมั่นเป็นเมืองหลวงหรือราชธานีแห่งใหม่ ณ เกาะอยุธยาซึ่งถือเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมมากทั้งในด้านการปกครอง ยุทธศาสตร์ และด้านเศรษฐกิจเพราะมีการคมนาคมสะดวก และมีแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบเกาะ

34. สังคมไทยสมัยใดที่มีความคล้ายกันมากที่สุด
1. สุโขทัย-ล้านนา

2. สุโขทัย-อยุธยา

3. ล้านนา-อยุธยา

4. สุโขทัย-รัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 270, (คำบรรยาย) สังคมของสุโขทัยและล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 19-21 จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ มีลักษณะผสมของสังคมหมู่บ้านที่ยังมีหลักความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติกับ สังคมเมืองที่พยายามวางแบบแผนกฎเกณฑ์ของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกอย่างเป็น ทางการมากขึ้น ดังนั้นเมืองสำคัญในแคว้นสุโขทัยและล้านนาจึงล้วนมีวิวัฒนาการไปจากหมู่บ้าน ที่ขยายตัวหรือจากการรวมกลุ่มของหมู่บ้านทั้งสิ้น

35. “เบื้องตีนนอน” ที่ปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหง หมายถึงทิศใด
1. ทิศตะวันออก

2. ทิศตะวันตก

3. ทิศเหนือ

4. ทิศใต้

ตอบ 3 (คำ บรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหง ได้กล่าวถึงทิศทั้ง 4 ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ เบื้องตีนนอน (ทิศเหนือ), เบื้องหัวนอน (ทิศใต้), เบื้องตะวันออก (ทิศตะวันออก) และเบื้องตะวันตก (ทิศตะวันตก)

36. ไพร่ชั้นดีในสมัยล้านนามีหลายอาชีพที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน ไพร่ในข้อต่อไปนี้ข้อใดที่ถูกเกณฑ์แรงงาน
1. ชาวนา

2. ช่างฝีมือ

3. พ่อค้า

4. เศรษฐี

ตอบ 1 หน้า 283 เอกสารทั้งของสุโขทัยและล้านนาได้จัดแบ่งไพร่ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. ไพร่ชั้นดี คือ ไพร่ที่มีความรู้ความสามารถหรือมีฐานะดี เช่น ช่างฝีมือ พ่อค้า และเศรษฐีซึ่งจะได้รับยกเว้นไม่ถูกเกณฑ์แรงงานเหมือนไพร่สามัญ แต่อาจต้องเสียเงินหรือส่วยเป็นการชดเชย 2. ไพร่สามัญ คือ สามัญชนส่วนใหญ่ที่ทำมาหากินด้วยการทำไร่ไถนา ไม่มีความรู้ความสามารถพิเศษอันใด จึงต้องมาให้แรงงานตามกำหนด เช่น ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ฯลฯ

37. “ผู้ใดมีคุณต่อพ่อแม่มาก ได้มรดกมาก” เป็นข้อความในกฎหมายไทยสมัยใด
1. สุโขทัย

2. ล้านนา

3. อยุธยา

4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 295, (คำบรรยาย) สังคมสมัยล้านนามีหลักปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ว่าเมื่อ พ่อแม่ตายไปให้จัดมรดกแก่ลูกที่แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้มากกว่าคนอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อตอบแทนความดีและให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นด้วย ดังข้อความในกฎหมายมังรายศาสตร์ของล้านนาที่ว่า “ผิลูกหลานมีอยู่หลายคน ผู้ใดมีคุณต่อพ่อแม่มาก ก็ให้มรดกมาก…”

38. “ผู้ เป็นท้าวพระยานี้ แม้จะพิพาทเจรจาสิ่งใดก็ดี อย่าเจรจามาก แม้จะยิ้มแย้มด้วยสิ่งใด อย่ายิ้มแย้มมากแต่พอประมาณเถิด” เป็นข้อความที่ปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ถามว่าสะท้อนให้เห็นค่านิยมใดของคนไทยสมัยสุโขทัยชัดเจนที่สุด
1. มีความสำนึกในสถานะความสูงต่ำของบุคคล

2. ต้องปฏิบัติตนให้ถูกกับสถานะ

3. เป็นสังคมในระบบอุปถัมภ์-บริวาร

4. เป็นสังคมที่ยกย่องคนดี

ตอบ 1 หน้า 294, (คำบรรยาย) ค่านิยมในสมัยสุโขทัยจะมีการปลูกฝังเรื่องความสำนึกในสถานะสูงต่ำของบุคคล โดยถือว่าผู้ใหญ่มีความสูงศักดิ์กว่าผู้น้อย ซึ่งปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วงที่ได้กล่าวถึงการวางตัวของผู้ใหญ่ว่าต้อง ไว้ตัวต่อหน้าผู้น้อย โดยไม่พูดจาเล่นหัวกับผู้น้อยให้เกินไปเพื่อมิให้ผู้น้อยถือสนิทกับผู้ใหญ่ ได้ และยังมีคำสอนให้ผู้ใหญ่รู้จักควบคุมอารมณ์เก็บกิริยาอาการเวลาอยู่ต่อหน้า ผู้น้อย ดังข้อความจากโจทย์ข้างต้น

39. ข้อใดผิดเกี่ยวกับทาสวัด
1. ไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน
2. ไม่ต้องส่งส่วยให้รัฐ

3. ไม่ต้องออกรบ

4. ทาสวัดสืบตระกูลไม่ได้

ตอบ 4 หน้า 353 ทาสวัดหรือข้าพระอารามในสมัยอยุธยามีลักษณะดังนี้
1. มี ที่มาจากการที่พระมหากษัตริย์ยกทาสหรือไพร่หลวงให้แก่วัด หรือมาจากเจ้านายขุนนางยกข้าทาสหรือไพร่สมให้วัดเป็นครัว คือ ให้ไปทั้งพ่อแม่ลูก
2. การเป็นทาสวัดจะสืบตระกูลไปถึงลูกหลานต่อไปด้วย
3. ทาสวัดจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงานแม้ในยามสงคราม และไม่ต้องส่งส่วยให้แก่รัฐ
4. ทาสวัดที่ไม่ต้องการทำงานให้วัดก็สามารถส่งส่วยให้วัดแทนได้ ฯลฯ

40. “ผู้ ปกครองที่อธรรม เบียดเบียนประชาชน กินสินบนจากลูกความ ตายไปต้องตกนรกหรือเกิดเป็นเปรตได้รับความทรมานอย่างมาก” เป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารใด
1. มังรายศาสตร์

2. ไตรภูมิกถา

3. กฎหมายตราสามดวง

4. มหาชาติคำหลวง

ตอบ 2 277 ในวรรณกรรมเรื่องไตรภูมิกถา ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทยได้มีการปลูกฝังความ เชื่อว่า ลูกเจ้าลูกขุนที่
เป็นขุนธรรมย่อมมีผลให้ดินฟ้าอากาศเป็นปกติตามฤดูกาล และย่อมเป็นที่รักของเทวดา ส่วนผู้ปกครองที่อธรรม เบียดเบียนประชาชนกินสินบนจากลูกความ ตายไปต้องตกนรกหรือเกิดเป็นเปรต ได้รับความทรมานอย่างมาก

41. “นาย ตีนผู้ใดรบศึกในสนามรบ ได้หัวนายช้างนายม้ามา ควรเลี้ยงดูให้เป็นใหญ่” ข้อความดังกล่าวแสดงถึงไพร่สามารถเลื่อนฐานขึ้นเป็นขุนนางได้ ถามว่าเป็นกฎหมายสมัยใด
1. สุโขทัย
2. ล้านนา
3. อยุธยา
4. ธนบุรี

ตอบ 2 หน้า 285 ในสมัยล้านนามีกฎหมายระบุว่า ทหารที่หนีทัพจะถูกประหารชีวิตและริบทรัพย์สินลูกเมียเป็นของหลวง แต่ยามสงครามก็อาจเป็นเวลาที่ไพร่ที่มีฝีมือในการรบได้เลื่อนฐานะขึ้นเป็น ขุนนางได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่า “นายตีนผู้ใดรบศึกในสนามรบได้หัวนายช้างนายม้ามา ควรเลี้ยงดูให้เป็นใหญ่…หากนายตีนได้หัวนายม้า ควรเลื่อนขึ้นเป็นนายม้านายตีนได้หัวนายช้าง ควรเลื่อนขึ้นเป็นนายช้าง…”

42. ข้อใดไม่จัดอยู่ในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
1. ฉลองพระบาทเชิงงอน

2. ธารพระกร

3. วาลวิชนี

4. พระสุพรรณราช

ตอบ 4 หน้า 124, 127, (คำบรรยาย) เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ หมายถึง เครื่องใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงพระบารมี ประกอบด้วย ของ 5 สิ่ง ได้แก่
1. พระมหาพิชัยมงกุฎ คือ สัญลักษณ์ของการเป็นองค์ประมุขของแผ่นดิน
2. พระแสงขรรค์ชัยศรี คือ สัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ
3. ธารพระกร คือ สัญลักษณ์แห่งพระปัญญาอันยิ่งใหญ่
4. พระวาลวิชนีและพรแส้จามี คือ สัญลักษณ์แห่งการบันดาลความอยู่เย็นเป็นสุข ปัดเป่าผองภัยและความทุกข์ร้อนของประชาชนให้หมดสิ้นไป
5. ฉลองพระบาทเชิงงอน คือ สัญลักษณ์แห่งการทรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพในทุกหนทุกแห่ง

43. พระสงฆ์ทำหน้าที่ตัดสินคดีความร่วมกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยอิงหลักเกณฑ์ในชาดกหรือวินัยสงฆ์ถามว่าปรากฏในกฎหมายสมัยใด
1. สุโขทัย

2. ล้านนา

3. อยุธยา

4. ธนบุรี

ตอบ 2 หน้า 280 ในสมัยล้านนา พระสงฆ์จะทำหน้าที่ตัดสินคดีความร่วมกับเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยอาศัยอิง กับหลักเกณฑ์ในชาดกหรือวินัยสงฆ์ที่เข้ากันได้ นอกจากนี้ลักษณะกฎหมายของล้านนายงปรากฏอิทธิพลของวินัยสงฆ์เข้ามาปะปนอยู่ เป็นอันมาก โดยพระเถระผู้ใหญ่ดังเช่นพระสังฆราชสามารถกล่าวตักเตือนให้สติแก่พระมหา กษัตริย์ที่ประพฤติผิดทำนองคลองธรรมได้

44. ขุนนางอยุธยาไม่มีสิทธิทำสิ่งใด
1. เป็นเจ้าเมือง
2. เป็นเสนาบดี

3. เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์

4. ไปมาหาสู่กันอย่างเสรี

ตอบ 4 หน้า 323-324, 329-332 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงคานอำนาจของขุนนางดังนี้
1. กำหนดให้ความสูงศักดิ์และอภิสิทธิ์ของขุนนางตกอยู่ในพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
2. กำหนด ขอบเขตการเคลื่อนไหวของขุนนางไว้อย่างรัดกุม เช่น มีกฎหมายห้ามขุนนางไปมาหาสู่กันอย่างเสรี รวมทั้งไม่ให้คบค้ากับพวกเจ้านายด้วย เป็นต้น
3. กำหนดบทลงโทษขุนนางที่ทำหน้าที่บกพร่องไว้อย่างมากมายและรุนแรง

45. ยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย คือ “สมเด็จเจ้าพระยา” ถามว่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์แรกคือใคร
1. สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก

2. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์

3. สมเด็จเจ้าพระยามหาพิชัยญาติ

4. สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์

ตอบ 1 หน้า 319, 405, (คำบรรยาย) ยศสมเด็จเจ้าพระยา ถือเป็นยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย โดยสมเด็จเจ้าพระยาในประวัติศาสตร์ไทยจะมีอยู่ทั้งหมด 4 องค์ คือ
1. สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ (ทองด้วง)
2. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิส บุนนาค)
3. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค)
4. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

46. หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนไพร่ในสมัยอยุธยา ได้แก่ข้อใด
1. ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนหมวดหมู่เดียวกับญาติพี่น้องของตน

2. ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนกับมูลนายที่มีภูมิลำเนาเดียวกับตน

3. ผู้หญิงและพระสงฆ์ต้องขึ้นทะเบียนเช่นเดียวกัน

4. 4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 341-342 หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนไพร่ในสมัยอยุธยามีดังนี้
1. ไพร่ ที่มีอายุตั้งแต่ 9 ขวบขึ้นไปต้องมาขึ้นทะเบียน แต่ไพร่จะถูกเกณฑ์แรงงานเมื่ออยู่ในวัยฉกรรจ์ (ผู้ที่แต่งงานแล้ว) คือ อายุประมาณตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
2. ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนกับมูลนายที่มีภูมิลำเนาเดียวกับตน แต่ต่อมาภายหลังไพร่ขึ้นสังกัดกับมูลนายที่อยู่ต่างภูมิลำเนากันได้
3. ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดหมวดหมู่เดียวกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของตน
4. ผู้หญิงและพระสงฆ์ก็จะต้องมาขึ้นทะเบียนไพร่ แม้ว่าจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน นอกจากเวลาที่จำเป็นจริงๆ ฯลฯ

47. การสักข้อมือไพร่ เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ
1. เพื่อรู้ชื่อมูลนาย
2. เพื่อรู้จำนวนไพร่

3. เพื่อรู้ภูมิลำเนาไพร่

4. เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี

ตอบ 4 หน้า 392, 417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุง ธนบุรีเป็นต้นมา โดยได้กำหนดให้สักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันมิให้ไพร่หลวงสูญหาย หรือมิให้ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายเหมือนสมัยก่อน

48. การสักข้อมือไพร่ เริ่มครั้งแรกในสมัยรัชกาลใด
1. สมเด็จพระนเรศวร

2. สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

3. สมเด็จพระเจ้าตากสิน

4. สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

49. ข้อใดถูกเกี่ยวกับทาสในสมัยอยุธยา
1. นายเงินมีสิทธิไม่รับค่าตัวทาส

2. นายเงินขึ้นค่าตัวทาสไม่ได้

3. นายเงินไม่มีสิทธิลงโทษทาส

4. นายเงินไม่มีสิทธิส่งทาสไปรบแทนตน

ตอบ 2 หน้า 352, 354-356 ในสมัยอยุธยา นายเงินมีสิทธิเหนือทาสดังนี้
1. ใช้งานทาสได้ทุกอย่าง
2. ใช้ทาสไปรับโทษหรือเข้าคุกแทนตนได้ แต่ถ้าทาสขายขาดไปรับโทษแทนนายเงินจะมิได้ลดค่าตัวและไถ่ถอนตัวเป็นอิสระไม่ได้
3. ใช้ทาสไปรบแทนตนได้
4. ลงโทษทาสได้แต่ต้องไม่ทำให้ทาสนั้นพิการหรือตายไป
5. ขายทาสต่อไปได้ แต่ขึ้นราคาค่าตัวทาสตามใจชอบไม่ได้ และถ้าทาสมีเงินมาไถ่ตัว นายเงินจะไม่ยอมรับค่าตัวทาสไม่ได้ ฯลฯ

50. “ทาสในเรือนเบี้ย” ของไทยสมัยอยุธยา เทียบได้กับทาสชนิดใดของล้านนา
1. ลูกข้าหญิง

2. ซื้อมาด้วยข้าวของ

3. ฉิบหายด้วยความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง

4. ข้อยมาเป็นข้า

ตอบ 1 หน้า 290, 351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสในสมัยล้านนามี 5 ประเภท คือ
1. ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของ ซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา
2. ลูกข้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา
3. มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา
4. ฉิบหายด้วยความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งจึงเข้าเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา
5. ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา

51. ศักดินากำหนดจากสิ่งใด
1. ที่ดินของบุคคลนั้น
2. ไพร่ของบุคคลนั้น
3. ยศของบุคคลนั้น
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 358, (คำบรรยาย) การกำหนดให้บุคคลมีศักดินากันคนละเท่าใดนั้นจะกำหนดจาก ยศ ตำแหน่ง และความรับผิดชอบในหน้าที่ราชการ โดยผู้ใดมียศสูง มีตำแหน่งและงานในความรับผิดชอบสำคัญมาก ผู้นั้นก็จะมีศักดินาสูง ดังนั้นเมื่อเห็นตัวเลขศักดินาของผู้ใดก็สามารถทราบถึงความสูงศักดิ์ของ บุคคลนั้นได้โดยประมาณ
52. การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร
1. ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล

2. ใช้กำหนดไพร่ในสังกัดของบุคคล

3. ใช้กำหนดบทลงโทษของบุคคล

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 359-360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคม และกำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่างๆ ดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่างๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม 2. เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด 3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พลในสังกัด 4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่าง

53. ข้อใดไม่ถูกเกี่ยวกับระบบศักดินา
1. ศักดินาเป็นเครื่องวัดความสูงศักดิ์ของคนในแผ่นดิน

2. ศักดินาเป็นเครื่องมือลงโทษผู้ทำผิด
3. ผู้มีศักดินาสูงสุดในแผ่นดิน ได้แก่ พระเจ้าแผ่นดิน

4. ทาสมีศักดินา 5 ไร่

ตอบ 3 หน้า 309, 357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์จะได้รับพระราชทาน ศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหน่งโดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในแผ่นดิน คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรฯ (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาต่ำสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่ (ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ)

54. ตำแหน่งวังหน้ายกเลิกไปในรัชกาลใด
1. รัชกาลที่ 3

2. รัชกาลที่ 4

3. รัชกาลที่ 5

4. รัชกาลที่ 6

ตอบ 3 หน้า 395 ปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างวังหลวงและวังหน้าในสมัยรัตนโกสินทร์จะ สิ้นสุดลงโดยเด็ดขาดเมื่อกรมพระราชวังบวรฯ (วังหน้า) ในสมัยรัชกาลที่ 5 สิ้นพระชนม์ลงใน พ.ศ. 2428 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ 5) โปรดให้ยกเลิกตำแหน่งวังหน้าโดยสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชขึ้นมา แทนที่เป็นครั้งแรก ทำให้การสืบราชสมบัติของไทยถูกกำหนดเป็นแบบแผนตามกฎหมาย

55. เหตุใดไพร่จึงถูกเกณฑ์แรงงานน้อยลงในสมัยรัตนโกสินทร์
1. การเน้นการปกครองแบบธรรมราชา

2. รัฐต้องการให้ไพร่ใช้เวลาปลูกข้าวมากขึ้น

3. มีแรงงานจากจีนเข้ามามากขึ้น

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 416-424, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานน้อยลงในสมัยรัตนโกสินทร์จนกระทั่งมีการยก เลิกระบบไพร่อย่างสิ้นเชิงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้
1. กษัตริย์เน้นการปกครองแบบธรรมราชา
2. การคุกคามและเผยแพร่แนวความคิดตามแบบตะวันตก
3. การเปลี่ยนแปลงลักษณะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้รัฐต้องการให้ไพร่ใช้เวลาปลูกข้าวมากขึ้น
4. กรรมกรชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานในไทยมากขึ้น
5. ภาวะการทำสงครามและการถูกรุกรานโดยอาณาจักรใกล้เคียงกับไทยหมดไป

56. การปฏิรูปการปกครองและสังคมในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนางอย่างไร
1. ขุนนางได้เป็นเสนาบดีมากกว่าเจ้านาย

2. ขุนนางไม่ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลอีกต่อไป

3. ขุนนางตระกูลบุนนาคเสื่อมอิทธิพลลง

4. ขุนนางได้เก็บเงินจากเจ้าภาษีไว้เป็นสมบัติส่วนตัวมากกว่าแต่ก่อน

ตอบ 3 หน้า 411-412 การปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนางดังนี้
1. คณะเสนาบดีรุ่นเก่าที่มีตระกูลบุนนาคเป็นผู้นำเสื่อมอิทธิพลลง โดยเสนาบดีรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้านายมากกว่าขุนนาง
2. ข้าราชการมีเงินเดือน และการใช้เงินส่วนของรัฐเพื่อกิจการส่วนตัวนับเป็นของต้องห้าม
3. การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการจะพิจารณาจากความรู้เป็นหลัก
4. มีการเปิดรับสามัญชนที่มีการศึกษาดีเข้าสู่ระบบราชการ ฯลฯ

57. การเปิดประเทศมีผลต่อไพร่อย่างไร
1. ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานมากขึ้น

2. ไพร่เสียเงินค่าราชการมากขึ้น

3. ไพร่ปลูกข้าวมากขึ้น

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 416, 424 ภายหลังการเปิดประเทศ เศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนจากระบบผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเอง มาเป็นระบบผลิตเพื่อส่งออก ทำให้ความสำคัญของไพร่ในฐานะแรงงานและผู้ส่งส่วยลดลงไปมาก แต่ไพร่จะมีบทบาทสำคัญยิ่งในด้านการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรเพื่อส่งออก โดยเฉพาะการปลูกข้าว ซึ่งได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญที่สุดของไทย

58. อะไรเป็นเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้คนจีนที่เรียกว่า “อั้งยี่” ลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทย
1. มีพวกมาก

2. มีฐานะทางการเงินดี

3. มีขุนนางหนุนหลัง

4. เป็นคนในบังคับต่างชาติ

ตอบ 4 หน้า 439 ในสมัยรัชกาลที่ 5 สมาคมลับของชาวจีนหรืออั้งยี่ได้เกิดขึ้นหลายกลุ่ม และมีกิจกรรมหลายด้านที่ทำผิดกฎหมายไทย แต่พวกอั้งยี่ก็สามารถลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทยได้เพราะคนจีนจำนวนมากได้ไป จดทะเบียนเป็นคนในบังคับตะวันตกชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็สามารถขึ้นศาลกงสุลของชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียน ไว้และตำรวจไทยจะจับกุมตัวได้ก็ต่อเมื่อกงสุลของชาตินั้นอนุมัติแล้วเท่า นั้น

59. พ.ร.บ. เกณฑ์ทหาร รศ. 124 มีผลให้ระบบไพร่ถูกยกเลิกเด็ดขาด ทั้งนี้ชายฉกรรจ์ทุกคน เมื่ออายุครบ…?…ปีจะต้องมาเกณฑ์ทหารรับราชการในกองประจำการ มีกำหนด…?…ปี จากนั้นแล้วจะปลดปล่อยให้อยู่ในกองหนุน
1. 18, 2

2. 19, 2

3. 20, 3

4. 21, 3

ตอบ 1 หน้า 427 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหาร รศ. 124 ขึ้นใน พ.ศ. 2448 ซึ่งได้กำหนดใช้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุครบ 18 ปี ยกเว้นคนจีนและคนป่าคนดอย ต้องเข้ามาเกณฑ์ทหารรับราชการในกองทัพมีกำหนด 2 ปี จากนั้นจึงจะได้รับการปลดปล่อยให้อยู่ในกองหนุนขั้นที่ 1 อีก 5 ปี และกองหนุนขั้นที่ 2 อีก 10 ปี จึงจะปลดประจำการและไม่ต้องเสียค่าราชการไปอีกตลอดชีวิต ดังนั้น พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงนับเป็นก้าวสุดท้ายที่จะยกเลิกระบบไพร่โดยสิ้นเชิง

60. คำ ว่า “ไทย” หมายถึงอิสรภาพ “ประเทศไทย” หมายถึง ดินแดนแห่งอิสรภาพ ประเทศไทยนั้นเดิมชื่อว่า “สยาม” ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทย เมื่อปีพ.ศ.ใด
1. พ.ศ. 2475

2. พ.ศ. 2482

3. พ.ศ. 2490

4. พ.ศ. 2500

ตอบ 2 (คำ บรรยาย) ประเทศไทยเดิมชื่อว่า “สยาม” ซึ่งมีการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนถึงสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้นำ จึงได้ประกาศรัฐนิยมให้ใช้ชื่อ “ประเทศไทย” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2482 และให้ใช้คำว่า “ไทย” แทนคำว่า “สยาม” นับแต่นั้นจะต้องเรียกคนไทยว่าไทย และเรียกประเทศไทยว่าประเทศไทย

61. ข้อใดคือพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยตลอดมา
1. การอุตสาหกรรม
2. การค้า
3. การเกษตรกรรม
4. การทำเหมืองแร่

ตอบ 3 หน้า 469, (คำบรรยาย) อาชีพหลักของราษฎรไทย คือ การเกษตรกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยตลอดมา โดยเฉพาะการทำนาถือเป็นอาชีพหลักของราษฎรไทยมาตั้งแต่ยุคต้นๆ รองลงมาก็คือ การทำไร่ทำสวนต่างๆ
62. ลักษณะเศรษฐกิจแบบผลิตเพื่อการบริโภคและการแลกเปลี่ยนภายในชุมชนคือสมัยใด
1. สุโขทัย

2. อยุธยา

3. ธนบุรี

4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 471, 482-483 ลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยได้ชื่อว่าเป็น “วัฒนธรรมชาวบ้าน” เนื่องจากเป็นการผลิตเพื่อบริโภคและแลกเปลี่ยนกันภายในชุมชนหรือระหว่างหมู่ บ้านในลักษณะพอเพียงเลี้ยงตนเองได้ ซึ่งถือเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งในปัจจุบันจากพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งจากภาครัฐและเอกชน

63. ข้อใดคือประโยชน์ของ “สรีดภงส์” สมัยสุโขทัย
1. เป็นแหล่งล่าสัตว์

2. นำน้ำมาบริโภค

3. เป็นแหล่งทำประมง

4. เป็นทำนบเก็บกักน้ำช่วยในการเพาะปลูก

ตอบ 4 หน้า 473-475 สุโขทัยจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัดเพราะเป็นหนองบึงจำนวนมากและ มีปัญหาเรื่องน้ำ ดังนั้นผู้ปกครองสุโขทัยจึงได้ช่วยเหลือกสิกรในการเพาะปลูกทั้งทางตรงและทาง อ้อมหลายประการ ได้แก่ 1. การ ช่วยเหลือทางด้านการชลประทาน เช่น การสร้างสรีดภงส์ (เขื่อนเก็บกักน้ำ ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักน้ำไว้ภายในหุบเขา) การขุดสระที่เรียกว่าตระพังและสร้างเหมืองฝายเป็นทำนบกั้นน้ำ 2. ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ราษฎรมีความวิริยะอุตสาหะหักร้างถางพง เพื่อสร้างเป็นไร่เป็นนา เป็นสวน ฯลฯ

64. มีการสร้างทำนบกั้นน้ำสมัยสุโขทัย เรียกว่าอะไร
1. เหมืองฝาย

2. เหมืองปราการ

3. เหมืองแล่ง

4. เหมืองแปลง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

65. เหตุใดสุโขทัยจึงทำเฉพาะประมงน้ำจืด
1. คนสุโขทัยไม่นิยมบริโภคปลาทะเล

2. สุโขทัยไม่มีเครื่องมือจับปลาน้ำลึก

3. สุโขทัยไม่มีเรือทะเลออกน้ำลึก

4. ถูกข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 475 แหล่งจับปลาน้ำจืดของสุโขทัยที่มีปลาอุดมสมบูรณ์ที่สุด คงได้แก่ ในแม่น้ำยมตอนใกล้แก่งหลวง ส่วนการจับปลาทะเลนั้นคงจะจับกันแต่เพียงริมฝั่งทะเลในอ่าวไทยเท่านั้นเพราะ ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีเรือใหญ่ที่ใช้เป็นพาหนะในการออกไปจับปลา ในทะเลลึก นอกจากนี้เครื่องมือจับปลาน้ำลึกในสมัยนั้นก็คงยังไม่มีใช้

66. สินค้าออกของสุโขทัยคืออะไร
1. ข้าว

2. เครื่องสังคโลก

3. เครื่องจักสาน

4. ดีบุก

ตอบ 2 หน้า 479 สินค้าส่งออกที่สำคัญและขึ้นชื่อของสุโขทัย คือ เครื่องปั้นดินเผา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เครื่องสังคโลก” โดยจะมีทั้งที่เป็นภาชนะเครื่องใช้ ซึ่งที่พบมากที่สุด ได้แก่ จานและชามนอกจากนั้นเป็นเครื่องใช้ที่เป็นเครื่องแก้ว ได้แก่ ขวดและตลับ และที่ใช้ตกแต่งสถาปัตยกรรมได้แก่ กระเบื้องเคลือบมุงหลังคา ช่อฟ้า บราลี และพลสิงห์

67. “…เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย… ใครจักใคร่ค้าช้างค้า…” แสดงนโยบายอะไรของสุโขทัย
1. ชนิดของสินค้าประเภทสัตว์

2. ชักจูงให้มีการค้ากับเพื่อนบ้าน

3. ชักจูงให้ราษฎรมีอาชีพค้าสัตว์

4. การค้าเสรี

ตอบ 4 หน้า 480 ข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “…เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า” หมายความว่า ผู้ปกครองส่งเสริมนโยบายการค้าอย่างเสรี โดยราษฎรสามารถค้าขายสินค้าต่างๆ ได้ตามความต้องการ

68. อยุธยาทำการค้ากับชาติใดในรูปบรรณาการ
1. จีน

2. ญี่ปุ่น

3. อังกฤษ

4. ฝรั่งเศส

ตอบ 1 หน้า 499-501, 511 การค้าส่วนใหญ่ของอยุธยาในระยะแรกจะเป็นการค้าขายทางเรือสำเภากับประเทศทาง ตะวันออก ได้แก่ การค้ากับจีนในลักษณะบรรณาการ และการค้ากับญี่ปุ่นส่วนการค้ากับประเทศยุโรปตะวันตกเริ่มขึ้นครั้งแรกใน สมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โดยไทยเริ่มค้าขายกับโปรตุเกสเป็นชาติแรก ต่อจากนั้นก็มีฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศสตามลำดับ

69. อยุธยาเปรียบเทียบอะไรว่าเป็นกำแพงปราการป้องกันศัตรูที่จะมารุกราน
1. ที่ราบสูงโคราช

2. แม่น้ำเจ้าพระยา

3. ป่าไม้

4. ดอยอินทนนท์

ตอบ 3 หน้า 495 พ่อค้าชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งบันทึกไว้ว่า ป่าไม้ของอาณาจักรอยุธยามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก กินพื้นที่มากว่าครึ่งของอาณาจักร และมีสภาพหนาทึบมากจนแทบจะผ่านเข้าไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงให้ความไว้วางใจแก่ป่าของตน เพราะเปรียบได้กับเป็นกำแงปราการป้องกันศัตรูที่จะมารุกรานได้

70. สมัยอยุธยา โค กระบือ มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนไทยมาก ยกเว้นข้อใด
1. ใช้เป็นแรงงานสำหรับไถนา

2. ใช้เป็นอาหาร

3. ใช้เป็นค่าปรับแทนเงินตรา

4. ใช้ขุดคลอง

ตอบ 4 หน้า 494 ในสมัยอยุธยา โคและกระบือมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของชาวไทยในสมัยนั้นมากได้แก่ เป็นแรงงานสำหรับไถนา ใช้เป็นอาหาร ใช้เป็นพาหนะขี่ ใช้เป็นค่าปรับแทนเงินตราได้และสามารถนำไปเล่นกีฬาที่เรียกว่า วิ่งวัววิ่งควาย

71. ตลาดอยุธยามีความสำคัญตามกฎหมายหลายข้อ ยกเว้นข้อใด
1. เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองผู้รับซื้อของโจร โดยไม่รู้ว่าเป็นโจร
2. เป็นสถานที่ให้พ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าต้องห้ามได้
3. เป็นสถานที่ให้นักโทษไปขออาหารรับประทานพร้อมผู้คุม
4. เป็นสถานที่ลงโทษผู้ทำผิดเกี่ยวกับการซื้อขาย

ตอบ 2 หน้า 497 ตลาดในสมัยอยุธยามีความสำคัญตามกฎหมายและมีคุณสมบัติพิเศษด้านต่างๆ ดังนี้
1. เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองผู้รับซื้อของโจรที่ไม่ทราบว่าเป็นของโจร
2. เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองจากการรีดไถ
3. เป็นสถานที่ลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการค้าขาย เช่น การขายสินค้าเกินราคาควบคุม, การขายสินค้าต้องห้าม, กรเก็บหัวเบี้ย (อากรตลาด) เกินพิกัดอัตรา ฯลฯ
4. เป็นสถานที่ที่นักโทษไปขออาหารรับประทานเพื่อยังชีพ
72. ชาวอยุธยามีหน้าที่อะไรต่อบ้านเมือง
1. ทำนาเพื่อผลิตข้าวให้มาก

2. ส่งข้าวออกเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประเทศ

3. ส่งอากรค่านาเพื่อนำไปทำนุบำรุงประเทศ

4. จัดประกวดเพื่อหาพันธุ์ข้าวคุณภาพดี

ตอบ 3 หน้า 492 หน้าที่ที่ชาวนาไทยสมัยอยุธยาพึงปฏิบัติต่อบ้านเมือง คือ เสียอากรค่านาให้แก่รัฐบาลเพื่อรัฐบาลจะได้นำไปทำนุบำรุงประเทศ โดยตามหลักฐานที่ปรากฏ ชาวนาไทยต้องเสียอากรค่านาในรูปของหางข้าว และในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ มีหลักฐานว่า เก็บอากรค่านาเป็นตั๋วเงินซึ่งมีพิกัดเก็บไร่ละ 1 สลึงต่อปี ต่อพื้นที่นา 40 ตารางวา

73. ชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาค้าขายกับไทยคือชาติใด
1. อังกฤษ

2. ฝรั่งเศส

3. ฮอลันดา

4. โปรตุเกส

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ

74. เหตุใดผู้ปกครองอยุธยาให้ความสำคัญกับการชลประทานน้อยที่สุด
1. อยุธยาอยู่ในเขตลมมรสุม มีฝนตกตามฤดูกาล

2. การสร้างงานชลประทานสิ้นเปลืองมาก

3. อยุธยายังไม่มีเทคโนโลยีตะวันตก

4. ผู้ปกครองไม่เห็นความสำคัญของชลประทาน

ตอบ 1 หน้า 488, 510, (คำบรรยาย) สิ่งที่ผู้ปกครองอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด ได้แก่เรื่องการชลประทาน เพราะสภาพภูมิประเทศของอาณาจักรมีแม่น้ำจำนวนมากและเอื้ออำนวยต่อระบบการทำ นาดีอยู่แล้ว กล่าวคือ ดินแดนอยู่ในเขตมรสุมจึงได้รับฝนจากลมมรสุมส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่าน อาณาจักร เวลาที่น้ำท่วมกลับนำปุ๋ยมาใส่ไร่นา

75. บันทึกของครอว์เฟิร์ดกล่าวว่า “ไม่มีประเทศใดในโลกที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้” เขาหมายถึงอาณาจักรใด
1. สุโขทัย

2. อยุธยา

3. ธนบุรี

4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 4 หน้า 517, (คำบรรยาย) อาณาจักรรัตนโกสินทร์มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีสภาพพื้นดินเอื้ออำนวยต่อการทำนา ทำสวน และทำไร่เป็นอย่างยิ่ง ดังหลักฐานบันทึกของ ครอว์เฟิร์ดที่กล่าวว่า “…คงจะไม่ผิดที่กล่าวว่า ไม่มีประเทศใดในโลกที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้…”

76. บึงบอระเพ็ดมีคุณสมบัติดีหลายข้อ สำหรับเป็นสถานีบำรุงสัตว์น้ำ ยกเว้นข้อใด
1. มีอาณาเขตกว้างขวาง

2. มีทางน้ำไหลเข้าออกหลายทาง

3. อยู่ใกล้กรุงเทพฯ

4. มีต้นหญ้าสำหรับวางไข่

ตอบ 3 หน้า 528 สาเหตุที่ให้บึงบอระเพ็ดเป็นสถานีบำรุงสัตว์น้ำมีดังนี้
1. เป็นบึงที่ตั้งอยู่ตอนกลาง มีอาณาเขตกว้างขวาง และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
2. มีทางน้ำไหลเข้าออกจากบึงรวมหลายสายไปสู่ลำน้ำน่าน
3. ในฤดูน้ำมีน้ำเต็มแทบทั่วทั้งบึง
4. อุดมไปด้วยที่อาศัยที่สมควรต่างๆ เช่น มีโขดและเนินดิน มีต้นหญ้าสำหรับวางไข่ และมีอาหารที่เป็นผักหญ้าและพืชอื่นๆ ซึ่งมาตามกระแสน้ำ

77. เหตุใดชาวจีนจึงมีบทบาทควบคุมการค้าภายในของไทย
1. มีมนุษยสัมพันธ์ดี

2.ไม่ต้องอยู่ในระบบไพร่

3. เป็นพ่อค้าคนกลางเชื่อมชนชั้นเจ้านายกับไพร่

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 537-538 สาเหตุที่พ่อค้าจีนมีบทบาทควบคุมการค้าภายในของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้แก่
1. ชาวจีนเป็นพ่อค้าคนกลางเชื่อมช่องว่างระหว่างชนชั้นเจ้านายกับไพร่
2. ชาวจีนไม่ต้องอยู่ในระบบไพร่และไม่ต้องเป็นทาส จึงประกอบอาชีพค้าขายได้ทุกแบบ
3. ชาวจีนได้อภิสิทธิ์เหนือพ่อค้าต่างชาติตะวันตกที่สามารถเดินทางทั่วพระราชอาณาจักรได้
4. ชาวจีนมีมนุษยสัมพันธ์ดีและเข้าใจหลักจิตวิทยาที่จะนำมาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ในทางการค้าของตน ฯลฯ

78. รัชกาลที่ 5 ทรงช่วยขยายพื้นที่ทำนาด้วยวิธีใด
1. ขุดคลองขยายเนื้อที่เพาะปลูก

2. พระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ให้ชาวนา

3. ช่วยหักร้างถางพง

4. ขยายกรรมสิทธิ์ถือครองที่นา

ตอบ 1 หน้า 519-521 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นสมัยที่มีการส่งเสริมและทำนุบำรุงการทำนาปลูกข้าวยิ่งกว่าสมัยใดๆ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริมในกิจกรรมการทำนาแทบ ทุกด้าน ดังนี้
1. การขุดคลองขยายเนื้อที่เพาะปลูก
2. การจัดหาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ
3. การจัดหาเครื่องมือทำนาที่ทันสมัย

79. สมัยรัตนโกสินทร์ เมืองใดเป็นศูนย์กลางการค้าดีบุก
1. จันทบุรี

2. นครราชสีมา

3. เพชรบุรี

4. ภูเก็ต

ตอบ 4 หน้า 533 แหล่งแร่ดีบุกของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์มีอยู่ 2 แห่ง คือ 1. หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก ได้แก่ เมืองระนอง ตะกั่วป่า กระบุรี ภูเก็ต สงขลา กระบี่ และตรังโยมีเมืองภูเก็ตเป็นศูนย์กลางการค้าดีบุก 2. ทางตะวันออกของอ่าวไทย ได้แก่ เมืองต่างๆ ที่อยู่มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี เช่น เมืองหนอจิก ยะหริ่ง ยะลา รามันท์ ระแงะ และสายบุรี โดยมีเมืองนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางการค้าดีบุก

80. รายรับส่วนใหญ่สมัยรัตนโกสินทร์ได้จากอะไร
1. ภาษีอากรของราษฎร
2. ผลกำไรจากการค้าสำเภากับจีน

3. ส่วนที่เก็บได้จากไพร่ส่วย

4. เงินผูกปี้ จากชาวจีน

ตอบ 2 หน้า 551, (คำบรรยาย) ราย รับส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ ผลกำไรที่ได้จากการค้าสำเภากับจีน ซึ่งเป็นการค้าแบบบรรณาการ ทั้งนี้เพราะระบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้าที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้ทำให้การค้าสำเภากับต่างประเทศกำไรให้แก่อาณาจักรไทยเป็นอันมากซึ่งวิธี การดังกล่าวก็ยังคงใช้มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

81. ข้อใดเป็นความเชื่ออันดับแรกของมนุษย์และวิวัฒนาการขั้นสุดท้าด้านความเชื่อของมนุษย์
1. การบูชาธรรมชาติ ” ละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล
2. การบูชาบรรพบุรุษ ” การนับถือเทพเจ้า
3. การบูชาเทพเจ้า ” การประกอบพิธีกรรม
4. การบูชาธรรมชาติ ” การประกอบพิธีกรรม

ตอบ 1 หน้า 570-571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอนดังนี้
1. การบูชาธรรมชาติ 2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม 3. การบูชาบรรพบุรุษ 4. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ 5. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของเทพเจ้าแต่ละองค์ให้ต่างกัน 6. การนับถือพระเจ้าองค์เดียว 7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทะศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก
82. การ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามประเพณีไทยจะมีทั้งพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์ และบัตรพลีผีสางเทวดาซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนความเชื่อและการนับถือศาสนา ต่างๆ ให้เข้ากันได้ และแสดงถึงการนับถือศาสนาต่างๆ ซ้อนกัน ซึ่งเปรียบได้กับรูปเจดีย์ ความเชื่อในข้อใดเป็นพื้นฐานเจดีย์
1. ศาสนาพุทธ

2. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดี

3. ผีสางเทวดา

4. ไสยศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 573 ชนชาติไทยแต่โบราณจะนับถือศาสนาต่างๆ ซ้อนกันประดุจรูปเจดีย์ คือ นับถือผีสางเทวดาเปรียบเหมือนเป็นพื้นฐานของเจดีย์ ถัดขึ้นไปก็เป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และสูงสุดก็คือ พระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนยอดเจดีย์ ซึ่งความเชื่อทั้ง 3 นี้จะมีการนับถือคละเคล้าปะปนกัน จนในที่สุดก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

83. พุทธศาสนาลัทธิใดที่เน้นการบูชารูปเคารพ การสวดอ้อนวอนและการประกอบพิธีกรรม จนทำให้มีลักษณะคล้ายศาสนาฮินดู
1. เถรวาท

2. มหายาน

3. วัชรยาน

4. ตันตระ

ตอบ 2 หน้า 576 พระพุทธศาสนาลัทธิมหายานจะบูชาพระโพธิสัตว์ เน้นการบูชารูปเคารพการสวดอ้อนวอน และการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทำให้ลัทธิมหายานมีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายกับศาสนาฮินดู (พราหมณ์) ซึ่งการเปลี่ยนแปลใหม่ๆ ของฝ่ายมหายานทำให้เป็นที่ยอมรับ นับถือของชนชั้นทุกวรรณะได้สะดวกขึ้น จนพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานเจริญแพร่หลายและมีศาสนิกชนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

84. วัดป่ามะม่วงเป็นวัดที่สร้างในเขตใด
1. พาราณสี

2. อัมพวนาราม

3. คามวาสี

4. อรัญญวาสี

ตอบ 4 หน้า 585 การสร้างวัดในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยส่วนใหญ่เป็นวัดเล็กและแบ่งการสร้างออกเป็น 2 เขต คือ
1. เขตคามวาสี คือ วัดที่สร้างอยู่ในหมู่บ้านหรือในเมือง
2. เขตอรัญญวาสี คือ วัดที่ปลูกสร้างไว้ในป่า เช่น วัดป่ามะม่วง วัดอรัญญิก เป็นต้น

85. ลัทธิมหายานเจริญอยู่ในสุโขทัย เห็นได้จากอะไร
1. ลัทธิเถรวาทหมดสิ้นไปจากสุโขทัย

2. พุทธเจดีย์ต่างๆ สร้างตามคติมหายาน

3. ใช้ภาษาสันสกฤตในพระธรรม

4. ถูกข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 576, 581, (คำบรรยาย) พุทธศาสนาลัทธิมหายานคงจะเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายและเจริญอยู่ในช่วงเวลา หนึ่งของสมัยสุโขทัย ทั้งนี้เพราะพุทธเจดีย์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยนั้นสร้างตามคติมหายานแทบทั้งสิ้น และพระธรรมก็ใช้อรรถภาษาสันสกฤตจนแพร่หลาย

86. สมัยพระบรมโกศ พระอุบาลีกับพระอริยมุนี ไปลังกาเพื่ออะไร
1. สร้างวัดไทยในลังกา

2. อัญเชิญพระศรีรัตนมหาธาตุจากลังกา

3. ให้การบรรพชาอุปสมบทแก่ชาวลังกา

4. ไปรับพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่อยุธยา

ตอบ 3 หน้า 595 ใน สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าเกียรติศิริราชสิงหะแห่งลังกาทรงเห็นว่าพระพุทธศาสนาลังกาสิ้นสม ณวงษ์ จึงทรงแต่ราชทูตเชิญพระราชสาสน์เข้ามาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อทูลของพระมหาเถระกับคณะสงฆ์ไทย คือ พระอุบาลีกับพระอริยมุนีและพระสงฆ์อีก 12 รูป เดินทางไปยังประเทศลังกาเพื่อไปให้การบรรพชาอุปสมบทแก่ชาวสิงหล (ลังกา)

87. การสร้างวัดในสมัยอยุธยามีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างจากสมัยสุโขทัย ลักษณะที่ว่านี้ได้แก่ลักษณะในข้อใด
1. มักมีการสร้างโบสถ์ทุกวัด

2. มีกรุใต้พระเจดีย์ใหญ่

3. เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียน

4. มีสถูปเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ

ตอบ 1 หน้า 591 การสร้างวัดในสมัยอยุธยามีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างจากสมัยสุโขทัย กล่าวคือ ทุกวัดมักมีการสร้างโบสถ์ด้วย (สมัยสุโขทัยมักไม่มีโบสถ์ทุกวัด) อาจเป็นเพราะสมัยอยุธยาความจำเป็นในการใช้โบสถ์มีมากขึ้น เนื่องจากการบวชเรียนถือเป็นประเพณีที่สำคัญและแพร่หลายจำนวนพระสงฆ์ก็มี เพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นการบรรจุอัฐิของวงศ์สกุลก็มักสร้างเป็นสถูปเจดีย์เรียงราย แทนที่จะบรรจุรวมกันในกรุใต้พระเจดีย์ใหญ่เหมือนอย่างสมัยสุโขทัย

88. กษัตริย์ที่ทรงออกผนวชขณะครองราชย์คือข้อใด
1. พระมหาธรรมราชาลิไทย

2. พระบรมไตรโลกนาถ

3. พระบรมโกศ

4. ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 584, 587-588, 954 การที่พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงเสด็จออกผนวชขณะครองราชย์ที่กรุงสุโขทัยครั้ง นั้น มีผลให้สมเด็จพระบรมไตรดลกนาถกษัตริย์ของไทยในสมัยอยุธยาโดยเสด็จพระราชนิยม ตาม โดยพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ที่ 2 ที่ออกผนวชขณะครองราชย์เป็นพระภิกษุ ณ วัดจุฬามณี จ.พิษณุโลก ในปี พ.ศ. 2008

89. กษัตริย์องค์ใดทรงตรา “กฎหมายพะสงฆ์” เป็นองค์แรก
1. รัชกาลที่ 1

2. รัชกาลที่ 2

3. รัชกาลที่ 3

4. รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 185-186, 598 รัชกาลที่ 1 ทรงตรากฎหมายสำหรับพระสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีที่เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เพื่อใช้บังคับลงโทษพระภิกษุสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรที่ไม่ประพฤติอยู่ในพระ ธรรมวินัยอันดี เนื่องจากในระยะนั้นมีพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยที่มีความประพฤติเสื่อมเสียต่างๆ จึงทรงประณามพระสงฆ์เหล่านั้นว่าเป็น “มหาโจรปล้นทำลายพระศาสนา”

90. รัชกาลที่ 2 ทรงฟื้นฟูการประกอบพิธีใดเป็นครั้งแรก
1. พิธีฉัตรมงคล

2. พิธีวิสาขบูชา

3. พิธีมาฆบูชา

4. พิธีอาสาฬหบูชา

ตอบ 2 หน้า 599-600 รัชกาลที่ 2 ทรงมีพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังนี้
1. การปฏิสังขรณ์วัด
2. การปฏิรูปการสอบพระปริยัติธรรม
3. การสร้างพระไตรปิฎกฉบับรดน้ำแดง
4. การส่งสมณทูตไปลังกา
5. การฟื้นฟูการประกอบพิธีวิสาขบูชาเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์
6. การเรียบเรียงหนังสือโอวาทานุศาสนี

91. ข้อใดไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อแสดงความเป็นธรรมราชาของรัชกาลที่ 3
1. การแจกหรือขายข้าวในราคาต่ำ
2. การสร้างและบำรุงวัด
3. การเก็บภาษีในท้องที่ข้าวยากหมากแพง
4. การสร้างเก๋งโรงทานเพื่อแจกทาน

ตอบ 3 หน้า 95, 601 ในสมัยรัชกาลที่ 3 กษัตริย์ทรงยึดหลักธรรมราชา คือ การที่ผู้นำทำนุบำรุงศาสนาและสมณชีพราหมณ์ รักษาศีล อบรมสั่งสอนศีลธรรมให้แก่ประชาชน และเอาใจใส่ทำนุบำรุงประชาชนมิให้มีการกดขี่ข่มเหงจนได้รับความเดือนร้อน ซึ่งปรากฏหลักฐานหลายแห่ง เช่น การสร้างและบำรุงวัด การสร้างเก๋งโรงทานเพื่อแจกทาน การงดเก็บภาษีจากราษฎรในท้องที่ข้าวยากหมากแพง และการแจกจ่ายหรือจำหน่ายข้าวในราคาต่ำ

92. การบวงสรวงและการบัตรพลีสังเวยเทวดาของชาวไทย ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของลักทธิในข้อใด
1. ศาสนาพุทธเถรวาท

2. ศาสนาพุทธมหายาน

3. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

4. ศาสนาอิสลาม

ตอบ 3 หน้า 640 ประเพณีไทยบางประเพณีมักมีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูผสมผสานอยู่ด้วย เช่น ประเพณีโกนจุกจะมีทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ ส่วนประเพณีทำบุญอายุและทำขวัญนอกจากจะทำบุญตามคติทางพระพุทธศาสนาแล้ว มักมีการบวงสรวงและทำบัตรพลีสังเวยเทวดาตามลักทธิศาสนาพราหมณ์อีกด้วย

93. ชนชาติแรกที่เข้ามาค้าขายและเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือชนชาติใด
1. โปรตุเกส

2. ฮอลันดา

3. อังกฤษ

4. ฝรั่งเศส

ตอบ 1 หน้า 640 โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับไทยตั้งแต่รัชกาล สมเด็จพระรามิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามาไทยมากขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชิราชที่ 4 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของตนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้า และเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิก

94. ข้อความในข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
1. ศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดูไม่มีสาสด

2. ศาสนาฮินดูนับถือพระเจ้าองค์เดียว

3. ศาสนาพราหมณ์นิยามบวงสรวงพระศิวะ

4. คำว่า “พราหมณ์” มาจากชื่อของศาสดาในศาสนาพราหมณ์

ตอบ 1 หน้า 636 ศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดา แต่เป็นศาสนาในรูปของปรัชญา และเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม (Polytheism) คือ มีการนับถือเทพเจ้าหลายองค์นอกจากนี้พิธีกรรมของศาสนาทั้ง 2 ก็จะแตกต่างกัน กล่าวคือ ศาสนาพราหมณ์นิยมการบูชาบวงสรวงต่อพระพรหมเป็นส่วนใหญ่ แต่ศาสนาฮินดูมีเทพเจ้ามากมายและมีฤทธ์เดชต่างกันจึงนิยมบูชาเทพเจ้าหลาย องค์แยกออกไปให้เป็นที่พอพระทัยของเทพแต่ละองค์

95. คำว่า “ปสาน” ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย หมายถึงตลาดที่มีห้องแถวเรียงติดต่อกันและขายของแห้งเป็นอิทธิพลที่ได้รับจากข้อใด
1. ขอม
2. พ่อค้าชาวพุกาม

3. ลังกา

4. พ่อค้ามุสลิมชาวเปอร์เชีย

ตอบ 4 หน้า 647 ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย มีคำว่า “ปสาน” สันนิษฐานว่าคงเป็นคำเดียวกับ “พาชัน” (Pasan) ซึ่งหมายถึง ตลาดที่มีห้องแถวเรียงติดต่อกันและขายของแห้ง ซึ่งเป็นอิทธิพลของพ่อค้ามุสลิมชาวเปอร์เชียที่ชำนาญและเก่งด้านการค้า และอาจเป็นคำเดียวกับคำว่า “บาซาร์” และคำอื่นๆ อีกที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

96. ข้อใดเป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม
1. ขนบประเพณี

2. ธรรมเนียมประเพณี

3. จารีตประเพณี

4. วัฒนธรรมประเพณี

ตอบ 3 หน้า 653-654 ประเพณีโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะดังนี้
1. จารีตประเพณี หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมซึ่งมีค่าแก่สังคมโดยส่วนรวม
2. ขนบประเพณี หรือระเบียบประเพณี หมายถึง ประเพณีที่มีระเบียบแบบแผนซึ่งอาจกำหนดไว้โดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้
3. ธรรมเนียม ประเพณี หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวกับเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่มีผิดถูกดีชั่ว และไม่มีระเบียบแบบแผน หรือเป็นประเพณีที่มีผู้กำหนดขึ้นและเป็นที่ยอมรับในสังคม เช่น การพูดจา มารยาทในสังคม การแสดงความเคารพ ฯลฯ

97. ประเพณีที่มีผู้กำหนดขึ้นและเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น การแสดดงความเคารพ จัดเป็นประเพณีในข้อใด
1. ขนบประเพณี

2. ธรรมเนียมประเพณี

3. จารีตประเพณี

4. วัฒนธรรมประเพณี

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98. ข้อใดเป็นประเพณีเกี่ยวกับชีวิต
1. คนโบราณเวลาจะคลอด ซื้อตุ๊กตามาทำพิธียกให้ผี ผีจะได้เอาตุ๊กตาไปแทนเด็ก

2. การแต่งงานภายหลังได้บวชเรียนแล้ว

3. การทำพิธีโกนจุกเมื่อเด็ก 11-15 ปี

4. 4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 655-658 ประเพณีส่วนบุคคลหรือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ได้แก่ ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนไทย ซึ่งอาจเรียกว่าประเพณีครอบครัวก็ได้ เช่น ประเพณีการเกิดที่คนโบราณเวลาจะคลอดลูก ซื้อตุ๊กตามาทำพิธียกให้ผี ผีจะได้เอาตุ๊กตาไปแทนเด็ก, ประเพณีการโกนจุกเมื่อเด็กอายุ 11-15 ปี, ประเพณีการบวชเณร, ประเพณีการอุปสมบท, ประเพณีการแต่งงานภายหลังได้บวชเรียนแล้ว, ประเพณีการตาย และประเพณีการเผาศพ

99. วันปีใหม่ของไทยตามทางสุริยคติ ตรงกับวันในข้อใด
1. วันที่ 1 มกราคม

2. วันที่ 13 เมษายน

3. วันตรุษไทย

4. วันสารทไทย

ตอบ 2 หน้า 661-662 วันสงกรานต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 13 เมษายน เป็นวันปีใหม่ของไทยตามทางสุริยคติ (นับตามทางพระอาทิตย์ คือ โลกที่เราอยู่นี้หมุนไป 1 รอบดวงอาทิตย์ก็เป็น 1 ปี) ซึ่งประเทศไทยกำหนดให้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่มาตั้งแต่สมัยกรุง สุโขทัยเป็นราชินีจนถึง พ.ศ. 2483 ทางราชการจึงได้เปลี่ยนใหม่ โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับหลักสากลที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติกัน

100. พิธีในข้อใดเป็นพิธีทางพุทธศาสนา
1. พิธีแรกนา

2. พิธีจรดพระนังคัล

3. พิธีพืชมงคล

4. พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

ตอบ 3 หน้า 640, 668 พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล แต่เดิมมีเพียงพิธีพราหมณ์ย่างเดียว เรียกว่า “พิธีจรดพระนังคัล” เป็นพิธีเวลาเช้า คือ ลงมือไถ แต่ก่อนทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ตามคติพระพุทธศาสนาขึ้นอีก เรียกว่า “พิธีพืชมงคล” คือ การทำขวัญพืช ซึ่งทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร โดยพิธีทั้งสองนี้จะทำพร้อมกันในคืนเดียววันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่า พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

101. ข้อใดแสดงว่า ศิลปกรรมสมัยทวารวดีสะท้อนการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท
1. จารึกอักษรปัลลวะ
2. จารึกคาถาเย ธัมมา
3. จารึกอักษรอินเดียใต้
4. จารรึกภาสันสกฤต

ตอบ 2 หน้า 285 วัฒนธรรมทวารวดีมีการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท พุทธศาสนามหายานและศาสนาฮินดู แต่ศิลปะที่พบมักจะแสดงพุทธศิลป์นิกายเถรวาท (หินยาน) มากที่สุดโดยหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท คือ จารึกคาถา “เย ธัมมา” และจารึกอื่นๆ ที่เป็นภาษาบาลี ซึ่งใช้เฉพาะพุทธศาสนาเถรวาท รวมทั้งงานประติมากรรมอื่นในพุทธศาสนาเถรวาทที่พบอยู่ทั่วไป

102. ศิลปกรรมก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ในประเทศไทย แบบใดใช้ศึกษาเกี่ยวกับสาสนาฮินดูได้ดีเป็นพิเศษ
1. ทวารวดี

2. ศรีวิชัย

3. เทวรูปรุ่นเก่า

4. ลพบุรี

ตอบ 3 หน้า 683, 691 ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นก่า (พุทธศตวรรษที่ 12-14) เป็นประติมากรรมอีกรูปแบบหนึ่งที่บ่งถึงการแพร่วัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดีย มาสู่เมืองต่างๆ ตามชายฝั่งมหาสมุทรทางภาคใต้ของประเทศไทย ส่วนใหญ่มักสร้างขึ้นในศาสนาฮินดู ร่วมยุคกับศิลปะทวารวดีที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา ซึ่งในบางพื้นที่ได้พบอยู่ควบคู่กัน แต่เนื่องจากลักษระพระพักตร์ของเทวรูปแตกต่างไปจากพระพุทธรูปทวารวดี จึงแยกศิลปะแบบ เทวรูปรุ่นเก่าออกต่างหากจากศิลปะทวารวดี

103. อาณาจักรโถโลโปตี้ อยู่ทางทิศตะวันตกของ………………และทิศตะวันออกของ……….
1. เจนละ, จัมปา

2. นามเวียต, ศรีวิชัย

3. อิศานปุระ, ศรีเกษตร

4. ศรีจนาศะ, ฟูนัน

ตอบ 3 หน้า 684 ตามบันทึกการเดินทางของหลวงจีนเหี้ยนจัง (Hiun Tsang) หรือพระถังชำจั๋งซึ่งได้เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียในปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ได้กล่าวถึงอาณาจักรชื่อโถโลโปตี้ (To-lo-po-ti) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของอิศานปุระ (กัมพูชาปัจจุบัน) และทิศตะวันออกของศรีเกษตร (พม่าปัจจุบัน) ซึ่งนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าชื่อนี้ตรงกับ คำว่า “ทวารวดี” ในภาสันสกฤต

104. ข้อใดไม่ใช่แหล่งตัวอย่างศิลปกรรมแบบทวารวดีที่ชัดเจน
1. นครปฐม, ราชบุรี

2. กาฬสินธุ์, มหาสารคาม

3. สุราษฏร์ธานี, นครศรีธรรมราช

4. สุพรรณบุรี, ลพบุรี

ตอบ 3 หน้า 684 วัฒนธรรมทวารวดีเจริญขึ้นในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งจะพบศิลปกรรมแบบทวารวดีกระจายอยู่ทั่วไป โดยบริเวณตอนกลางของประเทศพบมากที่นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี และลพบุรี ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบมากที่เมืองฟ้า-แดดสูงยางในจังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม และนครราชสีมา นอกจากนี้ยังพบบ้างในภาคใต้ที่สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช แต่ศิลปะกรรมที่พบจะมีไม่มากนัก

105. ตัวอย่างแหล่งนับถือพุทธศาสนามหายานของศิลปะแบบทวารวดี คือข้อใด
1. ถ้ำถมอรัตน์ เมืองศรีเทพ เพชรบูรณ์

2. งานปูนปั้นประดับสถูป เมืองคูบัว ราชบุรี

3. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เมืองสิงห์ กาญจนบุรี

4. ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 685 การพบประติมากรรมพระโพธิสัตว์ในเขตวัฒนธรรมทวารวดี เช่น ที่ถ้ำถมอรัตน์เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และงานปูนปั้นประดับสถูปที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี แสดงว่าบริเวณดังกล่าวเคยมีการนับถือศาสนาพุทธมหายาน เนื่องจากพุทธศาสนามหายานนับถือพระโพธิสัตว์ว่ามีความสำคัญเทียบเท่าพระ พุทธเจ้า

106. ศิลปกรรมศรีวิชัยสร้างขึ้นเพราะนับถือพุทธศาสนามหายาน อะไรเป็นสิ่งยืนยันในเรื่องนี้
1. พระโพธิสัตวือวโลกิเตศวร

2. พระวิษณุสวมหมวกแขกทรงกระบอก

3. สถาปัตยกรรมทรงปราสาท

4. จิตรกรรมเรื่องราวของพระศรีอาริยเมตไตรย

ตอบ 1 หน้า 685, 694-695 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) เกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งศิลปกรรมศรีวิชัยที่ทำขึ้นส่วนใหญ่จะเนื่องมาแต่พุทธศาสนามหายานทั้ง สิ้นโดยเฉพาะความนิยมสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ประจำกัลป์ปัจจุบันทั้งนี้ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโล กิเตศวรที่มีลักษณะศิลปะงดงามแต่มีเพียงครึ่งองค์ คือ พระอวโลกิเตศวรสำริด พบที่หน้าวัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

107. ความนิยมเป็นพิเศษของพระพุทธรูปแบบลพบุรี คือข้อใด
1. พระพุทธรูปปางไสยาสน์

2. พระพุทธรูปปางนาคปรก

3. พระพุทธรูปปางเสด็จจากดาวดึงส์

4. พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา

ตอบ 2 หน้า 700-701, (คำบรรยาย) ประติมากรรมสมัยลพบุรีที่มีความนิยมเป็นพิเศษ คือ พระพุทธรูปปางนาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนาดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งปางสมาธิขัดสมาธิราบ ซึ่งมักจะสลักด้วยศิลาทราย ส่วนแบบที่หล่อด้วยสำริดมักจะเป็นพระพุทธรูปขนาดเล็กโดยมีลักษณะเฉพาะ คือ มักสร้างเป็นพระพุทธรูปองค์เดียว หรือหลายองค์อยู่เหนือฐานเดียวกัน

108. ข้อใดไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบลพบุรี
1. พระปรางค์วัดพระพายหลวง
2. พระปรางค์วัดราชบูรณะ

3. ศาลตาผาแดง

4. ปราสาทวัดเจ้าจันทร์

ตอบ 2 หน้า 699-700, 723, (คำบรรยาย) อิทธิพลของศิลปะลพบุรีไม่ได้พบแต่ในเขตเมืองละโว้ (ลพบุรี) เท่านั้น แต่กลับพบในบริเวณเมืองต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย เช่น พระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี, ปราสาทแบบขอมที่วัดกำแพงแลง จ.เพชรบุรี,กำแพงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุและซุ้มพระพุทธรูป จ.ราชบุรี, ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี, พระปรางค์วัดพระพายหลวงศาลตาผาแดง ต.เมืองเก่า อ.เมือง และปราสาทวัดเจ้าจันทร์ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ฯลฯ (ส่วนพระปรางค์วัดราชบูรณะ จ.อยุธยา เป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น)

109. ข้อใดคือตัวอย่างศิลปกรรมแบบลพบุรี
1. พระหริหระ
2. พระตรีกาย

3. พระรัตนตรัยมหายาน

4. ถูกข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 701 พระพิมพ์ในสมัยลพบุรี มีทั้งที่ทำด้วยดินเผาและโลหะ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 ลงมา โดยมักมีรูปพระปรางค์เข้ามาประกอบเสมอ บางครั้งทำเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งในปรางค์ทั้งสามองค์ อันอาจหมายถึง พระตรีกายในศาสนาพุทธมหายาน หรือเป็นแบบพระรัตนตรัยมหายาน คือ ทำเป็นพระพุทธเจ้าอยู่กลาง มีนาคปรก และมีพระอวโลกิเตศวร อยุ่เบื้องขวา มีนางปัญญาบารมีอยู่เบื้องซ้าย

110. ลักษณะของศิลปะแบบหริภุญชัย
1. นิยมพระพุทธรูปสลักจากศิลาทราย

2. มีลักษณะร่วมกับพระพุทธรูปแบบสิงห์ 2

3. ศูนย์กลางอยู่เมืองเชียงแสน

4. สะท้อนการผสมผสานระหว่างขอมกับสุโขทัย

ตอบ 1 หน้า 703-705 ลักษณะของศิลปะแบบหริภุญชัยมีดังนี้
1. มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหริภุญชัย หรือจังหวัดลำพูนในปัจจุบัน
2. มีความเกี่ยวข้องกับศิลปกรรมทวารวดี ศิลปกรรมขอมในประเทศไทย และศิลปกรรมพุมกาม
3. นิยม พระพุทธรูปที่สลักจากหินทราบหรือศิลาทราย งานปูนปั้นที่มีแกนโกลนด้วยศิลาแลงและงานดินเผาที่ทำจากแม่พิมพ์ ส่วนงานหล่อสำริดที่พบมีอยู่น้อยมาก
4. พระพุทธรูปมีลักษณะเป็นแบบเฉพาะของตน คือ แสดงลักษณะพื้นเมืองอย่างเด่นชัดฯลฯ

111. พุทธลักษณะของพระพุทธสิหิงค์ วัดพระสิงห์ คือข้อใด
1. พระพักตร์กลม
2. พระรัศมีเป็นเปลว
3. ปางปฐมเทศนา
4. สลักจากมรกต

ตอบ 1 หน้า 716, (คำบรรยาย) พระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ที่วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ เป็นตัวอย่างพระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นแรกหรือเชียงแสนสิงห์หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของแบบเชียงแสนอย่างแท้จริง คือ พระพักตร์กลม อมยิ้ม พระรัศมีเป็นรูปบัวตูมหรือลูกกลม พระวรกายอวบอ้วนประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ชายสังฆฏิสั้นเหนือพระถัน

112. ในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ เขียนจิตรกรรมสำคัญเรื่องอะไร
1. เรื่องปลาบู่ทอง

2. เรื่องหงส์ทอง

3. เรื่องสังข์ทอง

4. เรื่องพรหมจักร

ตอบ 3 หน้า 717, (คำบรรยาย) จิตรกรรมสมัยล้านนาที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใหญ่เป็นงานที่อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 เช่น จิตรกรรมในวิหารลายคำที่วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ เขียนภาพเรื่องสุวรรณหงส์ที่ผนังด้านขวาของพระประธาน ส่วนผนังด้านซ้ายของพระประธานเขียนภาพเรื่องสังข์ทอง ซึ่งสามารถสังเกตลักษณะท้องถิ่นได้ชัดเจน

113. ข้อใดแตกต่างไปจากข้ออื่น
1. พระธาตุดอยสุเทพ
2. พระธาตุลำปางหลวง

3. พระตุหริภุญชัย

4. พระธาตุพนม

ตอบ 4 หน้า 710, 715-716, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมสมัยเชียงแสนหรือล้านนาไทย (มักเรียกว่าพระธาตุ) ส่วนใหญ่จะนิยมสร้างตามแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมสุโขทัย คือ เป็นเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงกลมแบบลังกา แต่มีฐานสูงย่อมุม มีปล้องไฉน และต้องปิดทองทั้งองค์พระธาตุจึงมักพบเห็นเจดีย์แบบนี้อยู่หลายแห่งทางภาค เหนือของไทย เช่น พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่, พระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง, พระธาตุหริภุยชัย จ.ลำพูน ฯลฯ (ส่วนพระธาตุพนม จ.นครพนม อาจอยู่ในสมัยเดียวกับศิลปะทวารวดี)

114. ข้อใดไม่ใช่รูปแบบเฉพาะของเจดีย์แบบสุโขทัย
1. เจดีย์ทรงปราสาทยอด
2. เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม

3. เจดีย์ทรงระฆังฐานสูง

4. ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 3 หน้า 710, (คำบรรยาย) เจดีย์ประธานในสมัยสุโขทัยมีรูปแบบเฉพาะอยู่ 3 แบบ คือ
1. เจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง หรือทรงปราสาทห้ายอด
2. เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสุโขทัย
3. เจดีย์ทรงระฆัง หรือทรงกลมแบบลังกา

115. พระปรานในวัดพนัญเชิง คือ พระพุทธรัตนไตรนายก มีลักษณะแบบใด
1. อู่ทองรุ่น 1

2. อุ่ทองรุ่น 2

3. อู่ทองรุ่น 3

4. อยุธยาแบบทรงเครื่อง

ตอบ 2 หน้า 590, 720, (คำบรรยาย) พระเจ้าพนัญเชิง (หลวงพ่อโต) หรือ พระพุทธรัตนไตรนายกเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ประดิษบานเป็นพระประธานอยู่ภายในวิหารวัดพนัญเชิง จ.อยุธยาซึ่งตามหลักฐานปรากฏว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1867 ก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา 25 ปี โดยลักษระของพระพุทธรูปจะเป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทองรุ่น 2 ที่มีอิทธิพลของศิลปะขอมหรือลพบุรีมากยิ่งขึ้น

116. วัดใดไม่มีเจดีย์ทรงปรางค์
1. วัดพุทไธสวรรย์

2. วัดมหาธาตุ

3. วัดใหญ่ไชยมงคล

4. วัดพระราม

ตอบ 3 หน้า 723 ในสมัยอยุธยาตอนต้นจะนิยมสร้างเจดีย์ทรงปรางค์ หรือเรียกสั้นๆ ว่าปรางค์โดยพระสถูปอันเป็นประธานของพระอารามมักสร้างเป็นปรางค์อย่างแบบ ลพบุรีหรือแบบอู่ทองมากกว่าแบบสุโขทัย เช่น พระปรางค์ที่วัดพุทธไธสวรรย์ พระปรางค์วัดพระราม พระปรางค์วัดมหาธาตุ และพระปรางค์วัดราชบูรณะ จ.อยุธยา

117. ตัวอย่างสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง คือแหล่งใด
1. วัดไชยวัฒนาราม

2. วัดพระศรีสรรเพชญ

3. วัดหน้าพระเมรุ

4. วัดธรรมิกราช

ตอบ 2 หน้า 724 ในสมัยอยุธยาตอนกลาง เจดีย์ที่เป็นหลักของพระอารามมักจะสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หรือที่เรียกกันว่าเจดีย์ทรงระฆังตามแบบของสุโขทัย เช่น พระเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ในวัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งสร้างใน พ.ศ. 2035 ตรงกับรัชสมัยพระรามาธิบดีที่ 2

118. เครื่องประดับตกแต่งสาสนาสถานสมัยรัตนโกสินทร์ คืออะไร
1. ตุ๊กตาหินแบบจีน

2. สัตว์หิมพานต์

3. พญายักษ์ในรามเกียรติ์

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คำ บรรยาย) ประติมากรรมที่ใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งศาสนสถานในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่รูปจำหลักหินหรือตุ๊กตาหินแบบจีน ซึ่งใช้ประดับในบริเวณวัดที่สร้างหรือบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ก็ยังมีพวกสัตว์หิมพานต์ในวรรณคดี เช่น ครุฑ กินรี พญายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ ฯลฯ

119. พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม สะท้อนคติใด
1. วัดกลางราชธานี

2. การจำลองจักรวาล

3. เทวโลกชั้นฟ้า

4. เขตแดนท้าวจตุโลกบาล

ตอบ 2 หน้า 730, (คำบรรยาย) พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ถือเป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์ทรงปรางค์สมัยรัตนโกสินทร์ และเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อจำลองจักรวาลหรือแสดงคติจักร วาลศึกาเรื่องเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่เทียบได้กับพระมหาธาตุจุฬามณี เจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

120. พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ที่สำคัญ คือข้อใด
1. พระศรีศากยมุนี

2. พระตรีโลกเชษฐ์

3. พระพุทธชินสีห์

4. พระศรีศาสดา

ตอบ 2 หน้า 599, (คำบรรยาย) พระตรีโลกเชษฐ์ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในบรรดาที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยรัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้สร้างขึ้นเป็นปางมารวิชัย มีหน้าตักกว้าง 10 ศอก 8 นิ้ว ปัจจุบันประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม (นอกจากพระตรีโลกเชษฐ์แล้ว วัดสุทัศน์ฯ ยังมีพระปรานประดิษฐานอยู่อีก 2 องค์ คือ พระศรีศากยมุนีในพระวิหารหลวง และพระพุทธเสฎฐมุนีในศาลาการเปรียญ)

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. เพราะเหตุใดทฤษฏีเกี่ยวกับถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยส่วนใหญ่จึงเชื่อว่า คนไทยมาจากทางตอนใต้ของจีน
1. เพราะนักวิชาการส่วนใหญ่ศึกษาจากภาษาและวัฒนธรรม
2. เพราะมีการศึกษาจากหมู่เลือด
3. เพราะมีการศึกษาจากหลักฐานทางโบราณคดี
4. เพราะมีตำนานเล่าขาน

ตอบ 1 หน้า 4-5 นักวิชาการที่สนับสนุนทฤษฎีคนไทยมาจากทางตอนใต้ของจีน ได้ใช้หลักฐานจากการศึกษาลักษณะภาษาและวัฒนธรรมของชนชาติไทย ตลอดจนเอกสารโบราณของจีนที่ได้กล่าวถึงชนกลุ่มน้อยต่างๆ โดยพวกเขาเชื่อว่าชนชาติไทจัดอยู่ในกลุ่มชนที่เรียกว่า “เยว่” (Yueh) ซึ่งอยู่กันหนาแน่นในเขตภาคใต้ของจีนตั้งแต่ยูนนานไปทางตะวันออกถึงกวางตุ้ง กวางสี
2. การทำกลองมโหระทึก เป็นวัฒนธรรมของคนกลุ่มใด
1. มอญ
2. เขมร
3. จ้วง
4. พม่า
ตอบ 3 หน้า 5-7 จ้วง จัดอยู่ในกลุ่มชนที่พูดภาษาไทย และรวมอยู่ในชนเผ่าต่างๆ ที่จีนเรียกรวมกันว่า “เยว่” ซึ่งเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเยว่ ได้แก่ การสักตามร่างกาย ทาฟันดำทำกลองมโหระทึก ปลูกข้าวนาดำ ใช้ช้างเป็นพาหนะ และอยู่บ้านใต้ถุนสูง

3. ข้อใดคือวัฒนธรรมอินเดียที่เข้ามาในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์
1. การปลูกข้าว
2. การนับถือผี
3. การสร้างบ้าน
4. พระพุทธศาสนา
ตอบ 4 หน้า 11-13 วัฒนธรรมอินเดีย ถือเป็นวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณมากที่สุด ซึ่งวัฒนธรรมอินเดียที่รับเข้ามาใช้ผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยในสมัย แรกเริ่มประวัติศาสตร์ ได้แก่ 1. วัฒนธรรมทางด้านศาสนาพุทธและพราหมณ์ 2. วัฒนธรรมทางด้านภาษาและวรรณคดี 3. วัฒนธรรมทางด้านการปกครอง 4. วัฒนธรรมทางด้านศิลปกรรม

4. “ทวารวดี” มีศูนย์กลางอยู่ที่ใด
1. ภาคเหนือตอนบน
2. ภาคอีสาน
3. ภาคกลาง
4. ภาคใต้
ตอบ 3 หน้า 684, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมทวารวดีเจริญขึ้นในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเชื่อกันว่าศูนย์กลางอาณาจักรทวารวดีอยู่ในภาคกลางที่จังหวัดนครปฐม เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีการค้นพบโบราณวัตถุสถานและประติมากรรมสมัยทวารวดี เป็นจำนวนมากกว่าจังหวัดใดๆ

5. ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15 เวียงจันทน์เคยเป็นศูนย์กลางของแคว้นใด
1. ศรีจนาศะ
2. อีสานปุระ
3. ศรีโคตรบูร
4. หริภุญไชย
ตอบ 3 หน้า 14 แคว้นศรีโคตรบูรหรือแคว้นโคตรบอง เจริญขึ้นมาในเขตแอ่งสกลนคร ราวช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15 โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เวียงจันทน์ ซึ่งนักวิชาการเชื่อว่าแคว้นนี้เป็นแคว้นของคนไทย

6. พุทธศาสนานิกายมหายาน เจริญรุ่งเรืองในแคว้นใด
1. ทวารวดี
2. ศรีวิชัย
3. อีสานปุระ
4. หริภุญไชย
ตอบ 2 หน้า 15 แคว้นศรีวิชัย เจริญขึ้นตั้งแต่ประมารพุทธศตวรรษที่ 12-18 ในบริเวณที่เป็นจง สุราษฎร์ ธานี และนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน โดยมีฐานะเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้ ทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อระหว่างอินเดียและจีน ทำให้รับวัฒนธรรมอินเดียเอาไว้หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธสาสนานิกายมหายานเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากสวนศาสนา ฮินดูก็มีผู้นับถือเช่นกัน

7. แคว้นใดในเขตภาคกลางของประเทศไทยที่รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรอย่างชัดเจนที่สุด
1. ละโว้
2. ทวารวดี
3. เชลียง
4. สุพรรณภูมิ
ตอบ 1 หน้า 15 แคว้นละโว้หรือกัมโพช มีศูนย์กลางสำคัญอยู่ในเขตภาคกลางที่เมืองละโว้หรือลพบุรีโดยเชื่อกันว่า กัมโพชอยู่ใต้อำนาจทางการเมืองของอาณาจักรกัมพูชาแห่งเมืองพระนคร ในสมัยที่กัมพูชามีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาปกครอง ทำให้วัฒนธรรมและศิลปกรรมและแบบเขมรเข้ามามีอิทธิพลอย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า ศิลปะลพบุรี

8. เพราะเหตุใดแคว้นเชลียงจึงเจริญขึ้นมาในราวพุทธศตวรรษที่ 17
1. เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล มีสำเภามาจอดเทียบท่าจำนวนมาก
2. เพราะเป็นที่ชุมนุมเส้นทางการค้าในดินแดนตอนในของประเทศไทยในปัจจุบัน
3. เพราะเป็นศูนย์กลางพระพุทธสาสนาที่สำคัญ
4. เพราะสามารถโจมตีแว่นแคว้นโดยรอบเอาไว้ได้
ตอบ 2 หน้า 18 แคว้นเชลียงในเขตลุ่มน้ำยม เจริญขึ้นมาในราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในฐานะเป็นที่ชุมนุมเส้นทางคมนาคมเพื่อการค้าขายในดินแดนตอนในของประเทศไทย ปัจจุบัน ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีได้ชี้ให้เห็นว่าเชลียงมีการติดต่อค้าขายกับ อาณาจักรต่างๆ อย่างกว้างขวาและเครื่องถ้วยเชลียงเริ่มส่งเป็นสินค้าออกตั้งแต่ราวพุทธ ศตวรรษที่ 19

9. ข้อใดหมายถึงพระยามังราย
1. เป็นผู้สร้างเมืองเชียงใหม่
2. มีบรรพบุรุษคือ ลาวจก
3. เป็นสหายกับพ่อขุนรามคำแหง
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 20, 31, (คำบรรยาย) พระยามังราย มีบรรพบุรุษ คือ ราชวงศ์ลาวจก ผู้ซึ่งสถาปนาแคว้นเงินยางเชียงแสน โดยในสมัยของพระยามังรายได้ตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้น และมีนโยบายเป็นพันธมิตรกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย รวมทั้งพะเยา เพื่อต่อต้านการคุกคามของมองโกลจนสามารถสร้างเมืองเชียงใหม่ได้ใน พ.ศ. 1339 แต่เชียงใหม่จะอยู่ในฐานะเมืองหลวงของล้านนาได้ก็ตั้งแต่ พ.ศ. 1879 เป็นต้นไป

10. ช่วงเวลาใดที่สุโขทัยมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง
1. สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
2. สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
3. สมัยพญาลิไทย
4. ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 27, 29 ช่วงเวลาที่สุโขทัยมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมีอยู่ 2 สมัย ได้แก่
1. สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งสุโขทัยขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวางในเวลา อันรวมเร็ว โดยมีความเจริญสูงทั้งทางด้านศาสนาและเศรษฐกิจ
2. สมัย พญาลิไทย ซึ่งสุโขทัยได้รวบรวมอาราจักรและสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาใหม่แม้อาณาเขตจะ ไม่กว้างขวางเท่าสมัยพ่อขุนรามคำแหง แต่ก็มีความรุ่งเรืองทางศาสนาและวรรณกรรม

11. ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบทหาร
1. ใช้การปกครองแบบเข้มงวดและเด็ดขาด
2. ข้าราชการทุกคนต้องเป็นทหารทั้งในยามสงบและสงคราม
3. ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึก
4. สมุหกลาโหมมีอำนาจสูงสุด

ตอบ 3 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกราบได้ยามมีศึก ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีรากฐานมาจากประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็นทหารประจำการและพลเรือนได้

12. ประชากรมีจำนวนจำกัด มีผลต่อการปกครองอย่างไร
1. ทำให้เกิดการเกณฑ์แรงงาน
2. ทำให้มีการปกครองแบบทหาร
3. ทำให้มีกรมทหารอาสา
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 102, 154, 336-377 ในสมัยสุโขทัย อยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ ประชากรของอาณาจักรมีจำนวนจำกัด ทำให้เกิดการปกครองเพื่อให้รัฐสามารถใช้แรงงานประชากรได้อย่างเต็มที่และทัน ต่อเวลา ได้แก่ 1. การปกครองแบบทหาร 2. ระบบไพร่ ซึ่งเป็นระบบการควบคุมและเกณฑ์แรงงานที่มีประสิทธิภาพ 3. กรมทหารอาสา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

13. การปกครองแบบนครรัฐมีความหมายตรงกับคำตอบข้อใด
1. มีการรวมศูนย์อำนาจที่นครรัฐใหญ่
2. แว่นแคว้นมีการรวมตัวอย่างเหนียวแน่นเข้าด้วยกัน
3. เมืองต่างๆ มีลักษณะเป็นอิสระดุจเป็นรัฐๆ หนึ่ง
4. เมืองหลวงสนับสนุนให้เมืองเล็กแยกตัวออกไปตั้งเป็นรัฐ
ตอบ 3 หน้า 104-105, 160, (คำบรรยาย การปกครองแบบนครรัฐ (City State) คือ การที่เมืองหรือนครต่างๆ มีลักษณะเป็นอิสระดุจเป็นรัฐของตัวเอง แว่นแคว้นจึงมีการรวมตัวกันแต่เพียงหลวมๆ ในลักษณะสมาพันธรัฐ ทำให้การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพซึ่งจะส่งผลให้เจ้าเมือง ชั้นนอก (เมืองลูกหลวง) มีอิสระเป็นอย่างมากจากเมืองหลวง และอาจแยกตัวเป็นอิสระหรือเข้ามาแย่งชิงอำนาจเมื่อเมืองเหลวงอ่อนแอ เช่น การปกครองส่วนภูมิภาคของสุโขทัย ล้านนา และอยุธยาตอนต้น

14. หลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ เรียกว่าอะไร
1. ทำเนียบศักดินา
2. กฎมณเฑียรบาล
3. พระราชกำหนด
4. พระไยการตำแหน่งนาพลเรือน
ตอบ 2 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงสุดดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ “กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรกที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหา กษัตริยือยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลัก ปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

15. ในสมัยอยุธยา พระราชพิธีใดที่ข้าราชการต้องถวายสักการะพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย
1. บรมราชาภิเษก
2. ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
3. ฟันน้ำ
4. จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
ตอบ 2 หน้า 126 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยู่ในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัยดังหลักฐานจากพระ ราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ ข้าราชการต้องถวายสักการะพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูปของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองค์)

16. ปัจจัยสำคัญข้อใดที่ทำให้อยุธยาสามารถเจริญก้าวหน้าเหนืออาณาจักรไทยอื่นๆ
1. เพราะกษัตริย์อยุธยานิยมทำสงครามธรรมยุทธ์

2. เพราะราษฎรมีอิสระจากการถูกเกณฑ์แรงงาน

3. มีชัยภูมิที่เหมาะสม

4. เพราะมีนโยบายกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 2 หน้า 47 ปัจจัยสำคัญในด้านอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ทำให้อยุธยาเจริญก้าวหน้าเหนืออาณาจักรไทยอื่นๆ มีดังนี้ 1. มีที่ตั้งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ 2. ความสามารถของพระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้นำในการสงครามและการปกครอง 3. มีระบบการเกณฑ์แรงงานประชาชนอย่างรัดกุม 4. อาณาจักรโดยรอบอยุธยาอยู่ในสภาพอ่อนแอ ทำให้อยุธยาไม่มีศัตรูที่จะเข้ามาคุกคาม

17. ข้อใดคือความสำคัญของธรรมศาสตร์
1. เป็นกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยา
2. เป็นแม่บทของการปกครองแบบจตุสดมภ์
3. เป็นแม่บทของราชศาสตร์
4. เป็นหลักกฎหมายที่ลอกเลียนจากราชศาสตร์
ตอบ 3 หน้า 134-135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่
1. พระ ธรรมศาสตร์ ถือเป็นกฎหมายหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด แต่กฎหมายธรรมศาสตร์ก็ไม่สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักร อยุธยาได้ทั้งหมด
2. พระ ราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดและพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นผู้ตราขึ้นโดยใช้พระธรรมศาสตร์เป็นแม่บท จะใช้เมื่อมีกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ในพระธรรมศาสตร์ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าราชศาสตร์เป็นสาขาคดีของธรรมศาสตร์

18. การปกครองแบบทหารยกเลิกไปเพราะเหตุใด

1. เพราะรัฐมีนโยบายกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

2. เพราะมีพลเมืองจำนวนจำกัด

3. เพราะมีกำลังทหารอาสาต่างชาติ

4. เพราะมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 4 หน้า 224, 426-427 การปกครองแบบทหารยกเลิกไปเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ 5) โดยมีการออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 ขึ้นใน พ.ศ. 2448 เพื่อกำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุครบ 18 ปี ยกเว้นคนจีนและคนป่าคนดอย ต้องเข้ามาเกณฑ์ทหารรับราชการในกองทัพ ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยมีกองทัพประจำการหรือทหารอาชีพแทนการเกณฑ์ไพร่เข้ากอง ทัพนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

19. ระบบเมืองพระยามหานครถูกยกเลิกไปในรัชกาลใด
1. พระบรมไตรโลกนาถ
2. พระนเรศวร
3. พระเพทราชา
4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ตอบ 2 หน้า 162-164 การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมีดังนี้ 1. รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มอำนาจให้เมืองหลวงควบคุมเขตภูมิภาคได้มั่นคงขึ้น (แต่มิได้มีผลถาวร) 2. ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานครในเขตเมืองชั้นนอก และจัดแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ 3. จัดส่งขุนนางออกไปเป็นเจ้าเมืองเหล่านี้ และให้แต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ฯลฯ

20. เหตุใดเจ้าเมืองในสมัยอยุธยาจึงมีอำนาจมาก
1. เพาะเป็นตำแหน่งสืบสกุล
2. เพราะการแต่งตั้งถอดถอนเจ้าเมืองขึ้นกับคระกรมการเมือง
3. เพราะเจ้าเมืองมีอำนาจแต่งตั้งกรมการเมืองในหัวเมืองส่วนภูมิภาค
4. เพราะเจ้าเมืองเป็นผู้สอดแนมการปฏิบัติหน้าที่ของยกระบัตร
ตอบ 3 หน้า 167, 195 ในสมัยอยุธยา เจ้าเมืองจะมีอำนาจมาก เพราะพระมหากษัตริย์ยินยอมให้เจ้าเมืองมีอำนาจแต่งตั้งกรมการเมืองระดับ ต่างๆ ในหัวเมืองส่วนภูมิภาคได้ ยกเว้นตำแหน่งยกกระบัตรที่ทางเมืองหลวงจะเป็นผู้แต่งตั้งเอง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ได้มีการลดอำนาจของเจ้าเมืองลง โดยใช้นโยบายแบ่งแยกความจงรักภักดีออกเป็นสองทาง (Dual Allegiance) กล่าวคือ ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมืองหรือขุนนางหัวเมืองตำแหน่ง ต่างๆ แทนเจ้าเมือง เพื่อให้เมืองหลวงควบคมอำนาจเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอกได้มากขึ้น

21. ระบบเมืองประเทศราชถูกยกเลิกไปในรัชกาลใด
1. พระบรมไตรโลกนาถ
2. พระนเรศวร
3. พระเพทราชา
4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 4 หน้า 56, 234-235 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ 5) ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นเพื่อให้เมืองหลวงสามารถควบคุมอาณาจักร และประเทศราชได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้ระบบเมืองประเทศราชถูกยกเลิกเด็ดขาด และทำให้ประเทศไทยสามารถผนวกดินแดนในเขตชั้นนอกและเขตประเทศราชให้เป็นปึก แผ่นอันหนึ่งอันเดียวกับส่วนกลางในลักษณะรัฐประชาชาติ (national State) ได้สำเร็จ
22. กษัตริย์พระองค์ใดโปรดให้ยุบเมืองลูกหลวงเดิมและจัดตั้งเขตมณฑลราชธานี
1. พระบรมไตรโลกนาถ
2. พระนเรศวร
3. พระเพทราชา
4. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้
1. แบ่ง แยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหารและกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน
2. จัดการ ปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไปควบคุมโดยตรง

23. เหตุใดรัชกาลที่ 5 จึงทรงปฏิรูปการปกครอง
1. เพื่อกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

2. เพื่อยกเลิกการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่

3. การบริหารราชการแผ่นดินสับสน รายได้ของรัฐรั่วไหล
4. เพื่อลดอำนาจชนชั้นเจ้านาย
ตอบ 3 หน้า 223-226 ปัญหาในระบบบริหารราชการที่ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการปกครอง มีดังนี้
1. ใน ส่วนกลาง หน่วยงานราชการมีงานในความรับผิดชอบไม่เสมอกัน ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินก้าวก่าย สับสน รายได้ของรัฐรั่วไหล เพราะไม่มีการจัดสรรงบประมารให้แต่ละกรมกอง และไม่มีเงินเดือนให้ข้าราชการ
2. ใน ส่วนภูมิภาค เมืองหลวงควบคุมหัวเมืองชั้นนอกได้ไม่เต็มที่ เจ้าเมืองหารายได้จากการกินเมือง และไม่มีการกำหนดเขตแดนของไทยอย่างแน่ชัด จึงเปิดโอกาสให้มหาอำนาจเข้าแทรกแวงได้โดยง่าย

