SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาค2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. มาร์กซ์ (Marx) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Critique of Political Economy มีทัศนะในการศึกษาสังคมอย่างไร

(1) การขัดกับระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเป็นไปตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

(2) สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพ

(3) สังคมมีโครงสร้างเหมือนร่างกายมนุษย์

(4) สังคมไม่จำเป็นต้องมีความขัดแย้ง

ตอบ 1 หน้า 7 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้มองสังคมในแง่ของการ“ขัดกัน” ของคนในสังคม โดยเขากล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Critique of Political Economy ว่า การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ สังคมเศรษฐกิจโบราณมีการขัดแย้งกันระหว่างทาสกับนายทาส ในสังคมเศรษฐกิจ สมัยกลางมีการขัดแย้งกันระหว่างข้าติดที่ดินกับเจ้าของที่ดิน และในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม มีการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) กับนายทุน ซึ่งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนกระทั่งกลายเป็นสังคมนิยมและสังคมคอมมิวนิสต์

2. มนุษย์มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในด้านใดมากที่สุด

(1) รู้จักสื่อความหมาย

(2) มีการย้ายที่อยู่

(3) รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

(4) รู้จักพึ่งพาอาศัยกัน

ตอบ 1 หน้า 81 มนุษย์มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในด้านการรู้จักสื่อความหมายมากที่สุด มนุษย์มีการ ติดต่อสื่อสารโดยใช้สัญลักษณ์ ภาษา และยังมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมถึงกันได้ในขณะที่สัตว์ ประเภทต่าง ๆ ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้บ้างแต่เป็นไปในระดับต่ำมาก

3. ตัวเลือกใดเป็นความรู้แบบสามัญสำนึก

(1) ปรากฏการณ์ที่สามารถมองเห็นและประสบได้ด้วยประสาทสัมผัส

(2) ปรากฏการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์

(3) ปรากฏการณ์ที่สามารถจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ได้

(4) ปรากฏการณ์ที่สามารถจัดระเบียบหาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้

ตอบ 1 หน้า 2 ความรู้แบบสามัญสำนึก (Common Sense) คือ ปรากฏการณ์ทางสังคมที่สามารถ มองเห็นและประสบได้ด้วยประสาทสัมผัส ทั้งนี้การศึกษาเกี่ยวกับ “คนและสังคม” ในระยะ เริ่มแรกมีลักษณะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับมาในรูปของสามัญสำนึก

4. เพราะเหตุใดจึงต้องศึกษาสังคม

(1) เพื่อเข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคม

(2) เพื่อให้สามารถสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้

(3) เพื่อชี้แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคม

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 4-5 สาเหตุที่ต้องศึกษาสังคมก็เพราะจะได้รับประโยชน์ดังนี้

1. เพื่อให้เข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคมตนเองและสังคมอื่นที่สัมพันธ์ด้วย ทำให้ทราบถึงกลไกการทำงานของสังคมและแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคม กำหนดขึ้น

2. เพื่อให้สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลอื่น/ต่อสมาชิกร่วมสังคมและสมาชิกร่วมโลก เข้าใจสถานภาพและบทบาทของตนเองและผู้อื่น เนื่องจากมนุษย์จะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

3. เพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษและสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน เข้าใจปัญหาและสามารถชี้แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมได้

4. เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพ โดยใช้เป็นวิชาความรู้ควบคู่กับการศึกษาวิชาอื่น ๆ เพราะ ทุกฝ่ายต่างจะต้องใข้วิชาชีพนั้น ๆ กับคนในสังคมทั้งสิ้น

5. เพราะเหตุใดสังคมวิทยาจึงเน้นการศึกษาสังคมโดยการสุ่มตัวอย่าง

(1) ง่ายและสะดวกต่อการศึกษา (2) เน้นการสังเกตส่วนบุคคล

(3) เพื่อทำนายปรากฏการณ์ในอนาคต (4) ศึกษาสังคมปัจจุบันซึ่งมีขนาดใหญ่

ตอบ 4 หน้า 49 – 50, (คำบรรยาย) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมปัจจุบัน สังคมที่รู้หนังสือ และสังคมเชิงซ้อน โดยมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการศึกษาแบบสุ่มตัวอย่าง (Sampling) มากกว่า การศึกษาเป็นรายกรณี (Case Studies) ทั้งนี้เพราะการสุ่มตัวอย่างจะเน้นในเรื่องจำนวน (เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีขนาดใหญต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างจึงจะสามารถทำได้) ส่วนการศึกษา เป็นรายกรณีจะเน้นในเรื่องเวลาและความถี่ถ้วน

6. ประเพณีบวชนาค ฉัตร และการบวงสรวงเทวดา เป็นตัวอย่างการศึกษาสังคมแบบใด

(1) การแข่งขัน (2) สัญลักษณ์ (3) ดุลยภาพทางสังคม (4) พฤติกรรมเฉพาะกิจ

ตอบ 2 หน้า 8 วิธีการศึกษาสังคมโดยมองพฤติกรรมในรูปของ “สัญลักษณ์” (Symbol) เช่น ในสังคมที่มีกษัตริย์จะมีฉัตรหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ ประเพณีการบวชนาค การแห่นางแมว หรือการบวงสรวงเทวดาของคนในบางสังคมนั้น จะเป็นการแสดงออกในรูปลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความหมายที่สำคัญบางอย่างของสังคม ในบางสังคมสีดำหมายถึง ความโศกเศร้า และบางสังคมใช้ดอกกุหลาบเป็นสื่อที่แสดง ความหมายถึงความรัก ความสดชื่น เป็นต้น

7. คำว่า Sociology มาจากคำในภาษาใด

(1) อังกฤษกับฝรั่งเศส (2) ละตินกับผ่รั่งเศส (3) ละดินกับกรีก (4) กรืกกับอังกฤษ

ตอบ 3 หน้า 16 สังคมวิทยา (Sociology) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละติน มีความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

8. ใครเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “กฎระเบียบเกี่ยวกับวิธีการทางสังคมวิทยา”

(1) ค้องท์ (Comte) (2) เวเบอร์ (Weber)

(3) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (4) สเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ 3 หน้า 20 อิมิลี เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) เป็นนักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสที่สนใจศึกษา สังคมวิทยาเปรียบเทียบ (Comparative Sociology) โดยเขาได้เขียนหนังสือเรื่อง “กฎหรือ ระเบียบเกี่ยวกับวิธีการทางสังคมวิทยา”

9. เพลโต (Plato) บรรยายสภาพสังคมเลอเลิศที่สุดไว้ในหนังสือชื่ออะไร

(1) อุตมรัฐ (2) อุดมคติรัฐ (3) อุดมการณ์รัฐ (4) อมตรัฐ

ตอบ 1 หน้า 17 – 18 ข้อเขียนของเพลโต (Plato) มีหลักสังคมวิทยาอยู่มาก โดยเฉพาะในหนังสือชื่อ The Republic (อุตมรัฐ) ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อบรรยายสภาพสังคมที่เลอเลิศที่สุด เป็นรัฐในอุดมคติ ที่ประชาชนมีแต่ความผาสุก เพราะผู้ปกครองเป็น “ราชาปราชญ์” (Philosopher King) คือเป็นทั้งราชาที่มีอำนาจและเป็นปราซญ์ที่ทรงไว้ซึ่งความรู้

10. ใครเป็นผู้สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen)

(1) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) ค้องท์ (Comte) (4) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่ เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม

11. สังคมสถิตตามทัศนะของค้องท์ (Comte) หมายถึงอะไร

(1) โครงสร้าง-หน้าที่ของสังคม

(2) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม

(3) สภาวะสมบูรณภาพของสังคม

(4) วิวัฒนาการของสังคม

ตอบ 1 หน้า 18 – 19 ค้องท์ (Comte) ได้แบ่งการศึกษาทางสังคมวิทยาออกเป็น 2 สาขา ได้แก่

1. สังคมสถิต (Social Statics) เป็นการศึกษาเรื่องราวภายในสังคม คือ ศึกษาส่วนย่อย ได้แก่ โครงสร้าง-หน้าที่ของสถาบันต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ฯลฯ

2. สังคมพลวัต (Social Dynamics) เป็นการศึกษาสังคมทั้งสังคม โดยเน้นการศึกษาในเรื่อง ที่ว่าสังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิวัฒนาการความเป็นมาหรือเป็นไปอย่างไร ซึ่งเป็น การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

12. หลักตรรกศาสตร์ในทางสังคมศาสตร์ที่นำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ได้แก่วิธีการแบบใด

(1) นิรนัยและตรรกนัย

(2) อุปนัยและตรรกนัย

(3) นิรนัยและอัตนัย

(4) นิรนัยและอุปนัย

ตอบ 4 หน้า 43 ในทางสังคมศาสตร์ได้นำเอาหลักดรรกวิทยา (ตรรกศาสตร์) มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้

1. วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่มาหาส่วนน้อย

2. วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปได้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไร ก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่

13. การตื่นตัวในวัฒนธรรมประจำชาติโดยจะมีการพูดถึง “เอกลักษณ์ของชาติหรือวัฒนธรรมอันดีงาม”มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด

(1) ต้องการเอกราช (2) เกิดการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้าน

(3) วัฒนธรรมต่างชาติกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามา (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 55 การตื่นตัวในทางวัฒนธรรมประจำชาติมักมีมากในช่วงที่มีความรู้สึกว่าวัฒนธรรม ต่างชาติกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามา ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะมีการพูดถึง “ เอกลักษณ์ ของชาติ” หรือ “วัฒนธรรมอันดีงาม” ของชาติอยู่บ่อย ๆ

14. ตัวเลือกใดเป็นความหมายของวัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์

(1) ความเชื่อ (2) ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ

(3) ทุกสิ่งที่ดีงาม (4) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลงานของมนุษย์

คอบ 4 หน้า 58 – 59 วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์มีความหมายกว้างขวางมากที่สุด คือ ครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลผลิตหรือผลงานหรือผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุหรือทางอวัตถุ และมีขอบเขตเกินกว่าการเป็นสิ่งที่ดีงาม หรือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ

15. ตัวอย่างใดที่มีความหมายว่า “หายนะธรรม” (Decadence)

(1) บทประพันธ์เรื่องขุนข้างขุนแผน (2) ดนตรีของไชคอฟสกี้

(3) บทละครของเชคสเปียร์ (Shakespeare) (4) ความฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือยปลายจักรวรรดิโรมัน

ตอบ 4 หน้า 57 วัฒนธรรมตามความหมายตามรากศัพท์เดิมมาจากศัพท์ “วัฒนะ” หรือ “พัฒนะ” ซึ่งแปลว่า “เจริญ” ดังนั้นจึงตรงข้ามกับคำว่า “หายนะธรรม” (Decadence) ซึ่งเป็นการ ประพฤติอันนำไปสู่ความเสื่อมหรือเป็นการเจริญลง ตัวอย่างเช่น ความฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือย ปลายจักรวรรดิโรมัน เป็นยุคที่มีการประพฤติปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ อันเป็นผลทำให้ จักรวรรดิโรมันแตกสลายในที่สุด ฯลฯ

16. พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นประเพณีเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) ชีวิตบุคคล (2) อำนาจพระมหากษัตริย์ (3) การปกครอง (4) การทำมาหากิน

ตอบ 4 หน้า 57 – 58, (คำบรรยาย) ขนบรรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับ

1. วาระสำคัญของชีวิตบุคคล การดำเนินขีวิตของบุคคลตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นชีวิต

2. ประเพณีต่าง ๆ ของสังคมเอง ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่และการทำมาหากินหรือ การประกอบอาชีพของคนในสังคม เช่น พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฯลฯ

17. ข้อใดเป็นลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน

(1) เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ (2) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากสัญชาตญาณ

(3) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (4) เป็นปฏิกิริยาทางสรีระ

ตอบ 3 หน้า 61 ลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ ไม่เป็นพฤติกรรม ที่เกิดจากสัญชาตญาณ และไม่เป็นปฏิกิริยาทางสรีระ)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลของพฤติกรรม (ทั้งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้หรือมองเห็นสัมผัสได้)

4. เป็นสิงที่สมาชิกของสังคมรู้สึกว่ามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของไม่มากก็น้อย

5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา 6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

18. สังคมใดมีความแตกต่างกันในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพอย่างมาก จนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา

(1) สหรัฐอเมริกา (2) อินเดีย (3) ทิเบต (4) ปากิสถาน

ตอบ 2 หน้า 87 อนุวัฒนธรรมทางอาชีพ ได้แก่ ผู้ที่ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพมักจะมีแบบหรือวิถีการดำรงชีวิตแตกต่างกัน เช่น ในสังคมอินเดียความแตกต่างในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพ มีอย่างมากจนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา โดยวรรณะใหญ่ ๆ ของอินเดียมีด้วยกันทั้งหมด 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

19. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ “ความล้าทางวัฒนธรรม”

(1) เช็คสเปียร์ (Shakespeare) (2) โครเบอร์ (Kroeber)

(3) อ็อกเบิร์น (Ogburn) (4) ริสแมน (Riesman)

ตอบ 3 หน้า 92 ผู้บัญญัติศัพท์ “ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม” คือ อ็อกเบิร์น (Ogburn) นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยเขาให้คานิยามไว้ว่า ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม ได้แก่ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่จนเกินเลยเวลาที่เป็นประโยชน์ได้ โดยล้าหลังหรือตามไม่ทัน วัฒนธรรมส่วนอื่น ๆ ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

20. ความหมายของกลุ่มสังคมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) กลุ่มคนที่กำลังรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (2) กลุ่มคนที่มีการโต้ตอบกันทางสังคม

(3) กลุ่มคนที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน (4) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบ

ตอบ 2 หน้า 98 กลุ่มสังคม หมายถึง กลุ่มคนที่มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กัน ตามสถานภาพและบทบาท มีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน และมีความเชื่อในด้านคุณค่า ร่วมกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ กลุ่มเชื้อชาติ ฯลฯ

21. กลุ่มชนิดใดที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

(1) กลุ่มปฐมภูมิ

(2) กลุ่มทุติยภูมิ

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มเอ็นจีโอ

ตอบ 1 หน้า 98 – 99 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) มีความสำคัญดังนี้

1. เป็นกลุ่มแรกที่มนุษย์เป็นสมาชิก คือ ครอบครัว

2. เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่อบรมขัดเกลาทางสังคม (Socialization)

3. เป็นกลุ่มสำคัญที่ส่งเสริมหรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เช่น เอื้อประโยชน์หรือ ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

4. เป็นประโยชน์ในด้านการสร้างขวัญกำลังใจ

22. กลุ่มซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกัน หมายถึงกลุ่มใด

(1) กลุ่มทุติยภูมิ

(2) กลุ่มสมาคม

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มชาติพันธุ์

ตอบ 4 หน้า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Group) เป็นกลุ่มคนซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกัน เช่น พวกชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจาก คนกลุ่มใหญ่ในแง่เชื้อชาติ ประเพณี และวัฒนธรรม

23. กลุ่มชาติพันธุ์เป็นตัวอย่างของกลุ่มใด

(1) กลุ่มชนชั้น (2) กลุ่มอาชีพ (3) กลุ่มอ้างอิง (4) กลุ่มทุติยภูมิ

ตอบ 4 หน้า 99 – 100 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการติดต่อทาง สังคมที่ห่างเหิน ระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ ขาดความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขาดความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นส่วนตัว การติดต่อมุ่งให้ได้ ประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว ความคิดเห็นของกลุ่มมุ่งที่เหตุผลและเน้นด้านประสิทธภาพ โดยกลุ่มทุติยภูมิแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1. กลุ่มสมาคมหรือองค์การ 2. กลุ่มชาติพันธุ์

3. กลุ่มชนชั้น

24. ระยะห่างทางสังคมเป็นการวัดอะไร

(1) ระยะทาง

(2) ระยะเวลา (3) ระดับความใกล้ชิดหรือการยอมรับ (4) ระดับการพัฒนาสังคม

ตอบ 3 หน้า 103, (คำบรรยาย) ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นการวัดระดับของ ความใกล้ชิดสนิทสนม หรือการยอมรับ หรืออคติที่เรามีความรู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และ สามารถนำมาใช้วัดความเป็นกลุ่มเรากลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี โดยแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ

1. ระดับแนวราบ (แนวนอน) เป็นความสัมพันธ์ของคนที่มีสถานภาพเท่าเทียมกันหรืออยู่ใน ระดับเดียวกัน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ญาติพี่น้อง เพื่อน ผู้ร่วมงาน ฯลฯ

2. ระดับแนวดิ่ง (แนวตั้ง) เป็นความสัมพันธ์ของคนที่มีสถานภาพต่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อแม่กับลูก นายจ้างกับลูกจ้าง เจ้านายกับลูกน้อง ฯลฯ

25. สถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคมได้แก่สถาบันอะไร

(1) ศาสนา (2) การปกครอง (3) ครอบครัว (4) เศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 107 ในทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบัน 3 ประการ คือ

1. เป็นสถาบันทางสังคม ซึ่งมีรูปแบบหรือแบบแผนที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรมตามหน้าที่ ตามที่สังคมกำหนดขึ้น และมีโครงสร้างทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดค่านิยมที่แท้จริง

2. เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม มีมาพร้อมกับมนุษย์ และคงอยู่กับมนุษย์ตลอดเวลา

3. เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

26. ตัวเลือกใดคือครอบครัวที่จัดตามลักษณะและหน้าที่

(1) ครอบครัวเล็ก

(2) ครอบครัวปฐมนิเทศ (3) ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 114 ประเภทครอบครัวจัดตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ ดังนี้

1. ครอบครัวปฐมนิเทศ (Family of Orientation) เป็นครอบครัวอาศัยเกิด คือ ครอบครัวของ บิดามารดาของเรานั่นเอง

2. ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (Family of Procreation) คือ ครอบครัวที่เกิดจากตัวของเราเอง โดยการสมรส และการมีบุตรสืบสกุล

27. ครอบครัวที่ชายหญิงสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน เรียกว่าอะไร

(1) หลายผัวหลายเมีย (2) คู่ครองร่วม (3) พหุคู่ครอง (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า115-116 ครอบครัวประกอบร่วมหรือครอบครัวซ้อนเป็นระบบครอบครัวที่ชายหญิง สามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คนที่เรียกว่าหลายผัวหลายเมีย (พหุคู่ครอง) ซึ่งแยกออกเป็น

1. ชายมีภรรยาหลายคน (พหุภรรยา)

2. หญิงมีสามีหลายคน (พหุสามี) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในชาวทิเบตบางกลุ่ม

3. ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เหลือเพียงหลักฐาน เพื่อการศึกษาเท่านั้น

4. ครอบครัวภาระหรือครอบครัวภาวะจำยอม

28. องค์การสหประชาชาติกำหนดสถานะการสมรสของมนุษย์ไว้อย่างไร

(1) โสด สมรส แยกกันอยู่ (2) โสด สมรส หย่า

(3) โสด สมรส หย่า ร้าง (4) โสด สมรส แยกกันอยู่ ร้าง หย่า หม้าย

ตอบ 4 หน้า 118, (คำบรรยาย) องค์การสหประชาชาติได้มีมติกำหนดสถานะการสมรสของมนุษย์ ไว้ 6 ประการ คือ

1. โสด เป็นสถานะการสมรสที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน

2. สมรส (แตงงาน) 3. แยกกันอยู่ 4. ร้าง 5. หย่า 6. หม้าย

29. การศึกษาครอบครัวโดยเน้นการอยู่ร่วมกับของชายหญิงเพื่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล เป็นแนวการศึกษาด้านใด

(1) มานุษยวิทยา (2) สังคมวิทยา (3) จิตวิทยา (4) เพศศึกษา

ตอบ 1 หน้า 108 การศึกษาครอบครัวตามแนวมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาครอบครัวโดยเริ่มจาก การที่หญิงหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกับชายหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นและมีบุตรด้วยกัน มีความสัมพันธ์ทางเพศอันเป็นที่ยอมรับกันทางสังคม โดยมีวัตถุประสงคัในการอยู่ร่วมกัน เพื่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล อันเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง

30. ตัวเลือกใดคือตัวอย่างของศาสนาธรรมชาติ

(1) ลัทธิเต๋า (2) ศาสนาชินโต

(3) การเคารพบูขารุกขเทวดา (4) ศาสนาพราหมณ์

ตอบ 3 หน้า 129 – 130 ความเป็นมาของศาสนาโดยวิวัฒนาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ศาสนาธรรมชาติ เป็นระบบความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข เช่น การนับถือผี นับถือวิญญาณ นับถือเจ้าป่าเจ้าเขา การเคารพบูขารุกขเทวดา ฯลฯ

2. ศาสนาสถาบันหรือศาสนาหลัก เป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นจากข้อกำหนดของสังคม โดยนำศาสนาธรรมชาติมาปรับปรุงแก้ไขและจัดรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ยิงขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ฯลฯ

31. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) มีความเห็นต่อศาสนาอย่างไร

(1) ทำให้เกิดความงมงาย

(2) เป็นยาเสพติด

(3) ช่วยปลอบใจยามทุกข์ยาก

(4) เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ไม่แน่ใจในธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 133,350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจ ในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีศาสนา

(1) ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

(2) ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง

(3) เพื่อนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรม

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนาเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงแสวงหาวิธีการมาช่วยปลอบประโลมใจ

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนาเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ข้อใด

(1) เอกเทวนิยม และพหุเทวนิยม (2) พหุเทวนิยม และอเทวนิยม

(3) เทวนิยม และอเทวนิยม (4) เอกเทวนิยม และอเทวนิยม

ตอบ 3 หน้า 139 – 140 การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนา มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. เทวนิยม (Theism) เป็นระบบความเชื่อทว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งออกเป็น เอกเทวนิยม (เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว) เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฯล*า, พหุเทวนิยม (นับถือ พระเจ้าหลายพระองค์) เช่น ศาสนาฮินดู ๆลา, สัพพัตถเทวนิยม (เชื่อว่าพระเจ้าและจักรวาล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เช่น เชื่อว่าแผ่นดินมีแม่พระธรณีเป็นผู้ดูแลปกปักรักษา ฯลฯ

2. อเทวนิยม (Atheism) เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ เชน เต๋า ฯลฯ

34. ศาสนาใดเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม

(1) คริสต์ (2) อิสลาม (3) ฮินดู (4) พุทธ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

35. ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับเพเดีย (Paedeia) หมายความว่าอย่างไร

(1) การศึกษาผูกพันกับผู้สอน (2) การศึกษาผูกพันกับปัญญา

(3) การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (4) การศึกษาผูกพันกับเทพเจ้า

ตอบ 3 หน้า 152 – 153 ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (ภาษากรีกเรียกว่า Paedeia) ซึ่งคำว่าการศึกษาในภาษากรีก หมายถึง การเรียนคุณธรรม โดยสรุปการศึกษา ในทัศนะกรีกโบราณ หมายถึง การเป็นคนดีและเป็นพลเมืองดี

36. กระบวนการอันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” หมายถึงข้อใด

(1) สิ่งทั้งหลายยอมอาศัยซึ่งกันและกัน (2) สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

(3) สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอัตตา (4) สิ่งทั้งหลายศึกษาได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ตอบ 1 หน้า 152 พระพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจาก ความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า ‘’ปฏิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกันและกัน) ดังนั้นการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากอวิชชา หรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

37. ผู้สำเร็จการศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญามักถูกเปรียบเทียบกับคุณลักษณะใด

(1) เหยียบขี้ไก่ไม่ผ่อ (2) เข็นครกขึ้นภูเขา

(3) ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด (4) เขียนเสือให้วัวกลัว

ตอบ 3 หน้า 164 – 167 ผลิตผลของปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญา โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่มีต่อสังคม คือ การสร้างนักคิดและนักวิชาการประเภทเคร่งทฤษฎี จนกระทั่งมีฉายาว่าเป็นนักวิชาเกิน หากมหาวิทยาลัยใดนิยมปรัชญาแนวนี้ย่อมทำให้สถาบัน มีลักษณะเป็นแบบหอวิมานงาช้างหรือ “ปัญญาปราสาท” ที่ให้ความสำคัญกับวิชาการและวิชาชื่นชอบโดยไม่ได้อยู่ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษามักถูกเปรียบเทียบได้ กับคุณลักษณะดังคำพังเพยของไทยที่ว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” คือ มีความรู้มาก แต่ไม่สามารถนำความรู้นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

38. มุกติศึกษาหมายถึงข้อใด

(1) ผู้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร (2) ผู้เข้าถึงปัญญา

(3) ผู้มีคุณธรรม (4) ผู้เป็นอิสระจากอคติหรือความเชื่อที่ปราศจากเหตุผล

ตอบ 4 หน้า 165 ปรัชญาการศึกษาแนวแรกที่เน้นหนักไปทาง “ศิลปศาสตร์ศึกษา” (Liberal Education) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า Liberal Arts หมายถึง ศิลปวิทยาการที่ทำให้คนมีเสรี ได้มีบางท่านใช้ศัพท์ “มุกติศึกษา” หมายถึง การหลุดออกหรือการเป็นอิสระจากอคติหรือ ความเชื่อต่าง ๆ ที่ปราศจากเหตุผล

39. มหาวิทยาลัยเปิดแบบตลาดวิชาแห่งแรกของไทยคือมหาวิทยาลัยใด

(1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

(2) สุโขทัยธรรมาธิราช (3) รามคำแหง (4) ธรรมศาสตร์และการเมือง

ตอบ 4 หน้า 174 – 175 มหาวิทยาลัยเปิดหรือตลาดวิชาแห่งแรกของไทย คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งได้รับการสถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2476 โดยจัดการศึกษาในระยะเริ่มแรกเป็นแบบ “ใครใคร่เรียนเรียน” คือ ผู้ที่ประสงค์จะเรียนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

40. มหาวิทยาลัยใดมีปรัชญาการศึกษาที่เน้นการแก้ปัญหาเพื่อสวัสดิการของปวงชน

(1) มหาวิทยาลัยเปิดของประเทศอังกฤษ (2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

(3) มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (4) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตอบ 3 หน้า 177 – 178 ปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติจะเน้นในเรื่องความเข้าใจกัน ระหว่างมวลมนุษย์ การอยู่ร่วมกันของคนต่างชาติต่างภาษาและต่างวัฒนธรรม การดำรงรักษาไว้ ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยมีปรัชญาหลัก คือ การมุ่งแก้ป้ญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็น ความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสรรค์สร้างสวัสดิการของปวงชน

41. วิชาประชากรศาสตร์เกิดขึ้นเนื่องจากอะไร

(1) อัตราการเกิดสูง

(2) อัตราการตายสูง

(3) การอพยพย้ายถิ่นสูงขึ้น

(4) อัตราการเพิ่มชองประชากรโลกสูงขึ้น

ตอบ 4 หน้า 185 ประชากรศาสตร์ เป็นสาสตร์สาขาใหม่ของสังคมศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง สืบเนื่องจากในปี ค.ศ. 1949 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับทรัพยากรของโลก และมีการสำรวจประชากรในฐานะผู้บริโภคด้วย ซึ่งผลจาก การประชุมพบว่าทรัพยากรต่าง ๆ ของโลกได้ถูกทำลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่ ประชากรมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับประชากรมากขึ้น

42. หลังปี ค.ศ. 1950 ประชากรโลกเพิ่มขึ้นมากในภูมิภาคใด

(1) ยุโรป

(2) เอเชีย

(3) แอฟริกา

(4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 188 – 189 การเพิ่มของประชากรโลกก่อนปี ค.ศ. 1950 มีอัตราการเพิ่มอย่างสูงในบริเวณ ภูมิภาคแถบยุโรป และบริเวณที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่เท่านั้น แต่หลังจากปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างสูงของประชากรโลกได้มาเกิดขึ้นใบบริเวณภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา

43. ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีลักษณะอย่างไร

(1) อัตราการตายสูง (2) ประชากรวัยชราเพิ่มขึ้น

(3) อัตราการเกิดสูงขึ้น (4) ประชากรวัยชราลดลง

ตอบ 2 หน้า 190, 195, (คำบรรยาย) หากพิจารณาในภาพรวม ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะที่อัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ใน ระดับตํ่าเท่าเทียมกัน และประชากรวัยชราเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะมี การเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะที่อัตราการเกิดยังสูงอยู่แต่อัตราการตายลดต่ำลง

44. กระบวนการทางประชากรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ได้แก่ข้อใด

(1) ครอบครัว การศึกษา และความเชื่อ (2) สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

(3) การเกิด การตาย และการย้ายถิ่น (4) สถานภาพ บทบาท และสถาบัน

ตอบ 3 หน้า 185 – 187 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่

1. การเจริญพันธุ์ (การเกิด) หมายถึง จำนวนประชากรที่ให้กำเนิดบุตรได้จริง ๆ โดยวัดได้จาก การคำนวณหาอัตราการเกิดของประชากร ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุเมื่อแรกสมรส การอยู่เป็นโสด อย่างถาวร การไม่สมรสใหม่ของหญิงหม้ายและหย่าร้าง การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ การคุมกำเนิดโดยวิธีการต่าง ๆ และการตายของเด็กทารก

2. การตาย 3. การอพยพหรือย้ายถิ่น

45. ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการปฏิวัติทางครอบครัว (Family Revolution) ได้แก่ข้อใด

(1) หนุ่มสาวจะแต่งงานช้าลงหรือไม่แต่งงานเลย (2) จำนวนบุตรต่อครอบครัวสูงกว่าระดับทดแทน

(3) เพศหญิงเป็นผู้นำครอบครัว (4) มีแนวโน้มเป็นครอบครัวขยายมากขึ้น

ตอบ 1 หน้า 188 – 189 นักประชากรชาวยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่า สภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านคุณค่าและแบบแผนการดำเนินชีวิต นอกจากนี้วิธีการควบคุม การเกิดหรือการคุมกำเนิดยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น ค่าเช่าบ้านแพงขึ้นและมีขนาดเล็กลง และยังมีแนวโน้มว่า คนหนุ่มสาวจะแต่งงานช้าลงหรือไม่ แต่งงานเลย ซึ่งนักประชากรเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution)

46. การแบ่งช่วงชั้นในยุโรปสมัยกลางใช้ระบบใด

(1) ชนชั้น (2) วรรณะ (3) ฐานันดร (4) สถานภาพ

ตอบ 3 หน้า 199 ฐานันดร (Estate) เป็นระบบการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลาง ของยุโรป เดิมมีเพิยง 2 ฐานันดร ได้แก่ นักบวช (พระ) และขุนนาง ต่อมามีเพิ่มขึ้นอีก เช่น พ่อค้า สามัญชน เป็นระบบที่มีกฎหมายกำหนดสิทธิหน้าที่ของคนแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยูกับความสัมพันธ์ของบุคคลต่อที่ดิน โดยการเขยิบฐานะเป็นไปได้ และไม่มีศาสนาค้ำจุนเหมือน ระบบวรรณะ

47. ตัวเลือกใดเป็นสถานภาพติดตัวของบุคคล

(1) การเป็นสมาชิกของสังคม

(2) ชาติตระกูล (3) สิทธิของคนในสังคม (4) ศักดิ์ศรีที่แต่ละคนมีอยู่

ตอบ 2 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. สถานภาพติดตัว (Ascribed Status) คือ สถานภาพที่บุคคลได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมี รากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น อายุ เพศ ผิวพรรณ ชาติตระกูล ความเป็นลูก ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) คือ สถานภาพที่บุคคลได้รับมาจากการกระทำ หรือผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของบุคคลนั้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถและ ประสิทธิภาพที่บุคคลแสดงออกเมื่อมีโอกาส จึงมีส่วนทำให้บุคคลมีฐานะทางสังคม เช่น การศึกษา อาชีพ รายได้ อำนาจ ฯลฯ

48. ตัวเลือกใดเป็นการจัดช่วงชั้นโดยอิทธิพลของศาสนา

(1) วรรณะ (2) ฐานันดร (3) ชนชั้น (4) ศักดินา

ตอบ 1 หน้า 198 – 199 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยมีอิทธิพล ของศาสนาเข้ามาเกื้อหนุน และเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพของบุคคลในสังคม ซึ่ง จำกัดบุคคลไม่ให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด ดังนั้นระบบวรรณะจึงเป็นระบบช่วงชั้น ซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว (ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

49. เกณฑ์ใดใช้วัดการจัดลำดับชนชั้น (Class) ของสังคม

(1) เกียรติยศศักดิ์ศรี (2) อำนาจ (3) ศาสนา (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 200 – 201 เกณฑ์ที่ใช้วัดการจัดลำดับชนชั้น (Class) ของสังคม ได้แก่ เกียรติยศศักดิ์ศรี ของครอบครัวซึ่งตกทอดมาถึงลูกหลาน อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ ความมั่งคั่ง อำนาจ การมีเวลาว่าง ระดับการศึกษา ความสามารถและการประสบความสำเร็จ ถิ่นที่อยู่อาศัย รสนิยม การแสดงตนและการยอมรับ เป็นต้น

50. ตัวอย่างใดเป็นการจราจรภาพทางสังคมในแนวดิ่ง (Vertical Mobility)

(1) สามัญชนแต่งงานกับเจ้านาย (2) ช่างปูนเปลี่ยนอาชีพเป็นช่างทาสี

(3) แม่ค้าหาบเร่ย้ายไปขายในห้างสรรพสินค้า (4) กระเป๋ารถได้เลื่อนเป็นคนขับโดยสาร

ตอบ 1 หน้า 205 – 206 การจราจรภาพทางสังคมในแนวดิ่งหรือแนวตั้ง (Vertical Mobility)ซึ่งเป็นไปได้ใน 2 ทาง คือ 1. การจราจรภาพในทางตํ่าลง ตัวอย่างเช่น บุคคลซึ่งเคยดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปเป็นบุคคลธรรมดา ฯลฯ 2. การจราจรภาพในทางสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น สามัญชนไปแต่งงานกับเจ้านาย ฯลฯ

51. การควบคุมทางสังคมคืออะไร

(1) กรรมวิธีในการควบคุมไม่ให้สมาชิกแสดงพฤติกรรมฝืนสังคม

(2) กระบวนการในการสร้างกลไกป้องกันพฤติกรรมเบี่ยงเบน

(3) รูปแบบสถิตแห่งสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 215 การควบคุมทางสังคม หมายถึง กรรมวิธีหรือกระบวนการต่าง ๆ ในการควบคุมสังคม เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจากปกติหรือพฤติกรรมที่ฝืนสังคมมิให้เกิดขึ้น หรือป้องกัน มิให้พฤติกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นแล้วมีผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อสังคม

52. ตัวอย่างใดเป็นรูปแบบการอบรมขั้นปฐมภูมิ (Primary Socialization)

(1) ครอบครัวอบรมสั่งสอนเรื่องหน้าที่ในสังคมให้กับสมาชิก

(2) หน่วยงานจัดอบรมความรู้และทักษะเฉพาะตำแหน่งให้พนักงาน

(3) โรงเรียนจัดหลักสูตรพระพุทธศาสนาในชีวิตประจำวันให้นักเรียน

(4) กรรมกรรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสูงขึ้น

ตอบ 1 หน้า 241 การอบรมทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. การอบรมขั้นปฐมภูมิ (Primary Socialization) เริ่มตั้งแต่ครอบครัวทำหน้าที่ให้การอบรม สั่งสอนเด็กในเรื่องความรัก หน้าที่ และสิทธิต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเข้ากับคนอื่น ๆ ในสังคมได้

2. การอบรมขั้นทุติยภูมิ (Secondary Socialization) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้ผ่านกระบวนการ อบรมทางสังคมขั้นปฐมภูมิแล้ว และต้องการเข้ากลุ่มสังคมหรือเปลี่ยนสภาพทางสังคม

53. ตัวเลือกใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรม

(1) สถานภาพและบทบาท

(2) การถอนตัว (3) การบังคับใช้ (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 222 – 223 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย

1. บรรทัดฐาน ได้แก่ กฎหมาย ข้อบังคับ ข้อห้าม อารีต ประเพณี วิถีประชา (เช่น มารยาท ทางสังคมต่าง ๆ หรือสมบัติผู้ดี) ฯลฯ 2. การบังคับใช้ 3. สถานภาพและบทบาท

4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. ความแตกต่างทางสังคมและขั้นทางสังคม

54. ข้อใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกการใช้อุบาย

(1) การใช้เทคโนโลยี

(2) การใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับ (3) การใช้ถ้อยคำภาษา (4) การใช้คนจำนวนมากต่อรอง

ตอบ 3 หน้า 234 กลไกกลอุบายที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ

กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา และกลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

55. ข้อใดคือตัวอย่างของวิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฎิฐาน

(1) การให้รางวัลเป็นเงิน (2) การลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไร้คุณธรรม

(3) การให้อำนาจ (4) การให้เหรียญตรา

ตอบ 4 หน้า 217 วิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน (เชิงบวก) ได้แก่ การซุบซิบในทางดี การจูงใจและการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การยกย่องสรรเสริญเยินยอ และการให้ เหรียญตราเกียรติยศที่เป็นสิ่งแสดงสถานภาพที่สูงขึ้น เช่น การมอบครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯลฯ

56. สังคมวิทยาการเมืองเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาใด

(1) สังคมวิทยากับภูมิศาสตร์

(2; สังคมวิทยากับรัฐศาสตร์ (3) สังคมวิทยากับปรัชญา (4) สังคมวิทยากับมานุษยวิทยา

ตอบ 2 หน้า 247 สังคมวิทยาการเมือง เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาสังคมวิทยาและรัฐศาสตร์โดยสังคมวิทยาเน้นศึกษาถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคม ส่วนรัฐศาสตร์เน้นศึกษาถึงพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ การปกครอง การใช้อำนาจ และสภาวะทางการเมืองที่มีผลต่อรัฐหรือประเทศหรือสังคมโดยส่วนรวม

57. สังคมที่พัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา มักใช้การจัดองค์กรทางการเมืองแบบใด

(1) อนาธิปไตย (2) สังคมนิยม (3) ประชาธิปไตย (4) ประธานาธิปไตย

ตอบ 3 หน้า 442 – 443, (คำบรรยาย) ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย ยกย่อง ผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เน้นความสำคัญของตัวบุคคล (Individualism) มีประชาธิปไตย ทำงานตามระเบียบกฎเกณฑ์หรือหน้าที่อย่างเคร่งครัด และนิยมวัตถุ (Materialism)

58. ข้อใดคือปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง

(1) การออกเสียงเลือกตั้ง (2) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมือง

(3) การสนับสบุนหรือคัดค้านทางการเมือง (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การเข้าร่วม กิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งการสนับสนุนหรือคัดค้านกลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง ฯลฯ

59. ข้อใดไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยุโรปสมัยกลาง

(1) ศาสนา รัฐ และลังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(2) ศาสนจักรครองอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางศาสนา

(3) การถกเถียงเกี่ยวกับสังคมและรัฐว่าใครควรมีอำนาจมากกว่ากัน

(4) แนวคิดเรื่องพลเมือง (Citizen) ยังไม่เกิดขึ้น

ตอบ 4 หน้า 248 – 249 ในสมัยกลางของยุโรปซึ่งเป็นยุคของการรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ พระเป็น ผู้มีบทบาทสำคัญมากทั้งทางโลก (อาณาจักร) และทางธรรม (ศาสนจักร) ซึ่งทั้ง 2 องค์กรนี้ รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มิได้แยกจากกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระในศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะสันตะปาปามีบทบาทมากทั้งทางสังคม การเมืองการปกครอง และการศาสนา มีหน้าที่ควบคุมดูแลประชาชน และบริหารงาบบ้านเมืองไปด้วยในขณะเดียวกัน ต่อมาได้มีการถกเถียงเกี่ยวกับสังคมและรัฐว่าใครควรมีอำนาจมากกว่ากัน ดังนั้นสังคมวิทยาการเมือง จึงพยายามเข้ามามีบทบาทในการประสานและยุติข้อถกเถียง โดยนำเอาศาสตร์ทางด้าน สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์มาศึกษาพิจารณาประกอบกัน

60. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ความขัดแย้งที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือตัวเลือกใด

(1) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (2) ความขัดแย้งระหว่างเพศ

(3) ความขัดแย้งระหว่างอาชีพ (4) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

ตอบ 4 หน้า 250, 320 – 322 ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น โดยสังคมจะปราศจากการขัดแย้งก็ต่อเมื่อเป็น สังคมคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง นั่นคือ ไม่มีรัฐ ไม่มีรัฐบาล เพราะตราบใดที่มีรัฐนั่นก็จะหมายถึง มีการใช้อำนาจรัฐบังคับกดขี่

61. พฤติกรรมฝูงชนเกิดจากอะไร

(1) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด

(2) สมากชิกลุ่มมีความผูกพันกันมากเกินไป

(3) ใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่เข้มงวดเกินไป

(4) สมาชิกกลุ่มมีความคาดหวังสูง

ตอบ 1 หน้า 253 พฤติกรรมฝูงชน เป็นปรากฏการณ์หนึ่งทางสังคม เป็นพฤติกรรมที่เป็นไปเอง โดยปกติวิสัย ซึ่งเกิดจากกลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด โดยไม่มีการวางแผน และ ไม่ได้มีการคาดหมายหรือทำนายไว้ไล่วงหน้า แต่สภาวการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมขณะนั้นส่งเสริม

62. ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob) มีลักษณะอย่างไร

(1) มีสถานการณ์ให้เกิดความตื่นเต้น

(2) มีจุดสนใจอยู่ที่สิ่งเร้าภายนอก

(3) มีการแสดงออกถึงพฤติกรรมรุนแรง

(4) มีจุดประสงค์สร้างแบบแผนใหม่

ตอบ 3 หน้า 256 ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob) เป็นฝูงชนที่ถูกกระตุ้นหรือเร้าอารมณ์ให้แสดงออกถึง พฤติกรรมที่ก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อระบายความเครียด ความอัดอั้นตันใจ ความเคียดแค้น และความกลัว

63. ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดตกใจกลัว เช่น นํ้าท่วม ก่อให้เกิดฝูงชนประเภทใด

(1) Riot

(2) Orgy

(3) Panic

(4) Audience

ตอบ 3 หบ้า 257 ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เป็น Mob หรือฝูงชนที่บ้าคลั่งประเภทที่ตื่นตกใจกลัว การระบาดทางอารมณ์เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีสิ่งเร้า เพราะสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดจะทำให้เกิด ความตื่นกลัวโดยไม่ได้คาดเอาไว้ล่วงหน้า เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม นํ้าท่วม ฯลฯ โดยสเมลเซอร์ (Smelser) เป็นนักสังคมวิทยาที่กล่าวว่า “ฝูงชนที่แตกตื่นเป็นฝูงชนที่รู้สึกตัวว่าอยู่ในอันตราย อันยิ่งใหญ่ ไม่มีทางหนี หรือมีทางหนีมากมายแต่หนีไม่ได้”

64. ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) มีชื่อเรียกอย่างอื่นว่าอะไร

(1) ฝูงชนลงประชาทัณฑ์ (2) ฝูงชนเต้นรำ

(3) ม็อบ (4) ฝูงชนลงมือกระทำ

ตอบ 2 หน้า 256 ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) เป็นฝูงชนที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ตื่นเต้น สนุกสนาน เฮอา ป่าเถื่อน และมัวเมา เช่น การเต้นรำ กระทืบเท้า หรือปรบมือให้จังหวะ และ การมั่วสุมทางเพศ ฯลฯ ซึ่งฝูงชนประเภทนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

65. การรุมประชาทัณฑ์เป็นพฤติกรรมฝูงชนประเภทใด

(1) Orgy (2) Lynching Mob

(3) Audience (4) Convention

ตอบ 2 หน้า 256 – 257 ประเภทของฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือฝูงชนวุ่นวาย (Mob) สามารถแบ่งออก ตามจุดประสงค์และความรุนแรง ได้ดังนี้

1. Lynching Mob เช่น การรุมประชาทัณฑ์ การจับผู้ที่คิดว่ากระทำผิดแขวนคอ ฯลฯ

2. การจลาจล (Riot) เช่น การจลาจลด้านเชื้อชาติ ศาสนา และความยุติธรรม ฯลฯ

3. Orgy เช่น การมั่วสุมทางเพศ การคลั่งเต้นรำ กินเหล้า ฯลฯ

4. ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม นํ้าท่วม ฯลฯ

66. คำกล่าวที่ว่า “มนุษย์เกิดความคับแค้นเพราะมีความต้องการมากแต่สมปรารถนาน้อย” เป็นคำกล่าว ที่บ่งถึงสิ่งใด *

(1) สาเหตุของปัญหาสังคม (2) ประเภทปัญหาสังคม

(3) แนวทางแก้ไขปัญหาสังคม (4) แนวทางป้องกันปัญหาสังคม

ตอบ 1 หน้า 261, (คำบรรยาย) อุดม โปษะกฤษณะ ได้กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาสังคมไว้ว่าความรุนแรงและความคุกรุ่นของคนต่อป่ญหาต่าง ๆ จะแอบแฝงอยู่กับผู้ที่มีความคับแค้น เพราะมีความต้องการมากแต่ได้รับความสมปรารถนาน้อย การจะบรรเทาเบาบางปัญหาหรือ ลดปัญหาต่าง ๆ ลง คนเราจะต้องตัดไฟความปรารถนา ตัณหา ความโลภ และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

67. ปัญหาสังคมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ความยากจน และการแบ่งชนชั้น

(2) การว่างงาน และการแบ่งวรรณะ

(3) การแบ่งชนชั้น และการฉ้อราษฎร์บังหลวง

(4) ความยากจน การว่างงาน และการฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 4 หน้า 262, (คำบรรยาย) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีทัศนะว่า ปัญหาสังคมของไทยในปัจจุบัน จะเกี่ยวพันประดุจลูกโซ่ สิ่งแรกที่เป็นปัญหาสังคมของไทยคือ ปัญหาชลประทาน ตามมาด้วย ปัญหาระบบการเกษตร การว่างงาน การบุกรุกป่าสงวน อัตราการเกิดสูง ป็ญหาการลงทุน ฯลฯ นอกจากนี้ปัญหาสังคมของไทยยังได้แก่ ปัญหาความยากจน และการฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ

68. การนำเสื้อผ้าอาหารไปแจกผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นการแก้ไขป้ญหาสังคมแบบใด

(1) แบบย่อย (2) แบบรวมถ้วนทั่ว (3) แบบวางแผน (4) แบบป้องกัน

ตอบ 1 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ป้ญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผน มาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบ และ ปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

69. ปัญหาใดสัมพันธ์กับความไม่เสมอภาคและโอกาสในการทำมาหากิน ทำให้เกิดการขาดแคลนปัจจัย ในการดำรงชีพ

(1) โรคจิตโรคประสาท (2) ยาเสพติด (3) การทำแท้ง (4) ความยากจน

ตอบ 4 หน้า 268 ความยากจน หมายถึง การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต ความรู้สึกไม่พอใจในสภาพความเป็นอยู่ของตนในปัจจุบันที่มีสภาพแร้นแค้น การกินอยู่อดอยาก ไม่มีความสุขสบายเท่าที่ควร ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของปัญหาความยากจนเกิดจากความไม่เสมอภาคและโอกาสในการทำมาหากิน จึงทำให้เกิดการขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีพ

70. ตัวเลือกใดเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด

(1) การรักษาโดยวิธีหักดิบ (2) การพักฟื้นทางกาย ใจ และฝึกอาชีพ

(3) การติดตามผล (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 275 แนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติด มีดังนี้

1. รักษาโดยใช้วิธีหักดิบ หรือใช้วิธีให้ยาเมทาดัน หรือใช้สมุนไพร หรือการให้สัจจะ

2. ระยะพักฟื้น มีการพักฟื้นร่างกาย ฟื้นฟูจิตใจ ช่วยแก้ป้ญหาให้ และฝึกอาชีพให้

3. ระยะติดตามผล ติดตามดูว่าหลังจากรับการบำบัดแล้ว ผู้ติตยาหันไปเสพอีกหรือไม่

71. เกณฑ์ใดใช้จำแนกชนกลุ่มน้อย

(1) เชื้อชาติ

(2) วัฒนธรรม

(3) กลุ่มโลหิต

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 286 – 287 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1. องค์ประกอบด้านเชื้อชาติ/เผ่าพันธ์/ชาติพันธ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุ์กรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผม สีผิว (ได้แก่ ผิวขาวหรือคอเคซอยด์ ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์ ผิวดำหรือนิกรอยด์)

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับขั้นทางสังคม ฯลฯ

3. ความแตกต่างของกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจาก เป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน ส่วนใหญ่จึงพิจารณา จากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ

72. ชนกลุ่มน้อยมีความหมายตรงข้ามกับตัวเลือกใด

(1) กลุ่มอาณานิคม

(2) กลุ่มใต้ครอบครอง

(3) กลุ่มอิทธิพล

(4) กลุ่มผลประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการ ยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่าน จึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่นหรือ เจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

73. คอเคซอยด์ มองโกลอยด์ และนิกรอยด์ เกี่ยวข้องกับเกณฑ์การจำแนกชนกลุ่มน้อยแบบใด

(1) องด์ประกอบชาติพันธุ์ (2) อารยันและไมใช่อารยัน

(3) ความแตกต่างทางวัฒนธรรม (4) ความแตกต่างกลุ่มโลหิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ

74. ตัวอย่างใดเป็นความรู้สึกชาติพันธุ์นิยมที่เกิดภายในกลุ่มสมาชิกของชนกลุ่มน้อย

(1) คนนิโกรเรียกตัวเองว่าอาฟโรอเมริกัน (2) คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก

(3) คนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นถูกเรียกว่าแจ๊ป (4) คนอินเดียถูกเรียกว่าแขก

ตอบ 1 หน้า 287 – 288 ภายในหมู่ชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ อาจเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า การมีอคติต่อเชื้อชาติหรือชาติพันธุนิยม (Ethnocentrism) โดยจะแสดงพฤติกรรมดังนี้

1. อคติของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อชนกลุ่มมน้อย ด้วยการขนานนามกลุ่มอื่นในทางที่ไม่ดี เช่น คนจีนถูกเรียกว่า เจ๊ก, คนอินเดียถูกเรียกว่า แขก, พวกนิโกรถูกเรียกว่า นิกเกอร์,คนญวนถูกเรียกว่า แกว, คนอเมริกันเชื้อสายญี่ป่นถูกเรียกว่า แจ๊บ ฯลฯ

2. อคติของชนกลุ่มน้อยที่มีต่อชนกลุ่มใหญ่ ดัวยการเรียกกลุ่มของตนในทางที่ดี เช่น คนนิโกร เรียกกลุ่มของตนเองว่า อาฟโรอเมริกัน, คนอเมริกาเชื้อสายเม็กซิกันเรียกตนเองว่า ชิคาโน ฯลฯ

75. ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการแก้ไขปัญหาชาวเขา

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (2) การแยกพวก

(3) การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม (4) การผสมผสานชาติพันธุ์

ตอบ 1 หน้า 299 การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) เป็นนโยบายที่ประเทศไทยใช้ใน การแกไขปัญหาขาวเขา ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เกิดความเข้าใจและใกล้ชิดติดต่อกันมากขึ้น ทำให้ ชาวเขาไม่เกิดความรู้สึกแตกแยกโดดเดี่ยว และทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

76. ตามแนวคิดของริสแมน (Riesman) รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเป็นอย่างไร

(1) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่ประเพณีนำ (2) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่สำนึกนำ

(3) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่สำนึกนำ (4) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่ผู้อื่นนำ

ตอบ 4 หน้า 331 – 332 รูปแบบสังคมตามทัศนะของริสแมน (Riesman) แบ่งเป็น 3 รูปแบบและ เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สังคมประเพณีนำ 2. สังคมสำนึกนำ 3. สังคมผู้อื่นนำ ซึ่งสังคมอเมริกันจะเป็นไปตามรูปแบบที่ริสแมนได้กล่าวไว้ ส่วนสังคมไทยข้ามขั้นตอนจาก รูปแบบสังคมประเพณีนำไปสูสังคมผู้อื่นนำ โดยขาดขั้นสังคมสำนึกนำ

77. แนวคิดสำคัญของทฤษฎีวัฏจักรคืออะไร

(1) อารยธรรมจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) อารยธรรมจะคงอยู่ตลอดกาล

(3) อารยธรรมเมื่อมีการรุ่งเรื่องกย่อมมีการล่มสลาย (4) มนุษย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม

ตอบ 3 หน้า 309 – 312 ทฤษฎีวัฏจักร เป็นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฏจักรหรือการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ ไม่มีความถาวรของ ยุคใดยุคหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุด ก็จะกลับมาจุดเริ่มต้น หรือเมื่อมีการเจริญรุ่งเรืองก็ย่อมมีการล่มสลาย และเมื่อมีการล่มสลาย ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ

78. แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (2) ทฤษฎีวัฏจักร (3) ทฤษฎีการหน้าที่ (4) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ตอบ 4 หน้า 315 แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยเขากล่าวถึง การวิวัฒนาการว่าเป็นเสมือนกระบวนการแห่งการเติบโต ทั้งนี้โดยการเปรียบเทียบสังคมว่า เป็นเสมือนสิ่งมีชีวิต

79. กระบวนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอน “จุดยืน จุดแย้ง จุดยุบ” เป็นแนวความคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ทอยน์บี (Toynbee) (3) ค้องท์ (Comte) (4) พาร์สัน (Parson)

ตอบ 1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งได้อธิบาย การเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน) ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. การปกครองในทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) รูปแบบใด สังคมจึงหยุดเปลี่ยนแปลง

(1) ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (2) ระบบทาสบรรพกาล

(3) ระบบศักดินา (4) ระบบนายทุน

ตอบ 1 หน้า 321 – 322 รูปแบบการเมืองการปกครองตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) มี 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม 2. ระบบทาสบรรพกาล 3. ระบบศักดินา

4. ระบบนายทุน (ทุนนิยม) 5. ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (หยุดการเปลี่ยนแปลง)

81. ตามความคิดของเพลโต (Plato) “การเปลี่ยนแปลงจากราชาธิปไตย วีรชนาธิปไตย คณาธิปไตย ประชาธิปไตยและทุชนาธิปไตย” เป็นไปตามทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการใช้อำนาจ

(2) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

(3) ทฤษฎีวัฎจักร

(4) ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่

ตอบ 3 หน้า 310 – 311 ตามทฤษฎีวัฏจักรหรือการหมุนเวียนนั้น เพลโต (Plato) ได้แบ่งการเปลี่ยนแปลงของรัฐออกเป็น 5 ยุค ดังนี้ 1. อภิชนาธิปไตยหรือราชาธิปไตย 2. วีรชนาธิปไตย 3.คณาธิปไตย 4. ประชาธิปไตย 5. ทุชนาธิปไตย

82. ตัวเลือกใดเป็นสาเหตุจากภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การแปรปรวนของธรรมชาติ

(2) การตาย

(3) การพัฒนา

(4) การอพยพย้ายถิ่น

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อลี่อสาร การเลียนแบบ การขอยืมวัฒนธรรม การพัฒนา ฯลฯ

83. ในการพัฒนาชนบทต้องพัฒนาอะไรเป็นอันดับแรก

(1) การศึกษา (2) เศรษฐกิจ (3) สภาพแวดล้อม (4) คุณภาพของคน

ตอบ 4 หน้า 338 ใบการพัฒนาชนบทนั้น ต้องมุ่งพัฒนาคน (คุณภาพของคน) เป็นอันดับแรกและการพัฒนาคนนั้นต้องพัฒนาความคิดของเขา อะไรคือตัวบงการให้คนชนบทคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ค่านิยมหรือวัฒนธรรม ซึ่วการศึกษาสังคมชนบทจะช่วยให้เราเข้าใจได้

84. สังคมวิทยาชนบทมักศึกษาเปรียบเทียบวิชาใด

(1) สังคมวิทยาบ้านนา

(2) สังคมวิทยาการพัฒนา (3) สังคมวิทยาอุตสาหกรรม (4) สังคมวิทยานคร

ตอบ 4 หน้า 335, 363 สังคมวิทยาชนบทมักจะนิยมศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยานครหรือสังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง โดยจะศึกษาถึงความเกี่ยวพันกับสังคมเมือง เพราะปรากฏการณ์ในสังคมเมืองอาจจะส่งผลสะท้อนไปสู่ชนบท ทำให้ชนบทเปลี่ยนแปลงไป เป็นการหาวิธีเสริมสร้างชีวิตชนบทให้มั่นคง

85. การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านสหกรณ์ (2) นิคมสร้างตนเอง (3) หมู่บ้านเกษตรกรรม (4) หมู่บ้านเศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะเป็นการตั้งถิ่นฐานที่ไม่มีการ วางแผน มีการตั้งถิ่นฐานแบบหมูบ้านเกษตรกรรม ซึ่งตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่มที่ดอน ที่เนิน ชายป่า ชายเขา ตามเส้นทางคมนาคม และตามริมฝั่งน้ำ

86. คุณสมบัติดั้งเดิมของชนบทคืออะไร

(1) ตั้งถิ่นฐานแบบโดดเดี่ยว (2) มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกัน

(3) ครอบครัวเป็นแหล่งผลิตและบริโภค (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 340 – 341, (คำบรรยาย) คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีลักษณะดังนี้

1. ความโดดเดี่ยว (Isolation) มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนกระจัดกระจายกันอยู่ตามไร่นา

2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity) หรือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทั้งในด้าน เชื้อชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณ์ และภูมิหลังทางวัฒนธรรม

3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment) มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันหรือ มีความเหมือนในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการเกษตรกรรมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค (Subsistence Economy) หรือเศรษฐกิจพอเพียง โดยครอบครัวจะเป็นทั้งหน่วยผลิตและหน่วยบริโภค มีทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์

87. นักวิชาการท่านใดได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลก

(1) รัสเซลล์ (Russell) (2) เลอเปล (Le Play)

(3) เจฟเฟอร์สัน (Jefferson) (4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 2 หน้า 336 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Play) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบทและองค์การต่าง ๆ ในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บและการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์

88. ทฤษฎีใดกล่าวว่า “เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง”

(1) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (2) ทฤษฎีรูปวงกลม

(3) ทฤษฎีรูปดาว (4) ทฤษฎีรูปสามเหลี่ยม

ตอบ 3 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองเริ่มแรกที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดยอาร์.เอ็ม. เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า “เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง” ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

89. ทฤษฎีการขยายตัวของเมืองในข้อใดเป็นทฤษฎีเริ่มแรก

(1) ทฤษฎีรูปดาว (2) ทฤษฎีรูปพาย (3) ทฤษฎีรูปสามเหลี่ยม (4) ทฤษฎีรูปคันธนู

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ

90. ตัวเลือกใดไม่ใช่การดำรงชีวิตแบบเมือง

(1) มีรายได้เป็นรายเดือน

(2) มีแบบแผนการใช้เวลา (3) มีอาชีพให้บริการ (4) มีความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ

ตอบ 4 หน้า 365 – 366, (คำบรรยาย) การดำรงชีวิตแบบเมือง ได้แก่ ไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม(การเพาะปลูกอยู่กับดินทราย) อาชีพส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพบริการ การค้าและอุตสาหกรรม ที่มีรายได้เป็นรายเดือน มีแบบแผนการใช้เวลา และมีความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิ คือ มีความสัมพันธ์กันตามสถานภาพและบทบาท

91. เมืองไมอามี่ เป็นเมืองประเภทใด

(1) เมืองพักผ่อนตากอากาศ

(2) เมืองท่า

(3) เมืองศูนย์รวมการคมนาคมขนส่ง

(4) เมืองศูนย์กลางการขายส่งและปลีก

ตอบ 1 หน้า 370 – 371 เมืองซึ่งเกิดจากหน้าที่พิเศษ คือ เมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากการให้บริการ บางอย่าง เช่น เหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการพักผ่อน ฯลฯ หรือเป็นเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะอย่าง เช่น เมืองไมอามี่ (เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ) สแกนตัน พิทส์เบิร์ก พัทยา ฯลฯ

92. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) การปกครองและศาสนา

(2) เหมืองแร่

(3) จำนวนประชากร

(4) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 4 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำให้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้าโดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

93. “เยาวราช” จัดอยู่ในเขตใด

(1) เขตเมือง (2) เขตอุตสาหกรรม (3) เขตขานเมือง (4) เขตปริมณฑล

ตอบ 1 หน้า 382 – 383 พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แบ่งออกได้เป็น 3 เขตใหญ่ ๆ ดังนี้

1. เขตเมือง (Urban Area) ได้แก่ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของสถานธุรกิจการค้าและบริการต่าง ๆ เช่น ถนนเจริญกรุง เยาวราช บางลำพู ราชประสงค์ ประตูน้ำ ฯลฯ

2. เขตชานเมือง (Suburban Area) ได้แก่ บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ฃึ่งมีประชากร อาศัยกันอยู่อย่างเบาบางกว่าในเขตเมือง และมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า

3. เขตชนบท (Rural Area) ได้แก่ เขตที่ถัดจากชานเมืองออกไป ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพ เกษตรกรรม และมีวิถีซีวิตเช่นเดียวกับชาวชนบท

94. ตัวอย่างใดจัดอยู่ในระบบนิเวศน์แบบ Mature Natural Ecosystems

(1) สวนสาธารณะ (2) ภูเขา (3) ฟาร์ม (4) ทุ่งเลี้ยงสัตว์

ตอบ 2 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และดัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร, ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

95. ระดับเสียงที่เหมาะสมกับสุขภาพของมนุษย์ควรอยู่ในระดับใด

(1)ไม่ควรเกิน 30 เดซิเบล

(2) ไม่ควรเกิน 40 เดซิเบล (3) ไม่ควรเกิน 50 เดซิเบล (4) ไม่ควรเกิน 85 เดซิเบล

ตอบ 4 หน้า 403 ระดับปกติของเสียงที่เหมาะสมกับสุขภาพของมนุษย์ควรจะอยู่ในระดับไม่เกิน85 เดซิเบล เพราะถ้าเกิน 85 เดซิเบล นับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยในต่างประเทศได้ มีกฎหมายกำหนดระดับเสียงในโรงงานไม่ให้ดังเกิน 85 เดซิเบล

96. “ทะเลทราย” จัดเป็นระบบนิเวศน์ของมนุษย์ประเภทใด

(1) Mature Natural Ecosystems (2) Managed Natural Ecosystems

(3) Productive Natural Ecosystems (4) Urban Ecosystems

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

97. พลังงานไฮโดรอิเล็กตริกเกิดจากอะไร

(1) การสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า (2) ก๊าซธรรมชาติ

(3) แสงอาทิตย์ (4) นํ้ามัน

ตอบ 1 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากทารสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จากนํ้ามัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้องเลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่าไม้ได้

98. ปัญหาอากาศเสียเกิดจากสาเหตุใดมากที่สุด

(1) ขยะมูลฝอย (2) การขนส่ง (3) ยาปราบศัตรูพืฃ (4) อุตสาหกรรม

ตอบ 2 หน้า 399 สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหามลภาวะจากอากาศเสียมากที่สุด คือ การขนส่ง 55% รองลงมา ได้แก่ โรงงานพลังงาน 17% อุตสาหกรรม 14% ขยะมูลฝอย 4% และอื่น ๆ 10%

99. วิชามานุษยวิทยาถือกำเนิดขึ้นในทวีปใด

(1) ลาตินอเมริกา (2) ยุโรป (3) แอฟริกา (4) เอเชีย

ตอบ 2 (คำบรรยาย) วิชามานุษยวิทยา (Anthropology) ถือกำเนิดขึ้นในสังคมยุโรป ประมาณปลาย- ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการล่าอาณานิคม โดยในระยะแรกนี้จะเน้นการศึกษาสังคมดั้งเดิม ที่ไม่ใช่สังคมของคนผิวขาวและสังคมตะวันตก เช่น สังคมดั้งเดิมของแอฟริกาและเอเชีย เป็นต้น

100. “มนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิ่ง” เป็นตัวอย่างวิวัฒนาการของมนุษย์ในขั้นใด

(1) Australopithecines (2) Pithecanthropus Erectus

(3) Neanderthal Man (4) Cro-Magnon Man

ตอบ 2 หน้า 417 Pithecanthropus Erectus จะมีลักษณะเป็นมนุษย์ที่คล้ายกับวานรและเดินตัวตรง ตัวอย่างของมนุษย์วานรนี้ได้แก่ มนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิง และมนุษย์ไฮเดลเบอร์ก ฯลฯ

101. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของสายสกุล Homo Sapiens

(1) มนุษย์

(2) ชิมแปนซี

(3) กอริลลา

(4) อุรังอุตัง

ตอบ 1 หน้า 409 คำว่า “มนุษย์” เป็นคำที่ใช้รียกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสายสกุลที่เรียกว่า Homo Sapiens อันเป็นสัตว์เลือดอุ่นจำพวก 2 มือ 2 เท้า ไม่มีหาง

102. กลุ่มชนใดที่ไม่ใช่กลุ่มชนที่นักมานุษยวิทยารุ่นบุกเบิกสนใจศึกษา

(1) คนป่าในคองโก

(2) คนพื้นเมืองในออสเตรเลีย

(3) อินเดียนแดงในอเมริกาเหนือ

(4) ชาวนาบนเกาะชวา

ตอบ 4 หน้า 423, (คำบรรยาย) กลุ่มชนที่นักมานุษยวิทยาในยุคบุกเบิกสนใจศึกษา คือ สังคมดั้งเดิม (Primitive Societies) หมายถึง สังคมที่มีโครงสร้างไม่สลับซับซ้อน มีการใช้เครื่องมือหรือ เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ มีจำนวนคนในสังคมไม่มากนัก มีความรู้สึกนึกคิด/ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมเดียวกัน การแบ่งงานกันทำมีน้อย ตัวอย่างของสังคมชนิดนี้ เช่น พวกคนป่า ชาวเขา ชาวเกาะ พวกอินเดียนแดง คนพื้นเมืองในออสเตรเลีย ฯลฯ โดยสาเหตุที่นักมานุษยวิทยา ให้ความสนใจกลุ่มคนพวกนี้ก็เพราะสามารถศึกษาถึงต้นกำเนิดของวัฒนธรรมนั้น ๆ และ สามารถเข้าใจถึงหน้าที่ประโยชน์ของวัฒนธรรมแต่ละประเภทได้ง่าย

103. การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมมีแนวทางอย่างไร

(1) ศึกษาสังคมอย่างเป็นองค์รวมและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสังคม

(2) การศึกษาแบบมีส่วนร่วม (3) เน้นการออกแบบสอบถามและสุ่มตัวอย่าง

(4) เน้นการศึกษาเฉพาะกรณีหรือรายกรณี

ตอบ 4 หน้า 432 – 433 การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม ตามปกตินักมานุษยวิทยาจะสนใจ ศึกษาสังคมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลอารยธรรมที่เจริญ วิธีการศึกษามักจะนิยมศึกษาเฉพาะกรณี หรือรายกรณี (Case Study) ของแต่ละสังคม โดยเลือกสังคมที่ต้องการศึกษาแล้วเข้าไปอาศัย อยูในสังคมนั้นระยะเวลาหนึ่งด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่าการศึกษางานสนาม โดยใช้เครื่องมือ ในการทดสอบแบบเฝ้าสังเกต การตีความหมาย และการเปรียบเทียบ

104. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของมนุษย์ชาติพันธุผิวเหลือง

(1) อียิปต์ จีน (2) อินเดียนแดง กรีก (3) กรีก อียิปต์ 14) จีน อินเดียนแดง

ตอบ 4 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุผิวเหลือง (Mongoloid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

1. พวกมองโกลอยด์ อยู่แถบทวีปเอเชียตะวันออก เช่น จีน ทิเบต และมองโกเลีย

2. พวกอินเดียนแดง อยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้

3. พวกเอสกีโม อยู่แถบเหนือสุดของทวีปอเมริกา (รัฐอลาสก้าและตอนเหนือของแคนาดา)

4. พวกมาลายัน เช่น มลายู ขวา ไทย และบาหลี

105. ตัวเลือกใดไม่ใช่ลักษณะวัฒนธรรมตะวันตก

(1) ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (2) เน้นความสำคัญของตัวบุคคล

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโส (4) นิยมวัตถุ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

106. ข้อใดคืออารยธรรมกระแสหลักของเอเชีย

(1) จีน (2) ญี่ปุน (3) อินเดีย (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 452 อารยธรรมกระแสหลักของเอเชีย ส่วนใหญ่แล้วรับมาจาก 2 แห่ง คือ

1. อารยธรรมจีน ได้รับอิทธิพลจากขงจื๊อ นิยมการทำตามประเพณี

2. อารยธรรมอินเดีย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาต่าง ๆ ที่ถือกำเนิดจากอินเดีย

107. ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมในวัฒนธรรมอเมริกาใต้ สอดคล้องกับค่านิยมตามคำกล่าวใด

(1) ทองแท้ไม่แพ้ไฟ

(2) มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ (3) เงินทองของนอกกาย (4) เงินคือพระเจ้า

ตอบ 2 หน้า 448 ชาวอเมริกาใต้มักมีคำขวัญทำนองไทย ๆ ว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่หรือเงินทำให้ผิวคนขาวขึ้น ไพร่ดูเป็นผู้ดี คนไม่สวยดูเป็นคนสวย ความรํ่ารวยทำให้คนผิวดำ ชาวนิโกรผิวขาวขึ้น แลดูเป็นผู้ดีน่าคบหาสมาคม ส่วนคนผิวขาวที่ยากจน คือ คนผิวดำที่ได้รับ การรังเกียจกีดกันทั่วไป คนร่ำรวยมีอำนาจได้รับการยกย่อง

108. ตัวเลือกใดสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอเมริกันน้อยที่สุด

(1) ฮ่องกงดีสนีย์แลนด์

(2) คำว่า Hot Dog, Freeway, Color (3) อาหารจานด่วน (4) วัฒนธรรมไวน์

ตอบ 4 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอเมริกัน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถือกำเนิดและถูกถ่ายทอดมาจากอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการดำรงชีวีต ระเบียบประเพณี ค่านิยม ภาษาหรือ คำศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารการกินต่าง ๆ เช่น อาหารจานด่วน (Fast Food) คำว่า “Hot Dog”, “Freeway”, “Color” ภาพยนตร์ฮอลีวูด (Hollywood) สวนสนุกขนาดใหญ่ (Disneyland) ๆลฯ ส่วนวัฒนธรรมไวน์ เป็นวัฒนธรรมฝรั่งเศส

109. ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาใต้เรียกตัวเองว่าอะไร

(1) อารยัน (2) อินคา (3) เซเมติก (4) นิกริโต

ตอบ 2 หน้า 446 วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในภูมิภาคอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา) คือ สเปนและโปรตุเกส ซึ่งแต่เดิมนั้นประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับวัฒนธรรมจากพวกอินเดียนแดง ที่เรียกตัวเองว่า อินคา หรือลูกพระอาทิตย์

110. ตัวเลือกใดคือลักษณะของภาพพิมพ์

(1) มักมีแนวโน้มในทางลบ (2) ภาพรวมของชนชาติใดชาติหนึ่ง

(3) เป็นภาพแบบเดียวกัน (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 457 ภาพพิมพ์ (Stereotype) คือ การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติของชนชาติใดชาติหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นภาพแบบเดียวกัน ซึ่งมักมีแนวโน้มถูกมองไปในทางลบ หรือเชิงนิเสธ เช่น ภาพพิมพ์ของคนบางชาติมีระเบียบวินัย, คนบางชาติอยู่สบาย ๆ ไม่ค่อย มีหลักเกณฑ์อะไรนัก, คนบางชาติ (เช่น อังกฤษ) เป็นคนประเภท “เก็บตัว” ไม่สนิทกับ คนแปลกหน้าได้ง่าย ฯลฯ

111. การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติมักมีแนวโน้มไปลักษณะใด

(1) เชิงนิเสธ

(2) สร้างสรรค์

(3) เป็นกลาง

(4) เชิงปฏฐาน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112. ตัวเลือกใดเป็นการมองอุปนิสัยประจำชาติในเชิงนิเสธ

(1) คนแอฟริกันด้อยพัฒนา

(2) คนญี่ปุ่นมีวินัย

(3) คนไทยใจดี

(4) คนจีนค้าขายเก่ง

ตอบ 1 หน้า 461 – 462 การมองอุปนิสัยประจำชาติของชาติอื่นในทางนิเสธ เช่น

1. ชาวตะวันตกมักมองคนเอเชียและคนแอฟริกันว่าเป็นชาติด้อยพัฒนาไม่สนใจในความเจริญ

2. คนอเมริกันมักมองคนยุโรปโดยเฉพาะคนอังกฤษว่าเป็นคนหัวเก่า

3. คนอังกฤษและอเมริกันมักมองพวกลาติน สเปน อิตาลี อเมริกาใต้ ว่าเป็นพวกเชื่อถือไม่ได้ และเจ้าอารมณ์ ฯลฯ

113. ผู้ใดแต่งหนังสือเรือง “ดอกเบญจมาศและดาบ” เพื่อศึกษาอุปนิสัยประจำชาติ

(1) โบแอส (Boas) (2) มี้ด (Mead) (3) เบเนติกท์ (Benedict) (4) เวนย์ (Wayne)

ตอบ 3 หน้า 459 รุธ เบเนดิทท์ (Ruth Benedict) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกันให้ศึกษาลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผลงานเชียนชื่อ “ดอกเบญจมาศ และดาบซามูไร” โดยเห็นว่า บุคลิกของคนญี่ปุ่นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่จะแข็งแกร่งภายใน

114. นัทวิชาการท่านใดให้ทัศนะว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆคือ ขาดวินัย”

(1) เอมบรี (Embree)

(2) ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) (3) คูเวียร์ (Cuvier) (4) บาร์เกอร์ (Barker)

ตอบ 1 หน้า 464 จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย”

115. อุปสรรคในการศึกษาอุปนิสัยประจำชาติได้แก่อะไร

(1) ปรัชญาความเชื่อ (2) ความรู้สึกชาตินิยม (3) ชนกลุ่มน้อย (4) จำนวนประชากร

ตอบ 2 หน้า 461 ปัญหาหรืออุปสรรคในการศึกษาลักษณะอุปนิสัยประจำชาติประการหนึ่ง คือการมองและการตัดสินว่าสิ่งใดเป็นลักษณะอุปนิสัยประจำชาติของคนชาติอื่นเป็นไปอย่างผิวเผิน และมักมีอคติในใจ โดยเฉพาะในยุคที่ความรู้สึกชาตินิยมมีมาก หรือการมีความรู้สึกว่ากลุ่มตน ดีกว่ากลุ่มอื่น (Ethnocentrism) ย่อมทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมชองชาติตนเองสูงกว่าชาติอื่น มองเห็นแต่ลักษณะนิสัยที่ไม่ดีของชาติอื่น และมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าได้กับ ความเชื่อเดิมของตน อันเป็นผลทำให้มีการดูถูกและเกิดการเข้าใจผิดกันระหว่างชาติ

116. การสังคมสงเคราะห์ถือกำเนิดขึ้นในประเทศใด

(1) อิตาลี (2) ฝรั่งเศส (3) เยอรมัน (4) อังกฤษ

ตอบ 4 หน้า 481 – 482, (คำบรรยาย) ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบ ในการจัดการสังคมสงเคราะห์ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุก ของส่วนรวมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นในปี ค.ศ. 1601 พระนางเจ้าอสิซาเบธที่ 1ได้ทรง ออกกฎหมายเพื่อซ่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บท ในการวางรากฐานด้านการสังคมสงเคราะห์

117. องค์ความรู้ด้านใดที่นำมาประยุกต์ใช้ในงานสังคมสงเคราะห์

(1) เศรษฐศาสตร์ (2) รัฐศาสตร์ (3) จิตวิทยา (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 484 ในการดำเนินงานทางสังคมสงเคราะห์ย่อมเกี่ยวพันกับปัญหาหลายด้าน และต้อง อาศัยองค์ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ นำมาประยุกต์ใช้ในงานสังคมสงเคราะห์ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น

118. กฎหมายที่ถือว่าเป็นแม่บทของงานสังคมสงเคราะห์ในประเทศอังกฤษกำหนดให้ความช่วยเหลือบุคคลกลุ่มใด

(1) เด็กกำพร้า (2) คนยากจน (3) คนชรา (4) หญิงหม้าย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 116. ประกอบ

119. ขั้นตอนการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ ขั้นตอนใดที่จะได้ทราบว่า ผู้มีปัญหา (Client) มีความเป็นมา และประวัติอย่างไร มีปัญหาเดือดร้อนอะไร

(1) การหาข้อเท็จจริง (2) การวางแผน (3) การวิเคราะห์ (4) การประเมินผล

ตอบ 1 หน้า 488 – 489 ขั้นตอนการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานของ

นักสังคมสงเคราะห์ขั้นแรกที่จะต้องทำก่อนงานอื่นโดยพยายามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีปัญหา (Client) ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาหรือปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของ Client

120. วิธีการสังคมสงเคราะห์ข้อใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการความสามารถของสมาชิก

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การพัฒนาชุมชน (4.) การจัดองค์การชุมชน

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. นักปรัชญาท่านใดกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม”

(1) เพลโต (Plato)

(2) อริสโตเติล (Aristotle)

(3) ค้องท์ (Comte)

(4) เวเบอร์ (Weber)

(5) มาร์กซ์ (Marx)

ตอบ 2 หน้า 1 อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีก ได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” (Social Animal) หมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้อง และสัมพันธ์กันในหมู่มวลสมาชิก มีความจำเป็นต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่เสมอ

2. การศึกษาก่อนที่วิชาสังคมวิทยากำเนิดขึ้นเป็นแบบใด

(1) ใช้หสักวิทยาศาสตร์

(2) ใช้สามัญสำนึก

(3) ใช้หลักการคาดคะเน

(4)ใช้หลักเหตุผล

(5) ใช้จิตใต้สำนึก

ตอบ 2 หน้า 2-3, (คำบรรยาย) การใช้สามัญสำนึก (Common Sense) ศึกษาสังคม เกิดขึ้น ในช่วงระยะเริ่มแรกก่อนที่วิชาสังคมวิทยาจะกำเนิดขึ้น คือ ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อมาในราวปลายศตวรรษที่ 18 (หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม) การศึกษาสังคมก็เปลี่ยน จากการใช้สามัญสำนึกมาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม (Social Sciense)

3. ผู้ที่พยายามทำให้ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคมเป็นคนแรกคือผู้ใด

(1) ค้องท์ (Comte)

(2) ลีช (Leach)

(3) ริกกส์ (Riggs)

(4) เวเบอร์ (Weber)

(5) มาร์กซ์ (Marx)

ตอบ 1 หน้า 3 ค้องท์ (Comte) และสเปนเซอร์ (Spencer) เป็นนักคิดนักวิชาการกลุ่มแรกที่ได้พยายามทำให้องค์ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมให้กลายเป็น “วิทยาศาศตร์ทางสังคม” ขึ้นมา โดยพยายามใช้วิธีการศึกษาทุกขั้นตอนเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในการ แสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์และสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบ

4. ผู้แต่งหนังสือชื่อ Critique of Political Economy คือใคร

(1) ค้องท์ (Comte) (2) มาร์กซ์ (Marx) (3) เวเบอร์ (Weber)

(4) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (5) สเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ 2 หน้า 7 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้มองสังคมในแง่ของการ“ขัดกัน” ของคนในสังคม โดยเขากล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Critique of Political Economy ว่า การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ สังคมเศรษฐกิจโบราณมีการขัดแย้งกันระหว่างทาสกับนายทาส ในสังคมเศรษฐกิจ สมัยกลางมีการขัดแย้งกับระหว่างข้าติดที่ดินกับเจ้าของที่ดิน และในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม มีการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) กับนายทุน ซึ่งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนกระทั่งกลายเป็นสังคมนิยมและสังคมคอมมิวนิสต์

5. การศึกษาแบบ “สายใยพฤติกรรมเฉพาะกิจ” มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการแข่งขัน (2) ทฤษฎีความขัดแย้ง (3) ทฤษฎีโครงสร้าง

(4) ทฤษฎีหน้าที่ (5) ทฤษฎีดุลยภาพทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 7-8 วิธีการศึกษาแบบ “สายใยของพฤติกรรมเฉพาะกิจ” เป็นทฤษฎีที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการศึกษาสังคมโดยเน้นแบบแผนของพฤติกรรมของคนทั้งสังคมว่าเป็นแบบใดแบบหนึ่ง ตามกฎเกณฑ์ของสังคมที่วางไว้ ซึ่งทฤษฎีนี้มีพื้นฐานมาจาก “ทฤษฎีการแข่งขัน’’

6. คำว่า Socius กับ Logos ที่นำมาผสมกันเป็น Sociology มีรากศัพท์มาจากภาษาใด

(1) เยอรมันกับกรีก (2) เยอรมันกับละติน (3) ละตินกับกรีก

(4) กรีกกับอังกฤษ (5) ละตินกับอังกฤษ

ตอบ 3 หน้า 16 Sociology (สังคมวิทยา) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละติน มีความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

7. ข้อใดไม่ใช่สาระของวิชาสังคมวิทยา

(1) ความสัมพันธ์ของบุคคล (2) สังคมมนุษย์ (3) สถาบันทางสังคม

(4) รากศัพท์ของภาษาพูด (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 21-22 สาระของวิชาสังคมวิทยาจะศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ดังนี้

1. ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม เช่น ระหว่างสามีภริยา มารดากับบุตร พี่กับน้อง ฯลฯ

2. สังคมมนุษย์ทั้งสังคม เช่น โครงสร้างของสังคม ลักษณะภายในของสังคม ฯลฯ

3. สถาบันทางสังคม เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา ฯลฯ

8. ข้อใดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดวิชาสังคมวิทยา

(1) การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป (2) ชาวชนบทอพยพเข้าเมือง