24. การบริหารราชการแผ่นดินสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีลักษณะแบบใด
1. การแบ่งงานตามลักษณะงานโดยไม่เคร่งครัด

2. แบ่งงานออกเป็นภูมิภาค

3. แบ่งงานแบบเคร่งครัด

4. แบ่งออกเป็นมณฑลต่างๆ

ตอบ 2 หน้า 158, 194-195 โครงสร้างระบบบริหารราชการแผ่นดินทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในสมัยรัตน โกสินทร์ตอนต้นยังเป็นเช่นเดียวกับสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ จัดระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบแบ่งงานออกเป็นเขตแดนหรือภูมิภาค (Territorial Basis) เพียงแต่จะมีการเพิ่มจำนวนหรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกรมกองไปบ้าง

25. ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เจ้าเมืองถูกลดอำนาจโดยวิธีใด
1. ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งขุนนางหัวเมือง
2. จัดตั้งระบบเมืองพระยามหานคร
3. ให้เจ้านายกำกับราชการหัวเมือง
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

26. เป้าหมายในการปฏิรูประบบราชการของรัชกาลที่ 5 คือข้อใด
1. จัดระบบงานให้เป็นแบบแบ่งหน้าที่โดยเคร่งครัด

2. แบ่งระบบงานออกเป็นภูมิภาค

3. เพิ่มอำนาจเจ้าเมือง

4. ให้คระกรรมการเมืองเป็นผู้เลือกสรรคณะเข้าหลวงเทศาภิบาล

ตอบ 1 หน้า 229-239, (คำบรรยาย) เป้าหมายในการปฏิรูประบบราชการของรัชกาลที่ 5 มีดังนี้ 1. ในส่วนกลาง เปลี่ยนแปลงระบบกรมกองใหม่ โดยจัดระบบงานให้เป็นแบบแบ่งงานตามหน้าที่ (Functional Basis) อย่างเคร่งครัดและแท้จริง ซึ่งส่งผลให้มีกระทรวงเพิ่มขึ้น แต่ละกระทรวงมีหน้าที่เฉพาะและข้าราชการมีเงินเดือนประจำ 2. ใน ส่วนภูมิภาค จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ จัดการปกครองในรูปของมณฑลเทศาภิบาล ส่งผลให้เกิดรัฐประชาชาติอย่างแท้จริง และมีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบลขึ้นในส่วนท้องถิ่น

27. รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขปัญหาการสืบสันตติวงศ์อย่างไร
1. ให้มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในการสืบสันตติวงศ์ 2. ให้คณะเสนาบดีเป็นผู้เลือกเฟ้นพระมหากษัตริย์

3. โปรดฯ ให้ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ 4. ให้คระเสนาบดีเป็นผู้เลือกสรรวังหน้า

ตอบ 1 หน้า 395, 401, (คำบรรยาย) รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขปัญหาการสืบสันตติวงศ์ คือ โปรดฯให้ยกเลิกตำแหน่งวังหน้า และสถาปนาองค์รัชทายาทหรือตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิ-ราชสยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก นอกจากนี้ยังให้มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์ โดยที่ไม่ต้องให้คระเสนาบดีเป็นผู้พิจารณาเลือกเฟ้นกษัตริย์อีก (ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงโปรดฯ ให้ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ขึ้น)

28. หอรัษฎากรพิพัฒน์มีหน้าที่อะไร
1. ควบคุมการเกณฑ์แรงงาน

2 กำหนดศักดินาข้าราชการ

3. ควบคุมกรมกองต่างๆ ให้ส่งภาษีตามกำหนด

4. ควบคุมระบบพระคลังสินค้า

ตอบ 3 หน้า 205, 216, 228 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดุจกรมบัญชีกลาง คอยตรวจสอบบัญชี และควบคุมกรมกองต่างๆ ให้ส่งภาษีตามกำหนดแล้วจึงส่งเข้าพระคลังหลวงต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้เป็นสถานที่ที่จะรวบรวมงานจัดเก็บภาษีที่เคยกระจัดกระจาย อยู่ตามกรมต่างๆ มาไว้ในที่แห่งเดียวกัน ทำให้เงินภาษีอากรไม่รั่วไหลสูญหายไปดังแต่ก่อน

29. ข้อใดคือสาเหตุที่ทำให้การปฏิรูปการปกครองในระยะแรกของรัชกาลที่ 5 หยุดชะงัก
1. เกิดกบฏหัวเมือง

2. การต่อต้านของฝ่ายสยามหนุ่ม

3. การขัดขวางจากพวกอนุรักษนิยม

4. ระบบมณฑลเทศาภิบาลไม่มีประสิทธิภาพ

ตอบ 3 หน้า 228-229 อุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในระยะแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงักลงได้แก่
1. การขัดขวางจากฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งในลักษณะของการดื้อแพ่งและการต่อต้านด้วยกำลังอาวุธ
2. การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก
3. การ ขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม โดยเฉพาะบรรดาสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับการแสดง ความคิดเห็น และยังเกรงกลัวต่ออิทธิพลของฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่

30. ผลการปฎิรูประเบียบราชการแผ่นดินของรัชกาลที่ 5 คือข้อใด
1. ผลการบริหารเป็นแบบแบ่งงานตามหน้าที่อย่างแท้จริง

2. เกิดรัฐประชาชาติอย่างแท้จริง

3. ข้าราชการมีเงินเดือนประจำ

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 21. และ 26. ประกอบ

31. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคมสุโขทัย
1. เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นแบบไม่ถาวร
2. จำนวนประชากรมีน้อยเมื่อเทียบกับอาณาจักรของคนไทยอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นอยู่ในระบบอุปถัมภ์-บริวาร
4. เป็นสังคมที่ยังไม่มีทาส

ตอบ 4 หน้า 270-272, 289-290, 293 ลักษณะของสังคมสุโขทัยและล้านนามีดังนี้
1. จำนวนของประชากรมีจำกัด เมื่อเทียบกับอาณาจักรของคนไทยอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน
2. เป็นสังคมที่มีการแบ่งลักษณะชนชั้นแบบไม่ถาวร โดยชนชั้นต่างๆ สามารถเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสถานะได้
3. มีการจัดระเบียบและควบคุมสังคมด้วยการกำหนดความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร (Patron-client Relationship)
4. เป็นสังคมที่มีข้าหรือทาสซึ่งจัดเป็นชนชั้นต่ำสุดของสังคม ฯลฯ
32. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลูกเจ้าลูกขุน
1. ลูกเจ้าลูกขุนไม่ต้องออกรบ

2. กลุ่มลูกเจ้าลูกขุนไม่รวมพวกขุนนาง

3. ลูกเจ้าลูกขุนมักก่อปัญหากบฏ

4. ลูกเจ้าลูกขุนต้องเสียภาษีมากกว่ากลุ่มอื่น

ตอบ 3 หน้า 273 ในสมัยสุโขทัยและล้านนา ลูกเจ้าลูกขุนที่พระมหากษัตริย์ไว้วางพระทัยจะได้ออกไปปกครองเมืองสำคัญใน ฐานะเจ้าเมืองลูกหลวง ซึ่งทำให้ลูกเจ้าลูกขุนมีอำนาจเป็นอิสระค่อนข้างสูงจางเมืองหวง และมักก่อปัญหากบฏขึ้นอยู่เสมอ ดังปรากฏในหลักฐานของสุโขทัยและล้านนาที่ต่างก็ระบุถึงปัญหาการกบฏของเจ้า เมืองลูกหลวงเอาไว้ โดยเฉพาะล้านนาจะกล่าวไว้อยู่บ่อยครั้ง

33. ลูกเจ้าลูกขุนมีหน้าที่อย่างไร
1. เป็นมูลนายของไพร่

2. เป็นเจ้าเมือง

3. ช่วยพระมหากษัตริย์ในการบริหารราชการ

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 273 หน้าที่ของลูกเจ้าลูกขุนมีดังนี้ 1. ช่วยพระมหากษัตริย์บริหารราชการสำคัญด้านต่างๆ ทั้งในการปกครองและการสงคราม 2. เป็นเจ้าเมืองลูกหลวงปกครองหัวเมืองสำคัญตามระบบนครรัฐ 3. เป็นมูลนายของไพร่ คอยดูแลไพร่ให้อยู่ในภูมิลำเนา คอยเกณฑ์ไพร่ให้มาทำงานตามกำหนดเวลา และเกณฑ์ไพร่เข้ากองทัพไปทำการรบด้วย ฯลฯ

34. ขุนนางชั้นผู้น้อย ผู้ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างประชาชนในเมืองหรือตำบลนั้นๆ กับผู้บังคับบัญชาได้แก่ตำแหน่งใด
1. ล่าม

2. กว้าน

3. นายสิบ

4. นายร้อย

ตอบ 1 หน้า 273, 277, (คำบรรยาย) จากการศึกษาเอกสารของล้านนา ก็พอจะได้เค้ามูลความหมายของคำว่า “ล่าม” ว่าคงหมายถึง ขุนนางชั้นผู้น้อย ผู้ทำหน้าที่ติดต่อระหว่างประชาชนหรือไพร่ในเมืองหรือตำบลนั้นๆ กับผู้บังคับบัญชา (ส่วนคำว่า “กว้าน” คือ ผู้ช่วย, “นายสิบ” คือ ผู้ดูแลรับผิดชอบไพร่ 10 คน, “นายร้อย” คือ ผู้ดูแลรับผิดชอบไพร่ 100 คน)

35. บุคคลที่จัดว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในสมัยสุโขทัย ควรจะนับตั้งแต่ตำแหน่งใดลงมา
1. เจ้าพัน

2. ล่ามพัน

3. ล่ามบ่าว

4. กว้าน

ตอบ 1 หน้า 271, 277 บุคคลที่จัดว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยหรือข้าราชการระดับล่างในสมัยสุโขทัย ควรจะนับตั้งแต่ตำแหน่งผู้ช่วยของเจ้าพันลงมา ซึ่งได้แก่ ล่ามพัน พันน้อย ล่ามบ่าว นายร้อย นายห้าสิบ กว้าน เป็นต้น

36. ไพร่ในข้อใดที่นักวิชาการเชื่อว่า เป็นผู้ที่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์
1. ไพร่ฟ้าข้าไท

2. ไพร่ฟ้าหน้าปก

3. ไพร่ฟ้าหน้าใส

4. ไพร่ไทย

ตอบ 2 หน้า 90-91 , 271 มรส มัยสุโขทัย ประชาชนสามารถร้องทุกข์ได้โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งมีหน้าที่ตัดสินข้อ พิพาทและให้ความยุติธรรม ดังข้อความตอนหนึ่งในศิลาจารึกได้ระบุไว้ว่า “…ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยชื่อไพร่ในเมืองสุโขทัยนี้จึงชม…”

37. ระบบไพร่มีประโยชน์อย่างไร
1. รัฐได้เก็บภาษีจากไพร่
2. 2. รัฐได้เกณฑ์แรงงานไพร่ไปรบ
3. ไพร่ได้รับความคุ้มครองจากเจ้านาย
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 273, 283, (คำบรรยาย) ประโยชน์ของระบบไพร่มีดังนี้
1. เพื่อให้รัฐสามารถเกณฑ์แรงงานประชากรมาใช้ในเวลาจำเป็นทั้งยามสงบและยามสงคราม
2. เพื่อควบคุมให้ไพร่อยู่ในกฎหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
3. เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการเก็บภาษีอากรจากไพร่หรือสามัญชน
4. เพื่อผลประโยชน์ของไพร่ในการได้รับความคุ้มครองจากมูลนาย

38. ข้อใดมิใช่สิทธิของไพร่สมัยสุโขทัย
1. ไม่ต้องเสียภาษี
2. ร้องทุกข์ได้ด้วยตนเอง
3. มีสิทธิในที่ดินที่ได้หักร้างถางพง
4. มีสิทธิสืบทอดมรดก
ตอบ 1 หน้า 287-288 ไพร่สุโขทัยมีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคในการดำเนินชีวิตหลายด้าน ดังนี้
1. สิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ได้ด้วยตนเองโดยตรง
2. สิทธิในการศาล
3. สิทธิในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้
4. สิทธิในการสืบทอดมรดกแก่ลูกหลาน
5. สิทธิในการค้าขายสินค้าได้ทุกชนิดอย่างเสรี
6. สิทธิในการได้รับยกเว้นภาษีผ่านด่านหรือจกอบ แต่ก็ต้องเสียภาษีชนิดอื่น เช่น ภาษีข้าว หรืออากรค่านา
7. สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ฯลฯ

39. “พระขะพุงผี” ในสมัยสุโขทัย เทียบได้กับความเชื่อในข้อใดของชาวล้านนา
1. เสื้อเมือง

2. เสื้อเรียน

3. เสื้อนา

4. เสื้อข้าว

ตอบ 1 หน้า 293, 583, 589, (คำบรรยาย) สังคม ไทยในสมัยสุโขทัยและล้านนาจะมีความเชื่อเรื่องผีกล่าวคือ ชาวสุโขทัยจะมีความเชื่อเรื่อง “พระขะพุงผี” หรือเทพยดาประจำชาติที่เป็นใหญ่กว่าผีทุกผีในเมืองสุโขทัย ซึ่งอาจเทียบได้กับความเชื่อของชาวล้านนาที่ว่า มีเทวดาประจำเมืองล้านนาหรือที่เรียกว่า “เสื้อเมือง” (ส่วนคำว่า “เสื้อเรือน” คือ เทวดาประจำบ้าน, “เสื้อนา” คือเทวดาประจำนา, “เสื้อข้าว” คือ เทวดาในต้นข้าว)

40. “ข้อยมาเป็นข้า” เป็นทาสชนิดหนึ่งของล้านนา ถามว่าถ้าเทียบกับสมัยอยุธยาจะเทียบได้กับทาสชนิดใด
1. ทาสสินไถ่

2. ทาสที่ได้มาจากการช่วยให้พ้นโทษ

3. ทาสในเรือนเบี้ย

4. ทาสเชลย

ตอบ 4 หน้า 290, 351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสของล้านนามี 5 ชนิด คือ
1. ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา
2. ลูกข้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา
3. มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา
4. ฉิบหายด้วยความผิดจึงเข้าเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา
5. ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา

41. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับชนชั้นในสมัยล้านนา
1. ทรัพย์สินของลูกเจ้าลูกขุนถูกตีราคาต่ำกว่าของสามัญชน
2. ลูกเจ้าลูกขุนไม่สามารถหาประโยชน์จากนาขุมการเมือง
3. ถ้าลูกเจ้าลูกขุนตายโดยไม่ทำพินัยกรรม ทรัพย์สินต้องตกเป็นของรัฐ
4. ลูกเจ้าลูกขุนถูกลงโทษปรับน้อยกว่าสามัญชน

ตอบ 3 หน้า 275 สิทธิและวิธีคานอำนาจลูกเจ้าลูกขุนล้านนามีดังนี้
1. มีสิทธิหาผลประโยชน์จากนาขุมราชการหรือนาขุมการเมือง แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างแท้จริง
2. ทรัพย์สินของลูกเจ้าลูกขุนถูกตีราคาสูงกว่าของสามัญชน
3. ถ้าลูกเจ้าลูกขุนตายโดยไม่ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินต้องตกเป็นของรัฐ (ยกเว้นเจ้าขุนนั้นมีความตีความชอบ ทางราชการจะยึดมาเพียงครึ่งหนึ่ง) แต่ถ้าเจ้าขุนสั่งเรื่องมรดกไว้ก็ให้เป็นไปตามนั้น
4. เมื่อทำความผิดจะถูกลงโทษปรับหนักกว่าสามัญชน แม้จะเป็นความผิดชนิดเดียวกัน ฯลฯ
42. สิ่งใดใช้เป็นเครื่องวัดความสูงศักดิ์ของชนชั้นในสมัยอยุธยาได้ชัดเจนที่สุด
1. ยศ
2. ตำแหน่ง
3. ราชทินนาม
4. ศักดินา

ตอบ 4 หน้า 309, 320, 358, (คำบรรยาย) การกำหนดให้บุคคลมีศักดินากันคนละเท่าใดนั้นจะกำหนดจากยศ ตำแหน่ง และความรับผิดชอบในหน้าที่ราชการ โดยผู้ใดมียศสูง มีตำแหน่งและงานในความรับผิดชอบสำคัญมาก ผู้นั้นก็จะมีศักดินาสูง ดังนั้นศักดินาจึงใช้เป็นเครื่องวัดความสูงศักดิ์ของชนชั้นในสมัยอยุธยาได้ ชัดเจนที่สุด และมีความแน่นอนมากกว่ายศตำแหน่ง และราชทินนาม

43. ไพร่หลวงไม่มีสิทธิทำสิ่งใด
1. ยกมรดกให้ลุก
2. ย้ายไปเป็นไพร่สม
3. แต่งงานกับไพร่สม

4. ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 339, 342 ในสมัยรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนกว่าลูกหลานไพร่หลวงจะมาขึ้นทะเบียนเป็นไพร่สมไม่ ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานไพร่หลวงที่ทนภาระของไพร่หลวงไม่ได้คิด จะโยกย้ายไปเป็นไพร่สมของเจ้านาย ซึ่งจะทำให้ขาดกำลังไพร่ของพระมหากษัตริย์ไปเสีย (แต่ไพร่สมสามารถย้ายไปเป็นไพร่หลวงได้เสมอ)

44. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับไพร่สม
1. หนีไปเป็นไพร่หลวง

2. พระมหากษัตริย์มีนโยบายลดจำนวนไพร่สม

3. พระมหากษัตริย์มีนโยบายเพิ่มจำนวนไพร่สม

4. มีสภาพความเป็นอยู่ลำบากกว่าไพร่หลวง

ตอบ 2 หน้า 339, 342 พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายลดจำนวนไพร่สมและเพิ่มจำนวนไพร่หลวงแม่เป็น ไพร่หลวง มีลูกชายหญิงเท่าใดให้ขึ้นสังกัดไพร่หลวงทั้งหมด แต่ถ้าแม่เป็นไพร่สมและพ่อเป็นไพร่หลวงเกิดลูกชายหญิงเท่าใดให้แบ่งปันตาม บานแผนก

45. ทาสชนิดใดในสมัยอยุธยาไถ่ตัวเป็นอิสระไม่ได้
1. ทาสในเรือนเบี้ย
2. ทาสที่ช่วยให้พ้นโทษปรับ
3. ทาสสินไถ่ประเภทขายขาด
4. ทาสที่ได้มาแต่บิดามารดา
ตอบ 3 หน้า 351-352 ทาสในสมัยอยุธยาที่ไม่สามารถไถ่ถอนตัวเป็นอิสระได้มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
1. ทาส สินไถ่ประเภทขายขาด คือ ทาสที่ถูกขายเต็มราคาค่าตัว หรือสูงกว่า จึงตกเป็นสิทธิของนายเงินอย่างสมบูรณ์ จะมาไถ่ถอนตัวเป็นอิสระไม่ได้ และผู้ขายไม่ต้องเป็นนายประกัน
2. ทาส เชลย คือ ผู้ที่ถูกกวาดต้อนมาจากการศึกสงคราม หรือเป็นราษฎรของประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาสวามิภักดิ์ จึงถือเป็นทาสของพระมหากษัตริย์ จะมาไถ่ถนตัวเป็นอิสระไม่ได้

46. ระบบศักดินาเริ่มปรากฏลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในรัชกาลใด
1. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

2. สมเด็จพระนเรศวร

3. สมเด็จพระนารายณ์

4. สมเด็จพระเพทราชา

ตอบ 1 หน้า 357-358 การกำหนดศักดินาอาจเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น เพราะปรากฏหลักฐานในกฎหมายลักษณะโจร (จารึกหลักที่ 38) ซึ่งเชื่อว่าทำขึ้นใน พ.ศ. 1940 แต่มาเริ่มปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนครั้งแรกในรัชกาลสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ เมื่อทรงตราพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน และพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ใน พ.ศ. 1998

47. ระบบศักดินากำหนดจากสิ่งใด
1. ยศของบุคคลนั้น
2. ที่ดินของบุคคลนั้น
3. ไพร่ในสังกัดของบุคคลนั้น

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 42. ประกอบ

48. คุณสมบัติประการหนึ่งของการถวายตัวเป็นขุนนางสมัยอยุธยา ผู้ถวายตัวต้องมีอายุตั้งแต่กี่ปีขึ้นไป
1. 21 ปี

2. 25 ปี

3. 31 ปี

4. 35 ปี

ตอบ 3 หน้า 316 คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าถวายตัวเป็นขุนนางสมัยอยุธยาประการหนึ่ง คือ ต้องประกอบด้วยวุฒิ 4 ประการ ได้แก่ 1. ชาติวุฒิ คือ เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากอัครมหาเสนาบดี 2. วัยวุฒิ คือ มีอายุตั้งแต่ 31 ปีขึ้นไป 3. คุณวุฒิ คือ เป็นผู้มีความรู้ฝ่ายทหารและพลเรือนชำนิชำนาญ 4. ปัญญาวุฒิ คือ มีสติปัญญาดี รอบรู้ในกิจการบ้านเมือง และเรื่องนานาประเทศ

49. เจ้าพระยาจักรรี เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมใด
1. กลาโหม

2. มหาดไทย

3. นครบาล

4. คลัง

ตอบ 2 หน้า 150-152, 319-320 หน้าที่ในตำแหน่งของกรมกองต่างๆ จะมียศและพระราชทินนามกำกับไว้โดยเฉพาะ ดังนี้
1. เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมหาดไทย
2. เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิริยภักดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมกลาโหม
3. พระยายมราชอินทราธิบดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมเวียงหรือนครบาล
4. พระยาพระคลัง เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมพระคลังหรือโกษาธิบดี ฯลฯ

50. ข้อใดถูกต้องในสมัยรัตนโกสินทร์
1. เจ้านายมีอิทธิพลลดลงกว่าสมัยอยุธยา

2. ผู้เข้ารับราชการมีอำนาจเป็นอย่างมาก

3. “วังหน้า” ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์หลังพระมหากษัตริย์

4. ไพร่สมของเจ้านายเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก

ตอบ 1 หน้า 391-392, 400-401 ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ทรงพยายามที่จะควบคุมกำลังคนของเจ้านาย คือ พวกไพร่สมให้รัดกุมมากกว่าแต่ก่อน ทำให้เจ้านายมีอิทธิพลและมีอำนาจลดลงกว่าสมัยอยุธยา แต่เสถียรภาพของขุนนางกลับมีความมั่นคงและมีอิทธิพลมากขึ้นทั้งนี้เพราะ จำนวนไพร่หลวงที่อยู่ภายใต้การดูแลของขุนนางไม่ร่อยหรอไปเหมือนกับสมัย อยุธยาตอนปลาย

51. ข้อใดถูกต้องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
1. ขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์
2. ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากภาษีเลย
3. ไพร่หลวงสังกัดขุนนางหนีไปเป็นไพร่สมกันมาก
4. ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดบทบาทไป

ตอบ 1 หน้า 400-404 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ 1. ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์ 2. ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางที่หลบหนีไปเป็นไพร่สมมีจำนวนลดลง ทำให้ขุนนางมีความมั่นคงมากขึ้น 3. คณะเสนาบดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์ 4. ขุนนางจำนวนหนึ่งได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร 5. ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดยเด่นที่สุดตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ฯลฯ

52. การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลอย่างไรต่อขุนนาง
1. ขุนนางได้เป็นเสนาบดีมากกว่าเจ้านาย

2. ขุนนางตระกูลบุนนาคเสื่อมอิทธิพลไป

3. ขุนนางไม่ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลอีกต่อไป

4. ขุนนางได้เก็บเงินจากเจ้าภาษีไว้เป็นสมบัติส่วนตัวมากกว่าแต่ก่อน

ตอบ 2 หน้า 411-412 การปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนางดังนี้
1. คณะเสนาบดีรุ่นเก่าที่มีตระกูลบุนนาคเป็นผู้นำเสื่อมอิทธิพลลง โดยเสนาบดีรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้านายมากกว่าขุนนาง
2. ข้าราชการมีเงินเดือน และการใช้เงินส่วนของรัฐเพื่อกิจการส่วนตัวนับเป็นของต้องห้าม
3. การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการจะพิจารณาจากความรู้เป็นหลัก
4. มีการเปิดรับสามัญชนที่มีการศึกษาดีเข้าสู่ระบบราชการ ฯลฯ

53. “เข้าเดือน ออก 3 เดือน” คืออะไร
1. ระยะเกณฑ์แรงงานของไพร่สมสมัยอยุธยา
2. ระยะเกณฑ์แรงงานของไพร่หลวงอยุธยา

3. เวลาที่ไร่สมต้องเข้าสงครามในสมัยรัตนโกสินทร์

4. ระยะเวลาที่ไพร่หลวงต้องเข้าเวรในสมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 4 หน้า 186, 419, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ลดระยะเวลาเกณฑ์แรงงานของไพร่หลวงลงโดยให้มาเข้าเวร 1 เดือน ออก 3 เดือน เพื่อให้ไพร่มีเวลาทำงานส่วนตนมากขึ้น ในยามปกติใครไม่ต้องการมาทำงานก็ให้ส่งค่าราชการมาได้ปีละ 18 บาท หรือเดือนละ 6 บาท สำหรับไพร่สมก็ให้รับราชการโดยให้เข้าเวรปีละ 1 เดือน ถ้าจ่ายค่าราชการก็จ่ายปีละ 6 บาท

54. การสักข้อมือไพร่ เริ่มมีครั้งแรกสมัยใด
1. ล้านนา

2. อยุธยา

3. ธนบุรี

4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 3 หน้า 392, 417 (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตารกสินแห่งกรุง ธนบุรีเป็นต้นมา โดยได้กำหนดให้สักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนา เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันมิให้ไพร่หลวงสูญหาย หรือมิให้ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายเหมือนสมัยก่อน

55. การสักข้อมือไพร่มีผลอย่างไร
1. ไพร่สมเพิ่มมากขึ้น

2. เกิดกบฏไพร่ขึ้น

3. ไพร่หนีไปอยู่ป่าได้มากขึ้น

4. ไพร่หลวงไม่สูญหายอย่างแต่ก่อน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

56. เหตุใดไพร่จึงถูกเกณฑ์แรงงานน้อยลงในสมัยรัตนโกสินทร์
1. การเน้นการปกครองแบบธรรมราชา

2. มีแรงงานชาวจีนเข้ามามากขึ้น

3. รัฐต้องการให้ไพร่ใช้เวลาปลูกข้าวมากขึ้น

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 416-424, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานน้อยลงในสมัยรัตนโกสินทร์จนกระทั่งมีการยก เลิกระบบไพร่อย่างสิ้นเชิงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้
1. กษัตริย์เน้นการปกครองแบบธรรมราชา
2. การคุกคามและเผยแพร่แนวความคิดตามแบบตะวันตก
3. การเปลี่ยนแปลงลักษณะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้รัฐต้องการให้ไพร่ใช้เวลาปลูกข้าวมากขึ้น
4. กรรมการชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานในไทยมากขึ้น
5. ภาวะการทำสงครามและการถูกรุกรานโดยอาณาจักรใกล้เคียงกับไทยหมดไป

57. เหตุใดจึงมีการแต่งตั้งตำแหน่งผู้กำกับราชการ
1. เพื่อควบคุมอำนาจเจ้านาย

2. เพื่อประสิทธิภาพในการคุมไพร่หลวง

3. เพื่อควบคุมอำนาจเสนาบดี

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 393 ที่มาของการแต่งตั้งตำแหน่งผู้กำกับราชการในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ การที่รัชกาลที่ 2 ทรงหวั่นเกรงอำนาจของคณะเสนาบดี ซึ่งหลายคนเป็นเสนาบดีมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 จึงทรงหวังจะให้เจ้านายไปควบคุมอำนาจเสนาบดีไว้บ้าง แต่ปรากฏว่าพวกเสนาบดีไม่ยินยอม ทำให้ในที่สุดตำแหน่งผู้กำกับราชการก็เป็นเพียงตำแหน่งเกียรติยศที่ไม่มี อำนาจแท้จริง

58. ระบบไพร่ถูกยกเลิกไปเพราะเหตุใด
1. ไพร่เรียกร้องความเป็นอิสระ
2. เจ้านายเรียกร้องให้ยกเลิกระบบไพร่
3. ขัดกับผลประโยชน์ของรัฐ
4. มหาอำนาจตะวันตกยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลไทยยกเลิกระบบไพร่
ตอบ 3 หน้า 416, 423-424 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย สภาพเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศได้ทำให้ระบบไพร่ไม่เป็น ประโยชน์ต่อรัฐดังแต่ก่อน จึงนำไปสู่การยกเลิกระบบไพร่ในที่สุด โดยมีปัจจัยที่สำคัญดังนี้ 1. ปัญหาที่เกิดจากระบบไพร่เอง 2. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเป็นระบบผลิตเพื่อส่งออกภายหลังการทำสนธิสัญญาบาวริ่ง 3. การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

59. พระมหากษัตริย์พระองค์ใดออกกฎข้อบังคบมิให้พ่อแม่และสามีขายลูกและภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ
1. รัชกาลที่ 2

2. รัชกาลที่ 3

3. รัชกาลที่ 4

4. รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 199 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงช่วยยกฐานะสตรีและเด็ก โดยการออกกฎหมายห้ามบิดามารดาและสามีขายบุตรและภรรยาลงเป็นทาสโดยที่เจ้าตัว ไม่สมัครใจ แต่ถ้าบุตรและภรรยายอมให้ขาย การกำหนดค่าตัวต้องเป็นราคาที่เจ้าตัวยินยอมพร้อมใจด้วย

60. ทาสพวกใดที่ได้รับการปลดปล่อยเป็นพวกแรกในประวัติศาสตร์
1. ทาสสินไถ่

2. ทาสวัด

3. ทาสเชลย

4. ลูกทาส ลูกไท

ตอบ 4 หน้า 433 ขั้นตอนแรกในการดำเนินงานเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 คือ ทรงออก พ.ร.บ.พิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทจุลศักราช 1236 หรือ พงศ. 2417 ขึ้น ซึ่งมีผลให้ลูกทาสและลูกไทยส่วนหนึ่งสามารถหาเงินมาไถ่ตนเป็นอิสระได้ง่าย ขึ้น และจะเป็นอิสระได้ทีเดียวในปี พ.ศ. 2432 ดังนั้นลูกทาสและลูกไทจึงถือเป็นทาสที่ได้รับการปลดปล่อยเป็นพวกแรกใน ประวัติศาสตร์

61. การผลิตเพื่อเลี่ยงประชากรของอาณาจักร เป็นลักษณะเศรษฐกิจสมัยใด
1. สุโขทัย
2. อยุธยา
3. ธนบุรี
4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 482-483 ลักษณะเศรษฐกิจของสุโขทัย เป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองหรือเลี้ยงประชากรของอาณาจักร เป็นการผลิตเพื่อบริโภคและแลกเปลี่ยนกันเองภายในมิใช่การผลิตเพื่อขายจึงไม่ มีการแข่งขันและไม่จำเป็นต้องพึ่งตลาดหรือผลิตเพื่อสนองความต้องการของตลาด ทำให้ชาวสุโขทัยมีการดำรงชีวิตที่มั่นคงด้านเศรษฐกิจ เพราะสามารถพึ่งตนเองและมีชีวิตอยู่บนพืชผักผลไม้ที่ปลูกเอง จึงเป็นลักษณะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วัฒนธรรมชาวบ้าน” ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของเศรษฐกิจสุโขทัย

62. การผลิตเพื่อสนองความต้องการของตลาดเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยใด
1. สุโขทัย

2. อยุธยา

3. ธนบุรี

4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 469-470, 510-511, (คำบรรยาย) ลักษณะเศรษฐกิจของอยุธยาเป็นการเริ่มต้นการผลิตเพื่อการขายโดยมีข้าวเป็น สินค้าหลัก และเป็นระบบเศรษฐกิจแบบศักดินา ซึ่งมีปัจจัยการผลิตที่เข้มแข็งเนื่องจากระบบไพร่ ทำให้มีผลผลิตจำนวนมากเพื่อการขายและอยู่ในอำนาจการควบคุมของรัฐ ส่งผลให้เกิดเศรษฐกิจแบบเงินตรา และเศรษฐกิจแบบตลาดซึ่งเป็นการผลิตเพื่อสนองความต้องการของตลาดเริ่มปรากฏ ชัดในสมัยนี้

63. ลักษณะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วัฒนธรรมชาวบ้าน” เป็นอย่างไร
1. ผลิตเพื่อการบริโภค

2. ราษฎรมีการดำรงชีวิตที่มั่นคงด้านเศรษฐกิจ

3. ไม่มีการแข่งขันเพราะมิใช่ผลิตเพื่อขาย

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

64. “คงทำรายได้ให้รัฐมากทีเดียว” หมายถึงรายได้จากอะไรของสุโขทัย
1. ข้าว

2. เครื่องสังคโลก

3. เครื่องเงิน

4. ไม้สัก

ตอบ 2 หน้า 479, 483 สินค้าส่งออกที่สำคัญและขึ้นชื่อของสุโขทัย คือ เครื่องปั้นดินเผา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เครื่องสังคโลก” ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ใหญ่โตและรุ่งเรืองมาก จนกลายเป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่สำคัญที่สุดของสุโขทัย ดังหลักฐานสมัยสุโขทัยที่ระบุว่า “คงทำรายได้ให้รัฐมากทีเดียว”

65. ผู้ปกครองสุโขทัยช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำอย่าง
1. ขุดคลอง

2. สร้างกังหันน้ำ

3. สร้างสรีดภงส์

4. สร้างประตูกั้นน้ำ

ตอบ 3 หน้า 473-475 สุโขทัยจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัดเพราะเป็นหนองบึงจำนวนมากและ มีปัญหาเรื่องน้ำ ดังนั้นผู้ปกครองสุโขทัยจึงได้ช่วยเหลือกสิกรในการเพาะปลูกทั้งทางตรงและทาง อ้อมหลายประการ ได้แก่ 1. การช่วยเหลือทางด้านการชลประทาน เช่น การสร้างสรีดภงส์ (เขื่อนเก็บกักน้ำ ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักน้ำไว้ภายในหุบเขา) การขุดสระที่เรียกว่าตระพังและสร้างเหมืองฝายเป็นทำนบกั้นน้ำ 2. ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ราษฎรมีความวิริยะอุตสาหะหักร้างถางพง เพื่อสร้างเป็นไร่เป็นนา เป็นสวน ฯลฯ

66. ข้อใดคือนโยบายการค้าเสรีของสุโขทัย
1. “…ใครสร้างได้ไว้แก่มัน…”
2. “ใครจักใคร่ค้าช้างค้า…ค้าม้าค้า…ค้าเงินค้าทองค้า…”
3. “สร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมืองทุกแห่ง…”
4. “คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่…”
ตอบ 2 หน้า 480 ข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “…เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้าใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า” หมายความว่า ผู้ปกครองส่งเสริมนโยบายการค้าอย่างเสรี โดยราษฎรสามารถค้าขายสินค้าต่างๆ ได้ตามความต้องการ

67. “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แสดงเศรษฐกิจสุโขทัยว่าเป็นอย่างไร
1. สุโขทัยมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปลาและข้าว

2. สุโขทัยมีข้าวปลาเกินความต้องการจนส่งออกได้

3. สุโขทัยมีข้าวปลาอาหารพอเพียงเลี้ยงประชากร

4. สุโขทัยผลิตข้าวและปลาเพื่อสนองตลาด

ตอบ 3 หน้า 473-475 สุโขทัยจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัดเพราะเป็นหนองบึงจำนวนมากและ มีปัญหาเรื่องน้ำ ดังนั้นผู้ปกครองสุโขทัยจึงได้ช่วยเหลือกสิกรในการเพาะปลูกทั้งทางตรงและทาง อ้อมหลายประการ ได้แก่ 1. การช่วยเหลือทางด้านการชลประทาน เช่น การสร้างสรีดภงส์ (เขื่อนเก็บกักน้ำ ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักน้ำไว้ภายในหุบเขา) การขุดสระที่เรียกว่าตระพังและสร้างเหมืองฝายเป็นทำนบกั้นน้ำ 2. ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ราษฎรมีความวิริยะอุตสาหะหักร้างถางพง เพื่อสร้างเป็นไร่เป็นนา เป็นสวน ฯลฯ

68. ข้อใดคือนโยบายส่งเสริมทักษะพิเศษให้ราษฎรของผู้ปกครองสุโขทัย
1. การนำช่างชาวจีนมาสอนวิธีทำเครื่องสังคโลก

2. การนำเทคโนโลยีตะวันตกมาช่วยชาวนา

3. การนำชาวจีนมาสอนวิธีเลี้ยงไหม

4. การนำช่างชาวตะวันตกมาสอนวิธีสร้างเขื่อน

ตอบ 1 หน้า 481 ผู้ปกครองสุโขทัยมีนโยบายให้การส่งเสริมทักษะพิเศษในเรื่องการทำเครื่องปั้น ดินเผาหรือที่เรียกว่า “เครื่องสังคโลก” โดยโปรดฯ ให้นำช่างชาวจีนมาสอนวิธีการทำเครื่องสังคโลกให้แก่ชาวไทย ทำให้คนสุโขทัยสามารถประกอบอาชีพนี้ได้และสร้างอุตสาหกรรมของตนจนสามารถเข้า ยึดการค้าเครื่องปั้นดินเผาของจีนได้

69. ผู้ปกครองอยุธยาให้ความสำคัญกับการปลูกข้าวอย่างไร
1. ขยายเนื้อที่ทำนา

2. คุ้มครองอันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว

3. สนับสนุนแรงงานปลูกข้าว

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 346, 489-491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยาได้ให้ความสำคัญกับการปลูกข้าวดังนี้ 1. ขยายเนื้อที่ทำนาเพาะปลูก 2. คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยมีกฎหมายลงโทษผู้ทำลายต้นข้าวอย่างรุนแรง 3. ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาเป็นแนวทางสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่น 4. ส่งเสริมแรงงานในการเพาะปลูก 5. ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท 6. การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

70. หน้าที่ของชาวนาอยุธยาที่มีต่อรัฐบาลคือข้อใด
1. ช่วยถางป่าเพื่อทำเป็นที่ทำนา

2. เสียอากรค่านา

3. แบ่งกำไรจากการขายข้าวให้รัฐบาล

4. ช่วยรัฐบาลขุดคลอง

ตอบ 2 หน้า 492 หน้าที่ที่ชาวนาไทยสมัยอยุธยาพึงปฏิบัติต่อบ้านเมือง คือ เสียอากรค่านาให้แก่รัฐบาลเพื่อรัฐบาลจะได้นำไปทำนุบำรุงประเทศ โดยตามหลักฐานที่ปรากฏ ชาวนาไทยต้องเสียอากรค่านาในรูปของหางข้าว และในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ มีหลักฐานว่า เก็บอากรค่านาเป็นตั๋วเงินซึ่งมีพิกัดเก็บไร่ละ 1 สลึงต่อปี ต่อพื้นที่นา 40 ตารางวา

71. การทำลายต้นผลไม้ใดที่มีค่าปรับสูงที่สุดสมัยอยุธยา
1. ทุเรียน
2. มังคุด
3. ลางสาด
4. ส้มโอ

ตอบ 1 หน้า 493, (คำบรรยาย) ทุเรียน เป็นพืชที่กฎหมายอยุธยาให้ความคุ้มครอง และถือเป็นพืชมีผลที่มีคุณค่าทางกฎหมายสูงกว่าพืชมีผลชนิดอื่นๆ เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดค่าปรับแก่ผู้ที่ลักตัดต้นทุเรียนไว้ด้วยอัตราที่ สูงที่สุด คือ ถ้าลักตัดต้นใหญ่มีผล ปรับต้นละ 200,000 เบี้ยและถ้าลักตัดต้นใหญ่แต่โกร๋น ปรับต้นละ 100,000 เบี้ย เป็นต้น
72. ป่าไม้ของอาณาจักรใดมีพื้นที่เกินกว่าครึ่งของอาณาจักร
1. สุโขทัย

2. อยุธยา

3. ธนบุรี

4. รัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 495 พ่อค้าชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งบันทึกไว้ว่า ป่าไม้ของอาณาจักรอยุธยามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก กินพื้นที่เกินกว่าครึ่งของอาณาจักร และมีสภาพหนาทึบมากจนแทบจะป่านเข้าไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงให้ความไว้วางใจแก่ป่าของตน เพราะเปรียบได้กับเป็นกำแพงปราการป้องกันศัตรูที่จะมารุกรานได้

73. ไม้หอมชนิดใดหายากที่สุด หอมที่สุดและแพงที่สุด
1. ไม้จันทร์

2. ไม้ฝาง

3. ไม้กฤษณา

4. ไม้กระลำพัก

ตอบ 4 หน้า 496, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา ไม้กระลำพักเป็นไม้หอมที่ได้รับความนิยมมากกว่าไม้หอมชนิดอื่น เพราะมีกลิ่นหอมกว่า ดังนั้นจึงเป็นไม้ที่มีราคาแพงมากและหายากที่สุดเนื่องจากไม้กระลำพักเกิด แต่เฉพาะในใจกลางต้นสลัดไดป่าและต้นตาตุ่มทะเล และเป็นท่อนเล็กๆ ซึ่งมีสีดำเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อต้องการหากลำพังจึงต้องฟันต้นไม้ชนิดที่จะเกิดกระลำพักลง หลายต้น แต่ก็ได้กระลำพักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

74. การค้าของอยุธยากับชาติใดเป็นแบบบรรณาการ
1. จีน

2. ญี่ปุ่น

3. เกาหลี

4. ไต้หวัน

ตอบ 1 หน้า 499-501, 511 การค้าส่วนใหญ่ของอยุธยาในระยะแรกจะเป็นการค้าขายทางเรือสำเภากับประเทศทาง ตะวันออก ได้แก่ การค้ากับจีนในลักษณะบรรณาการ และการค้ากับญี่ปุ่นส่วนการค้ากับประเทศยุโรปตะวันตกเริ่มขึ้นครั้งแรกใน สมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โดยไทยเริ่มค้าขายกับโปรตุเกสเป็นชาติแรก ต่อจากนั้นก็มีฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศสตามลำดับ

75. ชาติตะวันตกชาติใดเข้ามากติดต่อค้าขายกับไทยเป็นชาติแรก
1. อังกฤษ

2. ฝรั่งเศส

3. โปรตุเกส

4. ฮอลันดา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76. เศรษฐกิจโดยรวมของอยุธยาคงจะดี เห็นได้จากอะไร
1. มีการสร้างเขื่อนกักน้ำมากมาย

2. มีการสร้างพระพุทธรูปทองคำแท้มากมาย

3. มีการสร้างวัดใหญ่โตมากมาย

4. ราษฎรที่มีอาชีพไม่ต้องเสียอากร

ตอบ 3 หน้า 511 เศรษฐกิจโดยรวมของอยุธยาคงจะดี และถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อความมั่นคง และความยิ่งใหญ่ของอยุธยา ซึ่งจะเห็นได้จากหลักฐานมากมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักร โดยเฉพาะโบราณสถานที่สร้างอย่างโอฬารและประณีตบรรจง เช่น ปราสาทราชวัง และวัดขนาดใหญ่โตจำนวนมาก รวมทั้งการมีกองทัพที่ทรงพลังเป็นที่เกรงขามของอาณาจักรใกล้เคียง

77. การทำนาสมัยรัตนโกสินทร์ต่างไปจากสมัยก่อนๆ อย่างไร
1. ชาวนาไม่ต้องเสียอากรค่านา

2. มีการนำหลักวิชาการตะวันตกมาส่งเสริมกรทำนา

3. รัฐบาลผูกขาดการขายข้าว

4. รัฐบาลไม่ค่อยสนับสนุนแรงงานทำนา

ตอบ 2 หน้า 515 การดำเนินชีวิตของชาวไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงเป็นแบบเดียวกับสมัย อยุธยา แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4-7 มีการพัฒนาอาชีพต่างๆ ของคนไทยกว้างขวางมากขึ้นและแตกต่างไปจากเดิม คือ มีการนำหลักวิทาการตะวันตกมาประยุกต์ใช้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งเสริมการทำนา การทำสวน การทำไร่ การเลี้ยงสัตว์ การจับสัตว์น้ำ การบำรุงรักษาสัตว์น้ำการจัดการกับป่าไม้สักของรัฐบาล การทำเหมืองแร่ดีบุก เป็นต้น

78. ผู้มีบทบาทสำคัญในการค้าภายในของไทยคือใคร
1.ชาวญี่ปุ่น

2. ชาวมาเลเชีย

3. ชาวจีน

4. ชาวเกาหลี

ตอบ 3 หน้า 537 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีบทบาทสำคัญควบคุมการค้าภายในของไทยในสมัยรัตน โกสินทร์ตอนต้น ได้แก่ พ่อค้าชาวจีน ซึ่งได้ดำเนินอาชีพทางการค้ากันอย่างกว้างขวาง คือ เป็นพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าย่อย พ่อค้าเร่ และพ่อค้าส่งสินค้าออก

79. ในรัชกาลที่4 ไทยทำสัญญาอะไร มีผลให้ข้าวเป็นสินค้าออก
1. ครอเฟิร์ด

2. เบอร์นี่

3. บรุ๊ก

4. บาวริ่ง

ตอบ 4 หน้า 547-548 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้ทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398 ซึ่งในพิกัดสัญญานี้ระบุว่าข้าว ปลา และเกลืออนุญาตให้ซื้อขายส่งออกนอกประเทศได้ทำให้ไทยเริ่มส่งข้าวเป็นสินค้า ออก และข้าวกลายเป็นสินค้าออกสำคัญของประเทศแทนน้ำตาล

80. ภาพรวมของเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์คือข้อใด
1. ผลิตเพื่อการส่งออก สนองความต้องการของตลาด

2. เป็นลักษณะวิถีชาวบ้าน คือ ผลิตเพื่อเลี้ยงประชากร

3. เป็นลักษณะเศรษฐกิจอิสระไม่ขึ้นกับเศรษฐกิจโลก

4. เป็นเศรษฐกิจที่ไม่มีการแข่งขันภายใน

ตอบ 1 หน้า 558 ภาพรวมของเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ คือ ระบบเศรษฐกิจเงินตราและเศรษฐกิจแบบตลาดขยายตัวอย่างกว้างขวางภายหลังจากทำ สนธิสัญญาบาวริ่ง การเกษตรกรรมเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นผลิตเพื่อการส่งออก สนองความต้องการของตลาดโลก ทำให้เกิดระบบนายทุนเจ้าของที่ดินพัฒนาไปสู่ระบบทุนนิยม และนับตั้งแต่นั้นมาเศรษฐกิจของไทยจึงต้องผูกพันกับเศรษฐกิจของโลกอย่างที่ ไม่เคยเป็นมาก่อน

81. พุทธศาสนาลัทธิหินยานอย่างลังกาวงศ์แพร่หลายอยู่ที่เมืองใดก่อนขึ้นมาสู่สุโขทัย
1. นครศรีธรรมราช
2. นครปฐม
3. อยุธยา
4. เพชรบุรี

ตอบ 1 หน้า 582 พระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา ได้นำพุทธศาสนาลักทธิเถรวาทหรือหินานแบบลังกาวงศ์มาเผยแผ่ที่เมืองนครศรี ธรรมราชก่อน จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1800 เมื่อพ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปยังหัวเมืองฝ่ายใต้ ทรงเกิดความเลื่อมใสในพระสงฆ์เหล่านี้จึงทรงอาราธนาให้พระสงฆ์นำพระพุทธ ศาสนาลัทธิเถรวาทหรือหินยานอย่างลังกาวงศ์มาเผยแผ่และประดิษฐานที่เมือง สุโขทัย

82. ความเชื่อในศาสนาของคนไทยแต่โบราณ เชื่อรวมๆ กันได้แก่อะไรบ้าง
1. ผีสางเทวดา

2. ไสยศาสตร์

3. พุทธศาสนา

4. ผีสางเทวดา, ไสยศาสตร์ และพุทธศาสนา

ตอบ 4 หน้า 573 ชนชาติไทยแต่โบราณจะนับถือศาสนาต่างๆ ซ้อนกันประดุจรูปเจดีย์ คือ นับถือผีสางเทวดาเปรียบเหมือนเป็นพื้นฐานของเจดีย์ ถัดขึ้นไปก็เป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และสูงสุดก็คือพระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนยอดเจดีย์ ซึ่งความเชื่อทั้ง 3 นี้จะมีการนับถือคละเคล้าปะปนกัน จนในที่สุดก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

83. อิทธิพลของพุทธศาสนาที่มีต่อคนไทยสมัยโบราณคืออะไร
1. ทำลายความเชื่อถือเดิมเรื่องผีสางเทวดา

2. ลดการกระทำบางอย่างที่รุนแรงให้เบาลง

3. ทำให้คนไทยยึดมั่นในหลักธรรมของพุทธศาสนาเท่านั้น

4. ทำให้คนไทยเลิกเชื่อในไสยศาสตร์และความงมงาย

ตอบ 2 หน้า 572-573, (คำบรรยาย) แม้ว่าพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นในหมู่ชนที่นับถือผีสางเทวดาก็ตามแต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยทรงประกาศว่าพุทธศาสนามีขึ้นเอทำลายเรื่องผีสางเทวดา ดังนั้นเมื่อคนไทยนับถือพุทธศาสนาแล้ว คติความเชื่อเดิมในเรื่องผีสางเทวดาก็ยังคงอยู่ โดยมีการปรับปรุงคติผีสางเทวดาให้เข้ากันได้กับพระพุทธศาสนา และลดการกระทำหรือพิธีกรรมบางอย่างที่รุนแรงให้เบาลง เช่น เปลี่ยนการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อบูชายัญให้มีลักษณะอย่างอื่นไป

84. เหตุใดพุทธศาสนาลักทธิมหายานจึงเจริญและแพร่หลาย
1. ได้รับความสนับสนุนจากพระเจ้ากนิษกะ

2. ได้รับความสนับสนุนจากพระเจ้าอโศกมหาราช

3. มีหลักที่เคร่งครัดกว่าลัทธิหินยานจึงเป็นที่เลื่อมใส

4. ลัทธิหินยานเสื่อมโทรมไม่เป็นที่นิยม

ตอบ 1 หน้า 576 พระพุทธศาสนาลักทธิมหายานเจริญแพร่หลายและมีศาสนิกชนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์อินเดียแห่งราชวงศ์กุษาณะที่ทรงเลื่อมใสลัทธิมหายาน และโปรดฯ ให้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยโดยใช้ภาษาสันสกฤตจารึกพระไตรปิฎกส่งผลให้พระพุทธ ศาสนามีพระไตรปิฎก 2 ฉบับ คือ 1. ฉบับภาษามคธของฝ่ายหินยาน 2. ฉบับภาษาสันสกฤตของฝ่ายมหายาน

85. สมัยสุโขทัยตอนต้น พุทธศาสนาลัทธิมหายานแพร่หลายอยู่ระยะหนึ่งเห็นได้จากอะไร
1. ไม่มีคู่แข่ง คือ ลัทธิหินยาน

2. ใช้ภาษาสันสกฤตในพระธรรมอย่างแพร่หลาย

3. วัดและพุทธเจดีย์สร้างตามคติมหายาน

4. ใช้ภาษาสันสกฤตในพระธรรมอย่างแพร่หลาย และวัดพระพุทธเจดีย์สร้างตามคติมหายาน

ตอบ 4 หน้า 576, 581, (คำบรรยาย) พุทธศาสนาลัทธิมหายานคงจะเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายและเจริญอยู่ในช่วงเวลา หนึ่งของสมัยสุโขทัยตอนต้น ทั้งนี้เพราะวัดพระพุทธเจดีย์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยนั้นสร้างตามคติมหายานแทบทั้งสิ้น และพระธรรมก็ใช้อรรถภาษาสันสกฤตจนแพร่หลาย

86. กษัตริย์องค์ใดโปรดฯ ให้จำลองรอยพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฎ เมืองสิงหล นำมาประดิษฐานยังศรีสัชนาลัย
1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

2. พ่อขุนรามคำแหง

3. พญาลิไทย

4. พญาไสยลือไทย

ตอบ 3 หน้า 584-585, (คำบรรยาย) ในสมัยพญาลิไทยนิยมสร้างวัดกันมาก โดยอาคารที่สร้างได้แก่กุฏิพระสงฆ์ วิหาร และพุทธศาลา ส่วนโบสถ์ยังไม่นิยมสร้าง นอกจากนี้พญาลิไทยยังโปรดฯ ให้สร้างปูชนียสถานที่สำคัญ เช่น ศิลาจารึก และการจำลองรอพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฎ เมืองสิงหล ประเทศลังกา แล้วนำมาประดิษฐานยังเมืองศรีสัชนาลัย

87. ความเลื่อมใสในพุทธศาสนาของคนไทยสมัยอยุธยาแสดงออกให้เห็นด้านใด
1. ความสนใจอย่างลึกซึ้งในหลักปรัชญาของพุทธศาสนา

2. การเผยแผ่หลักธรรมของพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง

3. คนไทยสมัยอยุธยาไม่ยอมนับถือศาสนาอื่น

4. การสร้างวัด การทำบุญทำทาน

ตอบ 4 หน้า 589-592, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงถึงความเจริญและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของคนไทยในสมัยอยุธยา จะสังเกตได้จากการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการ สร้างและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีทางพระพุทธศาสนา เช่นการทำบุญทำทาน การตักบาตร การบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่างๆ ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ที่ต้องมีพิธีสงฆ์เป็นองค์ประกอบ เป็นต้น

88. พระสงฆ์ไทยสมัยสมเด็จพระอินทรราชาเดินทางไปลังกาเพื่อบวชแปลงเป็นนิกายอะไร
1. ลังกาวงศ์

2. สยามวงศ์

3. วันรัตนวงศ์

4. อุบาลีวงศ์

ตอบ 3 หน้า 592-593, (คำบรรยาย) ในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช (สมเด็จพระอินทรราชา) ได้มีพระสงฆ์ไทยกลุ่มหนึ่งเดินทางไปประเทศลังกาเพื่ออุปสมบทบวชแปลงเป็น นิกายวันรัตนวงศ์ในสำนักพระวันรัตน์มหาเถระ และเมื่อกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้จัดตั้งนิกายลังกาวงศ์ขึ้นอีกนิกาย หนึ่ง เรียกว่า วันรัตนวงศ์ (คณะป่าแก้ว) ทำให้พระสงฆ์ในกรุงศรีอยุธยาแบ่งออกเป็น 3 คณะ ได้แก่ 1. คณะคามวาสี 2. คณะอรัญวาสี 3. คณะป่าแก้ว (วันรัตนวงศ์)

89. พระบรมไตรโลกนาถถวายวังเป็นวัดชื่ออะไร
1. วัดพุทไธสวรรค์

2. วัดพระศรีสรรเพชญ

3. วัดศรีชุม

4. วัดวังชัย

ตอบ 2 หน้า 593-594 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงมีพระราชกรณียกิจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาดังนี้
1. ทรงอุทิศที่พระราชวังเดิมถวายสร้างเป็นวัด ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า “วัดพระศรีสรรเพชญ”
2. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 2 ที่ออกผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์
3. ทรง เปลี่ยนแปลงแบบอย่างการสร้างพุทธเจดีย์ให้เป็นแบบศิลปกรรมสุโขทัย เช่น การสร้างพระสถูปเจดีย์ทรงระฆังตามแบบลังกา ซึ่งนิยมสร้างกันมากในสมัยสุโขทัย ฯลฯ

90. จุดประสงค์ที่พระสงฆ์ไทยสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเดินทางไปลังกาสมัยพระเจ้าเกียรติศิริราชสิงหะ คืออะไร
1. ให้การบรรพชาอุปสมบาทแก่ชาวลังกา

2. สร้างวัดไทยขึ้นในลังกา

3. อัญเชิญพระศรีรัตนมหาธาตุจากลังกา

4. ไปรับพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่ลังกา

ตอบ 1 หน้า 595 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าเกียรติศิริราชสิงหะแห่งลังกาทรงเห็นว่าพระพุทธศาสนาลังกาสิ้นสม ณวงศ์ จึงทรงแต่ราชทูตเชิญพระราชสาสน์เข้ามาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อทูลของพระมหาเถระกับคณะสงฆ์ไทย คือ พระอุบาลีกับพระอริยมุนีและพระสงฆ์อีก 12 รูป เดินทางไปยังประเทศลังกาเพื่อไปให้การบรรพชาอุปสมบทแก่ชาวสิงหล (ลังกา)

91. ข้อใดไม่ใช่พระราชกรณียกิจของกษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา
1. การแต่งวรรณคดีทางพุทธศาสนา
2. การบูรณปฏิสังขรณ์วัด
3. การสร้างวัด
4. การแก้ไขระเบียบการปกครองคณะสงฆ์

ตอบ 4 หน้า 593-595, 6052, (คำบรรยาย) พระราชกรณียกิจทางด้านศาสนาของกษัตริย์ไทยสมัยอยุธยานอกจากจะทรง บูรณปฏิสังขรณ์วัด สร้างวัดวาอาราม หรือบำรุงรักษาประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีทางด้านพุทธศาสนาอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้หลักธรรมหรือเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนาได้เจริญแพร่หลายยิ่งขึ้น (ส่วนการแก้ไขระเบียบการปกครองคณะสงฆ์เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

92. กษัตริย์องค์ใดเป็นผู้ตรากฎหมายพระสงฆ์เป็นครั้งแรก
1. รัชกาลที่ 1

2. รัชกาลที่ 2

3. รัชกาลที่ 3

4. รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 596-599 พระราชกรณียกิจทางด้านศาสนาของรัชกาลที่ 1 ได้แก่
1. จัดระเบียบคณะสงฆ์ตามแบบครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้างเพียงเล็กน้อย
2. โปรดฯ ให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 พ.ศ.2331 และเรียกว่า “พระไตรปิฎกฉบับทอง”
3. ทรงเป็นผู้ตามกฎหมายพระสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
4. ทรงสร้างพระอารามหลวง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดสุทัศน์เทพวราราม

93. รัชกาลที่ 1 ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาโดยจัดระเบียบคณะสงฆ์ตามแบบสมัยใด
1. สุโขทัย

2. อยุธยา

3. ธนบุรี

4. ไม่จัดตามแบบใคร มีลักษณะเฉพาะตัว

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. พระไตรปิฎกที่รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้ทำสังคายนาเสร็จแล้ว เรียกว่าอะไร
1. พระไตรปิฎกฉบับรดน้ำแดง

2. พระไตรปิฎกฉบับหอหลวง

3. พระไตรปิฎกฉบับทอง

4. พระไตรปิฎกฉบับใบลาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

95. ข้อใดไม่ใช่พระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 2
1. โปรดฯ ให้เรียบเรียงหนังสือโอวาทานุศาสนี

2. การเริ่มประกอบพิธีวิสาขบูชา

3. โปรดฯ ให้แก้ไขการสอบพระปริยัติธรรม

4. การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ตอบ 4 หน้า 599-600, ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ
รัชกาลที่ 2 ทรงมีพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังนี้
1. การปฎิสังขรณ์วัด
2. ปฏิรูปและแก้ไขสอบพระปริยัติธรรมขึ้นใหม่
3. การสร้างพระไตรปิฎกฉบับรดน้ำแดง
4. การส่งสมณทูตไปลังกา
5. ฟื้นฟูให้มีการประกอบพิธีวิสาขบูชาเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ 6. การเรียบเรียงหนังสือโอวาทานุศาสนี

96. เหตุใดการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดในรัชกาลที่ 3 จึงรุ่งเรืองกว่าสมัยใดๆ
1. ความศรัทธาอย่างแรงกล้าของพระมหากษัตริย์และประชาชน

2. การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรือ พ่อค้าเอกชนมีรายได้มาก

3. ความเชื่อว่าการสร้างวัดเป็นบุญกุศลสูงสุด

4. ความ ศรัทธาอย่างแรงกล้าของพระมหากษัตริย์และประชาชน การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรืองพ่อค้าเอกชนมีรายได้มาก และความเชื่อว่าการสร้างวัดเป็นบุญกุศลสูงสุด

ตอบ 4 หน้า 601, (คำบรรยาย) สาเหตุที่การสร้างและบูรณะปฎิสังขรณ์วัดในสมัยรัชกาลที่ 3 เจริญรุ่งเรืองกว่าสมัยใดๆ ได้แก่ 1. ความศรัทธาอย่างแรงกล้าของพระมหากษัตริย์และประชาชน 2. เป็นสมัยที่มีความสงบปราศจากสงคราม 3. การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรืองทำให้ประเทศมีรายได้ 4. พ่อค้าเอกชนร่ำรวมและมีรายได้มาก จึงนิยมสร้างวัด 5. ความเชื่อที่ว่าการสร้างวัดเป็นบุญกุศลสูงสุด ฯลฯ

97. มหาเถรสมาคม เริ่มมีครั้งแรกตาม พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ฉบับใด
1. ฉบับ พ.ศ. 2445

2. ฉบับ พ.ศ. 2484

3. ฉบับ พ.ศ. 2506

4. ฉบับ พ.ศ. 2520

ตอบ 1 หน้า 605-606 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตรา พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้คณะสงฆ์มีระเบียบแบบแผนที่มั่นคงกว่าเดิม และทำให้พระสงฆ์เริ่มมีบทบาทปกครองตนเอง เนื่องจากได้มีการรวมตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ทั้ง 4 และพระราชาคณะเจ้าคณะรองทั้ง 4 ให้เป็นมหาเถรสมาคม ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ในการพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์ทั่วไป

98. ข้อใดไม่ถูกต้องสมัยสุโขทัย
1. พระมหาเถระไม่ใช่สมณศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งตั้ง

2. พระเถระ หมายถึง ภิกษุสงฆ์ผู้มีอายุพรรษามาก

3. เมืองใหญ่เมืองหนึ่งจะมีทั้งสมเด็จพระสังฆราชและพระสังฆราชประจำ

4. เมืองใหญ่เมืองหนึ่งจะมีพระสังฆราชประจำองค์หนึ่ง

ตอบ 3 หน้า 614 ในสมัยสุโขทัย เมืองใหญ่เมืองหนึ่งจะมีพระสังฆราชประจำองค์หนึ่งเพื่อเป็นประมุขสงฆ์ และมีปู่ครูหรือพระครูเป็นผู้ช่วย แต่ถ้าเป็นเมืองเล็กปู่ครูหรือพระครูจะทำหน้าที่เป็นประมุขสงฆ์ของเมืองนั้น เพียงองค์เดียว นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งพระมหาเถระและพระเถระซึ่งหมายถึง พระภิกษุสงฆ์ผู้มีอายุพรรษามาก หรือมีความรู้ความสามารถเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แต่ไม่ใช่สมณศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งตั้ง

99. ข้อใดไม่ใช่หลักธรรมของพุทธศาสนาที่ผู้ครองเรือนสามารถนำไปใช้ได้ดีในเศรษฐกิจประจำวัน
1. นิรามิสสุข

2. สมชีวิตตา

3. อารักขสัมปทา

4. อุฎฐานสัมปทา

ตอบ 1 หน้า 622 พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ฆราวาสผู้ครองเรือนปฏิบัติตาม “หลักมีทรัพย์” ซึ่งเป็นหลักธรรมทางเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ได้แก่
1. อุฎฐานสัมปทา คือ ความขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาทรัพย์
2. อารักขสัมปทา คือ ความรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้
3. กัลยาณมิตตตา คือ ความเป็นผู้รู้จักคบเพื่อนที่ดี
4. สมชีวิตตา คือ การเลี้ยงชีพให้พอดีแก่กำลังทรัพย์

100. ประเพณีข้อใดที่เกิดขึ้นรวดเร็วแต่ไม่ถาวร
1. จารีตประเพณี

2. ขนบประเพณี

3. ความนิยมตามสมัย

4. ธรรมเนียมประเพณี

ตอบ 3 หน้า 654 ความนิยมตามสมัย (Fashion) คือ ประเพณีที่มีลักษณะแปลกใจจากเดิมและคนมักนิยมเป็นแบบอย่างตามกัน จึงเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแต่มักไม่คงทนถาวรเพราะธรรมชาติของคน มักเบื่อของเก่า เห็นสิ่งใดใหม่ก็จะนิยมทันที นอกจากนี้สิ่งที่เป็นความนิยมตามสมัยจะไม่มีคุณสมบัติอะไร นอกจากเป็นของใหม่เท่านั้น

101. รูปปูนปั้นที่ฐานเจดีย์จุลประโทน นครปฐม ปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
1. ชาดก
2. รามเกียรติ์
3. พระอดีตพุทธ
4. เทวประวัติ

ตอบ 1 หน้า 686, 689, (คำบรรยาย) งานปูนปั้นและดินเผาในศิลปะสมัยทวารวดี ส่วนใหญ่ทำขึ้นเพื่อประดับอาคารศาสนสถานหรือฐานเจดีย์ เช่น รูปปูนปั้นประดับฐานเจดีย์จุลประโทน จ.นครปฐม เป็นรูปเล่าเรื่องนิทานชากดในพุทธศาสนา และพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า
102. อิทธิพลขอมแพร่หลายจากภาคอีสานมาสู่ภาคกลางของประเทศไทยในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ทำให้เกิดความนิยมศิลปะลักษณะใด
1. เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์

2. งานประติมากรรมสลักจากหินทราย

3. การใช้แก้วและหินสีสร้างพระพุทธรูป

4. เจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆัง

ตอบ 2 หน้า 698-700 ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-18 อิทธิพลศิลปะขอมได้แพร่ขยายเข้ามาอย่างมากในภาคอีสานของประเทศไทย และผ่านเข้าสู่ภาคกลางในครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 16 ทำให้เกิดความนิยมศิลปะในลักษณะดังนี้
1. สถาปัตยกรรมนิยมสร้างปราสาทหินที่ก่อด้วยศิลาทราย ศิลาแลง และอิฐ
2. ประติมากรรมมักสลักจากศิลาหรือหินทราย และหล่อด้วยสำริด ส่วนงานปูนปั้นพบได้น้อย

103. ทศชาติชาดกที่ปรากฏอยู่ในงานศิลปกรรมไทย เนื้อหาสำคัญเป็นเรื่องอะไร
1. ตรีมูรติ

2. พระอดีตพุทธเจ้า

3. อดีตชาติของพระพุทธเจ้าศากยมุนี

4. การตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตอบ 3 (คำ บรรยาย) งานศิลปกรรมไทยมักปรากฏเรื่องชาดกแทรกอยู่เสมอ ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญเป็นเรื่องประวัติชาติก่อนๆ หรืออดีตชาติของพระพุทธเจ้าศากยมุนีก่อนตรัสรู้ มีทั้งหมด 550 พระชาติ แต่ที่สำคัญที่สุดและมักนิยมนำมาเขียนในงานจิตรกรรมไทย คือ 10 ชาติหลังหรือที่เรียกว่า ทศชาติชาดก

104. คติการสร้างรูปช้างค้ำเจดีย์เป็นแนวความคิดในทางพุทธศาสนา พบตัวอย่างหลายแห่งยกเว้นที่ใด
1. วัดช้างล้อม ศรีสัชนาลัย

2. วัดช้างรอบ กำแพงเพชร

3. วัดมเหยงค์ อยุธยา

4. วัดโพธิ์ กรุงเทพฯ

ตอบ 4 หน้า 710, 724, (คำบรรยาย) เจดีย์ทรงระฆังของศิลปะสุโขทัยจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเจดีย์ทรงกลมในศิลปะ ลังกา โดยเฉพาะเจดีย์ทรงระฆังที่มีรูปช้างค้ำเจดีย์ประดับที่ส่วนฐานซึ่งเป็นคติ การสร้างตามแนวคิดของพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เช่น เจดีย์วัดช้างล้อมในเมืองศรีสัชนาลัย และเจดีย์วัดช้างรอบในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งต่อมาก็ได้ให้อิทธิพลมายังศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลาง เช่น เจดีย์ทรงระฆังที่วัดมเหยงค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีช้างล้อมรอบองค์เจดีย์ถึง 80 เชือก

105. ศิลปะแบบใดหากเปรียบเทียบกับศิลปะขอมมีรูปแบบคล้ายกันมากที่สุด
1. ทวารวดี

2. ลพบุรี

3. ศรีวิชัย

4. อู่ทอง

ตอบ 2 หน้า 698 ศิลปะลพบุรีจะพบได้ในท้องที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับศิลปกรรมขอมในประเทศกัมพูชา ทำให้ทางโบราณคดีเรียกศิลปกรรมแบบนี้ว่า “ศิลปะลพบุรี” ตามชื่อเมืองละโว้หรือลพบุรี ซึ่งเป็นแหล่งที่ค้นพบศิลปกรรมแบบนี้มากและเป็นเมืองสำคัญในขณะนั้น (ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ)

106. ศิลปกรรมที่แสดงว่าพุทธยิ่งใหญ่เหนือพราหมณ์ มีตัวอย่างปรากฏในศิลปะแบบใด
1. ลพบุรี

2. อู่ทอง

3. ทวารวดี

4. สุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 687 พระพุทธรูปในศิลปะสมัยทวารวดีที่สำคัญ คือ พระพุทธรูปประทับนั่งเหนือสัตว์ที่เรียกว่า “พนัสบดี” ซึ่งมีหน้าเป็นสิงห์ มีปากเป็นครุฑ (พาหนะของพระนารายณ์) มีหูและเขาอย่างโค (พาหนะของพระอิศวร) และมีปีกอย่างหงส์ (พาหนะของพระพรหม) โดยสันนิษฐานว่าจัดทำขึ้นเพื่อแสดงว่าพุทธศาสนามีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกว่า ศาสนาพราหมณ์

107. ประติมากรรมที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของศิลปะศรีวิชัยคือข้อใด
1. พนัสบดี

2. พระพิมพ์ดินเผา

3. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

4. พระพุทธรูปประทับยืนตริภังค์

ตอบ 3 หน้า 694-695 ประติมากรรมสมัยศิลปะศรีวิชัยในระยะที่สอง จะได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบปาละ-เสนะ และศิลปะชวาภาคกลาง ซึ่งมักเป็นประติมากรรมที่หล่อด้วยสำริดและปรากฏเครื่องทรงเพชรพลอยมาก โดยเฉพาะประติมากรรมที่ถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของศิลปะศรีวิชัย คือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรครึ่งองค์ในท่าตริภังค์ พบที่หน้าวัดพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

108. ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างศิลปกรรมแบบลพบุรีที่เป็นของประเทศไทยในปัจจุบัน
1. ปราสาทเมืองสิงห์

2. ปราสาทพนมรุ้ง

3.ปราสาทหินพิมาย

4. ปราสาทเขาพระวิหาร

ตอบ 4 หน้า 699-700, (คำบรรยาย) ตัวอย่างศิลปกรรมสมัยลพบุรีที่ค้นพบในประเทศไทยปัจจุบันได้แก่ ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์, ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา, ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี, ปราสาทบ้านระแงงที่ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์, พระปรางค์แขก และพระปรางค์สามยอด จ.ลพบุรี, พระปรางค์วัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดง และปราสาทที่วัดเจ้าจันทร์ จ.สุโขทัย เป็นต้น

109. เจดีย์ทรงกลมแบบวัดพระศรีสรรเพชญอยุธยาคล้ายคลึงกับยุคใด
1. สุโขทัย

2. รัตนโกสินทร์

3. อู่ทอง

4. เชียงแสน

ตอบ 1 หน้า 724 เจดีย์ที่เป็นหลักของพระอารามในศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลาง มักจะสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หรือที่เรียกกันว่าเจดีย์ทรงระฆังตามแบบของสุโขทัย เช่น พระเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ ในวัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งสร้างใน พ.ศ. 2035 ตรงกับรัชสมัยพระรามาธิบดีที่ 2

110. ศิลปกรรมแบบใดรับอิทธิพลศิลปะอินเดียในยุคปาละชัดเจน
1. ทวารวดี

2. ศรีวิชัย

3. ลพบุรี

4. เชียงแสน

ตอบ 4 หน้า 716, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปในศิลปะเชียงแสนรุ่นแรก หรือแบบเชียงแสนสิงห์หนึ่งจะได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียในยุคปาละชัดเจน โดยผ่านมาทางพุกาม มีพุทธลักษณะที่สำคัญ คือ พระพักตร์กลม อมยิ้ม พระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมหรือลูกกลม ขมวดพระเกศาใหญ่ ไม่มีไรพระศกพระวรกายอวบอ้วน ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ชายสังฆาฎิสั้นเหนือพระถัน เช่น พระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ พบที่วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่

111. “พระพักตร์กลม พระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม ขมวดพระเกศาใหญ่ ขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย พระวรกายอวบอ้วน” ตรงกับข้อใด
1. ศิลปะลพบุรี
2. ศิลปะอู่ทอง
3. ศิลปะเชียงแสน
4. ศิลปะอยุธยาตอนต้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112. พระพุทธรูปสุโขทัยที่แสดงนิ้วเสมอกันทุกนิ้วหมายถึงอะไร
1. ความเจริญขั้นสูงสุด
2. สะท้อนคติลักษณะมหาบุรุษ
3. ศิลปะไทยประเพณี
4. ข้อจำดัดในการหล่อสำริด

ตอบ 2 หน้า 712, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปสุโขทัยหมวดพระพุทธชินราช เกิดขึ้นในสมัยพญาลิไทยย้ายเมืองหลวงจากสุโขทัยมายังพิษณุโลก เมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 20 จึงจัดเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพิษณุโลก หรือพระพุทธชินราช โดยมีลักษณะทั่วไปคล้ายแบบหมวดใหญ่แต่ต่างกันคือ มีพระพักตร์และพระวรกายอวบอ้วนกว่า มีนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกันทุกนิ้วซึ่งสะท้อนถึงคติลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ

113. ข้อใดไม่ใช่พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
1. พระเจ้าตนหลวง

2. พระพุทธชินสีห์

3. พระศรีศาสดา

4. พระศรีศากยมุนี

ตอบ 1 หน้า 712, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายที่มีชื่อเสียงในด้านความงดงาม
มีอยู่ 5 องค์ ได้แก่
1. พระศรีศากยมุนี วิหารวัสดุทัศน์เทพวราราม
2. พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก
3. พระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร
4. พระศรีศาสดา วัดบวรนิเวศวิหาร
5. พระพุทธสิหิงค์ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
(ส่วนพระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคำ จ.พะเยา เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน)

114. “ขมวดพระเกศาเล็กแบบหนามขนุน” เห็นได้จากแบบใด
1. ทวารวดี

2. อู่ทอง

3. เชียงแสน

4. สุโขทัย

ตอบ 2 หน้า 720, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ควรสังเกตจากพระพักตร์ที่ประดับด้วยไรพระศก (เส้นขอบหน้าฝาก) และขมวดพระเกศาหรือเส้นพระศกที่เล็กแบบหนามขนุน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เหมือนกันของพุทธศิลป์แบบอู่ทองทุกรุ่น

115. พระพุทธรูปทรงเครื่องนิยมมากในสมัยใด
1. อู่ทอง

2. อยุธยาตอนปลาย

3. สุโขทัย

4. อยุธยาตอนต้น

ตอบ 2 หน้า 725 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย พระพุทธรูปทรงเครื่องเป็นที่นิยมกันมาก ซึ่งมีทั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยที่เริ่มมีในยุคกลางของอยุธยา และเป็นแบบที่นิยมมาก่อนในศิลปะล้านนา ต่อมาก็ได้พัฒนามาเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่มีเครื่องทรงประดับมากมาย ในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยจะนิยมสร้างทั้งในอิริยาบถยืนปางประทานอภัย และอิริยาบถนั่งปางมารวิชัย

116. งานด้านใดของอยุธยาที่สืบทอดมาถึงรัตนโกสินทร์
1. สถาปัตยกรรม

2. ประติมากรรม

3. จิตรกรรม

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 729, (คำบรรยาย) ศิลปะรัตนโกสินทร์ในระยะเริ่มแรกตั้งแต่รัชกาลที่ 1-3 ยังมีลักษณะของศิลปะประเพณีสมัยอยุธยาที่สืบทอดมาถึงยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสถาปัตยกรรมประติมากรรม และจิตรกรรมได้ทำเลียนแบบศิลปะอยุธยาเกือบทั้งหมด จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา จึงค่อยๆ คลี่คลายเป็นศิลปะสมัยปัจจุบันแบบตะวันตกหรือแบบสากล

117. วัดพระแก้ว เทียบเคียงความสำคัญได้กับวัดอะไรต่อไปนี้
1. วัดพระศรีสรรเพชญ อยุธยา

2. วัดมหาธาตุ สุโขทัย

3. วัดพระสิงห์ เชียงใหม่

4. วัดพระบรมธาตุไชยา

ตอบ 1 หน้า 599, 729, (คำบรรยาย) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นวัดที่สร้างขึ้นในพระบรมมหาราชวังเมื่อ พ.ศ. 2325 พร้อมกับการสร้างกรุงเทพฯ โดยรัชกาลที่ 1 โปรดฯให้สร้างขึ้นตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญในสมัยอยุธยา เพื่อให้เป็นพระอารามหลวงที่ใช้ประกอบพระราชพิธีต่างๆ และไม่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเช่นเดียวกัน ดังนั้นวัดพระแก้วจึงถือเป็นวัดคู่กรุงที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยใน ปัจจุบัน

118. คำว่าสถาปัตยกรรมแบบประเพณี มีลักษณะอย่างไร
1. มีปรางค์เป็นหลักของวัด

2. 2. อุโบสถและวิหารตกแต่งหลังคาด้วยช่อฟ้า ใบระกา

3. ลักษณะหน้าบันจะต้องเป็นรูปครุฑยุคนาค

4. เป็นสถาปัตยกรรมที่โปรดฯ ให้สร้างโดยพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 729, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมแบบประเพณีที่ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของวัดไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น คือ อุโบสถและวิหารจะตกแต่งหลังคาด้วยช่อฟ้า ใบระกา และทางหงส์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคาทำซ้อนชั้นประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ แต่ลักษณะนิยมแบบนี้ก็ได้หมดไปในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นสมัยนิยมศิลปะจีน เพราะปรากฏว่าวัดที่สร้างขึ้นไม่มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ หน้าบันหรือหน้าจั่วไม่ใช้ไม้ แต่ก่อด้วยอิฐถือปูนแทน

119. จิตรกรรมไทยที่มักปรากฏอยู่เบื้องหลังพระประธานในพระอุโบสถหรือวิหาร นิยมเขียนเรื่องอะไร
1. วิถีชีวิตชาวเมือง

2. ไตรภูมิ

3. ประเพณี

4. พระอนาคตพุทธเจ้า

ตอบ 2 หน้า 733 แบบแผนของจิตรกรรมไทยบนฝาผนังโบสถ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-3 คือ ส่วนเหนือหน้าต่างเขียนภาพเทพชุมนุม ส่วนล่างในแนวเดียวกับหน้าต่างเขียนภาพพุทธประวัติหรือทศชาติ ด้านหลังพระปรานเขียนภาพไตรภูมิ ด้านหน้าเขียนพุทธประวัติตอนมารวิชัยโดยภาพเขียนในช่วงนี้ใช้สีและปิดทองลง บนภาพทั้งสิ้น

120. สถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคืออะไร
1. เจดีย์ทรงเครื่อง

2. พระที่นั่ง

3. ปราสาท

4. วิหาร

ตอบ 1 หน้า 730 สถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นตั้งแต่รัชกาลที่ 1-3 คือ สถูปเจดีย์นิยมสร้างพระปรางค์กับพระเจดีย์ทรงเครื่องตามแบบอยุธยาตอนปลาย โดยมีลักษณะเฉพาะของสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น เจดีย์ทอง ซึ่งเป็นพระเจดีย์ทรงเครื่องที่รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้สร้างอยู่ด้านหน้า ด้านซ้าย และด้านขวาของปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1/2554

การสอบไล่ภาค 1   ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง      ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.              คำว่า “เสียนหลอ” ที่ปรากฏในเอกสารจีนนั้นหมายถึงอาณาจักรใด

1. ละโว้                    

2. สุพรรณภูมิ                          

3.  กรุงศรีอยุธยา                     

4. ทวารวดี

ตอบ  3      หน้า 23 ในช่วง พ.ศ. 1884-1910 จดหมายเหตุราชวงศ์หมิงของจีนได้ระบุถึงการที่หลอหูหรือละโว้ ได้รวมเสียนหรือสุพรรณภูมิเข้าไว้ในอำนาจ จีนจึงเรียกแคว้นที่รวมกันนี้ว่า “เสียนหลอ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของอาณาจักรอยุธยาในเวลาต่อมา ทั้งนี้การสร้างกรุงศรรีอยุธยาขึ้นใน พ.ศ.1893 ก็เพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของเสียนหลอที่มาจากการรวมตัวของสองแคว้นดัง กล่าวนั่นเอง

2.              กษัตริย์พระองค์แรกของกรุงสุโขทัยคือใคร

1. พ่อขุนศรีนาวนำถม           

2. พ่อขุนผาเมือง          

3.  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์       

4. พ่อขุนรามคำแหง

ตอบ  1      หน้า 23, 25-26 ในช่วง 200 ปี ของกรุงสุโขทัย มีพระมหากษัตริย์ปกครองตามข้อสันนิษฐานของนักวิชาการดังนี้       1. พ่อขุนศรีนาวนำถม ถือเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของกรุงสุโขทัย  2. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์  3. พ่อขุนบานเมือง  4. พ่อขุนรามคำแหง  5. พระยาไสสงคราม 6. พญาเลอไทย  7.พระยางั่วนำถม  8. พญาลิไทย  9. พระมหาธรรมราชาที่ 2 10. พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสยลือไทย)   11. พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล)

3.              กษัตริย์พระองค์ใดที่เชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากลวจังคราช

1. พญามังราย         

2. พ่อขุนผาเมือง                    

3. พ่อขุนรามคำแหง              

4. พระเจ้าอู่ทอง

ตอบ  1      หน้า 81, 90 ตำนานของลานนากล่าวถึงต้นราชวงศ์มังรายว่า พญามังรายสืบเชื้อสายมาจากลวจังคราช ผู้มีกำเนิดจากโอปาติกกะ และเสด็จลงมาจากสวรรค์ทางบันไดเงิน นอกจากนี้พญามังรายยังได้ครอบครองเครื่องราชูปโภคที่สืบทอดมาจากจังคราช เช่น ดาบไชย หอกและมีดสะหรีกัญไชย เป็นต้น

4.              ข้อใดไม่ได้หมายถึงการปกครองแบบพ่อปกครองลูก

1. เป็นแนวทางการปกครองที่มีพื้นฐานจากการปกครองครอบครัว

2. เป็นลักษณะการปกครองที่ปรากฏในชุมชนที่ยังไม่มีระบบราชการที่เป็นแบบแผน

3. กษัตริย์กับประชาชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน

4. เป็นระบบการปกครองที่รับมาจากอินเดีย

ตอบ  4      หน้า 90-91 การปกครองแบบพ่อปกครองลูก (Patriarchal Monarchy) เป็นแนวทางการปกครองที่มีพื้นฐานมาจากการปกครองครอบครัว โดยมีลักษณะสำคัญคือ กษัตริย์กับประชาชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และประชาชนสามารถร้องทุกข์ได้โดยตรงต่อกษัตริย์ จึงเป็นลักษณะการปกครองที่ปรากฏทั่วไปในชุมชนที่ยังไม่สามารถพัฒนาระบบ ราชการที่เป็นแบบแผนและเป็นทางการขึ้นได้

5.              ข้อใดไม่ใช่ความหมายของ “จักรพรรดิราช”

1. กษัตริย์แห่งจักรวาล                                                          

2. พระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง

3. กษัตริย์                                                                                 

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  3      หน้า 93 พระไตรปิฏกในส่วนสุตตันตปิฏก จักกวัติสูตร ได้ระบุว่า ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศจะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจักรพรรดิราชหรือ จักรวาทิน ซึ่งหมายถึง กษัตริย์แห่งจักรวาลหรือพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง โดย คุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิราชก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีมาจนเต็มเปี่ยม

6.              ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ปัจจุบันอยู่ที่ใด

1. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง                 

2. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

3. หอสมุดแห่งชาติ                                        

4. เนินปราสาท ในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

ตอบ  2      หน้า 89 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชหลักที่ 1 จารึกด้วยอักษรไทย ภาษาไทย เมื่อพุทธศักราช 18356 มีขนาดกว้า 35 ซม. สูง 111 ซม. และหนา 35 ซม. เดิมอยู่ที่เนินปราสาทเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

7.              ข้อใดคืออุดมการณ์การปกครองแบบเดิมของชนชาติไทย

1. เป็นนักรบที่มีความสามารถ                             

2. ผู้นำมีอำนาจสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์

3. การปกครองแบบพ่อปกครองลูก                    

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4      หน้า 90-92 อุดมการณ์การปกครองตามแบบเดิมของชนชาติไทย มีลักษณะสำคัญที่สรุปได้ดังนี้                                                    

1. ผู้นำต้องเป็นนักรบที่มีความสามารถ                        

2. ผู้นำมีอำนาจสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์          

3. กษัตริย์ใช้การปกครองแบบพ่อปกครองลูก

4. กษัตริย์ต้องปกครองตามระบบคุณธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมไทยสมัยพุทธศตวรรษที่ 19

5. ฐานะของผู้ปกครองยังไม่แตกต่างหรืออยู่ห่างจากราษฎรมากนัก

8.              ข้อใดคือหลักธรรมที่สำคัญสำหรับผู้ปกครอง

1. อิทธิบาท 4          

2. ทศพิธราชธรรม 

3. กาลามสูตร                 

4. สังคหวัตถุ 4

ตอบ  2      หน้า 94 คัมภีร์ธรรมศาสตร์ ซึ่งเชื่อว่าแพร่หลายขึ้นมาถึงเขตสุโขทัยด้วย ได้กล่าวถึงหลักธรรมที่สำคัญสำหรับผู้ปกครอง หรือหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์ว่าประกอบไปด้วยหลักธรรม 10 ประการ หรือเรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” และหลักธรรม 4 ประการ หรือเรียกว่า “ราชจรรยานุวัตร”

9. ไตรภูมิพระร่วงเป็นที่เชื่อกันว่าใครเป็นผู้พระราชนิพนธ์

1. พ่อขุนรามคำแหง                                              

2. พระมหาธรรมราชาลิไทย

3. พระเจ้าอู่ทอง                                                     

4. รัชกาลที่ 4

ตอบ  2      หน้า 96, 105, 584 พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นจอม ปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนา พระองค์แรกของประเทศไทย เนื่องจากทรงเรียนรู้พระไตรปิฎกอย่างแตกฉานจนสามารถพระราชนิพนธ์หนังสือที่ เป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถาซึ่งถือเป็นหลัก ฐานที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัยได้เป็น อย่างดี

10.  ข้อใดคือลักษณะสถาบันกษัตริย์ของล้านนาที่แตกต่างจากสุโขทัย

1. ไม่เน้นความสูงส่งของจักรพรรดิราช                            

2. กษัตริย์ใช้หลักธรรมราชา

3. นำอุดมการณ์เทวราชมาใช้                                              

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  1      หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการอ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดั่งพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย

11.           โครงสร้างจักรวาลตามคติศาสนาพราหมณ์มีสิ่งใดเป็นศูนย์กลาง
1. ทะเลน้ำนม                         
2. เขาไกรลาส                         
3. เขาพระสุเมรุ                      
4. ป่าหิมพานต์
ตอบ  3      หน้า 99 คติทางศาสนาพราหมณ์ที่เชื่อมโยกับระบบเทวราช คือ คติที่ว่าราชธานีของโลกมนุษย์จะต้องสร้างให้เป็นรูปจำลองของจักรวาล อาณาจักรของมนุษย์จึงจะเจริญรุ่งเรืองสืบไป ทั้งนี้ โครงสร้างของจักรวาลตามคติของศาสนาพราหมณ์นั้นจะมีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง และเขาพระสุเมรุจะตั้งอยู่ใจกลางของชมพูทวีปซึ่งเป็นรูปกลม
12.           ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบเทวราชา
1.       กษัตริย์ได้รับการส่งเสริมให้เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า
2.       พระราชพิธีบรมราชภิเษก พราหมณ์จะเป็นผู้กระทำให้
3.       เครื่องราชูปโภคถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์                     
4.       ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 99 การปกครองแบบเทวราช หมายถึง การปกครองที่กษัตริย์ได้รับการส่งเสริมให้มีสถานะสูงส่งเป็นองค์อวตารของ เทพเจ้า ซึ่งการที่กษัตริย์จะอ้างเป็นองค์อวตารของเทพเจ้าได้นั้นจะต้องผ่านพระราช พิธีบรมราชาภิเษกที่พวกพราหมณ์เป็นผู้กระทำให้เสียก่อน และเมื่อทรงเป็นดังเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะต้องมีหลักปฏิบัติพิเศษ สำหรับพระองค์ เช่น การใช้ราชาศัพท์พระราชวังที่ประทับและเครื่องราชูปโภคของพระองค์ถือเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
 
13.           เทวดาหรือยักษ์ที่เป็นผู้รักษาทิศทั้ง 4 เรียกว่าอะไร
1. ยกบาล                 
2. ทวารบาล                             
3. จาตุรงคบาท                        
4. จตุโลกบาล
ตอบ  4      หน้า 99, (คำบรรยาย) คติพราหมณ์มีความเชื่อว่า ในระบบจักรวาล (Universe หรือ Macrocosmos) มีทิศหลักที่สำคัญอยู่ 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ซึ่งแต่ละทิศจะมีเทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาลอยู่ประจำรวมทั้งหมด 4 ตน เรียกว่า โลกาปะละ หรือจตุโลกบาล
 
14.           ในสมัยพระเจ้าอู่ทองมีการนำการปกครองแบบใดมาใช้
1. เทวราช                
2. ธรรมราชา                  
3. จักรพรรดิราช                     
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 119 ในสมัยพระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งอยุธยา ได้มีการนำการปกครองแบบเทวราชมาใช้ควบคู่กับแนวทางธรรมราชา และพระจักรพรรดิราชดังปรากฏหลักฐานจากพระนามของพระเจ้าอู่ทองในคำปรารถของ พระไอยการลักษณะเบ็ดเสร็จซึ่งมีทั้งคำว่ารามาธิบดี (เทวราชา) จักรพรรดิราชาธิราช (พระจักรพรรดิราช) และพระพุทธิเจ้าอยู่หัว (ธรรมราชา)
 
15.           พระที่นั่งอัฐทิศเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งใด
1. ทิศทั้ง 4 ในจักรวาล                                           
2. ทิศทั้ง 8 ในจักรวาล
3. ศูนย์กลางจักรวาล                                              
4. ไม่มีข้อถูก
ตอบ  2      หน้า 123 แนวความคิดเกี่ยวกับพระจักรพรรดิราช ถือเป็นที่มาของการที่พระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งอัฐทิศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนทิศทั้ง 8 ในจักรวาล ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมทั้งยังเป็นที่มาของพระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครทั้งทางชลมารคและสถลมารค ภายหลังพระราชพิธีราชาภิเษก ซึ่งเป็นการแสดงว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงครอบครองทั่วทุกทิศแล้ว
 
16.           ข้อใดหมายถึงกฎมณเฑียรบาล
1. เป็นหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และราชวงศ์
2. เป็นกฎที่เน้นแสดงความเป็นธรรมราชาของกษัตริย์
3. เป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
4. ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย
ตอบ  1      หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงสุดดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ “กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรกที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหา กษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลัก ปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี
 
17.           คำว่า “สมเด็จหน่อพุทธางกูร” มีความหมายอย่างใด
1. กษัตริย์                                                                 
2. ผู้เป็นเชื้อสายกษัตริย์
3. ผู้เป็นเชื้อสายของพระพุทธเจ้า                       
4. ผู้เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า
ตอบ  3      หน้า 126 กฎมณเฑียรบาลได้กำหนดยศของพระราชโอรสของพระมหากษัตริย์ที่ประสูติจาก อัครมเหสีไว้ คือ สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า หรือสมเด็จหน่อพุทธางกูร ซึ่งมีความหมายถึงผู้เป็นเชื้อสายของพระพุทธเจ้า
 
18.           ข้อใดคือปัจจัยการแย่งชิงอำนาจพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา
1. ไม่มีกฎหมายบัญญัติตำแหน่งรัชทายาทอย่างเด่นชัด                   
2. ความเชื่อในเรื่องบุญบารมี
3. ประชาชนยอมรับพระมหากษัตริย์ในลักษณะสถาบันมากกว่าบุคคล
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 138-140 ปัจจัยที่เป็นที่มาของการแย่งชิงอำนาจพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา คือ
1.       ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงตำแหน่งรัชทายาทอย่างแน่ชัด
2.       ความเชื่อถือเรื่องผู้มีบุญบารมี
3.       ประชาชนยอมรับพระมหากษัตริย์ในลักษณะสถาบันมากกว่าบุคคล
4.       สถานะที่สูงส่งและความมั่นคงของกษัตริย์เป็นสิ่งล่อใจให้แก่ผู้ใฝ่อำนาจ
5.       การแย่งชิงราชสมบัติไม่ใช่สิ่งยากเย็นนัก ซึ่งทำได้เพียงแค่ยึดพระราชวังก็ยึดอำนาจได้
6.        
 
19.           ในสมัยอยุธยา พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาต้องกระทำปีละกี่ครั้ง
1. 1 ครั้ง                                   
2. 2 ครั้ง                                   
3. 3 ครั้ง                                   
4. กี่ครั้งก็ได้
ตอบ  2      หน้า 126, 140 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยู่ในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัยดังหลักฐานจากพระ ราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ข้าราชการต้องถวายสักการะพระเชษฐ บิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูปของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองค์) โดยจะต้องกระทำปีละ 2 ครั้ง
 
20.           รายได้ของพระมหากษัตริย์ที่สำคัญมาจากที่ใด
1. อากรที่เก็บจากการประกอบอาชีพต่างๆ ของราษฎร  
2. ส่วยที่เก็บจากหัวเมืองต่างๆ
3. ส่วยบรรณาการจากประเทศราช
4. การค้าขาย
ตอบ  4      หน้า 143 ในบรรดาแหล่งรายได้ของพระมหากษัตริย์อยุธยา รายได้จากการค้าขายเป็นรายได้ที่สำคัญและมีจำนวนมากที่สุด ลำพังรายได้ที่มาจากอากร ส่วย และค่าธรรมเนียมต่างๆไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่าย เพราะอัตราที่เรียกไม่ได้สูงนัก และพระมหากษัตริย์ก็มิได้ทรงรับเต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากรายได้เหล่านี้ต้องกระเส็นกระสายไปในหมู่ข้าราชการที่มีหน้าที่ เกี่ยวข้องและไม่มีเงินเดือนประจำ จึงได้เบียดบังบางส่วนเป็นรายได้ส่วนตัว
21.           ในสมัยอยุธยาส่วนให้ใช้นโยบายใดในการปกครองประเทศราช
1. การปกครองทางอ้อม                                        
2. การปกครองทางตรง
3. การแบ่งแยกและปกครอง
4. ผนวกประเทศราชเป็นของอยุธยา
ตอบ  1      หน้า 169-170 นโยบายของอยุธยาในการปกครองประเทศราชส่วนใหญ่จะใช้การปกครองทางอ้อม (Indirect Rule) คือ การให้เจ้านายดั้งเดิมของประเทศราชได้ปกครองตนเองต่อไปแต่ต้องส่งบรรณาการมา ให้ตามกำหนดเวลา และเกณฑ์ทัพมาช่วยอยุธยาถ้าได้รับคำสั่ง ซึ่งนับเป็นนโยบายที่ผ่อนคลายความตึงเครียดของประเทศราชได้ดีกว่า และทำให้อยุธยามีอำนาจได้ยาวนานกว่าการปกครองทางตรง
22.           กลองวินิจฉัยเภรี มีไว้เพื่ออะไร
1. ตีบอกเวลา           
2. ตีเมื่อเวลาจะทำศึก
3. ร้องทุกข์
4. ไม่มีข้อถูก
ตอบ  3      หน้า 186-187 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการรื้อฟื้นประเพณีการร้องทุกข์ของราษฎร โดยจัดตั้งกลองชื่อวินิจฉัยเภรีไว้หน้าพระราชวัง เพื่อให้ราษฎรที่มีเรื่องทุกข์ร้อนสามารถมาตีกลองร้องทุกข์และยื่นฎีกาได้ ซึ่งจะมีนายตำรวจเวรเป็นผู้ออกมารับเรื่องราวเพื่อนำขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระ มหากษัตริย์
 
23.           ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์อุดมการณ์การปกครองใดเด่นชัดที่สุด
1. ธรรมราชา           
 
2. คติความเชื่อดั้งเดิมของไทย             
 
3. เทวราชา              
 
4. ถูกทุกข้อ
 
ตอบ  1      หน้า 183, 187 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ลักษณะธรรมราชาเป็นอุดมการณ์การปกครองที่มีความสำคัญเด่นชัดที่สุด ในขณะที่แนวทางการปกครองแบบเทวราชาจะถูกลดความสำคัญไปโดยมีความพยายามเพิ่ม ความเป็นมนุษย์ให้กับสถาบันกษัตริย์มากขึ้น และเริ่มลดสถานะอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพเจ้าของพระมหากษัตริย์ลงจาก แต่ก่อน
 
24.           การปกครองในสมัยใดที่เพิ่มความเป็นมนุษย์ให้กับสถาบันกษัตริย์มากขึ้น
1. ล้านา                    
 
2. สุโขทัย                 
 
3. อยุธยา     
 
4.  รัตนโกสินทร์
 
ตอบ  4      ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ
 
25.           ในสมัยรัชกาลใดที่โปรดฯ ให้ยกเลิกการยิงกระสุนใส่ตาราษฎรที่เงยหน้ามองพระมหากษัตริย์
1. รัชกาลที่ 1                           
 
2. รัชกาลที่ 2                           
 
3. รัชกาลที่ 3                           
 
4. รัชกาลที่ 4
 
ตอบ  2      หน้า 188-189 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ (รัชกาลที่ 2) โปรดฯ ให้ยกเลิกการยิงกระสุนใส่ตาราษฎรที่เงยหน้าขึ้นมองพระมหากษัตริย์ เพียงแต่ให้องครักษ์เงื้อง่าอาวุธห้ามมิให้ราษฎรมองพระมหากษัตริย์เท่านั้น
 
26.           พระมหากษัตริย์รัชกาลใดที่ทรงดื่มน้ำสาบานในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพระองค์แรก
1. รัชกาลที่ 1                           
 
2. รัชกาลที่ 2                           
 
3. รัชกาลที่ 3                           
 
4. รัชกาลที่ 4
 
ตอบ  4      หน้า 199 รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงดื่มน้ำสาบานในพระราชพิธีถือน้ำพระ พิพัฒน์สัตยา ซึ่งแสดงว่าทรงยอมรับว่าพระมหากษัตริย์ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชน จึงควรเป็นการให้คำมั่นสัญญากันทั้งสองฝ่าย มิใช่ประชาชนมีหน้าที่ถวายสัตย์สาบานต่อพระมหากษัตริย์อยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อ ไป
 
27.           เพราะเหตุใดจึงมีการจัดพิมพ์ราชกิจจานุเบกษา
1. เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่างๆ
 
2. ป้องกันขุนนางไม่ให้ทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร
 
3. เพื่อเป็นแบบเรียนแก่ราษฎร                           
 
4. ถูกทั้ง ข้อ 1 และ 2
 
ตอบ  4      หน้า 199-200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเป็นรายสัปดาห์ที่เรียกว่า “ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปิดหนทางที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร
 
28.           พระสยามเทวิราช สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลใด
1. รัชกาลที่ 2                           
 
2. รัชกาลที่ 3                           
 
3. รัชกาลที่ 4                           
 
4. รัชกาลที่ 5
 
ตอบ  3      หน้า 202 รัชกาลที่ 4 ทรงเน้นอยู่เสมอว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีบารมีสูง เทวดาจึงคอยช่วยเหลือเกื้อกูล และปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ยังทรงผนวชอยู่นั้นเป็นเพราะบารมีของพระองค์ที่จะได้ ครองราชสมบัติต่อไป ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้เองทำให้ทรงสร้างพระสยามเทวาธิราชขึ้น
 
29.           เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นปกครองประเทศทรงปฏิรูปด้านใดก่อนเป็นอันดับแรก
1. การคลัง                  
2. ระบบบริหารราชการ
3. ระบบสังคม
4. การศึกษา
ตอบ  1      หน้า 205 เมื่อรัชกาลที่ 5  เสด็จ ขึ้นปกครองประเทศด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงเร่งปฏิรูปด้านการคลังก่อนด้านอื่นเป็นอันดับแรก จากนั้นการปฏิรูประบบบริหารราชการและระบบสังคมก็ตามมา เพื่อสร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้แก่อาณาจักรไทยในช่วงที่จักรวรรดินิยมตะวัน ตกกำลังมีความรุนแรงถึงขีดสุด ซึ่งส่งผลให้อำนาจบริหารมารวมศูนย์ที่องค์พระมหากษัตริย์มากขึ้น
 
30.           ในสมัยรัชกาลที่ 5 กลุ่มเสนาบดีตระกูลใดที่มีอำนาจอย่างมาก
1. ณ บางช้าง                           
2. บุนนาค
3. นิมมานเหมินทร์
4. อมาตยกุล
ตอบ  2      หน้า 214, 404 ในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 เมื่อพระมหากษัตริย์ยังทรงต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเป็นเวลาที่สถาบัน กษัตริย์มีอำนาจตกต่ำลงอย่างที่สุด ในขณะที่อำนาจของขุนนางหรือเสนาบดีตระกูลบุนนาคที่มีผู้นำ คือ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในขณะนั้นกลับมีอำนาจอย่างมากจนขึ้นถึงจุด สูงสุด
31.           พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีวิธีควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนอย่างไร
1. ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนครองเมือง                                          
 
2. ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นแม่ทัพ
 
3. ให้ราษฎรฟ้องร้องลูกเจ้าลูกขุนได้                 
 
4. ออกกฎหมายให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นขุนธรรม
ตอบ  3      หน้า 276 พระมหากษัตริย์สุโขทัยทรงควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนด้วยวิธีการดังนี้
1.       ให้ไพร่หรือราษฎรฟ้องร้องกล่าวโทษลูกเจ้าลูกขุนได้โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ และพยายามตัดสินความให้อย่างยุติธรรม
2.       ปลูกฝังให้ลูกเจ้าลูกขุนทำตัวเป็นขุนธรรม มิใช่ขุนมาร เพราะขุนธรรมเท่านั้นจึงจะอยู่ในอำนาจได้นาน (แต่ไม่ได้ออกเป็นกฎหมายบังคับ)
32.           เหตุใดลูกเจ้าลูกขุนต้องมีความรู้ดีทางศาสนา
1. เพื่อประโยชน์ในการปกครอง                                                    
 
2. ลูกเจ้าลูกขุนมีหน้าที่สนับสนุนพุทธศาสนา
 
3. ลูกเจ้าลูกขุนมีหน้าที่สั่งสอนศีลธรรมประชาชนด้วย 
 
4. ถูกทุกข้อ
 
ตอบ  4      หน้า 272, (คำบรรยาย) ความรู้ทางศาสนาเป็นศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่สำคัญสำหรับลูกเจ้าลูกขุนเนื่อง จากศาสนามีอิทธิพลสำคัญและมีประโยชน์ต่อแนวทางการปกครองของสุโขทัยเป็นอย่าง มาก เช่น หลักทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และราชจรรยานุวัตร ทั้งนี้เพราะหน้าที่สำคัญของกษัตริย์และลูกเจ้าลูกขุน คือ เป็นผู้สั่งสอนประชาชนให้รู้บุญรู้ศีลธรรม และเสริมสร้างบารมีด้วยการบำรุงและสนับสนุนพุทธศาสนา
 
33.           ข้อใดถูกต้องตามกฎหมายล้านนา
1.       ลูกเจ้าลูกขุนทำผิดถูกลงโทษหนักกว่าสามัญชน
2.       ทรัพย์สินของลูกเจ้าลูกขุนถูกตีค่าให้ต่ำกว่าของสามัญชน
3.       นายช้างต้องหลีกทางให้นายม้า
4.       ถูกทุกข้อ
ตอบ  1      หน้า 275 สิทธิและวิธีคานอำนาจลูกเจ้าลูกขุนล้านนามีดังนี้              1. มีสิทธิหาผลประโยชน์จากนาขุมราชการหรือนาขุมการเมือง แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างแท้จริง                    2. ทรัพย์สินของลูกเจ้าลูกขุนถูกตีค่าหรือตีราคาสูงกว่าของสามัญชน               3. ถ้าลูกเจ้าลูกขุนตายโดยไม่ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินต้องตกเป็นของรัฐ (ยกเว้นเจ้าขุนนั้นมีความดีความชอบทางราชการจะยึดมาเพียงครึ่งหนึ่ง) แต่ถ้าเจ้าขุนสั่งเรื่องมรดกไว้ก็ให้เป็นไปตามนั้น                       4. เมื่อทำความผิดจะถูกลงโทษปรับหนักกว่าสามัญชน แม้จะเป็นความผิดชนิดเดียวกัน ฯลฯ
 
34.           ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบไพร่ของสุโขทัยและล้านนา
1. ทำให้รัฐได้ใช้แรงงานไพร่ได้เต็มที่                              
 
2. ทำให้ไพร่ไม่ต้องเสียภาษี
 
3. ทำให้ไพร่มีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว                        
 
4. ถูกทุกข้อ
 
ตอบ  1      หน้า 273, 283 ระบบไพร่ของสุโขทัยและล้านนา คือ การจัดไพร่ให้สังกัดมูลนายที่เป็นลูกเจ้าลูกขุน โดยมูลนายจะต้องคอยดูแลให้ไพร่อยู่ในภูมิลำเนา คอยเกณฑ์ไพร่มาทำงานตามกำหนดเวลา ควบคุมให้ไพร่อยู่ในกฎหมาย และควบคุมเรื่องการเก็บภาษีอากรจากไพร่ซึ่งระบบไพร่ที่มีการจัดการที่ดีถือ เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้รัฐสามารถดึงประโยชน์ทั้งด้านแรงงานและส่วยจากไพร่มา ใช้ได้อย่างเต็มที่
 
35.           หลักฐานใดที่แสดงว่าสุโขทัยมีทาส
1. มีหลักฐานเกี่ยวกับการหลบหนีของข้า                         
 
2. มีหลักฐานเกี่ยวกับข้าพระอาราม
 
3. มีการเลี้ยงดูเชลยศึกไว้ใช้งาน                                         
 
4. ถูกทุกข้อ
 
ตอบ  4      หน้า 289-290 หลักฐานสุโขทัยได้กล่าวถึงทาสอยู่หลายแห่ง ได้แก่         1.จารึกสุโขทัยหลักที่ 1 กล่าวถึงการกวาดต้อนเชลยศึก “มาเลี้ยงมาขุน” โดยไม่ฆ่า และนำมาใช้งานเมื่อต้องการ             2. จารึกหลักที่ 2 กล่าวถึงการซื้อคนปล่อยที่ตลาด                                 3. จารึกหลักที่ 38 กล่าวถึงข้าหลบหนีนาย     4. จารึกหลักที่ 15 กล่าวถึงการยกข้าและลูกสาวลูกชายให้เป็นข้าพระอาราม ฯลฯ
 
36.           “เข้าเดือน ออกเดือน” หมายถึงสิ่งใด
1. จำนวนวันการเกณฑ์ไพร่หลวงในสมัยอยุธยา            
 
2. จำนวนวันการเกณฑ์ไพร่สมในสมัยอยุธยา
 
3. การเกณฑ์ไพร่หลวงในสมัยรัตนโกสินทร์                  
 
4. การเกณฑ์ไพร่สมในสมัยรัตนโกสินทร์
 
ตอบ  1      หน้า 340 คำว่า “เข้าเดือน ออกเดือน” หมายถึง จำนวนวันการเกณฑ์ไพร่หลวงในสมัยอยุธยาโดยไพร่หลวงจะถูกเกณฑ์แรงงานปีละ 6 เดือน แต่อาจมาทำงาน 1 เดือน ออกไปอยู่บ้าน 1 เดือนสลับกันไปได และเวลามาทำงานต้องนำข้าวปลาอาหารมาเอง เพราะทางราชการจะไม่เลี้ยงดูอย่างใดแต่ถ้าไพร่หลวงไม่ต้องการมาให้แรงงานจะ ส่งเงินมาแทนก็ได้ เรียกว่า “เงินค่าราชการ”
 
37.           “ข้อยมาเป็นข้า” สมัยล้านนา เทียบได้กับทาสชนิดใดในสมัยอยุธยา
1. ทาสสินไถ่                           
 
2. ทาสขัดดอก                         
 
3. ทาสเชลย                             
 
4. ทาสในเรือนเบี้ย
 
ตอบ  3      หน้า 290, 351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสของล้านนามี 5 ชนิด คือ
1.       ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของ ซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา
2.       ลูกข้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา
3.       มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา
4.       ฉิบหายด้วยความผิดจึงเข้าเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา
5.       ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา
 
38.           ชนชั้นใดในสมัยสุโขทัยไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ
1. ไพร่           
 
2. ขุนนางชั้นผู้น้อย                    
 
3. ลูกเจ้าลูกขุน          
 
4. ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
 
ตอบ  4      หน้า 274-275, 278, (คำบรรยาย) สิทธิพิเศษของลูกเจ้าลูกขุนในสมัยสุโขทัย คือ ไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน มีไพร่อยู่ในสังกัดได้ และไม่ต้องเสียภาษี เพราะในหลักฐานสุโขทัยกล่าวเฉพาะแต่การที่ลูกเจ้าลูกขุนเป็นผู้เก็บภาษีจาก ไพร่เท่านั้น ส่วนข้าราชการระดับล่างหรือขุนนางชั้นผู้น้อยจะมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ต่าง จากไพร่มากนัก เพียงแต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานและไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ
 
39.           พบศพชายไทยนอนตายอยู่ริมแม่น้ำ พลิกศพดูพบว่าปรากฏชื่อมูลนายติดอยู่ที่ข้อมือ ถามว่าศพดังกล่าวน่าจะเป็นคนไทยสมัยใด
1. สุโขทัย                 
 
2. ล้านนา                 
 
3. อยุธยา                  
 
4. ธนบุรี
 
ตอบ  4      หน้า 392, 417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุง ธนบุรีเป็นต้นมา โดยได้กำหนดให้สักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเสียงอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันมิให้ไพร่หลวงสูญหาย หรือมิให้ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายเหมือนสมัยก่อน
 
40.           การสักข้อมือไพร่เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ
1. เพื่อความงาม           
 
2. เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี      
 
3. เพื่อรู้ชื่อมูลนาย       
 
4. เพื่อรู้จักภูมิลำเนาไพร่
 
ตอบ  2      ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

 

41.           ข้อใดมิใช่คุณสมบัติของการถวายตัวเป็นขุนนาง

1. วุฒิ 4                    

2. อธิบดี 4        

3. พรหมวิหาร 4                     

4. คุณานุรูป

ตอบ  3      

42.           การถวายตัวเป็นขุนนางในสมัยอยุธยาเมื่อมีอายุเท่าไร

1. 21 ปี                     

2. 25 ปี                     

3. 31 ปี                                     

4. 35 ปี

ตอบ  3      หน้า 316, (ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ) คุณสมบัติของผู้ที่จะถวายตัวเป็นขุนนางในสมัยอยุธยาประการหนึ่ง คือ ต้องประกอบด้วยวุฒิ 4 ประการ ได้แก่

1.       ชาติวุฒิ คือ เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากอัครมหาเสนาบดี

2.       วัยวุฒิ คือ มีอายุตั้งแต่ 31 ปีขึ้นไป

3.       คุณวุฒิ คือ เป็นผู้มีความรู้ฝ่ายทหารและพลเรือนชำนิชำนาญ

4.       ปัญญาวุฒิ คือ มีสติปัญญาดี รอบรู้ในกิจการบ้านเมือง และเรื่องนานาประเทศ

43.           ลักษณะ การไหว้โดยการประนมมือให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว ผู้หญิงถอยเท้าข้างที่ถนัดไปข้างหลัง พร้อมย่อเข่าลง ประนมมือไหว้ ถามว่าเป็นการไหว้ผู้ใด

1. ไหว้คนทั่วไป                    

2. ไหว้คนเสมอกัน                

3. ไหว้ผู้อาวุโส                       

4. ไหว้พระ

ตอบ  3      (คำ บรรยาย) การไหว้บิดามารดาหรือผู้ที่มีพระคุณและผู้มีอาวุโสอันเป็นที่เคารพยิ่ง คือ ลักษณะการไหว้โดยการยกมือประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรวดปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้วผู้ชายให้ค้อมตัวลง ประนมมือไหว้ ส่วนผู้หญิงถอยเท้าข้างที่ถนัดไปข้างหลัง พร้อมกับย่อเข่าลงประนมมือไหว้

44.           การทำความเคารพศพแบบไทยข้อใดถูก

1. กราบ 3 ครั้งแบมือ                                            

2. กราบ 1 ครั้งแบมือ

3. กราบ 1 ครั้งไม่แบมือ                                        

4. ถวายคำนับหรือถอนสายบัว

ตอบ  3      (คำ บรรยาย) การทำความเคารพศพแบบไทยที่ถูกต้อง ให้นั่งคุกเข่าราบทั้งชายและหญิงจากนั้นจุดธูป 1 ดอก (ถ้าเป็นศพพระจุด 3 ดอก) ประนมมือยกธูปขึ้นให้ปลายนิ้วชี้อยู่ระหว่างคิ้วตั้งจิตขอขมาต่อศพ แล้วปักธูปลงบนที่สำหรับปักธูป จากนั้นนั่งพับเพียบหมอบกราบแบบกระพุ่มมือตั้ง 1 ครั้ง (ไม่แบมือ) พร้อมอธิษฐานให้ดวงวิญญาณศพไปสู่สุคติ แล้วลุกขึ้น ถ้าเป็นศพของผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเราไม่ต้องกราบหรือไหว้ เมื่อปักธูปลงแล้วให้นิ่งสงบและอธิษฐานเท่านั้น

45.           ค่านิยมของสังคมสุโขทัยได้แก่เรื่องใด

1. อย่านั่งชิดผู้ใหญ่                                                               

2. ท่านสอนอย่าสอนตอบ

3. ผู้ใหญ่ต้องควบคุมอารมณ์เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้น้อย           

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4      หน้า 294 ค่านิยมของสังคมสุโขทัยได้กำหนดหลักปฏิบัติระหว่างผู้ใหญ่และผู้น้อยไว้ คือ ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นฝ่ายมีอำนาจ ถูกกำหนดให้มีความยุติธรรม เมตตากรุณา ให้รางวัลแก่ผู้น้อยที่มีความดีความชอบ และรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองเวลาอยู่ต่อหน้าผู้น้อย ส่วนผู้น้อยถูกกำหนดให้มีความจงรักภักดี กตัญญูกตเวที และเคารพยำเกรงผู้ใหญ่ ดังคำสอนให้ “อย่านั่งชิดผู้ใหญ่” และ “ท่านสอนอย่างสอนตอบ” เป็นต้น

46.           พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายเกี่ยวกับเจ้านายอย่างไร

1. ให้เจ้านายทุกพระองค์มีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง      

2. ให้เจ้านายได้ควบคุมอำนาจบริหารมากกว่าขุนนา

3. พยายามควบคุมจำนวนเจ้านายไว้ด้วย                           

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  3      หน้า 305, 313, 322-323 พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายคานอำนาจเจ้านาย ดังนี้

1.       ควบคุมจำนวนเจ้านาย โดยกำหนดผู้มีสิทธิเป็นเจ้านายมีได้เพียง 3 ชั่วอายุคน คือ ในชั่วลูก หลาน และเหลนเท่านั้น

2.       ลดความสูงศักดิ์ของเจ้านายลงทุกชั่วคน จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้านายมีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง

3.     ไม่ให้เจ้านายได้ควบคุมการบริหารกรมกองสำคัญในส่วนกลาง และไม่ให้เป็นเจ้าเมืองในส่วนภูมิภาค แต่ให้ขุนนางมีอำนาจหน้าที่นี้แทน

4.       ควบคุมจำนวนไพร่สมของเจ้านาย ฯลฯ

47.           เหตุใดเจ้านายในสมัยอยุธยาจึงได้ “ทรงกรม”

1. เพื่อให้เจ้านายได้เป็นเสนาบดี                                       

2. เพื่อให้จ้านายได้ปกครองไพร่หลวง

3. เพื่อให้เจ้านายได้ปกครองไพร่สมจำนวนหนึ่ง           

4. เพื่อให้เจ้านายเป็นเจ้าเมือง

ตอบ  3      หน้า 308 การทรงกรมของเจ้านายในสมัยอยุธยา คือ การปกครองบังคับบัญชากรมซึ่งเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรฯ เป็นต้นมา เพื่อเป็นสิ่งทดแทนการที่เจ้านายเคยได้ครองเมืองในอดีต และเพื่อไม่ให้เจ้านายหมดอำนาจไปเสียทีเดียว พระมหากษัตริย์จึงทรงให้เจ้านายได้บังคับบัญชากรมและได้ปกครองไพร่สมจำนวน หนึ่ง แต่จะมีจำนวนมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับศักดินาของเจ้านาย

48.           ไพร่ในสมัยอยุธยาทำสิ่งใดไม่ได้

1. ยกมรดกให้ลูกหลาน                                                                        

2. เดินทางย้ายถิ่นอย่างเสรี

3. เข้าหาผลประโยชน์จากที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้                    

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  2      หน้า 345, 350, (คำบรรยาย) สิทธิของไพร่ในสมัยอยุธยามีอยู่หลายประการ เช่น ไพร่มีสิทธิในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้ และมีสิทธิเข้าหาผลประโยชน์จากที่ดินนั้น รวมถึงมีสิทธิที่จะขายหรือยกเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานได้ ฯลฯ แต่เมื่อไพร่ต้องอยู่ในระบบไพร่ ทำให้สิทธิบางอย่างของไพร่ถูกลิดรอนไป เช่น ไพร่ถูกควบคุมเรื่องการเคลื่อนไหว จึงไม่สามารถเดินทางย้ายถิ่นอย่างเสรี และต้องมาให้แรงงานตามกำหนด ฯลฯ

49.           พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงมีนโยบายเกี่ยวกับไพร่สมอย่างไร

1. เกณฑ์แรงงานไพร่สมมาใช้ทางราชการมากกว่าไพร่หลวง                     

2. พยายามลดจำนวนไพร่สม

3. พยายามเพิ่มจำนวนไพร่สม                                                                             

4. ไม่ให้ไพร่สมย้ายไปเป็นไพร่หลวง

ตอบ  2      หน้า 339 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงพยายามลดจำนวนไพร่สม เพื่อลิดรอนอำนาจของเจ้านายซึ่งเป็นมูลนายของไพร่สมส่วนใหญ่ และเพิ่มจำนวนไพร่หลวงเพื่อความมั่นคงของพระมหากษัตริย์จึงมีการออกกฎหมาย ห้ามจดทะเบียนลูกหลานของไพร่หลวงเป็นไพร่สม แต่ไพร่สมสามารถย้ายไปเป็นไพร่หลวงได้เสมอ

50.           ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบทาสในสมัยอยุธยา

1. นายเงินขึ้นค่าตัวทาสไม่ได้                                              

2. นายเงินมีสิทธิไม่รับค่าตัวทาสได้

3. นายเงินใช้ทาสเข้าคุกแทนตัวเองไม่ได้                        

4. ไม่มีข้าพระอาราม                              

ตอบ  1      หน้า 352, 354-356 ระบบทาสในสมัยอยุธยา นายเงินมีสิทธิเหนือทาสดังนี้

1. ใช้งานทาสได้ทุกอย่าง                  

2. ใช้ทาสไปรับโทษหรือเข้าคุกแทนตนได้ แต่ถ้าทาสขายขาดไปรับโทษแทนนายเงินจะมิได้ลดค่าตัวและไถ่ถอนตัวเป็นอิสระไม่ได้                              

3. ใช้ทาสไปรบแทนตนได้                

4. ลงโทษทาสได้แต่ต้องไม่ทำให้ทาสนั้นพิการหรือตายไป          

5. ขายทาสต่อไปได้ แต่ขึ้นราคาค่าตัวทาสตามใจชอบไม่ได้ และถ้าทาสมีเงินมาไถ่ตัว นายเงินจะไม่ยอมรับค่าตัวทาสไม่ได้ ฯลฯ

51.           การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร
1. ใช้กำหนดบทลงโทษบุคคล                                            
2. ใช้กำหนดยศให้กับบุคคล
3. ใช้กำหนดที่ดินที่จะให้บุคคลถือครอง
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  1      หน้า 309, 359-360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและกำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่างๆ ดังนี้
1.     เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่างๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม
2.       เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด
3.       เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พลในสังกัด
4.       เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่าง
52.           ข้อใดที่ศักดินาของบุคคลมีการเปลี่ยนแปลง
1. เมื่อบุคคลนั้นได้เลื่อนยศ                                                  
2. เมื่อบุคคลนั้นได้ทรงกลม
3. เมื่อบุคคลนั้นถูกลงโทษลดยศลดตำแหน่ง
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 309, 358, (คำบรรยาย) การกำหนดให้บุคคลมีศักดินากันคนละเท่าใดนั้นจะกำหนดจากยศตำแหน่ง และความรับผิดชอบในหน้าที่ราชการ ดังนั้นศักดินาของบุคคลจะมีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้ เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง หรือได้ทรงกรม และศักดินาจะมีการเปลี่ยนแปลงลดต่ำลงเมื่อบุคคลนั้นถูกลงโทษโดยลดยศลด ตำแหน่ง
 
53.           ในระบบศักดินาของไทย ใครคือผู้ที่มีศักดินาสูงสุดในแผ่นดิน
1. พระเจ้าแผ่นดิน                                                 
 
2. สมเด็จพระสังฆราช
 
3. กรมพระราชวังบวรสถานมงคล                     
 
4. สมเด็จเจ้าพระยา
 
ตอบ  3      หน้า 309, 357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์จะได้รับพระราชทาน ศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหน่งโดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในแผ่นดิน คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาต่ำสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่
 
54.           ยศสูงสุดของขุนนางคือ “สมเด็จเจ้าพระยา” เริ่มมีครั้งแรกในสมัยใด
1. สุโขทัย                 
 
2. อยุธยา                  
 
3. ธนบุรี                   
 
4. รัตนโกสินทร์
 
ตอบ  3      หน้า 319, 405, (คำบรรยาย)  ยศสมเด็จเจ้าพระยา ถือเป็นยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทยจะมีอยู่ทั้งหมด 4 องค์ คือ
1.       สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ (ทองด้วง) หรือรัชกาลที่ 1 ในเวลาต่อมา
2.       สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิส บุนนาค)
3.       สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค)
4.       สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
 
55.           ข้อใดถูกต้องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
1. ขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์                             
 
2. ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดบทบาทไป
 
3. ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากเจ้าภาษีเลย                        
 
4. ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางหนีไปเป็นไพร่สมกันมาก
 
ตอบ  1      หน้า 400-404 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่
1.       ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์
2.       ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางที่หลบหนีไปเป็นไพร่สมมีจำนวนลดลง ทำให้ขุนนางมีความมั่นคงมากขึ้น
3.       คณะเสนาบดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์
4.       ขุนนางจำนวนหนึ่งได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร
5.       ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดเด่นที่สุดตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ฯลฯ
 
56.           ไพร่ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสิทธิร้องทุกข์โดยตรงครั้งแรกในรัชกาลใด
1. รัชกาลที่ 3                           
 
2. รัชกาลที่ 4                           
 
3.รัชกาลที่ 5                            
 
4. รัชกาลที่ 6                           
 
ตอบ  2      หน้า 199, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไพร่มีสิทธิร้องทุกข์โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก โดยพระองค์ทรงอนุญาตให้ไพร่เข้าเฝ้าถวายฎีกาได้อย่างใกล้ชิด และจนเสด็จออกรับฎีกาด้วยพระองค์เองเดือนละ 4 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้มูลนายไม่กล้าข่มเหงรังแกไพร่ดังแต่ก่อน
 
57.           การเปิดประเทศมีผลต่อไพร่อย่างไร
1. ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานมากขึ้น                                         
 
2. ไพร่เสียเงินค่าราชการมากขึ้น
 
3. ไพร่ปลูกข้าวมากขึ้น                                                         
 
4. ถูกทุกข้อ              
 
ตอบ  3      หน้า 416, 242 ภายหลังการเปิดประเทศ เศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนจากระบบผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเอง มากเป็นระบบผลิตเพื่อส่งออก ทำให้ความสำคัญของไพร่ในฐานะแรงงานและผู้ส่งส่วยลดลงไปมาก แต่ไพร่จะมีบทบาทสำคัญยิ่งในด้านการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรเพื่อส่งออก โดยเฉพาะการปลูกข้าว ซึ่งได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญที่สุดของไทย
 
58.           ปัญหาการเมืองที่เกิดจากชาวจีนในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัยได้แก่เรื่องใด
1. ชาวจีนมักแข็งข้อต่อขุนนางไทย                                    
 
2. ชาวจีนต่อต้านชาวตะวันตก
 
3. ชาวจีนนิยมไปเป็นคนในบังคับตะวันตก                     
 
4. ชาวจีนต่อต้านระบบเจ้าภาษีนายอากร
 
ตอบ  3      หน้า 439 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ชาวจีนได้ก่อปัญหาทางการเมืองให้แก่รัฐบาลไทยโดยการตั้งสมาคมลับของชาวจีน หรืออั้งยี่ขึ้นหลายกลุ่ม และมีกิจกรรมหลายด้านที่ทำผิดกฎหมายไทย แต่พวกอั้งยี่ก็สามารถลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทยได้  เพราะคน จีนจำนวนมากนิยมไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับตะวันตกชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็สามารถขึ้นศาลกงสุลของชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียน ไว้ และตำรวจไทยจะจับกุมตัวได้ก็ต่อเมื่อกงสุลของชาตินั้นอนุมัติแล้วเท่านั้น
 
59.           พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย พ.ศ. 2417 มีผลอย่างไร
1. ลูกทาสลูกไทบางส่วนได้เป็นไท                                    
 
2. ลูกทาสทุกระดับอายุได้เป็นไท
 
3.ลูกไททุกระดับอายุได้เป็นไทย                                         
 
4. มีการห้ามซื้อขายลูกไททันทีที่ประกาศ พ.ร.บ. นี้        
 
ตอบ  1      หน้า 433 ขั้นตอนแรกในการดำเนินงานเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 คือ ทรงออก พ.ร.บ. พิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทยจุลศักราช 1236 หรือ พ.ศ. 2417 ขึ้น ซึ่งมีผลให้ลูกทาสและลูกไทยบางส่วนสามารถหาเงินมาไถ่ตนเป็นอิสระได้ง่ายขึ้น และจะเป็นอิสระได้ทีเดียวในปี พ.ศ. 2432 ดังนั้นลูกทาสและลูกไทจึงถือเป็นทาสที่ได้รับการปลดปล่อยเป็นพวกแรกใน ประวัติศาสตร์
 
60.           คุณสมบัติต่อไปนี้เป็นลักษณะเด่นของคนไทย ถามว่าข้อใดเป็นลักษณะด้อยที่สุดของคนไทย
1. จิตใจโอบอ้อมอารี             
 
2. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่                    
 
3. อ่อนน้อมถ่อมตน               
 
4. มีระเบียบวินัย
 
ตอบ  4      (คำ บรรยาย) ลักษณะนิสัยเด่นที่เป็นจุดด้อยที่สุดของคนไทย คือ ความมีระเบียบวินัยทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวมๆ ซึ่งทำให้มีลักษณะยืดหยุ่นไม่ยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว ดังนั้นคนไทยจึงมีระเบียบวินัยค่อนข้างน้อย และชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ดังคำพังเพยที่ว่า “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้”
61.           พื้นฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยตั้งแต่โบราณมาคือเรื่องใด
1. การอุตสาหกรรม               
2. การเกษตรกรรม
3. การประมง
4. การค้าขาย
ตอบ  2      หน้า 469, (คำบรรยาย) อาชีพหลักของราษฎรไทย คือ การเกษตรกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสังคมไทยตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะการทำนาถือเป็นอาชีพหลักของราษฎรไทยมาตั้งแต่ยุคต้นๆ รองลงมาก็คือ การทำไร่ทำสวนต่างๆ
62.           เศรษฐกิจแบบหมู่บ้านเป็นอย่างไร
1.       คือการเพาะปลูกพืชสำหรับบริโภคอย่างพอเพียงสำหรับผู้คนในชุมชนต่างๆ
2.       คือการปลูกพืชสำหรับบริโภคและขายระหว่างหมู่บ้าน
3.       คือการร่วมกันลงทุนงานด้านอุตสาหกรรมในครัวเรือนภายในหมู่บ้าน
4.       คือการแลกเปลี่ยนสินค้าภายในชุมชนต่างๆ
ตอบ  1      หน้า 469 ลักษณะเศรษฐกิจโดยกว้างๆ ของสังคมไทย จะเริ่มต้นจากการเป็นเศรษฐกิจแบบหมู่บ้านก่อน คือ การเพาะปลูกพืชสำหรับบริโภคอย่างพอเพียงของผู้คนในชุมชนต่างๆ ซึ่งพืชที่ว่านี้ก็คือข้าว ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านพ้นการก่อตั้งบ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยาจึงทำให้การตั้งถิ่นฐานทำมาหากินของราษฎรยังคงยึดแนวง่ายๆ
 
63.           อาชีพอะไรเป็นอาชีพหลักของราษฎรไทยมาตั้งแต่ยุคต้นๆ
1. การค้าขายตามแม่น้ำลำคลอง                                          
2. การรับจ้างถางป่า
3. การทำนา                                                                             
4. การเลี้ยงสัตว์
ตอบ  3      ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ
 
64.           เหตุใดเศรษฐกิจของสุโขทัยจึงจำกัดเพียงการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง
1. ลักษณะภูมิศาสตร์ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย                    
2. ผู้ปกครองไม่สนับสนุนการเพราะปลูก
3. ผู้ปกครองไม่สนับสนุนการเลี้ยงสัตว์                            
4. สุโขทัยไม่ต้องการค้าขายกับต่างประเทศ
ตอบ  1      หน้า 482-483 เศรษฐกิจของสุโขทัย เป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองหรือเลี้ยงประชากรของอาณาจักร เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย จึงมีลักษณะเป็นการผลิตเพื่อบริโภคและแลกเปลี่ยนกันเองภายในมิใช่การผลิต เพื่อขาย รวมทั้งไม่มีการแข่งขันและไม่จำเป็นต้องพึ่งตลาดหรือผลิตเพื่อสนองความต้อง การของตลาด ทำให้ชาวสุโขทัยมีการดำรงชีวิตที่มั่นคงด้านเศรษฐกิจ เพราะสามารถพึ่งตนเองและมีชีวิตอยู่บนพืชผักผลไม้ที่ปลูกเอง จึงเป็นลักษณะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วัฒนธรรมชาวบ้าน” ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของเศรษฐกิจสุโขทัย
 
65.           ลักษณะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วัฒนธรรมชาวบ้าน” เป็นลักษณะเฉพาะของสมัยใด
1. สุโขทัย                                                 
2. อยุธยา                  
3. ธนบุรี                   
4. รัตนโกสินทร์
ตอบ  1      ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ
 
66.           ผู้ปกครองสุโขทัยสร้างงานด้านชลประทานอย่างไร
1. การสร้างสรีดภงส์                                             
2. การขุดสระเรียกว่าตระพัง
3. การสร้างเหมืองฝาย                                          
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 473-475 สุโขทัยจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัดเพราะเป็นหนองบึงจำนวนมากและ มีปัญหาเรื่องน้ำ ดังนั้นผู้ปกครองสุโขทัยจึงได้ช่วยเหลือกสิกรในการเพาะปลูกทั้งทางตรงและทาง อ้อมหลายประการ ได้แก่                
1 การช่วยเหลือทางด้านการชลประทาน เช่น การสร้างสรีดภงส์ (เขื่อนเก็บกักน้ำ ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักน้ำไว้ภายในหุบเขา) การขุดสระที่เรียกว่าตระพังและสร้างเหมืองฝายเป็นทำนบกั้นน้ำ      
2 ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ราษฎรมีความวิริยะอุตสาหะหักร้างถางพง เพื่อสร้างเป็นไร่เป็นนาเป็นสวน ฯลฯ
 
67.           เหตุใดการประมงของสุโขทัยจึงจำกัดเฉพาะการประมงน้ำจืด
1. สุโขทัยไม่มีเรือใหญ่                                                         
2. สุโขทัยไม่มีเครื่องมือจับปลาน้ำลึก
3. ผู้ปกครองไม่สนับสนุนการประมงทะเล                      
4. ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ  4      หน้า 475 แหล่งจับปลาน้ำจืดของสุโขทัยที่มีปลาอุดมสมบูรณ์ที่สุด คงได้แก่ ในแม่น้ำยมตอนใกล้แก่งหลวง ส่วนการจับปลาทะเลนั้นคงจะจับกันแต่เพยงริมฝั่งทะเลในอ่าวไทยเท่านั้นเพราะ ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีเรือใหญ่ที่ใช้เป็นพาหนะในการออกไปจับปลา ในทะเลลึก นอกจากนี้เครื่องมือจับปลาน้ำลึกในสมัยนั้นก็คงยังไม่มีใช้
 
68.           สินค้าส่งออกของสุโขทัยที่ทำรายได้มากที่สุดคืออะไร
1. ผ้าไหม                                 
2. เครื่องสังคโลก                   
3. ข้าว                                       
4. อ้อย
ตอบ  2      หน้า  479, 483 สินค้าส่งออกที่สำคัญและขึ้นชื่อของสุโขทัย คือ เครื่องปั้นดินเผา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เครื่องสังคโลก” ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ใหญ่โตและรุ่งเรืองมาก จนกลายเป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่สำคัญที่สุดของสุโขทัย ดังหลักฐานสมัยสุโขทัยที่ระบุว่า “คงทำรายได้ให้รัฐมากทีเดียว”
 
69.           “ใครจักใคร่ค้าช้าค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า…” คือนโยบายอะไรของสุโขทัย
1. ผูกขาดการค้าสัตว์อื่นๆ ยกเว้นช้างและม้า                    
2. สนับสนุนการขายช้างและม้ามากที่สุด
3. นโยบายการค้าเสรี                                                            
4. นโยบายกึ่งผูกขาด
ตอบ  3      หน้า 480 ข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “…เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้าใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า” หมายความว่า ผู้ปกครองส่งเสริมนโยบายการค้าอย่างเสรี โดยราษฎรสามารถค้าขายสินค้าต่างๆ ได้ตามความต้องการ
 
70.           ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูก
1. สุโขทัยไม่มีเงินตราใช้                                                      
2. สุโขทัยยุคต้นๆ เก็บภาษีจกอบ
3. ชาวนาต้องเสียภาษีข้าว                                                    
4. สุโขทัยไม่เก็บภาษีเพิ่มจากเดิมที่เคยเก็บมา
ตอบ  1      หน้า 481-482, (คำบรรยาย) การเก็บภาษีและเงินตราที่ใช้ในสมัยสุโขทัยมีดังนี้    
1 สุโขทัยในยุคต้นๆ จะเก็บภาษีที่เรียกว่า “จกอบ” (ภาษีผ่านด่าน) แต่พอมาถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงให้ยกเลิกการเก็บภาษีนี้เสีย                
2 ชาวนาต้องเสียภาษีข้าว 1 ส่วน จากผลผลิตข้าว 10 ส่วน  
3 ผู้ปกครองสุโขทัยมีนโยบายไม่เก็บภาษีเพิ่มจากเดิมที่เคยเก็บมาแต่โบราณ                      
4 สุโขทัยจะใช้เงินตราที่เรียกว่า “เงินพดด้วง” และเบี้ย (เปลือกหอย) เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนในการซื้อขาย
71.           พื้นฐานทางเศรษฐกิจของอยุธยาคือข้อใด
1. การค้าขาย           
2. การอุตสาหกรรม               
3. การทำเหมืองแร่ 
4. การเกษตรกรรม
ตอบ  4      หน้า 510 พื้นฐานทางเศรษฐกิจของอยุธยาจะเป็นการเกษตรกรรมเช่นเดียวกับสุโขทัยแต่มีข้อ แตกต่างคือ อยุธยาเป็นอาณาจักรกว้างใหญ่ตั้งอยู่ในเขตมรสุมซึ่งนำฝนมาส่วนแม่น้ำเจ้า พระยาก็นำปุ๋ยมาสู่ไร่นา ทำให้มีสภาพพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของอยุธยาดีกว่าสุโขทัย
72.           ปัจจัยอะไรช่วยให้เศรษฐกิจอยุธยาดี
1. สภาพพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์                                            
2. ราษฎรขยันทำนา
3. มีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ทันสมัย                  
4. การค้ากับตะวันตกรุ่งเรือง
ตอบ  1      ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
 
73.           ผู้ปกครองอยุธยาสนับสนุนการทำนาเห็นได้จากนโยบายอะไร
1. การขยายเนื้อที่เพาะปลูก                                  
2. กฎหมายป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว
3. การส่งเสริมแรงงานทำนา                               
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 346, 489-491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนการทำนาปลูกข้าวดังนี้ 
1. ขยายเนื้อที่ทำนาเพาะปลูก                               
2. คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยมีกฎหมายลงโทษผู้ทำลายต้นข้าวอย่างรุนแรง                   
3. ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาเป็นแนวทางสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่น                   
4. ส่งเสริมแรงงานในการเพาะปลูก                     
5. ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท           
6. การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รับบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด
 
74.           ป่าไม้สมัยใดกินพื้นทีกว่าครึ่งอาณาจักร
1. สุโขทัย                                 
2. อยุธยา                  
3. ธนบุรี                   
4. รัตนโกสินทร์
ตอบ  2      หน้า 495 พ่อค้าชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งบันทึกไว้ว่า ป่าไม้ของอาณาจักรอยุธยามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก กินพื้นที่กว่าครึ่งของอาณาจักร และมีสภาพหนาทึบมากจนแทบจะผ่านเข้าไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงให้ความไว้วางใจแก่ป่าของตน เพราะเปรียบได้กับเป็นกำแพงปราการป้องกันศัตรูที่จะมารุกรานได้
 
75.           ในบรรดาไม้หอมต่อไปนี้ ไม้ใดราคาแพงที่สุด
1. ไม้จันทน์                             
2. ไม้ฝาง                  
3. ไม้กฤษณา                           
4.ไม้กระลำพัก
ตอบ  4      หน้า 496, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา ไม้กระลำพำเป็นไม้หอมที่ได้รับความนิยมมากกว่าไม้หอมชนิดอื่น เพราะมีกลิ่นหอมกว่า ดังนั้นจึงเป็นไม้ที่มีราคาแพงมากและหายากที่สุดเนื่องจากไม้กระลำพักเกิด แต่เฉพาะในใจกลางต้นสลัดไดป่าและต้นตาตุ่มทะเล และเป็นท่อนเล็กๆ ซึ่งมีสีดำเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อต้องการหากระลำพักจึงต้องฟันต้นไม้ชนิดที่จะเกิดกระลำพักลง หลายต้น แต่ก็ได้กระลำพักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
 
76.           เศรษฐกิจรัตนโกสินทร์มีข้อต่างไปจากสมัยก่อนๆ อย่างไร
1. เป็นลักษณะเศรษฐกิจแบบผูกขาด                                   
 2. มีการนำระบบพระคลังสินค้ามาใช้
3. มีการนำเทคโนโลยีตะวันตกมาช่วยเรื่องอาชีพของราษฎร  
 
4. มีการยึดธุรกิจต่างชาติให้เป็นของรัฐบาล
 
ตอบ  3      หน้า 515 การดำเนินชีวิตของชาวไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงเป็นแบบเดียวกับสมัย อยุธยา แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4-7 มีการพัฒนาอาชีพต่างๆ ของคนไทยกว้างขวางมากขึ้นและแตกต่างไปจากเดิม คือ มีการนำหลักวิทยาการและเทคโนโลยีตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับอาชีพของราษฎร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งเสริมการทำนา การทำสวน การทำไร่ การเลี้ยงสัตว์ การจับสัตว์น้ำ การบำรุงรักษาสัตว์น้ำ การจัดการกับป่าไม้สักของรัฐบาล การทำเหมืองแร่ดีบุก เป็นต้น
 
77.           กษัตริย์องค์ใดส่งเสริมแรงงานทำนาโดยอนุญาตให้ไพร่ขณะมารับราชการกลับบ้านไปทำนาในหน้านาได้
1. รัชกาลที่ 1                           
2. รัชกาลที่ 2                           
3. รัชกาลที่ 3                           
4. รัชกาลที่ 4
ตอบ  4      หน้า 518 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้
1.       ส่งเสริมแรงงานในการทำนา โดยอนุญาตให้ไพร่ขณะมารับราชการกลับบ้านไปทำนาในหน้านาได้
2.       เปิดให้ขายข้าวออกนอกประเทศ เพื่อช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีกว่าแต่ก่อน
3.       แนะนำพันธุ์ข้าวที่จะทำรายได้ให้กับชาวนา
4.       ขจัดอุปสรรคเรื่องน้ำและคดีความต่างๆ ที่จะขัดขวางการทำนา
5.       ยินดีรับความรู้ความก้าวหน้าทางวิชาการของชาวตะวันตก
 
78.           การขุดคลองขยายเนื้อที่เพาะปลูกเริ่มจริงจังสมัยใด
1. รัชกาลที่ 1                           
2. รัชกาลที่ 3                           
3. รัชกาลที่ 5                           
4. รัชกาลที่ 6
ตอบ  3      หน้า 519-521 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นสมัยที่มีการส่งเสริมและทำนุบำรุงการทำนาปลูกข้าวอย่างจริงจังยิ่งกว่า สมัยใดๆ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริมในกิจกรรมการทำนาแทบ ทุกด้าน ดังนี้   
1. การขุดคลองขยายเนื้อที่เพาะปลูก
2. การจัดหาพันธ์ข้าวที่มีคุณภาพ                      
3. การจัดหาเครื่องมือทำนาที่ทันสมัย
 
79.           รัชกาลใดทรงยกเว้นชายฉกรรจ์อายุระหว่าง 25-30 ปี ไม่ต้องไปรับราชการทหาร เพื่อให้ไปทำนา
1. รัชกาลที่ 1                           
2. รัชกาลที่ 3                           
3. รัชกาลที่ 5                           
4. รัชกาลที่ 6
ตอบ  4      หน้า 521-522 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้
1.       แก้ปัญหาการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่มณฑลทางใต้
2.     แก้ปัญหาแรงงาน โดยยกเว้นการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ ซึ่งมีอายุระหว่าง 25-30 ปี ไม่ต้องไปรับราชการทหาร แต่ให้ไปทำนาแทน
3.       แก้ปัญหาการถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ในเรื่องความไม่เที่ยงตรงของเครื่องชั่งตวงวัด
 
80.           ในรัชกาลที่ 5 กรมราชโลหะกิจและภูมิวิทยามีหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องอะไร
1. การทำประมง                     
2. การทำเหมืองแร่                 
3. การป่าไม้                             
4. การค้า
ตอบ  2      หน้า 536, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการจัดตั้งกรมราชโลหะกิจและภูมิวิทยาใน พ.ศ.2434 เพื่อให้ทำหน้าที่ควบคุมกิจการทำเหมืองแร่ของประเทศ ซึ่งผู้ที่ประสงค์จะขออนุญาตตรวจแร่ต้องขออนุญาตจากกรมดังกล่าวเพื่อให้ออก ท้องตราอนุญาตให้ จากนั้นผู้ขอจะต้องนำท้องตราไปขออนุญาตเจ้าเมืองอีกที จึงจะลงมือสำรวจแหล่งแร่ได้

 

81.           เหตุใดมนุษย์สมัยโบราณจึงนับถือธรรมชาติ
1. เพราะเกิดมาก็พบธรรมชาติรอบตัว                               
2. เพราะเชื่อว่าธรรมชาติมีวิญญาณสิงอยู่
3. เพราะเชื่อว่าธรรมชาติทำให้เกิดทุกข์สุขแก่มนุษย์     
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 570, (คำบรรยาย) ความเชื่ออันดับแรกของมนุษย์ คือ การบูชานับถือธรรมชาติทั้งนี้เพราะตั้งแต่มนุษย์เกิดมาก็ได้พบธรรมชาติรอบ ตัว เช่น ความมืด ความสว่าง ฯลฯ ซึ่งมีผลให้มนุษย์มีทุกข์หรือสุขได้ ดังนั้นมนุษย์จึงคิดว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะธรรมชาติมีพลังอำนาจที่ จะบันดาลความสุขหรือทุกข์ให้แก่ตนได้ อีกทั้งธรรมชาติเหล่านั้นยังมีวิญญาณสิงอยู่
82.           พุทธศาสนานิกายใดที่มีเรื่องไสยศาสตร์ ผีสางเทวดา และเวทมนต์คาถาอาคมเข้าไปแทรกซึมอยู่มาก
1. เถรวาท                                
2. อาจาริยวาท                         
3. วัชรยาน                               
4. มหายาน
ตอบ  3      (คำ บรรยาย) พุทธสาสนานิกายวัชรยานหรือวัชรวาท เป็นพุทธศาสนาที่เกดขึ้นหลังนิกายเถรวาทและนิกายอาจาริยวาทหรือมหายาน ซึ่งจะมีเรื่องไสยศาสตร์เกี่ยวกับผีสางเทวดาและเวทมนต์-คาถาอาคมเข้ามาแทรก ซึมอยู่มาก โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพุทธศาสนาของประชาชน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังหวาดกลัวต่อภัยอันตรายซึ่งเชื่อว่ามีผีร้ายเป็นผู้ กระทำขึ้น ครั้นเมื่อมีสิ่งใดที่สามารถป้องกันภัยเหล่านั้นได้ ประชาชนก็จะยอมรับนับถือด้วยความยินดี
 
83.           พระพุทธศาสนาลัทธิกาวงศ์ถือคติอย่างหินยาน พระไตรปิฎกใช้ภาษาอะไร
1. บาลี                                      
2. มคธ                      
3. สันสกฤต                             
4. ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ  4      หน้า 581-582, (คำบรรยาย) พระพุทธสาสนาลัทธิลังกาวงศ์นั้นจะถือคติอย่างหินยานพระไตรปิฎกจะใช้ภาษามคธ (ภาษาบาลี) ซึ่งเมื่อไทยนับถือลัทธิลังกาวงศ์ พระสงฆ์ไทยจึงเลิกศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาสันสกฤตอย่างแต่ก่อน และเปลี่ยนมาศึกษาภาษามคธ (ภาษาบาลี) นับตั้งแต่นั้นมา
 
84.           พุทธศาสนาลัทธิหินยานอย่างลังกาวงศ์แพร่หลายอยู่ที่เมืองใดก่อนขึ้นมาสู่สุโขทัย
1. นครศรีธรรมราช                               
2. นครปฐม                             
3. อยุธยา                  
4. เพชรบุรี
ตอบ  1      หน้า 582 พระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา ได้นำพุทธศาสนาลักทธิเถรวาทหรือหินยานแบบลังกาวงศ์มาเผยแผ่ที่เมืองนครศรี ธรรมราชก่อน จนกระทั่งประมาณ พ.ศ. 1800 เมื่อพ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปยังหัวเมืองฝ่ายใต้ ทรงเกิดความเลื่อมใสในพระสงฆ์เหล่านี้จึงทรงอาราธนาให้พระสงฆ์นำพระพุทธ ศาสนาลัทธิเถรวาทหรือหินยานอย่างลังกาวงศ์มาเผยแผ่และประดิษฐานที่เมือง สุโขทัย
 
85.           ความเชื่อในศาสนาของคนไทยแต่โบราณเชื่อรวมๆ กัน ได้แก่อะไรบ้าง
1. ผีสางเทวดา                         
2. ไสยศาสตร์                          
3. พุทธศาสนา                        
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 573 ชนชาติไทยแต่โบราณจะนับถือศาสนาต่างๆ ซ้อนกันประดุจรูปเจดีย์ คือ นับถือผีสางเทวดาเปรียบเหมือนเป็นพื้นฐานของเจดีย์ ถัดขึ้นไปก็เป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และสูงสุดก็คือพระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนยอดเจดีย์ ซึ่งความเชื่อทั้ง 3 นี้จะมีการนับถือคละเคล้าปะปนกัน จนในที่สุดก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
 
 
86.           อิทธิพลของพุทธศาสนาที่มีต่อคนไทยสมัยโบราณคืออะไร
1. ทำลายความเชื่อถือเดิมเรื่องผีสางเทวดา
2. ลดการกระทำบางอย่างที่รุนแรงให้เบาลง
3. ทำให้คนไทยยึดมั่นในหลักธรรมของพุทธศาสนาเท่านั้น
4. ทำให้คนไทยเลิกเชื่อในไสยศาสตร์และความงมงาย
ตอบ  2      หน้า 572-573, (คำบรรยาย) แม้ว่าพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นในหมู่ชนที่นับถือผีสางเทวดาก็ตามแต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยทรงประกาศว่าพุทธศาสนามีขึ้นเพื่อทำลายเรื่องผีสางเทวดา ดังนั้น เมื่อคนไทยนับถือพุทธศาสนาแล้ว คติความเชื่อเดิมในเรื่องผีสางเทวดาก็ยังคงอยู่ โดยมีการปรับปรุงคติผีสางเทวดาให้เข้ากันได้กับพระพุทธศาสนา และลดการกระทำหรือพิธีกรรมบางอย่างที่รุนแรงให้เบาลง เช่น เปลี่ยนการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อบูชายัญให้มีลักษณะอย่างอื่นไป
 
87.           เหตุใดพุทธสาสนาลัทธิมหายานจึงเจริญและแพร่หลาย
1. ได้รับความสนับสนุนจากพระเจ้ากนิษกะ                      
2. ได้รับความสนับสนุนจากพระเจ้าอโสกมหาราช
3. มีหลักที่เคร่งครัดกว่าลัทธิหินยานจึงเป็นที่เลื่อมใส
4. ลัทธิหินยานเสื่อมโทรมไม่เป็นที่นิยม
ตอบ  1      หน้า 576 พระพุทธศาสนาลัทธิมหายานเจริญแพร่หลายและมีศาสนิกชนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์อินเดียแห่งราชวงศ์กุษาณะที่ทรงเลื่อมใสลัทธิมหายาน และโปรดฯ ให้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยโดยใช้ภาษาสันสกฤตจารึกพระไตรปิฎกส่งผลให้พระพุทธ ศาสนามีพระไตรปิฎก 2 ฉบับ คือ 1. ฉบับภามคธของฝ่ายหินยาน  2. ฉบับภาษาสันสกฤตของฝ่ายมหายาน
 
88.           กษัตริย์องค์ใดโปรดฯ ให้จำลองรอยพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฎ เมืองสิงหล ลังกา นำมาประดิษฐานยังศรีสัชนาลัย
1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์        
2. พ่อขุนรามคำแห่ง
3. พญาลิไทย
4. พญาไสยลือไทย
ตอบ  3      หน้า 584-585, (คำบรรยาย) ในสมัยพญาลิไทยนิยมสร้างวัดกันมาก โดยอาคารที่สร้างได้แก่ กุฏิพระสงฆ์ วิหาร และพุทธศาลา ส่วนโบสถ์ยังไม่นิยมสร้าง นอกจากนี้พญาลิไทยยังโปรดฯ ให้สร้างปูชนียสถานที่สำคัญ เช่น ศิลาจารึก และการจำลองรอยพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฎ เมืองสิงหล ประเทศลังกา แล้วนำมาประดิษฐานยังเมืองศรีสัชนาลัย
 
 
89.           ความเลื่อมใสในพุทธศาสนาของคนไทยสมัยอยุธยาแสดงออกให้เห็นด้านใด
1.       ความสนใจอย่างลึกซึ้งในหลักปรัชญาของพุทธสาสนา
2.       การเผยแผ่หลักธรรมของพุทธสาสนาอย่างกว้างขวาง
3.       คนไทยสมัยอยุธยาไม่ยอมนับถือศาสนาอื่น
4.       การสร้างวัด การทำบุญทำงาน
ตอบ  4      หน้า 589-592, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงถึงความเจริญและความเลื่อมใสในพระพุทธสานาของคนไทยในสมัยอยุธยา จะสังเกตได้จากการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนทำนุบำรุงพระพุทธสาสนาด้วยการ สร้างและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีทางพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญทำทาน การตักบาตร การบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่างๆ ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ที่ต้องมีพิธีสงฆ์เป็นองค์ประกอบ เป็นต้น
 
90.           ข้อใดไม่ใช่พระราชกรณียกิจสำคัญของกษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา
1. การสร้างวัด                                                                        
2. การบูรณปฏิสังขรณ์วัด
3. การแก้ไขระเบียบการปกครองคณะสงฆ์
4. การสนับสนุนประเพณีบวชเรียน
ตอบ  3      หน้า 593-595, 605, (คำบรรยาย) พระราชกรณียกิจทางด้านศาสนาของกษัตริย์ไทยสมัยอยุธยา นอกจากจะทรงบูรณะปฎิสังขรณ์วัด สร้างวัดวาอาราม หรือสนับสนุนและบำรุงรักษาประเพณีบวชเรียนแล้ว ก็ยังทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีทางด้านพุทธสาสนาอีกด้วยทั้งนี้เพ่อให้หลักธรรม หรือเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนาได้เจริญแพร่หลายยิ่งขึ้น (ส่วนการแก้ไขระเบียบการปกครองคณะสงฆ์เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
91.           ข้อความใดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัดในพระพุทธศาสนากับคนไทยสมัยอยุธยา
1. วัดเป็นที่ที่ผู้คนมีโอกาสพบปะกันในวันทำบุญและเทศกาลต่างๆ
2. เป็นธรรมเนียมที่ลูกผู้ชายต้องบวชเรียน 1 พรรษา
3. วัดเปรียบเสมือนโรงเรียนให้การศึกษา
4. ถูกทุกข้อ
ตอบ  4      หน้า 590, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ระหว่างวัดในพระพุทธศาสนากับคนไทยสมัยอยุธยามีดังนี้   
1. วัดเป็นที่ที่ผู้คนมีโอกาสพบปะกันในวันทำบุญและเทศกาลต่างๆ          
2. วัดเป็นที่ระงับคดีวิวาทของชาวบ้าน           
3. วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางสงฆ์ โดยเฉพาะประเพณีการบวชเรียน ซึ่งในสมัยอยุธยาถือเป็นธรรมเนียมว่าลูกผู้ชายต้องบวชเรียน 1 พรรษา   
4. วัดเปรียบเสมือนโรงเรียนให้การศึกษาด้านอักษรศาสตร์และวิชาอาชีพอื่นๆ แก่กุลบุตร
92.           การทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 พ.ศ. 2331 สะท้อนสิ่งใด
1.       ความเสื่อมโทรมของพระพุทธศาสนาสมัยอยุธยาตอนปลาย
2.       ความสนใจบำรุงพระพุทธศาสนาของรัชกาลที่ 2
3.       ความคิดริเริ่มของคณะสงฆ์ไทยในการชำระพระไตรปิฎก
4.       ประชาชนเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก
ตอบ  1      หน้า 597-598 สาเหตุที่รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 ใน พ.ศ. 2331 เป็นเพราะนับตั้งแต่อยุธยาเสียงกรุงให้แก่พม่าครั้งสุดท้ายใน พ.ศ. 2310 บ้านเมืองก็ระส่ำระสายและพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนปลายเสื่อมโทรมมาก จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำการสังคายนารวบรวมพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้สมบูรณ์ อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า “พระไตรปิฎกฉบับทอง”
 
93.           นับเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่รัชกาลที่ 2 ทรงประกอบพิธีนี้ คือพิธีอะไร
1. วิสาขบูชา                            
2. มาฆบูชา
3. อาสาฬหบูชา
4. เข้าพรรษา
ตอบ  1      หน้า 599-600 รัชกาลที่ 2 ทรงมีกระราชกรณียกิจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังนี้
1. การปฏิสังขรณ์วัด                          
2. ปฏิรูปและแก้ไขการสอบพระปริยัติธรรมขึ้นใหม่     
3. การสร้างพระไตรปิฎกฉบับรดน้ำแดง              
4. การส่งสมณฑูตรไปลังกา              
5. ฟื้นฟูให้มีการประกอบพิธีวิสาขบูชา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประกอบพิธีนี้ และกลายเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน    
6. การเรียบเรียงหนังสือโอวาทานุศาสนี    
 
94.           เหตุใดการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดในรัชกาลที่ 3 จึงรุ่งเรืองกว่าสมัยใดๆ
1.  ความศรัทธาอย่างแรงกล้าของพระมหากษัตริย์และประชาชน
2.  การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรือง พ่อค้าเอกชนมีรายได้มาก
3.  ความเชื่อว่าการสร้างวัดเป็นบุญกุศลสูงสุด
4.  ความ ศรัทธาอย่างแรงกล้าของพระมหากษัตริย์และประชาชน การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรือง พ่อค้าเอกชนมีรายได้มาก และความเชื่อว่าการสร้างวัดเป็นบุญกุศลสูงสุด
ตอบ  4      หน้า 601, (คำบรรยาย) สาเหตุที่การสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดในสมัยรัชกาลที่ 3 เจริญรุ่งเรืองกว่าสมัยใดๆ ได้แก่
1.       ความศรัทธาอย่างแรงกล้าของพระมหากษัตริย์และประชาชน
2.       เป็นสมัยที่มีความสบปราศจากสงคราม
3.       การค้ากับต่างประเทศรุ่งเรือง ทำให้ประเทศมีรายได้
4.       พ่อค้าเอกชนร่ำรวมและมีรายได้มาก จึงนิยมสร้างวัด
5.       ความเชื่อที่ว่าการสร้างวัดเป็นบุญกุศลสูงสุด ฯลฯ               
 
95.           มหาเถรสมาคม เริ่มมีครั้งแรกตาม พ.ร.บ. ปกครองคระสงฆ์ฉบับใด
1. ฉบับ พ.ศ. 2445                  
2. ฉบับ พ.ศ. 2484
3. ฉบับ พ.ศ. 2506
4. ฉบับ พ.ศ. 2520
ตอบ  1      หน้า 605-606 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตรา พ.ร.บ. ปกครองคระสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้คณะสงฆ์มีระเบียบแบบแผนที่มั่นคงกว่าเดิม และทำให้พระสงฆ์เริ่มมีบทบาทปกครองตนเอง เนื่องจากได้มีการรวมตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ทั้ง 4 และพระราชาคณะเจ้าคระรองทั้ง 4 ให้เป็นมหาเถรสมาคม ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ในการพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์ทั่วไป
 
96.           การบวงสรวงและการบัตรพลีสังเวยเทวดาของชาวไทย ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของลัทธิในข้อใด
1. ศาสนาพุทธเถรวาท                                          
2. ศาสนาพุทธมหายาน
3. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
4. ศาสนาอิสลาม
ตอบ  3      หน้า 640 ประเพณีไทยบางประเทศมักมีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูผสมผสานอยู่ด้วย เช่น ประเพณีโกนจุกจะมีทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ ส่วนประเพณีทำบุญอายุและทำขวัญนอกจากจะทำบุญตามคติทางพระพุทธศาสนาแล้ว มักมีการบวงสรวงและทำบัตรพลีสังเวยเทวดาตามลัทธิศาสนาพราหมณ์อีกด้วย
 
97.           ชนชาติแรกที่เข้ามาค้าขายและเผยแผ่สาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือชนชาติใด
1. โปรตุเกส             
2. ฮอลันดา
3. อังกฤษ
4. ฝรั่งเศส
ตอบ  1      หน้า 640 โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับไทยตั้งแต่รัชกาล สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามาไทยมากขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชิราชที่ 4 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของตนให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้าขาย และเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก
 
98.           ข้อความในข้อใดถูกต้อง เมื่อกล่าวถึงศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดู
1. ศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดูไม่มีศาสดา
2. ศาสนาฮินดูนับถือพระเจ้าองค์เดียว
3. ศาสนาพราหมณ์นิยมบวงสรวงพระศิวะ
4. คำว่า “พราหมณ์” มาจากชื่อของศาสดาในศาสนาพราหมณ์
ตอบ  1      หน้า 636 ศาสนาพราหมณ์และศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดาแต่เป็นศาสนาในรูปของปรัชญาและเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม (Polytheisim) คือ มีการนับถือเทพเจ้าหลายองคืนอกจากนี้พิธีกรรมของศาสนาทั้ง 2 ก็จะแตกต่างกันกล่าวคือ ศาสนาพราหมณ์ (มาจากชื่อคำสอนหรือลัทธิพราหมณ์) จะนิยมการบูชาบวงสรวงต่อพระพรหมเป็นส่วนใหญ่ แต่ศาสนาฮินดูมีเทพเจ้ามากมายและมีฤทธิ์เดชต่างกัน จึงนิยมบูชาเทพเจ้าหลายองค์แยกออกไปให้เป็นที่พอพระทัยของเทพแต่ละองค์
 
99.           ประเพณีใดที่มีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของสังคม
1. จารีตประเพณี                    
2. ขนบประเพณี
3. ธรรมเนียมประเพณี
4. วิถีประชาชน
ตอบ  1      หน้า 653-654, (คำบรรยาย) จารีตประเพณีหรือกฎศีลธรรม (Mores) คือ ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม จึงเป็นกฎที่มีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของสังคม มีการบังคับให้ปฉิบัติตามและมีความรู้สึกรุนแรงถ้าใครฝ่าฝืน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความผิดถูก หรือความนิยมที่ยึดถือและถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการเลียนแบบหรือสั่งสอน เช่น การสมรสแบบผัวเดียวเมียเดียวหรือเมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าลงไปลูกหลานต้องเลี้ยงดู พี่น้องต้องรักกันเป็นต้น
100.       ข้อใดไม่ใช่ความหายของธรรมเนียมประเพณี
1. เป็นประเพณีที่ไม่ถือผิดทางศีลธรรม                             
2. เป็นประเพณีที่มีระเบียบแบบแผนวางไว้
3. เป็นประเพณีเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไป
4. เป็นแนวทางของการปฏิบัติที่ทุกคนเคยชิน
ตอบ  2      หน้า 654, (คำบรรยาย) ธรรมเนียมประเพณี (Convention) คือ ประเพณีที่ไม่ถือผิดทางศีลธรรม แต่ประพฤติกันมาตามธรรมเนียมอย่างนั้น ดังนี้จึงเป็นประเพณีเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไปที่ไม่มีระเบียบแบบแผนวางไว้เหมือนกับขนบประเพณี และไม่มีความผิดถูกเหมือนกับจารีตประเพณีหรือกฎศีลธรรม แต่เป็นเพียงแนวทางในการปฏิบัติที่ทุกคนเคยชินและไม่รู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่

 

101.       ศิลปกรรมไทยมีประโยชน์ในการศึกษาพื้นฐานวัฒนธรรมไทย เพราะเหตุใด

1.       เป็นข้อมูลสนับสนุนทางประวัติศาสตร์

2.       ทำให้แยกวัฒนธรรมไทยแท้จริงออกจากวัฒนธรรมอื่นได้

3.       ศีลปกรรมไทยมีอัตลักษณะไม่รับอิทธิพลศิลปะสกุลช่างใด

4.       ศิลปะใช้อธิบายกำเนิดและที่มาของชนชาติไทยได้

ตอบ  2      หน้า 681, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่สมบูรณ์กว่าด้านอื่นๆ เพราะการแสดงออกทางศิลปกรรมของไทยแต่ละสมัยจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากศิลปะของเขมรหรือชวา ดังนั้น ศิลปกรรมจึงให้ประโยชน์ในการศึกษาพื้นฐานทางวัฒนธรรมไทย เนื่องจากทำให้แยกวัฒนธรรมไทยแท้จริงออกจากวัฒนธรรมอื่นๆ ได้

102.       การแบ่งยุคศิลปะ กำหนดด้วยอะไร

1. สมัยอาณาจักร                    

2.ลักษณะของศิลปะ

3. สมัยประวัติศาสตร์

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  2      หน้า 683, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมในประเทศไทยมิได้แบ่งยุคสมัยตามประวัติศาสตร์ไทยซึ่งรู้จักกันอย่าง ทั่วไป แต่การแบ่งยุคศิลปกรรมได้แบ่งย่อยออกเป็นสมัยต่างๆ โดยมีชื่อเรียกตามสมัยหรือราชวงศ์ ตลอดจนตามรูปแบบและลักษณะของศิลปะ ระยะเวลา ถิ่นกำเนิดหรือสถานที่ที่ค้นพบ ซึ่งเริ่มตั้งแต่โบราณสถานและโบราณวัตถุเก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ

103.       ศิลปกรรมกลุ่มใดสร้างขึ้นจากความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

1. เทวรูป                                                                                  

2. พระพุทธรูป

3. จิตรกรรมฝาผนัง

4. ศาสนสถานและประติมากรรมรูปเคารพ

ตอบ  4      (คำบรรยาย) งานศิลปกรรมที่สร้างขึ้นจากความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.     ศาสน สถาน คือ งานสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนา เช่น พุทธสถาน (สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพุทธ), เทวสถาน (สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) ฯลฯ

2.     ประติมากรรม รูปเคารพ คือ งานประติมากรรมที่สร้างขึ้นจากความศรัทธาในศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทวรูป ฯลฯ

 104.       หลัก ฐานทางศิลปกรรมที่แสดงถึงการแพร่วัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดียสู่ดินแดน สุวรรณภูมิที่มีอายุเก่าที่สุดเท่าที่พบ เป็นงานศิลปกรรมที่แสดงถึงอิทธิพลศิงปะสมัยใดของอินเดีย

1. อมราวดี                               

2. คุปตะ

3. หลังคุปตะ

4. ปาละ-เสนะ

ตอบ  1      หน้า 684, 686, (คำบรรยาย) ศิลปะทวารวดี เป็นศิลปะที่เจริญขึ้นในช่วงแรกสุดของไทยโดยงานศิลปกรรมทวารวดีส่วนใหญ่จะ แสดงถึงการแพร่วัฒนธรรมศาสนาจากอินเดียสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบ ได้แก่ งานศิลปกรรมที่แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) ต่อมาก็มีอิทธิพลของศิลปะคุปตะ-หลังคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9-13) และศิลปะปาละ-เสนะ (พุทธสตวรรษที่ 14-17) ตามลำดับ

105.       ในสมัยทวารวดี นิยมใช้วัสดุใดสร้างพระพุทธรูป

1. ศิลา                                                       

2. สำริด

3. ดินเผา

4. ปูนปั้น

ตอบ  1      หน้า 686-687 พระพุทธรูปสมัยทวารวดีส่วนใหญ่สลักจากศิลา ที่หล่อด้วยสำริดก็มีอยู่บ้างแต่มักมีขนาดเล็ก ซึ่งพระพุทธรูปทวารวดีโดยทั่วไปจะแบ่งออกตามลักษณะได้ 3 แบบ ได้แก่

1.       แบบแรก แสดงอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบอมราวดี และแบบคุปตะ-หลังคุปตะอย่างชัดเจน

2.       แบบที่สอง มีลักษระเป็นพื้นเมืองหรือเป็นลักษณะเฉพาะของทวารวดี

3.       แบบที่สาม มีอิทธิพลของศิลปะของสมัยปาปวนหรือลพบุรีตอนต้นเข้ามาปะปน

106.       ศิลปะทวารวดีเป็นงานช่างที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาใด

1. พุทธศาสนาเถรวาท                                          

2. พุทธศาสนามหายาน

3. พุทธสาสนาวัชรยาน

4. ศาสนาพราหมณ์

ตอบ  1      หน้า 685  ศิลปะ สมัยทวารวดีจะสะท้อนการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท พุทธศาสนามหายานและศาสนาฮินดู แต่ศิลปะที่พบมักเป็นงานช่างที่แสดงพุทธศิลป์นิกายเถรวาท (หินยาน) มากที่สุดโดยหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพุทธสาสนาเถรวาท คือ จารึกคาถา “เย ธัมมา” และจารึกอื่นๆ ที่เป็นภาษาบาลี ซึ่งใช้เฉพาะพุทธสาสนาเถรวาท รวมทั้งงานประติมากรรมอื่นในพุทธสาสนาเถรวาทที่พบอยู่ทั่วไป

107.       ข้อความในข้อใดไม่ถูกต้อง

1.       สมัยสุโขทัย เป็นยุคที่การสร้างพระพุทธรูปเจริญถึงขีดสูงสุด

2.       สมัยอยุธยา เป็นยุคที่การสร้างสถาปัตยกรรมเจริญถึงขีดสูงสุด

3.       สมัยสุโขทัย ขาดหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือศาสนาพราหมณ์

4.       สมัยอยุธยา ศิลปกรรมขาดความสืบเนื่องจากสมัยอู่ทอง

ตอบ  3      หน้า 708 งานศิลปกรรมในช่วงแรกของสุโขทัย ยังคงปรากฏอิทธิพลของศิลปะขอมทั้งในงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ ฝ่ายมหายาน เช่น ศาลตาผาแดง ที่เมืองเก่าสุโขทัย รวมทั้งประติมากรรมรูปเทวดาและเทวนารีที่พบในบริเวณปราสาท จัดเป็นศิลปะขอมแบบนครวัดตอนปลาย เป็นต้น

108.       เหตุใดจึงมีการสร้างพระพิมพ์ในทุกสมัย

1. การสืบอายุพระศาสนา                                     

2. การระลึกถึงสังเชนียสถาน

3. การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ  4      หน้า 688, 696, 705-706 การสร้างพระพิมพ์ในแต่ละสมัยจะมีวัตถุประสงคืแตกต่างกันไปดังนี้

1. เพื่อเป็นของที่ระลึกถึงการได้ไปบูชาสังเวชนียสถาน 4 แห่งในอินเดีย

2. เพื่อเป็นที่เคารพบูชาและเผยแผ่พระพุทธสาสนา                    

3. เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา

4. เพื่อปรมัตถประโยชน์ของผู้มรณภาพ         

5. เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือของพระพุทธศาสนา

109.       ประติมากรรมในข้อใดสะท้อนถึงการนับถือศาสนาพุทธมหายานในศิลปะศรีวิชัย

1. พระคณปติ                                          

2. พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

3. ศิวลึงค์

4. พระวิษณุสวมหมวกแขกทรงกระบอก

ตอบ  2      หน้า 685, 694-695 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) เกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งศิลปกรรมศรีวิชัยที่ทำขึ้นส่วนใหญ่จะเนื่องมาแต่พุทธศาสนามหายานทั้ง สิ้นโดยเฉพาะความนิยมสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรของศิลปะศรีวิชัยมักหล่อ จากสำริด และมีการตกแต่งเครื่องประดับงดงาม ซึ่งที่สวยงามที่สุดแต่มีเพียงครึ่งองค์ คือ พระอวโลกิเตศวรสำริดพบที่หน้าวัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

110.       พระพิมพ์ในศิลปะศรีวิชัยมีความแตกต่างจากพระพิมพ์ในศิลปะอื่นอย่างไร

1. เป็นดินเผาผสมอัฐิธาตุ                                     

2. เป็นดินดิบผสมอัฐิธาตุ

3. เป็นปูนปั้นผสมอัฐิธาตุ

4. เป็นสำริดบรรจุอัฐิธาตุ

ตอบ  2      หน้า 696 พระพิมพ์ในศิลปะศรีวิชัยส่วนมากทำด้วยดินดิบผสมกับอัฐิธาตุของศพพระสงฆ์เถระ หรือศพบุคคล ซึ่งสันนิษฐานว่าทำตามประเพณีของศาสนาพุทธมหายาน เพื่อประสงค์ปรมัตถประโยชน์ของผู้มรณภาพเป็นที่ตั้ง มิได้ทำเพื่อสืบอายุพระศาสนา เนื่องจากอัฐินั้นได้เผาครั้งหนึ่งแล้วจึงไม่เผาอีก (ดูคำอธิบายข้อ  108. ประกอบ)

111.       ข้อใดเป็นลักษณะของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรในศิลปะศรีวิชัย
1. มีอิริยาบถครบทั้งสี่อิริยาบถ                             
 
2. หล่อจากสำริด มีการตกแต่งเครื่องประดับงดงาม
 
3. พบจำนวนน้อยกว่าพระพุทธรูป                    
 
4. ลักษณะศิลปะเป็นแบบอินเดียผสมลังกา
ตอบ  2      ดูคำอธิบายข้อ 109. ประกอบ
 
112.       ศิลปะแบบลพบุรีนิยมสร้างพระพุทธรูปปางใดมากเป็นพิเศษ
1. พระพุทธรูปปางไสยาสน์                
 
2. พระพุทธรูปปางนาคปรก
 
3. พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท           
 
4. พระพุทธรูปก่อนการตรัสรู้
ตอบ  2      หน้า 700-701, (คำบรรยาย) ประติมากรรมสมัยลพบุรีที่มีความนิยมมากเป็นพิเศษ คือ พระพุทธรูปปางนาคปรก (มีนาคประกอบหรือมีขนาดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งปางสมาธิขัดสมาธิราบ ซึ่งมักจะสลักด้วยศิลาทราย ส่วนแบบที่หล่อด้วยสำริดมักจะเป็นพระพุทธรูปขนาดเล็กโดยมีลักษณะเฉพาะ คือ มักสร้างเป็นพระพุทธรูปองค์เดียว หรือหลายองค์อยู่เหนือฐานเดียวกัน
 
113.       ตามคติทางศาสนา ส่วนที่เป็นเรือนธาตุของเจดีย์ สร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์อะไร
1. เป็นที่เคารพเทพเจ้าและบรรพบุรุษ               
 
2. เป็นสังเวชนียสถานซึ่งเก็บเถ้ากระดูกไว้ที่นี่
 
3. แทนองค์พระพุทธเจ้า                                      
 
4. แทนเทพเจ้าสูงสุดในศาสนา
 
ตอบ  2      หน้า 709, (คำบรรยาย) ตามคติทางศาสนาพุทธ ส่วนกลางของเจดีย์จะเรียกว่า เรือนธาตุซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือใช้สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เถ้ากระดูกหรืออัฐิธาตุของพระสงฆ์สาวก ตลอดจนใช้เป็นสังเวชนียสถานหรือเครื่องหมายแห่งสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ใน พุทธศาสนา เช่น ที่ประสูติ ตรัสรู้ ประทานปฐมเทศนาและปรินิพพาน
 
114.       ปราสาทในศิลปะขอม สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อใช้ประโยชน์ตามข้อใด
1. เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป                                  
 
2. เป็นที่เก็บคัมภีร์ทางศาสนา
 
3. เป็นที่พักของพราหมณ์                                    
 
4. เป็นที่ประทับของกษัตริย์                 
 
ตอบ  1      หน้า 699 ปราสาทในศิลปะขอม มักสร้างขึ้นจากศิลาหรืออิฐเพื่อเป็นประธานของพุทธสถานหรือเป็นเทวาลัย โดยมีจุดประสงค์หลักในการสร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เทวรูปหรือถวายบรรพบุรุษ ตลอดจนเป็นศาสนสถานประจำชุมชน
 
115.       เครื่องสังคโลกในศิลปกรรมสุโขทัย สร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ด้านใดบ้าง
1. เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน                      
 
2. เป็นเครื่องประดับสถาปัตยกรรม
 
3. เป็นของเล่นเด็ก                                                 
 
4. ถูกทุกข้อ
 
ตอบ  4      หน้า 479, 713, (คำบรรยาย) เครื่องสังคโลกในศิลปกรรมสุโขทัย จะมีทั้งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น จาน ชาม ขวด ตลับ ฯลฯ และที่ใช้เป็นเครื่องประดับสถาปัตยกรรม เช่น กระเบื้องเคลือบมุงหลังคา ช่อฟ้า บราลี พลสิงห์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเครื่องปั้นที่ใช้เป็นของเล่นเด็ก เช่น ตุ๊กตาสังคโลกหรือตุ๊กตาเสียกบาล รูปช้าง ทวารบาล ฯลฯ
 
116.       ศิลปะล้านนาในระยะแรก ได้รับอิทธิพลจากศิลปะใดเป็นพื้นฐาน
1. ศิลปะหริภุญไชย                                               
 
2. ศิลปะพุกามในพม่า
 
3. ศิลปะสุโขทัย                                                      
 
4.ศิลปะลังกา
 
ตอบ  1      หน้า 715 ศิลปะล้านนาหรือเชียงแสนในระยะแรกนั้น จะได้รับอิทธิพลจากศิลปะหริภุญไชยเป็นพื้นฐาน และมีการพัฒนาลักษณะรูปแบบโดยมีอิทธิพลของศิลปะพม่าสมัยพุกามเข้ามาเกี่ยว ข้อง
 
117.       ศิลปะสุโขทัยและศิลปะล้านนาเข้ามามีอิทธิพลต่อรูปแบบของพระพุทธรูปและเจดีย์ในสมัยกษัตริย์พระองค์ใดของกรุงศรีอยุธยา
1. พระบรมไตรโลกนาถ                                                       
 
2. พระเจ้าปราสาททอง
 
3. พระนารายณ์มหาราช                                                       
 
4. พระเจ้าอู่ทอง
 
ตอบ  1      หน้า 594, 715-716, 724-275 ในสมัยอยุธยาตอนกลาง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงรับเอาอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยและล้านนาเข้ามาใช้ เป็นแบบอย่างในการสร้างพุทธเจดีย์และพระพุทธรูป เช่น การสร้างพระสถูปเจดีย์ทรงระฆังตามแบบลังกา ซึ่งนิยมสร้างกันมาก ในสมัยสุโขทัยและล้านนา ส่วนการสร้างพระพุทธรูปก็นิยมสร้างตามแบบศิลปกรรมสุโขทัยและล้านนาเช่นกัน
 
118.       เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง พบมากเป็นพิเศษในสมัยใดต่อไปนี้
1. อยุธยา รัตนโกสินทร์                                        
 
2. สุโขทัย เชียงแสน
 
3. อู่ทอง สุโขทัย                                                     
 
4. อยุธยา เชียงแสน
 
ตอบ  1      หน้า 724, 730 ในสมัยอยุธยาตอนปลายจะนิยมสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมเพิ่มมุม หรือเรียกว่าเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ต่อมานิยมเพิ่มรายละเอียดต่างๆ เข้าไป โดยประดับด้วยปูนปั้นตามส่วนต่างๆ ของเจดีย์ เพิ่มบัวทรงคลุ่มรองรับทรงระฆัง และทำทรงคลุ่มเถาแทนปล้องไฉนซึ่งเรียกเจดีย์แบบนี้ว่า เจดีย์ทรงเครื่อง และความนิยมในการสร้างเจดีย์แบบนี้ก็สืบเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 1-3
 
119.       จิตกรรมสมัยรัตนโกสินทร์นิยมเขียนเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง
1. พุทธประวัติ                        
 
2. ชาดก                    
 
3. ไตรภูมิ                 
 
4. ถูกทุกข้อ
 
ตอบ  4      หน้า 733 แบบแผนของจิตรกรรมไทยบนฝาผนังโบสถ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ส่วนเหนือหน้าต่างเขียนภาพเทพชุมนุม ส่วนล่างในแนวเดียวกับหน้าต่างเขียนภาพพุทธประวัติ (ชาดก) หรือทศชาติ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพไตรภูมิด้านหน้าเขียนพุทธประวัติตอนมารวิชัย โดยภาพเชียนในช่วงนี้ใช้สีและปิดทองลงบนภาพทั้งสิ้น
 
120.       พระที่นั่งองค์ใดมีแรงบันดาลใจและแบบอย่างมาจากสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา
1. พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน                                
 
2. พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
 
3. พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท                                              
 
4. พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
 
ตอบ  4      หน้า 729, (คำบรรยาย) พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นสถาปัตยกรรมแบบประเพณีในพระบรมมหาราชวังที่รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้สร้างตามแบบพระที่นั่งสุริยามรินทร์ในสมัยอยุธยาโดยนับเป็นพระที่นั่ง องค์ที่ 2 ที่สร้างขึ้นแทนพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาท ซึ่งได้รับแบบอย่างมาจากพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทในสมัยอยุธยา แต่มาถูกไฟไหม้ไปเมื่อ พ.ศ. 2332

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         กษัตริย์สุโขทัยพระองค์ใดที่ส่งพระเถระผู้ใหญ่ไปเผยแผ่พุทธศาสนาในล้านนา

(1)       พ่อขุนรามคำแหง

(2) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

(3) พระมหาธรรมราชาลิไทย

(4) พ่อขุนบานเมือง

ตอบ 3 หน้า 27105584 ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย สุโขทัยมีความรุ่งเรืองทางพุทธศาลนา และวรรณกรรมเป็นอย่างมาก เช่น ทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จออกผนวชเป็น พระภิกษุเมื่อ พ.ศ. 1905 และทรงเป็นนักปราชญ์แต่งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง หรือไตรภูมิกถา นอกจากนี้ยังทรงส่งพระเถระผู้ใหญ่ คือ พระสุมณเถระไปเผยแผ่พุทธศาสนา ในอาณาจักรล้านนาด้วย