(3) ชาวไร่ชาวนากลายเป็นกรรมกร (4) ชนบทกลายเป็นเมือง (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 17 องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดวิชาสังคมวิทยา คือ ผลสะท้อนของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ทำให้โครงสร้างของสังคมตะวันตกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ชาวชนบทอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ชาวไร่ชาวนากลายเป็นกรรมกร และ หมู่บ้านชนบทกลายเป็นเมือง

9. คาสตร์สาขาใดเกิดขึ้นพร้อมกับสังคมวิทยา

(1) วิทยาศาสตร์

(2) โหราคาสตร์ (3) จิตวิทยา (4) รัฐคาสตร์ (5) ปรัชญา

ตอบ 3 หน้า 16 จุดเริ่มแรกของสังคมวิทยาในปลายคริสต่คตวรรษที่ 18 และคริสติศตวรรษที่ 19 ก็คือ วิทยาคาสตร์ได้เกิดขึ้นมาใหม่พร้อมกัน 2 สาขา ได้แก่

1. จิตวิทยา (Psychology) ซึ่งเป็นศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์

2. สังคมวิทยา (Sociology) ซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับสังคมมนุษย์

10. เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชนชาติใด

(1) ฝรั่งเศส

(2) อังกฤษ (3) เยอรมัน (4) สเปน (5) ออสเตรีย

ตอบ 3 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่ เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮน” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม

11. สาขาวิขาใดเป็นศาสตร์บริสุทธิ์

(1) บริหารธุรกิจ

(2) สังคมสงเคราะห์

(3) แพทยศาสตร์

(4) สังคมวิทยา

(5) วิศวกรรมศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 14 วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ได้แก่ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา รัฐศาสตร์ เศรษฐคาสตร์ สังคมวิทยา ฯลฯ (ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ การบัญชี เภสัชกรรม แพทยศาสตร์ การเมือง กฎหมาย บริหารธุรกิจ การสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ)

12. ทฤษฎีสัญญาสังคมเชื่อว่า เดิมมนุษย์มีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร

(1) อยู่รวมกันเป็นสังคมเหมือนปัจจุบัน

(2) ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นสังคมเหมือนปัจจุบัน

(3) มีความสุขสูงสุด

(4) มนุษย์กับสังคมแยกกันเป็นคนละส่วน

(5) มีการแบ่งงานกันทำ

ตอบ 2 หน้า 33 ทฤษฎีสัญญาสังคมจะเน้นถึงสภาพธรรมชาติ โดยเชื่อว่า มนุษย์แต่ดั้งเดิมนั้นอาศัยอยู่ตามสภาพธรรมชาติ มิได้รวมกันอยู่ในสังคมเช่นปัจจุบัน แต่เนื่องจากความชั่วร้าย ความยุ่งยากสับสน การเพิ่มจำนวนของมนุษย์ ตลอดจนอารยธรรมเป็นเหตุให้มนุษย์จำต้อง ละทิ้งสภาพธรรมชาติและสัญญาด้วยความสมัครใจที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม ทั้งนี้โดยมุ่งหวัง ที่จะได้รับความคุ้มครองและประโยชน์สุขเป็นการตอบแทน

13. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ Culture ว่า “ภูมิธรรม”

(1) พระมหาพูล

(2) สุนทรภู่ (3) จางวางหรำ

(4) พระยาอุปกิตศิลปสาร (5) พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร

ตอบ 1 หน้า 55 – 56 ก่อนที่จะมีศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม” ขึ้นมานั้น ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง คือ พระมหาพูล แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ได้ทดลองใช้คำว่า “ภูมิธรรม” เพื่อแปลคำว่า Culture จากศัพท์ภาษาอังกฤษ

14. ความหมายของวัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สิ่งประดิษฐ์

(2) สิ่งดีงาม (3) วิถีชีวิต (4) ทัศนคติ (5) ความเชื่อ

ตอบ 2 หน้า 56 ความหมายของวัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม ได้แก่ สิ่งดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่ง ให้ดีแล้ว หรือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

15. วัฒนธรรมในความหมายใดคือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องเป็นเวลานาน

(1) ตามรากศัพท์เดิม

(2) ประเพณี (3) วิถีชีวิต (4) ตามนัยสังคมศาสตร์ (5) ทัศนคติ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16. ตัวอย่างของสภาวะแห่งการเป็นวัฒนธรรมสากลคือข้อใด

(.1) ความแตกต่างกันเรื่องศาสนา (2) ความแตกต่างด้านการสมรสและครอบครัว

(3) ทุกสังคมมีการปกครองหรือรัฐบาล (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 76 – 78 สภาวะแห่งการเป็นวัฒนธรรมสากลหรือความเหมือนกันของวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้แก่

1. ทุกสังคมมีภาษาพูด 2. ทุกสังคมมีระบบการสมรส ระบบครอบครัว และระบบเครือญาติ

3. ทุกสังคมมีการแบ่งมนุษย์ตามอายุและเพศ 4. ทุกสังคมมีการปกครองหรือมีรัฐบาล 5. ทุกสังคมมีศาสนา (ระบบความเชื่อ) 6. ทุกสังคมมีระบบความรู้

7. ทุกสังคมมีระบบเศรษฐกิจ 8. ทุกสังคมมีกิจกรรมเกียวกับการนันทนาการ

9. ทุกสังคมมีศิลปะ

17. ตัวเลือกใดคือวัฒนธรรมตามนัยสังคมศาสตร์

(1) การอ่านหนังสือก่อนสอบ

(2) การเข้าแถวซื้อตั๋วรถไพ่ฟ้า (3) การค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

(4) การส่งข้อความทางไลน์ (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 58, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ ได้แก่ วัฒนธรรมที่เข้ารูปแบบ หรือมีลักษณะเบ็เนกระสวน (รูปแบบอันเกิดขึ้นจากการกระทำซํ้า ๆ กัน) ซึ่งมีการส่งต่อถ่ายทอด โดยใช้สัญลักษณ์ เช่น การทักทาย การพูดคุย การโทรศัพท์ การส่งข้อความทางไลน์ การเขียนหนังสือ การอ่านหนังสือ การค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต การเข้าแถว การดูหนัง/ฟังเพลง ฯลฯ

18. ในสังคมใด ระบบวรรณะก่อให้เกิดอนุวัฒนธรรมทางอาชีพ (Occupational Subculture)

(1) สหรัฐอเมริกา (2) อินเดีย (3) ทิเบต (4) ปากีสถาน (5) จีน

ตอบ 2 หน้า 87 อนุวัฒนธรรมทางอาชีพ ได้แก่ ผู้ที่ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพมักจะมีแบบหรือวิถี การดำรงชีวิตแตกต่างกัน เช่น ในสังคมอินเดียความแตกต่างในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพ มีอย่างมากจนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา โดยวรรณะใหญ่ ๆ ของอินเดียมีด้วยกันทั้งหมด 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

19. วัฒนธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร

(1) การเรียนรู้

(2) พันธุกรรม (3) การวิเคราะห์ (4) การสังเกต (5) กฎแห่งกรรม

ตอบ 1 หน้า 61 วัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม/กฎแห่งกรรม/ฟ้าลิขิต)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดขึ้นจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลแห่งการเรียนรู้ 4. เป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคมมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ 5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา 6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

20. การจัดกลุ่มนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รามคำแหง เกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นการจัดกลุ่มในลักษณะใด

(1) จำนวนรวม

(2) จำแนกพวก (3) กลุ่มสังคม (4) กลุ่มอ้างอิง (5) กลุ่มฝูงชน

ตอบ 2 หน้า 97 กลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกับจำแนกพวก (Category) หมายถึง คนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะ บางอย่างเหมือนกัน เช่น เพศเดียวกัน เป็นนักศึกษาเหมือนกัน เป็นเศรษฐีเหมือนกัน เป็นต้น

21. กลุ่มประเภทใดเป็นความสัมพันธ์แบบชุมชน

(1) Association

(2) Reference Group

(3) Secondary Group

(4) Gemeinschaft

(5) Gesellschaft

ตอบ 4 หน้า 103 – 104 เพ่อร์ดินันด์ ทอนนี (Ferdinand Tonnies) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้ให้ความหมายว่า Gemeinschaft คือ ชุมชน (Community) จะมีลักษณะความสัมพันธ์ คล้ายคลึงกับกลุ่มแบบปฐมภูมิมาก เช่น หมู่บ้านชาวนา สังคมชนบท ชุมชนในสมัยศักดินา ฯลฯ ส่วน Gesellschaft คือ สังคม (Society) จะมีลักษณะความสัมพันธ์คล้ายคลึงกับกลุ่มแบบ ทุติยภูมิมาก เช่น สังคมสมัยใหม่โดยทั่วไป สังคมอุตสาหกรรม สังคมเมือง ฯลฯ

22. กลุ่มชนิดใดมีการติดต่อสัมพันธ์โดยเน้นหน้าที่และผลประโยชน์เป็นหลัก

(1) ครอบครัว

(2) องค์กรบริษัท

(3) เพื่อนเล่น

(4) เด็กวัยรุ่น

(5) เพื่อนสนิท

ตอบ 2 หน้า 99, 101 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคม ห่างเหิน ระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ โดยเน้น หน้าที่และผลประโยชน์เป็นหลักหรือมุ่งประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว โดยจะสัมพันธ์กัน เฉพาะเรื่องเฉพาะส่วน การตัดสินใจใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เช่น สมาคม องค์กร บริษัท ฯลฯ

23. ตัวเลือกใดเป็นความสัมพันธ์ในกลุ่มทุติยภูมิ

(1) สัมพ์นธ์กันทุกเรื่อง

(2) สัมพันธ์แบบเครือญาติ

(3) สัมพันธ์เฉพาะเรื่อง

(4) ใช้อารมณ์ความรู้สึก

(5) สัมพันธ์กันลึกซึ้ง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24. ผู้ใดบัญญัติศัพท์คำว่า “ระยะห่างทางสังคม”

(1) ทอนนี (Tonnies) (2) คูลีย์ (Cooley) (3) บอกาดัส (Bo§ardus)

(4) เวเบอร์ (Weber) (5) มาร์กซ์ (Marx)

ตอบ 3 หน้า 103 ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นศัพท์ทางจิตวิทยาสังคม โดยผู้ตั้งศัพท์นี้ คือ บอกาดัส (Bogardus) ซึ่งระยะห่างทางสังคม เป็นการวัดระดับของความใกล้ชิด หรือ การยอมรับ หรืออคติที่เรารู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และสามารถนำมาใช้วัดความเป็นกลุ่มเรา กลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี

25. ตัวเลือกใดเป็นการจัดประเภทของครอบครัวตามลักษณะและหน้าที่

(1) ครอบครัวปฐมนิเทศ (2) ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม (3) ครอบครัวหน่วยกลาง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 114 การจัดประเภทของครอบครัวตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ ดังนี้

1. ครอบครัวปฐมนิเทศ (Family of Orientation) เป็นครอบครัวอาศัยเกิด คือ ครอบครัว ของบิดามารดาของเรานั่นเอง 2. ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (Family of Procreation)เป็นครอบครัวที่เกิดจากตัวของเราเอง โดยการสมรส และการมีบุตรสืบสกุล

26. ครอบครัวขนาดเล็กที่สุคคือครอบครัวชนิดใด

(1) ครอบครัวขยาย (2) ครอบครัวร่วม (3) ครอบครัวประกอบร่วม

(4) ครอบครัวหน่วยกลาง (5) ครอบครัวภาวะจำยอม

ตอบ 4 หน้า 114 – 115 การจัดประเภทครอบครัวตามขนาดและรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1. ครอบครัวหน่วยกลาง เป็นครอบครัวขนาดเล็กที่สุด 2. ครอบครัวขยาย 3. ครอบครัวประกอบร่วม

27. ครอบครัวที่สูญหายไปแล้วเหลือเพียงหลักฐานว่าเคยมีอยู่ ได้แก่ครอบครัวประเภทใด

(1) ครอบครัวสมรสหมู่ (2) ครอบครัวปฐมนิเทศ (3) ครอบครัวภาวะจำยอม

(4) ครอบครัวสามีหลายคน (5) ครอบครัวประกอบร่วม

ตอบ 1 หน้า 115 – 116 ครอบครัวประกอบร่วมหรือครอบครัวซ้อน เป็นระบบครอบครัวที่ชายหญิง สามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คนที่เรียกว่าหลายผัวหลายเมีย (พหุคู่ครอง) ซึ่งแยกออกเป็น 1. ชายมีภรรยาหลายคน (พหุภรรยา) 2. หญิงมีสามีหลายคน (พหุสามี) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในชาวทิเบตบางกลุ่ม 3. ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เหลือเพียงหลักฐานเพื่อการศึกษาเท่านั้น 4. ครอบครัวภาระหรือครอบครัวภาวะจำยอม

28. การสิ้นสภาพครอบครัวโดยกติกาทางสังคม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ตาย

(2) หย่า (3) ศาลสั่ง (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 117 การสิ้นสภาพครอบครัว มี 2 ประการ คือ 1. การสิ้นโดยธรรมชาติ เป็นการสิ้นสภาพครอบครัวในรูปของความตาย 2. การสิ้นโดยกติกาทางสังคม (การสิ้นตามกฎหมาย) แบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ การหย่า และศาลสั่ง (สั่งให้การสมรสสิ้นสุดลง)

29. ตัวเลือกใดคือการเลือกคู่สมรสที่มีรสนิยมตรงกัน

(1) Endogamy

(2) Exogamy (3) Homogamy (4) Heterogamy (5) Polygamy

ตอบ 3 หน้า 119 การเลือกคู่จากความพอใจของคู่สมรสเอง มีเกณฑ์ที่ควรพิจารณา 2 ประการ คือ

1. มีรสนิยมตรงกัน (Homogamv) เป็นการเลือกคู่จากคนที่มีความคล้ายคลึงกันกับตน ในด้านต่าง ๆ เช่น อุปนิสัย ทัศนคติ รสนิยม สติปัญญา การศึกษา เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ

2. มีรสนิยมต่างกัน (Heterogamy) เช่น การเลือกคู่จากคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนา ฯลฯ

30. หากพิจารณาความเป็นมาโดยวิวัฒนาการ พระพุทธศาสนาจัดเป็นคาสนาประเภทใด (1) ศาสนาธรรมชาติ

(2) ศาสนาสถาบัน (3) ศาสนาของโลก (4) ศาสนามหัพภาค (5) ศาสนาจุลภาค

ตอบ 2 หน้า 129 – 130 ความเป็นมาของศาสนาโดยวิวัฒนาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ศาลนาธรรมชาติ เป็นระบบความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข เช่น การนับถือผี นับถือวิญญาณ นับถือเจ้าป่าเจ้าเขา การเคารพบูชารุกขเทวดา ฯลฯ

2. ศาสนาสถาบันหรือศาสนาหลัก เป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นจากข้อกำหนดของสังคม โดยนำศาสนาธรรมชาติมาปรับปรุงแก้ไขและจัดรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ฯลฯ

31. มาร์กซ์ (Marx) มีทัศนะต่อศาสนาว่าอย่างไร

(1) มีประโยชน์ด้านปลอบประโลมใจ

(2) เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง

(3) เป็นยาเสพติด

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 133.350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจ ในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงสร้างศาสนาขึ้นมา

(1) มนุษย์ต้องการควบคุมธรรมชาติ

(2) มนุษย์ไม่เข้าใจสภาพแวดล้อมที่แท้จริง

(3) มนุษย์ยึดตัวเองเป็นสรณะ

(4) มนุษย์ต้องการแสดงความสามารถ

(5) มนุษย์เข้าใจตนเอง

ตอบ 2 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนาเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงแสวงหาวิธีการมาช่วยปลอบประโลมใจ

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. พฤติกรรมใดจัดว่าเป็นการยอมรับศาสนาของมนุษย์

(1) การยึดถือคำสอนของศาสดา

(2) การเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ

(3) การบูขาพระแม่คงคา

(4) การบูชารูปเคารพ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 135 – 136 พฤติกรรมที่จัดว่าเป็นการยอมรับศาสนาของมนุษย์ มี 3 วิธี คือ

1. การบูชารูปเคารพ ซึ่งถือเป็นวิธีการปฏิบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่แสดงถึงการยอมรับเอาศาสนา มาใช้ในสังคม ได้แก่ การสร้างรูปเคารพที่เป็นรูปคน (มนุษย์สรีระ) เช่น พระพุทธรูป เทวรูป ฯลฯ

2. การเซ่นสรวงสังเวย 3. การทำทุกรกิริยา

34. “หลักกาลามสูตร” ในพระพุทธศาสนา สอนเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การมีความซื่อสัตย์ (2) การใช้วิจารณญาณ (3) การมีความเพียร

(4) การบริหารเวลา (5) การประพฤติผิดทางเพศ

ตอบ 2 หน้า 140 หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนานั้น เน้นสอนให้รู้จักการใช้วิจารณาญาณ คือ การไม่เชื่อใครง่าย ๆ แต่ให้เชื่อโดยใช้หลักเหตุผล และให้ศึกษาพิจารณาไตร่ตรองโดยถ่องแท้ ด้วยสติปัญญาของตนเอง ซึ่งหลักในกาลามสูตรมีด้วยกัน 10 ข้อ

35. นักปราชญ์ท่านใดมีความเห็นว่าการศึกษาควรมีจุดหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ

(1) เพลโต (Plato) (2) เบคอน (Bacon) (3) ค้องท์ (Comte)

(4) รัสเซลล์ (Russell) (5) โซเครติส (Socrates)

ตอบ 4 หน้า 152 – 153 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน เช่น

1. พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2. อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม (ความเจริญและความเสื่อม) แห่งอาณาจักร และเป้าหมายสูงสุดหรืออุดมคติของการศึกษา คือ การเตรียมบุคคลให้รู้จักหาความสุขอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การเข้าถึงปัญญาอันเป็นทิพย์

3. เบคอน (Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4. รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ ธิติ สุขุมสัญญา และปัญญา

36. ตัวเลือกใดคือเป้าหมายของการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์

(1) เทวโองการ

(2) พิธีกรรม (พิธีการ) (3) สังสารวัฏ (4) โมกษะ (5) การพ้นจากอวิชชา

ตอบ 5 หน้า 152 พระพุทธศาศนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกับและกัน) ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้น จากอวิชชาหรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

37.. การจัดองค์การทางการศึกษาของไทยมีลักษณะเป็นแบบใด

(1) รัฐบาลเป็นผู้จัดการ (2) ส่วนใหญ่เอกชนเป็นผู้จัดการ

(3) ท้องถิ่นเป็นผู้จัดการ (4) ภูมิภาคเป็นผู้จัดการ (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 160 การจัดองค์การทางการศึกษาของประเทศไทยมีลักษณะเป็นแบบ “เอกรัฐ” คือ ระบบการศึกษาจะขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะต่างจากประเทศที่เป็นสหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ ที่จะให้มลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้จัดการศึกษา

38. ปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน เน้นด้านใด

(1) ความเป็นเลิศทางวิชาการ (2) การศึกษาเพื่อนำไปสร้างทฤษฏี (3) ด้านศิลปวัฒนธรรม

(4) ศิลปศาสตร์ศึกษา (5) การประยุกต์วิชาการให้สอดคล้องกับสภาพสังคม

ตอบ 5 หน้า 166 – 167, (คำบรรยาย) ปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันจะมุ่งเน้นใน ด้านการประยุกต์วิชาการให้สอดคล้องกับสภาพสังคม นั่นคือ มีลักษณะในเชิงเล็งผลปฏิบัติ หรือเชิงสัมฤทธคติ โดยมุ่งให้เรียนรู้วิชาอันนำไปประกอบอาชีพได้

39. มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทยคือมหาวิทยาลัยใด

(1) ธรรมศาสตร์และการเมือง

(2) รามคำแหง (3) สุโขทัยธรรมาธิราช (4) เชียงใหม่ (5) นเรศวร

ตอบ 1 หน้า 174 – 175 มหาวิทยาลัยเปิดหรือตลาดวิชาแห่งแรกของไทย คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมือง ซึ่งได้รับการสถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2476 โดยจัดการศึกษาในระยะเริ่มแรกเป็นแบบ “ใครใคร่เรียนเรียน’’ คือ ผู้ที่ประสงค์จะเรียนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

40. การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติเน้นปรัชญาการศึกษาตามตัวเลือกใด

(1) มุ่งควบคุมจำนวนบัณฑิตของโลก (2) มุ่งวิจัยความสามารถของบัณฑิต

(3) มุ่งผลิตนักวิจัย (4) มุ่งผลิตบัณฑิตเพื่อไปพัฒนาสังคม

(5) มุ่งวิจัยเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ

ตอบ 5 หน้า 177 – 178 การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติเน้นปรัชญาการศึกษา คือ การมุงแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสวัสดิการของ ปวงชน ซึ่งลักษณะของมหาวิทยาลัยนี้เป็นคล้ายสถาบันวิจัยมากกว่าการเป็นสถานศึกษา แม้ชื่อจะระบุว่าเป็นมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีการสอบและไม่มีการประสาทปริญญา

41. วิชาประชากรศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อใด

(1) ก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม

(2) กลางศตวรรษที่ 20

(3) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

(4) ต้นศตวรรษที่ 20

(5) อัตราการเกิดสูงขึ้น

ตอบ 2 หน้า 185 ประชากรศาสตร์ เป็นศาสตร์สาขาใหม่ของสังคมศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 20 นี้เอง สืบเนื่องจากในปี ค.ศ. 1949 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสัมมนา เกี่ยวกับทรัพยากรของโลก และมีการสำรวจประชากรในฐานะผู้บริโภคด้วย ผลจากการประชุม พบวาทรัพยากรต่าง ๆ ของโลกได้ถูกทำลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่ประชากร มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จีงทำให้เกิดการตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับประชากรมากขึ้น

42. กระบวนการทางประชากรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่ข้อใด

(1) วัฒนธรรม คำนิยม อุดมการณ์

(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง

(3) การเกิด การตาย การย้ายถิ่น

(4) สถานภาพ บทบาท สถาบัน

(5) ครอบครัว การศึกษา ความเชื่อ

ตอบ 3 หน้า 185 – 187 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่

1. การเจริญพันธุ์ (การเกิด) หมายถึง จำนวนประชากรที่ให้กำเนิดบุตรได้จริง ๆ

2. การตาย 3. การอพยพหรือย้ายถิ่น

43. เดวิส (Davis) และเบลก (Blake) เสนอทัศนะเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลายเป็นเมือง (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการเกิด

(3) ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการตาย (4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการย้ายถิ่น

(5) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความยืนยาวของชีวิตมนุษย์

ตอบ 2 หน้า 185 – 186 เดวิส (Davis) และเบลก (Blake) ได้เสนอทัศนะเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อ อัตราการเกิดว่าขึ้นอยู่กับอายุเมื่อแรกสมรส การอยู่เป็นโสดอย่างถาวร การไม่สมรสใหม่ของ หญิงหม้ายและหย่าร้าง การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ การคุมกำเนิด โดยวิธีการต่าง ๆ และการตายของเด็กทารก

44. แบบแผนการเพิ่มของประชากรใบประเทศไทยมีลักษณะอย่างไร

(1) เพิ่มเร็วในตอบแรกแล้วช้าลงในตอนหลัง

(2) เพิ่มช้าตอนแรกแล้วเร็วขึ้นในตอนหลัง ปัจจุบันชะลอตัวช้าลง

(3) ลักษณะเดียวกับการเพิ่มขึ้นของประชากรประเทศแถบเอเชียและลาตินอเมริกา

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 191, (คำบรรยาย) แบบแผนการเพิ่มของประชากรในประเทศไทยมีลักษณะเช่นเดียวกับ การเพิ่มของประชากรในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา ซึ่งมีลักษณะเพิ่มช้าในตอนแรกแล้ว ค่อย ๆ เร็วขึ้นในตอนหลัง (โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) และในปัจจุบันได้ชะลอตัวช้าลง

45. ในปัจจุบันประเทศที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสูงจะมีลักษณะทางประชากรอย่างไร

(1) อัตราการเกิดสูง อัตราการตายสูง (2) อัตราการเกิดตํ่า อัตราการตายสูง

(3) อัตราการเกิดสูง อัตราการตายตํ่า (4) อัตราการเกิดตํ่า อัตราการตายตํ่า

(5) อัตราการอพยพจากเมืองไปสู่ชนบทมากกว่าจากชนบทสู่เมือง

ตอบ 4 หน้า 195 ในปัจจุบันประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมสูงส่วนใหญ่จะมีลักษณะ ทางประชากรที่ทั้งอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำเท่าเทียมกัน ดังนั้น ประชากรจึงเพิ่มขึ้นช้ามาก ซึ่งเห็นได้ชัดในสังคมส่วนใหญ่ของยุโรป

46. ตัวเลือกใดคือตัวอย่างของสถานภาพที่ติดมาแต่กำเนิด (Ascribed Status)

(1) อายุ (2) เพศ (3) ระดับการศึกษา

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. สถานภาพที่ติดมาแต่กำเนิด (Ascribed Status) เป็นสถานภาพที่ได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมีรากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น เพศ อายุ ผิวพรรณ ชาติตระกูล วรรณะ ศาสนา ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) เป็นผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของ แต่ละบุคคลที่ขึ้นอยู่กับความสามารถ เช่น การศึกษา อาชีพ อำนาจ รายได้ ฯลฯ

47. ตัวเลือกใดคือรูปแบบของการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม

(1) วรรณะ (2) ฐานันดร (3)กลุ่มสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 198 รูปแบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม มี 3 ประเภท คือ 1. วรรณะ (Caste) 2. ฐานันดร (Estate) 3. ชนชั้น (Class)

48. ตัวเลือกใดเป็นวิธีการศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม

(1) การศึกษาแบบวัตถุวิสัย (2) การศึกษาแบบอัตวิสัย

(3) การศึกษาโดยดูจากชาติพันธุ์ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 201 วิธีการศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ศึกษา 3 วิธี คือ

1. การศึกษาแบบวัตถุวิสัย 2. การศึกษาแบบอัตวิสัย 3. การศึกษาโดยดูจากชื่อเสียง

49. ชนชั้น สถานภาพ และพรรค (Class, Status, Party) เป็นแนวคิดการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมของผู้ใด

(1) ไซท์ (Sites) (2) ค้องท์ (Comte) (3) วอร์เนอร์ (Warner)

(4) มาร์กซ์ (Marx) (5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 5 หน้า 203 ทัศนะหรือแนวคิดการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมของแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) คือ ชนชั้น สถานภาพ และพรรค (Class, Status, Party) โดยเวเบอร์มุ่งความสนใจของเขาไป ที่สังคมอุตสาหกรรม และโดยเฉพาะสังคมระบบทุนนิยม

50. นักวิชาการท่านใดที่มีทัศนะว่า “ การจัดช่วงชั้นทางสังคมถูกกำหนดโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ”

(1) ไซท์ (Sites) (2) ค้องท์ (Comte) (3) วอร์เนอร์ (Warner)

(4) มาร์กซ์ (Marx) (5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 หน้า 202 – 203 มาร์กซ์ (Marx) เป็นนักวิชาการที่อธิบายการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมด้วย ทฤษฎี “ตัวกำหนดทางเศรษฐกิจ” เช่น ระบบการผลิต การแลกเปลี่ยน ผู้ผลิต ผู้บริโภค ฯลฯ โดยมาร์กซ์ให้ทัศนะว่า ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนมีบทบาท ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ

51. ตัวเลือกใดคือจุดมุ่งหมายของระบบการควบคุมทางสังคม

(1) เพื่อควบคุมภาวะทางการเมือง

(2) เพื่อควบคุมภาวะทางเศรษฐกิจ

(3) เพื่อความเป็นธรรมในสังคม

(4) เพื่อแก้ปัญหาในสังคม

(5) เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สังคมคาดหวัง

ตอบ 5 หน้า 215 จุดมุ่งหมายของระบบการควบคุมทางสังคม คือ เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติ

ในสิ่งที่สังคมคาดหวัง โดยระบบการควบคุมทางสังคมอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ประการ คือ

1. เป็นระบบของกฎระเบียบและค่านิยมที่ต้องยอมรับไปปฏิบัติ และระบบของความเชื่อที่ เป็นเหตุผลของกฎระเบียบและค่านิยมดังกล่าว

2. ระบบการให้รางวัลและการลงโทษ เพื่อจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่สังคมยอมรับ

52. หากสังคมไม่สามารถสนองตอบความต้องการของมนุษย์ได้ จะเกิดผลอย่างไรกับสังคม

(1) ดุลยภาพของสังคม

(2) สังคมสลายตัว

(3) เครือข่ายทางสังคม

(4) บูรณาการสังคม

(5) การยึดเหนี่ยวทางสังคม

ตอบ 2 หน้า 213 หากสังคมไม่สามารถตอบสนองความต้องการเบื้องต้นหรือความต้องการมูลฐาน (Basic Needs) ของมนุษย์ได้ ก็จะทำให้สังคมสลายตัว (Disorganization of Society) ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสังคมที่พึงต้องสนองตอบความต้องการข้างต้นเพื่อป้องกันการสลายตัวของสังคม

53. การควบคุมทางสังคมด้วยกลอุบายใช้ถ้อยคำภาษา ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การปิดบังข่าวสาร

(2) การเปลี่ยนกฎระเบียบ

(3) การโฆษณาชวนเชื่อ

(4) การเกณฑ์เอาเป็นพวก

(5) การหนีปัญหา

ตอบ 3 หน้า 234 – 237 กลวิธีการใช้กลอุบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. กลอุบายทื่ใช้ถ้อยคำ ภาษา เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องตลกขบขัน การพูดปดมดเท็จ การให้สมญา และการใช้ ภาษาเฉพาะ 2. กลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา เช่น การจัดฉากและการแสดง การปิดบังข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ การหนีปัญหา และการเกณฑ์เอาเป็นพวก

54. ตัวเลือกใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรม

(1) ปทัสถานทางสังคม

(2) การประนีประนอม (3) การปรับปรน (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 221, 222 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย

1. บรรทัดฐานหรือปทัสถานทางสังคม 2. การบังคับใช้ 3. สถานภาพและบทบาท

4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. การจำแนกความแตกต่างและชั้นทางสังคม

55. กลุ่มสังคมที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) จะใช้กลไกควบคุมสังคมแบบใด

(1) กลไกกฎระเบียบ (2) กลไกการแลกเปลี่ยน (3) กลไกทางวัฒนธรรม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 243 ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) และ กลุ่มที่เป็นทางการ (Formal Groups) คือ กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบไม่เป็นทางการจะไม่ใช้ กลไกกฎระเบียบ แต่กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบทางการมักใช้กลไกเกี่ยวกับกฎระเบียบเสมอ ส่วนกลไกที่มักใช้กับทั้งกลุ่มทางการและกลุ่มไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลไกการแลกเปลี่ยน กลไกกลอุบาย กลไกการรวมตัวเข้าด้วยกัน กลไกทางวัฒนธรรม กลไกบังคับใช้ เป็นต้น

56. สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องอะไร

(1) อิทธิพลของสังคมต่อกระบวนการทางการเมือง

(2) สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมือง

(3) ปัจจัยทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรมทางการเมือง

(4) โครงสร้างทางสังคมกับสถาบันทางการเมือง (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 247 – 248 สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. อิทธิพลของสังคม ที่มีต่อกระบวนการทางการเมือง 2. โครงสร้างของสังคมกับสถาบันทางการเมือง

3. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการจัดระบบ รูปแบบ และนโยบายทางการเมือง

4. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลตอพฤติกรรมทางการเมือง

5. สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมืองการปกครอง ฯลฯ

57. “กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย” เป็นแนวคิดของผู้ใด

(1) มิเชลส์ (Michels)

(2) เวเบอร์ (Weber) (3) มาร์กซ์ (Marx) (4) เฮเกล (Hegel) (5) โบแดง (Bodin)

ตอบ 1 หน้า 251 มิเชลส์ (Michels) พบว่า ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็คือ กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy) ซึ่งมีปรากฏอยู่ในพรรคการเมืองแบบ สังคมนิยม ที่อำนาจอยู่ในมือบุคคลกลุ่มน้อย ผู้บริหารมีอำนาจมาก และไม่ต้องการจะออกจาก ตำแหน่งเดิม เพราะเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะทำให้ตนเองเกิดความเดือดร้อนและ ปราศจากการมีตำแหน่งอำนาจ

58. การศึกษาทางสังคมวิทยาการเมืองตามทัศนะเวเบอร์ (Weber) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การใช้อำนาจรัฐกดขี่ผู้อยู่ใต้ปกครอง (2) การมีดุลยภาพของสังคม

(3) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (4) การจัดระบบราชการกับประชาธิปไตย

(5) การมีดุลยภาพระหว่างความเข้าใจกับความขัดแย้ง

ตอบ 4 หน้า 250 เวเบอร์ (Weber) เป็นผู้เสนอแนวคิดโดยมุ่งประเด็นไปที่การจัดระบบแบบราชการ (Bureaucratization) ทั้งนี้เพราะระบบราชการมีทั้งความประสานและความขัดแย้งเกิดขึ้นในตัว โดยยึดถือมาตรฐานความเป็นกลางและความเสมอภาค มีส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันสังคม และมีผลต่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ

59. สังคมวิทยาการเมืองเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) ก่อนคริสตกาล (2) ต้นคริสตกาล

(3) ยุโรปสมัยกลาง (4) หลังยุคกลางของยุโรป (5) คริสต์ศตวรรษที่ 20

ตอบ 4 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองเริ่มมีจุดกำเนิดมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและการศาสนาหลังสมัยกลางของยุโรป (ประมาณศตวรรษที่ 16) โดยได้มีการก่อตัวเป็นศาสตร์ ที่เริ่มการศึกษาและวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้มีการแบ่งแยกกันระหว่างสังคมกับ การเมืองหรือสังคมกับรัฐ

60. ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย จากการค้นพบของมิเชลล์ (Michels)ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สหจิต (Consensus)

(2) ความขัดแย้ง (Conflict) (3) การจัดองค์การ (Organization)

(4) กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy)

(5) การจัดระเทียบบริหารแบบราชการ (Bureaucracy)

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

61. พฤติกรรมฝูงชนเกิดจากอะไร

(1) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด

(2) มีการวางแผนล่วงหน้านานเกินไป

(3) สมาชิกกลุ่มมีความคาดหวังสูง

(4) ใช้บรรทัดฐานทางสังคมเข้มงวดเกินไป

(5) สมาชิกกลุ่มมีความผูกพันกันมากเกินไป

ตอบ 1 หน้า 253 – 254 พฤติกรรมฝูงชนเป็นปรากฏการณ์หนึ่งทางสังคมที่เกิดจากกลุ่มคนที่ขาดระเบียบ อย่างทันทีทันใด โดยไม่ได้มีการคาดหมายไว้ล่วงหน้า แต่สภาวการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมขณะนั้น ส่งเสริม และเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมควบคุม

62. เมื่อเกิดเหตุชุมนุมประท้วง “ตู้โทรศัพท์สาธารณะจำนวนมากถูกทำลายแต่จับผู้กระทำผิดไม่ได้”แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมฝูงชนในลักษณะใด

(1) เกิดขึ้นทันทีทันใด

(2) การระบาดทางอารมณ์

(3) ไม่มีตัวตน

(4) ไร้บรรทัดฐาน

(5) ไม่มีการกำหนดสถานภาพและบทบาท

ตอบ 3 หน้า 254 เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมฝูงชนในลักษณะที่ไม่มีตัวตนเพราะฝูงชนประกอบด้วยคนหลายคนไปอยู่ร่วมกัน โดยแต่ละคนจะไม่มีการสนใจกันเป็น ส่วนตัว แต่จะถือว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และพฤติกรรมของกลุ่มที่แสดงออกมา ก็ไม่มีคนต้องรับผิดชอบ เช่น การเผาตึก การทำลายสิ่งของหรือสาธารณสมบัติ ฯลฯ

63. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของฝูงชนประเภทสนุกสนานรื่นเริง

(1) Orgy

(2) Riot

(3) Panic

(4) Lynching

(5) Acting

ตอบ 1 หน้า 257 Orgy เป็นฝูงชนประเภทที่สนุกสนานรื่นเริงไปในทิศทางที่เสเพล และนำไปสู่ความสนุกสนานที่เลยเถิด เป็นการปลดปล่อยความตึงเครียด ซึ่งเกิดจากบรรทัดฐานทางสังคม ที่ควบคุมพฤติกรรมอยู่ เช่น การมั่วสุมทางเพศ การคลั่งเต้นรำ กินเหล้า ฯลฯ

64. ข้อใดคือรูปแบบของพฤติกรรมฝูงชน (Crowd)

(1) ผู้ดูหรือผู้ฟัง

(2) ม็อบ (Mob) (3) การประชุมสัมมนา (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 256 รูปแบบหรือชนิดของพฤติกรรมฝูงชน (Crowd) แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. ผู้ดูหรือผู้ฟัง (Audience) 2. ฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือม็อบ (Mob)

65. ผู้ดูกีฬาหรือคอนเสิร์ตเป็นฝูงชนประเภทใด (1) Expressive Crowd

(2) Casual Crowd (3) Orgy (4) Acting Crowd (5) Conventional Crowd

ตอบ 5 หน้า 255 Conventional Crowd (ฝูงชนชุมนุม) หมายถึง ฝูงชนที่มารวมตัวกันโดยจะมีสัญลักษณ์บางอย่าง (แบบแผนหรือความสำนึกเป็นพวกเดียวกัน) ควบคุมอยู่ เช่น การดูกีฬา ภาพยนตร์ ดนตรีหรือคอนเสิร์ต การอภิปราย ปาฐกถา ฯลฯ ซึ่งจะมีการกำหนดเวลาและ สถานที่เอาใว้ล่วงหน้า โดยสมาชิกที่เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามแบบแผนที่กำหนดไว้

66. “ภาวะหรือสถานการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนมากพอที่จะคิดว่า ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไป” หมายถึงอะไร

(1) สถานภาพ

(2) บทบาท (3) ปัญหาสังคม (4) บรรทัดฐาน (5) ค่านิยม

ตอบ 3 หน้า 261 – 282 ปัญหาสังคม (Social Problems) หมายถึง สภาวะหรือสถานการณ์ที่กำหนด ได้ว่าเป็นข้อขัดข้องหรือมีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนมากพอที่จะคิดว่า ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ตลอดไป ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เอาชนะหรือปรับตัวตาม เช่น ปัญหาน้ำมันและภาวะการครองซีพ ปัญหาดุลการค้า ปัญหายาเสพติด ปัญหาความยากจน ปัญหาโรคจิตโรคประสาท ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ

67. “สถานการณ์ที่กำหนดได้ว่าเป็นข้อขัดข้องที่จะต้องแก้ไข เอาชนะหรือปรับตัวตาม” จัดเป็นแนวความคิดตามตัวเลือกใด

(1) ความหมายของสังคม

(2) ความหมายของปัญหา (3) ประเภทของปัญหา

(4) แนวทางแก้ไขปัญหา (5) แนวทางการวิเคราะห์ปัญหาของสังคม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68. “การเอาของไปแจกให้กลุ่มผู้ยากจน” เป็นแนวทางแก้ปัญหาแบบใด

(1) แบบตัดไฟแต่ต้นลม (2) แบบวัวหายล้อมคอก (3) แบบเฉพาะหน้า

(4) แบบระยะยาว (5) แบบผสมผสาน

ตอบ 3 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผน มาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบ และปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

69. “การโกงประชาชน การเบียดบังหลวง การใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว และการเลือกที่รักมักที่ชัง”หมายถึงตัวเลือกใด

(1) การฉ้อราษฎร์ (2) การบังหลวง

(3) การฉ้อหลวง (4) การฉ้อฉล (5) การฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 5 หน้า 281 “การฉ้อราษฎร์” หมายถึง การเบียดบังเอาผลประโยชน์ของราษฎร (ประชาชน)ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (การโกงราษฎร), “การบังหลวง” หมายถึง การกระทำด้วยวิธีหนึ่ง วิธีใดที่นำเอาผลประโยชน์จากราชการไปใช้ส่วนตัว หรือการเบียดบังของหลวงไปเป็นสมบัติ ของตนเอง, “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” ครอบคลุมไปถึงการใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว การเอาของราชการไปใช้ส่วนตัว การเลือกที่รักมักที่ชัง และการกินสินบน

70. ข้อใดเป็นปัญหาสังคม

(1) ปัญหาความยากจน (2) ปัญหายาเสพติด

(3) ปัญหานํ้ามันและภาวะการครองชีพ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

71. นโยบายที่ไทยใข้กับชาวจีนในประเทคไทยได้แก่นโยบายใด

(1) การแยกพวก

(2) การทำลายเผ่าพันธุ์

(3) การกีดกันให้แยกอยู่

(4) การแบ่งแยกดินแดน

(5) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

ตอบ 5 หน้า 293 – 294, 297, 299, 301 นโยบายที่ใช้แก้ปัญหาชนกลุ่มน้อย แบ่งเป็น 2 แนว คือ

1. นโยบายที่ค่อนข้างรุนแรง ขัดกับหลักมนุษยธรรม และไม่นิยมใช้ ได้แก่ การแยกพวก การทำลายล้าง การเนรเทศ การกีดกันให้อยู่แยก การแบ่งแยกดินแดน และการเอาเป็นเชลย

2. นโยบายที่นุ่มนวล ตรงตามหลักศีลธรรม หลักเสมอภาค และนิยมใช้ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ การรวมพวก (ใช้กับชาวไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้) การผสมผสานชาติพันธุ์ การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (ใช้กับ ชาวจีนและชาวเขาในประเทศไทย)

72. “ชนกลุ่มหนึ่งอพยพมาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ” หมายถึงตัวเลือกใด

(1) ชนกลุ่มอิทธิพล

(2) ชนกลุมลี้ภัย

(3) ชนกลุ่มน้อย

(4) ชนกลุ่มใหญ่

(5) ชนกลุ่มพลัดถิ่น

ตอบ 3 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการ ยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่าน จึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพ เข้ามาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่น หรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

73. คอเคซอยด์ (Caucasoid) มองโกลอยด์ (Mongoloid) นิกรอยด์ (Negroid) เป็นการจำแนกโดยใช้เกณฑ์ใด

(1) เชื้อชาติ (2) กลุ่มโลหิต (3) บรรทัดฐาน (4) วัฒนธรรม (5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 1 หน้า 286 – 287 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1. องค์ประกอบด้านเชื้อชาติ/เผ่าพันธุ์/ชาติพันธุ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุกรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผม สีผิว (ได้แก่ ผิวขาวหรือคอเคซอยด์ /Caucasoid, ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์/Mongoloid, ผิวดำหรือนิกรอยด์/Negroid)

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลฯ

3. ความแตกต่างของกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจาก เป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณา จากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ)

74. การหลงวัฒนธรรมหรือยึดวัฒนธรรมของตนเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentrism) มีผลให้เกิดสิ่งใด

(1) อคติต่อเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ (2) การปฏิบัติไม่เท่าเทียม

(3) การขัดแย้งทางวัฒนธรรม (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 287, (คำบรรยาย) การหลงหรือยึดวัฒนธรรมของตนเองเป็นศูนย์กลางจะมีผลให้เกิด อคติต่อเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์หรือชาติพันธุ์นิยม (Ethnocentrism) เกิดการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน เกิดปฏิกิริยาต่อต้านตอบโต้ และเกิดการขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทั้งนี้เพราะคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน (อาจเป็นชนกลุ่มน้อยหรือชนกลุ่มใหญ่) จะมีความรู้สึกว่าเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมซองกลุ่มตนดีกว่า และมองกลุ่มอื่นว่าด้อยกว่า จึงเกิดอคติและดูถูกกีดกันกลุ่มอื่น

75. สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ จัดเป็นสังคมแบบใด

(1) สังคมปฐมฐาน (2) สังคมวัฒนธรรมเดียว (3) สังคมทวิวัฒนธรรม

(4) สังคมสมานรูป (5) พหุสังคมหรือสังคมหลากหลาย

ตอบ 5 หน้า 289 – 291 สังคมลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดจากการมีชนต่างวัฒนธรรม มีดังนี้

1. สังคมหลากหลายหรือพหุสังคม (Plural Society) คือ สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายศาสนา และหลายวัฒนธรรม หรือมีลักษณะแบบพหุวัฒนธรรม (Plural Culture) อาศัยรวมอยู่ปะปนกัน เช่น สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

2. สังคมแบบทวิวัฒนธรรม (Cultural Dualism) คือ สังคมที่มีประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสาย มาจาก 2 เชื้อชาติหรือ 2 วัฒนธรรม เช่น แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจาก อังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น

76. การรับเอาวัฒนธรรมของสังคมอื่นเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมของตน เรียกว่าอะไร

(1) การผสมผสานทางวัฒนธรรม (2) การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม

(3) ความเฉื่อยทางวัฒนธรรม (4) การปฏิวัติวัฒนธรรม

(5) ความล้าทางวัฒนธรรม

ตอบ 1 หน้า 326 การผสมผสานทางวัฒนธรรม (Acculturation) คือ เมื่อมีการกระจายเผยแพร่ ทางวัฒนธรรมแล้ว สังคมที่รับเอาวัฒนธรรมนั้น ๆ ไปจะต้องมีการปรับปรุงผสมผสานให้เข้า กันได้กับวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย

77. อะไรคือแนวคิดสำคัญของทฤษฎีวัฏจักร

(1) อารยธรรมจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

(2) อารยธรรมจะคงอยู่ตลอดกาล (3) อารยธรรมจะอยู่คู่อาณาจักรแต่ละแห่ง

(4) มนุษย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม (5) อารยธรรมเมื่อมีการรุ่งเรืองย่อมมีการล่มสลาย

ตอบ 5 หน้า 309 – 312 ทฤษฎีวัฏจักร เป็นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฏจักรหรือการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ ไม่มีความถาวรของ ยุคใดยุคหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุด ก็จะกลับมาจุดเริ่มต้น หรือเมื่อมีการเจริญรุ่งเรืองก็ย่อมมีการล่มสลาย และเมื่อมีการล่มสลาย ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ

78. แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีขัดแย้ง (2) ทฤษฎีวัฏจักร (3) ทฤษฎีการหน้าที่

(4) ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม (5) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม

ตอบ 4 หน้า 315 แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการ (ทฤษฎีวิวัฒนาการ ทางสังคม) โดยเขากล่าวถึงการวิวัฒนาการว่าเป็นเสมือนกระบวนการแห่งการเติบโต ทั้งนี้ โดยการเปรียบเทียบสังคมว่าเป็นเสมื่อนสิ่งมีชีวิต

79. ในทฤษฎีของมาร์กซ์ (Marx) คำว่า Thesis หมายถึงตัวเลือกใด

(1) สภาพที่เป็นอยู่แล้ว (2) สภาพตรงข้าม (3) ดุลยภาพ

(4) สภาพที่ไม่เป็นอยู่ (5) สภาพคล้ายคลึง

ตอบ 1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งได้อธิบาย การเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน)ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. ข้อความใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีโครงสร้าง-การหน้าที่

(1) การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพราะแรงผลักดันทางวัตถุ

(2) การเปลี่ยนแปลงมีกระบวนการเริ่มจากจุดยืน (Thesis)

(3) การเปลี่ยนแปลงสามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบในสภาพการสมดุลแห่งพลวัต

(4) การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการมีปัจจัยทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

(5) การเปลี่ยนแปลงเกิดความคิดที่เป็นนามธรรม

ตอบ 3 หน้า 317 – 318 ทฤษฎีโครงสร้างและการหน้าที่ อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมไว้ประการหนึ่ง คือ ระบบสังคมมีสภาพเป็น “การสมดุลแห่งพลวัต” นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบโดยมีการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงเล็กน้อย

81. กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การขอยืม

(2) การค้นพบ

(3) การประดิษฐ์

(4) การกระจาย

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 324 – 326 กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ 1. การขอยืม 2. นวัตกรรม 3. การค้นพบ 4. การประดิษฐ์ 5. การกระจาย

82. นักวิชาการท่านใดได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลก

(1) ค้องท์ (Comte)

(2) สเปนเซอร์ (Spencer)

(3) เวเบอร์ (Weber)

(4) เลอเปล (Le Play)

(5) เจฟเฟอร์สัน (Jefferson)

ตอบ 4 หน้า 336 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Play) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบทและองค์การต่าง ๆ ในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บและการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

83. ตัวเลือกใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) ผลิตเพื่อการค้า

(2) ผลิตเพื่อบริโภค (3) การให้บริการ (4) พึ่งพาตนเองน้อย (5) เศรษฐกิจแบบตลาด

ตอบ 2 หน้า 340 – 341 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีดังนี้ 1. ความโดดเดี่ยว (Isolation) 2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity) 3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment) 4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค (Subsistence Economy)

84. ตัวเลือกใดเป็นสาเหตุภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การเกิด (2) การย้ายถิ่น (3) การเลียนแบบ

(4) การประดิษฐ์สิ่งใหม่ (5) การแปรปรวนของธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียบแบบ (การขอยืมวัฒนธรรม) การพัฒนา ฯลฯ

85. การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านสหกรณ์

(2) นิคมสร้างตนเอง (3) หมู่บ้านวงกลม (4) หมู่บ้านเศรษฐกิจ (5) หมู่บ้านเกษตรกรรม

ตอบ 5 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะเป็นการตั้งถิ่นฐานที่ไม่มี การวางแผน มีการตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่มที่ดอน ที่เนิน ชายปา ชายเขา ตามเส้นทางคมนาคม และตามริมฝั่งน้ำ

86. วิถีชีวิตของชาวชนบทเกี่ยวข้องกับอะไรมาก

(1) ศาสนา

(2) การศึกษา (3) การผลิต (4) การเมือง (5) การให้บริการ

ตอบ 3 หน้า 340 – 341, (คำบรรยาย) คนชนบทจะมีการใช้แรงงานเพื่อการเกษตร เกือบทุกคน ในชนบทจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกษตร ถ้าไม่ปลูกพืชก็เลี้ยงสัตว์หรือทำการประมง ดังนั้น ลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของนบชนบทจึงเกี่ยวพันกับการเกษตรกรรม หรือเกี่ยวข้องกับการผลิต (ผลิตผลทางการเกษตร) ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเป็นอย่างมาก

87. เพราะเหตุใดเมืองและชนบทจึงอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

(1) เมืองต้องพึ่งผลผลิตด้านเกษตรจากชนบท

(2) ชนบทต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากเมือง (3) ชนบทต้องพึ่งพาแรงงานจากเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 366 เมือง คือ ที่รวมของมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาผลผลิตทางเกษตรกรรมและแรงงาน จากชนบทเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ซึ่งชนบทก็จะได้ผลตอบแทนหรือการพึ่งพาเมือง ในด้านความคุ้มครองทางด้านการทหารและเทคโนโลยีหรือสิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ดังนั้นเมือง และชนบทจึงอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

88. ตัวเลือกใดถูกต้องเกี่ยวกับสังคมวิทยานคร

(1) ศึกษาชีวิตของผู้ที่อยู่ในเขตเมือง

(2) ศึกษากระบวนการกลายเป็นเมือง (3) เปรียบเทียบกับสังคมวิทยาชนบท

(4) ศึกษาโครงสร้างของเมือง (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 363 สังคมวิทยานคร (Urban Sociology) บางครั้งจะเรียกว่า สังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง เป็นการศึกษาทางสังคมโดยเน้นหนักถีงการศึกษาชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ ในเขตเมือง ศึกษาระบบสังคม วัฒนธรรม โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการกลายเป็นเมือง ซึ่งมักจะศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology)

89. ทฤษฎีใดกล่าวว่า “เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง”

(1) ทฤษฎีรูปพาย (2) ทฤษฎีรูปวงกลม (3) ทฤษฎีรูปดาว

(4) ทฤษฎีรูปเหลี่ยม (5) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดย อาร์.เอ็ม. เฮิร๎ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

90. การขยายตัวของเมืองตามทฤษฎีรูปวงกลม เขตพื้นที่ชั้นในนสุด (วงที่ 1) คือเขตอะไร

(1) ศูนย์กลางของเมือง (2) แหล่งเสื่อมโทรม (3) แหล่งคนยากจน

(4) ที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง (5) ที่อยู่อาศัยของคนชั้นสูง

ตอบ 1 หน้า 374 – 375 ทฤษฎีรูปวงกลม (Concentric Zone Theory) อธิบายว่า นครใหญ่ ๆ ประกอบด้วยเขตต่าง ๆ เป็นรูปวงกลมซ้อนกัน 5 วง จากเขตพื้นที่ชั้นในสุดมานอกสุดดังนี้ วงที่ 1 เป็นเขตศูนย์กลางของเมือง, วงที่ 2 เป็นเขตผ่านหรือเขตเสื่อมโทรม,วงที่ 3 เป็นเขตที่อยูอาศัยของคนยากจน, วงที่ 4 เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง,วงที่ 5 เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง

91. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) เส้นทางคมนาคมขนส่ง

(2) จำนวนประชากร

(3) เหมืองแร่

(4) การปกครองและศาสนา

(5) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 5 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำให้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า โดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

92. ตัวเลือกใดเป็นลักษณะของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา

(1) มีความเป็นเมืองมากเกินไป

(2) มีลักษณะแบบเอกนครชัดเจน

(3) การขยายขนาดของเมืองมีอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

(4) การขยายขนาดของเมืองขึ้นอยู่กับการย้ายถิ่นเข้ามาอยูในเมืองของชาวชนบท

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 380 ลักษณะความเป็นเมืองและการขยายขนาดของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา มีดังนี้

1. การขยายขนาดของเมืองเป็นไปใบอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

2. การขยายขนาดของเมืองขึ้นอยู่กับผลของการเพิ่มโดยธรรมชาติ (ผลต่างระหว่างจำนวน การเกิดและการตาย) ของประชากรในเมืองร่วมกับผลจากการย้ายถิ่นเข้าของชาวชนบท

3. การย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองมีสาเหตุผลักดันจากชนบทมากกวาแรงดึงดูดของเมือง

4. มีความเป็นเมืองมากเกินไป

5. มีลักษณะเป็นแบบเอกนครอย่างชัดเจน

93. ออยท์ (Hoyt) เป็นเจ้าของแนวความคิดเกี่ยวกับการขยายตัวของเมืองในลักษณะใด

(1) รูปดาว (2) รูปพาย (3) รูปวงรี

(4) รูปสามเหลี่ยม (5) รูปวงกลม

ตอบ 2 หน้า 376 ทฤษฎีรูปพาย (Sector Theory) ของโฮเบอร์ ฮอยท์ (Homer Hoyt) อธิบายว่า ส่วนต่าง ๆ ของเมืองประกอบด้วยกิจกรรมและประชากรในส่วนต่าง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องแบ่งเขต เป็นรูปวงกลมซ้อนกันเสมอไป กล่าวคือ บริเวณเขตอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นโดยรอบ อาณาบริเวณศูนย์กลางของเมือง แต่อาจเจริญหรือขยายตัวตามริมทางรถไฟเป็นแนวตรง หรือ ส่วนต่าง ๆ อาจจะมีจุดเริ่มต้นจากศูนย์กลางของเมืองแล้วขยายไปตามแนวยาวออกไปสู่ชานเมือง

94. ศาสตร์ที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) นิเวศวิทยา (2) มนุษยนิเวศวิทยา (3) ชีววิทยา

(4) พฤกษศาสตร์ (5) ภูมิศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 391 มบุษยนิเวศวิทยา เป็นวิชาหนึ่งในแขนงสาขาสังคมวิทยาที่มีขอบเขตการศึกษา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยมนุษย์นิเวศวิทยาได้นำเอาความรู้และประสบการณ์จากหลายสาขาวิชาเข้ามารวมในศาสตร์นี้ เช่น เคมี เศรษฐศาสตร์ การเมือง สังคม และจริยศาสตร์ รวมทั้งชีววิทยา (ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องมากที่สุด)

95. ข้อใดจัดอยู่ใบระบบนิเวศน์แบบ Mature Natural Ecosystems

(1) ทุ่งเลี้ยงสัตว์ (2) ย่านอุตสาหกรรม (3) ภูเขา

(4) สวนสาธารณะ (5) ฟาร์ม

ตอบ 3 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และตัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

96. ตัวอย่างการใช้พลังงานไฮโดรอีเล็กตริก ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) บ่อน้ำมันที่ฝาง (2) เขื่อนภูมิพล (3) โรงไฟฟ้าวัดเลียบ

(4) เหมืองลิกไนท์ที่ลำปาง (5) โรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติที่บางปะกง

ตอบ 2 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอีเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงาบที่ได้จากน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้องเลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่าไม้ได้

97. พลังงานจากแหล่งใดที่มนุษย์นำมาใช้มากที่สุด

(1) ถ่านหิน

(2) นํ้ามัน (3) ลม (4) นิวเคลียร์ (5) แสงอาทิตย์

ตอบ 2 หน้า 395 แหล่งพลังงานในด้านต่าง ๆ ของโลกที่มนุษย์นำมาใช้มากที่สุด คือ น้ำมัน (42.7%) รองลงมาตามลำดับ ได้แก่ ถ่านหิน (36.6%), ก๊าซธรรมชาติ (18.3%), ไฮโดรอีเล็กตริก (2.1%) และนิวเคลียร์ (0.3%)

98. ตัวเลือกใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ “น้ำ”

(1) 97% ของนํ้าในโลกเป็นน้ำทะเล

(2) สามารถใช้พลังนํ้าผลิตพลังงานได้ (3) น้ำฝนเป็นน้ำที่อยู่บนผิวดิน

(4) น้ำเป็นทรัพยากรที่มีการหมุนเวียน (5) นํ้าเสียเกิดจากอินทรียสารซึ่งถูกย่อยสลายได้

ตอบ 3 หน้า 398 นํ้าเป็นทรัพยากรที่มีการหมุนเวียน ส่วนใหญ่ของนํ้าในโลกเป็นนํ้าทะเล 97%ที่เหลืออีก 3% เป็นนํ้าจืด นํ้าเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากการสร้างเขื่อน นํ้าธรรมชาติแบ่งเป็น 4 ประเภท คอ น้ำฝน, น้ำท่า (น้ำที่อยู่ผิวดิน), นํ้าบาดาล (น้ำใต้ดิน)และน้ำทะเล โดยนํ้าเสียเกิดจากอินทรียสารซึ่งถูกย่อยสลายได้

99. วิชามานุษยวิทยาถือกำเนิดขึ้นในบรรยากาศทางสังคมแบบใด

(1) การปฏิวัติเกษตรกรรม (2) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (3) การปฏิรูปศาสนา

(4) การล่าอาณานิคม (5) การปฏิวัติอุตสาหกรรม

ตอบ 4 (คำบรรยาย) วิชามานุษยวิทยา (Anthropology) ถือกำเนิดขึ้นในสังคมยุโรป ประมาณ ปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีบรรยากาศของการล่าอาณานิคม โดยในระยะแรกนี้จะ เน้นการศึกษาสังคมดั้งเดิมที่ไม่ใช่สังคมของคนผิวขาวและสังคมตะวันตก เช่นสังคมดั้งเดิม ของแอฟริกาและเอเชีย เป็นต้น

100. มานุษยวิทยากายภาพศึกษาด้านใด

(1) โบราณคดี

(2) สรีระของมนุษย์ (3) ชาติวงศ์ชองมนุษย์ (4) ภาษาของมนุษย์ (5) ชาติพันธุ์วรรณนา

ตอบ 2 หน้า 412 มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์ในแง่สรีรวิทยา โดยมุ่งเน้นศึกษาสัตว์ตระกูล Homo Sapiens ชนิดต่าง ๆ ในด้านโครงสร้างของอวัยวะทางร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งได้พยายามค้นคว้าศึกษาวิวัฒนาการ จากจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่า ไพรเมท (Primate) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนกระทั่งถึง การมีลักษณะที่เป็นรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน

101. ผู้ใดเป็นผู้ริเริ่มจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นจำพวกต่าง ๆ

(1) ดาร์วิน (Darwin)

(2) ลามาร์ค (Lamarck)

(3) ลินเน (Linne)

(4) เมนเดล (Mendel)

(5) วอลเลซ (Wallace)

ตอบ 3 หน้า 414, (คำบรรยาย) ลินเน (Linne) นักชีววิทยาชาวสวีเดน เป็นผู้ที่ริเริ่มจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นจำพวกต่าง ๆ ด้วยการจัดระบบวิธีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตแบบทวินาม (Binomial) ไว้ในหนังสือชื่อ System of Nature โดยลักษณะของชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด จะประกอบด้วยชื่อ Genus (สกุล) และ species (ชนิด)

102. “การให้การศึกษา” เป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ด้านใด

(1) การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม

(2) การติดต่อสื่อสาร

(3) ความเจริญด้านวัตถุ

(4) การทำกิจกรรมร่วมกัน

(5) การควบคุมทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 424 มาลินอฟสกี้ (Malinowski) ได้กล่าวถึงความสอดคล้องระหว่างความต้องการของ มนุษย์กับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เกิดตามมา ดังนี้ การให้การศึกษา เป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบความต้องการด้านการถ่ายทอดทางวัฒนรรรม ภาษาเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบความต้องการด้านการติดต่อสื่อสาร กฎเกณฑ บทลงโทษ และประเพณีเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบความต้องการ ด้านการควบคุมทางสังคม ฯลฯ

103. ปัจจัยใดที่ทำให้มนุษย์แตกต่างกันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในยีนส์ (Genes)

(1) การแยกเผ่า (2) การผสมเป็นพันธุ์ใหม่ (3) การผ่าเหล่า

(4) การแยกอยู่โดดเดี่ยว (5) การเลือกสรรพันธุ์โดยธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 418 การผ่าเหล่า (Mutation) เป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกันเนื่องจาก เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในยีนส์ (Genes) ที่สืบทอดผ่านทางพันธุกรรม โดยอณู ของโปรตีนจำนวนมากซึ่งเป็นองค์ประกอบทางชีวเคมีเข้าไปปรุงแต่งพื้นฐานทางพันธุกรรม ทำให้ลูกหลานที่เกิดฃึ้นมีลักษณะแตกต่างกันออกไป

104. ปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมท่านใดสอนให้ศิษย์ทำหน้าที่เสมือน “กล้องถ่ายรูป” ในการจับภาพวัฒนธรรมของสังคมแต่ละสังคม

(1) เบเนดิกท์ (Benedict)

(2) ไทเลอร์ (Tylor) (3) โบแอส (Boas)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski) (5) เรดคลิฟฟ์-บราวน์ (Radcliffe-Brown)

ตอบ 3 หน้า 429 – 430 โบแอส (Boas) เป็นปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมที่ได้พร่ำสอน ลูกศิษย์ให้ทำหน้าที่เสมือนเป็น “กล้องถ่ายรูป” ในการจับภาพวัฒนธรรมของสังคมแต่ละสังคม โดยยํ้าว่านักมานุษยวิทยาควรจะเรียนรู้ภาษาพื้นเมืองของกลุ้มคนที่ต้องการไปศึกษา เพื่อจะได้รับความรู้จากสังคมนั้น ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง

105. การนอนหลับพักผ่อนหลังอาหารมื้อกลางวัน (Siesta) เป็นวัฒนธรรมของภูมิภาคใด

(1) เอเชียเหนือ (2) ยุโรปเหนือ (3) ยุโรปใต้ (4) อเมริกากลาง (5) เอเชียใต้

ตอบ 3 หน้า 444 ปัจจุบันความนิยมในการหยุดกิจการ 2 ชั่วโมง เพื่อนอนหลับพักผ่อนหลังอาหาร มื้อกลางวัน แล้วจึงเปิดกิจการใหม่ในตอนบ่ายจนถึงคำ ยังคงมีอยู่ในยุโรปทางตอนใต้ ได้แก่ อิตาลี กรีซ และสเปน ทั้งนี้เนื่องจากยุโรปทางตอนใต้นั้นอากาศร้อนเกินไป

106. ตัวเลือกใดไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอเมริกัน

(1) วัฒนธรรมยีนส์ (2) ร้านกาแฟสตาร์บัค (3) แมคโดบัล

(4) ไก่ทอดเคเอฟชี (5) วรรณกรรมและภาพยนตร์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์

ตอบ 5 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอเมริกัน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถือกำเนิดและถูกถ่ายทอดมาจาก อเมริกาไม่ว่าจะเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ระเบียบประเพณี ค่านิยม ภาษาหรือคำศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารการกิน เป็นต้นว่าอาหารจานด่วน (Fast Food) เช่น กาแฟสตาร์บัค, ไก่ทอด เคเอฟชี, แฮมเบอร์เกอร์แมคโดบัล ฯลฯ วัฒนธรรมยีนส์, การ์ตูนเป็ดโดนัลและหนูมิกกี้เมาส์, คำว่า “hot dog” “ weekend” “freeway” ส่วนวรรณกรรมและภาพยนตร์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เป็นวัฒนธรรมของยุโรป (อังกฤษ)

107. ประชากรส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกานับถือศาสนาใด

(1) อิสลาม

(2) คริสต์ (3) ฮินดู (4) ซิกข์ (5) ยูดาย

ตอบ 2 หน้า 448 ประชากรสวนใหญ่ในทวีปแอฟริกานับถือศาสนาคริสต์ รองลงมาคือ อิสลาม ส่วนศาสนาพุทธเกือบไม่มีเลย

108. ตัวเลือกใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมแอฟริกา

(1) ชายแต่งงานกับหญิงได้หลายคน

(2) ร่วมมือกันทำงานเป็นกลุ่ม (3) นิยมดูการต่อสู้กับวัวกระทิง

(4) เคารพเครือญาติผู้ใหญ่ (5) ชอบดนตรีประเภทตึงตังโครมคราม

ตอบ 3 หน้า 449 – 450 ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมแอฟริกา ได้แก่

1. ให้เกียรติผู้สูงอายุ เคารพญาติผู้ใหญ่

2. ชอบดนตรีและเพลงประเภทตึงตังโครมคราม (Jazz)

3. การทำงานเพื่อประโยชน์ฃองสาธารณชนมักมีการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม

4. ชายชาวแอฟริกันคนหนึ่งอาจแต่งงานกับภรรยาได้หลาย ๆ คน

5. ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะต้องมาอยู่บ้านสามีและทำงานให้ครอบครัวของสามี ฯลฯ

109. ตามทัศนะซองมาลินอฟสกี้ (Malinowski) มนุษย์สร้างวัฒนธรรมด้านใดเพื่อตอบสนองความต้องการในการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม

(1) ระบบเครือญาติ

(2) สันทนาการ (3) ศิลปะ (4) การศึกษา (5) เศรษฐกิจ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 102. ประกอบ

110. ตัวเลือกใดถูกต้องเกี่ยวกับ “อุปนิสัยประจำชาติ”

(1) ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม

(2) ลักษณะเด่นพิเศษที่ทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

(3) ลักษณะเด่นที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสังคมหนึ่งกับสังคมอื่น

(4) โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพ บนสมมติฐานว่า เป็นลักษณะของสมาชิกในสังคมเดียวกัน

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 458 ลักษณะประจำชาติหรืออุปนิสัยประจำชาติ มีความหมายดังต่อไปนี้

1. ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม และจัดเป็นเอกลักษณ์หรือลักษณะ ที่เด่นพิเศษอันทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

2. ลักษณะเด่นอันทำให้สามารถแยกแยะความแตกด่างระหว่างสังคมหนึ่งกับอีกสังคมหนึ่งได้

3. โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพซึ่งวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเป็นลักษณะของสมาชิกของสังคมเดียวกัน

111. เอมบรี (Embree) มีทัศนะว่าลักษณะอุปนิสัยของคนไทยเป็นอย่างไร

(1) รักความเป็นธรรม

(2) ขาดวินัย

(3) ใจนักเลง

(4) ชอบอิสรภาพ

(5) เคารพผู้อาวุโส

ตอบ 2 หน้า 464 จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุก และมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย”

112. ลักษณะอุปนิสัยการประสานประโยชน์ของคนไทย หมายถึงตัวเลือกใด

(1) ชอบสนุกสนาน

(2) เล็งผลปฏิบัติ

(3) รักอิสรภาพ

(4) มีความอดกลั้น

(5) ไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 464 – 465 ลักษณะอุปนิสัยซองคนไทยตามทัศนะของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มี 3 ประการ ได้แก่

1. การรักความเป็นไท คือ การรักอิสรภาพเสรี ดังคำกล่าวทีว่า “พูดได้ตามใจคือไทยแท้”

หรือ “ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้”

2. การปราศจากวิหิงสา คือ การไม่ชอบเบียดเบียน มีความอดกลั้น และมีขันติธรรม

3. การประสานประโยชน์ คือ การรู้จักประนีประนอม มีการโอนอ่อนและอะลุ่มอล่วย มีลักษณะเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ

113. คำกล่าวว่า “ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้” ซชี้ให้เห็นลักษณะนิสัยของคนไทยข้อใด

(1) ความมักน้อย (2) ประสานประโยชน์ (3) รักความเป็นอิสรภาพ

(4) ปราศจากวิหิงสา (5) จิตใจนักเลง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 112. ประกอบ

114. ตัวเลือกใดเป็นค่านิยมในสังคมอุตสาหกรรม

(1) ถืออำนาจ (2) ถือประโยชน์ตนเอง (3) ถือหลักเกณฑ์

(4) ถือฐานานุรูป (5) ความเฉื่อย

ตอบ 3 หน้า 473 ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมในสังคมอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. ความฉับพลัน 2. การถือความสามารถ 3. การถือหลักเกณฑ์ 4. การถือประโยชน์ส่วนรวม 5. การถือเสรีภาพ

ซึ่งจะตรงกันข้ามกับค่านิยมในสังคมเกษตร ได้แก่

1. ความเฉื่อย 2. การถือฐานานุรูป 3. การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

4. การถือประโยชน์ตนเอง 5. การถืออำนาจ

115. ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมใดที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรม

(1) ความเฉื่อย (2) การเล็งผลปฏิบัติ (3) การถือฐานานุรูป

(4) การถือหลักเกณฑ์ (5) การถือประโยชน์ตนเอง

ตอบ 2 หน้า 472 ค่านิยมที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งของคนไทยตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ คือ การเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ กล่าวคือ คนไทยมักไม่ยึดถือสิ่งที่ไม่เห็นผลหรือไม่สอดคล้อง กับประโยชน์ของตน นักคิดไทยมักจะแสดงความคิดออกมาในรูปซึ่งจับต้องได้ ดังนั้นจึงทำให้ เป็นการยากแก่คนไทยที่จะเป็นนักคิดแบบนามธรรม (Abstract Thinker)

116. ตัวเลือกใดกล่าวไว้ถูกต้อง

(1) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

(2) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสภากาชาดสากล

(3) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสนธิสัญญาแวร์ชาย

(4) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสันนิบาตชาติ

(5) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสหประชาชาติ

ตอบ 1 หน้า 481 หากพิจารณาในแง่หลักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่สนับสนุนการสังคมสงเคราะห์ แล้ว การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากแนวความคิดซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ 3 ประการ ดังนี้ 1. ความรู้สึกที่จะอยู่ร่วมกัน

2. ต้องการความคุ้มครองปกป้องร่วมกัน 3. ต้องการความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

117. ตัวเลือกใดตรงกับคำว่า Client ของงานสังคมสงเคราะห์

(1) ผู้รับบริการ

(2) ผู้ป่วย (3) ผู้ให้คำปรึกษา (4) ผู้ให้บริการ (5) นักจิตวิทยา

ตอบ 1 หน้า 483, 485, 487 คำว่า Client ในงานสังคมสงเคราะห์ หมายถึง ผู้รับบริการ ซึ่งเป็นผู้ที่มีปัญหา และต้องการคำแนะนำ/ปรึกษา ดังนั้นการปฏิบัติงานของการสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย จึงเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ

118. ข้อใดไม่ใช่หลักของการสัมภาษณ์ในงานสังคมสงเคราะห์

(1) Person

(2) Problem (3) Place (4) Process (5) Predict

ตอบ 5 หน้า 489 “4D” คือ หลักที่นักสังคมสงเคราะห์ใช้ทำการสัมภาษณ์เพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ในงานสังคมสงเคราะห์ ซึ่งมีดังนี้

1. Person หมายถึง ผู้รับบริการและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง

2. Problem หมายถึง ต้องจับประเด็นที่เป็นปัญหาให้ได้

3. Place หมายถึง สถานที่หรือองค์การหรือหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ที่ให้บริการ

4. Process หมายถึง มีลำดับขั้นตอนในการซักถาม

119. งานสังคมสงเคราะห์ในสหรัฐอเมริกาได้รับอิทธิพลจากประเทศใด

(1) อังกฤษ

(2) ฮังการี (3) เยอรมัน (4) ฝรั่งเศส (5) ออสเตรีย

ตอบ 1 หน้า 482 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การสังคมสงเคราะห์ได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากแบบอย่างของประเทศอังกฤษ

120. วิธีการสังคมสงเคราะห์ใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการความสามารถของสมาชิก

(1) การจัดระเบียบชุมชน (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การพัฒนาชุมซน (4) การจัดองค์การชุมชน

(5) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. คำกล่าวของอริสโตเติล (Aristotle) ที่ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” มีหมายความว่าอย่างไร

(1) มนุษย์มีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า

(2) มนุษย์มีความสามารถสร้างวัฒนธรรม

(3) มนุษย์มีสมองมากกว่าสัตว์อื่น ๆ

(4) มนุษย์มีการปกครองสมาชิกในสังคม

ตอบ 1 หน้า 1 อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีภ ได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” (Social Animal) หมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้อง และสัมพันธ์กันในหมู่มวลสมาชิก มีความจำเป็นต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่เสมอ

2. การศึกษาสังคมของนักสังคมวิทยายุคแรกใช้แนวทางใดในการศึกษา

(1) ประวัติศาสตร์ของสังคม

(2) วิวัฒนาการของสังคม

(3) การแก้ไขปัญหาของสังคม

(4) ความขัดแย้งของสังคม

ตอบ 2 หน้า 6 การศึกษาสังคมวิทยาในระยะแรกนั้น ค้องท์ (Comte) และสเปนเซอร์ (Spencer)เป็นนักสังคมวิทยารุ่นแรกที่สนใจศึกษาการกำเนิดของสังคม วิวัฒนาการของสังคม และสังคม ในอนาคตว่าน่าจะเป็นเช่นไร ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ

3. นักคิดท่านใดทำให้ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมกลายเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม

(1) เพลโต (Plato) และค้องท์ (Comte) (2) เวเบอร์ (Weber) และสเปนเซอร์ (Spencer)

(3) เวเบอร์ (Weber) และเพลโต (Plato) (4) ค้องท์ (Comte) และสเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ 4 หน้า 3 ค้องท์ (Comte) และสเปนเซอร์ (Spencer) เป็นนักคิดนักวิชาการกลุ่มแรกที่ได้พยายาม ทำให้องค์ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมกลายเป็น “วิทยาศาสตร์ทางสังคม” ขึ้นมา โดยพยายาม ใช้วิธีการศึกษาทุกขั้นตอนเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในการแสวงหาความรู้ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษามนุษย์และสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบ

4. ข้อใดกล่าวไว้ถูกต้องถึงผลที่ได้รับจากการศึกษาเกี่ยวกับสังคมมนุษย์

(1) ทราบกลไกการทำงานของสังคม (2) ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก

(3) เข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 4-5 ผลที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ มีดังนี้

1. เข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคมตนเองและสังคมอื่น ๆ ซึ่งทำให้ทราบถึง กลไกการทำงานของสังคม และแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้น

2. สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อสมาชิกร่วมสังคมและสมาชิกร่วมโลก เข้าใจสถานภาพ และบทบาทของตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ก็เนื่องจากมนุษย์จะแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้

3. เข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษและสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน

4. เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพ โดยใช้เป็นวิชาความรู้ควบคู่กับการศึกษาวิชาอื่น ๆ เพราะ ทุกฝ่ายต่างจะต้องใช้วิชาชีพนั้น ๆ กับคนในสังคมทั้งสิ้น

5. ก่อนปรากฏการณ์การปฏิวัติอุตสาหกรรม การศึกษาสังคมใช้แนวทางใด

(1) วิทยาศาสตร์ (2) สามัญสำนึก (3) วิทยาศาสตร์ทางสังคม (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 2 หน้า 2-3, (คำบรรยาย) การใช้สามัญสำนึก (Common Sense) ศึกษาสังคม เกิดขึ้น ในช่วงระยะเริ่มแรกก่อนที่วิชาสังคมวิทยาจะกำเนิดขึ้น คือ ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อมาในราวปลายศตวรรษที่ 18 (หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม) การศึกษาสังคมก็เปลี่ยน จากการใช้สามัญสำนึกมาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม (Social Sciense)

6. เพราะเหตุใดสังคมวิทยาจึงได้รับสมญาว่า “ราชินีแห่งศาสตร์”

(1) สังคมวิทยามีกำเนิดมายาวนาน (2) สังคมวิทยาแตกแขนงเป็นหลายสาขา

(3) สังคมวิทยามีความเป็นวิทยาศาสตร์ (4) สังคมวิทยาสามารถแก้ไขปัญหาสังคม

ตอบ 2 หน้า 18, 151 ออกัส ค้องท์ (Auguste Comte) ที่ถือกันว่าเป็นปฐมาจารย์ (อาจารย์คนแรก) ของสังคมวิทยาในสมัยปัจจุบัน คือ สังคมวิทยาในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์แห่งสังคม โดยค้องท์ เป็นผู้ให้ฉาายาสังคมวิทยาว่าเป็น “ราชินีแห่งศาสตร์” ทั้งนี้เนื่องจากสังคมวิทยาเป็นศาสตร์ที่แตกแขนงออกไปเป็นหลายสาขา ซึ่งเปรียบเสมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีบุตรธิดามาก และยังหมายถึง การมีความสำคัญแทรกอยู่ในบรรดาวิทยาการต่าง ๆ

7. คำว่า Sociology มาจากคำในภาษาใด

(1) ฝรั่งเศสกับอังกฤษ

(2) กรีกกับอังกฤษ (3) ละตินกับกริก (4) ละตินกับฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 16 Sociology (สังคมวิทยา) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละติน มีความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

8. ใครคือปฐมาจารย์ทางสังคมวิทยา

(1) ค้องท์ (Comte)

(2) เวเบอร์ (Weber) (3) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (4) สเปนเซอร์ (Spenecr)

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

9. ข้อใดมิใช่ลักษณะของสังคมวิทยา

(1) รูปธรรม

(2) วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (3) วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 13-15 ลักษณะของสังคมวิทยา มีดังนี้ 1. เป็นศาสตร์ว่าด้วยสังคมหรือเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม และเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ

2. เป็นวิชาที่เกียวข้องกับหลักการที่ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น (บอกสาเหตุของผลที่เกิดขึ้น)

3. เป็นนามธรรม 4. เป็นศาสตร์ที่มีเหตุผลและอาศัยการพิสูจน์ทดลองเชิงประจักษ์

5. เป็นวิทยาศาสตร์ทั่วไป ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เฉพาะ 6. เป็นสังคมศาสตร์ทั่วไป

10. ใครเป็นผู้สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันวา “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen)

(1) ค้องท์ (Comte) (2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (4) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่ เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม

11. ศาสตร์ใดกำเนิดขึ้นร่วมสมัยกับสังคมวิทยา

(1) รัฐศาสตร์

(2) นิติศาสตร์

(3) เศรษฐศาสตร์

(4) จิตวิทยา

ตอบ 4 หน้า 16 จุดเริ่มแรกของสังคมวิทยาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็คือ วิทยาศาสตร์ได้กำเนิดเกิดขึ้นมาใหม่พร้อมกัน 2 สาขา ได้แก่

1. จิตวิทยา (Psychology) ซึ่งเป็นศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์

2. สังคมวิทยา (Sociology) ซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับสังคมมนุษย์

12. ข้อใดกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างสังคมวิทยากับมานุษยวิทยาได้ถูกต้อง

(1) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมง่าย ๆ ส่วนมานุษยวิทยาศึกษาสังคมเชิงซ้อน

(2) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมปัจจุบัน ส่วนมานุษยวิทยาศึกษาธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ โดยเฉพาะในสังคมดั้งเดิม

(3) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาเป็นรายกรณี ส่วนมานุษยวิทยาศึกษาแบบสุ่มตัวอย่าง

(4) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมไม่มีภาษา ส่วนมานุษยวิทยาศึกษาสังคมรู้หนังสือ

ตอบ 2 หน้า 49 ข้อแตกต่างระหว่างสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มีดังนี้

1. สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมปัจจุบัน ส่วนมนุษยวิทยาสนใจศึกษาขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ โดยเฉพาะในสังคมดั้งเดิม

2. สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมที่รู้หนังสือ ส่วนมานุษยวิทยาสนใจสังคมที่ยังไม่มีภาษาเขียน

3. สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมเชิงซ้อน ส่วนมานุษยวิทยาสนใจสังคมที่มีโครงสร้างง่าย ๆ

4. สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาแบบสุ่มตัวอย่าง ส่วนมานุษยวิทยาสนใจศึกษาเป็นรายกรณี

13. ผู้ใดริเริ่มใช้ศัพท์ “วัฒนธรรม” ขึ้นในปี พ.ศ. 2475

(1) พระมหาพูล

(2) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

(3) พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร

(4) เสฐียรโกเศศ

ตอบ 3 หน้า 56 พ.ศ. 2475 พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงค์ประพันธ์ขณะทรงพระยศเป็น พระองค์เจ้าวรรณไวทยากรทรงเป็นผู้ริเริ่มบัญญัติศัพท์คำว่า ‘”วัฒนธรรม” ขึ้นเป็นคนแรก

14. ข้อใดคือความหมายของ “วัฒนธรรม” ตามนัยแห่งสังคมศาสตร์

(1) พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (2) ขนบธรรมเนียมประเพณี

(3) สิ่งที่ดีงาม (4) สิ่งที่ได้รับการยอมรับเป็นเวลานาน

ตอบ 1 หน้า 56-61 ความหมายของวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 3 ความหมายใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ความหมายตามรากศัพท์เดิม วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว หรือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