2.         ข้อใดไมใช่ชาติพันธุ์ที่เคยอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

(1)       มองโกลอยด์

(2) คอเคซอยด์

(3) ออสโตรลอยด์

(4) นิกรอยด์

ตอบ 2 หน้า 8 นักวิชาการเชื่อว่ามนุษย์ที่เคยอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยประกอบด้วยชาติพันธุ์ใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม ดังนี้  1. มองโกลอยด์ (Mongoloid)

2.         ออสโตรลอยด์ (Australoid)      3. นิโกรลอยด์ (Nigroloid) หรือนิกรอยด์ (Nigroid)

3.         ข้อใดคือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแคว้นศรีวิชัย         

(1) นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน

(2)       ใช้ช้างเป็นพาหนะ

(3) มีนิสัยดุร้าย

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 15 แคว้นศรีวิชัย เจริญขึ้นตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 – 18 ในบริเวณที่เป็น จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน โดยมีฐานะเป็นศูนย์กลางทางการค้า ที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้น ทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อระหว่างอินเดียและจีน จึงทำให้ รับวัฒนธรรมอินเดียเอาไว้หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนานิกายมหายาน เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ส่วนศาสนาฮินดูก็มีผู้นับถือเช่นกัน

4.         ข้อใดไม่ใช่แว่นแคว้นที่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย

(1)       หริภุญไชย       (2) โยนกเชียงแสน      (3) พะเยา        (4) ศรีจนาศะ

ตอบ 4 หน้า 14 – 1520 แว่นแคว้นที่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในสมัย พุทธศตวรรษที่ 16 – 18 มีดังนี้     1. แคว้นหริภุญไชย      2. แคว้นโยนกเชียงแสน

3.         แคว้นเงินยางเชียงแสน          4. แคว้นพะเยา (ส่วนแคว้นศรีจนาศะ เป็นแว่นแคว้นบริเวณ จ.นครราชสีมา จนถึงบริเวณบุรีรัมย์ มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 15)

5.         พ่อขุนศรีนาวนำถม มีความเกี่ยวข้องกับพ่อขุนผาเมืองในฐานะอะไร

(1)       พระบิดา          (2) พระโอรส    (3) พระเชษฐา (4) สหาย

ตอบ 1 หน้า 23, (คำบรรยาย) หลักฐานสุโขทัยเท่าที่มีปรากฏ ได้กล่าวถึงกษัตริย์พระองค์แรกของ กรุงสุโขทัย คือ พ่อขุนศรีนาวนำถม ซงเป็นพระราชบิดาของพ่อขุนผาเมือง ผู้ปกครองเมืองราด ส่วนกษัตริย์สุโขทัยพระองค์ต่อมา คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งเป็นพระสหายของพ่อขุนผาเมือง

6.         ข้อใดคือเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเยว่

(1)       ใช้ม้าเป็นพาหนะ         (2) ทำไร่เลื่อนลอย

(3)       ทำกลองมโหระทึก       (4) ปลูกข้าวนาหว่าน

ตอบ 3 หน้า 5-7 ชนชาติไทเผ่าต่าง ๆ เช่น จ้วง ฯลฯ จัดอยู่ในกลุ่มชนที่พูดภาษาไทยที่จีนเรียก รวมกันว่า เยว่” ซึ่งเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเยว่ ได้แก่ การสักตามร่างกาย ทาฟันเป็นสีดำ ทำกลองมโหระทึก ปลูกข้าวนาดำ ใช้ช้างเป็นพาหนะ และอยู่บ้านใต้ถุนสูง

7.         ยุคทองของล้านนา ตรงกับสมัยของกษัตริย์พระองค์ใด

(1)       พระยามังราย  (2) พระยาติโลกราช

(3) พระยากือนา          (4) พระยาสามฝั่งแกน

ตอบ 2 หน้า 32 สมัยของพระยาติโลกราช (พ.ศ. 1984 – 2030) ถือได้ว่าเป็นยุคทองของล้านนา เพราะสามารถฟื้นฟูอำนาจของล้านนาขึ้นมาได้อีกครั้งหนี้ง และเนื่องจากพระยาติโลกราชเป็น ผู้มีความสามารถในการรบและขยันรบ จึงมีนโยบายขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง เช่น ทางเหนือขึ้นไปถึงเขตไทยใหญ่ คือ เมืองเชียงรุ้ง ส่วนทางใต้ลงมาถึงเมืองแพร่และน่าน

8.         อาณาจักรสุโขทัยถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาในสมัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใด

(1)       เจ้าสามพระยา            (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) พระนเรศวรมหาราช           (4) สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

ตอบ 2 หน้า 39161 ในสมัยที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นกษัตริย์อยุธยานั้น พระองค์ได้เสด็จ มาปกครองอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก เมื่อ พ.ศ. 2006 – 2031 เพื่อใช้เป็นฐานในการทำสงคราม กับล้านนาและคุมดินแดนหัวเมืองเหนือ ทำให้อาณาจักรสุโขทัยถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่ง ของอยุธยาได้อย่างแท้จริง

9.         พระมหากษัตริย์พระองค์ใดในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่มีความสามารถในงานช่างและกวีนิพนธ์

(1)       รัชกาลที่ 1       (2) รัชกาลที่ 2  (3) รัชกาลที่ 3  (4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 2 หน้า 51 – 52, (คำบรรยาย) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2)ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) ที่ประสูติ จากกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ โดยพระองค์ทรงมีความสามารถในงานช่างและกวีนิพนธ์ จนอาจถวายพระสมญานามว่า กษัตริย์ศิลปิน

10.       ข้อใดคือผลที่ได้รับจากการปกครองแบบนครรัฐ        

(1) เจ้านายเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าเมืองได้

(2)       เจ้าเมืองชั้นนอกมีอิสระมากจากการควบคุมของเมืองหลวง

(3)       อาณาจักรรวมตัวกันอย่างแน่นแฟ้น   (4) แก้ปัญหาการกบฏของเมืองลูกหลวงได้

ตอบ 2 หน้า 104 – 105273 การปกครองแบบนครรัฐ (City State) คือ การปกครองส่วนภูมิภาค ในลักษณะที่เมืองหรือนครมีอิสระดุจเป็นรัฐของตัวเอง แว่นแคว้นจึงรวมตัวกันแต่เพียงหลวม ๆ ในลักษณะสมาพันธรัฐ โดยกษัตริย์คงจะยินยอมให้ลูกเจ้าลูกขุน ดังเช่นพระราชโอรสได้เป็น เจ้าเมืองชั้นนอกหรือเมืองลูกหลวงที่สำคัญ ซึ่งเจ้าเมืองเหล่านี้จะมีอำนาจเป็นอิสระมาก จากการควบคุมของเมืองหลวง ทำให้สามารถก่อกบฏขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

11.       ประเทศไทยได้เข้าร่วมการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยกษัตริย์พระองค์ใด

(1)       รัชกาลที่ 5

(2) รัชกาลที่ 6

(3) รัชกาลที่ 7

(4) รัชกาลที่ 8

ตอบ 2 หน้า 54 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกที่ได้เสด็จไปศึกษาต่อต่างประเทศ จึงทำให้พระองค์ทรงนำลัทธิชาตินิยมแบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย และทรงนำประเทศไทยเข้าร่วมการทำสงครามโลก ครั้งที่ 1 เพื่อหาทางแก้ไขสัญญาไม่เสมอภาคที่ไทยทำไว้กับนานาประเทศตะวันตก

12.       ข้อใดคือหลักฐานที่ใช้ศึกษาลักษณะการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลางสมัยพระบรมไตรโลกนาถ

(1)       พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง

(2)       โองการแช่งน้ำ

(3) กฎมณเฑียรบาล

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 149 การศึกษาลักษณะการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลางภายหลังการปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและ พระไอยการตำแหนงนาทหารหัวเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่เชื่อว่าได้ตราขึ้นในสมัยของพระองค์

13.       ข้อใดถูก

(1)       สุโขทัยไม่มีการปกครองแบบทหาร

(2)       การปกครองแบบทหารแก้ปัญหาประชากรมีมากเกินไปได้

(3)       อยุธยาสามารถรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้ในบางช่วงเวลา

(4)       อยุธยาไม่มีปัญหาจากการกบฏของเมืองพระยามหานคร

ตอบ 3 หน้า 148163 – 164 ในสมัยอยุธยา เมืองหลวงสามารถรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง(Centralization) ได้ในบางช่วงเวลา เช่น ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมัยสมเด็จพระนเรศวร แต่การปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางก็มิได้มีผลอย่างถาวร เพราะ ภายหลังต่อมาเมืองในเขตชั้นนอกก็ค่อย ๆ มีอิสระจากเมืองหลวงมากขึ้น และกลับไปสู่การปกครอง แบบเมืองพระยามหานครหรือนครรัฐอีก

14.       ข้อใดคือที่มาของการที่พระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งอัฐทิศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนทิศทั้ง 8ในจักรวาล

(1)       แนวความคิดเรื่องพระจักรพรรดิราชตามคติพุทธศาสนา         (2) คติทางศาสนาพราหมณ์

(3)       อิทธิพลของระบอบพ่อปกครองลูก      (4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 120123 แนวความคิดเรื่องพระจักรพรรดิราชตามคติธรรมราชาทางพุทธศาสนานั้น ถือเป็นที่มาของการที่พระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นังอัฐทิศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แทนทิศทั้ง 8 ในจักรวาล ในพระราชพิธิบรมราชาภิเษก รวมทั้งยังเป็นที่มาของพระราชพิธี เสด็จเลียบพระนครทั้งทางชลมารคและสถลมารคภายหลังพระราชพิธีราชาภิเษก ซึ่งเป็น การแสดงว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงครอบครองดินแดนทั่วทุกทิศแล้ว

15.       ข้อใดคือกฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะเทวราชาของพระมหากษัตริย์อยุธยา

(1) พระราชศาสตร์      (2) กฎมณเฑียรบาล   (3) พระธรรมศาสตร์    (4) พระราชกำหนด

ตอบ 2 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรก ที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์อักร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชาของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี

16.       เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์

(1)       กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

(2)       กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหาร ถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน

(3)       เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 155 – 156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัย

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้

1.         กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน

2.         เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง

3.         กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงาบนเป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

17.       ในสมัยอยุธยา คดีศาลรับสั่งหมายถึงคดีอะไร

(1)       คดีที่พระมหากษัตริย์จะทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน

(2)       คดีนครบาล    (3) คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบให้ศาลตัดสิน

(4)       คดีพิพาทระหว่างคนไทยและคนต่างชาติ

ตอบ 1 หน้า 135 – 136 คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย จะเรียกว่า ความรับสั่ง” แต่ถ้าเป็นคดีที่ราษฎรถวายฎีกาขึ้นมา โดยพระมหากษัตริย์ทรงมอบให้ กรมพระตำรวจเป็นผู้สอบสวน และพระองค์จะทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน คดีเช่นนี้จะเรียกว่า คดีศาลรับสั่ง

18.       การแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาคเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) ต้นอยุธยา  (2) อยุธยาตอนปลาย

(3)       ต้นรัตนโกสินทร์          (4) สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ตอบ 2 หน้า 157 – 158 ในสมัยอยุธยาตอนบ่ลาย ระบบบริหารราชการส่วนกลางจะเป็นการบริหารแบบแบ่งหน้าที่กันตามเขตแดนหรือภูมิภาค (Territorial Basis) ดังนี้

1.         กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้

2.         กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ

3.         กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

19.       การปฏิรูปการปกครองสมัยพระบรมไตรโลกนาถ มีหลักการสำคัญอย่างไร

(1) รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง (2) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

(3) เสริมสร้างอำนาจให้เมืองลูกหลวงในเขตหัวเมืองชั้นใน     (4) แบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้นเอก โท ตรี

ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูปการปกครองและระบบบริหารราชการชองสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้

1.         แบ่งแยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน

2.         จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงในเขต หัวเมืองชั้นใน (แต่มิได้ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไปควบคุมโดยตรง

20.       ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ข้อใดหมายถึงเขตมณฑลราชธานี

(1) เมืองลูกหลวง        (2) เขตเมืองชั้นในที่เมืองหลวงควบคุมโดยตรง

(3) เมืองประเทศราช   (4) เขตหัวเมืองชั้นนอก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

21.       การปรับปรุงระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีผลอย่างไร

(1) มีการกระจายอำนาจสู่ส่วนภูมิภาค

(2) มีการจัดตั้งเมืองพระยามหานคร

(3)       เมืองหลวงสามารถควบคุมส่วนภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพชั่วระยะเวลาหนึ่ง

(4)       ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมืองส่วนภูมิภาค

ตอบ 3 หน้า 162 – 164 การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีดังนี้

1.         รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มอำนาจให้เมืองหลวงควบคุมส่วนภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แต่มีผลเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง มิได้มีผลถาวร)

2.         ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานครในเขตเมืองชั้นนอก และจัดแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

3.         จัดส่งขุนนางออกไปเป็นเจ้าเมืองเหล่านี้ และให้แต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ฯลฯ

22.       ข้อใดคือลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

(1)       ไม่เน้นบทบาทพระมหากษัตริย์ในฐานะพระโพธิสัตว์

(2)       ไม่ให้ความสำคัญเรื่องบารมีของผู้ปกครอง

(3)       ลดความสำคัญของเทวราชา และทำให้สถาบันกษัตริย์มีลักษณะเป็นมนุษย์มากขึ้น

(4)       เน้นอุดมการณ์พ่อปกครองลูก

ตอบ 3 หน้า 183 – 189197 ลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีดังนี้

1.         การเน้นอุดมการณ์ธรรมราชา เช่น เน้นบทบาทพระมหากษัตริย์ในฐานะพระโพธิสัตว์ ผู้ทรงธรรมและปกครองโดยธรรม รวมทั้งให้ควมสำคัญเรื่องบารมีของผู้ปกครอง

2.         การลดความสำคัญของเทวราชา และทำให้สถาบันกษัตริย์มีลักษณะเป็นมนุษย์มากขึ้น

3.         มีร่องรอยของคติความเชื่อดั้งเดิม คือ ระบบพ่อปกครองลูก แต่จะเห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นไป

23.       ข้อใดคือลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1) ลักษณะเทวราชามีความสำคัญมากขึ้น

(2) ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(3) ลดความสำคัญในเรื่องผู้นำที่มีบารมีสูง

(4) เน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

ตอบ 4 หน้า 197202 – 204 ลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย มีดังนี้

1.         การเน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก 2. ความเชื่อในเรื่องบารมีของพระมหากษัตริย์ยังคง มีอยู่ 3. ความเสื่อมของลักษณะเทวราขา      4. ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์

24.       ราชกิจจานุเบกษาเริ่มพิมพ์เผยแพร่ในรัชกาลใดของสมัยรัตนโกสินทร์

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 1 หน้า 199 – 200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเผยแพร่เป็นรายสัปดาห์ ที่เรียกว่า “ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูล แก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปิดหนทางที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับรษฎร

25.       ข้อใดคือปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อนปฏิรูปการปกครอง สมัยรัชกาลที่ 5

(1)       กรมกองต่าง ๆ มีงานหลายประเภทอยู่ในความรับผิดชอบ

(2)       กรมกองต่าง ๆ ได้รับงบประมาณมากเกินไป

(3)       เสนาบดีกรมวังและนครบาลมีรายได้มากเกินไป

(4)       กองทัพประจำการมีอำนาจมากเกินไป

ตอบ 1 หน้า 222 – 225 ปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         กรมกองต่าง ๆ มีงานหลายประเภทอยู่ในความรับผิดชอบ

2.         กรมกองตาง ๆ ไม่สามารถพัฒนาความชำนาญเฉพาะอย่างขึ้นได้

3.         การปฏิบัติราชการก้าวก่ายสับสน ไม่มีประสิทธิภาพ และข้าราชการทุจริตกันแพร่หลาย

4.         ไม่มีการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละกรมกอง และไม่มีเงินเดือนให้ข้าราชการ

26.       ข้อใดคือปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคก่อนการปฏิรูปการปกครอง

(1)       เจ้าเมืองและกรมการเมืองไม่มีอำนาจในการเก็บภาษี

(2)       หัวเมืองชั้นนอกมีความเป็นอิสระมากเกินไป

(3)       ระบบมณฑลเทศาภิบาลขาดประสิทธิภาพ

(4)       เมืองประเทศราชไม่มีอำนาจปกครองตนเอง

ตอบ 2 หน้า 225 – 226 ปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคและเขตประเทศราช ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         หัวเมืองชั้นนอกมีความเป็นอิสระมากเกินไป ทำให้เมืองหลวงไม่สามารถควบคุมได้อย่างใกล้ชิด

2.         เจ้าเมืองและกรมการเมืองไม่มีเงินเดือน ทำให้ต้องหารายได้จากการ กินเมือง

3.         ราชธานีให้เขตประเทศราชปกครองตนเอง จึงเปิดโอกาสให้มหาอำนาจเข้าแทรกแซงได้ง่าย

27.       ข้อใดคือผลงานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก

(1) การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง            (2) ระบบทาสถูกยกเลิกโดยเด็ดขาด

(3) มีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน 2 สภา   (4) มีการปฏิรูประบบการศาลอย่างแท้จริง

ตอบ 3 หน้า 227 – 228 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก (พ.ศ. 2417 – 2418) โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราการแผ่นดิน (State Council หรือ Council of State) และสภาองคมนตรี (Privy Council)

28.       ข้อใดถูกในสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       มีการยกเลิกระบบเมืองประเทศราชโดยเด็ดขาดในสมัยรัชกาลที่ 5

(2)       ระบบมณฑลเทศาภิบาลสามารถแก้ปัญหาระบบนครรัฐได้

(3)       การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลไม่ได้ทำพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 56234 – 235 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคแบบรวมศูนย์ อำนาจ โดยการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น แต่มิได้จัดทำพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศ ส่งผลให้ระบบเมืองพระยามหานครหรือนครรัฐสิ้นสุดลง และระบบเมืองประเทศราชถูกยกเลิก โดยเด็ดขาด ทำให้ประเทศไทยสามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในลักษณะ รัฐประชาชาติ (National State) ได้สำเร็จ

29.       ข้อใดคืออุปสรรคในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค

(1)       การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง

(2)       ขุนนางในเมืองหลวงไม่ต้องการยกเลิกระบบกินเมือง

(3)       รัฐบาลไม่สามารถปราบารจลาจลตามหัวเมืองได้

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 236 – 237 อุปสรรคในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 นอกจากจะมีปัญหาเรื่องบุคลากรและเงินที่จะใช้ในระบบราชการแบบใหม่แล้ว ยังเกิดปัญหา การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง ซึ่งได้แก่ พวกเจ้าเมืองและจ้าประเทศราชเดิม ทั้งในมณฑลอีสาน พายัพ และปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2444 – 2445 แต่รัฐบาลก็สามารถ ปราบปรามลงได้สำเร็จ

30.       ข้อใดคือความแตกต่างในการปครองส่วนท้องถิ่นระหวางสมัยรัตนโกสินทร์กับอยุธยา

(1)       มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยการปกครองแบบเดิม

(2)       ประชาชนได้เลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านร่วมกันเลือกกำนัน  

(3) ผู้ใหญ่บ้านและกำนันไม่มีสิทธิเป็นกรรมการสุขาภิบาลตำบล

(4)       มีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบลสมัยอยุธยา และเทศบาลในสมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 168 – 169236 การปกครองส่วนท้องถิ่นในสมัยรัตนโกสินทร์ จะมีหน่วยการปกครอง แบบเดิมเหมือนสมัยอยุธยา คือ เป็นหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่มาของผู้ปกครอง โดยให้ประชาชนได้เลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านร่วมกันเลือกกำนัน ส่วนนายอำเภอนั้นแต่งตั้งมาโดยมหาดไทย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบล ซึ่งกรรมการสุขาภิบาลตำบลจะมาจากผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง

31.       พระมหากษัตริย์สุโขทัยมิวิธีควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนอย่างไร

(1) ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนครองเมือง

(2) ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นแม่ทัพ

(3)       ให้ราษฎรฟ้องร้องลูกเจ้าลูกขุนได้

(4) ออกกฎหมายให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นขุนธรรม 

ตอบ 3 หน้า 276 พระมหากษัตริย์สุโขทัยทรงควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนด้วยวิธีการดังนี้

1.         ให้ไพร่หรือราษฎรฟ้องร้องกล่าวโทษลูกเจ้าลูกขุนได้โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ และ พยายามตัดสินความให้อย่างยุติธรรม

2.         ปลูกฝังให้ลูกเจ้าลูกขุนทำตัวเป็นขุนธรรม มิใช่ขุนมาร เพราะขุนธรรมเท่านั้นจึงจะอยู่ในอำนาจได้นาน (แต่ไม่ได้ออกเป็นกฎหมายบังคับ)

32.       เหตุใดลูกเจ้าลูกขุนต้องมีความรู้ดีทางศาสนา

(1) เพื่อประโยชน์ในการปกครอง

(2) ลูกเจ้าลูกขุนมีหน้าที่สนับสนุนพุทธศาสนา

(3) ลูกเจ้าลูกขุนมีหน้าที่สั่งสอน

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 272, (คำบรรยาย) ความรู้ทางศาสนาเป็นศาสตร์อีกด้านหนึ่งที่สำคัญสำหรับลูกเจ้าลูกขุน เนื่องจากศาสนามีอิทธิพลสำคัญและมีประโยชน์ต่อแนวทางการปกครองของสุโขทัยเป็นอย่างมาก เช่น หลักทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และราชจรรยานุวัตร ทั้งนี้เพราะหน้าที่สำคัญของกษัตริย์ และลูกเจ้าลูกขุน คือ เป็นผู้สั่งสอนประชาชนให้รู้บุญรู้ศีลธรรม และเสริมสร้างบารมีด้วยการ บำรุงและสนับสนุนพุทธศาสนา

33.       ข้อใดถูกต้องตามกฎหมายล้านนา    

(1) ลูกเจ้าลูกขุนทำผิดมีโทษหนักกว่าสามัญชน

(2)       ทรัพย์สินของลูกเจ้าลูกขุนถูกตีค่าให้ต่ำกว่าสามัญชน

(3)       นายช้างต้องหลีกทางให้นายม้า

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 275295 กฎหมายล้านนาได้กำหนดสิทธิและวิธีคานอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนไว้ดังนี้

1.         มีสิทธิหาผลประโยชน์จากนาขุมราขการหรือนาขุมการเมือง แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น อย่างแท้จริง          2. ทรัพย์สินของลูกเจ้าลูกขุนถูกตีค่าหรือตีราคาสูงกว่าของสามัญชน

3.         เมื่อทำความผิดลูกเจ้าลูกขุนจะถูกลงโทษปรับหนักกว่าสามัญชน แม้จะเป็นความผิดชนิดเดียวกัน

4.         มีกฎหมายกำหนดให้ผู้น้อยต้องหลีกทางให้แก่ผู้ใหญ่กว่าตน เช่น ให้นายม้าหลีกให้นายช้าง ผู้มียศสูงกว่าตน ฯลฯ

34.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบไพร่ของสุโขทัยและล้านนา

(1)       ทำให้รัฐได้ใช้แรงงานไพร่ได้เต็มที่        (2) ทำให้ไพร่ไม่ต้องเสียภาษี

(3) ทำให้ไพร่มีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 273283 ระบบไพร่ของสุโขทัยและล้านนา คือ การจัดไพร่ให้สังกัดมูลนายที่เป็น ลูกเจ้าลูกขุน โดยมูลนายจะต้องคอยดูแลให้ไพร่อยู่ในภูมิลำเนา คอยเกณฑ์ไพร่มาทำงาน ตามกำหนดเวลา ควบคุมให้ไพร่อยู่ในกฎหมาย และควบคุมเรื่องการเก็บภาษีอากรจากไพร่ ซึ่งระบบไพร่ที่มีการจัดการที่ดีถือเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้รัฐสามารถดึงประโยชน์ทั้งด้านแรงงาน และส่วยจากไพร่มาใช้ได้อย่างเต็มที่

35.       หลักฐานใดที่แสดงว่าสุโขทัยมีทาส

(1) มีหลักฐานเกี่ยวกับการหลบหนีของข้า      (2) มีหลักฐานเกี่ยวกับข้าพระอาราม

(3) มีการเลี้ยงดูเชลยศึกไว้ใช้งาน       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 289 – 290 หลักฐานสุโขทัยได้กล่าวถึงทาสอยู่หลายแห่ง ได้แก่

1.         จารึกสุโขทัยหลักที่ 1 กล่าวถึงการกวาดต้อนเชลยศึก มาเลี้ยงมาขุน” โดยไม่ฆ่า และนำมาใช้งานเมื่อต้องการ

2.         จารึกหลักที่ 2 กล่าวถึงการซื้อคนปล่อยที่ตลาด

3.         จารึกหลักที่ 38 กล่าวถึงข้าหลบหนีนาย

4.         จารึกหลักที่ 15 กล่าวถึงการยกข้าและลูกสาวลูกชายให้เป็นข้าพระอาราม ฯลฯ

36.       เข้าเดือน ออกเดือน” หมายถึงสิ่งใด

(1) จำนวนวันการเกณฑ์ไพร่หลวงในสมัยอยุธยา        (2) จำนวนวันการเกณฑ์ไพร่สมในสมัยอยุธยา

(3) การเกณฑ์ไพร่หลวงในสมัยรัตนโกสินทร์   (4) การเกณฑ์ไพร่สมในสมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 340 คำว่า เข้าเดือน ออกเดือน” หมายถึง จำนวนวันการเกณฑ์แรงงานไพร่หลวง ในสมัยอยุธยา โดยไพร่หลวงจะถูกเกณฑ์แรงงานปีละ 6 เดือน แต่อาจมาทำงาน 1 เดือน ออกไปอยู่บ้าน 1 เดือน สลับกันไปได้ และเวลามาทำงานต้องนำข้าวปลาอาหารมาเอง เพราะทางราชการจะไม่เลี้ยงดูอย่างใด แต่ถ้าไพร่หลวงไม่ต้องการมาใช้แรงงานจะส่งเงิน มาแทนก็ได้ เรียกว่า เงินค่าราชการ

37.       ข้อยมาเป็นข้า” สมัยล้านนา เทียบได้กับทาสชนิดใดในสมัยอยุธยา

(1) ทาสสินไถ่  (2) ทาสขัดดอก           (3) ทาสเชลย   (4) ทาสในเรือนเบี้ย

ตอบ 3 หน้า 290351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสของล้านนามี 5 ชนิด คือ

1.         ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของ ซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา

2.         ลูกข้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา

3.         มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา

4.         ฉิบหายด้วยความผิดจึงเข้าเป็นข้ ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา

5.         ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา

38.       ชนชั้นใดในสมัยสุโขทัยไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ

(1)ไพร่ (2)ขุนนางชั้นผู้น้อย      (3) ลูกเจ้าลูกขุน          (4) ถูกเฉพาะข้อ2และ3

ตอบ 4 หน้า 274 – 275278, (คำบรรยาย) สิทธิพิเศษของลูกเจ้าลูกขุนในสมัยสุโขทัย คือ ไม่ถูก เกณฑ์แรงงาน มีไพร่อยู่ในสังกัดได้ และไม่ต้องเสียภาษี เพราะในหลักฐานสุโขทัยกล่าวเฉพาะ แต่การที่ลูกเจ้าลูกขุนเป็นผู้เก็บภาษีจากไพร่เท่านั้น ส่วนข้าราชการระดับล่างหรือขุนนางชั้นผู้น้อย จะมีฐานะความเป็นอยู่ไม่ต่างจากไพร่มากมัก เพียงแต่ได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน และ ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ

39.       พบศพชายไทยนอนตายอยู่ริมแม่น้ำ พลิกศพดูพบว่าปรากฏชื่อมูลนายติดอยู่ที่ข้อมือ ถามว่าศพดังกล่าว น่าจะเป็นคนไทยสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) ล้านนา       (3) อยุธยา       (4) ต้นรัตนโกสินทร์

ตอบ 4 หน้า 392417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยได้กำหนดให้ สักข้อมือไพร่ไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันมิให้ ไพร่หลวงสูญหาย หรือมิให้ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายเหมือนสมัยก่อน

40.       การสักข้อมือไพร่ เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ

(1) เพื่อความงาม         (2) เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี

(3) เพื่อรู้ชื่อมูลนาย      (4) เพื่อรู้จักภูมิลำเนาไพร่

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41.       ข้อใดมิใช่คุณสมบัติของคนถวายตัวเป็นขุนนาง

(1) วุฒิ 4

(2) อธิบดี 4

(3) พรหมวิหาร 4

(4) คุณานุรูป

ตอบ 3 หน้า 316 คุณสมบัติของผู้ที่จะถวายตัวเป็นขุนนางในสมัยอยุธยา มีอยู่ 9 ประการ ดังนี้

1.         วุฒิ 4 ประการ ได้แก่ ชาติวุฒิ วัยวุฒิ คุณวุฒิ และปัญญาวุฒิ

2.         อธิบดี 4 ประการ ได้แก่ ฉันทาธิบดี วิริยาธิบดี จิตาธิบดี และวิมังสาธิบดี

3.         คุณานุรูป 1 ประการ หมายถึง เป็นผู้มีบุคลิกลักษณะดี น่าไว้วางพระทัยแก่พระมหากษัตริย์ และน่าเคารพนับถือแก่ประชาชนทั่วไป

42.       การถวายตัวเป็นขุนนางในสมัยอยุธยาเมื่ออายุเท่าไร

(1)21ปี

(2)25ปี

(3) 31ปี

(4) 35ปี

อบ 3 หน้า 316, (ตูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ) คุณสมบัติของผู้ที่จะถวายตัวเป็นขุนนาง ในสมัยอยุธยาประการหนึ่ง คือ ต้อประกอบด้วยวุฒิ 4 ประการ ได้แก่

1.ชาติวุฒิ คือ เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากอัครมหาเสนาบดี

2.         วัยวุฒิ คือ มีอายุตั้งแต่ 31 ปีขึ้นไป

3.         คุณวุฒิ คือ เป็นผู้มีความรู้ฝ่ายทหารและพลเรือนชำนิชำนาญ

4.         ปัญญาวุฒิ คือ มีสติปัญญาตดี รอบรู้ในกิจการบ้านเมือง และเรื่องนานาประเทศ

43.       ลักษณะการไหว้โดยการประนมมือให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดหว่างคิ้ว ผู้หญิงถอยเท้า ข้างที่ถนัดไปข้างหลัง ย่อเข่าลง ประนมมือไหว้ ถามว่าเป็นการไหว้ผู้ใด

(1) ไหว้คนทั่วไป

(2) ไหว้คนเสมอกัน

(3) ไหว้ผู้อาวุโส

(4) ไหว้พระ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การไหว้บิดามารดาหรือผู้ที่มีพระคุณและผู้อาวุโสอันเป็นที่เคารพยิ่ง คือลักษณะการไหว้โดยการยกมือประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดหว่างคิ้ว ผู้ชายให้ค้อมตัวลง ประนมมือไหว้ ส่วนผู้หญิงถอยเท้าข้างที่ถนัดไปข้างหลัง ย่อเข่าลง ประนมมือไหว้

44.       การทำความเคารพศพแบบไทย ข้อใดถูก

(1) กราบ 3 ครั้งแบมือ (2) กราบ 1 ครั้งแบมือ

(3) กราบ 1 ครั้งไม่แบมือ         (4) ถวายคำนับหรือถอนสายบัว

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การทำความเคารพศพแบบไทยที่ถูกต้อง ให้นั่งคุกเข่าราบทั้งชายและหญิงจากนั้นจุดธูป 1 ดอก (ถ้าเป็นศพพระจุด 3 ดอก) ประนมมือยกธูปขึ้นให้ปลายนิ้วชี้อยู่หว่างคิ้ว ตั้งจิตขอขมาต่อศพ แล้วปักธูปลงบนที่สำหรับปักธูป จากนั้นนั่งพับเพียบหมอบกราบแบบกระพุ่ม มือตั้ง 1 ครั้ง (ไม่แบมือ) พร้อมอธิษฐานให้ดวงวิญญาณศพไปสู่สุคติ แล้วลุกขึ้น ถ้าเป็นศพ ของผู้ที่มีอายุน้อยกว่าไม่ต้องกราบหรือไหว้ เมื่อปักธูปลงแล้วให้นิ่งสงบและอธิษฐานเท่านั้น

45.       ค่านิยมของสังคมสุโขทัยได้แก่เรื่องใด

(1) อย่านั่งชิดผู้ใหญ่    (2) ท่านสอนอย่าสอนตอบ

(3) ผู้ใหญ่ต้องควบคุมอารมณ์เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้น้อย    (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 294 ค่านิยมของสังคมสุโขทัยได้กำหนดหลักปฏิบัติระหว่างผู้ใหญ่และผู้น้อยไว้ คือ ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นฝ่ายมีอำนาจ ถูกกำหนดให้มีความยุติธรรม เมตตากรุณา ให้รางวัลแก่ผู้น้อยที่มี ความดีความชอบ และรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองเวลาอยู่ต่อหน้าผู้น้อย ส่วนผู้น้อยถูกกำหนดให้มีความจงรักภักดี กตัญญกตเวที และเคารพยำเกรงผู้ใหญ่ ดังคำสอนให้ อย่านั่งชิดผู้ใหญ่” และ ทำนสอนอย่าสอนตอบ” เป็นต้น

46.       พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายเกี่ยวกับเจ้านายอย่างไร

(1) ให้เจ้านายทุกองค์มีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง         (2) ให้เจ้านายได้ควบคุมอำนาจบริหารมากกว่าขุนนาง

(3) พยายามควบคุมจำนวนเจ้านายไว้ด้วย      (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 305313322 – 323 พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายคานอำนาจเจ้านาย ดังนี้

1.         ควบคุมจำนวนเจ้านาย โดยกำหนดผู้มีสิทธิเป็นเจ้านายมีได้เพียง 3 ชั่วอายุคน คือ ในชั่วลูก หลาน และเหลนเท่านั้น

2.         ลดความสูงศักดิ์ของเจ้านายลงทุกชั่วคน จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้านายมีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง

3.         ไม่ให้เจ้านายได้ควบคุมการบริหารกรมกองสำคัญในส่วนกลาง และไม่ให้เป็นเจ้าเมือง ในส่วนภูมิภาค แต่ให้ขุนนางมีอำนาจหน้าที่นี้แทน

4.         ควบคุมจำนวนไพร่สมของเจ้านาย ฯลฯ

47.       เหตุใดเจ้านายในสมัยอยุธยาจึงได้ ทรงกรม

(1) เพื่อให้เจ้านายได้เป็นเสนาบดี       (2) เพื่อให้เจ้านายได้ปกครองไพร่หลวง

(3) เพื่อให้เจ้านายได้ปกครองไพร่สมจำนวนหนึ่ง        (4) เพื่อให้เจ้านายเป็นเจ้าเมือง

ตอบ 3 หน้า 308 การทรงกรมของเจ้านายในสมัยอยุธยา คือ การปกครองบังคับบัญชากรม ซึ่งเริ่มเกิดขึ้น ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรฯ เป็นต้นมา เพื่อเป็นสิ่งทดแทนการที่เจ้านายเคยได้ครองเมือง ในอดีต และเพื่อไม่ให้เจ้านายหมดอำนาจไปเสียทีเดียว พระมหากษัตริย์จึงทรงให้เจ้านาย ได้บังคับบัญชากรมและได้ปกครองไพร่สมจำนวนหนึ่ง แต่จะมีจำนวนมากน้อยเท่าใด ขึ้นอยู่กับศักดินาของเจ้านาย

48.       ไพร่ในสมัยอยุธยาทำสิ่งใดไม่ได้

(1) ยกมรดกให้ลูกหลาน         (2) เดินทางย้ายถิ่นอย่างเสรี

(3) เข้าหาผลประโยชน์จากที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 345350, (คำบรรยาย) สิทธิของไพร่ในสมัยอยุธยามีอยู่หลายประการ เช่น ไพร่มีสิทธิ ในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้ และมีสิทธิเข้าหาผลประโยชน์จากที่ดินนั้น รวมถึงมีสิทธิที่จะขาย หรือยกเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานได้ ฯลฯ แต่เมื่อไพร่ต้องอยู่ในระบบไพร่ ทำให้สิทธิบางอย่าง ของไพร่ถูกลิดรอนไป เช่น ไพร่ถูกควบคุมเรื่องการเคลื่อนไหว จึงไม่สามารถเดินทางย้ายถิ่น อย่างเสรี และต้องมาให้แรงงานตามกำหนด ฯลฯ

49.       พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงมีนโยบายเกี่ยวกับไพร่สมอย่างไร

(1) เกณฑ์แรงงานไพร่สมมาใช้ทางราชการมากกว่าไพร่หลวง (2) พยายามลดจำนวนไพร่สม

(3) พยายามเพิ่มจำนวนไพร่สม           (4) ไม่ให้ไพร่สมย้ายไปเป็นไพร่หลวง

ตอบ 2 หน้า 339 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงพยายามลดจำนวนไพร่สม เพื่อลิดรอนอำนาจของเจ้านาย ซึ่งเป็นมูลนายของไพร่สมส่วนใหญ่ และเพิ่มจำนวนไพร่หลวงเพื่อความมั่นคงของพระมหากษัตริย์ จึงมีการออกกฎหมายห้ามจดทะเบียนลูกหลานของไพร่หลวงเป็นไพร่สม แต่ไพร่สมสามารถ ย้ายไปเป็นไพร่หลวงได้เสมอ

50.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบทาสในสมัยอยุธยา

(1) นายเงินเพิ่มค่าตัวทาสไม่ได้           (2) นายเงินมีสิทธิไม่รับค่าตัวทาสได้

(3) นายเงินใช้ทาสเข้าคุกแทนตัวเองไม่ได้       (4) ไม่มีข้าพระอาราม

ตอบ 1 หน้า 352 – 354356 ระบบทาสในสมัยอยุธยา นายเงินมีสิทธิเหนือทาสดังนี้

1.         ใช้งานทาสได้ทุกอย่าง 2. ใช้ทาสไปรับโทษหรือเข้าคุกแทนตนได้

3.         ใช้ทาสไปรบแทนตนได้            4. ลงโทษทาสได้แต่ต้องไม่ทำให้ทาสนั้นพิการหรือตายไป

5.         ขายทาสต่อไปได้ แต่เพิ่มค่าตัวทาสตามใจชอบไม่ได้ และถ้าทาสมีเงินมาไถ่ตัว นายเงินจะ ไม่ยอมรับค่าตัวทาสไม่ได้    6. ในกรณีที่เป็นข้าพระอารามหรือทาสวัดให้อยู่ใต้การดูแลของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นมูลนายที่แท้จริง ฯลฯ

51.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1) ใช้กำหนดบทลงโทษบุคคล

(2) ใช้กำหนดยศให้กับบุคคล

(3) ใช้กำหนดที่ดินที่จะให้บุคคลถือครอง

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและกำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้   1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด 3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พล ในสังกัด     4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่าง

52.       ข้อใดที่ศักดินาของบุคคลมีการเปลี่ยนแปลง

(1)       เมื่อบุคคลนั้นได้เลื่อนยศ

(2) เมื่อบุคคลนั้นได้ทรงกรม

(3) เมื่อบุคคลนั้นถูกลงโทษลดยศ ลดตำแหน่ง

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309358, (คำบรรยาย) การกำหนดให้บุคคลมีศักดินากันคนละเท่าใดนั้นจะกำหนดจากยศ ตำแหน่ง และความรับผิดชอบในหน้าที่ราชการ ดังนั้นศักดินาของบุคคลจะมีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง หรือได้ทรงกรม และศักดินาจะมีการเปลี่ยนแปลง ลดต่ำลงเมื่อบุคคลนั้นถูกลงโทษโดยลดยศลดตำแหน่ง

53.       ในระบบศักดินาของไทย ใครคือผู้ที่มีศักดินาสูงสุดในแผ่นดิน          

(1) พระเจ้าแผ่นดิน

(2)       สมเด็จพระสังฆราช

(3) กรมพระราชวังบวรสถานมงคล

(4) สมเด็จเจ้าพระยา

ตอบ 3 หน้า 309357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ จะได้รับพระราชทานศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหน่งโดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในแผ่นดิน คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาต่ำสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่

54.       ยศสูงสุดของขุนนางคือ สมเด็จเจ้าพระยา” ถามว่าในประวัติศาสตร์ไทยมีกี่องค์

(1) 2 องค์        (2) 3 องค์        (3) 4 องค์        (4) 5 องค์

ตอบ 3 หน้า 319405, (คำบรรยาย) ยศสมเด็จเจ้าพระยา ถือเป็นยศสูงสุดของขุนนาง ในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในสมัยกรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยา ในประวัติศาสตร์ไทยจะมีอยู่ทั้งหมด 4 องค์ คือ

1.         สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ (ทองด้วง) หรือรัชกาลที่ 1 ในเวลาต่อมา

2.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงค์ (ดิส บุนนาค)

3.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค)

4.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

55.       ข้อใดถูกต้องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

(1) ขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์           (2) ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดบทบาทไป

(3)       ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากเจ้าภาษีเลย          (4) ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางหนีไปเป็นไพร่สมกันมาก

ตอบ 1 หน้า 400 – 404 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

1.         ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์

2.         ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางที่หลบหนีไปเป็นไพร่สมมีจำนวนลดลง ทำให้ขุนนางมีความมั่นคงมากขึ้น

3.         คณะเสนาบดีซึ่งสวนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

4.         ขุนนางจำนวนหนึ่งได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

5.         ขุนนางตระถูลบุนนาคมีอำนาจโดดเด่นที่สุดตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ฯลฯ

56.       ไพร่ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสิทธิเข้ารับราชการครั้งแรกในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 2  (3) รัชกาลที่ 3  (4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 408, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การถวายตัว

เป็นฃุนนาง โดยไม่มีข้อขีดคั่นในเรื่องชาติวุฒิเหมือนสมัยอยุธยา ทำให้ไพร่หรือสามัญชนมีสิทธิ เข้ารับราชการเป็นครั้งแรก แต่โอกาสที่ไพร่จะเข้าสู่ระบบขุนนางก็ยังยากอยู่ เพราะลูกหลานขุนนาง มักจะได้เป็นขุนนางต่อมานั่นเอง

57.       การเปิดประเทศมีผลต่อไพร่อย่างไร

(1) ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานมากขึ้น         (2) ไพร่เสียเงินค่าราชการมากขึ้น

(3) ไพร่ปลูกข้าวมากขึ้น           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 416424 ภายหลังการเปิดประเทศ เศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนจากระบบผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเอง มาเป็นระบบผลิตเพื่อส่งออก ทำให้ความสำคัญของไพร่ในฐานะแรงงาน และผู้ส่งส่วยลดลงไปมาก แตไพร่จะมีบทบาทสำคัญยิ่งในด้านการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตร เพื่อส่งออก โดยเฉพาะการปลูกข้าว ซึ่งได้กลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญที่สุดของไทย

58.       ปัญหาการเมืองที่เกิดจากชาวจีนในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ได้แก่เรื่องใด

(1) ชาวจีนมักแข็งข้อต่อขุนนางไทย     (2) ชาวจีนต่อต้านชาวตะวันตก

(3) ชาวจีนนิยมไปเป็นคนในบังคับตะวันตก    (4) ชาวจีนต่อต้านระบบเจ้าภาษีนายอากร

ตอบ 3 หน้า 439 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ชาวจีนได้ก่อปัญหาทางการเมืองให้แก่รัฐบาลไทย โดยการตั้งสมาคมลับของชาวจีนหรืออั้งยี่ขึ้นมาหลายกลุ่ม และมีกิจกรรมหลายด้านที่ทำผิดกฎหมายไทย แตพวกอั้งยี่ก็สามารถลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทยได้ เพราะคนจีนจำนวนมาก นิยมไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับตะวันตกชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อ มีคดีเกิดขึ้นก็สามารถขึ้นศาลกงสุลของาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ และตำรวจไทยจะจับกุมตัวได้ ก็ต่อเมื่อกงสุลของชาตินั้นอนุมัติแล้วเท่านั้น

59.       การเลิกทาสในเมืองไทยไม่มีการนองเลือดเหมือนอย่างในสหรัฐอเมริกา เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินนโยบาย เลิกทาสอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ใช้เวลากว่า.. ปี จึงเลิกทาสได้สำเร็จ

(1)10   (2)15   (3)20   (4)30

ตอบ 4 หน้า 432 – 435516 รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการเลิกทาสด้วยความระมัดระวังยิ่ง เพราะ เป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะสังคมอันสำคัญที่มีการยึดถือกันมานับตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยพระองค์ ได้ใช้นโยบายทางสายกลางค่อย ๆ ดำเนินการเลิกทาสไปทีละขั้น รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่า 30 ปี จึงทรงสามารถเลิกทาสได้สำเร็จโดยไม่มีการนองเลือดเหมือนการเลิกทาสในประเทศสหรัฐอเมริกา

60.       คุณสมบัติต่อไปนี้เป็นลักษณะเด่นของคนไทย ถามว่าข้อใดเป็นลักษณะด้อยที่สุดของคนไทย

(1) จิตใจโอบอ้อมอารี  (2) เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่        (3) อ่อนน้อมถ่อมตน    (4) มีระเบียบวินัย

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ลักษณะนิสัยเด่นที่เป็นจุดด้อยที่สุดของคนไทย คือ ความมีระเบียบวินัย ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม ๆ ซึ่งทำให้มีลักษณะยืดหยุ่น ไม่ยึดอะไร เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว ดังนั้นคนไทยจึงมีระเบียบวินัยค่อนข้างน้อย และชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ดังคำพังเพยที่ว่า ทำอะไรตามใจคือไทยแท้

61.       ระบบเศรษฐกิจของไทยมีวิวัฒนาการอย่างไร

(1) หมู่บ้านตลาดเงินตราทุนนิยม

(2) หมู่บ้านตลาดเงินตราพอเพียง

(3) พอเพียงตลาดการค้ายังชีพ

(4) พอเพียงหมู่บ้านยังชีพตลาด

ตอบ 1 หน้า 469 – 471558 พื้นฐานระบบเศรษฐกิจไทยมีวิวัฒนาการ ดังนี้

1.         เริ่มต้นมาจากเศรษฐกิจแบบหมู่บ้านในสมัยสุโขทัย ซึ่งผลิตเพื่อการบริโภคและแลกเปลี่ยน

2.         เศรษฐกิจแบบตลาดในสมัยอยุธยา ซึ่งผูกพันกับการแสวงหาตลาดการค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ 3. เศรษฐกิจแบบเงินตรา ซึ่งเริ่มปรากฏชัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐเก็บส่วยจากไพร่ในรูปแบบเงินตรา   4. เศรษฐกิจแบบทุนนิยม

ซึ่งเป็นระบบการผลิตเพื่อการส่งออกในปัจจุบัน

62.       พื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยเริ่มต้นจากลักษณะเศรษฐกิจแบบใด

(1) เศรษฐกิจแบบหมู่บ้าน

(2) เศรษฐกิจแบบตลาด

(3) เศรษฐกิจเงินตรา

(4) เศรษฐกิจการค้า

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

63.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเกษตรกรรมในสมัยสุโขทัย

(1) เพาะปลูกได้ผลดี

(2) อุดมสมบูรณ์มากแต่ขาดแคลนเกษตรกร

(3) มีข้อจำกัดเรื่องผลผลิต

(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 3 หน้า 474 การเกษตรกรรมใบสมัยสุโขทัยจะมีข้อจำกัดในเรื่องผลผลิต โดยเฉพาะผลิตผลที่สำคัญที่สุด คือ ข้าวนั้นคงจะกระทำกันได้ในปริมาณที่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น เพราะเนื้อที่การเพาะปลูกมีจำกัด กำลังคนก็มีจำกัด และงานชลประทานก็ทำในปริมาณจำกัดเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ในบางครั้งบางคราวเกิดขาดแคลนข้าวขึ้นในสุโขทัย จนต้องสั่งซื้อข้าวมาจากอยุธยา

64.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสภาพการค้าของสุโขทัย

(1) มีเสรีภาพทางการค้า          (2) การค้าไม่ค่อยรุ่งเรือง

(3) เป็นรัฐผู้นำด้านการค้าในภูมิภาคแหลมทอง          (4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ 1 หน้า 480 – 481 นโยบายส่งเสริมด้านการค้าและเศรษฐกิจของผู้ปกครองสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         ส่งเสริมให้มีการค้าอย่างเสรี    2. ไม่เก็บ จกอบ” หมายถึง ภาษีผ่านด่านที่เก็บจากผู้นำสินค้า สัตว์ หรือสิ่งของไปขายในที่ต่าง ๆ         3. ให้ทุนรอนแก่ผู้ไม่มีทุนรอน

4.         ส่งเสริมทักษะพิเศษ โดยการนำช่างทำเครื่องปั้นดินเผาชาวจีนเข้ามาเผยแพร่ความรู้ ให้แก่ชาวไทย  5. สร้างถนนสายสำคัญขึ้น คือ ถนนพระร่วง

65.       แหล่งรายได้ที่สำคัญของอาณาจักรสุโขทัยมาจากอะไร

(1) ภาษีข้าว     (2) ส่วย           (3) ฤชา            (4) อากร

ตอบ 1 หน้า 479. 481 – 483 แหล่งที่มาของรายได้ที่สำคัญที่สุดของสุโขทัย คือ เครื่องปั้นดินเผา ที่เรียกว่า เครื่องสังคโลก” ซึ่งเป็นสินค้าออกที่สำคัญ และเป็นกิจการที่ใหญ่โตรุ่งเรืองมาก คงจะทำรายได้ให้รัฐมากทีเดียว ส่วนแหล่งรายได้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งจะมาจากการเก็บภาษีข้าว โดยให้เก็บภาษีข้าว 1 ส่วน จากผลผลิตข้าว 10 ส่วน ซึ่งแม้จะไมมากนักแต่ก็เป็นรายได้ส่วนหนึ่ง

66.       สินค้าออกที่สำคัญของสุโขทัยคือข้อใด

(1) ของป่า       (2) เครื่องดินเผา          (3) ข้าว            (4) กระทง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

67.       ข้อใดอธิบายลักษณะของเศรษฐกิจแบบการตลาดของประเทศไทยได้ถูกต้องที่สุด

(1)       ผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยน         (2) ผลิตเพื่อการค้าขาย

(3) ผูกพันกับการค้าทั้งภายในและภายนอก   (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

68.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเกษตรกรรมสมัยอยุธยา

(1)       มีแหล่งเพาะปลูกมากกว่าสุโขทัย        (2) พม่าเป็นแรงงานสำคัญ

(3) ข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ          (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 488510 -511 พื้นฐานทางเศรษฐกิจของอยุธยาเป็นการเกษตรกรรมเช่นเดียวกับสุโขทัย แต้มีข้อแตกต่างดังนี้

1.         อยุธยามีสภาพภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการปลูกข้าว

2.         อยุธยามีแหล่งเพาะปลูกที่กว้างขวางกว่า โดยเฉพาะบริเวณตอนลางของแม่นํ้าเจ้าพระยา จะใช้พื้นที่ทำนามากที่สุด

3.         อยุธยามีปัจจัยการผลิตที่เข้มแข็งเนื่องจากระบบไพร่ ทำให้มีผลผลิตจำนวนมาก

4.         รัฐบาลสมัยอยุธยามีนโยบายสนับสนุนการทำนาปลูกข้าว ฯลฯ

69.       ปัจจัยใดส่งผลต่อการทำการเกษตรกรรมสมัยอยุธยา

(1) สภาพภูมิศาสตร์    (2) สภาพภูมิอากาศ    (3) ระบบไพร่   (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70.       ข้อใดอธิบายลักษณะของเศรษฐกิจแบบเงินตราได้ถูกต้อง

(1) การแสวงหาตลาด (2) ผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยน

(3) รัฐเรียกเก็บส่วยในรูปแบบเงินตรา            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

71.       แหล่งรายได้ที่สำคัญของอยุธยานอกเหนือจากการเกษตรคือ

(1) การค้าภายใน

(2) การค้าภายนอก

(3) การเก็บค่านา

(4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 2 หน้า 500503510 แหล่งรายได้ที่สำคัญของอยุธยานอกเหนือจากการเกษตร คือ ผลกำไร จากการค้าภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการค้าสำเภา คือ การนำสินค้าบรรทุกสำเภาแล่นไปยัง ประเทศที่ทำการค้าด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศทางตะวันออกโดยเฉพาะจีน จึงนับเป็น ผลประโยชน์แผ่นดินที่ได้รับมากที่สุด เมื่อเทียบกับแหล่งรายได้ประเภทอื่น ๆ

72.       ปัจจัยที่ทำให้การค้าของอยุธยาเจริญรุ่งเรือง

(1) อยุธยาตั้งอยู่ติดทะเล

(2) มีสินค้าที่หลากหลาย

(3) มีสินค้าจากอเมริกาจำหน่าย

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 497510, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้การค้าภายในของอยุธยาเจริญรุ่งเรือง มีดังนี้

1.         ที่ตั้งของอยุธยาเป็นเกาะมีแม่นํ้าล้อมรอบ ทำให้การคมนาคมสะดวก อยุธยาจึงเป็นศูนย์กลาง การค้าภายในที่ดีมาก และเป็น ปากนํ้าและประตูบ้านของเมืองเหนือทั้งปวง

2.         มีสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งนอกจากจะมีสินค้าปัจจัยสี่ครบถ้วนแล้ว ยังมีสินค้าที่ใช้ประกอบ กิจการอื่น ๆ อีกมากมาย

73.       สภาพทางเศรษฐกิจสมัยต้นรัตนโกสินทร์เป็นเช่นไร

(1) เหมือนอยุธยาทุกประการ

(2) การขยายตัวของเศรษฐกิจเงินตรา

(3) การมีเสรีทางการค้า

(4) ทุนนิยม

ตอบ 2 หน้า 557 – 558 สภาพเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะคล้ายกับสมัยอยุธยา แต่ก็มีลักษณะ หลายอย่างก่อรูปขึ้นเป็นความเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดการขยายตัว ของเศรษฐกิจเงินตราและเศรษฐกิจแบบตลาด การค้ากับต่างประเทศทั้งกับตะวันออกและ ตะวันตกขยายตัวกว้างทั้งปริมาณและสินค้าที่หลากหลาย และการเกษตรกรรมเริ่มเปลี่ยนเป็น ผลิตเพื่อส่งออก เป็นต้น

74.       การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสยามเป็นผลมาจากอะไร

(1) สนธิสัญญาบาวริ่ง   (2) สนธิสัญญาครอฟอร์ด

(3) สนธิสัญญาแวร์ซายส์        (4) สนธิสัญญาเบอร์นี่

ตอบ 1 หน้า 470547 – 548558 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเกิดขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษใน พ.ศ. 2398 ซึ่งมีผลดังนี้

1.         ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญแทนนํ้าตาล

2.         สามารถยกเลิกระบบพระคลังสินค้า และการค้าแบบผูกขาดที่ดำเนินมาทั้งแต่สมัยอยุธยา (ยกเว้นการค้าฝิ่น)

3.         ไทยเปิดการค้าอย่างเสรี ไม่มีสินค้าต้องห้ามเหมือนแต่ก่อน (ยกเว้นอาวุธยุทธภัณฑ์ ปืน และกระสุนดินดำต้องขายให้รัฐบาล) ฯลฯ

75.       ผลจากการทำสนธิสัญญาบาวริ่งคือข้อใด

(1) ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ          (2) อ้อยและนํ้าตาลกลายเป็นสินค้าออกที่สำคัญ

(3) ยกเลิกการผูกขาดการค้าฝิ่น         (4) อนุญาตให้ซื้อขายสินค้าต้องห้ามได้อย่างเสรี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76.       สนธิสัญญาบาวริ่งยกเลิกการผูกขาดสินค้า ยกเว้นสินค้าประเภทใด

(1) ข้าว            (2) อาวุธ          (3) ชา  (4) ฝิ่น

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77.       การทำสนธิสัญญาบาวริ่งของสยามแสดงให้เห็นภาวะอะไรที่สำคัญ

(1) ระบบเศรษฐกิจไทยผูกพันกับเศรษฐกิจโลก          (2) การพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจแก่มหาอำนาจ

(3) ทุนนิยมข้ามชาติ    (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 547 – 549558, (คำบรรยาย) การทำสนธิสัญญาบาวริ่งของไทยแสดงให้เห็นภาวะสำคัญดังนี้

1.         การพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจแก่มหาอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากการผลิต เพื่อเลี้ยงตนเอง มาเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก

2.         การเกิดระบบทุนนิยมตะวันตก หรือทุนนิยมข้ามชาติ

3.         ระบบเศรษฐกิจไทยต้องผูกพันกับเศรษฐกิจโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

78.       ใครคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบการผลิตเพื่อการค้าของสยาม

(1) นายทุนขุนศึก         (2) นายทุนจีน  (3) นายทุนข้ามชาติ     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 537 – 538558, (คำบรรยาย) ภายหลังสนธิสัญญาบาวริ่งเมื่อ พ.ศ. 2398 ระบบการผลิต เพื่อการค้าของไทยได้ขยายตัวอย่างกว้างขวาง โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคือ นายทุนจีน ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากนับตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นต้นมา เช่น การได้เป็นเจ้าภาษีและนายอากร เป็นผู้ควบคุมการค้าภายใน และยังเป็นพ่อค้าทุกระดับ ในระบบเศรษฐกิจไทย

79.       การเปลี่ยนแปลงทางสังคมใดเป็นผลมาจากการขยายตัวของระบบการผลิตเพื่อการค้า

(1) ว่าจ้างแรงงานเพื่อนบ้าน    (2) การยกเลิกระบบไพร่

(3) การเลิกทาส           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 419424429 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไทย โดยมีการขยายตัวของระบบการผลิต เพื่อการค้า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนี้ 1. รัฐต้องการเพิมผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวที่เป็นสินค้าออก จึงมีการยกเลิกระบบไพร่และทาส เพื่อเป็นแรงงานเสรีที่จะ ทำการผลิตได้เต็มเวลา 2. รัฐบาลว่าจ้างแรงงานกรรมกรจีน เป็นแรงงานชดเชยแทนแรงงาน จากไพร่และทาส เพื่อใช้ทำงานโครงการใหญ่ๆ

80.       ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์คือ

(1) อิทธิพลตะวันตก    (2) การริเริ่มของชนชั้นนำสยาม

(3) ระบบการปกครอง (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ 1. ระบบการปกครอง          2. ภาวะสงครามหมดสิ้นไป

3.         ภัยคุกคามจากตะวันตก          4. อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก

5.         การริเริ่มของชนชั้นนำสยาม เช่น การปฏิรูปของรัชกาลที่ 5 ที่เน้นขยายการศึกษาให้ทั่วถึง

81.       พระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมครั้งพุทธกาลเรียกว่าแบบใด

(1) เถรวาท

(2) อาจาริยวาท

(3) มหายาน

(4) วัชรยาน

ตอบ 1 หน้า 574 – 576, (คำบรรยาย) พระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมเมื่อครั้งพุทธกาล เรียกว่า พระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท แต่ต่อมาได้เกิดการแตกแยกขึ้นในสังฆมณฑลในอินเดิย ทำให้คณะสงฆ์แตกออกเป็น 2 คณะ (2 นิกาย) ได้แก่

1.         เถรวาท ซึ่งยึดถึอตามพระธรรมวินัยที่พระอริยสาวกได้ทำสังคายนาไว้แต่ดั้งเดิม โดยภิกษุคณะนี้จะถูกเรียกชื่อว่า หินยาน

2.         อาจาริยวาท ซึ่งยึดถือตามพระธรรมวินัยที่มีการแก้ไข โดยภิกษุคณะนี้มีชื่อว่า มหายาน

82.       พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในสมัยใด

(1) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

(2) กุบไลข่าน

(3) พระเจ้าอโศกมหาราช

(4) พระเจ้าอชาตศัตรู

ตอบ 3 หน้า 574 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระประสงค์จะให้พระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท แพร่หลายไปยังดินแดนต่าง ๆ จึงโปรดให้จัดภิกษุออกเป็น 9 คณะ โดยมีคณะที่สำคัญอยู่ 2 คณะ ได้แก่ 1. คณะที่หนึ่ง มีพระมหินทรเถระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นหัวหน้า นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่ลังกา 2. คณะที่สอง มีพระโสณะเถระกับพระอุตตระเถระ เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ยังสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ พ.ศ. 300

83.       หัวหน้าพระภิกษุที่มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อ พ.ศ. 300 ชื่ออะไร

(1)       พระโมคคัลลีบุตร

(2) พระโสณะเถระและพระอุตตระเถระ

(3) พระมหินทรเถระ

(4) พระติสสะเถระ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

84.       คนไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ ครั้งแรกได้รับพระพุทธศาสนาแบบใด

(1) เถรวาท      (2)       มหายาน          (3)       อาจาริยวาท     (4) มหานิกาย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 82.       ประกอบ

85.       การสังคายนาพระธรรมวินัยพุทธศาสนาแบบเถรวาทครั้งที่ 7 ซึ่งทำที่ลังกา จารึกด้วยภาษาใด

(1) มคธ           (2)       สันสกฤต         (3)       บาลี     (4) ขอม

ตอบ 3 หน้า 581 – 582 พระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราชกษัตริย์แห่งลังกา ทรงมีพระประสงค์ให้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ จึงทรงอาราธนา พระมหากัสสปะเถระให้เป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 7 ของการทำสังคายนาทั้งหมดที่ผ่านมา โดยให้ใช้ภาษาบาลีในการจารึกพระไตรปิฎก

86.       พระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกานำพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์มาเผยแผ่ที่ใดก่อน

(1) ไชยา สุราษฎร์ธานี (2)       นครศรีธรรมราช (3)     สงขลา (4) อยุธยา

ตอบ 2 หน้า 582 พระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา ได้นำพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ มาเผยแผ่ที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อน จนกระทั่ง พ.ศ. 1800 เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จไปยังหัวเมืองฝ่ายใต้ ทรงเกิดความเลื่อมใสในพระสงฆ์เหล่านี้ จึงทรงอาราธนาให้พระสงฆ์ นำพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์มาเผยแผ่และประดิษฐานที่เมืองสุโขทัย

87.       ข้อความในข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับพระสงฆ์ในคณะเหนือสมัยสุโขทัย

(1) มักอยู่วัดในเมือง    (2) มักถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา

(3) ผู้คนเลื่อมใสในจริยวัตรมากกว่า    (4) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามหานิกาย

ตอบ 1 หน้า 582 – 583 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระพุทธศาสนาในสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 คณะ ได้แก่

1.         คณะเหนือ คือ พุทธศาสนาลัทธิเถรวาท ซึ่งเป็นคณะเดิมที่นับถือกันอยู่ โดยจะใช้ภาษาสันสกฤต และพระสงฆ์มักอยู่วัดในเมือง

2.         คณะใต้ คือ พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ ซึ่งเป็นรากฐานของมหานิกายในปัจจุบัน โดยพระสงฆ์จะใช้ภาษาบาลี และมักถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา จึงทำให้ผู้คนเลื่อมใสใน พระจริยวัตรมากกว่า

88.       ข้อความในข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระสงฆ์คณะใต้สมัยสุโขทัย

(1) มักอยู่วัดในเมือง    (2) มักถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา

(3) ผู้คนเลื่อมใสในจริยวัตรมากกว่า    (4) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามหานิกาย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

89.       พระขะพุงผีที่กล่าวถึงในศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหง หมายถึงอะไร

(1) ผีบรรพบุรุษ            (2) พระที่ถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา

(3) วิญญาณกษัตริย์ต้นราชวงศ์          (4) เทพยดาที่เป็นใหญ่กว่าผีทุกผีในเมืองสุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 583589 แม้คนสุโขทัยจะรับพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ความเชื่อเรื่องการนับถือผีสางเทวดาก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะการนับถือ พระขะพุงผี” ซึ่งเป็นเทพยดาประจำชาติ ที่เป็นใหญ่กว่าผีทุกผีในเมืองสุโขทัย ดังข้อความในศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหงที่ว่า พระขะพุงผี เทพยดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้…

90.       ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา เป็นพระราชนิพนธ์ของกษัตริย์พระองค์ใด

(1)       พระบรมไตรโลกนาถ   (2) พระมหาธรรมราชาลิไทย

(3) พ่อขุนรามคำแหง   (4) พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

91.       ข้อความใดแสดงถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของคนไทยในสมัยอยุธยา

(1) การสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด

(2) พิธีกรรมต่าง ๆ มีพิธีสงฆ์เป็นองค์ประกอบ

(3) การทำบุญในโอกาสต่าง ๆ

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 589 – 592, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงถึงความเจริญและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ของคนไทยในสมัยอยุธยา จะสังเกตได้จากการที่พระมหกษัตริย์และประชาชนทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ทางพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญทำทาน การตักบาตร การบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ต้องมีพิธีสงฆ์เป็นองค์ประกอบ เป็นต้น

92.       เจดีย์สององค์ที่หน้าโบสถ์ของวัดอนุสาวรีย์ สร้างไว้เพื่อจุดประสงค์ใด

(1)       บรรจุอัฐิธาตุของบิดาและมารดาของผู้สร้างวัด

(2)       บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

(3) บรรจุอัฐิธาตุของคนในสกุล

(4) แทนองค์พระพุทธเจ้าซึ่งสำคัญที่สุด จึงตั้งอยู่หน้าโบสถ์

ตอบ 1 หน้า 592 ในสมัยอยุธยาที่มีวัดอยู่มากมายนั้น เป็นเพราะใครตั้งวงค์สกุลได้มั่นคง ก็มักจะสร้างวัดไว้ เป็นอนุสาวรีย์สำหรับบรรจุอัฐิธาตุของคนในวงค์สกุลนั้น ๆ โดยจะสร้างเจดีย์สององค์ไว้ที่หน้าโบสถ์ หรือพระอุโบสถ องค์หนึ่งสำหรับบรรจุอัฐิธาตุของบิดา อีกองค์หนึ่งบรรจุอัฐิธาตุของมารดา ส่วนบรรดาคนในวงศ์สกุลก็จะสร้างเป็นพระเจดีย์เรียงรายไว้รอบ ๆ พระอุโบสถ

93.       พระสงฆ์ทยที่ไปศึกษาพระธรรมวินัยที่ลังกา กลับมาตั้งนิกายใหม่แบบลังกาในอยุธยาเรียกว่านิกายอะไร

(1) คณะอรัญญวาสี

(2) คณะคามวาสี

(3)       คณะมหานิกาย

(4) วันรัตนวงษ์ (คณะป่าแก้ว)

ตอบ 4 หน้า 592 – 593 ในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช ได้มีพระสงฆ์ไทยกลุ่มหนึ่งเดินทางไปศึกษา พระธรรมวินัยที่ลังกาอยู่หลายปี จึงกลับมายังกรุงศรีอยุธยา และได้แยกย้ายกันไปตั้งนิกายใหม่ แบบลังกา คือ นิกายวันรัตนวงษ์ (คณะป่าแก้ว) ทำให้ในสมัยนี้พระสงฆ์นกรุงศรีอยุธยาจึงแบ่งออก เป็น 3 คณะ คือ 1. คณะคามวาสี 2. คณะอรัญญวาสี 3. คณะป่าแก้ว (วันรัตนวงษ์)

94.       ข้อความใดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัดในพระพุทธศาสนากับคนไทยสมัยอยุธยา

(1)       วัดเป็นที่ที่ผู้คนมีโอกาสพบปะกันในวันทำบุญและเทศกาลต่าง ๆ

(2)       เป็นธรรมเนียมที่ลูกผู้ชายต้องบวชเรียน 1 พรรษา

(3)       วัดเบรียบเสมือนโรงเรียนให้การศึกษา

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 590, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ระหว่างวัดในพระพุทธศาสนากับคนไทยสมัยอยุธยา มีดังนี้  1. วัดเป็นที่ที่ผู้คนมีโอกาสพบปะกันในวันทำบุญและเทศกาลต่าง ๆ

2.         วัดเป็นที่ระงับคดีวิวาทของชาวบ้าน    3. วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางสงฆ์ โดยเฉพาะประเพณีการบวชเรียน ซึ่งในสมัยอยุธยาถือเป็นธรรมเนียมว่าลูกผู้ชายต้องบวชเรียน 1 พรรษา

4.         วัดเปรียบเสมือนโรงเรียนให้การศึกษาด้านอักษรศาสตร์และวิชาอาชีพอื่น ๆ แก่กุลบุตร

95.       กษัตริย์องค์ใดในสมัยอยุธยาที่ออกผนวชในขณะครองราชย์

(1) พระนครินทราธิราช            (2) พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

(3) พระบรมไตรโลกนาถ         (4) พระเจ้าทรงธรรม

ตอบ 3 หน้า 593 – 594 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงมีพระราชกรณียกิจในการทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาดังนี้

1.         ทรงอุทิศที่พระราชวังเดิมถวายสร้างเป็นวัด ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า วัดพระศรีสรรเพชญ

2.         ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 2 ที่ออกผนวชขณะที่ยังทรงครองราชย์

3.         ทรงเปลี่ยนแปลงแบบอย่างการสร้างพุทธเจดีย์ให้เป็นแบบศิลปกรรมสุโขทัย เช่น การสร้างพระสถูปเจดีย์ทรงระฆังตามแบบลังกา ซึ่งนิยมสร้างกันมากในสมัยสุโขทัย ฯลฯ

96.       พระบรมไตรโลกนาถอุทิศพระราชวังเดิม ถวายสร้างเป็นวัดชื่อวัดอะไร

(1) วัดพระศรีสรรเพชญ           (2) วัดพระศรีมหาธาตุ

(3) วัดราชบูรณะ         (4) วัดกษัตราธิราช

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97.       การเปลี่ยนแปลงรูปแบบศิลปกรรมทางศาสนาตามแบบศิลปะสุโขทัย เช่น เปลี่ยนแบบพุทธเจดีย์เป็นทรงระฆัง เกิดขึ้นในสมัยกษัตริย์องค์ใด

(1) พระบรมราชาธิราช            (2) พระบรมไตรโลกนาถ

(3) พระนารายณ์มหาราช        (4) พระเจ้าปราสาททอง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

98.       ประเพณีการบวชของคนไทยเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) อู่ทอง         (3) อยุธยา       (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 3 หน้า 587591594 – 596 ในสมัยอยุธยา ซึ่งตรงกับรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ไดัมีความเคลื่อนไหวทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญดังนี้   1. การประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิสยามวงค์ในลังกา 2. การปฏิสังขรณ์วัด 3. การเกิดประเพณีการบวชของคนไทยทั่วไป (การบวชเรียนนี้แม้ว่าจะเคยมีขึ้นในสมัยสุโขทัยมาก่อน แต่ก็ยังไม่แพร่หลายจนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญเหมือนกับสมัยอยุธยา)

99.       วรรณคดีทางพุทธศาสนาเรื่องใดที่แต่งในสมัยอยุธยา แต่จบในสมัยรัตนโกสินทร์

(1) พระมาลัยคำหลวง (2) มหาชาติคำหลวง   (3) เทศน์มหาชาติ        (4) สมุทรโฆษคำฉันท์

ตอบ 4 (คำบรรยาย) สมุทรโฆษคำฉันท์ เป็นวรรณคดีทางพุทธศาสนาที่เริ่มแต่งตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่แต่งไม่จบ เพิ่งมาจบในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเนื้อเรื่องเป็นเรื่องชาดกในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นนิยายเล่าสืบต่อกันมา ดังนั้นฉันท์เรื่องนี้ จึงนับเป็นเรื่องแรกที่นำมาบรรยายชาดก

100.    พระไตรปิฎกที่ทำการสังคายนาในสมัยรัชกาลที่ 1 เรียกว่าอะไร

(1) พระไตรปิฎกฉบับใบลาน  (2) พระไตรปิฎกฉบับทอง

(3) พระไตรปิฎกฉบับรดนํ้าแดง          (4) พระไตรปิฎกฉบับ 3 คัมภีร์

ตอบ 2 หน้า 596 – 599 พระราชกรณียกิจทางด้านศาสนาของรัชกาลที่ 1 ได้แก่

1.         จัดระเบียบคณะสงฆ์ตามแบบครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้างเพียงเล็กน้อย

2.         ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 พ.ศ. 2331 เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง

ซึ่งถือเป็นกิจทางศาสนาที่สำคัญยิ่ง

3.         ทรงเป็นผู้ตรากฎหมายพระสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรก

4.         ทรงสร้างพระอารามหลวง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดสุทัศน์เทพวราราม

101.    หลักฐานทางศิลปกรรมที่แสดงถึงการแพร่วัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดียสู่ดินแดนสุวรรณภูมิที่มีอายุเก่าที่สุดเท่าที่พบเป็นงานศิลปกรรมที่แสดงถึงอิทธิพลศิลปะสมัยใดของอินเดีย

(1) อมราวดี

(2) คุปตะ

(3) หลังคุปตะ

(4) ปาละ-เสนะ

ตอบ 1 หน้า 684,686, (คำบรรยาย) ศิลปะทวารวดี เป็นศิลปะที่เจริญขึ้นในช่วงแรกสุดของไทย โดยงานศิลปกรรมทวารวดีส่วนใหญ่จะแสดงถึงการแพร่วัฒนธรรมทางศาสนาจากอินเดีย สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบ ได้แก่ งานศิลปกรรมที่แสดงถึงอิทธิพล ศิลปะอินเดียสมัยอมราวดี (พุทธศตวรรษที่ 7-9) ต่อมาก็มีอิทธิพลของศิลปะคุปตะ-หลังคุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9 – 13) และศิลปะปาละ-เสนะ (พุทธศตวรรษที่ 14 – 17) ตามลำดับ

102.    พระพุทธรูปแบบทวารวดีตอนปลาย มีลักษณะอิทธิพลของศิลปะใดเข้ามาปน

(1) ศิลปะอินเดียแบบปัลลวะ

(2) ศิลปะลังกา

(3) ศิลปะขอมในประเทศไทย

(4) ศิลปะชวา

ตอบ 3 หน้า 686 – 687698 พระพุทธรูปสมัยทวารวดีส่วนใหญ่สลักจากศิลา ที่หล่อด้วยสำริด ก็มีอยู่บ้างแต่มักมีขนาดเล็ก ซึ่งแบ่งออกตามลักษณะได้ 3 แบบ ได้แก่

1.         แบบแรก แสดงอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบอมราวดี และแบบคุปตะ-หลังคุปตะอย่างชัดเจน

2.         แบบที่สอง มีลักษณะเป็นพื้นเมืองหรือเป็นลักษณะเฉพาะของทวารวดี

3.         แบบที่สาม เป็นพระพุทธรูปทวารวดีตอนปลาย มีอิทธิพลของศิลปะขอมสมัยบาปวน หรือศิลปะลพบุรีตอนต้น (ซึ่งเรียกว่า ศิลปะขอมในประเทศไทย) เข้ามาปะปน

103.    ศิลปะทวารวดีเป็นงานช่างที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาใด

(1) พุทธศาสนาเถรวาท

(2) พุทธศาสนามหายาน

(3) พุทธศาสนาวัชรยาน

(4) ศาสนาพราหมณ์

ตอบ 1 หน้า 685 ศิลปะสมัยทวารวดีจะสะท้อนการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท พุทธศาสนามหายาบ และศาสนาฮินดู แต่ศิลปะที่พบมักเป็นงานช่างที่แสดงพุทธศิลป์นิกายเถรวาท (หินยาน) มากที่สุด โดยหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท คือ จารึกคาถา เย ธัมมา” และจารึกอื่น ๆ ที่เป็นภาษาบาลี ซึ่งใช้เฉพาะพุทธศาสนาเถรวาท รวมทั้งงานประติมากรรมอื่นในพุทธศาสนาเถรวาท ที่พบอยู่ทั่วไป

104.    ธรรมจักรและกวางหมอบที่พบในศิลปะทวารวดี สร้างขึ้นในความหมายใด

(1)       พระพุทธองค์ทรงประทานปฐมเทศนา ณ อิสิปตนมฤคทายวัน

(2)       พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

(3)       พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์

(4)       พระพุทธองค์ทรงแสดงสัจธรรมถึงวัฏสงสารเหมือนการหมุนของวงล้อ

ตอบ 1 หน้า 689 ศิลาสลักรูปธรรมจักรในศิลปะทวารวดี คงมีความหมายถึงพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เนื่องจากมักพบพร้อมกับกวางหมอบ อันหมายถึง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ทั้งนี้การที่แสดงภาพเป็นธรรมจักรก็เนื่องด้วยพระสูตรที่ ทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร หรือพระสูตรแห่งการหมุนธรรมจักรนั่นเอง

105.    เทวรูปรุ่นเก่าส่วนใหญ่พบในภูมิภาคใดของประเทศไทย

(1) ภาคตะวันออกและภาคกลาง        (2) ภาคตะวันออกและภาคใต้

(3) ภาคใต้และภาคกลาง        (4) ภาคตะวันตกและภาคใต้

ตอบ 2 หน้า 683691, (คำบรรยาย) ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า หรือวัตถุรุ่นเก่า (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14) สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู และมีอายุร่วมสมัยกับศิลปะทวารวดีที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา โดยเทวรูป รุ่นเก่าส่วนใหญ่มักพบในภาคใต้ของไทยแถบเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี และทางภาคตะวันออก แถบดงศรีมหาโพธ จ.ปราจีนบุรี นอกจากนี้ที่เมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ก็พบด้วยเช่นกัน

106.    เทวรูปพระนารายณ์ สร้างขึ้นตามคติความเชื่อในศาสนาใด

(1) พราหมณ์สมัยโบราณ        (2) ฮินดู ไศวนิกาย

(3) ฮินดู ไวษณพนิกาย            (4) พุทธหินยาน

ตอบ 3 หน้า 691 – 692 เทวรูปพระนารายณ์ ซึ่งเป็นศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า มักสร้างขึ้นตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดู ไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นใหญ่) เช่น เทวรูปพระนารายณ์ 4 กร ศิลา (2 กรหลังหักหายไป) พบที่เขาศรีวิชัย อ.พุมพิน จ.สุราษฎร์ธานี มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 13

107.    ศิลปะศรีวิชัย ส่วนใหญ่เป็นศิลปกรรมที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาใด

(1) พราหมณ์สมัยโบราณ        (2) พุทธศาสนามหายาน

(3) พุทธศาสนาหินยาน           (4) ฮินดู

ตอบ 2 หน้า 694 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) เกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งศิลปกรรมศรีวิชัยที่ทำขึ้นส่วนใหญ่จะเนื่องมาแต่พุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยโบราณวัตถุ ไม่ว่าจะสลักด้วยศิลาหรือหล่อด้วยสำริดจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับของที่พบในเกาะชวาภาคกลาง เป็นอย่างมาก

108.    พระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเจดีย์ที่มีอายุสมัยอยู่ในช่วงปลายของศิลปะศรีวิชัย มีส่วนของทรงระฆังป้อมเตี้ย ซึ่งเป็นลักษณะที่แสดงถึงการรับอิทธิพลของศิลปะใด

(1) ศิลปะจาม  (2) ศิลปะชวา

(3) ศิลปะอินเดียภาคตะวันตก            (4) ศิลปะลังกา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ในสมัยศิลปะศรีวิชัยตอนปลาย พุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ได้เผยแผ่เข้ามา เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 18 แทนที่พุทธศาสนามหายาน ดังจะเห็นได้จากพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีส่วนบนของเจดีย์เป็นทรงระฆังป้อมเตี้ย มีบัลลังก์ สี่เหลี่ยมต่อยอดแหลม อันเป็นลักษณะที่แสดงถึงการรับอิทธิพลของศิลปะลังกา

109.    ตามคติทางศาสนา ส่วนที่เป็นเรือนธาตุของเจดีย์ สร้างขึ้นด้วยจุดประสงศ์อะไร

(1)       เป็นที่เคารพเทพเจ้าและบรรพบุรุษซึ่งเก็บเถ้ากระดูกไว้ที่นี่

(2)       เป็นสังเวชนียสถาน    (3) แทนองค์พระพุทธเจ้า

(4)       แทนเทพเจ้าสูงสุดในศาสนา

ตอบ 2 หน้า 709, (คำบรรยาย) ตามคติทางศาสนาพุทธ ส่วนกลางของเจดีย์จะเรียกว่า เรือนธาตุ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือใช้สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของ พระพุทธเจ้า เถ้ากระดูกหรืออัฐิธาตุของพระสงฆ์สาวก ตลอดจนใช้เป็นสังเวชนียสถานหรือ เครื่องหมายแห่งสถานที่อันศักดิสิทธิ์ในพุทธศาสนาเช่น ที่ประสูติ ตรัสรู้ ประทานปฐมเทศนา และปรินิพพาน

110.    ศิลปะล้านนาในระยะแรกได้รับอิทธิพลจากศิลปะใดเป็นพื้นฐาน

(1) หริภุญไชย (2) พุกามในพม่า         (3) สุโขทัย       (4) ลังกา

ตอบ 1 หน้า 715 ศิลปะล้านนาหรือเชียงแสนในระยะแรกนั้น จะได้รับอิทธิพลจากศิลปะหริภุญไชย เป็นพื้นฐาน และมีการพัฒนาลักษณะรูปแบบโดยมีอิทธิพลของศิลปะพม่าสมัยพุกามเข้ามาเกี่ยวข้อง

111.    ประติมากรรมศิลปะลพบุรีหรือศิลปะขอมในประเทศไทย สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาอะไร

(1) ศาสนาฮินดูไศวนิกาย และไวษณพนิกาย

(2) ศาสนาพุทธหินยาน และมหายาน

(3)       ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธหินยาน

(4) ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธมหายาน

ตอบ 4 หน้า 698 – 699 ศิลปะลพบุรี หรือศิลปะขอมในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ 16 – 18)มักพบในท้องที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดย โบราณวัตถุในศิลปะขอมในประเทศไทยนิยมสลักจากศิลาหรือหล่อด้วยสำริด และมักสร้างขึ้น ตามคติความเชื่อทางศาสนาพุทธมหายานและศาสนาฮินดู

112.    พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์สองหรือเชียงใหม่ แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะใด

(1) พุกาม

(2) หริภุญไชย

(3) สุโขทัย

(4) ลพบุรี

ตอบ 3 หน้า 712716 พระพุทธรูปเชียงแสนสายที่สอง จะแสดงถึงอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย จึงนิยมเรียกว่า แบบเชียงแสนสิงห์สองหรือเชียงใหม่” ซึ่งจะมีพุทธลักษณะที่ต่างไป จากแบบเชียงแสนสิงห์หนึ่ง แต่จะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปหมวดใหญ่สมัยสุโขทัย คือ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ พระวรกายเพรียว พระรัศมีรูปเปลวไฟ ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี (สะดือ)

113.    พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่ง มีลักษณะเด่นที่ต่างจากเชียงแสนสิงห์สองในข้อใด

(1) พระพักตร์กลม พระองค์อวบ

(2) สังฆาฏิปลายเป็นแฉกเขี้ยวตะขาบอยู่เหนือพระถัน

(3) พระพักตร์รูปไข่ มีไรพระศก

(4) สังฆาฏิปลายตัดอยู่เหนือพระถัน

ตอบ 1 หน้า 716, (ดูคำอธิบายข้อ 112. ประกอบ) พระพุทธรูปเชียงแสนสายแรก หรือเรียกว่า “ แบบเชียงแสนสิงห์หนึ่ง ” จะได้รับอิทธิพลศิลปะอินเดียในยุคปาละชัดเจน โดยผ่านมา ทางพุกาม มีพุทธลักษณะที่สำคัญ คือ พระพักตร์กลม อมยิ้ม พระวรกายอวบอ้วน พระรัศมี เป็นรูปดอกบัวตูมหรือลูกกลม ขมวดพระเกศาใหญ่ ไม่มีไรพระศก ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระถัน (เต้านม) เช่น พระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ พบที่วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่

114.    ศิลปะแบบใดที่นิยมสร้างพระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่อง

(1) ศิลปะศรีวิชัย         (2) ศิลปะลพบุรี           (3) ศิลปะอู่ทอง           (4) ศิลปะอยุธยา

ตอบ 2 หน้า 700 – 701, (คำบรรยาย) ประติมากรรมสมัยศิลปะลพบุรีที่นิยมมากเป็นพิเศษ คือ พระพุทธรูปปางนาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ซึ่งมักจะสลักด้วยศิลาทราย ต่อมาในสมัยหลังประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มักนิยมสลักเป็นพระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่อง มีสีพระพักตร์ค่อนข้างถมึงทึง ซึ่งแสดง ให้เห็นว่าเป็นศิลปะลพบุรีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศิลปะขอม

115.    พระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นพระพุทธรูปในศิลปะแบบใด

(1) ศิลปะลังกา           (2) ศิลปะล้านนา         (3) ศิลปะสุโขทัย         (4) ศิลปะล้านช้าง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) พระแก้วมรกตที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จัดเป็นพระพุทธรูป ในศิลปะล้านนาแบบเชียงแสนสิงห์สองหรือเชียงใหม่ ซึ่งสร้างด้วยแก้วหรือหินสีเขียวมรกตเนื้อเดียว ทั้งองค์ โดยตามตำนานกล่าวว่าได้ค้นพบพระแก้วมรกตในพระเจดีย์ที่เมืองเชียงรายเมื่อราว พ.ศ. 1979 และต่อมาได้ตกไปอยู่เมืองลำปาง เชียงใหม่ และประเทศลาว จนกระทั่งรัชกาลที่ 1 เสด็จยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้เมื่อ พ.ศ. 2321 จึงอัญเชิญกลับมายังประเทศไทย

116.    พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก จัดเป็นพระพุทธรูปในศิลปะแบบใด

(1) ศิลปะสุโขทัย         (2) ศิลปะลพบุรี           (3) ศิลปะอู่ทอง           (4) ศิลปะอยุธยา

ตอบ 1 หน้า 712, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัยหมวดพระพุทธชินราช เกิดขึ้นในสมัย พญาลิไทยย้ายเมืองหลวงจากสุโขทัยมายังพิษณุโลก เมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 20 จึงจัดเป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพิษณุโลกโดยมีลักษณะทั่วไปคล้ายแบบหมวดใหญ่ แต่ต่างกันคือ มีพระพักตร์และพระวรกายอวบอ้วนกว่า มีนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกับทุกนิ้ว ซึ่งสะท้อนถึง คติลักษณะมหาบุรุษ 32 ประการ เช่น พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก

117.    รูปแบบเจดีย์ในข้อใดที่เป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์สุโขทัย

(1) ทรงยอดพุ่มข้าวบิณฑ์        (2) ทรงระฆัง   (3) ทรงปราสาทยอด   (4) ทรงแปดเหลี่ยม

ตอบ 1 หน้า 710, (คำบรรยาย) เจดีย์ประธานในสมัยสุโขทัยมีรูปแบบเฉพาะอยู่ 3 แบบ คือ

1.         เจดีย์ทรงปราสาทยอดระฆัง หรือทรงปราสาทห้ายอด

2.         เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม หรือทรงยอดพุ่มข้าวบิณท์ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสุโขทัย

3.         เจดีย์ทรงระฆัง หรือทรงกลมแบบลังกา

118.    พระพุทธรูอู่ทองรุ่น 1 มีลักษณะเด่นที่พระพักตร์เหลี่ยม พระรัศมีเป็นดอกบัวตูม มีไรพระศก พระขนงต่อกัน เป็นปีกกา และสังฆาฏิใหญ่ปลายตัด แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะใด

(1) ทวารวดี      (2) สุโขทัย

(3) ลพบุรี         (4) ทวารวดีและลพบุรี

ตอบ 4 หน้า 719 – 720 พระพุทธรูปอู่ทองรุ่นที่ 1 แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะทวารวดีที่มีศิลปะขอม (ลพบุรี) เข้ามาผสม มีลักษณะเด่นคือ มีสังฆาฏิใหญ่ปลายตัด และพระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูม ตามแบบทวารวดี แต่มีพระพักตร์เหลี่ยม มีไรพระศก และพระขนงต่อกันเป็นปีกกาตามแบบขอม มักพบมากในเขตเมืองสรรคบุรี จ.ขัยนาท มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 18

119.    พระพุทธรูปยืนในศิลปะสุโขทัย นิยมสร้างปางอะไร

(1) ปางมารวิชัย           (2) ปางประทานอภัย

(3) ปางลีลา     (4) ปางเปิดโลก

ตอบ 3 หน้า 712 พระพุทธรูปยืนในศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางลีลา ลอยตัวที่มีความงดงามไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน และถือได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของสุโขทัย ซึ่งน่าจะมีที่มาจากภาพพุทธประวัติตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

120.    พระพุทธรูปคันธารราฐในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเด่นชัดในข้อใด

(1) ส่วนสัดสมจริงคล้ายคนสามัญ      (2) เลียนแบบต้นแบบเดิมในศิลปะลังกา

(3) รักษาลักษณะมหาบุรุษในศิลปะอินเดีย    (4) ผสมผสานศิลปะแบบไทยกับตะวันตก

ตอบ 1 หน้า 732, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระพุทธรูปที่สร้างกลับมามีพระเกตุมาลาเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังมีการติดต่อกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ทำให้นิยมสร้างพระพุทธรูปแนวสมจริง ตามแบบตะวันตก และมีส่วนสัดที่สมจริงคล้ายคนธรรมดาสามัญมากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จาก พระพุทธรูปยืนปางคันธารราฐ (ปางขอฝน) ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ข้อใดไม่ใช่วัฒนธรรมอินเดียที่รัฐโบราณในประเทศไทยรับเข้ามา

(1)       ตัวอักษรปัลลวะ

(2) ภาษาบาลี

(3) ศิลปกรรม

(4) ศาสนาคริสต์

ตอบ 4 หน้า 11 -13 วัฒนธรรมอินเดียที่รัฐโบราณในประเทศไทยรับเข้ามาได้แก่

1.         ด้านศาสนา เช่น ศาสนาพุทธและพราหมณ์

2.         ด้านภาษาและวรรณคดี เช่น ตัวอักษรปัลลวะ อักษรเทวนาศรี ภาษาบาลี-สันสกฤต ฯลฯ

3.         ด้านการปกครอง เช่น ระบบเทวราชา และกฎหมายธรรมศาสตร์

4.         ด้านศิลปกรรม เช่น รูปแบบทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม

2.         ข้อใดคือลักษณะสำคัญซองแคว้นศรีวิชัย

(1)       นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน

(2) ใช้กลองมโหระทึก

(3) ทาฟันสีดำ

(4) นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ตอบ 1 หน้า 15 แคว้นศรีวิชัย เจริญขึ้นตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 – 18 ในบริเวณที่เป็น จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน โดยมีฐานะเป็นศูนย์กลางทางการค้า ที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้น ทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อระหว่างอินเดียและจีน จึงทำให้ รับวัฒนธรรมอินเดียเอาไว้หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนานิกายมหายาน เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ส่วนศาสนาฮินดูก็มีผู้นับถือเช่นกัน

3.         แคว้นเสียม” คือชื่อที่จีนใช้เรียกแว่นแคว้นใด

(1)       ละโว้

(2)       สุพรรณภูมิ

(3)       เชลียง

(4) ทวารวดี

ตอบ 2 หน้า 18 แคว้นสุพรรณภูมิ หรือที่จีนเรียกว่า แคว้นเสียม” ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่นํ้า เจ้าพระยาในบริเวณที่เป็นแคว้นนครชัยศรีแต่เดิม โดยมีศูนย์กลางสำคัญอยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี เมืองแพรกศรีราชา (สรรคบุรี) เพชรบุรี และราชบุรี

4.         แคว้นเงินยางเชียงแสน สถาปนาขึ้นโดยราวงศ์ใด

(1)       ลาวจก (2)       ศรีนาวนำถม    (3)       พระร่วง            (4) อู่ทอง

ตอบ 1 หน้า 20 แคว้นเงินยางเชียงแสน หรือหิรัญนครเงินยาง สถาปนาขึ้นโดยราชวงศ์ลาวจกในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งในสมัยของพระยาเจื๋อง ขอบข่ายของแคว้นเงินยางได้ขยายขึ้นไป ถึงสิบสองปันนา หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ต่อมาลูกหลานของพระยาเจื๋องได้ปกครอง อีก 4 – 5 คน ก็ถึงสมัยของพระยามังราย

5.         พระนามเดิมของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์คือข้อใด

(1)       พ่อขุนรามคำแหง         (2)       พ่อขุนบางกลางหาว    (3) พ่อขุนผาเมือง        (4) พ่อขุนศรีนาวนำถม

ตอบ 2 หน้า 23, (คำบรรยาย) หลักฐานสุโขทัยเท่าที่มีปรากฏ ได้กล่าวถึงกษัตริย์พระองศ์แรกของกรุงสุโขทัย คือ พ่อขุนศรีนาวนำถม ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพ่อขุนผาเมือง ผู้ปกครองเมืองราด ส่วนกษัตริย์สุโขทัยพระองศ์ต่อมา คือ พ่อขุนครีอินทราทิตย์ หรือมีพ6ระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งเป็นพระสหายของพ่อขุนผาเมือง

6.         แว่นแคว้นใดต่อไปนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลังกามากที่สุด

(1)       ล้านนา (2) นครศรีธรรมราช (3) สุโขทัย           (4) อยุธยา

ตอบ 2 หน้า 25 แคว้นศรีธรรมราช หรือนครศรีธรรมราช พัฒนาไปจากแคว้นศรีวิชัย ภายหลังที่ แคว้นศรีวิชัยเสื่อมอำนาจไปแล้ว โดยแคว้นศรีธรรมราชจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลังกา มากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้จากการที่พุทธศาสนาเถรวาทจากลังกาเข้ามามีอิทธิพลแทนที่พุทธศาสนามหายานของศรีวิชัย

7.         สมัยกษัตริย์พระองค์ใดของสุโขทัยที่มีความรุ่งเรืองทั้งทางศาสนาและวรรณกรรม

(1)       พ่อขุนรามคำแหง         (2) พ่อขุนศรีนาวนำถม            (3) พระมหาธรรมราชาลิไทย (4) พระยางั่วนำถม

ตอบ 3 หน้า 27105584 ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย สุโขทัยมีความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนา และวรรณกรรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากทรงเป็นกษัตริย์ไทยที่ได้รับยกย่องว่าเป็นจอมปราชญ์ ในทางพระพุทธศาสนาพระองค์แรกของไทย นอกจากนี้ยังทรงแต่งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเรื่อง ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถา และทรงเป็นผู้อุปถัมภ์พระสุมณเถระไปเผยแผ่พุทธศาสนา ในอาณาจักรล้านนา

8.         สมัยใดถือว่าเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนา

(1) พระยามังราย        (2) พระยากือนา          (3) พระยาติโลกราช    (4) พระยาสามฝั่งแกน

ตอบ 3 หน้า 32 สมัยของพระยาติโลกราช (พ.ศ. 1984 – 2030) ถือได้ว่าเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนา เพราะสามารถฟื้นฟูอำนาจของล้านนาขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ พระยาติโลกราชยังเป็นผู้มีความสามารถในการรบและขยันรบ จึงมีนโยบายขยายอำนาจ ออกไปอย่างกว้างขวาง เช่น ทางเหนือขึ้นไปถึงเขตไทยใหญ่ คือ เมืองเชียงรุ้ง ส่วนทางใต้ ลงมาถึงเมืองแพร่และน่าน

9.         ข้อใดหมายถึง มหาชนสมมุติ”       

(1) กษัตริย์เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า

(2)       กษัตริย์ คือ บุคคลที่มีคุณธรรมที่ได้รับการเลือกสรรจากประชาชน

(3)       กษัตริย์ คือ ผู้สืบเชื้อสายจากพระพุทธเจ้า     (4) กษัตริย์เป็นผู้ที่สามารถขยายอำนาจทั้ง 8 ทิศ

ตอบ 2 หน้า 92 ผู้นำที่ดีควรเป็น มหาชนสมมุติ” เป็นหลักการของพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร ซึ่งได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำหรือกษัตริย์ควรเป็นมนุษย์เหมือน ประชาชนมิใช่เทพเจ้า โดยต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น รวมทั้งได้รับการยอมรับ และเลือกสรรจากประชาชน จึงจะเรียกว่าเป็นมหาชนสมมุติ

10.       ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบนครรัฐ

(1) เมืองหลวงสามารถควบคุมส่วนภูมิภาคได้อย่างแท้จริง (2) การรวมศูนย์อำนาจมีประสิทธิภาพ

(3) เมืองลูกหลวงก่อการกบฏหลายครั้งในช่วงต้นอยุธยา       (4) เมืองส่วนภูมิภาคไม่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ

ตอบ 3 หน้า 104 7- 105160, (คำบรรยาย) การปกครองแบบนครรัฐ (City State) คือ การที่เมือง หรือนครต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาคมีอิสระดุจเป็นรัฐของตัวเอง แว่นแคว้นจึงรวมตัวกันแต่เพียงหลวม ๆ ในลักษณะสมาพันธรัฐ ส่งผลให้การรวมศูนย์อำนาจไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเมืองหลวง ไม่สามารถควบคุมเมืองส่วนภูมิภาคได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อโอกาสอำนวย เจ้าเมืองชั้นนอก (เมืองลูกหลวง) อาจแยกตัวเป็นอิสระ หรือเข้ามาแย่งชิงอำนาจที่เมืองหลวง เช่น กรณีที่พญาลิไทย เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยมาชิงราชย์ที่สุโขทัย หรือการที่เมืองลูกหลวงก่อกบฏหลายครั้งในล้านนา และอยุธยาตอนต้น 

11.       ข้อใดที่แสดงว่าสุโขทัยมีการปกครองแบบนครรัฐ

(1)       เจ้านายที่เมืองศรีสัชนาลัยมาชิงราชย์ที่เมืองสุโขทัยได้

(2)       สุโขทัยมีนโยบายกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

(3)       ไม่มีการกบฏในสมัยสุโขทัย  

(4) สุโขทัยถูกอยุธยาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยา

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

12.       จตุโลกบาล หมายถึงอะไรในคติพราหมณ์

(1) เทวดาหรีอยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาล

(2) พระมหากษัตริย์

(3) ไศเลนทร์ หรือราชาแห่งภูเขา

(4) พระจักรพรรดิราช

ตอบ 1 หน้า 99, (คำบรรยาย) ในคติพราหมณ์มีความเชื่อว่า ในระบบจักรวาล (Universe or Macrocosmos) มีทิศหลักที่สำคัญอยู่ 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันตก ซึ่งแต่ละทิศจะมีเทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาลอยู่ประจำ รวมทั้งหมด 4 ตน เรียกว่า โลกาปะละ หรือจตุโลกบาล

13.       ข้อใดถูกในสมัยสุโขทัย

(1)       ไม่ปรากฏอิทธิพลลัทธิเทวราชาในสมัยสุโขทัย

(2)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชาเต็มรูปแบบมาใช้

(3)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยก หรือมีการแย่งชิงอำนาจ

(4)       ลัทธิเทวราชามีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 100 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คงมีการนำคติบางอย่าง ของลัทธิเทวราชามาใช้ แต่อาจใช้ไม่เต็มรูปแบบหรือตลอดเวลา เช่น อาจนำลัทธิเทวราชามาใช้ ในยามที่อาณาจักรแตกแยกและต้องรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่ หรือใช้ในยามที่มีการทำรัฐประหาร แย่งชิงอำนาจกษัตริย์พระองค์ก่อน

14.       ในช่วงแรกของสุโขทัย ผู้ช่วยในการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์คือใคร

(1) กรมพระราชวังบวรฯ หรือวังหน้า    (2) จตุสดมภ์

(3) ลูกเจ้าลูกขุน          (4) ประชาชนชาวกรุงสุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 101 ในช่วงแรกของสุโขทัยนั้น ผู้ช่วยในการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ (พ่อขุน) หรือข้าราชการ ได้แก่ บรรดาเชื้อพระวงค์ที่เป็นญาติใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ และอีกส่วนหนึ่ง คงเป็นบริวารที่ไม่ใช่ญาติ โดยเรียกข้าราชการเหล่านี้รวมๆ กันไปว่า ลูกเจ้าลูกขุน” ทั้งนี้ เพราะยังไม่มีการแยกกลุ่มบุคคลอย่างชัดเจนว่าเป็นเจ้านายหรือขุนนางเหมือนในสมัยอยุธยา

15.       ระบบจตุสดมภ์ถูกยกเลิกไปในรัชกาลใด

(1) พระเพทราชา         (2) พระเจ้ากรุงธนบุรี

(3) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  (4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ตอบ 4 หน้า 147, (คำบรรยาย) อยุธยามีการจัดแบ่งส่วนราชการในระยะแรกเริ่มเป็นแบบจตุสดมภ์ (หลักทั้ง 4) คือ มีกรมสำคัญอยู่ 4 กรม ได้แก่ กรมเวียงหรือกรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา แต่ต่อมาระบบจตุสดมภ์ซึ่งถือเป็นระบบการปกครองที่มีอายุยืนยาวที่สุดก็ได้ถูกยกเลิกอย่าง เป็นทางการในสมัยปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยทรงจัดแบ่งส่วนราชการออกเป็นกระทรวงตามแบบอารยประเทศ 

16.       พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาทรงควบคุมอำนาจเจ้านายอย่างไร

(1)       ไม่ให้เจ้านายมีไพร่ในสังกัด     (2) ให้ขุนนางกำกับราชการแทนเจ้านาย

(3)       เมื่อเจ้านายตาย ทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องถูกริบราชบาตร

(4)       ลดความสูงศักดิ์ของเจ้านายทุกชั่วคน และไม่ให้เจ้านายดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการ

ตอบ 4 หน้า 141313 – 314 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงควบคุมอำนาจของเจ้านาย ดังนี้

1.         กำหนดความสูงศักดิ์ของเจ้านายให้มีอยู่เพียง 3 ชั่วอายุคน และลดความสูงศักดิ์ของ เจ้านายลงทุกชั่วอายุคน            2. ไม่ให้เจ้านายดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการ เช่น ตำแหน่งเสนาบดี และเจ้าเมือง 3. ควบคุมจำนวนไพร่สมของเจ้านายไม่ให้มีมากเกินไป 4. ออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนไหวของเจ้านาย ฯลฯ

17.       ข้อใดคือนโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(1) แบ่งงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน (2) แบ่งการปกครองออกเป็นภูมิภาค

(3) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง            (4) จัดตั้งเมืองลูกหลวงในเขตเมืองชั้นใน

ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้

1.         แบ่งแยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน

2.         จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ยกเลิก เด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานีซึ่งเมืองหลวงเข้าไปควบคุมโดยตรง

18.       เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์

(1)       กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

(2)       เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมด

(3)       กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน      

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 155 – 156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้

1.         กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน

2.         เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง

3.         กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงาน เป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

19.       การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะแบบใด

(1) แบ่งงานตามหน้าที่โดยเคร่งครัด    (2) ยกเลิกกรมสำคัญ 6 กรม

(3) แบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาค (4) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 157 – 158 การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ ระบบแบ่งงานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง (Functional Basis) ออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนสลายไป กลายเป็นระบบแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นส่วนภูมิภาค (Territorial Basis) แทน ดังนี้

1.         กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้

2.         กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ

3.         กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

20.       ข้อใดคือผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองในส่วนกลาง

(1)       เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกัน       (2) กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

(3) กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้น     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 158 – 159 ผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองส่วนกลางในสมัยอยุธยา ตอนปลาย มีดังนี้

1. เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกับกรมที่เคยรับผิดชอบงานเฉพาะบางกรมเป็นเหตุให้กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

2. กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้นทุกที

3. การจัดให้กรมเล็กขึ้นสังกัดกรมใหญ่สับสนกันมากขึ้น

21 เขตมณฑลราชธานี จัดตั้งขึ้นในรัชกาลใด 

(1) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1

(2)       สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนเรศวร

(4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

22.       การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีลักษณะอย่างไร

(1)       มีการจัดตั้งเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานคร

(2)       มีการแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

(3)       มีการกระจายอำนาจสู่ส่วนภูมิภาค   

(4) มีการจัดตั้งเขตมณฑลราชธานี

ตอบ 2 หน้า 162 – 164 การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีดังนี้       1. รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มอำนาจให้เมืองหลวงควบคุมเขตภูมิภาคได้มั่นคงขึ้น (แต่มิได้มีผลถาวร)       2. ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานครในเขตเมืองชั้นนอก และจัดแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

3.         จัดส่งขุนนางออกไปเป็นเจ้าเมืองเหล่านี้ และให้แต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ฯลฯ

23.       ธรรมศาสตร์มีความสำคัญอย่างไร    

(1) เป็นกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยา

(2)       เป็นแม่บทของพระราชบัญญ้ติ          

(3) เป็นหลักการของระบบเทวราชา

(4)       เป็นแนวทางปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ

ตอบ 2 หน้า 134 – 135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่

1.         พระธรรมศาสตร์ ถือเป็นกฎหมาย-หลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด ต่อมาได้มีการดัดแปลง ตามคติของพุทธศาสนา และเรียกว่า ธรรมสัตถัม

2.         พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดและพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นผู้ตราขึ้นโดยใช้พระธรรมศาสตร์เป็นแม่บท จะใช้เมื่อมีกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ ในพระธรรมศาสตร์ จึงต้องอาศัยพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์เป็นทางตัดสินแทน

24.       ข้อใดที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยึดอุดมการณ์ธรรมราชา

(1) การตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม   (2) การสังคายนาพระไตรปิฎก

(3)       การลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร      (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 183 – 186 พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นทรงยึดอุดมการณ์ธรรมราชา เป็นหลักสำคัญที่สุด โดยมีแนวทางดังนี้       1. ทรงตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม ซึ่งมิได้เกี่ยวกับราชการบ้านเมืองโดยตรงแต่อย่างใด 2. ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยการสังคายนา พระไตรปิฎก ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและพระพุทธรูปจำนวนมาก 3. ทรงปกป้องคุ้มครอง ประชาชน โดยการลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร และดูแลมิให้มูลนายข่มเหงรังแกราษฎร ฯลฯ

25.       การบริหารราชการแผ่นดินสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีลักษณะแบบใด

(1) มีการแบ่งงานตามลักษณะงานโดยไม่เคร่งครัด (2) มีการแบ่งงานออกเป็นภูมิภาค

(3)       มีการแบ่งงานตามลักษณะงานโดยเคร่งครัด  (4) มีการแบ่งออกเป็นมณฑลต่าง ๆ

ตอบ 2 หน้า 158194 – 195 โครงสร้างระบบบริหารราขการแผ่นดินทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยังเป็นเช่นเดียวกับสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ จัดระบบบริหารราชการแผ่นดิน แบบแบ่งงานออกเป็นเขตแดนหรือภูมิภาค (Territorial Basis) เพียงแต่จะมีการเพิ่มจำนวน หรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกรมกองไปบ้าง (ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ)

26.       ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมืองหลวงใช้มาตรการใดในการควบคุมอำนาจเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอก

(1) ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมือง (2) ให้กรมการเมืองรับเงินเดือนจากเมืองหลวง

(3) ให้เจ้านายไปกำกับราชการหัวเมืองชั้นนอก           (4) ยกเลิกระบบกินเมือง

ตอบ 1 หน้า 195 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นไป ได้มีการใช้นโยบายแบ่งแยก ความจงรักภักดีออกเป็นสองทาง (Dual Allegiance) กล่าวคือ ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็น ผู้แต่งตั้งกรมการเมืองตำแหน่งต่าง ๆ แทนที่จะให้เจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งดังแต่ก่อน เพื่อให้เมืองหลวง มีอำนาจควบคุมเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอกได้มากขึ้น เพราะกรมการเมืองย่อมเกิดความภักดีต่อขุนนางในเมืองหลวงซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งตนด้วย มิใช่ภักดีต่อเจ้าเมืองเพียงคนเดียว

27.       การเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 มีผลต่อการปกครองในแง่ใด

(1) ไทยเริ่มพัฒนาประเทศไปตามแบบตะวันตก         (2) ระบบไพร่ทวีความสำคัญขึ้น

(3) ระบบพระคลังสินค้าทวีความสำคัญขึ้น     (4) ชาวตะวันตกเดินทางมาไทยน้อยลง

ตอบ1 หน้า 53 – 55196 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ซึ่งเริ่มตั้งแต่การทำสัญญาเปิดประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นไปนั้น ได้ส่งผลให้ไทยเริ่มพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้าน การปกครอง นโยบายต่างประเทศ ลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมให้ทันสมัยตามแบบตะวันตก โดยใช้วิชาการความรู้และแนวความคิดทางตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับแนวทางของสังคมไทย เพื่อป้องกันการคุกคามของมหาอำนาจทางตะวันตกที่เข้ามายึดครองดินแดนในเอเชียเป็นอาณานิคม

28.       ข้อใดคืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในช่วงแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงัก

(1) การขัดขวางจากพวกอนุรักษนิยม  (2) การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

(3) การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 227 – 229 อุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในระยะแรกของรัชกาลที่ 5ต้องหยุดชะงักลง ได้แก่

1.         การขัดขวางจากฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งในลักษณะของการดื้อแพ่งและการต่อต้านด้วยกำลังอาวุธ

2.         การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

3.         การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม โดยเฉพาะบรรดาสมาชิกสภาที่ปรึกษา ราชการแผ่นดิน ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับการแสดงความคิดเห็น และยังเกรงกลัวต่ออิทธิพลของ ฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่

29.       ข้อใดคือผลงานเด่นของการปฏิรูปช่วงที่ 2 ของรัชกาลที่ 5

(1) การตั้งกรมสำคัญ 6 กรม   (2) การพื้นฟูการปกครองแบบนครรัฐ

13) การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง (4) การจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์

ตอบ 3 หน้า 229 – 231 ผลงานเด่นของการปฏิรูปในระยะที่สองของรัชกาลที่ 5 คือ การออกประกาศ พระบรมราชโองการจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง โดยเพิ่มจากเดิม 6 กระทรวง แต่ละกระทรวงมีหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งการจัดตั้งกระทรวงในครั้งนี้จะเห็นได้ถึงการสูญอำนาจ ของขุนนางตระกูลบุนนาค และการขึ้นมามีอำนาจของฝ่ายเจ้านายที่ได้เป็นเสนาบดีถึง 10 กระทรวง

30.       ผลสำเร็จในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดจากข้อใด

(1) การใช้ระบบ กินเมือง”   (2) การเพิ่มอำนาจให้เมืองประเทศราช

(3) การจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาล           (4) การฟื้นฟูระบบเมืองลูกหลวง

ตอบ 3 หน้า 56234 – 235 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในรูปรวมอำนาจ เข้าสู่ศูนย์กลาง โดยการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น เพื่อให้เมืองหลวงสามารถควบคุม อาณาจักรและประเทศราชได้อย่างทั่วถึง ทำให้ประเทศไทยสามารถผนวกดินแดนในเขตชั้นนอก และเขตประเทศราชให้เป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกับส่วนกลางในลักษณะรัฐประชาชาติ (National State) ได้สำเร็จ

31.       ในสังคมไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย ล้านนา อยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นใด

(1) เจ้านาย

(2) ขุนนาง

(3) ไพร่

(4) ข้าหรือทาส

ตอบ 3 หน้า 270 – 271283336 – 337416, (คำบรรยาย) ในสังคมไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย ล้านนา อยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชนชั้นไพร่หรือสามัญชน ซึ่งถือเป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุด แต่จำนวนไพร่ที่มีก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการแรงงานของรัฐ ทั้งในยามสงบและยามสงคราม ดังนั้นรัฐจึงต้องมีระบบควบคุมแรงงานที่มีประสิทธิภาพ เรียกว่า ระบบไพร่” เพื่อให้รัฐได้ใช้แรงงานไพร่ได้อย่างเต็มที่

32.       ในสังคมไทยสมัยใดที่พระสงฆ์นั่งร่วมพิจารณาคดีกับเจ้าพนักงานของรัฐ

(1) สุโขทัย

(2)       ล้านนา

(3) อยุธยา

(4)       ธนบุรี

ตอบ 2 หน้า 280 ในสมัยล้านนา พระสงฆ์จะทำหน้าที่นั่งพิจารณาตัดสินคดีความร่วมกับเจ้าหน้าที่ ของบ้านเมืองหรือเจ้าพนักงานของรัฐโดยอาศัยอิงกับหลักเกณฑ์ในชาดกหรือวินัยสงฆ์ที่เข้ากันได้ ซึ่งบทบาทหน้าที่ดังกล่าวนี้ปรากฏตั้งแต่สมัยพญากือน (พ.ศ. 1898 – 1928)

33.       ผู้ใดมีคุณต่อพ่อแม่มาก ได้มรดกมาก” เป็นกฎหมายสมัยใด

(1) สุโขทัย

(2)ล้านนา

(3) อยุธยา

(4)       ต้นรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 295, (คำบรรยาย) สังคมสมัยล้านนามีหลักปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ว่า เมื่อพ่อแม่ตายไปให้จัดมรดกแก่ลูกที่แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้มากกว่าคนอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อตอบแทนความดีและให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นด้วย ดังข้อความในกฎหมายมังรายศาสตร์ ของล้านนาที่ว่า ผิลูกหลานมีอยู่หลายคน ผู้ใดมีคุณต่อพ่อแม่มาก ก็ให้มรดกมาก…

34.       เบื้องหัวนอน” ที่ปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัย หมายถึงทิศใด

(1) ตะวันออก  (2)       ตะวันตก          (3) ทิศเหนือ     (4)       ทิศใต้

ตอบ 4 หน้า 589, (คำบรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหงได้กล่าวถึงทิศทั้ง 4 ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ เบื้องตีนนอน (ทิศเหนือ),เบื้องหัวนอน (ทิศใต้)เบื้องตะวันออก (ทิศตะวันออก) และเบื้องตะวันตก (ทิศตะวันตก)

35.       บริเวณเมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนสมัยสุโขทัยนั้น ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำใด

(1) เจ้าพระยา  (2) ปิง  (3) ยม (4) น่าน

ตอบ 3 หน้า 23 – 24, (คำบรรยาย) บริเวณเมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่นํ้ายม ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง โดยมีศูนย์กลางของชุมชนเมื่อแรกตั้งอยู่ที่เมืองเก่า สุโขทัย บริเวณวัดพระพายหลวง หลังจากนั้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงจึงย้ายศูนย์กลางของ ราชธานีมาอยู่ในตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน บริเวณวัดมหาธาตุ

36.       ศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง ได้แก่วัดใด

(1) วัดพระพายหลวง   (2) วัดศรีสวาย (3) วัตศรีชุม     (4) วัดมหาธาตุ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

37.       ด้วยเหตุใดทรัพย์สินของเจ้าขุนจะได้รับการตีราคาสูงกว่าทรัพย์สินของไพร่ในสมัยล้านนา

(1) เพี่อให้เจ้าขุนมีฐานะสูงกว่าไพร่     (2) เพื่อให้เจ้าขุนมีอำนาจเหนือไพร่

(3) เพื่อให้เจ้าขุนสามารถปกครองไพร่ได้         (4) เพื่อให้เจ้าขุนเป็นที่เคารพยำเกรงไม่ถูกลบหลู่ง่าย ๆ

ตอบ 4 หน้า 275, (คำบรรยาย) สิทธิประการหนึ่งของเจ้าขุนในสมัยล้านนา คือ ทรัพย์สินของเจ้าขุน จะได้รับการตีราคาไว้สูงกว่าทรัพย์สินของไพร่หรือสามัญชน ถึงแม้ว่าจะเป็นทรัพย์สินชนิดเดียวกัน ดังนั้นใครที่ไปลักขโมยของเจ้าขุนจึงต้องจ่ายค่าปรับมากกว่าขโมยของสามัญชน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ เจ้าขุนเป็นที่เคารพยำเกรงไม่ถูกลบหลู่ง่าย ๆ เจ้าขุนจะได้ทำงานสะดวกขึ้น

38.       พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีวิธีควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนอย่างไร

(1) ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนครองเมือง         (2) ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นแม่ทัพ

(3) ให้ราษฎรฟ้องร้องลูกเจ้าลูกขุนได้  (4) มีกฎหมายบังคับให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นขุนธรรม

ตอบ 3 หน้า 276 พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีวิธีควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุน ดังนี้

1.         ให้ไพร่หรือราษฎรฟ้องร้องกล่าวโทษลูกเจ้าลูกขุนได้โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ และ พยายามตัดสินคดีความให้อย่างยุติธรรม 2. ปลูกฝังให้ลูกเจ้าลูกขุนทำตัวเป็นขุนธรรม มิใช่ขุนมาร เพราะขุนธรรมเท่านั้นจึงจะอยู่ในอำนาจได้นาน (แต่ไม่ได้ออกเป็นกฎหมายบังคับ)

39.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบไพร่ของสุโขทัยและล้านนา

(1)       ทำให้รัฐได้ใช้แรงงานไพร่ได้เต็มที่       (2) ทำให้ไพร่ไม่ต้องเสียภาษี

(3) ทำให้ไพร่มีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

40.       มูลนายมีหน้าที่ต่อไพร่อย่างไร           

(1) เกณฑ์ไพร่ออกรบถ้ามีข้าศึก

(2)       ควบคุมไพร่ให้อยู่ในภูมิลำเนา           

(3) คุ้มครองไพร่ไม่ให้ถูกรังแก (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 273 หน้าที่สำคัญของมูลนายที่มีต่อไพร่ ได้แก่ 1. ควบคุมไพร่ให้อยู่ในภูมิลำเนา

2.         เกณฑ์ไพร่มาทำงานตามกำหนดเวลา 3. ควบคุมไพร่ให้อยู่ในกฎหมาย

4.         ควบคุมเรื่องการเก็บภาษีอากรจากไพร่           5. คุ้มครองไพร่ไม่ให้ถูกรังแก หรือไม่ให้ถูกข้าศึกกวาดต้อนเอาไป            6. เกณฑ์ไพร่ออกรบถ้ามีข้าศึก ฯลฯ

41.       ความเชื่อที่ว่ามีเทวดารักษาสถานที่หรือสิ่งของต่าง ๆ อยู่ เช่น เทวดาประจำเมือง เรียกว่า เสื้อเมือง” เทวดาประจำนา เรียกว่า เสื้อนา” เกิดขึ้นในสังคมใด

(1) สุโขทัย

(2) ล้านนา

(3) ธนบุรี

(4) รัตนโกสินทร์ตอนต้น

ตอบ 2 (คำบรรยาย) สังคมล้านนามีความเชื่อว่า มีเทวดารักษาสถานที่หรือสิ่งของต่าง ๆ อยู่เช่น เทวดาประจำเมือง เรียกว่า เสื้อเมืองเทวดาประจำบ้าน เรียกว่า เสื้อเรือน” และ เทวดาประจำนา เรียกว่า เสื้อนา” ฯลฯ โดยจะมีประเพณีสร้างศาลให้เป็นที่สิงสถิตของเทวดา และมีการบวงสรวงต่าง ๆ

42.       กฎหมายล้านนาที่กำหนดให้นายม้าหลีกทางให้นายช้าง แสดงถึงสิ่งใด

(1) ความสำนึกต่อส่วนรวม

(2) การปกครองแบบทหาร

(3)       ม้าตัวเล็กวิ่งเร็วกว่าช้าง

(4) ความสำนึกในฐานะสูงต่ำของบุคคล

ตอบ 4 หน้า 295, (คำบรรยาย) กฎหมายล้านนาได้กำหนดให้ผู้น้อยต้องหลีกทางให้แก่ผู้ใหญ่กว่าตน ซึ่งแสดงถึงความสำนึกในฐานะสูงต่ำของบุคคล ดังปรากฏในมังรายศาสตร์ตอนหนึ่งว่า มาตรา 1 ในการเดิน นั่ง หรือนอนก็ดี ให้นายม้าหลีกให้นายช้างผู้มียศสูงกว่าตน…

43.       เจ้านายในสมัยอยุธยามีหน้าที่อย่างไร

(1) เป็นเสนาบดี

(2) บังคับบัญชาไพร่สม

(3) บังคับบัญชาไพร่หลวง

(4) เป็นเจ้าเมืองในสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตอบ 2 หน้า 308 ในสมัยแรกของอยุธยา เจ้านายมีหน้าที่ปกครองเมือง ต่อมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงมีนโยบายไม่ให้เจ้านายออกไปปกครองเมืองอีก แต่ให้ปกครอง กรมย่อย ๆ ที่ไม่ใช่กรมใหญ่เทียบเท่ากระทรวงแทน เรียกว่า การทรงกรม” ทำให้เจ้านาย ได้บังคับบัญชากรมและได้ปกครองไพร่สมจำนวนหนื่ง ซึ่งจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับศักดินาของเจ้านาย

44.       ยศขุนนางสูงสุดในสมัยอยุธยาคือ เจ้าพระยา” ถามว่ามีศักดินากี่ไร่

(1) 5,000ไร่     (2) 10,000ไร่   (3) 30,000ไร่   (4) 100,000ไร่

ตอบ 2 หน้า 319 – 320405, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ขุนนางจะมียศเจ้าพระยา เพิ่มเข้ามาเป็นยศสูงสุดของขุนนาง ซึ่งส่วนใหญ่จะดำรงตำแหน่งเอกอัครมหาเสนาบดี มีศักดินา 10,000 ไร่ ต่อมาในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ขุนนางจะมียศเพิ่มขึ้นเป็นยศสูงสุด คือ สมเด็จเจ้าพระยา มีศักดินา 30,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นยศของขุนนางที่มีศักดินาสูงสุด ในประวัติศาสตร์ไทย

45.       ข้อใดมิใช่คุณสมบัติในการถวายตัวเป็นขุนนาง

(1) วุฒิ 4         (2) พรหมวหาร 4         (3) อธิบดี 4     (4) คุณานุรูป

ตอบ 2 หน้า 316 คุณสมบัติของผู้ที่จะถวายตัวเป็นขุนนางในสมัยอยุธยา มีอยู่ 9 ประการ ดังนี้

1.         วุฒิ 4 ประการ ได้แก่ ชาติวุฒิ วัยวุฒิ คุณวุฒิ และปัญญาวุฒิ

2.         อธิบดี 4 ประการ ได้แก่ ฉันทาธิบดี วิริยาธิบดี จิตาธิบดี และวิมังสาธิบดี

3.         คุณานุรูป 1 ประการ หมายถึง เป็นผู้มีบุคลิกลักษณะดี น่าไว้วางพระทัยแก่พระมหากษัตริย์ และน่าเคารพนับถือแก่ประชาชนทั่วไป

46.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1) ใช้กำหนดบทลงโทษของบุคคล     (2) ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล

(3) ใช้กำหนดไพร่ในสังกัดของบุคคล  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคม และกำหนดระเบียบใบการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด 3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พล ในสังกัดของบุคคลที่เป็นมูลนาย      4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่าง

47.       กรมใดมีหน้าที่ดูแลชาวจีนในสมัยอยุธยา

(1) กรมท่าซ้าย            (2) กรมท่าขวา (3) กรมพระคลัง          (4) กรมลูกขุน

ตอบ 1 หน้า 151364504 ในสมัยอยุธยา หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลชาวต่างขาติ คือ กรมท่า ซึ่งขึ้นกับ กรมพระคลัง แบ่งออกเป็น 1. กรมท่าซ้าย มีหลวงโชฎึกราชเศรษฐีเป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ดูแลชาวจีน ญี่ปุ่น ฮอลันดา ฝรั่งเศส และโปรตุเกส 2. กรมท่าขวา มีพระยาจุฬาราชมนตรี เป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ดูแลชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ชาวอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ เตอร์ก มลายู ฯลฯ

48.       เหตุใดเจ้านายในสมัยอยุธยาจึงได้ ทรงกรม

(1) เพื่อให้เจ้านายเป็นเจ้าเมือง           (2) เพื่อให้เจ้านายได้เป็นเสนาบดี

(3) เพื่อให้เจ้านายได้ปกครองไพร่หลวงจำนวนหนึ่ง (4) เพื่อให้เจ้านายได้ปกครองไพร่สมจำนวนหนึ่ง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

49.       ไพร่ในสมัยอยุธยาทำสิ่งใดไม่ได้

(1) ยกมรดกให้ลูกหลาน         (2) เดินทางย้ายถิ่นเสรี

(3) เข้าหาผลประโยขน์จากที่ดินที่หักร้างถางพงไว้ (4) ถูกทุกข้อ

อบ 2 หน้า 345350, (คำบรรยาย) สิทธิของไพร่ในสมัยอยุธยามีอยู่หลายประการ เช่น ไพร่มีสิทธิ ในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้ และมีสิทธิเข้าหาผลประโยชน์จากที่ดินนั้น รวมถึงมีสิทธิที่จะขาย หรือยกเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานได้ ฯลฯ แต่เมื่อไพร่ต้องอยู่ในระบบไพร่ ทำให้สิทธิบางอย่าง ของไพร่ถูกลิดรอนไป เช่น ไพร่ถูกควบคุมเรื่องการเคลื่อนไหว จึงไม่สามารถเดินทางย้ายถิ่น อย่างเสรี และต้องมาให้แรงงานตามกำหนด ฯลฯ

50.       แต่เดิมผู้ที่จะถวายตัวเป็นขุนนางต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากอัครมหาเสนาบดี ครั้นสมัยรัตนโกสินทร์ เปลี่ยนเป็นว่ามาจากเชื้อสายไหนก็ได้ แต่ต้องมีความประพฤติดี มีความรู้ความสามารถ ก็เข้าถวายตัว เป็นขุนนางได้ ถามว่าเริ่มในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 2  (3) รัชกาลที่ 3  (4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 316408, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การถวายตัวเป็นขุนนางให้มาจากเชื้อสายไหนก็ได้ โดยไม่มีข้อขีดคั่นเรื่องชาติวุฒิ คือ ต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก อัครมหาเสนาบดี เหมือนดังเช่นในสมัยอยุธยาอีก ทำให้ไพร่หรือสามัญชนที่มีความประพฤติดี มีความรู้ความสามารถ มีโอกาสเข้าถวายตัวเป็นขุนนางได้ แต่ไพร่ก็เข้ามาสู่ระบบขุนนางได้ยาก เพราะลูกหลานของขุนนางก็มักจะได้เป็นขุนนางต่อมานั่นเอง

51.       ข้อใดถูกต้องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

(1) ขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

(2) ขุนนางตระกูลบุนบาคหมดบทบาทไป

(3) ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากเจ้าภาษีเลย

(4) ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางหนีไปเป็นไพร่สมกันมาก

ตอบ 1 หน้า 400 – 404 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

1.         ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์

2.         ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางที่หลบหนีไปเป็นไพร่สมมีจำนวนลดลง ทำให้ขุนนางมีความมั่นคงมากขึ้น

3.         คณะเสนานดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

4.         ขุนนางจำนวนหนึ่งได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

5.         ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดดเด่นที่สุดตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ฯลฯ

52.       การยกเลิกตำแหน่งวังหน้า โดยแต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชอยู่ในตำแหน่งรัชทายาท เริ่มเกิดขึ้นในรัชกาลใด

(1)       รัชกาลที่ 3

(2) รัชกาลที่ 4

(3) รัชกาลที่ 5

(4) รัชกาลที่ 6

ตอบ 3 หน้า 395, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5ได้โปรดให้มีการยกเลิกตำแหน่งวังหน้าโดยสถาปนาตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชขึ้นมาแทนที่ ทำให้การสืบราชสมบัติของไทยถูกกำหนดเป็นแบบแผนตามกฎหมาย และมีกฎเกณฑ์ ที่แน่นอนในการสืบสันตติวงศ์

53.       ยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย คือ ยศ สมเด็จเจ้าพระยา” ถามว่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใด ในประวัติศาสตร์ที่ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

(1) สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ

(2) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์

(3) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ

(4) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

ตอบ 4 หน้า 405, (คำบรรยาย) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จเจ้าพระยาองศ์ที่ 4 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยตามประวัติท่านผู้นี้ เป็นบุตรชายชองสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิส บุนนาค หรือสมเด็จองค์ใหญ่)ต่อมาได้รับราชการเป็นสมุหกลาโหมใบสมัยรัชกาลที่ 4 และเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 5

54.       ทาสในสังคมไทยถูกยกเลิกไปในรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้ทรงใช้เวลากว่ากี่ปี จึงดำเนินการเลิกทาสได้แล้วเสร็จ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ

(1) 10 ปี          (2) 20 ปี          (3) 30 ปี          (4) 40 ปี

ตอบ 3 หน้า 433, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินการเลิกทาสจนสำเร็จ โดยพระองค์ ทรงใช้นโยบายทางสายกลาง คือ ดำเนินการเลิกทาสไปทีละขั้นตอน มิใช่รวบรัดเลิกทาสทั้งหมด ในคราวเดียวกัน รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่า 30 ปี จึงทรงสามารถเลิกทาสได้อย่างเด็ดขาด โดยไม่มีการนองเลือดเหมือนการเลิกทาสในประเทศสหรัฐอเมริกา

55.       เฉกอะหมัด กุมมี (Sheikh Ahmad Gomi) ต้นตระกูล บุนนาค” เข้ามาในไทยในปลายรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ถามว่าเป็นชาวอะไร

(1) อินเดีย       (2) เปอร์เซีย    (3) กรีก            (4) ชวา

ตอบ 2 หน้า 368, (คำบรรยาย) เฉกอะหมัด กุมมี (Sheikh Ahmad Gomi) เป็นชาวเปอร์เซียที่มาจากอิหร่าน และเป็นต้นตระกูล บุนนาค” ได้เข้ามาในประเทศไทยช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร และเข้ารับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเป็น พระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี” เจ้ากรมท่าขวา ต่อมาได้เลือนยศเป็นถึง เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี” ในตำแหน่งสมุหนายก

56.       อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้คนจีนที่เรียกว่า พวกอั้งยี่ ลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทย

(1) มีพวกมาก  (2) มีฐานะทางการเงินดี

(3) เป็นคนในบังคับต่างชาติ   (4) มีขุนนางหนุนหลัง

ตอบ 3 หน้า 439 ในสมัยรัชกาลที่ 5 สมาคมลับของชาวจีนหรืออั้งยี่ได้เกิดขึ้นหลายกลุ่ม และมีกิจกรรม หลายด้านที่ทำผิดกฎหมายไทย แต่พวกอั้งยี่ก็สามารถลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทยได้ เพราะคนจีนจำนวนมากได้ไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับตะวันตกชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็สามารถขึ้นศาลกงสุลของชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ และตำรวจไทยจะจับกุมตัวได้ก็ต่อเมื่อกงสุลของชาตินั้นอนุมัติแล้วเท่านั้น

57.       การไหว้แบบไทยโดยให้นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้จรดส่วนบนของหน้าผาก ผู้หญิงให้ย่อเข่าลงให้ต่ำ โดยถอยเท้าข้างที่ถนัดไปข้างหลัง พร้อมกับประนมมือไหว้ ถามว่าลักษณะการไหว้ดังกล่าวเป็นการไหว้ผู้ใด

(1) ไหว้พระ      (2) ไหว้ผู้อาวุโส            (3) ไหว้คนทั่วไป           (4) ไหว้เจ้านาย

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การไหว้พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้วปลายนิ้วชี้จรดตีนผมหรือจรดส่วนบนของหน้าผาก ผู้ชายให้ค้อมตัวลงและประนมมือไหว้ ส่วนผู้หญิงให้ย่อเข่าลงให้ต่ำ โดยถอยเท้าข้างที่ถนัดไปข้างหลัง พร้อมกับประนมมือไหว้

58.       เมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ ฝรั่งคนหนึ่งชื่อ นิโกลส์ แชรแวส เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่าอาขีพที่อัตคัดที่สุดในราชอาณาจักรสยาม คือ อาชีพ

(1) ช่างตัดเสื้อ (2) ช่างตัดผม  (3) ช่างทอง ,  (4)       ช่างไม้

ตอบ 1 (คำบรรยาย) นิโกลาส์ แชรแวส เป็นชาวฝรั่งเศสที่ติดตามคณะทูตเข้ามาในไทยเมื่อ พ.ศ. 2228 หรือตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดยเขาได้เขียนหนังสือมีชื่อไทยว่า ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม” ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า อาชีพที่อัตคัดที่สุด ในราชอาณาจักรสยาม คือ อาชีพช่างตัดเสื้อ เพราะพลเมืองสามัญเขาไม่สวมเสื้อกัน…

59.       ในรัชกาลใดที่โปรดให้ขุนนางสวมเสื้อเข้าเฝ้า

(1) รัชกาลที่ 3  (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่ 5  (4)รัชกาลที่6

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ในปี พ.ศ. 2395 รัชกาลที่ 4 ทรงสั่งให้ยกเลิกการเข้าเฝ้าแบบตัวเปล่าไม่สวมเสื้อ ตามแบบราชประเพณีโบราณ โดยพระองค์มีพระราชดำรัสให้เจ้านายและขุนนางสวมเสื้อ เวลาเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก ตามแบบอารยธรรมตะวันตก

60.       รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นศักราชที่ตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 5 โดยถือเอาปีตั้งกรุงเทพมหานครฯ เป็นร.ศ. 1 แต่ศักราชดังกล่าวถูกยกเลิกไปในรัชกาลที่ 6 ถามว่าถ้า ร.ศ. ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2556)จะตรงกับ ร.ศ. ใด

(1) ร.ศ. 230    (2) ร.ศ. 231    (3) ร.ศ. 232    (4) ร.ศ. 233

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้ใช้รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นศักราช โดยถือเอาปีที่ตั้งกรุงเทพมหานครฯ พ.ศ. 2325 เป็น ร.ศ. 1 ดังนั้นรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) จึงเกิดภายหลัง พุทธศักราช (พ.ศ.) 2,324 ปี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ยกเลิกศักราชดังกล่าว และเปลี่ยนให้ ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เพียงอย่างเดียวมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นหาก ร.ศ. ยังคงใช้อยู่ พ.ศ. 2556 จะตรงกับ ร.ศ. 232 (2556 – 2324 = 232) *ดูพจนาบุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หน้า 943

61.       ระบบเศรษฐกิจไทยปัจจุบันสัมพันธ์กับข้อใดมากที่สุด

(1) การเกษตร

(2) อุตสาหกรรม

(3) การค้าส่งออก

(4) เศรษฐกิจยังชีพ

ตอบ 3 หน้า 469 – 471558 พื้นฐานระบบเศรษฐกิจไทยมีวิวัฒนาการ ดังนี้ 1. เริ่มต้นมาจาก เศรษฐกิจแบบหมู่บ้านในสมัยสุโขทัย ซึ่งผลิตเพื่อการบริโภคและแลกเปลี่ยน 2. เศรษฐกิจ แบบตลาดในสมัยอยุธยา ซึ่งผูกพันกับการแสวงหาตลาดการค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ

3.         เศรษฐกิจแบบเงินตรา ซึ่งเริ่มปรากฏชัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐเก็บส่วยจากไพร่ในรูปแบบเงินตรา        4. เศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้าส่งออกในปัจจุบัน

62.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการกสิกรรมสมัยสุโขทัย

(1) พื้นที่เพาะปลูกด้านเกษตรมีจำนวนมาก

(2) พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด

(3) มีนํ้าพอเพียงต่อการทำเกษตรกรรม

(4) ข้าวเป็นสินค้าออกสำคัญ

ตอบ 2 หน้า 473 – 474 การกสิกรรมในสมัยสุโขทัยจะมีข้อจำกัดในเรื่องผลผลิต โดยเฉพาะผลิตผล ที่สำคัญที่สุด คือ ข้าวนั้นคงจะกระทำกันได้ในปริมาณที่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น เพราะพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด กำลังคนก็มีจำกัด และงาบชลประทานก็ทำในปริมาณจำกัดเช่นกัน จึงเป็น เหตุให้ในบางครั้งบางคราวเกิดขาดแคลนข้าวขึ้นในสุโขทัย จนต้องสั่งซื้อข้าวมาจากอยุธยา

63.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับระบบชลประทานสมัยสุโขทัย

(1) ท่อปู่พระญาร่วง

(2) ตริภังค์

(3) สรีดภงส์

(4) ตระพัง

ตอบ 2 หน้า 474 ผู้ปกครองสุโขทัยได้ช่วยเหลือด้านระบบชลประทาน ดังนี้

1.         การสร้างสรีดภงส์ คือ เขื่อนเก็บกักนํ้า ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักนํ้าไว้ภายในหุบเขา

2.         การขุดสระที่เรียกว่า ตระพัง” 3. แห่ง คือ ตระพังทอง ตระพังเงิน และตระพังสอ

3.         การสร้างเหมืองฝาย ดังหลักฐานที่กล่าวถึงการพบท่อระบายนํ้าเพื่อนำนํ้าเข้านาที่มีชื่อว่า ท่อปู่พระญาร่วง

64.       การบริโภคข้าวในสมัยสุโขทัย ข้อใดถูกต้อง

(1) อยุธยาซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด            (2) จีนซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด

(3) ลังกาซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด  (4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

65.       ข้อใดคือลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

(1) การตลาด   . (2) การค้าเสรี            (3) ยังชีพ         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 287480 ลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยเป็นแบบการค้าเสรี โดยผู้ปกครองได้ส่งเสริม ให้ราษฎรสามารถค้าขายสินค้าต่าง ๆ ได้อย่างเสรีตามความต้องการ ดังข้อความในศิลาจารึก ที่ว่า ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า…

66.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

(1) มีธนบัตรใช้ในการแลกเปลี่ยน       (2) ใช้ระบบทองคำในการแลกเปลี่ยน

(3) ใช้เงินในการซื้อขายสินค้า (4) ยังไม่มีระบบเงินตรา

ตอบ 3 หน้า 482 ในสมัยสุโขทัย เงินตราที่ใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนในการซื้อขายสินค้า มีดังนี้

1.         เงินพดด้วง ซึ่งสันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น โดยนำแร่เงินมาจาก ต่างประเทศ แล้วเอามาหล่อหลอมทำเป็นเงินตรา 2. เบี้ย (เปลือกหอย) นำมาจาก ชาวต่างประเทศที่เที่ยวเสาะหาตามชายทะเลแล้วเอามาขายในเมืองไทย

67.       ปัจจัยสำคัญในการประกอบอาชีพของคนสมัยอยุธยา คือข้อใด

(1) ที่ดิน           (2) สินทรัพย์    (3) เงินทุน        (4) ตลาด

ตอบ 1 หน้า 487 – 488 ปัจจัยพี้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพของคนสมัยอยุธยา ได้แก่

1.         กรรมสิทธิ์ที่ดิน 2. แรงงานไพร่และทาส

68.       ราษฎรที่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินต้องปฏิบัติอย่างไร

(1) ให้เข้าไปใช้ที่ดินได้ทันที     (2) แจ้งเรื่องต่อกษัตริย์

(3) แจ้งเรื่องต่อผู้ใหญ่บ้าน      (4) แจ้งเรื่องต่อกรมนาเจ้าสัด

ตอบ4 หน้า 488 – 489 การจับจองที่ดินทำนาในสมัยอยุธยานั้น ราษฎรที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก ที่ดินต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ คือ ผู้ใดปรารถนาที่จะ โก่นซ่าง เลิกรั้ง ทำนา” จะต้อง ไปแจ้งเรื่องแก่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งได้แก่ กรมนาเจ้าสัด เพื่อไปตรวจสอบว่ามีนามากน้อยเพียงใด

69.       ข้อใดไม่ใช่นโยบายของผู้ปกครองที่สนับสนุนการทำนาในสมัยอยุธยา

(1) ขยายพื้นที่การทำนา          (2) การป้องกันภัยที่จะเกิดกับต้นข้าว เช่น การออกกฎหมาย

(3) มีพิธีกรรมเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (4) รับประกันราคาข้าว

ตอบ 4 หน้า 489 – 491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนการทำนาปลูกข้าว ดังนี้

1.         ขยายพื้นที่ทำนาเพาะปลูก

2.         คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยมีกฎหมายลงโทษผู้ทำลายต้นข้าวอย่างรุนแรง

3.         ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ

4.         ส่งเสริมแรงงานในการเพาะปลูก        5. ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท

6.         การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

70.       พืชไร่พืชสวนชนิดใดที่กฎหมายสมัยอยุธยาระบุให้ความคุ้มครองมากที่สุด

(1) มะม่วงมหาชนก     (2) ทุเรียน        (3) แก้วมังกร   (4) หมาก

ตอบ 2 หน้า 493, (คำบรรยาย) ทุเรียน เป็นพืชมีผลที่กฎหมายสมัยอยุธยาให้ความคุ้มครองมากที่สุด และถือว่ามีคุณค่าทางกฎหมายสูงกว่าพืชมีผลชนิดอื่น ๆ เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดค่าปรับแก่ ผู้ที่ลักตัดต้นทุเรียนไว้ด้วยอัตราที่สูงที่สุด คือ ถ้าลักตัดต้นใหญ่มีผล ปรับต้นละ 200,000 เบี้ย และถ้าลักตัดต้นใหญ่แต่โกร๋น ปรับต้นละ 100,000 เบี้ย เป็นต้น

71.       เกี่ยวกับ สัตว์มีคุณ” ข้อใดผิด

(1) ได้แก่ นกยูง ช้าง ม้า ควาย

(2) ตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

(3) ซื้อขายได้

(4) กฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

ตอบ 1 หน้า 493 – 494, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา สัตว์ที่มีความสำคัญจนถึงกับระบุไว้ใน กฎหมายว่าเป็น สัตว์มีคุณ” ได้แก่ ช้าง ม้า โค และกระบือ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้

1.         มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์มีคุณหลายมาตรา และมีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

2.         ค่าตัวของสัตว์มีคุณตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

3.         นิยมเลี้ยงโคและกระบือตัวผู้ไว้ไถนา ส่วนแม่โคนั้นสามารถซื้อขายได้ ฯล

72.       ข้อใดกล่าวถึง การจับสัตว์นํ้า” ในสมัยอยุธยาได้ถูกต้องที่สุด

(1) สามารถจับได้ตลอดทั้งปี เพราะมีแหล่งนํ้ามาก

(2) ห้ามจับในวันเฉลิมพระชนม์ฯ

(3) ห้ามจับในวันพระ

(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 3 หน้า 494 – 495 การจับสัตว์นํ้าในสมัยอยุธยา ได้มีประกาศของทางการที่กำหนดวันและเวลาที่ห้ามจับปลา แต่ก็เป็นนโยบายของกษัตริย์บางรัชกาล หาได้ยึดเป็นหลักปฎิษัติทุกรัชกาลไม่ เช่น ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีประกาศห้ามทำประมงในวันพระ 8ค่ำ และ 15ค่ำ ทั้งในเขตเมืองและนอกเขต

73.       พระคลังสินค้า” ไม่ได้ทำหน้าที่ใด

(1) รวบรวมสินค้าที่หายากและมีน้อยทั้งหมด

(2) ดำเนินการค้าผูกขาด

(3) กำหนดประเภทของสินค้าต้องห้าม

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 504 – 505 ในระยะที่อยุธยามีชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายกับไทย ทำให้ทางราชการไทย ต้องตั้ง กรมพระคลังสินค้า” ซึ่งขึ้นกับกรมพระคลัง เพื่อทำหน้าที่ดังนี้ 1. ดำเนินการค้า แบบผูกขาด  2. รวบรวมสินค้าพื้นเมืองที่หายากและมีน้อยทั้งหมด       3. กำหนดประเภทของสินค้าต้องห้าม ซึ่งต้องซื้อขายกับกรมพระคลังสินค้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ฯลฯ

74.       การอนุญาตให้ไพร่กลับไปทำนาเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 2  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 518 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้

1. ทรงส่งเสริมแรงงานในการทำนา โดยอนุญาตให้ไพร่หลวงขณะมารับราชการลากลับบ้าน ไปทำนาของตนในหน้านาได้        2. ทรงเปิดให้ขายข้าวออกนอกประเทศ เพื่อช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีกว่าแต่ก่อน 3. ทรงแนะนำพันธุ์ข้าวที่จะทำรายได้ให้กับชาวนา 4.ทรงขจัดอุปสรรคเรื่องนํ้าและแก้ปัญหาคดีความต่าง ๆ ที่จะขัดขวางการทำนา

5.         ทรงยินดีรับความรู้ความก้าวหน้าทางวิชาการของชาวตะวันตก

75.       ข้อใดไม่ใช่นโยบายส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 5

(1) การอนุญาตให้ไพร่กลับไปทำนา    (2) ขุดคลองขยายพื้นที่เพาะปลูก

(3) จัดหาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ (4) นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใข้ในการปลูกข้าว

ตอบ 1 หน้า 519 – 521 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         การขุดคลองขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวให้มากขึ้น

2.         การจัดหาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ 3. การจัดหาเครื่องมือทำนาที่ทันสมัย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการปลูกข้าว          (ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ)

76.       คลองใดไม่ได้ขุดในสมัยรัชกาลที่ 5

(1) คลองรังสิต            (2) คลองแสนแสบ      (3) คลองประเวศบุรีรมย์ (4) คลองทวีวัฒนา

ตอบ 2 หน้า 519 – 520, (คำบรรยาย) การขุดคลองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทั้งที่รัฐบาลขุดเอง เช่น คลองนครเนื่องเขตร์ (พ.ศ. 2419) คลองประเวคบุรีรมย์และคลองทวีวัฒนา (พ.ศ. 2421) ฯลฯ และคลองที่พระราชทานพระบรมราชาบุญาตให้บริษัทขุดคลองแลคูนาสยามขุด เช่น คลองรังสิตประยูรศกดิ์(พ.ศ. 2433) ฯลฯ รวมทั้งคลองที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เอกชนขุดเป็นราย ๆ ไป เช่น คลองหลวงแพ่ง (พ.ศ. 2431) คลองบางพลีใหญ่ (พ.ศ. 2441) ฯลฯ

77.       องค์กรหรือหน่วยงานใดมีบทบาทในการขุดคลองสมัยรัชกาลที่ 5      

(1) กรมพระคลังข้างที่

(2)       บริษัทคูโบต้า   (3) บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม         (4) บริษัทขุดคลองสยาม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมการทำนาสมัยรัชกาลที่ 6

(1)       ขยายการถือครองที่ดินกว้างขวางขึ้น  (2) ให้ชายฉกรรจ์ไม่ต้องรับราชการทหาร

(3)       ออก พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด  (4) ใช้ระบบชักกันโฮในการชั่งตวงวัด

ตอบ 4 หน้า 521 – 522 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้

1.         ขยายการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่มณฑลภาคใต้

2.         แก้ปัญหาแรงงาน โดยให้ชายฉกรรจ์อายุ 25 – 30 ปี ไม่ต้องไปรับราชการทหาร

3.         แก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบในเรื่องความไม่เที่ยงตรงของเครื่องชั่งตวงวัดโดยการออก พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด พ.ศ. 2466 และให้ใช้มาตราเมตริกซ์แบบสากลแทน ฯลฯ

79.       พืชที่ส่งออกมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือพืชชนิดใด

(1) ข้าว            (2) หมาก         (3) อ้อย           (4) พริกไทย

ตอบ 3 หน้า 523 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อ้อยเป็นพืชที่มีความสำคัญที่สุด และผู้ปกครองก็ให้ การสนับสนุนมากที่สุด เพราะนํ้าตาลที่ทำจากอ้อยได้ทำกำไรงามให้กับประเทศ จนได้ชื่อว่า เป็นพืชส่งออกมากที่สุดและเป็นสินค้าออกอันดับ 1 ของไทย ดังปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 3 และต้นรัชกาลที่ 4 ไทยส่งนํ้าตาลออกเฉลี่ยปีละ 50,000 – 90,000 หาบ

80.       ตลาดค้าโคที่สำคัญของสยาม คือข้อใด

(1) จีน  (2) ญี่ปุ่น         (3) อินเดีย       (4) สิงคโปร์

ตอบ 4 หน้า 526 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการส่งโคกระบือไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งตลาดสินค้าโค ที่สำคัญ คือ สิงคโปร์โดยมีการส่งโคกระบือเป็นสินค้าออกใน ร.ศ. 116 เป็นจำนวน 4,891 ตัว และใน ร.ศ. 117 ส่งไปขายมากกว่าคือ 14,310 ตัว

81.       วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์ เริ่มจากความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การนับถือเทพเจ้าองค์เดียว

(2) การนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ

(3) การนับถือธรรมชาติ

(4) การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

ตอบ 3 หน้า 570 – 571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอน ดังนี้

1. การบูชานับถือธรรมชาติ      2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม

3.         การบูชาบรรพบุรุษ       4. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

5.         การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของเทพเจ้าแต่ละองค์ให้ต่างกัน

6.         การนับถือพระเจ้าองค์เดียว    7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทธศาสนาเป็นศสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก

82.       เหตุใดลัทธิมหายานในอินเดียจึงรุ่งเรือง

(1) ลัทธิเถรวาทเสื่อมไปจากอินเดีย

(2) ได้รับความอุปถัมภ์จากพระเจ้ากนิษกะ

(3) หลักคำสอนคล้ายกับลัทธิเถรวาท

(4) ได้รับความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศก

ตอบ 2 หน้า 576 ระพุทธศาสนาลัทธิมหายานเจริญรุ่งเรืองในอินเดีย และมีศาสนิกชนเพิ่มขึ้น เป็นลำดับ เนื่องจากได้รับความอุปถัมภ์จากพระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์อินเดียแห่งราชวงศ์กุษาณะที่ทรงเลื่อมใสลัทธิมหายาน และโปรดให้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยโดยใช้ภาษา สันสกฤตจารึกพระไตรปิฎก ส่งผลให้พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก 2 ฉบับ คือ 1. ฉบับภาษามคธของฝ่ายหินยาน 2. ฉบับภาษาสันสกฤตชองฝ่ายมหายาน

83.       เหตุใดพระสงฆ์ไทยสมัยสุโขทัยไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา

(1) เพราะการเดินทางสะดวก

(2) เพราะลังกาเป็นศูนย์กลางของลัทธิมหายาน

(3) กษัตริย์ลังกาบำรุงพุทธศาลนาจนรุ่งเรือง

(4) กษัตริย์ลังกาส่งทูตมาเชิญพระสงฆ์ไทย

ตอบ 3 หน้า 581 – 582 ในพุทธศตวรรษที่ 17 พระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราช กษัตริย์ลังกาทรงทำสังคายนาครั้งที่ 7 เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์รุ่งเรือง ส่งผลให้พระสงฆ์ไทย สมัยสุโขทัย มอญ และเขมรต่างพากับเดินทางไปศึกษาพระธรรมวินัยตามลัทธิเถรวาทอย่าง ลังกาวงศ์ที่ลังกาอย่างแพร่หลาย

84.       วัดป่ามะม่วงเป็นวัดที่สร้างในเขตใด

(1) พาราณสี    (2) อัมพวนาราม          (3) คามวาสี     (4) อรัญญวาสี

ตอบ 4 หน้า 585 การสร้างวัดในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยส่วนใหญ่เป็นวัดเล็ก และแบ่ง การสร้างออกเป็น 2 เขต คือ       1. เขตคามวาสี คือ วัดที่สร้างอยู่ในหมู่บ้านหรือในเมือง

2. เขตอรัญญวาสี คือ วัดที่ปลูกสร้างไว้ในป่า เช่น วัดป่ามะม่วง วัดอรัญญิก เป็นต้น

85.       ลัทธิมหายานเจริญอยู่ในสุโขทัย เห็นได้จากอะไร

(1) ลัทธิเถรวาทหมดสิ้นไปจากสุโขทัย            (2) พุทธเจดีย์ต่าง ๆ สร้างตามคติมหายาน

(3) ใช้ภาษาสันสกฤตในพระธรรม       (4) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 4 หน้า 576581, (คำบรรยาย) พระพุทธศาสนลัทธิมหายานคงจะเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลาย และเจริญอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งของสมัยสุโขทัย ทั้งนี้เพราะพุทธเจดีย์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยนั้น สร้างตามคติมหายานแทบทั้งสิ้น และพระธรรมก็ใช้อรรถภาษาสันสกฤตจนแพร่หลาย

86.       สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระอุบาลิกับพระอริยมุนีไปลังกาเพื่ออะไร

(1) สร้างวัดไทยในลังกา          (2) อัญเชิญพระศรีรัตนมหาธาตุจากลังกา

(3) ให้การบรรพชาอุปสมบทแก่ชาวลังกา       (4) ไปรับพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่อยุธยา

ตอบ 3 หน้า 595 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าเกียรติคิริราชสิงหะแห่งลังกาทรงเห็นว่าพระพุทธศาสนาลังกาสิ้นสมณวงษ์ จึงทรงแต่งราชทูตเชิญพระราชสาสน์เข้ามาเฝ้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เพื่อทูลขอพระมหาเถระกับคณะสงฆ์ไทย คือ พระอุบาลีกับ พระอริยมุนีและพระสงฆ์อีก 12 รูป เดินทางไปยังประเทศลังกา เพื่อไปให้การบรรพชาอุปสมบท แก่ชาวสิงหล (ลังกา)

87.       การสร้างวัดอนุสาวริย์มีจุดมุ่งหมายอะไร

(1) เป็นที่บรรจุอัฐิธาตุของวงศ์ตระกูล (2) เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

(3) เป็นที่บรรจุทั้งพระบรมสารีริกธาตุและอัฐิธาตุ       (4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 587, (คำบรรยาย) ในสมัยสุโขทัยได้มีการสร้างวัดอนุสาวรีย์ขึ้นมากมาย ทั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงฃนาดใหญ่ตามกำลังของผู้สร้าง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นที่บรรจุอัฐธาตุของวงศ์ตระกูล ดังจะเห็นได้จากวัดในเขตเมืองสวรรคโลกที่ปรากฏว่ามีวัดอนุสาวรีย์อยู่หลายวัด

88.       กษัตริย์ที่ทรงออกผนวชขณะครองราชย์ คือข้อใด

(1) พระมหาธรรมราชาลิไทย   (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ        (4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 4 หน้า 584. 594 พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จออกผนวช เป็นพระภิกษุขณะครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1905 ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็น กษัตริย์ไทยพระองค์ที่ 2 ที่ออกผนวชขณะครองราชย์ โดยทรงประกอบพระราชพิธีอุปสมบท ณ วัดจุฬามณี เมื่อ พ.ศ. 2008

89.       กษัตริย์องค์ใดทรงตรา กฎหมายพระสงฆ์” เป็นองค์แรก

(1) รัชกาลที่ 1  (2)       รัชกาลที่ 2       (3) รัชกาลที่ 3  (4)       รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 185 – 186598 รัชกาลที่ 1 ทรงตรากฎหมายสำหรับพระสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เพื่อใช้บังคับลงโทษพระภิกษุสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรที่ไม่ประพฤติ อยู่ในพระธรรมวินัยอันดี เนื่องจากในระยะนั้นมีพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยที่มีความประพฤติ เสื่อมเสียต่าง ๆ จึงทรงประณามพระสงฆ์เหล่านั้นว่าเป็น มหาโจรปล้นทำลายพระศาสนา

90.       รัชกาลที่ 2 ทรงพื้นฟูการประกอบพิธีใดเป็นครั้งแรก

(1) พิธีฉัตรมงคล         (2)       พิธีวิสาขบูชา   (3) พิธีมาฆบูชา           (4)       พิธีอาสาฬหบูชา

ตอบ 2 หน้า 599 – 600 รัชกาลที่ 2 ทรงมีพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ดังนี้ 1. การปฏิสังขรณ์วัด       2. การปฏิรูปการสอบพระปริยัติธรรม

3.         การสร้างพระไตรปิฎกฉบับรดนํ้าแดง 4. การส่งสมณทูตไปลังกา

5.         การพื้นฟูการประกอบพิธีวิสาขบูชาเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์

6.         การเรียบเรียงหนังสือโอวาทานุศาสนี

91.       ข้อใดไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อแสดงความเป็นธรรมราชาของรัชกาลที่ 3

(1) การแจกหรือขายข้าวในราคาต่ำ

(2) กรสร้างและบำรุงวัด

(3) การเก็บภาษีในท้องที่ข้าวยากหมากแพง

(4) การสร้างเก๋งโรงทานเพื่อแจกทาน

ตอบ 3 หน้า 95601 ในสมัยรัชกาลที่ 3 กษัตริย์ทรงยึดหลักธรรมราชา คือ การที่ผู้นำทำนุบำรุง ศาสนาและสมณชีพราหมณ์ รักษาศีล อบรมสั่งสอนศีลธรรมให้แก่ประชาชน และเอาใจใส่ ทำนุบำรุงประชาชนมิให้มีการกดขี่ข่มเหงจนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งปรากฎหลักฐานหลายแห่ง เช่น การสร้างและบำรุงวัด การสร้างเก๋งโรงทานเพื่อแจกทาน การงดเก็บภาษีจากราษฎร ในท้องที่ข้าวยากหมากแพง และการแจกจ่ายหรือจำหน่ายข้าวในราคาตํ่า

92.       ทรงมีคุณลักษณะเหมาะสมในการเป็นผู้นำปฏิรูปพระศาสนา” หมายถึงใคร

(1) รัชกาลที่ 1

(2) รัชกาลที่ 2

(3) รัชกาลที่ 3

(4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 4 หน้า 602 – 603 เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมา)ทรงมีคุณลักษณะเหมาะสม หลายประการในการเป็นผู้นำปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ทรงเป็นเจ้านายที่มี ความฉลาดรอบรู้ ได้ทรงศึกษาภาษาลาติน ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังทรงรอบรู้ เกี่ยวกับศาสนาคริสต์เป็นอย่างดี และโดยเฉพาะทรงเป็นเจ้านาย จึงทรงมั่นพระทัยว่าจะได้รับ การสนับสบุนในงานปฏิรูปยิ่งกว่าผู้ใด

93.       ตามพระราชบัญญัติ ร.ศ. 121 กำหนดให้ใครเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์เรื่องศาสนา

(1) สมเด็จพระสังฆราช

(2) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ

(3) มหาเถรสมาคม

(4) เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ

ตอบ 3 หน้า 606 พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 4 ได้รวมตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ทั้ง4และพระราชาคณะเจ้าคณะรองทั้ง 4ให้เป็น มหาเถรสมาคม” ที่กษัตริย์ ทรงปรึกษาในการพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์ทั่วไป โดยพระเถระทั้ง 8 ตำแหน่งนี้ จะประชุมกันเป็นมหาเถรสมาคมพิจารณาตัดสินการพระศาสนาถือเป็นเด็ดขาด

94.       การเกิดภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด เป็นเพราะคนไม่รู้จักใช้หลักอะไร

(1) สมชีวิตา     (2)       อารักขสัมปทา (3)       อุฏฐานสัมปทา            (4) นิรามิสสุข

ตอบ 1 หน้า 622 – 623 หลักสมชีวิต 1 คือ การเลี้ยงชีพให้พอดีแก่กำลังทรัพย์ ไม่ให้ฝืดเคืองหรือฟุ่มเฟือย ให้ใช้จ่ายตามควรแก่กำลัง ซึ่งตรงกับหลักเศรษฐกิจเรื่องบริโภคกรรม (Consumption) ที่ว่า ถ้ามีการบริโภคน้อยเกินไปก็จะเกิดภาวะเงินฝืด สินค้าขายไม่ได้ แต่ถ้ามีการบริโภค มากเกินไปก็อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง ประชาชนเดือดร้อน

95.       สังฆสภา” ของคณะสงฆ์เทียบได้กับหน่วยงานใดของคณะรัฐบาล

(1) สภาผู้แทนราษฎร  (2)       คณะรัฐมนตรี  (3)       นายกรัฐมนตรี (4) ฝ่ายตุลาการ

ตอบ 1 หน้า 617 เมื่อเปรียบเทียบโครงสร้างของคณะสงฆ์และคณะรัฐบาลตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 จะประกอบด้วย   1. สมเด็จพระสังฆราช เทียบได้กับนายกรัฐมนตรี

2. สังฆสภา เทียบได้กับสภาผู้แทนราษฎร 3. คณะวินัยธร เทียบได้กับฝ่ายตุลาการ

4.         สังฆมนตรี เทียบได้กับคณะรัฐมนตรี

96.       ประเพณีใดสะท้อนคติความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาของคนไทย

(1) แห่นางแมว            (2)       บุญบั้งไฟ         (3) การสร้างศาลพระภูมิ         (4)       ถกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 640653, (คำบรรยาย) ความเชื่อถือเดิมของคนไทยเกี่ยวกับผีสางเทวดาได้มีอิทธิพล ต่อประเพณีบางอย่าง เช่น แห่นางแมว และบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นพิธีอ้อนวอนขอฝนจากผีสางเทวดา ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์จะได้อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ประเพณีการสร้างศาลพระภูมิ เมื่อปลูกเรือนใหม่ก็สะท้อนถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์และผีสางเทวดาควบคู่กัน

97.       ประเพณีที่มีระเบียบแบบแผน เรียกว่าอะไร

(1) จารีตประเพณี       (2)       วิถีประชาชน    (3) ขนบประเพณี        (4)ธรรมเนียมประเพณี

ตอบ 3 หน้า 653 – 654 ประเพณีโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

1.         จารีตประเพณี หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม ซึ่งมีค่าแก่สังคมโดยส่วนรวม

2.         ขนบประเพณี หรือระเบียบประเพณี หมายถึง ประเพณีที่มีระเบียบแบบแผน ซึ่งอาจจะ

กำหนดไว้โดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้

3. ธรรมเนียมประเพณี หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวกับเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่มีผิดถูกดีชั่ว และไม่มีระเบียบแบบแผน หรือเป็นประเพณีที่มีผู้กำหนดขึ้น และเป็นที่ยอมรับในสังคม เช่น การพูดจา มารยาทในสังคม การแสดงความเคารพ ฯลฯ

98.       ข้อห้ามที่ว่า เผาผีวันศุกร์ ตัดจุกวันอังคาร แต่งงานวันพฤหัสบดี” ตรงกับข้อใด

(1) ความเชื่อตามประเพณี      (2) ความเชื่อเพราะเคยชิน

(3) ความเชื่อที่ล้าสมัย (4) ความเชื่อที่มีเหตุผล

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ความเชื่อบางอย่างนั้นในบางครั้งก็หาเหตุผลไม่ได้ แต่เป็นความเชื่อกันมาตาม ประเพณี เช่น คำพูดติดปากบทหนึ่งซึ่งเป็นข้อห้ามไม่ให้ทำคือ เผาผีวันศุกร์ ตัดจุกวันอังคาร แต่งงานวันพฤหัสบดี

99.       ประเพณีใดสะท้อนอิทธิพลตะวันตก 

(1) การทำบุญวันขึ้นปีใหม่

(2)       วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 มกราคม (3) วันสงกรานต์ (4) การทอดกฐิน

ตอบ 2 หน้า 653655662 การที่คนไทยมีการติดต่อสมาคมกับชนชาติอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ ทำให้ประเพณีไทยมีอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาผสมกลมกลืนอยู่ไม่น้อย เช่น ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 มกราคม ตามหลักสากลนิยม การเป่าเทียนและ ตัดขนมเค้กในวันเกิด การส่งการ์ดอวยพร ฯล

100.    ประเพณีใดเกี่ยวข้องกับศีลธรรม

(1) จารีตประเพณี       (2) วิถีประชาชน          (3) ขนบประเพณี        (4) ธรรมเนียมประเพณี

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

101.    ข้อใดไม่ตรงกับศิลปกรรมแบบทวารวดี

(1) ศาลนสถานทรงปราสาทยอด

(2) พระพุทธรูปมักสลักจากศิลา

(3)       พุทธศิลประยะแรกแสดงการรับอิทธิพลศิลปะคุปตะ

(4) นิยมสร้างภาพสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติ

ตอบ 1 หน้า 686 – 689710715 สถาปัตยกรรมแบบทวารวดีมีอยู่น้อยมาก เพราะได้เสื่อมชำรุดไปตามเวลาที่ผ่านไปกว่าพันปี เหลือแต่ซากฐานที่ก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง โดยสถาปัตยกรรม ที่เหลืออยู่ ได้แก่ วัดถํ้า ซึ่งเป็นการดัดแปลงถ้ำธรรมชาติให้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา (ส่วนศาสนสถานทรงปราสาทยอดมักพบในศิลปะสมัยสุโขทัย และสมัยล้านนาหรือเชียงแสน ในขณะที่ตัวเลือกข้ออื่นเป็นศิลปกรรมแบบทวารวดีทั้งหมด)

102.    สิ่งใดใช้ในการศึกษาลักษณะศิลปะแบบช่างคุปตะในศิลาสลักรูปธรรมจักร

(1) ขนาดของวงธรรมจักร

(2) ลวดลาย

(3) เรื่องพระพุทธประวัติ

(4) การจารึกคาถา เย ธัมมา

ตอบ 2 หน้า 689, (คำบรรยาย) ศิลาสลักรูปธรรมจักรที่พบในศิลปะสมัยทวารวดี จะมีลวดลายเครื่องประดับ คล้ายคลึงกับฝีมือของช่างคุปตะ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าศิลาสลักรูปธรรมจักรเหล่านี้คงจะเป็น ฝีมือของช่างทวารวดีทีทำขึ้น เพื่อเลียนแบบวัตถุที่สมณทูตครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชนำเข้ามา

103.    บริเวณใดค้นพบเทวรูปศิลาศิลปะร่วมสมัยกับทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 14

(1) เชียงแสน

(2) ปราจีนบุรี

(3)       สิงห์บุรี

(4) สุพรรณบุรี

ตอบ 2 หน้า 683691, (คำบรรยาย) ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า หรือวัตถุรุ่นเก่า (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14) สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู และมีอายุร่วมสมัยกับศิลปะทวารวดีที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา โดยเทวรูป ศิลารุ่นเก่าส่วนใหญ่มักพบในภาคใต้ของไทยแถบเขต จ.สุราษฎร์ธานี และทางภาคตะวันออก แถบดงศรีมหาโพธ จ.ปราจีนบุรี นอกจากนี้ที่เมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ก็พบด้วยเช่นกัน

104.    การพบศิวลึงค์หลายองค์ในภาคใต้ของไทย แสดงถึงการนับถือศาสนาใด

(1) พราหมณ์   (2) ฮินดู           (3)       ฮินดู ไศวนิกาย            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 636691 ในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย (นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นใหญ่)จะกราบไหว้บูชารูปพระศิวะ ซึ่งนิยมสร้างในรูปสัญลักษณ์เป็นศิวลึงค์ โดยจะพบทั้งในภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เช่น เอกามุขลึงค์ พบที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 11-12

105.    พระโพธิสัตว์ที่เป็นที่นิยมนับถือในช่วงศิลปะศรีวิชัย คือข้อใด

(1) วัชรปาณี    (2) ศรีอารยเมตไตรย   (3)       มัญชุศรี           (4) อวโลกิเตศวร

ตอบ 4 หน้า 685694 – 695 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) จะสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนา มหายานทั้งสิ้นโดยเฉพาะความนิยมสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ประจำกัลป์ปัจจุบัน และเป็นที่นิยมนับถือมาก เช่น ประติมากรรมพระอวโลกิเตศวรสัมฤทธิ์ (สำริด) พบที่หน้าวัดพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานิ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15

106.    พระพุทธรูปนาคปรกองค์สำคัญพบที่วัดเวียง อำเภอไชยา สุราษฎร์ธานี แสดงปางอะไร

(1) สมาธิ         (2) มารวิชัย     (3) ปฐมเทศนา            (4) ประทานพร

ตอบ 2 หน้า 695 ประติมากรรมศรีวิชัยในระยะหลังเป็นสมัยอิทธิพลศิลปะขอม ซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปด้วย เช่น พระพุทธรูป,นาคปรกสัมฤทธิ์ (สำริด) พบที่วัดเวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งแสดงพระหัตถ์ทำปางมารวิชัยแปลกจากทั่วไปที่นิยมทำปางสมาธิ

107.    โบราณวัตถุสมัยลพบุรี มักสร้างขึ้นในศาสนาใดมากที่สุด

(1) มหายาน    (2) หินยาน      (3) พราหมณ์   (4) ฮินดู

ตอบ 1 หน้า 699, (คำบรรยาย) โบราณวัตถุในศิลปะขอมในประเทศไทย หรือศิลปะสมัยลพบุรีนิยมสลักจากศิลาหรือหล่อด้วยสัมฤทธิ์ (สำริด) และสร้างขึ้นตามคติความเชื่อทางศาสนาพุทธ มหายานมากที่สุด รองลงมาคือ ศาสนาฮินดู

108.    ปางใดเป็นพุทธศิลป์ที่นิยมสร้างในสมัยศิลปะลพบุรี

(1) ปางมารวิชัย           (2) ปางมารวิชัยนาคปรก (3) ปางสมาธิ          (4) ปางสมาธินาคปรก

ตอบ 4 หน้า 701, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยศิลปะลพบุรี คือ พระพุทธรูปปางสมาธิ นาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งขัดสมาธิราบ และมัก จะสลักด้วยศิลาทราย ต่อมาในสมัยหลังประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มักนิยมสลักเป็น พระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะลพบุรีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศิลปะขอม

109.    สถาปัตยกรรมในศิลปะแบบลพบุรี มีลักษณะเด่นคืออะไร

(1) สร้างจากศิลาหรืออิฐ         (2) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นพุทธสถาน

(3) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นเทวสถาน            (4) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นพุทธสถานและเทวสถาน

ตอบ 4 หน้า 699 สถาปัตยกรรมสำคัญในศิลปะแบบลพบุรี ได้แก่ ปราสาท ซึ่งสร้างขึ้นจากศิลาหรืออิฐ เพื่อเป็นประธานของพุทธสถานและเทวสถาน (เทวาลัย) โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เทวรูป หรือถวายบรรพบุรุษ ตลอดจนเป็นศาสนสถานประจำชุมชน

110.    สถาปัตยกรรมใดที่ปรากฏในเขตวัฒนธรรมสุโขทัยก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย

(1) วัดพระพายหลวง   (2) วัตกำแพงแลง        (3) วัดตระพังเงิน         (4) วัดตระพังทอง

ตอบ 1 หน้า 708 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 – 18 ได้ปรากฏสถาปัตยกรรมแบบขอมในเขตวัฒนธรรมสุโขทัยก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย เช่น ศาลตาผาแดงที่เมืองเก่าสุโขทัย นอกจากนี้พื้นที่นอกกำแพงเมืองเก่าสุโขทัยยังพบปราสาทแบบขอมที่วัดพระพายหลวง ซึ่งก่อด้วยศิลาแลง และวัดศรีสวายที่มีการบูรณะขึ้นใหม่ในสมัยอยุธยา

111.    ที่เวียงกาหลง และสันกำแพง พบศิลปกรรมเชียงแสนที่คล้ายคลึงสุโขทัยคืออะไร

(1) เจดีย์ทรงปราสาท

(2) เครื่องถ้วยชามสังคโลก

(3) พระพุทธรูปทรงเครื่อง

(4) เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม

ตอบ 2 หน้า 717 แหล่งผลิตเครื่องถ้วยชามสังคโลกในสมัยศิลปะล้านนาหรือเชียงแสน ได้แก่เตาสันกำแพง จ.เชียงใหม่ และเตาเวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึง กับเครื่องถ้วยของสุโขทัย แต่ต่างกันที่คุณภาพ ความแกร่งของเนื้อดิน และการเคลือบสีน้ำตาล หรือสีเขียวนวลกับนํ้าตาล ส่วนลวดลายบนเครื่องถ้วยมักวาดเป็นรูปปลาคู่ หรือลายพืชนํ้า

112.    พระพุทธรูปปูนปั้นในซุ้มมณฑปวัดตระพังทองหลางที่สวยงามยิ่งของสุโขทัย คือข้อใด

(1) พระพุทธรูปปางลีลา

(2) พระพุทธรูปปางสมาธินาคปรก

(3) พระพุทธรูปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์

(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พระพุทธรูปปางลีลาปูนปั้นอยู่ในซุ้มมณฑปวัดตระพังทองหลาง นอกเมืองสุโขทัยเก่าเป็นรูปพระพุทธองค์ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ เสด็จดำเนินด้วยทิพยลีลา ทรวดทรงของ พระพุทธรูปแบบอุดมคติองค์นี้ดูมีชีวิตจิตใจ เมื่อได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้แล้วย่อมจะเกิด ความสะเทือนใจอยางลึกซึ้งและคงทนอยู่ตลอดกาล

113.    การแสดงออกของพุทธศิลป์สุโขทัยคืออะไร

(1) ความหลุดพ้น

(2) ความเป็นอุดมคติ

(3) การตรัสรู้

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การแสดงออกของพุทธศิลป์สุโขทัย คือ ศิลปินจะสร้างพระพุทธรูปตามอุดมคติ และความศรัทธาเชื่อมั่นในพระธรรมของพระองค์ ซึ่งเป็นลักษณะแบบไทยโดยเฉพาะ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยจะแสดงถึงการตรัสรู้และความหลุดพ้นไปจากโลกนี้ สีพระพักตร์แสดง ความลึกซึ้งทางจิตใจอย่างน่าพิศวง และส่วนลสัดให้ความรู้สึกตรึงใจน่าเลื่อมใสที่สุด

114.    วัดใดเป็นตัวอย่างศิลปะก่อนอยุธยาได้

(1) วัตพนัญเชิง           (2) วัดใหญ่ชัยมงคล    (3) วัดราชบูรณะ         (4) วัดพุทไธสวรรย์

ตอบ 1 (คำบรรยาย) วัดพนัญเชิง จ.อยุธยา ถือเป็นตัวอย่างของศิลปะสมัยก่อนอยุธยา เพราะปรากฏ หลักฐานว่าสร้างก่อนกรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี (ก่อน พ.ศ. 1893) โดยมีพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระเจ้าพนัญเชิง (หลวงพ่อโต) เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ (สำริด) ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลักษณะ ของพระพุทธรูปอู่ทองแบบที่ 2

115.    ข้อใดคือมหาปราสาทสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(1) พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (2) พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์

(3) พระที่นั่งเบญจรัตนมหาปราสาท   (4) พระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งอยุธยา ได้โปรดให้สร้างวังขึ้นใหม่ซึ่งประกอบด้วยพระมหาปราสาท ได้แก่ พระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ และพระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท รวมทั้งตำหนักใหญ่น้อยจำนวนมาก

116.    ภาพเทพชุมนุมที่งดงามสมัยอยุธยาตอนปลาย มีตัวอย่างให้ศึกษาได้ที่ใด

(1) วัดใหญ่ชัยมงคล    (2) วัดใหญ่สุวรรณาราม

(3) วัดมหาธาตุ            (4) วัดราชบูรณะ

ตอบ 2 หน้า 727, (คำบรรยาย) จิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่งดงามที่สุดภาพหนึ่ง คือ ภาพเทพชุมนุมและภาพยักษ์ที่ผนังพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม ซึ่งหน้าตาของยักษ์และเทวดา ตลอดจนเครื่องอาภรณ์ที่ประดับวาดได้สวยงามมาก

117.    ชามเบญจรงค์สมัยอยุธยา สีพื้นข้างในเป็นสีอะไร

(1) ขาว            (2)เหลือง         (3)แดง (4)เขียว

ตอบ 4 หน้า 727, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยานิยมสั่งเครื่องถ้วยชามจากจีน โดยส่งลายไทย ออกไปเป็นแบบ และเขียนบนเครื่องถ้วย เรียกว่า “เครื่องเบญจรงค์” ซึ่งเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ในสมัยอยุธยามักจะมีสีพื้นข้างในเป็นสีเขียว มีทั้งลายเทพนมนรสิงห์ เทพนมยักษ์ และลายหน้าสิงห์

118.    เรื่องใดไม่ปรากฏอยู่ในสมุดภาพไตรภูมิ

(1) สวรรค์        (2)       นรก     (3)       ทศชาดก          (4)       พระเจ้าห้าร้อยชาติ

ตอบ 4 หน้า 726, (คำบรรยาย) จิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนกลางอาจศึกษาได้จากภาพเขียนในสมุดข่อยซึ่งรู้จักกันในนาม สมุดภาพเรื่องไตรภูมิ” มีความหนาประมาณ 100 หน้า และวาดขึ้นราว พุทธศตวรรษที่ 22 – 23 ส่วนมากเป็นเรื่องในไตรภูมิมีทั้งภาพนรกและสวรรค์ นอกจากนี้ ยังมีภาพพุทธประวัติ (ชาดก) และเรื่องทศชาติ (ทศชาดก) ทั้ง 13 กัณฑ์ฯลฯ

119.    วัดนิเวศธรรมประวัติ อยุธยา เป็นศิลปะแบบใด

(1) แบบจีน      (2)       แบบโกธิก        (3)       แบบนีโอคลาสสิก        (4)       แบบญี่ปุ่น

ตอบ 2 หน้า 730 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างวัดไว้น้อยแห่ง แต่บางแห่งแสดงถึงศิลปกรรมตะวันตก เช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ อ.บางปะอิน จ.อยุธยา สร้างเลียนแบบศิลปะโกธิกในยุโรป และวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ สร้างด้วยหินอ่อนจากอิตาลี ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง วัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตก

120.    รัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปขึ้นใหม่ให้มีลักษณะคล้ายสามัญชน คือข้อใด

(1) จีวรบางแนบเนื้อ    (2)       ขัดสมาธิราบ    (3)       ไม่มีพระเกตุมาลา        (4)มีขนาดใหญ่

ตอบ 3 หน้า 732, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปขึ้นใหม่ เพื่อให้มีลักษณะคล้ายสามัญชนยิ่งขึ้น คือ ไม่มีพระเกตุมาลาหรืออุษณีษะ จีวรเป็นริ้ว ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร และรายละเอียดของพระวรกายเป็นไปตามสรีระของมนุษย์ ตามปกติ จึงจัดเป็นพระพุทธรูปแบบสมจริง เช่น พระพุทธนิรันตรายที่โปรดให้สร้างขึ้น แต่ไม่เป็นที่นิยมกันนัก

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ชุมชนระดับหมู่บ้านพัฒนาเป็นชุมชนเมือง

(1)       มีการเพาะปลูกข้าว

(2) การค้าขายระหว่างชุมชน

(3) มีแหล่งนํ้าที่เพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภค

(4) การนับถือพุทธศาสนา

ตอบ 4 หน้า 8-9 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนระดับหมู่บ้านพัฒนาเป็นชุมชนเมืองได้ มีดังนี้

1.         มีแหล่งเพาะปลูกข้าว  2. มีแหล่งน้ำที่เพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภค

3. มีการค้าขายระหว่างชุมชน

2.         ข้อใดกล่าวถึงแคว้นศรีวิชัยได้ถูกต้อง

(1)       ประชาชนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท

(2)       อาณาเขตของศรีวิชัยครอบคลุมคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา

(3)       ประชากรส่วนใหญ่เป็นพวกนิกรอยด์

(4)       เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 2 หน้า 15 ลักษณะสำคัญของแคว้นศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 12 – 18) มีดังนี้ 1. เจริญขึ้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ต่อมามีอาณาเขตครอบคลุมไปตลอดคาบสมุทรมลายู และเกาะสุมาตรา 2. ประชากรส่วนใหญ่เป็นพวกมาลาโยโพลีเนเชียน 3. นับถือพุทธศาสนา นิกายมหายานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนศาสนาฮินดูก็มีผู้นับถือเช่นกัน 4. เป็นศูนย์กลางทางการค้า ที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลานี้โดยเป็นคนกลางติดต่อระหว่างอินเดียและจีน

3.         ข้อใดไม่ใช่แว่นแคว้นโบราณที่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย   

(1) แคว้นเชลียง

(2)       แคว้นหริภุญไชย          (3) แคว้นหิรัญนครเงินยาง      (4) แคว้นโยนกเชียงแสน

ตอบ 1 หน้า 14182024 แว่นแคว้นโบราณที่อยู่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 – 18 มีดังนี้       1. แคว้นหริภุญไชย      2. แคว้นโยนกเชียงแสน 3. แคว้นเงินยางเชียงแสน หรือหิรัญนครเงินยาง 4. แคว้นพะเยา (ส่วนแคว้นเชลียง เจริญขึ้นมาในเขตลุ่มน้ำยมราวพุทธศตวรรษที่ 17 บริเวณ จ.สุโขทัยในเขตภาคกลางตอนบน)

4.         ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแคว้นศรีธรรมราชคือราชวงศ์ใด

(1)       ปัทมวงศ์          (2) มังราย        (3)       ศรีนาวนำถม    (4)       สิงหนวัติ

ตอบ 1 หน้า 25 แคว้นศรีธรรมราช หรือนครศรีธรรมราช พัฒนาไปจากแคว้นศรีวิชัยภายหลังที่แคว้นศรีวิชัยเสื่อมอำนาจไปแล้ว โดยมีกษัตริย์ราชวงศ์ปัทมวงศ์หรือปทุมวงศ์ เข้ามามีอำนาจ และปกครองแคว้นศรีธรรมราชในตอนกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ทั้งนี้แคว้นศรีธรรมราชจะมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลังกามากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้จากการที่พุทธศาสนาเถรวาทจากลังกา เข้ามามีอิทธิพลแทนที่พุทธศาสนามหายานของศรีวิชัย