2. วัฒนธรรม คือ ขนบธรรมเนียมประเพณี

3. ความหมายตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ วัฒนธรรมมีความหมายกว้างขวางมาก คือ ครอบคลุม ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลผลิต/ผลงาน/ผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุ หรืออวัตถุ รวมถึงพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

15. ความหมายของ “วัฒนธรรม” ตามนัยใดที่กว้างขวางครอบคลุมทุกสิ่งที่เป็นผลผลิตของมนุษย์

(1) รากศัพท์เดิม (2) สิ่งดีงาม (3) ขนบธรรมเนียมประเพณี (4) ทางสังคมศาสตร์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16. พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นประเพณีเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) การปกครอง

(2) การทำมาหากิน (3) ชีวิตบุคคล (4) อำนาจพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 57 – 58, (คำบรรยาย) ขบบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เป็นวัฒนธรรมพี่เกี่ยวกับ

1. วาระสำคัญของชีวิตบุคคล การดำเนินชีวิตของบุคคลตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นชีวิต

2. ประเพณีต่าง ๆ ของสังคมเอง ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่และการทำมาหากินหรือ การประกอบอาชีพของคนในสังคม เช่น พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฯลฯ

17. สังคมใดมีความแตกต่างกันในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพอย่างมาก จนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา

(1) ทิเบต (2) อินเดีย (3) สหรัฐอเมริกา (4) ปากีสถาน

ตอบ 2 หน้า 87 อนุวัฒนธรรมทางอาชีพ ได้แก่ ผู้ที่ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพมักจะมีแบบหรือวิถี การดำรงชีวิตแตกต่างกัน เช่น ในสังคมอินเดียความแตกต่างในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละ อาชีพมีอย่างมากจนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา โดยวรรณะใหญ่ ๆ ของอินเดียมีด้วยกัน ทั้งหมด 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

18. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ “ความล้าทางวัฒนธรรม”

(1) อ็อกเบิร์น (Ogburn) (2) ริสแมน (Riesman)

(3) เช็คสเปียร์ (Shakespeare) (4) โครเบอร์ (Kroeber)

ตอบ 1 หน้า 92 ผู้บัญญัติศัพท์ “ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม” คือ อ็อกเบิร์น (Ogburn) นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยเขาให้คำนิยามไว้ว่า ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม ได้แก่ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพี่ยังคงอยู่จนเกินเลยเวลาพี่เป็นประโยชน์ได้โดยล้าหลังหรือตามไม่ทัน วัฒนธรรมส่วนอื่น ๆ ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

19. ข้อใดคือกลุ่มสังคม

(1) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบ (2) กลุ่มคนที่ถูกจำแนกประเภท

(3) กลุ่มคนที่กำลังรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (4) กลุ่มคนที่มีการกระทำโต้ตอบกันทางสังคม

ตอบ 4 หน้า 98 กลุ่มสังคม หมายถึง กลุ่มคนที่มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กันตามสถานภาพและบทบาท มีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน และมีความเชื่อใน ด้านคุณค่าร่วมกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ กลุ่มเชื้อชาติ ฯลฯ

20. การจัดกลุ่มนักศึกษา เช่น ธรรมศาสตร์ รามคำแหง เกษตรศาสตร์ จุฬาฯ เป็นการจัดกลุ่มลักษณะใด

(1) จำนวนรวม (2) จำแนกพวก (3) กลุ่มสังคม (4) กลุ่มอ้างอิง

ตอบ 2 หน้า 97 กลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกับจำแนกพวก (Category) หมายถึง คนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะ บางอย่างเหมือนกัน เช่น เพศเดียวกัน เป็นนักศึกษาเหมือนกัน เป็นเศรษฐีเหมือนกัน เป็นต้น

21. “GeseUschaft” มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มประเภทใด

(1) ปฐมภูมิ

(2) ทุติยภูมิ

(3) อ้างอิง

(4) ชนชั้น

ตอบ 2 หน้า 103 – 104 เฟอร์ดินันด์ ทอนนี (Ferdinand Tonnies) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้ให้ความหมายว่า Gemeinschaft คือ ชุมชน (Community) จะมีลักษณะความสัมพันธ์ คล้ายคลึงกับกลุ่มแบบปฐมภูมิมาก เช่น หมู่บ้านชาวนา สังคมชนบท ชุมชนในสมัยศักดินา ฯลฯ ส่วน GeseUschaft คือ สังคม (Society) จะมีลักษณะความสัมพันธ์คล้ายคลึงกับกลุ่มแบบ ทุติยภูมิมาก เช่น สังคมสมัยใหม่โดยทั่วไป สังคมอุตสาหกรรม สังคมเมือง ฯลฯ

22. การติดต่อสัมพันธ์ของกลุ่มประเภทใดที่เน้นหน้าที่และผลประโยชน์เป็นหลัก

(1) ครอบครัว

(2) สมาคมและองค์กร

(3) เพื่อนเล่น

(4) กลุ่มเด็กวัยรุ่น

ตอบ 2 หน้า 99, 101 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคมห่างเหิน ระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์แบบเป็นทางการหรือเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนด หรือตามหน้าที่ โดยเน้นหน้าที่และผลประโยชน์เป็นหลัก ไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัว โดยจะสัมพันธ์กัน เฉพาะเรื่องเฉพาะด้าน การตัดสินใจใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เช่น สมาคม องค์กร บริษัท ฯลฯ

23. ข้อใดคือความสัมพันธ์ในกลุ่มทุติยภูมิ

(1) สัมพันธ์กันทุกด้าน

(2) สนิทสนมทุกเรื่อง

(3) สัมพันธ์แบบเป็นทางการ

(4) ใช้ความรู้สึกอารมณ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24. สถาบันทางสังคมแรกสุดของมนุษย์คือสถาบันใด

(1) เศรษฐกิจ (2) ศาสนา (3) ครอบครัว (4) การเมือง

ตอบ 3 หน้า 107 ในทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบัน 3 ประการ คือ

1. เป็นสถาบันทางสังคม ซึ่งมีรูปแบบหรือแบบแผนที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรมตามหน้าที่ ตามที่สังคมกำหนดขึ้น และมีโครงสร้างทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดค่านิยมที่แท้จริง

2. เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม เป็นสถาบันทางสังคมแรกสุดที่มีมาพร้อมกับมนุษย์

3. เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

25. การศึกษาวิวัฒนาการของครอบครัว เช่น การมีบุตรสืบสกุล จัดเป็นแนวการศึกษาอะไร

(1) เพศศึกษา (2) กายวิภาค (3) สังคมวิทยา (4) มาบุษยวิทยา

ตอบ 4 หน้า 108 การศึกษาครอบครัวตามแนวมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาครอบครัวโดยเริ่มจาก การที่หญิงหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกับชายหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นและมีบุตรด้วยกัน มีความสัมพันธ์ทางเพศอันเป็นที่ยอมรับกันทางสังคม โดยมีวัตถุประสงค์ในการอยู่ร่วมกัน เพื่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล อันเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง

26. ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีครอบครัวคืออะไร

(1) การเป็นทารกนาน (2) การดำรงเผ่าพันธุ์

(3) การตอบสนองความต้องการทางเพศ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 113 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีครอบครัว เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ ดังนี้คือ

1. ในแง่ชีววิทยา เช่น การเป็นทารกนาน ฯลฯ 2. ด้านวิวัฒนาการ

3. การดำรงเผ่าพันธุ์ 4. การตอบสนองความต้องการทางเพศ

5. มนุษย์รู้จักปรับตัวให้สามารถเข้ากับธรรมชาติได้ 6. มนุษย์มีมันสมองสลับซับซ้อนมาก

27. ข้อใดไม่ใช่การจัดครอบครัวตามขนาดและรูปแบบ

(1) ครอบครัวปฐมนิเทศ (2) ครอบครัวขยาย

(3) ครอบครัวหน่วยกลาง (4) ครอบครัวประกอบร่วม

ตอบ 1 หน้า 114 – 115 การจัดประเภทครอบครัว สามารถจัดเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. จัดตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ คือ ครอบครัวปฐมนิเทศ และครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่

2. จัดตามขนาดและรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ครอบครัวหน่วยกลาง ครอบครัวขยาย และครอบครัวประกอบร่วม (ครอบครัวซ้อน)

28. ข้อห้ามการสมรส (Incest Taboo) เป็นการห้ามการสมรสระหว่างบุคคลใด

(1) ลูกพี่ลูกน้อง

(2) พี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน (3) บุคคลที่ร่วมนามสกุลเดียวกัน (4) บุคคลที่ร่วมบ้านเดียวกัน

ตอบ 2 หน้า 119 – 120 ข้อห้ามการสมรส (Incest Taboo) คือ ห้ามสมรสกับบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันทางสายโลหิต หรือห้ามสมรสกับญาติสนิทในครอบครัวหน่วยกลาง ซึ่งมี 2 ลักษณะ ดังนี้

1. ญาติแนวดิ่ง/แนวตั้ง ซึ่งสืบสายโลหิตกันโดยตรง ได้แก่ บิดา/มารดากับบุตร

2. ญาติแนวราบ/แนวนอน ซึ่งร่วมสายโลหิตเดียวกัน ได้แก่ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมเฉพาะบิดา และพี่น้องร่วมเฉพาะมารดา

29. ข้อใดเป็นการแบ่งศาสนาตามการยอมรับ

(1) ศาสนาสถาบัน (2) ศาสนาจุลภาค (3) ศาสนาธรรมชาติ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 129 – 130 ศาสนา เป็นระบบความเชื่อที่มีความเป็นมา ดังนี้

1. โดยวิวัฒนาการ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ศาสนาธรรมชาติ และศาสนาสถาบัน/ศาสนาหลัก

2. โดยการยอมรับ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ศาสนามหัพภาค และศาสนาจุลภาค

30. ข้อใดเป็นการจัดประเภทของศาสนาโดยวิวัฒนาการ

(1) ศาสนาธรรมชาติ (2) ศาสนาสถาบัน (3) ศาสนามหัพภาค (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31. นักวิชาการท่านใดมีทัศนะว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

(1) ฟรอยด์ (Freud)

(2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

(4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 133,350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจใน เรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. ข้อใดคือวิธีการปฏิบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่แสดงถึงการยอมรับเอาศาสนามาใช้ในสังคม

(1) การให้สินบน

(2) การเคารพบูชา

(3) การเซ่นสังเวย

(4) การทำทุกรกิริยา

ตอบ 2 หน้า 135 – 136 วิธีการต่าง ๆ ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติเพื่อแสดงว่ายอมอยู่ใต้อำนาจของศาสนา มี 3 วิธี ดังนี้ 1. การเคารพบูชา ซึ่งถือเป็นวิธีการปฏิบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่แสดงถึงการยอมรับ เอาศาสนามาใช้ในสังคม 2. การเซ่นสังเวย 3. การทำทุกรกิริยา

33. การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนาแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ตามข้อใด

(1) เอกเทวนิยมและพหุเทวนิยม

2) พหุเทวนิยมและสัพพัตถเทวนิยม

(3) เทวนิยมและอเทวนิยม

(4) เอกเทวนิยมและอเทวนิยม

ตอบ 3 หน้า 139 – 140 การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนา มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. เทวนิยม (Theism) เป็นระบบความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งออกเป็น

1.1 เอกเทวนิยม (เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว) เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฯลฯ

1.2 พหุเทวนิยม (นับถือพระเจ้าหลายพระองค์) เช่น ศาสนาฮินดู ฯลฯ

1.3 สัพพัตถเทวนิยม (เชื่อว่าพระเจ้าและจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เช่น เชื่อว่า แม่นํ้ามีแม่คงคาและแผ่นดินมีแม่พระธรณีเป็นผู้ดูแลปกปักรักษา ฯลฯ

2. อเทวนิยม (Atheism) เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ เชน เต๋า ฯลฯ

34. หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนามีจุดประสงค์เพื่ออะไร

(1) เพื่อให้มนุษย์ประพฤติตามแบบแผนที่ตั้งไว้ (2) เพื่อให้มนุษย์เคารพบูชาต่อพระพุทธรูปต่าง ๆ

(3) เพื่อให้มนุษย์มีวิจารณญาณไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ (4) เพื่อให้มนุษย์เชื่อในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 140 หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนานั้น เน้นสอนให้รู้จักการใช้วิจารณาญาณ คือ การไม่เชื่อใครง่าย ๆ แต่ให้เชื่อโดยใช้หลักเหตุผล และให้ศึกษาพิจารณาไตร่ตรองโดยถ่องแท้ ด้วยสติปัญญาของตนเอง ซึ่งหลักในกาลามสูตรมีด้วยกัน 10 ข้อ

35. นักปราชญ์ท่านใดมีความเห็นว่าการศึกษาควรมีจุดหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ

(1) เพลโต (Plato) (2) เบคอน (Bacon) (3) โซเครติส (Socrates) (4) รัสเซลล์ (Russell)

ตอบ 4 หน้า 152 – 153 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กับ เช่น

1. พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2. อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม (ความเจริญและความเสื่อม) แห่งอาณาจักร และเป้าหมายสูงสุดหรืออุดมคติของการศึกษา คือ การเตรียมบุคคลให้รู้จักหาความสุขอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การเข้าถึงปัญญาอันเป็นทิพย์

3. เบคอน (Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4. รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ (Vitality) ธิติ (Courage) สุขุมสัญญา (Sensitiveness) และปัญญา (Intelligence)

36. ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับเพเดีย (Paedeia) หมายความว่าอย่างไร

(1) การศึกษาผูกพันกับผู้สอน (2) การศึกษาผูกพันกับปัญญา

(3) การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (4) การศึกษาผูกพันกับเทพเจ้า

ตอบ 3 หน้า 152 – 153 ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (ภาษากรีก เรียกว่า Paedeia) ซึ่งคำว่าการศึกษาในภาษากรีก หมายถึง การเรียนคุณธรรม โดยสรุป การศึกษาในทัศนะกรีกโบราณ หมายถึง การเป็นคนดีและเป็นพลเมืองดี

37. ข้อใดคือจุดเน้นของการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์

(1) เหตุแห่งทุกข์ (2) พิธีกรรม (3) วัฏสงสาร (4) การหลุดพ้นจากอวิชชา

ตอบ 4 หน้า 152 พระพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจาก ความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฎิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งทลายอาศัย ซึ่งกันและกัน) ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้น จากอวิชชาหรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

38. กระบวนการอันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” หมายถึงข้อใด

(1) สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอัตตา (2) สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

(3) สิ่งทั้งหลายย่อมอาศัยซึ่งกันและกัน (4) สิ่งทั้งหลายศึกษาได้ด้วยศีล ลมาธิ ปัญญา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39. มุกติศึกษาหมายถึงข้อใด

(1) ผู้ที่มีคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม (2) ผู้ที่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร

(3) ผู้ที่มีคุณธรรมและเข้าถึงซึ่งปัญญา (4) ผู้ที่เป็นอิสระจากอคติหรือความเชื่อที่ปราศจากเหตุผล

ตอบ 4 หน้า 165 ปรัชญาการศึกษาแนวแรกที่เน้นหนักไปทาง “ศิลปศาสตร์ศึกษา” (Liberal Education) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า Liberal Arts หมายถึง ศิลปะวิทยาการที่ทำให้คนมีเสรี ได้มีบางท่านใช้ศัพท์ “มุกติศึกษา” หมายถึง การหลุดออกหรือการเป็นอิสระจากอคติหรือ ความเชื่อต่าง ๆ ที่ปราศจากเหตุผล

40. ผู้สำเร็จการศึกษาตามแนวปรัชญาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญาหรือคุณภาพชีวิตโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ ใช้สอย มักถูกเปรียบเทียบกับคุณลักษณะข้อใด

(1) เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ (2) กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา

(3) เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง (4) ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

ตอบ 4 หน้า 164 – 167 ผลิตผลของปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญา โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยและประโยชน์ที่มีต่อสังคม คือ การสร้างนักคิดและนักวิชาการ ประเภทเคร่งทฤษฎีจนกระทั่งมีฉายาว่าเป็นนักวิชาเกิน หากมหาวิทยาลัยใดนิยมปรัชญาแนวนี้ ย่อมทำให้สถาบันมีลักษณะเป็นแบบหอวิมานงาช้างหรือ “ปัญญาปราสาท” ที่ให้ความสำคัญ กับวิชาการและวิชาชื่นชอบโดยไม่ได้อยู่ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษามักถูก เปรียบเทียบได้กับคุณลักษณะดังคำพังเพยของไทยที่ว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” คือ มีความรู้มาก แต่ไม่สามารถนำความรู้นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

41. วิชาประชากรศาสตร์เกิดขึ้นเนื่องจากอะไร

(1) อัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้น

(2) อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้น

(3) อัตราการอพยพย้ายถิ่นเพิ่มสูงขึ้น

(4) อัตราการเพิ่มของประชากรโลกสูงขึ้น

ตอบ 4 หน้า 185 ประชากรศาสตร์ เป็นศาสตร์สาขาใหม่ของสังคมคาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง สืบเนื่องจากในปี ค.ค. 1949 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุม สัมมนาเกี่ยวกับทรัพยากรของโลก และมีการสำรวจประชากรในฐานะผู้บริโภคด้วย ซึ่งผลจากการประชุมพบว่าทรัพยากรต่าง ๆ ของโลกได้ถูกทำลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่ประชากรมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเพิ่มขึ้นอย่างมากมายของจำนวนประชากรนี้ ทำให้เกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา จึงทำให้เกิดการตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับประชากรมากขึ้น

42. ประชากรศาสตร์เน้นศึกษาอะไร

(1) ประเพณี วัฒนธรรม

(2) โครงสร้างของสังคม

(3) จำนวนคน

(4) พฤติกรรมของคนในสังคม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. ในปี ค.ศ. 2013 อัตราการตายอย่างหยาบของประเทศหนึ่งมีค่าเท่ากับ 15 หมายความว่าอย่างไร

(1) ภาวะเจริญพันธุ์อยู่ในระดับทดแทน

(2) ในปีนั้นจากประชากร 100 คน มีคนตาย 15 คน

(3) ในปีนั้นจากประชากร 1,000 คน มีคนตาย 15 คน

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 186 อัตราการตายอย่างหยาบ (Crude Death Rate : CDR) เป็นการคำนวณหาจำนวนคนตาย/ประชากร 1,000 คน/ปี ดังนั้นอัตราการตายอย่างหยาบของประชากรมีค่าเท่ากับ 15 ก็หมายความว่า ในปีนั้น ประชากร 1,000 คน มีคนตาย 15 คน

44. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

(1) การลดลงของอัตราการตายอย่างรวดเร็ว (2) การเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิด

(3) การลดลงของอัตราการเกิด (4) การเพิ่มขึ้นของอัตราการตาย

ตอบ 1 หน้า 191 – 192 การเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศไทยนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับการเพิ่มขึ้น ของประชากรในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา โดยจะเพิ่มช้าในตอนแรกแล้วค่อย ๆ เร็วขึ้น ในตอนหลัง โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสาเหตุที่ไทยมีอัตราเพิ่มของประชากรเร็ว ก็เนื่องมาจากอัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัตราการเกิดยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้ง การขยายงานด้านสาธารณสุขทำให้คนมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

45. ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การปฏิวัติทางครอบครัว” (Family Revolution) ได้แก่ข้อใด

(1) เพศหญิงเป็นผูนำครอบครัว (2) มีแนวโน้มเป็นครอบครัวขยายมากขึ้น

(3) หนุ่มสาวแต่งงานช้าลงหรือไม่แต่งงานเลย (4) จำนวนบุตรต่อครอบครัวสูงกว่าระดับ

ตอบ 3 หน้า 188 – 189 นักประชากรชาวยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่า สภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านคุณค่าและแบบแผนการดำเนินชีวิต นอกจากนี้วิธีการควบคุม การเกิดหรือการคุมกำเนิดยังได้รับความนิยมอยางแพร่หลาย สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น ค่าเช่าบ้านแพงขึ้นและมีขนาดเล็กลง และยังมีแนวโน้มว่า คนหนุ่มสาวแต่งงานช้าลงหรือไม่แต่งงานเลย ซึ่งนักประชากรเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution)

46. การแบ่งช่วงชั้นในยุโรปสมัยกลางใช้ระบบใด

(1) ชนชั้น (2) วรรณะ (3) ฐานันดร (4) สถานภาพ

ตอบ 3 หน้า 199 ฐานันดร (Estate) เป็นระบบการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลาง ของยุโรป เดิมมีเพียง 2 ฐานันดร ได้แก่ นักบวช (พระ) และขุนนาง ต่อมามีเพิ่มขึ้นอีก เช่น พ่อค้า สามัญชน เป็นระบบที่มีกฎหมายกำหนดสิทธิหน้าที่ของคนแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ของบุคคลต่อที่ดิน โดยการเขยิบฐานะเป็นไปได้ และไม่มีศาสนาคํ้าจุนเหมือนระบบวรรณะ

47. ตัวเลือกใดเป็นสถานภาพติดตัวของบุคคล

(1) ชาติตระกูล

(2) การเป็นสมาชิกของสังคม (3) สิทธิของคนในสังคม (4) ศักดิ์ศรีที่แต่ละคนมีอยู่

ตอบ 1 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. สถานภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Ascribed Status) เป็นสถานภาพที่ได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมีรากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น เพศ อายุ ผิวพรรณ ชาติตระกูล วรรณะ ศาสนา ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) เป็นผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของ แต่ละบุคคลที่ขึ้นอยู่กับความสามารถ เช่น การศึกษา อาชีพ อำนาจ รายได้ ฯลฯ

48. ตัวเลือกใดเป็นการจัดช่วงชั้นโดยอิทธิพลของศาสนา

(1) ชนชั้น (2) ศักดินา (3) วรรณะ (4) ฐานันดร

ตอบ 3 หน้า 198 – 199 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยมีอิทธิพล ของศาสนาคํ้าจุนหรือเกื้อหนุน และเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพของบุคคลในสังคม ซึ่งจำกัดบุคคลใม่ให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด ดังนั้นระบบวรรณะจึงเป็นระบบ ช่วงชั้นซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว (ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

49. เกณฑ์ใดใช้วัดการจัดลำดับชนชั้น (Class) ของสังคม

(1) ศาสนา (2) อำนาจ (3) เกียรติยศศักดิ์ศรี (4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 200 – 201 เกณฑ์ที่ใช้วัดการจัดลำดับชนชั้น (Class) ของสังคม ได้แก่ เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของครอบครัวซึ่งตกทอดมาถึงลูกหลาน อาชีพ ความมั่งคั่ง อำนาจ การมีเวลาว่าง ระดับการศึกษา การประสบความสำเร็จ ถิ่นที่อยู่อาศัย รสนิยม และการยอมรับ เป็นต้น

50. ตัวอย่างใดเป็นการจราจรภาพทางสังคมในแนวดิ่ง (Vertical Mobility)

(1) สามัญชนแต่งงานกับเจ้านาย (2) ช่างปูนเปลี่ยนอาชีพเป็นช่างทาสี

(3) กระเป๋ารถได้เลื่อนเป็นคนขับโดยสาร (4) แม่ค้าหาบเร่ย้ายไปขายในห้างสรรพสินค้า

ตอบ 1 หน้า 205 – 206 การจราจรภาพทางสังคมในแนวดิ่งหรือแนวตั้ง (Vertical Mobility) ซึ่งเป็นไปได้ใน 2 ทาง คือ

1. การจราจรภาพในทางตํ่าลง ตัวอย่างเช่น บุคคลซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนไปเป็นบุคคลธรรมดา ฯลฯ

2. การจราจรภาพในทางสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น สามัญชนไปแต่งงานกับเจ้านาย ฯลฯ

51. ข้อใดคือผลของการจราจรภาพทางสังคม

(1) เกิดความขัดแย้งในบทบาท

(2) เกิดการขาดความสัมพันธ์ที่เคยมีมาก่อน

(3) โอกาสเข้าสู่สถานภาพสัมฤทธิ์ลดลง

(4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 208 ผลของการจราจรภาพทางสังคม ได้แก่

1. มีความสุขและสำนึกถึงความรับผิดชอบในตำแหน่งใหม่ที่ได้รับ

2. ก่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการเลือกสรรบุคคลให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่สุด

3. ผลด้านอื่น ๆ เช่น เกิดการขัดแย้งในบทบาท เกิดการขาดความสัมพันธ์ที่เคยมีมาก่อน เกิดความสำนึกต่าง ๆ ฯลฯ

52. ระบบของสังคมตามแนวคิดของเลนสกี้และเลนสกี้ (Lenski and Lenski) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ระบบการสื่อสาร และระบบการผลิต

(2) ระบบการสืบแทน และระบบการควบคุมทางสังคม

(3) ระบบการสื่อสาร ระบบการผลิต และระบบการป้องกัน

(4) ระบบการสื่อสาร ระบบการผลิต ระบบการป้องกัน ระบบการสืบแทน ระบบการควบคุมทางสังคม และระบบการจำหน่ายจ่ายแจก

ตอบ 4 หน้า 214 เลนสกี้และเลนสกี้ (Lenski and Lenski) ได้จำแนกระบบต่างๆที่จำเป็นของสังคมไว้ 6 ประการ คือ 1. ระบบการสื่อสาร 2. ระบบการผลิต 3. ระบบการจำหน่ายจ่ายแจก

4. ระบบการป้องกัน 5. ระบบการสืบแทน 6. ระบบการควบคุมทางสังคม

53. ข้อใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกกฎระเบียบ

(1) การจัดระเบียบบริหารงาน

(2) การถอนตัว

(3) การบังคับใช้

(4) สถานภาพและบทบาท

ตอบ 1 หน้า 221, 234 กลไกกฎระเบียบ ประกอบด้วย 1. การจัดระเบียบบริหารงาน 2. การทำให้เป็นผู้ชำนาญการ 3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

54. ข้อใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกกลอุบาย

(1) เทคโนโลยี

(2) การรวมกำลัง (3) การใช้ถ้อยคำภาษา (4) การทำให้เป็นผู้ชำนาญการ

ตอบ 3 หน้า 221, 234 กลไกกลอุบาย ประกอบด้วย 1. กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา

2. กลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

55. ข้อใดคือตัวอย่างของวิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน

(1) การให้อำนาจ (2) การให้เงินรางวัล

(3) การให้เหรียญตรา (4) การเลื่อนตำแหน่งผู้ใต้บังคับบัญชา

ตอบ 3 หน้า 217 วิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปภิฐาน (เชิงบวก) ได้แก่ การซุบซิบในทางดี การจูงใจและการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การยกย่องสรรเสริญเยินยอ และการให้ เหรียญตราเกียรติยศที่เป็นสิ่งแสดงสถานภาพที่สูงขึ้น เขช่น การมอบครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯลฯ

56. สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องอะไร

(1) อิทธิพลของสังคมต่อกระบวบการทางการเมือง

(2) สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมือง

(3) ปัจจัยทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรมทางการเมือง

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 247 – 248 สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1. อิทธิพลของสังคมที่มีต่อกระบวนการทางการเมือง

2. โครงสร้างของสังคมกับสถาบันทางการเมือง

3. ปัจจัยทางสังคมที่มืผลต่อการจัดระบบ รูปแบบ และนโยบายทางการเมือง

4. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.

5. สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมืองการปกครอง

6. ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับการเมืองที่ก่อให้เกิดการพัฒนา ฯลฯ

57. ข้อใดจัดเป็นพฤติกรรมทางการเมือง

(1) การวางผังเมือง (2) การเลื่อนตำแหน่งทางการเมือง

(3) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(4) การขยายตัวของเมือง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

58. สังคมใดกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย

(1) เยอรมนี (2) ฝรั่งเศส (3) อังกฤษ (4) สหรัฐอเมริกา

ตอบ 4 หน้า 250, 459 สังคมอเมริกันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville)สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา โดยเขาต้องการสนับสนุนให้ มีระบบการเมืองแบบกลุ่มหลากหลายขึ้นในสังคม คือ ให้มีความแตกต่างและอิสระในการ ปกครองท้องถิ่น ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจไปรวมอยู่ที่รัฐ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแต่เพียงแห่งเดียว

59. นักสังคมวิทยาท่านใดมีทัศนะว่า “รัฐสำคัญกว่าสังคม”

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) เฮเกล (Hegel) (3) โบแดง (Bodin) (4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 250, (คำบรรยาย) โบแดง (Bodin) และเฮเกล (Hegel) เป็นนักสังคมวิทยาที่มีทัศนะ และแนวคิดเหมือนกันว่า “รัฐ (State) มีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่าสังคม (Society)” ส่วนมาร์กซ์ (Marx) เป็นผู้ที่มีแนวคิดขัดแย้งว่า “สังคมมีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่ารัฐ”

60. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ความขัดแย้งที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือข้อใด

(1) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (2) ความขัดแย้งทางเพศ

(3) ความขัดแย้งระหว่างอาชีพ (4) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

ตอบ 4 หน้า 250, 320 – 322 ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยทส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (นายทาสกับทาส เจ้าขุนมูลนายกับไพร่ นายทุนกับ กรรมกร) โดยสังคมจะปราศจากการขัดแย้งก็ต่อเมื่อเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง นั่นคือ ไม่มีรัฐ ไม่มีรัฐบาล เพราะตราบใดที่มีรัฐนั่นก็จะหมายถึงมีการใช้อำนาจรัฐบังคับกดขี่

61. การรุมประชาทัณฑ์เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมฝูงชนรูปแบบใด

(1) Orgy

(2) Audience

(3) Panic

(4) Lynching Mob

ตอบ 4 หน้า 256 – 257 ประเภทของฝูงชนที่บัาคลั่งหรือฝูงชนวุ่นวาย (Mob) สามารถแบ่งออก ตามจุดประสงค์และความรุนแรง ได้ดังนี้

1. Lynching Mob เช่น การรุมประชาทัณฑ์ การจับผู้ที่คิดว่ากระทำผิดแขวนคอ ฯลฯ

2. การจลาจล (Riot) เช่น การจลาจลด้านเชื้อซาติ ศาสนา และความยุติธรรม ฯลฯ

3. Orgy เช่น การมัวสุมทางเพศ การคลั่งเต้นรำ กินเหล้า ฯลฯ

4. ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม นํ้าท่วม ฯลฯ

62. ลักษณะของฝูงชนได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ไม่ทราบจำนวนสมาชิกที่แน่นอน

(2) ไม่มีตัวตน

(3) เกิดกะทันหันแบบทันทีทันใด

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 253 – 254 ลักษณะของพฤติกรรมฝูงชน มีดังนี้

1. เกิดขึ้นแบบทันทีทันใดและดำรงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น

2. ไม่มีโครงสร้าง (ไม่มีการกำหนดสถานภาพและบทบาท) เกิดขึ้นแบบไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า

3. สมาชิกที่เข้าร่วมมีจำนวนไม่แน่นอน 4. ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมควบคุม

5. ไม่มีตัวตน 6. ไม่มีการเจาะจงตัวบุคคล

7. อยู่ในสภาวะที่ชักจูงได้ง่าย 8. มีการระบาดทางอารมณ์

63. “เมื่อเกิดเหตุจลาจล ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่า แต่ไร้ร่องรอยฆาตกร” ข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะข้อใดของพฤติกรรมฝูงชน

(1) เกิดขึ้นทันทีทันใด

(2) การระบาดทางอารมณ์

(3) ไม่มีตัวตน

(4) ไร้บรรทัดฐาน

ตอบ 3 หน้า 254 เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมฝูงชนในลักษณะที่ไม่มีตัวตน เพราะ ฝูงชนประกอบด้วยคนหลายคนไปอยู่ร่วมกัน แต่ละคนจะไม่สนใจกันเป็นส่วนตัว แต่จะถึอว่า ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และพฤติกรรมของกลุ่มที่แสดงออกมากไม่มีคนต้องรับผิดชอบ เช่น การทำร้ายร่างกายและฆ่าฟันกัน การเผาตึก การทำลายสิ่งของหรือสาธารณสมบัติ ฯลฯ

64. กลไกสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมฝูงชนได้แก่อะไร

(1) การระบาดทางอารมณ์ (2) การกำหนดสถานภาพและบทบาท

(3) การกำหนดจำนวนสมาชิก (4) การควบคุมด้วยปทัสถานทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 254 – 255 การระบาดทางอารมณ์ (Emotional Contagion) เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ เกิดพฤติกรรมฝูงชน เพราะฝูงชนเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกันในด้านร่างกาย ดังนั้นการติดต่อกัน ทางอารมณ์จึงเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ฝูงชนยังมี อิทธิพลมาก สามารถครอบงำความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มคนที่เข้าร่วมในฝูงชนให้มีอารมณ์และมี พฤติกรรมคล้อยตามกัน โดยปราศจากเหตุผลและความมีสติ

65. ขบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยบบเกาะฮ่องกง อาจจัดได้ว่าคือฝูงชนประเภทใด

(1) Casual Crowd (2) Acting Crowd

(3) Conventional Crowd (4) Expressive Crowd

ตอบ 2 หน้า 255 ฝูงชนลงมือกระทำ (Acting Crowd) เป็นฝูงชนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และพร้อมที่จะแสดงออกถึงความก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย ซึ่งฝูงชนประเภทนี้จะได้รับความสนใจ จากนักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์มาก เพราะการระบาดทางอารมณ์จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยฝูงชนประเภทนี้ได้แก่ Mob ประเภทต่าง ๆ

66. คำกล่าวที่ว่า “มนุษย์เกิดความคับแค้นเพราะมีความต้องการมากแต่สมปรารถนาน้อย” เป็นคำกล่าวที่บ่งถึงสิ่งใด

(1) สาเหตุของปัญหาสังคม (2) ประเภทปัญหาสังคม

(3) แนวทางแก้ไขปัญหาสังคม (4) แนวทางป้องกันปัญหาสังคม

ตอบ 1 หน้า 261, (คำบรรยาย) อุดม โปษะกฤษณะ กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาสังคมว่า ความรุนแรง และความคุกรุ่นของคนต่อปัญหาต่าง ๆ จะแอบแฝงอยู่กับผู้ที่มีความคับแค้น เพราะมีความ ต้องการมากแต่ได้รับความสมปรารถนาน้อย การจะบรรเทาเบาบางหรือลดปัญหาต่าง ๆ ลง คนเราจะต้องตัดไฟความปรารถนา ตัณหา ความโลภ และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

67. ปัญหาสังคมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การว่างงาน และการแบ่งวรรณะ

(2) ความยากจน และการแบ่งชนชั้น (3) การแบ่งชนชั้น และการฉ้อราษฎร์บังหลวง

(4) ความยากจน การว่างงาน และการฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 4 หน้า 261 – 282 ปัญหาสังคม (Social Problems) หมายถึง สภาวะหรือสถานการณ์ที่กำหนด ได้ว่าเป็นข้อขัดข้องหรือมีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนมากพอที่จะคิดว่าไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ตลอดไป ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เอาชนะหรือปรับตัวตาม เช่น ปัญหาภาวะการครองชีพ ปัญหาการว่างงาน ปัญหาความยากจน ปัญหาโรคจิตโรคประสาท ปัญหายาเสพติด ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ

68. การนำเสื้อผ้า/อาหารไปแจกผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นการแก้ไขปัญหาสังคมแบบใด

(1) แบบย่อย (2) แบบป้องกัน

(3) แบบวางแผน (4) แบบรวมถ้วนทั่ว

ตอบ 1 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร นํ้าดื่ม และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมี การวางแผนมาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผลมีการตรวจสอบ และปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

69. ปัญหาใดสัมพันธ์กับความไม่เสมอภาคและโอกาสในการทำมาหากิน ทำให้เกิดการขาดแคลนปัจจัย ในการดำรงชีพ

(1) การทำแท้ง (2) ยาเสพติด

(3) โรคจิตโรคประสาท (4) ความยากจน

ตอบ 4 หน้า 268 ความยากจน หมายถึง การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต ความรู้สึกไม่พอใจใน สภาพความเป็นอยู่ของตนในปัจจุบันที่มีสภาพแร้นแค้น การกินอยู่อดอยาก ไม่มีความสุขสบาย เท่าที่ควร ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของปัญหาความยากจนเกิดจากความไม่เสมอภาคและ โอกาสในการทำมาหากิน จึงทำให้เกิดการขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีพ

70. ปัญหาความยากจนในอดีตไม่จัดเป็นปัญหาสังคมเพราะมีความเชื่ออย่างไร

(1) เพราะเชื่อว่าคนยากจนประพฤติผิดกฎเกณฑ์ของระเบียบประเพณีศีลธรรม

(2) เพราะความไม่เสมอภาคทางด้านการทำมาหาเลี้ยงชีพ

(3) เพราะความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคม

(4) ประเทศที่ยากจนไม่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ตอบ 1 หน้า 268 ปัญหาความยากจนในอดีตไม่จัดเป็นปัญหาสังคม เพราะเชื่อกันว่า ผู้ยากจนนั้น ได้เคยประพฤติในสิ่งที่ไม่ดี ประพฤติผิดกฎเกณฑ์ของระเบียบประเพณีศีลธรรม เช่น อกตัญญู ต่อผู้มีคุณ ฆ่าคนตาย พระเจ้าจึงลงโทษให้เกิดมาไม่เหมือนผู้อื่น ดังนั้นคนยากจนจึงต้องไปเกิดกลางป่ากลางเขา หนาวเย็นและไม่มีเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นเพียงพอ

71. เกณฑ์ข้อใดไม่นิยมใช้จำแนกชนกลุ่มน้อย

(1) เชื้อชาติ

(2) สีผิว

(3) ภาษา

(4) กลุ่มโลหิต

ตอบ 4 หน้า 286 – 287 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1. องค์ประกอบด้านเชื้อชาติ/เผ่าพันธุ์/ชาติพันธุ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุกรรมที่ แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผม สีผิว (ได้แก่ ผิวขาวหรือคอเคซอยด์/ Caucasoid, ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์/Mongoloid, ผิวดำหรือนิกรอยด์/Negroid)

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลฯ

3. ความแตกต่างของกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจาก เป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณา จากเกณฑ์ที่ 1. และ 2. เป็นสำคัญ)

72. “‘ชนกลุ่มน้อย” มีความหมายเป็นเช่นเดียวกับกับตัวเลือกใด

(1) กลุ่มใต้ครอบครอง

(2) ชนต่างวัฒนธรรม

(3) กลุ่มอิทธิพล

(4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการ ยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิขาการบางท่านจึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” ทั้งนี้เพราะ ชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้น ชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาอาศัย รวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ จัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

73. ข้อใดคือปฏิกิริยาของชนกลุ่มน้อยต่อชนกลุ่มใหญ่

(1) วางเฉย (2) ปรับตัวเข้าหาและยอมอ่อนน้อม

(3) ยอมรับการถูกผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 288 – 289 ปฏิกิริยาของชนกลุ่มน้อยต่อชนกลุ่มใหญ่ มีดังนี้ 1. ปรับตัวเข้าหา และยอมอ่อนน้อม 2. ยอมรับการถูกผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมหรือเชื้อชาติ

3. หลบและแยกตัวออก 4. ถอนตัว 5. รู้สึกโกรธและเจ็บแค้น

6. รู้สึกหวาดกลัวและระแวง 7. คัดค้าน/ต่อต้านและต่อสู้ 8. รู้สึกเป็นปมด้อย

9. ยึดมั่นในคุณค่าแห่งวัฒนธรรมและกลุ่มพวกของตนอย่างเคร่งครัด 10. วางเฉย

74. การศึกษา “ชนต่างวัฒนธรรม” ควรเน้นการพิจารณาในประเด็นใด

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่

(2) อคติ ความไม่เท่าเทียม ความขัดแย้ง ปฏิกิริยาระหว่างกลุ่มใต้ครอบครองและกลุ่มครอบครอง

(3) กฎหมายของชนกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มครอบครอง (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 287 – 288 ประเด็นที่ควรเน้นพิจารณาศึกษาชนกลุ่มน้อย/ชนต่างวัฒนธรรม ได้แก่

1. ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่

2. ชนกลุ่มน้อยมักด้อยอิทธิพลทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมากกว่าชนกลุ่มใหญ่

3. ชนกลุ่มน้อยมักได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมจากชนกลุ่มใหญ่ ทำให้เกิดความขัดแย้ง และปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างกลุ่มชนทั้ง 2 ฝ่าย

4. การมือคติต่อเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือชาติพันธุ์นิยมระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

75. การหลงวัฒนธรรมหรือการยึดวัฒนธรรมของตนเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentrism) มีผลให้เกิดสิ่งใด

(1) การยอมรับในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ (2) การปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม

(3) การขัดแย้งทางวัฒนธรรม (4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 287, (คำบรรยาย) การหลงหรือยึดวัฒนธรรมของตนเองเป็นศูนย์กลางจะมีผลให้เกิด อคติ/ไม่ยอมรับในต่อเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์หรือชาติพันธุ์นิยม (Ethnocentrism) เกิดการปฏิบัติ ที่ไม่เท่าเทียมกัน เกิดปฏิกิริยาต่อต้านตอบโต้ และเกิดการขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทั้งนี้เพราะ คนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน (อาจเป็นชนกลุ่มน้อยหรือชนกลุ่มใหญ่) จะมีความรู้สึกว่าเชื้อชาติหรือ วัฒนธรรมของกลุ่มตนดีกว่า และมองกลุ่มอื่นว่าด้อยกว่า จึงเกิดอคติและดูถูกกีดกันกลุ่มอื่น

76. ตามแนวคิดของริสแมน (Riesman) รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเป็นอย่างไร

(1) เปลี่ยนแปลงจากสำนึกนำสู่ผู้อื่นนำ (2) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่สำนึกนำ

(3) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่สำนึกนำ (4) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่ผู้อื่นนำ

ตอบ 4 หน้า 331 – 332 รูปแบบสังคมตามทัศนะของริสแมน (Riesman) แบ่งเป็น 3 รูปแบบและ เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สังคมประเพณีนำ 2. สังคมสำนึกนำ 3. สังคมผู้อื่นนำ ซึ่งสังคมอเมริกันจะเป็นไปตามรูปแบบที่ริสแมนได้กล่าวไว้ ส่วนสังคมไทยข้ามขั้นตอนจาก รูปแบบสังคมประเพณีนำไปสู่สังคมผู้อื่นนำ โดยขาดขั้นสังคมสำนึกนำ

77. นโยบายใดที่นำมาใช้กับ “ชนชาวจีนในประเทคไทย”

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

(2) การแยกพวก (3) ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ (4) กีดกันให้อยู่แยก

ตอบ 1 หน้า 303 ชนต่างวัฒนธรรมที่มีการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมไทยได้ดีที่สุด คือ ชาวจีน โดยรัฐบาลไทยสามารถใช้นโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับชาวจีนได้ผลดีมาก ทำให้คนไทยกับคนจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นคนละเชื้อชาติและ คนละรูปแบบวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ของชนทั้ง 2 กลุ่มจึงไม่มีปัญหารุนแรงเกิดขึ้น จนนักวิชาการหลายท่านมองว่าไม่ควรจัดคนจีนเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมไทย

78. “สภาพสังคมที่สลับซับซ้อนถือว่าเป็นความก้าวหน้า” เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีวัฎจักร (2) ทฤษฎีวิวัฒนาการ (3) ทฤษฎีการหน้าที่ (4) ทฤษฎีการขัดแย้ง

ตอบ 2 หน้า 313 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตกโดยเชื่อว่า สังคมก้าวหน้าขึ้นจากสภาพที่อยู่กันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนและขยายตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความซับซ้อนหรือสภาวะเชิงซ้อนสูงขึ้น ซึ่งการมีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นนั้น ถือว่าเป็นความก้าวหน้า

79. สังคมแบบใดที่มีการเปลี่ยนแปลงง่ายที่สุด

(1) ครอบครัว (2) สถาบัน (3) องค์การ (4) ประเทศ

ตอบ 1 หน้า 308, (คำบรรยาย) การเปลี่ยนแปลง หมายถืง การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยนสภาพ จากเดิมไปสู่สภาพใหม่ที่แตกต่างออกไป โดยอาศัยองค์ประกอบของเวลาเป็นเครื่องกำหนด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายหรือยากนั้นก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของสังคมนั้น ๆ ด้วย จากตัวเลือกที่โจทย์ให้มานั้น จะเห็นว่าสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงง่ายที่สุด คือ ครอบครัว รองลงมา ได้แก่ องค์การ สถาบัน ประเทศ และทวีป ตามลำดับ

80. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) สังคมรูปแบบใดยุติการเปลี่ยนแปลง

(1) ระบบศักดิ์นา

(2) ระบบนายทุน (3) ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (4) ระบบทาสบรรพกาล

ดรบ 3 หน้า 321 – 322 รูปแบบการเมืองการปกครองตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) มี 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม 2. ระบบทาสบรรพกาล 3. ระบบศักดินา

4. ระบบนายทุน (ทุนนิยม) 5. ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (หยุดการเปลี่ยนแปลง)

81. กระบวนการใดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม

(1) การประดิษฐ์และการขอยืม

(2) การค้นพบและการกระจาย

(3) การประดิษฐ์และการแพร่กระจาย

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 324 – 326 กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรได้แก่

1. การขอยืม 2. นวัตกรรม 3. การค้นพบ 4. การประดิษฐ์ 5. การกระจาย

82. ข้อใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) เศรษฐกิจแบบตลาด

(2) เศรษฐกิจเพื่อการบริโภค

(3) การเกษตรเพื่อการค้า

(4) หน่วยทางสังคมที่ทำหน้าที่เฉพาะด้านมีน้อย

ตอบ 2 หน้า 340 – 341 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีดังนี้ 1. ความโดดเดี่ยว

2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร 4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค

83. ข้อใดเป็นสาเหตุจากภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การเกิด

(2) การตาย

(3) การพัฒนา

(4) การย้ายถิ่น

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงใบสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัยสัาคัญ คือ

1. สาเหตุจากภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวน ของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ฯลฯ

2. สาเหตุจากภายบอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจาย ทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ การพัฒนา ฯลฯ

84. “ชนบทคือชีวิต ส่วนเมืองนั้นคือกาฝาก” หมายถึงอะไร

(1) เมืองต้องพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรกรรมจากชนบท

(2) ชีวิตในชนบทสนุกสนานมีชีวิตชีวามากกว่าชีวิตในเมือง

(3) ชนบทต้องพึ่งพิงเมืองเพื่อความอยู่รอด

(4) ชนบทและเมืองต่างก็พึ่งตนเอง

ตอบ 1 หน้า 366 มีคำโบราณกล่าวว่า ชนบทคือชีวิต ส่วนเมืองนั้นคือกาฝาก หมายความว่าเมืองคือที่รวมของมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรกรรมและแรงงานจากชนบท เพื่อการอยู่รอดของตนเอง ความต้องการอาหารทุกวันทำให้เมืองต้องขึ้นอยู่กับเขตชนบท

85. ครอบครัวชนบทไทยมีแนวโน้มเป็นแบบใดมากขึ้น

(1) ครอบครัวขยาย (2) ครอบครัวเดี่ยว (3) ครอบครัวร่วม (4) ครอบครัวขยายชั่วคราว

ตอบ 2 หน้า 348 – 349 ครอบครัวชนบทไทยมีลักษณะเด่นดังนี้

1. เป็นครอบครัวขยายชั่วคราว แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น

2. เป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว การสืบสกุลถือข้างฝ่ายบิดาเป็นหลัก

3. มีความเข้มข้นของความสัมพันธ์ทางสายโลหิต

4. ยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และไม่ค่อยสนใจกิจการบ้านเมือง ฯลฯ

86. เราศึกษาชุมชนชนบทเพื่ออะไร

(1) เข้าใจวิถีชีวิตของชาวชนบท (2) เปลี่ยนแปลงให้เป็นสังคมเมือง

(3) ดัดแปลงเป็นบ้านที่ 2 ของคนเมือง (4) รัฐบาลจะได้ควบคุมได้ทั่วถึง

ตอบ 1 หน้า 337 – 338 สาเหตุที่ต้องมีการศึกษาสังคมวิทยาชนบท มีดังนี้

1. เนื่องจากชาวโลกส่วนใหญ่เป็นชาวชนบท ประกอบอาชีพทางการเกษตร

2. เพื่อต้องการทราบและเข้าใจในวิถีชีวิตความเป็นธยู่ที่แท้จริง ประเพณี วัฒนธรรม

สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของชาวชนบท

3. เพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนาชนบท

4. เพื่อทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบท เช่น เมืองต้องพึ่งพาชนบทในด้านผลิตผล การเกษตร ส่วนชนบทก็ต้องพึ่งพาเมืองในด้านเครื่องมือเครื่องใช้ด้านการเกษตร ฯลฯ

87. การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านเกษตรกรรม (2) หมู่บ้านสหกรณ์

(3) นิคมสร้างตนเอง (4) หมู่บ้านป่าไม้

ตอบ 1 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปจะเป็นแบบไม่มีการวางแผน โดยมี การตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งจะตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่ม ที่ดอน ที่เนิน ชายป่า ชายเขา เส้นทางคมนาคม และส่วนใหญ่จะตั้งตามริมฝั่งนํ้า (ส่วนการตั้งถิ่นฐานชนิดที่มีการวางแผนนั้น นับว่ามีน้อยมาก คงมีแต่เฉพาะหมู่บ้านสหกรณ์ นิคมสร้างตนเองและหมู่บ้านป่าไม้ที่รัฐบาลจัดตั้ง ขึ้นมาเท่านั้น)

88. เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคม คือ สาระสำคัญของทฤษฎีใด

(1) รูปดาว (2) รูปวงรี (3) รูปพาย (4) รูปวงกลม

ตอบ 1 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903 โดย อาร์.เอ็ม. เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

89. ทฤษฎีการขยายตัวของเมืองในข้อใดเป็นทฤษฎีเริ่มแรก

(1) รูปดาว (2) รูปวงรี (3) รูปพาย (4) รูปวงกลม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ

90. ตัวเลือกใดไม่ใช่การดำรงชีวิตแบบเมือง

(1) มีอาชีพให้บริการ (2) มีแบบแผนการใช้เวลา

(3) มีรายได้เป็นรายเดือน (4) มีความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ

ตอบ 4 หน้า 365 – 366, (คำบรรยาย) การดำรงชีวิตแบบเมือง ได้แก่ ไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม(การเพาะปลูกอยู่กับดินทราย) อาชีพส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพบริการ การค้าและอุตสาหกรรมที่มี รายได้เป็นรายเดือน มีแบบแผนการใช้เวลา และมีความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิคือ มีความสัมพันธ์กัน ตามสถานภาพและบทบาท

91. เมืองไมอามี่ เป็นเมืองประเภทใด

(1) เมืองท่า

(2) เมืองพักผ่อนตากอากาศ

(3) ศูนย์รวมการคมนาคมขนส่ง

(4) ศูนย์กลางของการขายส่งและขายปลีก

ตอบ 2 หน้า 370 – 371 เมืองซึ่งเกิดจากหน้าที่พิเศษ คือ เมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากการให้บริการบางอย่าง เช่น เหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการพักผ่อน ฯลฯ หรือเป็นเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะอย่าง เช่น เมืองไมอามี (เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ) สแกนตัน พิทส์เบิร์ก พัทยา ฯลฯ

92. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) จำนวนประชากร

(2) เหมืองแร่

(3) การปกครองและศาสนา

(4) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 4 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำไห้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า โดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

93. “เกาะรัตนโกสินทร์” จัดอยู่ในเขตใด

(1) เขตเมือง

(2) เขตปริมณฑล

(3) เขตชานเมือง

(4) เขตอุตลาหกรรม

ตอบ 1 หน้า 382 – 383 พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แบ่งออกได้เป็น 3 เขตใหญ่ ๆ ดังนี้

1. เขตเมือง (Urban Area) ได้แก่ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของชุมชนเก่าแก่ เช่น เกาะรัตนโกสินทร์ สถานธุรกิจการค้าและบริการต่าง ๆ เช่น เยาวราช บางลำพู ราชประสงค์ ประตูนํ้า ฯลฯ

2. เขตชานเมือง (Suburban Area) ได้แก่ บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ซึ่งมีประชากร ยาศัยกันอยู่อย่างเบาบางกว่าในเขตเมือง และมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า

3. เขตชนบท (Rural Area) ได้แก่ เขตที่ถัดจากชานเมืองออกไป ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพ เกษตรกรรม และมีวิถีขีวิตเช่นเดียวกับชาวขนบท

94. ข้อใดจัดอยู่ใบระบบนิเวศน์แบบ “Productive Ecosystems”

(1) สวนสาธารณะ (2) ภูเขา (3) ฟาร์ม (4) ย่านอุตสาหกรรม

ตอบ 3 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยดัดแปลงและปรับปรุง เช่น สวนสาธารณะ วนอุทยาน อุทยานแหงชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยขน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

95. “วนอุทยาน สวนสาธารณะ” เป็นตัวอย่างของระบบนิเวศน์ประเภทใด

(1) ประเภทที่มนุษย์ได้เกี่ยวข้องโดยดัดแปลงปรับปรุง (2) ประเภทธรรมชาติที่ไม่ได้นำมาใช้ประโยฃน์

(3) ประเภทที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์จริง (4) ประเภทที่มนุษย์อาศัยและประกอบกิจการงาน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

96. ข้อใดคือตัวอย่างของการใช้พลังงานไฮโดรอีเล็กตริก

(1) บ่อนํ้ามันที่ฝาง (2) เหมืองลิกไนต์ที่ลำปาง

(3) เขื่อนภูมิพล (4) โรงงานก๊าซธรรมชาติที่บางปะกง

ตอบ 3 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอีเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จาก นํ้ามัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้องเลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่าไม้ได้

97. ข้อใดคือแหล่งน้ำใต้ดิน

(1) นํ้าฝน (2) นํ้าท่า (3) นํ้าบาดาล (4) นํ้าทะเล

ตอบ 3 หน้า 398 ทรัพยากรนํ้าที่มนุษย์ใช้หมุนเวียนอยู่ในโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นนํ้าทะเล (97%) ส่วนที่เหลือ เป็นนํ้าจืด (3%)โดยนํ้าธรรมชาติที่มนุษย์ใช้สอยเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ นํ้าฝน, นํ้าท่า (นํ้าที่อยู่ผิวดิน), นํ้าบาดาล (น้ำใต้ดิน) และนํ้าทะเล

98. ปัญหาอากาศเสียเกิดจากสาเหตุใดมากที่สุด

(1) ขยะมูลฝอย (2) การขนส่ง (3) ยาปราบศัตรูพืช (4) อุตสาหกรรม

ตอบ 2 หน้า 399 สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหามลภาวะจากอากาศเสียมากที่สุด คือ การขนส่ง 55% รองลงมา ได้แก่ โรงงานพลังงาน 17% อุตสาหกรรม 14% ขยะมูลฝอย 4% และอื่น ๆ 10%

99. วิชามานุษยวิทยาถือกำเนิดขึ้นในทวีปใด

(1) เอเชีย (2) ยุโรป (3) แอฟริกา (4) ลาตินอเมริกา

ตอบ 2 (คำบรรยาย) วิชามานุษยวิทยา (Anthropology) ถือกำเนิดขึ้นในสังคมยุโรป ประมาณ ปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีบรรยากาศของการล่าอาณานิคม โดยในระยะแรกนี้ จะเน้นศึกษาสังคมดั้งเดิมที่ไม่ใช่สังคมของคนผิวขาวและสังคมตะวันตก เช่น สังคมดั้งเดิม ของแอฟริกาและเอเชีย เป็นต้น

100. การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยาในยุคบุกเบิกได้รับอิทธิพลจากกระแสความคิดใด

(1) วิวัฒนาการ (2) หน้าที่นิยม

(3) โครงสร้าง-หน้าที่นิยม (4) พฤติกรรมนิยม

ตอบ 1 หน้า 414 – 415, (คำบรรยาย) การศึกษาวิจัยทางมานุษยวิทยาในยุคบุกเบิกได้รับอิทธิพล จากกระแสความคิดวิวัฒนาการของดาร์วิน (Darwin) ที่กล่าวถึงหลักฐานการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แนวความคิดเกี่ยวกับการเลือกสรรตามธรรมชาติ และวิวัฒนาการของมนุษยชาติ

101. ข้อใดเป็นตัวอย่างของสายสกุล Homo Sapiens

(1) ชิมแปนซี

(2) กิบบอน

(3) กอริลลา

(4) มนุษย์

ตอบ 4 หน้า 409 คำว่า “มนุษย์” เป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสายสกุลที่เรียกว่า Homo Sapiens อันเป็นสัตว์เลือดอุ่นจำพวก2 มือ 2เท้าไม่มีหาง

102. มนุษย์จำพวกใดมีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับมนุษย์ปัจจุบัน

(1) มนุษย์ชวา

(2) มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล

(3) มนุษย์โครมันยอง

(4) มนุษย์ปักกิ่ง

ตอบ 3 หน้า 417 – 418 มนุษย์โครมันยอง (Cro-magnon Man) มีชีวิตอยู่ราว 40,000 ปีมานี้เอง และเชื่อกันว่ามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้น จึงมีลักษณะเป็นตัวแทนหรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันโดยมนุษย์เหล่านี้จะมีชื่อเรียก ต่าง ๆ กันตามระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ เช่น Swanscombe Man, Fontechevade Man, Kanam Man และ Kanjera Man เป็นต้น

103. ข้อใดคือตัวอย่างของมนุษย์กลุ่มผิวเหลือง (Mongoloid)

(1) อารยัน

(2) เอสกิโม

(3) แฮมิติก

(4) เซมิติก

ตอบ 2 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวเหลือง (Mongoloid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

1. พวกมองโกลอยด์ อยู่แถบทวีปเอเชียตะวันออก เช่น จีน ทิเบต และมองโกเลีย

2. พวกอินเดียนแดง อยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้

3. พวกเอสกิโม อยู่แถบเหนือสุดของทวีปอเมริกา (รัฐอลาสก้าและตอนเหนือของแคนาดา)

4. พวกมาลายัน เช่น มลายู ชวา ไทย และบาหลี

104. มานุษยวิทยากายภาพศึกษาด้านใด

(1) โบราณคดี (2) ศึกษาสรีรวิทยาของคน

(3) ชาติพันธุ์วิทยา (4) ชาติพันธุ์วรรณนา

ตอบ 2 หน้า 412 มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการ กำเนิดของมนุษย์ในแง่สรีรวิทยา โดยมุ่งเน้นศึกษาสัตว์ตระกูล Homo Sapiens ชนิดต่าง ๆ ในด้านโครงสร้างของอวัยวะทางร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งได้พยายามค้นคว้าศึกษาวิวัฒนาการ จากจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่า ไพรเมท (Primate) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนกระทั่งถึง การมีลักษณะที่เป็นรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน

105. ตัวเลือกใดไม่ใข่ลักษณะวัฒนธรรมตะวันตก

(1) ปกครองด้วยระบอบประชาซิปไตย (2) เน้นความสำคัญของตัวบุคคล

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโส (4) นิยมวัตถุ

ตอบ 3 หน้า 442 – 443, (คำบรรยาย) ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถินฐาน เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย ยกย่อง ผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เน้นความสำคัญของตัวบุคคล (Individualism) มีประชาธิปไตย ทำงานตามระเบียบกฎเกณฑ์หรือหน้าที่อย่างเคร่งครัด และนิยมวัตถุ (Materialism)

106. ตัวเลือกใดคืออารยธรรมกระแสหลักของเอเชีย

(1) จีน (2) ญี่ปุ่น (3) อินเดีย (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 452 อารยธรรมกระแสหลักของเอเชีย ส่วนใหญ่แล้วรับมาจาก 2 แห่ง คือ

1. อารยธรรมจีน ได้รับอิทธิพลจากขงจื๊อ นิยมการทำตามประเพณี

2. อารยธรรมอินเดีย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาต่าง ๆ ที่ถือกำเนิดจากอินเดีย

107. ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมในวัฒนธรรมอเมริกาใต้ สอดคล้องกับค่านิยมตามคำกล่าวใด

(1) ทองแท้ไม่แพ้ไฟ (2) เงินคือพระเจ้า

(3) เงินทองของนอกกาย (4) มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่

ตอบ 4 หน้า 448 ชาวอเมริกาใต้มักมีคำขวัญทำนองไทย ๆ ว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ หรือเงินทำให้ผิวคนขาวขึ้น ไพร่ดูเป็นผู้ดี คนไม่สวยดูเป็นคนสวย ความรํ่ารวยทำให้คนผิวดำ ชาวนิโกรผิวขาวขึ้น แลดูเป็นผู้ดีน่าคบหาสมาคม ส่วนคนผิวขาวที่ยากจน คือ คนผิวดำที่ได้รับ การรังเกียจกีดกันทัวไป คนรํ่ารวยมีอำนาจได้รับการยกย่อง

108. แม้ว่าสังคมยุโรปจะก้าวสู่ความทันสมัยแต่ประเพณีหรือวิถีชีวิตใดยังคงดำรงอยู่

(1) การดื่มชา (2) การเต้นรำ

(3) การรับประทานแฮมเบอร์เกอร์ (4) การชมละคร

ตอบ 1 หน้า 444, (คำบรรยาย) ในบริเวณที่ได้ชื่อว่าทันสมัยที่สุดในยุโรป ประเพณีเก่า ๆ ยังคงได้รับ การสงวนรักษาไว้ นั่นคือ ร้านน้ำชา/กาแฟของคนสามัญที่ทุกคนจะเข้ามาดื่มชา/กาแฟดำ (Black Coffee) ไม่ใส่นม/นํ้าตาล นั่งรับประทานอาหารเบา ๆ และสนทนากันด้วยเรื่อง การเมือง ความเป็นไปในโลกปัจจุบัน ปรัชญา ศิลปะ การละคร ซึ่งเป็นการสังสรรค์ที่ให้ ทั้งความรอบรู้ ข่าวสาร และความสบายใจโดยไม่ต้องเสียเงินมากนัก

109. “ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาใต้เรียกตัวเองว่าอะไร

(1) อารยัน (2) อินคา (3) เซเมติก (4) นิกริโต

ตอบ 2 หน้า 446 วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในภูมิภาคอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา) คือ สเปนและโปรตุเกส ซึ่งแต่เดิมนั้นประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับวัฒนธรรมจากพวกอินเดียนแดง ที่เรียกตัวเองว่า อินคา หรือลูกพระอาทิตย์

110. ตามทัศนะชของจอห์น เอมบรี (John Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตกเห็นว่าลักษณะอุปนิสัยของคนไทย คือข้อใด

(1) รักสนุก (2) ขาดวินัย (3) เคารพผู้อาวุโส (4) ใจนักเลง

ตอบ 2 หน้า 464 จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย”

111. การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติมักมีแนวโน้มไปในลักษณะใด

(1) นิเสธ

(2) ปฏิฐาน

(3) เป็นกลาง

(4) ยืดหยุ่น

ตอบ 1 หน้า 457 ภาพพิมพ์ (Stereotype) คือ การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติของชนชาติใดชาติหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นภาพแบบเดียวกัน ซึ่งมักมีแนวโน้มถูกมองไปในทางลบ หรือเชิงนิเสธ เช่น ภาพพิมพ์ของคนบางชาติมีระเบียบวินัย, คนบางชาติอยู่สบาย ๆ ไม่ค่อย มีหลักเกณฑ์อะไรนัก, คบบางชาติ (เช่น อังกฤษ) เป็นคบประเภท “เก็บตัว” มักไม่สนิทกับ คนแปลกหน้าได้ง่าย, ชาวยิวมีภาพพจน์ว่า “ตระหนี่” ฯลฯ

112. ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการหนึ่งคือ “การประสานประโยชน์” หมายถึงข้อใด

(1) ชอบสนุก

(2) เล็งผลปฏิบัติ

(3) การไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น

(4) การมีความอดกลั้น

ตอบ 2 หน้า 464 – 465 ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยตามทัศนะของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มี 3 ประการ ได้แก่

1. การรักความเป็นไท คือ การรักอิสรภาพเสรี ดังคำกล่าวที่ว่า “พูดได้ตามใจคือไทยแท้”

2. การปราศจากวิหิงสา คือ การไม่ชอบเบียดเบียน มีความอดกลั้น และมีขันติธรรม

3. การประสานประโยชน์ คือ การรู้จักประนีประนอม มีการโอนอ่อนและอะลุ่มอล่วย มีลักษณะเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ

113. ข้อใดกล่าวไว้ถูกต้องเกี่ยวกับ “อุปนิสัยประจำชาติ”

(1) ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม

(2) ลักษณะเด่นสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสังคมหนึ่งกับสังคมหนึ่ง

(3) โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพซึ่งวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเป็นลักษณะของสมาชิกของสังคมเดียวกัน

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 458 ลักษณะประจำชาติหรืออุปนิสัยบระจำชาติ มีความหมายดังต่อไปนี้

1. ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม และจัดเป็นเอกลักษณ์หรือลักษณะ ที่เด่นพิเศษอันทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

2. ลักษณะเด่นอันทำให้สามารถแยกแยะความแตกด่างระหว่างสังคมหนึ่งกับอีกสังคมหนึ่งได้

3. โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพซึ่งวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเป็นลักษณะของสมาชิกของสังคมเดียวกัน

114. ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมใคที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรม

(1) ความเฉื่อย (2) การเล็งผลปฏิบัติ

(3) การถือฐานานุรูป (4) การถือหลักเกณฑ์

ตอบ 2 หน้า 472 ค่านิยมที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งของคนไทยตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ คือ การเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ กล่าวคือ คนไทยมักไม่ยึดถือสิ่งที่ไม่เห็นผลหรือไม่สอดคล้อง กับประโยชน์ของตน นักคิดไทยมักจะแสดงความคิดออกมาในรูปซึ่งจับต้องได้ ดังนั้นจึงทำให้ เป็นการยากแก่คนไทยที่จะเป็นนักคิดแบบนามธรรม (Abstract Thinker)

115. ผู้ใดได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกันให้ศึกษาลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

(1) ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) (2) เบเนดิกท์ (Benedict)

(3) วิลสัน (Wilson) (4) ลินตัน (Linton)

ตอบ 2 หน้า 459 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกันให้ศึกษา ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่น ซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผลงานเขียนชื่อ “ดอกเบญจมาศ และดาบซามูไร” โดยเห็นว่า บุคลิกของคนญี่ปุ่นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่จะแข็งแกร่งภายใน

116. ทำไมลักษณะอุปนิสัยประจำชาติจึงแตกต่างกัน

(1) ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ (2) ความแตกต่างทางค่านิยม

(3) ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 460 ลักษณะอุปนิสัยประจำชาติของคนในแต่ละประเทศมักแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะ มีลักษณะบางอย่างของตนเองซึ่งไม่เหมือนกับประเทศอื่น เช่น ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ค่านิยม ศาสนา ความเชื่อ และปรัชญาชีวิต ฯลฯ

117. ข้อใดจัดว่าคือวิธีการสังคมสงเคราะห์ที่ให้บริการโดยตรง

(1) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (2) การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์

(3) การจัดระเบียบชุมชน (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 482 – 483 วิธีการของสังคมสงเคราะห์ มี 5 วิธีการ ได้แก่

1. การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย 2. การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

3. การจัดระเบียบชุมชน 4. การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์

5. การบริหารงานสวัสดิการสังคม

โดย 3 วิธีการแรก (1. – 3.) จัดเป็นการให้บริการโดยตรง (Direct Service)

ส่วน 2 วิธีการหลัง (4. – 5.) จัดเป็นการให้บริการทางอ้อม (Indirect Service)

118. วิธีการสังคมสงเคราะห์ใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การจัดระเบียบชุมชน (4) การจัดองค์การชุมชน

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

119. ขั้นตอนการปฎิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ ขั้นตอนใดที่จะได้ทราบว่า ผู้รับบริการ (Client) มีความเป็นมา และประวัติอย่างไร มีปัญหาเดือดร้อนอะไร เมื่อใด

(1) การค้นคว้าข้อเท็จจริง (2) การวินิจฉัยและการวิเคราะห์

(3) การประเมินผล (4) การให้แก้ไข

ตอบ 1 หน้า 488 – 489 ขั้นตอนการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานของ นักสังคมสงเคราะห์ขั้นแรกที่จะต้องทำก่อนงานอื่น โดยพยายามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ผู้รับบริการ/ผู้มีปัญหา (Client) ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมา หรือปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของ Client

120. องค์การสหประชาชาติได้พิจารณาข้อตกลงใด เพื่อความเป็นธรรมของประชากรโลกและเป็นแม่บทของงานสังคมสงเคราะห์

(1) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (2) สิทธิมบุษยชน

(3) มนุษยธรรม (4) ธรรมาภิบาล

ตอบ 2 หน้า 493 – 494 องค์การสหประชาชาติได้พิจารณาร่างข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนขึ้น เพื่อความเป็นธรรมของประชากรทั่วโลก อาจกล่าวได้ว่า สิทธิมนุษยชนนี้เป็น “แม่บท” ของงานสังคมสงเคราะห์ โดยมีสาระสำคัญ เช่น ให้มีการคุ้มครองป้องกันต่อเด็กทุกคนในสังคม ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือมารดาทั้งก่อนและหลังคลอด ฯลฯ

 

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาค2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ตามทัศนะของค้องท์ (Comte) การศึกษาเรื่องราวภายในสถาบันทางสังคม คือการศึกษาในข้อใด

(1) สังคมสถิต

(2) การกระทำทางสังคม

(3) สังคมพลวัต

(4) วิวัฒนาการทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 18 – 19 ค้องทํ (Comte) ได้แบ่งการศึกษาทางสังคมวิทยาออกเป็น 2 สาขา ได้แก่

1. สังคมสถิต (Social Statics) เป็นการศึกษาโครงสร้าง-หน้าที่และเรื่องราวภายในสังคม คือ ศึกษาส่วนย่อย ได้แก่ สถาบันต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ฯลฯ

2. สังคมพลวัต (Social Dynamics) เป็นการศึกษาสังคมทั้งสังคม โดยเน้นการศึกษาในเรื่อง ที่ว่าสังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิวัฒนาการความเป็นมาหรือเป็นไปอย่างไร ซึ่งเป็น การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

2. ข้อใดคือลักษณะของการศึกษาแบบ “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) ของเวเบอร์ (Weber)

(1) เน้นความเข้าใจภาพรวม

(2) ไม่เน้นรายละเอียดของปรากฏการณ์

(3) เชื่อมโยงความหมายของส่วนย่อย

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเชื่อมโยงความหมายของส่วนย่อยเพื่อให้อยู่ในโครงสร้างใหญ่หรือประเด็นใหญ่

3. หลักตรรกศาสตร์ในทางสังคมศาสตร์ที่นำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ได้แก่วิธีการแบบใด

(1) นิรนัยและตรรกนัย

(2) อุปนัยและตรรกนัย

(3) นิรนัยและอัตนัย

(4) นิรนัยและอุปนัย

ตอบ 4 หน้า 43 ในทางสังคมศาสตร์ได้นำเอาหลักตรรกวิทยา (ตรรกศาสตร์) มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้ 1. วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่ มาหาส่วนน้อย 2. วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปไต้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไรก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่

4. ข้อใดคือขอบเขตของการศึกษาทางสังคมวิทยา

(1) สถาบันทางสังคม

(2) ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม (3) สังคมมนุษย์ทั้งสังคม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 21 – 22 สาระของวิชาสังคมวิทยามีขอบเขตในการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ดังนี้

1. ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม เช่น ระหว่างสามีภริยา มารดากับบุตร พี่กับน้อง ฯลฯ

2. สังคมมนุษย์ทั้งสังคม เช่น โครงสร้างของสังคม ลักษณะภายในของสังคม ฯลฯ

3. สถาบันทางสังคม เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา ฯลฯ

5. ข้อใดชี้ให้เห็นว่า สังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์

(1) ไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสตร์อื่น (2) ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคม

(3) ศึกษาเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับสังคม (4) ช่วยวางนโยบายพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม

ตอบ 3 หน้า 14 สิ่งทีชี้ให้เห็นว่าสังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ก็คือ เป็นการศึกษาหาความรู้ ต่าง ๆ ทางสังคมเท่านั้น มิได้นำความรู้มาใช้เพีอประโยชน์บางอย่าง เพียงแต่เป็นผู้เสาะแสวงหา องค์ความรู้ให้ผู้อื่นนำไปใช้ ทั้งนี้นักสังคมวิทยาไม่มีหน้าที่เข้าไปช่วยรัฐบาลวางนโยบายพัฒนา ด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคม

6. คำว่า “วัฒนธรรม” ในสังคมไทยถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด

(1) สมัยรัชกาลที่ 6

(2) พ.ศ. 2475 (3) สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (4) พ.ศ. 2500

ตอบ 2 หน้า 56 พ.ศ. 2475 พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ขณะทรงพระยศเป็นพระองศ์เจ้าวรรณไวทยากรทรงเป็นผู้ริ่เริมบัญญัติศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม” ขึ้นเป็นคนแรก

7. ตัวเลือกใดเป็นความหมายของวัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์

(1) ความเชื่อ (2) ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ

(3) ทุกสิ่งที่ดีงาม (4) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลงานของมนุษย์

ตอบ 4 หน้า 56-61 ความหมายของวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 3 ความหมายใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ความหมายตามรากศัพท์เดิม วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว หรือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

2. วัฒนธรรม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งชื่อเด็ก การหมั้น การสมรส การขึ้นบ้านใหม่ การบวชนาค การลงแขกเกี่ยวข้าว ฯลฯ

3. ความหมายตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ วัฒนธรรมมีความหมายกว้างขวางมาก คือ ครอบคลุม ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลผลิต/ผลงาน/ผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุ หรืออวัตถุ รวมถึงพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

8. การตื่นตัวในวัฒนธรรมประจำชาติโดยจะมีการพูดถึง “เอกลักษณ์ของชาติหรือวัฒนธรรมอันดีงาม”มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด

(1) กระแสความคิดชาตินิยมและการต่อสู้เพื่อเอกราช (2) ยามศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน

(3) การไหลบ่าของวัฒนธรรมต่างชาติ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 55 การตื่นตัวในทางวัฒนธรรมประจำชาติมักมีมากในช่วงที่มีความรู้สึกว่าวัฒนธรรม ต่างชาติกำลังไหลบ่าและแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามา ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะมีการพูดถึง “เอกลักษณ์ของชาติ” หรือ “วัฒนธรรมอันดีงาม” ของชาติอยู่บ่อย ๆ

9. ก่อนปรากฏการณ์การปฏิวัติอุตสาหกรรม การศึกษาสังคมเป็นแบบใด

(1) วิทยาศาสตร์ทางสังคม (2)สามัญสำนึก (3)วิทยาศาสตร์ (4)ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 2-3, (คำบรรยาย) การใช้สามัญสำนึก (Common Sense) ศึกษาสังคม เกิดขึ้น ในช่วงระยะเริ่มแรกก่อนที่วิชาสังคมวิทยาจะกำเนิดขึ้น คือ ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อมาในราวปลายศตวรรษที่ 18 (หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม) การศึกษาสังคมก็เปลี่ยน จากการใช้สามัญสำนึกมาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม (Social Sciense)

10. ข้อใดที่ไม่ใช่ลักษณะของวิทยาศาสตร์ทางสังคม

(1) มีหลักการ สามารถอธิบายบนพื้นฐานของทฤษฎี มีความรู้สนับสบุน

(2) อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์

(3) มีการสังเกต ตรวจสอบ ทดลอง

(4) รับรู้ผ่านประสาทสัมผัส

ตอบ 4 หน้า 13 สังคมวิทยาเป็นศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ทางสังคม) ซึ่ง “ศาสตร์” มีลักษณะดังนี้

1. มีการสังเกต ยืนยันข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน มีการอธิบาย ตรวจสอบ ทดลอง และอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์

2. มีหลักการ มีวิทยาการ สามารถอธิบายบนพื้นฐานของทฤษฎีที่มีระบบระเบียบ

3. ต้องมาจากการศึกษาและค้นคว้า 4. มีความรู้สนับสนุน

11. มาร์กซ์ (Marx) มีทัศนะในการศึกษาสังคมอย่างไร

(1) การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเป็นไปตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

(2) สังคมมีโครงสร้างเหมือนร่างกายมนุษย์

(3) สังคมมีระบบความสัมพันธ์แบบเครือข่าย

(4) สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพ

ตอบ 1 หน้า 7 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้มองสังคมในแง่ของการ “ขัดกัน” ของคนในสังคม โดยเขากล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Critique of Political Economy ว่า การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ สังคมเศรษฐกิจโบราณมีการขัดแย้งกันระหว่างทาสกับนายทาส ในสังคมเศรษฐกิจ สมัยกลางมีการขัดแย้งกันระหว่างข้าติดที่ดินกับเจ้าของที่ดิน และในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม มีการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) กับนายทุน

12. เพราะเหตุใดสังคมวิทยาจึงเน้นการศึกษาสังคมโดยการสุ่มตัวอย่าง

(1) เน้นการศึกษาส่วนบุคคล

(2) ง่ายและสะดวกต่อการศึกษา

(3) เพื่อทำนายปรากฏการณ์ในอนาคต

(4) ศึกษาสังคมปัจจุบันซึ่งมีขนาดใหญ่

ตอบ 4 หน้า 49 – 50, (คำบรรยาย) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมปัจจุบัน สังคมที่รู้หนังสือ และสังคมเชิงซ้อน โดยมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการศึกษาแบบสุ่มตัวอย่าง (Sampling) มากกว่า การศึกษาเป็นรายกรณี (Case Studies) ทั้งนี้เพราะการสุ่มตัวอย่างจะเน้นในเรื่องจำนวน (เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีขนาดใหญ่ต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างจึงจะสามารถทำได้) ส่วนการศึกษา เป็นรายกรณีจะเน้นในเรื่องเวลาและความถี่ถ้วน

13. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้มนุษย์มารวมกันเป็นสังคม

(1) มีสัญชาตญาณที่คล้ายคลึงกัน

(2) มีระยะเวลาแห่งการเป็นทารกนาน

(3) มีความสามารถควบคุมธรรมชาติได้

(4) มีความสามารถในการสร้างวัฒนธรรม

ตอบ 1 หน้า 1-2 สาเหตุที่มนุษย์จึงต้องมาอยูรวมกันเป็นสังคม เพราะ

1. มนุษย์มีระยะแห่งการเป็นทารกนานและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต ทำให้ มนุษย์จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ในรูปของครอบครัวขึ้น

2. มนุษย์มีความสามารถด้านสมอง สามารถคิดค้นและควบคุมธรรมชาติได้ ก็เป็นสาเหตุสำคัญ ที่มนุษย์จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต

3. มนุษย์สามารถสร้างและถ่ายทอดวัฒนธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความรัก ความอบอุ่น ความคิด ความเชื่อ ศาสนา ค่านิยม ฯลฯ

14. การเปรียบสังคมเป็นเสมือนหนึ่งร่างกายของมนุษย์ เป็นตัวอย่างการศึกษาสังคมแบบใด

(1) การแข่งขัน (2) โครงสร้าง-หน้าที่

(3) ดุลยภาพทางสังคม (4) พฤติกรรมเฉพาะกิจ

ตอบ 2 หน้า 6 ทฤษฎีการศึกษาสังคมโดยเน้นการศึกษาด้านโครงสร้างและหน้าที่ด้วยการเปรียบเทียบว่า สังคมเป็นเสมือนหนึ่งร่างกายของมนุษย์ เช่น มีหัว แขน ขา ตา จมูก ฯลฯ และเมื่อประกอบกัน แล้วก็จะกลายเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนจะมีหน้าที่และจะแสดงกิริยาอาการหรือ พฤติกรรมที่ได้รับมอบหมาย สังคมก็เป็นเช่นเดียวกัน มีการแบ่งระบบความสัมพันธ์ของคน ออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนจะมีหน้าที่แสดงไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดไว้

15. สังคมวิทยากำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับศาสตร์แขนงใด

(1) ปรัชญา (2) รัฐคาสตร์ (3) จิตวิทยา (4) วิทยาศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 16 สังคมวิทยา (Sociology) กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับจิตวิทยา (Psychology)ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และคริสต์ศตวรรษที่ 19

16. ข้อใดมิใช่หน่วยเล็กที่สุด (Cultural Trait) ทางวัฒนธรรม

(1) การเคารพธงชาติ (2) การแสดงละคร (3) การขับรถชิดข้าย (4) การจับมือ

ตอบ 2 หน้า 91 โครงสร้างของวัฒนธรรมประกอบด้วย 2 หน่วยใหญ่ ๆ ได้แก่

1. หน่วยเล็กที่สุด (Cultural Trait) คือ พฤติกรรมอันเกิดจากการเรียนรู้หรือผลผลิตทางวัตถุ ซึ่งย่อยที่สุดจนเชื่อว่าแยกให้เล็กลงกว่านั้นโดยมีลักษณะแบบเดิมไม่ได้ ได้แก่ วัฒนธรรม ทางวัตถุ เช่น ตะปู ไขควง ดินสอ ผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ และวัฒนธรรมทางอวัตถุ เช่น การไหว้ การจับมือ การขับรถชิดซ้าย การวิ่ง การเคารพธงชาติ ฯลฯ

2. หน่วยที่สลับซับซ้อน (Cultural Complex) คือ การรวมกลุ่มหรือการรวมเป็นชุดของ หน่วยย่อยที่สุดที่เกียวพันกัน เช่น การเต้นรำ การสวดมนต์ การแสดงละคร ฯลฯ

17. ข้อใดเป็นลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน

(1) พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(2) พฤติกรรมตามธรรมชาติ (3) ปฏิกิริยาทางสรีระ (4) พฤติกรรมที่เกิดจากสัญชาตญาณ