5.         ยุคทองของแคว้นล้านนาตรงกับสมัยกษัตริย์องค์ใด

(1)       พระยากือนา    (2) พระยาติโลกราช    (3)       พระยาแก้ว      (4)       พระยางำเมือง

ตอบ 2 หน้า 32 สมัยของพระยาติโลกราช (พ.ศ. 198*1 – 2030) ถือได้ว่าเป็นยุคทองของอาณาจักร ล้านนา เพราะสามารถฟื้นฟูอำนาจของล้านนาขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้พระยาติโลกราชยังเป็นผู้มีความสามารถในการรบและขยับรบ จึงมีนโยบายขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง เช่น ทางเหนือขึ้นไปถึงเขตไทยใหญ่ คือ เมืองเชียงรุ้ง ส่วนทางใต้ลงมาถึงเมืองแพร่และน่าน

6.         ข้อใดไม่ใช่อุดมการณ์การปกครองตามแบบเดิมของชนชาติไทย

(1)       ผู้นำต้องเป็นนักรบที่มีความสามารถ   (2) ผู้นำมีความสัมพันธ์กับอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(3)       ผู้นำต้องปกครองตามระบบคุณธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในสมัยนั้น

(4)       ผู้นำใช้แนวทางการปกครองที่มีพื้นฐานมาจากการนับถือเทพเจ้าในศาสนาฮินดู

ตอบ 4 หน้า 90 – 92 อุดมการณ์การปกครองตามแบบเดิมของชนชาติไทย มีลักษณะสำคัญที่สรุปได้ดังนี้

1.         กษัตริย์หรือผู้นำต้องเป็นนักรบที่มีความสามารถ 2. กษัตริย์หรือผู้นำมีความสัมพันธ์กับ อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3. กษัตริย์หรือผู้นำใช้การปกครองแบบพ่อปกครองลูก 4. กษัตริย์หรือ ผู้นำต้องปกครองตามระบบคุณธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมในสมัยพุทธศตวรรษที่ 19

5. ฐานะของผู้ปกครองยังไม่แตกต่างหรืออยู่ห่างจากราษฎรมากนัก

7.         ข้อใดกล่าวถึง มหาชนสมมุติ” ได้ถูกต้องที่สุด

(1)       เป็นมนุษย์ที่ได้รับการสรรเสริญจากคนทั่วไปให้เป็นเทพเจ้า

(2)       หลักการมหาชนสมมุติปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท

(3)       เป็นมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับและเลือกสรรจากประชาชนให้เป็นผู้นำ เพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น

(4)       เป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดเพราะเป็นเทพเจ้าอวตารลงมา

ตอบ 3 หน้า 92 ผู้นำที่ดีควรเป็น มหาชนสมมุติ” เป็นหลักการของพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ใน

พระไตรปิฏก ตอนอัคคัญสูตร ซึ่งได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำหรือกษัตริย์ควรเป็นมนุษย์เหมือน ประชาชนมิใช่เทพเจ้า โดยต้องเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับและเลือกสรรจากประชาชน ให้เป็นผู้นำ เพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น จึงจะเรียกว่าเป็นมหาชนสมมุติ

8.         ข้อใดไม่ใช่ความแตกต่างของสถาบันกษัตริย์ล้านนากับสุโขทัยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20

(1)       การเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช       (2) การใช้คำราชาศัพท์

(3) การอ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์ (4) การเน้นความสำคัญของหลักทศพิธราชธรรม

ตอบ 4 หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่างจาก สถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการอ้างบทบาท ของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้คำราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย ส่วนหลักการของธรรมราชาอื่นๆ เช่น การเน้นความสำคัญของหลักทศพิธราชธรรม การทำสงครามธรรมยุทธ ฯลฯ ทางล้านนาก็ใช้คล้ายคลึงกับสุโขทัย

9.         เทวดาหรือยักษ์ที่ทำหน้าที่รักษาทิศทั้ง 4 ในจักรวาล

(1)       จตุมหาราชิกา  (2) จตุโลกบาล            (3) จตุรงคบาท            (4) จตุคาม

ตอบ 2 หน้า 99, (คำบรรยาย) ในคติพราหมณ์มีความเชื่อว่า ในระบบจักรวาล (Universe or Macrocosmos) มีทิศหลักที่สำคัญอยู่ 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันตก ซึ่งแต่ละทิศจะมีเทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาลอยู่ประจำ รวมทั้งหมด 4 ตน เรียกว่า โลกาปะละ หรือจตุโลกบาล

10.       คติการปกครองที่กษัตริย์อ้างว่าเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าคือคติใด

(1)       พุทธราชา         (2) ธรรมราช    (3) เทวราช       (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 2 หน้า 95 – 96 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ได้เพิ่มความสูงส่ง ของคติการปกครองแบบธรรมราชาหรือธรรมราชขึ้นไปอีก โดยใช้วิธีการหนึ่งคือ กษัตริย์แสดง บทบาทในฐานะพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้า ดังหลักฐานในจารึกสุโขทัยหลักที่ 4 ที่กล่าวถึง การเสด็จออกผนวชของสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทย และทรงตั้งปณิธานจะเป็นพระพุทธเจ้า พาสรรพสัตว์ข้ามวัฏสงสาร

11.       ข้อใดคือการปกครองแบบทหาร

(1)       การปกครองแบบเผด็จการ

(2)       การปกครองที่ข้าราชการทุกคนต้องออกไปรบเมื่อมีสงคราม

(3)       การปกครองที่ข้าราชการและประชาชนต้องออกไปรบเมื่อมีสงคราม

(4)       ทหารเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและขึ้นมาเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง

ตอบ 3 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชน ทุกคนต้องออกไปรบได้ยามมีศึกลงคราม ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีรากฐานมาจากประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็น ทหารประจำการและพลเรือนได้

12.       ข้อใดไม่ใช่เมืองประเทศราชของสุโขทัยที่ระบุไว้ในศิลาจารึกหลักที่ 1

(1) เวียงจันทน์ (2) นครศรีธรรมราช (3) เมาะตะมะ     (4) เชียงใหม่

ตอบ 4 หน้า 106 ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ได้ระบุเขตเมืองประเทศราชของสุโขทัยในสมัย พ่อขุนรามคำแหงไว้ดังนี้

1.         ทิศตะวันออก ได้แก่ บริเวณฝั่งซ้ายแม่นํ้าโขง คือ เขตเวียงจันทน์ และเวียงคำ

2.         ทิศใต้ ได้แก่ เขตเมืองแพรก (ชัยนาท)สุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ราชบุรี เพชรบุรีไปจนถึง นครศรีธรรมราชและฝั่งทะเลสมุทร

3.         ทิศตะวันตก ได้แก่ เขตหัวเมืองมอญ คือ หงสาวดี เมาะตะมะ และตะนาวศรี

4.         ทิศเหนือ ได้แก่ เขตเมืองแพร่ น่าน และชะวา (หลวงพระบาง)

13.       แนวความคิดเรื่องมณฑล มาจากระบบความคืดเรื่องใด

(1) ศูนย์กลางของจักรวาล      (2) พันนา         (3) พุทธราชา

(4)       อุดมการณ์การปกครองตามแบบเดิมของชนชาติไทย

ตอบ 1 หน้า 107 แนวความคิดเรื่องมณฑล มาจากความคิดเรื่องโครงสร้างของจักรวาลตามคติของ ศาสนาพราหมณ์และพุทธ ซึ่งเน้นในเรื่องศูนย์กลางของจักรวาล คือ เขาพระสุเมรุ และองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่ล้อมรอบตั้งแต่ใกล้จนห่างออกไปเป็นลำดับ ต่อมาแนวความคิดเรื่องมณฑลได้ถูก นำไปใช้ในการจัดระเทียบของราชธานีและศาสนสถาน รวมทั้งใช้วางรูปแบบความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองศูนย์กลางและเมืองบริวารด้วย

14.       ศูนย์กลางอำนาจของเขมรในบริเวณลุมแม่น้ำเจ้าพระยาคือที่ใด

(1) ละโว้          (2) สุพรรณภูมิ (3) อยุธยา       (4) ราชบุรี

ตอบ 1 หน้า 15117 ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 – 18 อิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมของเขมร ได้แผ่เข้ามาในเขตลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาเป็นระยะ ๆ โดยมีศูนย์กลางอำนาจของเขมรอยู่ที่เมืองละโว้ หรือลพบุรี ซึ่งได้รับการส่งเสริมให้เป็นที่มั่นสำคัญกว่าเมืองทั้งหลายในเขตภาคตะวันออกของ ลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา และมีการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ในทำนองสมาพันธรัฐในนามของ กัมโพช

15.       การที่ชื่อกษัตริย์อยุธยามีคำว่า จักรพรรดิราช” ต่อท้ายชื่อ แสดงให้เห็นคติการปกครองแบบใด

(1)       พุทธราชา         (2) ธรรมราชา  (3) เทวราชา

(4) อุดมการณ์การปกครองตามแบบเดิมของชนชาติไทย

ตอบ 2 หน้า 120 หลักฐานที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์อยุธยาทรงให้ความสำคัญต่อคติการปกครอง แบบธรรมราชา เช่น การประกาศว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นมหาชนสมมุติและเป็นพระโพธิสัตว์ ในกฎหมายธรรมศาสตร์ นอกจากนี้พระนามของพระมหากษัตริย์อยุธยามักจะปรากฏมีคำว่า ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ธรรมมิกราช หรือจักรพรรดิราช” ต่อท้ายชื่อเสมอ

16.       ข้อใดหมายถึงกฎมณเฑียรบาล

(1) กฎหมายที่ใช้ลงโทษผู้กระทำความผิดทั่วไป          (2) กฎหมายที่ใช้ลงโทษพระสงฆ์ที่ทำผิด

(3)       กฎที่กำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต่างกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถึอเป็นเอกสารฉบับแรก ที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์ อักษร โดยมีจุดมุงหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ แสะพระราชวงศ์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชาของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี

17.       ข้อใดไม่ใช่เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์

(1)       พระแสงขรรค์ชัยศรี (2) พระมหาพิชัยมงกุฎ (3) ฉลองพระบาทเชิงงอน (4) พระที่นั่งอัฐทิศ

ตอบ 4 หน้า 123 – 125127, (คำบรรยาย) เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ หมายถึง เครื่องใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงพระบารมี ประกอบด้วย ของ 5 สิ่ง ได้แก่

1.         พระมหาพิชัยมงกุฎ คือ สัญลักษณ์ของการเป็นองศ์ประมุขของแผ่นดิน

2.         พระแสงขรรค์ชัยศรี คือ สัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ

3. ธารพระกรชัยพฤกษ์ คือ สัญลักษณ์แห่งพระปัญญาอันยิ่งใหญ่   

4. พัดวาลวิชนีและพระแส้จามรี คือ สัญลักษณ์แห่งการบันดาลความอยู่เย็นเป็นสุข ปัดเป่าผองภัยและความทุกข์ร้อนของประชาชนให้หมคสิ้นไป

5.         ฉลองพระบาทเชิงงอน คือ สัญลักษณ์แห่งการทรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพในทุกหนทุกแห่ง (ส่วนพระที่นั่งอัฐทิศ เป็นสัญลักษณ์แทนทิศทั้ง 8 ในจักรวาล ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก)

18.       พระเชษฐบิดร เป็นสัญลักษณ์ของข้อใด       

(1) เทพเจ้า

(2)       พระรัตนตรัย   (3) พระพุทธเจ้า           (4) พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว

ตอบ 4 หน้า 126140 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยู่ในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัย ดังหลักฐานจากพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ข้าราชการต้องถวายสักการะ พระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูบของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง และถือว่า เป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองศ์) โดยจะต้องกระทำปีละ 2 ครั้ง

19.       กรมธรรมการและกรมสังฆการี ทำหน้าที่อะไร

(1) จัดเก็บภาษีประชาชน        (2) ดูแลความเรียบร้อยของคณะสงฆ์

(3)       พิจารณาคดีความ        (4) ประกอบพิธีกรรมในราชสำนัก

ตอบ 2 หน้า 137151 – 152 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงจัดตั้งองค์กรทางราชการในสังกัด กรมวัง ได้แก่ กรมธรรมการและกรมสังฆการี เป็นผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยของ คณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร เป็นผู้เสนอชื่อพระเถระผู้ใหญ่เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเป็น สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่พิจารณาคดีที่พระสงฆ์เป็นคู่ความ อยู่ด้วย

20.       ข้อใดไม่ใช่วิธีการเสริมสร้างอำนาจและความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์สมัยอยุธยา

(1)       การใช้พิธีกรรมทางศาสนา เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สถาบันกษัตริย์

(2)       การกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์

(3)       การสร้างความใกล้ชิดกับประชาชน

(4)       การหาวิธีต่าง ๆ เพื่อลิดรอนอำนาจของเจ้านายและขุนนาง

ตอบ 3 หน้า 140 วิธีการเสริมสร้างอำนาจและความมั่นคงให้กับสถาบันกษัตริย์ในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         การใช้พิธีกรรมทางศาสนา เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่สถาบันกษัตริย์

2.         การกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เป็นอันมาก เพื่อป้องกันความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์

3.         การกำหนดวิธีการต่าง ๆ เพื่อลิดรอนและคานอำนาจของเจ้านายและขุนนาง

21.       ข้อไดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การค้าสำเภาหลวงของกษัตริย์อยุธยาประสบความสำเร็จ

(1) ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากนาหลวง

(2) ระบบส่วย

(3) การค้าผูกขาด

(4) การค้าในระบบบรรณาการกับจีน

ตอบ 1 หน้า 144 – 145 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การค้าสำเภาหลวงของพระมหากษัตริย์อยุธยา ประสบความสำเร็จและได้กำไรงดงาม มีดังนี้

1.         ระบบส่วย หรือสินค้าต่าง ๆ ที่รัฐเก็บจากราษฎรแทนแรงงานโดยไม่ต้องจ่ายราคา

2.         การค้าผูกขาด โดยทรงกระทำผ่านองค์กรของรัฐ คือ พระคลังสินค้า

3.         การค้าในระบบบรรณาการกับจีน

22.       ส่วนใหญ่อยุธยาใช้นโยบายใดในการปกครองประเทศราช

(1) การปกครองทางตรง          (2) การแบ่งแยกและปกครอง

(3) การปกครองทางอ้อม         (4) ผนวกประเทศราชเป็นดินแดนของอยุธยาโดยตรง

ตอบ 3 หน้า 169 – 170 นโยบายของอยุธยาในการปกครองประเทศราชส่วนใหญ่จะใช้การปกครอง ทางอ้อม (Indirect Rule) คือ การให้เจ้านายดั้งเดิมของประเทศราชได้ปกครองตนเองต่อไป แตต้องส่งบรรณาการมาให้ตามกำหนดเวลา และเกณฑ์ทัพมาช่วยอยุธยาถ้าได้รับคำสั่ง ซึ่งนับเป็นนโยนายที่ผ่อนคลายความตึงเครียดของประเทศราชได้ดีกว่า และทำให้อยุธยา มีอำนาจได้ยาวนานกว่าการปกครองทางตรง

23.       ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์คติการปกครองแบบใดที่เด่นชัดที่สุด

(1) ธรรมราชา  (2) เทวราชา     (3) คติความเชื่อดั้งเดิมของชนชาติไทย           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 183187 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ลักษณะธรรมราชาเป็นอุดมการณ์หรือคติการปกครอง ที่มีความสำคัญเด่นชัดที่สุด ในขณะที่แนวทางการปกครองแบบเทวราชาจะถูกลดความสำคัญลงไป โดยมีความพยายามเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้กับสถาบันกษัตริย์มากขึ้น และเริ่มลดสถานะ อันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพเจ้าของพระมหากษัตริย์ลงจากแต่ก่อน

24.       ในสมัยรัตนโกสินทร์ การนำกลองวินิจฉัยเภรีตั้งไว้หน้าพระราชรัง เพื่อให้ราษฎรมาตีกลองยื่นฎีกามีขึ้นในรัชกาลใด

(1)       รัชกาลที่ 1       (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 2 หน้า 186 – 187 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการรื้อฟื้นประเพณีการร้องทุกข์ของราษฎรไทยโดยจัดตั้งกลองชื่อ วินิจฉัยเภรี” ตั้งไว้หน้าพระราชรัง เพื่อให้ราษฎรที่มีเรื่องทุกข์ร้อนสามารถ มาตีกลองร้องทุกข์และยื่นฎีกาได้ ซึ่งจะมีนายตำรวจเวรเป็นผู้ออกมารับเรื่องราว เพื่อนำขึ้น กราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์

25.       หนังสือราชกิจจานุเบกษาคืออะไร     

(1) พจนานุกรม

(2)       หนังสือพิมพ์รายวัน     (3) หนังสือประมวลกฎหมาย

(4)       หนังสือราชการที่ออกเป็นรายสัปดาห์เพื่อให้ข้อมูลราชการแก่ประชาชน

ตอบ 4 หน้า 199 – 200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเผยแพร่เป็นรายสัปดาห์ ที่เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และ ปิดหนทางที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร

26.       จิตสำนึกเกี่ยวกับ ‘‘รัฐชาติ” ได้ก่อตัวขึ้นมาในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 2 หน้า 207 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย พระมหากษัตริย์ยังทรงทำหน้าที่เป็นผู้นำในการ ปลูกฝังจิตสำนึกเกี่ยวกับหน้าที่ของประชาชนที่ต้องมีต่อชาติ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อรัฐชาติ (National State) ได้ก่อตัวขึ้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในหมู่ข้าราชการ เช่น พวกข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาล

27.       ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5

(1)       เพื่อรักษาเอกราชของประเทศ

(2)       เพื่อสร้างความเจริญและส่งเสริมความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น

(3)       เพื่อลร้างเสริมบารมีตามแนวทางของคติธรรมราชา

(4)       เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ตอบ 3 หน้า 226 – 227 สาเหตุของการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         เพื่อรักษาเอกราชของประเทศ 2. เพื่อสร้างความเจริญและส่งเสริมสภาพความเป็นอยู่ที่ดี ของประชาชน 3. เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

28.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบมณฑลเทศาภิบาล

(1)       ไทยได้แนวทางมาจากการปกครองของอังกฤษในพม่าและมลายู

(2)       เป็นการบริหารระบบรวมศูนย์อำนาจที่เมืองหลวง

(3)       ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นคนในท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง

(4)       มีการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลตามความพร้อมในแต่ละภูมิภาค

ตอบ 3 หน้า 234-236 ลักษณะสำคัญของระบบมณฑลเทศาภิบาล มีดังนี้ 1. เป็นการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจ เพื่อให้เมืองหลวงควบคุมอาณาบริเวณทั้งหมดของอาณาจักรและเขต ประเทศราชได้อย่างทั่วถึง 2. ไทยได้แนวทางมาจากการปกครองของอังกฤษในพม่าและมลายู

3.         ข้าหลวงเทคาภิบาลเป็นคนในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในกรุงเทพฯ ที่ได้รับแต่งตั้งโดยตรง ออกไปจากเมืองหลวง 4. มีการจัดทั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลตามความพร้อมในแต่ละภูมิภาค มิได้จัดทีเดียวทั่วประเทศฯลฯ

29.       คณะราษภร” ที่ยึดอำนาจการปกครองจากพระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มใด (1) ข้าราชการทหาร (2) ข้าราชการพลเรือน

(3)       ประชาชน        (4) ข้าราชการทหารและพลเรือน

ตอบ 4 หน้า 238241 การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประเทศไทยได้สิ้นสุดลงในวันทื่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อคณะบุคคลที่เรียกตนเองว่า คณะราษฎร” อันประกอบด้วย ข้าราชการทหารและพลเรือนเป็นส่วนใหญ่ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากพระมหากษัตริย์ และทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

30.       คณะราษฎร ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันใด

(1) 10 ธันวาคม 2475

(2) 24 มิถุนายน 2475

(3)       10 มิถุนายน    2475  

(4)       20 มิถุนายน    2475

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31.       บริเวณที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัย ได้แก่ ภูมิภาคใดของประเทศไทยในปัจจุบัน

(1)       ภาคใต้ตอนบน

(2) ภาคกลางตอนบน

(3)ภาคเหนือตอนบน

(4)ภาคอีสานตอนบน

ตอบ 2 หน้า 23 – 24, (คำบรรยาย) บริเวณที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัยอยู่ในเขตภาคกลางตอนบน ของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยเมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บบที่ราบลุ่มแม่นํ้ายม ซึ่งอยู่ ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง และมีศูนย์กลางของชุมชนเมื่อแรกตั้งอยู่ที่เมืองเก่าสุโขทัย บริเวณวัดพระพายหลวง หลังจากนั้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงจึงย้ายศูนย์กลางของราชธานี มาอยู่ในตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน บริเวณวัดมหาธาตุ

32.       เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่นํ้าใด

(1) ปิง  (2) ยม (3)       น่าน     (4)       เจ้าพระยา

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

33.       เจ้านายพระองค์ใดที่กระทำยุทธหัตถีชนะขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด เมื่อครั้งมีพระชนมายุ 19 พรรษา

(1) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์          (2) พ่อขุนผาเมือง        (3) พ่อขุนรามคำแหง   (4) พระองค์ดำ

ตอบ 3 หน้า 90,(คำบรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหง ได้มีการยกย่อง พ่อขุนรามคำแหงที่ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด เมื่อครั้งมีพระชนมายุ 19 พรรษา และหลังจากชัยชนะครั้งนั้นพระองค์ก็ได้รับบำเหน็จรางวัล โดยได้รับพระราชทาน อิสริยยศเป็นพระรามคำแหง

34.       หนังสือไตรภูมิพระร่วงปลูกฝังความเชื่อเรื่อง ทำดีได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก” หนังสือนี้เป็นพระราชนิพนธ์ ของกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พ่อขุนรามคำแหง   (2) พระมหาธรรมราชาลิไทย   (3) พญามังราย (4) พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ตอบ 2 หน้า 96105584 พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นจอมปราชญ์ในทาง พระพุทธศาสนาพระองค์แรกของประเทศไทย เนื่องจากพระองค์ทรงเรียนรู้พระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน จนสามารถพระราชนิพนธ์หนังสือที่เป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วงหรือ ไตรภูมิกถา ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย ได้เป็นอย่างดี

35.       สังคมไทยสมัยใดที่มีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด    

(1) สุโขทัย-ล้านนา

(2)       สุโขทัย-อยุธยา (3) ล้านนา-อยุธยา     (4) สุโขทัย-ต้นรัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 270, (คำบรรยาย) สังคมไทยสมัยสุโขทัยและล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 19 – 21 จะมี ลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ มีลักษณะผสมของสังคมหมู่บ้านที่ยังมีหลักความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ กับสังคมเมืองที่พยายามวางแบบแผนกฎเกณฑ์ของความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกอย่างเป็น ทางการมากขึ้น ดังนั้นเมืองสำคัญในแคว้นสุโขทัยและล้านนาจึงล้วนมีวิวัฒนาการไปจาก หมู่บ้านที่ขยายตัว หรือจากการรวมกลุ่มของหมู่บ้านทั้งสิ้น

36.       “…เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส…” ถามว่าเบื้องหัวนอนคือทิศใด

(1)       ทิศตะวันออก   (2)       ทิศตะวันตก     (3) ทิศเหนือ     (4)       ทิศใต้

ตอบ 4 หน้า 589, (คำบรรยาย) ในศิลาจาริกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหงได้กลาวถึงทิศทั้ง 4 ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ เบื้องตีนนอน (ทิศเหนือ),เบื้องหัวนอน (ทิศใต้)เบื้องตะวันออก (ทิศตะวันออก) และเบื้องตะวันตก (ทิศตะวันตก)

37.       ในศิลาจาริกหลักที่ 1 มีข้อความว่า “…เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้…” ถามว่ามหาศักราช 1205 ตรงกับ พ.ศ. ใด

(1) 1626         (2)       1726   (3) 1826         (4)       1926

ตอบ 3 หน้า 105272, (คำบรรยาย) ในศิลาจาริกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีหลักฐานที่แสดงถึงความรู้ทางศาสนาและอักษรศาสตร์ของพ่อขุนรามคำแหงว่า พระองค์ทรงเป็น ผู้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้ได้สำเร็จ ดังข้อความที่ว่า “…เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้… (มหาศักราชเกิดหลังพุทธศักราช 621 ปี ดังนั้นถ้าเทียบมหาศักราช 1205 เป็นพุทธศักราช จะเท่ากับพุทธศักราช หรือ พ.ศ. 1826)

38.       ไพร่ในข้อใดที่มีสถานะต่ำที่สุดในสังคม

(1) ไพร่ฟ้าหน้าใส        (2) ไพร่ฟ้าหน้าปก       (3) ไพร่ฟ้าข้าไท           (4) ไพร่ไท

ตอบ 3 หน้า 271289 – 290, (คำบรรยาย) ในสมัยสุโขทัย คำว่า ไพร่” มีความหมายถึง สามัญชน โดยทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ ส่วนสร้อยที่ต่อท้ายคำว่าไพร่จะมีความหมายเฉพาะตัว ที่บ่งบอกถึงลักษณะของไพร่ที่แตกต่างกันไป เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส/ไพร่ไท (ประชาชนทั่วไป)ไพรฟ้าหน้าปก (ประชาชนที่มีทุกข์ร้อน)ไพรฟ้าข้าไท (ทาส ซึ่งมีสถานะตํ่าสฺดในสังคม) เป็นต้น

39.       ไพร่ชั้นดีในสมัยล้านนามีหลายอาชีพที่ได้รับสิทธิพิเศษไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน ไพร่ในข้อใดที่ถูกเกณฑ์แรงงาน

(1) ช่างทอง     (2) ช่างเงิน      (3) พ่อค้า         (4) ชาวสวน

ตอบ 4 หน้า 283 เอกสารทั้งของสุโขทัยและล้านนาได้จัดแบ่งไพร่ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

1.         ไพรชั้นดี คือ ไพร่ที่มีความรู้ความสามารถหรือมีฐานะดี เช่น ช่างฝีมือ (ช่างทอง ช่างเงิน ฯลฯ) พ่อค้า และเศรษฐี ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษไม่ถูกเกณฑ์แรงงานเหมือนไพร่สามัญ แต่อาจต้อง เสียเงินหรือส่วยเป็นการชดเชย

2.         ไพร่สามัญ คือ สามัญชนส่วนใหญ่ที่ทำมาหากินด้วยการทำไร่ไถนา ไม่มีความรู้ความสามารถ พิเศษอันใด จึงต้องมาให้แรงงานตามกำหนด เช่น ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ฯลฯ

40.       ผู้ใดมีคุณต่อพ่อแม่มาก ได้มรดกมาก” เป็นข้อความในกฎหมายไทยไนสมัยใด

(1)       ล้านนา (2) สุโขทัย       (3) อยุธยา       (4) ธนบุรี

ตอบ 1 หน้า 295, (คำบรรยาย) สังคมสมัยล้านนามีหลักปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องความกตัญญต่อผู้ใหญ่ว่า เมื่อพ่อแม่ตายไปให้จัดมรดกแก่ลูกที่แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้มากกว่าคนอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อตอบแทนความดีและให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นด้วย ดังข้อความในกฎหมายมังรายศาสตร์ ของล้านนาที่ว่า ผิลูกหลานมีอยู่หลายคน ผู้ใดมีคุณต่อพ่อแม่มาก ก็ให้มรดกมาก…

41.       กษัตริย์สมัยสุโขทัยมีวิธีควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุนอย่างไร

(1) ออกกฎหมายให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นขุนธรรม

(2) ให้ราษฎรฟ้องร้องลูกเจ้าลูกขุนได้

(3)       ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนเป็นแม่ทัพ

(4) ไม่ให้ลูกเจ้าลูกขุนครองเมือง

ตอบ 2 หน้า 276 พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีวิธีควบคุมอำนาจของลูกเจ้าลูกขุน ดังนี้

1.         ให้ไพร่หรือราษฎรฟ้องร้องกล่าวโทษลูกเจ้าลูกขุนได้โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ และ พยายามตัดสินคดีความให้อย่างยุติธรรม          2. ปลูกฝังให้ลูกเจ้าลูกขุนทำตัวเป็นขุนธรรมมิใช่ขุนมาร เพราะขุนธรรมเท่านั้นจึงจะอยู่ในอำนาจได้นาน (แต่ไม่ได้ออกเป็นกฎหมายบังคับ)

42.       ข้อยมาเป็นข้า” ในสมัยล้านนา เทียบได้กับทาสชนิดใดในสมัยอยุธยา

(1) ทาสเชลย   (2) ทาสในเรือนเบี้ย     (3) ทาสสินไถ่  (4) ทาสขัดดอก

ตอบ 1 หน้า 290351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสของล้านนามี 5 ชนิด คือ

1.         ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของ ซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา

2.         ลูกข้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา

3.         มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา

4.         ฉิบหายด้วยความผิดจึงเข้าเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา

5.         ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา

43.       ข้อใดมิใช่มรดกด้านอารยธรรมของไทยในสมัยสุโขทัย

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) มังรายศาสตร์        (3) เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (4) พระพุทธรูปปางลีลา

ตอบ 2 หน้า 710712, (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 34. และ 40. ประกอบ) หนังสือมังรายศาสตร์ หรือวินิจฉัยมังราย คือ กฎหมายต่าง ๆ ของพระยามังรายในสมัยล้านนาที่มีผู้คัดลอกรวบรวมไว้ สืบเนื่องมาเป็นเวลานาน ซึ่งเท่าที่ทราบในปัจจุบันมีสำนวนต่าง ๆ คัดลอกไว้อยู่ประมาณ 4 ฉบับด้วยกัน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นมรดกด้านอารยธรรมของไทยในสมัยสุโขทัย)

44.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับไพร่สุโขทัย

(1) ไมต้องเสียจกอบ    (2) ไม่ต้องเสียอากรค่านา

(3) ฟ้องร้องมูลนายไม่ได้         (4) ยกมรดกให้ลูกหลานไม่ได้

ตอบ 1 หน้า 285287 – 288 ไพร่สุโขทัยมีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคในการดำเนินชีวิตหลายด้าน ดังนี้ 1. สิทธิในการร้องทุกข์หรือฟ้องร้องมูลนายต่อพระมหากษัตริย์ได้ด้วยตนเองโดยตรง

2.         สิทธิในการศาล           3. สิทธิในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้     4. สิทธิในการยกมรดกให้แก่ลูกหลาน 5. สิทธิในการค้าขายสินค้าได้ทุกชนิดอย่างเสรี   6. สิทธิในการได้รับยกเว้นภาษีผ่านด่าน หรือไม่ต้องเสียจกอบ แต่ก็ต้องเสียภาษีชนิดอื่น เช่น ภาษีข้าว หรืออากรค่านา 7. สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ฯลฯ

45.       ผู้ใดมีศักดินาสูงสุดในสมัยอยุธยา

(1)       วังหน้า            (2) พระเจ้าแผ่นดิน      (3) เจ้าพระยาโกษาธิบดี (4) เจ้าพระยากลาโหม

ตอบ 1 หน้า 309357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ จะได้รับพระราชทานศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหน่ง โดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในแผ่นดิน คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาต่ำสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่

46.       ขุนนางอยุธยาไม่มีสิทธิทำสิ่งใด        

(1) เป็นเสนาบดี

(2)       เป็นเจ้าเมือง   (3) ไปมาหาสู่กันอย่างเสรี       (4) เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน

ตอบ 3 หน้า 329 – 332 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงคานอำนาจขุนนาง ดังนี้

1.         กำหนดให้ความเป็นขุนนางอยู่ในพระราชอำนาจของกษัตริย์

2.         กำหนดโครงสร้างของระบบราชการให้มีลักษณะลิดรอนอำนาจขุนนางมิให้รวมตัวกันได้

3.         ตรากฎหมายควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางไว้อย่างเข้มงวด 4. ควบคุมการเคลื่อนไหว ของขุนนาง มิให้ขุนนางไปมาหาสู่กันเอง หรือไปติดต่อกับเจ้านายอย่างเสรี ฯลฯ

47.       เจ้าพระยาโกษาธิบดี เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมใด

(1) มหาดไทย  (2) กลาโหม     (3) คลัง           (4) นา

ตอบ 3 หน้า 150 – 152319 – 320, (คำบรรยาย) หน้าที่ในตำแหน่งของกรมกองต่างๆ จะมียศ และราชทินนามกำกับไว้โดยเฉพาะ ดังนี้       1. เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมมหาดไทย      2. เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิริยภักดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมกลาโหม   3. เจ้าพระยาพระคลัง หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดีเป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมพระคลังหรือโกษาธิบดี

4.         พระยาพลเทพราชเสนาบดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมนาหรือเกษตราธิการ ฯลฯ

48.       เข้า 10 วัน ออก 10 วัน’’ เป็นการเกณฑ์แรงงานไพร่ในสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) ล้านนา       (3) อยุธยา       (4) ธนบุรี

ตอบ 2 หน้า 284 เอกสารของล้านนาได้ระบุถึงการเกณฑ์แรงงานไพร่ในสมัยล้านนาว่า รัฐบาลจะเกณฑ์ แรงงานไพร่ 10 วัน และปล่อยไปทำไร่นาของตนได้ 10 วัน สลับกันไป เรียกว่า เข้า 10 วัน ออก 10วัน” รวมแล้วจะเท่ากับถูกเกณฑ์แรงงาน6 เดือนใน 1 ปีซึ่งเท่ากับเวลาที่ไพร่ของ อาณาจักรอยุธยาถูกเกณฑ์เช่นกัน

49.       กษัตริย์อยุธยามีนโยบายเกี่ยวกับเจ้านายอย่างไร

(1) ให้เจ้านายทุกพระองค์มีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง (2) ให้เจ้านายได้ควบคุมอำนาจบริหารมากกว่าขุนนาง

(3)       ให้เจ้านายได้เป็นเสนาบดี      (4) พยายามควบคุมจำนวนของเจ้านายไว้ด้วย

ตอบ 4 หน้า 305313322 – 323 พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายคานอำนาจเจ้านาย ดังนี้

1.         ควบคุมจำนวนเจ้านาย โดยกำหนดผู้มีสิทธิเป็นเจ้านายมีได้เพียง 3 ชั่วอายุคน คือ ในชั่วลูกหลาน และเหลนเท่านั้น 2. ลดความสูงศักดิ์ของเจ้านายลงทุกชั่วคน จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้านายมีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง  3. ไม่ให้เจ้านายได้เป็นเสนาบดีควบคุมการบริหารกรมกองสำคัญในส่วนกลาง และไม่ให้เป็นเจ้าเมืองในส่วนภูมิภาค แต่ให้ขุนนางมีอำนาจหน้าที่นี้แทน  4.ควบคุมจำนวนไพร่สมของเจ้านาย ฯลฯ

50.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1)       ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล      (2) ใช้กำหนดบทลงโทษบุคคลที่มีความผิด

(3) ใช้กำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่าง           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและกำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด 3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พล ในสังกัดของบุคคลที่เป็นมูลนาย 4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่าง

51.       คุณสมบัติประการหนึ่งของการถวายตัวเป็นขุนนางสมัยอยุธยา ผู้ถวายตัวต้องมีอายุตั้งแต่กี่ปีขึ้นไป

(1)       20 ปี

(2) 24 ปี

(3) 30 ปี

(4) 31 ปี

ตอบ 4 หน้า 316 คุณสมบัติของผู้ที่จะถวายตัวเป็นขุนนางในสมัยอยุธยาประการหนึ่ง คือ ต้องประกอบ ด้วยวุฒิ 4 ประการ ได้แก่ 1. ชาติวุฒิ คือ เป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากอัครมหาเสนาบดี

2.         วัยวุฒิ คือ มีอายุตั้งแต่ 31 ปีขึ้นไป 3. คุณวุฒิ คือ เป็นผู้มีความรู้ฝ่ายทหารและพลเรือน ชำนิชำนาญ 4. ปัญญาวุฒิ คือ มีสติบีญญาดี รอบรู้ในกิจการบ้านเมือง และเรื่องนานาประเทศ

52.       การสักข้อมือไพร่เกิดผลอย่างไร        

(1) เกิดกบฏไพร่

(2)       ไพร่สมเพิ่มมากขึ้น      (3) ไพร่หนีไปอยู่ป่าได้มากขึ้น  (4) ไพร่หลวงไม่สูญหายอย่างแต่ก่อน

ตอบ 4 หน้า 392417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยได้กำหนดให้ สักข้อมือไพร่ไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันไม่ให้ ไพร่หลวงสูญหาย หรือไม่ให้ไพรหลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายอย่างแต่ก่อน

53.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับทาสในสมัยอยุธยา

(1) นายเงินขึ้นค่าตัวทาสไม่ได้ (2) นายเงินมีสิทธิไม่รับค่าตัวทาส

(3)นายเงินไม่มีสิทธิลงโทษทาส           (4) นายเงินไม่มีสิทธิส่งทาสไปรบแทนตน

ตอบ 1 หน้า 352 – 354356 ระบบทาสในสมัยอยุธยา นายเงินมีสิทธิเหนือทาสดังนี้

1.         ใช้งานทาสได้ทุกอย่าง 2. ใช้ทาสไปรับโทษหรือเข้าคุกแทนตนได้

3.         ใช้ทาสไปรบแทนตนได้           4. ลงโทษทาสได้แต่ต้องไม่ทำให้ทาสนั้นพิการหรือตายไป

5.         ขายทาสต่อไปได้ แต่ขึ้นค่าตัวทาสตามใจชอบไม่ได้ และถ้าทาสมีเงินมาไถ่ตัว นายเงินจะไม่ยอมรับคำตัวทาสไม่ได้    6. ในกรณีที่เป็นข้าพระอารามหรือทาสวัดให้อยู่ภายใต้

การดูแลของพระสงฆ๎ ซึ่งเป็นมูลนายที่แท้จริง ฯลฯ

54.       สกุลยศ หม่อมราชวงศ์” และ หม่อมหลวง” เพิ่งมีขึ้นในรัชกาลใด

(1)       สมเด็จพระนเรศวร       (2) สมเด็จพระนารายณ์ (3) สมเด็จพระเจ้าตากสิน (4) สมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ตอบ 4 หน้า 306 – 307, (คำบรรยาย) สกุลยศ หมายถึง ยศที่ได้จากการถือกำเนิด ซึ่งการกำหนด สกุลยศของเจ้านายในสมัยอยุธยาตอนปลายจะแบ่งเป็นยศเจ้าฟ้า พระองศ์เจ้า และหม่อมเจ้า ตามลำดับ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ได้เพิ่มสกุลยศ ของเจ้านายขึ้นอีก 2 ชั้น คือ หม่อมราชวงศ์ (ม.ร.ว.) และหม่อมหลวง (ม.ล.) แต่ผู้ที่มียศทั้งสองนี้ ไม่ถือเป็นชนชั้นเจ้านาย เป็นแต่เพียงผู้สืบเชื้อสายเจ้านายเท่านั้น

55.       ตำแหน่งวังหน้าที่มีสถานะเสมือนหนึ่งพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในสมัยรัตนโกสินทร์เกิดขึ้นในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 2  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 212395 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงแต่งตั้ง พระอนุชา คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ (วังหน้า) และขณะเดียวกันทรงยกฐานะของกรมพระราชวังบวรฯ ให้มีสถานะและพระยศเสมือนหนึ่งเป็น พระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 โดยพระราชทานยศและพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

56.       ขุนนางตระกูลใดมีอิทธิพลสูงสุดในต้นรัตนโกสินทร์

(1) อมาตยกุล  (2) บุนนาค      (3) บุญยรัตนพันธ์       (4) ติณสูลานนท์

ตอบ 2 หน้า 404 – 407 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ขุนนางตระกูลบุนนาค มีอิทธิพลสูงสุด และมีอำนาจโดดเด่นเหนือขุนนางตระกูลอื่น เนื่องมาจากสาเหตุดังนี้

1.         ความเป็นญาติและความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระราชวงศ์จักรี

2.         การได้ควบคุมกรมสำคัญที่ได้รับผลประโยชน์สูงในยุคที่การค้าขายขยายตัว

3.         การได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากระบบเจ้าภาษีนายอากร

4.         ความสามารถเฉพาะตัวของขุนนางตระกูลบุนนาค

57.       เหตุใดไพร่จึงถูกเกณฑ์แรงงานน้อยลงในสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       มีกรรมกรชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานไทยมากขึ้น

(2)       การคุกคามและการเผยแพร่แนวคิดของมหาอำนาจตะวันตก

(3)       กษัตริย์เน้นอุดมการณ์ปกครองแบบธรรมราชา         

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 416 – 424, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานน้อยลงในสมัยรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งมีการยกเลิกระบบไพร่อย่างสิ้นเชิงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         กษัตริย์เน้นอุดมการณ์ปกครองแบบธรรมราชา

2.         การคุกคามและการเผยแพร่แนวคิดของมหาอำนาจตะวันตก

3.         การเปลี่ยนแปลงลักษณะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้รัฐต้องการให้ไพร่ใช้เวลาปลูกข้าวมากขึ้น

4.         มีกรรมกรชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานในไทยมากขึ้น

5.         ภาวะการทำสงครามและการถูกรุกรานโดยอาณาจักรใกล้เคียงกับไทยหมดไป

58.       พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 มีผลให้ระบบไพร่ถูกยกเลิกเด็ดขาด ทั้งนี้ชายฉกรรจ์ทุกคนเมื่ออายุ ครบ …ปี จะต้องมาเกณฑ์ทหารรับราชการในกองประจำการ มีกำหนด …ปี จากนั้นแล้วจะปลดปล่อย ให้อยู่ในกองหนุน

(1) 182         (2) 202         (3) 212         (4) 252

ตอบ 1 หน้า 427 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 ขึ้นในปี พ.ศ. 2448 ซึ่งได้กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุครบ 18 ปี ยกเว้นคนจีนและคนป่าคนดอย ต้องเข้ามา เกณฑ์ทหารรับราชการในกองทัพมีกำหนด 2 ปี จากนั้นจึงจะได้รับการปลดปล่อยให้อยู่ในกองหนุน ขั้นที่ 1 อีก 5 ปี และกองหนุนขั้นที่ 2 อีก 10 ปี จึงจะปลดประจำการและไม่ต้องเสียค่าราชการ ไปอีกตลอดชีวิต ดังนั้น พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงนับเป็นก้าวสุดท้ายที่จะยกเลิกระบบไพร่โดยสิ้นเชิง

59.       เหตุเกิดในเมืองไทยภายหลังการทำสนธิสัญญาบาวริ่ง 10 ปี ชาวอาหรับจดทะเบียนเป็นคนในบังคับสเปนและทำผิดกฎหมายไทย ถามว่าศาลใดเป็นผู้พิจารณาคดี

(1) ศาลไทย     (2) ศาลอิรัก     (3) ศาลสเปน  (4) ได้ทั้ง 3 ศาล

ตอบ 3 หน้า 439547 – 548, (คำบรรยาย) ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในปีพ.ศ. 2398 ประเทศไทยได้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (เสียเอกราชด้านการศาล) คือ คนต่างชาติ และคนในบังคับของต่างชาติเมื่อมีเรื่องกับคนไทยก็ดี หรือมีเรื่องในหมู่พวกตัวเองก็ดี จะต้อง ขึ้นศาลกงสุลของชาติตนหรือชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ ทำให้ศาลไทยไม่สามารถเอาผิดกับ คนต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยและทำผิดกฎหมายไทยได้ ซึ่งต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2399 – 2442 ก็มีประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น ฯลฯ เข้ามาทำสัญญา ในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายประเทศ

60.       การเลิกทาสโดยไม่เสียเลือดเนื้อเหมือนในประเทศสหรัฐอเมริกา ถามว่ารัชกาลที่ 5 ทรงใช้เวลากว่ากี่ปีจึงแล้วเสร็จ

(1)10ปี            (2)       15ปี     (3)20ปี            (4) 30ปี

ตอบ 4 หน้า 433516, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินการเลิกทาสจนสำเร็จ โดยพระองค์ ทรงใช้นโยบายทางสายกลาง คือ ดำเนินการเลิกทาสไปทีละขั้นตอน มิใช่รวบรัดเลิกทาสทั้งหมด ในคราวเดียวกัน รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่า 30 ปี จึงทรงสามารถเลิกทาสได้อย่างเด็ดขาด โดยไม่มีการนองเลือดเหมือนการเลิกทาสในประเทศสหรัฐอเมริกา

61.       การทำการเกษตรกรรมของสุโขทัยอาศัยแหล่งนํ้าจากแม่นํ้าใด

(1) แม่น้ำปิง

(2)       แม่น้ำเจ้าพระยา

(3)       แม่น้ำวัง

(4) แม่น้ำยม

ตอบ 4 หน้า 24474, (คำบรรยาย) อาณาจักรสุโขทัยจะมีแม่นํ้ายมไหลผ่าน ดังนั้นการทำการเกษตรกรรมของสุโขทัยจึงอาศัยแหล่งนํ้าจากแม่น้ำยมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสันนิษฐานกันว่า เขตที่ทำการเพาะปลูกได้ของสุโขทัย ได้แก่ ริมลำน้ำซึ่งเป็นสาขาไหลลงสู่แม่นํ้ายม คือ แถบพรานกระต่าย อีกแห่งหนึ่งคงจะเป็นรอบ ๆ เมืองสุโขทัย เฉพาะบริเวณสองข้างของลำน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากภูเขาทางทิศตะวันตกลงไปสู่แม่นํ้ายม

62.       เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินสมัยสุโขทัยข้อใดถูกต้อง

(1)       ผู้ปกครองให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่ผู้ที่ขยันหมั่นเพียร

(2)       ผู้จะเข้าไปใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้น ๆ มีสถานะเป็นผู้เช่าที่ดินเท่านั้น

(3)       ราษฎรสามารถจับจองที่ดินเป็นของตนเองได้ตามอัธยาศัย  

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 475 ผู้ปกครองสุโขทัยได้ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่ผู้ที่ขยันหมั่นเพียร มีความวิริยะอุตสาหะ หักร้างถางพง เพื่อสร้างเป็นไร่เป็นนาเป็นสวน แม้บิดาตายไปบุตรก็ยังมีสิทธิได้รับต่อ หรือแม้พี่ชายตายน้องก็ได้รับต่อมา เท่ากับว่าราษฎรชาวสุโขทัยมีสิทธิในทรัพย์สินที่ปลูกสร้างนั้น อย่างสมบูรณ์ ใครปลูกสร้างสิ่งใดไว้ก็ได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งนั้น

63.       การจับสัตว์นํ้าของสุโขทัยอาศัยแหล่งในการจับสัตว์น้ำบริเวณดมากที่สุด

(1)       อ่าวไทย           (2) แม่นํ้ายม    (3) แม่นํ้าเจ้าพระยา    (4) ตระพัง

ตอบ 2 หน้า 475, (คำบรรยาย) แหล่งจับปลานํ้าจืดของสุโขทัยที่มีปลาอุดมสมบูรณ์ที่สุด ได้แก่ในแม่นํ้ายมตอนใกล้แก่งหลวง เพราะปรากฏว่ามีราษฎรจากเมืองต่าง ๆ พากับมาจับปลากัน มากมายจนถึงปัจจุบัน ส่วนการจับปลาทะเลนั้นคงจะจับกันแต่เพียงริมฝั่งทะเลในอ่าวไทยเท่านั้น เพราะในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีเรือใหญ่ที่ใช้เป็นพาหนะในการออกไปจับปลา ในทะเลลึก นอกจากนี้เครื่องมือจับปลาน้ำลึกในสมัยนั้นก็คงยังไม่มีใช้

64.       แร่ดีบุกที่นำมาใช้ในสมัยสุโขทัยมาจากที่ใด

(1) พังงา          (2) ภูเก็ต         (3) ระนอง        (4) เชียงใหม่

ตอบ 4 หน้า 476, (คำบรรยาย) แหล่งแร่ดีบุกที่นำมาใช้ในสมัยสุโขทัย คงจะได้มาจากอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ และแถวแคว้นอัสสัมทางตอนเหนือของพม่า หรือแถบเมืองท่าแขก ตรงกันข้ามกับจังหวัดนครพนมในปัจจุบัน

65.       ข้อใดถูกเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจทางด้านตลาดสมัยสุโขทัย

(1) รายได้หลักมาจากการค้าข้าว        (2) รายได้หลักมาจากการค้าภายใน

(3) รายได้หลักมาจากการค้าภายนอก            (4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 479481 – 483 แหล่งที่มาของรายได้หลักที่สำคัญที่สุดของสุโขทัย คือ เครื่องปั้นดินเผา ที่เรียกว่า เครื่องสังคโลก” ซึ่งเป็นสินค้าออกที่สำคัญ และเป็นกิจการที่ใหญ่โตรุ่งเรืองมาก คงจะทำรายได้ให้รัฐมากทีเดียว ส่วนแหล่งรายได้ที่สำคัญอีกอยางหนึ่งจะมาจากการเก็บภาษีข้าว โดยให้เก็บภาษีข้าว 1 ส่วน จากผลผลิตข้าว 10 ส่วน ซึ่งแม้จะไม่มากนักแต่ก็เป็นรายได้ส่วนหนึ่ง

66.       ชาติใดไม่ใช่ลูกค้าของอาณาจักรสุโขทัย

(1) แอฟริกาตะวันออก (2) โปรตุเกส   (3) หมู่เกาะอินโดนีเซีย (4) ฟิลิปปินส์

ตอบ 2 หน้า 479 ลูกค้าเครื่องปั้นดินเผาที่เรียกว่า สังคโลก” ของอาณาจักรสุโขทัยมีอยู่ 2 พวก คือ อินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์พวกหนึ่ง และชาวอินเดียกับตะวันออกใกล้อีกพวกหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีลูกค้ารายเล็ก ๆ เช่น ญี่ปุ่น และแอฟริกาตะวันออก เป็นต้น

67.       ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบพื้นฐานสำคัญทางด้านเศรษฐกิจสมัยอยุธยาที่มีความแตกต่างจากสมัยสุโขทัย

(1) กรรมสิทธิ์ที่ดิน       (2) แรงงานไพร่ ทาส    (3) การค้าผูกขาด        (4) ประเภทของสินค้า

ตอบ 4 หน้า 487 – 488 องค์ประกอบพื้นฐานสำคัญทางด้านเศรษฐกิจสมัยอยุธยาที่มีความแตกต่างจากสมัยสุโขทัย คือ ระบบการปกครองได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของราษฎรไทย ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 1. กรรมสิทธิ์ที่ดิน 2. การค้าแบบผูกขาด 3. แรงงานไพร่ ทาส

68.       รัฐสมัยอยุธยาช่วยเหลือไพร่ในการปลูกข้าวอย่างไร

(1) การรับจำนำราคาข้าว        (2) การรับประกันราคาข้าว

(3) การจัดหาตลาด     (4) ออกกฎหมายคุ้มครองแก่ต้นข้าว

ตอบ 4 หน้า 489 – 491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนการทำนาปลูกข้าว ดังนี้

1.         ขยายพื้นที่ทำนาเพาะปลูก

2.         คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยการออกกฎหมายคุ้มครองแก่ต้นข้าว และลงโทษผู้ทำลายต้นข้าวอย่างรุนแรง

3.         ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ

4.         ส่งเสริมแรงงานในการเพาะปลูก        5. ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท

6.         การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

69.       ข้อใดไม่ไชพิธีที่สร้างขึ้นสำหรับการทำการเกษตรกรรม

(1)       พิธีโล้ชิงช้า       (2) พิธีไล่นํ้า     (3) พิธีพืชมงคล           (4) พิธีลอยพระประทีป

ตอบ 1 หน้า 491 – 492660 – 661 พิธีกรรมที่สร้างขึ้นสำหรับการทำการเกษตรกรรม มีดังนี้

1.         พิธีเผาข้าวหรือพิธีธานยเทาะห์ เป็นพระราชพิธีเสี่ยงทายในเดือนสาม

2.         พิธีพืชมงคลและพิธีจรดพระนังคัล เป็นพิธีที่นิยมกระทำด้วยกันในเดือนห้าและหก

3.         พิธีพรุณศาสตร์ หรือพิธีขอฝน เป็นพิธีจรในเดือนเก้า

4.         พิธีไล่น้ำหรือไล่เรือ เป็นพิธีจรในเดือนอ้ายเพื่อให้นํ้าลดลงเร็ว ๆ

5.         พิธีลอยกระทง หรือลอยพระประทีป เป็นพิธีในเดือนสิบเอ็ดและสิบสองเพื่อขอบคุณ พระแม่คงคาที่ประทานนํ้ามาให้เพาะปลูกอย่างอุดมสมบูรณ์ ฯลฯ

(ส่วนพิธีโล้ชิงช้า ทำขึ้นเพื่อรับเสด็จพระอิศวรตามคติทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู)

70.       พืชไร่พืชสวนชนิดใดที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสมัยอยุธยา

(1)       ลองกอง           (2) ทุเรียน        (3) อ้อย           (4) ลางสาด

ตอบ 1 หน้า 493 พืชที่กฎหมายสมัยอยุธยาให้ความคุ้มครอง หมายถึง พืชที่มีบทลงโทษไว้แก่ผู้ทำลาย ลักตัด ถอน ไม่ว่าจะเป็นต้นเล็ก ต้นใหญ่ หรือโกร๋น ในอัตราค่าปรับที่แตกต่างกันไป ซึ่งพืชที่มีกฎหมายคุ้มครองที่พบในสมัยอยุธยา ได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลางสาด มะพร้าว กล้วย อ้อย พริกไทย หมากและพลู

71.       ข้อใดไม่ใช่แร่ที่ขุดพบในสมัยอยุธยา

(1)       ทองคำ

(2) ยูเรเนียม

(3) ดีบุก

(4) เหล็ก

ตอบ 2 หน้า 496 อาณาจักรอยุธยามีแร่ธาตุนานาชนิด ซึ่งแร่ธาตุที่ขุดพบและปรากฏหลักฐานว่า ชาวไทยรู้จักนำมาทำประโยชน์ ได้แก่ ดีบุก เหล็ก ทองคำ ทองแดง อำพัน ไข่มุก และพลอย

72.       ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของกำนันตลาดในสมัยอยุธยา       

(1) ห้ามการขายสินค้าเกินราคา

(2)       เก็บหัวเบี้ย      (3) ตรวจการใช้เงินปลอมในตลาด      (4) เป็นเจ้าของตลาด

ตอบ 4 หน้า 498 – 499 กำนันตลาดและนายตลาดหรือเจ้าตลาดในสมัยอยุธยามีหน้าที่ความรับผิดชอบ เกี่ยวกับการค้าขายดังนี้ 1. ควบคุมไม่ให้ลูกตลาดขายสินค้าเกินราคาควบคุมที่เรียกว่า ถนนตระหลาด”   2. สอดส่องดูแลไม่ให้ลูกตลาดเอาสินค้าต้องห้ามไปซื้อขายต่างเมือง   3.เก็บหัวเบี้ยในตลาดตามพิกัดที่ระบุไว้ในกฎหมาย 4. ในกรณีที่ชาวตลาดทะเลาะวิวาท และมีการฟ้องร้องกัน กฎหมายระบุว่าต้องไปสืบพยานจากกำนันตลาด 5. นายตลาดหรือ เจ้าตลาดจะทำหน้าที่ฝนตราเงิน เพื่อตรวจการใช้เงินทองแดงซึ่งเป็นเงินปลอมที่เอามาซื้อขาย

73.       สินค้าที่อยุธยาไม่ได้นำไปจำหน่ายที่จีนคือ

(1) นกแก้วห้าสี            (2) นอแรด       (3) ผ้าไหม       (4) พริกไทย

ตอบ 3 หน้า 500 สินค้าที่ไทยนำไปจำหน่ายยังเมืองจีนในสมัยอยุธยา ได้แก่ 1. พวกของป่า เช่น ไม้ฝาง ไม้หอมต่าง ๆ 2. เครื่องเทศ เช่น กระวาน กานพลู พริกไทย 3. สัตว์ที่หายาก เช่น นกยูง นกแก้วห้าสี            4. ผลิตผลจากสัตว์ป่า เช่น งาช้าง นอระมาด (นฤมาตหรือนอแรด) หนังสัตว์ ฯลฯ

74.       ข้อใดถูก

(1)       การส่งเสริมการปลูกข้าว รัฐไทยสมัยรัชกาลที่ 5 มีนโยบายให้ใช้แต่ข้าวพันธุ์ไทยเท่านั้น

(2)       ข้าวพันธุ์คาโรไลนา คือ ข้าวพันธุ์ดีที่รัฐส่งเสริมให้ชาวนาเอาไปปลูก

(3)       รัฐสยามสมัยรัตนโกสินทร์ไม่ส่งเสริมการส่งออกข้าว

(4)       ภายหลังการทำสนธิสัญญาบาวริ่งทำให้ข้าวถูกผูกขาดโดยผู้ปกครองสยาม

ตอบ 2 หน้า.519521 รัชกาลที่ 5 ทรงตระหนักถึงความสำคัญของข้าวที่กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ จึงทรงส่งเสริมการทำนาปลูกข้าวประการหนึ่ง คือ คัดหาพันธุ์ข้าวที่ดีมีคุณภาพ และคัดให้มีการประกวดพันธุ์ข้าว นอกจากนี้รัฐบาลยังได้คัดซื้อพันธุ์ข้าวคาโรไลนาเข้ามาแจกจ่าย ให้ราษฎรไปเพาะปลูก เพราะข้าวพันธุ์นี้ปลูกที่อเมริกา มีจำหน่ายอยู่ในยุโรป จัดเป็นข้าวลำดับที่ 1 ที่เกรดดีที่สุด.

75.       การแก้ไขปัญหาการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 6 ข้อใดผิด

(1)       การแก้ไขปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน (2) การผ่อนผันให้เว้นการเกณฑ์ทหารที่มีอายุระหว่าง 25 – 30 ปี

(3)       การแก้ไขปัญหาพ่อค้าคนกลาง           (4) การกีดกันคนจีนออกจากระบบเศรษฐกิจของสยาม

ตอบ 4 หน้า 521 – 522 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้

1.         แก้ปัญหาการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่มณฑลทางใต้

2.         แก้ปัญหาแรงงาน โดยการผ่อนผันหรือยกเว้นภารเกณฑ์ชายฉกรรจ์ ซึ่งมีอายุระหว่าง 25 – 30 ปี ไม่ต้องไปรับราชการทหาร แตให้ไปทำนาแทน

3.         แก้ปัญหาการถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ในเรื่องความไม่เที่ยงตรงของเครื่องชั่งตวงวัด

76.       การเดินสวนทุกปีเกิดขึ้นเมื่อใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 2  (3) รัชกาลที่ 3  (4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 4 หน้า 522 ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้มีการเดินสวนทุกปีทุกคราวที่เก็บอากรสวน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปจากธรรมเนียมเดิมที่เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ 3 ปี จึงให้เดินสวน (รวมทั้งเดินนาด้วย) ทั้งนี้เพราะรัชกาลที่ 4 ทรงต้องการทราบข้อมูลให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง หากทิ้งไว้นาน จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชาวสวนได้

77.       ตลาดค้าโคที่สำคัญของสยามสมัยรัตนโกสินทร์คือที่ใด

(1) อินเดีย       (2) อังกฤษ      (3) สิงคโปร์     (4) ญี่ปุ่น

ตอบ 3 หน้า 526 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการส่งโคกระบือไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งตลาดสินค้าโค ที่สำคัญของสยามในสมัยรัตนโกสินทร์ คือ สิงคโปร์ โดยมีการส่งโคกระบือเป็นสินค้าออกใน ร.ศ. 116 เป็นจำนวน 4,891 ตัว และใน ร.ศ. 117 ส่งไปขายมากกว่าคือ 14,310 ตัว

78.       สมัยรัชกาลที่ 5 ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านการเลี้ยงไหม ถามว่าเป็นคนชาติใด

(1) ญี่ปุ่น         (2) จีน  (3) อินเดีย       (4) เขมร

ตอบ 1 หน้า 526 ในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐบาลได้ว่าจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ได้แก่ นายโตยามะ (Mr. Toyama) ซึ่งเข้ามาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2444 เพื่อให้มาช่วยดูแล การเลี้ยงไหมให้มีคุณภาพดีทัดเทียมกับต่างประเทศ เนื่องจากขณะนั้นประเทศญี่ปุ่น กำลังประสบความสำเร็จในการผลิตไหมออกขายตลาดโลก

79.       กองบำรุงรักษาสัตว์นํ้าสังกัดหน่วยงานใด

(1)       กรมประมง      (2) กระทรวงเกษตราธิการ

(3) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์         (4) กรมปศฺสัตว์

ตอบ 2 หน้า 527 – 528 ในสมัยรัชกาลที่ 6 กระทรวงเกษตราธิการได้ตั้งกองบำรุงรักษาสัตว์น้ำขึ้น และได้จ้างผู้ชำนาญพิเศษเรื่องสัตว์นํ้า คือ ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ (Dr.Hugh McCormic Smith) ชาวอเมริกันมาช่วยงาน หลังจากนั้นจึงได้จัดตั้งกรมรักษาสัตว์นํ้าขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่บำรุงรักษาและเพาะพันธุ์สัตว์นํ้า โดยมี ดร.ฮิว เป็นเจ้ากรมตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2469

80.       มิสเตอร์ เอช. สเลด เข้ามาทำหน้าที่อะไรในสยาม

(1) ประมง       (2) ป่าไม้          (3) วิศวกรรมชลประทาน (4) การเลี้ยงไหม

ตอบ 2 หน้า 531 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้จัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้นโดยให้อยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งมิสเตอร์ เอช. สเลด (Mr. H. Slade) เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรก ตั้งแต่ วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2439 จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2447 ท่านผู้นี้จึงกราบบังคมทูลลาออก

81.       ก่อนที่มนุษย์นับถือผีสางเทวดานั้น มีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องใดมาก่อน

(1) นับถือวิญญาณ

(2) นับถือเทพเจ้า

(3) นับถือธรรมชาติ

(4) นับถือศาสนา

ตอบ 3 หน้า 570 – 571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1.การบูชานับถือธรรมชาติ            2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม 3. การบูชาบรรพบุรุษ4.          การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ 5. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของเทพเจ้า แต่ละองค์ให้ต่างกัน           6. การนับถือพระเจ้าองค์เดียว 7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก

82.       ในสุโขทัยมีการจารึกถึงการนับถือ พระขะพุงผี” หมายถึงความเชื่อในเรื่องใด

(1) นับถือบรรพบุรุษ    (2) นับถือไสยศาสตร์   (3) นับถือผี      (4) นับถือศาสนา

ตอบ 3 หน้า 583 – 584 ในศิลาจารึกหลักที่ 1 มีการจารึกถึงพระขะพุงผิ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญที่สุด ในเมืองสุโขทัย เพราะเป็นผู้ที่สามารถทำให้บ้านเมืองล่มจมและเจริญได้ แสดงให้เห็นชัดถึง อิทธิพลความเชื่อถือเดิมในคติการนับถือผีสางเทวดาว่าฝังรากอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะนับถือ พระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม

83.       ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยมีศาสนาใดที่เข้ามาผสมผสานกับพระพุทธศาสนา จนก่อให้เกิดพิธีกรรม ในศาสนา

(1) ศาสนาฮินดู            (2) ศาสนาคริสต์          (3) ศาสนาเชน (4) ศาสนาอิสลาม

ตอบ 1 หน้า 584(คำบรรยาย) ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง มาก แต่กษัตริย์ก็มิได้ทรงกีดกันศาสนาอื่น ตรงกันข้ามกลับทรงอุปถัมภ์ศาสนาต่าง ๆ ที่ประชาชน นับถือร่วมกับศาสนาพุทธ เช่น ศาสนาฮินดู ซึ่งจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่าง ๆ มักจะเอาศาสนาฮินดู เข้ามาผสมผสานกับพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี

84.       หลักฐานในข้อใดที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในสุโขทัย

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) พงศาวดาร (3) พระไตรปิฎก          (4) ศิลาจารึก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

85.       ข้อความในข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระสงฆ์คณะใต้สมัยสุโขทัย

(1) มักอยู่วัดในเมือง    (2) มักถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา

(3) ผู้คนเลื่อมใสในจริยวัตรมากกว่า    (4) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามหานิกาย

ตอบ 1 หน้า 582 – 583 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระพุทธศาสนาในสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 คณะ ได้แก่

1.         คณะเหนือ คือ พุทธศาสนาลัทธิเถรวาท ซึ่งเป็นคณะเดิมที่นับถือกันอยู่ โดยจะใช้ภาษาสันสกฤต และพระสงฆ์มักอยู่วัดในเมือง

2.         คณะใต้ คือ พุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ ซึ่งเป็นรากฐานของมหานิกายในปัจจุบัน โดยพระสงฆ์จะใช้ภาษาบาลี และมักถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา จึงทำให้ผู้คนเลื่อมใสใน พระจริยวัตรมากกว่า

86.       ข้อความในข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับพระสงฆ์ในคณะเหนือสมัยสุโขทัย

(1) มักอยู่วัดในเมือง    (2) มักถือสันโดษอยู่ตามป่าเขา

(3) ผู้คนเลื่อมใสในจริยวัตรมากกว่า    (4) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามหานิกาย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ

87.       การแบ่งพระสงฆ์เป็นสามคณะ คือ คณะคามวาสี คณะอรัญวาสี และคณะป่าแก้ว เกิดขึ้นในสมัยใด

(1) สมัยสุโขทัย            (2) สมัยอยุธยา           (3) สมัยธนบุรี  (4) สมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 592 – 593, (คำบรรยาย) ในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช (สมเด็จพระอินทรราชา)ได้มีพระสงฆ์ไทยกลุ่มหนึ่งเดินทางไปป่ระเทศลังกาเพื่ออุปสมบทบวชแปลงเป็นนิกายวันรัตนวงศ์ ในสำนักพระวันรัตน์มหาเถระ และเมื่อกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้จัดตั้งนิกายลังกาวงศ์ขึ้นอีก นิกายหนึ่ง เรียกว่า วันรัตนวงศ์ (คณะป่าแก้ว) ทำให้พระสงฆ์ในสมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 3 คณะ ได้แก่      1. คณะคามวาสี          2. คณะอรัญวาสี 3. คณะป่าแก้ว (วันรัตนวงศ์)

88.       วรรณกรรมเรื่องใดแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) มหาชาติคำหลวง   (3) ไตรภูมิโลกวินิจฉัย (4) ปฐมสมโพธิ์

ตอบ 2 หน้า 594, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ประการหนึ่ง คือ เกิดวรรณคดีทางพุทธศาสนาขึ้นหลายเรือง เช่น เรื่องมหาชาติคำหลวง กาพย์มหาชาติ สมุทรโฆษคำฉันท์ นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง และปุณโณวาทคำฉันท์ เป็นต้น

89.       ข้อความใดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัดในพระพุทธศาสนากับคนไทยสมัยอยุธยา

(1)       วัดเป็นที่ที่ผู้คนมีโอกาสพบปะกันในวันทำบุญและเทศกาลต่าง ๆ

(2)       เป็นธรรมเนียมที่ลูกผู้ชายต้องบวชเรียน 1 พรรษา

(3)       วัดเปรียบเสมือนโรงเรียนให้การศึกษา          

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 590, (คำบรรยาย) ความสัมพันธ์ระหว่างวัดในพระพุทธศาสนากับคนไทยสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         วัดเป็นที่ที่ผู้คนมีโอกาสพบปะกันในวันทำบุญและเทศกาลต่าง ๆ

2.         วัดเป็นที่ระงับคดีวิวาทของชาวบ้าน

3.         วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางสงฆ์ โดยเฉพาะประเพณีการบวชเรียน ซึ่งในสมัยอยุธยา ถือเป็นธรรมเนียมว่าลูกผู้ชายต้องบวชเรียน 1 พรรษา

4.         วัดเปรียบเสมือนโรงเรียนให้การศึกษาด้านอักษรศาสตร์และวิชาอาชีพอื่น ๆ แก่กุลบุตร

90.       ข้อความใดแสดงถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของคนไทยในสมัยอยุธยา

(1) การสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด      (2) พิธีกรรมต่างๆ มีพิธีสงฆ์เป็นองค์ประกอบ

(3) การทำบุญในโอกาสต่าง ๆ            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 589 – 592, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงถึงความเจริญและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของคนไทยในสมัยอยุธยา จะสังเกตได้จากการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีทางพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญทำทาน การตักบาตร การบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ต้องมีพิธีสงฆ์เป็นองค์ประกอบ เป็นต้น

91.       การทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 พ.ศ. 2331 สะท้อนสิ่งใด

(1)       ความเสื่อมโทรมของพระพุทธศาสนาสมัยอยุธยาตอนปลาย

(2)       ความสนใจบำรุงพระพุทธศาสนาของรัชกาลที่ 2

(3)       ความคิดริเริ่มของคณะสงฆ์ไทยในการชำระพระไตรปิฎก

(4)       ประชาชนเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก

ตอบ 1 หน้า 597 – 598 สาเหตุที่รัชกาลที่ 1โปรดฯให้สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 ในพ.ศ. 2331 เป็นเพราะนับตั้งแต่อยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่าครั้งสุดท้ายใน พ.ศ. 2310 บ้านเมืองกระส่ำระสาย และพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนปลายเสื่อมโทรมมาก จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำการ สังคายนารวบรวมพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง

92.       บุคคลในข้อใดเป็นผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์นิกายใหมที่เรียกว่า ธรรมยุตินิกาย

(1) เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (2) กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์

(3) เจ้าฟ้ามงกุฎ          (4) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ตอบ 3 หน้า 602 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมา) ทรงเป็นผู้นำในการ ปฏิรูปการพระพุทธศาสนา ซึ่งการปฏิรูปที่สำคัญ คือ การจัดตั้งคณะสงฆ์นิกายใหม่ที่เรียกว่า ธรรมยุตินิกาย” ซึ่งเป็นคณะที่ปฏิบัติตามพระวินัยเคร่งครัดมาก ดังนั้นจึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

93.       เหตุใดจึงมีการปรับปรุงและสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันสงฆ์ในรัชกาลที่ 5

(1)       เป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองกำลังถูกคุกคามจากประเทศตะวันตก

(2)       เป็นระยะที่เกิดความเชื่อใหม่ ๆ ที่ท้าทายความมั่นคงของพระพุทธศาสนา

(3)       เพื่อต่อต้านอิทธิพลตะวันตก เพราะสถาบันสงฆ์กับสถาบันการเมืองเกือบเป็นสถาบันเดียวกัน

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 616-618 รัชกาลที่ 5 ทรงปรับปรุงและสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันสงฆ์ โดยโปรดฯ ให้ตรา พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ขึ้น เนื่องมาจากสาเหตุดังนี้

1.         เป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองกำลังถูกคุกคามจากประเทศตะวันตก (โดยเฉพาะฝรั่งเศส)

2.         เป็นระยะที่เกิดความเชื่อใหม่ ๆ ที่ท้าทายความมั่นคงของพระพุทธศาสนา

3.         เพื่อต่อต้านอิทธิพลตะวันตก เพราะสถาบันสงฆ์กับสถาบันการเมืองเกือบเป็นสถาบันเดียวกัน

94.       ข้อใดไม่ถูก

(1)       ความเชื่อเรื่องกรรมช่วยลดปัญหาสังคมได้

(2)       เมตตา คือ ควานหวังดีต่อผู้อื่น

(3)       หลักพรหมวิหารสี่เป็นบ่อเกิดของความช่วยเหลือกัน

(4)       หลักสำคัญของพระพุทธศาสนา คือ ให้คนไปนิพพาน

ตอบ 4 หน้า 628 พระพุทธศาสนาไม่ได้มีหลักการอย่างเดียว คือ จะให้คนไปนิพพาน ปล่อยให้สังคมมนุษย์รกร้าง แต่พระพุทธศาสนาได้วางหลักช่วยสังคมอย่างสมบูรณ์ เช่น ถ้าอยู่ในโลก ก็จะช่วยให้อยู่ในโลกอย่างสงบสุข แต่ถ้าจะบรรลุโลกุตตระก็ทรงช่วยแบบโลกุตตระ

95.       จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาสังคมของพระพุทธศาสนาคืออะไร

(1) การแก้ใจของแต่ละคนให้เกิดความสงบ    (2) การให้ทุกคนบรรลุถึงโลกุตตระ

(3) กรให้ทุกคนปลีกตัวออกจากสังคม          (4) การตัดจากกิเลสทั้งปวงซึ่งนำไปสู่นิพพาน

ตอบ 1 หน้า 629 จุดมุ่งหมายสำคัญในการแก้ป้ญหาสังคมของพระพุทธศาสนา คือ การแก้ใจ ของแต่ละคนให้เกิดความสงบ โดยมีหลักวิธีง่าย ๆ ในการแก้ใจตนเองอยู่ 2 วิธี ได้แก่

1.         การสอนให้เชื่อเรื่องกรรมช่วยแก้ปัญหาสังคมได้

2.         การสอนให้พึ่งตนเอง เป็นการวางรากฐานจิตใจไม่ให้อ่อนแอคอยคิดแต่จะพึ่งผู้อื่น

96.       ข้อใดชี้ให้เห็นว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับความสุขของฆราวาส

(1)       พระพุทธศาสนาแบ่งความสุขเป็นโลกียสุขและโลกุตตระสุข

(2)       พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสามิสสุขและอามิสสุข

(3)       พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องนิพพานเท่านั้น         (4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 619 พระพุทธศาสนาแบ่งความสุขออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. โลกียสุข เป็นความสุข ของปุถุชนหรือฆราวาสผู้ครองเรือน ซึ่งเป็นสุขที่พัวพันกับทรัพย์สมบัติและวัตถุต่าง ๆ ตลอดจน อารมณ์ 2. โลกุตตระสุข เป็นความสุขของผู้สิ้นกิเลสและสำเร็จอรหัตผลแล้ว จึงเป็นสุข ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่พัวพันกับวัตถุหรืออารมณ์ใด ๆ

97.       พิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพราหมณ์ ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้ทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ขึ้นต่างหากเรียกว่าอะไร

(1) แรกนาขวัญ           (2) พิรุณศาสตร์           (3) พืชมงคล    (4) ทำขวัญเมล็ดพืช

ตอบ 3 หน้า 640668 พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล แต่เดิมมีเพียงพิธีพราหมณ์อย่างเดียว เรียกว่า พิธีจรดพระนังคัล” เป็นพิธีเวลาเช้า คือ ลงมือไถ แต่ก่อนทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ตามคติพระพุทธศาสนาขึ้นอีก เรียกว่า พิธีพืชมงคล” คือ การทำขวัญพืช ซึ่งทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร โดยพิธีทั้งสองนี้จะทำพร้อมกัน ในคืนเดียววันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่า พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

98.       ข้อใดจัดเป็นประเพณีส่วนรวม

(1) โกนจุก       (2) วันมาฆบูชา           (3) การเผาศพ (4) ทำบุญเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่

ตอบ 2 หน้า 655658 ประเพณีส่วนรวม คือ ประเพณีที่ประชาชนทั่วไปนิยมปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งมักจะ มีงานรื่นเริงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ ประเพณีทำบุญวันขึ้นปีใหม่ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล ต่าง ๆ เช่น เทศกาลเข้าพรรษา เทศกาลสารทประเพณีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาฃบูซา วันมาฆบูชา วับอาสาฬหบูซา เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประเพณีส่วนบุคคล หรือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต)

99.       ประเพณีใดที่มีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของสังคม

(1) จารีตประเพณี       (2) ขนบประเพณี        (3) ธรรมเนียมประเพณี (4) วิถีประชาชน

ตอบ 1 หน้า 653 – 654, (คำบรรยาย) จารีตประเพณีหรือกฎศีลธรรม (Mores) คือ ประเพณีที่เกี่ยวข้อง กับศีลธรรม จึงเป็นกฎที่มีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของสังคม มีการบังคับให้ปฏิบัติตามและ มีความรู้สึกรุนแรงถ้าใครฝ่าฝืน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความผิดถูก หรือความนิยมที่ยึดถือและ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการเลียนแบบหรือสั่งสอน เช่น การสมรสแบบผัวเดียวเมียเดียว หรือ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าลงไปลูกหลานต้องเลี้ยงดู พี่น้องต้องรักกัน เป็นต้น

100.    ข้อใดไม่ใช่ความหมายของธรรมเนียมประเพณี

(1) เป็นประเพณีที่ไม่ถือผิดทางศีลธรรม         (2) เป็นประเพณีที่มีระเบียบแบบแผนวางไว้

(3) เป็นประเพณีเกี่ยวกับเรื่องธรรมดา ๆ ทั่วไป           (4) เป็นแนวทางของการปฏิบัติที่ทุกคนเคยชิน

ตอบ 2 หน้า 654, (คำบรรยาย) ธรรมเนียมประเพณี (Convention) คือ ประเพณีที่ไม่ถือผิดทาง ศีลธรรมแต่ประพฤติกันมาตามธรรมเนียมอย่างนั้น ดังนั้นจึงเป็นประเพณีเกี่ยวกับเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไปที่ไม่มีระเบียบแบบแผนวางไว้เหมือนกับขนบประเพณี และไม่มีความผิดถูกเหมือนกับ จารีตบระเพณีหรือกฎศีลธรรม แต่เป็นเพียงแนวทางในการปฏิบัติที่ทุกคนเคยชินและไม่รู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่

101.    ศิลปะในประเทศไทยส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากข้อใด

(1) ธรรมชาติ

(2) วิถีชีวิต

(3) ความเชื่อและศรัทธาในศาสนา

(4) คัมภีร์

ตอบ 3 หน้า 683 ศิลปกรรมในประเทศไทยในยุคประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นงานช่างในศาสนา ซึ่งมักจะสร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นงานช่างในศาสนาจึงเป็นการแสดงออกของงานศิลปะที่มีคุณค่า มีความหมาย ต่อวิถีชีวิต และแนวความคิดของคนในอดีตมาสู่คนรุ่นปัจจุบัน

102.    ศิลปกรรมกลุ่มใดสร้างขึ้นจากความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(1) เทวรูป        (2) พระพุทธรูป

(3) จิตรกรรมฝาผนัง    (4) ศาสนสถานและประติมากรรมรูปเคารพ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) งาบศิลปกรรมที่สร้างขึ้นจากความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.         ศาสนสถาน คือ งานสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนา เช่น พุทธสถาน (สร้างขึ้น เนื่องในศาสนาพุทธ)เทวสถาน (สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู) ฯลฯ

2.         ประติมากรรมรูปเคารพ คือ งานประติมากรรมที่สร้างขึ้นจากความศรัทธาในศาสนา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูป พระโพธสัตว์ เทวรูป ฯลฯ

103.    ข้อความใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับงานศิลปะที่พบในประเทศไทย

(1)       กษัตริย์มีอิทธิพลต่องานศิลปะ

(2)       ศาสนาทำให้เกิดศิลปะอันเนื่องด้วยศาสนา

(3)       ลักษณะรูปแบบศิลปะอินเดียเป็นพื้นฐานให้แก่ศิลปะในประเทศไทย

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 585683685, (คำบรรยาย) ลักษณะของงานศิลปะที่พบในประเทศไทย มีดังนี้

1.         กษัตริย์มีอิทธิพลต่องานศิลปะ เนื่องจากทรงเป็นผู้นำในการก่อสร้างและบำรุงศาสนสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างวัด

2.         ศาสนาพุทธทำให้เกิดศิลปกรรมที่เป็นงานช่างอันเนื่องด้วยศาสนา เช่น เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ภาพเขียนที่ผนังโบสถ์ พระพุทธรูปสลักจากศิลา ฯลฯ

3.         ลักษณะรูปแบบศิลปะอินเดียเป็นพื้นฐานสำคัญให้แก่ศิลปะในประเทศไทย เช่น ศิลปะทวารวดี ส่วนใหญ่รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบคุปตะ หลังคุปตะ และปาละ เป็นต้น

104.    ศิลปกรรมในข้อใดเป็นงานช่างอันเนื่องด้วยศาสนา

(1) เจดีย์          (2) ภาพเขียนที่ผนังโบสถ์

(3) พระพุทธรูปสลักจากศิลา  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 103. ประกอบ

105.    พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ จัดเป็นประติมากรรมประเภทใด

(1) นูนตํ่า         (2) นูนสูง         (3) ลอยตัว       (4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 682 งานประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief) เป็นการปั้น สลัก หรือหล่อ ที่สามารถมองเห็นและสัมผัส ชื่นชมความงามได้ทุกด้านหรือรอบด้าน เช่น พระพุทธรูป และ พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ เป็นต้น

106.    ศิลปะทวารวดีมีอายุสมัยอยู่ในช่วงใด

(1) พุทธศตวรรษที่ 8-10          (2) พุทธศตวรรษที่ 12 – 16

(3) พุทธศตวรรษที่ 16 – 18      (4) พุทธศตวรรษที่ 17 – 19

ตอบ 2 หน้า 683 ศิลปะในประเทศไทยยุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 มีดังนี้

1.         ศิลปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12 – 16)

2.         ศิลปะแบบเทวรูปรุนเก่า (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14)

3.         ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18)

4.         ศิลปะขอมในประเทศไทย หรือศิลปะลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16 – 18)

5.         ศิลปะหริภุญไชย (พุทธศตวรรษที่ 17 – 19)

107.    ข้อใดเป็นศิลปวัตถุสมัยทวารวดีที่หมายถึง การแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

(1) ธรรมจักร และกวางหมอบ (2) พระพุทธรูปปางแสดงธรรม

(3) พระพุทธรูปที่มีพระสาวกกำลังพนมมือ     (4) พระพุทธรูปประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์

ตอบ 1 หน้า 689 ศิลาสลักรูปธรรมจักรในศิลปะทวารวดีคงมีความหมายถึง พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เนื่องจากมักพบพร้อมกับกวางหมอบ อันหมายถึง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ทั้งนี้การที่แสดงภาพเป็นธรรมจักรก็เนื่องด้วยพระสูตรที่ทรงแสดงปฐมเทศนา คือ ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร หรือพระสูตรแห่งการหมุนธรรมจักรนั่นเอง

108.    เทพผู้เป็นใหญ่ในศาสนาฮินดูที่เรียกว่า ตรีมูรติ” ได้แก่เทพในข้อใด

(1) พระศิวะ พระอุมา พระนารายณ์    (2) พระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ

(3) พระอินทร์ พระพรหม พระอิศวร     (4) พระอิศวร พระวิษณุ พระพิฆเณศวร์

ตอบ 2 หน้า 691 ศาสนาฮินดูจะนับถือตรีมูรติ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดหรือเทพผู้เป็นใหญ่ 3 องค์ได้แก่ 1. พระศิวะหรือพระอิศวร เป็นผู้ทำลายโลก 2. พระวิษณุหรือพระนารายณ์ เป็นผู้รักษาโลก    3.พระพรหม เป็นผู้สร้างโลก

109.    ศิลปะแบบศรีวิชัย เป็นศิลปกรรมที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อในศาสนาใด

(1) พุทธมหายาน         (2) พุทธเถรวาท           (3) ฮินดู           (4) พราหมณ์

ตอบ 1 หน้า 694 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) เกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งศิลปกรรมศรีวิชัยที่ทำขึ้นส่วนใหญ่จะเนื่องมาแต่พุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยโบราณวัตถุ ไม่ว่าจะสลักด้วยศิลาหรือหล่อด้วยสำริดจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับของที่พบในเกาะชวาภาคกลาง เป็นอย่างมาก

110.    ศิลปะขอมในประเทศไทย สร้างขึ้นตามคติความเชื่อในข้อใด

(1) ศาสนาพุทธมหายาน         (2) ศาสนาพุทธเถรวาท

(3) ศาสนาพุทธมหายาน + ศาสนาฮินดู          (4) ศาสนาพุทธเถรวาท + ศาลนาฮินดู

ตอบ 3 หน้า 698 – 699 ศิลปะลพบุรี หรือศิลปะขอมในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ 16 – 18)มักพบในท้องที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยโบราณวัตถุในศิลปะขอมในประเทศไทยนิยมสลักจากศิลาหรือหล่อด้วยสำริด และมักสร้างขึ้นตามคติความเชื่อทางศาสนาพุทธมหายานมากที่สุด รองลงมาคือ ศาสนาฮินดู

111.    สถาปัตยกรรมในข้อใดเป็นศิลปะขอมในประเทศไทย

(1) พระปรางค์สามยอด ลพบุรี

(2) ปราสาทหินพิมาย นครราชสีมา

(3) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ปราสาทพนมรุ้ง

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 699 – 700, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมสมัยศิลปะลพบุรี หรือศิลปะขอมในประเทศไทย ไม่ได้พบแต่ในเขตเมืองละโว้ (ลพบุรี) เท่านั้น แต่กลับพบใบบริเวณเมืองต่าง ๆ ในลุ่มแม่นํ้า เจ้าพระยาด้วย เช่น ปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์ปราสาทหินพมาย จ.นครราชสีมา,ปราสาทหินพนมรุ้ง และทับหลังสลักรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ จ.บุรีรัมย์ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรีพระปรางค์สามยอดและพระปรางค์แขก จ.ลพบุรีปราสาทบ้านระแงงที่ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ฯลฯ

112.    ศิลปกรรมหริภุญไชยแท้จริง ได้รับอิทธิพลจากศิลปะใดเป็นพื้นฐาน

(1) ศิลปะทวารวดี        (2) ศิลปะขอมในประเทศไทย

(3) ศิลปะพุกาม           (4) ศิลปะในข้อ 12 และ 3

ตอบ 4 หน้า 703 ศิลปกรรมหริภุญไชยแท้จริงจะมีความเกี่ยวข้องและได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะทวารวดีทางภาคกลาง ศิลปะขอมในประเทศไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ศิลปะของพุกามเป็นพื้นฐาน

113.    ศิลปะล้านนาในช่วงแรก มีพื้นฐานจากศิลปะในข้อใด

(1) ศิลปะหริภุญไฃย   (2) ศิลปะเชียงแสน     (3) ศิลปะพุกาม           (4) ศิลปะลพบุรี

ตอบ 1 หน้า 715 ศิลปะล้านนาหรือเชียงแสนในช่วงแรกนั้น ได้รับอิทธิพลหรือมีพื้นฐานมาจาก ศิลปะหริภุญไชย และมีการพัฒนาลักษณะรูปแบบโดยมีอิทธิพลของศิลปะพม่าสมัยพุกาม เข้ามาเกี่ยวข้อง

114.    อาคารห้องสี่เหลี่ยมที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป มีหลังคาทรงกรวยสี่เหลี่ยมซ้อนชั้น มีพื้นที่ภายใน เข้าไปสักการะพระพุทธรูปได้ เรียกอาคารที่มีลักษณะเช่นนี้ว่าอะไร

(1) ทรงปราสาทยอด   (2) ปราสาทขอม          (3) พุ่มข้าวบิณฑ์         (4) มณฑป

ตอบ 4 หน้า 711 มณฑป หมายถึง อาคารที่มีพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสก่อเป็นห้องเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนหลังคาเป็นทรงกรวยสี่เหลี่ยมซ้อนชั้นลดหลั่นขึ้นไป ส่วนความหมายดั้งเดิมของมณฑป คือ การแสดงความเป็นปราสาท พื้นที่ภายในมีเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เข้าไปสักการบูชาพระพุทธรูป หรือสำหรับให้พระภิกษุสงฆ์ประกอบพิธีกรรมได้

115.    ข้อใดไม่ใช่กลุ่มพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย

(1) พระพุทธรูปสกุลช่างเชลียง           (2) พระพุทธรูปหมวดเบ็ดเตล็ดหรือวัดตะกวน

(3) พระพุทธรูปสกุลช่างพิษณุโลก      (4) พระพุทธรูปสกุลช่างกำแพงเพชร

ตอบ 1 หน้า 711 – 713 นักวิชาการได้แบ่งลักษณะของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยเป็น 4 หมวด ดังนี้ 1. พระพุทธรูปหมวดเบ็ดเตล็ดหรือหมวดวัดตะกวน 2. พระพุทธรูปหมวดใหญ่

3.         พระพุทธรูปหมวดพระพุทธชินราช หรือพระพุทธรูปสกุลช่างพิษณุโลก

4.         พระพุทธรูปหมวดกำแพงเพชร หรือพระพุทธรูปสกุลช่างกำแพงเพชร

116.    วัดไชยวัฒนาราม เป็นวัดที่พระเจ้าปราสาททองถ่ายแบบอย่างสถาปัตยกรรมในข้อใดมาสร้างในกรุงศรีอยุธยา

(1) สถาปัตยกรรมแบบสุโขทัย            (2) สถาปัตยกรรมแบบล้านนา

(3) สถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย            (4) สถาปัตยกรรมแบบขอม

ตอบ 4 หน้า 724, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงปราบปราม กัมพูขาที่แข็งเมืองได้ จึงมีการถ่ายแบบอย่างปรางค์และสถาปัตยกรรมแบบขอมมาสร้างใน กรุงศรีอยุธยาเป็นการเฉลิมพระเกียรติ คือ วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก นอกเกาะเมืองอยุธยา และสร้างขึ้นตามคติจักรวาลตามแบบปราสาทหินที่นครวัด แต่มีการ ดัดแปลงบางส่วนทางด้านทรวดทรงให้เป็นลักษณะนิยมแบบไทย

117.    ในสมัยรัชกาลใดที่มีการแก้ไขพุทธลักษณะของพระพุทธรูปให้สมจริงคล้ายคนสามัญ ไม่มีพระเกตุมาลา และมีจีบริ้วของจีวรเป็นไปตามธรรมชาติของผ้า

(1) รัชกาลที่ 2  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 732 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงคิดแก้ไขพุทธลักษณะของพระพุทธรูปให้สมจริงคล้ายมนุษย์- สามัญ คือ ไม่มีอุษณีษะหรือเกตุมาลา พระวรกายเป็นไปตามสรีระของมนุษย์ปกติ จีบริ้วของจีวร เป็นไปตามธรรมชาติของผ้า และประทับนั่งขัดสมาธิเพชร ซึ่งจัดว่าเป็นพระพุทธรูปแบบสมจริง เช่น พระพุทธนิรันตราย ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้สร้างขึ้นแต่ไม่เป็นที่นิยมกันมากนัก เป็นต้น

118.    เจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ เป็นตัวอย่างเจดีย์ในสมัยรัชกาลที่ 4 เจดีย์นี้เป็นรูปแบบใด (1) เจดีย์ทรงระฆังแบบลังกา   (2) เจดีย์แบบเพิ่มมุม

(3) เจดีย์ทรงปราสาทยอด       (4) เจดีย์ทรงเครื่อง

ตอบ 1 หน้า 605724730 – 731 เจดีย์พระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบลังกา ที่มักเรียกกันวา ทรงกลมแบบลังกา” ดังจะเห็นได้จากพระรัตนเจดีย์ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม และเจดีย์ภูเขาทองที่วัดสระเกศเป็นตัวอย่างเจดีย์ทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยม เพิ่มมุม ซึ่งทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เป็นต้น

119.    โบสถ์และวิหารที่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 2  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 2 หน้า 601729, (คำบรรยาย) รัชกาลที่ 3 (หรือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เมื่อยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์) ทรงนิยมศิลปะจีน ทำให้วัดที่พระองค์ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ ศิลปะจีน คือ โบสถ์และวิหารไม่มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ส่วนหน้าบันหรือหน้าจั่วไม่ใช้ไม้ แต่ก่อด้วยอิฐถือปูน และใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับ เช่น พระอุโบสถที่วัดราชโอรส วัดเทพธิดาราม และวัดราชนัดดาราม ฯลฯ

120.    พระอุโบสถวัดราชโอรสที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เป็นตัวอย่างของงานสถาปัตยกรรม ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะในข้อใด

(1) ศิลปะตะวันตก      (2) ศิลปะอยุธยาตอนปลาย

(3) ศิลปะจีน    (4) ศิลปะสุโขทัย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 119. ประกอบ

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเสือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ข้อใดคือความหมายของผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจของชุมชนไทในบริเวณภาคใต้ของจีน

(1)       ผู้นำที่เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า

(2)       ผู้นำที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ

(3)       ผู้นำที่เป็นพระจักรพรรดิราช  

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 80-81 ลักษณะผู้นำของชุมชนไทในบริเวณภาคใต้ของจีนประการหนึ่ง คือ ผู้นำจะ อ้างที่มาจากสวรรค์ และยังอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ เช่น สามารถติดต่อกับวิญญาณของอดีตผู้นำคนก่อนๆ ได้ ซึ่งนักวิชาการจะเรียกผู้นำในลักษณะนี้ว่า ผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจ” (Big Men or Men of Prowess) และเมื่อผู้นำนี้ตายไปก็จะได้รับการนับถือบูชาว่าเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งด้วย

2.         หลักการเรื่องผู้นำที่เป็นมหาชนสมมุติ ปรากฏในหลักฐานใด

(1)       ไตรภูมิพระร่วง (2) พระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร

(3) ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่   (4) ศิลาจารึกหลักที่ 1

ตอบ 2 หน้า 92 ผู้นำที่ดีควรเป็น มหาชนสมมุติ” เป็นหลักการของพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร ซึ่งได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำหรือกษัตริย์ควรเป็นมนุษย์เหมือน ประชาชนมิใช่เทพเจ้า โดยต้องเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับและเสือกสรรจากประชาชน ให้เป็นผู้นำ เพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น จึงจะเรียกว่าเป็นมหาชนสมมุติ

3.         พระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน มีคุณสมบัติอย่างไร

(1)       มีพระบรมเดชานุภาพจากชัยชนะในสงคราม  (2) มีพระราชฐานะต่ำกว่า มหาชนสมมุติ

(3) ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีเต็มเปี่ยม          (4) มีคุณสมบัติตรงตามศาสนาพราหมณ์กำหนด

ตอบ 3 หน้า 93 พระตรปิฎกในส่วนสุตตันตปิฎก จักกวัติสูตร ได้ระบุว่า ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน ซึ่งหมายถึง กษัตริย์แห่งจักรวาล หรือพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิราช ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีมาเต็มเปี่ยม

4.         ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 มีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ

(1)       ไม่เน้นความสูงส่งของจักรพรรดิราช    (2) ไม่อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์

(3) ไม่มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการอ้างบทบาท ของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้คำราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย ส่วนหลักการของธรรมราชาอื่นๆนั้น ทางล้านนาก็ใช้คล้ายคลึงกับสุโขทัย เช่น การเน้นความสำคัญของหลักทศพิธราชธรรม การทำสงครามธรรมยุทธ ฯลฯ

5.         จตุโลกบาล หมายถึงอะไรในทัศนคติของพราหมณ์

(1)       เทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาล   (2) พระมหากษัตริย์

(3) ไศเลนทร์ หรือราชาแห่งภูเขา         (4) พระจักรพรรดิราช

ตอบ 1 หน้า 99, (คำบรรยาย) ในทัศนคติของศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่า ในระบบจักรวาล(Universe or Macrocosmos) มีทิศหลักที่สำคัญอยู่ 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ซึ่งแต่ละทิศจะมีเทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาลอยู่ประจำ รวมทั้งหมด 4 ตน เรียกว่า โลกาปะละ หรือจตุโลกบาล

6.         ข้อใดถูกในสมัยสุโขทัย

(1)       ไม่ปรากฏอิทธิพลลัทธิเทวราชาในสมัยสุโขทัย            (2) สุโขทัยนำลัทธิเทวราชาเต็มรูปแบบมาใช้

(3)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยก หรือมีการแย่งชิงอำนาจ

(4)       ลัทธิเทวราชามีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 100 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คงมีการนำคติบางอย่าง ของลัทธิเทวราชามาใช้ แต่อาจใช้ไม่เต็มรูปแบบหรือตลอดเวลา เช่น อาจนำลัทธิเทวราชามาใช้ ในยามที่อาณาจักรแตกแยกและต้องรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่ หรือใช้ในยามที่มีการทำรัฐประหาร แย่งชิงอำนาจกษัตริย์พระองค์ก่อน

7.         ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบทหาร

(1)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึก

(2)       ใช้การปกครองแบบเข้มงวดและเด็ดขาด

(3)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องเป็นทหารทั้งในยามสงบและสงคราม

(4)       สมุหกลาโหมมีอำนาจสูงสุด

ตอบ 1 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึกสงคราม ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีรากฐานมาจากประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็น ทหารประจำการและพลเรือนได้

8.         ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบนครรัฐ

(1)       เมืองต่าง ๆ มีลักษณะเป็นอิสระดุจเป็นรัฐหนึ่ง ๆ        (2) แว่นแคว้นมีการรามตัวอย่างหลวม ๆ

(3) การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพ  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 104 – 105160273, (คำบรรยาย) การปกครองแบบนครรัฐ (City State) คือ การปกครอง ส่วนภูมิภาคในลักษณะที่เมืองหรือนครต่าง ๆ มีอิสระดุจเป็นรัฐหนึ่ง ๆ แว่นแคว้นจึงรวมตัวกัน แต่เพียงหลวม ๆ ในลักษณะสมาพันธรัฐ ส่งผลให้การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเมืองหลวงไม่สามารถควบคุมเมืองส่วนภูมิภาคหรือเมืองลูกหลวงได้อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงเกิดปัญหาการก่อกบฏของเจ้าเมืองลูกหลวงทั้งในสุโขทัย ล้านนา และอยุธยาตอนต้น

9.         ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของกฎมณเฑียรบาล

(1)       เป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน     (2) เป็นหมวดหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง

(3)       เพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

(4)       เป็นการจัดทำเนียบศักดินา

ตอบ 3 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรก ที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์ อักษร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชาของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี

10.       ข้อใดหมายถึง จตุสดมภ์

(1)       สมุหกลาโหม สมุหนายก พระคลัง เจ้ากรมลูกขุน

(2)       ตำแหน่งเวียง รัง คลัง นา

(3)       เจ้ากรมช้าง เจ้ากรมม้า สุรัสวดี เจ้ากรมลูกขุน

(4)       รังหน้า เจ้าฟ้า พระองศ์เจ้า หม่อมเจ้า

ตอบ 2 หน้า 147 – 148, (คำบรรยาย) อยุธยามีการจัดแบ่งส่วนราชการในระยะแรกเริ่มเป็นแบบ จตุสดมภ์ (หลักทั้ง 4) คือ มีตำแหน่งและกรมกองสำคัญอยู่ 4 กรม ได้แก่ กรมเวียงหรือกรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา แต่ต่อมาระบบจตุสดมภ์ซึ่งถือเป็นระบบการปกครองที่มีอายุ ยืนยาวที่สุดก็ได้ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในสมัยปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยทรงจัดแบ่งส่วนราชการออกเป็นกระทรวง ตามแบบอารยประเทศ

11.       พระราชพิธีใดที่ข้าราชการต้องทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย

(1)       พระราชพิธีบรมราชาภิเษก      (2) พระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยา

(3) พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ       (4) พระราชพิธี ฟันนํ้า

ตอบ 2 หน้า 126140 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยูในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัย ดังหลักฐานจากพระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ข้าราชการต้องถวายสักการะหรือ ทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูปของสมเด็จพระเจาอู่ทอง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองค์)โดยจะต้องกระทำ ปีละ 2 ครั้ง

12.       ข้อใดถูก

(1)       ราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ

(2)       ราชศาสตร์ยกเลิกไม่ได้

(3)       ธรรมศาสตร์เป็นสาขาคดีของราชศาสตร์

(4)       กฎหมายธรรมศาสตร์สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 134 – 135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่ พระธรรมศาสตร์และพระราชศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1.         พระธรรมศาสตร์เป็นกฎหมายหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด และยกเลิกไม่ได้

2.         พระธรรมศาสตร์ไม่สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

3.         พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นสาขาคดีของพระธรรมศาสตร์

4.         กษัตริย์ทรงเป็นผู้ตราพระราชศาสตร์ เพื่อใช้ในกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ในพระธรรมศาสตร์

5.         พระราชศาสตร์อาจถูกยกเลิกโดยกษัตริย์ในรัชกาลต่อ ๆ ไปได้ ฯลฯ

13.       ข้อใดหมายถึง คดีศาลรับสั่ง’’

(1)       คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบให้กรมลูกขุนเป็นผู้ตัดสิน

(2)       คดีความที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา

(3)       คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน

(4)       คดีพิพาทระหว่างคนไทยและคนต่างซาติ

ตอบ 3 หน้า 135 – 136 คดีที่พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย จะเรียกว่า ความรับสั่ง” แต่ถ้าเป็นคดีที่ราษฎรถวายฎีกาขึ้นมา โดยพระมหากษัตริย์ทรงมอบให้ กรมพระตำรวจเป็นผู้สอบสวน และพระองค์จะทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน คดีเช่นนี้ จะเรียกว่า คดีศาลรับสั่ง

14.       ข้อใดคือสาระสำคัญของพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง

(1) การกำหนดอัตราเงินเดือนข้าราชการ         (2) การกำหนดศักดินาให้ข้าราชการกรมกองต่าง ๆ

(3) การกำหนดลำดับขั้นและพระยศเจ้านาย  (4) วิวัฒนาการระบบราชการ

ตอบ 2 หน้า 149 การศึกษาลักษณะการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลางภายหลังการปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและ พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่เชื่อว่าได้ตราขึ้นในสมัยของพระองค์ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดศักดินาให้แก่ข้าราชการในกรมกองต่าง ๆ จึงให้ความรู้ ในด้านลักษณะการจัดแบ่งกรมกองต่าง ๆ และสายการบังคับบัญชาในสมัยนั้น

15.       การศึกษาพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองให้ความรู้ด้านใดบ้าง

(1) การปฏิรูปกฎหมาย           (2) เนื้อที่นาทั่วราชอาณาจักร

(3)       กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์

(4)       ลักษณะการจัดแบ่งกรมกองต่าง ๆ และสายการบังคับบัญชา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16.       ข้อใดคือนโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(1) แบ่งงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน     (2) แบ่งการปกครองออกเป็นภูมิภาค

(3) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง            (4) จัดตั้งเมืองลูกหลวงในเขตเมืองชั้นใน

ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูประบบบริหารราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้

1.         แบ่งแยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน

2.         จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสูศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไป ควบคุมโดยตรง

17.       เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์

(1)       กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

(2)       เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมด

(3)       กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 155-156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้

1.         กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน

2.         เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง

3.         กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงาน เป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

18.       การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะแบบใด

(1) แบ่งงานตามหน้าที่โดยเคร่งครัด    (2) ยกเลิกกรมสำคัญ 6 กรม

(3) แบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาค (4) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 157 – 158 การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ ระบบแบ่งงานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง (Functional Basis) ออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน สลายไป กลายเป็นระบบแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นส่วนภูมิภาคหรือเขตแดน (Territorial Basis) แทน ดังนี้

1.         กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้

2.         กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ

3.         กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

19.       ข้อใดคือผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองในส่วนกลางปลายสมัยอยุธยา

(1) เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกัน   (2) กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

(3) กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้น (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 158 – 159 ผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองส่วนกลางในสมัยอยุธยา ตอนปลาย มีดังนี้

1. เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกับกรมที่เคยรับผิดชอบงานเฉพาะบางกรมเป็นเหตุให้กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

2. กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้นทุกที

3. การจัดให้กรมเล็กขึ้นสังกัดกรมใหญ่สับสนกันมากขึ้น

20.       เขตมณฑลราชธานี จัดตั้งขึ้นในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1   (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนเรศวร (4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

21.       การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมีลักษณะอย่างไร

(1)       มีการจัดตั้งเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานคร

(2)       มีการแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

(3)       มีการกระจายอำนาจสู่ส่วนภูมิภาค    (4) มีการจัดตั้งเขตมณฑลราชธานี

ตอบ 2 หน้า 162 – 164 การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีดังนี้       1. รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มอำนาจให้เมืองหลวงควบคุมเขตภูมิภาคได้มั่นคงขึ้น (แต่มิได้มีผลถาวร)       2. ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานครในเขตเมืองชั้นนอก และจัดแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

3.         จัดส่งขุนนางออกไปเป็นเจ้าเมืองเหล่านี้ และให้แต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ฯลฯ

22.       ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมืองหลวงใช้มาตรการใดในการควบคุมอำนาจเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอก

(1)       ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมือง (2) ให้กรมการเมืองรับเงินเดือนจากเมืองหลวง

(3) ให้เจ้านายไปกำกับราชการหัวเมืองชั้นนอก           (4) ยกเลิกระบบกินเมือง

ตอบ 1 หน้า 195 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นไป ได้มีการใช้นโยบายแบ่งแยก ความจงรักภักดีออกเป็นสองทาง (Dual Allegiance) กล่าวคือ ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็น ผู้แต่งตั้งกรมการเมืองตำแหน่งต่าง ๆ แทนที่จะให้เจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งดังแต่ก่อน เพื่อให้เมืองหลวงมีอำนาจควบคุมเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอกได้มากขึ้น เพราะกรมการเมืองย่อม เกิดความภักดีต่อขุนนางในเมืองหลวงซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งตนด้วย มิใช่ภักดีต่อเจ้าเมืองเพียงคนเดียว

23.       ข้อใดคือลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1)       ลักษณะเทวราชามีความสำคัญมากขึ้น           (2) ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(3) ลดความสำคัญในเรื่องผู้นำที่มีบารมีสูง     (4) เน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

ตอบ 4 หน้า 197202 – 204 ลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย มีดังนี้   1. การเน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก 2.ความเชื่อในเรื่องบารมีของพระมหากษัตริย์ยังคงมีอยู่

3.         ความเสื่อมของลักษณะเทวราชา        4. ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์

24.       ราชกิจจานุเบกษาเริ่มพิมพ์เผยแพร่ในรัชกาลใดของสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       รัชกาลที่ 4       (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 1 หน้า 199 – 200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเผยแพร่เป็นรายสัปดาห์ ที่เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปิดหนทาง ที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร

25.       ข้อใดคือปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อนปฏิรูปการปกครอง สมัยรัชกาลที่ 5

(1)       กรมกองต่าง ๆ มีงานหลายประเภทอยู่ในความรับผิดชอบ

(2)       กรมกองต่าง ๆ ได้รับงบประมาณมากเกินไป

(3)       เสนาบดีกรมวังและนครบาลมีรายได้มากเกินไป (4) กองทัพประจำการมีอำนาจมากเกินไป

ตอบ 1 หน้า 222 – 225 ปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         กรมกองต่าง ๆ มีงานหลายประเภทอยู่ในความรับผิดชอบ

2.         กรมกองต่าง ๆ ไม่สามารถพัฒนาความชำนาญเฉพาะอย่างขึ้นได้

3.         การปฏิบัติราชการก้าวก่ายสับสน ไม่มีประสิทธิภาพ และข้าราชการทุจริตกันแพร่หลาย

4.         ไม่มีการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละกรมกอง และไม่มีเงินเดือนให้ข้าราชการ

26.       ข้อใดคือปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ก่อนการปฏิรูปการปกครอง

(1)       เจ้าเมืองและกรมการเมืองไม่มีอำนาจในการเก็บภาษี

(2)       หัวเมืองชั้นนอกมีความเป็นอิสระมากเกินไป

(3)       ระบบมณทลเทศาภิบาลขาดประสิทธิภาพ    (4) เมืองประเทศราชไม่มีอำนาจปกครองตนเอง

ตอบ 2 หน้า 225 – 226 ปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคและเขตประเทคราช ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         หัวเมืองชั้นนอกมีความเป็นอิสระมากเกินไป ทำให้เมืองหลวงไม่สามารถควบคุมได้อย่างใกล้ชิด

2.         เจ้าเมืองและกรมการเมืองไม่มีเงินเดือน ทำให้ต้องหารายได้จากการ กินเมือง

3.         ราชธานีให้เขตประเทศราชปกครองตนเอง จึงเปิดโอกาสให้มหาอำนาจเข้าแทรกแซงได้ง่าย

27.       ข้อใดคือผลงานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก

(1) การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง            (2) ระบบทาสถูกยกเลิกโดยเด็ดขาด

(3) มีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน 2 สภา   (4) มีการปฏิรูประบบศาลอย่างแท้จริง

ตอบ 3 หน้า 227 – 228 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก (พ.ศ. 2417 – 2418) โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 สภา ได้แก่

1.         สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (State Council or Council of State)

2.         สภาองคมนตรี (Privy Council)

28.       ข้อใดถูกในสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       มีการยกเลิกระบบเมืองประเทศราชโดยเด็ดขาดในสมัยรัชกาลที่ 5

(2)       ระบบมณฑลเทศาภิบาลสามารถแก้ไขปัญหาระบบนครรัฐได้

(3)       การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลไม่ได้ทำพร้อมกับทีเดียวทั้งหมด           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 56234 – 235 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น แต่มิได้จัดทำพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศ ส่งผลให้ระบบเมืองพระยามหานครหรือนครรัฐสิ้นสุดลง และระบบเมืองประเทศราชถูก ยกเลิกโดยเด็ดขาด ทำให้ประเทศไทยสามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในลักษณะรัฐประชาชาติ (National State) ได้สำเร็จ

29.       ข้อใดคืออุปสรรคในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค

(1)       การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง

(2)       ขุนนางในเมืองหลวงไม่ต้องการยกเลิกระบบกินเมือง

(3)       รัฐบาลไม่สามารถปราบการจลาจลตามหัวเมืองได้    (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 236 – 237 อุปสรรคในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาสที่ 5 นอกจากจะมีปัญหาเรื่องบุคลากรและเงินที่จะใช้ในระบบราชการแบบใหม่แล้ว ยังเกิดปัญหา การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง ซึ่งได้แก่ พวกเจ้าเมืองและเจ้าประเทศราชเดิม ทั้งในมณฑลอีสาน พายัพ และปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2444 – 2445 แต่รัฐบาลก็สามารถ ปราบปรามลงได้สำเร็จ

30.       ข้อใดคือความแตกต่างในการปกครองส่วนท้องถิ่นระหว่างสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์

(1)       มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยการปกครองแบบเดิม

(2)       ประชาชนได้เลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านร่วมกันเลือกกำนัน

(3)       ผู้ใหญ่บ้านและกำนันไม่มีสิทธิเป็นกรรมการสุขาภิบาลตำบล

(4)       มีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบลสมัยอยุธยา และเทศบาลในสมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 168 – 169236 การปกครองส่วนท้องถิ่นในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์จะมีหน่วย การปกครองเหมือนกัน คือ เป็นหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์จะมีการ เปลี่ยนแปลงที่มาของผู้ปกครอง โดยให้ประชาชนได้เลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านร่วมกัน เลือกกำนัน ส่วนนายอำเภอนั้นแต่งตั้งมาโดยมหาดไทย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบล ซึ่งกรรมการสุขาภิบาลตำบลจะมาจากผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง

31.       สังคมไทยมีลักษณะอย่างไร

(1)       เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น แต่เป็นชนชั้นไม่ถาวร

(2)       เป็นสังคมที่อยู่ในระบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร

(3)       เป็นสังคมที่มีการปลูกฝังความสำนึกในสถานะของตนเองและผู้อื่นในสังคม           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 361 – 362 สังคมไทยมีลักษณะสำคัญของชนชั้น ดังนี้

1.         เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น แต่เป็นชนชั้นไม่ถาวร มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

2.         เป็นสังคมที่อยู่ในระบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร ซึ่งชนชั้นต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด และต้องพึ่งพาอาศัยกัน

3.         เป็นสังคมที่มีฐานะและความเป็นอยู่คาบเกี่ยวกัน จนแบ่งแยกชนชั้นไม่ได้ชัดเจน

4.         เป็นสังคมที่มีการปลูกฝังความสำนึกในสถานะสูงตํ่าของตนเองและผู้อื่นในสังคมอย่างเด่นชัด

32.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลูกเจ้าลูกขุนในสมัยสุโขทัย

(1) ไม่ต้องออกรบ        (2) ทำหน้าที่เป็นมูลนาย

(3) ต้องเสียภาษีมากกว่าไพร่  (4) ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการกบฏของลูกเจ้าลูกขุน

ตอบ 2 หน้า 272 – 275 บทบาทหน้าที่และสิทธิของลูกเจ้าลูกขุนในสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         ช่วยบริหารราชการสำคัญตาง ๆ          2. ปกครองมืองสำคัญในฐานะเจ้าเมืองลูกหลวงทำให้ปรากฎหลักฐานการก่อกบฏของลูกเจ้าลูกขุนทั้งในสุโขทัยและล้านนา

3.         ทำหน้าที่เป็นมูลนายควบคุมไพร่        4. ช่วยพระมหากษัตริย์ออกรบในยามสงคราม

5.         ได้สิทธิพิเศษเหนือไพร่ คือ ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้องเสียภาษีและมีไพร่ในสังกัดได้ฯลฯ

33.       ข้อใดมิใช่สิทธิของไพร่ในสมัยสุโขทัย

(1) ร้องทุกข์ได้ด้วยตนเอง        (2) ไม่ต้องเสียจกอบ

(3) มีสิทธิแสดงความคิดเห็นเรื่องของบ้านเมือง          (4) ไม่ต้องเสียภาษี

ตอบ 4 หน้า 285287 – 288, (คำบรรยาย) สิทธิของไพร่ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         สิทธิในการร้องทุกข์หรือฟ้องร้องมูลนายต่อพระมหากษัตริย์ได้ด้วยตนเองโดยตรง

2.         สิทธิในการศาล          3. สิทธิในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้

4.         สิทธิในการยกมรดกให้แก่ลูกหลาน    5. สิทธิในการค้าขายสินค้าได้ทุกชนิดอย่างเสรี

6.         สิทธิในการได้รับยกเว้นภาษีผ่านด่านหรือไม่ต้องเสียจกอบ แตก็ต้องเสียภาษีชนิดอื่น เช่นภาษีข้าว  

7. สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ

8. สิทธิแสดงความคิดเห็นเรื่องของบ้านเมืองและการปกครองอาณาจักร ฯลฯ

34.       ระบบไพร่มีประโยชน์ต่อรัฐอย่างไร

(1) รัฐได้เกณฑ์แรงงานจากไพร่           (2) รัฐได้เก็บภาษีจากไพร่

(3) รัฐสามารถควบคุมไพร่ให้อยู่ในกฎหมาย   (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 273283, (คำบรรยาย) ประโยชน์ของระบบไพร่ต่อรัฐ มีดังนี้

1.         เพื่อให้รัฐสามารถเกณฑ์แรงงานจากไพร่มาใช้ในเวลาจำเป็นทั้งยามสงบและยามสงคราม

2.         เพื่อให้รัฐควบคุมไพร่ให้อยู่ในกฎหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

3.         เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และให้รัฐได้เก็บภาษีอากรจากไพร่หรือสามัญชน

4.         เพื่อผลประโยชน์ของไพร่ในการได้รับความคุ้มครองจากมูลนาย

35.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับทาสสมัยล้านนา

(1)       พ่อแม่ขายลูกเป็นข้าได้            (2) มีข้าชนิด ทาสในเรือนเบี้ย” ของสมัยอยุธยา

(3) ล้านนามีการนำ ข้อยมาเป็นข้า” (4) มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ข้าจะได้เป็นอิสระ

ตอบ 4 หน้า 293 หลักฐานในสมัยล้านนาไม่ได้กล่าวถึงโอกาสที่ข้าหรือทาสจะเป็นอิสระไว้เลย ยกเว้นในกรณีเดียวที่เจ้าขุนมูลนายมาเป็นชู้กับภรรยาของข้า ข้าผู้เป็นสามีจะได้รับอิสระ นอกจากนี้ยังไม่พบหลักฐานที่กล่าวถึงการไถ่ถอนตัวเป็นอิสระของข้าทั้งในสุโขทัยและล้านนา จึงเป็นไปได้ว่าการไถ่ถอนตัวคงมีน้อยมาก หรือไม่มีเลยก็ได้

36.       ในกฎหมายล้านนา การทำผิดในเรื่องเดียวกันแต่ได้รับโทษไม่เท่ากับ ต่อไปนี้ใครรับโทษหนักที่สุด

(1) นายตีน      (2) นายช้าง     (3) นายม้า       (4) กว้าน

ตอบ 2 หน้า 275 ในสมัยล้านนา ลูกเจ้าลูกขุนเมื่อทำผิดจะถูกปรับมากกว่าสามัญชนแม้จะเป็นความผิด อย่างเดียวกัน โดยผู้มีตำแหน่งสูงขึ้นเท่าใดก็จะถูกปรับมากขึ้นตามลำดับ ดังกฎหมายมังรายศาสตร์ ที่ว่า “…นายตีนกินนาหรือกว้านมักเมียท่านให้ไหม 330 เงิน…นายม้ามักเมียท่านให้ไหม 550 เงิน…นายช้างมักเมียท่านให้ไหม 1,100 เงิน…” ฯลฯ

37.       กษัตริย์อยุธยามีนโยบายต่อเจ้านายอย่างไร

(1) ให้เจ้านายบังคับบัญชาไพร่หลวง  (2) ให้เจ้านายเท่านั้นเป็นเสนาบดี

(3) มีมาตรการเพิ่มจำนวนเจ้านายให้มากขึ้น   (4) เจ้านายจะถูกลดความสูงศักดิ์ลงทุกชั่วคน

ตอบ 4 หน้า 141305308313322 – 323 พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายลิดรอนอำนาจ เจ้านาย ดังนี้ 1. ควบคุมจำนวนเจ้านายไม่ให้มากเกินไป โดยกำหนดผู้มีสิทธิเป็นเจ้านาย มีได้เพียง 3 ชั่วอายุคน คือ ในชั่วลูก หลาน และเหลนเท่านั้น 2. ลดความสูงศักดิ์ของเจ้านาย ลงทุกชั่วคน จึงไม่อาจกลาวได้ว่าเจ้านายมีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง 3. ไม่ให้เจ้านายได้เป็น เสนาบดีควบคุมการบริหารกรมกองสำคัญในส่วนกลาง และไม่ให้เป็นเจ้าเมืองในส่วนภูมิภาค แต่ให้ขุนนางมีอำนาจหน้าที่นี้แทน 4. ยกเลิกการให้เจ้านายบังคับบัญชาไพร่หลวง แต่ให้ทรงกรม หรือปกครองกรมและบังคับบัญชาไพร่สมแทน 5. ควบคุมจำนวนไพร่สมไม่ให้มากเกินไป ฯลฯ

38.       กษัตริย์อยุธยาทรงมีมาตรการลิดรอนอำนาจของเจ้านายอย่างไร

(1) ยุบเมืองลูกหลวง   (2) ยกเลิกการให้เจ้านายทรงกรม

(3) ยกเลิกการให้เจ้านายบังคับบัญชาไพร่หลวง        (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1) ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล (2) ใช้กำหนดบทลงโทษของบุคคล

(3) ใช้กำหนดไพร่ในสังกัดของบุคคล  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและกำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด 3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พล ในสังกัดของบุคคลที่เป็นมูลนาย 4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธ์และสิทธิพิเศษบางอย่างให้แก่บุคคล

40.       กฎหมายศักดินาเริ่มปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในรัชกาลใด        

(1) พระเจ้าอู่ทอง

(2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ          (3) พระนเรศวร            (4) พระเจ้าตากสิน

ตอบ 2 หน้า 357 – 358 กฎหมายศักดินาอาจเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น เพราะปรากฏหลักฐานในกฎหมายลักษณะโจร (จารึกหลักที่ 38) ซึ่งเชื่อว่าทำขึ้นในปี พ.ศ. 1940 แต่มาเริ่มปรากฏ เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนครั้งแรกในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงตรา พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองในปี พ.ศ. 1998

41.       ไพร่ชนิดใดมีจำนวนมากที่สุดในสมัยอยุธยา

(1)       ไพรหลวง        (2) ไพร่สม       (3) ไพร่ส่วย     (4) ไพร่อุทิศ

ตอบ 1 หน้า 339 – 341353. (คำบรรยาย) ประเภทของไพรในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         ไพรสม คือ ไพร่ส่วนตัวของมูลนาย (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเจ้านาย) มีหน้าที่รับใช้มูลนาย เป็นการส่วนตัว จึงมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายและทำงานน้อยกว่าไพร่หลวง

2.         ไพร่หลวง คือ ไพรที่สังกัดกับพระมหากษัตริย์หรือไพร่ของทางราชการ ซึ่งได้มาจากสามัญชน ทั้งหมดที่เหลืออยู่จากการเป็นไพร่สม จึงเป็นไพร่ที่มีจำนวนมากที่สุดและทำงานหนักที่สุด

3.         ไพร่ส่วย คือ ไพร่ที่ไม่ต้องมาให้แรงงาน แต่ส่งสินค้าหรือส่วยมาแทน (ส่วนไพร่อุทิศหรือ ข้าพระอารามก็คือ ทาสวัดส่วนใหญ่ในสมัยอยุธยา)

42.       ไพร่อยุธยาไม่มีสิทธิทำสิ่งใด  

(1) เข้าเวร

(2)       เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์          (3) ออกรบ       (4) ขายตัวเป็นทาส

ตอบ 2 หน้า 128140, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยาได้กำหนดให้ชนชั้นเจ้านาย ขุนนาง และพระสังฆราชมีสิทธิเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ได้ แต่จะต้องเข้าเฝ้าตามหมายกำหนดเวลาที่ กำหนดไว้ไนกฎมณเฑียรบาล ส่วนชนชั้นไพร่นั้นไม่มีสิทธิเข้าเฝ้าและมองดูพระมหากษัตริย์ แต่พระมหากษัตริย์จะทรงทราบความเป็นอยู่ของไพร่โดยผ่านเจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่

43.       การสักข้อมือไพร่เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี เริ่มทำครั้งแรกในสมัยใด   

(1) พระนเรศวร

(2)       พระนารายณ์   (3) พระเจ้าตากสิน      (4) พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ตอบ 3 หน้า 392417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรเริ่มทำขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยได้กำหนดให้สักข้อมือไพร่ไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันไม่ให้ ไพร่หลวงสูญหาย หรือไม่ให้ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายอย่างแต่ก่อน

44.       ข้อความที่สักบนข้อมือไพร่คือเรื่องใด

(1) ชื่อไพร่และชื่อมูลนาย

(2)       ชื่อมูลนายและชื่อกรม (3) ชื่อไพร่และชื่อเมือง            (4) ชื่อมูลนายและชื่อเมือง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.       ข้อใดถูกต้อง

(1)       ผู้หญิงต้องขึ้นทะเบียนไพร่     (2) พระสงฆ์ไม่ต้องขึ้นทะเบียนไพร่

(3)       ผู้หญิงถูกเกณฑ์แรงงานเช่นเดียวกับชาย       (4) ทาสไมมีศักดินาประจำตัว

ตอบ 1 หน้า 341 – 342, (คำบรรยาย) หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนไพร่ในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         ไพร่ที่มีอายุตั้งแต่ 9 ขวบขึ้นไปต้องมาขึ้นทะเบียน แต่ไพร่จะถูกเกณฑ์แรงงานเมื่ออยู่ในวัยฉกรรจ์ (ผู้ที่แต่งงานแล้ว) คือ อายุประมาณตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

2.         ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนกับมูลนายที่มิภูมิลำเนาเดียวกับตน แต่ต่อมาภายหลังไพร่ขึ้นสังกัด กับมูลนายที่อยู่ต่างภูมิลำเนากันได้

3.         ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดหมวดหมู่เดียวกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของตน

4.         ผู้หญิงและพระสงฆ์ก็จะต้องมาขึ้นทะเบียนไพร่ แม้ว่าจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน นอกจาก เวลาที่จำเป็นจริงๆ ฯลฯ

46.       นายเงินสมัยอยุธยาไม่มีสิทธิเหนือตัวทาสอย่างไร     

(1) ขึ้นค่าตัวทาสได้

(2)       ลงโทษทาสได้ (3) ใช้ทาสเข้าคุกแทนตนเองได้           (4) ใช้ทาสไปรบแทนตนเองได้

ตอน 1 หน้า 352354 – 356 ระบบทาสในสมัยอยุธยา นายเงินมีสิทธิเหนือตัวทาสดังนี้

1.         ใช้งานทาสได้ทุกอย่าง 2. ใช้ทาสไปรับโทษหรือเข้าคุกแทนตนเองได้

3.         ใช้ทาสไปรบแทนตนเองได้       4. ลงโทษทาสได้แต่ต้องไม่ทำให้ทาสนั้นพิการหรือตายไป

5.         ขายทาสต่อไปได้ แต่ขึ้นค่าตัวทาสตามใจชอบไม่ไต้ และถ้าทาสมีเงินมาไถ่ตัว นายเงิน จะไม่ยอมรับค่าตัวทาสไม่ได้ ฯลฯ

47.       กรมใดมีหน้าที่ดูแลชาวมุสลิมในสมัยอยุธยา

(1) กรมท่าขวา (2) กรมท่าซ้าย            (3) กรมสัสดี    (4) กรมพระคลัง

ตอบ 1 หน้า 151364504 ในสมัยอยุธยา หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลชาวต่างชาติ คือ กรมท่า ซึ่งขึ้นกับกรมพระคลัง แบ่งออกเป็น

1.         กรมท่าซ้าย มีหลวงโชฎึกราชเศรษฐีเป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ดูแลชาวจีน ญี่ปุ่น ฮอลันดา ฝรั่งเศส และโปรตุเกส

2.         กรมท่าขวา มีพระยาจุฬาราชมนตรีเป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ดูแลชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ชาวอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ เตอร์ก มลายู ฯลฯ

48.       ท่านคิดว่าสิ่งใดเป็นตัวกำหนดการดำเนินวิถีชีวิตของคนสมัยอยุธยาได้ชัดเจนที่สุด

(1) ลัทธิเทวราชา         (2) หลักธรรมราชา       (3) ระบบผูกขาด         (4) ระบบศักดินาและระบบไพร่

ตอบ 4 หน้า 336 – 337357, (คำบรรยาย) สิ่งที่เป็นตัวกำหนดการดำเนินวิถีชีวิตของคนไทย ในสมัยอยุธยาที่ชัดเจนที่สุด ได้แก่

1.         ระบบศักดินา เป็นการจัดระเบียบสังคมของอยุธยาที่สำคัญยิ่ง และมีผลต่อวิถีชีวิตของบุคคล ในสังคม (ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ)

2.         ระบบไพร่ เป็นระบบการควบคุมแรงงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นตัวกำหนดการดำเนินชีวิต ของคนในสมัยอยุธยา (ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ)

49.       เจ้าพระยาจักรี เป็นราชทินนามของกรมใด

(1) มหาดไทย  (2) กลาโหม     (3) นครบาล    (4) คลัง

ตอบ 1 หน้า 150 – 152319 – 320, (คำบรรยาย) หน้าที่ในตำแหน่งของกรมกองต่าง ๆ จะมียศ และราชทินนามกำกับไว้โดยเฉพาะ ดังนี้

1.         เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมมหาดไทย

2.         เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิริยภักดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมกลาโหม

3.         เจ้าพระยาพระคลัง หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมพระคลัง หรือโกษาธิบดี

4.         พระยาพลเทพราชเสนาบดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมนาหรือเกษตราธิการ ฯลฯ

50.       ยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ คือยศใด

(1)       กรมสมเด็จพระ            (2) กรมพระ     (3) สมเด็จเจ้าพระยา   (4) เจ้าพระยา

ตอบ 3 หน้า 319405, (คำบรรยาย) ยศสมเด็จเจ้าพระยา ถือเป็นยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในสมัยกรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยาจะมีอยู่ทั้งหมด 4 พระองค์ คือ

1.         สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ (ทองด้วง) หรือรัชกาลที่ 1 ในเวลาต่อมา

2.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดีส บุนนาค)

3.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค)

4.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

51.       บุคคลใดต่อไปนี้มีศักดินาสูงสุดสมัยอยุธยา

(1)       เจ้าพระยากลาโหม      (2) วังหน้า       (3) วังหลัง       (4) พระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 309357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ จะได้รับ พระราชทานศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหน่ง โดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในสมัยอยุธยา คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาตํ่าสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่

52.       ตัวอย่างของขุนนางที่เลื่อนฐานะขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ คือใคร

(1)       พระเจ้าปราสาททอง (2) พระมหาจักรพรรดิ    (3) พระบรมไตรโลกนาถ (4) พระเอกาทศรถ

ตอบ 1 หน้า 44324 ตัวอย่างของขุนนางที่เลื่อนฐานะขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ คือ ออกญาหรือพระยาศรีวรวงศ์ ซึ่งต่อมาได้เลื่อนยศเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นขุนนางสมัยอยุธยาที่กำจัดยุวกษัตริย์ถึง 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเชษฐาธิราช และสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ รวมถึงเจ้านายชั้นสูงอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนได้ขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในเวลาต่อมา

53.       ตำแหน่งวังหน้าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คือใคร

(1)       กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท     (2) กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์

(3)       กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ    (4) กรมขุนอิศเรศรังสรรค์

ตอบ 1 หน้า 394 ตำแหน่งวังหน้าที่มีอำนาจและความสามารถมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือรัชกาลที่ 1) ที่มีความขัดแย้งกับกษัตริย์ ถึงขนาดนำปืนขึ้นประจำป้อมและหันปากกระบอกปืน เข้าหากัน แต่เรื่องร้ายก็ยุติลงได้เพราะพระพี่นางทั้งสองพระองค์เข้าห้ามปราม และ กรมพระราชวังบวรฯ สิ้นพระชนม์ไปก่อนในปี พ.ศ. 2446

54.       ตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยา” ในประวัติศาสตร์ไทยมีกี่พระองค์

(1) 2 พระองค์  (2) 3 พระองค์  (3) 4 พระองค์  (4) พระองค์เดียว

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 50. บระกอบ

55.       มหาอำนาจตะวันตกชาติใดได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเป็นชาติแรกในราชอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์

(1) อังกฤษ      (2) ฝรั่งเศส      (3) ดัตช์           (4) โปรตุเกส

ตอบ 1 หน้า 439547 – 548, (คำบรรยาย) ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 ประเทศไทยได้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (เสียเอกราชด้านการศาล) ให้กับ ประเทศอังกฤษเป็นชาติแรก คือ คนต่างชาติและคนในบังคับของต่างชาติเมื่อมีเรื่องกับคนไทยก็ดี หรือมีเรื่องในหมู่พวกตัวเองก็ดี จะต้องขึ้นศาลกงสุลของชาติตนหรือชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ ทำให้ศาลไทยไม่สามารถเอาผิดกับคนต่างชาติที่อยูในเมืองไทยและทำผิดกฎหมายไทยได้ ซึ่งต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2399 – 2442 ก็มีประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น ฯลฯ เข้ามาทำสัญญาในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายประเทศ

56.       ข้อใดถูกต้องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

(1) ขุนนางได้เลือกสรรกษัตริย์ (2) ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

(3)       ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดอำนาจลง  (4) ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมกันมาก

ตอบ 1 หน้า 400 – 404 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

1.         ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์

2.         ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางที่หลบหนีไปเป็นไพร่สมมีจำนวนลดลง ทำให้ขุนนางมีความมั่นคงมากขึ้น

3.         คณะเสนาบดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

4.         ขุนนางจำนวนหนึ่งได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

5.         ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดดเด่นที่สุดตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ฯลฯ

57.       การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนางอยางไร

(1)       ขุนนางได้เป็นเสนาบดีมากกว่าเจ้านาย

(2)       ขุนนางไม่ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลอีกต่อไป

(3)       ขุนนางตระกูลบุนนาคเสื่อมอิทธิพลลง

(4)       ขุนนางได้เก็บเงินจากเจ้าภาษีไว้เป็นสมบัติส่วนตัวมากกว่าแต่ก่อน

ตอบ 3 หน้า 398411 – 412 การปฏิรูประบบราชการและการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนาง ดังนี้

1.         คณะเสนาบดีรุนเก่าที่มีตระกูลบุนนาคเป็นผู้นำเสื่อมอิทธิพลลง โดยเสนาบดีหรือข้าหลวงเทศาภิบาลรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าเป็นขุนนางก็จะเป็นขุนนาง ตระกูลอื่น เช่น ตระกูลอมาตยกุล และกัลยาณมิตร

2.         ข้าราชการมีเงินเดือน และการใช้เงินส่วนของรัฐเพื่อกิจการส่วนตัวนับเป็นของต้องห้าม

3.         มีการเปิดรับสามัญชนที่มีการศึกษาดีเข้าสู่ระบบราชการ ฯลฯ

58.       ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีการปฏิรูประบบไพร่อย่างไร

(1) ยกเลิกการสักข้อมือไพร่     (2) ห้ามไพร่เปลี่ยนมูลนาย

(3)       ยกเลิกการเกณฑ์แรงงานไพร่สม         (4) ไพร่หลวงต้องเข้าเดือนออกสามเดือน

ตอบ 4 หน้า 186417 – 419, (คำบรรยาย) ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะรัชกาลที่ 2มีการปฏิรูประบบไพร่ ดังนี้            1. มีการสักข้อมือไพร่เช่นเดียวกับสมัยรัชกาลที่ 1

2.         ลดเวลาการเกณฑ์แรงงานไพร่หลวงลงเหลือปีละ 3 เดือน เรียกว่า เข้าเดือนออกสามเดือน

3.         ไพร่สมก็ถูกเกณฑ์แรงงานโดยให้มาเข้าเวรปีละ 1 เดือน

4.         ให้ไพร่เปลี่ยนมูลนายได้ แต่ต้องเป็นมูลนายในหัวเมืองเดียวกับไพร่ ฯลฯ

59.       ปัญหาการเมืองที่เกิดจากชาวจีนในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ได้แก่เรื่องใด

(1)       ชาวจีนมักแข็งข้อต่อขุนนาง     (2) ชาวจีนต่อต้านชาวตะวันตก

(3)       ชาวจีนนิยมไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับอังกฤษ     (4) ชาวจีนต่อต้านระบบเจ้าภาษีนายอากร

ตอบ 3 หน้า 439 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ชาวจีนได้ก่อปัญหาทางการเมืองให้แก่รัฐบาลไทย โดยการตั้งสมาคมลับของชาวจีนหรีออั้งยี่ขึ้นมาหลายกลุ่ม และมีกิจกรรมหลายด้านที่ทำผิด กฎหมายไทย แต่พวกอั้งยี่ก็สามารถลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทยได้ เพราะคนจีนจำนวนมาก นิยมไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับตะวันตกชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อ มีคดีเกิดขึ้นก็สามารถขึ้นศาลกงสุลของชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ และตำรวจไทยจะจับกุมตัวได้ ก็ต่อเมื่อกงสุลของชาตินั้นอนุมัติแล้วเท่านั้น (ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ)

60.       การเลิกทาสในเมืองไทยไม่มีการนองเลือดอย่างในสหรัฐอเมริกา เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการยกเลิก อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ใช้เวลากว่ากี่ปี จึงเลิกทาสได้สำเร็จ

(1) 10 ปี          (2) 15 ปี          (3) 20 ปี          (4) 30 ปี

ตอบ 4 หน้า 433,516,(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินการเลิกทาสจนสำเร็จ โดยพระองค์ ทรงใช้นโยบายทางสายกลาง คือ ดำเนินการเลิกทาสไปทีละขั้นตอน มิใช่รวบรัดเลิกทาสทั้งหมด ในคราวเดียวกัน รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่า 30 ปี จึงทรงสามารถเลิกทาสได้อย่างเด็ดขาด โดยไม่มีการนองเลือดเหมือนการเลิกทาสในประเทศสหรัฐอเมริกา

61.       ข้อใดคือลักษณะการทำการเกษตรกรรมสมัยสุโขทัย

(1)       การปลูกพืชไร่ขนาดใหญ่         (2) การทำการเกษตรเพื่อการส่งออก

(3) พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด       (4) ข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ

ตอบ 3 หน้า 474 การทำการเกษตรกรรมในสมัยสุโขทัยจะมีข้อจำกัดในเรื่องผลผลิต โดยเฉพาะผลิตผลที่สำคัญที่สุด คือ ข้าวนั้นคงจะกระทำกันได้ในปริมาณที่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น เพราะพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด กำลังคนก็มีจำกัด และงานชลประทานก็ทำในปริมาณจำกัดเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ในบางครั้งบางคราวเกิดขาดแคลนข้าวขึ้นในสุโขทัย จนต้องสั่งซื้อข้าวมาจากอยุธยา

62.       เมืองใดที่มีความสำคัญในแง่การค้าช้างสมัยสุโขทัย

(1)       เมืองสุรินทร์     (2) เมืองราด    (3) เมืองกำแพงเพชร   (4) เมืองสุโขทัย

ตอบ2 หน้า 475 – 476 การค้าช้างในสมัยสุโขทัยคงจะเป็นการค้าที่ใหญ่โต ดังหลักฐานในศิลาจาริกสุโขทัยว่า เมืองกว้างช้างหลาย” หมายถึง ถ้าต้องการช้างมาใช้งานหรือจับมาขาย ก็สามารถจับมาได้โดยเสรี ไม่ต้องเสียภาษีอากร และทางรัฐมิได้หวงห้าม ซึ่งเมืองสำคัญที่คุมกิจกรรมการค้าช้าง คือ เมืองราด สงไปขายยังเมืองตอนใต้ของสุโขทัย เช่น อโยธยา สุพรรณภูมิ และเมืองทางชายทะเลตะวันออก

63.       ตลาดปสาน” สัมพันธ์กับข้อใด

(1) ตลาดที่มีห้องหรือร้านเป็นแถวติดต่อกัน    (2) ลานกิจกรรมในสมัยสุโขทัย

(3) ตลาดใหญ่ที่สุดในสมัยสุโขทัย      (4) ตลาดขนาดใหญ่ของเมืองปสาน

ตอบ 1 หน้า 477 ในศิลาจารึกมีคำว่า ตลาดปสาน” ซึ่งนักศึกษาวิชาการทางประวัติศาสตร์หลายท่าน มีความเห็นว่าตลาดปสาน หมายถึง ตลาดที่มีห้องหรือร้านเป็นแถวติดต่อกัน ส่วนใหญ่จะอยู่ ในย่านชุมนุมชน เพราะมีบ้านเล็กบ้านใหญ่อยู่ในบริเวณเดียวกัน

64.       ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย

(1) สีที่นิยมมากที่สุด คือ สีเขียวไข่กา  (2) เครื่องสังคโลกและมีลวดลายแบบไทยเท่านั้น

(3) จาน ชาม เป็นภาชนะที่นิยมมากที่สุด        (4) สุโขทัยรับอิทธิพลมาจากจีน

ตอบ 2 หน้า 479 ลักษณะของเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         เป็นสินค้าออกที่สำคัญของสุโขทัย

2. มีสีที่นิยมและขึ้นชื่อลือชามากที่สุด คือ สีเขียวไข่กา

3.         ได้รับอิทธิพลจากจีนทั้งรูปทรงและกรรมวิธีแบบอย่าง

4.         ภาชนะที่นิยมและพบมากที่สุด คือ จานและชาม 5. มีรูปแบบและลวดลายแบบจีน แทบทั้งสิ้น ส่วนที่เป็นของไทย ได้แก่ รูปเทพนม ยักษ์ นาคปักษ์ พลสิงห์ ฯลฯ

65.       ข้อใดอธิบายลักษณะของ ไหเมาะตะมะ” ได้ถูกต้อง

(1) สีเขียวไข่กา            (2) มักใช้บรรจุอาหารแห้ง

(3) สีน้ำตาลไหม้          (4) พบว่าเป็นที่นิยมของพ่อค้าทางเกวียน

ตอบ 3 หน้า 479 เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยที่เอามาขายได้อย่างดีที่เมาะตะมะ มักเป็นพวกไหขนาดใหญ่ เคลือบสีนํ้าตาลไหม้สำหรับใส่น้ำ นํ้ามัน นํ้าตาล หรือบรรจุของอื่น ๆ จะเป็นที่นิยมของ นักเดินเรือมาก จึงมีการซื้อขายกันแพร่หลายจนคนเรียกกันติดปากว่า ไหเมาะตะมะ

66.       ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าภาษีที่รัฐเรียกเก็บในสมัยสุโขทัย คือข้อใด

(1)       จกอบ (2) อากร          (3) ฤชา            (4) ส่วย

ตอบ 1 หน้า 480 – 482, (คำบรรยาย) ตามหลักฐานในสมัยสุโขทัย พบว่า ภาษีที่รัฐเรียกเก็บ มีเพียง 2 ชนิด ได้แก่ 1. จกอบ คือ ภาษีที่เก็บจากสินค้าผ่านด่าน ซึ่งเชื่อกันว่าก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง รัฐบาลจะตั้งด่านเก็บภาษีนี้ แต่พอมาถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงให้ยกเลิก ภาษีนี้เสีย 2. ภาษีข้าว โดยให้เก็บภาษีข้าว 1 ส่วน จากผลผลิตข้าว 10 ส่วน แต่ถ้าผู้ใดผลิตข้าวไม่ได้ก็ไม่ให้เก็บเลย นอกจากนี้ผู้ปกครองยังไม่ให้เพิ่มอัตราภาษีจากที่เคยเก็บกันมา แต่โบราณซึ่งถือว่าชอบธรรมแล้ว

67.       ข้อใดอธิบายถึงระบบเศรษฐกิจสมัยอยุธยาได้ถูกต้อง          

(1) ระบบเศรษฐกิจพอเพียง

(2)       ระบบเศรษฐกิจการตลาด       (3) ระบบเศรษฐกิจเสรี            (4) ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ

ตอบ 2 หน้า 469 – 471558 พื้นฐานระบบเศรษฐกิจไทยมีวิวัฒนาการ ดังนี้

1.         เริ่มต้นมาจากเศรษฐกิจแบบหมู่บ้านในสมัยสุโขทัย ซึ่งผลิตเพื่อการบริโภคและแลกเปลี่ยน

2.         ระบบเศรษฐกิจแบบการตลาดในสมัยอยุธยา ซึ่งผูกพันกับการแสวงหาตลาดการค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ           3. ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา ซึ่งเริ่มปรากฏชัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐเก็บส่วยจากไพร่ในรูปแบบเงินตรา

4.         ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อการค้าส่งออกในปัจจุบัน

68.       ข้อใดแสดงถึงการสนับสนุนของรัฐด้านการเกษตรกรรมสมัยอยุธยา

(1)       การขยายพื้นที่การทำนา          (2) การให้ความคุ้มครองแก่ต้นข้าว

(3)       พิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจต่อเกษตรกร           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 489 – 491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนด้านเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำบาปลูกข้าว ดังนี้ 1. ขยายพื้นที่การทำนาเพาะปลูก 2. คุ้มครองป้องกัน ภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยการออกกฎหมายคุ้มครองแก่ต้นข้าว และลงโทษผู้ทำลาย ต้นข้าวอย่างรุนแรง 3. ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ เพื่อสร้าง ขวัญและกำลังใจ 4. ส่งเสริมแรงงานในภารเพาะปลูก 5. ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท 5.การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

69.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ สัตว์มีคุณ” สมัยอยุธยา

(1) เป็นสัตว์ที่ได้รับพระราชทาน          (2) ช้าง ม้า วัว และควาย

(3) เจ้าของต้องทำการล้อมคอกสัตว์ประเภทนี้            (4) กฎหมายให้การคุ้มครอง

ตอบ 1 หน้า 493 – 494, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา สัตว์ที่มีความสำคัญจนถึงกับระบุไว้ในกฎหมายว่าเป็น สัตว์มีคุณ” ได้แก่ ช้าง ม้า โค (วัว) และกระบือ (ควาย) ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้

1.         มีกฎหมายให้การคุ้มครองสัตว์มีคุณ และมีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

2.         ค่าตัวของสัตว์มีคุณตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

3.         เจ้าของสัตว์ต้องล้อมรั้วทำคอกขังไว้ หรือไม่ก็ต้องผูกเชือกใส่ปลอกไว้

4.         นิยมเลี้ยงโคและกระบือตัวผู้ไว้ไถนา ส่วนแม่โคนั้นสามารถซื้อขายได้ ฯลฯ

70.       การขุดแร่ในสมัยอยุธยา พบว่าแร่ชนิดใดที่รัฐสามารถหาได้ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ราชธานีมากที่สุด

(1) ทองคำ       (2) เหล็ก          (3) ดีบุก           (4) ไข่มุก

ตอบ 2 หน้า 496 แหล่งแร่เหล็กของไทยในสมัยอยุธยาจะอยู่ที่หัวเมืองเหนือ ได้แก่ แถบเมืองสุโขทัย เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร และเมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งถือเป็นแหล่งแร่ที่รัฐสามารถ หาได้ในพื้นทีที่อยู่ใกล้ราชธานี (อยุธยา) มากที่สุด โดยเมืองกำแพงเพชรเป็นที่รู้จักกันดีว่า มีแร่เหล็กกล้าอันเป็นเหล็กเนื้อดีวิเศษ” ส่วนแร่เหล็กหางกุ้ง เหล็กล่มเลย และเหล็กน้ำพี้ มีหลักฐานว่าได้บรรทุกเรือหางเหยี่ยวจากเพชรบูรณ์มาขายที่พระนครศรีอยุธยา

71.       ข้อใดม่ใช่คุณลักษณะของตลาดสมัยคยุธยา

(1)       เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองผู้รับซื้อของโจรโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นของโจร

(2)       คุ้มครองการกรรโชกทรัพย์      (3) เป็นสถานที่นำนักโทษไปขออาหารรับประทาน

(4) เป็นที่พักแรมจากการเดินทาง

ตอบ 4 หน้า 497 ตลาดสมัยอยุธยานอกจากเป็นแหล่งขายสินค้านานาชนิดแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษ ด้านต่าง ๆ คือ 1. เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองผู้รับซื้อของโจรโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นของโจร

2.         เป็นสถานที่คุ้มครองจากการรีดไถ และการกรรโชกทรัพย์พ่อค้าแม่ค้าจากพวกตามเสด็จ

3.         เป็นสถานที่ลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายการค้าขาย เช่น การขายสินค้าเกินราคาควบคุม การซื้อขายสินค้าต้องห้าม ฯลฯ 4. เป็นสถานที่ที่นักโทษไปขออาหารรับประทานเพื่อยังชีพ

72.       อยุธยาเริ่มทำการค้ากับต่างชาติในสมัยใด    

(1) พระเจ้าอู่ทอง

(2)       สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (3) สมเด็จพระรามาธีบดีที่ 2      (4) สมเด็จพระนารายณ์

ตอบ 1 หน้า 499 ประเทศไทยดำเนินการค้ากับต่างประเทศมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และดำเนินเรื่อยมา จนถึงสมัยอยุธยาเมื่อพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยการค้าส่วนใหญ่ ในระยะแรกจะเป็นการค้ากับประเทศทางตะวันออก ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น ส่วนการค้ากับ ประเทศยุโรปตะวันตกจะเริ่มขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

73.       สินค้าที่อยุธยานำไปจำหน่ายกับจีน คือสินค้าใด

(1) ดีบุก           (2) เครื่องสังคโลก       (3) สินค้าป่า    (4) ผ้าไหม

ตอบ 3 หน้า 500 สินค้าที่ไทยนำไปจำหน่ายยังเมืองจีนในสมัยอยุธยา ได้แก่

1.         พวกสินค้าป่า เช่น ไม้ฝาง ไม้หอมต่าง ๆ

2.         เครื่องเทศ เช่น กระวาน กานพลู พริกไทย      3. สัตว์ที่หายาก เช่น นกยูง นกแก้วห้าสี

4.         ผลิตผลจากสัตว์ป่า เช่น งาช้าง นอระมาด (นฤมาตหรือนอแรด) หนังสัตว์ ฯลฯ

74.       พืชไร่ชนิดใดมีความสำคัญมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

(1) อ้อย           (2) ปอ (3) พริก           (4) มันสำปะหลัง

ตอบ 1 หน้า 523 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อ้อยเป็นพืชไร่ที่มีความสำคัญมากที่สุด และผู้ปกครอง ก็ให้การสนับสนุนมากที่สุด เพราะนํ้าตาลที่ทำจากอ้อยได้ทำกำไรงามให้กับประเทศ จนได้ชื่อว่า เป็นพืชส่งออกมากที่สุดและเป็นสินค้าออกอันดับ 1 ของไทย ดังปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 3 และต้นรัชกาลที่ 4 ไทยส่งนํ้าตาลออกเฉลี่ยปีละ 50,000 – 90,000 หาบ

75.       การบำรุงการเลี้ยงสัตว์นํ้าในสมัยรัชกาลที่ 6 ขึ้นอยู่ในการดูแลของหน่วยงานใด

(1) กรมประมง            (2) อำเภอ (3) กระทรวงเกษตราธิการ (4) สภาเผยแพร่พานิชย์

ตอบ 3 หน้า 527 – 528 ในสมัยรัชกาลที่ 6 กระทรวงเกษตราธิการได้ตั้งกองบำรุงรักษาสัตว์นํ้าขึ้น และได้จ้างผู้ชำนาญพิเศษเรื่องสัตว์นํ้า คือ ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ (Dr.Hugh Mc.Cormic Smith) ชาวอเมริกันมาช่วยงาน หลังจากนั้นจึงได้จัดตั้งกรมรักษาสัตว์นํ้าขึ้นในกระทรวง เกษตราธิการ มีหน้าที่บำรุงรักษาและเพาะพันธุสัตว์น้ำ โดยมี ดร.ฮิว เป็นเจ้ากรมตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2469

76.       ข้อใดไม่ใช่ประเภทของการทำเหมืองแร่ในสมัยรัตนโกสินทร์

(1) ทำเหมือง   (2) เหมืองแล่น (3) เหมืองคล้า (4) เหมืองใหญ่

ตอบ 1 หน้า 534 การทำเหมืองแร่ในสมัยรัตนโกสินทร์มีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้

1.         เหมืองแล่น 2. เหมืองคล้า        3. เหมืองใหญ่ (ส่วนคำว่า ทำเหมือง” เป็นคำเรียกการขุดแร่ดีบุก แล้วเรียกบริเวณที่ขุดแร่ว่า เหมือง”)

77.       อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวจีนสามารถควบคุมเศรษฐกิจไทยไว้ได้

(1) ชาวจีนมีสิทธิในการประกอบอาชีพ            (2) ชาวจีนสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ

(3)       ชาวจีนไม่อยู่ในระบบไพร่         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 538 สาเหตุที่ชาวจีนสามารถควบคุมเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ได้ เมื่อ พิจารณาในด้านการเมืองการปกครองอาจวิเคราะห์ได้ ดังนี้ 1. รัฐบาลไทยไม่กีดกันผู้อพยพชาวจีน 2. ชาวจีนที่อยู่ในประเทศมีสิทธิเท่าราษฎรไทย เช่น มีสิทธิในการประกอบอาชีพ และสามารถเดินทางทั่วพระราชอาณาจักรได้ (ถือเป็นอภิสิทธิ์เหนือพ่อค้าต่างชาติตะวันตก)

3.         ชาวจีนไม่อยู่ในระบบไพร่ จึงมีเวลาประกอบอาชีพส่วนตัวได้ตลอดเวลา

78.       ลักษณะการค้าขายในภาคเหนือมักพบสัตว์ประเภทใดเป็นพาหนะขนส่งสินค้า

(1)       วัวชน   (2) วัวต่าง        (3) วัวแล่น       (4) ม้า

ตอบ 2 หน้า 539 – 540 ลักษณะการค้าขายในชุมชนภาคเหนือสมัยรัตนโกสินทร์ คือ การค้าขาย ด้วยพาหนะวัวต่าง ซึ่งเป็นพาหนะขนส่งสินค้าที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ และท่าอิฐ แต่เมื่อรัฐบาลไทยได้ดำเนินการพัฒนาการคมนาคมทางบก ก็ส่งผลกระทบให้พ่อค้าวัวต่างต้องเลิก อาชีพไป เพราะมีรถยนต์เข้ามาขนส่งสินค้าและสิ่งของแทนวัวต่าง

79.       ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตั้งหน่วยงานใดขึ้นเพื่อรวบรวมรายได้เข้าสู่ศูนย์กลาง

(1) หอรัษฎากรพิพัฒน์ (2) เจ้าภาษีนายอากร (3) กรมพระคลังสินค้า            (4) กรมท่าซ้าย

ตอบ 1 หน้า 228555 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการคลังในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อควบคุมกรมกองต่าง ๆ ให้ส่งภาษีตามกำหนด และเป็นหน่วยงาน ที่รวบรวมภาษีรายได้ที่เคยกระจัดกระจายเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ พระคลังหลวง

2.         ตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ และตราพระราชบัญญัติเจ้าภาษีนายอากรขึ้น ในปี พ.ศ. 2416

80.       ผลจากสนธิสัญญาบาวริ่งประการหนึ่ง คือ การยกเลิกการผูกขาดสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าใด

(1)       ข้าว     (2) ดีบุก           (3) ฝิ่น (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 470547 – 548558 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 ซึ่งมีผลดังนี้

1.         ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญแทนนํ้าตาล         2. สามารถยกเลิกระบบพระคลังสินค้าและการผูกขาดสินค้าทุกประเภทที่ดำเนินมาตั้งแต่สมัยอยุธยา (ยกเว้นการค้าฝิ่น)

3.         ไทยเปิดการค้าอย่างเสรี ไม่มีสินค้าต้องห้ามเหมือนแต่ก่อน (ยกเว้นอาวุธยุทธภัณฑ์ ปืน และกระสุนดินดำต้องขายให้รัฐบาล) ฯลฯ

81.       วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์ เริ่มจากความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องใด        

(1) การนับถือเทพเจ้าองค์เดียว

(2)       การนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ           (3) การนับถือธรรมชาติ           (4) การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

ตอบ 3 หน้า 570 – 571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอนดังนี้

1. การบูชานับถือธรรมชาติ      2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม

3.         การบูชาบรรพบุรุษ       4. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

5.         การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของเทพเจ้าแต่ละองค์ให้ต่างกัน

6.         การนับถือพระเจ้าองค์เดียว    7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก

82.       ความเชื่อดั้งเดิมของชนชาติไทยเป็นลักษณะใด        

(1) การนับถือและบูชาเทพเจ้า

(2)       การนับถือผีสางเทวดา (3) การนับถือผู้ปกครอง          (4) การนับถือตนเองเป็นใหญ่

ตอบ 2 หน้า 572 ชนชาติไทยมีความเชื่อถือดั้งเดิมไม่ต่างไปจากชนชาติอื่นๆ คือ การเริ่มนับถือธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมก่อน และต่อมาก็เชื่อและนับถือผีสางเทวดาเพราะคิดว่าในธรรมชาติ แต่ละอย่างมีวิญญาณสิ่งอยู่ ดังนั้นการนับถือผีสางเทวดาจึงเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชนชาติไทย ที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจยากที่จะลบเลือน เพราะแม้ภายหลังที่คนไทยนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ความเชื่อในผีสางเทวดาก็ยังคงอยู่

83.       หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นการรับพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิช่วงระยะแรก คือข้อใด

(1)       พระพุทธรูป     (2) สถูป-เจดีย์ (3) ธรรมจักรศิลา         (4) สถูปและธรรมจักรศิลา

ตอบ 4 หน้า 574 – 575 หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นการรับพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ช่วงระยะแรก ได้แก่ กวางและธรรมจักรศิลา ซึ่งในโบราณวัตถุเหล่านี้มีคาถาที่เหมือนกับคาถา สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นอกจากนั้นโบราณสถานที่พบอีกหลายแห่งก็สร้างตามคติเก่า สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แก่ พระสถูปพระปฐมเจดีย์องค์เดิม และพระแท่นต่าง ๆ

84.       ในสมัยสุโขทัยรับพุทธศาสนาลังกาวงค์เข้ามาในช่วงเวลาของกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พ่อขุนผาเมือง        (2) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

(3)       พ่อขุนรามคำแหง         (4) พระมหาธรรมราชาที่ 1

ตอบ 3 หน้า 582 พระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา ได้นำพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ มาเผยแผ่ที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อน จนกระทั่ง พ.ศ. 1800 เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จไปยังหัวเมืองฝ่ายใต้ ทรงเกิดความเลื่อมใสในพระสงฆ์เหล่านี้ จึงทรงอาราธนาให้พระสงฆ์ นำพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์มาเผยแผ่และประดิษฐานที่เมืองสุโขทัย

85.       พระสงฆ์ที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกาต้องปฏิบัติในเรื่องใด

(1)       ต้องบวชใหม่เป็นพระสงฆ์ในสายลังกาวงศ์ก่อนศึกษาพระธรรม

(2)       ต้องศึกษาภาษาบาลีมาก่อน

(3)       ต้องไม่เคยบวชในนิกายใดมาก่อน

(4)       ต้องเป็นชาวสิงหลเท่านั้น และไม่เคยบวชมาก่อน

ตอบ 1 หน้า 582 พระสงฆ์ต่างชาติที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา จะต้องอุปสมบทหรือบวชใหม่ แปลงเป็นพระสงฆ์ในนิกายลังกาวงศ์ก่อนที่จะศึกษาพระธรรม นอกจากนี้พระสงฆ์ต่างชาติ ยังต้องศึกษาและเรียนรู้ภาษาบาลีจนเชี่ยวชาญ และใช้เวลาศึกษาพระธรรมวินัยในลังกา เป็นเวลานานหลายปี จึงจะเดินทางกลับโดยนำพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ ไปเผยแผ่และประดิษฐานในประเทศของตนได้

86.       ต้นเค้าของมหานิกายในสมัยสุโขทัยเกิดขึ้นอย่างไร

(1)       คณะสงฆ์ทั้งคณะเหนือและคณะใต้รวมกัน

(2)       คณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทแบ่งแยกจากคณะสงฆ์ฝ่ายมหายาน

(3)       คณะสงฆ์คามวาสีรวมกับคณะสงฆ์อรัญวาสี

(4)       คณะสงฆ์อรัญวาสีมีความน่าเลื่อมใสน้อยกว่าคณะสงฆ์คามวาสี

ตอบ 1 หน้า 582 – 583 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระพุทธศาสนาในสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 คณะ ได้แก่ คณะเหนือ ซึ่งเป็นพระสงฆ์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว และคณะใต้ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์ ที่เข้ามาใหม่ และมีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใสกว่าพระสงฆ์เดิม ทำให้การบวชเรียนในลัทธิลังกาวงศ์ เป็นที่นิยมแพร่หลายมากกว่า ประกอบกับจำนวนพระสงฆ์เดิมค่อย ๆ ลดน้อยลง จึงเกิดการรวมกัน ของคณะสงฆ์ทั้งคณะเหนือและคณะใต้ จนกลายเป็นต้นเค้าของพระสงฆ์คณะมหานิกายในปัจจุบัน

87.       ความเลื่อมใสในพุทธศาสนาของคนไทยสมัยอยุธยา ปรากฏในรูปแบบใด

(1) การประกอบพิธีทางพุทธศาสนา   (2) การทำบุญ ทำทาน

(3)       การสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด            (4) มีปรากฏทั้งในข้อ 12 และ 3

ตอบ 4 หน้า 589 – 592, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงถึงความเจริญและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ของคนไทยในสมัยอยุธยา จะสังเกตได้จากการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ทางพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญทำทาน การตักบาตร การประกอบพิธีทางพุทธศาสนา การบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ต้องมีพิธีสงฆ์เป็นองคํประกอบ เป็นต้น

88.       มหาธาตุวิทยาลัย” จัดตั้งขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 5  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 3 หน้า 607 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดตั้งสถานศึกษาทางพระพุทธศาสนาขึ้น 2 แห่ง ได้แก่

1.         มหาธาตุวิทยาลัย สร้างขึ้นที่วัดมหาธาตุในปี พ.ศ. 2432 ต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย 2. มหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2436

89.       ข้อใดชี้ให้เห็นว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับความสุขของฆราวาส

(1)       พระพุทธศาสนาแบ่งความสุขเป็นโลกียสุขและโลกุตตระสุข

(2)       พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสามิสสุขและอามิสสุข

(3)       พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องนิพพานเท่านั้น         (4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 619 พระพุทธศาสนาแบ่งความสุขออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. โลกียสุข เป็นความสุข ของปุถุชนหรือฆราวาสผู้ครองเรือน ซึ่งเป็นสุขที่พัวพันกับทรัพย์สมบัติและวัตถุต่าง ๆ ตลอดจน อารมณ์      2. โลกุตตระสุข เป็นความสุขของผู้สิ้นกิเลสและสำเร็จอรหัตผลแล้ว จึงเป็นสุขที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่พัวพันกับวัตถุหรืออารมณ์ใด ๆ

90.       หลักธรรมในการแก้ปัญหาสังคม มีข้อปฏิบัติสำหรับปรับปรุงตนเองในเรื่องใด

(1) การให้ทุกคนบรรลุถึงโลกุตตระ     (2) การตัดจากกิเลสทั้งปวงซึ่งนำไปสู่นิพพาน

(3)       การให้ทุกคนปลีกตัวออกจากสังคม    (4) การแก้จิตใจของแต่ละคนให้เกิดความสงบ

ตอบ 4 หน้า 628 – 629 จุดมุ่งหมายสำคัญในการแก้ปัญหาสังคมของพระพุทธศาสนา มีข้อปฏิบัติ สำหรับปรับปรุงตบเอง คือ การแก้จิตใจของแต่ละคนให้เกิดความสงบ โดยมีหลักวิธีง่าย ๆ ในการแก้จิตใจตนเองอยู่ 2 วิธี ได้แก่ 1. การสอนให้เชื่อเรื่องกรรมช่วยแก้ปัญหาสังคมได้

2.         การสอนให้พึ่งตนเอง เป็นการวางรากฐานจิตใจไม่ให้อ่อนแอคอยคิดแต่จะพึ่งผู้อื่น

91.       ศาสนาพราหมณ์เกิดจากคติความเชื่อในเรื่องใด

(1) ธรรมชาติ   (2)วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (3) การเกิด การตาย   (4) ทั้ง 3 ข้อรวมกัน

ตรบ 4 หน้า 635, (คำบรรยาย) ศาสนาพราหมณ์เกิดจากการที่มนุษย์มีความกลัวธรรมชาติซึ่งอยู่ แวดล้อม โดยมนุษย์มีความเชื่อว่าธรรมชาติมีวิญญาณศักดิสิทธิ์แฝงอยู่ จึงบันดาลให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ความหนาวเย็น ความแห้งแล้ง ความมืด ความสว่าง การเกิด การตาย เป็นต้น

92.       ข้อใดไม่ถูกต้องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พราหมณ์มีหน้าที่และความสำคัญอย่างไร

(1)       พราหมณ์เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้าและผู้ประกอบพิธีกรรม

(2)       พราหมณ์เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ในคัมภีร์ไตรเวท

(3)       พราหมณ์เป็นผู้ประกอบพาณิชยกรรม

(4)       พราหมณ์เป็นวรรณะที่กำเนิดมาจากปากของพระพรหม

ตอบ 3 หน้า 636 – 639, (คำบรรยาย) ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พราหมณ์มีหน้าที่และความสำคัญ ดังนี้

1.         พราหมณ์เป็นวรรณะที่กำเนิดมาจากพระโอษฐ์ (ปาก) ของพระพรหม และถือเป็น วรรณะสูงสุดของอินเดีย

2.         พราหมณ์เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้า และทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์

3.         พราหมณ์เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ในคัมภีร์พระเวทหรือไตรเวท ฯลฯ

(ส่วนวรรณะแพศย์ เช่น พวกพ่อค้า ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือ ฯลฯ จะทำหน้าที่ทางด้านกสิกรรม และพาณิชยกรรม)

93.       ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยด้านการปกครองในรูปแบบใด

(1) เทวราชา     (2)       ปิตุลาธิปไตย   (3)       ธรรมราชา        (4)       ประชาธิปไตย

ตอบ 1 หน้า 639 – 640 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยด้านการปกครองในสมัย อยุธยา คือ กษัตริย์ทรงใช้หลักการแบบเทวราชาของเขมร ซึ่งเขมรรับมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง มาเป็นหลักในการปกครอง เพราะการขยายตัวของอาณาจักร การมีประชากรจำนวนมากและ กระจัดกระจาย จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจเด็ดขาดและศักดิ์สิทธิ์ของเทวราชามาปกครองอาณาจักร

94.       ประเพณีที่มีอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ คือประเพณีใด

(1) การเผาศพ (2)การแต่งงาน            (3)ทำบุญขึ้นบ้านใหม่  (4)แห่นางแมว

ตอบ 1 หน้า 640 ประเพณีไทยที่มีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ ประเพณีโกนจุก ประเพณีทำบุญอายุและทำขวัญ พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล ประเพณีการเผาศพ การสร้างศาลพระภูมิ ทำขวัญนาค การรดน้ำสังข์ ตลอดจนพิธีวางศิลาฤกษ์ เป็นต้น

95.       ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ชนชาติสุดท้ายที่เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก คือชาติใด

(1) ฮอลันดา    (2)       อังกฤษ            (3)       โปรตุเกส         (4)       ฝรั่งเศส

ตอบ 4 หน้า 641 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ฝรั่งเศสเป็นชาวตะวันตกชาติสุดท้ายที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยสมัยอยุธยา โดยมีวัตถุประสงค์ในการเข้ามาเพื่อฟื้นฟูการเผยแผ่ คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งเสื่อมโทรมลงภายหลังการเสื่อมอิทธิพลของโปรตุเกส ในภูมิภาคนี้

96.       คณะสอนศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ เริ่มเข้ามาสอนศาสนาอย่างชัดเจนในสมัยใด

(1) สมัยรัตนโกสินทร์   (2) สมัยธนบุรี

(3) สมัยอยุธยาตอนต้น           (4) สมัยสมเด็จพระนเรศวร

ตอบ 1 หน้า 643645 ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 3 คณะสอนศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์คณะแรกได้เดินทางมาถึงประเทศไทยในปี พ.ศ. 2371 และได้รับอนุญาต จากรัฐบาลไทยให้เผยแผ่และสอนศาสนาให้กับคนไทย มอญ และจีน แต่ขณะนั้นมีการระบาด ของโรคไข้จับสั่น อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ คณะสอนศาสนาจึงช่วยรักษาโรคและแจกยา พร้อมกับเผยแผ่คำสอนของศาสนาไปด้วย

97.       สมัยใดที่คณะสังฆราชและบาทหลวงไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ จึงถูกสั่งให้ออกไปจาก พระราชอาณาจักร

(1) ธนบุรี         (2) อยุธยา       (3) รัตนโกสินทร์          (4) สุโขทัย

ตอบ 1 หน้า 643 ในตอนปลายรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้มีความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นแต่คณะสังฆราชและบาทหลวงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการของพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงทรงสั่งให้พระสังฆราชและบาทหลวงออกไปจากพระราชอาณาจักร เท่ากับว่าการทำงานของคณะเผยแผ่ศาสนาเหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จนัก ในการเปลี่ยนศาสนาของคนไทย

98.       อิทธิพลของศาสนาอิสลามมีต่อวัฒนธรรมไทยในด้านใดบ้าง

(1) ด้านอาหาร

(2)       ด้านภาษาและการแต่งกาย     (3) การค้า        (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 647 – 649 อิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อวัฒนธรรมไทยมีอยู่หลายด้าน ดังนี้

1. ด้านการเมืองและเศรษฐกิจการค้า 2. ด้านศิลปะ โดยเฉพาะรูปแบบของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ  3.ด้านอาหารและของหวานของไทย  4. ด้านภาษา 5. ด้านการแต่งกาย

6.         ด้านดนตรีและนาฏศิลป์

99.       ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นการแสดงความเชื่อในเรื่องใด

(1)       ผีสาง   (2) เทวดา        (3) เทพเจ้า      (4) วิญญาณบรรพบุรุษ

ตอบ 2 หน้า 653, (คำบรรยาย) ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีของทางภาคอีสาน ซึ่งเป็นการอ้อนวอน ขอฝนจากเทวดาบนสรวงสวรรค์ที่เรียกว่า พญาแถน” เพื่อให้ฝนตกตามฤดูกาล พืชพันธ์ จะได้อุดมสมบูรณ์ โดยมักจุดบั้งไฟเพื่อบูชาพญาแถนในช่วงเดือน 6 ซึ่งเป็นฤดูกาลทำนา

100.    พระราชพิธีพืชมงคล จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด

(1)       เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว

(2)       เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ ให้ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์

(3)       เป็นการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ด้านการเกษตร

(4)       เป็นการแสดงถึงพระบารมีของพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 640668 พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล เดิมมีเพียงพิธีพราหมณ์อย่างเดียว เรียกว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัล” เป็นพิธีเวลาเช้า คือ ลงมือไถ แต่ก่อนทำที่ทุ่งส้มป่อย นอกพระนคร ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ตามคติพระพุทธศาสนาขึ้นอีก เรียกว่า พระราชพิธีพืชมงคล” คือ การทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ ให้ปราศจากโรคภัยและให้ อุดมสมบูรณ์ ซึ่งทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร โดยพิธีทั้งสองนี้จะทำพร้อมกันในคืนเดียว วันเดียวกัน จังได้เรียกชื่อติดกันว่า พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

101.    การศึกษาศิลปกรรมไทยให้ประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่องใดเป็นพิเศษ

(1) ศาสนา       (2) ราชสำนัก   (3) เศรษฐกิจ   (4) การเมือง

ตอบ 1 หน้า 681683 การศึกษาศิลปกรรมไทยจะให้ประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่องศาสนาเป็นพิเศษ เพราะศิลปกรรมไทยในยุคประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะเป็นงานช่างในศาสนา ซึ่งมักจะสร้างขึ้น ตามความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นงานช่างในศาสนา จึงเป็นการแสดงออกของงานศิลปะที่มีคุณค่า มีความหมายต่อวิถีชีวิต และนำแนวความคิด ของคนในอดีตมาสู่คนรุ่นปัจจุบันได้

102.    ลักษณะศิลปะแบบอุดมคติ เห็นได้ชัดเจนยุคใด

(1) ทวารวดี      (2) ลพบุรี         (3) ศรีวิชัย       (4) สุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 711 – 712, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic Arts) คือ ศิลปะที่มีความรู้สึกสูงกว่าธรรมชาติทั่วไปและหนักไปทางทิพย์สวรรค์ เป็นศิลปะที่มีแบบอย่าง แห่งความคิดคำนึงโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะศิลปะแบบอุดมคติของชนชาติไทยนี้จะเห็นได้ชัดเจน ที่สุดในศิลปะยุคสุโขทัย โดยเฉพาะประติมากรรมพระพุทธรูปที่เจริญถึงขั้นสูงสุดและแสดง ความเป็นไทยแท้ได้มากกว่าสมัยใด ๆ จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของประติมากรรมไทย

103.    สิ่งใดใช้ในการศึกษาลักษณะศิลปะแบบช่างคุปตะในศิลาสลักรูปธรรมจักร

(1) ขนาดของวงธรรมจักร

(2)       ลวดลายประดับ         (3) เรื่องพระพุทธประวัติ          (4) การจารึกคาถา เย ธัมมา

ตอบ 2 หน้า 689, (คำบรรยาย) ศิลาสลักรูปธรรมจักรที่พบในศิลปะสมัยทวารวดี จะมีลวดลายเครื่องประดับคล้ายคลึงกับฝีมือของช่างคุปตะ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าศิลาสลักรูปธรรมจักร เหล่านี้คงจะเป็นฝีเมือของช่างทวารวดีที่ทำขึ้น เพื่อเลียนแบบวัตถุที่สมณทูตในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราชนำเข้ามา

104.    บริเวณใดค้นพบเทวรูปศิลาศิลปะร่วมสมัยกับทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 14

(1) เชียงแสน   (2) ปราจีนบุรี   (3) สิงห์บุรี       (4) สุพรรณบุรี

ตอบ 2 หน้า 683691, (คำบรรยาย) ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า หรือวัตถุรุ่นเก่า (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14)สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู และมีอายุร่วมสมัยกับศิลปะทวารวดีที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา โดยเทวรูป ศิลารุ่นเก่าส่วนใหญ่มักพบในภาคใต้ของไทยแถบเขต จ.สุราษฎร์ธานี และทางภาคตะวันออก แถบดงศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี นอกจากนี้ที่เมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ก็พบด้วยเช่นกัน

105.    วัฒนธรรมทวารวดีที่กระจายหลายแห่งในเขตภูมิภาคของประเทศไทยสะท้อนความเชื่อใด

(1) ลัทธิบูชาบรรพบุรุษและผี  (2) พุทธศาสนาหินยานแบบเถรวาท

(3)       พุทธศาสนาหินยาน มหายาน และฮินดู           (4) พุทธศาสนามหายานแบบอาจาริยวาท

ตอบ 3 หน้า 684 – 685 วัฒนธรรมทวารวดีที่กระจายหลายแห่งในเขตภูมิภาคของประเทศไทยสะท้อนความเชื่อในการนับถือศาสนา ดังนี้

1.         พุทธศาสนาหินยาน (เถรวาท) ดังหลักฐานการพบจารึกคาถา เย ธัมมา และจารึกภาษาบาลี โดยศิลปกรรมที่พบส่วนใหญ่มักสร้างขึ้นในศาสนานี้มากที่สุด

2.         พุทธศาสนามหายาน (อาจาริยวาท) ดังหลักฐานการพบประติมากรรมพระโพธิสัตว์ในพื้นที่ต่าง ๆ

3.         ศาสนาฮินดู ดังหลักฐานการพบศิวลึงค์ และประติมากรรมพระวิษณุเป็นจำนวนมาก

106.    ข้อใดคือประติมากรรมสัญลักษณ์ของศิลปกรรมทวารวดี

(1) ธรรมจักร    (2) ใบเสมาหิน (3) พนัสบดี     (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 687 – 689, (คำบรรยาย) ประติมากรรมสัญลักษณ์ของศิลปกรรมทวารวดี มีดังนี้

1.         ธรรมจักรและกวางหมอบ เป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาในทวารวดีภาคกลาง หมายถึง พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

2.         ใบเสมาหิน เป็นสัญลักษณ์ของพุทธคาสนาในทวารวดีภาคอีสาน มักสลักเป็นรูปสถูปและ ภาพเล่าเรื่องชาดกหรือพุทธประวัติ

3.         พนัสบดี เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ มักพบเป็นหน้าสัตว์ที่รองรับ พระพุทธเจ้าประทับยืนหรือนั่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าพุทธศาสนามีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า ศาสนาพราหมณ์

107.    ศิลปกรรมศรีวิชัยส่วนใหญ่ร้างขึ้นเพื่อสนองศรัทธาในศาสนาใด

(1) ศาสนาฮินดู            (2) พุทธศาสนาหินยาน

(3)       พุทธศาสนามหายาน   (4) พุทธศาสนาหินยาน และศาสนาฮินดู

ตอบ 3 หน้า 694 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) เกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งศิลปกรรมศรีวิชัยส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นเพื่อสนองศรัทธาในพุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยโบราณวัตถุไม่ว่าจะสลักด้วยศิลาหรือหล่อด้วยสัมฤทธิ์ (สำริด) จะมีลักษณะคล้ายคลึง กับของที่พบในเกาะชวาภาคกลางเป็นอย่างมาก

108.    ข้อใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปกรรมชั้นยอดของศิลปกรรมศรีวิชัย

(1) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรครึ่งองค์ พบที่อำเภอไชยา         (2) พระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา

(3) พระพิมพ์ดินดิบลักษณะงดงาม     (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 694 – 696, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมศรีวิชัยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปกรรมชั้นยอด มีดังนี้

1.         พระบรมธาตุไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับบรรดาเจดีย์ในเกาะชวามาก

2.         พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสัมฤทธิ์ (สำริด) ครึ่งองค์ พบที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นประติมากรรมที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่ง ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

3.         พระพิมพ์ดิบดิบ ถือเป็นศิลปกรรมที่งดงามอีกอย่างหนึ่งของศิลปะสมัยศรีวิชัย

109.    การพบศิวลึงค์หลายองค์ในภาคใต้ของไทย แสดงถึงความเชื่อเรื่องใด

(1) พราหมณ์   (2) ฮินดู           (3) ฮินดู ไศวนิกาย       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 636691 ในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย (นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นใหญ่)จะกราบไหว้บูชารูปพระศิวะ ซึ่งนิยมสร้างในรูปสัญลักษณ์เป็นศิวลึงค์ โดยจะพบทั้งในภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เช่น เอกามุขลึงค์ พบที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 11-12

110.    ข้อใดคือสถานที่ที่ปรากฏสถาปัตยกรรมแบบลพบุรี

(1) วัดกำแพงแลง เพชรบุรี      (2) ปราสาทเมืองสิงห์ กาญจนบุรี

(3) วัตพระพายหลวง สุโขทัย   (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 699 – 700708, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมสมัยศิลปะลพบุรี หรือศิลปะขอมใน ประเทศไทยไม่ได้พบแต่ในเขตเมืองละโว้ (ลพบุรี) เท่านั้น แต่กลับพบในบริเวณเมืองต่าง ๆ ในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาด้วย เช่น ปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมาปราสาทหินพนมรุ้ง และทับหลังสลักรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ จ.บุรีรัมย์ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรีพระปรางค์สามยอดและพระปรางค์แขก จ.ลพบุรีปราสาทแบบขอมที่วัดกำแพงแลง จ.เพชรบุรีวัดพระพายหลวง วัดศรีสวาย และศาลตาผาแตง จ.สุโขทัย (แสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมขอมก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย) 

111.    ศิลปกรรมแหล่งใดแสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมขอมก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย

(1) วัดศรีชุม     (2) วัดพระเชตุพนฯ      (3) วัดพระมหาธาตุ     (4) วัดพระพายหลวง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112.    สถาปัตยกรรมเชียงแสนที่เป็นลักษณะร่วมกับสถาปัตยกรรมสุโขทัย คือข้อใด

(1) เจดีย์ทรงเหลี่ยม    (2) เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา

(3) วิหาร 7 ยอด           (4) เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม

ตอบ 2 หน้า 710715 – 716, (คำบรรยาย) เจดีย์ทรงระฆัง หรือเจดีย์ทรงกลมแบบลังกาเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาหรือเชียงแสนที่เป็นลักษณะร่วมกับสถาปัตยกรรมสุโขทัย โดยมีต้นแบบมาจากลังกา แต่ล้านนารับรูปแบบเจดีย์ทรงนี้มาจาก 2 ทาง คือ รับผ่านมาทางพุกาม และรับมาจากสุโขทัย ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนบางส่วนจนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของล้านนา ซึ่งที่นับว่างดงามที่สุด ได้แก่ พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน

113.    พระพุทธรูปปางลีลา ศิลปกรรมสุโขทัย สื่อความหมายถึงตอนใดในพุทธประวัติ

(1) การแสดงปฐมเทศนา         (2) การตรัสรู้

(3) การเสด็จลงจากดาวดึงส์   (4) การประกาศพระธรรมคำสั่งสอน

ตอบ 3 หน้า 712 พระพุทธรูปยืนในศิลปกรรมสุโขทัยหมวดใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางลีลา ลอยตัวที่มีความงดงามไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน และถือได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของสุโขทัย ซึ่งน่าจะมีที่มาจากภาพพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

114.    ปางใดเป็นพุทธศิลป์ที่นิยมสร้างในสมัยศิลปะลพบุรี

(1) ปางมารวิชัย           (2) ปางมารวิชัยนาคปรก         (3) ปางสมาธิ  (4) ปางสมาธินาคปรก

ตอบ 4 หน้า 701, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยศิลปะลพบุรี คือ พระพุทธรูปปางสมาธิ นาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งขัดสมาธิราบ และมัก จะสลักด้วยศิลาทราย ต่อมาในสมัยหลังประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มักนิยมสลักเป็น พระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่องซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะลพบุรีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศิลปะขอม

115.    สถาปัตยกรรมในศิลปะแบบลพบุรี มีลักษณะเด่นคืออะไร

(1) สร้างจากศิลาหรืออิฐ         (2) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นพุทธสถาน

(3) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นเทวสถาน            (4) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นพุทธสถานและเทวสถาน

ตอบ 4 หน้า 699 สถาปัตยกรรมสำคัญใบศิลปะแบบลพบุรี ได้แก่ ปราสาท ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ มักสร้างขึ้นจากศิลาหรืออิฐ เพื่อเป็นประธานของพุทธสถานและเทวสถาน (เทวาลัย) โดยมี จุดประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เทวรูป หรือถวายบรรพบุรุษ ตลอดจน เป็นศาสนสถานประจำชุมชน

116.    ลักษณะสถาปัตยกรรมที่สมัยอยุธยาเป็นต้นแบบให้แก่สมัยรัตนโกสินทร์ ยกเว้นข้อใด (1) โบสถ์วิหารมีประตูแต่ไม่นิยมมีหน้าต่าง    (2) หลังคาลดหลั่นเป็นชั้น ๆ

(3) จำหลักตกแต่งหน้าบัน และมีช่อฟ้าใบระกา          (4) สร้างพระอารามหลวงในเขตพระราชฐาน