ตอบ 1 หน้า 61 ลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ ไม่เป็นพฤติกรรมที่เกิด จากสัญชาตญาณ และไม่เป็นปฏิกิริยาทางสรีระ)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดขึ้นจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลของพฤติกรรม (ทั้งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้หรือมองเห็นสัมผัสได้)

4. เป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคมรู้สึกว่ามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของไม่มากก็น้อย

5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา 6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

18. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ “ความล้าทางวัฒนธรรม” (Culture lag)

(1) ไทเลอร์ (Tylor)

(2) โครเบอร์ (Kroeber) (3) อ็อกเบิร์น (Ogburn) (4) ริสแมน (Riesman)

ตอบ 3 หน้า 92 ผู้บัญญัติศัพท์ “ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม” คือ ร็อกเบิร์น (Ogburn)นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยเขาให้คำนิยามไว้ว่า ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม ได้แก่ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่จนเกินเลยเวลาที่เป็นประโยชน์ได้โดยล้าหลังหรือตามไม่ทัน วัฒนธรรมส่วนอื่น ๆ ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

19. ข้อใดไม่ใช่ขนบธรรมเนียมของสังคม

(1) การเกิดและการตายของมนุษย์

(2) การขึ้นบ้านใหม่ (3) การสมรส (4) การลงแขกเกี่ยวข้าว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

20. ข้อใดคือสภาพของมนุษย์ที่เรียกว่า “ผูกพันกับกาลเวลา”

(1) มนุษย์อยู่ข้ามกาลเวลา (2) มนุษย์ชอบทำงานตามเวลา

(3) มนุษย์ต้องทำงานแข่งกับเวลา (4) มนุษย์ตายไปแล้วยังทิ้งผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

ตอบ 4 หน้า 81 สภาพของมนุษย์ที่เรียกว่า “ผูกพันกับกาลเวลา’’ (Time Binding) คือ เมื่อมนุษย์ ตายไปแล้วยังได้ทิ้งผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และไม่ใช่เพียงแค่ศึกษาจากอดีตเท่านั้น แต่ยังมีการคิดก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตด้วย

21. กลุ่มชนิดใดที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

(1) กลุ่มปฐมภูมิ

(2) กลุ่มทุติยภูมิ

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มเอ็นจีโอ

ตอบ 1 หน้า 98 – 99 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) มีความสำคัญดังนี้

1. เป็นกลุ่มแรกที่มนุษย์เป็นสมาชิก คือ ครอบครัว

2. เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่อบรมขัดเกลาทางสังคม (Socialization)

3. เป็นกลุ่มสำคัญที่ส่งเสริมหรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เช่น เอื้อประโยชน์หรือ ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

4. เป็นประโยชน์ในด้านการสร้างขวัญกำลังใจ

22. กลุ่มซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เนื่องจากมีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกันหมายถึงกลุ่มใด

(1) กลุ่มทุติยภูมิ

(2) กลุ่มสมาคม

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มชาติพันธุ์

ตอบ 4 หน้า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Group) เป็นกลุ่มคนซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันมีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกัน เช่น พวกชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจาก คนกลุ่มใหญ่ในแง่เชื้อชาติ ประเพณี และวัฒนธรรม

23. กลุ่มชนชั้นจัดเป็นกลุ่มสังคมประเภทใด

(1) กลุ่มชนชั้น

(2) กลุ่มอาชีพ

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มทุติยภูมิ

ตอบ 4 หน้า 99 – 100 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1. กลุ่มสมาคมหรือองค์การ 2. กลุ่มชาติพันธุ์ 3. กลุ่มชนชั้น

24. ระยะห่างทางสังคมเป็นการวัดอะไร

(1) ระยะทาง

(2) ระยะเวลา (3) ระดับความใกล้ชิดหรือการยอมรับ (4) ระดับการพัฒนาสังคม

ตอบ 3 หน้า 103 ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นการวัดระดับของความใกล้ชิดสนิทสนมหรือการยอมรับ หรืออคติที่เรามีความรู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และสามารถนำมาใช้วัดความเป็น กลุ่มเรากลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี

25. สถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคมคือสถาบันในข้อใด

(1) ครอบครัว (2) ศาสนา (3) เศรษฐกิจ (4) การศึกษา

ตอบ 1 หน้า 107 ทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบัน 3 ประการ คือ

1. เป็นสถาบันทางสังคม ซึ่งมีรูปแบบหรือแบบแผนที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรม

2. เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม มีมาพร้อมกับมนุษย์ และคงอยู่กับมนุษย์ตลอดเวลา

3. เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

26. ข้อใดคือครอบครัวที่มีขนาดเล็กที่สุด

(1) ครอบครัวร่วม

(2) ครอบครัวขยาย (3) ครอบครัวหน่วยกลาง (4) ครอบครัวภาวะจำยอม

ตอบ 3 หน้า 114 – 115 การจัดประเภทครอบครัว สามารถจัดเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. จัดตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ คือ ครอบครัวปฐมนิเทศ และครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่

2. จัดตามขนาดและรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ครอบครัวหน่วยกลาง (มีขนาดเล็กที่สุด), ครอบครัวขยาย (เป็นครอบครัวร่วม) และครอบครัวประกอบร่วม (ครอบครัวซ้อน)

27. อะไรคือหน้าที่ที่สำคัญของครอบครัว

(1) สร้างสมาชิกให้กับสังคม (2) หล่อหลอมสมาชิกใหม่ให้อยู่ในสังคมได้ดี

(3) ทำหน้าที่แทนสถาบันอื่นในสังคม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 116, (คำบรรยาย) หน้าที่ที่สำคัญของครอบครัวที่มีต่อสังคม มีดังนี้

1. ช่วยสร้างสมาชิกให้กับสังคม ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักที่สถาบันอื่นทำแทนไม่ได้

2. ช่วยหล่อหลอมให้สมาชิกของครอบครัวสามารถดำรงตนเป็นสมาชิกที่ดีและอยู่ในสังคมได้

3. ช่วยเสริมสร้าง/ปลูกฝังบุคลิกภาพและให้การศึกษาอบรมด้านศีลธรรม

4. ช่วยทำหน้าที่แทนสถาบันทางสังคมอื่น ๆ เช่น สถาบันการศึกษา ศาสนา ฯลฯ

28. ข้อห้ามการสมรสมีขึ้นระหว่างคนกลุ่มใด

(1) พี่น้องร่วมเฉพาะบิดา

(2) พี่น้องร่วมเฉพาะมารดา (3) บิดากับบุตร (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 119 – 120 ข้อห้ามการสมรส (Incest Taboo) คือ ห้ามสมรสกับบุคคลที่มีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกันทางสายโลหิต หรือห้ามสมรสกับญาติสนิทในครอบครัวหน่วยกลาง ซึ่งมี 2 สักษณะ ดังนี้

1. ญาติแนวดิ่ง/แนวตั้ง ซึ่งสืบสายโลหิตกันโดยตรง ได้แก่ บิดา/มารดากับบุตร

2. ญาติแนวราบ/แนวนอน ซึ่งร่วมสายโลหิตเดียวกัน ได้แก่ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมเฉพาะบิดา และพี่น้องร่วมเฉพาะมารดา

29. การศึกษาที่เน้นกำเนิดและวิวัฒนาการของครอบครัว คือแนวทางการศึกษาใด

(1) มานุษยวิทยา (2) สังคมวิทยา (3) จิตวิทยา (4) เพศศึกษา

ตอบ 1 หน้า 108 การศึกษาครอบครัวตามแนวทางมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาที่เน้นกำเนิดและ วิวัฒนาการของครอบครัวโดยเริ่มจากการที่หญิงหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกับชายหนึ่งคน หรือมากกว่านั้นและมีบุตรด้วยกัน มีความสัมพันธ์ทางเพศอันเป็นที่ยอมรับกันทางสังคม โดยมีวัตถุประสงค์ในการอยู่ร่วมกันเพี่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล

30. ตัวเลือกใดคือตัวอย่างของศาสนาธรรมชาติ

(1) ลัทธิเต๋า

(2) ศาสนาชินโต (3) การเคารพบูชารุกขเทวดา (4) ศาสนาพราหมณ์

ตอบ 3 หน้า 129 – 130 ความเป็นมาของศาสนาโดยวิวัฒนาการ แบงออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ศาสนาธรรมชาติ เป็นระบบความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข เช่น การนับถือผี นับถือวิญญาณ นับถือเจ้าป่าเจ้าเขา การเคารพบูชารุกขเทวดา ฯลฯ

2. ศาสนาสถาบันหรือศาสนาหลัก เป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นจากข้อกำหนดของสังคม โดยนำศาสนาธรรมชาติมาปรับปรุงแก้ไขและจัดรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ฯลฯ

31. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) มีความเห็นต่อศาสนาอย่างไร

(1) ทำให้เกิดความงมงาย

(2) เป็นยาเสพติด

(3) ช่วยปลอบใจยามทุกข์ยาก

(4) เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ไม่แน่ใจในธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 133,350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความลุ่มหลงงมงาย และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้(Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมต่าง ๆ มักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีศาสนา

(1) เพื่อนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรม

(2) ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง

(3) ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนาเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงแสวงหาวิธีการมาช่วยปลอบประโลมใจ

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนาเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ข้อใด

(1) เทวนิยมและอเทวนิยม

(2) พหุเทวนิยมและอเทวนิยม

(3) เอกเทวนิยมและพหุเทวนิยม

(4) เอกเทวนิยมและอเทวนิยม

ตอบ 1 หน้า 139 – 140 การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนา มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. เทวนิยม (Theism) เป็นระบบความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งออกเป็น

1.1 เอกเทวนิยม (เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว) เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฯลฯ

1.2 พหุเทวนิยม (นับถือพระเจ้าหลายพระองค์) เช่น ศาสนาฮินดู (พราหมณ์) ฯลฯ

1.3 สัพพัตถเทวนิยม (เชื่อว่าพระเจ้าและจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เช่น เชื่อว่า แม่นํ้ามีแม่คงคาและแผ่นดินมีแม่พระธรณีเป็นผู้ดูแลปกปักรักษา ฯลฯ

2. อเทวนิยม (Atheism) เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ เชน เต๋า ฯลฯ

34. ข้อใดเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม

(1) คริสต์ (2) อิสลาม (3) ฮินดู (4) พุทธ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

35. หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนาสอนเรื่องใด

(1) การใช้เหตุผล ไม่เชื่องมงาย (2) การพิจารณาการเกิดขึ้นของกิเลส

(3) การบริจาคทาน (4) การปฏิบัติกรรมฐาน

ตอบ 1 หน้า 140 หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนานั้น เน้นสอนให้รู้จักการใช้วิจารณาญาณ คือ การไม่เชื่อใครง่าย ๆ และไม่เชื่องมงาย แต่ให้เชื่อโดยใช้หลักเหตุผล และให้ศึกษาพิจารณา ไตร่ตรองโดยถ่องแท้ด้วยลติปัญญาซองตนเอง ซึ่งหลักในกาลามสูตรมีด้วยกัน 10 ข้อ

36. ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับเพเดีย (Paedeia) หมายความว่าอย่างไร

(1) การศึกษาผูกพันกับผู้สอน (2) การศึกษาผูกพันกับปัญญา

(3) การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (4) การศึกษาผูกพันกับเทพเจ้า

ตอบ 3 หน้า 152 – 153 ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (ภาษากรีก เรียกว่า Paedeia) ซึ่งคำว่าการศึกษาในภาษากรีก หมายถึง การเรียนคุณธรรม โดยสรุป การศึกษาในทัศนะกรีกโบราณ หมายถึง การเป็นคนดีและเป็นพลเมืองดี

37. กระบวนการอันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” หมายถึงข้อใด

(1) สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอัตตา (2) สิ่งทั้งหลายย่อมอาศัยซึ่งกันและกัน

(3) สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (4) สิ่งทั้งหลายศึกษาได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ตอบ 2 หน้า 152 พระพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจาก ความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฎิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกันและกัน) ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้น จากอวิชชาหรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

38. ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับสังคมมีลักษณะเช่นไร

(1) ทวิวิถี (2) ยุคลวิถี (3) การจราจรสองทาง (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 153 – 154 ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับสังคมมีลักษณะเป็น “ทวิวิถี” หรือ “ยุคลวิถี” ซึ่งอาจเรียกว่า “การจราจรสองทาง” หรือ “การจราจรสวนกัน” ทั้งนี้เพราะ

1. การศึกษามีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพและกระบวนการของสังคมภายนอก

2. สังคมภายนอกก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพและความเป็นไปในวงการศึกษา

39. มหาวิทยาลัยใดมีปรัชญาการศึกษาที่เน้นการแก้ปัญหาเพื่อสวัสดิการของปวงชน

(1) มหาวิทยาลัยเปิดของประเทศอังกฤษ (2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

(3) มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (4) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตอบ 3 หน้า 177 – 178 ปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติจะเน้นในเรื่องความเข้าใจกัน ระหว่างมวลมนุษย์ การอยู่รวมกันของคนต่างชาติต่างภาษาและต่างวัฒนธรรม การดำรงรักษาไว้ ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยมีปรัชญาหลัก คือ การมุ่งแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสวัสดิการของปวงชน

40. “ความรู้คืออำนาจ” เป็นทัศนะของปราชญ์ท่านใด

(1) เบคอน (Bacon)

(2) โซเครติส (Socrates) (3) เพลโต (Plato) (4) อริสโตเติล (Aristotle)

ตอบ 1 หน้า 152 – 153 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน เช่น

1. พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2. อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม (ความเจริญและความเสื่อม) แห่งอาณาจักร และเป้าหมายสูงสุดหรืออุดมคติของการศึกษา คือ การเตรียมบุคคลให้รู้จักหาความสุขอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การเข้าถึงปัญญาอันเป็นทิพย์

3. เบคอน (Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4. รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดนุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ ธิติ สุขุมสัญญา และปัญญา

41. ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการกระจายตัวของประชากรได้แก่อะไร

(1) การเกิดเมือง

(2) การพัฒนาอุตสาหกรรม

(3) สิ่งแวดล้อม

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 185 ปัจจุบันปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรไม่ได้มีเพียง “ปัญหาที่เกิดจากการเพิมขึ้นของประชากรเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปัญหาการกระจายตัวของประชากร” ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเกิดเมืองและสิ่งแวดล้อมตามมา เช่น ปัญหาด้านการพัฒนา อุตสาหกรรม และสิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ

42. การเปลี่ยนแปลงทางประชากรโลกในอดีตเป็นอย่างไร

(1) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสม่ำเสมอ

(2) เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ สม่ำเสมอ

(3) เพิ่มช้าในตอนแรก เร็วในตอนหลัง

(4) เพิ่มเร็วในตอนแรก ช้าในตอนหลัง

ตอบ 3 หน้า 187 – 188 Hauser นักประชากรชาวอเมริกัน ได้ทำการศึกษาจากสำมะโนประชากร แล้วคำนวณหาจำนวนประชากรย้อนหลัง พบว่า การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกในอดีตเป็นไป อย่างช้า ๆ ในตอนแรก และค่อย ๆ เร็วขึ้นในตอนหลัง โดยเฉพาะในช่วง 3 ศตวรรษสุดท้าย คือ ศตวรรษที่ 18, 19 และ 20 ที่อัตราการเพิมขึ้นของประชากรโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก

43. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

(1) คนต่างชาติอพยพเข้ามามากขึ้น

(2) การเพิ่มขึ้นของอัตราเกิด

(3) การลดลงของอัตราเกิด

(4) การเพิ่มขึ้นของอัตราตาย

ตอบ 2 หน้า 192 สาเหตุที่ไทยมีอัตราเพิ่มของประชากรเร็วโดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เนื่องมาจากอัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัตราการเกิดยังอยู่ในระดับสูง

44. การปะทุทางประชากร (Population Explosion) มีลักษณะเช่นไร

(1) มีเด็กชายเกิดมากกว่าเด็กหญิง

(2) มีเด็กหญิงเกิดมากกว่าเด็กชาย

(3) มีเด็กเกิดจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

(4) อัตราส่วนทางเพศของประชากรแรกเกิดอยู่ในระดับสมดุล

ตอบ 3 หน้า 189 การปะทุทางประชากร (Population Explosion) ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ทั้งนี้เพราะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีนโยบายพัฒนาประเทศ โดยนำเอาความเจริญด้านการแพทย์และด้านวิทยาการยารักษาโรค จากประเทศพัฒนาแล้วมาเผยแพร่ ทำให้อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราการเกิด ยังอยู่ในระดับสูง จึงเป็นผลให้อัตราการเพิ่มของประชากรสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

45. ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution) ข้อใดไม่ใช่

(1) ครอบครัวมีขนาดเล็กลง (2) สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น

(3) หนุ่มสาวแต่งงานช้าหรือไม่แต่งงาน (4) อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติมีค่าเป็นศูนย์

ตอบ 4 หน้า 188 – 189 นักประชากรชาวยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่า สภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านคุณค่าและแบบแผนการดำเนินชีวิต นอกจากนี้วิธีการควบคุม การเกิด (การคุมกำเนิด) ยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น ค่าเช่าบ้านแพงขึ้นและมีขนาดเล็กลง และยังมีแนวโน้มว่า คนหนุ่มสาวแต่งงานช้าลงหรือ ไม่แต่งงานเลย ซึ่งนักประชากรเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution)

46. กระบวนการทางประชากรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนนปลงทางประชากร ได้แก่ข้อใด

(1) ครอบครัว การศึกษา และความเชื่อ (2) สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

(3) การเกิด การตาย และการย้ายถิ่น (4) สถานภาพ บทบาท และสถาบัน

ตอบ 3 หน้า 185 – 187 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่ 1. การเจริญพันธุ์ (การเกิด) 2. การตาย 3. การอพยพหรือการย้ายถิ่น

47. การแบ่งช่วงชั้นในยุโรปสมัยกลางใช้ระบบใด

(1) ชนชั้น (2) วรรณะ (3) ฐานันดร (4) สถานภาพ

ตอบ 3 หน้า 199 ฐานันดร (Estate) เป็นระบบการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลางของ ยุโรป เดิมมีเพียง 2 ฐานันดร ได้แก่ นักบวช (พระ) และขุนนาง ต่อมามีเพิ่มขึ้นอีก เช่น พ่อค้า สามัญชน เป็นระบบที่มีกฎหมายกำหนดสิทธิหน้าที่ของคนแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ของบุคคลต่อที่ดิน โดยการเขยิบฐานะเป็นไปได้ และไม่มีศาสนาคํ้าจุนเหมือนระบบวรรณะ

48. ตัวเลือกใดเป็นการจัดช่วงชั้นโดยอิทธิพลของศาสนา

(1) วรรณะ (2) ฐานันดร (3) ชนชั้น (4) ศักดินา

ตอบ 1 หน้า 198 – 199 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยมีอิทธิพลของศาสนาคํ้าจุนหรือเกื้อหนุน และเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพของบุคคลในสังคม ซึ่งจำกัดบุคคลไม่ให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด ดังนั้นระบบวรรณะจึงเป็น ระบบช่วงชั้นซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว (ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ)

49. ตัวเลือกใดเป็นสถานภาพติดตัวของบุคคล

(1) สิทธิของคนในสังคม

(2) ชาติตระกูล (3) การเป็นสมาชิกของสังคม (4) ศักดิ์ศรีที่แต่ละคนมีอยู่

ตอบ 2 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. สถานภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Ascribed Status) เป็นสถานภาพที่ได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมีรากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น เพศ อายุ ผิวพรรณ ชาติตระกูล วรรณะ ศาสนา ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) เป็นผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของบุคคล ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถและการแสดงบทบาท เช่น การศึกษา อาชีพ อำนาจ รายได้ ฯลฯ

50. ตามทัศนะของเวเบอร์ (Weber) อำนาจทางสังคมของบุคคลเกิดจากอะไร

(1) เกียรติยศ (2) การศึกษา (3) อาชีพ (4) รายได้

ตอบ 1 หน้า 203 ตามทัศนะของแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) อำนาจทางสังคมของบุคคลเกิดขึ้น จากเกียรติยศ ซึ่งได้รับจากบุคคลอื่น โดยสถานภาพขึ้นกับชุมชน ในขณะที่เกียรติยศขึ้นอยู่กับ การตัดสินโดยบุคคล ซึ่งเป็นผลให้บุคคลได้รับอำนาจทางสังคม

51. ข้อใดจัดเป็นตัวอย่างของฐานันดร (Estate)

(1) คนที่มีสถานะเท่าเทียมกันในสังคม

(2) พระและขุนนางในสมัยกลางของยุโรป

(3) นักบริหารที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ

(4) คนในวรรณะศูทรแต่งงานกับคนในวรรณะพราหมณ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

52. กลไกควบคุมทางสังคมข้อใดมีผลต่อการจัดระเบียบทางสังคม

(1) กลไกทางวัฒนธรรม

(2) กลไกกฎระเบียบ

(3) กลไกบังคับ

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 222 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย บรรทัดฐานการบังคับใช้ สถานภาพและบทบาท การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม ความแตกต่างทางสังคม และชั้นทางสังคม ซึ่งกลไกทางวัฒนธรรมแต่ละประเภทจะมีบทบาทสำคัญทั้งในกระบวนการ จัดระเบียบทางสังคมและการพัฒนาบุคคล

53. กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบเป็นทางการ มักใช้กลไกควบคุมสังคมแบบใด

(1) สถานภาพ

(2) บทบาท

(3) กฎระเบียบ

(4) วัฒนธรรม

ตอบ 3 หน้า 243 ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) และ กลุ่มที่เป็นทางการ (Formal Groups) คือ กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบไม่เป็นทางการจะไม่ใช้ กลไกกฎระเบียบ แต่กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบทางการมักใช้กลไกเกี่ยวกับกฎระเบียบเสมอ ส่วนกลไกที่มักใช้กับทั้งกลุ่มทางการและกลุ่มไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลไกการแลกเปลี่ยน กลไกกลอุบาย กลไกการรวมตัวเข้าด้วยกัน กลไกทางวัฒนธรรม กลไกบังคับใช้ เป็นต้น

54. การประนีประนอมและการมีผู้ชี้ขาด เป็นกลไกการควบคุมทางสังคมแบบใด

(1) กฎระเบียบ (2) การบังคับ (3) การแลกเปลี่ยนสมานลักษณ์ (4) การถอนตัว

ตอบ 3 หน้า 232 กลไกการแลกเปลี่ยนสมานลักษณ์ ประกอบด้วย

1. การประนีประนอม 2. การมีผู้ชี้ขาดหรือคนกลาง 3. การอดกลั้น

55. ข้อใดคือตัวอย่างของวิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน

(1) การให้อำนาจ (2) การให้เหรียญตรา

(3) การให้รางวัลเป็นเงิน (4) การลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไร้คุณธรรม

ตอบ 2 หน้า 217 วิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน (เชิงบวก) ได้แก่ การซุบซิบ ในทางดี การจงใจและการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การยกย่องสรรเสริญเยินยอ และการให้ เหรียญตราเกียรติยศที่เป็นสิ่งแสดงสถานภาพที่สูงขึ้น เช่น การมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯลฯ

56. ข้อใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่ใช้กลไกการใช้อุบาย

(1) การใช้เทคโนโลยี (2) การใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับ

(3) การใช้ถ้อยคำภาษา (4) การใช้คนจำนวนมากต่อรอง

ตอบ 3 หน้า 221, 234 กลไกกลอุบาย ประกอบด้วย 1. กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา

2. กลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

57. ข้อใดจัดเป็นพฤติกรรมทางการเมือง (1) การขยายตัวของเมือง

(2) การจัดองค์การทางการเมือง (3) การอพยพหรือย้ายถิ่นเข้าสู่เมือง

(4) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 4 หน้า 247 – 248 สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1. อิทธิพลของสังคมที่มีต่อกระบวนการทางการเมือง

2. โครงสร้างของสังคมกับสถาบันทางการเมือง

3. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการจัดระบบ รูปแบบ และนโยบายทางการเมือง

4. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.

5. สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมืองการปกครอง

6. ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับการเมืองที่ก่อให้เกิดการพัฒนา

58. สังคมวิทยาการเมืองถือกำเนิดจากอะไร

(1) ระบบฟิวดัล (Feudalism) (2) ผลของสงครามครูเสด

(3) สมัยที่เจ้าผู้ครองนครรัฐต่าง ๆ ต่างจับจองอาณาเขตของตน

(4) การเปลี่ยนแปลงทางศาสนา เศรษฐกิจ และการเมืองหลังยุคกลางของยุโรป

ตอบ 4 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองเริ่มมีจุดกำเนิดมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและการศาสนาในสมัยหลังยุคกลางของยุโรป (ประมาณศตวรรษที่ 16)

59. ในสมัยกลางของยุโรปผู้ใดมีอำนาจมากทั้งในทางธรรมและทางโลก

(1) ขุนนาง (2) พระ (3) จักรพรรดิ (4) ชนชั้นกลาง

ตอบ 2 หน้า 248 ในสมัยกลางของยุโรปซึ่งเป็นยุคของการรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ พระเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากทั้งทางโลก (อาณาจักร) และทางธรรม (ศาสนจักร) ซึ่งทั้ง 2 องค์กรนี้ รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มิได้แยกจากกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระในศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะสันตะปาปามีบทบาทมากทั้งทางสังคม การเมืองการปกครอง และการศาสนา มีหน้าที่ควบคุมดูแลประชาชน และบริหารงานบ้านเมืองไปด้วยในขณะเดียวกัน

60. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ความขัดแย้งที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือความขัดแย้งในข้อใด

(1) ความขัดแย้งระหว่างอาชีพ (2) ความขัดแย้งทางเพศ

(3) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (4) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

ตอบ 4 หน้า 250, 320 – 322 ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (นายทาสกับทาส เจ้าขุนมูลนายกับไพร่ นายทุนกับกรรมกร) โดยสังคมจะปราศจากการขัดแย้งก็ต่อเมื่อเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง นั่นคือ ไม่มีรัฐ ไม่มีรัฐบาล เพราะตราบใดที่มีรัฐนั่นก็จะหมายถึงมีการใช้อำนาจรัฐบังคับกดขี่

61. กลไกสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมฝูงชนคือข้อใด

(1) การระบาดทางอารมณ์

(2) การกำหนดสถานภาพและบทบาท

(3) การกำหนดจำนวนสมาชิก

(4) การควบคุมด้วยบรรทัดฐานทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 254 – 255 การระบาดทางอารมณ์ (Emotional Contagion) เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ เกิดพฤติกรรมฝูงชน เพราะฝูงชนเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกันในด้านร่างกาย ดังนั้นการติดต่อกัน ทางอารมณ์จึงเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ฝูงชนยังมี อิทธิพลมาก สามารถครอบงำความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มคนที่เข้าร่วมในฝูงชนให้มีอารมณ์และ มีพฤติกรรมคล้อยตามกัน โดยปราศจากเหตุผลและความมีสติ

62. ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) บนท้องถนนในปัจจุบัน เช่น การต่อต้านการสร้างเขื่อน โรงไฟฟ้า การชุมนุมทางการเมือง ฯลฯ อาจจัดได้ว่าคือฝูงชนประเภทใด

(1) Casual Crowd

(2) Acting Crowd

(3) Conventional Crowd

(4) Expressive Crowd

ตอบ 2 หน้า 255 ฝูงชนลงมือกระทำ (Acting Crowd) เป็นฝูงชนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และ พร้อมที่จะแสดงออกถึงความก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย ซึ่งฝูงชนประเภทนี้จะได้รับความสนใจ จากนักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์มาก เพราะการระบาดทางอารมณ์จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยฝูงชนประเภทนี้ได้แก่ Mob ประเภทต่าง ๆ

63. ข้อใดจัดว่าเป็นพฤติกรรมฝูงชน

(1) นักเรียนขั้น ป.4 เรียนวิชาภาษาไทย

(2) นักเรียนนั่งรอรถประจำทางที่หน้าโรงเรียบ

(3) นักเรียนชาย 4 คน เล่นไพ่หลังห้องเรียน

(4) นักเรียนเข้าร่วมฟังธรรมในหอประชุม

ตอบ 4 หน้า 255 ฝูงชนชุมนุม (Conventional Crowd) หมายถึง ฝูงชนที่มารวมตัวกันโดยจะมี สัญลักษณ์บางอย่าง (แบบแผนหรือความสำนึกเป็นพวกเดียวกัน) ควบคุมอยู่ เช่น การดูกีฬา ภาพยนตร์ ดนตรีหรือคอนเสิร์ต ฟังธรรม อภิปราย ปาฐกถา ฯลฯ ซึ่งจะมีการกำหนดเวลา และสถานที่เอาไว้ล่วงหน้า โดยสมาชิกที่เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามแบบแผนที่กำหนดไว้

64. คำกล่าวว่า “มนุษย์เกิดความคับแค้นเพราะมีความต้องการมากแต่สมปรารถนาน้อย” เป็นคำกล่าว ที่บ่งถึงสิ่งใด

(1) สาเหตุของปัญหาสังคม (2) ประเภทปัญหาสังคม

(3) แนวทางแก้ไขปัญหาสังคม (4) แนวทางป้องกันปัญหาสังคม

ตอบ 1 หน้า 261, (คำบรรยาย) อุดม โปษะกฤษณะ กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาสังคมว่า ความรุนแรง และความคุกรุ่นของคนต่อปัญหาต่าง ๆ จะแอบแฝงอยู่กับผู้ที่มีความคับแค้น เพราะมีความ ต้องการมากแต่ได้รับความสมปรารถนาน้อย การจะบรรเทาเบาบางหรือลดปัญหาต่าง ๆ ลง คนเราจะต้องตัดไฟความปรารถนา ตัณหา ความโลภ และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

65. การนำเสื้อผ้า/อาหารไปแจกผู้ประสบภัยนํ้าท่วมเป็นการแก้ไขปัญหาสังคมแบบใด

(1) แบบย่อย (2) แบบป้องกัน (3) แบบวางแผน (4) แบบรวมถ้วนทั่ว

ตอบ 1 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลนและช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร นำดื่ม และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมี การวางแผนมาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผลมีการตรวจสอบ และปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

66. ข้อใดคือปัญหาสังคมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ

(1) การว่างงาน (2) ความยากจน (3) การค้ามนุษย์ (4) ยาเสพติด

ตอบ 2 หน้า 268, (คำบรรยาย) ความยากจน หมายถึง การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต ซึ่งถือเป็นปัญหาสังคมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ หรือเซื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่น ๆ

67. “การจับหนูให้แมวกิน” จัดเป็นแนวทางตามตัวเลือกใด

(1) ตัดไฟแต่ต้นลม (2) ล้อมคอกก่อนวัวหาย

(3) วัวหายล้อมคอก (4) แก้ไขปัญหาแบบเฉพาะหน้า

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ (แก้ไขปัญหาระยะยาวต้องฝึกแมวให้จับหนู)

68. ข้อใดหมายถึงการโกงประชาชน การเบียดบังของหลวง การใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว และการเลือกที่รักมักที่ชัง

(1) การบังหลวง

(2) การฉ้อราษฎร์ (3) การฉ้อราษฎร์บังหลวง (4) การใช้งบประมาณของรัฐบาลเกินความจำเป็น

ตอบ 3 หน้า 281 “การฉ้อราษฎร์” หมายถึง การเบียดบังเอาผลประโยชน์ของราษฎร (ประชาชน) ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (การโกงราษฎร), “การบังหลวง” หมายถึง การกระทำด้วยวิธีหนึ่ง วิธีใดที่นำเอาผลประโยชน์จากราชการไปใช้ส่วนตัว หรือการเบียดบังของหลวงไปเป็นสมบัติของตนเอง “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” ครอบคลุมไปถึงการใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว การเอาของราชการไปใช้ส่วนตัว การเลือกที่รักมักที่ชัง และการกินสินบน

69. ข้อใดคือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อมากที่ลุด

(1) นายทุน (2)เกษตรกร (3)ข้าราชการ (4)นักธุรกิจ

ตอบ 2 หน้า 266 เงินเฟ้อ หมายถึง ปรากฏการณ์ที่ระดับราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นระยะเวลาติดต่อกันยาวนานพอสมควร ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนยากจนที่มีรายได้น้อย จะได้รับผลกระทบกระเทือนมาก เพราะรายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน ส่วนคนรํ่ารวยมีกิจการอุตสาหกรรมใหญ่โต มีที่ดินและอาคารมากมาย จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเมื่อเงินเสื่อมค่าลงก็สามารถขึ้นราคาสินค้าและค่าเช่าได้ ในขณะที่ข้าราชการและชนชั้นกลางจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ไมเท่าคนจน เพราะยังมีรายได้มากพอเป็นค่าใช้จ่าย

70. ข้อใดหมายถึงชนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ

(1) กลุ่มคน (2) กลุ่มขนาดเล็ก (3) ชุมชน (4) ชนกลุ่มน้อย

ตอบ 4 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการยึดถือ วัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่านจึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้น ชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาอาศัย รวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ จัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

71. ชนกลุ่มน้อยมีความหมายตรงข้ามกับตัวเลือกใด

(1) กลุ่มอาณานิคม

(2) กลุ่มใต้ครอบครอง

(3) กลุ่มอิทธิพล

(4) กลุ่มผลประโยชน์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72. ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยชาวจีน

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

(2) การแยกพวก

(3) การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

(4) การกีดกัน

ตอบ 1 หน้า 301 ประเทศไทยสามารถใช้นโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) กับคนจีนได้ผลดีมากกว่าประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เพราะมีปัจจัยเอื้ออำนวยหลายประการ เช่น มีความสัมพันธ์กันมานาน เป็นเชื่อชาติผิวเหลืองเหมือนกัน มีหลักศาสนา หลักปรัชญา ความเชื่อ ทัศนคติและการมองโลกคล้ายคลึงกัน ฯลฯ

73. ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการแก้ไขปัญหาชาวเขา

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

(2) การแยกพวก

(3) การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

(4) การผสมผสานชาติพันธุ์

ตอบ 1 หน้า 299 การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) เป็นนโยบายที่ประเทศไทยใช้ใน การแก้ไขปัญหาขาวเขา ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เกิดความเข้าใจและใกล้ชิดติดต่อกันมากขึ้น ทำให้ ชาวเขาไม่เกิดความรู้สึกแตกแยกโดดเดี่ยว และทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

74. ตัวอย่างใดเป็นความรู้สึกชาติพันธุ์นิยมที่เกิดภายในกลุ่มสมาชิกของชนกลุ่มน้อย

(1) คนนิโกรเรียกตัวเองว่าอาฟโรอเมริกัน (2) คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก

(3) คนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นถูกเรียกว่าแจ๊ป (4) คนอินเดียถูกเรียกว่าแขก

ตอบ. 1 หน้า 287 – 288 ภายในหมู่ชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ อาจเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า การมีอคติต่อเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์นิยม (Ethnocentrism) โดยจะแสดงพฤติกรรมดังนี้

1. อคติของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อชนกลุ่มน้อย ด้วยการขนานนามกลุ่มอื่นในทางที่ไม่ดี เช่น คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก, คนอินเดียถูกเรียกว่า แขก, คนเวียดนามถูกเรียกว่า แกว,คนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นถูกเรียกว่า แจ๊ป, พวกนิโกรถูกเรียกว่า นิกเกอร์ ฯลฯ

2. อคติของชนกลุ่มน้อยที่มีต่อชนกลุ่มใหญ่ ด้วยการเรียกกลุ่มของตนในทางที่ดี เช่น คนนิโกร เรียกกลุ่มของตนเองว่า อาฟโรอเมริกัน, คนอเมริกาเชื้อสายเม็กซิกันเรียกตนเองว่า ชิคาโน ฯลฯ

75. ตามแนวคิดของริสแมน (Riesman) รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเป็นอย่างไร

(1) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่ประเพณีนำ (2) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่สำนึกนำ

(3) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่สำนึกนำ (4) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่ผู้อื่นนำ

ตอบ .4 หน้า 331 – 332 รูปแบบสังคมตามทัศนะของริสแมน (Riesman) แบ่งเป็น 3 รูปแบบและ เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สังคมประเพณีนำ 2. สังคมสำนึกนำ 3. สังคมผู้อื่นนำ ซึ่งสังคมอเมริกันจะเป็นไปตามรูปแบบที่ริสแมนได้กล่าวไว้ ส่วนสังคมไทยข้ามขั้นตอนจาก รูปแบบสังคมประเพณีนำไปสู่สังคมผู้อื่นนำ โดยขาดขั้นสังคมสำนึกนำ

76. แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการหน้าที่ (2) ทฤษฎีวัฏจักร

(3) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (4) ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม

ตอบ 4 หน้า 315 แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการ (วิวัฒนาการทางสังคม) โดยเขากล่าวถึงการวิวัฒนาการว่าเป็นเสมือนกระบวนการแห่งการเติบโต ทั้งนี้โดยการ เปรียบเทียบสังคมว่าเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิต

77. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) สังคมรูปแบบใดยุติการเปลี่ยนแปลง

(1) ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (2) ระบบทาสบรรพกาล

(3) ระบบศักดินา (4) ระบบนายทุน

ตอบ 1 หน้า 321 – 322 รูปแบบการเมืองการปกครองตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) มี 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม 2. ระบบทาสบรรพกาล 3. ระบบศักดินา

4. ระบบนายทุน (ทุนนิยม) 5. ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (หยุดการเปลี่ยนแปลง)

78. หัวใจสำคัญของทฤษฎีวัฏจักรคืออะไร

(1) มนุษย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม (2) อารยธรรมจะคงอยู่ตลอดกาล

(3) อารยธรรมจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (4) อารยธรรมเมื่อมีการรุ่งเรืองย่อมมีการล่มสลาย

ตอบ 4 หน้า 309 – 312 ทฤษฎีวัฎจักร เป็นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฏจักรหรือการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ ไม่มีความถาวรของ ยุคใดยุคหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุด ก็จะกลับมาจุดเริ่มต้น หรือเมื่อมีการเจริญรุ่งเรืองก็ย่อมมีการล่มสลาย และเมื่อมีการล่มสลาย ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ

79. กระบวนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอน จุดยืน จุดแย้ง จุดยุบ เป็นแนวความคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ทอยน์บี (Toynbee) (3) ค้องท์ (Comte) (4) พาร์สัน (Parson)

ตอบ 1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งไต้อธิบาย การเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน) ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. “สภาพสังคมที่สลับซับซ้อนถือว่าเป็นความก้าวหน้า” คำกล่าวนี้สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงตามทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการหน้าที่ (2) ทฤษฎีวัฏจักร (3) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (4) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ตอบ 4 หน้า 313 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตกโดยเชื่อว่า สังคมก้าวหน้าขึ้นจากสภาพที่อยู่กันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนและขยายตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความซับซ้อนหรือสภาวะเชิงซ้อนสูงขึ้น ซึ่งการมีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นนั้น ถือว่าเป็นความก้าวหน้า

81. ตามความคิดของเพลโต (Plato) “การเปลี่ยนแปลงจากราชาธิปไตย วีรชนาธิปไตย คณาธิปไตย ประชาธิปไตย และทุชนาธิปไตย” เป็นไปตามทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการใช้อำนาจ

(2) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

(3) ทฤษฎีวัฏจักร

(4) ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่

ตอบ 3 หน้า 310 – 311 ตามทฤษฎีวัฏจักรหรือการหมุนเวียนนั้น เพลโต (Plato) ได้แบ่งการเปลี่ยนแปลง ของรัฐออกเป็น 5 ยุค ดังนี้ 1. อภิชนาธิปไตยหรือราชาธิปไตย 2. วีรชนาธิปไตย

3. คณาธิปไตย 4. ประชาธิปไตย 5. ทุชนาธิปไตย

82. การศึกษาเรื่องใดที่นำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมของคนชนบท

(1) ประชากร

(2) สถาบันอนามัย

(3) ค่านิยม

(4) การตั้งถิ่นฐาน

ตอบ 3 หน้า 346 การศึกษาค่านิยมในสังคมชนบทนับเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรม ของคนชนบท ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการติดต่อสัมพันธ์และการพัฒนาชนบทให้เป็นไปด้วยดี ในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

83. ระบบเศรษฐกิจในชุมชนชนบทดั้งเดิม มีลักษณะอย่างไร

(1) ระบบพึ่งพาตัวเอง

(2) ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

(3) ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า

(4) ระบบพึ่งพาหน่วยทางสังคมต่าง ๆ

ตอบ 1 หน้า 340 – 343 ระบบเศรษฐกิจในชุมชนชนบทดั้งเดิมมีลักษณะเป็นระบบพึ่งพาตัวเอง เป็นการผลิตเพื่อการบริโภคมากกว่าเพื่อการค้า การพึ่งพาหน่วยทางสังคมต่าง ๆ มีน้อย ซึ่งแตกต่างจากชีวีตชาวเมืองที่ต้องพึ่งพาอาศัยหน่วยทางสังคมต่าง ๆ อยู่มาก

84. ตัวเลือกใดเป็นสาเหตุจากภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การแปรปรวนของธรรมชาติ (2) การอพยพย้ายถิ่น

(3) การพัฒนา (4) การตาย

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบท เช่น การเกิด การตาย การอพยพย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ (การขอยืมวัฒนธรรม) การพัฒนา ฯลฯ

85. การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไป มีลักษณะแบบใด

(1) หมู่บ้านสหกรณ์ (2) หมู่บ้านป่าไม้ (3) หมู่บ้านเกษตรกรรม (4) นิคมสร้างตนเอง

ตอบ 3 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปจะเป็นแบบไม่มีการวางแผน โดยมีการตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งจะตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่ม ที่ดอน ที่เนินชายป่า ชายเขา เส้นทางคมนาคม และส่วนใหญ่จะตั้งตามริมฝั่งนํ้า (ส่วนการตั้งถิ่นฐานชนิดที่มีการวางแผนนั้น นับว่ามีน้อยมาก คงมีแต่เฉพาะหมู่บ้านสหกรณ์ นิคมสร้างตนเอง และหมู่บ้านป่าไม้เท่านั้น)

86. ข้อใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(2) การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (3) ความโดดเดี่ยว (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 340 – 341 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนขนบท มีดังนี้

1. ความโดดเดี่ยว 2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร 4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค

87. สังคมวิทยาชนบทมักศึกษาเปรียบเทียบกับวิชาใด

(1) สังคมวิทยาอุตสาหกรรม

(2) สังคมวิทยาการพัฒนา (3) สังคมวิทยาบ้านนา (4) สังคมวิทยานคร

ตอบ 4 หน้า 335, 363 สังคมวิทยาชนบทมักจะนิยมศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยานครหรือ สังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง โดยจะศึกษาถึงความเกี่ยวพันกับสังคมเมือง เพราะปรากฏการณ์ในสังคมเมืองอาจจะส่งผลสะท้อนไปสู่ชนบท ทำให้ชนบทเปลี่ยนแปลงไป เป็นการหาวิธีเสริมสร้างชีวิตชนบทให้มั่นคง

88. ในการพัฒนาชนบทต้องพัฒนาอะไรเป็นอันดับแรก

(1) การศึกษา (2) คน (3) อุตสาหกรรม (4) สภาพแวดล้อม

ตอบ 2 หน้า 338 ในการพัฒนาชนบทนั้น ต้องมุ่งพัฒนาคน (คุณภาพของคน) เป็นอันดับแรกและการพัฒนาคนนั้นต้องพัฒนาความคิดของเขา อะไรคือตัวบงการให้คนชนบทคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ค่านิยมหรือวัฒนธรรม ซึ่งการศึกษาสังคมชนบทจะช่วยให้เราเข้าใจได้

89. ทฤษฎีใดกล่าวว่า “เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางคมนาคมขนส่ง”

(1) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (2) ทฤษฎีรูปสามเหลี่ยม

(3) ทฤษฎีรูปดาว (4) ทฤษฎีรูปวงกลม

ตอบ 3 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดย อาร์.เอ็ม. เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า “เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง” ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

90. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) จำนวนประชากร

(2) เหมืองแร่ (3) การปกครองและศาสนา (4) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 4 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำให้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้าโดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

91. เมืองไมอามี เป็นเมืองประเภทใด

(1) เมืองพักผ่อนตากอากาศ

(2) เมืองท่า

(3) เมืองศูนย์รวมการคมนาคมขนส่ง

(4) เมืองศูนย์กลางการขายส่งและปลีก

ตอบ 1 หน้า 370 – 371 เมืองซึ่งเกิดจากหน้าที่พิเศษ คือ เมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากการให้บริการ บางอย่าง เช่น เหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการพักผ่อน ฯลฯ หรือเป็นเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะอย่าง เช่น เมืองไมอามี่ (เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ) สแกนตัน พิททส์เบิร์ก พัทยา ฯลฯ

92. ข้อใดเป็นเมืองอันดับสองที่นำมาเปรียบเทียบกับความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานคร

(1)ขอนแก่น

(2)เชียงใหม่

(3)นครราชสีมา

(4)อุบลราชธานี

ตอบ 2 หน้า 381 ความเป็นเอกนครของประเทศไทยจะดูได้จากขนาดของกรุงเทพฯ ที่มีขนาดใหญ่ กว่าเชียงใหม่ที่เป็นเมืองอันดับ 2 ถึงประมาณ 35 เท่าตัว เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรที่ อาศัยอยู่ในเขตเมืองและเป็นศูนย์รวมของระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ประชากรในเขตเมืองของประเทศไทยกว่าครึ่งอาศัยในกรุงเทพฯ ในขณะเดียวกันเมืองรอง ๆ ลงไปก็มีระดับความเจริญที่เทียบกันไม่ได้เลยกับกรุงเทพฯ

93. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา

(1) มีความเป็นเมืองมากเกินไป

(2) มีลักษณะแบบเอกนครชัดเจน

(3) การขยายขนาดของเมืองมีอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

(4) การย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองเพราะแรงดึงดูดของเมืองมากกว่าแรงผลักดันจากชนบท

ตอบ 4 หน้า 380 ลักษณะความเป็นเมืองและการขยายขนาดของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา มีดังนี้

1. การขยายขนาดของเมืองเป็นไปในอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

2. การขยายขนาดของเมืองขึ้นอยู่กับผลของการเพิ่มโดยธรรมชาติ (ผลต่างระหว่างจำนวน การเกิดและการตาย) ของประชากรในเมืองร่วมกับผลจากการย้ายถิ่นเข้าของชาวชนบท

3. การย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองมีสาเหตุผลักดันจากชนบทมากกว่าแรงดึงดูดของเมือง

4. มีความเป็นเมืองมากเกินไป 5. มีลักษณะเป็นแบบเอกนครอย่างชัดเจน

94. ข้อใดไม่ใช่เขตเมือง

(1) เทศบาลนคร (2) เทศบาลเมือง (3) เทศบาลตำบล (4) นอกเขตเทศบาล

ตอบ 4 หน้า 364, (คำบรรยาย) ประเทศไทยไม่ได้มีการให้คำจำกัดความที่แน่นอนของคำว่า“เมือง” เอาไว้ แต่เราถือว่า เมือง คือ เขตเทศบาล (ซึ่งประกอบด้วย เขตเทศบาลนคร เขตเทศบาลเมือง และเขตเทศบาลตำบล) รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา

95. ข้อใดเป็นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในระยะแรกเริ่ม

(1) การตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม

(2) การตั้งถิ่นฐานแบบกระจาย (3) การตั้งถิ่นฐานแบบเส้นตรง (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 372 – 373 การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในระยะแรกเริ่ม แบ่งออกเป็น

1. การตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม (Cluster Settlement) เป็นการตั้งถิ่นฐานแบบที่มิได้มีการ วางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นการตั้งบ้านเรือนอยูรวมกันเนป็กลุ่ม ๆ บนพื้นที่ไร่นาของตน

2. การตั้งถิ่นฐานแบบกระจาย (Scattered Settlement) เป็นการตั้งบ้านเรือนแบบครอบครัว ที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ย่านชุมชน ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด โรงเรียน ตลาด ฯลฯ

3. การตั้งถิ่นฐานแบบเส้นตรง (Line Settlement) เป็นการตั้งบ้านเรือนเรียงรายตาม เส้นทางคมนาคมทั้งทางนํ้าและทางบก เช่น ริมผฝั่งแม่นํ้า ลำคลอง สองฝั่งถนน ฯลฯ

96. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับนํ้า

(1) นํ้าฝนเป็นนํ้าที่อยู่บนผิวดิน (2) นํ้าใช้ในการผลิตพลังงาน

(3) นํ้าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอุตสาหกรรม (4) นํ้าเสียเกิดจากการเจือปนของสารพิษ

ตอบ 1 หน้า 398 น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อพืช สัตว์ การบริโภค การผลิตอาหาร การอุตสาหกรรม

และการผลิตพลังงาน น้ำธรรมชาติแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ นํ้าฝน น้ำทะเล น้ำท่า (น้ำที่อยู่ผิวดิน) และน้ำบาดาล (น้ำใต้ดิน) โดยน้ำเสียมีสาเหตุต่าง ๆ เช่น เกิดจากการเจือปนของสารพิษซึ่งถูกย่อยสลายไม่ได้ และอินทรีย์สารซึ่งถูกย่อยสลายได้ ฯลฯ

97. พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เกิดจากอะไร

(1) เขื่อนผลิตกระแสไพ่ฟ้า

(2) ก๊าชธรรมชาติ (3) แสงอาทิตย์ (4) นํ้ามัน

ตอบ 1 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จากน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าชธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้อง เลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของป่าไม้ได้

98. ภเขา ทะเลทราย จัดเป็นระบบนิเวศน์ของมนุษย์ประเภทใด

(1) Managed Natural Ecosystems (2) Mature Natural Ecosystems

(3) Productive Ecosystems (4) Urban Ecosystems

ตอบ 2 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยดัดแปลงและปรับปรุง เช่น สวนสาธารณะ วนอุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

99. ความดังของเสียงระดับใดที่มีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์

(1) เกิน 30 เดซิเบล (2) เกิน 50 เดซิเบล (3) เกิน 60 เดซิเบล (4) เกิน 85 เดซิเบล

ตอบ 4 หน้า 403 ระดับปกติของเสียงที่เหมาะสมกับสุขภาพของมนุษย์ควรจะอยู่ในระดับไม่เกิน 85 เดซิเบล เพราะถ้าเกิน 85 เดซิเบล นับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยในต่างประเทศได้ มีกฎหมายกำหนดระดับเสียงในโรงงานไม่ให้ดังเกิน 85 เดซิเบล

100. มนุษย์สายพันธุใดมีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด

(1) Rodisian Man (2) Pithecanthopus

(3) Ramapithecus (4) Cro-magnon Man

ตอบ 4 หน้า 417 – 418 มนุษย์โครมันยอง (Cro-magnon Man) มีชีวิตอยู่ราว 40,000 ปีมานี้เอง และเชื่อกันว่ามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึง/ใกล้เคียงและมีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับ มนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้นจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนหรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยมนุษย์เหล่านี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ เช่น Swanscombe Man, Fontechevade Man, Kanam Man และ Kanjera Man เป็นต้น

101. ผู้ใดคือผู้บุกเบิกวิชาอนุกรมวิธาน (Taxonomy) หรือศาสตร์การจำแนกสิ่งมีขีวิต ออกเป็นประเภทต่าง ๆ

(1) ลีล (Lyell)

(2) ลินเน (Linne)

(3) ลามาร์ก (Lamarck)

(4) ดาร์วิน (Darwin)

ตอบ 2 หน้า 414, (คำบรรยาย) ลินเน (Linne) นักชีววิทยาชาวสวีเดน เป็นผู้เริ่มวิชาอนุกรมวิธาน (Taxonomy) หรือศาสตร์การจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นประเภทต่าง ๆ ด้วยการจัดระบบวิธีการ ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตแบบทวินาม (Binomial) ไว้ในหนังสือชื่อ System of Nature โดยลักษณะของชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะประกอบด้วยชื่อ Genus (สกุล) และ species (ชนิด)

102. ข้อใดคือตัวอย่างของมนุษย์กลุ่มผิวเหลือง (Mongoloid)

(1) นอร์ติก

(2) เอสกิโม

(3) แฮมิติก

(4) เซมิติก

ตอบ 2 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวเหลือง (Mongoloid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

1. พวกมองโกลอยด์ อยู่แถบทวีปเอเชียตะวันออก เช่น จีน ทิเบต และมองโกเลีย

2. พวกอินเดียนแดง อยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้

3. พวกเอสกิโม อยู่แถบเหนือสุดของทวีปอเมริกา (รัฐอลาสก้าและตอนเหนือของแคนาดา)

4. พวกมาลายัน เช่น มลายู ชวา ไทย และบาหลี

103. นักมานุษยวิทยาท่านใดคือบิดาของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม

(1) ไทเลอร์ (Tylor)

(2) โบแอส (Boas)

(3) เบเนดิกท์ (Benedict)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 1 หน้า 428, (คำบรรยาย) ไทเลอร์ (Tylor) นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ถือเป็นบิดาของวิชา มานุษยวิทยาวัฒนธรรม เพราะเขามีผลงานการเขียนและค้นคว้าวิจัยในทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมมากมาย และหนังสือของเขาที่ชื่อ Primitive Culture (ค.ศ. 1871) ก็ถือได้ว่าเป็นความพยายาม ในการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เป็นระบบและมีความสมบูรณ์ที่สุดเล่มแรกของโลก

104. การศึกษาวัฒนธรรมกับบุคลิกภาพของชาวนาไทยจัดอยู่ในสาขาใดของมานุษยวิทยา (1) โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ (2) มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์

(3) มานุษยวิทยาสังคม (4) ชาติพันธุ์วรรณนา

ตอบ 4 หน้า 436 – 437 ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography) เป็นวิชาที่ศึกษาวัฒนธรรมของสังคมใด สังคมหนึ่งโดยเฉพาะ โดยศึกษาลึกซึ้งถึงรายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่างในวัฒนธรรมนั้น ๆ เช่น การศึกษาวัฒนธรรมกับบุคลิกภาพของชาวนาไทย โดยเฮอร์เบิร์ต ฟิลลิป ที่หมู่บ้านบางชัน เขตมีนบุรี ฯลฯ

105. การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมมีแนวทางอย่างไร

(1) ศึกษาสังคมอย่างเป็นองค์รวมและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสังคม

(2) เป็นการออกแบบสอบถามและสุ่มตัวอย่าง

(3) เป็นการศึกษาเฉพาะกรณีหรือรายกรณี

(4) การศึกษาแบบมีส่วนร่วม

ตอบ 3 หน้า 432 – 433 การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม ตามปกตินักมานุษยวิทยาจะสนใจ ศึกษาสังคมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลอารยธรรมที่เจริญ วิธีการศึกษามักจะนิยมศึกษาเฉพาะกรณี หรือรายกรณี (Case Study) ของแต่ละสังคม โดยเลือกสังคมที่ต้องการศึกษาแล้วเข้าไปอาศัย อยู่ในสังคมนั้นระยะเวลาหนึ่งด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่าการศึกษางานสนาม โดยใช้เครื่องมีอ ในการทดสอบแบบเฝ้าสังเกต การตีความหมาย และการเปรียบเทียบ

106. ต้นกำเนิดชองวัฒนธรรมที่สำคัญของโลกแถบเมโสโปเตเมียตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มนํ้าใด

(1) แยงซีเกียง (2) ไนล์ (3) ไทกริส-ยูเฟรติส (4) ดานูบ

ตอบ 3 หน้า 442 บริเวณที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดของวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก คือ ลุ่มแม่นํ้า โดยวัฒนธรรมที่เจริญถึงที่สุดและได้รับการยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมโลกนั้น ได้เริ่มต้นขึ้น ที่แถบเมโสโปเตเมีย (แถบลุ่มแม่นํ้าไทกรีส-ยูเฟรติส), จีน (แถบลุ่มแม่นํ้าแยงซีเกียง),อินเดียตอนเหนือ (แถบลุ่มแม่นํ้าสินธุ) และอียิปต์ (แถบลุ่มแม่น้ำไนล์)

107. ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมในวัฒนธรรมอเมริกาใต้ สอดคล้องกับค่านิยมข้อใด

(1) ชาติกำเนิด (2) ความร่ำรวย (3) ศาสนา (4) การศึกษา

ตอบ 2 หน้า 448 ชาวอเมริกาใต้มักมีคำขวัญทำนองไทย ๆ ว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่หรือเงินทำให้ผิวคนขาวขึ้น ไพร่ดูเป็นผู้ดี คนไม่สวยดูเป็นคนสวย ความร่ำรวยทำให้คนผิวดำ ชาวนิโกรผิวขาวขึ้น แลดูเป็นผู้ดีน่าคบหาสมาคม ส่วนคนผิวขาวที่ยากจน คือ คนผิวดำที่ได้รับ การรังเกียจกีดกันทั่วไป คนร่ำรวยมีอำนาจได้รับการยกย่อง

108. วัฒนธรรมอเมริกาใต้ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกใด

(1) โปรตุเกส (2) สเปน (3) กรีซ (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 446 วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในภูมิภาคอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา) คือ สเปนและโปรตุเกส ซึ่งแต่เดิมนั้นประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับวัฒนธรรมจากพวกอินเดียนแดง ที่เรียกตัวเองว่า อินคา หรือลูกพระอาทิตย์

109. ข้อใดสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอเมริกันน้อยที่สุด

(1) การดื่มไวน์ (2) ภาพยนตร์ฮอลลีวูด (Hollywood)

(3) กางเกงยีนส์ (4) อาหารจานด่วน (Fast Food)

ตอบ 1 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอเมริกัน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถึอกำเนิดและถูกถ่ายทอดมาจาก อเมริกาไม่ว่าจะเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ระเบียบประเพณี ค่านิยม ภาษาหรือคำศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารการกิน เช่น อาหารจานด่วน (Fast Food), กาแฟสตาร์บัค, ไก่ทอดเคเอฟซี, แฮมเบอร์เกอร์แมคโดนัล, วัฒนธรรมยีนส์, การ์ตูนเป็ดโดนัลและหนูมิกกี้เมาส์, คำว่า “hot dog”, “weekend”, “freeway”, ภาพยนตร์ฮอลลีวูด (Hollywood), สวนสนุก Disneyland ๆลฯ (ส่วนการดื่มไวน์เป็นวัฒนธรรมของฝรั่งเศส)

110. ตัวเลือกใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมตะวันตก

(1) ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (2) เน้นความสำคัญของตัวบุคคล

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโส (4) นิยมวัตถุ

ตอบ 3 หน้า 442 – 443, (คำบรรยาย) ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย ยกย่อง ผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เน้นความสำคัญของตัวบุคคล (Individualism) มีประชาธิปไตย ทำงานตามระเบียบกฎเกณฑ์หรือหน้าที่อย่างเคร่งครัด และนิยมวัตถุ (Materialism)

111. ตัวเลือกใดคือลักษณะของภาพพิมพ์

(1) มักมีแนวโน้มในทางลบ

(2) ภาพรวมของชนชาติใดชนชาติหนึ่ง

(3) เป็นภาพแบบเดียวกัน

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 457 ภาพพิมพ์ (Stereotype) คือ การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติของชนชาติใดชนชาติหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นภาพแบบเดียวกัน ซึ่งมักมีแนวโน้มถูกมองไปในทางลบ หรือเชิงนิเสธ เช่น ภาพพิมพ์ของคนบางชาติมีระเบียบวินัย, คนบางชาติอยู่สบาย ๆ ไม่ค่อย มีหลักเกณฑ์อะไรนัก, คนบางชาติ (เช่น อังกฤษ) เป็นคนประเภท “เก็บตัว” มักไม่สนิทกับ คนแปลกหน้าได้ง่าย, ชาวยิวมีภาพพจน์ว่า “ตระหนี่” ฯลฯ

112. การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติมักมีแนวโน้มไปลักษณะใด

(1) เชิงนิเสธ

(2) สร้างสรรค์

(3) เป็นกลาง

(4) เชิงปฏิฐาน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 111. ประกอบ

113. ชนชาติใดที่มีภาพพจน์ว่า “ตระหนี่” มากที่สุด

(1) อาหรับ

(2) จีน

(3) อังกฤษ

(4) ยิว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 111. ประกอบ

114. ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมข้อใดที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรม

(1) ความเฉื่อย (2) การเล็งผลปฏิบัติ

(3) การถือประโยชน์ตนเอง (4) การถือหลักเกณฑ์

ตอบ 2 หน้า 472 ค่านิยมที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งของคนไทยตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ คือ การเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ กล่าวคือ คนไทยมักไม่ยึดถือสิ่งที่ไม่เห็นผลหรือไม่สอดคล้อง กับประโยชน์ของตน นักคิดไทยมักจะแสดงความคิดออกมาในรูปซึ่งจับต้องได้ ดังนั้นจึงทำให้ เป็นการยากแก่คนไทยที่จะเป็นนักคิดแบบนามธรรม (Abstract Thinker)

115. ราชลัญจกรของญี่ปุ่น มีสิ่งใดเป็นสัญลักษณ์

(1) ดวงอาทิตย์ (2) ดอกซากุระ (3) ดอกเบญจมาศ (4) ดาบซามูไร

ตอบ 3 หน้า 459 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกันให้ศึกษา ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผลงานเขียนชื่อ “ดอกเบญจมาศ และดาบซามูไร” โดยเห็นว่า บุคลิกของคนญี่ปุ่นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่จะแข็งแกร่งภายใน ทั้งนี้ดอกเบญจมาศเป็นราชลัญจกร (ตราประทับ) ของรัฐบาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิญี่ปุ่น

116. การเป็นคนกว้างขวาง เอาเพื่อนเอาฝูง เป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็ง สะท้อนค่านิยมใดของคนไทย

(1) การเป็นเจ้านาย (2) ความเป็นผู้ใหญ่ (3) อำนาจ (4) จิตใจนักเลง

ตอบ 4 หน้า 476 ค่านิยมของคนไทยประการหนึ่งตามทัศนะของไพฑูรย์ เครือแก้ว คือ จิตใจนักเลง ซึ่งหมายถึง การมีจิตใจกว้างขวาง เอาเพื่อนเอาฝูง เป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็ง ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่จุกจิกเรื่องเงินทอง และสามารถเลี้ยงเพื่อนฝูงได้

117. กฎหมายที่ถือว่าเป็นแม่บทของงานสังคมสงเคราะห์ในประเทศอังกฤษ เน้นความข่วยเหลือบุคคลกลุ่มใด

(1) เด็กกำพร้า (2) คนจน (3) คนชรา (4) หญิงหม้าย

ตอบ 2 หน้า 481 – 482, (คำบรรยาย) ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบ ในการจัดการสังคมสงเคราะห์ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุก ของส่วนรวมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นในปี ค.ศ. 1601 พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1ได้ทรง ออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บท ในการวางรากฐานด้านการสังคมสงเคราะห์

118. วิธีการสังคมสงเคราะห์ข้อใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การพัฒนาชุมชน (4) การจัดองค์การชุมชน

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

119. การสังคมสงเคราะห์กำเนิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัยใด

(1) สุโขทัย (2) กรุงศรีอยุธยาตอนต้น

(3) จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (4) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ตอบ 1 หน้า 482 สำหรับในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่า การสังคมสงเคราะห์เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย สุโขทัย คือ พ่อเมืองจะแจกอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้แก่คนชรา นอกจากนั้นศาสนาพุทธ ก็มีอิทธิพลต่อการสังคมสงเคราะห์ด้วย เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอบรมสั่งสอน ให้มีใจเมตตากรุณา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

120. งานสังคมสงเคราะห์มีหลักการให้บริการเพื่อช่วยขจัดปัญหาในระดับใด

(1) ระดับบุคคล (2) ระดับกลุ่ม (3) ระดับชุมชน (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 482 งานสังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพที่ให้บริการแก่ประชาชนโดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะช่วยขจัดปัญหาซึ่งอาจจะเป็นของบุคคลคนเดียว กลุ่ม หรือชุมชน

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552
ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป
 
คำสั่ง  ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว  (ข้อสอบมีทั้งหมด  120  ข้อ)
 
ข้อ  1 – 3 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1)  การสังเกต (Observation)                   (2)  การสำรวจ  (Survey)
(3)  การทดลอง  (Experimentation)          (4)  การทดสอบทางจิตวิทยา  (Psychological  Testing)
(5)  การศึกษาประวัติรายกรณี  (Case  Study)
 
1 เป็นวิธีที่ทำให้แน่ใจได้ว่าเป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรม
ตอบ  (3)  การทดลอง  (Experimentation)          
เป็นวิธีการศึกษาที่ทำให้วิชาจิตวิทยาได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง  เพราะเป็นการศึกษาถึงเหตุและผล  โดยผู้ทดลองจะสร้างเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมตามที่ต้องการศึกษาซึ่งเรียกว่า  “ตัวแปรอิสระ”  หรือ  “ตัวแปรต้น”  (สาเหตุของพฤติกรรม”  แล้วคอยสังเกตพฤติกรรมหรือศึกษาผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ  ซึ่งเรียกว่า  “ตัวแปรตาม”  (ผลของพฤติกรรม)  ข้อดีของการทดลองคือ สามารถควบคุมตัวแปรต่างๆที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรม  ทำให้แน่ใจได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ  อะไรเป็นผล
2 นักจิตวิทยาสนใจพฤติกรรมใดก็จะเฝ้าติดตามไปเรื่อยๆ
ตอบ  (1)  การสังเกต (Observation)                   
เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการเฝ้ามองปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ตามที่เป็นจริง  โดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้สึกตัว  แล้วจึงบันทึกรายละเอียดไว้  ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมากที่สุด
 
3 นักจิตวิทยาทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง  แทนการศึกษาจากประชากรทั้งหมด
ตอบ  (2)  การสำรวจ  (Survey)
เป็นวิธีการศึกษาทางจิตวิทยาที่เน้นการศึกษาลักษณะบางลักษณะของบุคคลบางกลุ่มที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประชากรที่ต้องการศึกษาด้วยการออกแบบสอบถามให้ตอบหรือโดยการสัมภาษณ์  และนำคำตอบที่ได้ไปประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ
 
ข้อ  4 – 7 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต                        (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม                      (3)  กลุ่มจิตวิเคราะห์
(4)  กลุ่มมนุษยนิยม                                   (5)  กลุ่มหน้าที่ของจิต
 
4 นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ต้องการพัฒนาตนเองให้ถึง  Self – actualization
ตอบ  (4)  กลุ่มมนุษยนิยม  (Humanistic  Psychology)
จะเน้นในเรื่องของเสรีภาพ  ความต้องการความรัก  ความมีศักดิ์ศรีในตนเอง  การมีความคิดสร้างสรรค์  และที่สำคัญที่สุดก็คือ  มนุษย์มีความต้องการเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้  (Self – actualization)  ซึ่งเป็นความต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ถึงขีดสูงสุด  ซึ่งนักจิตวิทยาในกลุ่มนี้  ได้แก่  คาร์ล  โรเจอร์และอับราฮัม  มาสโลว์
 
5 นักจิตวิทยาที่สำคัญในกลุ่มนี้คือ  จอห์น  บี. วัตสัน
ตอบ  (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม  (Behaviorism)
จะปฏิเสธเรื่องจิตโดยสิ้นเชิง  แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง  และเชื่อว่าการวิเคราะห์พฤติกรรมภายนอกให้กระจ่างจะช่วยให้เข้าใจบุคคล  ซึ่งนักจิตวิทยาที่สำคัญในกลุ่มนี้  คือ  จอห์น  บี. วัตสัน  และ  บี.เอฟ. สกินเนอร์
 
6 กลุ่มนี้เชื่อว่าจิตประกอบด้วย  Sensation,  Feeling  และ  Image
ตอบ  (1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต  (Structuralism)
จะให้ความสนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสำนึก  3  ลักษณะ  คือ  การรับสัมผัส  (Sensation)  ความรู้สึก  (Image)  และมโนภาพ  (Image)  โดยใช้วิธีการศึกษาที่เรียกว่า  การมองภายใน  (Introspection)  และวิธีการสังเกต – ทดลอง
 
7 การเสนอวิธีบำบัดจิตโดยให้ความสำคัญจิตไร้สำนึก  (จิตใต้สำนึก)
ตอบ  (3)  กลุ่มจิตวิเคราะห์  (Psychoanalysis)  
เกิดจากแนวความคิดของซิกมันด์  ฟรอยด์  โดยเขาได้อธิบายว่า  บุคลิกภาพของบุคคลพัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สำนึก  ซึ่งสิ่งที่อยู่ในจิตส่วนที่ไร้สำนึกนี้  ได้แก่  ความปรารถนา  แรงขับทางเพศ  และความก้าวร้าว  เมื่อถูกเก็บกดจะปรากฏออกมาในรูปของความฝัน  ความขัดแย้งใจ  และการพูดพลั้งปาก  ซึ่งฟรอยด์ได้เสนอวิธีบำบัดรักษาทางจิตที่เรียกว่า  จิตวิเคราะห์  โดยให้ความสำคัญกับจิตใต้สำนึกว่าเป็นแหล่งของความคิด  แรงกระตุ้น  และความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ของมนุษย์
 
8 จิตวิทยาคือ  ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเรื่องใด
1  การโน้มน้าวจิตใจ                            2  การทำงานของร่างกาย                        3  คุณธรรมจริยธรรม
4  พฤติกรรมของมนุษย์                       5  การทำงานของระบบประสาท
ตอบ  4  พฤติกรรมของมนุษย์                       
จิตวิทยา  (Psychology)  คือ  วิชาหรือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และกระบวนการของจิต  ซึ่งต้องอาศัยวิธีการศึกษาเชิงจิตวิทยาศาสตร์ในการค้นหาความรู้ด้วย  การสังเกต  ทดลอง  สำรวจ  ศึกษาสหสัมพันธ์  ใช้วิธีการทางคลินิก  และสรุปสิ่งที่ค้นพบอย่างเป็นระบบ  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำความรู้นั้นมาอธิบาย  ทำความเข้าใจ  พยากรณ์หรือทำนายควบคุม  และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นๆ
 
9 การกะพริบตาเมื่อถูกลมพัด  การถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่  เป็นลักษณะของอะไร
1  วงจรปฏิกิริยาสะท้อนที่เล็กที่สุด                               2  การตอบสนองอัตโนมัติของระบบประสาท
3  เป็นการเรียนรู้จากสภาพที่เกิดขึ้นจริง                       4  เป็นการแสดงออกทางกายโดยการสั่งของสมอง
5  เป็นการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ
ตอบ  1  วงจรปฏิกิริยาสะท้อนที่เล็กที่สุด                               
วงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Simple  Reflex  Action)  ถือว่าเป็นวงจรที่เล็กที่สุดของกลไกการตอบสนอง  ซึ่งเป็นการแสดงออกทางร่างกายโดยอัตโนมัติโดยที่สมองไม่ต้องสั่งงาน  แต่วงจรของกระแสประสาทจะผ่านเฉพาะไขสันหลังเท่านั้น  เช่น  การกะพริบตาเมื่อถูกลมพัด  การถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่  การยกมือออกเมื่อจับโดนกาน้ำร้อน  เป็นต้น
 
10 อวัยวะภายในร่างกาย  เช่น  กระเพาะอาหาร  ลำไส้  เป็นกล้ามเนื้อและมีลักษณะการทำงานแบบใด
1  กล้ามเนื้อลายทำงานภายใต้อำนาจจิตใจ                   2  กล้ามเนื้อเรียบทำงานนอกอำนาจจิตใจ
3  กล้ามเนื้อหัวใจทำงานนอกอำนาจจิตใจ                   4  กล้ามเนื้อลายทำงานนอกอำนาจจิตใจ
5  กล้ามเนื้อเรียบทำงานภายใต้อำนาจจิตใจ
ตอบ  2  กล้ามเนื้อเรียบทำงานนอกอำนาจจิตใจ
กล้ามเนื้อเรียบ  (Smooth  Muscle)  ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีลักษณะคล้ายกระสวยทอผ้า  คือ  หัวและท้ายของเซลล์เล็กและแหลมแต่ป่องตรงกลาง  โดยตัวอย่างของกล้ามเนื้อเรียบ  ได้แก่  กล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร  กระเพาะปัสสาวะ  ลำไส้  ไต  กะบังลม  มดลูก  ท่อนำไข่  และอวัยวะภายในอื่นๆ  ซึ่งการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบจะอยู่นอกอำนาจจิตใจ  (Involuntary  Control)  เพราะถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ

11           ระบบประสาทชนิดใดที่ทำให้ร่างกายมีความสงบและพักผ่อน  การย่อยดี  ความดันโลหิตต่ำ

1  ระบบประสามอัตโนมัติ                                          2  ระบบประสาทโซมาติก

3  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก                              4  ระบบประสาทซิมพาเธติก

5  ระบบประสาทส่วนกลาง

ตอบ  3  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก          

ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก  (Parasympathetic  Nervous  System) เป็นระบบประสาทที่ทำให้ร่างกายมีความสงบและพักผ่อน  การย่อยดี  ความดันโลหิตต่ำ  ซึ่งการทำงานของระบบนี้จะช่วยทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะสงบ

12           จุดที่  Dendrite  ของตัวหนึ่งรับกระแสประสาทจาก  Axon  ของอีกเซลล์หนึ่งเรียกว่าอะไร

1  Simple  Reflex  Action         2  Neurotransmitter          3  Dendrite

4  Synapse                                5  Nerve  Cell

ตอบ  4  Synapse   

ซีแนปส์ (Synapse)  คือ  จุดที่เดนไดรท์  (Dendrite)  ของเซลล์ประสาทตัวหนึ่งรับกระแสประสาทจากแอ๊กซอน  (Axon)  ของอีกเซลล์หนึ่ง  ซึ่งถือว่าเป็นตัวกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาท

 

13           คนที่เป็นโรค  Alzheimer  แสดงว่าขาดการสื่อประสาทชนิดใด

1  Gaba                                     2  Dopamine                  3  Selotonin                     

4  Norepinephrin                      5  Acetylcholin

ตอบ  5  Acetylcholin

อะซีทิลโคลีน (Acetylcholin)  เป็นการสื่อประสาทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นความจำ  ถ้าสมองส่วนที่ผลิตสารสื่อประสาทนี้เสียไป  จะทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์  (Alzheimer’s  Disease)  ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืมและบุคลิกภาพเลื่อนลอย  โดยเฉพาะในคนชราที่มีอายุ  90  ปี

 

14           ในช่วงเวลาที่ลมพัดฝุ่นเข้าตาเราจะหลับตาอย่างรวดเร็ว  เป็นผลมาจากการเชื่อมโยงของอวัยวะใด

1  สมอง             2  เซลล์ประสาท               3  ก้านสมอง               4  ไขสันหลัง             5  ระบบประสาทลิมบิก

ตอบ   4  ไขสันหลัง            

ไขสันหลัง  (Spinal  Cord)  เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง  ซึ่งอยู่ภายในโพรงกระดูกสันหลังที่ติดต่อกับสมองโดยตรง  และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของระบบประสาทที่บริเวณลำตัวและแขนขา  ซึ่งจะทำงานอย่างรวดเร็วมาก  เช่น  เวลาที่ลมพัดฝุ่นเข้าตา  เราจะหลับตาอย่างรวดเร็ว  เป็นต้น

 

15           “หนีตำรวจโดยการวิ่งข้ามประตูรั้วสูงๆ  หรือกระโดดลงมาจากชั้น  2”  เป็นผลมาจากการทำงานของต่อมใด

1  Pituitary            2  Gonad            3  Adrenal          4  Thyroid          5  Parathyroid

ตอบ   3  Adrenal         

ต่อมหมวกไต่หรือต่อมแอดรีนัล (Adrenal)  มี  2  ชั้น  คือ  เปลือกต่อมหมวกไต  และแกนในต่อมหมวกไต  โดยแกนในต่อมหมวกไตจะสร้างฮอร์โมนสำคัญชนิดหนึ่งคือ  แอดรีนาลิน  (Adrenalin)  ซึ่งจะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะฉุกเฉินตื่นเต้น  เคร่งเครียด  ต่อสู้  ตกใจกลัว  หิวกระหาย  เจ็บปวด  หรือเมื่อออกกำลังกาย

 

16           “ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้มีความคงที่พอดี”  คือต่อมใด

1  Pituitary           2  Pancreas           3  Adrenal          4  Gonad            5  Thyroid

ตอบ  2  Pancreas          

ตับอ่อนหรือต่อมแพนเครียส  (Pancreas)  จะทำหน้าที่เป็นทั้งต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อโดยจะผลิตฮอร์โมนที่สำคัญคือ  อินซูลิน  (Insulin)  ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้มข้นพอดี  ถ้าตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินในระดับต่ำ  จะทำให้เกิดอาการของโรคเบาหวานขึ้นมาได้

 

17           ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนจากต่อมอื่นภายในร่างกายทำงานคือต่อมใด

1  Pituitary           2  Pancreas           3  Adrenal          4  Gonad            5  Thyroid

ตอบ  1  Pituitary          

ต่อมใต้สมอง  (Pituitary  Gland)  เป็นต่อมไร้ท่อที่มีความสำคัญที่สุดของร่างกายเพราะสร้างฮอร์โมนหลายชนิดเพื่อไปควบคุมการทำงานหรือควบคุมการผลิตฮอร์โมนของต่อมไร้ท่ออื่นๆ  ซึ่งเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า  มาสเตอร์แกลนด์  (Master  Gland)  โดยมีฮอร์โมนที่สำคัญคือ  โกร๊ธฮอร์โมน  ซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกายและต่อมน้ำนม

 

18           กระบวนการรับสัมผัสมีความสำคัญอย่างไร

1  เป็นจุดเริ่มต้นของแรงจูงใจ                                       2  ทำการเปลี่ยนข้อมูลดิบเพื่อส่งให้สมอง

3  เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ                                          4  เกี่ยวข้องกับการตอบสนอง

5  เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา

ตอบ  2  ทำการเปลี่ยนข้อมูลดิบเพื่อส่งให้สมอง

กระบวนการรับสัมผัส  เป็นกระบวนการที่ประสาทสัมผัสทั้ง  5  คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  และผิวหนัง  รับสิ่งเร้าจากภายนอกมาสู่ระบบประสาท  แล้วทำการเปลี่ยนข้อมูลดิบ  เพื่อส่งให้สมองและเปลี่ยนเป็นการรับรู้

 

19           กระบวนการรับรู้ทำงานอย่างไร

1  จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ                                    2  เลือก  จัด  และตีความข้อมูลจากการสัมผัส

3  ตัดสินใจเพื่อตอบสนอง                                          4  เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลที่สัมผัส

5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  เลือก  จัด  และตีความข้อมูลจากการสัมผัส

กระบวนการรับรู้  เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการสัมผัสโดยการรับรู้จะมุ่งไปที่ความเข้าใจและการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัส  ดังนั้นกระบวนการรับรู้จึงเป็นการเลือก  จัด  และตีความข้อมูลจากการสัมผัส  ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต  การเรียนรู้  สภาพจิตใจในปัจจุบัน  ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้นๆ

 

20           ธรรมชาติของการรับสัมผัสและการรับรู้ของเราเป็นอย่างไร

1              เราไม่สามารถรับสัมผัสทุกอย่างในโลกได้เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัด

2              การรับสัมผัสจะไม่เกิดขึ้นกับคลื่นแสงที่มีขนาด  500  นาโนมิเตอร์

3              เราเลือกที่จะรับสัมผัสได้

4              เราเลือกที่จะรับรู้ไม่ได้

5              สัมผัสผิวกายของเรา  ได้แก่  กด  เจ็บ  ร้อน  เย็น

ตอบ  1  เราไม่สามารถรับสัมผัสทุกอย่างในโลกได้เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัด

ธรรมชาติของการรับสัมผัสและการรับรู้ของเรานั้น  เราไม่สามารถรับสัมผัสทุกอย่างในโลกได้เนื่องจากคลื่นที่สายตามนุษย์รับได้มีขีดจำกัดอยู่เพียงระยะประมาณ  380 – 780  นาโนมิเตอร์  (นม.)  เท่านั้น  นอกจากนี้เราเลือกที่จะรับสัมผัสไม่ได้  แต่เราเลือกที่จะรับรู้ได้

21           การทำงานของเซลล์ประสาทรอดส์กับโคนส์เป็นอย่างไร

1              รอดส์กับโคนจะทำงานพร้อมกันในเวลากลางวัน

2              รอดส์จะเหมาะกับการทำงานในที่สว่างจ้ามากกว่าโคนส์

3              รอดส์จะเหมาะกับการทำงานในขณะที่แสงสลัวมากกว่าโคนส์

4              รอดส์จะทำงานกับคลื่นแสงน้ำเงิน – เหลือง ขณะที่โคนส์ทำงานกับคลื่นแสงแดง – เขียว

5              ข้อ  1  และ  2

ตอบ  3 รอดส์จะเหมาะกับการทำงานในขณะที่แสงสลัวมากกว่าโคนส์

ที่ผนังของเรตินา  (Retina)  จะมีเซลล์ประสาทอยู่  2  ชนิดคือ

1              รอดส์  (Rods)  มีลักษณะเป็นแท่งยาว  และไวต่อแสงขาวดำ  จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงสลัวในเวลากลางคืน

2              โคนส์  (Cones)  มีลักษณะสั้น  เป็นรูปกรวย  และไวต่อแสงที่เป็นสี  ช่วยทำให้รับภาพสีได้ดี  จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงจ้าในเวลากลางวัน  ดังนั้นคนตาบอดสีจึงไม่มีโคนส์อยู่ที่เรตินาเลย

22           นักจิตวิทยาพบปรากฏการณ์ความคงที่ในการรับรู้เรื่องใด

1  สี                    2  ขนาด                  3  รูปร่าง                   4  ข้อ  1  และ  2              5  ข้อ  1 ,  2  และ  3

ตอบ  5  ข้อ  1 ,  2  และ  3        

ปรากฏการณ์คงที่  (Constancy)  เป็นธรรมชาติของเรื่องการรับรู้และการเห็นนั่นคือ  การที่ตาเห็นเพียงส่วนหนึ่ง  แต่ความเข้าใจในการรับรู้ยังอยู่ในสภาพเดิม  ซึ่งแบ่งเป็น  3  ชนิดคือ