ตอบ 1 หน้า 599723729, (คำบรรยาย) ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบประเพณีที่สมัยอยุธยา เป็นต้นแบบให้แก่สมัยรัตนโกสินทร์ มีดังนี้ 1. โบสถ์วิหารมีฐานอ่อนโค้ง มีประตูและนิยม เจาะช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีบานหน้าต่างเปิด-ปิด 2. หลังคาลดหลั่นเป็นชั้น ๆ นิยมใช้เครื่องไม้จำหลักตกแต่งหน้าบัน และประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์

3.         นิยมสร้างพระอารามหลวงในเขตพระราซฐาน เช่น วัดพระศรีสรรเพชญในสมัยอยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในสมัยรัตนโกสินทร์ ฯลฯ

117.    จิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่เจริญสูงสุดและพัฒนาการสู่สมัยรัตนโกสินทร์ คือข้อใด

(1) ลายกำมะลอ         (2) เทพชุมนุม  (3) ทศชาติ       (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 727733, (คำบรรยาย) จิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่เจริญสูงสุดและพัฒนาการมาสู่ สมัยรัตนโกสินทร์ คือ ลายกำมะลอ หรือภาพทิวทัศน์ตามแบบจีน ซึ่งได้ให้อิทธิพลต่อจิตรกรรม ในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ภาพเทพชุมนุม ภาพพุทธประวัติหรือทศชาติ และภาพไตรภูมิ ยังให้แบบแผนการเขียนภาพบนฝาผนังโบสถ์ในจิตรกรรมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-3 อีกด้วย

118.    วัดนิเวศธรรมประวัติ อยุธยา เป็นศิลปะแบบใด

(1) แบบจีน      (2) แบบโกธิก  (3) แบบนีโอคลาสสิก  (4) แบบญี่ปุ่น

ตอบ 2 หน้า 730 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างวัดไว้น้อยแห่ง แต่บางแห่งแสดงถึงศิลปกรรมตะวันตก เช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ อ.บางปะอิน จ.อยุธยา สร้างเลียนแบบศิลปะโกธิกในยุโรป และ วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ สร้างด้วยหินออนจากอิตาลี ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง วัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตก

119.    สถาปัตยกรรมตามแบบแผนประเพณีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นตรงกับข้อใด

(1)       พระปรางค์วัดระฆังและพระเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ วัดพระเชตุพนฯ

(2)       พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม

(3)       โบสถ์วิหารวัดราชโอรส และวัดเทพธิดา

(4)       เจดีย์รูปเรือสำเภา วัดยานนาวา

ตอบ 1 หน้า 724730, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมตามแบบแผนประเพณีในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1 – 3) จะนิยมสร้างพระปรางค์ และพระเจดีย์ไม้สิบสองหรือพระเจดีย์ทรงเครื่องตามแบบ สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งที่สำคัญคือ พระปรางค์วัดระฆัง และพระเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 ถือเป็นพระปรางค์ที่มีรูปแบบ รุดหน้าเป็นเอกลักษณ์พิเศษของกรุงรัตนโกสินทร์

120.    รัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปขึ้นใหม่ให้มีลักษณะคล้ายสามัญชน คือข้อใด

(1) จีวรบางแนบเนื้อ    (2) ขัดสมาธิราบ          (3) ไม่มีพระเกตุมาลา  (4) มีขนาดใหญ่

ตอบ 3 หน้า 732, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปขึ้นใหม่ เพื่อให้ มีลักษณะคล้ายสามัญชนยิ่งขึ้น คือ ไม่มีพระเกตุมาลาหรืออุษณีษะ จีวรเป็นริ้วตามธรรมชาติ ของผ้า ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร และรายละเอียดของพระวรกายเป็นไปตามสรีระของมนุษย์ ตามปกติ จึงจัดเป็นพระพุทธรูปแบบสมจริง เช่น พระพุทธนิรันตรายที่โปรดให้สร้างขึ้น แต่ไม่เป็นที่นิยมกันนัก

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ถํ้าตาด้วง อยู่จังหวัดอะไร

(1)       ราชบุรี  (2) อุทัยธานี    (3) กาญจนบุรี (4) อุดรธานี

ตอบ 3 หน้า 7 ถํ้าตาด้วง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นถํ้าที่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นภาพเขียนสี ซึ่งแสดงขบวนแห่กลองมโหระทึก มีอายุประมาณ 2,000 – 2,500 ปี

2.         ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดีคืออะไร         

(1) นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท

(2)       ใช้ภาษาสันสกฤต       (3) รับวัฒนธรรมเขมร  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 13-14 ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดี คือ การนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรับผ่านมาจากมอญ แต่พุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์ก็เป็น ที่ยอมรับด้วยแต่ไม่มากนัก โดยภาษาที่ใช้มีทั้งภาษามอญ สันสกฤต และบาลี ลักษณะตัวอักษร เป็นแบบอินเดียใต้ ทั้งนี้วัฒนธรรมทวารวดียังปรากฏอยู่ทั้งในเขตภาคเหนือ ภาคใต้ และ ภาคอีสานตอนบนของไทย ซึ่งนักวิชาการเชื่อว่าอิทธิพลของเขมรทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม ยังมาไม่ถึงแว่นแคว้นบริเวณนี้

3.         ภาพสลักกองกำลัง เสียมกุก” ปรากฏอยู่ที่ใด

(1)       ปราสาทบายน ประเทศกัมพูชา          (2) ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา

(3)       วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประเทศไทย           (4) วัดพระศรีสรรเพชญ ประเทศไทย

ตอบ 2 หน้า 17 ภาพสลักนูนตํ่าที่ระเบียงปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา เป็นภาพที่แสดงกองทัพ สยกุก” หรือเสียมกุก ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งในกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656 – 1693) แห่งกัมพูชา ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าพวกทหารเสียมเหล่านี้ถูกเกณฑ์ ไปจากบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา

4.         กษัตริย์พระองค์แรกของกรุงสุโขทัยคือใคร    

(1) พ่อขุนผาเมือง

(2)       พ่อขุนศรีอินทราทิตย์   (3) พ่อขุนศรีนาวนำถม            (4) พ่อขุนรามคำแหง

ตอบ 3 หน้า 23, (คำบรรยาย) หลักฐานสุโขทัยเท่าที่มีปรากฏ ได้กล่าวถึงกษัตริย์พระองค์แรกของกรุงสุโขทัย คือ พ่อขุนศรีนาวนำถม ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพ่อขุนผาเมือง ผู้ปกครองเมืองราด ส่วนกษัตริย์สุโขทัยพระองค์ต่อมา คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือมีพระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งเป็นพระสหายของพ่อขุนผาเมือง

5.         ราชวงศ์ลาวจก สถาปนาอาณาจักรใด           

(1) หริภุญไชย

(2)       หิรัญนครเงินยาง         (3) นครศรีธรรมราช     (4) ทวารวดี

ตอบ 2 หน้า 20 แคว้นเงินยางเชียงแสน หรือหิรัญนครเงินยาง สถาปนาขึ้นโดยราชวงศ์ลาวจกในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งในสมัยของพระยาเจื๋อง ขอบข่ายของแคว้นเงินยางได้ขยายขึ้นไป ถึงสิบสองปันนา หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ ต่อมาลูกหลานของพระยาเจื๋องได้ปกครอง อีก 4 – 5 คน ก็ถึงสมัยของพระยามังราย

6.         ข้อใดคือความหมายของผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจของชุมชนไทในบริเวณภาคใต้ของจีน

(1)       ผู้นำที่เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า

(2)       ผู้นำที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ

(3)       ผู้นำที่เป็นพระจักรพรรดิราช   (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 80-81 ลักษณะผู้นำของชุมชนไทใบบริเวณภาคใต้ของจีนประการหนึ่ง คือ ผู้นำจะ อ้างที่มาจากสวรรค์ และยังอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ เช่น สามารถติดต่อกับวิญญาณของอดีตผู้นำคนก่อนๆ ได้ ซึ่งนักวิชาการจะเรียกผู้นำในลักษณะนี้ว่า ผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจ” (Bi§ Men or Men of Prowess) และเมื่อผู้นำนี้ตายไปก็จะได้รับ การนับถือบูชาว่าเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งด้วย

7.         หลักการเรื่องผู้นำที่เป็นมหาชนสมมุติ ปรากฏในหลักฐานใด

(1)       ไตรภูมิพระร่วง (2) พระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร

(3)       ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่         (4) ศิลาจารึกหลักที่ 1

ตอบ 2 หน้า 92 ผู้นำที่ดีควรเป็น มหาชนสมมุติ” เป็นหลักการของพุทธคาสนาที่ปรากฏอยูในพระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร ซึ่งได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำหรือกษัตริย์ควรเป็นมนุษย์เหมือน ประชาชนมิใช่เทพเจ้า โดยต้องเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับและเลือกสรรจากประชาชน ให้เป็นผู้นำ เพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น จึงจะเรียกว่าเป็นมหาชนสมมุติ

8.         พระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน มีคุณสมบัติอย่างไร

(1)       มีพระบรมเดชานุภาพจากชัยชนะในสงคราม  (2) มีพระราชฐานะต่ำกว่า มหาชนสมมุติ

(3)       ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีจนเต็มเปี่ยม           (4) มีคุณสมบัติตรงตามศาสนาพราหมณ์กำหนด

ตอบ 3 หน้า 93 พระไตรปิฎกในส่วนสุตตันตปิฎก จักกวัติสูตร ได้ระบุว่า ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน ซึ่งหมายถึง กษัตริย์แห่งจักรวาล หรือพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิราช ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีมาเต็มเปี่ยม

9.         ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 มีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ

(1)       ไม่เน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช         (2) ไม่อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์

(3) ไม่มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่าง จากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการ อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้คำราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย ส่วนหลักการของธรรมราชาอื่น ๆ นั้น ทางล้านนาก็ใช้คล้ายคลึงกับสุโขทัย เช่น การเน้นความสำคัญของหลักทคพิธราชธรรม การทำสงครามธรรมยุทธ ฯลฯ

10.       ข้อใดถูกเกี่ยวกับสมัยสุโขทัย

(1)       ไม่ปรากฏอิทธิพลลัทธิเทวราชาในสมัยสุโขทัย

(2)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชาเต็มรูปแบบมาใช้

(3)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยก หรือมีการแย่งชิงอำนาจ

(4)       ลัทธิเทวราชามีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย

ตอบ2 หน้า 100 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คงมีการนำคติบางอย่าง ของลัทธิเทวราชามาใช้ แต่อาจใช้ไม่เต็มรูปแบบหรือตลอดเวลา เช่น อาจนำลัทธิเทวราชามาใช้ ในยามที่อาณาจักรแตกแยกและต้องรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่ หรือใช้ในยามที่มีการทำรัฐประหาร แย่งชิงอำนาจกษัตริย์พระองค์ก่อน

11.       ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบทหาร

(1)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึก

(2)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องเป็นทหารทั้งในยามสงบและสงคราม

(3)       สมุหกลาโหมมีอำนาจสูงสุด  

(4) ใช้การปกครองแบบเข้มงวดและเด็ดขาด

ตอบ 1 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึกสงคราม ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีรากฐานมาจากประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็น ทหารประจำการและพลเรือนได้

12.       ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของกฎมณเฑียรบาล    

(1) เป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

(2)       เป็นการจัดทำเนียบศักดินา   

(3) เป็นหมวดหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง

(4)       เพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

ตอบ 4 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรกที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงค์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชาของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี

13.       พระราชพิธีใดที่ข้าราชการต้องทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย

(1)       พระราชพิธีบรมราชาภิเษก      (2) พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

(3)       พระราชพีธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ            (4) พระราชพิธิฟันนา

ตอบ 2 หน้กํ 126140 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยู่ในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัย ดังหลักฐานจากพระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ข้าราชการต้องถวายสักการะ หรือทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูปของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองค์)โดยจะต้องกระทำปีละ 2 ครั้ง

14.       ข้อใดถูกต้อง

(1)       พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ

(2)       ราชศาสตร์ยกเลิกไม่ได้           (3) ธรรมศาสตร์เป็นหมวดหนึ่งของราชศาสตร์

(4)       กฎหมายธรรมศาสตร์สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

ตอบ1 หน้า 134 – 135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่ พระธรรมศาสตร์และพระราชศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1.         พระธรรมศาสตร์เป็นกฎหมายหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด และยกเลิกไม่ได้

2.         พระธรรมศาสตร์ไม่สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

3.         พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นสาขาคดีของพระธรรมศาสตร์

4.         กษัตริย์ทรงเป็นผู้ตราพระราชศาสตร์ เพื่อใช้ในกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ในพระธรรมศาสตร์

5.         พระราชศาสตร์อาจถูกยกเลิกโดยกษัตริย์ในรัชกาลต่อ ๆ ไปได้ ฯลฯ

15.       ข้อใดคือนโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(1) แบ่งงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน     (2) แบ่งการปกครองออกเป็นภูมิภาค

(3)       กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง      (4) จัดตั้งเมืองลูกหลวงในเขตเมืองชั้นใน

ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูประบบบริหารราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้

1.         แบ่งแยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน

2.         จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไป ควบคุมโดยตรง

16.       เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์

(1)       กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

(2)       เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมด

(3)       กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน      

(4) ถูกทุกข้อ ตอบ 4 หน้า 155 – 156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัยมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้

1.         กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน

2.         เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง

3.         กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงาน เป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

17.       การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะแบบใด

(1) แบ่งงานตามหน้าที่โดยเคร่งครัด    (2) ยกเลิกกรมสำคัญ 6 กรม

(3) แบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาค (4) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 157 – 158 การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ ระบบแบ่งงานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง (Functional Basis) ออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน สลายไป กลายเป็นระบบแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นส่วนภูมิภาคหรือเขตแดน (Territorial Basis) แทน ดังนี้

1.         กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้

2.         กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ

3.         กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

18.       เขตมณฑลราชธานี จัดตั้งขึ้นในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1   (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนเรศวร (4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

19.       ข้อใดไม่ใช่แนวทางการปกครองแบบธรรมราชา

(1)       กษัตริย์ต้องเป็นผู้บวงสรวงผีบรรพบุรุษ

(2)       ผู้น้ำที่ดีควรเป็นมหาชนสมมุติ

(3)       กษัตริย์ต้องปกครองตามหลักธรรมสำหรับพผู้ปกครอง

(4)       กษัตริย์ต้องบำรุงประชาชนให้อยู่ดีกินดี

ตอบ 1 หน้า 92 – 95 แนวทางการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นอุดมการณ์การปกครอง ตามหลักพุทธศาสนา มีดังนี้

1.         ผู้นำที่ดีควรเป็นมหาชนสมมุติ (ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ)

2.         ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศจะได้รับยกย่องเป็นพระจักรพรรดิราชหริอจักรวาทิน (ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ)

3.         ผู้นำหรือกษัตริย์ต้องปกครองตามหลักธรรมสำหรับผู้ปกครอง และต้องเอาใจใส่ทำนุบำรุง ประชาชนให้อยู่ดีกินดี มิให้ถูกกดขี่ข่มเหง ฯลฯ

20.       ข้อใดที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยึดอุดมการณ์ธรรมราชา

(1)       การตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม         (2) การสังคายนาพระไตรปิฎก

(3) การลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 183 – 186 พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นทรงยึดอุดมการณ์ธรรมราชา เป็นหลักสำคัญที่สุด โดยมีแนวทางดังนี้

1.         ทรงตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม ซึ่งมิได้เกียวกับราชกรบ้านเมืองโดยตรงแต่อย่างใด

2.         ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยการสังคายนาพระไตรปิฎก ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและ พระพุทธรูปจำนวนมาก

3.         ทรงปกป้องคุ้มครองประชาชน โดยการลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร และดูแลมิให้มูลนาย ข่มเหงรังแกราษฎร ฯลฯ

21.       ข้อใดคือลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1) ลักษณะเทวราชามีความสำคัญมากขึ้น     (2) ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(3) ลดความสำคัญในเรื่องผู้นำที่มีบารมีสูง     (4) เน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

ตอบ 4 หน้า 197202 – 204 ลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย มีดังนี้

1.         การเน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

2.         ความเชื่อในเรื่องบารมีของพระมหากษัตริย์ยังคงมีอยู่

3.         ความเสื่อมของลักษณะเทวราชา

4.         ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์

22.       ราชกิจจานุเบกษามีการพิมพ์เผยแพร่ในสมัยรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 1 หน้า 199 – 200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเผยแพร่เป็นรายสัปดาห์ เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และ ปิดหนทางที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร

23.       ข้อใดคือผลงานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก

(1) การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง            (2) ระบบทาสถูกยกเลิกโดยเด็ดขาด

(3) มีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน 2 สภา   (4) มีการปฏิรูประบบการศาลอย่างแท้จริง

ตอบ 3 หน้า 227 – 228 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก (พ.ศ. 2417 – 2418) โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 สภา ได้แก่

1.         สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (State Council or Council of State)

2.         สภาองคมนตรี (Privy Council)

24.       เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง ทรงปฏิรูปประเทศด้านใดเป็นอันดับแรก

(1) การคลัง     (2) การปกครอง          (3) การบริหารราชการ (4) สังคม

ตอบ 1 หน้า 205 เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นปกครองประเทศด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงเร่งปฏิรูปประเทศ ด้านการคลังก่อนด้านอื่นเป็นอันดับแรก จากนั้นการปฏิรูประบบบริหารราชการและระบบสังคม ก็ตามมา เพื่อสร้างควมมั่นคงเข้มแข็งให้แก่อาณาจักรไทยในช่วงที่จักรวรรดินิยมตะวันตก กำลังมีความรุนแรงถึงขีดสุด ซึ่งส่งผลให้อำนาจบริหารมารวมศูนย์ที่องค์พระมหากษัตริย์มากขึ้น

25.       ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบมณฑลเทศาภิบาล

(1) จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5            (2) เป็นการบริหารราชการส่วนภูมิภาค

(3)       ได้รับแนวทางจากการปกครองของฝรั่งเศสที่ปกครองอินโดจีน

(4)       เป็นระบบที่เมืองหลวงสามารถควบคุมบริเวณทั้งหมดของอาณาจักรและประเทศราชได้อย่างทั่วถึง

ตอบ 3 หน้า 56234 – 236 ระบบมณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะดังนี้

1.         เป็นการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแบบรวมศูนย์อำนาจ เพื่อให้เมืองหลวงควบคุมบริเวณ ทั้งหมดของอาณาจักรและเขตประเทศราชได้อย่างทั่วถึง

2.         ได้รับแนวทางจากการปกครองของอังกฤษในพม่าและมลายู

3.         ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นคนในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในกรุงเทพฯ ที่ได้รับแต่งตั้งโดยตรง ออกไปจากเมืองหลวง

4.         ระบบมณฑลเทศาภิบาลจัดตั้งตามความพร้อมในแต่ละภูมิภาค มิได้จัดทีเดียวทั่วประเทศ

5.         ผลสำเร็จในการปฏิรูปทำให้ประเทศไทยสามารถผนวกดินแดนในเขตชั้นนอกและเขต ประเทศราชให้เป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกับส่วนกลางในลักษณะรัฐประชาชาติ (National state) ได้สำเร็จ

26.       ข้อใดคืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในช่วงแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงัก

(1) การขัดขวางจากพวกอนุรักษนิยม  (2) การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

(3) การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 227 – 229 อุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผนดินในระยะแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงักลง ได้แก่

1.         การขัดขวางจากฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งในลักษณะของการดื้อแพ่งและการต่อต้านด้วยกำลังอาวุธ

2.         การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

3.         การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม โดยเฉพาะบรรดาสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับการแสดงความคิดเห็น และยังเกรงกลัวต่ออิทธิพลของฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่

27.       ผลสำเร็จในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดจากข้อใด

(1)       การใช้ระบบ กินเมือง”       (2) การเพิ่มอำนาจให้เมืองประเทศราช

(3) การจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาล           (4) การฟื้นฟูระบบเมืองลูกหลวง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

28.       ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการเผยแพร่อุดมการณ์ตะวันตกเข้าสู่คนไทยคือข้อใด

(1) การขยายตัวทางการศึกษาแผนใหม่          (2) การจัดทำราชกิจจานุเบกษา

(3) การจัดทำหนังสือพิมพ์       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 239 – 240 ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการเผยแพร่อุดมการณ์ตะวันตกเข้าสู่คนไทย คือ การขยายตัวทางการศึกษาแผนใหม่ ซึ่งเริ่มอย่างจริงจังในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเมื่อผู้มีการศึกษาดี และมีสำนึกทางการเมืองสูงเข้าสู่ระบบราชการแล้ว บุคคลเหล่านี้ก็ต้องการพัฒนาประเทศ ให้เจริญตามแบบตะวันตก จึงพยายามล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ระบอบประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งความเจริญของประเทศ

29.       ข้อใดคือยุคทองของหนังสือพิมพ์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1) สมัยรัชกาลที่ 4      (2) สมัยรัชกาลที่ 5      (3) สมัยรัชกาลที่ 6      (4) สมัยรัชกาลที่ 7

ตอบ 3 หน้า 240 หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ ดร.บรัดเลย์ได้จัดพิมพ์ หนังสือพิมพ์ “Bangkok Recorder” ขึ้นในปี พ.ศ. 2387 หลังจากนั้นในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ซึ่งเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็มีผู้จัดทำหนังสือพิมพ์เรื่อยมาจนถึงยุคทองของหนังสือพิมพ์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทำให้ข่าวสารทางการเมืองเริ่มเป็นที่น่าสนใจของประชาชนมากขึ้น

30.       ขบถผู้มีบุญ คือ การต่อต้านอำนาจส่วนกลาง เกิดขึ้นในมณฑลใด

(1) พายัพ        (2) อีสาน         (3)       ภูเก็ต   (4)       ปัตตานี

ตอบ 2 หน้า 236 – 237 การปฏิรูปส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องเผชิญกับปัญหาการต่อต้าน อำนาจส่วนกลางจากฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง ซึ่งได้แก่ พวกเจ้าเมืองและเจ้าประเทศราชเดิม โดยการต่อต้านจะเกิดขึ้นทั้งในมณฑลอีสาน พายัพ และปัตตานี ดังนี้

1.         ในมณฑลอีสานเกิด ขบถผีบุญ หรือขบถผู้มีบุญ” ขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2444

2.         ในมณฑลพายัพหรือภาคเหนือเกิด ขบถเงี้ยวเมืองแพร่” ขึ้นในปี พ.ศ. 2445

3.         ในมณฑลปัตตานีเกิด ขบถพระยาแขกเจ็ดหัวเมือง” ขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2444

31.       เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่นํ้าใด

(1) เจ้าพระยา  (2) ปิง  (3)       ยม       (4)       น่าน

ตอบ 3 หน้า 23 – 24. (คำบรรยาย) บริเวณที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัยอยู่ในเขตภาคกลางตอนบนของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยเมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บบที่ราบลุ่มแม่น้ำยม ซึ่งอยู่ ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง และมีศูนย์กลางของชุมชนเมื่อแรกตั้งอยู่ที่เมืองเก่าสุโขทัย บริเวณวัดพระพายหลวง หลังจากนั้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงจึงย้ายศูนย์กลางของราชธานี มาอยู่ในตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน บริเวณวัดมหาธาตุ

32.       ชุมชนแห่งแรกของสุโขทัย มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดใด

(1) วัดพระพายหลวง   (2) วัดมหาธาตุ            (3)       วัดศรีสวาย      (4)       วัดศรีชุม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

33.       เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส์…” ถามว่าเบื้องหัวนอนในศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ หมายถึงทิศใด

(1)       ทิศตะวันออก   (2) ทิศตะวันตก           (3) ทิศเหนือ     (4) ทิศใต้

ตอบ 4 หน้า 589, (คำบรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหง ได้กล่าวถึงทิศทั้ง 4 ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างจากปัจจฺบัน กล่าวคือ เบื้องต้นนอน (ทิศเหนือ)เบื้องหัวนอน (ทิศใต้)เบื้องตะวันออก (ทิศตะวันออก) และเบื้องตะวันตก (ทิศตะวันตก)

34.       ผู้ปกครองที่อธรรม เบียดเบียนประชาชน กินสินบนจากลูกความ ตายไปต้องตกนรก หรือเกิดเป็นเปรต ได้รับความทรมานอย่างมาก” เป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารใด

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) มังรายศาสตร์        (3) มหาชาติคำหลวง   (4) กฎหมายตราสามดวง

ตอบ 1 หน้า 277 หนังสือเรื่องไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทย ได้มีการปลูกฝังความเชื่อว่าลูกเจ้าลูกขุนที่เป็นขุนธรรมย่อมมีผลให้ ดินฟ้าอากาศเป็นปกติตามฤดูกาล และย่อมเป็นที่รักของเทวดา ส่วนผู้ปกครองที่อธรรม เบียดเบียนประชาชน กินสินบนจากลูกความ ตายไปต้องตกนรก หรือเกิดเป็นเปรต ได้รับความทรมานอย่างมาก

35.       ข้อใดถูกต้องในอาณาจักรสุโขทัย

(1) ไพร่มีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มอื่น         (2) ไพร่มีจำนวนมากเกินความต้องการของรัฐ

(3) ประชากรมีจำนวนจำกัด    (4) ไม่มีทาสวัด

ตอบ 3 หน้า 270 – 271281289 – 290293, (คำบรรยาย) สังคมไทยสมัยอาณาจักรสุโขทัย และล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 19 – 21 จะมีลักษณะคล้ยคลึงกันมากที่สุด ดังนี้

1.         จำนวนของประชากรมีจำกัด   2. มีการแบ่งลักษณะชนชั้นแบบไม่ถาวร

3.         ประชากรส่วนใหญ่เป็นชนชั้นไพร่หรือสามัญชน ซึ่งถือเป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุด แต่ก็ยังมีจำนวนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการแรงงานของรัฐ

4.         เป็นสังคมที่มีข้าหรือทาส ซึ่งจัดเป็นชนชั้นตํ่าสุดของสังคม ได้แก่ ทาสเชลย ทาสวัดหรือ ข้าพระอาราม ฯลฯ

5.         มีการจัดระเบียบและควบคุมสังคมด้วยการกำหนดความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร (Patron-client Relationship) ฯลฯ

36.       พระราชนิพนธ์ของพญาลิไทยเรื่องไตรภูมิพระร่วง สะท้อนให้เห็นความสามารถของลูกเจ้าลูกขุนในด้านใด

(1) ด้านการปกครองและสงคราม       (2) ด้านการปกครองและอักษรศาสตร์

(3) ด้านการปกครองและด้านศาสนา  (4) ด้านอักษรศาสตร์และด้านศาสนา

ตอบ 4 หน้า 96105272584, (คำบรรยาย) หนังสือเรื่องไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาลิไทย (พญาลิไทย) ได้สะท้อนให้เห็นความสามารถของลูกเจ้าลูกขุนในด้าน อักษรศาสตร์และด้านศาสนา เพราะพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ถือเป็นผลงานสำคัญทางอักษรศาสตร์ และยังมีเนื้อหาเป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนาโดยตรง จึงถือเป็นหลักฐานที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรือง ของพระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัยได้เป็นอย่างดี

37.       หน้าที่ในการสร้างป้อม กำแพงเมือง คูเมือง บ่อนํ้า อ่างเก็บนํ้า เป็นหน้าที่ของชนกลุ่มใด

(1) ลูกเจ้าลูกขุน          (2) ขุนนางชั้นผู้น้อย     (3) ไพร่            (4) ทาส

ตอบ 3 หน้า 283 – 285, (คำบรรยาย) ไพร่ในสมัยสุโขทัยมีหน้าที่ให้แรงงานกับรัฐทั้งในด้านการสงคราม และการก่อสร้างนานาประการ เช่น ป้อม กำแพงเมือง คูเมือง บ่อนา อ่างเก็บน้ำ วัดวาอาราม ถนนหนทางต่าง ๆ ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องให้แรงงานในด้านการเพาะปลูก และการทำอุตสาหกรรม แต่แรงงานก็มีอยู่อย่างจำกัด

38.       ในศิลาจารึกสุโขทัยมีข้อความเกี่ยวกับไพร่อยู่หลายคำ ถามว่าไพร่ในข้อใดหมายถึงทาส

(1) ไพร่ฟ้าหน้าใส        (2) ไพร่ฟ้าหน้าปก       (3) ไพร่ไท        (4) ไพร่ฟ้าข้าไท

ตอบ 4 หน้า 271289 – 290, (คำบรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัย คำว่า ไพร่” หมายถึง สามัญชน โดยทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ ส่วนสร้อยที่ต่อท้ายคำว่าไพร่จะมีความหมายเฉพาะตัว ที่บ่งบอกถึงลักษณะของไพร่ที่แตกต่างกันไป เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส/ไพร่ไท (ประชาชนทั่วไป),ไพร่ฟ้าหน้าปก (ประชาชนที่มีทุกข์ร้อน)ไพร่ฟ้าข้าไท (ทาส ซึ่งมีสถานะตํ่าสุดในสังคม) เป็นต้น

39.       เข้า 10 วัน ออก 10 วัน” เป็นการเกณฑ์แรงงานในสมัยใด

(1)       สุโขทัย            (2) ล้านนา       (3) อยุธยา       (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 284 เอกสารของล้านนาได้ระบุถึงการเกณฑ์แรงงานไพรในสมัยล้านนาว่า รัฐบาลจะเกณฑ์แรงงานไพร่ 10 วัน และปล่อยไปทำไร่นาของตนได้ 10 วัน สลับกันไป เรียกว่า เข้า 10 วัน ออก 10วัน” รวมแล้วจะเท่ากับถูกเกณฑ์แรงงาน6 เดือนใน 1 ปีซึ่งเท่ากับเวลาที่ไพร่ของ อาณาจักรอยุธยาถูกเกณฑ์เช่นกัน

40.       สังคมสมัยใดที่มีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด           

(1) สุโขทัย-ล้านนา

(2)       สุโขทัย-อยุธยา           (3) ล้านนา-อยุธยา      (4) สุโขทัย-รัตนโกสินทร์ตอนต้น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

41.       ขุนนางในสมัยอยุธยาไม่มีสิทธิทำสิ่งใด         

(1) เป็นเจ้าเมือง

(2)       เป็นเสนาบดี   (3) เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์     (4) ไปมาหาสู่กันอย่างเสรี

ตอบ 4 หน้า 310323 – 324326329332 พระมหากษัตริย์ทรงคานอำนาจขุนนางสมัยอยุธยา ดังนี้

1.         กำหนดให้ความเป็นขุนนางอยู่ในพระราชอำนาจของกษัตริย์

2.         กำหนดโครงสร้างของระบบราชการให้มีลักษณะลิดรอนอำนาจขุนนางมิให้รวมตัวกันได้

3.         ตรากฎหมายควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางไว้อย่างเข้มงวด

4.         ควบคุมการเคลื่อนไหวของขุนนาง มิให้ขุนนางไปมาหาสู่กันเอง หรือไปติดต่อกับเจ้านาย อย่างเสรี ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสิทธิของขุนนางในสมัยอยุธยา)

42.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับขุนนางสมัยอยุธยา

(1) รายได้สำคัญของขุนนาง คือ เงินเดือน       (2) ขุนนางยกยศให้เป็นมรดกของลูกได้

(3)       เจ้านายทุกองค์มีศักดินาสูงกว่าขุนนาง          (4) ขุนนางมีศักดินาตั้งแต่ 400 ไร่ขึ้นไป ตอบ 4 หน้า 314322328 ข้อสังเกตเกี่ยวกับความสูงศักดิของขุนนางในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         ขุนนางต้องมีศักดินาตั้งแต่400ไร่ขึ้นไปส่วนข้าราชการที่มีศักดินาต่ำกว่400ไร่ จะเป็นเพียงขุนหมื่น

2.         ยศ ราชทินนาม ตำแหน่ง และศักดินา มิใช่ของสืบตระกูลจะยกเป็นมรดกต่อไปให้ลูกหลานมิได้

3.         ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเจ้านายเป็นกลุ่มที่มีความสูงศักดิ์หรือมีศักดินาสูงกว่าขุนนาง

4.         ขุนนางสมัยอยุธยาไม่มีเงินเดือน แต่มีรายได้หลักจากการกินตำแหน่งและกินเมือง ฯลฯ

43.       การเป็นเจ้านายในสมัยอยุธยากำหนดไว้กี่ชั่วคน

(1) 2 ชั่วคน      (2) 3 ชั่วคน      (3) 4 ชั่วคน      (4) ตลอดชีพ

ตอบ 2 หน้า 141305308313 – 314 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงควบคุมอำนาจของเจ้านาย ดังนี้

1.         กำหนดความสูงศักดิ์ของเจ้านายให้มีอยู่เพียง 3 ชั่วอายุคน และลดความสูงศักดิ์ของเจ้านายลง ทุกชั่วอายุคน

2.         ลิดรอนอำนาจเจ้านายไม่ให้มีมากเกินไป เช่น ไม่ให้เจ้านายดำรงตำแหน่งเสนาบดี และเจ้าเมือง

3.         ให้เจ้านายอยู่ในเมืองหลวงและปกครองกรมย่อย ๆ

4.         ให้เจ้านายเป็นมูลนายบังคับบัญขาไพร่สม แต่มีการควบคุมจำนวนไพร่สมไม่ให้มีมากเกินไป

5.         ออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนไหวของเจ้านาย ฯลฯ

44.       กษัตริย์อยุธยาทรงควบคุมอำนาจเจ้านายอย่างไร

(1) ไม่ยอมให้เจ้านายได้ปกครองกรม  (2) ไม่ยอมให้เจ้านายเป็นมูลนายของไพร่

(3)       ไม่ยอมให้เจ้านายอยู่ในเมืองหลวง      (4) ไม่ยอมให้เจ้านายมีอำนาจมากเกินไป

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.       เจ้าพระยาจักรี เป็นยศและราชทินนามประจำกรมใด

(1) มหาดไทย  (2)       กลาโหม           (3)       คลัง     (4)       นครบาล

ตอบ 1 หน้า 150 – 152319 – 320, (คำบรรยาย) หน้าที่ในตำแหน่งของกรมกองต่าง ๆ จะมียศ และราชทินนามกำกับไว้โดยเฉพาะ ดังนี้

1.         เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมมหาดไทย

2.         เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิริยภักดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมกลาโหม

3.         เจ้าพระยาพระคลัง หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมพระคลัง หรือโกษาธิบดี

4.         พระยายมราชอินทราธิบดีฯ เป็นยศและราชเทินนามของขุนนางกรมเวียงหรือนครบาล ฯลฯ

46.       ไพร่หลวงไม่มีสิทธิทำสิ่งใด

(1) ยกมรดกให้ลูก       (2)แต่งงานกับไพร่สม  (3)       ย้ายไปเป็นไพร่สม       (4)ถวายฎีกา

ตอบ 3 หน้า 339342345 กษัตริย์อยุธยาทรงมีนโยบายลดจำนวนไพร่สม เพื่อลิดรอนอำนาจของ เจ้านายที่เป็นมูลนายของไพร่สมส่วนใหญ่ และเพิ่มจำนวนไพร่หลวงเพื่อความมั่นคงของกษัตริย์ จึงมีการออกกฎหมายห้ามจดทะเบียนลูกหลานของไพร่หลวงย้ายไปเป็นไพร่สม ส่วนไพร่สม สามารถย้ายไปเป็นไพร่หลวงได้เสมอ แต่เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของไพร่สมที่สุขสบายกว่า จึงส่งผลให้ไพร่หลวงนิยมหนีไปเป็นไพร่สม ทำให้การควบคุมจำนวนไพร่สมไม่ได้ผลนัก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสิทธิของไพร่หลวงในสมัยอยุธยา)

47.       ผู้ใดมีศักดินาสูงสุดในสมัยอยุธยา

(1) พระเจ้าแผ่นดิน      (2)       วังหน้า (3)       เจ้าพระยากลาโหม      (4)       เจ้าพระยาจักรี

ตอบ 2 หน้า 309357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ จะได้รับ พระราชทานศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหนง โดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในสมัยอยุธยา คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาต่ำสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่

48.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1)       ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล      (2) ใช้กำหนดบทลงโทษของบุคคล

(3) ใช้กำหนดไพร่ในสังกัดของบุคคล  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและ กำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้  

1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด    3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พลในสังกัดของบุคคลที่เป็นมูลนาย 4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่างให้แก่บุคคล

49.       ทาสในสมัยอยุธยามีกี่ชนิด

(1)       3 ชนิด  (2) 4 ชนิด        (3) 5 ชนิด        (4) 7 ชนิด

ตอบ 4 หน้า351 พระไอยการทาสในกฎหมายตราสามดวงได้กล่าวถึงทาสในสมัยอยุธยาไว้7ชนิด ได้แก่

1.         ทาสที่ไถ่มาด้วยทรัพย์ (แบ่งย่อยออกได้เป็นทาสสินไถ่ประเภทขายขาด และขายฝาก)

2.         ลูกทาสเกิดในเรือนเบี้ย (เด็กที่เกิดจากทาส)  3. ทาสที่ได้แต่บิดามารดา

4.         ทาสที่มีผู้ยกให้            5. ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากโทษปรับ

6.         ทาสที่ได้เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพง      7. ทาสเชลย

50.       ข้อยมาเป็นข้า” เป็นทาสชนิดหนึ่งของล้านนา เทียบได้กับทาสชนิดใดของสมัยอยุธยา

(1)       ทาสสินไถ      (2) ทาสในเรือนเบี้ย    (3) ทาสเชลย   (4) ทาสที่ได้มาจากการช่วยให้พ้นโทษ

ตอบ 3 หน้า 290351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสของล้านนามี 5 ชนิด คือ 1. ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของ ซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา      2. ลูกช้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา

3.         มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา

4.         ฉิบหายด้วยความผิดจึงเข้าเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา

5.         ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา

51.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับไพร่สม

(1)       กษัตริย์มีนโยบายลดจำนวนไพร่สม    (2) กษัตริย์มีนโยบายเพิ่มจำนวนไพร่สม

(3) มีสภาพความเป็นอยู่ลำบากกว่าไพร่หลวง            (4) นิยมหนีไปเป็นไพร่หลวง

ตอบ1 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

52.       การสักข้อมือไพร่ เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ      

(1) เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี

(2)       เพื่อรู้ชื่อมูลนาย           (3) เพื่อรู้จำนวนไพร่     (4) เพื่อรู้ภูมิลำเนาไพร่

ตอบ 1 หน้า 392417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรเริ่มทำขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยได้กำหนดให้ สักข้อมือไพร่ไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันไม่ให้ ไพร่หลวงสูญหาย หรือไม่ให้ไพรหลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายอย่างแต่ก่อน

53.       เหตุใดไพร่จึงถูกเกณฑ์แรงงานลดลงในสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       มีแรงงานชาวจีนเข้ามามาก     (2) การเน้นการปกครองแบบธรรมราขา

(3)       รัฐต้องการให้ไพร่มีเวลาปลูกข้าวมากขึ้น        (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 416 – 424, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานลดลงในสมัยรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งมีการยกเลิกระบบไพร่อย่างสิ้นเชิงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้ 1. กษัตริย์เน้นอุดมการณ์ ปกครองแบบธรรมราชา    2. การคุกคามและการเผยแพร่แนวคิดของมหาอำนาจตะวันตก

3.         การเปลี่ยนแปลงลักษณะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้รัฐต้องการให้ไพร่มีเวลาปลูกข้าวมากขึ้น

4.         มีกรรมกรชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานในไทยมากขึ้น

5.         ภาวการณ์ทำสงครามและการถูกรุกรานโดยอาณาจักรใกล้เคียงกับไทยหมดไป

54.       สมเด็จเจ้าพระยา” เป็นยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย ถามว่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใด มีอำนาจมากที่สุด

(1)       สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ     (2) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์

(3) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ         (4) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

ตอบ 4 หน้า 405, (คำบรรยาย) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จเจ้าพระยาองค์ที่ 4 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยตามประวัติท่านผู้นี้ เป็นบุตรชายของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิส บุนนาค หรือสมเด็จองค์ใหญ่) ต่อมาได้รับราชการเป็นสมุหกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ 4 และเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงถือเป็นสมเด็จเจ้าพระยาองค์ที่มีอำนาจมากที่สุด

55.       ข้อใดถูกต้องในสมัยรัตนโกสินทร์      

(1) คณะเสนาบดีได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

(2)       ขุนนางไม่นิยมส่งลูกหลานหญิงเข้ารับราชการฝ่ายใน

(3)       ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากระบบภาษีนายอากรเลย

(4)       ตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยากระจายไปให้แก่ขุนนางหลายตระกูล

ตอบ 1 หน้า 400 – 405 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

1.         ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์ โดยนิยมส่งลูกหลานหญิงเข้ารับราชการฝ่ายใน ทำให้ขุนนางและพระราชวงศ์เกี่ยวดองเป็นญาติกัน

2.         คณะเสนาบดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

3.         ขุนนางได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

4.         ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดดเด่นที่สุด โดยขุนนางตระกูลนี้ได้ดำรงยศสมเด็จเจ้าพระยา ทุกองค์ ซึ่งไม่มีขุนนางตระกูลอื่นใดได้ดำรงยศอันสูงสุดนี้เลย ฯลา

56.       ในสมัยรัชกาลใดที่เปิดโอกาสให้ไพร่ได้เข้าถวายตัวเป็นขุนนางเป็นครั้งแรก เนื่องมาจากปัญหาขาดแคลนขุนนาง

(1)       รัชกาลที่ 1       (2) รัชกาลที่ 2  (3) รัชกาลที่ 3  (4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 316408, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การถวายตัวเป็น ขุนนางให้มาจากเชื้อสายไหนก็ได้ โดยไม่มีข้อขีดคั่นเรื่องชาติวุฒิ คือ ต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก อัครมหาเสนาบดีเหมือนดังเช่นในสมัยอยุธยาอีก ทำให้ไพร่หรือสามัญชนที่มีความประพฤติดี มีความรู้ความสามารถ มีโอกาสเข้าถวายตัวเป็นขุนนางได้เป็นครั้งแรก เนื่องจากในสมัยนี้ เกิดปัญหาขาดแคลนขุนนาง แต่ไพร่ก็เข้ามาสู่ระบบขุนนางได้ยาก เพราะลูกหลานของขุนนาง ก็มักจะได้เป็นขุนนางต่อมานั่นเอง

57.       การปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดผลอย่างไรต่อขุนนาง

(1) ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้น          (2) ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดบทบาทไปอย่างมาก

(3) ขุนนางมีรายได้หลักจากการ กินตำแหน่ง”       (4) ขุนนางไม่ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาล

ตอบ 2 หน้า 398411 – 412 การปฏิรูประบบราชการและการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อ ขุนนาง ดังนี้ 1. คณะเสนาบดีรุนเก่าที่มีขุนนางตระกูลบุนนาคเป็นผู้นำเสื่อมอิทธิพลลงและ หมดบทบาทไปอย่างมาก โดยเสนาบดีหรือข้าหลวงเทศาภิบาลรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าเป็นขุนนางก็จะเป็นขุนนางตระกูลอื่น เช่น ตระกูลอมาตยกุล และกัลยาณมิตร

2.         ข้าราชการมีเงินเดือน และการใช้เงินส่วนของรัฐเพื่อกิจการส่วนตัวนับเป็นของต้องห้าม

3.         มีการเปิดรับสามัญชนที่มีการศึกษาดีเข้าสู่ระบบราชการ ฯลฯ

58.       พ่อแม่หรือสามีจะขายลูกและภรรยาให้เป็นทาสโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมจะกระทำไม่ได้ ถามว่า เริ่มประกาศใช้ครั้งแรกในรัชกาลใด

(1)       รัชกาลที่ 2       (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่4   (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 199 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงช่วยยกฐานะสตรีและเด็ก โดยการเริ่มประกาศใช้กฎหมาย ห้ามบิดามารดาและสามีขายบุตรและภรรยาลงเป็นทาสโดยที่เจ้าตัวไม่สมัครใจ แต่ในกรณีที่บุตรและภรรยายอมให้ขาย การกำหนดค่าตัวต้องเป็นราคาที่เจ้าตัวยินยอมพร้อมใจด้วย

59.       เวลาหนึ่ง ข้าราชการเข้าเฝ้าที่โรงแสงพร้อมกัน ครั้งนั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะสวมเสื้อเข้าเฝ้า จึงดำรัสว่า คนที่ไม่สวมเสื้อเหมือนเปลือยกาย ร่างกายจะเป็นกลากเกลื้อนก็ดี หรือเหงื่อออกมาก็ดี โสโครกนัก…” ตั้งแต่นั้นมาโปรดให้ขุนนางสวมเสื้อเข้าเฝ้า ถามว่าคือรัชกาลใด

(1)       รัชกาลที่3        (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่     5          (4) รัชกาลที่ 6

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ในปี พ.ศ. 2395 รัชกาลที่ 4 ทรงสั่งให้ยกเลิกการเข้าเผ้าแบบตัวเปล่าไม่สวมเสื้อ ตามแบบราชประเพณีโบราณ โดยพระองค์มีพระราชดำรัสให้เจ้านายและขุนนางสวมเสื้อ เวลาเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรกตามแบบอารยธรรมตะวันตก ดังหลักฐานจากข้อความใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ข้างต้น

60.       เหตุเกิดในเมืองไทยภายหลังการทำสนธิสัญญาบาวริ่งในรัชกาลที่ 4 กล่าวคือ คนจีนจดทะเบียนเป็นคน ในบังคับอังกฤษ ทำผิดกฎหมายไทย ถามว่าศาลใดเป็นผู้พิจารณาคดี

(1) ศาลไทย     (2) ศาลจีน       (3) ศาลอังกฤษ           (4) ได้ทั้ง 3 ศาล

ตอบ 3 หน้า 439547 – 548, (คำบรรยาย) ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในสมัย รัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 ประเทศไทยได้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (เสียเอกราชด้านการศาล) ให้กับประเทศอังกฤษเป็นชาติแรก คือ คนต่างชาติและคนในบังคับของต่างชาติเมื่อมีเรื่องกับคนไทยก็ดี หรือมีเรื่องในหมู่พวกตัวเองก็ดี จะต้องขึ้นศาลกงสุลของชาติตนหรือชาติ ที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ ทำให้ศาลไทยไม่สามารถเอาผิดกับคนต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยและ ทำผิดกฎหมายไทยได้ ซึ่งต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2399 – 2442 ก็มีประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น ฯลฯ เข้ามาทำสัญญาในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายประเทศ

61.       ระบบเศรษฐกิจไทยปัจจุบันสัมพันธ์กับข้อใดมากที่สุด

(1) การเกษตร (2) อุตสาหกรรม          (3) การค้าส่งออก        (4) เศรษฐกิจยังชีพ

ตอบ 3 หน้า 469 – 471558 พื้นฐานระบบเศรษฐกิจไทยมีวิวัฒนาการ ดังนี้

1.         เริ่มต้นมาจากเศรษฐกิจแบบหมู่บ้านในสมัยสุโขทัย ซึ่งผลิตเพื่อการบริโภคและแลกเปลี่ยน

2.         เศรษฐกิจแบบตลาดในสมัยอยุธยา ซึ่งผูกพันกับการแสวงหาตลาดการค้าทั้งภายในและ ภายนอกประเทศ

3.         เศรษฐกิจแบบเงินตรา ซึ่งเริ่มปรากฏชัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังจะเห็นได้จากการที่ รัฐเก็บส่วยจากไพร่ในรูปแบบเงินตรา

4.         เศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้าส่งออกในปัจจุบัน

62.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการกสิกรรมสมัยสุโขทัย

(1) พื้นที่เพาะปลูกด้านเกษตรมีจำนวนมาก    (2) พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด

(3) มีนํ้าพอเพียงต่อการทำเกษตรกรรม           (4) ข้าวเป็นสินค้าออกสำคัญ

ตอบ 2 หน้า 473 – 474 การกสิกรรมในสมัยสุโขทัยจะมีข้อจำกัดในเรื่องผลผลิต โดยเฉพาะผลิตผล ที่สำคัญที่สุด คือ ข้าวนั้นคงจะกระทำกันได้ในปริมาณที่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น เพราะพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด กำลังคนก็มีจำกัด และงานชลประทานก็ทำในปริมาณจำกัดเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ในบางครั้งบางคราวเกิดขาดแคลนข้าวขึ้นในสุโขทัย จนต้องสั่งซื้อข้าวมาจากอยุธยา

63.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับระบบชลประทานสมัยสุโขทัย

(1) ท่อปู่พระญาร่วง     (2) ตริภังค์(3) สรีดภงส์           (4) ตระพัง

ตอบ 2 หน้า 474 ผู้ปกครองสุโขทัยได้ช่วยเหลือด้านระบบชลประทาน ดังนี้ 1. การสร้างสริดภงส์ คือ เขื่อนเก็บกักนํ้า ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักนํ้าไว้ภายในหุบเขา          2. การขุดสระที่เรียกว่าตระพัง” 3 แห่ง คือ ตระพังทอง ตระพังเงิน และตระพังสอ        3. การสร้างเหมืองฝายดังหลักฐานที่กล่าวถึงการพบท่อระบายน้ำเพื่อนำนํ้าเข้ามาที่มีชื่อว่า ท่อปู่พระญาร่วง

64.       การบริโภคข้าวในสมัยสุโขทัย ข้อใดถูกต้อง

(1) อยุธยาซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด            (2) จีนซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด

(3) ลังกาซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด  (4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

65.       ข้อใดคือลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

(1) การตลาด   (2) การค้าเสรี  (3) ยังชีพ         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 287480 ลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยเป็นแบบการค้าเสรี โดยผู้ปกครองได้ส่งเสริม ให้ราษฎรสามารถค้าขายสินค้าต่างๆ ได้อย่างเสรีตามความต้องการ ดังข้อความในศิลาจาริก ที่ว่า ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใครค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า…

66.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

(1) มีธนบัตรใช้ในการแลกเปลี่ยน       (2) ใช้ระบบทองคำในการแลกเปลี่ยน

(3) ใช้เงินในการซื้อขายสินค้า (4) ยังไม่มีระบบเงินตรา

ตอบ3 หน้า 482 ในสมัยสุโขทัย เงินตราที่ใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนในการซื้อขายสินค้า มีดังนี้

1.         เงินพดด้วง ซึ่งสันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น โดยนำแร่เงินมาจาก ต่างประเทศ แล้วเอามาหล่อหลอมทำเป็นเงินตรา        2. เบี้ย (เปลือกหอย) นำมาจากาวต่างประเทศที่เที่ยวเสาะหาตามชายทะเลแล้วเอามาขายในเมืองไทย

67.       ปัจจัยสำคัญในการประกอบอาชีพของคนสมัยอยุธยา คือข้อใด

(1) ที่ดิน           (2) สินทรัพย์    (3) เงินทุน        (4) ตลาด

ตอบ 1 หน้า 487 – 488 ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพของคนสมัยอยุธยา ได้แก่ 1. กรรมสิทธิ์ที่ดิน 2. แรงงานไพร่และทาส

68.       ราษฎรที่ต้องการใช้ประโยซนัจากที่ดินต้องปฏิบัติอย่างไร    

(1) ให้เข้าไปใช้ที่ดินได้ทันที

(2)       แจ้งเรื่องต่อกษัตริย์     (3) แจ้งเรืองต่อผู้ใหญ่บ้าน      (4) แจ้งเรื่องต่อกรมนาเจ้าสัด

ตอบ 4 หน้า 488 – 489 การจับจองที่ดินทำนาในสมัยอยุธยานั้น ราษฎรที่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ คือ ผู้ใดปรารถนาที่จะ โก่นซ่าง เลิกรั้ง ทำนา” จะต้อง ไปแจ้งเรื่องแก่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งได้แก่ กรมนาเจ้าสัด เพื่อไปตรวจสอบว่ามีนามากน้อยเพียงใด

69.       ช้อใดไม่ใช่นโยบายของผู้ปกครองที่สนับสนุนการทำนาในสมัยอยุธยา

(1)       ขยายพื้นที่การทำนา    (2) การป้องกันภัยที่จะเกิดกับต้นข้าว เช่น การออกกฎหมาย

(3)       มีพิธีกรรมเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (4) รับประกันราคาข้าว

ตอบ 4 หน้า 489 – 491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนการทำนาปลูกข้าว ดังนี้

1.         ขยายพื้นที่ทำนาเพาะปลูก

2.         คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยมีกฎหมายลงโทษผู้ทำลายต้นข้าวอย่างรุนแรง

3.         ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ

4.         ส่งเสริมแรงงานในการเพาะปลูก

5.         ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท

6.         การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

70.       พืชไร่พืชสวนชนิดใดที่กฎหมายสมัยอยุธยาระบุให้ความคุ้มครองมากที่สุด

(1) มะม่วงมหาชนก     (2) ทุเรียน        (3) แก้วมังกร   (4) หมาก

ตอบ 2 หน้า 493, (คำบรรยาย) ทุเรียน เป็นพืชมีผลที่กฎหมายสมัยอยุธยาให้ความคุ้มครองมากที่สุด และถือว่ามีคุณค่าทางกฎหมายสูงกว่าพืชมีผลชนิดอื่น ๆ เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดค่าปรับ แก่ผู้ที่ลักตัดต้นทุเรียนไว้ด้วยอัตราที่สูงที่สุด คือ ถ้าลักตัดต้นใหญ่มีผล ปรับต้นละ 200,000 เบี้ย และถ้าลักตัดต้นใหญ่แต่โกร๋น ปรับต้นละ 100,000 เบี้ย เป็นต้น

71.       เกี่ยวกับ สัตว์มีคุณ” ข้อใดผิด

(1) ได้แก่ นกยูง ช้าง ม้า ควาย            (2) ตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

(3) ซื้อขายได้   (4) กฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

ตอบ 1 หน้า 493 – 494, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา สัตว์ที่มีความสำคัญจนถึงกับระบุไว้ในกฎหมาย ว่าเป็น สัตว์มีคุณ” ได้แก่ ช้าง ม้า โค และกระบือ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้

1.         มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์มีคุณหลายมาตรา และมีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

2.         ค่าตัวของสัตว์มีคุณตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

3.         นิยมเลี้ยงโคและกระบือตัวผู้ไว้ไถนา ส่วนแม่โคนั้นสามารถซื้อขายได้ ฯลฯ

72.       ข้อใดกล่าวถึง การจับสัตว์นํ้า” ในสมัยอยุธยาได้ถูกต้องที่สุด

(1) สามารถจับได้ตลอดทั้งปี เพราะมีแหล่งน้ำมาก     (2) ห้ามจับในวันเฉลิมพระชนม์ฯ

(3) ห้ามจับในวันพระ   (4) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 3 หน้า 494 – 495 การจับสัตว์นํ้าในสมัยอยุธยา ได้มีประกาศของทางการที่กำหนดวันและเวลาที่ห้ามจับปลา แต่ก็เป็นนโยบายของกษัตริย์บางรัชกาล หาได้ยึดเป็นหลักปฏิบัติทุกรัชกาลไม่ เช่น ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีประกาศห้ามทำประมงในวันพระ 8 คํ่า และ 15 ค่ำ ทั้งในเขตเมืองและนอกเขต

73.       พระคลังสินค้า” ไม่ได้ทำหน้าที่ใด

(1)       รวบรวมสินค้าที่หายากและมีน้อยทั้งหมด       (2) ดำเนินการค้าผูกขาด

(3) กำหนดประเภทของสินค้าต้องห้าม           (4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 หน้า 504 – 505 ในระยะที่อยุธยามีชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายกับไทย ทำให้ทางราชการไทย ต้องตั้ง กรมพระคลังสินค้า” ซึ่งขึ้นกับกรมพระคลัง เพื่อทำหน้าที่ดังนี้ 1. ดำเนินการค้า แบบผูกขาด  2. รวบรวมสินค้าพื้นเมืองที่หายากและมีน้อยทั้งหมด       3. กำหนดประเภท

ของสินค้าต้องห้าม ซึ่งต้องซื้อขายกับกรมพระคลังสินค้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ฯลฯ

74.       การอนุญาตให้ไพร่กลับไปทำนาเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 2  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 518 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้

1.         ทรงส่งเสริมแรงงานในการทำนา โดยอนุญาตให้ไพร่หลวงขณะมารับราชการลากลับบ้าน ไปทำนาของตนในหน้านาได้

2.         ทรงเปิดให้ขายข้าวออกนอกประเทศ เพื่อช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีกว่าแต่ก่อน

3.         ทรงแนะนำพันธ์ข้าวที่จะทำรายได้ให้กับชาวนา

4.         ทรงขจัดอุปสรรคเรื่องน้ำและแก้ปัญหาคดีความต่างๆ ที่จะขัดขวางการทำนา

5.         ทรงยินดีรับความรู้ความก้าวหน้าทางวิชาการของชาวตะวันตก

75.       ข้อใดไม่ใช่นโยบายส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 5

(1)       การอนุญาตให้ไพร่กลับไปทำนา         (2) ขุดคลองขยายพื้นที่เพาะปลูก

(3) จัดหาพันธ์ข้าวที่มีคุณภาพ (4) นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการปลูกข้าว

ตอบ 1 หน้า 519 – 521 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         การขุดคลองขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อเพิมผลผลิตข้าวให้มากขึ้น

2.         การจัดหาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ           3. การจัดหาเครื่องมือทำนาที่ทันสมัย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการปลูกข้าว (ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ)

76.       คลองใดไม่ได้ขุดในสมัยรัชกาลที่ 5    

(1) คลองรังสิต

(2)       คลองแสนแสบ           (3) คลองประเวศบุรีรมย์         (4) คลองทวีวัฒนา

ตอบ 2 หน้า 519 – 520, (คำบรรยาย) การขุดคลองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทั้งที่รัฐบาลขุดเอง เช่นคลองนครเนื่องเขตร์ (พ.ศ. 2419) คลองประเวศบุรีรมย์และคลองทวีวัฒนา (พ.ศ. 2421) ฯลฯ และคลองที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม” ขุดขึ้น เช่น คลองรังสิตประยูรศักดิ (พ.ศ. 2433) ฯลฯ รวมทั้งคลองที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ เอกชนขุดเป็นรายๆ ไป เช่น คลองหลวงแพ่ง (พ.ศ. 2431) คลองบางพลีใหญ่ (พ.ศ. 2441) ฯลฯ

77.       องค์กรหรือหน่วยงานใดมีบทบาทในการขุดคลองสมัยรัชกาลที่ 5     

(1) กรมพระคลังข้างที่

(2)       บริษัทคูโบต้า  (3) บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม         (4) บริษัทขุดคลองสยาม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78.       ข้อไดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมการทำนาสมัยรัชกาลที่ 6

(1) ขยายการถือครองที่ดินกว้างขวางขึ้น         (2) ให้ชายฉกรรจ์ไม่ต้องรับราชการทหาร

(3)       ออก พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด (4) ใช้ระบบชักกันโฮในการชั่งตวงวัด

ตอบ 4 หน้า 521 – 522 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้

1.         ขยายการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่มณฑลภาคใต้

2.         แก้ปัญหาแรงงาน โดยให้ชายฉกรรจ์อายุ 25 – 30 ปี ไม่ต้องไปรับราชการทหาร

3.         แก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบในเรื่องความไมเที่ยงตรงของเครื่องชั่งตวงวัด

โดยการออก พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด พ.ศ. 2466 และให้ใช้มาตราเมตริกซ์แบบสากลแทน ฯลฯ

79.       พืชที่ส่งออกมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือพืซชนิดใด

(1) ข้าว            (2) หมาก         (3) อ้อย           (4) พริกไทย

ตอบ 3 หน้า 523 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อ้อยเป็นพืชที่มีความสำคัญที่สุด และผู้ปกครองก็ให้ การสนับสนุนมากที่สุด เพราะน้ำตาลที่ทำจากอ้อยได้ทำกำไรงามให้กับประเทศ จนได้ชื่อว่า เป็นพืชส่งออกมากที่สุดและเป็นสินค้าออกอันดับ 1 ของไทย ดังปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 และต้นรัชกาลที่ 4 ไทยส่งนํ้าตาลออกเฉลี่ยปีละ 50,000 – 90,000 หาบ

80.       ตลาดค้าโคที่สำคัญของสยาม คือที่ใด

(1) จีน  (2) ญี่ปุ่น         (3) อินเดีย       (4) สิงคโปร์

ตอบ 4 หน้า 526 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการส่งโคกระบือไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งตลาดสินค้าโค ที่สำคัญ คือ สิงคโปร์โดยมีการส่งโคกระบือเป็นสินค้าออกใน ร.ศ. 116 เป็นจำนวน 4,891 ตัว และใน ร.ศ. 117 ส่งไปขายมากกว่าคือ 14,310 ตัว

81.       ข้อใดเป็นความเชื่ออันดับแรกของมนุษย์และวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายด้านความเชื่อของมนุษย์

(1)       การบูชาธรรมชาติ –» ละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล

(2)       การบูชาบรรพบุรุษ –» การนับถือเทพเจ์า

(3)       การบูชาเทพเจ้า –การประกอบพิธีกรรม    

(4) การบูชาธรรมชาติ –การประกอบพิธีกรรม

ตอบ 1 หน้า 570 – 571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. การบูชานับถือธรรมชาติ          2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม 3. การบูชาบรรพบุรุษ4.          การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ 5. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของ

เทพเจ้าแต่ละองค์ให้ต่างกัน    6. การนับถือพระเจ้าองค์เดียว 7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก

82.       พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในสมัยใด           

(1) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

(2)       กุบไลข่าน        (3) พระเจ้าอโศกมหาราช        (4) พระเจ้าอชาตศัตรู

ตอบ 3 หน้า 574 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระประสงค์จะให้พระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท แพร่หลายไปยังดินแดนต่าง ๆ จึงโปรดให้จัดภิกษุออกเป็น 9 คณะ โดยมีคณะที่สำคัญอยู่ 2 คณะ ได้แก่     

1. คณะที่หนึ่ง มีพระมหินทรเถระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่ลังกา           

2. คณะที่สอง มีพระโสณะเถระกับพระอุดตระเถระ เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ยังสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ พ.ศ. 300

83.       คัมภีร์ฤคเวทและคัมภีร์สามเวท เป็นคัมภีร์เนื่องในศาสนาใด

(1) ศาสนาพุทธ           (2) ศาสนาพราหมณ์ (3) ศาสนาคริสต์            (4) ศาสนาอิสลาม

ตอบ 2 หน้า 571 คำสาธยายร่ายมนต์อ้อนวอนขอให้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองตน ได้แก่ คัมภีร์ฤคเวทและสามเวทของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นบทสวดแสดงพิธีการต่าง ๆ

84.       ก่อนที่มนุษย์นับถือผีสางเทวดานั้น มีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องใดมาก่อน

(1) นับถือวิญญาณ     (2)นับถือเทพเจ้า         (3) นับถือธรรมชาติ     (4)นับถือศาสดา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

85.       ในสุโขทัยมีการจารึกถึงการนับถือ พระขะพุงผี” หมายถึงความเชื่อในเรื่องใด

(1) นับถือบรรพบุรุษ    (2)       นับถือไสยศาสตร์        (3) นับถือผี      (4)นับถือศาสนา

ตอบ 3 หน้า 583 – 584 ในศิลาจารึกหลักที่ 1 มีการจารึกถึงพระขะพุงผี ซึ่งถือว่ามีความสำคัญที่สุดในเมืองสุโขทัย เพราะเป็นผู้ที่สามารถทำให้บ้านเมืองล่มจมและเจริญได้ แสดงให้เห็นชัด ถึงอิทธิพลความเชื่อถือเดิมในคติการนับถือผีสางเทวดาว่าฝังรากอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะนับถือ พระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม

86.       หลักฐานในข้อใดที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในสุโขทัย

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2)       พงศาวดาร       (3) พระไตรปิฎก          (4)       ศิลาจารึก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

87.       ก่อนที่สุโขทัยจะรับเอาพระพุทธศาสนามหายานเข้ามา ได้มีการนับถือลัทธิใด

(1) ลัทธิตันตระ            (2)       ลัทธิหินยาน     (3) ลัทธิวัชรยาน          (4)       ลัทธิเชน

ตอบ 2 หน้า 576581 – 582, (คำบรรยาย) พระพุทธศาสนาสมัยสุโขทัยเมื่อแรกตั้งคงจะ มีทั้งลัทธิเถรวาทหรือหินยาน และลัทธิมหายานปะปนกัน ดังนั้นคนไทยสมัยสุโขทัยที่นับถือพระพุทธศาสนาจึงมีอยู่ 2 พวก คือ

1.         พวกที่นับถือลัทธิหินยานซึ่งมีอยู่ก่อน

2.         พวกที่นับถือลัทธิมหายานที่แพรหลายเข้าสู่สุโขทัยในภายหลัง โดยมาจากกัมพูชา (ขอมหรือเขมร) เผยแผ่เข้าสู่กรุงสุโขทัยทางหนึ่ง และมาจากกรุงศรีวิชัยในเกาะสุมาตรา เผยแผ่มาทางเมืองนครศรีธรรมราชเข้าสู่กรุงสุโขทัยอีกทางหนึง

88.       ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยมีศาสนาใดที่เข้ามาผสมผสานกับพระพุทธศาสนา จนก่อให้เกิดพิธีกรรม ในศาสนา

(1) ศาสนาฮินดู            (2) ศาสนาคริสต์          (3) ศาสนาเชน (4) ศาสนาอิสลาม

ตอบ1 หน้า 584, (คำบรรยาย) ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองมาก แต่กษัตริย์ก็มิได้ทรงกีดกันศาสนาอื่น ตรงกันข้ามกลับทรงอุปถัมภ์ศาสนา ต่าง ๆ ที่ประชาชนนับถือร่วมกับศาสนาพุทธ เช่น ศาสนาฮินดู ซึ่งจะเห็นได้จากพิธีกรรม ต่าง ๆ มักจะเอาศาสนาฮินดูเข้ามาผสมผสานกับพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี

89.       พระสงฆ์ที่ชอบอยู่สันโดษ ไม่เข้ามาอยู่ในเมือง ได้แก่พระสงฆ์ในพวกใด

(1) คามวาสี     (2) อรัญวาสี    (3) ลังกาวงศ์   (4) คันถธุระ

ตอบ 2 หน้า 584 – 585 ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยได้แบ่งคณะสงฆ์ออกเป็น 2 ผ่าย ดังนี้

1.         คณะคามวาสี หรือฝ่ายคันถธุระ คือ พระสงฆ์ที่เรียนรู้ภาษาบาลี ศึกษาพระไตรปิฎก แล้วนำไปเทศนาสั่งสอนประชาชน มักอยู่ตามวัดในเมืองหรือในหมู่บ้าน

2.         คณะอรัญวาสี หรือฝ่ายวิปัสนาธุระ คือ พระสงฆ์ที่ยึดถือการธุดงค์ท่องไปตามป่า ยึดมั่น การบำเพ็ญภาวนาหาความสงบ มักชอบอยู่สันโดษตามวัดในป่าเขา ไม่เข้ามาอยู่ในเมือง

90.       พระพุทธศาสนามหายานแพร่หลายเข้าสู่สุโขทัยโดยทางใด

(1)       จากอินเดียสู่ลังกาแล้วเข้าสู่กรุงสุโขทัย           (2) จากอาณาจักรทมิฬสู่กรุงสุโขทัย

(3)       จากเส้นทางสายไหม   (4) จากขอมเผยแผ่เข้าสู่กรุงสุโขทัย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

91.       คัมภีร์พระไตรปิฎกในพุทธศาสนาลังกาวงศ์ใช้ภาษาใดในการบันทึก

(1)       ภาษาสันสกฤต           (2) ภาษามอญโบราณ (3) ภาษาบาลี  (4) ภาษาขอม

ตอบ 3 หน้า 581 – 582, (คำบรรยาย) พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จะถือคติอย่างหินยาน และ คัมภีร์พระไตรปิฎกจะใช้ภาษามคธ (ภาษาบาลี) ซึ่งเมื่อไทยนับถือลัทธิลังกาวงศ์ พระสงฆ์ไทย จึงเลิกศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาสันสกฤตอย่างแต่ก่อน และเปลี่ยนมาศึกษาภาษามคธ (ภาษาบาลี) นับตั้งแต่นั้นมา

92.       บุคคลในข้อใดเป็นผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์นิกายใหม่ที่เรียกว่า ธรรมยุตินิกาย

(1) เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์

(2)       กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์     (3) เจ้าฟ้ามงกุฎ          (4) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ตอบ 3 หน้า 602 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมา) ทรงเป็นผู้นำในการปฏิรูปการพระพุทธศาสนา ซึ่งการปฏิรูปที่สำคัญ คือ การจัดตั้งคณะสงฆ์นิกายใหมที่เรียกว่า ธรรมยุตินิกาย” ซึ่งเป็นคณะทีปฏิบัติตามพระวินัยเคร่งครัดมาก ดังนั้นจึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

93.       วรรณกรรมเรื่องใดแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) มหาชาติคำหลวง   (3) ไตรภูมิโลกวินิจฉัย (4) ปฐมสมโพธิ์

ตอบ 2 หน้า 594, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ประการหนึ่ง คือ เกิดวรรณคดีทางพุทธศาสนาขึ้นหลายเรื่อง เช่น เรื่องมหาชาติคำหลวง กาพย์มหาชาติ สมุทรโฆษคำฉันท์ นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง และ ปุณโณวาทคำฉันท์ เป็นต้น

94.       การทำสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยรัตนโกสินทร์ กระทำขึ้นในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่ 5  (4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 1 หน้า 597 – 598 ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎก ในปี พ.ศ. 2331 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 9 เพราะนับตั้งแต่อยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่าครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2310 บ้านเมืองก็ระส่ำระสาย และพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนปลายเสื่อมโทรมมาก จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำการสังคายนารวบรวมพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง

95.       การแบ่งพระสงฆ์เป็นสามคณะ คือ คณะคามวาสี คณะอรัญวาสี และคณะป่าแก้ว เกิดขึ้นในสมัยใด

(1) สมัยสุโขทัย            (2) สมัยอยุธยา           (3) สมัยธนบุรี  (4) สมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 592 – 593, (คำบรรยาย) ในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช (สมเด็จพระอินทรราชา)ได้มีพระสงฆ์ไทยกลุ่มหนึ่งเดินทางไปประเทศลังกาเพื่ออุปสมบทบวชแปลงเป็นนิกายวันรัตนวงศ์ ในสำนักพระวันรัตนิมหาเถระ และเมื่อกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้จัดตั้งนิกายลังกาวงศ์ขึ้มอีกนิกายหนึ่ง เรียกว่า วันรัตนวงศ์ (คณะป่าแก้ว) ทำให้พระสงฆ์ในสมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 3 คณะ ได้แก่ 1. คณะคามวาสี   2. คณะอรัญวาสี         3. คณะป่าแก้ว (วันรัตนวงศ์)

96.       พระราชพิธีฉัตรมงคล เริ่มครั้งแรกในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 3  (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่ 5  (4) รัชกาลที่ 6

ตอบ 2 หน้า 669 พระราชพิธีฉัตรมงคล เริ่มปรากฏครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะกษัตริย์ทรงเห็นว่า วันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัย ซึ่งประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองย่อมถือว่าเป็น วันนักขัตฤกษ์มงคล จึงทรงเห็นสมควรที่จะมีการสมโภชพระมหาเศวตฉัตรให้เป็นสวัสดิมงคล แก่ราชสมบัติ และจัดการพระราชกุศลที่พระราชทานชื่อว่า ฉัตรมงคล

97.       พิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพราหมณ์ ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้ทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ขึ้นต่างหากเรียกว่าอะไร

(1) แรกนาขวัญ           (2) พิรุณศาสตร์           (3) พืชมงคล    (4) ทำขวัญเมล็ดพืช

ตอบ 3 หน้า 640668 พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล แต่เดิมมีเพียงพิธีพราหมณ์อย่างเดียว เรียกว่า พิธีจรดพระนังคัล” เป็นพิธีเวลาเช้า คือ ลงมือไถ แต่ก่อนทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร ต่อมา รัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ตามคติพระพุทธศาสนาขึ้นอีก เรียกว่า พิธีพืชมงคล” คือ การทำขวัญพืช ซึ่งทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร โดยพิธีทั้งสองนี้จะทำพร้อมกันในคืนเดียว วันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่า พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

98.       วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย เริ่มมีขึ้นในสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) อยุธยา       (3) ธนบุรี         (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 662 วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีจนถึง พ.ศ. 2483 แต่ต่อมาทางราชการได้เปลี่ยนใหม่โดยกำหนดเอาวันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับหลักสากลที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติกัน อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยน วันขึ้นปีใหม่ แต่ประชาชนก็ยังยึดถือว่าวันสงกรานต์มีความสำคัญ

99.       ข้อใดจัดเป็นประเพณีส่วนรวม

(1) โกนจุก       (2) วันมาฆบูชา           (3) การเผาศพ (4) ทำบุญเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่

ตอบ 2 หน้า 655658 ประเพณีสวนรวม คือ ประเพณีที่ประชาชนทั่วไปนิยมปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งมักจะ มีงานรื่นเริงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ ประเพณีทำบุญวันขึ้นปีใหม่ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล ต่าง ๆ เช่น เทศกาลเข้าพรรษา เทศกาลสารทประเพณีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประเพณีส่วนบุคคล หรือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต อาจเรียกว่าประเพณีครอบครัวก็ได้)

100.    ศาสนาใดมีอิทธิพลต่อศิลปกรรมไทยน้อยที่สุด

(1) ศาสนาพุทธ           (2) ศาสนาพราหมณ์    (3) ศาสนาฮินดู            (4) ศาสนาคริสต์

ตอบ 4 หน้า 683685691, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเกิดจากแรงบันดาลใจของศาสนาพุทธมากที่สุด จึงปรากฏศิลปกรรมทางพุทธศาสนาทั้งแบบเถรวาทและมหายานอยู่อย่างมากมาย รองลงมาคือ ศิลปกรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์และฮินดู เพราะปรากฏว่ามีการสร้างเทวรูปพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม ฯลฯ ตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย (ส่วนศาสนาคริสต์มีอิทธิพล ต่อศิลปกรรมไทยน้อยที่สุด)

101.    ศิลปกรรมไทยมีประโยชน์ในการศึกษาพื้นฐานวัฒนธรรมไทย เพราะเหตุใด

(1)       เป็นข้อมูลสนับสนุนทางประวัติศาสตร์

(2)       ทำให้แยกวัฒนธรรมไทยแท้จริงออกจากวัฒนธรรมอื่นได้

(3)       ศิลปกรรมไทยมีอัตลักษณ์ไม่รับรับอิทธิพลศิลปะสกุลช่างใด ๆ

(4)       ศิลปะใช้อธิบายกำเนิดและที่มาของชนชาติไทยได้

ตอบ 2 หน้า 681, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมที่สมบูรณ์กว่าด้านอื่น ๆ เพราะการแสดงออกทางศิลปกรรมของไทยแต่ละสมัยจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็น ลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากศิลปะของเขมรหรือชวา ดังนั้นศิลปกรรมไทยจึงให้ประโยชน์ในการศึกษา พื้นฐานวัฒนธรรมไทย เนื่องจากทำให้แยกวัฒนธรรมไทยแท้จริงออกจากวัฒนธรรมอื่นๆ ได้

102.    ลักษณะศิลปะแบบอุดมคติ เห็นได้ชัดเจนในยุคใด

(1) ทวารวดี      (2) ลพบุรี         (3) ศรีวิชัย       (4) สุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 711 – 712, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic Arts) คือ ศิลปะที่มีความรู้สึกสูงกว่าธรรมชาติทั่วไปและหนักไปทางทิพย์สวรรค์ เป็นศิลปะที่มีแบบอย่าง แห่งความคิดคำนึงโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะศิลปะแบบอุดมคติของชนชาติไทยนี้จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในศิลปะยุคสุโขทัย โดยเฉพาะประติมากรรมพระพุทธรูปที่เจริญถึงขั้นสูงสุดและ แสดงความเป็นไทยแท้ได้มากกว่าสมัยใด ๆ จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของประติมากรรมไทย

103.    การแบ่งยุคศิลปะ กำหนดด้วยอะไร

(1) สมัยอาณาจักร      (2) ลักษณะของศิลปะ            (3) สมัยประวัติศาสตร์            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 683, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมในประเทศไทยมิได้แบ่งยุคสมัยตามประวัติศาสตร์ไทยที่รู้จัก กันอย่างทั่วไป แต่การแบ่งยุคศิลปกรรมได้แบ่งย่อยออกเป็นสมัยต่าง ๆ โดยมีชื่อเรียกตามสมัย หรือราชวงศ์ ตลอดจนแบ่งตามรูปแบบและลักษณะของศิลปะ ระยะเวลา ถิ่นกำเนิดหรือสถานที่ ที่ค้นพบ ซึ่งเริ่มตั้งแต่โบราณสถานและโบราณวัตถุเก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ

104.    เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง พบในศิลปะใดต่อไปนี้มากเป็นพิเศษ

(1) อยุธยารัตนโกสินทร์        (2)       สุโขทัย,เชียงแสน

(3)อู่ทองสุโขทัย        (4)       อยุธยาเชียงแสน

ตอบ 1 หน้า 724730 ในสมัยอยุธยาตอนปลายจะนิยมสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมเพิ่มมุม หรือเรียกว่า เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ต่อมานิยมเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ เข้าไป โดยประดับด้วยปูนปั้นตาม ส่วนต่าง ๆ ของเจดีย์ เพิ่มบัวทรงคลุ่มรองรับทรงระฆัง และทำทรงคลุ่มเถาแทนปล้องไฉน ซึ่งเรียกเจดีย์แบบนี้ว่า เจดีย์ทรงเครื่อง และความนิยมในการสร้างเจดีย์แบบนี้ก็สืบเนื่องมาถึง สมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 1-3

105.    จิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง

(1) พุทธประวัติ            (2)ชาดก          (3)ไตรภูมิ        (4)ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 733 แบบแผนของจิตรกรรมไทยบนฝาผนังโบสถ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 – 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ส่วนเหนือหน้าต่างเขียนภาพเทพชุมนุม ส่วนล่างในแนวเดียวกับหน้าต่าง เขียนภาพพุทธประวัติ (ชาดก) หรือทศชาติ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพไตรภูมิ ด้านหน้า เขียนพุทธประวัติตอนมารวิชัย โดยภาพเขียนในช่วงนี้ใช้สีและปิดทองลงบนภาพทั้งสิ้น

106.    พระที่นั่งองค์ใดมีแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา

(1) พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน    (2) พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

(3)       พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท       (4) พระที่นังดุสิตมหาปราสาท

ตอบ 4 หน้า 729, (คำบรรยาย) พระที่นังดุสิตมหาปราสาท เป็นสถาปัตยกรรมแบบประเพณีในพระบรมมหาราชวังที่รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้สร้างตามแบบพระที่นั่งสุริยามรินทร์ในสมัยอยุธยา โดยนับเป็นพระที่นั่งองค์ที่ 2 ที่สร้างขึ้นแทนพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาท ซึ่งได้รับ แบบอย่างมาจากพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทในสมัยอยุธยา แต่มาถูกไฟไหม้ไปเมื่อ พ.ศ. 2332

107.    หากจะศึกษาสถาปัตยกรรมอยุธยาในยุคกลางจะไปศึกษาที่วัดใด

(1) วัดราชบูรณะ         (2) วัดพระราม (3) วัดพระศรีสรรเพชญ (4) วัดไชยวัฒนาราม

ตอบ 3 หน้า 724 เจดีย์ที่เป็นหลักของพระอารามในสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง มักจะสร้าง เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หรือที่เรียกกันว่าเจดีย์ทรงระฆังตามแบบของสุโขทัย เช่น พระเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ ในวัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งสร้างใน พ.ศ. 2035 ตรงกับรัชสมัย พระรามาธิบดีที่ 2

108.    พุทธศิลป์อู่ทองมีลักษณะที่สังเกตได้จากข้อใด         

(1) มักสลักจากศิลา    (2) มีไรพระศก

(3) ขมวดพระเกศามีขนาดใหญ่          (4) นิยมสร้างพระพุทธรูปหลายองค์บนฐานเดียวกัน

ตอบ 2 หน้า 720, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปสมัยอู่ทองควรสังเกตจากพระพักตร์ ที่ประดับด้วยไรพระศก (เส้นขอบหน้าผาก) และมีขมวดพระเกศาหรือเส้นพระศกที่เล็กแบบ หนามขนุน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เหมือนกันของพุทธศิลป์แบบอู่ทองทุกรุ่น

109.    เครื่องสังคโลกในศิลปกรรมสุโขทัยใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

(1) เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน        (2) เป็นเครื่องประดับสถาปัตยกรรม

(3) เป็นของเล่นเด็ก     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ.4 หน้า 479713,(คำบรรยาย) เครื่องสังคโลกในศิลปกรรมสมัยสุโขทัยจะมีทั้งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น จาน ชาม ขวด ตลับ ฯลฯ และที่ใช้เป็นเครื่องประดับ สถาปัตยกรรม เช่น กระเบื้องเคลือบมุงหลังคา ช่อฟ้า บราลี พลสิงห์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเครื่องปั้นที่ใช้เป็นของเล่นเด็ก เช่น ตุ๊กตาสังคโลกหรือตุ๊กตาเสียกบาล รูปช้าง ทวารบาล ฯลฯ

110.    พระพุทธรูปเอกลักษณ์พิเศษของสุโขทัยอยู่ในอิริยาบถใด

(1) นั่ง  (2) นอน           (3) ยืน (4) เดิน

ตอบ 4 หน้า 712, (คำบรรยาย) ในสมัยสุโขทัยศิลปินนิยมสร้างพระพุทธรูปครบทั้ง 4 อิริยาบถได้ เป็นครั้งแรก คือ นั่ง นอน ยืน และเดิน แต่ที่เด่นจนถือเป็นเอกลักษณ์พิเศษของสุโขทัย คือ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือสลัก แม้แต่พระพิมพ์ก็นิยมทำพระพุทธรูปปางลีลา (เดิน) เสียเป็นส่วนมาก ซึ่งพระพุทธรูปปางลีลานี้นับว่ามีลักษณะงดงามและเป็นฝีมือช่างที่วิเศษที่สุด จนถือได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของสุโขทัย

111.    ยุคใดต่อไปนี้ไม่มีตัวอย่างศิลปกรรมอิทธิพลศาสนาพุทธมหายานให้ศึกษาได้ในขณะนี้

(1) ทวารวดี      (2) ศรีวิชัย       (3) ลพบุรี         (4) เชียงแสน

ตอบ 4 หน้า 685694699715, (คำบรรยาย) ศิลปะล้านนาหรือเชียงแสนในช่วงแรกนั้นได้รับ อิทธิพลหรือมีพื้นฐานมาจากศิลปะหริภุญไชย และมีการพัฒนาลักษณะรูปแบบโดยมีอิทธิพล ของศิลปะพม่าสมัยพุกามเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งศิลปกรรมล้านนาหรือเชียงแสนมักจะสะท้อน อิทธิพลของพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท (หินยาน) แบบลังกาวงค์เป็นส่วนใหญ่ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น ปรากฏตัวอย่างศิลปกรรมอิทธิพลศาสนาพุทธมหายาน)

112.    ในภาพจำหลักลายเส้นที่วัดศรีชุม สุโขทัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

(1) ไตรภูมิ       (2) ชาดก         (3) รัตนตรัยมหายาน   (4) พระอดีตพุทธเจ้า

ตอบ 2 หนา 713, (คำบรรยาย) จิตรกรรมเรื่องชาดกสมัยที่เก่าที่สุด ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นเค้าของจิตรกรรมฝาผนังไทย คือ จิตรกรรมสมัยสุโขทัย โดยได้มีการค้นพบภาพจำหลักลายเส้นบนแผ่นหิน ที่วัดศรีชุม จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติและชาดกเรื่องพระเจ้าห้าร้อยชาติ จารไว้บนหินชนวนกรุที่เพดานวัด ทั้งนี้ภาพดังกล่าวเป็นภาพชาดก 550 เรื่อง แต่นำมาเขียน เพียง 100 เรื่อง โดยมีจารึกสรุปตามชื่อเรื่อง

113.    พระพุทธรูปแสดงการบรรลุโพธิญาณ เป็นพระพุทธรูปที่แสดงปางใด

(1) ปางสมาธิ  (2) ปางลีลา     (3) ปางมารวิชัย           (4) ปางประทานพร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางตรัสรู้ เป็นปางของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ หรือบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลักษณะของพระพุทธองค์จะประทับนั่งขัดสมาธิใต้ต้นโพธิ์ พระหัตถ์ขวาคว่ำลงบนพระชงฆ์ขวา นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงยังแผ่นดิน ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางหงายอยู่ เหนือพระเพลา

114.    ข้อความในข้อใดไม่ถูกต้อง

(1)       สมัยสุโขทัย เป็นยุคที่การสร้างพระพุทธรูปเจริญถึงขีดสูงสุด

(2)       สมัยอยุธยา เป็นยุคที่การสร้างสถาปัตยกรรมเจริญถึงขีดสูงสุด

(3)       สมัยสุโขทัย ขาดหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือศาสนาพราหมณ์

(4)       สมัยอยุธยา ศิลปกรรมขาดความสืบเนื่องจากสมัยอู่ทอง

ตอบ 3 หน้า 708 งานศิลปกรรมในช่วงแรกของสุโขทัย ยังคงปรากฏอิทธิพลของศิลปะขอมทั้งในงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และคาสนาพุทธผ่ายมหายาน เช่น ศาลตาผาแดงที่เมืองเก่าสุโขทัย รวมทั้งประติมากรรมรูปเทวดา และเทวนารีที่พบในบริเวณปราสาท จัดเป็นศิลปะขอมแบบนครวัดตอนปลายต่อบายน เป็นต้น

115.    รูปแบบประติมากรรมที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในสมัยลพบุรี คืออะไร

(1) พระพุทธรูปปางไสยาสน์   (2) พระพุทธรูปปางนาคปรก

(3) พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท          (4) พระพุทธรูปก่อนการตรัสรู้

ตอบ 2 หน้า 700 – 701, (คำบรรยาย) รูปแบบประติมากรรมสมัยศิลปะลพบุรีที่ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ คิอ พระพุทธรูปปางนาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ซึ่งมักจะสลักด้วยศิลาทราย ต่อมาในสมัยหลังประมาณ ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มักนิยมสลักเป็นพระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่อง มีสีพระพักตร์ ค่อนข้างถมึงทึง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะลพบุรีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศิลปะขอม

116.    อะไรเป็นเหตุที่ทำให้มีการสร้างพระพิมพ์ในทุกสมัย

(1) การสืบอายุพระศาสนา      (2) การระลึกถึงสังเวชนียสถาน

(3) การเผยแผ่พระพุทธศาสนา           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 688696705 – 706 การสร้างพระพิมพ์ในแต่ละสมัยจะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ดังนี้

1.         เพื่อเป็นของที่ระลึกถึงการได้ไปบูชาสังเวชนียสถาน 4 แห่งในอินเดีย

2.         เพื่อเป็นที่เคารพบูชา และเผยแผ่พระพุทธศาสนา      3. เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา

4.         เพื่อปรมัตถประโยชน์ของผู้มรณภาพ 5. เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา

117.    ข้อใดเป็นการอธิบายลักษณะของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสมัยศรีวิชัย

(1) มีอิริยาบถครบทั้งสี่อิริยาบถ          (2) หล่อจากสำริด มีการตกแต่งเครื่องประดับงดงาม

(3) พบจำนวนน้อยกว่าพระพุทธรูป     (4) ลักษณะศิลปะเป็นแบบอินเดียผสมลังกา

ตอบ 2 หน้า 685694 – 695 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) จะสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยเฉพาะความนิยมสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ประจำกัลป์ปัจจุบันและเป็นที่นิยมนับถือมาก ทั้งนี้ลักษณะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรของศิลปะศรีวิชัย มักหล่อจากสำริด และมีการตกแต่งเครื่องประดับงดงาม ซึ่งที่สวยงามที่สุดแต่มีเพียงครึ่งองค์ คือ ประติมากรรมพระอวโลกิเตศวรสัมฤทธิ์ (สำริด) พบที่หน้าวัดพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15

118.    ลักษณะในข้อใดปรากฏ ณ พระบรมธาตุไชยา

(1) มีประตูทางเข้าทั้งหมดรวม 3 ด้าน (2) มีเจดีย์จำลองเล็ก ๆ ประดับบนหลังคาแต่ละมุม

(3) ใช้ศิลาแลงกับอิฐขนาดใหญ่ในการสร้าง   (4) มีพระพุทธรูปประจำทุกด้าน ด้านละ 3 องค์

ตอบ 2 หน้า 694 – 695, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมที่สำคัญของศิลปะศรีวิชัย คือ พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีรูปแบบลักษณะคล้ายคลึงกับบรรดาเจดีย์ในเกาะชวามาก กล่าวคือ เป็นเจดีย์ก่ออิฐทรงเหลี่ยมจัตุรมุขย่อมุม โดยมุขด้านหน้าเปิดให้มีทางเข้าได้ แต่อีก 3 ด้านจะทึบทั้งหมด องค์เจดีย์มักทำเป็นมณฑปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งมีทั้งหมด 180 องค์ ส่วนบนมีเจดีย์จำลององค์เล็ก ๆ ประดับไว้บนหลังคาแต่ละมุม และเรือนยอดมียอดบริวาร และยอดประธานรวมกันได้ 5 ยอด จึงเรียกว่า เจดีย์ทรงปราสาทห้ายอด

119.    ศิลปะใดสะท้อนถึงการนับถือคาสนาพุทธมหายานมากเป็นพิเศษในสมัยศิลปะศรีวิชัย

(1) พระคณปติ            (2)       พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

(3) ศิวลึงค์       (4)       พระวิษณุสวมหมวกแขกทรงกระบอก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 117. ประกอบ

120.    พระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยองค์ใหญ่ศิลปะชั้นเยี่ยม แสดงปางอะไร

(!) มารวิชัย      (2)       สมาธิ

(3) มารวิชัยนาคปรก   (4)       สมาธินาคปรก

ตอบ 3 หน้า 695, (คำบรรยาย) ประติมากรรมศรีวิชัยในระยะหลังเป็นสมัยอิทธิพลศิลปะขอมซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปด้วย โดยพระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยองค์ใหญ่ที่สำคัญและนับเป็นศิลปะ ชั้นเยี่ยม ได้แก่ พระพุทธรูปนาคปรกสัมฤทธิ์ (สำริด) พบที่วัดเวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งแสดงพระหัตถ์ทำปางมารวิชัยแปลกจากทั่วไปที่นิยมทำปางสมาธิ

WordPress Ads
error: Content is protected !!