1              การคงที่ของสี  เช่น  การที่เรามองเห็นหาดทรายในเวลากลางคืนยังคงเป็นสีขาว  ฯลฯ

2              การคงที่ของขนาด  เช่น  มองจากตึกสูงเห็นคนตัวเท่ามด  แต่เราก็ยังรู้ว่าคนมีขนาดเท่าเดิม  ฯลฯ

3              การคงที่ของรูปร่าง  เช่น  การเห็นเพียงแค่สันหนังสือ  เราก็ยังรับรู้ว่าเป็นหนังสือ  ฯลฯ 

23           คีเนสเตซีสคือสัมผัสในเรื่องใด

1  ความเจ็บปวด             2  การเคลื่อนไหว            3  การทรงตัว              4  ความลึก              5  ความคงที่

ตอบ  2  การเคลื่อนไหว           

สัมผัสคีเนสเตซีส  (Kinesthesis  Sense)  8อ  ประสาทเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว  และกล้ามเนื้อรับสัมผัสต่างๆ  ซึ่งทำให้เราทราบถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายว่าอยู่ในสภาพตำแหน่ง  ท่วงท่า  หรือทิศทางใด

24           คลื่นเสียงมีคุณสมบัติอย่างไร

1  ความถี่และเฮิรตซ์                               2  ความแรงและเดซิเบล                        3  ความถี่และความแรง

4  ความดังและความเข้ม                         5  ข้อ  1  และ  2

ตอบ  3  ความถี่และความแรง

กระแสเสียงหรือคลื่นเสียง  (Sound  Wave)  มีคุณสมบัติ  2  ประการ  คือ  ความถี่  (Frequency)  และความแรง  (Amplitude)  ของคลื่น

25           เราจะรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดมากหรือน้อยได้เกี่ยวข้องกับอะไร

1  ทฤษฎีคุมด่าน                                   2  หลักของภาพและพื้น                          3  ทฤษฎีปรปักษ์

4  หลักของเพอร์สเปคทีพ                    5  ทฤษฎีปฏิกิริยาสะท้อน

ตอบ  1  ทฤษฎีคุมด่าน                                  

ทฤษฎีคุมด่าน  (Gate  Control  Theory)  เป็นทฤษฎีการเจ็บปวดที่เชื่อว่า  ไขสันหลังเป็นที่รวมของประสาทใหญ่น้อยที่จะส่งไปยังสมองและที่มาจากกล้ามเนื้อและผิวหนังอื่นๆของร่างกาย  ซึ่งหากบุคคลมีอาการกลัวความเจ็บปวดในสมอง  จะทำให้เกิดกระแสไปเร้าด่านที่ไขสันหลังทำให้ด่านเปิดและส่งกระแสที่เจ็บปวดไปยังสมองได้

26           นักจิตวิทยานำหน้าผามายา  (Visual  Cliff)  มาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับอะไร

1  ปรากฏการณ์คงที่                       2  การรับรู้ระยะทาง/ความลึก                   3  การล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต

4  การกะระยะโดยไม่ต้องอาศัยดวงตา                        5  ผิดทุกข้อ

ตอบ  2  การรับรู้ระยะทาง/ความลึก                  

จากการทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทางโดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า  หน้าผามายา”  (Visual  Cliff)  พบว่าเมื่อทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใสกับที่ทาสีตาหมากรุก  (ทำให้แลเห็นเป็นพื้นที่  2  ระดับที่มีความสูงต่ำต่างกัน)  เด็กจะไม่กล้าคลานออกไป  แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องเรียนรู้

27           สัมปชัญญะเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

1  อารมณ์                                         2 สัญชาตญาณ                                     3  พันธุกรรม

4  การตอบสนองต่อสิ่งเร้า               5  สภาวะรู้ตัวในขณะปัจจุบัน

ตอบ  5  สภาวะรู้ตัวในขณะปัจจุบัน

สัมปชัญญะ  หมายถึง  การรู้ตัวทั่วพร้อมว่ากำลังทำ  พูด  คิด  หรือมีพฤติกรรมใดอยู่  โดยสภาวะที่ร่างกายของบุคคลออกจากสัมปชัญญะหรือขาดสัมปชัญญะ  (การรู้ตัวต่ำ)  ได้แก่  การนอนหลับ  การหมดสติ  การสะกดจิต  การใช้ยาเสพติด  และการนั่งสมาธิภาวนา

28           สภาพจิตใจที่มีความเครียด  สับสนวุ่นวาย  คิดมาก  ฟุ้งซ่าน  คลื่นสมองจะมีคลื่นแบบใด

1  แอลฟา                     2  เดลตา                    3  บีตา                    4  แกมมา                     5  ซิกมา

ตอบ  3  บีตา                   

ในช่วงตื่น  กระแสคลื่นสมองของมนุษย์จะสั้นและถี่  เรียกว่า  คลื่นบีตา (Beta)  โดยเฉพาะในคนที่มีความเครียด  สับสนวุ่นวาย  คิดมาก  ฟุ้งซ่าน  จะมีแต่คลื่นสมองบีตาเท่านั้น  ส่วนในช่วงเคลิ้มหลับหรือก่อนนอนหลับ  หรือในขณะที่ร่างกายมีการผ่อนคลายเต็มที่  หรือในช่วงเวลาที่นั่งเจริญภาวนา  กระแสคลื่นสมองจะยางและห่างขึ้น  เรียกว่า  คลื่นแอลฟา  (Alpha)

29           การขัดขวางไม่ให้มีการนอนหลับทั้งในมนุษย์และสัตว์  จะทำให้เกิดอาการชนิดใด 

1  REM                             2  Non – REM                            3  Microsleep

4  Day  Dreaming             5  ฝันร้าย

ตอบ  3  Microsleep

โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์และสัตว์ต้องการนอนหลับพักผ่อนตามปกติ  แต่ถ้าการนอนหลับนั้นถูกขัดขวางไม่ให้เกิดขึ้น  ทั้งคนและสัตว์จะมีการสัปหงกเป็นพักๆหรือมีการหลับเป็นช่วงสั้นๆ  ซึ่งเรียกว่า  Microsleep

30           แบบแผนการนอนหลับที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากเดินทางข้ามทวีปจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่งเรียกว่าอะไร

1  Fatigue                          2  Sleep  Spindle                     3  EEG             

4  Jet  Lag                         5  MRI

ตอบ  4  Jet  Lag                        

นักเดินทางที่ต้องขึ้นเครื่องบินเดินทางข้ามทวีปจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่งมักจะเกิดสภาวะที่เรียกว่า  Jet  Lag  คือ  ต้องปรับตัวกับเวลาของประเทศที่เดินทางไปถึงใหม่เนื่องจากแบบแผนการนอนตามธรรมชาติถูกรบกวน

31           กาแฟ  บุหรี่  มีผลต่อภาวะการรู้สึกตัวอย่างไร

1  กดประสาท                                 2  กระตุ้นประสาท                              3  กล่อมประสาท

4  หลอนประสาท                            5  ทำลายประสาท

ตอบ  2  กระตุ้นประสาท    

ยาเสพติดแบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้  4  กลุ่ม  คือ

1              ประเภทกดประสาท  ได้แก่  ฝิ่น  มอร์ฟีน  เฮโรอีน  ยาระงับประสาท  ยากล่อมประสาท

2              ประเภทกระตุ้นประสาท  ได้แก่  พวกแอมเฟตามีน  (ยาบ้า)  กระท่อม  โคเคอีน  สารนิโคตรรินในบุหรี่  สารคาเฟอีนในกาแฟหรือชา  และยาแก้ปวด

3              ประเภทหลอนประสาท  ได้แก่  แอลเอสดี  (LSD)  ดีเอ็มที  (DMT)  และเห็ดขี้ควาย

4              ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน  อาจกด  กระตุ้น  หรือหลอนประสาทร่วมกัน  ได้แก่  กัญชา

32           คลื่นสมองชนิดใดปรากฏขณะที่บุคคลกำลังเจริญสมาธิ

1  ควอนตัม                    2  แกมมา                     3  บีตา                     4 แอลฟา                       5  ถูกทุกข้อ

ตอบ   4 แอลฟา                       ดูคำอธิบายข้อ  28  ประกอบ

33           LSD  เป็นยาเสพติดลักษณะใด       

1  กระตุ้นประสาท                                    2  กดประสาท                                    3  หลอนประสาท

4  ออกฤทธิ์ผสมผสาน                              5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  3  หลอนประสาท           ดูคำอธิบายข้อ  31  ประกอบ

34           แอลแลน  ฮอบซัน  และคณะ  อธิบายเกี่ยวกับความฝันไว้อย่างไร

1              เป็นการแสดงออกของความต้องการในระดับจิตใต้สำนึก

2              เป็นเรื่องของความวิตกกังวลและความแปรปรวนของธาตุ

3              เป็นเรื่องของความคิดคำนึงและความรู้สึกที่ต่อเนื่องจากกลางวัน

4              เป็นเรื่องของกระบวนการทางสรีรวิทยาล้วนๆ  ไม่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก

5              เป็นการส่งผ่านของประสบการณ์ย้อนยุคจากบรรพบุรุษที่นอกเหนือจากการรับรู้ในปัจจุบัน

ตอบ   4  เป็นเรื่องของกระบวนการทางสรีรวิทยาล้วนๆ  ไม่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก

Activation – synthesis  Hypothesis  เป็นทฤษฎีความฝันในปัจจุบันที่กำเนิดโดยนักวิทยาศาสตร์ 2  คน  คือ  แอลแลน  ฮอบซัน  และโรเบิร์ต  แมคคาเลย์  ซึ่งเชื่อว่า  ความฝันเป็นกระบวรการทางสรีรวิทยาล้วนๆ  ไม่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึกแต่อย่างใด  กล่าวคือ  ในช่วงของการนอนหลับที่มี  REM  เกิดขึ้น  เซลล์ในสมองจะถูกกระตุ้นให้ทำงานตลอดช่วงเวลาที่บุคคลกำลังฝันอยู่

35           เอาสติมาจับที่ลมหายใจ  เมื่อหายใจเข้าภาวนาว่า  พุท”  เมื่อหายใจออกภาวนาว่า  โธ”  เป็นวิธีการฝึกสมาธิแบบใด

1  พอง – ยุบ                     3  ธรรมกาย                   4  เซน                  5  เต๋า

ตอบ  2  อานาปานสติ                

วิธีอานาปานสติ  หมายถึง  การเอาจิตมาจับที่ลมหายใจของผู้ปฏิบัติ  ซึ่งอาจเอาสติมาตั้งไว้ที่ปลายจมูก  เมื่อหายใจเข้าก็ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า  พุท”  และเมื่อหายใจออกก็ให้ภาวนาว่า  โธ”  และให้มีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา  เพื่อไม่ให้จิตส่งส่ายออกไปภายนอก

36           กรณีที่มีโครโมโซมเพศผิดปกติจะส่งผลอย่างไร

1  อาการปัญญาอ่อน                             2  รูปร่างแคระแกร็น                         3  รูปร่างใหญ่ผิดปกติ

4  เป็นหมัน                                           5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

กรณีที่มีโครโมโซมเพศผิดปกติจะส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อบุคคลในด้านต่างๆ  คือ 

1              ด้านร่างกาย  เช่น  ทำให้มีรูปร่างเล็กแคระแกร็นหรือมีรูปร่างใหญ่ผิดปกติ  ผู้หญิงบางคนอาจไม่มีหน้าอก  ไม่มีประจำเดือน  และเป็นหมัน ฯลฯ

2              ด้านสติปัญญา  เช่น  ทำให้มีอาการของโรคปัญญาอ่อน  ฯลฯ

37           การขาดออกซิเจนเป็นเวลาเท่าใดที่มีผลให้เซลล์สมองของทารกถูกทำลาย

1  18  วินาที                      2  30  วินาที                    3  1  นาที                  4  4  นาที                5  10  นาที

ตอบ  1  18  วินาที                     

สภาวะของการขาดออกซิเจนขณะคลอดมีสาเหตุมาจากการที่ทารกคลอดยากหรือรกไม่เปิด  ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสโลหิตของทารกไม่ได้  ซึ่งหากทารกขาดออกซิเจนประมาณ  18  วินาทีเท่านั้น  จะมีผลต่อเซลล์สมองทำให้เซลล์สมองถูกทำลาย  และถ้าขาดนานๆอาจทำให้ทารกตายได้

38           สุขภาพจิตของแม่ส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้อย่างไร

1  ทำให้เด็กปัญญาอ่อน                                    2  เด็กเกิดความพิการหูหนวกตาบอด

3  เด็กเป็นโรคภูมิแพ้                                        4  ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อง่าย

5  ขาดฮอร์โมนบางชนิด

ตอบ  1  ทำให้เด็กปัญญาอ่อน                        

สุขภาพจิตของแม่ในด้านอารมณ์จะส่งผลต่อเด็กในครรภ์เป็นอย่างมาก  เพราะถ้าแม่มีอารมณ์เครียดมากๆหรือนานๆ  จะทำให้ฮอร์โมนในเลือดไม่สมดุล  ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปัญญาอ่อนชนิด  Mongolism

39           กีเซลล์ได้ทำการศึกษาในเรื่องใด

1  การเรียนรู้ของฝาแฝด                          2  วุฒิภาวะ                         3  ระยะสำคัญของวุฒิภาวะ

4  ประสบการณ์ในระยะฝังใจ                 5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  วุฒิภาวะ                        

กีเซลล์ (Gesell)  เป็นนักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องวุฒิภาวะหรือความพร้อมของบุคคล  (Maturation)  และลักษณะพัฒนาการของทารก  โดยเขาเชื่อว่า  ภาวะบุคคลเพียงอย่างเดียวที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตและความสามารถของบุคคล”  และ  การเรียนรู้ไม่ว่าลักษณะใดจะไม่ก่อประโยชน์หากร่างกายไม่พร้อมหรือยังไม่มีวุฒิภาวะ

40           ลอเรนซ์ทำการทดลองที่พบความสำคัญในเรื่องใด  (ใช้ตัวเลือกข้อ  39)

ตอบ  4  ประสบการณ์ในระยะฝังใจ                

ลอเรนซ์  (Lorenz)  เป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบฝังใจ  (Imprinting)  โดยเขาได้ทดลองกับห่าน  ซึ่งผลปรากฏว่าเมื่อลูกห่านฟักตัวออกจากไข่มาแล้ว  ลูกห่านจะฝังใจตามสิ่งแรกที่เคลื่อนไหวที่มันได้เห็น  ทั้งนี้ประสบการณ์การเรียนรู้แบบฝังใจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ  และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยาก

41           นักจิตวิทยาท่านใดที่กล่าวถึงความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างเด็กกับบุคลใกล้ชิด

1  ฟรอยด์                   2  อิริคสัน                 3  เพียเจท์                      4  บรูเนอร์                     5  โคลเบิร์ก

ตอบ  2  อิริคสัน                

อิริคสัน  (Erikson)  เป็นผู้ที่ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการทางจิตสังคม  (Psychosocial  Stages)  โดยเน้นความสำคัญของความสัมพันธ์และความต้องการทางสังคม  (ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม)  ระหว่างเด็กกับบุคคลใกล้ชิด  ด้วยการศึกษาว่าพัฒนาการทางจิตและสังคมของมนุษย์เกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอดจนกระทั่งการสิ้นสุดของชีวิต  ซึ่งเขาได้แบ่งระยะพัฒนาการของคนในแต่ละวัยออกเป็น  8  ระยะด้วยกัน

42           โครโทโซมคู่ใดปกติ

1  XO                  2  XY                 3  XX                  4  YY                    5  ข้อ  2  และ  3

ตอบ  5  ข้อ  2  และ  3

โดยปกติโครโมโซมเพศของมนุษย์จะเป็นดังนี้

1              เพศชาย  มีโครโมโซมเป็น  XY            

2              เพศหญิง  มีโครโมโซมเป็น  XX

43           เหตุใดจึงเกิดฝาแฝดเหมือน

1              เกิดเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า  1  เซลล์                 

2              เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด

3              สภาพร่างกายของแม่สมบูรณ์มาก

4              แม่มีอายุน้อยเกินไป

5              เป็นไปได้ทุกกรณี

ตอบ  2  เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด

ฝาแฝด  (Twins)  แบ่งเป็น  2  ชนิด  คือ

1              ฝาแฝดเหมือนหรือแฝดแท้  (Identical  Twins)  เกิดจากไข่  1  ใบ  ผสมกับเสปิร์มหรืออสุจิ  1  ตัว  แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน  2  ตัว  (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด) ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน

2              ฝาแฝดคล้ายหรือแฝดเทียม  (Fraternal  Twins)  เกิดจากไข่  2  ใบ  ผสมกับเสปิร์มหรืออสุจิ  2  ตัว  เซลล์แบ่งตัวเป็นอิสระจากกัน  (เกิดจากเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า  1  เซลล์ฝาแฝดค้ลายจึงอาจมีเพศเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้

 

44           ยีนส์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ยกเว้นข้อใด

1  Rh  แฟคเตอร์                                 2  สุขภาพจิตของมารดา                          3  การได้รับรังสีบางชนิด

4  การมีโครโมโซมเพศแบบ  XXY                 5  การมีโครโมโซมเพศแบบ  XYY

ตอบ  3  การได้รับรังสีบางชนิด

โดยทั่วไปแล้วยีนส์ที่อยู่ในร่างกายของคนเรานั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในสภาพการณ์ที่เป็นปกติ  แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการใช้รังสีเอกเรย์  (X_ray)  หรือการใช้ยาบางชนิด

 

45           การเปรียบเทียบค่าสหสัมพันธ์ของคะแนนสติปัญญาระหว่างกลุ่มฝาแฝดเหมือน  พ่อกับลูก  ฝาแฝดคล้าย  พี่กับน้อง  เพื่อตอบคำถามใด

1  ความสำคัญของพัฒนาการ                  2  ความสำคัญของพันธุกรรม               3  ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม

4  ความสำคัญของดารอบรมเลี้ยงดู         5  ความสำคัญของสติปัญญา

ตอบ  2  ความสำคัญของพันธุกรรม              

การเปรียบเทียบค่าสหสัมพันธ์ของคะแนนสติปัญญาในบุคคลที่มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมต่างๆกัน  เช่น  ระหว่างกลุ่มฝาแฝดเหมือน  ฝาแฝดคล้าย  พ่อแม่กับลูก  พี่กับน้อง  ฯลฯ  เพื่อตอบคำถามในเรื่องความสำคัญของพันธุกรรมหรืออิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อการพัฒนาทางด้านสติปัญญา

46           พฤติกรรมอะไรเกิดมาจากการเรียนรู้

1              การถ่ายภาพกระแสน้ำเพื่อวางไข่ของปลาบางชนิด

2              การไอ

3              การชักใยของแมงมุม

4              การแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นของสุนัข

5              การกระตุกมือ

ตอบ  4  การแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นของสุนัข

การเรียนรู้  หมายถึง  การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรมอันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต  เช่น  สุนัขดมกลิ่นสามารถแยกความแตกต่างของยาเสพติดหรือวัตถุระเบิดออกจากสิ่งอื่นๆได้  แต่พฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์และสัตว์ก็ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้  แต่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติมาแต่กำเนิด  เช่น  การกะพริบตา  การกระตุกมือ  การไอหรือจาม  ฯลฯ  และเกิดจาก

สัญชาตญาณซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน  ไม้องเรียนรู้และเป็นลักษณะเฉพาะเผ่าพันธุ์  เช่น  การว่ายน้ำของปลา  การชักใยของแมงมุม  การบินได้ของนก ฯลฯ

 

47           การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกค้นพบโดยท่านใด

1  สกินเนอร์                2  แบนดูรา             3  ธอร์นไดค์               4  พาฟลอฟ               5  เซียร์ส

ตอบ   4  พาฟลอฟ              

ต้นศตวรรษที่  20  นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียชื่อ  อีวาน  พาฟลอฟ  (Ivan  Pavlov)  ได้ค้นพบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคซึ่งเกิดขึ้นโดยมีการให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขควบคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  จนก่อให้เกิดการตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไขขึ้น  และเมื่อให้สิ่งเร้าทั้ง  2  ลักษณะบ่อยๆเข้า  สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขจะก่อให้เกิดการตอบสนองขึ้นมาได้เองเรียกว่า  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข”  ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเรียนรู้

 

ข้อ  48 – 51  พิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข  (CS)                               2  สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (US)

3  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)                   4  การสรุปความเหมือน  (Generalization)

5  การหยุดยั้ง  (Extinction)

 

48           แมวเห็นปลาย่างแล้วน้ำลายไหล

ตอบ  2  สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (US)

สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (Unconditioned  Stimulus  :  US)  เป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้น  และมักทำให้เกิดการตอบสนองแบบปฏิกิริยาสะท้อนเช่น  แมวเห็นปลาย่างแล้วน้ำลายไหล  ดังนั้นปลาย่างจึงเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  เนื่องจากทำให้แมวหลั่งน้ำลายซึ่งเป็นปฏิกิริยาสะท้อน 

 

49           ปลาเลิกช่วยมดทำขนม  เพราะมดไม่ยอมแบ่งขนมให้ปลาอีกต่อไป

ตอบ  5  การหยุดยั้ง  (Extinction)

การหยุดยั้งพฤติกรรม   (Extinction)  คือ  การลดลงของการตอบสนองที่เรียนรู้แล้ว  เนื่องจากไม่ได้รับการเสริมแรงเป็นเวลานานก่อนที่จะเกิดการหยุดยั้งของพฤติกรรม  เช่น  ปรากฏการณ์ที่เด็กเลิกงอแงหลังจากที่แม่ทำเป็นเฉยๆ  แลไม่สนใจต่อการร้องไห้ของเขาซึ่งเมื่อทำเช่นนี้หลายๆครั้ง  พฤติกรรมการร้องงอแงของเด็กก็จะลดลงและหมดไปในที่สุด

 

50           เล็กเบื่อบ้าน  ทุกครั้งที่เข้าบ้านมีแต่เรื่อง

ตอบ  3  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)                  

การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (Conditioned  Response  :  CR)  เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเรียนรู้  ไม่ใช้ปฏิกิริยาสะท้อนธรรมดา  เช่น  เด็กจะเกิดอาการเบื่อบ้าน  เพราะทุกครั้งที่เข้าบ้านจะพบกับเหตุการณ์พ่อแม่ทะเลาะกันเสมอ  เป็นต้น

51           ผู้หญิงเหมือนไม้เลื้อยทุกคน

ตอบ  4  การสรุปความเหมือน  (Generalization)

การสรุปความเหมือน  (Generalization)  หมายถึง  การตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่คล้ายกันกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเอาไว้ แล้ว  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นการขยายผลของการเรียนรู้ไปยังสถานการณ์ใหม่ๆ  ที่คล้ายกัน  เช่น  เด็กที่ถูกไฟไหม้นิ้วโดยบังเอิญขณะเล่นไม้ขีดไฟก็จะกลัวเปลวไฟที่เห็นจากที่จุดบุหรี่  เตาไฟ  เตาผิง  และอื่นๆ  เป็นต้น

ข้อ  52 – 54  พิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  อัตราส่วนคงที่              2  อัตราส่วนไม่แน่นอน              3  ช่วงเวลาคงที่               4  ช่วงเวลาไม่แน่นอน

52           พนักงานขายประกัน  ขายได้มากได้ส่วนแบ่งมาก

ตอบ  1  อัตราส่วนคงที่             

การเสริมแรงแบบอัตราส่วนคงที่  (Fixed  Ratio)  คือ  การให้การเสริมแรงตามอัตราส่วนของการตอบสนองที่คงที่  โดยจะดูจำนวนครั้งของการตอบสนอง  เช่น  ให้รางวัลเมื่อมีการตอบสนองทุก  3  ครั้ง  ซึ่งการเสริมแรงแบบนี้จะทำให้เกิดอัตราการตองสนองสูงที่สุด  เช่น  การที่พนักงานขายได้รับค่าตอบแทนตามจำนวนของสินค้าที่ขายได้  ดังนั้นพนักงานขายจึงเร่งทำยอดขายเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น

53           ปีใหม่ปีที่แล้วประชาไม่ได้ของขวัญจากใครเลย

ตอบ  2  อัตราส่วนไม่แน่นอน             

การเสริมแรงแบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน  (Variable  Ratio)  คือ  การให้แรงเสริมต่อการตอบสนองในอัตราที่ไม่แน่นอน  จึงทำให้ยากแก่การทำนายว่าจะได้รับรางวัลเมื่อใด  เช่น  บางครั้งตอบสนอง  2  ครั้งจึงได้รางวัล  แต่บางครั้งต้องตอบสนองถึง  5  ครั้ง  จึงจะได้รางวัล  ซึ่งการเสริมแรงแบบนี้จะทำให้เกิดการตอบสนองในอัตราสูงแต่น้อยกว่าแบบอัตราส่วนคงที่  เช่น  การเล่นพนันตู้สล็อตแมชีน  การซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล  เป็นต้น

 

54           DJ  เพลงประกาศว่า  ใครโทรศัพท์เข้าสถานีเป็นรายที่  100  จะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ฟรี

ตอบ  1  อัตราส่วนคงที่              ดูคำอธิบายที่  52  ประกอบ

 

55           มานะตกวิชาเลขคณิต  ทำให้มานะไม่มีกำลังใจที่จะเรียนหนังสืออีกต่อไป  และคิดว่าตนคงไม่สามารถเรียนหนังสือได้

1  การเสริมแรง                                 2  การลงโทษ                                  3  การหยุดยั้ง

4  การแยกความแตกต่าง                  5  การสรุปความเหมือน

ตอบ   2  การลงโทษ                         

การลงโทษ  หมายถึง  การปรากฏของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหรือการนำสิ่งที่พึงปรารถนาออกไป  จึงมีผลให้การตอบสนองลดลง  เช่น  การตี  การเสียสิทธิ์  การจำคุก  การสอบตก  ฯลฯ  ซึ่งการลงโทษจะทำให้เกิดผลข้างเคียง  คือ  เกิดการวางเงื่อนไขเกี่ยวกับความกลัวต่อบุคคล  สถานการณ์  หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงโทษ  กระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวปละเกิดการเรียนรู้ที่จะหนี้และหลีกเลี่ยง  เช่น  นักเรียนที่สอบตกมักจะเกิดความรู้สึกท้อแท้ในการเรียนจนไม่อยากเรียนหนังสืออีกต่อไป

 

56           ความจำระยะสั้นจะมีลักษณะเป็นอย่างไร

1  เก็บข้อมูลไม่จำกัดจำนวน                      2  จำในสิ่งที่มีความหมาย                  3  จำในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง

4  จำในสิ่งที่เป็นเรื่องของชีวิตตนเอง         5  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ  5  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ความจำระยะสั้น  ทำหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวที่เก็บข้อมูลได้ในจำนวนจำกัดโดยจะเก็บข้อมูลในลักษณะจิรตภาพ  เป็นความจำที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราสับสนเกี่ยวกับชื่อ  วันที่  หมายเลขโทรศัพท์  และเรื่องเล็กๆน้อยๆ  นออกจากนี้ยังเป็นความจำในส่วนที่ปฏิบัติงาน  (Working  Memory)  การหมุนโทรศัพท์  การคิดเลขในใจ  การจำรายการสั่งของที่จะซื้อ ฯลฯ

 

57           ภาพติดตาหรือจินตภาพจะคงอยู่ได้กี่วินาที

1  2  วินาที                   2  1  ½  วินาที                3  1  วินาที               4  ½  วินาที            5  ขึ้นอยู่กับบุคคล

ตอบ   4  ½  วินาที           

ความจำจากการรับสัมผัส  คือ  ระบบการจำขั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลไว้ในช่วงสั้นๆเพื่อถ่ายข้อมูลไปยังระบบการจำอื่นๆ  เช่น  ถ้าได้เห็นข้อมูล  ภาพติดตา  (Icon)  หรือจินตภาพจะคงอยู่ได้ครึ่งวินาที  แต่ถ้าเป็นการได้ยิน  เสียงก้องหู  (Echo) ของสิ่งที่ได้ยินจะคงอยู่ประมาณ  2  วินาที

 

58           ความจำระยะยาวมีลักษณะเป็นอย่างไร

1  การเกิดจินตภาพ                      2  จำในสิ่งที่มีความหมาย                          3  การได้ยินเสียง

4  ข้อมูลมีจำกัด                            5  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ  2  จำในสิ่งที่มีความหมาย                         

ความจำระยะยาว  จะทำหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้  โดยมีความสามารถในการเก็บข้อมูลไม่จำกัด  และจะเก็บข้อมูลไว้บนพื้นฐานของความหมายและความสำคัญของข้อมูล  ซึ่งความจำระยะยาวนี้มี  2  ประเภท  คือ

1              การจำความหมาย  เป็นการจำความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก  เช่น  ชื่อวัน  เดือน  ภาษา  และทักษะการคำนวณง่ายๆ  ฯลฯ

2              การจำเหตุการณ์  เป็นการจำเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง  เป็นการบันทึกเหตุการณ์ในชีวิต

 

59           ข้อใดไม่ใช่วิธีการรักษาความทรงจำให้คงอยู่ได้

1  จำในสิ่งที่มีความหมาย          2  จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน         3  การสร้างความจำขึ้นมาใหม่

4  มีการบริหารจัดการข้อมูล                        5  สร้างข้อมูลในลักษณะจินตภาพ

ตอบ  5  สร้างข้อมูลในลักษณะจินตภาพ

วิธีการรักษาความทรงจำให้คงอยู่ได้  ได้แก่

1              การจำความหมายและการจำเหตุการณ์

2              กาสร้างความจำขึ้นมาใหม่

3              การบริหารจัดการข้อมูล

 

60           บอกได้ว่า  ร่มนี้เป็นของฉันหายไปเมื่อ  2  เดือนที่แล้ว”  เป็นการวัดความจำแบบใด

1  การระลึกได้  (Recall)                            2  การจำได้  (Recognition)

3  การเรียนซ้ำ  (Relearning)                     4  การบูรณาการใหม่  (Reintegration)

5  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ  2  การจำได้  (Recognition)

การจำได้  (Recognition)  เป็นการวัดความจำโดยมีสื่อกระตุ้นหรือชี้แนะให้จำได้  เช่น  ข้อสอบแบบเลือกตอบ  หรือการเห็นร่มก็จำได้ว่าเป็นของตนเองที่เคยทำหายไป  การจำได้จะได้ผลดีถ้ามีรูปถ่ายหรือการได้เห็นสิ่งอื่นๆ  มาช่วย  เช่น  การที่ตำรวจนิยมให้พยานชี้ตัวผู้ต้องสงสัยจากภาพถ่ายหรือสเก็ตภาพให้พยานดู  เป็นต้น

61           ใช้เวลาท่องอาขยานถึง  20  ครั้ง  แต่หลังจาก  20  ปีผ่านไป  สามารถท่องอาขยานใช้เวลาเพียง  2  ครั้งก็จำได้เรียกว่าอะไร

1  การระลึกได้  (Recall)                            2  การจำได้  (Recognition)

3  การเรียนซ้ำ  (Relearning)                     4  การบูรณาการใหม่  (Reintegration)

5  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ  3  การเรียนซ้ำ  (Relearning)                    

การเรียนซ้ำ  (Relearning)  เป็นการวัดความจำในสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาแล้ว  แต่ไม่อาจระลึกหรือจำได้  แต่เมื่อให้เรียนซ้ำอีกก็ปรากฏว่าเราเรียนได้เร็วขึ้นและใช้เวลาเรียนน้อยกว่าเดิมทั้งนี้เพราะเคยมีคะแนนสะสมไว้แล้ว

62           เรียนรู้และจดจำเฉพาะการเรียนสิ่งใหม่และลืมสิ่งที่เคยเรียนมาก่อนเรียกว่าอะไร

1  Retroactive  Inhibition            2  Proactive  Inhibition            3  Repression

4  Decay                                      5  Encoding  Failure

ตอบ  1  Retroactive                    

การรบกวน  (Inhibition)  มักเป็นสาเหตุสำคัญของการลืม  โดยแบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ

1              Retroactive  Inhibition  คือ  การที่การเรียนรู้ใหม่รบกวน  (ความจำของ)  การเรียนรู้เดิม

2              Proactive  Inhibition  คือ  การเรียนรู้เดิมรบกวน  (ความจำของ)  การเรียนรู้ใหม่

63           การแก้ปัญหาโดยมีการรับรู้  มองเห็นความสัมพันธ์  และคิดได้อย่างฉับพลันเรียกว่าอะไร

1  หยั่งเห็นคำตอบในทันที                   2  ทำความเข้าใจ                  3  ใช้เครื่องจักร

4  ใช้ความใหม่ของคำถาม                   5  แรงจูงใจของผู้แก้ปัญหา

ตอบ  1  หยั่งเห็นคำตอบในทันที                   

การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคำตอบในทันที  เป็นการแก้ปัญหาแบบปรากฏการณ์มองเห็นคำตอบโดยฉับพลัน  ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากคิดแก้ปัญหาแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ  การหยั่งเห็นคำตอบในทันทีมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  และผู้คิดมักสงสัยว่าทำไมความคิดเช่นนี้จึงไม่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

64           จากการศึกษาของ  Miller  พบว่าความจำระยะสั้นของคนปกติจะเป็นแบบใด

1  5  หน่วย                2  6  หน่วย                3  7  หน่วย               4  8  หน่วย              5  9  หน่วย

ตอบ  3  7  หน่วย              

จอร์จ  มิลเลอร์  ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการทดสอบช่วงการจำตัวเลข  (Digit – span  Test)  โดยเขาเห็นว่า  ความจำระยะสั้นของคนปกติสามารถจำข้อมูลได้ประมาณ  7  +-  2   หน่วย

 

65           ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บุคคลมีการแสดงพฤติกรรม  คืออะไร

1  สิ่งเร้า                   2  สิ่งแวดล้อม               3 แรงจูงใจ             4  ความรัก              5  การเรียนรู้

ตอบ    3 แรงจูงใจ            

แรงจูงใจ  (Motive)  หมายถึง  สภาวะหรือกระบวนการที่สร้างและเป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา  ทั้งที่เป็นพฤติกรรมโดยสัญชาตญาณและพฤติกรรมจากการเรียนรู้  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ  ทั้งนี้แรงจูงใจจะอยู่ในภาวะที่ไม่หยุดนิ่ง  (Dynamic)  และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา  เพื่อสร้างให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล

 

66           ได้มีผู้นำแนวคิดและทฤษฎีแรงจูงใจไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ  ยกเว้นด้านใด

1  ศาสนา                                                 2  การเมือง                                   3  การโฆษณาประชาสัมพันธ์

4  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม                    5  ธุรกิจและการตลาด

ตอบ  4  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม                   

ในปัจจุบันมีผู้ที่นำแนวคิดและทฤษฎีแรงจูงใจไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในงานด้านต่างๆ  มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครอง  การบริหารธุรกิจและการตลาด  การโฆษณาประชาสัมพันธ์  การศึกษา  รวมถึงการศาสนา  โดยนำวิธีการจูงใจไปใช้เพื่อสร้างสภาวะให้บุคคลอันเป็นกลุ่มเป้าหมายได้มีพฤติกรรมไปในแนวทางที่ตนต้องการ

 

67           ข้อใดไม่ใช่กระบวนการของแรงจูงใจ

1  การตอบสนอง  (Response)              2  มโนทัศน์  (Concept)              3  แรงขับ  (Drive)                 4  ความต้องการ  (Need)                      5  เป้าหมาย  (Goal)

ตอบ  2  มโนทัศน์  (Concept)             

กระบวนการของการเกิดแรงจูงใจ  ประกอบด้วยองค์ประกอบ  4  ประการ  คือ

1 ความต้องการ  (Need)        2  แรงขับ  (Drive)    3  การตอบสนอง  (Response)  หรือพฤติกรรม                                                4  เป้าหมาย  (Goal)

 

68           ข้อใดถูกต้อง

A  แรงจูงใจ  (Motive)  หมายถึง  สภาวะที่เป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ

 

B  การจูงใจ  (Motivation)  หมายถึง  กระบวนการของการนำปัจจัยต่างๆ  ที่เป็นแรงจูงใจมากระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมไปอย่างมีทิศทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย

 

C  แรงจูงใจ  เป็นภาวะที่ไม่หยุดนิ่ง  (Dynamic)  และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา  เพื่อสร้างให้ร่างกายเกิดภาวะสมดุล

 

1  ข้อ  A  และ  B                              2  ข้อ  A  และ  C                          3  ข้อ  B  และ  C

4  ถูกทุกข้อ                                                  5  ผิดทุกข้อ

ตอบ   4  ถูกทุกข้อ                                                 

(ดูคำอธิบายข้อ  65  ประกอบ)  การจูงใจ  (Motivation)  หมายถึง  กระบวนการของการนำปัจจัยต่างๆ  ที่เป็นแรงจูงใจมากระตุ้นหรือผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมไปอย่างมีทิศทาง  เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือเงื่อนไขที่ผู้จูงใจต้องการ

 

69           ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์

1  หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด                       2  ความสุข                                      3  ความหิว

4  ความกระหาย                                      5  ความต้องการทางเพศ 

ตอบ  2  ความสุข                    

แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์  เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของชีวิต  แบ่งเป็น  3  ชนิด  ดังนี้

1              แรงจูงใจทางชีวิภาพ  ได้แก่  ความหิวและความกระหาย

2              แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์  ได้แก่  ความต้องการทางเพศ

3              แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย  ได้แก่  ความต้องการหลีกหนีความเจ็บปวด

 

70           ทฤษฎีอะไรเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

1  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล                  2  ทฤษฎีแรงขับ                    3  ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

4  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                         5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ  ได้แก่

1  ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว                        2  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                        

3  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล                                            4  ทฤษฎีแรงขับ                    

5  ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

71           ข้อใดไม่ใช่แรงขับที่จำแนกตามระบบชีววิทยา

1  แรงขับฉุกเฉิน                                2  แรงขับเพื่อการศึกษา                       3  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต

4  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์                  5  แรงขับเพื่อได้รับการยอมรับ

ตอบ    5  แรงขับเพื่อได้รับการยอมรับ

แรงขับ  (Drive)  สามารถจำแนกตามระบบทางชีววิทยา  ได้เป็น  4  ประเภท  คือ

1  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต                         2  แรงขับฉุกเฉิน

3  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์                                     4  แรงขับเพื่อการศึกษา

72           ข้อใดเรียงลำดับความต้องการของมาสโลว์  (Maslow)  ได้ถูกต้อง

A  ความต้องการประจักษ์ในตน                                   B  ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

C  ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ               D  ความต้องการทางด้านร่างกาย

E  ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง

1  D  A  E  C  B                     2  A  B  C  D  E                     3  A  B  C  E  D 

4  D  E  A  B  C                     5  D  E  C  B  A

ตอบ  5  D  E  C  B  A

ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์  มี  5  ขั้น  ดังนี้

1  ความต้องการทางด้านร่างกาย                             2  ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง

3  ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ        4  ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

5  ความต้องการประจักษ์ตน

 

73           ข้อใดถูก

1              แรงจูงใจภายนอกเป็นแรงจูงใจที่สร้างให้บุคคลเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่น

2              แรงจูงใจภายในจำเป็นและสำคัญเท่ากับแรงจูงใจพื้นฐาน

3              แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เริ่มเกิดเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น

4              แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตเผ่าพันธุ์ของตนได้ต่อไป

5              แรงจูงใจจากการเรียนรู้ที่มีมาตั้งแต่เกิด

ตอบ  1  แรงจูงใจภายนอกเป็นแรงจูงใจที่สร้างให้บุคคลเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่น

แรงจูงใจภายนอก  (Extrinsic  Motive)  หรือแรงจูงใจจากการเรียนรู้  เป็นแรงจูงใจของบุคคลที่เกิดจากการได้รับกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก  ทำให้คนเราเกิดจุดมุ่งหมาย  จนนำไปสู่การแสดงพฤติกรรมเพื่อนำตนไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น  ซึ่งนับว่าเป็นแรงจูงใจทางสังคมที่สร้างให้บุคคลเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่น

 

74           ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล

1  อำมาตยาธิปไตย                                 2  คณาธิปไตย                                     3  เผด็จการ                 

4  สมบูรณาญาสิทธิราชย์                       5  ประชาธิปไตย

ตอบ  5  ประชาธิปไตย

ทฤษฎีหลักการมีเหตุผลจะมีความคล้ายคลึงกับความเชื่อในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย  นั่นคือ  ผู้นำและสมาชิกของการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีความเชื่อมั่นในการที่จะแสดงพฤติกรรมและความคิดเห็นระหว่างสมาชิกด้วยกัน  สามารถยอมรับความคิดเห็นของบุคคลอื่นได้  เพราะมีความเชื่อว่าบุคคลทุกคนมีอิสระที่จะกระทำหรือตัดสินใจในสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล

 

75           อารมณ์สำคัญอย่างไร

1              เป็นแรงผลักดันหรือจูงใจให้เกิดความกระตือรือร้น

2              เป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้จักการต่อสู้

3              ทำให้เรียนรู้จักตนเองและผู้อื่น

4              ทำให้มีมนุษยสัมพันธ์

5              ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

อารมณ์เป็นเครื่องชี้ถึงความรู้สึกนึกคิด  ช่วยให้เราเรียนรู้จักตนเองและผู้อื่น  เป็นแรงผลักดันหรือแรงจูงใจทำให้เกิดความกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา  ทำให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีให้การช่วยเหลือผู้อื่น  และเป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้จักการต่อสู้  การเอาตัวรอด  และอื่นๆ

 

76           สมองส่วนใดควบคุมระบบประสาทส่วนลิมบิก  (Limbic)

1  โซมาติก              2  ธาลามัส               3  ไฮโปธาลามัส              4  ไคเนสติก               5  คอปัสคอร์ลูซัม

ตอบ  3  ไฮโปธาลามัส             

จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกาย  เมื่อเกิดอารมณ์  พบว่าศูนย์กลางของการเกิดอารมณ์อยู่ที่การทำงานของระบบประสาทลิมบิก  (Limbic  System)  ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปธาลามัส  (Hypothalamus)  ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาทอัตโนมัติ  ถ้าสมองส่วนไฮโปธาลามัสถูกกระตุ้นจะทำให้เกิดอาการคลั่ง  ดุ  อาละวาด  แต่ถ้าถูกทำลายจะเกิดอาการสงบเฉย

 

77           ศูนย์กลางที่ทำให้เกิดอารมณ์อยู่ที่ใด

1  ระบบประสาทลิมบิก                        2  ระบบประสาทส่วนกลาง                 3  ระบบประสาทมอเตอร์

4  ระบบประสาทกึ่งอัตโนมัติ               5  ระบบประสาทปฏิกิริยาสะท้อน

ตอบ   1  ระบบประสาทลิมบิก             ดูคำอธิบายข้อ  76  ประกอบ

 

78           แอดรีนาลินจะถูกหลั่งออกมาเมื่อใด

1  หัวเราะ                    2  ร้องไห้                    3  ตกใจ                   4  นั่งสมาธิ                  5  นอนหลับ

ตอบ    3  ตกใจ                   

(ดูคำอธิบายข้อ  15  ประกอบ)  อารมณ์หวาดกลัวหรือตกใจกลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลินจากต่อมหมวกไต  ส่วนอารมณ์โกรธจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนนอร์แอดรีนาลิน  ส่วนอารมณ์อื่นๆนักจิตวิทยายังไม่สามารถระบุแบบแผนของการเปลี่ยนแปลงทางสรีระได้อย่างแน่นอน

79           ใครกล่าวว่า  ร่างกายจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบก่อน  แล้วจึงเกิดอารมณ์ตามมา

1  จุง               2  วิลเลียม  เจมส์               3  ฟรอยด์                 4  ฟิลิป  บาร์ด              5  พระนันทาจารย์ 

ตอบ   2  วิลเลียม  เจมส์              

วิลเลียม  เจมส์  (William  James)  นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน  อธิบายว่า  ร่างกายของเราจะต้องแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเป็นอันดับแรกก่อน  แล้วอารมณ์จึงจะเกิดตามมา  ประสบการณ์ทางอารมณ์เป็นผลมาจากการรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย  ดังนั้นหลังจากที่เกิดการเร้าทางกายและพฤติกรรม  จะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ  หายใจหอบ  หน้าแดง  เหงื่อออก  และนำไปสู่ประสบการณ์ทางอารมณ์

80           พลูทชิค  เชื่อว่า  อารมณ์กลัวทำหน้าที่อะไร

1  ทำลาย                 2  ปฏิเสธ                 3  ปกป้อง                  4  ความร่วมมือ                 5  เสียใจ

ตอบ     3  ปกป้อง              

พลูทชิค  กล่าวว่า  อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คือความกลัว  ซึ่งอารมณ์กลัวจะทำหน้าที่ช่วยปกป้องอันตรายที่จะเข้ามากล้ำกราย

81           ชาร์ลส์  ดาร์วิน  กล่าวว่า  อารมณ์มีความสำคัญอย่างไร

1              การแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ไม่แตกต่างไปจากสัตว์

2              บุคคลมีประสบการณ์มากขึ้น  การดัดแปลงอารมณ์ก็จะมีมากขึ้นด้วย

3              บุคคลที่มีอารมณ์ดีจะมีชีวิตยืนยาว

4              อารมณ์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

5              อารมณ์คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อกรดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

ตอบ  5  อารมณ์คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อกรดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

ชาร์ลส์  ดาร์วิน  (Charles  Darwin)  กล่าวว่า  อารมณ์เป็นสิ่งที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นมาและเกิดอยู่เรื่อยๆในมนุษย์  เพราะอารมณ์คือสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์ของมนุษย์  นอกจากนี้ในผลงานเขียนชื่อ  The  Expression  of  Emotion  in  Man  and  Animal  เขาได้กล่าวไว้ว่า  การแสดงออกทางอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดของชีวิตมนุษย์

82           การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติส่วนใด  ทำให้เกิดการเตรียมพร้อมร่างกายในภาวะฉุกเฉินเพื่อให้สู้หรือหนี

1  ลิมบิก               2  ซิมพาเธติก                 3  พาราซิมพาเธติก              4  ธาลามัส                 5  ไฮโปธาลามัส

ตอบ  2  ซิมพาเธติก                

การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติจะเกี่ยวข้องกับการเกิดอารมณ์  โดยระบบประสาทซิมพาเธติกจะเตรียมร่างกายในภาวะฉุกเฉินให้สู้หรือหนี  และทำให้ระบบต่างๆในร่างกายมีอาการตื่นตัวเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น  ส่วนระบบประสาทพาราซิมพาเธติกจะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะสงบและผ่อนคลาย

83           ข้อใดไม่ใช่แนวทางของการควบคุมอารมณ์

1              อย่ากังวลกับสิ่งที่ทำผิดพลาดไปแล้ว

2              แยกอารมณ์ออกจากสถานการณ์

3              ทำเป็นไม่สนใจกับอารมณ์

4              ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น

5              พยายามเข้าใจความกลัวของอารมณ์

ตอบ  3  ทำเป็นไม่สนใจกับอารมณ์

มุกดา  สุขสมาน  ได้ให้แนวทางในการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติ  ดังนี้

1              พยายามทำความเข้าใจและหาสาเหตุของความกลัวและความวิตกกังวล  เพื่อนนำมาใช้พิจารณาว่าควรมีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างไร

2              ต้องยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นและควบคุมให้มีอิทธิพลเหนือตัวเรา

3              แยกอารมณ์ออกจากสถานการณ์

4              อย่ากังวลกับสิ่งที่ผิดพลาดมาแล้ว

5              ใช้ปฏิกิริยาโดยตรงต่อการควบคุมอารมณ์  โดยขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทันที

 

ข้อ  84 – 86  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  Freud  จิตวิเคราะห์                       2  Skinner  พฤติกรรมนิยม                     3  Rogers  มนุษยนิยม

4  Sheldon  โครงสร้างร่างกาย         5  Jung  ประเภทบุคลิกภาพ

84           มะปรางทำทุกอย่างให้มะไฟเข้ามาสนใจตน  แม้จะรู้ว่ามะไฟมีเจ้าของแล้วแต่คิดว่าใครดีใครได้

ตอบ  1  Freud  จิตวิเคราะห์                      

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์  ได้แบ่งโครงสร้างของบุคลิกภาพเป็น  3  ส่วน  คือ

1              อิด  (Id)  เป็นสัญชาตญาณของจิตใต้สำนึกที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด  โดยเป็นพลังจิตที่ขาดการขัดเกลาไม่รับรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม  และจะทำตามความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่สนใจกับความเป็นจริงภายนอก  เช่น  ความอยากได้สิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง

2              อีโก้  (Ego)  จะทำงานโดยยึดหลักแห่งความเป็นจริง  ด้วยการทำความเข้าใจพฤติกรรมควรมีการแสดงออกอย่างไรถึงเป็นที่ยอมรับและเหมาะสมกับสังคม

3              ซูเปอร์อีโก้  (Superego)  จะทำหน้าที่คล้ายมโนธรรมที่คอยตักเตือนให้บุคคลมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

85           ปราณีขยันทำการบ้านเพราะคุณแม่ฝึกให้ทำการบ้านให้เสร็จก่อนจะเล่นและดูโทรทัศน์

ตอบ  2  Skinner  พฤติกรรมนิยม                

สกินเนอร์  (Skinner)  นักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยมหรือจิตวิทยาการเรียนรู้จะเน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมภายนอกว่าสามารถกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ได้  อีกทั้งเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์จะเกิดจากกระบวนการวางเงื่อนไข  โดยมีรางวัลเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมนั่นคือ  หากทำพฤติกรรมใดแล้วได้รางวัล  บุคคลหรือสัตว์ก็จะทำพฤติกรรมนั้นๆให้ปรากฏบ่อยครั้งขึ้น  ซึ่งแนวคิดนี้นิยมนำมาใช้ในการฝึกเด็กหรือฝึกสัตว์ให้มีพฤติกรรมตามที่เราต้องการได้

 

86           กัลยารูปร่างอ้วนท้วม  ความสุขของเธอคือการรับประทาน  กัลยาเป็นคนสนุกสนานเป็นที่ชอบพอของเพื่อนๆ

ตอบ  4  Sheldon  โครงสร้างร่างกาย        

เชลดอน  (Sheldon)  ได้แบ่งบุคลิกภาพตามโครงสร้างทางร่างกายออกเป็น  3  กลุ่ม  คือ 

1              กลุ่มคนอ้วน  (Endomorphy)  มักจะมีนิสัยร่าเริง  อารมณ์ดี  สนุกสนาน  รักความสบาย  และสนใจการกินหรือชอบกินๆนอนๆ

 

2              กลุ่มที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง  (Mesomorphy)  มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก  มีพลังงานมาก  รักกิจกรรมกลางแจ้ง  และมีลักษณะคล้ายนักกีฬา

 

3              กลุ่มผอมสูง  (Ectomorphy)  มักจะมีลักษณะขี้อาย  กลัว  ไม่กล่าแสดงออก  เป็นคนเฉยๆ  สนใจตนเอง  และรักสันโดษ

 

ข้อ  87 – 90  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

 

1  Oral                2  Anal              3  Phallic              4  Latency             5  Genital

 

87           ประไพเป็นคนปากตะไกร  ชอบพูดวิพากษ์วิจารณ์คนรอบตัว  ทำให้เกิดมลภาวะ

ตอบ  1  Oral 

ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก  (Oral  Stage)  เป็นพัฒนาการของเด็กแรกเกิดถึงอายุ  18  เดือน  เป็นช่วงที่เด็กได้รับความสุขจากการดูดกลืน  หรือได้รับความพึงพอใจจากการกระตุ้นทางปาก  หากเด็กไม่ได้รับความพึงพอใจทางปากในช่วงนี้  เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าวทางปาก  เช่น  ชอบโต้เถียง  ปากคอเราะร้าย  ชอบเย้ยถากถางผู้อื่น  เป็นต้น

 

88           การเลียนแบบบทบาททางเพศของเด็กเกิดในพัฒนาการระยะใด

ตอบ  3  Phallic             

ขั้นอวัยวะเพศ  (Phallic  Stage)  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุระหว่าง  3 – 5 ปี  ซึ่งในระยะนี้เด็กจะมีความรักในพ่อแม่เพศตรงข้ามกับตน  และอิจฉาพ่อแม่เพศเดียวกับตน  รวมทั้งมีการเลียนแบบบทบาทพ่อแม่เพศเดียวกับตนอีกด้วย

 

89           เด็กชายและเด็กหญิงวัย  11  ปี  มักจะเล่นแต่กับเพื่อนเพศเดียวกัน

ตอบ  4  Latency            

ขั้นแอบแฝง  (Latency  Stage)  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุประมาณ  6  ปีจนถึงวัยรุ่น  ซึ่งในระยะนี้

สัญชาตญาณทางเพศของเด็กจะถูกซ่อนเร้นไว้  เด็กมักจะเล่นกับเพื่อนเพศเดียวกันและมีพฤติกรรมในทางที่ให้สังคมยอมรับมากขึ้น

90           พ่อแม่จะฝึกขับถ่ายให้ลูกในพัฒนาการระยะใด

ตอบ  2  Anal             

ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก  (Anal  Stage)  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กที่มีอายุราว  2 – 3  ปี  ซึ่งศูนย์กลางความพึงพอใจของเด็กจะอยู่ที่ทวารหนัก  ซึ่งเด็กจะพอใจที่ได้ปลดปล่อยหากในช่วงนี้บิดามารดาที่เคร่งครัดกับเด็กมากเกินไปในเรื่องการขับถ่าย  เมื่อเด็กโตขึ้นจะเกิดความขัดแย้งใจ  เป็นบุคลิกภาพที่จู้จี้  เจ้าระเบียบ  รักษาความสะอาดจนเกินเหตุ  และบางครั้งอาจมีพฤติกรรมประเภทดันทุรังได้ 

91           ทฤษฎี  Self – concept  ของโรเจอร์  เชื่อว่าการที่บุคคลจะมีความสมดุลในบุคลิกภาพขึ้นอยู่กับอะไร

1  การมีแบบอย่างที่เหมาะสม                                            2  การได้รับการตอบสนองความต้องการ

3  การได้รับความรักและการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข  โดยเฉพาะจากบุคคลที่มีความสำคัญ

4  การได้รับการเสริมแรงพฤติกรรมที่พึงประสงค์            5  การปลูกฝังคุณธรรมจากพ่อแม่

ตอบ  3  การได้รับความรักและการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข  โดยเฉพาะจากบุคคลที่มีความสำคัญ

ทฤษฎีอัตมโนทัศน์  (Self – concept)  ของโรเจอร์  (Rogers)  เชื่อว่า  บุคคลทุกคนสามารถบรรลุถึงความสมดุลในบุคลิกภาพของเขาได้  ซึ่งการที่บุคคลใดก็ตามจะมีความเจริญงอกงามได้เช่นนี้  เขามักเป็นผู้ที่เปิดใจกว้างต่อการรับรู้ในด้านความนึกคิด  ความรู้สึกและประสบการณ์  เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  เขาจะต้องได้รับการยอมรับ  ความรัก  และความเอื้ออาทรจากผู้อื่นที่ให้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไข

92           แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพแบบใดเป็นการฉายภาพจิต

1  TAT               2  MMPI               3  CPI               4  16  PF                5  MBTI

ตอบ  1  TAT              

การฉายภาพจิต  (Projective  Tests)  จะแบ่งออกเป็นแบบทดสอบ  2  ชนิด  คือ

1              แบบทดสอบรอร์ชาค  คือ  แบบวัดบุคลิกภาพโดยใช้ภาพหยดหมึก  10  ภาพ

2              แบบทดสอบ  TAT  คือ  แบบวัดบุคลิกภาพโดยใช้ภาพเหตุการณ์ของชีวิตในแง่มุมต่างๆ  20  ภาพ  โดยนักจิตวิทยาจะถือภาพแล้วให้ผู้ถูกทดสอบเล่าเรื่องอะไรก็ได้ที่ประกอบเป็นคำบรรยายภาพแต่ละภาพ  ซึ่งภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคลุมเครือ  ทำให้มองได้หลายแง่มุม

93           การทดสอบที่เสนอสิ่งเร้าที่คลุมเครือและให้ผู้รับการทดสอบบรรยายหรือเล่าเรื่องราวจากสิ่งเร้าที่เห็น  (ใช้ตัวเลือกข้อ  92)

ตอบ  1  TAT          ดูคำอธิบายข้อ  92  ประกอบ

 

94           การศึกษาเกี่ยวกับสติปัญญาได้เริ่มเป็นครั้งแรกโดยใคร

1  Simon           2  Binet           3  Galton           4  Spearman          5  Thurstone

ตอบ  3  Galton          

การวัดสติปัญญาริเริ่มขึ้นโดยฟรานซิส  กัลตัน  (Francis  Galton)  ซึ่งให้ความสนใจศึกษาการสืบทอดทางพันธุกรรมเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญา  โดยนำวิธีการทางสถิติมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถทางสติปัญญาและความสามารถด้านอื่นๆของบุคคล

 

95           ทฤษฎีองค์ประกอบที่เน้น  G – factor  และ  S – factor  เป็นแนวคิดของใคร

1  Simon           2  Binet           3  Galton           4  Spearman          5  Thurstone

ตอบ  4  Spearman         

ชาร์ล  สเปียร์แมน  (Charles  Spearman)  ผู้ตั้งทฤษฎีตัวปะกอบสองปัจจัยได้อธิบายว่า  สติปัญญาของคนเรานั้นมีองค์ประกอบ  2  ประการ  คือ

1              ตัวประกอบทั่วไป  (G – factor)  เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผลโดยทั่วๆไป  ซึ่งทุกคนจะมีเหมือนกันหมด 

2              ตัวประกอบเฉพาะ  (S – Factor)  เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล  ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่เหมือนกัน  เช่น  ความสามารถด้านศิลปะ  การคำนวณ  การใช้มือ  การออกแบบ  (Design)  ฯลฯ

96           ทฤษฎีองค์ประกอบหลายปัจจัย  เป็นแนวคิดของใคร

1  Simon           2  Binet           3  Galton           4  Spearman          5  Thurstone

ตอบ  5  Thurstone

เทอร์สโตน  และกิลฟอร์ด  (Thurstone  and  Guilford)  ผู้คิดค้นทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัย  ได้อธิบายว่า  ความสามารถขั้นพื้นฐานที่เป็นส่วนประกอบของสติปัญญามีอยู่  7  ชนิด  คือ  1  ความเข้าใจภาษา

2  ความสามารถใช้คำได้คล่องแคล่ว           3  ความสามารถในการใช้ตัวเลข         4  ความสามารถในการมองเห็นภาพมิติ       5  ความสามารถในการจำ         6  ความสามารถในการรับรู้สิ่งต่างๆ        7  ความสามารถที่จะเข้าใจเหตุผล

 

97           แบบทดสอบที่ดีนั้น  ไม่ว่าจะเป็นใครมาตรวจให้คะแนนจะมีเกณฑ์การให้คะแนนเหมือนกัน”  เรียกว่าอะไร

1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)                     2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)

3  ความเที่ยงตรง  (Validity)                           4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

5  เกณฑ์ปกติ  (Norm)

ตอบ  1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)

ความเป็นปรนัย  (Objectivity)  โดยผู้รับการทดสอบจะเป็นใครก็ตามภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันนั้น  แบบทดสอบที่ดีจะต้องให้ผลของคะแนนเหมือนเดิม  ไม่ว่าใครจะเป็นคนตรวจให้คะแนนก็ตาม  โดยจะไม่มีความลำเอียงเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

98           แบบทดสอบที่ดีนั้น  ไม่ว่าจะทดสอบกี่ครั้งจะได้คะแนนทดสอบเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกัน”  เรียกว่าอะไร

1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)                     2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)

3  ความเที่ยงตรง  (Validity)                           4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

5  เกณฑ์ปกติ  (Norm)

ตอบ   2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)                  

ความเชื่อถือได้  (Reliability)  เป็นความเที่ยงของแบบทดสอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน  โดยแบบทดสอบที่ดีนั้นผู้รับการทดสอบจะต้องทำคะแนนได้ตรงกันทั้งสองครั้งในวันและเวลาต่างกัน

 

99           แบบทดสอบที่ดีนั้นจะต้องมีการกำหนดเวลาในการทดสอบที่ชัดเจน  เรียกว่าอะไร

1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)                     2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)

3  ความเที่ยงตรง  (Validity)                           4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

5  เกณฑ์ปกติ  (Norm)

ตอบ  4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)  จะต้องมีลักษณะดังนี้ 

1  กำหนดเวลาในการทดสอบที่แน่นอน         2  กำหนดคำสั่งหรือคำแนะนำในการสอบไว้ชัดเจน

3  แสดงตัวอย่างในการตอบข้อทดสอบ          4  มีวิธีการให้คะแนนที่แน่นอน

5  มีเกณฑ์ปกติ  (Norms)  หรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มคนปกติทั่วๆไป

 

100         แบบทดสอบที่ใช้วัดกับผู้ใหญ่  เรียกว่าอะไร

1  WPPSI           2  Colour  PM         3  WISC        4  Verbal  Scale         5  WAIS

ตอบ  5  WAIS

ปัจจุบันนี้แบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาของเวคสเลอร์  (Wechsler)  มี  3  ฉบับ  คือ

1              WAIS  ใช้ทดอบกับผู้ใหญ่อายุ  16  ปี  –  75  ปี

2              WISC  ใช้ทดสอบกับเด็กอายุ  5  ปี  –  15  ปี  11  เดือน

3              WPPSI  ใช้ทดสอบกับเด็กอายุ  4  ปี –  6  ปี  6  เดือน

101         ถ้าคะแนนที่ได้จากการทดสอบทางจิตวิทยามีค่าเท่ากับอายุปฏิทินแสดงว่าผู้นั้นมีสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ใด

1  ปัญญาทึบ              2  ค่อนข้างฉลาด               3  ปกติ                 4  คาบเส้น                 5  ค่อนข้างต่ำ

ตอบ  3  ปกติ                

การวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า  I.Q.  (Intelligence  Quotient)  ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง  (M.A.)  กับอายุจริงตามปฏิทิน  (C.A.)  คูณด้วย  100  ถ้าคะแนนที่ได้จากการทดสอบทางจิตวิทยามีค่าเท่ากับอายุตามปฏิทินแสดงว่าผู้นั้นมีสติปัญญาอยู่ในระดับไอคิว  100  ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

102         ข้อใดเป็นลักษณะโครงสร้างแบบทดสอบ  Wechsler

1  การทดสอบเชิงภาษา  +  ประกอบการ                         2  การทดสอบความรู้ทั่วไป  +  การลำดับภาพ

3  การใช้สัญลักษณ์  +  การจำตัวเลข                               4  การลงมือปฏิบัติ  +  ความเข้าใจศัพท์

5  การใช้คำศัพท์  +  การรับรู้เชิงระวางที่

ตอบ  1  การทดสอบเชิงภาษา  +  ประกอบการ                        

ลักษณะโครงสร้างแบบทดสอบสติปัญญาของ  Wechsler  แบ่งออกเป็น  2  หมวด  คือ

1              แบบทดสอบที่วัดความสามารถเชิงภาษา  (Verbal  Scale)

2              แบบทดสอบประกอบการ  (Performance  Scale)

103         ข้อใดไม่ถูกต้องของแบบทดสอบ  Progressive  Matrices

1  หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเรขาคณิต                 2  ใช้ถ้อยคำภาษา  (Verbal)

3  ปัญหาแต่ละข้อจะมีส่วนขาดหายไป                          4  เรียงจากง่ายไปหายาก

5  ใช้แนวคิดการให้เหตุผลของ  Spearman

ตอบ  2  ใช้ถ้อยคำภาษา  (Verbal)

แบบทดสอบโปรเกรสซีฟ  เมตริซีส  (Progressive  Matrices  Test)  เป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา  (Nonverbal)  ที่  J.G. Raven  สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดความสามารถของบุคคลในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเลขาคณิต  โดยปัญหาของแบบทดสอบจะอยู่ในรูปของเมตริก  ซึ่งปัญหาแต่ละข้อจะมีส่วนที่ขาดหายไป  เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก  ไม่จำกัดเวลาในการดำเนินการ  และใช้แนวคิดการใช้เหตุผลตามทฤษฎีของสเปียร์แมนคือ  G – factor

 

104         ข้อใดเป็นโรคที่มีสาเหตุทางจิตใจ

1  ไตวายเฉียบพลัน                                    2  เบาหวาน                                    3  นอนไม่หลับ

4  ปวดประจำเดือน                                   5  ลมชัก

ตอบ  3  นอนไม่หลับ

โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด  (Psychosomatic  Diseases)  มักเกิดขึ้นกับคนที่มีความเครียดอยู่เสมอๆ  หรือเครียดต่อเนื่องเป็นเวลานาน  โดยไม่ได้รับการแก้ไข  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคต่างๆแก่ร่างกาย  เช่น  โรคแผลในกระเพาะอาหาร  โรคหัวใจ  โรคความดัน  โรคปวดศีรษะข้างเดียว  (ไมเกรน)  โรคนอนไม่หลับ  เป็นต้น

 

ข้อ  105 – 108  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

 

1  ถดถอย  Regression           2  หาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  Rationalization

3  ปฏิเสธ  Denial                  4  ชดเชย  Compensation                  5  โยนความผิด  Projection

 

105         สมศรีตรวจพบมะเร็งแต่ไม่ตัดสินใจว่าจะรักษาหรือไม่  ใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาเรื่องโรคมะเร็ง  และคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้

ตอบ  3  ปฏิเสธ  Denial                 

การไม่รับรู้ความจริงหรือปฏิเสธ  (Denial)  คือ  การไม่ยอมรับความจริง  หรือปฏิเสธเพราะสภาพจิตใจยอมรับไม่ได้  เช่น  ผู้ป่วยที่รู้ว่าตนเป็นโรคร้าย  แต่ยอมรับสภาพความจริงไม่ได้ก็จะปฏิเสธการเข้ารับการรักษา  ซึ่ง ฟรอยด์ถือว่าการปฏิเสธไม่รับรู้ความจริงนี้จัดเป็นกลไกทางจิตที่มีระดับความรุนแรงที่สุด

 

106         มาลัยไปเยี่ยมเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพบว่าเด็กชอบเอาศีรษะโขกกับเตียง  ดูดนิ้ว  ปัสสาวะรดที่นอน

ตอบ  1  ถดถอย  Regression          

การถอยหลังเข้าคลอง  (Regression)  เป็นการปรับตัวของบุคคลที่รับสภาพปัจจุบันที่ถูกคุกคามไม่ได้  จึงถอยหลังไปแสดงพฤติกรรมเหมือนกับเด็กๆ  อีกครั้งหนึ่งทั้งที่ผ่านพ้นช่วงพฤติกรรมนั้นมานานแล้ว  เช่น  การกระทืบเท้า  การปัสสาวะรดที่นอน  การดูดนิ้ว  การเอาหัวโขกพื้น  เป็นต้น

 

107         ทุกครั้งที่งานผิดพลาดมานะจะต้องไล่เบี้ยเอากับลูกน้อง

ตอบ  5  โยนความผิด  Projection

การโยนความผิดหรือการกล่าวโทษผู้อื่น  (Projection)  คือ  การโทษผู้อื่นในความผิดที่ตนเองกระทำ  เพื่อให้ความรู้สึกผิดของตนเองมีน้อยลง  จนกระทั่งดูไปว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย

 

108         ธานีชอบผู้หญิงฉลาดแต่มาแต่งงานกับมาลีซึ่งจบเพียงชั้นประถม  ธานีคุยเสมอว่ามาลีเก่งการเรือน  ทำอาหารอร่อย  แม้จะคิดไม่ค่อยทันใคร

ตอบ  2  หาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  Rationalization

การเข้าข้างตัวเอง  (Rationalization)  เป็นกลไกป้องกันทางจิตที่บุคคลพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตนเอง  ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาหน้าหรือภาพพจน์ของตัวเองเอาไว้  ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการปลอบใจตัวเอง  เช่น  บอกว่าแม้ภรรยาของตนจะไม่สวย  แต่ก็นิสัยดี  เหตุที่ตนสอบตกเพราะข้อสอบยากเกินไป  ฯลฯ

 

ข้อ  109 – 111  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

 

1  Existentialism                   2  Humanism                       3  Behaviorism

4  Psychoanalysis                  5  Neo – Freudian

 

109         การที่บุคคลเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิตและรับผิดชอบต่อชีวิต  สามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างเหมาะสม  ยืนหยัดตามความเชื่อของตน

ตอบ  1  Existentialism                  

กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด  (Existentialism)  เชื่อว่า  ใครก็ตามที่ก้าวพ้นออกมาจากความกลัว  และสามารถแสดงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจในชีวิตของเขาเอง  รับผิดชอบต่อชีวิตที่เขาเป็นผู้เลือก  ยืนหยัดอยู่กับความเชื่อ  และเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิตได้  เขาเหล่านั้นจะพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิตและเป็นผู้ที่ปรับตัวได้

 

110         การที่บุคคลตระหนักถึงเอกลักษณ์แห่งตน  เช่น  บทบาททางเพศ  อาชีพ  และสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

ตอบ  5  Neo – Freudian

กลุ่มลูกศิษย์ของฟรอยด์ (Neo – Freudian)  มีความเห็นว่า  การปรับตัวจะดีได้นั้นบุคคลจะต้องสามารถพัฒนาตนเอง  สร้างเสริมเอกลักษณ์ที่มั่นคง  ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับคนอื่นๆได้

 

111         การที่บุคคลตระหนักถึงตนเองอย่างแท้จริง  สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพแห่งตน  ยอมรับจุดด้อยรู้ถึงจุดแข็ง

ตอบ  2  Humanism                      

กลุ่มมนุษยนิยม  (Humanism)  เชื่อว่า  มนุษย์ควรมีการพัฒนาไปถึงที่สุดเท่าที่ศักยภาพจะอำนวย  โดยเรียกกระบวนการพัฒนาเข้าไปถึงที่สุดของศักยภาพนี้ว่า  การประจักษ์ในตน”  ซึ่งควรจะเป็นเป้าหมายของการงอกงามเติบโตที่แท้จริงของมนุษย์

ข้อ  112 – 113  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  Approach – Approach  Conflicts        2  Avoidance – Avoidance  Conflicts

3  Approach – Avoidance  Conflicts      4  Double – Approach – Avoidance  Conflicts

5  ผิดทั้งหมด

 

112         ประชาต้องตัดสินใจว่าจะลงแข่งในรายการนี้หรือไม่  ถ้าไม่ลงจะถูกตัดสิทธิไม่ให้แข่งอีกทั้งปี  ถ้าลงอาจต้องพิการไปตลอดชีวิต  เพราะหมอบอกให้พักช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ตอบ  3  Approach – Avoidance  Conflicts     

ความขัดแย้งใจมี  4  ประเภท  คือ

1              อยากได้ทั้งคู่  (Approach – Approach  Conflicts)  เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ  รักพี่เสียดายน้อง”  คือ  ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่  แต่ต้องเลือกของชอบอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาเดียวกัน

2              อยากหนีทั้งคู่  (Avoidance – Avoidance  Conflicts)  เป้นความขัดแย้งใจในลักษณะ  หนีเสือปะจระเข้)  คือ  เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่

3              ทั้งรักทั้งชัง  (Approach – Avoidance  Conflicts)  เป้นความขัดแย้งใจในลักษณะ  กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”  คือ  ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกันจึงทำให้เกิดความลังเล  เช่น  อยากทานขนมหวานแต่กลัวฟันผุ  อยากทำงานได้เงินแต่กลัวเรียนไม่จบ  เป็นต้น

4              ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่  (Double – Approach – Avoidance  Conflicts)  คือ  ตัวเลือกทั้ง  2  มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน  เช่น  เราจะต้องเลือกระหว่างงานใหม่  2  แห่ง  แห่งแรกนั้นถูกใจหมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ำ  แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง  เราจะเลือกแห่งใดเป็นต้น

113         ปราณีอยู่ๆก็ได้งานหลายแห่งในเวลาเดียวกัน  งานดีเงินเดือนมากแต่งานหนักมาก  งานสบายแต่เงินไม่น่าสนใจ  งานน่าสนใจเงินดีแต่ไม่แน่ใจในความมั่นคง  เป็นการตัดสินใจที่ยากมากสำหรับปราณี

ตอบ  4  Double – Approach – Avoidance  Conflicts      ดูคำอธิบายข้อ  112  ประกอบ

ข้อ  114 – 116  จงเลือกตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

1  อคติ                                                      2  เจตคติ                                            3  ความก้าวร้าว                

4  พฤติกรรมแสดงออกเหมาะสม            5  พฤติกรรมช่วยเหลือ

114         มีลักษณะการตัดสินใจล่วงหน้า  เกลียดชังอย่างขาดเหตุผล  นำไปสู่การแบ่งแยก

ตอบ  1  อคติ                                                     

อคติ  เป็นเจตคติทางลบหรือการตัดสินใจล่วงหน้า  เกิดจากความสงสัย  ความกลัว  และความเกลียดอย่างไม่สมเหตุสมผล  บ่อยครั้งที่เจตคติเกิดจากโครงสร้างของอำนาจทางสังคมซึ่งมักเป็นอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ  เพศ  หรืออายุ  และนำมาสู่การแบ่งแยก  (Discrimination)  ในที่สุด

115         เป็นพฤติกรรมที่กล้าแสดงความคิดเห็น  ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา  ก่อประโยชน์แก่ตนและคู่สนทนา

ตอบ  5  พฤติกรรมช่วยเหลือ

พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสมนั้น  ไม่ใช่พฤติกรรมก้าวร้าวแต่เป็นพฤติกรรมที่กล้าแสดงความคิดเห็น  ความรู้สึก  ความปรารถนา  และความเชื่อของตนอย่างตรงไปตรงมา  ซื่อสัตย์ต่อกัน  และเหมาะสมกับกาลเทศะ  ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นด้วย  ดังนั้นการแสดงออกที่เหมาะสมจึงเป็นการแสดงออกที่ก่อประโยชน์แก่ตนเองและแก่คู่สนทนา

116         เป็นท่าทีความพร้อมที่ประกอบด้วย  ความเชื่อ  ความรู้สึก  และแนวโน้มการกระทำ

ตอบ  2  เจตคติ

เจตคติ  มีองค์ประกอบ  3  อย่าง  คือ

1              องค์ประกอบทางความเชื่อ

2              องค์ประกอบทางอารมณ์หรือความรู้สึก

3              องค์ประกอบทางการกระทำหรือพฤติกรรม

117         การที่เรายอมรับการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ของ  พ.ญ.  คุณหญิงพรทิพย์  โรจนสุนันท์  แสดงถึงอำนาจทางสังคมกรณีใด

1  อำนาจในการให้รางวัล                       2  อำนาจในการบังคับ                    3  อำนาจตามการอ้างอิง

4  อำนาจตามความเชี่ยวชาญ                  5  อำนาจตามกฎหมาย

ตอบ  4  อำนาจตามความเชี่ยวชาญ                 

อำนาจตามความเชี่ยวชาญ  (Expert  Power)  คือ  อำนาจที่มีพื้นฐานมาจากการยอมรับว่าบุคคลที่เรายอมทำตามนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถ  มีความเชี่ยวชาญ  และนำไปสู่จุดหมายปลายทางได้

118         Group  Sanction  เกิดจากอะไร

1  การคล้อยตามกลุ่ม                            2  การไม่คล้อยตามกลุ่ม                    3  การแสดงมติเอกฉันท์

4  การขาดการหล่อหลอมทางสังคม     5  ผิดทั้งหมด

ตอบ  2  การไม่คล้อยตามกลุ่ม                    

เมื่ออยู่ในกลุ่ม  บุคคลมักได้รับรางวัลจากการคล้อยตามกลุ่ม  และได้รับการปฏิเสธเมื่อไม่คล้อยตาม  การปฏิเสธนี้เรียกว่า  Group  Sanction  ซึ่งมีตั้งแต่การหัวเราะเยาะ  การจ้องมองหรือการไม่ยอมรับ  จนถึงการเนรเทศออกจากกลุ่ม

119         ข้อใดแสดงถึงอิทธิพลทางสังคม

1  การชักจูง             2  การเสนอแนะ              3  การล้างสมอง             4  การอภิปรายกลุ่ม          5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

อิทธิพลทางสังคม  หมายถึง  การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้อื่น  โดยแมคไกวร์  (McGuire)  ได้แบ่งสถานการณ์ที่อาจเกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น  5  สถานการณ์  คือ

1  การเสนอแนะ            2  การคล้อยตาม            3  การอภิปรายกลุ่ม            4  การใช้สารชักจูง         5  การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น  หรือการล้างสมอง  เป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง  4  ลักษณะข้างต้นพร้อมๆกัน

120         บริบททางสังคมคืออะไร

1  อาณาจักรส่วนบุคคล                  2  กลุ่มทุกกลุ่มที่ห้อมล้อมบุคคล                3  ขอบเขตของแต่ละกลุ่ม

4  รอยต่อระหว่างกลุ่มสังคม          5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  กลุ่มทุกกลุ่มที่ห้อมล้อมบุคคล               

บริบททางสังคม  (สิ่งแวดล้อมทางสังคม)  คือ  กลุ่มทุกกลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิกอยู่  ซึ่งบุคคลแต่ละคนเป็นสมาชิกของหลายกลุ่มในขณะเดียวกัน  โดยในแต่ละกลุ่มจะมีตำแหน่งเป็นสิ่งชี้ให้เห็นบทบาทและสถานภาพของบุคคล

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป ภาค 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป

คำสั่ง     ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120  ข้อ)

1.  จิตวิทยา คือ  การศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์  ซึ่งได้แก่  วิธีใด

(1)  การสังเกต                                                     

(2) การศึกษาสหสัมพันธ์ 

(3)  การสำรวจ

(4)  การทดลอง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (5) ถูกทุกข้อ

2.  ปัญหาใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาโดยตรง

(1)  ปัญหาการฆ่าตัวตาย

(2)  ปัญหาการทำแท้ง

(3) ปัญหานักเรียนตีกัน

(4)  ปัญหาเงินเฟ้อ

(5)  ปัญหาโสเภณี

ตอบ (4)  ปัญหาเงินเฟ้อ                   

3.  พฤติกรรมใดที่ต้องอาศัยการศึกษาโดยการสอบถามหรือสร้างเครื่องมือวัด

(1)  การแสดงออก                               (2)  การจำ                                   (3)  การพูด

(4)  การออกกำลังกาย                         (5)  การเรียน

 ตอบ (2)  การจำ                                  

ข้อ 4. – 8.    จงพิจารณาจับคู่ข้อที่ตรงกัน

(1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต                (2)  กลุ่มหน้าที่ของจิต                        (3)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(4)  กลุ่มเกสตัลท์                              (5)  กลุ่มจิตวิเคราะห์

4.   การเข้าใจบุคคลต้องศึกษาโดยส่วนรวมทั้งหมด   

ตอบ (4)  กลุ่มเกสตัลท์             

5.   ปฏิเสธเรื่องจิต  และเน้นให้ความสำคัญสิ่งเร้าและการตอบสนอง     (3)

ตอบ (3)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม

6.  สิ่งที่อยู่ในจิตไร้สำนึกได้แก่  ความปรารถนา   แรงขับทางเพศ  และความก้าวร้าว

ตอบ (5)  กลุ่มจิตวิเคราะห์

7.  ใช้วิธีการศึกษาที่เรียกว่า การมองภายใน”  และวิธีสังเกต – ทดลอง  

ตอบ (1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต               

8.  กลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลล์  ดาร์วิน    

ตอบ (2)  กลุ่มหน้าที่ของจิต                       

9.  เพราะเหตุใด  การศึกษาเรื่องอารมณ์จึงเป็นเรื่องยาก

(1) ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง                (2)  อารมณ์มีความรุนแรง            (3)  อารมณ์ไม่คงที่

(4)  อารมณ์เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ                        (5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (1) ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง            

10.  อารมณ์ใดที่เป็นอารมณ์ผสมกันระหว่างรัก  โกรธ  และกลัว

(1)  ว้าวุ่น                    (2)  หวาดหวั่น               (3) อิจฉา             (4)  ผิดหวัง                   (5) รังเกียจ

ตอบ (3) อิจฉา            

11.  ระบบประสาทอัตโนมัติที่มีหน้าที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายสงบลงหลังจากเกิดอารมณ์เต็มที่แล้ว  มีชื่อว่าอะไร

 (1)  ลิมบิก         (2) ซิมพาเธติก           (3) พาราซิมพาเธติก        (4) ไฮโปธาลามส         (5) โซมาติก

ตอบ (1)  ลิมบิก        

12.  ฮอร์โมนที่ร่างกายจะหลั่งเมื่อเรามีอารมณ์โกรธ  ได้แก่  ฮอร์โมนอะไร

 (1)  นอร์แมนรีนาลิน        (2) แอดรีนาลิน       (3)  อินซูลิน         (4) ไทร็อกซิน          (5) ไทโมซิน

ตอบ (1)  นอร์แมนรีนาลิน  

13.  ข้อใดเป็นหน้าที่ของอารมณ์ประหลาดใจ

(1)  ร่วมมือ                                 

(2) การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่

(3) ปฏิเสธ

(4) รักษาความรู้สึกสูญเสีย

(5)  การสำรวจค้นหา

ตอบ (2) การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่       

14.  ใครที่กล่าวว่าการแสดงออกทางอารมณ์เป็นเครื่องช่วยในการอยู่รอดของชีวิต

(1)  ฟรอยด์                (2)  มาสโลว์            (3) แบบดูร่า           (4) โรเบิร์ต  พลูทซิค            (5) ชาร์ลล์ ดาร์วิน

ตอบ (5) ชาร์ลล์ ดาร์วิน

15.  ใครที่เป็นผู้เสนอทฤษฎีการแสดงออกทางใบหน้าซึ่งเป็นการสะท้อนอารมณ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์

 (1)  ทอมกินส์          (2) เอ็กแมน                (3) พลูทซิค             (4)  แชคเตอร์          (5) แพงค์เซป

ตอบ (1)  ทอมกินส์         

16.  อารมณ์ที่ท่านชอบมากที่สุด  ได้แก่ อารมณ์ใด

(1)  รื่นเริง            (2) ยอมรับ               (3) คาดหวัง               (4) ตื่นเต้น                  (5) เศร้า

ตอบ (1)  รื่นเริง           

17.  ข้อใดที่เครื่องมือจับเท็จไม่สามารถวัดได้

(1)  การเต้นของหัวใจ                        (2) ความดันโลหิต                               (3) ไขมันในเส้นเลือด

(4)  GSR                                (5) อัตราการหายใจ

ตอบ (3) ไขมันในเส้นเลือด

18.  ทฤษฎีอารมณ์ของใครที่กล่าวว่า อารมณ์เกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

 (1)  เจมส์-แลง                        

(2)  แคนนอน – บาร์ด                          

(3)  แชคเตอร์ – ซิงเกอร์

 (4)  โอลล์ – มิลเนอร์                            

(5)  คาร์ล – แลง

ตอบ (1)  เจมส์-แลง                       

19.  ระยะห่างระหว่างบุคคล ที่เรียกว่า ระยะสาธารณะ  มีระยะกี่ฟุต

(1)  4 ฟุต

(2) 6 ฟุต

(3) 8 ฟุต

(4) 10 ฟุต

(5) 12 ฟุต

ตอบ (5) 12 ฟุต

ข้อ 21. – 25.    จงเลือกจับคู่ข้อที่ตรงกัน

 (1) ตำแหน่ง              (2) บทบาท             (3) ปทัสถาน          (4) สถานภาพ        (5) ความขัดแย้งในบทบาท

21.  นักศึกษาที่จะเข้าห้องสอบต้องแต่งกายเรียบร้อยตามระเบียบของมหาวิทยาลัย   

ตอบ (3) ปทัสถาน       

22.  เป็นการประเมินคุณค่าของตำแหน่งที่เราได้รับโดยสังคม     

ตอบ (4) สถานภาพ        

23.  คนเป็นแม่ต้องเลี้ยงดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิด     

ตอบ (1) ตำแหน่ง             

24.  การเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง     

ตอบ (2) บทบาท            

25.  ชมพู่ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนปริญญาโทต่อหรือจะแต่งงานดี     

ตอบ (5) ความขัดแย้งในบทบาท

26.  การเปิดเผยตนเอง”  เป็นหลักของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ซึ่งมีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างไร

(1)  เปิดเผยให้มากที่สุด                     (2) ขึ้นอยู่กับตัวเรา                              (3)  ต้องพอดีๆ

(4)  ต้องดูท่าทีของอีกฝ่ายหนึ่ง         (5)  เปิดเผยให้น้อยที่สุด

 ตอบ (3)  ต้องพอดีๆ

27.  ข้อใดเป็นทัศนคติ

(1)  จิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์                          (2) จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง

(3)  เรียนจิตวิทยาทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น              (4)  เรียนจิตวิทยาแล้วสนุกไม่น่าเบื่อ

(5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (4)  เรียนจิตวิทยาแล้วสนุกไม่น่าเบื่อ

28.  ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้ถืออคติสูง

 (1)  ยึดมั่นถือมั่น              (2) มองโลกแง่ดี         (3) อัตนิยม         (4) คล้อยตาม       (5) อนุรักษนิยม

ตอบ (2) มองโลกแง่ดี        

29.  ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1)  การว่ายน้ำของปลา                       (2) การกะพริบตา                                (3) การชักใยของแมงมุง  

(4)  การวิ่งไปรับโทรศัพท์            (5)  การกระตุกของตา

ตอบ (4)  การวิ่งไปรับโทรศัพท์           

30.  ข้อใดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการทำให้เกิดการเรียนรู้

(1)  การกระทำซ้ำ                                (2) การเสริมแรง                             (3)  ความพร้อม

(4)  การลงโทษ                                    (5) การสร้างสถานการณ์

ตอบ (2) การเสริมแรง                 

31.  ท่านใดเป็นผู้สร้างทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

 (1)  Skinner          (2)  Maslow           (3) Piaget              (4) Thorndike         (5) Pavlov

ตอบ (1)  Skinner         

ข้อ 32. – 35.    จงจับคู่กับข้อความที่มีความสัมพันธ์กันในการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค

 (1) ผงเนื้อ                  (2) หนู                    (3) สุนัข                 (4) การหลั่งของน้ำลาย              (5) กระดิ่ง

32.  สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (US)      

ตอบ (1) ผงเนื้อ                 

33.   ส่งเร้าที่วางเงื่อนไข  (CS)    

ตอบ (5) กระดิ่ง

34.  การตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (UR)    

ตอบ (4) การหลั่งของน้ำลาย              

35.  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)   

ตอบ (4) การหลั่งของน้ำลาย              

36.  นักศึกษาที่ทำคะแนนสอบได้ 80 เปอร์เซ็นต์  จะได้เกรดG  นับว่าเป็นการเสริมแรงแบบใด

(1)  การเสริมแรงแบบช่วงเวลาที่แน่นอน                      (2)  การเสริมแบบแบบเวลาที่ไม่แน่นอน

(3)  การเสริมแรงและอัตราส่วนที่แน่นอน               (4)  การเสริมแรงแบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน

(5)  การเสริมแรงแบบต่อเนื่อง

ตอบ (3)  การเสริมแรงและอัตราส่วนที่แน่นอน               

37.  เงิน”  เป็นสิ่งเสริมแรงประเภทใด

(1)  สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ                    (2) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ                (3) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(4)  สิ่งเสริมแรงต่อเนื่อง                   (5) สิ่งเสริมแรงครั้งคราว

ตอบ (2) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ               

38.  ปรากฏการณ์ที่เด็กเลิกงอแง  หลังจากที่ทำเป็นเฉยๆ และไม่สนใจต่อการร้องไห้ของเขา เราเรียกว่าพฤติกรรมนั้นว่าอะไร

 (1)  Generalization                       (2) Extinction                      (3) Discrimination   

(4) Acquisition                            (5) Shaping

 ตอบ (2) Extinction                     

39.  ระบบการจูงใจจะเกิดตามลำดับดังนี้

(1)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  สิ่งเร้า  เป้าหมาย

(1)  สิ่งเร้า  แรงขับ  การตอบสนอง  ความต้องการ  เปาหมาย

(3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

(4)  แรงขับ   สิ่งเร้า   การตอบสนอง   ความต้องการ   เป้าหมาย

(5)  เป้าหมาย  สิ่งเร้า  แรงขับ   ความต้องการ   การตอบสนอง

ตอบ (3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

40.  ปรากฏการณ์ที่สมบัติเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีเพื่อให้มีความรู้สูงขึ้นถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมาย ทั้งนี้เพราะสมบัติต้องการตอบสนองในด้านใดตามทัศนะของมาสโลว์

(1)  ความต้องการด้านร่างกาย                                          (2)  ความต้องการความรัก  ความเป็นเจ้าของ

(3)  ความต้องการความมั่นคง  ปลอดภัย                         (4)  ความต้องการประจักษ์ตน

(5)  ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

ตอบ (4)  ความต้องการประจักษ์ตน

41.  ข้อใดเป็นแรงจูงใจภายใน

(1)  สมชายทำงานเพื่ออยากได้เงิน                             

(2)  สมศักดิ์ขับแท็กซี่เพื่อเริ่มรายได้กับครอบครัว

(3)  สมหญิงตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อความสุขของแม่

(4) สมชัยไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย

(5)  สมถวิลฝึกหัดพิมพ์ดีดเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์

ตอบ (4) สมชัยไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย

42.  ความต้องการของมนุษย์ต้องการที่จะป้องกันตนเองนั้น  ตรงกับความต้องการข้อใดตามทัศนะของเมอร์เรย์

 (1)  Need  for  Counteraction     (2) Need for Exhibition        (3) Need for Dominance

 (4)  Need for Defendance         (5) Need for Reference

ตอบ (4)  Need for Defendance        

43.  มนุษย์ทุกคนต้องการหลีกเลี่ยงปมด้อยและความล้มเหลว  ซึ่งตรงกับความต้องการด้านใดตามทัศนะของ เมอร์เรย์

 (1)  Inferiority                     (2) Inviolacy                    (3) Contrasiness               

(4) Nurturance                       (5) Affiliation

ตอบ (1)  Inferiority                    

44.  ข้อใดเป็นการสื่อถึงแรงจูงใจเพื่อการสืบพันธุ์

 (1)  การดูหนัง                                       (2)  การพูด                         (4)  การแสดงออกทางศิลปะ

 (4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม           (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม          

45.  เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้น  มานัสสามารถแบกตุ่มน้ำออกมาจากประตูแคบๆ ได้ แสดงว่าเกิดแรงขับชนิดใดขึ้น

(1)  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต          (2) แรงขับเพื่อการศึกษา                (3) แรงขับฉุกเฉิน

(4)  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์                      (5)  ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ (3) แรงขับฉุกเฉิน

46.  พฤติกรรมที่วัยรุ่นมักแต่งตัวตามแฟชั่นของดาราทีวี  แสดงถึงการเรียนรู้แบบใด

(1)  การเลียนแบบ

(2) การวางเงื่อนไข                             

(3)  แบบไม่วางเงื่อนไข

(4)  แบบธรรมชาติ

(5)  ไม่มีข้อใดถูก

 ตอบ (1)  การเลียนแบบ 

47.  ทฤษฎีใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

(1)  ทฤษฎีแรงขับ                                (2)  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล              (3) ทฤษฎีการศึกษา

(4)  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                     (5)  ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว

ตอบ (3) ทฤษฎีการศึกษา

48.  ข้อใดที่ไม่ใช่เป็นแรงขับที่จำแนกตามระบบทางชีววิทยา

(1)  แรงขับทางสังคม                 (2)  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต        (3) แรงขับฉุกเฉิน

(4)  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์              (5)  แรงขับเพื่อการศึกษา

ตอบ (1)  แรงขับทางสังคม 

50.  ฟรอยด์มีแนวคิดว่าโครงสร้างบุคลิกภาพมนุษย์มีลักษณะในข้อใด

(1)  ระดับจิตสำนึก  และไร้สำนัก      (2) อิด  อีโก้  ซุปเปอร์อีโก้       (3)  เก็บตัว และกล้าแสดงออก

(4)  อัตตา  และอัตมโนทัศน์                (5)  ลักษณะประจำตัวแต่ละคน

ตอบ (2) อิด  อีโก้  ซุปเปอร์อีโก้      

51.  ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามนุษย์มีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการการวางเงื่อนไขคือ

(1)  ธอร์นไดด์           (2) สกินเนอร์            (3) แบนดูร่า           (4) วัตสัน               (5) ฟรอยด์

ตอบ (5) ฟรอยด์

52.  ทฤษฎีใดเชื่อว่ามนุษย์มีอิสรภาพที่จะตัดสินใจ + กำหนดชะตาชีวิตตนเองได้  คือ

(1) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์            (2) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม               (3) ทฤษฎีมนุษยนิยม

(3) ทฤษฎีการสังเกตตัวแบบ             (5) ทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง

ตอบ (3) ทฤษฎีมนุษยนิยม

53.  อัตตา (Self)  ตามความหมายของโรเจอร์ คือ

(1)  ความรู้สึก  ทัศนคติที่มีต่อตนเอง                (2)  ประสบการณ์ทั้งทางบวกและลบรอบตัวเรา

(3)  ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเรา                       (4) ตัวตนในอุดมคติ

(5) การประจักษ์แห่งตน

ตอบ (1)  ความรู้สึก  ทัศนคติที่มีต่อตนเอง 

54.  คาร์ล  จุง  จัดแบ่งบุคลิกภาพเป็นแบบใด

(1) จิตสำนึก           (2) จิตก่อนสำนึก         (3) การเรียนรู้           (4) อัตตา            (5)  การสื่อสาร

ตอบ (1) จิตสำนึก          

55.  การประจักษ์ในตน  (Self Actualization)  เป็นแนวคิดใคร

(1)  มาสโลว์        (2) ฟรอยด์                  (3) สกินเนอร์              (4) โรเจอร์ส                 (5) เซลดอน

ตอบ (1)  มาสโลว์       

56.  ลักษณะที่ใช้ร่วม เช่น คนเหนือสุภาพ  คนใต้รักพวกพ้อง  เรียกว่าอะไร

(1)  ลักษณะศูนย์กลาง                        (2)  ลักษณะแฝง                           (3)  ลักษณะประจำตัวดั้งเดิม

(4)  ลักษณะพื้นผิว                              (5)  ลักษณะสำคัญ

ตอบ (5)  ลักษณะสำคัญ

57.  ฟรอยด์  แบ่งพัฒนาการทางเพศออกเป็นกี่ขั้น

(1)  3 ขั้น                     (2)  4ขั้น              (3) 5 ขั้น                        (4) 6 ขั้น                  (5) 7 ขั้น

58.  ข้อใดไม่ใช่การวัดหรือการประเมินบุคลิกภาพ

(1) การสัมภาษณ์                                 (2) การสังเกต                                         (3)  การใช้แบบสอบถาม

(4) การฉายภาพ                                   (5) การให้คำปรึกษา

ตอบ (5) การให้คำปรึกษา

59.  ฟรอยด์เชื่อว่าในวัยแรกเกิดส่วนที่ให้ความพึงพอใจ หรือให้ความสุขของมนุษย์อยู่ที่ปาก  ซึ่งบริเวณต่างๆของร่างกายที่ให้ความสุขนี้เรียกว่าอะไร

(1)  Oral  Stage                        (2) Fixation                            (3) Latency

(4)  Erogenous  Zone               (5)  Phallic

ตอบ (4)  Erogenous  Zone               

60.  เด็กทารกที่อยากดูดนิ้วแต่ถูกห้ามไม่ให้ดูด  เลยทำให้คับข้องใจและมีความรู้สึกติดค้างในใจไปจนโตฟรอยด์เรียกว่า

(1)  Life  Instinct                (2)  Erogenous Zone                    (3) Oral Stage

(4) Imitation                       (5) Fixation

ตอบ (5) Fixation

61. ผู้ที่คิดทฤษฎีสติปัญญาว่ามีตัวประกอบ 2 ปัจจัย คือ

(1) บิเนต์                  (2) ไซมอน               (3) สเปียร์แมน           (4) กิลฟอร์ด             (5) ราเวน

ตอบ (3) สเปียร์แมน

62.  แบบทดสอบใดใช้วัดสติปัญญาสำหรับผู้ใหญ่

 (1)  WAIS           (2)  WISC              (3)  WPPSI            (4) CPM                (5)  TAT

ตอบ (1)  WAIS         

63.  ข้อใดมีค่าสติปัญญาใกล้เคียงกันที่สุด

(1)  ฝาแฝดคล้ายเลี้ยงดูด้วยกัน         (2) แฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกกัน       (3)  พ่อแม่  กับลูก

(4)  พี่น้องเลี้ยงดูด้วยกัน                    (5) ไม่ใช่พี่น้องเลี้ยงดูด้วยกัน

ตอบ (2) แฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกกัน

64.  คนที่มีความสามารถในการทำงานด้านศิลปะได้ยอดเยี่ยมแสดงว่า

(1)  มีสติปัญญาดี                 (2) มี G-factor  สูง                              (3)  มี  S-factor  สูง

(4)  ส่วนประกอบด้าน  มิติ” สูง                      (5) มีความอ่อนไหวต่อการรับรู้

ตอบ (3)  มี  S-factor  สูง

65.  สมชายสอนวิชาดนตรีแต่ออกข้อสอบมีเนื้อหาเรื่องพละศึกษาข้อสอบนี้ขาดคุณสมบัติข้อใด

(1)  ความเป็นปรนัย                            (2) ความเชื่อถือได้                              (3)  ความเที่ยงตรง

(4)  ความเป็นมาตรฐาน                     (5)  ความลำเอียง

ตอบ (3)  ความเที่ยงตรง

66.  แบบทดสอบที่มีการกำหนดเวลาในการทดสอบแน่นอน มีคำสั่งชัดเจน  มีวิธีให้คะแนนและมีเกณฑ์ของกลุ่มคนปกติให้ แบบทดสอบนี้มีคุณสมบัติในข้อใด

(1)  ความเป็นปรนัย                            (2)  น่าเชื่อถือได้                                  (3)  เที่ยงตรง

(4)  ไม่มีความลำเอียง                          (5)  มีความเป็นมาตรฐาน

ตอบ (5)  มีความเป็นมาตรฐาน

67.  แบบทดสอบใดที่ทดสอบความสามารถในการใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ G-factor

 (1) Standard PM                              (2) Binet                           (3) WPPSI          

(4) 16 PF                                         (5)  WAIS

68.  Chronological  Age  หรืออายุตามปฏิทิน คืออะไร

(1)  คืออัตราส่วนของไอคิว                               (2)  อายุนับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันทดสอบ

(3)  อายุที่ใช้คำนวณไอคิว                                 (4)  คะแนนจากแบบทดสอบสติปัญญา

(5)  เกณฑ์มาตรฐานในการวัดไอคิว

ตอบ (2)  อายุนับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันทดสอบ

69.  ด.ช.เอ  มีอายุจริง 2 ปี 4  เดือน  แต่มีอายุสมองเท่ากับ 2 ปี 2 เดือน ด.ช. เอ มีไอคิวเท่าไร

(1)  82                       (2) 84                       (3) 86                                (4)  92                     (5) 94

ตอบ (4)  92                    

71.  กลุ่มใดเชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพเต็มที่ในการกระทำของตน  ไม่สามารถโทษผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมได้

(1)  กลุ่มจิตวิเคราะห์                           (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม                     (4)  กลุ่มจิตสังคม

(4)  กลุ่มมนุษยนิยม                             (5)  กลุ่มทฤษฎีการอยู่รอด

ตอบ (5)  กลุ่มทฤษฎีการอยู่รอด

72.  คนที่ปรับตัวไม่ได้เป็นเพราะพลังอีโก้อ่อนแอเกินไปทำให้เกิดการขาดสมดุลระหว่างอิดดับซูเปอร์อีโก้ คือความเชื่อของกลุ่มใด

(1)  กลุ่มจิตสังคม                                (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม                     (3) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(4)  กลุ่มมนุษยนิยม                             (5)  กลุ่มทฤษฎีการอยู่รอด

ตอบ (3) กลุ่มจิตวิเคราะห์

73.  ข้อใดจัดว่าเป็นการปรับตัวไม่ดีไม่เหมาะสม

(1)  ปรับในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง                    (2)  ปรับให้อยู่ดีมีความสุขขึ้น

(3)  ปรับตัวในสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ                      (4)  ปรับเพื่อตนเองอยู่รอด

(5)  ปรับตัวโดยไม่กั้นอิสรภาพผู้อื่น

74.  ข้อใดคือสาเหตุของความเครียดที่แท้จริง

(1)  ระบบการแข่งขันในสังคม                                        (2)  อาหารที่เป็นตัวกระตุ้นการเต้นของหัวใจ

(3)  ความรู้สึกหดหู่ดูถูกตนเอง                                      (4) มลพิษในอากาศ

(5) รายได้น้อย                    

ตอบ (4) มลพิษในอากาศ                     

75.  บุคลิกภาพแบบ “A”  มีลักษณะอย่างไร

(1) เก็บตัว                (2) ใจเย็น             (3) ไม่เสี่ยง                        (4) เฉื่อยชา                (5) แข่งขันสูง

ตอบ (5) แข่งขันสูง

76.  โรคปวดศีรษะข้างเดียวซึ่งมีสาเหตุจากความเครียด  เราจัดอยู่ในกลุ่มโรคอะไร

(1)  โรคประสาท     (2) ไซโคโซมาติก     (3) สกิซโซฟรีเนีย     (4) โรความดันสูง    (5) ไมเกรน

ตอบ (2) ไซโคโซมาติก    

77.  ผู้ที่ศึกษาสภาวะร่างกายเมื่อเกิดความเครียด  เป็นนักสรีระศาสตร์ชาวแคนนาดาชื่ออะไร

(1)  เซลเย                               (2)  ฟรอยด์                                           (3) ไฟร์แมน

(4)  โรเซ่นแมน                                   (5)  คอลลาร์ด  และมิลเลอร์

ตอบ (1)  เซลเย                              

78.  เมื่อร่างกายต้องเผชิญสิ่งที่ทำให้เครียดเป็นเวลานานๆ จะเกิดภาวะใด

(1)  การหลั่งฮอร์โมนสู่กระแสโลหิต        (2) สร้างระบบเตือนภัย        (3) สร้างกลไกป้องกันตนเอง

(4)  ร่างกายลดประสิทธิภาพ            (5) เกิดระยะเหนื่อยล้าภูมิคุ้มกันลดลง

ตอบ (1)  การหลั่งฮอร์โมนสู่กระแสโลหิต       

79.  สมชายโกรธนายแต่ทำอะไรไม่ได้  เมื่อกลับบ้านสมชายด่าว่าลูกแทน  สมชายใช้กลไกป้องกันตนเองชนิดใด

(1) การเก็บกด                                      (2)  การหาสิ่งทดแทน                   (3) การโยนความคิด

(4) การไม่รับรู้ความจริง                     (5) การชดเชยสิ่งที่ขาด

ตอบ (2)  การหาสิ่งทดแทน                  

80.  หนีเสือปะจระเข้”  คำพังเพยนี้ตรงกับ Conflicts ชนิดใด

(1)  Approach – Approach Conflicts

(2)  Avoidance – Avoidance Conflicts

(3)  Approach – Avoidance Conflicts

(4)  Avoidance – Approach Conflicts

(5)  Double Approach – Avoidance

ตอบ (2)  Avoidance – Avoidance Conflicts

81. ในการพัฒนาบุคลิกภาพข้อใดถูกที่สุด

(1)  ไม่ควรพูดแง่ดีกับตนเองบ่อยๆ เพราะจะไม่สามารถพัฒนาตนได้

(2)  ควรสำรวจตนเอง  และเชื่อตนเอง  อย่าฟังผู้อื่น

(3)  ไม่ควรนำตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น

(4)  การสำรวจปมด้อยตนเองบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพดี

(5)  ถูกหมดทุกข้อ

ตอบ (4)  การสำรวจปมด้อยตนเองบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพดี

82. ปมเอดิอุส  (Oedipus  Complex)  เกิดในช่วงอายุใด

(1)  ราว 18 เดือน                                 (2)  2 – 3 ปี                                           (3)  3 – 5 ปี

(4)  6 ปี – วัยรุ่น                                   (5)  วัยรุ่นขึ้นไป

ตอบ (3)  3 – 5 ปี

83.  บุคลิกภาพที่จู้จี้  เจ้าระเบียบ  รักษาความสะอาด  จะมีกำเนิดจากพัฒนาการขั้นใด  ตามความเชื่อของฟรอยด์

(1) ขั้นปาก                                            (2)  ขั้นทวารหนัก                          (3) ขั้นอวัยวะเพศ

(4)  ขั้นแอบแฝง                                  (5)  ขั้นมีเพศสัมพันธ์

ตอบ (2)  ขั้นทวารหนัก               

84.  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับสติปัญญาของมนุษย์                   

(1)  ยีนส์ที่ดี                                  (2)  เพศและสีผิว                          (3)  อายุของแม่ขณะตั้งครรภ์

(4)  เพศและฐานะทางเศรษฐกิจ      (5) ยีนส์ที่ดีบวกกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี

ตอบ (5) ยีนส์ที่ดีบวกกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี

85.  ลักษณะทางพันธุกรรมที่แอบแฝงไม่ปรากฏให้เห็นในรุ่นลูก  แต่ปรากฏในรุ่นหลาน  เหลน ได้คือ

(1)  โครโมโซม                                       (2)  Genotype                      (3)  Phenotype

(4)  Klinefelter’s  Syndrome         (5)  Turner’s  Syndrome

ตอบ (2)  Genotype                     

86.  พันธุกรรมทางด้านร่างกาย  มีผลต่อ…………………….

(1)  บุคลิกภาพของบุคคล               (2)  อารมณ์ของบุคคล          (3)  การรับรู้เกี่ยวกับตนเองของบุคคล

 (4)  ข้อ 1 และ 3                                   (5)  ข้อ 12 และ 3

87.  Down’s Syndrome  แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพันธุกรรมทางด้าน

(1)  บุคลิกภาพ         (2) อารมณ์         (3) การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง      (4) สติปัญญา     (5) ร่างกาย

ตอบ (4) สติปัญญา

88.  บุคคลได้รับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization)  ในช่วงใดของชีวิต

(1)  ก่อนเกิด                                         (2)  ขณะเกิด                                         (3)  หลังเกิด

(4)  ขณะเกิดและหลังเกิด                  (5)  ตั้งแต่ 3 เดือนแรกที่อยู่ในครรภ์ของมารดา

ตอบ (3)  หลังเกิด

89.  ข้อใดไม่ถูกต้อง  เมื่อกล่าวถึงอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์

(1)  ความเครียดที่ยาวนานของมารดามีผลต่อสติปัญญาของทารกในครรภ์

(2)  สิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพและสติปัญญา

(3)  ขณะคลอดถ้าทารกขาดออกซิเจนประมาณ 18 วินาที จะมีผลต่อเซลล์สมอง

(4)  เจตคติของพ่อแม่สำคัญที่สุดในบรรดาสิ่งแวดล้อมในครอบครัวทั้งหมด

(5)  สิ่งแวดล้อมมีผลต่อพัฒนาการทางด้านสังคม อารมณ์ และบุคลิกภาพ

ตอบ (2)  สิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพและสติปัญญา

90. บุคคลที่ศึกษาเรื่องการเรียนรู้แบบฝังใจ  (Imprinting) คือ

(1)  คอนราด  ลอเรนซ์ (Konrad  Lorenz)                 (2) กีเซลล์ (Gesell)

(3)  เมนเดล  (Mendel)             (4) เซลดอล (Sheldon)             (5) ลอเรนซ์  และกีเซลล์

ตอบ (1)  คอนราด  ลอเรนซ์ (Konrad  Lorenz)       

91.  ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องลักษณะของพัฒนาการของมนุษย์

(1)  พัฒนาการจะเกิดทุกช่วงของชีวิต

(2)  พัฒนาการจะเป็นไปตามแบบฉบับของอินทรีย์แต่ละชนิด

(3)  บุคคลมีขั้นตอนการเหมือนกันแต่มีอัตราการพัฒนาต่างกัน

(4)  บุคคลแต่ละคนมีอัตราการพัฒนาการไม่เท่ากันในแต่ละช่วงของชีวิต

(5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

92.  ทฤษฎีพัฒนาการของบุคคลใดต่อไปนี้ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนากาความเชื่อถือไว้วางใจในช่วงแรกเกิดถึงหนึ่งปีแรกของชีวิต

(1)  ซิกมันด์  ฟรอยด์  (Sigmund  Freud)                     (2)  อิริค  อิริคสัน  (Erik Erikson)

(3)  ชอง  เพียเจท์  (Jean  Piapet)                                (4)  ซัลลิแวน  (Sullivan)

(5)  กู๊ดอินาฟ  (Goodenough)

ตอบ (2)  อิริค  อิริคสัน  (Erik Erikson)

93.  การศึกษาปฏิกิริยาของลูกลิงที่มีต่อแม่ลงเทียมที่ทำด้วยผ้าขนหนูของแฮรี่  ฮาร์โลว์ (Harry  Harlow) นั้นเพื่อทดสอบในเรื่อง

(1)  ความแตกต่างระหว่างวุฒิภาวะกับการสิ่งแวดล้อม

(2)  การเรียนรู้แบบฝังใจที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก

(3)  ความแตกต่างระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม

(4)  ผลของการสัมผัสของแม่ที่ดีต่อพฤติกรรมของลูก

(5)  ความแตกต่างระหว่างวุฒิภาวะกับการเรียนรู้

ตอบ (4)  ผลของการสัมผัสของแม่ที่ดีต่อพฤติกรรมของลูก

94. ข้อความใดต่อไปนี้ถูกต้องในเรื่องของภาวการณ์นอนหลับ

(1)  การนอนที่ดีที่สุด  ไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อคืน

(2)  คืนสนองของผู้ที่หลับลึกคะเน้นคลื่นชนิดที่เรียกว่า  เดลตา

(3)  บุคคลที่อดนอนมาเป็นเวลาหลายวัน  อาจเป็นโรคจิตได้

(4)  ศูนย์ของการนอนหลับจะอยู่ที่ระบบประสาทซิมพาเธติก

(5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (2)  คืนสนองของผู้ที่หลับลึกคะเน้นคลื่นชนิดที่เรียกว่า  เดลตา

95.  EEG  (Electroencephalogram)  คือ

(1)  เครื่องมือวัดความจำ                     (2)  เครื่องมือวัดคลื่นหัวใจ                (5) เครื่องมือวัดคลื่นสมอง

(4)  เครื่องมือจับเท็จ                            (5)  เครื่องมือวัดความลึกในการหลับ

ตอบ (5) เครื่องมือวัดคลื่นสมอง

96.  ทฤษฎีความฝันที่เกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึกเป็นทฤษฎีของ

(1)  คาร์ล จุง                           (2)  ซิกมันด์  ฟรอยด์                (3)  คาร์ล จุง และซิกมันด์ ฟรอยด์

(4)  วิลเลี่ยม ดีเมนท์ และฮอลลัน                     (5)  ซิกมันด์  ฟรอยด์ และแมคคาเลย์

97.  ข้อดีของการฝันในแนวคิดของคาร์ล จุง คือ

(1)  การชดเชยทางจิตใจ                                                    (2)  การกระตุ้นให้เซลล์สมองทำการงาน

(4)  การตอบสนองความต้องการทางเพศ                       (4)  การพัฒนาความสมดุลของบุคลิกภาพ

(5)  ข้อ  1 และ 4

ตอบ (5)  ข้อ  1 และ 4

98.  REM ต่างกับ  N-REM  ตรงที่ว่า

(1)  ความฝันเกิดในช่วง  REM ไม่ใช่  N-REM

(2) ความฝันเกิดในช่วง N-REM ไม่ใช่ REM

(3)  ความฝันเกิดในช่วง N-REM  100%                       

(4) ความฝันเกิดในช่วง N-REM มากกว่า REM

(5)  REM และ N-REM  ไม่มีความแตกต่างกัน

ตอบ (1)  ความฝันเกิดในช่วง  REM ไม่ใช่  N-REM       

99.  ข้อใดถูกต้องในเรื่องของการสะกดจิต

(1)  การสะกดจิตและการนอนหลับเป็นภาวะที่เหมือนกัน

(2)  ไม่ใช่คนทุกคนที่จะสามารถสะกดจิตตนเองได้

(3)  เราสามารถสะกดจิตให้คนอื่นทำพฤติกรรมอะไรก็ได้ตามที่เราปรารถนา

(4)  การสะกดจิตช่วยทำให้ความจำของบุคคลดียิ่งขึ้น

(5)  ความเจ็บป่วยหลายอย่างสามารถบรรเทาลงได้โดยใช้การสะกดจิต

ตอบ (2)  ไม่ใช่คนทุกคนที่จะสามารถสะกดจิตตนเองได้

100.  กลุ่มของยาเสพติดกลุ่มใดบ้างที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้

(1)  กลุ่มกด + กระตุ้นประสาท  เท่านั้น                          (2)  กลุ่มกระตุ้น + หลอนประสาท เท่านั้น

(3)  กลุ่มกด + หลอนประสาท  เท่านั้น                           (4)  กลุ่มกด + กระตุ้นและหลอนประสาท

(5)  กลุ่มกด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ (5)  กลุ่มกด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

101.  ฝิ่น  มอร์ฟีน  เฮโรอีน  จัดเป็นยาเสพติดในประเภทใด

(1)  กดประสาท   

(2)  กระตุ้นประสาท                          

(3)  หลอนประสาท

(4)  ออกฤทธิ์ผมผสาน

(4)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (1)  กดประสาท                              

102.  ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งที่พบว่า  การฝึกสมาธิทำให้บุคคลมีการผ่อนคลายทางจิตใจ  คือ

(1)  ผู้ที่ฝึกสมาธินานๆ จะมีคลื่นสมองบีตา

(2)  ผู้ที่ฝึกสมาธินานๆ  จะมีคลื่นสมองแอลฟ่า

(3)  ผู้ที่ฝึกสมาธิ  ผิวหนังจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าต่ำ

(4)  ผู้ที่ฝึกสมาธิ  ผิวหนังจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าสูง

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ (5) ข้อ 2 และ 4

103.  ข้อความต่อไปนี้ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของภาวการณ์รู้ตัวและภาวการณ์ไม่รู้ตัว

(1)  ถ้ามีสิ่งเร้ามากระทบประสาทสัมผัสในระดับสูงจะเกิดความตื่นตัวและเครียดได้

(2)  ในแต่ละช่วงของอายุจะมีแบบแผนในการนอนต่างกันไป

(3)  สารระเหย  เป็นสารเสพติดชนิดกดประสาท

(4)  สมาธิภาวนา  เป็นสภาวะการแน่แน่ของจิต                           (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

104.  วงจรปฏิกิริยาสะท้อน  (Simple  Reflex Action)  เป็นการทำงานในระดับใด

(1)  สมอง             (2) ใยประสาท         (3) ไขสันหลัง        (4) เซลล์ประสาท        (5) ปมประสาท

ตอบ (3) ไขสันหลัง       

105.  ข้อใดไม่ใช่ต่อมไร้ท่อ

(1)  ต่อมหมวกไต        (2) ต่อมใต้สมอง      (3) ต่อมไทรอยด์    (4) ต่อมลูกหมาก      (5) ตับอ่อน

ตอบ (4) ต่อมลูกหมาก

106.  เส้นประสาทสมองหรือเส้นประสาทคราเนียล  (Cranial) มีกี่คู่

(1)  31 คู่                    (2)  24 คู่             (3) 20 คู่                (4) 12 คู่                      (5) 6 คู่

ตอบ (4) 12 คู่                     

107.  ข้อใดต่อไปนี้เป็นระบบประสาทอัตโนมัติ

(1)  ซีรีบรัมซีรีเบลลัม                       (2) ธาลามัสไฮโปธาลามัส               (3) โซมาติกโซมาไตท์

(4)   เมดดูลาซูโดเมดูลา                    (5)  ซิมพาเธติกพาราซิมพาเธติก

ตอบ (5)  ซิมพาเธติกพาราซิมพาเธติก

108.  ข้อใดเป็นลักษณะของแอ๊กซอน  (Axon)

(1)  รับกระแสประสาทเข้าสู่เซลล์                                   (2)  เป็นฉนวนหุ้มเซลล์ประสาท

(3)  เซลล์ประสาทสมอง              (4) นำกระแสประสาทออกจากเซลล์         (5) ประสาทเชื่อมโยง

ตอบ (4) นำกระแสประสาทออกจากเซลล์        

109.  สารสื่อประสาท  คือข้อใด

(1) ชวาน (Schwann)                     (2)  นิวโรทรานสมิตเตอร์  (Neurotransmitter)

(3)  ไมยีลีน (Myelin)                      (4)  ไซโตพลาสซั่ม  (Cytoplasm)

(5)  โบรคา  (Broca)

ตอบ (2)  นิวโรทรานสมิตเตอร์  (Neurotransmitter)

110.  สมองส่วนที่มีขนาดเล็กอยู่ที่ท้ายทอยมีหน้าที่ควบคุมการทรงตัว  คือส่วนใด

(1)  ฟอร์เบรน  (Forebrain)

(2)  ซีรีบรัม  (Cerebrum)

(3) ธาลามัส (Thalamus)

(4)  ซีรีเบลลัม  (Cerebellum)

(5)  เมดดัลลา  (Medulla)

ตอบ (4)  ซีรีเบลลัม  (Cerebellum)         

111.  โกร๊ธฮอร์โมน  (Growth  Hormone)  สร้างโดยต่อมไร้ท่อต่อมใด

(1)  ไทรอยด์  (Thyroid Gland)

(2)  ต่อมหมวกไต  (Adrenal  Gland)

(3)  ตับอ่อน  (Pancreas)

(4)  ต่อมใต้สมอง  (Pituitary  Gland)

(5) ต่อมเพศ  (Gonad)

ตอบ (4)  ต่อมใต้สมอง  (Pituitary  Gland)        

112.  ฮอร์โมนใดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

(1) เอสโตรเจน  (Estrogen)            (2)  ไทร็อกซิน  (Thyroxin)         (3)  อินซูลิน (Insulin)

(4)  แอนโดรเจน  (Androgen)         (5)  แอดรีนาลิน  (Adrenalin)

ตอบ (2)  ไทร็อกซิน  (Thyroxin)        

113.  ข้อใดไม่ใช่การวัดความจำ

(1)  การเรียนซ้ำ   (Relearning)         (2)  การระลึกได้ (Recall)

(3)  การรู้ใหม่  (Reknow)

(4)  การจำได้  (Recognition)             (5)  การบูรณาการใหม่  (Reintegration)

ตอบ (3)  การรู้ใหม่  (Reknow)

114.  ชื่อใดต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสการเคลื่อนไหวในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

(1)  ผิวหนัง                                       (2)  เทรซโฮลด์                                    (3)  คีเนสเตซีส

(4)  เวสติบิวลาในหูชั้นกลาง            (5)  เวสติบิวลาในหูชั้นนอก

ตอบ (3)  คีเนสเตซีส

115.  การรับรู้  ต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรที่มากกว่าการสัมผัส

(1)  รางวัล                                             (2)  การลงโทษ                                    (3)  ประสบการณ์

(4)  จิตสำนึก                                        (5)  การรู้จักผิดชอบชั่วดี

 ตอบ (3)  ประสบการณ์

116.  การรับรู้ทางสายตาที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง  เรียกว่า

(1)  ภาพลวงตา          (2) ภาพหลอน          (3) ภาพหลงผิด           (4) ภาพสองนัย        (5) ภาพฝังใจ

ตอบ (1)  ภาพลวงตา         

117.  คนสายตาสั้นต้องแก้ไขโดยการใส่แว่นที่ทำด้วยเลนส์แบบใด

(1)  เลนส์นูน                                       (2) เลนส์เว้า                            (3) เลนส์ทรงกระบอก

(4)  เลนส์สามเหลี่ยม                          (5)  เลนส์ปรับระยะ

ตอบ  (2) เลนส์เว้า                

118.  การทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกของเด็กเล็กๆ  นักจิตวิทยาใช้อุปกรณ์ใดๆ

(1)  ห้องจำลอง         (2) ห้องมายา         (3) ทางสองมิติ         (4) หน้าผามายา     (5) ภาพเงาสะท้อน

ตอบ (4) หน้าผามายา

119.  ความจำระบบแรกสุด  คือระบบ

(1)  ความจำขั้นหนึ่ง                           (2)  ความจำจากการรับสัมผัส          (3)  ความจำระยะสั้น

(4)  ความจำคู่                                        (5)  ความจำปฏิบัติงาน

ตอบ (2)  ความจำจากการรับสัมผัส   

120.  เซลล์สำคัญในการรับภาพที่เป็นสีในจอรับภาพเรตินาคืออะไร

 (1)  รอดส์                   

(2)  แกลงเกลีย              

(3) ไบโพลา           

(4) โคนส์            

(5) โฟโตเซลล์

ตอบ (4) โคนส์            

PSY1001 (PC 103) จิตวิทยาทั่วไป ภาค ฤดูร้อน/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553 

ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป

คำสั่ง     ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120  ข้อ)

ข้อ 1. – 5.  จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์                   

(2) กลุ่มจิตวิเคราะห์                            

(3) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(4) กลุ่มพฤติกรรมนิยม                      

(5)  กลุ่มโครงสร้างทางจิต

1.  กลุ่มใดศึกษาองค์ประกอบของจิตสำนึกได้แก่ การรับสัมผัส  ความรู้สึก  และมโนภาพ   

ตอบ (5)  กลุ่มโครงสร้างทางจิต

2.  กลุ่มใดปฏิเสธการศึกษาเรื่องจิต  พร้อมกับรับแนวคิดเรื่องการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข เน้นการสังเกตและบันทึกเพื่อความเป็นวิทยาศาสตร์

ตอบ (4) กลุ่มพฤติกรรมนิยม      

3.  กลุ่มใดเน้นการศึกษาทางจิตวิทยาที่พฤติกรรมและประสบการณ์ทางจิตจะต้องได้รับการพิจารณาเป็นส่วนรวมแยกจากกันไม่ได้

ตอบ (1) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์                  

4.  กลุ่มอธิบายว่าความด้วยผิดปกติของบุคลิกภาพเนื่องมาจากแรงจูงใจไร้สำนักและการเก็บกดในวัยเด็ก   

ตอบ (2) กลุ่มจิตวิเคราะห์                           

5.  กลุ่มใดสนใจการทำงานของจิตสำนึกและการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม 

ตอบ (3) กลุ่มหน้าที่ของจิต

ข้อ 6. – 9.  จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  การสังเกต                                      (2)  การสำรวจ                                     (3) การทดลอง

(4)  การทดสอบทางจิตวิทยา               (5)  การศึกษาประวัติรายกรณี

6.  วิธีใดอาศัยการสร้างเหตุการณ์บางอย่างแล้วศึกษาตัวแปรตาม     (3)

ตอบ (3) การทดลอง

7.  วิธีใดทำการศึกษาภูมิหลังของบุคคลเพื่อเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมได้ละเอียดขึ้น    (5)

ตอบ (5)  การศึกษาประวัติรายกรณี

8.  วิธีใดที่เฝ้ามองสภาพการณ์ตามที่เป็นจริง  ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมในสภาพธรรมชาติ   (1)

ตอบ (1)  การสังเกต                                  

9.  วิธีใดที่ใช้ศึกษาประชามติ   (2)

ตอบ (2)  การสำรวจ                                    

10.  มิลแกรมอธิบายว่า  การลงโทษผู้อื่นจนถึงขั้นรุนแรงเป็นเพราะอะไร

(1)  ผู้ลงโทษขาดมนุษยธรรม

(2)  ผู้ลงโทษสติปัญญาต่ำ

(3)  ผู้ลงโทษมีนิสัยก้าวร้าวเป็นทุนเดิม

(4)  เกิดการกระจายความรับผิดชอบไปทั่วๆ กัน

(5)  ผู้ลงโทษรู้สึกว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น

ตอบ (5)  ผู้ลงโทษรู้สึกว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น

11.  ระบบใดที่ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะของการผ่อนคลาย  ไม่ตึงเครียด

(1)  ระบบประสาทซิมพาเธติก

(2) ระบบกล้ามเนื้อ

(3) ระบบอัตโนมัติ

(4)  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก 

(5) ระบบประสารทส่วนกลาง

ตอบ (4)  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก                       

12.  ต่อมใดที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงาของฮอร์โมนของต่อมไร้ท่ออื่นๆ

(1)  ตอม Gonad                     (2) ต่อม Thyriod                       (3)  ต่อม Parathyroid

(4) ต่อม Pituitary                  (5) ต่อม Thymus

ตอบ (4) ต่อม Pituitary           

13.  ต่อมใดผลิตฮอร์โมนเพศ  (ใช้ตัวเลือกข้อ 12

(1)  ตอม Gonad                   (2) ต่อม Thyriod                  (3)  ต่อม Parathyroid

(4) ต่อม Pituitary                 (5) ต่อม Thymus

ตอบ (1)  ตอม Gonad                  

14.  ข้อใดเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่รับส่งกระแสประสาท  ประกอบด้วย  Cell  Body, Dendrite  และ Axon

(1)  Neurotransmitters                   (2)  Cerebrum               (3)  Cerebellum

(4)  Spinal  Cord                           (5)  Neuron

 ตอบ (5)  Neuron

ข้อ 15. – 17.    จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ธาลามัส          (2) ซีรีบรัม             (3) ซีรีเบลลัม            (4) ไฮโปธาลามัส        (5) ฮิบโปแคมพัส

15.  สมองส่วนใดเป็นที่รวมของสันประสาท ควบคุมอวัยวะสัมผัส อวัยวะมอเตอร์ และวิเคราะห์ข้อมูล   

ตอบ (2) ซีรีบรัม            

16.  สมองส่วนใดมีขนาดเล็กแต่การทำงานมีอิทธิพลมาก  

ตอบ (4) ไฮโปธาลามัส       

17.  สมองส่วนใดที่ควบคุมการทรงตัว   

ตอบ (3) ซีรีเบลลัม           

18.  โรคพาร์กินสัน  เกิดจากความบกพร่องของสารสื่อประสาทใด

 (1) กาบา              (2) โดปามาย           (3) ซีโรโทนิน         (4) อะซีทิลโคลีน          (5) นอร์อีพิเนฟฟริน

ตอบ (2) โดปามาย          

19.  สารสื่อประสาทใดที่ช่วยเหลือในการกระตุ้นความจำ ถ้าบกพร่องทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้(ใช้ตัวเลือกข้อ 18.)

(1) กาบา

(2) โดปามาย

(3) ซีโรโทนิน

(4) อะซีทิลโคลีน

(5) นอร์อีพิเนฟฟริน

ตอบ (4) อะซีทิลโคลีน                      

20.  วงจรที่เล็กที่สุดหรือที่เรียกว่า Simple Reflex Action ได้แก่อาการใด

(1)  การกะพริบตาเมื่อลมกรรโชก                

(2) การเดินก้าวยาวๆ                 

(3) เก็บความไม่พอใจเมื่อถูกครูตี

(4)  การยิ้มทักทาย                                             

(5) นั่งเรียนด้วยความตั้งใจ

ตอบ (1)  การกะพริบตาเมื่อลมกรรโชก           

21.  ข้อใดคือคุณสมบัติของกระแสเสียงหรือคลื่นเสียง             

(1)  ความดังและความถี่                

(2) ความถี่และความแรงของคลื่น         

(3) ความกดและความแรงของคลื่น

(4)  จำนวนรอบคลื่นต่อวินาที                          

(5) ความกดและความคลายของอากาศ

ตอบ (2) ความถี่และความแรงของคลื่น        

22.  การทำงานของโคนส์มีความสำคัญอย่างไร

(1) รับคลื่นแสงสีต่างๆ               (2) ช่วยให้ปรับตัวต่อความมืด          (3) การรับภาพขาวและดำ

(4) รับคำสั่งการรับรู้ภาพ                   (5) ปรับเรตินาให้รับคลื่นแสงสูงกว่า 782 นาโนมิเตอร์

ตอบ (1) รับคลื่นแสงสีต่างๆ              

23.  ข้อใดเป็นเรื่องของการจัดหมวดหมู่การรับรู้ของกลุ่มเกสตัลท์

 (1)  คล้ายคลึงคลึง           (2) โทรจิต              (3)  ภาพหลอน           (4) แสดงและเงา           (5) ESP

ตอบ (1)  คล้ายคลึงคลึง          

24.  จำนวนพลังงานความถี่ต่ำสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เมื่อสิ่งเร้าปรากฏ  เรียกว่าอะไร

(1)  ระดับเทรซโฮลด์                          (2) เทรซโฮลด์ความรู้สึก                    (3) เทรซโฮลด์สมบูรณ์

(4)  เทรซโฮลด์ความแตกต่าง              (5) ไม่มีข้อใดถูก

 ตอบ (3) เทรซโฮลด์สมบูรณ์

25. สัมผัสคีเนสเตซีส อธิบายเรื่องใด

(1)  การทรงตัวและการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง                       (2) การทรงตัว

(3)  การทราบถึงการเคลื่อนไหวทางกาย                     (4) การสัมผัสของอวัยวะภายใน

(5)  การทำงานของอวัยวะภายใน

ตอบ (3)  การทราบถึงการเคลื่อนไหวทางกาย                    

26.  การมอบด้วยดวงตา 2 ข้าง ทำให้เราสามารถรับรู้ความลึกได้  และดวงตาแต่ละข้างจะเห็นภาพในแง่มุมที่ต่างออกไปเล็กน้อย เรียกว่าอะไร

(1)  Stereoscopic Vision               (2)  Convergence               (3) Perspective

(4)  การรับรู้ภาพ 2 นัย                                   (4)  ประสาททิพย์  (Clairvoyance)

ตอบ (1)  Stereoscopic Vision              

27.  การล่วงรู้ถึงแหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  เรียกว่าอะไร

(1) โทรจิต  (Telepathy)                  (2) Convergence                (3)  Precognition

(4)  Clairvoyance                        (5) Illusion

ตอบ (3)  Precognition

28.  การตีความหมายในสิ่งที่มากระทบด้วยความเข้าใจและการแปลความหมายของสิ่งนั้น  เรียกว่าอะไร

(1)  การสัมผัส                               (2)  การรับรู้                    (3) การเรียนรู้         

(4) ภาพหลอน                               (5) ภาพลวงตา

ตอบ (2)  การรับรู้                   

29.  ข้อใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับสัมปชัญญะ

(1)  การมีสมาชิกแน่วแน่                   (2) การตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง          (3) การนอนหลับเพื่อทำสมาธิ

(4)  การมีจิตใจแน่วแน่                       (5)  การรู้ตัวทั่วพร้อมว่า กำลังทำ  พูด  คิดสิ่งใดอยู่

ตอบ (5)  การรู้ตัวทั่วพร้อมว่า กำลังทำ  พูด  คิดสิ่งใดอยู่

30.  ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ  การนอนหลับ

(1)  มีการโต้ตอบง่ายๆ ได้       (2) ขาดสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง          (3) รับรู้ผิดพลาดในระยะหลับลึก

(4)  ไม่มีการฝันตลอดคืน          (5) มีความฝันเกิดขึ้นในระยะช่วงเวลาของการหลับลึก

ตอบ (1)  มีการโต้ตอบง่ายๆ ได้      

31.  การนอนหลับเป็นช่วงระยะสั้น  เรียกอะไร

(1)  ความอ่อนเพลีย          

(2) Microsleep       

(3) ฝันกลางวัน           

(4) เข้าฌาน          

(5) การระลึกรู้

ตอบ (2) Microsleep      

32.  มนุษย์ใช้เวลาสำหรับการนอนหลับเท่าใดโดยประมาณ

(1)  1 ใน 2 ของชีวิต                           (2) 1 ใน 2 ของชีวิต                      (3) 1 ใน 4 ของชีวิต

(4)  ขึ้นอยู่กับภารกิจประจำวัน          (5) ขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนตัว

ตอบ (2) 1 ใน 2 ของชีวิต                      

ข้อ 33. – 36.  จงตอบคำถามโดยพิจารราจากตัวเลือกต่อไปนี้

 (1) กดประสาท                (2) กระตุ้นประสาท            (3) หลอนประสาท             (4) ออกฤทธิ์ผสมผสาน

33.  แอลเอสดี  เห็ดขี้ควาย  จัดอยู่ในสารประเภทใด

ตอบ (3) หลอนประสาท             

34.  กัญชา  สามารถออกฤทธิ์แบบใด  

ตอบ (4) ออกฤทธิ์ผสมผสาน

35.  คาเฟอีน  กระท่อม  มีคุณสมบัติใด  

ตอบ (2) กระตุ้นประสาท           

36.  ฝิ่น มอร์ฟีน  มีผลอย่างไร   

ตอบ (1) กดประสาท                

37. คลื่นสมองชนิดใดที่ปรากฏในการนอนหลับระยะที่ 3  และระยะที่ 4 

(1)  แอลฟ่า             (2) บีตา               (1) กดประสาท                        (4) ธีตา                  (5)  แกมมา

ตอบ (1) กดประสาท                

38.  ผู้ใดอธิบายว่า ความฝันเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการแสดงออกของจิตใจสำนึก

 (1)  Freud                            (2) Hobson & McCarley                        (3) Adler       

(4) Mesmer                         (5) Carl  Jung

ตอบ (1)  Freud                           

39.  สิ่งที่จะบอกได้ว่าคนที่นอนหลับกำลังฝัน  คืออะไร

(1)  REM                                     (2)  MER                            (3) การร้องโวยวาย    

(4) การขยับร่างกายไปมา                           (5) Polygraph

ตอบ (1)  REM                                 

40.  ยีนส์  มีการเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีใด

(1) ตั้งครรภ์นอกมดลูก                                 

(2) ได้รับรังสีหรือยาชนิด              

(3) การผสมเทียมในหลอดแก้ว

(4) รับโครโมโซมเพศแบบ XYY          

(5) แม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

ตอบ (2) ได้รับรังสีหรือยาชนิด

41.  ข้อใดไม่ใช่โรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

 (1)  เบาหวาน               (2) ตาบอดสี                  (3) ลมบ้าหมู                (4) กามโรค             (5) ภูมิแพ้

ตอบ (4) กามโรค         

42. โครโมโซมของมนุษย์มีลักษณะอย่างไร

(1)  ได้รับจากพ่อและแม่คนละ 23 โครโมโซม

(2) เรามีโครโมโซมเพศ 2 คู่

(3) พี่น้องท้องเดียวกันจะได้รับโครโมโซมเหมือนกัน

(4) โครโมโซมจะจะจับคู่กันเมื่อแม่ตั้งครรภ์ได้ 15 วัน

(5)  โครโมโซมทำให้เรามีอายุขัยเท่าพ่อแม่

ตอบ (1)  ได้รับจากพ่อและแม่คนละ 23 โครโมโซม                       

43.  ในการอธิบายความสำคัญของพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม  นักจิตวิทยาอาศัยกลุ่มใดช่วยได้มากที่สุด

(1)  พ่อแม่กับลูก

(2) พี่กับน้อง

(3) ฝาแฝดคล้าย

(4)  ฝาแฝดเหมือน

(5) พ่อแม่กับบุตรบุญธรรม

ตอบ (4)  ฝาแฝดเหมือน                         

44.  ลักษณะใดที่เกิดจากพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดอย่างชัดเจน

(1)  ศีรษะล้าน                         (2) ใจอ่อน                                (3) เครียด            

(4) กระตือรือร้น                              (5) เก็บกด

ตอบ (1)  ศีรษะล้าน                        

45.  คนที่ได้รับโครโมโซมเพศผิดแบบปกติ  XXY  มีโอกาสเกิดความผิดปกติแบบใด

(1)  ตัวแคระแกรน                                  (2) โรคลมบ้าหมู                     (3) Turner’s Syndrome

(4) ปัญญาอ่อน  Mongolism        (5)  ตาบอดสี

ตอบ  (4) ปัญญาอ่อน  Mongolism       

ข้อ 46. – 48.     จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  เฮสส์                (2) เพียเจท์              (3) กีเซลล์               (4) ลอเรนซ์            (5) โคลเบอร์ก

46.   ผู้ใดย้ำเน้นความสำคัญของวุฒิภาวะเพียงอย่างเดียวในการอธิบายการเจริญเติบโตและความสามารถของบุคคล

ตอบ (3) กีเซลล์              

47.  ผู้ใดศึกษาและเสนอทฤษฎีพัฒนาการทางความคิดความเข้าใจ  

ตอบ (3) กีเซลล์               

48.  ผู้ใดทำการทดลองเรื่องประสบการณ์ในระยะฝังใจกับลูกเป็ด    

ตอบ (3) กีเซลล์              

ข้อ 49. – 51.   จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  Reinforcement               (2)  การหยุดยั้ง                               (3) การสรุปความเหมือน

(4)  การฟื้นกลับของพฤติกรรม        (5)  การแยกความแตกต่าง

49.  นอกจากแสดงอาการน้ำลายไหลต่อเสียงกระดิ่งแล้ว พบว่า เสียงที่คล้ายกระดิ่งก็ทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้ เช่นกัน

ตอบ (3) การสรุปความเหมือน

50.  หลังจากการเรียนรู้การกดคานว่า ได้อาหาร แต่เมื่องดอาหารในการกดคานต่อๆ มาในที่สุด พบว่าหนูหยุดกดคาน

ตอบ (2)  การหยุดยั้ง                 

51.  ข้าวหอมเรียกแม่อีกหลายครั้ง  หลังจากการเรียกครั้งแรกแล้วแม่เข้ามากอด”   

ตอบ (1)  Reinforcement              

ข้อ 52. – 54.          จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  อัตราส่วนคงที่                              (2) อัตราส่วนไม่แน่นอน                   (3) ช่วงเวลาคงที่

(4)  ช่วงเวลาไม่แน่นอน                     (5) แบบต่อเนื่อง

52.  การะเวกมักจะเอาใจใส่หน้าที่การงานเป็นพิเศษเมื่อใกล้วันเงินเดือนออกเป็นการเสริมแรงแบบใด  

ตอบ (3) ช่วงเวลาคงที่

53.  ทุกครั้งที่วิ่งลอดบ่วงไฟ  สุนัขจะได้รับรางวัล  ใช้การเสริมแรงแบบใด  

ตอบ (1)  อัตราส่วนคงที่                              

54.  การเสริมแรงแบบใดที่จะช่วยให้คนงานเร่งเย็บเสื้อแต่ละตัวให้เสร็จเร็วๆ  เท่าที่จะทำได้   

ตอบ (4)  ช่วงเวลาไม่แน่นอน   

55.  การเสริมแรงแบบใดที่จะช่วยให้คนงานเย็บเนื้อแต่ละตัวให้เสร็จเร็วๆ เท่าที่จะทำได้  

ตอบ (1)  อัตราส่วนคงที่                             

56.  การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก เสียงกระดิ่งจัดเป็นอะไร

(1)  สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข  (CS)                     (2) สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (US)

(3) การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)          (4) การแยกความแตกต่าง (Discrimination)

(5) การฟื้นกลับของพฤติกรรม  (Spontaneous)

ตอบ (5) การฟื้นกลับของพฤติกรรม  (Spontaneous)

57.  นักโทษได้รับการลดโทษหลังจากมีความประพฤติดี น่าพอใจ อธิบายได้ว่าตรงกับหลักการใด

(1)  การเสริมแรงบวก                  (2) การเสริมแรงลบ                            (3) การลงโทษ

(4)  การวางเงื่อนไขบวก                    (5)  การวางเงื่อนไขลบ

ตอบ (1)  การเสริมแรงบวก 

58.  ความจำระยะสั้นจะมีลักษณะเป็นอย่างไร

(1)  เก็บข้อมูลไม่จำกัดจำนวน       (2) จำในสิ่งที่มีความหมาย       (3) จำในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงของโลก

(4)  จำในสิ่งที่เป็นเรื่องของชีวิตตนเอง                       (5) ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ (5) ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

59.  ภาพติดตาหรือจินตภาพจะคงอยู่ได้กี่วินาที

 (1) 2 วินาที                 (2)  1½  วินาที             (3) 1 วินาที                     (4) ½  วินาที             (5) ขึ้นอยู่กับบุคคล

60.  ความจำระยะยาวมีลักษณะเป็นอย่างไร

(1)  การเกิดจินตภาพ                          (2)  จำในสิ่งที่มีความหมาย          (3) การได้ยินเสียง

(4)  ข้อมูลมีจำกัด                 (5)  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ (2)  จำในสิ่งที่มีความหมาย

61.  สาเหตุของการลืม  เกิดจาก

 (1)  การไม่ลงรหัส           (2)  การเสื่อมสลาย          (3) การขาดสิ่งชี้แนะ      (4) การรบกวน    (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

62.  บอกได้ว่า ร่มนี้เป็นของฉันหายไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว”  เป็นการวัดความจำแบบใด

 (1)  การระลึกได้ (Recall)             (2) การจำได้ (Recognition)         (3) การเรียนซ้ำ (Relearning)

(4)  การบูรณาการใหม่ (Reintegration)          (5)  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ (2) การจำได้ (Recognition)        

63.  ใช้เวลาท่องอาขยานถึง 20 ครั้ง  แต่หลังจาก 20 ปีผ่านไป  สามารถท่องอาขยานใช้เวลาเพียง  2 ครั้ง ก็จำได้เรียกว่าอะไร

 (1)  การระลึกได้ (Recall)         (2) การจำได้ (Recognition)            (3) การเรียนซ้ำ (Relearning)

 (4)  การบูรณาการใหม่ (Reintegration)          (5)  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ (3) การเรียนซ้ำ (Relearning)

64.  การลืมเนื่องจากการไม่ได้ลงรหัสเป็นอย่างไร

(1)  ลืมเพราะระหว่างที่เราพยายามจำถูกรบกวนสมาธิ           (2) ลืมเพราะไม่ได้กำหนดการจำสิ่งนั้น

(3)  ดึงความจำกลับมาไม่ได้เพราะขาดสิ่งชี้แนะ          (4) ลืมในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกขมขื่น

(5)  ลืมเพราะมีสิ่งที่ต้องจำมากเกินไป

ตอบ (2) ลืมเพราะไม่ได้กำหนดการจำสิ่งนั้น

65.  เรียนรู้และจดจำเฉพาะการเรียนสิ่งใหม่และลืมสิ่งที่เคยเคยเรียนมาก่อน  เรียกว่าอะไร

(1)  Retroactive Inhibition

(2) Proactive Inhibition

(3) Repression

(4)  Decay

(5)  Encoding Failure

ตอบ (1)  Retroactive Inhibition           

66.  การแก้ปัญหาโดยมีการรับรู้  มองเห็นความสัมพันธ์  และคิดได้อย่างฉับพลัน  เรียกว่าอะไร

(1)  หยั่งเห็นคำตอบในทันที         (2) ทำความเข้าใจ                             (3) ใช้เครื่องจักร

(4)  ใช้ความใหม่ของคำถาม             (5) แรงจูงใจของผู้แก้ปัญหา

ตอบ (1)  หยั่งเห็นคำตอบในทันที        

67.  จากการศึกษาของ Miller พบว่าความจำระยะสั้นของคนปกติจะเป็นแบบใด

 (1)  5 หน่วย                   (2) 6 หน่วย                 (3) 7 หน่วย                (4)  8 หน่วย              (5) 9 หน่วย

68.  ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บุคคลมีการแสดงพฤติกรรม คืออะไร

(1) สิ่งเร้า                 (2) สิ่งแวดล้อม          (3) แรงจูงใจ           (4) ความรัก             (5) การเรียนรู้

ตอบ (3) แรงจูงใจ          

69.  Marray  แบ่งความต้องการออกเป็นกี่ชนิด

(1) 5 ชนิด                 (2) 10 ชนิด                       (3) 15 ชนิด              (4) 20 ชนิด        (5) 25 ชนิด

ตอบ (4) 20 ชนิด 

70. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการของแรงจูงใจ

 (1) การตอบสนอง (Response)          (2) มโนทัศน์ (Concept)               (3) แรงขับ  (Drive)

 (4) ความต้องการ  (Need)                  (4) เป้าหมาย  (Goal)

ตอบ (2) มโนทัศน์ (Concept)              

ข้อ 71. – 74.   จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) แรงจูงใจพื้นฐาน                          (2) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์                      (3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

(4) แรงขับพื้นการศึกษา                    (5) ผิดทั้งหมด

71.  ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในด้านการงานหรือการเรียน

ตอบ (2) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์         

72.  ความปรารถนาที่จะมีเพื่อนมาสนิทสนมด้วย     

ตอบ (3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

73.  ความอยากรู้อยากเห็น   

ตอบ (4) แรงขับพื้นการศึกษา                   

74.  ความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ   

ตอบ (1) แรงจูงใจพื้นฐาน                         

75.  ความหิวและความกระหาย  เป็นแรงจูงใจชนิดใด

(1)  การสืบเผ่าพันธุ์                            (2) การหลีกหนีอันตราย                    (3) ชีวภาพ

(4)  สังคม                                          (5) ความมั่นคง

ตอบ (3) ชีวภาพ

76.  ทฤษฎีอะไรเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

(1)  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล              (2) ทฤษฎีแรงขับ            (3) ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

(4)  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                     (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

77.  ตามทรรศนะของมาสโลว์ Basic Needs  ได้แก่ความต้องการด้านใด

(1)  ร่างกายและความมั่นคงปลอดภัย                     (2) ความมั่นคงปลอดภัยและความรัก

(3)  ความรัก  ได้รับการยกย่องและประจักษ์ตน            (4) การได้รับการยกย่องและประจักษ์ตน

(5)  การเป็นเจ้าของกลุ่มและมีส่วนร่วม

ตอบ (1)  ร่างกายและความมั่นคงปลอดภัย                    

78.  ข้อใดที่เป็นองค์ประกอบการของการเกิดแรงจูงใจ

(1)  สิ่งเร้า  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง

(2)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

(3)  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย  สิ่งเร้า

(4)  เป้าหมาย  สิ่งเร้า  ความต้องการ

(5)  การตอบสนอง   เป้าหมาย  สิ่งเร้า  ความต้องการ

ตอบ (2)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

79.  ข้อใดเป็นลักษณะทางอารมณ์ซึ่งนักจิตวิทยาได้จำแนกไว้

(1)  อารมณ์ทางบวก  เฉยๆ  และทางลบ

(2) อารมณ์ที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ

(3)  อารมณ์ที่เกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

(4) อารมณ์สงบและรุนแรง

(5)  อารมณ์รักและโกรธ

ตอบ (2) อารมณ์ที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ

80.  ชาร์ลส์  ดาร์วิน  กล่าวถึงความสำคัญของอารมณ์ว่าอย่างไร

(1)  มนุษย์มีอารมณ์ก้าวร้าวเนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ

(2)  อารมณ์มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

(3)  พัฒนาการทางอารมณ์สัมพันธ์กับวัฒนธรรมท้องถิ่น

(4)  มนุษย์สามารถควบคุอารมณ์ได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น

(5)  คนอารมณ์ดีจะมีชีวิตที่ยืนยัน

ตอบ (2)  อารมณ์มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

ข้อ 82. – 84.    จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) เจมส์ – แลง         (2) แคนนอน-บาร์ด     (3) แชคเตอร์-ซิงเกอร์     (4) พลูทซิค        (5) แอช

82.  ทฤษฎีใดอธิบายว่า  อารมณ์เกิดขึ้นเมื่อบุคคลเผชิญหน้ากับสิ่งกระตุ้นแล้วสมองส่วนธาลามัสจะแยกส่งแรงกระตุ้นไปทำให้เกิดอารมณ์  พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

ตอบ (2) แคนนอน-บาร์ด    

83.  ทฤษฎีใดกล่าวว่า การเกิดอารมณ์ต้องอาศัยการตีความสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง  

ตอบ (3) แชคเตอร์-ซิงเกอร์     

84.  ทฤษฎีใดอธิบายว่า  ก่อนเกิดอารมณ์ร่างกายมีการแสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งกระตุ้นไปล่วงหน้าแล้ว  

ตอบ (1) เจมส์ – แลง        

85.  การใช้เครื่องจับเท็จ  ดำเนินการอย่างไร

(1)  เครื่องสามารถจับโกหกได้จากการบันทึกภาพการแสดงสีหน้าขณะโกหก

(2)  พนักงานสอบสวนจะตั้งคำถามพร้อมกับวัดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและแปลผล

(3)  ขณะกล่าวเท็จการพูดของผู้นั้นจะตะกุกตะกัก  เครื่องบันทึกภาพและเสียงจะนำมาตรวจสอบได้

(4)  การศึกษาเรื่องการทำงานของระบบซิมพาเธติก ช่วยให้เข้าใจภาวะร่างกายขณะเกิดอารมณ์กลัว

(5)  ถูกทั้งหมด

ตอบ (2)  พนักงานสอบสวนจะตั้งคำถามพร้อมกับวัดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและแปลผล

86.  เด็กพัฒนาอารมณ์ต่างๆ จนสมบูรณ์  เมื่ออายุประมาณกี่ปี

(1)  6 เดือน              (2) 1 ปี                    (3) 2 ปี                          (4)  6 ปี                    (5) 12 ปี

ตอบ (3) 2 ปี                         

87.  การศึกษาบุคลิกภาพ  มีความสำคัญอย่างไร

(1)  บุคลิกภาพเริ่มปรากฏในวัยผู้ใหญ่

(2)  บุคลิกภาพช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออก

(3)  บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้ง่าย จึงไม่ควรคาดหวังพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป

(4)  คนที่มีบุคลิกภาพเหมือนกันเมื่อรวมกันจะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

88.  ทฤษฎีการเรียนรู้  อธิบายเรื่องบุคลิกภาพอย่างไร

(1)  บุคลิกภาพเกิดจากการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

(2)  บุคลิกภาพเกิดจากการสังเกตตัวแบบได้

(3)  พฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงจะถูกสะสมไว้และกลายมาเป็นบุคลิกภาพ

(4)  สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการเกิดการเรียนรู้รวมถึงบุคลิกภาพ

(5) ถูกทั้งหมด

 ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

89.  ทฤษฎีบุคลิกภาพใดเชื่อว่า  คนเรามีความคิดสร้างสรรค์  เป็นอิสระ  และสามารถรับผิดชอบการกระทำของตนเอง

(1)  จิตวิเคราะห์

(2)  พฤติกรรมนิยม

(3) มนุษยนิยม

(4)  บุคลิกภาพที่แบ่งเป็นประเภท

(5) บุคลิกภาพที่แบ่งตามโครงสร้าง

ตอบ (3) มนุษยนิยม

90.  ฟรอยด์ได้กล่าวถึงหลักแห่งความพึงพอใจ  หมายถึงการทำงานของอะไร

(1)  มโนธรรม                                      

(2) Ego

(3)  Id

(4)  การทำงานของอิด  ขั้นที่ 2

(5)  ตัวตนในอุดมคติ

ตอบ (3)  Id

91.  คนที่มีสุขภาพจิตดีในทัศนะของ  โรเจอร์ส  มีลักษณะอย่างไร

(1)  ไม่มีการชะงักของพฤติกรรมบางช่วง

(2)  ยอมรับตนเอง

(3)  มีการมองคนอื่นด้านบวก

(4)  มีมนุษยสัมพันธ์ดี

(4)  ตัวตนที่แท้จริงและในอุดมคติมีความสอดคล้องกัน

ตอบ (4)  ตัวตนที่แท้จริงและในอุดมคติมีความสอดคล้องกัน

92.  การประจักษ์ในตน และทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการเป็นแนวความคิดของใคร

 (1)  Rogers         (2)  Maslow              (3)  Bandura             (4) Freud               (5) Jung

ตอบ (2)  Maslow    

93.  การกินจุบ กินจิบ  ปากคอเราะร้าย” เป็นบุคลิกภาพที่เกิดจากการชะงักงันของพัฒนาการในระยะใด

 (1)  Orial                               (2)  Phallic  Stage                      (3) Genital Stage   

(4) Anal Stage                        (5)  Latency Stage

ตอบ (1)  Orial                              

94.  การแปลความหมายของความฝัน”  เป็นความเชื่อของนักจิตวทยากลุ่มใด

(1)  พฤติกรรมนิยม                          (2) มนุษยนิยม                            (3) พุทธนิยม

(4) จิตวิเคราะห์                        (5) เกสตัลท์

ตอบ (4) จิตวิเคราะห์ 

95.  ข้อใดเป็นแบบทดสอบบุคลิกภาพแบบฉายภาพจิต  (Projective  Techniques)

(1)  WAIS                        (2) Rorschach                   (3) WISC

(4) MMPI                        (5) SCLL

ตอบ (2) Rorschach                  

96.  ข้อใดแสดงถึงค่าสหสัมพันธ์ของระดับสติปัญญาสูงสุด

(1)  พ่อกับแม่                              (2) พี่กับน้องเลี้ยงด้วยกัน                 (3) แม่เลี้ยงกับลูกที่เลี้ยงมาแต่เกิด

(4)  แฝดเหมือนที่เลี้ยงด้วยกัน          (5)  แฝดคล้ายที่เลี้ยงด้วยกัน

ตอบ (4)  แฝดเหมือนที่เลี้ยงด้วยกัน    

97.  การที่แบบทดสอบมีแนวทางในการตรวจคำตอบ  การแปลความหมายอย่างชัดเจน  เรียกว่าอะไร

(1)  ความเชื่อถือได้                             (2) ความเที่ยงตรง                            (3)  ความเป็นมาตรฐาน

(4)  ความเป็นปรนัย                            (5)  ความสามารถแยกแยะ

ตอบ (3)  ความเป็นมาตรฐาน

98.  เชาวน์ปัญญาได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งใด

(1)  พันธุกรรม                                      (2) สิ่งแวดล้อม                                    (3) การเลี้ยงดู    

(4) การเรียนรู้                       (5) พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

ตอบ (5) พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

99.  เด็กปัญญาอ่อนมีเกณฑ์ภาคเชาวน์เท่าใดลงไป

(1)  80                        (2) 70                (3)  60                    (4) 50                                (5) 40

ตอบ (2) 70               

100.  แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญาสำหรับผู้ใหญ่เรียกว่าอะไร

 (1)  WAIS                            (2) WISC                            (3)  WPPSI

(4)  Army  Alpha                   (5) Army  Beta

ตอบ (1)  WAIS                           

101.  ข้อใดเป็นแบบทดสอบวัด  I.Q.  สำหรับเด็ก

(1) WAIS

(2)  Standard  PM

(3)  Coloured PM

(4) Advanced  PM

(5)  Stanford  Binet

ตอบ (3)  Coloured PM

102.  จากการศึกษาวิจัยหลายเรื่องเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจสังคม พบว่า คนกลุ่มใดมีระดับสติปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำที่สุด

(1)  คนที่อยู่ในเมือง                     (2) คนที่อยู่ในชนบท                    (3) คนฐานะเศรษฐกิจระดับกลาง

(4)  คนฐานะเศรษฐกิจระดับสูง       (5)  คนฐานะเศรษฐกิจระดับต่ำ

ตอบ (5)  คนฐานะเศรษฐกิจระดับต่ำ

103.  ข้อใดเป็นลักษณะคนที่มีการปรับตัวเหมาะสมในทัศนะของจิตวิเคราะห์

(1)  มีมโนธรรมสูง  ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี                    (2) มีความชัดเจนเกี่ยวกับตนเอง

(3)  มีความสมดุลของอิด  อีโก้  ซูเปอร์อีโก้               (5) สามารถควบคุมจิตฝ่ายต่ำ

(5)  กล้าแสดงออก

 ตอบ (3)  มีความสมดุลของอิด  อีโก้  ซูเปอร์อีโก้              

ข้อ 104. – 108.    จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  ถอยหลังเข้าคลอง                        (2)  ชดเชยสิ่งที่ขาด                            (3) ไม่รับรู้ความจริง

(4)  การโยนความผิด                          (5)  เข้าข้างตนเอง

104.  มานีกระทืบเท้าเดินออกไป   พร้อมกับปิดประตูดังปังเมื่อมานิตย์ไม่ตามใจ  

ตอบ (1)  ถอยหลังเข้าคลอง                       

105.  ประชาบอกว่า  ห้องตนแม้จะไม่ใช่ห้องคิง  แต่ทุกคนมีน้ำใจดีมาก   

ตอบ (5)  เข้าข้างตนเอง

106.  ปรียาโกรธที่หมอบอกว่า เธอเป็น HIV Positive เพราะเธอไม่เคยยุ่งกับใครนอกจากสามี และพูดว่าเธอยังสบายดี  ไม่ได้ป่วยอะไร

ตอบ (3) ไม่รับรู้ความจริง

107.  กิ่งกมลไม่รู้ตัวว่าอยากมีกิ๊ก  แต่เที่ยวไปพูดว่าคนโน้นคนนี้มีกิ๊ก    

ตอบ (4)  การโยนความผิด                         

108.  พากเพียรเรียนไม่เก่งเหมือนพี่ๆ  ก็เลยหันไปเอาดีทางกีฬาแทน    

ตอบ (2)  ชดเชยสิ่งที่ขาด                           

109.  เจตคติประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง

(1)  ความเชื่อและการกระทำ                                     (2) ความเชื่อ  ความเข้าใจ และความรู้สึก

(3)  อารมณ์  ความรู้สึก  และการกระทำ                   (4) ความเชื่อ ความรู้สึก  และแนวโน้มพฤติกรรม

(5)  การแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

ตอบ (4) ความเชื่อ ความรู้สึก  และแนวโน้มพฤติกรรม

110.  ข้อใดเป็นคำอธิบายเพื่อให้เข้าใจว่า  พฤติกรรมช่วยเหลือเกิดขึ้นน้อยในสังคมเมือง

(1)  มีความรู้สึกว่าธุระไม่ใช่              (2) กลัวว่าช่วยแล้วอาจเกิดปัญหา        (3) คำนึงถึงผลได้ผลเสีย

(4)  การกระจายความรับผิดชอบ            (5) ไม่มีเวลาพอที่จะช่วย

ตอบ (4)  การกระจายความรับผิดชอบ

111.  ปัจจุบันวิชาจิตวิทยามีความมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1)  ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณในฐานะที่ส่งผลต่อพฤติกรรม

(2)  ศึกษาพฤติกรรมภายใน  โดยเฉพาะความคิด  ความจำ  การตัดสินใจ

(3)  อธิบาย  ทำความเข้าใจ  ทำนาย  และควบคุมพฤติกรรม

(4)  ควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวในสังคม                          

(5)  ศึกษาการพิสูจน์   DNA

ตอบ (3)  อธิบาย  ทำความเข้าใจ  ทำนาย  และควบคุมพฤติกรรม

112.  พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม  (Assertive Behavior)  ตรงกับข้อใด

(1)  พฤติกรรมที่เป็นเครื่องหมายของผู้นำ

(2)  พฤติกรรมเพื่อคลี่คลาอคติ

(3)  พฤติกรรมก้าวร้าว

(4) พฤติกรรมที่เชื่อว่าจะได้รับการยอมรบจากกลุ่ม

(5)  พฤติกรรมที่แสดงออกความรู้สึกความคิดตรงๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิของตน

ตอบ (5)  พฤติกรรมที่แสดงออกความรู้สึกความคิดตรงๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิของตน

113.  พื้นที่รอบๆ บุคคลที่มองไม่เห็น เรียกว่าอะไร

(1)  ระยะห่างระหว่างบุคคล

(2) การแสวงหาอิสรภาพ                  

(3)  การครอบครอง

(4)  ระยะห่างมายา

(4) ระยะส่วนตัว

ตอบ (1)  ระยะห่างระหว่างบุคคล           

114.  ในการเปรียบเทียบทางสังคม  เราต้องการเปรียบเทียบกับอะไร

(1)  เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่                                   

(2)  บุคคลที่มีความสามารถเหนือกว่าเรา

(3)  คนที่ด้อยกว่าเรา

(4)  ทุกคนที่เรามีโอกาสเปรียบเทียบด้วย

(5)  บุคคลที่มีความสามารถใกล้เคียงและตกอยู่ในสภาวะคล้ายกับเรา

ตอบ (5)  บุคคลที่มีความสามารถใกล้เคียงและตกอยู่ในสภาวะคล้ายกับเรา

115.  การที่บุคคลมีความชอบพอดึงดูดใจระหว่างกัน  เกิดขึ้นได้ในกรณีใด

(1)  ความใกล้ชิด                           (2)  ความต้องการพื้นฐาน                 (3)  ความรับผิดชอบ

(4)  ความบังเอิญ                                  (4)  การเปรียบเทียบทางสังคม

ตอบ (1)  ความใกล้ชิด                           

116.  การสร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นได้  ควรปฏิบัติอย่างไร

 (1)  ให้การเสริมแรงตนเอง                    (2)  ไม่เปรียบเทียบทางสังคม               (3)  ไม่คำนึงถึงผลได้         

 (4)  ไม่คำนึงถึงการแลกเปลี่ยน             (5)  แลกเปลี่ยนความคิด  ความรู้สึก  และเปิดเผยตนเอง

ตอบ (5)  แลกเปลี่ยนความคิด  ความรู้สึก  และเปิดเผยตนเอง

117.  ในการทดลองเรื่อง  ผลได้-ผลเสีย  พบอะไร

(1)  กลุ่มตัวอย่างไม่ชอบคนติ  แม้จะกล่าวชมภายหลัง

(2)  กลุ่มตัวอย่างชอบคนที่ชมแล้วติ  มากกว่าคนที่ติแล้วกลับมาชม

(3)  กลุ่มตัวอย่างจะเรียกร้องในกรณีที่ตนรู้สึกสูญเสีย

(4)  กลุ่มตัวอย่างจะชอบคนที่ติแล้วกลับมาชมมากกว่าคนที่ชมอย่างเดียว

(5)  กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ชอบคนที่ติไม่ว่ากรณีใดๆ

ตอบ (4)  กลุ่มตัวอย่างจะชอบคนที่ติแล้วกลับมาชมมากกว่าคนที่ชมอย่างเดียว

118.  การคล้อยตามกลุ่มจะเกิดขึ้นในกรณีใด

(1)  คนอื่นในกลุ่มลงความเห็นตรงกันหมด               (2)  บุคคลเชื่อมั่นในตนเองสูง

(3)  บุคคลถูกเนรเทศออกจากกลุ่ม                                   (4)  ขนาดของกลุ่มมีจำนวน 8 คนขึ้นไป

(5)  ขนาดของกลุ่มมีจำนวน 10 คนขึ้นไป

ตอบ (1)  คนอื่นในกลุ่มลงความเห็นตรงกันหมด              

119.  บทบาทของสมาชิกแต่ละตำแหน่ง  มีความสำคัญอย่างไร

(1)  สมาชิกของแต่ละกลุ่มอาจมีหลายบทบาท

(2) สมาชิกจะต้องปรับบทบาทให้คล้อยตามกลุ่ม

(3)  บทบาทของผู้นำสำคัญกว่าบทบาทของสมาชิก

(4) บุคคลที่มีหลายบทบาทอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้

(5) บทบาทช่วยให้ทราบแบบแผนของพฤติกรรมที่ถูกคาดหวัง

ตอบ (5) บทบาทช่วยให้ทราบแบบแผนของพฤติกรรมที่ถูกคาดหวัง

120.  นักจิตวิทยาสังคมเรียกความเกลียดชังรุนแรงที่ขาดเหตุผล  นำไปสู่การแบ่งแยกว่าอะไร

(1)  อคติ

(2)  ความก้าวร้าว                         

(3)  เจตคติ

(4)  ภาพพจน์เกินจริง

(5)  ปฏิกิริยาทางลบ

 ตอบ (1)  อคติ                                        

 

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป

คำสั่ง   ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120  ข้อ)

ข้อ 1. – 5.  จงจับคู่ข้อความที่สัมพันธ์กันโดยใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) วุ้นท์ (Wundt)                 

(2) ฟรอยด์ (Freud)            

(3) เวิร์ธไทเมอร์ (Wertheimer)

(4) วัตสัน (Watson)

(5) มาสโลว์ (Maslow)

1.   ผู้ได้รับยกย่องเป็นบิดาของวิชาจิตวิทยา     

ตอบ (1) วุ้นท์ (Wundt)

2.  ผู้ริเริ่มแนวคิดกลุ่มพฤติกรรมนิยม  

ตอบ (4) วัตสัน (Watson)             

3.  ผู้ริเริ่มแนวคิดจิตวิเคราะห์   

ตอบ (2) ฟรอยด์ (Freud)           

4.  ผู้ริเริ่มแนวคิดจิตวิทยามนุษยนิยม   

ตอบ (5) มาสโลว์ (Maslow)

5.  ผู้ริเริ่มแนวคิดจิตวิทยาเกสตัลท์  

ตอบ (3) เวิร์ธไทเมอร์ (Wertheimer)

6.  วิชาจิตวิทยามีจุดมุ่งหมายของการศึกษาตรงกับข้อใด

(1)  เพื่ออธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์โดยทั่วๆ ไป

(2)  เพื่อทำความเข้าใจในเหตุผลของการแสดงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะต่างๆ

(3)  เพื่อทำนายพฤติกรรมที่จะเกิดตามมาถ้ารู้ว่าว่าสิ่งเร้าที่บุคคลเผชิญอยู่ในปัจจุบันคืออะไร

(4)  เพื่อควบคุมหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาให้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม

(5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

7.  นักจิตวิทยากลุ่มใดที่ให้ความสนใจศึกษาทางปัญญา  ภาษา  และการรู้คิด

(1)  จิตวิทยาคอกนิทิฟ

(2) โครงสร้างของจิต                         

(4) พุทธิปัญญา

(4)  เกสตัลท์

(5)  หน้าที่ของจิต

 ตอบ (1)  จิตวิทยาคอกนิทิฟ                  

ข้อ 8. – 10.  จงจับคู่ข้อความที่แสดงบทบาทหน้าที่กับนักจิตวิทยาตามตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  นักจิตวิทยาคลิกนิก                      (2) นักจิตวิทยาสังคม                          (3)  นักจิตวิทยาพัฒนาการ

(4)  นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม            (5)  นักจิตวิทยาการปรึกษา

8.  ทำหน้าที่คัดเลือกบุคลากร วิเคราะห์งานและประเมินผลงาน ฝึกอบรม และพัฒนาองค์การ 

ตอบ (4)  นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม           

9.  ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยพฤติกรรมของคนในสังคมทั้งที่เป็นลักษณะทั่วไปและที่เป็นปัญหา 

ตอบ (2) นักจิตวิทยาสังคม                         

10.  ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยพัฒนาการของคนวัยต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลในแต่ละช่วงวัย   

ตอบ (3)  นักจิตวิทยาพัฒนาการ

11.  เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพโครงสร้างและรายละเอียดของสมองได้ชัดเจนที่สุด  โดยไม่ต้องใช้สารกัมมันตภาพรังสี

(1) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก MRI

(2) การฉีดสี PET

(3) การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT

(4) ตัดเนื้อสมองบางส่วนและจี้ด้วยแสงเลเซอร์

(5) การกระตุ้นเปลือกสมองด้วยกระแสไฟฟ้า

ตอบ (1) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก MRI         

12.  กลไกที่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่เรียกว่า Effector หรืออวัยวะสำแดงผลหมายถึง

(1) กลไกรับสิ่งเร้า

(2) กลไกเชื่อมโยงทางระบบประสาท

(3) กล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ

(4) เซลล์ประสาท                            

(5) หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง

ตอบ (3) กล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ

13.  ร่างกายของคนเรามีกล้ามเนื้อชนิดนี้  7,000 มัด

(1)  กล้ามเนื้อเรียบ                              

(2) กล้ามเนื้อลาย 

(3)  กล้ามเนื้อหัวใจ

(4)  กล้ามเนื้อหน้าอก

(5)  กล้ามเนื้อปอด

ตอบ (2) กล้ามเนื้อลาย

14.  ระบบประสาทสำคัญอย่างไรต่อพฤติกรรม

(1)  ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกาย

(2) ควบคุมการแสดงพฤติกรรม

(3)  ช่วยในการเผาผลาญอาหาร

(4) เป็นศูนย์กลางทำงานของร่างกายและจิตใจ

(5)  ช่วยในการขับถ่าย

ตอบ  (4) เป็นศูนย์กลางทำงานของร่างกายและจิตใจ

15.  ปฏิกิริยาสะท้อนทำงานภายใต้การสั่งงานของอะไร

(1)  สมอง                

(2) หัวใจ                  

(3) ธาลามัส             

(4)  ไฮโปธาลามัส                

(5) ไขสันหลัง

ตอบ (5) ไขสันหลัง

16.  ถ้าขาดสิ่งนี้ร่างกายจะเคลื่อนไหวไม่ได้แม้สมองจะสั่งงาน

(1)  กล้ามเนื้อ        (2) เส้นประสาท               (3)  ฮอร์โมน             (4) สิ่งเร้า              (5) หู

ตอบ (1)  กล้ามเนื้อ

17.  ข้อใดคือปฏิกิริยาสะท้อน

(1)  แมสเลย์ฝึกเตะฟุตบอลอย่างหนัก                  (2)  ปุ๋ยถูกครูตีทำให้เจ็บ

(3)  มุกสะบัดมือเพราะถูกไฟดูด                   (4) เวลาไอเอามืดปิดปาก                   (5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ (3)  มุกสะบัดมือเพราะถูกไฟดูด

18.  ระบบประสาทอะไรที่ทำให้ร่างกายคืนสู่สภาวะสงบและพักผ่อนหลังอาการตกใจ

 (1) ซิมพาเธติก          (2) พาราซิมพาเธติก        (3) โซมาติก             (4) ลิมปิก                   (5) อะมิกดาล่า

ตอบ (2) พาราซิมพาเธติก

19.  ก้านสมองทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไร

(1)  การหลั่งฮอร์โมน         (2) การยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ         (3) การหมุนเวียนของโลหิต

(4)  ควบคุมการทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจ                         (5)  ความคิดและความจำ

ตอบ (4)  ควบคุมการทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจ                        

20.  หน้าที่สำคัญของฮอร์โมนคืออะไร

(1)  ควบคุมระบบพลังงาน                              (2) ควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย

(3)  ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย         (4) ควบคุมระบบสืบพันธุ์               (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

21.  การรับรู้ต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรที่มากกว่าการสัมผัส

(1)  ความคิด          (2) ประสบการณ์      (3) อารมณ์          (4) การเสริมแรง      (5) ความประทับใจ

ตอบ (2) ประสบการณ์

22.  เซลล์สำคัญในการรับภาพที่เป็นสีในจอรับภาพเรตินาคืออะไร

(1)  รอดส์                  (2) โฟเวีย              (3) โคนส์        (4) บาซิเลาเมมเบรน     (5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ (3) โคนส์

23.  หน่วยวัดความแรงของคลื่นเสียงเรียกว่าอะไร

(1)  ความถี่             (2) เฮิรตซ์            (3) กิโลเมตร         (4) เทรซโฮลด์               (5) เดซิเบล

 ตอบ (5) เดซิเบล

24.  สัมผันคีเนสเตซีส  อธิบายเรื่องใด

(1)  การเคลื่อนไหวของร่างกาย

(2)  อาการสัมผัสผิวหนังแบบทุติยภูมิ

(3)  การทำงานของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า

(4)  การทำงานของผิวหนังชั้นหนังแท้

(5)  การทำงานของผิวหนังในส่วนของไขมัน

ตอบ (1)  การเคลื่อนไหวของร่างกาย                                 

25.  ข้อใดไม่ใช่สัมผัสพื้นฐานทางผิวกาย

(1) กด                    (2) ร้อน                 (3) เย็น                   (4) เจ็บปวด                 (5) อุ่น

ตอบ (2) ร้อน                

26.  เทรซโฮลด์สมบูรณ์ คือ

(1)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่ต่ำสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เป็นครั้งแรก

(2)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่สูงสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เป็นครั้งแรก

(3)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่ระดับที่ปลอดภัยต่อการรับรู้ของอินทรีย์

(4)  การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าที่มีอยู่แล้วในจำนวนน้อยที่สุดที่สามารถรู้สึกได้

(5)  การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าที่มีอยู่แล้วในจำนวนมากที่สุดที่สามารถรับรู้ได้

ตอบ (1)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่ต่ำสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เป็นครั้งแรก

27.  การทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกของเด็กเล็กๆ นักจิตวิทยาใช้อุปกรณ์ใด

(1)  ห้องมายา          (2) ทางสองมิติ       (3) ห้องจำลอง       (4) ภาพเงาสะท้อน        (5) หน้าผามายา

ตอบ (5) หน้าผามายา

28.  ข้อใดต่อไปนี้คือการรับรู้ตามหลักของภาพและพื้น

(1)  แสงและเงา      (2) ภาพสองนัย    (3) เพอร์สเปคทีพ    (4) ความคล้ายคลึง     (5) ภาพลวงตา

ตอบ (2) ภาพสองนัย   

29.  แนวโน้มที่จะรับรู้วัตถุที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นกลุ่มเดียวกัน

(1)  Closure                                (2) Commonfate                            (3) Similarity

(4) Continuity                            (5) Proximity

ตอบ (3) Similarity   

30.  การล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  เรียกว่าอะไร

(1) Precognition                       (2) Telepathy                         (3) Clairvoyance   

(4) Illusion                               (5) Hallucinations

ตอบ (1) Precognition                    

31.  ข้อใดต่อไปนี้ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของภาวการณ์รู้ตัวและภาวการณ์ไม่รู้ตัว

(1)  ถ้าสิ่งเร้ามากระทบประสาทสัมผัสในระดับสูงจะเกิดความตื่นตัวและเครียดได้

(2)  ในแต่ละช่วงอายุจะมีแบบแผนในการนอนต่างกันไป

(3)  สารระเหย  เป็นสารเสพติดชนิดกดประสาท

(4)  สมาธิภาวนา  เป็นสภาวะการแน่วแน่ของจิต

(5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

32.  ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องการนอนหลับ

(1)  ระยะที่หลับลึกที่สุดมีคลื่นสมองเรียกว่า  แอลฟ่า (Alpha)

(2)  ศูนย์ของการนอนหลับจะอยู่ที่ไขสันหลัง

(3)  การเคลื่อนไหวของลูกตาเกิดขึ้นในช่วงมีคลื่นสมองเรียกว่า เดลตา  (Delta)

(4)  การนอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายวันอาจทำให้เป็นโรคจิตได้

(5)  ความฝันจะเกิดในช่วงของการนอนหลับที่มี  REM

ตอบ (5)  ความฝันจะเกิดในช่วงของการนอนหลับที่มี  REM

33.  จุง (Jung)  เสนอแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดของฟรอยด์  (Freud)  ในเรื่อง  

(1)  Activation-Synthesis Hypothesis

(2)  สัญลักษณ์ที่สั่งสมมาในระดับจิตใต้สำนึกมาแต่บรรพบุรุษ

(3)  การแปลสัญลักษณ์ของความฝันไม่ต้องเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ

(4)  ตามขั้นพัฒนาการของมนุษย์

(5) ทฤษฎีแรงแม่เหล็กแห่งสัตว์

ตอบ (3)  การแปลสัญลักษณ์ของความฝันไม่ต้องเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ

34.  ยาเสพติดแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

(1)  มี 1 กลุ่ม คือ กระตุ้นประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(2)  มี 3 กลุ่ม คือ กด  กระตุ้น  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(3)  มี 4 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(4)  มี 5 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น  หลอน  บีบคั้นประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(5)  มี 5 กลุ่ม คือ กระตุ้น  ผลักดัน  หลอน  ปิดกั้นกระแสประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ (3)  มี 4 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

35.  ข้อใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของการสะกดจิต

(1)  บุคคลทุกคนสามารถฝึกในสะกดจิตตนเองได้

(2)  ผู้ที่ทำจิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกภาพผิดปกติของผู้ป่วยคือเมสเมอร์

(3)  การสะกดจิตเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผู้ถูกสะกดจิตถูกบังคับเท่านั้น

(4)  การสะกดจิตช่วยให้ความจำดีขึ้นกว่าวิธีการอื่นๆ

(5)  การสะกดจิตมีประโยชน์รักษาโรคได้อย่าง ครอบจักรวาล

ตอบ (1)  บุคคลทุกคนสามารถฝึกในสะกดจิตตนเองได้

36.  ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์

(1)  การศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งวัยชรา

(2)  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของมนุษย์มากที่สุด  คือ วุฒิภาวะ

(3)  พัฒนาการของมนุษย์ที่มีลักษณะที่สังเกตได้ง่าย คือ การเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ

(4)  พัฒนาการของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ความเจริญเติบโต และความเสื่อมถอย

(5)  การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเป็นความสามารถตามวัยของมนุษย์ เช่น การคลาน การนั่ง การยืนการเดิน  การวิ่ง   เป็นต้น

ตอบ (4)  พัฒนาการของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ความเจริญเติบโต และความเสื่อมถอย

37.  ข้อใดเป็นลักษณะที่ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม

(1)  ตี๋ มีรูปร่างอ้วนเตี้ย  ใบหน้ากลมใหญ่  เหมือนคนแคระ

(2)  โบว์  มีผิวขาวเหมือนมารดา  และรูปร่างสูงโปร่งเหมือนบิดา

(3)  ตุ้ม  มีรูปร่างหน้าตา  ผิวพรรณเหมือนกับตั้ม  เพราะเป็นฝาแฝดแท้

(4)  มิ้นท์  ชอบทำขนมเค้กในยามว่าง  โดยศึกษาวิธีการจากคู่มือการทำขนมเค้ก

(5)  ชาย  สอบใบขับขี่รถยนต์ไม่ผ่าน  เนื่องจากผลการทดสอบพบว่าตนเองมีตาบอดสี

38.  ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์

(1)  มนุษย์แต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

(2)  มนุษย์ทุกคนมีพัฒนาการเหมือนกัน

(3)  การเข้าใจพัฒนามนุษย์ทำให้เข้าใจตนเอง

(4)  มนุษย์แต่ละคนมีพัฒนาการในอัตราที่ไม่เท่ากัน

(5)  การเข้าใจพัฒนาการมนุษย์ทำให้เข้าใจผู้อื่น

ตอบ (2)  มนุษย์ทุกคนมีพัฒนาการเหมือนกัน                  

39.  ข้อใดเป็นลักษณะเด่นที่ปรากฏให้สังเกตเห็นได้จากภายนอก

(1)  Dominant                             

(2) Recessive                            

(3) Genotype        

(4) Genes                                    

(5) Phenotype

ตอบ (5) Phenotype

40.  ยีนส์ที่อยู่ในร่างกายคนเรามีประมาณกี่ชนิด

 (1)  15,000 ชนิด          

(2) 20,000 ชนิด        

(3) 30,000 ชนิด         

(4) 40,000 ชนิด        

(5) 45,000 ชนิด

ตอบ (4) 40,000 ชนิด       

41.  ข้อใดต่อไปนี้ได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม

(1)  หมวยมีตาชั้นเดียวเหมือนแม่

(2) แนนชอบขัดผิวเป็นประจำจนทำให้ผิวขาวขึ้น

(3)  บอยทำสีผมเป็นสีน้ำตาลทองแดง

(4) แมนแต่งตัวเหมือนหนุ่มเกาหลี

(5)  แจ๊กมีนิสัยเจ้าชู้เหมือนพ่อ

ตอบ (1)  หมวยมีตาชั้นเดียวเหมือนแม่             

42.  ใครเป็นผู้เสนอว่าการที่บุคคลมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันจะส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคล

(1)  Erikson                               

(2)  Freud                              

(3) Sheldon      

(4)  Gesell                                 

(5) Bruner

ตอบ (3) Sheldon      

43.  ข้อใดไม่เป็นผลกระทบจากการที่แม่ติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะตั้งครรภ์

(1)  โครงสร้างหัวใจผิดปกติ

(2) ยีนส์เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

(3)  ระบบการหายใจบกพร่อง

(4) ตาพิการและเป็นต้อ

(5) ศีรษะเล็กและปัญญาอ่อน

ตอบ (2) ยีนส์เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

44.  ขั้นการพัฒนาความคิดความเข้าใจตามแนวคิดของ Piaget ขั้นใดเป็นระยะที่เด็กถือตนเองเป็นศูนย์กลาง

(1)  Sensorimotor  Period

(2)  Preoperation Thought Period

(3)  Intuitive Phase

(4)  Period of Concrete Operation

(5)  Period of Formal Operation

ตอบ (2)  Preoperation Thought Period

45.  จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา  ข้อใดต่อไปนี้เป็นอิทธิพลของพันธุกรรมที่มีผลต่อระดับสติปัญญาใกล้เคียงกันมากที่สุด

(1)  ลูกกับพ่อแม่จริง

(2)  ฝาแฝดคล้ายที่เลี้ยงแยกกัน

(3) ฝาแฝดคล้ายที่เลี้ยงรวมกัน

(4)  ฝาแฝดเหมือนที่เลี้ยงแยกกัน

(5)  ฝาแฝดเหมือนที่เลี้ยงรวมกัน

ตอบ (5)  ฝาแฝดเหมือนที่เลี้ยงรวมกัน

46.  ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1)  การหายใจของมนุษย์                                    (2) การว่ายน้ำของปลา

(3) การร้องไห้ของเด็กแรกเกิด                             (4)  การตบมือของเด็กเมื่อดีใจ

(5)  การชักใยของแมงมุม

ตอบ (4)  การตบมือของเด็กเมื่อดีใจ                    

47.  การโฆษณาสินค้าโดยใช้ดาราที่เป็นซูเปอร์สตาร์ขณะนั้นเป็นผู้แนะนำผลิตภัณฑ์  (Presenter) เพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภค  อาศัยหลักการเรียนรู้ใด

(1)  การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก

(2)  การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

(3)  การเรียนรู้จากความคิดความเข้าใจ           

(4)  การสรุปความเหมือน

(5) การปรับพฤติกรรม

 ตอบ (4)  การสรุปความเหมือน      

48.  ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

(1)  ธรรมชาติของการตอบสนองอินทรีย์ควบคุมไม่ได้

(2)  การเสริมแรงเกิดหลังการตอบสนอง

(3)  การตอบสนองของผู้ร่วมทดลองถูกกระตุ้นให้แสดงออก

(4)  การวางเงื่อนไขที่ได้ผลดีที่สุดคือ  การให้ US หลัง CS ครึ่งวินาที     

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (2)  การเสริมแรงเกิดหลังการตอบสนอง

49.  พนักงานมีพฤติกรรมขยันและเร่งทำผลงานเมื่อใกล้ถึงเดือนที่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นการเสริมแรงแบบใด

(1)  แบบช่วงเวลาที่คงที่

(2) แบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน         

(3) แบบอัตราส่วนคงที่

(4)  แบบอัตราส่วนไม่แน่นอน

(5) การเสริมแรงทางลบ

ตอบ (1)  แบบช่วงเวลาที่คงที่              

50.  สมหญิงเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนทุกครั้ง  เพราะกลัวอุบัติเหตุ พฤติกรรมนี้เกิดจากลักษณะใด

(1)  การลงโทษ

(2) การปรับพฤติกรรม

(3) การให้รางวัล

(4)  การเสริมแรงทางบวก

(5)  การเสริมแรงทางลบ

ตอบ (5)  การเสริมแรงทางลบ

51.  การลองทำแบบทดสอบท้ายบท  ทำให้สมหญิงมีความเข้าใจการเรียนวิชานั้นดีขึ้น  พฤติกรรมนี้เกิดจากส่งเสริมแรงประเภทใด

(1) ส่งเสริมแรงครอบคลุม

(2) ส่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) การป้อนกลับ

(5) การเรียนรู้แฝง

ตอบ (4) การป้อนกลับ 

52.  การลงโทษจะได้ผลขึ้นอยู่กับปัจจัยใด

(1)  สถานที่ที่ถูกลงโทษ

(2)  ความถี่ของการลงโทษ

(3)  ความคงที่ของการลงโทษ

(4)  ความกลัวการลงโทษ                  

(5)  ความไม่พึงพอใจในการถูกลงโทษ

ตอบ (3)  ความคงที่ของการลงโทษ               

53.  การเรียนรู้ประเภทใดที่นำมาในการรักษาอาการทางกายที่เนื่องมาจากอาการทางจิต

(1)  การเรียนรู้ทักษะ                          (2)  การป้อนกลับทางชีวะ             (3) การเรียนรู้แฝง

(4)  การเรียนรู้เพื่อจะเรียน                (5)  การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

ตอบ (2)  การป้อนกลับทางชีวะ 

54.  ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบร่วมกันของการเรียนรู้ที่จะทำให้ได้ผลดีที่สุด

(1)  การเสริมแรงทางบวก เพื่อเพิ่มการตอบสอง          (2) การเสริมแรงทางลบ เพื่อเพิ่มการตอบสนอง

(2) การไม่เสริมแรง  เพื่อระงับการตอบสนอง              (4) การลงโทษ เพื่อการเลิกตอบสนอง

(5)  การให้ความสนใจต่อพฤติกรรมที่เรียกร้อง

ตอบ (5)  การให้ความสนใจต่อพฤติกรรมที่เรียกร้อง

55.   ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสติปัญญา

(1)  พี่น้องฝาแฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกจากกันจะมีสติปัญญาไม่สัมพันธ์กัน

(2)  ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างสติปัญญาของเด็กและพ่อแม่สูงแสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อสติปัญญา

(3)  สิ่งแวดล้อมไม่ดีสามารถหยุดชะงักพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กได้

(4)  การวัดสติปัญญาริเริ่มมีขึ้นโดย  Sir Francis Galton

(5)  สติปัญญาได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ตอบ (1)  พี่น้องฝาแฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกจากกันจะมีสติปัญญาไม่สัมพันธ์กัน

56.  ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของสติปัญญาตามทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัยของเทอร์สโตน

(1)  ความสามารถใช้คำได้คล่องแคล่ว                            (2)  ความสามารถในการจำ

(3)  ความสามารถด้านศิลปะ                                (4) ความสามารถในการใช้ตัวเลข

(5)  ความไวในการรับรู้สิ่งต่างๆ

ตอบ (3)  ความสามารถด้านศิลปะ  

57.  ความจำระบบใดที่สามารถเก็บภาพติดตาและเสียงก้องหูได้

(1)  ความจำจากการรับสัมผัส          (2) ความจำระยะสั้น                           (3) ความจำระยะยาว

(4)  ความจำคู่                                        (5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (1)  ความจำจากการรับสัมผัส         

58.  ความจำระยะสั้นเก็บข้อมูลได้โดยเฉลี่ยกี่หน่วย

 (1)  5 หน่วย               (2) 7 หน่วย                (3) 9 หน่วย                (4) 12 หน่วย                    (5) 15 หน่วย

ตอบ (2) 7 หน่วย               

59.  การจำชื่อเพื่อนเก่าได้เนื่องจากเอารูปมาดู  เป็นการวัดความจำแบบใด

 (1)  การระลึกได้                                           (2) การเรียนซ้ำ                                     (3) การจำได้       

(4) การท่องจำ                                              (5) การบูรณาการใหม่

ตอบ (3) การจำได้       

60.  ข้อใดไม่ใช่หน่วยพื้นฐานของความคิด

(1)  จินตภาพ                                    

(2) มโนทัศน์                                         

(3) ภาษา     

(4) การจำ                              

(5) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ

ตอบ (4) การจำ                             

61.  ขั้นของการคิดสร้างสรรค์ที่ผู้คิดจะหยุดคิดปัญหาในระดับจิตสำนึกคือข้อใด

(1)  ขั้นนำ                                                

(2) ขั้นเตรียม                                        

(3) ขั้นพัก

(4) ขั้นพบ                                                

(5) ขั้นทดสอบ

ตอบ (3) ขั้นพัก           

62.  ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของการลืม

(1)  การไม่ได้ลงรหัส

(2) การเสื่อมคลาย

(3)  การรบกวน

(4) การมีสิ่งชี้แนะ                         

(5) การเก็บกด

ตอบ (4) การมีสิ่งชี้แนะ                      

ข้อ 63. – 65.  ให้จับคู่ข้อความกับตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  การเรียนซ้ำ

(2) การจำได้

(3) การระลึกได้

(4)  การบูรณาการ

(5)  การระลึกและบูรณาการใหม่

63.  การทำข้อสอบแบบเลือกตอบต้องใช้ความจำแบบใด  

ตอบ (2) การจำได้                                        

64.  การทำข้อสอบแบบอัตนัยต้องการวัดความจำแบบใด   

ตอบ (3) การระลึกได้

65.  การวัดความจำที่มีคะแนนสะสม  

ตอบ (1)  การเรียนซ้ำ                                   

66.  ปัจจัยที่มีผลต่อการแก้ปัญหาที่มักผิดพลาดบ่อยๆ   

ตอบ (2) การจำได้                                        

67.  ระบบการจูงใจจะเกิดตามลำดับดังนี้

(1)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  สิ่งเร้า  เป้าหมาย

(2)  สิ่งเร้า  แรงขับ   การตอบสนอง  ความต้องการ  เป้าหมาย

(3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

(4)  แรงขับ  สิ่งเร้า  การตอบสนอง  ความต้องการ  เป้าหมาย

(5)  เป้าหมาย  สิ่งเร้า แรงขับ  ความต้องการ  การตอบสนอง

 ตอบ (3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

68.  ข้อใดเป็นแรงจูงใจภายใน

(1)  ณรงค์ขับแท็กซี่เพื่อเริ่มรายได้ให้กับครอบครัว

(2)  สงกรานต์ทำงานหนักเพื่ออยากได้เงิน                   (3) ประไพตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อความสุขของแม่

(4)  ยศไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย                       (5)  มณีฝึกพิมพ์ดีดเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์

ตอบ (4)  ยศไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย                      

69.  ความต้องการของมนุษย์ต้องการที่จะปกป้องตนเองนั้น  ตรงกับความต้องการข้อใดตามทัศนะของเมอร์เรย์

 (1) Need for Counteraction                      

(2) Need for Exhibition                    

(3) Need for Dominance                                  

(4) Need for Reference                     

(5) Need for Deferdance

ตอบ (5) Need for Deferdance

70.  ข้อใดเป็นการสื่อถึงแรงจูงใจเพื่อการสืบพันธุ์

(1)  การดูหนัง

(2) การพูด

(3) การแสดงออกทางศิลปะ

(4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม

(5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม             

71.  แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์คืออะไร

(1)  แรงจูงใจใฝ่ความสงบ                   

(2) แรงจูงใจทางชีวภาพ 

(3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

(4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

(5) แรงจูงใจเพื่อพิสูจน์ตนเอง

ตอบ (2) แรงจูงใจทางชีวภาพ

72.  ทฤษฎีใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

(1)  ทฤษฎีแรงขับ

(2)  ทฤษฎีสัญชาตญาณ

(3) ทฤษฎีการศึกษา

(4)  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล

(5)  ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

ตอบ (3) ทฤษฎีการศึกษา

73.  การค้นพบตนเองและมีความสุขอย่างแท้จริง” เป็นความต้องการขั้นใดตามแนวคิดของมาสโลว์

 (1)  ขั้นแรก                 (2) ขั้นที่สอง               (3) ขั้นที่สาม              (4) ขั้นที่สี่                  (5) ขั้นสุดท้าย

ตอบ (5) ขั้นสุดท้าย

74.  ถ้ามีการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมแล้ว  แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายของบุคคลนั้นอะไรเกิดขึ้น

 (1)  ความต้องการจะหมดสิ้นไป                (2) ความต้องการจะลดลง                         (3) จบกระบวนการจูงใจ

 (4) จะไม่เกิดพฤติกรรมขึ้นอีก                   (5)  จะมีการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมจนกว่าจะพึงพอใจ

ตอบ (5)  จะมีการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมจนกว่าจะพึงพอใจ

75.  พฤติกรรมที่วัยรุ่นมักแต่งตัวตามแฟชั่นของดาราทีวี  แสดงถึงการจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้แบบใด

 (1)  สัญชาตญาณ         (2) ความสุขส่วนตัว       (3) การเลียนแบบ            (4) แรงขับ             (5) ลงมือกระทำ

ตอบ (3) การเลียนแบบ           

76.  มนุษย์ทุกคนต้อองการหลีกเลี่ยงปมด้อยและความล้มเหลว ซึ่งตรงกับความต้องการด้านใดตามทัศนะของเมอร์เรย์

 (1)  Inferiority                     (2) Invioloacy                           (3) Contrasiness    

(4) Nurturance                      (5) Affiliation

ตอบ (1)  Inferiority                    

77.  ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้อง

(1)  อารมณ์เป็นประสบการณ์ความรู้สึกส่วนบุคคล

(2)  อารมณ์เป็นความรู้สึกที่รุนแรง

(3)  การแสดงออกทางอารมณ์แตกต่างจากการกระทำปกติทั่วๆ ไป

(4)  อารมณ์จะเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

(5)  อารมณ์เป็นพฤติกรรมภายนอกและเกิดจากความคิดเฉพาะอย่าง

ตอบ (5)  อารมณ์เป็นพฤติกรรมภายนอกและเกิดจากความคิดเฉพาะอย่าง

78.  อารมณ์ใดที่ช่วยทำให้บุคคลเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้  และใช้ความพยายามในเชิงสร้างสรรค์

(1)  Joy                               (2)  Interest – excitement

(3) Surpise                          (4)  Contempt-scorn

(5)  Disgust

ตอบ (2)  Interest – excitement                     

79.  ข้อใดไม่ใช่อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของแพงค์เซปป์

(1)  คาดหวัง             (2) เดือดดาล         (3) หวาดกลัว          (4) ละอายใจ            (5) ตื่นตระหนก

ตอบ (4) ละอายใจ            

80.  จาค  แบงค์เซปป์  กล่าวว่าอารมณ์พื้นฐานเกิดขึ้นสัมพันธ์กับตำแหน่งในสมองส่วนใด

 (1)  ซีรีบรัม                                

(2) ซีรีเบลลัม                               

(3) ไฮโปธาลามัส         

(4) ต่อมใต้สมอง                        

(5) ก้านสมอง

ตอบ (3) ไฮโปธาลามัส        

81.  การจำแนกอารมณ์แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

(1)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจ

(2)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความผ่อนคลายและความตึงเครียด

(3)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความสบายใจและความทุกข์ใจ

(4)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความรื่นเริงและความซึมเศร้า

(5)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความเยือกเย็นและความเดือดดาล

ตอบ (1)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจ

82.  ระบบประสาทอัตโนมัติส่วนใดที่เตรียมร่างกายในภาวะฉุกเฉินให้สู้กับหนี

(1) ลิมบิกซีสเต็ม

(2)  ระบบโซมาติก

(3) ไขสันหลัง

(4) ซิมพาเธติก

(5)  พาราซิมพาเธติก

ตอบ (4) ซิมพาเธติก                           

83.  นักจิตวิทยาท่านใดที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์โกรธและอารมณ์กลัวกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและพฤติกรรม

(1)  วิลเลียม  เจมส์

(2) คาร์ล  แลง

(3)  เดวิด  ลีคเคน

(4)  ฟิลลิป  บาร์ด

(5)  อัลเบิร์ต  แอ็กซ์

ตอบ (5)  อัลเบิร์ต  แอ็กซ์

84.  อารมณ์กลัวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระในข้อใด

(1)  การหายใจช้าลง

(2) ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง

(3)  กล้ามเนื้ออ่อนแรง

(4) ก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอรีนาริน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (2) ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง

85.  ทฤษฎีใดอธิบายว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าก่อนการเกิดอารมณ์ 

(1)  แคนนอน – บาร์ด                        

(2)  คาร์รอล – อิชาร์ด                         

(3) แชคเตอร์ – ซิงเกอร์

(4)  เจมส์ – แลง   

(5)  แนวคิดร่วมสมัย

ตอบ (4)  เจมส์ – แลง                              

86.  พลูทชิค กล่าวถึงอารมณ์พื้นฐานใดที่มีหน้าที่ปกป้อง

 (1)  โกรธ                   

(2)  รังเกียจ                        

(3) รื่นเริง                          

(4) เศร้า                     

(5) กลัว

ตอบ (5) กลัว

87.  ข้อใดเป็นเหตุผลของการสร้างแบบทดสอบสติปัญญารายบุคคลขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรก

(1)  เพื่อค้นหาเด็กอัจฉริยะ                (2) เพื่อพัฒนาสติปัญญาของบุคคล

(3)  เพื่อประโยชน์ในการสืบทอดทางพันธุกรรม

(4)  เพื่อศึกษาว่าปัจจัยทางพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อสติปัญญามากกว่ากัน

(5)  เพื่อแยกเด็กที่มีความผิดปกติของสมองออกจากเด็กปกติจะได้จัดโปรแกรมพิเศษให้เด็กกลุ่มนี้

88.  เด็กชายอ๋อมมี I.Q. เท่ากับ 130 นับว่าเขามีระดับสติปัญญาเป็นอย่างไร

 (1)  ปัญญาทึบ                 (2) เกณฑ์ปกติ                  (3) ค่อนข้างฉลาด           (4) ฉลาดมาก         (5) อัจฉริยะ

ตอบ (4) ฉลาดมาก

89.  ตัวประกอบทั่วไปเรียกว่า G-factor ของทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยเน้นความสามารถเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การคำนวณ                                 (2) การใช้เหตุผล               (3) ความสามารถด้านศิลปะ

(4) ความสามารถในการจำ                (5) ความเข้าใจภาษา

ตอบ (2) การใช้เหตุผล               

90.  ความเชื่อถือได้ของแบบทดสอบหมายถึงอะไร

(1) มีแบบแผนในการดำเนินการทดสอบ

(2) ให้ผลเหมือนเดิมไม่มีใครเป็นตรวจให้คะแนน

(3) เป็นแบบทดสอบที่วัดในสิ่งที่ต้องการวัด

(4) มีเกณฑ์ปกติ

(5)  เป็นแบบทดอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน

ตอบ (5)  เป็นแบบทดอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน

91.  แบบทดสอบสติปัญญาของ Wechsler แบ่งออกเป็น 2 หมวดได้แก่อะไร

(1)  ความสามารถเชิงภาษาและความสามารถเชิงคำนวณ

(2)  ความสามารถเชิงภาษาและไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

(3)  ความสามารถเชิงภาษาและแบบประกอบการ

(4)  ความสามารถเชิงเหตุผลและความสามารถเฉพาะด้าน

(5)  ความสามารถทางศิลปะและความสามารถทางวิทยาศาสตร์

ตอบ (3)  ความสามารถเชิงภาษาและแบบประกอบการ

92.  แบบทดสอบชนิดใด  สร้างขึ้นมาเพื่อวัดความสามารถในการใช้เหตุผล

(1)  Progressive Matrices Test

(2) Stanford-Binet Test

(3) WAIS                                            

(4)  WPPSI

(5)  Drawing  Test

ตอบ (1)  Progressive Matrices Test                  

93.  ข้อใดไม่ใช่ข้อพึงระวังในการวัดสติปัญญา

(1)  สภาพแวดล้อมขณะทำการทดสอบต้องปราศจากสิ่งรบกวน

(2)  ผู้ทดสอบต้องมีความชำนาญเกี่ยวกับแบบทดสอบที่ใช้

(3)  ผู้ทดสอบต้องให้ความร่วมมือและมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

(4)  การสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ทดสอบและผู้รับการทดสอบ

(5)  การบันทึกสถานการณ์ขณะทดสอบ

ตอบ (3)  ผู้ทดสอบต้องให้ความร่วมมือและมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

94.  ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ชีวิตล้มเหลวทั้งที่บุคคลนั้นมีสติปัญญาดีตามข้อเสนอของสเตอร์นเบิร์ก

(1)  ผัดวันประกันพรุ่ง                       

(2)  พึ่งพาตนเองสูง                      

(3) ขาดความอุตสาหะ

(3)  เชื่อมั่นตนเองมากเกินไป

(5)  กลัวความผิดพลาดล้มเหลว

ตอบ (2)  พึ่งพาตนเองสูง                     

95.  ข้อใดคือความหมายของบุคลิกภาพ  ตามคำจำกัดความของอัลพาร์ท ?

(1)  บุคลิกภาพเกิดจากความขัดแย้งกันระหว่างอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้

(2)  โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของบุคคลที่ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ในการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม

(3)  โครงสร้างของอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกบุคคล

(4)  การที่เอกัตบุคคลพัฒนาตนไปสู่บุคลิกภาพที่สมบูรณ์

(5)  ลักษณะประจำตัวดั้งเดิมของบุคคล  (Trait)

ตอบ (2)  โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของบุคคลที่ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ในการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม

96.  ผู้ที่มีร่างกายอ้วนกลม (Endomorphy) มีลักษณะใดต่อไปนี้

(1) ขี้อาย                                            

(2)  อารมณ์ดี  สนุกสนาน

(3) รักกิจกรรมกลางแจ้ง

(4) เฉยๆ รักสันโดษ

(5)  สนใจตนอง

ตอบ (2)  อารมณ์ดี  สนุกสนาน  

97.  ในการพัฒนาบุคลิกภาพข้อใดถูกที่สุด

(1)  ไม่ควรพูดแง่ดีกับตนเองบ่อยๆ  เพราะจะไม่สามารถพัฒนาตนได้

(2)  ควรสำรวจตนเอง  และเชื่อตนเองอย่างฟังผู้อื่น

(3)  เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นเสมอ เพื่อให้เห็นจุดบกพร่อง

(4)  หมั่นสำรวจปมด้อยตนเองบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพดีขึ้น

(5)  วิเคราะห์อิทธิพลจากทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของตน

ตอบ (5)  วิเคราะห์อิทธิพลจากทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของตน

98.  บุคลิกภาพที่จู้จี้  เจ้าระเบียบ  รักษาความสะอาด  เกิดจากพัฒนาการขั้นใด ตามความเชื่อของฟรอยด์

 (1) ขั้นปาก              (2) ขั้นทวารหนัก         (3) ขั้นอวัยวะเพศ       (4) ขั้นแอบแฝง         (5) ขั้นเพศสัมพันธ์

ตอบ (2) ขั้นทวารหนัก        

99.  แบบทดสอบบุคลิกภาพข้อใด  เรียกว่าการฉายภาพจิต

(1) T.M.T.                             (2)  16  PF                     (3) Rorschach

(4) MMPI                               (5)  M.T.I.

ตอบ (3) Rorschach    

100.  การลงโทษ หรือการให้รางวัล  คือหนึ่งในวิธีการพัฒนาบุคลิกภาพตามแนวคิดของนักทฤษฎีกลุ่มใด

(1)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มของฟรอยด์                           

(3) กลุ่มนักมนุษยนิยม

(3)  กลุ่มปรัชญาและศาสนา

(4)  กลุ่มจิตนิยม

ตอบ (1)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม  

101. ระบบจิตสรีระ เช่น อารมณ์  (Temperament)  หมายถึงข้อใดต่อไปนี้

(1)  คือสิ่งที่เด็กเรียนรู้มากหลังจากเกิด

(2) คือสิ่งที่เรียนรู้ต่อมาในตอนเป็นวัยรุ่น

(3)  คือสิ่งที่เรียนรู้ในวัยผู้ใหญ่

(4)  ระบบของจิตใจที่พื้นฐานมาจากร่างกาย

(5)  เด็กที่ไม่เหมือนพี่น้อง  (ทำตัวเองให้มีเอกลักษณ์)

ตอบ (4)  ระบบของจิตใจที่พื้นฐานมาจากร่างกาย

ข้อ 102. – 104.  จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

 (1) จุง               (2) ดอลลาร์ด-มิลเลอร์             (3) สกินเนอร์              (4) อัลพอร์ท               (5) ฟรอยด์

102.  ใครที่กล่าวมาบุคลิกภาพของบุคคลแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ เก็บตัว และแสดงออก

ตอบ (1) จุง       

103.  ใครที่กล่าวว่าบุคลิกภาพของบุคคลเกิดจากการเรียนรู้  

ตอบ (2) ดอลลาร์ด-มิลเลอร์             

104.  ใครที่กล่าวว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพเกิดจากเด็กได้รับความสุขจากอวัยวะร่างกายส่วนต่างๆ หรือที่ เรียกว่า  Erogenous  Zone

ตอบ (5) ฟรอยด์

105.  ข้อใดคือตัวอย่างของกลไกป้องกันทางจิต  แบกการถอยหลังเข้าคลอง

(1)  โกรธเจ้านาย  แต่มาด่าและทุบตีภรรยาของตน

(2)  แสวงหาเพื่อนใหม่อยู่เสมอ  เนื่องจากไม่มีความจริงใจให้คนอื่น

(3)  เมื่อนาย ก. ทะเลาะกับภรรยาและครอบครัวก็ขนของกลับไปอยู่กับแม่

(4)  มักจะกล่าวว่า ไม่จริง  เป็นไปไม่ได้  สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวฉัน  มันเป็นแค่ความฝัน

(5)  มักหาจุดเด่นอื่นมาลบล้างปมด้อยของตน

ตอบ (3)  เมื่อนาย ก. ทะเลาะกับภรรยาและครอบครัวก็ขนของกลับไปอยู่กับแม่

106.  Burn-Out  จะเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นในระยะใด  เมื่อร่างกายเกิดความเครียด

(1) ปฏิกิริยาตื่นตระหนก                   (2)  ระยะเหนื่อยล้า                    (3) สร้างระบบต้านทานภัย

(4) ระยะชะงักงัน                               (5)  ช่วงแรกที่ร่างกายประสบภัยพิบัติ

ตอบ (2)  ระยะเหนื่อยล้า                   

107.  เซลเย ได้ค้นพบว่าเมื่อบุคคลเกิดความเครียด  ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อความเครียดเป็นเช่นใด

(1)  สร้างระบบต้านทานภัย – ระยะเหนื่อยล้า – ปฏิกิริยาตื่นตระหนก

(2)  ระยะเหนื่อยล้า – ปฏิกิริยาตื่นตระหนก  –  สร้างระบบต้านทานภัย

(3)  สร้างระบบต้านทานภัย – ปฏิกิริยาตื่นตระหนก –  ระยะเหนื่อยล้า

(4)  ปฏิกิริยาตื่นตระหนก – สร้างระบบต้านทานภัย – ระยะเหนื่อยล้า

(5)  ปฏิกิริยาตื่นตระหนก – ระยะเหนื่อยล้า – สร้างระบบต้านทานภัย

108.  หนีเสือปะจระเข้ตรงกับข้อใด

(1)  Approach – Approach Conflict

(2) Avoidance – Avoidance Conflict

(3)  Approach – Avoidance Conflict

(4) Non Approach – Avoidance Conflict

(5)  Non Avoidance – Avoidance Conflict

ตอบ (2) Avoidance – Avoidance Conflict

109.  ความก้าวร้าวของมนุษย์เกิดจากสิ่งใด

 (1)  ความไม่ชอบ           (2) ถูกลบหลู่            (3) ความคับข้องใจ        (4) ถูกเอาเปรียบ        (5) เอาตัวรอด

ตอบ (3) ความคับข้องใจ       

110. หน้าตาไม่ดี  แต่เรียนเก่ง  คือกลไกป้องกันทางจิตแบบใด

(1)  Compensation

(2) Displacement

(3) Repression

(4) Projection

(5) Denial

ตอบ (1)  Compensation               

111.  ข้อใดต่อไปนี้คือบุคลิกภาพแบบ  “B”

(1)  รีบร้อนอยู่เสมอ

(2) ชอบการแข่งขัน

(3) นอนน้อย

(4)  ทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป

(5)  ทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

 ตอบ (4)  ทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป       

ข้อ 112. – 114.  จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) เข้าข้างตัวเอง                                 (2) หาสิ่งทดแทน                                (3) ไม่รับรู้ความจริง

(4) โทษผู้อื่น                                        (5) เก็บกด

112.  การลืมเรื่องราวที่เลวร้ายในอดีต  

ตอบ (5) เก็บกด

113.  ใครๆ  ก็แซงคิวกันทั้งนั้นหลาย  หากมีโอกาส   

ตอบ (1) เข้าข้างตัวเอง                                

114.  โกรธเพื่อน  แต่มาแสดงความก้าวร้าวกับน้อง     

 ตอบ (2) หาสิ่งทดแทน                               

115.  ข้อใดหมายถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้อื่นที่ครอบคลุมทุกสถานการณ์

(1)  เจตคติ                                             (2) อคติ                                                 (3) อิทธิพลทางสังคม

(4)  กระบวนการช่วยเหลือ                   (5)  อำนาจทางสังคม

ตอบ (3) อิทธิพลทางสังคม

116.  บริบททางสังคม  หมายถึงอะไร

(1)  แบบแผนของพฤติกรรมที่ถูกคาดหวังไว้                (2)  กลุ่มทุกกลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิก

(3)  ตำแหน่งทุกตำแหน่งของบุคคล                               (4)  อาณาเขตที่มองไม่เห็น

(5)  วัฒนธรรมที่หล่อหลอมบุคคล

ตอบ (2)  กลุ่มทุกกลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิก

117.  การนับถือผู้มีอำนาจตามอย่างบุคคลหรือกลุ่มสืบต่อกันมาเป็นอำนาจทางสังคมชนิดใด

(1)  อำนาจในการให้รางวัล              (2) อำนาจในการบังคับ                     (3) อำนาจตามกฎหมาย

(4)  อำนาจในการอ้างอิง              (5) อำนาจตามความเชี่ยวชาญ

ตอบ (4)  อำนาจในการอ้างอิง              

118.  ข้อใดมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 อย่าง  คือ ความเชื่อ  อารมณ์  การกระทำ

(1)  เจคติ                                  (2) อคติ                                               (3)  อิทธิพลทางสังคม

(4)  อำนาจทางสังคม                          (5) กระบวนการช่วยเหลือ

ตอบ (1)  เจคติ                                 

119.  ใครเป็นผู้ที่กล่าวว่าก่อนที่บุคคลจะลงมือให้ความช่วยเหลือนั้นต้องผ่านกระบวนการ 4 ขั้นตอน

(1)  ลาตาเน่และดาร์เลย์                (2) คอนราด  ลอเรนซ์                        (3)  มิลเลอร์และบูเกลสกี้

(4)  อรอนสันและลินเดอร์                (5)  ฮอลล์

ตอบ (1)  ลาตาเน่และดาร์เลย์                

120.  การจัดที่นั่งประชุมแผนงานสำหรับหน่วยงานเล็กๆ ในระยะประมาณ 4 – 12 ฟุต  ตรงกับระยะห่างระหว่างบุคคลข้อใด

(1)  ระยะสนิทสนม

(2)  ระยะส่วนตัว

(3) ระยะสังคม

(4)  ระยะสาธารณะ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (3) ระยะสังคม

MKT2101 หลักการตลาด ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MKT 2101 หลักการตลาด

คำสั่ง   ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ปัจจุบันมีแนวโน้มการเปิดศูนย์การค้าที่เรียกว่า Community Mall มากขึ้น ซึ่งลักษณะของร้านค้าดังกล่าวจะประกอบด้วย ร้านอาหาร ร้านสรรพาหาร ธนาคาร เป็นต้น ศูนย์การค้า Community Mall จัดอยู่ในตลาดประเภทใด       

(1)       ตลาดผู้บริโภค            

(2)        ตลาดสินค้าอุตสาหกรรม-

(3)       ตลาดผู้ขายตอ            

(4)        ตลาดรัฐบาล   

(5)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 155 – 156, (คำบรรยาย) ศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) จัดอยู่ในตลาดผู้ขายต่อ ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ร้านค้าปลีกแบบเปิดขนาดใหญ่ใกล้แหล่งชุมชน ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ ความสะดวกแก่ผู้บริโภคในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคหรือสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้จะมีร้านค้าปลีกต่าง ๆ อยู่ภายในศูนย์การค้า เช่น ร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านสรรพาหาร ธนาคาร เป็นต้น ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ประมาณ 3 – 5 ไร่ และสามารถรองรับผู้บริโภคได้ ประมาณ 2,500 – 40,000 คนต่อวัน

2.         ในกระบวนการตัดสินใจซื้อ ข้อใดถือเป็นข้อพิจารณาที่ควรเกิดขึ้นเป็นลำดับแรก

(1)       การรับรู้ปัญหา 

(2)       การค้นหาผู้ขาย           

(3)       การทบทวนแนวทางปฏิบัติการ

(4)       การอธิบายความต้องการ        

(5)       การเลือกผู้ขาย

ตอบ 1 หน้า 155 กระบวนการซื้อในตลาดผู้ผลิต มี 8 ขั้นตอน ดังนี้     1. การรับรู้ปัญหา  2. การอธิบายลักษณะความต้องการ  3. การกำหนดลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์  4. การค้นหาผู้ขาย 5. การพัฒนาข้อเสนอของผู้ขาย 6. การเลือกผู้ขาย 7. การเลือกลักษณะเฉพาะของคำสั่งซื้อประจำ            8. การทบทวนแนวทางปฏิบัติการ

3.         หากโรงงานอุตสาหกรรมมีความต้องการซื้อเครื่องจักร ซึ่งจะมีบุคคลหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการซื้อ บุคคลที่ควรเข้ามาร่วมพิจารณาคือใคร          

(1) ผู้จัดการฝ่ายการเงิน

(2) ผู้จัดการฝ่ายบัญชี

(3) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

(4) ผู้จัดการฝ่ายผลิต

(5) ผู้จัดการฝ่ายบุคคล

 ตอบ 4 หน้า 153, 602 การซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจะใช้เหตุผลในการซื้อมากกว่าใช้อารมณ์ และ จะมีผู้บริหารจากหลาย ๆ ฝ่าย เช่น ประธาน ผู้จัดการฝ่ายผลิต วิศวกร ผู้ใช้ ฯลฯ เข้ามาช่วย ในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องจักรหลักที่มีราคาสูง เพราะจะมีผลต่อกำไร จากการดำเนินงานของธุรกิจ

 4.         ข้อใดผิด  

(1)       ผู้ขายต่อพิจารณาราคาและส่วนลดเป็นสำคัญ

(2)       ผู้ขายต่อพิจารณาคุณภาพและนโยบายผลิตภัณฑ์ตรายี่ห้อมากกว่าจำนวนสินค้าที่คาดว่าจะขายได้

(3)       ตลาดผู้ผลิตมีความต้องการต่อเนื่อง (Derived Demand)

(4)       ตลาดผู้ผลิตมีอุปสงค์ที่ยืดหยุ่น (Elastic Demand)

 (5)       กระบวนการจัดซื้อของตลาดรัฐบาลคือ การประกวดราคาและการทำสัญญาต่อรอง

ตอบ 4 หน้า 152. 157, 160 ตลาดผู้ผลิตมีลักษณะสำคัญ เช่น เป็นความต้องการต่อเนื่อง (Derived Demand) เป็นอุปสงค์ที่ไม่ยืดหยุ่น (Inelastic Demand) ฯลฯ ส่วนผู้ขายต่อจะพิจารณาราคา และส่วนลดเป็นสำคัญ พิจารณาคุณภาพและนโยบายผลิตภัณฑ์/ตรายี่ห้อมากกว่าจำนวนสินค้า ที่คาดว่าจะขายได้ ในขณะที่กระบวนการจัดซื้อของตลาดรัฐบาลมี2วิธีคือการประกวดราคา และการทำสัญญาต่อรอง

5.         คุณสมบัติเด่นส่วนบุคคลที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในการตัดสินใจซื้อคือข้อใด

(1) ความขยัน (2) ความกล้าเลี่ยง (3) ความขี้เกียจ (4) ความต้องการฉวยโอกาส (5) ความกล้าต่อสู้กับศัตรู

ตอบ 2 หน้า 153 – 154 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ผลิต มี 4 ประการ คือ

 1.         ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อม เช่น ระดับความต้องการเบื้องต้น สภาวะทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเมืองและกฎหมาย คู่แข่งขัน ฯลฯ

2.         ปัจจัยทางด้านองค์กร เช่น จุดประสงค์ นโยบาย โครงสร้างการจัดองค์การ ฯลฯ

3.         ปัจจัยของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น อำนาจหน้าที่ สถานภาพ ความเห็นใจ ฯลฯ

4.         ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น รายได้ อายุ การศึกษา ตำแหน่งงาน ความกล้าเสี่ยง ฯลฯ โดยความ กล้าเสี่ยงถือเป็นคุณสมบัติเด่นส่วนบุคคลที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในการตัดสินใจซื้อ

ข้อ 6. – 10. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ผู้ผลิต –ผู้บริโภค

(2) Selective Distribution

(3) Intensive Distribution

(4) Physical Distribution

(5) Exclusive Distribution

6.         สินค้าประเภทสมัยนิยม ควรเลือกใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบใด

ตอบ 3 หน้า 214, 307, 312, 316 การจัดจำหน่ายผ่านคนกลางจำนวนมากราย (Intensive Distribution) หมายถึง ผู้ผลิตจะใช้คนกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ค้าปลีกจำนวนมากรายเพื่อจัดจำหน่ายสินค้า ของกิจการให้ทั่วถึง ทั้งนี้เพราะสินค้านั้นมีการเลือกหาซื้อบ่อย หากผู้บริโภคมีความต้องการ ก็อาจจะหาซื้อได้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือสินค้าสะดวกซื้อ (Convenience Goods) เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพูสระผม ยาสีฟัน ฯลฯ รวมทั้งสินค้า ประเภทสมัยนิยมซึ่งล้าสมัยเร็วทำให้จำเป็นต้องขายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคโดยรีบด่วน

7.         ผู้ผลิตยาคูลท์เลือกช่องทางการจัดจำหน่ายลักษณะใด

ตอบ 1 หน้า 307 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง (Direct Distribution หรือ Door to Door Selling) ซึ่งไม่มีคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นช่องทางที่ใช้ จัดจำหน่ายสินค้าไม่มากชนิดนัก เพราะเป็นการยากที่จะจำหน่ายให้ถึงผู้บริโภคที่กระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการจัดจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคจำนวนมาก เช่น การขายเครื่องสำอาง AVON การขายยาคูลท์ เป็นต้น

8.         ยาสีฟันซอลท์ ควรเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายแบบใด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ  

9.         ข้อใดมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการแจกจ่ายตัวสินค้า

ตอบ 4 หน้า 318 – 319 การแจกจ่ายตัวสินค้า (Physical Distribution) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ ใบกระบวนการเสริมสร้างความต้องการของธุรกิจตาง ๆ โดยกิจการจะพยายามจัดการตัวสินค้า เพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคตามสถานที่ซึ่งมีความต้องการ และใช้วิธีการแจกจ่าย ตัวสินค้าเพื่อเข้ามาช่วยให้การจัดจำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภคมีประสิทธิภาพ โดยเสียคาใช้จ่าย น้อยที่สุด

10.       สินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูง เช่น เครื่องจักร ผู้ผลิตควรเลือกใช้ช่องทางจำหน่ายแบบใด

 ตอบ 1 หน้า 310 – 312 สินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูง เช่น เครื่องจักรขนาดใหญ่ ผู้ผลิตมักเลือกใช้ ช่องทางการจัดจำหน่ายทีสั้น นั่นคือ จากผู้ผลิตถึงผู้ใช้สินค้าโดยตรง (Direct Distribution) แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการตลาดสูงก็ตาม ทั้งนี้เพราะสินค้าดังกล่าวจะมีผู้ผลิตน้อยราย และผู้ซื้อต้องการรับบริการพิเศษจากผู้ผลิต เช่น การติดตั้ง การแนะนำการใช้ การบำรุงรักษา เป็นต้น

11.       ข้อใดคือขั้นตอนแรกในการเข้าตลาดต่างประเทศ    

(1) การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศหรือไม่

(2) การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดแห่งใด          

(3) การตัดสินใจในการวางแผนการทางการตลาด

(4) การประเมินสภาวะแวดล้อมของตลาดระหว่างประเทศ

(5) การตัดสินใจการจัดองค์การทางการตลาด

ตอบ 4 หน้า 553 – 554 ขั้นตอนในการพิจารณาตัดสินใจเข้าตลาดต่างประเทศ มี 6 ประการ ดังนี้

1.         การประเมินสภาวะแวดล้อมของตลาดระหว่างประเทศ

2.         การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศหรือไม่

3.         การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศแห่งใด

4.         การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศอย่างไร

5.         การตัดสินใจในการวางแผนการทางการตลาด

6.         การตัดสินใจการจัดองค์การทางการตลาด

12.       การร่วมลงทุนกับกิจการในตลาดต่างประเทศ (Joint Venture) เป็นการเข้าตลาดต่างประเทศ ยกเว้นข้อใด

(1) Licensing      

(2) Export         

(3)Contract Manufacturing

(4) Management Contracting 

(5) Joint-Ownership Venture

ตอบ 2 หน้า 562 – 563 การร่วมลงทุนกับกิจการในต่างประเทศ (Joint Venture) มี 4 วิธี ได้แก่

1.         การให้สิทธิการผลิตและจัดจำหน่ายแก่ผู้ผลิตในตลาดต่างประเทศ (Licensing)

2.         การจ้างโรงงานผลิตสินค้าให้ในตลาดต่างประเทศ (Contract Manufacturing)

3. การทำสัญญาร่วมลงทุนทางด้านการบริหาร (Management Contracting) เพื่อให้ส่งพนักงานระดับบริหารเข้ามาร่วมบริหารงานของกิจการ

4.         การเป็นเจ้าของร่วมลงทุนกับกิจการในตลาดต่างประเทศ (Joint-Ownership Venture)

13.       สินค้าที่จะส่งไปขายในตลาดต่างประเทศ อาจได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมของตลาดต่างประเทศข้อพิจารณาทางวัฒนธรรมคือข้อใด   

(1) อำนาจซื้อส่วนบุคคล  

(2) อัตราการว่างงาน     

(3) ลักษณะอาหารที่บริโภค

(4)ความมั่นคงของรัฐบาล       

(5) นโยบายการส่งออกของประเทศ

ตอบ 3 หน้า 558 – 559 ข้อพิจารณาทางด้านวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ คือ มีผลต่อความพอใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า และมีผลต่อการเสนอขายสินค้าของ นักการตลาดระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม เช่น ลักษณะอาหารที่บริโภค สภาพความเป็นอยู่ รสนิยมการแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น

14.       ข้อใดกล่าวถึงการตลาดระหว่างประเทศไม่ถูกต้อง

(1)       ทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากภาษีส่งออกและนำเข้า

(2)       ทำให้การผลิตขยายตัว

(3)       ทำให้สามารถเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตไม่ได้ในประเทศ

(4)       ทำให้ประเทศคู่ค้ามีความสัมพันธ์กันซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการเมือง

(5)       ทำให้คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น

ตอบ 1 หน้า 552 – 553 การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อประเทศ ดังนี้

1.         ทำให้การผลิตขยายตัว คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการอยู่ดีกินดี

2.         สามารถเลือกซื้อสินค้าต่างประเทศที่ผลิตไม่ได้ในประเทศ

3.         ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีการส่งออกและนำเข้ามากขึ้น

4.         ถ้าส่งสินค้าออกมากจะทำให้ได้เปรียบดุลการค้า

5.         ทำให้ประเทศคู่ค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

15.       ข้อใดมีใช่เหตุผลที่กิจการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

(1)       เพื่อปรับขนาดตลาดให้แคบลง           (2) เพื่อหวังผลกำไร

(3)       เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง

(4)       เพื่อสนองนโยบายของประเทศพัฒนาที่ลดอัตราภาษี

(5)       เพื่อต้องการลดต้นทุนการผลิต ทำให้ต่อสู้การแข่งขัน

ตอบ 1 หน้า 553 เหตุผลที่กิจการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ ได้แก่         1. ต้องการแสวงหาผลกำไร  2. เพิ่มกำลังการผลิตให้เต็มที่           3. ช่วยขยายตลาดให้มีมากแห่งยิ่งขึ้น

4.         สนองนโยบายของประเทศที่ต้องการลดอัตราภาษี

5.         ต้องการลดต้นทุบการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

16.       หน้าที่สำคัญของการตลาดสินค้าเกษตรกรรม คือ

(1) การซื้อ    (2)           การเก็บรักษาสินค้า     (3) การกำหนดมาตรฐานสินค้า

(4) การขาย     (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 593 – 596 หน้าที่สำคัญของการตลาดสินค้าเกษตรกรรม มีดังนี้ 1. การซื้อและการขาย โดยพิจารณาจากการหาความต้องการของการซื้อ แหล่งที่มาของสินค้าเกษตร เพราะแหล่งผลิต ที่ต่างกันคุณภาพสินค้าอาจไม่เหมือนกัน ความเหมาะสมของสินค้าเกษตร และเงื่อนไขในการซื้อ 2. การขนส่ง 3. การเก็บรักษาสินค้า 4. การเสี่ยงภัย            5. การกำหนดมาตรฐานสินค้าและการจัดขนาดของสินค้า 6. การเงิน 7. ข่าวสารทางการตลาด

17.       ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของสินค้าเกษตร

(1) ปริมาณและคุณภาพต่างกันตามฤดูกาล

(2) ความต้องการสูญเสียได้ง่าย         (3) เน่าเปื่อยเสียหายง่าย

(4) มีน้ำหนัก กินเนื้อที่ (5) ต้องอาศัยสถานที่เก็บสินค้า

ตอบ 2 หน้า 589 ลักษณะสำคัญของสินค้าเกษตร มีดังนี้

1. เป็นการผลิตขนาดย่อม       2. แหล่งผลิตกระจายกันอยู่ทั่วไป

3.  ผลิตได้ตามฤดูกาล แต่การบริโภคมีต่อเนื่องตลอดปี ทำให้ต้องมีการจัดเก็บผลผลิตไว้ เพื่อบริโภคในอนาคต ส่งผลให้เกิดกิจกรรมการเก็บรักษาและการคลังสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง

4.ปริมาณและคุณภาพแตกต่างกันตามฤดูกาลและสภาพของดินฟ้าอากาศ

5.เน่าเปื่อยเสียหายได้ง่าย เกษตรกรจึงไม่สามารถเก็บสินค้าเกษตรเอาไว้ได้นาน ทำให้ต้อง อาศัยสถานที่เก็บสินค้าที่เหมาะสม

6.มีน้ำหนัก กินเนื้อที่ ทำให้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง การเคลื่อนย้าย การรวบรวม และการเก็บรักษาต้องเสียค่าใช้จ่ายสู

18.       สินค้าเกษตรชนิดใดของไทยที่ส่งออกขายยังตลาดต่างประเทศมากที่สุด

(1)       ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์      (2) ข้าว            (3) ชิ้นส่วนรถยนต์

(4) ยางพารา   (5) กุ้งแช่แข็ง

ตอบ 4 (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) มูลค่าสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน (พ.ศ. 2556 – 2557) 5 อันดับแรก ได้แก่ ยางพารา ข้าวและผลิตภัณฑ์ ปลาและ ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากมันสำปะหลัง ผลไม้และผลิตภัณฑ์

19.       หากจะทำการส่งเสริมทางการตลาดกับสินค้าเกษตร ควรทำในช่วงใด        

(1) ผู้ผลิต        (2) ผู้บริโภคคนสุดท้าย            (3) ร้านขายปลีก (4) การขนส่ง           (5) เกษตรกร

ตอบ 3 หน้า 592 ปกติการส่งเสริมทางการตลาดจะไม่สามารถนำมาใช้กับตลาดสินค้าเกษตรได้โดยเฉพาะในระดับผู้ผลิตหรือระดับเกษตรกรแทบจะไม่มีเลย เพราะสินค้าของเกษตรกรทุกราย มีลักษณะเหมือนกัน แต่จะพบการส่งเสริมการตลาดบ้างในระดับของอุตสาหกรรมการเกษตร หรือคนกลางที่เป็นร้านค้าปลีกบางราย

20.       จากข้อความ สินค้าเกษตรต้องพิจารณาที่มาของสินค้า” มีความหมายตรงกับข้อใดมากที่สุด

(1)       แหล่งผลิตที่ต่างกันคุณภาพสินค้าอาจไม่เหมือนกัน

(2)       แหล่งผลิตที่ต่างกัน ราคาสินค้าอาจไม่เหมือนกัน

(3)       สภาพภูมิอากาศที่ต่างกัน ราคาสินค้าอาจไม่เหมือนกัน

(4)       สภาพภูมิอากาศที่ต่างกัน ค่าขนส่งอาจไม่เหมือนกัน

(5)       สภาพภูมิอากาศที่ต่างกัน ต้องเผชิญกับการเสี่ยงภัยด้านการขนส่งที่ไม่เหมือนกัน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

21.       การวางแผนผลิตภัณฑ์หมายถึงอะไร

(1) การกำหนดราคา           

(2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

(3) การโฆษณาผลิตภัณฑ์

(4) การส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์      

(5) การประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์

ตอบ 2 หน้า 213 การวางแผนผลิตภัณฑ์ หมายถึง การตัดสินใจอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมทั้งหมดในการพัฒนาและการบริหารผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ ซึ่งการที่ธุรกิจมีกระบวนการวางแผน ผลิตภัณฑ์ที่ดี ย่อมทำให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มาก กล่าวคือ ทำให้มีการพัฒนา แผนงานทางการตลาดได้อย่างเหมาะสม มีการประสาบงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สามารถ ประเมินตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ และทำให้มีการลดผลิตภัณฑ์ที่ไม่พึงปรารถนาได้ดีขึ้น

22.       สินค้าประเภทใดต่อไปนี้ที่ผู้บริโภคไม่ต้องมีการวางแผนซื้อ

(1)       ข้าวสาร           

(2) ยารักษาโรค           

(3) สินค้าทีซื้อเมื่อพบเห็น

(4) สินค้าทีซื้อเมื่อจำเป็น         

(5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 214 – 215 สินค้าซื้อฉับพลัน เป็นการซื้อที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า แต่เป็นสินค้าที่ ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อเมื่อได้มองเห็นสินค้าและเกิดความต้องการ เช่น ขณะที่เดินไปตามท้องถนน และได้เห็นไอศกรีมแท่งก็ซื้อทันที เป็นต้น

23.       ลักษณะสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรมได้แก่อะไร    

(1) ตลาดจะมีผู้ซื้อเป็นจำนวนมาก  (2) ความต้องการจะผันแปรตามราคา     (3) จะซื้อด้วยความมีเหตุผลเป็นหลัก

(4) จะตัดสินใจซื้อโดยคน ๆ เดียว       (5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 152, 220 – 221, 602 – 605 ลักษณะสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรม มีดังนี้

1.         มีผู้ซื้อจำนวนน้อยราย แต่ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก

2.         มีความต้องการสินค้าหรืออุปสงค์ที่ไม่ยืดหยุ่น

3.         ความต้องการมีลักษณะผกผัน และเป็นความต้องการที่ต่อเนืองมาจากความต้องการ ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค

4.         เป็นสินค้าทีใช้เหตุผลในการซื้อมากกว่าใช้อารมณ์ ซึ่งจะมีผู้บริหารจากหลาย ๆ ฝ่าย เข้ามาช่วยพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ

5.         คุณสมบัติอื่น ๆ ได้แก่ ซื้อโดยตรงจกผู้ผลิต ซื้อแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และขอเช่าแทนการซื้อ

24.       สินค้าในข้อใดที่จัดว่าเป็นกลุ่มสายผลิตภัณฑ์         

(1) ดินสอ เสื้อผ้า แชมพู        (2) โทรทัศน์ กระดาษ เสื้อผ้า     (3) แชมพู สบู่ กรรไกร

(4) เสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้า       (5) ขนมหวาน กระดาษ ปากกา

ตอบ 4 หน้า 228 ส่วนประสมผลิตภัณฑ์ (Product Mix) มีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ

1.         สายผลิตภัณฑ์ (Product Line) คือ กลุ่มของรายการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับ เช่น สายผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย ประกอบด้วยเสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้า กระเป๋า เป็นต้น

2.         รายการผลิตภัณฑ์ (Product Item) คือ ตัวแบบ ตราสินค้า หรือขนาดของผลิตภัณฑ์ ที่ธุรกิจขายอยู่

25.       สินค้าประเภทใดต่อไปนี้ที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต     

(1) กล้องถ่ายรูปดิจิตอล          (2) สบู่ (3) ปากกา       (4) เสื้อผ้า        (5) โทรทัศน์

ตอบ 1 หน้า 236 – 237 ขั้นตอนในช่วงชีวิตผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 4 ช่วงดังนี้

1.         ขั้นแนะนำผลิตภัณฑ์ (Introduction) เป็นขั้นที่นักการตลาดต้องการเข้าหาผู้บริโภค ที่ยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ในขั้นนี้ยอดขายจะเพิ่มขึ้นและยังไม่มีคู่แข่งขัน

2.         ขั้นเจริญเติบโต (Growth) เป็นขั้นที่ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดเริ่มมีลักษณะเป็น มวลชน และเริ่มมีคู่แข่งขันเข้ามาในตลาดบ้างแล้ว เช่น สินค้าประเภทกล้องถ่ายรูปดิจิตอล โทรศัพท์ประเภท Smart Phone เป็นต้น

3.         ขั้นตลาดอิ่มตัว (Maturity) เป็นขั้นที่ยอดขายคงที่หรือเพิ่มขึ้นใบอัตราที่ลดลง คู่แข่งขัน มีจำนวนมาก และกำไรเริ่มลดลง

4.         ขั้นยอดขายลดลง (Decline) เป็นขั้นที่ยอดขายลดลง คู่แข่งขันลดลง และกำไรลดลงอย่างมาก

26.       เหตุใดนักการตลาดจึงต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่

(1)       เพื่อเพิ่มยอดขาย         (2) เพื่อลดความเสียง  (3) เพื่อสร้างจินตภาพ

(4) เพื่อเป็นการใช้วัสดุให้คุ้มค่า           (5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 245 – 246 ความสำคัญของผลิตภัณฑ์ใหม่ มีดังนี้          1. ช่วยเพิ่มยอดขาย

2. ช่วยเพิ่มกำไร 3. ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจ          4. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้

กับช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม 5. ช่วยให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพ โดยการ นำวัสดุที่เหลือใช้จากการผลิตมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ 6. ช่วยสร้างจินตภาพให้กับธุรกิจ

27.       เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ประสบความสำเร็จได้แก่ข้อใด

(1)       ขนาดค่อนข้างใหญ่    (2) อายุการใช้งานนานเกินไป

(3)       มีข้อบกพร่องในตัวผลิตภัณฑ์            (4) กำหนดราคาหลายระดับ   (5) ต้นทุนในการผลิตต่ำเกินไป

ตอบ 3 หน้า 247 สาเหตุที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ล้มเหลว มีดังนี้ 1. การวิเคราะห์ตลาดไม่เพียงพอ  2. ผลิตภัณฑ์มีข้อบกพร่อง 3. มุ่งเน้นทางการผลิตมากเกินไป            4. ไม่มีการพัฒนา

ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีพอ  5. ต้นทุนในการพัฒนา การผลิต และการตลาดสูงเกินไป

6.         ขาดการติดต่อสื่อสารภายในและภายนอกกิจการ      7. ผลิตภัณฑ์มีช่วงชีวิตค่อนข้างสั้น      8. คู่แข่งขัน     9. ขาดความร่วมมือในช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นต้น

28.       ทำไมนักการตลาดจึงต้องใช้การทดสอบตลาด         

(1) เพื่อความสมบูรณ์ของขั้นตอน

(2)       เพื่อศึกษาความเป็นไปในตลาด          (3) เพื่อเอาใจลูกค้า

(4)       เพื่อให้พนักงานขายปรับตัว    (5) เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ตอบ 2 หน้า 252 – 253 เมื่อผลิตภัณฑ์ได้พัฒนาและผ่านการทดสอบจากผู้บริโภคแล้ว ก็มาถึง

ขั้นตอนของการทดสอบตลาด ซึ่งเป็นเรื่องของการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดที่คัดเลือกไว้ เพื่อต้องการทราบความเป็นไปของยอดขายและกิจกรรมทางการตลาด โดยเฉพาะทางด้าน กลยุทธ์ทางการตลาดก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดรวมทั้งหมด

29.       กรณีใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่อิ่มตัว     

(1) มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไปได้

(2) ขนาดของตลาดค่อนข้างเล็ก         (3) คู่แข่งขันมีความเข้มแข็ง

(4) ผลิตภัณฑ์ไม่มีความจำเป็น           (5) กำไรค่อนข้างน้อย

ตอบ 1 หน้า 258 – 259 ปัจจัยที่ทำให้นักการตลาดตัดสินใจว่าควรมีการขยายช่วงชีวิตผลิตภัณฑ์ ในขั้นอิ่มตัว มีดังนี้ 1. ตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอ 2. ผลิตภัณฑ์มีความจำเป็นต่อผู้บริโภค 3. มีส่วนแบ่งตลาดที่ยังเข้าไม่ถึง            4. คู่แข่งขันมีความเข้มแข็งน้อย

5. มีโอกาสที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไปได้ 6. ผลิตภัณฑ์มีกำไรขั้นต้นสูง

7.         คนกลางให้ความร่วมมือในการช่วยกระจายผลิตภัณฑ์

8.         ผลิตภัณฑ์มีจินตภาพดี          9. ธุรกิจมีความสามารถในการจัดการ

30.      ทำไมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในท้องตลาดจึงมีขนาดของบรรจุภัณฑ์เฉพาะของตัวเอง

(1) เป็นความพอใจของนักการตลาด   (2) ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยการบริโภค

(3)       ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร       (4) ขึ้นอยู่กับอัตราการขาย      (5) ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า

ตอบ 2 หน้า 266 การกำหนดขนาดของการหีบห่อ (บรรจุภัณฑ์) มีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการ คือ 1. ขนาดของหน่วยที่ใช้บริโภค 2. อัตราการบริโภค

31.       ข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการตลาดมากที่สุด         

(1) การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ

(2)       การลงทุนอย่างประหยัด        

(3) การขายสินค้าตามที่ลูกค้าพอใจ

(4)       การจัดการบุคลากรอย่างเหมาะสม    

(5) การบันทึกข้อมูลอย่างมีระบบ

ตอบ 3 หน้า 4-5 การตลาด หมายถึง การเคลื่อนย้ายสินค้าและหรือบริการจากผู้ผลิตไปยัง ผู้บริโภคคนสุดท้ายโดยผ่านคนกลางหรือไม่ก็ได้ เพื่อมุ่งตอบสนองความพอใจและความ ต้องการของลูกค้า โดยอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ ทางการตลาด ในกรณีที่เป็นการผลิตสินค้านั้น จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือลักษณะของสินค้า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ทางการตลาดแต่ประการใด แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการนำสินค้าออกสู่ตลาดโดยผ่านขั้นตอน ของกิจกรรมการตลาด ก็ถือว่าเป็นเรื่องของการตลาด

32.       บทบาทสำคัญของการตลาดที่มีต่อระบบธุรกิจได้แก่ข้อใด

(1) ช่วยให้ฝ่ายการตลาดเจริญเติบโต 

(2) ช่วยให้ระบบการผลิตมีประสิทธิภาพ

(3)       ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ          

(4) ช่วยให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ

(5)       ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 4-6, (ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ) ในปัจจุบันการตลาดจะทำให้เกิดการซื้อขาย แลกเปลี่ยนระหว่างผู้ผลิตหรือผู้ขายกับผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างแหล่งเสนอขายกับความต้องการ โดยจะผ่านคนกลางหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการตลาดจึงช่วยให้สินค้าไปถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกิจกรรม ทางการตลาดซึ่งประกอบด้วยส่วนประสมทางการตลาด (การวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา ช่องทางการตลาด แสะการส่งเสริมการตลาด) การวิจัยตลาด และอื่น ๆ

33.       ข้อใดที่เป็นเรื่องของการตลาดที่มุ่งหรือให้ความสำคัญแก่สังคม

(1) การใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างประหยัด           (2) การให้เงินช่วยเหลือแก่สังคม

(3) การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพในการใช้          (4) การละเว้นการทำลายสภาพแวดล้อม

(5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 17 แนวความคิดการตลาดมุ่งสังคมมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.         เพื่อตอบสนองความพอใจของผู้บริโภค

2.         เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพของชีวิต

3.         เพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัย

4.         เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด

5.         เพื่อตอบสนองความพอใจของสังคม

34.       การตลาดทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกได้แก่ข้อใด

(1) การจัดมาตรฐานของสินค้า            (2) การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน

(3) การลดขั้นตอนการทำงาน  (4) การเพิ่มคนกลางในอนาคต

(5) การวิจัยหาข้อมูลในตลาด

ตอบ 1 หน้า8-9, 11 หน้าที่ทางการตลาดในด้านการอำนวยความสะดวกประกอบด้วย หน้าที่ในการจัดมาตรฐานของสินค้า ข้อมูลข่าวสาร การเสี่ยงภัย และการเงิน

35.       แนวความคิดทางผลิตภัณฑ์จะมุ่งเน้นในประเด็นใด

(1) ความพอใจของผู้บริโภค

(2) ความต้องการของผู้บริโภค            (3) การปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์

(4) การขยายตัวของกิจการ     (5) การเก็บข้อมูลทางการผลิต

ตอบ 3 หน้า 14 แนวความคิดทางผลิตภัณฑ์จะมุ่งเน้นที่การบริหาร โดยสมมุติว่าผู้บริโภคพอใจ ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีคุณภาพเหมาะสมกับราคา ดังนั้นธุรกิจจึงสนใจที่จะปรับปรุงคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์เป็นหลัก

36.       ลักษณะทางประชากรที่สำคัญของผู้บริโภคได้แก่ข้อใด

(1) สถานะการแต่งงาน           (2) อาชีพของผู้บริโภค (3) แหล่งที่อยู่อาศัย

(4) การศึกษาของผู้บริโภค      (5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 127, 129 – 131 ลักษณะทางประชากรของตลาดผู้บริโภคที่สำคัญ ได้แก่ จำนวน

ประชากร แหล่งที่พักอาลัย การเคลื่อนย้ายประชากร รายได้และรายจ่ายของผู้บริโภค อาชีพ การศึกษา และสถานะการแต่งงาน

37.       นักการตลาดมองการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคออกมาในลักษณะใด

(1) ความประหยัด       (2) ความพอใจ            (3) ความสวยงาม

(4) ราคาถูก     (5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 132 – 133 นักการตลาดได้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าผู้บริโภคเป็นบุคคลที่คำนึงถึงความพอใจ โดยเลือกที่จะซื้อสินค้าในรูปของต้นทุนที่เสียไปและผลได้ที่ได้รับ เพื่อต้องการอรรถประโยชน์ หรือความพึงพอใจให้มากที่สุด ในขณะที่ได้ใช้จ่ายเงินและเวลาที่มีอย่างจำกัด ดังนั้นนักการตลาด จะเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ประชากรเมื่อต้องการคาดคะเนพฤติกรรมผู้บริโภค

38.       ปัญหาของผู้บริโภคที่จะต้องแก้ไขนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) การเรียนรู้  (2) การยอมรับ            (3) ความเสี่ยง

(4) การตอบสนองความต้องการ         (5) สภาพแวดล้อม

ตอบ 4 หน้า 133 – 134 ผู้บริโภค คือ ผู้ที่แก้ปัญหาซึ่งได้รับการกระตุ้นจากความต้องการหรือ แรงขับ ซึ่งความต้องการที่ไม่สามารถตอบสนองความพอใจได้จะนำไปสู่ความตึงเครียด และปรารถนาที่จะแก้ปัญหาต่อไป ทั้งนี้ผู้บริโภคจะใช้กระบวนการแก้ปัญหาขั้นพื้นฐาน เพื่อหาทางที่จะตอบสนองความต้องการของตน

39.       แรงจูงใจทางด้านอารมณ์ในการซื้อรถยนต์ได้แก่ข้อใด

(1) การให้บริการหลังการขาย (2) การลดราคาสินค้า (3) การประหยัดน้ำมัน

(4) รูปแบบสวยงาม     (5) อายุการใช้งานนาน

ตอบ 4 หน้า 140 – 141 แรงจูงใจทางด้านอารมณ์ มีลักษณะดังนี้

1. การสร้างความพอใจให้กับความรู้สึกของประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การซื้อรถยนต์โดยพิจารณา จากรูปแบบ สี สไตล์ ฯลฯ     2. การรักษาสถานภาพ 3. ความกลัว

4. ความเพลิดเพลินหรือการพักผ่อน 5. ความภูมิใจ    6. การเลียนแบบผู้มีชื่อเสียง

7. การเข้าสังคม           8. การดิ้นรน    9. ความอยากรู้อยากเห็น

(ส่วนการให้บริการหลังการขาย อายุการใช้งาน การประหยัดน้ำมัน และราคา ถือว่าเป็นแรงจูงใจ ทางด้านเหตุผล)

40.       ข้อใดที่เป็นเรื่องของอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรม       

(1) การซื้อสินค้าราคาถูก

(2)       การซื้อสินค้าตามเพื่อน           (3) การซื้อสินค้าตามค่านิยม

(4) การซื้อสินค้าตามความพอใจ         (5) การซื้อสินค้าตามความสะดวก

ตอบ 3 หน้า 142 – 145 ปัจจัยทางสังคมที่มิอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ได้แก่

1.         ครอบครัว ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคมากที่สุด 2. กลุ่มอ้างอิง 3. ผู้นำทางความคิด   4. ชั้นสังคม 5.วัฒนธรรม ประกอบด้วย ความเชื่อ ค่านิยม และ

ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น อาคารบ้านเรือน รูปแบบของสินค้า ฯลๆ ส่วนวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม เช่น คาสนา ลัทธิต่าง ๆ ฯลฯ

41.       ข้อใดหมายถึงพ่อค้าคนกลาง

(1) Reseller Middlemen    

(2) Merchant Middlemen

(3)       Agent Middlemen  

(4) Direct Middlemen       

(5) Facilitators

ตอบ 2 หน้า 329 พ่อค้าคนกลาง (Merchant Middlemen) คือ ผู้ที่ดำเนินกิจการทางการค้าปลีก และการค้าส่ง ซึ่งพ่อค้าคนกลางจะทำหน้าที่ต่าง ๆ ทางการตลาดเพื่อให้สินค้าเคลื่อนย้ายจาก ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือสถาบันทางการผลิต

42.       Action-Oriented Framework หรือทีเรียกว่า AIDA Model เป็นโมเดลที่แสดงการตอบสนองของ ผู้ที่รับข่าวสาร มีลำดับขั้นตอนอย่างไร

(1)       การรับรู้ (Awareness), ความสนใจ (Interest), การตัดสินใจ (Decision), ความตั้งใจ (Attention)

(2)       การรับรู้ (Awareness), ความสนใจ (Interest), การตัดสินใจ (Decision), การรับรู้ (Awareness)

(3)       ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), การตัดสินใจ (Decision), การปฏิบัติ (Action)

(4)       ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), ความต้องการ (Desire), การรับรู้ (Awareness)

(5)       ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), ความต้องการ (Desire), การปฏิบัติ (Action)

ตอบ 5 หน้า 360, 364 โครงสร้างของการกระทำ (Action-Oriented Framework) หรือที่เรียกวา “AIDA Model” เป็นโมเดลที่แสดงการตอบสนองของผู้รับข่าวสารซึ่งมีลำดับขั้นตอน อันได้แก่ ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), ความต้องการ (Desire) และการปฏิบัติ (Action)

43.       รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ากับขับเคลื่อนล้อหลัง จัดว่าเป็นการแข่งขันแบบใด

(1) การแข่งขันในตราสินค้า     

(2) การแข่งขันแบบทั่วไป

(3) การแข่งขันทางด้านคุณภาพ          

(4) การแข่งขันในรูปแบบของสินค้า

(5) การแข่งขันในรูปแบบกิจการ

ตอบ 4 หน้า 39, (คำบรรยาย) ลักษณะของการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1.         การแข่งขันแบบทั่วไป (Generic Competition) เป็นการแข่งขันระหว่างผลิตภัณฑ์คนละชนิด ที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ เช่น กางเกงกับกระโปรง แก๊สกับน้ำมัน ฯลฯ

2.         การแข่งขันในรูปแบบของสินค้า (Product Form Competition) เป็นการแข่งขันระหว่าง สินค้าชนิดเดียวกัน แต่มีรูปแบบของสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ากับ ขับเคลื่อนล้อหลัง รถยนต์ 4 เกียร์กับรถยนต์ 5 เกียร์ ฯลฯ

3.         การแช่งขันในรูปแบบของกิจการ (Enterprise Competition) เป็นการแข่งขันในตราสินค้า ของผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกับ เช่น น้ำอัดลมยี่ห้อโค้กกับเป็ปซี่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า กับไวไว ฯลฯ

44.       ขั้นตอนของวงจรชีวิตทีผลิตภัณฑ์นั้นกำลังเผชิญอยู่ในขั้นเจริญเติบโตเต็มที่ (เจ็บ) จะเลือกใช้กลยุทธ์ การส่งเสริมการตลาดเน้นที่จุดใด

(1)       ความคิดใหม่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด    (2) ตราสินค้าของเราดีที่สุด

(3)       ตราสินค้าของเราดีกว่าจริง ๆ   (4) ค้นหาบุคคลที่ต้องการสินค้าของเรา

(5) เร่งเร้าให้เกิดความต้องการเลือกสรร

ตอบ 3 หน้า 371 – 372 การเลือกใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดที่แตกต่างกันในแต่ละขั้นตอน ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ มีดังนี้

1.         ขั้นแนะนำ (เกิด) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ความคิดใหม่เป็นสิ่งที่ดี

2.         ขั้นเจริญเติบโต (แก) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ตราสินค้าของเราดีที่สุด  

3.         ขั้นเจริญเติบโตเต็มที่ (เจ็บ) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ตราสินค้าของเราดีกว่าจริง ๆ

4.         ขั้นยอดขายลดลง (ตาย) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ค้นหาบุคคลที่ต้องการสินค้าของเรา

 45.       ระยะแรกที่ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด เรียกว่าอะไร

(1) First Campaign     (2) Zone Campaign   (3) Lunching Period

(4)       Product Period         (5) First Product

ตอบ 3 หน้า 389 Launching Period หมายถึง ระยะแรกที่ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

46.       วิจัยเพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาด ในการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และตัดสินใจโฆษณา อีกทั้งทำการประมาณค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ต้องใช้ในการโฆษณา คือวิธีใดดังต่อไปนี้

(1) The Task-Method Approach        (2) Competitive-Parity Approach

(3) Fixed-Sum-Per-Unit Approach    (4) Percentage of Sales Approach

(5)       Available-Funds Approach

ตอบ 1 หน้า 395 วิธีจัดทำงบประมาณการโฆษณาที่กำหนดจากงาน (The Task-Method Approach) มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1.         วิจัยเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาด

2.         กำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการโฆษณาให้ชัดแจ้ง

3.         ตัดสินใจกำหนดงานการโฆษณาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

4.         ประมาณค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ต้องใช้ในการโฆษณา

47.       เกณฑ์การพิจารณาความสามารถเข้าถึงของผู้ชมเป้าหมายที่ไม่ซ้ำซ้อนกันและโอกาสในการรับชม หมายถึงข้อใด

(1)       The Cost-Per-Thousand Criterion (CPT) = RP – Reach X Frequency

(2)       The Cash-Per-Thousand Criterion (CPT) = RP = Reach X Frequency

(3)       The Cost-Per-Thousand (CPT) = RP = Reach X Frequency

(4)       Gross Rating Points Per-Thousand (GRF) = RP = Reach X Frequency

(5)       Gross Rating Points (GRP) – RP = Reach X Frequency

ตอบ 5 หน้า 413 Gross Rating Points (GRP) หมายถึง เกณฑ์พิจารณาความสามารถเข้าถึงของ ผู้ชมเป้าหมายที่ไม่ซ้ำช้อนกันและโอกาส (จำนวนครั้ง) ในการรับชม ซึ่งมีสูตรในการคำนวณ คือ Rating Points (RP) = Reach X Frequency

48.       วิธีการส่งเสริมการขายวิธีใดเหมาะสมสำหรับสินค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และสินค้าถูกควบคุมราคา

(1)       การคืนเงิน       (2) แจกของแถม          (3) ลดราคาพิเศษ

(4) การให้ตัวอย่างสินค้า         (5) การให้บัตรส่งเสริมการขาย

ตอบ 2 หน้า 428 การแจกของแถม (Premium) คือ การให้สินค้าอีกอย่างหนึ่งเป็นของแถมแก่ผู้ซื้อ ผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้น การส่งเสริมการขาย ด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับสินค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เป็นสินค้าที่ถูกควบคุมราคา และ เป็นสินค้าที่มีชื่อเรียกติดปากผู้บริโภคดีอยู่แล้ว แต่ไม่ควรนำมาใช้กับสินค้าออกใหม่ที่เพิ่งวางขาย ในตลาด เพราะจะทำให้ผู้บริโภคมองข้ามคุณภาพที่แท้จริงของสินค้าได้

49.       วิธีการขายสินค้าควบคู่อย่างเช่น ยาสระผมและครีมนวดผมแพคเป็นหีบห่อเดียวกัน และทำการลดราคา เมื่อคิดราคาต่อชิ้นราคาจะลดลง หมายถึงการส่งเสริมการขายแบบใด

(1)       Buying Allowance  (2) Coupons      (3) Price Packs

(4) Trading Stamp     (5) Premium

ตอบ 3 หน้า 427 – 428 การลดราคาพิเศษด้วยการขายสินค้าควบคู่กันมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ สินค้า หลายชนิดบรรจุในหีบห่อเดียวกันสินค้าชนิดเดียวกันบรรจุในจำนวนมากขึ้น เพื่อการขายครั้งละ มาก ๆ หรือลดราคาพิเศษสำหรับสินค้าเดียวซึ่งเป็นการขายต่ำกว่าราคาจริง (Price Packs) เช่น ขายยาสีพันควบคู่กับแปรงสีฟัน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลถ้านำไปใช้กับสินค้าออกใหม่ที่เพิ่งเริ่ม วางตลาด แต่มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรลดราคาบ่อยและนานเกินไป เพราะอาจทำให้ภาพพจน์ ของตราสินค้าเสียไปได้

50.       จุดประสงค์ของการส่งเสริมการขาย คืออะไร

(1) Communication / Incentive / Invitation

(2)       Communication / Incentive / Selling     (3) Incentive / Invitation / Selling

(4) Distribution / Selling / Communication      (5) Distribution / Incentive / Invitation

ตอบ 1 หน้า 439 จุดประสงค์ของการส่งเสริมการขาย มี 3 ประเด็น คือ

1.         ใช้ติดต่อสื่อสาร (Communication)

2.         ใช้เป็นสิ่งจูงใจ (Incentive)

3. ใช้เป็นสิ่งเชื้อเชิญ (Invitation) ให้มีการแลกเปลี่ยนหรือทำให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้อ รวดเร็วขึ้น

51.       ส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) ได้แก่ข้อใด

(1)       การแจกของแถม ชิงโชค แจกคูปอง

(2)       การแสดงสินค้า หีบห่อ ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย

(3)       การส่งเสริมการขายไปยังผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง และพนักงานขาย

(4)       การโฆษณา การใช้พนักงานขาย การส่งเสริมการขาย การเผยแพร่ข่าวสาร

(5)       การแสดงสินค้า ณ จุดขาย การส่งชิงโชค ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย

ตอบ 4 หน้า 370 ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) หมายถึง การนำรูปแบบ ของการส่งเสริมการตลาด อันได้แก่ การโฆษณา การใช้พนักงานขาย การส่งเสริมการขาย และการเผยแพร่ข่าวสาร มาใช้ร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์อันเดียวกัน

52.       บริษัทมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกฎ ระเบียบ ข้อบังคบของรัฐบาลอย่างไรบ้าง

(1)       เพิ่มนักลงทุนของบริษัท           

(2) เพิ่มนักกฎหมายของบริษัท

(3)       เพิ่มอัตราพนักงานภายในบริษัท          

(4) ต้องคำนึงถึงข้อเรียกร้องของรัฐบาล

(5) ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากขึ้น

ตอบ 2 หน้า 42 – 43 ในปัจจุบันรัฐบาลได้ออกกฎ ระเบียบ และข้อบังคับเพื่อเข้ามาแทรกแซงนโยบาย ทางการตลาดของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ซึงบริษัทจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าว ใน 3 ลักษณะ คือ

1.         เพิ่มนักกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

2.         จัดตั้งแผนกรัฐบาลสัมพันธ์เพื่อติดต่อกับรัฐบาล

3.         ร่วมมือกับบริษัทอื่นในสมาคมการค้าเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

53.       ข้อใดคือสาเหตุภายในที่ทำให้การสงเสริมการขายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

(1)       ภาวะที่เศรษฐกิจมีเงินเฟ้อและเงินผฝืด

(2)       คู่แข่งขันหันมาสนใจการส่งเสริมการขายมากขึ้น

(3)       แรงกดดันทางการค้าทำให้ผู้ผลิตพยายามเพิ่มคนกลางมากขึ้น

(4)       ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดมีตราสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกสรรมากขึ้น

(5)       ผู้บริหารระดับสูงยอมรับว่าการส่งเสริมการขายช่วยเร่งเร้าให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิผล

ตอบ 5 หน้า 438 สาเหตุภายในที่ทำให้การส่งเสริมการขายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีดังนี้

1. ผู้บริหารระดับสูงยอมรับว่าการส่งเสริมการขายช่วยเร่งเร้าให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิผล  2. ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ต้องการใช้เครื่องมือการส่งเสริมการขายมากขึ้น 3. ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ได้รับแรงกดดันให้ขายสินค้าให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

54.       สินค้าอุปโภคบริโภคควรมีการส่งเสริมการตลาดแบบใด

(1)       การใช้พนักงานขาย การติดต่อทางไปรษณีย์

(2)       การโฆษณา การใช้แค็ตตาล็อก

(3)       การใช้หีบห่อ การโฆษณา การติดต่อทางไปรษณีย์

(4)       การลดราคา การใช้ของแถม การแจกแสตมป์ทางการค้า

(5)       การโฆษณา การส่งเสริมการขาย การใช้พนักงานขาย

ตอบ 5 หน้า 370, 374, 376 สินค้าอุปโภคบริโภคควรใช้การส่งเสริมการตลาดใน 3 รูปแบบร่วมกัน คือ การโฆษณา การส่งเสริมการขาย และการใช้พนักงานขาย โดยการโฆษณาจะช่วยเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและกิจกรรมการส่งเสริมการขายของผู้ผลิตแต่ละรายไปยังมวลชน เป็นจำนวนมากได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และหากสินค้าบางชนิด เช่น เครื่องสำอาง ยา ฯลฯ ที่ต้องมีผู้แนะนำวิธีการใช้ ก็จำเป็นต้องอาศัยพนักงานขายที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนั้น โดยเฉพาะเป็นผู้ให้ข้อมูล

 

ข้อ 55. – 60. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับงาน    (2) สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการแข่งขัน

(3) สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกลุ่มสาธารณชน        (4) สิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์

(5) สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ

 

55.       บริษัทผู้ผลิตนมกล่องออกผลิตภัณฑ์หลายชนิดและหลายชื่อ เพื่อขายให้แก่ตลาดกลุ่มเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ และสำหรบคนท้อง โดยใช้ส่วนประสมการตลาดและการส่งเสริมการขายแตกต่างกัน การคำนึงถึง ตลาด” เป็นสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ1 หน้า 34 – 37 สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับงาน ประกอบด้วยสถาบันตาง ๆ ที่สัมพันธ์กันเพื่อเพิ่มมูลค่า ทางการตลาด อันได้แก่ ผู้ขายวัตถุดิบ คนกลางทางการตลาด และตลาด

56.       ครั้งแรกของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ รับสิทธิประโยชน์เมื่อสมัครบัตรเดบิต ฟรี…ค่าธรรมเนียมจ่ายบิล 5 บิล/เดือน ฟรี…ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM ทุกตู้ทั่วไทย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ฟรี…สอบถามยอดจาก เครื่อง ATM ทุกตู้ทั่วไทย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 2 หน้า 37 – 39, 578 – 579 สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการแข่งขัน ประกอบด้วยสถาบันต่าง ๆ

ที่แข่งขันกับบริษัทเพื่อแย่งชิงลูกค้าและทรัพยากรที่หายาก ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะ คู่แข่งขันได้ต้องมุ่งไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก นอกจากนี้ธุรกิจยังต้องสร้าง ลักษณะพิเศษเฉพาะของตนให้ต่างจากคู่แข่งขัน และชี้ให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความแตกต่างนั้น ในใจของผู้บริโภคเช่นความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพราคาการให้บริการต่างๆ ฯลฯ

57.ธุรกิจได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพพจน์ของธุรกิจในรูปแบบการแจกทุนการศึกษาการสร้างภาพยนตร์โฆษณาเพื่อรณรงค์การรักษาสิ่งแวดล้อม การบริจาคสมทบทุนมูลนิธิต่าง ๆเพื่อให้ประชาชนทั่วไปมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าและบริการของบริษัท การที่ธุรกิจดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเพราะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 3 หน้า 40 ในปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกลุ่มสาธารณชนมากขึ้น และพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเหล่านี้โดยได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างภาพพจน์และค่านิยมที่ดีของธุรกิจในสายตาของสาธารณชน เช่น การแจกทุนการศึกษาการสร้างภาพยนตร์โฆษณาเพื่อรณรงค์การรักษาความสะอาด การประหยัดพลังงานการบริจาคสมทบทุนมูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น

58.กลุ่มสถาบันการเงิน สื่อมวลชน รัฐบาล กลุ่มทีมีปฏิกิริยา กลุ่มชนในท้องถิ่น และประชาชนทั่วไปจัดอยู่ในสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 3 หน้า 40 – 44 สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกลุ่มสาธารณชน หมายถึง กลุ่มที่มีความสนใจเฝ้ามองและพยายามสร้างกฎข้อบังคับกิจกรรมขององค์การ กลุ่มนี้จึงมีอิทธิพลต่อความสำเร็จขององค์การเป็นอย่างยิ่ง โดยกลุ่มสาธารณชนประกอบด้วย กลุ่มสถาบันการเงิน สื่อมวลชนรัฐบาล กลุ่มทีมีปฏิกิริยา กลุ่มชนในท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป

59.บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เดิมผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก แต่ในปัจจุบันเนื่องด้วยอัตราการเกิดลดลง เนื่องจากผลของการวางแผนครอบครัว ภาวะเศรษฐกิจทำให้ครอบครัวต่าง ๆนิยมมีบุตรน้อยลง จึงได้เปลี่ยนนโยบายที่จะมุ่งเฉพาะตลาดเด็กหันมาสนใจกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ มากขึ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแวดล้อมแบบใด

ตอบ 4 หน้า 44 – 48 สิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์ เป็นสิ่งแวดล้อมมหภาคที่นักการตลาดให้ความสนใจมาก เพราะประชากรจะก่อให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยสิ่งที่นักการตลาดสนใจ เช่น ขนาดของประชากร การกระจายของประชากรตามเขตภูมิศาสตร์ ความหนาแน่นของประชากร การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ อัตราการเกิดและการตาย ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่มี ผลต่อการวางแผนการตลาด

60.       นักการตลาดจะต้องคำนึงถึงอัตราการเจริญเติบโตของระดับรายได้ที่แท้จริงลดลง แม้ว่ารายได้ที่เป็นตัวเงิน จะเพิ่มขึ้น แรงผลักดันของภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น รูปแบบการออมและการก่อหนี้เปลี่ยนแปลงไป มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการบริโภคและการใช้จ่ายของผู้บริโภคเมื่อประชากรมีรายได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 5 หน้า 48 – 50 สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่นักการตลาดจะต้องสนใจ มีดังนี้

1.         อัตราการเจริญเติบโตของระดับรายได้ที่แท้จริงลดลง แม้ว่ารายได้ที่เป็นตัวเงินจะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเกิดภาวะเงินเฟ้อ คนว่างงาน อัตราภาษีสูงขึ้น เป็นต้น

2.         แรงผลักดันของภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น

3.         รูปแบบของการออมและการก่อหนี้เปลี่ยนแปลงไป

4.         มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการบริโภคและการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ข้อ 61.-65. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม 

(1)ประชากรการวิจัย (2)ข้อมูลสำเร็จ (3)ตัวอย่าง (4) ตัวแปรการวิจัย (5) กรอบตัวอย่าง

61.       หน่วยทั้งหมดที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา

ตอบ 1 หน้า 121 ประชากรการวิจัย (Research Population) หมายถึง หน่วยทั้งหมดซึ่งเป็นแหล่งข้อมูล ที่ผู้วิจัยสนใจจะศึกษาวิจัย ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่ผู้วิจัยต้องเก็บข้อมูลมาใช้ในการทำวิจัย

62.       รายขื่อ ตำบลที่อยู่ และแผนที่แสดงอาณาเขตของกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการค้นคว้า

ตอบ 5 หน้า 122, (คำบรรยาย) กรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) หมายถึง รายชื่อหน่วยตัวอย่าง พร้อมตำบลที่อยู่ และแผนที่แสดงอาณาเขตของกลุ่มตัวอย่างในขอบข่ายที่ผู้วิจัยต้องการที่จะ ทำการศึกษาค้นคว้า ดังนั้นประโยชน์หลักของการกำหนดกรอบตัวอย่างก็คือ การป้องกัน ความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่าง

63.       ข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ตอบ 2 หน้า 122, (คำบรรยาย) ข้อมูลที่ใช้สำหรับการวิจัยตลาด มี 2 ประเภท คือ

1.         ข้อมูลเบื้องต้นหรือข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจาก แหล่งกำเนิดของข้อมูลโดยตรง และเป็นข้อมูลที่ไม่เคยมีใครเคยเก็บรวบรวมมาก่อน ได้แก่ การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ การทดสอบ การทดลอง การสำมะโนและการสำรวจ

2.         ข้อมูลสำเร็จหรือข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมไว้ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งผู้วิจัยสามารถค้นคว้าได้จากเอกสารและตำราต่าง ๆ

64.       ลักษณะหรือคุณสมบัติ อาการกิริยาต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกัน

ตอบ 4 หน้า 122 ตัวแปรการวิจัย (Variable) หมายถึง ลักษณะ คุณสมบัติ หรืออาการกิริยา ของหน่วยตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกัน

65.       หน่วยของประชากรการวิจัยที่ผู้วิจัยเลือกเป็นตัวแทนของหน่วยประชากรทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 122 ตัวอย่าง (Sampling) หมายถึง หน่วยของประชากรการวิจัยที่ผู้วิจัยเลือก มาเป็นตัวแทนของหน่วยประชากรทั้งหมด

66.       ข้อใดให้ความหมายของการค้าส่งที่ถูกต้องที่สุด

(1)       การขายสิบค้าหรือบริการในปริมาณมาก ๆ และราคาต่ำ

(2)       การขายสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้อสินค้าเพื่อไว้ขายต่อ

(3)       การขายสินค้าและบริการให้กับคนกลางในการจัดจำหน่าย  

(4)       องค์การที่มีการขายสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายและจำนวนมาก

(5)       การรับซื้อสินค้าและบริการปริมาณมาก ๆ จากผู้ผลิตโดยตรง

ตอบ 2 หน้า 342, 345 การค้าส่ง หมายถึง กิจกรรมการขายสินค้าและบริการทุกชนิดให้กับผู้ที่ซื้อ สินค้าไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการขายต่อ หรือซื้อไปใช้ในการประกอบธุรกิจ ดังนั้นผู้ค้าส่งอาจจะ เป็นผู้ที่ขายสินค้าให้กับพ่อค้าปลีก ซึ่งพอค้าปลีกจะซื้อไปเพื่อขายให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย อีกต่อหนึ่ง หรืออาจจะเป็นผู้ที่ขายสินค้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ซื้อไปเพื่อใช้ ในการประกอบกิจการการผลิต

67.       ข้อใดคือลักษณะของผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าขายส่ง

(1)       เป็นผู้ค้าส่งกลุ่มใหญ่ที่สุดในระบบค้าส่งและมีกรรมสิทธิ์ในสินค้า 

(2)       เป็นผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่ให้บริการต่าง ๆ ให้กับลูกค้า เช่น ขนส่งสินค้า ให้เครดิตลูกค้า

(3)       เป็นผู้ค้าส่งที่ทำการขายสินค้าโดยไม่ได้เข้าไปครอบครองสินค้าที่ขาย เพียงซื้อมาขายไปเท่านั้น

(4)       เป็นผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่ในด้านบริการเกี่ยวกับการขายส่ง เข้าไปเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการซื้อและขาย

(5)       เป็นผู้ค้าส่งที่ได้รับค่านายหน้าเป็นค่าตอบแทบในการขายสินค้าให้แก่ผู้ผลิต

ตอบ 2 หน้า 345 – 346 ผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าขายส่ง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1.         ผู้ค้าส่งที่ไม่จำกัดการให้บริการลูกค้า (Full-service Wholesalers) จะทำหน้าที่ให้บริการ ด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้าอย่างมากมาย/เต็มที่ เช่น เก็บรักษาสินค้า ขนส่งสินค้า ส่งมอบสินค้า ให้เครดิตลูกค้า ให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูล เป็นต้น

2.         ผู้ค้าส่งที่จำกัดการให้บริการแก่ลูกค้า (Limited-service Wholesalers) จะทำหน้าที่ ให้บริการแก่ลูกค้าของตนเพียง 1-2 อย่างตามที่ตนถนัดหรือสะดวกที่สุดเท่านั้น ซึ่ง ค่อนข้างจะจำกัดมาก

68.       ข้อใดคือประเภทของผู้ค้าปลีกโดยจำแนกตามลักษณะการประกอบธุรกิจ

(1) ร้านค้าในศูนย์กลางย่านธุรกิจ       (2) การขายปลีกทางไปรษณีย์

(3) ร้านค้าปลีกคลังสินค้า       (4) ร้านสรรพสินค้า

(5) ร้านสินค้าขายตามแค็ตตาล็อก

ตอบ 2 หน้า 331, 335 – 336 การจำแนกประเภทของผู้ค้าปลีกโดยพิจารณาจากลักษณะ การประกอบธุรกิจ เป็นการค้าปลีกที่ไม่จำเป็นต้องมีร้านค้า (Non-store Retailing)

ซึ่งถือว่าเป็นการขายปลีกทางตรง (Direct Retailing) ประกอบด้วย

1.         การค้าปลีกทางไปรษณีย์และโทรศัพท์ (Telephone and Mail-order Retailing)

2.         การค้าปลีกสินค้าโดยเครื่อง (Automatic Vending)

3.         การค้าปลีกประเภทบริการผู้ซื้อ (Buying Service)

4.         การขายปลีกตามบ้าน (Door to Door Retailing)

69.       ข้อใดคือความสำคัญของการค้าปลีกที่มีต่อผู้ผลิต

(1)       การค้าปลีกช่วยทำหน้าที่แสวงหาสินค้าให้เป็นที่ต้องการของผู้ผลิตและขายให้ผู้บริโภค

(2)       การค้าปลีกช่วยทำหน้าที่ในการจัดแสดงสินค้า

(3)       การค้าปลีกทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างกิจการค้าส่งกับผู้บริโภค

(4)       การค้าปลีกทำหน้าที่แบ่งภาระการเก็บรักษาสินค้าให้แก่ผู้ผลิต

(5)       การค้าปลีกทำหน้าที่เปรียบเสมือนแหล่งรวมสินค้าให้แก่ผู้ผลิต

ตอบ 4 หน้า 330 ความสำคัญของการค้าปลีกต่อผู้ผลิต มีดังนี้

1.         ทำหน้าที่ขายสินค้าให้กับผู้ผลิต 2. ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคให้กับผู้ผลิต 3. ทำหน้าที่แบ่งภาระการเก็บรักษาสินค้าแก่ผู้ผลิต

70.       ข้อใดคือผลกระทบของการตลาดต่อสังคมส่วนรวม

(1)       ทำให้มีการแข่งขันกันซื้อสินค้าเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคม

(2)       การตลาดทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

(3)       ทำให้เกิดการกีดกันการแข่งขันจากผู้ผลิตหรือธุรกิจรายอื่น ๆ

(4)       ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกซื้อสินค้าได้หลากหลายตามความต้องการ

(5)       การตลาดมีผลทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น

ตอบ 1 หน้า 625 – 626 คำวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลกระทบของการตลาดต่อสังคมส่วนรวม มีดังนี้

1. ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมวัตถุนิยมมากขึ้น นั่นคือ ทำให้มีการแข่งขันกันซื้อสินค้าเพื่อเป็น เครื่องแสดงฐานะทางสังคม   2. ทำให้เกิดความต้องการที่ไม่ถูกต้อง 3. ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าเพื่อสังคมยังมีไม่เพียงพอ 4. ทำให้เกิดความเสื่อมเสียทางวัฒนธรรม

71.       คุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์บริการ คือ

(1) จับต้องไม่ไต้           

(2) แบ่งแยกไม่ได้        

(3) สูญหายได้ง่าย

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2        

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 572 – 575 ลักษณะของบริการ มี 4 ประการ ดังนี้

1.ไม่สามารถจับต้องได้            2.ไม่สามารถแบ่งแยกได้

3. มีลักษณะแตกต่างกันไปไม่คงที่      4. มีลักษณะความต้องการที่สูญเสียได้ง่าย

72.       กิจการร้านค้าปลีกที่มีศูนย์กลางบริหารเพียงแห่งเดียว คือ

(1) Independent Store      

(2) Voluntary Chain Store         

(3) Corporate Chain

(4) Buying Service     

(5) Franchise Store

ตอบ 3 หน้า 337 ร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่ (Chain Store หรือ Corporate Chain) เป็นร้านค้าปลีก ที่มีลักษณะดังนี้คือ

1.         มีร้านค้ามากกว่า 2 ร้านขึ้นไป

2.         ร้านค้าทุกร้านจะมีสินค้าไว้ขายในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน

3.         มีศูนย์กลางการบริหารงานเพียงแห่งเดียว

4.         มีการจัดตกแต่งร้านเหมือนกันทั้งหมดเพื่อสร้างจุดเด่น

5.         การซื้อสินค้ามาเพื่อขาย การกำหนดราคาและนโยบายอื่น ๆ สำนักงานใหญ่จะเป็นผู้ดำเนินการ

6.         เจ้าของและผู้ควบคุมกิจการเป็นคน ๆ เดียวกัน

73.       ในการทำวิจัยตลาด ถ้าแหล่งข้อมูลที่ท่านต้องเก็บมาเพื่อทำการศึกษาวิเคราะห์คือร้านค้าปลีก สิ่งที่ท่านควรจะกำหนดเป็นประชากรการวิจัยของท่าน คืออะไร        

(1) ลูกค้า             

(2)   สินค้า   

(3) ร้านค้า        

(4) ผู้ผลิต        

(5) พนักงาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

74.       ร้าน เซเว่นอีเลเว่น” เป็นร้านค้าปลีกขายสินค้าประเภทใด

(1) สินค้าเปรียบเทียบซื้อ        (2) สินค้าซื้อสะดวก     (3) สินค้าซื้อพิเศษ

(4) สินค้าซื้อแบบไม่คาดคิด     (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 334 ร้านค้าสะดวกซื้อ (Convenience Store) ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าค่อนข้างเล็ก มีทำเลที่ตั้งใกล้ที่อยู่อาศัยของลูกค้า สินค้าที่ขายจะมีเฉพาะอย่างที่ขายได้ง่ายซื้อสะดวก แต่จะตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างสูง เช่น สินค้าประเภทบุหรี่ เครื่องดื่ม กาแฟ ยาสีฟัน ฯลฯ ตัวอย่างของร้านค้าสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven, Family Mart ฯลฯ

75.       ถ้าท่านทำธุรกิจประเภทโรงแรมและการท่องเที่ยว ท่านควรจะต้องบริหารจัดการโดยมุ่งเน้นในเรื่องใดให้มากที่สุด

(1) สินค้า         (2) บริการ        (3) ความเชื่อถือ

(4) ความไว้วางใจ        (5) ข้อ 3 และ 4 ถูก

ตอบ 5 หน้า 573 ผู้ประกอบธุรกิจประเภทโรงแรมและการท่องเที่ยวควรดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้น ในเรื่องของความเชื่อถือและความไว้วางใจในบริการที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจ โดยอาจจัดสิ่งบริการ ที่สามารถมองเห็นได้ เช่น มีห้องพักที่สะดวกสบาย ไม่มีเสียงรบกวน มีการจัดอาหารและ เครื่องดื่มที่ดี มีพนักงานต้อนรับสวย ๆ และมีอัธยาศัยดีไว้คอยให้บริการ เป็นต้น

76.       ผู้ค้าส่งที่ขายสินค้ามากประเภทในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน คือ

(1) Limited Function Wholesalers    (2) General Merchandise Wholesalers

(3)       General Line Wholesalers        (4) Service Wholesalers

(5) Specialty Wholesalers

ตอบ 2 หน้า 346, 352 ผู้ค้าส่งสินค้าทั่วไป (General Merchandise Wholesalers) จะขายสินค้า ให้กับผู้ค้าปลีก โดยมีสินค้าไว้ขายหลายประเภทภายในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน

77.       ประชากรการวิจัย (Research Population) คือ

(1) แหล่งข้อมูล            (2) หน่วยแปร  (3) ตัวแปร

(4)       ข้อ 1 และ 2 ถูก           (5) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

 

78.       ประโยชน์หลักของการกำหนดกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) คือ

(1) กำหนดจำนวนตัวอย่าง      (2) กำหนดวิธีการเลือกตัวอย่าง

(3) ป้องกันความคลาดเคลื่อน (4) กำหนดประชากรการวิจัย

(5)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 122, (คำบรรยาย) กรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) หมายถึง รายชื่อหน่วยตัวอย่าง พร้อมตำบลที่อยู่ และแผนที่แสดงอาณาเขตของกลุ่มตัวอย่างในขอบข่ายที่ผู้วิจัยต้องการที่จะ ทำการศึกษาค้นคว้า ดังนั้นประโยชน์หลักของการกำหนดกรอบตัวอย่างก็คือ การป้องกัน ความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่าง

 

79.       สิ่งต่อไปนี้ที่เป็นกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) คือ         

(1) เทสโก้โลตัส          (2) บิ๊กซี            (3) คาร์ฟูร์        (4) เซเว่นอีเลเว่น         (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คำบรรยาย) กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เป็นรูปแบบของร้านค้าปลีกที่นิยมกันทั่วโลกในปัจจุบัน โดยมีหลักการค้าที่สำคัญ เช่น คิดกำไรขั้นต้นต่ำ สินค้ามีการหมุนเวียนสูง ติดป้ายบอกราคาสินค้าทุกชิ้น จัดระบบร้านให้ลูกค้าเดินชมสินค้าได้โดยไม่มีการบังคับว่า จะต้องซื้อสินค้า ใช้ระบบให้ลูกค้าบริการตนเองและชำระเงินที่ทางออก เป็นต้น ตัวอย่าง ของร้านค้าประเภทนี้ เช่น เทสโก้โลตัสบิ๊กซีคาร์ฟูร์, 7-Eleven เป็นต้น

80.       แหล่งรวมข้อมูลภายในองค์กรธุรกิจ เช่น รายงานการปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ จัดเป็นระบบอะไร ในระบบข่าวสารทางการตลาด

(1) Internal Reports System

(2)       Marketing Research System   (3) Analytical Marketing System

(4)       Marketing Intelligence System        (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 114 – 115 ระบบข่าวสารทางการตลาด ประกอบด้วย 4 ระบบย่อย ได้แก่

1.         ระบบรายงานภายใน (Internal Reports System) เป็นรายงานผลการปฏิบัติงานของ ฝ่ายต่าง ๆ ภายในองค์กร ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนและเป็นประจำ เช่น รายงานเกี่ยวกับ ยอดขาย รายงานการเยี่ยมลูกค้า ฯลฯ

2.         ระบบความชาญฉลาดทางการตลาด (Marketing Intelligence System)

3.         ระบบการวิจัยตลาด (Marketing Research System)

4.         ระบบการวิเคราะห์การตลาด (Analytical Marketing System)

81.       หีบห่อแบบใดคือหีบห่อผู้บริโภค       

(1) หีบห่อทำจากกระดาษ       

(2) หีบห่อชนิดเติม

(3)       หีบห่อเพื่อการรวมสินค้าให้อยู่เป็นกลุ่ม          

(4) กระบะรวมสินค้า   

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 265 – 267 หีบห่อ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1.         หีบห่อผู้บริโภคหรือหีบห่อภายใน เป็นการหีบห่อที่ตัวสินค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาหีบห่อ ให้มีลักษณะที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า มีสีสัน ลวดลาย และมีรูปร่างของหีบห่อที่สวยงาม สดใส และทำหน้าที่เป็นเสมือนพนักงานขายไปในตัวด้วย เช่น หีบห่อชนิดเติม กระป๋องน้ำอัดลม ขวดน้ำหอม ฯลฯ

2.         หีบห่ออุตสาหกรรมหรือหีบห่อภายนอก เป็นการหีบห่อที่เน้นถึงความสะดวกในการขนส่ง มากกว่าเน้นที่ความดึงดูดใจผู้ซื้อ โดยจะใช้ห่อหีบห่อประเภทแรกอีกทีหนึ่งและจะบรรจุ เป็นปริมาณมาก เช่น กล่องกระดาษแข็งที่ใช้บรรจุผลไม้กระป๋อง ฯลฯ

82.       ข้อใดคือวิธีการของการตลาดเพื่อสังคมโดยใช้การพัฒนาบรรจุหีบห่อเป็นเครื่องมือ

(1) การรีไซเคิลวัสดุนำกลับมาใช้ทำหีบห่อใหม่           

(2) การออกแบบบรรจุหีบห่อให้สวยงามดึงดูดใจ

(3) การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลดการทิ้งขยะ         

(4) การใช้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าส่งขายต่างประเทศ

(5)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 267, (คำบรรยาย) แนวโน้มของการหีบห่อในปัจจุบันนับว่ามีการพัฒนารุดหน้าไป อย่างไม่หยุดยั้ง นับตั้งแต่กรรมวิธีในการผลิตอย่างรวดเร็ว ต้นทุนการผลิตที่ลดลง และการหีบห่อบางอย่างสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้หลังจากที่ใช้สินค้าในหีบห่อหมดแล้ว รวมทั้งการรีไซเคิลวัสดุนำกลับมาใช้ทำหีบห่อใหม่ ซึ่งเป็นวิธีการของการตลาดเพื่อสังคมโดยใช้การพัฒนาบรรจุหีบห่อเป็นเครื่องมือ

83.       ข้อใดคือตัวอย่างของตราสินค้าร่วม (Family Brand)  

(1) ลีโอ              (2)บรีส          (3) ลีวายส์       (4) เดสินิวส์     (5) ซัมซุง

ตอบ 5 หน้า 271 ตราสินค้าร่วม (Family Brand) คือ ตราสินค้าที่มีสินค้าหลายประเภทเข้ามาใช้ตราเดียวกัน ซึ่งสินค้าหลายชนิดนี้ต่างก็อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ผลิตหรือผู้ขายรายเดียวกัน ทำให้สะดวกในการแนะนำสินค้าใหม่สู่ตลาด เช่น ตราสินค้าซัมซุง (SAMSUNG) จะมีทั้งโทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก ฯลฯ

84.       ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1)       ตราส่วนตัว (Private Brand) คือ ตราที่ผู้ขายปลีก หรือผู้ขายส่งกำหนดขึ้นเอง

(2)       ตราผู้ผลิต เช่น ปูนตราเสือ เบียร์ตราช้าง

(3)       การใช้ตราสินค้าร่วมทำให้สะดวกในการแนะน้าสินค้าใหม่สู่ตลาด

(4)       การใช้ตราเอกเทศทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหาร

(5)       ความคุ้นเคยต่อตรามีความสำคัญต่อสินค้าสะดวกซื้ออย่างยิ่ง

ตอบ 4 หน้า 269 – 271 ตราสินค้าเอกเทศ (Individual Brand) เป็นตราสินค้าที่เกิดขึ้นจากการ ที่นักการตลาดไต้กำหนดตราสินค้าตราหนึ่งสำหรับสินค้าอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้มีตราอยู่ หลายตรา ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในด้านการบริหารงาน เช่น อาจทำให้ต้นทุนในการส่งเสริม การตลาดสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ตราหลายตราจะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดี

85.       ข้อใดแสดงถึงการพัฒนาหีบห่อผู้บริโภค

(1)       การออกแบบสินค้าให้ถอดประกอบได้เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการขนส่ง

(2)       พัฒนาใช้ลังพลาสติกในการขนส่งสินค้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

(3)       กระป๋องน้ำอัดลมลวดลายใหม่ สวยสดใส น่าสนใจมากขึ้น

(4)       การบรรจุสินค้าที่ขนส่งให้เต็มตู้คอนเทนเนอร์

(5)       การใช้วัสดุกันกระแทกชนิดใหม่ สินค้าปลอดภัยสูงขึ้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86.       ส่วนลดแบบใดที่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำกับผู้จำหน่ายรายเดิมได้ดี

(1) ส่วนลดการค้า        (2) ส่วนลดเงินสด        (3) ส่วนลดปริมาณแบบสะสม

(4) ส่วนลดตามฤดูกาล           (5) ส่วนยอมให้

ตอบ 3 หน้า 298 ส่วนลดปริมาณแบบสะสม เป็นส่วนลดที่ผู้ขายให้แก่ผู้ซื้อที่ซื้อสินค้าในปริมาณและ ภายในเวลาที่กำหนด โดยผู้ซื้อสามารถทยอยซื้อได้ แต่เมื่อรวมปริมาณซื้อทั้งหมดแล้วจะต้อง ได้ตามที่กำหนดไว้ภายในเวลาที่กำหนดด้วย ดังนั้นจึงเป็นส่วนลดทีทำให้เกิดการซื้อซ้ำกับ ผู้จำหน่ายรายเดิมได้ดี หรือทำให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อร้านค้า

87.       การกำหนดราคาควรคำนึงถึงปัจจัยในข้อใดมากที่สุด

(1)       สิ่งแวดล้อมทางการตลาด ต้นทุน ส่วนประสมการตลาดอื่น

(2)       ลูกค้า ต้นทุน คู่แข่ง     (3) ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

(4) ผลกำไร กฎหมาย การแข่งขัน       (5) ลูกค้า ผลกำไร คู่แข่งขัน สิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 หน้า 280 – 282, (คำบรรยาย) การกำหนดราคาควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1.         สิ่งแวดล้อมทางการตลาด เช่น สภาพเศรษฐกิจ กฎหมาย รัฐบาล คู่แข่งขัน ลูกค้า ฯลฯ

2.         ต้นทุนสินค้าหรือบริการ          3. ส่วนประสมการตลาดอื่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด

88.    ข้อใดแสดงถึงนโยบายราคาในส่วนของระดับราคาที่กิจการจะปฏิบัติ

(1) สินค้าในร้านทุกชิ้นราคาเดียวคือ 99 บาท (2) ราคานาทีทองช่วง 12.00 – 13.00 บ.

(3) ลด Clearance Sale        (4) Loss-Leader Pricing

(5) ร้านค้าสมัยใหม่นิยมใช้ราคาแบบ “Everyday Low Prices”

ตอบ 5 หน้า 282 นโยบายราคาในส่วนที่เกี่ยวกับระดับราคาที่กิจการจะปฏิบัติ มี 3 วิธี ดังนี้

1.      กิจการจะตั้งราคาตามราคาตลาด เพื่อป้องกันการแข่งขันกันลดราคา (Price War)

2.      กิจการจะตั้งราคาต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อให้ได้ส่วนครองตลาดมากขึ้น เช่น ร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) จะนิยมใช้นโยบายราคาแบบ Everyday Low Prices (ราคาต่ำทุกวัน) ฯลฯ

3.      กิจการจะตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาด เพื่อแสดงว่าสินค้ามีศักดิ์ศรีเหนือกว่าคู่แข่ง

89.    ข้อใดแสดงถึงแนวคิดการกำหนดราคาโดยมุ่งที่ลูกค้า

(1) ตั้งราคาแบบ Mark up        (2) ตั้งราคาตามคู่แข่งขัน

(3) ตั้งราคาตามการรับรู้คุณค่าสินค้าของลูกค้า        (4) ตั้งราคาเพื่อการประมูล

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 292 กลยุทธ์การกำหนดราคาโดยมุ่งที่อุปสงค์ เป็นการแสดงถึงแนวคิดการกำหนด ราคาโดยมุ่งที่ความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจัยที่มีส่วนในการกำหนดราคามี 2 ประการ คือ

1.      การรับรู้ถึงคุณค่าของสินค้าที่ผู้บริโภคคาดว่าจะได้รับ

2.      อุปสงค์หรือความต้องการของผู้ซื้อ (Demand)

90.    ไอศกรีมราคาโคนละ 7 บาท แฮมเบอร์เกอร์ไก่ 19 บาท ของร้านแมคโดนัลด์ จัดเป็นยุทธวิธีราคาข้อใด

(1)    ราคาล่อใจ (Loss-Leader Pricing)    (2) ราคาเชิงระดับ (Price Lining)

(3) ราคาแสดงเกียรติภูมิ       (4) ราคาตามความเคยชิน

(5) ราคามาตรฐาน

ตอบ 1 หน้า 296 การตั้งราคาล่อใจ (Loss-Leader Pricing) เป็นวิธีการตั้งราคาสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ให้ตำมากหรือต่ำกว่าทุน เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านและซื้อสินค้าชนิดอื่นด้วย สินค้าที่ลดราคา ควรเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคยอมรับ มีชื่อเสียง และน่าสนใจ เช่น ยุทธวิธีในการกำหนดราคาของ ร้านอาหาร Fast Food ที่ขายอาหารเป็นชุดประหยัด หรือขายในราคาถูกมาก ๆ เพื่อดึงดูด ให้ลูกค้าเข้าร้าน เป็นต้น

91.    ผู้ขายเฟอร์นิเจอร์มีต้นทุนแปรผันการผลิตตู้เสื้อผ้าตัวละ 1,200 บาท ต้องการกำหนดราคาขายโดยได้รับกำไรร้อยละ 25 จากราคาขาย ควรกำหนดราคาขายตู้ใบละเท่าใด         

(1) 1,500 บาท        

(2)  1,600 บาท  

(3) 1,800 บาท       

(4) 2,000 บาท       

(5) 2,400 บาท

ตอบ 2

92.    จากราคาขายตามข้อ 91. ถ้ามีต้นทุนคงที่ต่อเดือนเท่ากับ 50,000 บาท ต้องขายตู้กี่ตัวต่อเดือนจึงจะคุ้มทุน

(1) 80 ตัว     (2) 100 ตัว    (3) 125 ตัว     (4) 150 ตัว       (5) 160 ตัว

ตอบ 3

93.       สินค้าในข้อใดที่มีการใช้นโยบายราคาแบบตักตวงกำไรในระยะแนะนำ

(1) สินค้านวัตกรรมใหม่           (2)       แชมพูสูตรสมุนไพร      (3)       อาหารแนวชีวจิต

(4) น้ำอัดลมรสชาติใหม่          (5)       เครื่องสำอางมุ่งกลุ่มวัยรุ่น

ตอบ 1 หน้า 294 การตั้งราคาเพื่อตักตวง (Skim the Cream Pricing) คือ การที่ธุรกิจตั้งราคาเริ่มแรกสูงเพื่อให้ได้กำไรสูง ส่วนใหญ่มักขายให้กับส่วนของตลาดที่จำกัด และเหมาะกับผลิตภัณฑ์ ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในระดับสูง โดยสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการตั้งราคาสูง ได้แก่

1.         เป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่มีความใหม่ต่อตลาดและมีกำลังการผลิตจำกัด

2.         อุปสงค์ของสินค้ามีความยืดหยุ่นต่อราคาน้อย           3. ตลาดมีขนาดเล็ก

4. ลักษณะการแข่งขันเป็นแบบผู้ขายรายเดียว           5. ผู้ผลิตเป็นผู้นำทางด้านราคา

6. ต้องการสร้างภาพพจน์ให้กับสินค้าว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี

94.       การตั้งราคาต่ำเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของตลาดสำหรับสินค้าใหม่ระยะแนะนำคือข้อใด

(1) ตั้งราคาเพื่อตักตวง            (2)       ตั้งราคาเพื่อเจาะตลาด            (3)       ตั้งราคาเชิงระดับ

(4) ตั้งราคาให้แลดูน้อยโดยใช้เลขคี่    (5)       ตั้งราคาล่อใจ (Loss-Leader Pricing)

ตอบ 2 หน้า 294 การตั้งราคาเพื่อเจาะตลาด (Penetration Pricing) คือ การที่ธุรกิจตั้งราคาต่ำ เพื่อกระตุ้นให้ตลาดขยายตัว ซึ่งจะทำให้ได้ส่วนครองตลาดเพิ่มขึ้น และเป็นการกำจัดคู่แข่งขัน นอกจากนี้ยังทำเพื่อผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากเพราะก่อให้เกิดการประหยัด ทั้งนี้เนื่องจาก ขนาดการผลิตที่เต็มกำลังความสามารถ จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ ในการกำหนดราคาที่เหมาะสมสำหรับสินค้าใหม่ในระยะแนะนำอีกด้วย

95.       ข้อใดคือตราสินค้าระดับชาติและโลก

(1) กระทิงแดง         (2) สิงห์   (3) ช้าง            (4) CPF       (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คำบรรยาย) ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่เป็นของคนไทยหลายบริษัทสามารถผลักดัน ตราสินค้าของตนให้เป็นตราสินค้าระดับชาติและระดับโลก เช่น กระทิงแดง (Red Bull)  สิงห์ ช้าง และ CPF (บริษัทในเครือ CP หรือเจริญโภคภัณฑ์) เป็นต้น

96.       ข้อใดคือการกำหนดราคาโดยคำนึงถึงความแตกต่างทางอุปสงค์ (Demand)

(1) ค่าตั๋วชมละครเวทีแตกต่างกับตามโซนที่นัง           (2) ค่าตั๋วโดยสารเด็กและผู้สูงอายุลด 50% จากปกติ

(3)       ราคาสินค้าที่ขายในต่างประเทศสูงกว่าขายในประเทศ

(4)       ข้อ 1 และ 2 ถูก           (5) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 1 หน้า 296 – 297 การตั้งราคาโดยคำนึงถึงความแตกต่างของอุปสงค์ หมายถึง สินค้า

ชนิดเดียวกันและมีต้นทุนเท่ากัน แต่ขายในราคาที่แตกต่างกันให้แก่ผู้ซื้อที่มากกว่า 1 กลุ่ม ซึ่งราคาที่แตกต่างกันนี้ก็เนื่องมาจากความแตกต่างที่เกิดขึ้นใน 4 รูปแบบ คือ 1. ทางด้านลูกค้า          2. ทางด้านรูปแบบของผลิตภัณฑ์       3. ทางด้านสถานที่ (เช่น ค่าตั๋ว ชมภาพยนตร์หรือละครเวทีจะแตกต่างกันตามโซนที่นั่ง ฯลฯ) 4. ทางด้านเวลา

97.       ข้อใดจัดเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการทางการตลาด

(1) จัดทำแผนการตลาด          (2) วิเคราะห์โอกาสทางการตลาด

(3) กำหนดวัตถุประสงค์ทางการตลาด           (4) วางแผนผลิตภัณฑ์

(5) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

ตอบ 2 หน้า 88 กระบวนการทางการตลาด มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1.         การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาด       2. การเลือกตลาดเป้าหมาย

3. กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด   4. การพัฒนาระบบบริหารการตลาด

98.       ข้อใดเกี่ยวข้องน้อยที่สุดกับการพัฒนาระบบบริหารการตลาด

(1) การวางแผนการตลาด       (2) การจัดระบบควบคุมทางการตลาด

(3) การจัดโครงสร้างหน่วยงานทางการตลาด (4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

(5) การพัฒนาระบบข้อมูลและการวิจัยตลาด

ตอบ 4 หน้า 102 – 103 การพัฒนาระบบบริหารการตลาด มีงานสำคัญ 3 ประการ คือ

1.         ระบบการวางแผนและควบคุมทางการตลาด

2.         ระบบข้อมูลข่าวสารทางการตลาด

3.         ระบบโครงสร้างองค์การทางการตลาด

ข้อ 99. – 100. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) Market Penetration     (2) Market Development

(3) Forward Integration    (4) Backward Integration

(5) Diversification Growth

99.       บริษัทได้ทุ่มเทงบประมาณในการส่งเสริมการตลาดสินค้าปัจจุบันของบริษัทเพิ่มขึ้น เพื่อหวังเพิ่มยอดขาย และส่วนครองตลาดในปีนี้ จัดเป็นการใช้กลยุทธ์แบบใด

ตอบ 1 หน้า 86 การแทรกซึมตลาด (Market Penetration) เป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อการเจริญเติบโต แบบ Intensive Growth ซึ่งกิจการทยายามจะเพิ่มยอดขายสินค้าที่มีอยู่แล้วให้ได้ปริมาณ มากขึ้นในตลาดปัจจุบัน โดยทุ่มเทความพยายามทางการตลาดอย่างหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิม

100.    บริษัทที่เคยทำธุรกิจด้านการค้าปลีกได้ไปลงทุนในกิจการด้านภัตตาคารไทยในต่างประเทศ เนื่องจาก เห็นโอกาสทางการตลาดของธุรกิจเหล่านั้น อันเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายครัวไทยสู่ตลาดโลก เป็นการใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบใด

ตอบ 5 หน้า 86 – 87 กลยุทธ์เพื่อการเจริญเติบโตแบบ Diversification Growth โดยใช้แนวทางด้าน Conglomerate Diversification เป็นลักษณะการขยายตัวของกิจการโดยการเพิ่มสินค้าใหม่ ที่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเทคโนโลยีและตลาดปัจจุบันของกิจการเลย โดยจะมุ่งเข้าสู่ ตลาดเป้าหมายกลุ่มใหม่

ข้อ 101. – 102. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ต้องการสินค้า (Wants)          

(2) เข้าพบได้ (Reachability)

(3) อำนาจตัดสินใจ (Authority) 

(4) จ่ายเงินได้ (Ability)

(5) ต้องการเวลาตัดสินใจ (Temporality)

101. โทรศัพท์มือถือขายได้ทุกแหล่งในขณะที่เครื่องดูดฝุ่นใช้ได้บางสถานที่ เป็นเหตุของข้อใด

ตอบ 1 หน้า 472 – 474 คุณสมบัติของลูกค้ามุ่งหวัง (Prospect) มี 5 ประการ ดังนี้

1.      มีความจำเป็นหรือมีความต้องการสินค้า (Wants) นั่นคือ นักขายต้องพิจารณาดูว่า สินค้าของตนเหมาะที่จะขายให้กับลูกค้ากลุ่มใด

2.      มีความสามารถจ่ายเงินได้ (Ability to Purchase) หรือมีอำนาจซื้อ

3.      มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ (Authority)

4.      นักขายสามารถเข้าพบหรือเข้าถึงลูกค้าได้ (Reachability)

5.      มีคุณสมบัติหรือข้อกำหนดเฉพาะครบถ้วน (Eligibility)

102. นักขายต้องเอาชนะอุปสรรคการขายมากกว่าปกติ เป็นเหตุจากข้อใด

ตอบ 4 หน้า 500 – 502,(ดูคำอธิบายข้อ 101.ประกอบ) อุปสรรคในการขายส่วนใหญ่เกิดขึ้นจาก การที่ความต้องการของลูกค้าแต่ละคนไม่มีทีสิ้นสุด แต่อำนาจซื้อหรือความสามารถในการจ่ายเงิน มีอยู่อย่างจำกัด ผู้ซื้อจึงพยายามเลือกสิ่งทีดีที่สุดและเสียผลประโยชน์น้อยที่สุดเสมอ ดังนั้น นักขายจึงต้องเผชิญกับการโต้แย้งหรือข้อเรียกร้องที่บ่ายเบี่ยงไปจากข้อเสนอขายของเขาอยู่เสมอ ทำให้นักขายต้องใช้ความพยายามเพื่อเอาชนะอุปสรรคการขายมากกว่าปกติ

ข้อ 103. – 104. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) อ้างถึง บอกต่อ    (2) จดหมายไปรษณีย์            (3) สาธิตสินค้า

(4) โทรศัพท์   (5) อินเทอร์เน็ต

103. วิธีการใดใช้ร่วมกับการกรอกแบบสอบถามเพิ่มเติมเพื่อเฟ้นหาตัวลูกค้า

ตอบ 2 หน้า 481 – 482 การแสวงหาลูกค้ามุ่งหวังโดยใช้วิธีส่งจดหมายทางไปรษณีย์ไปถึงลูกค้า โดยตรงนั้น มักนิยมนำมาใช้ควบคู่กับการกรอกแบบสอบถามเพิ่มเติม (Inquiry) โดยนักขาย จะส่งคูปองและข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าไปถึงมือลูกค้าพร้อมกับจดหมายทางไปรษณีย์ และ ให้ตอบกลับมาในใบสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งแสดงว่า ลูกค้าที่กรอกข้อมูลส่งกลับมานั้น เป็นผู้ที่มีความสนใจจริง นักขายก็สามารถรวบรวมชื่อลูกค้าเหล่านี้เข้าเป็นกลุ่มลูกค้ามุ่งหวัง แล้วติดตามไปพบปะได้ในโอกาสอื่นๆ ต่อไป

104. วิธีการใดต้องคำนึงถึงโอกาสและกาลเทศะ จึงจะได้ผลดี

ตอบ 4 หน้า 482 – 483 การแสวงหาลูกค้ามุ่งหวังโดยทางโทรศัพท์ เป็นวิธีที่นักขายเลือกใช้ในการ จำหน่ายสินค้าบางชนิด เช่น การประกันภัย การกำจัดและป้องกันแมลงหรือปลวก ฯลฯ ซึ่งวิธีนี้ จะช่วยให้นักขายประหยัดแรงงานและคำใช้จ่ายในการตระเวนพบเพื่อหว่านการขายของตน ให้กับลูกค้าอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอน และสามารถทดสอบความสนใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ สินค้าได้ดี อย่างไรก็ตาม นักขายจะต้องคำนึงถึงจังหวะเวลาหรือโอกาส ความพร้อมของลูกค้า และความเหมาะสมกับกาลเทศะ จึงจะใช้วิธีนี้อย่างได้ผล

105. การกำหนดวัตถุประสงค์หน่วยขายมีภารกิจแรกคืออะไร

(1) ประเมินจำนวนลูกค้า       (2) ประเมินจำนวนนักขาย

(3) ประเมินความสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง           (4) ประเมินเงินทุนดำเนินงาน

(5) ประเมินสถานการณ์แวดล้อมงานขาย

ตอบ 3 หน้า 527 – 528 การกำหนดวัตถุประสงค์ของหน่วยงาบขาย เป็นภารกิจประการแรกที่ หน่วยงานขายจะต้องรับผิดชอบ และเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการวางแผนงานขาย โดยทั่วไป วัตถุประสงค์มักเป็นสิ่งที่กิจการระบุไว้สั้น ๆ เพื่อบอกให้รู้ว่า กิจการจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้โดยอาจระบุไว้เป็นปริมาณขาย ส่วนครองตลาด ค่าใช้จ่ายในการขาย คุณภาพของงานขาย ฯลฯ ซึ่งต้องให้มีความชัดเจนมากพอที่จะนำมา กำหนดแนวทางปฏิบัติต่อไปได้ และต้องสอดคล้องอับวัตถุประสงค์รวมของกิจการนั้นด้วย

106.    ขนาดของหน่วยงานขายพิจารณาจากเรื่องใด          

(1) ทำเลที่ตั้งของสำนักงานขาย

(2)       ภาระงานขายของนักขาย       (3) คุณภาพของนักขาย

(4)       งบประมาณและค่าตอบแทนขาย      (5) ความเสมอภาคในสิทธิการออกปฏิบัติงานขาย

ตอบ 2 หน้า 531 การกำหนดขนาดของหน่วยทบขายอาจใช้ได้หลายวิธี แต่วิธีทีนิยมกันอย่างกว้างขวางก็คือ กำหนดจำนวนพนักงานขายโดยพิจารณาจากภาระงานที่ต้องปฏิบัติ (Work Load) ตาม แนวความคิดของ Walter J. Talley ซึ่งถือหลักการกระจายภาระงานขายให้กับนักขายทุกคน โดยเท่าเทียมกัน

107.    แหล่งของนักขายจากภายในกิจการต้องพิจารณาคุณสมบัตินักขายจากอะไร

(1) ความรู้ความลามารถเฉพาะด้านการขาย   (2) ระยะการเดินทางจากที่พัก

(3)       เงินเดือนเดิมที่เคยได้รับ         (4) ประวัติการศึกษา

(5)       ความประพฤติ

ตอบ 5 หน้า 533 การแสวงหานักขายจากแหล่งภายในกิจการ เป็นวิธีที่กิจการต้องการสนับสนุนนักขายของกิจการให้มีความก้าวหน้าและล่งเสริมให้นักขายมีขวัญกำลังใจทีดีขึ้น วิธีนี้มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

1.         นักขายเหล่านี้ต่างก็รู้ถึงนโยบายขอ3กิจการเป็นอย่างดือยู่แล้ว

2.         ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการแสวงหา การคัดเลือก และการฝึกอบรม

3.         ฝ่ายบริหารรู้จักอุปนิสัย ความประพฤติ และประวัติการทำงานของนักขายเหล่านี้ เป็นอย่างดี จึงทำให้ง่ายต่อการคัดเลือกคนตามที่ต้องการ

108.    การฝึกอบรมแบบต่อเนื่อง (Continuous Training) เหมาะกับกรณีใด

(1) นักขายเก่าที่มีผลงานไม่ดี  (2) นักขายใหม่ที่ขาดประสบการณ์

(3) นักขายเก่าที่มีผลงานดีเลิศ            (4) นักขายใหม่ที่มีค่าตอบแทนสูง

(5) นักขายใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในสินค้านั้น

ตอบ 1 หน้า 535 – 536 การฝึกอบรม มี 2 ระยะ ได้แก่

1.         การฝึกอบรมเบื้องต้น (Initial Training) จะให้ความรู้เบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานสำคัญของนักขาย หน้าใหม่ที่ขาดประสบการณ์หรือยังไม่เคยผ่านงานขายมาก่อน ส่วนใหญ่มักให้ความรู้เกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของบริษัท นโยบายทางการตลาดและการขายเทคนิคการขาย เป็นต้น

2.         การฝึกอบรมแบบต่อเนือง (Continuous Training) มักใช้กับนักขายที่มีประสบการณ์ทาง การขายมาก่อน แต่อาจมีผลงานที่ยังไม่ดีนัก โดยกิจการจะเรียกมาอบรมในส่วนทีต้องการให้รู้ เพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายที่สำคัญ เช่น นโยบายทางการขาย อาณาเขตขาย เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกี่ยวกับการผลิตและตัวสินค้า กลยุทธ์การขายใหม่ ๆ เป็นต้น

109.    ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมการขายมีประโยชน์อย่างไร

(1)       สามารถนัดหมายลูกค้าได้โดยใช้เวลาไม่มาก

(2)       สามารถกล่าวอ้างถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขายได้น่าเชื่อถือ

(3)       ตัดสินใจลดราคาขายตามที่ลูกค้าต่อรองได้ทันที

(4)       จัดงบประมาณขายได้เหมาะกับสถานที่ที่จะไบ่ขาย

(5)       กำหนดมาตรฐานคุณภาพสินค้าที่เหมาะสมกับลูกค้าได้ดี

ตอบ 1 หน้า 488 – 489 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมทางการขาย เป็นสภาวะแวดล้อมที่นักขาย พิจารณาในระหว่างการสร้างส้มพันธภาพทางการขายกับลูกค้าของเขาอย่างถี่ถ้วน เพื่อเตรียมการ ให้พร้อมที่จะเผชิญกับภาวการณ์ขายตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งสภาวะแวดล้อม ทางการขายที่นักขายให้ความสนใจ เช่น ภาวะการแข่งขันในตลาด บรรยากาศในการเจรจา การขาย เวลาและสถานที่ในการนัดหมายกับลูกค้า เป็นต้น

110.    ข้อใดที่เป็นประเด็นสำคัญช่วยให้ปิดการขายได้สำเร็จ         

(1) การสั่งเสนอซื้อจากลูกค้า

(2)       บรรยากาศที่สอดคล้องกับสินค้าชนิดนั้น       (3) ข้อตกลงเรื่องราคาที่ต่อรองได้สิ้นสุดลง

(4)       ร่องรอยจากอาการแสดงออกของลูกค้า         (5) ทดสอบคุณภาพสินค้าให้ปรากฏ

ตอบ 5 หน้า 503 – 505 การสาธิตสินค้า (Demonstration) ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยให้นักขาย ปิดการขายได้สำเร็จโดยใช้เวลาไม่นานนัก ทั้งนี้เพราะการสาธิตสินค้าสามารถดึงดูดความสนใจ และความรู้สึกเข้าไปมีส่วนร่วมในงานขายได้ดี โดยลูกค้าสามารถทำความเข้าใจสินค้าที่มี ความซับซ้อนในการใช้งานได้ด้วยการจับต้อง ลูบคลำ สัมผัส ทดลองใช้เพื่อทดสอบคุณภาพ ของสินค้า หรือได้ชมการปฏิบัติงานของสินค้านั้นจริง ๆ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกแน่ใจในสินค้านั้น และมั่นใจพอที่จะตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าในที่สุด

111.    การติดตามผลภายหลังการขายไม่ได้ระบุไว้ให้เป็นข้อใด

(1)       ขอบคุณที่ยังไม่สั่งซื้อ  

(2) หาทางระบายอารมณ์เสียออกไปก่อน

(3)       แสดงความสนใจในเรื่องของลูกค้าที่ไม่น่าสนใจ        

(4) โทรติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

(5)       เสนอผลประโยชน์เพิ่มเติมหลังการขาย

ตอบ 3 หน้า 507 – 508 การติดตามผลภายหลังการขายมีแนวปฏิบัติหลายประการ ดังนี้

1.         ในกรณีที่ลูกค้าปฏิเสธหรือเลื่อนการสั่งซื้อสินค้าออกไป นักขายจะต้องไม่แสดงความขุ่นเคืองใจ หรืออาการใด ๆ ออกมา แต่ยังคงรักษาอาการสุภาพเอาไว้เสมอ

2.         แสดงความขอบคุณที่ลูกค้าสละเวลาให้เข้าพบ

3.         ถ้านักขายเสียอารมณ์มาก ๆ ควรหาทางระบายอารมณ์ให้ผ่องใสเสียก่อน จึงจะเริ่มการขายรายต่อไป

4.         รับข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของลูกค้าไว้พิจารณา

5.         ปรับปรุงการให้บริการต่าง ๆ ของกิจการ

6.         มีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

7.         ออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อกระชับความส้มพันธ์ระหว่างกัน

112.    โซ่ไม่มีปลายเป็นวิธีหาลูกค้าเหมาะกับแบบใด         

(1)ขายสินค้าในร้านค้าปลีก         

(2)   ขายกับแผงลอย         

(3) ขายบริการ

(4) ขายของผิดกฎหมาย         

(5)ขายสารเคมี

ตอบ 3 หน้า 477 วิธีโซ่ไม่มีปลาย เป็นวิธีที่ทำให้นักขายสามารถหารายชื่อลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 1 ราย เมื่อเขาไปพบลูกค้าที่ได้นัดหมายและขอร้องให้ลูกค้าแนะนำชื่อคนอีก 1 คนให้เขาด้วย วิธีนี้เหมาะกับการขายสินค้าประเภทไม่มีตัวตน (Intangible product) หรือขายบริการ เช่น บริการกำจัดปลวก การประกันภัย การอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อ 113, – 117. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) การตลาดเป้าหมาย           (2) การตลาดมวลชน

(3) การตลาดผลิตภัณฑ์แตกต่าง        (4) การแบ่งส่วนตลาด

(5) การวางกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด

113.    หลังจากกำหนดตลาดเป้าหมายได้แล้ว นักการตลาดจะดำเนินการใด

ตอบ 5 หน้า 169 หลังจากที่มีการแบ่งตลาดรวมออกเป็นตลาดส่วนย่อย ๆ แล้ว นักการตลาดจะเลือก ตลาดส่วนแบ่งออกมาเพียงหนึ่งหรือมากกว่านั้น เพื่อกำหนดเป็นตลาดเป้าหมายของกิจการ จากนั้น จะมีการกำหนดตำแหน่ง (Positioning) ของตลาด แล้วจัดวางกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix strategy) สำหรับตลาดนั้น ๆ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายต่อไป

114.    วิธีการรวบรวมเข้าด้วยกัน Aggregation นำมาใช้สำหรับ

ตอบ 4 หน้า 172 การแบ่งส่วนตลาดเป็นการทำให้ตลาดเป้าหมายของกิจการมีขนาดเล็กลงกว่า ตลาดรวม โดยนักการตลาดจะใช้วิธีการรวมเข้าด้วยกันหรือที่เรียกว่า “Aggregate” ซึ่งจะต้อง พิจารณาเลือกเอาตัวแปรจำนวนหนึ่งที่มีความเหมาะสมกับสินค้าชนิดนั้น ๆ แล้วนำมาใช้เป็น เกณฑ์ในการรวมกลุ่มผู้บริโภคจำนวนหนึ่งเข้ามาไว้ด้วยกัน

115.    การจัดให้มีผลิตภัณฑ์อาหารประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเนื้อ รสต้มยำ และรสพะโล้ข้าวต้มและโจ๊กสำเร็จรูป รสกุ้ง และหมู ซุปน้ำใสรสหอม รสเห็ด และรสข้าวโพด

ตอบ 3 หน้า 168 การตลาดผลิตภัณฑ์แตกต่าง (Product Differentiated Marketing) หมายถึง การดำเนินการตลาดโดยผลิตสินค้ามากกว่าหนึ่งชนิดที่ได้กำหนดให้มีความแตกต่างไปจาก สินค้าประเภทเดียวกันของคู่แข่งขัน ทั้งในด้านรูปลักษณะ แบบ คุณภาพ ขนาด ความสามารถ ในการปฏิบัติงาน ประโยชน์ใช้สอย และอื่น ๆ ซึ่งเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อเสนอโอกาสให้ลูกค้าทั้งมวลเลือกสรรจนเป็นที่พอใจอย่างแท้จริง

116.    การจัดกลุ่มผู้บริโภคที่มีความคล้ายคลึงกันและแตกต่างจากผู้บริโภคในกลุ่มอื่น ๆ

ตอบ 4 หน้า 170 การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) คือ การแบ่งตลาดรวมออกเป็น ส่วนย่อย ๆ โดยตลาดแต่ละส่วนจะประกอบด้วยผู้บริโภคที่มีตัวแปรร่วมที่คล้ายคลึงกันหรือ เป็นอย่างเดียวกัน นักการตลาดจะเลือกตลาดส่วนแบ่งนี้ขึ้นมาเป็นเป้าหมายในการดำเนินงาน ทางการตลาดของตน โดยใช้กลยุทธ์สวนประสมทางการตลาดที่ได้จัดวางขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ ตลาดเป้าหมายนั้น ๆ

117.    สามารถกำหนดโอกาสทางการตลาดของกิจการได้ชัดเจน จากการสำรวจหาความต้องการของผู้บริโภค ในตลาดอย่างถี่ถ้วน โดยอาศัยวิธีการใด

ตอบ 1 หน้า 168 – 169 ข้อดีของการกำหนดตลาดเป้าหมาย มี 3 ประการ ดังนี้

1.         สามารถกำหนดโอกาสทางการตลาดได้ชัดเจน เนื่องจากนักการตลาดสามารถพิจารณา ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดส่วนนั้น ๆ ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

2.         สามารถปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความมุ่งหวังของลูกค้าในตลาดได้โดยสมบูรณ์

3.         สามารถปรับแต่งองค์ประกอบของส่วนประสมทางการตลาดให้เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม โดยแท้จริง

118.    ข้อใดเป็นกรณีที่เหมาะจะใช้โอกาสซื้อสินค้าเป็นตัวแปรสำคัญในการแบ่งส่วนตลาด

(1)       ต้องการให้ใช้ยาสีฟันผสมเกลือแร่เป็นประจำ

(2)       ผู้ซื้อจะเพิ่มการซื้อมากขึ้น ถ้าราคาถูกลง

(3)       ขายรถยนต์บรรทุกกระบะสำหรับคนที่ต้องการเนื้อที่และน้ำหนักบรรทุกมากขึ้นกว่าปกติ

(4)       ขายรถจักรยานยนต์สำหรับกลุ่มวัยรุ่นต้องการความเร็วสูง

(5)       ต้องการให้ผู้บริโภคดื่มน้ำส้มสดในระหว่างมื้อเย็น

ตอบ 5 หน้า 184 การแบ่งส่วนตลาดโดยใช้โอกาสซื้อ มักถูกนำมาใช้ในกรณีที่กิจการต้องการจัดกลุ่ม หรือแยกชนิดสินค้าไว้เป็นพวก เช่น กิจการได้พยายามสนับสนุนให้ผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำส้มสด ที่นิยมดื่มในตอนเช้าให้มาดื่มในระหว่างอาหารมื้อเย็นด้วย นอกจากนี้ยังรวมถึงโอกาสในการ ซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์ วันตรุษจีน วันปีใหม่ เป็นต้น

119.    คุณสมบัติของส่วนตลาดที่ว่า เข้าถึงได้” หมายความว่า…

(1)       รู้ว่าผู้ซื้อคือใคร มีจำนวนมากเท่าใด

(2)       ลูกค้าอยู่ในทำเลที่กิจการขายได้โดยสะดวกรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป

(3)       อยู่ในท้องถิ่นที่มีการคมนาคมดี

(4)       มีปริมาณความต้องการหนาแน่นในบริเวณนั้น

(5)       มีรายละเอียดข้อมูลผู้บริโภคขัดเจนเพียงพอที่จะจัดวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะกับเป้าหมายได้

ตอบ 5 หน้า 192 เกณฑ์การแบ่งส่วนตลาดที่มีประสิทธิภาพ มี 3 ประการ ดังนี้

1.         วัดค่าได้ หมายถึง ตลาดส่วนแบ่งนั้นต้องสามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนในลักษณะที่สามารถ วัดค่าออกมาได้ เช่น ขนาดของตลาด อำนาจซื้อ ฯลฯ

2.         เข้าถึงได้ หมายถึง ตลาดส่วนแบ่งนั้นจะต้องสามารถเข้าถึงและตอบสนองผู้บริโภคในกลุ่มนั้นได้ โดยนักการตลาดจะต้องมีรายละเอียดข้อมูลของผู้บริโภคชัดเจนเพียงพอที่จะจัดวางกลยุทธ์ ทางการตลาดที่เหมาะกับเป้าหมายได้

3.         ขนาดพอเหมาะ หมายถึง ตลาดส่วนแบ่งนั้นต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะให้ผลกำไรแก่กิจการได้

120.    ข้อใดเป็นกลยุทธ์การตลาดเป้าหมายแบบมุ่งเฉพาะตลาด

(1)       “ผงน้ำยาล้างจานใช้สำหรับผลิตภัณฑ์เมลานีน

(2)       ปากกาลูกลื่นตราใหม่ราคา 3 บาท มุ่งขายนักเรียนและนักศึกษาเป็นหลักใหญ่

(3)       หนังสือพิมพ์รายวันออกทุกวันพุธและอาทิตย์ ฉบับละ 8 บาท

(4)       สบู่ครีมกลิ่นน้ำหอมตราใหม่ คลีโอ” ราคา 10บาท

(5)       สายผลิตภัณฑ์เครื่องประดับทำจากเพชรเลี้ยงทุกขึ้น ทุกแบบ และมีหลายชนิด ครบทั้งสายผลิตภัณฑ์

ตอบ 1 หน้า 200 การตลาดแบบมุ่งเฉพาะ (Concentrated Marketing) นั้น กิจการจะพิจารณาตลาดเป้าหมายของตน โดยเลือกตลาดส่วนแบ่งตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ จะมุ่งเฉพาะไปในตลาดที่ได้พิจารณาเห็นว่ามีความน่าสนใจ หรือมีโอกาสทางการตลาดดีกว่า ตลาดส่วนอื่น ๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้กิจการมีโอกาสครอบครองหรือยึดตลาดไว้ได้อย่างเหนียวแน่น สามารถแทรกซึมเข้าตลาดได้ลึกซึ้ง และมีสภาพทางการตลาดที่มั่นคง

MCS4106 (MCS4170) การวิจัยสื่อสารมวลชนเบื้องต้น การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 4106 (MCS 4170) การวิจัยสื่อสารมวลชนเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         ใครเป็นผู้กล่าวข้อความ ความรู้ทุกแห่งหนในโลกของเรานั้นยังไม่สมบูรณ์…ปัญหาต่าง ๆ ยังรอการแก้ไขอยู่ ” ต่อไปนี้

(1)       Parsons & Shills 

(2) Paul Leedy         

(3) Verstehen    

(4) Reiss

ตอบ 2 หน้า 11-12 Paul Leedy นักวิจัยทางสังคมศาสตร์กล่าวว่า ความรู้ทุกแห่งหนในโลกของเรานั้น ยังไม่สมบูรณ์ และปัญหาต่าง ๆ นั้นยังรอผู้แก้ไขให้ความกระจ่างแจ้งชัดเจนอยู่อีกมาก… บทบาทของการวิจัยก็คือ การตระเตรียมวิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบเหล่านี้โดยการศึกษา และแสวงหาความจริงในสากลโลก ภายใต้วิธีการทางวิทยาศาสตร์

2.         การวิจัยสื่อสารมวลชน มีความหมายอย่างไรดังต่อไปนี้

(1)       การรวบรวมข้อมูลภาคสนามนำมาทดสอบสมมุติฐานของการวิจัย

(2)       กระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่ภายใต้วิธีการทางวิทยาศาสตร์

(3)       การตั้งคำถามเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงตามทฤษฎีสื่อสารมวลชน

(4)       กระบวนการค้นหาข่าวสารด้านสื่อสารมวลชนเพื่อการตีความตามหลักสถิติ

ตอบ 2 หน้า 11 การวิจัยสื่อสารมวลชน (Mass Communication Research) คือ กระบวนการ แสวงหาความรู้ใหม่ทางสื่อมวลชน หรือเป็นการค้นหาคำตอบจากปัญหาสื่อมวลชน โดยใช้ วิธีการหรือระเบียบวิธีการวิจัยแบบต่าง ๆ ภายใต้กระบวนการหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เข้าดำเนินการวิเคราะห์ค้นหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับหัวข้อหรือปัญหาที่จะทำวิจัย ตามจุดมุ่งหมายของผู้วิจัยนั้นเป็นสำคัญ

3.         การวิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของวัยรุ่นต่อการชมภาพยนตร์เรื่องเพศและความรุนแรง” นั้น อะไรเป็น ตัวแปรตามต่อไปนี้

(1)       ความพึงพอใจ (2) พฤติกรรมชอบความรุนแรง

(3) ภาพยนตร์เรื่องเพศ            (4) วัยรุ่นที่ชมภาพยนตร์

ตอบ 1 หน้า 84369 ตัวแปรตาม (Dependent Variables : DV) คือ ตัวแปรที่เกิดขึ้นจากผลของตัวแปรด่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันนั้น หรือเป็นตัวแปรที่สามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์จาก กลุ่มหรือชุดของตัวแปรอิสระหลาย ๆ ตัวเข้าประกอบกัน เพื่ออธิบายหรือสรุปการทำบาย ตัวแปรตาม (DV) จากตัวแปรอิสระ (IV) ทำให้ในบางครั้งจึงเรียกตัวแปรตามว่า ตัวแปรผล” เพราะเกิดจากผลของตัวแปรอิสระ หรือขึ้นอยู่กับตัวแปรอิสระนั่นเอง เช่น จากหัวข้อวิจัยข้างต้น พบว่า ความพึงพอใจของวัยรุ่นเป็นตัวแปรตาม ส่วนภาพยนตร์เรื่องเพศและความรุนแรงเป็น ตัวแปรอิสระ เป็นต้น

4.         หลักการที่ใช้ Anonymity นั้น เกี่ยวกับเรื่องใดต่อไปนี้

(1) การรวบรวมข้อมูล  (2) การสร้างแบบสอบถาม

(3) การวัดผล   (4) จรรยาบรรณของนักวิจัย

ตอบ 4 หน้า 101 จรรยาบรรณลากลของนักวิจัยสื่อสารมวลชนในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล (Privacy) ได้แก่

1.         การไม่เปิดเผยชื่อ (Anonymity) คือ การปกปิดชื่อ – สกุลของผู้ร่วมมือในการวิจัยนั้น ซึ่ง การไม่เปิดเผยชื่อจะยังคงเก็บรักษาไว้ได้ก็ต่อเมื่อผู้วิจัยไม่ได้ทิ้งเอกสารหรือแบบสอบถามใด ๆ ไว้เป็นหลักฐานในการตอบคำถามนั้น และนำมาเก็บไว้ใบสถานที่ที่ไม่เปิดเผย

2.         การปิดเป็นความลับ (Confidentiality) คือ การรับรองว่าผู้เข้าร่วมมือในการวิจัย จะไม่ถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว โดยการตกลงว่าจะปิดเป็นความลับ ฯลฯ

5.         การทำงานของนักวิจัยสื่อสารมวลชนนั้น เริ่มที่เรื่องใดก่อนดังต่อไปนี้

(1)       แหล่งข้อมูล     (2) สมมุติฐาน  (3) ปัญหา       (4) การวิเคราะห์ปัญหา

ตอบ 3 หน้า 27 – 29 วิธีการดำเนินการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนมีอยู่ 9 ขั้นตอน คือ

1.         เริ่มที่ปัญหาหรือคำถาม 2. ข้อมูลข่าวสารสนเทศในเรื่องของปัญหาหรือหัวข้อที่จะทำวิจัย 3.  วิธีการที่จะได้ข้อมูล   4. การวางแผนการวิจัย5. การดำเนินงานวิจัยตามแผนที่วางไว้ 6. กรรมวิธีข้อมูล  7. ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บมา        8. สรุปผลงานวิจัย  9. ขั้นรายงานผลวิจัยหรือขั้นเสนอผลงานต่อสื่อมวลชน

6.         ระดับที่ใช้กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ใช้มากที่สุดทางการวิจัยสื่อสารมวลชนนั้น ได้แก่ค่าใดต่อไปนี้

(1)       ระดับ .50        (2) ระดับ .005            (3) ระดับ .01   (4) ระดับ .05

ตอบ 4 หน้า 287292314357 ระดับความมีนัยสำคัญ (α = Alpha) หรือค่านัยสำคัญทางสถิติ (Statistical Significance) ที่นิยมเลือกใช้กันมากที่สุดในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชน (โดยเฉพาะการวิจัยแบบสำรวจ) ซึ่งเป็นการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์ คือ ระดับ .05 (ยอมให้ผิดพลาด 5%) หรือมีค่าที่หวังได้เท่ากับ 95% นอกจากนี้ยังมีระดับที่นิยมเลือกใช้ รองลงมา คือ ระดับ .01 (ยอมให้ผิดพลาด 1%) หรือมีค่าที่หวังได้เท่ากับ 99% และระดับ .001 (ยอมให้ผิดพลาด 0.1%) หรือมีค่าที่หวังได้เท่ากับ 99.9%

7.         คำว่า วิทยาศาสตร์ (Science) มาจากคำละติน จะมีความหมายว่าอะไรต่อไปนี้

(1) To Learn       (2) To Know       (3) To Study       (4) To Educate

ตอบ 2 หน้า 660325327 คำว่า วิทยาศาสตร์” ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Science มีรากศัพท์ มาจากคำภาษาละติน แปลว่า เพื่อที่จะรู้ (To Know)

8.         เครื่องมือที่สำคัญทางการวิจัยด้านสื่อสารมวลชน ได้แก่อะไรต่อไปนี้

(1) เครื่องวัดระยะเวลาวิจัย     (2) แบบสอบถาม

(3) เครื่องวัดอุณหภูมิ  (4) แบบสำรวจพื้นที่เขตการวิจัย

ตอบ 2 หน้า 191193 การวิจัยด้านสื่อสารมวลชนจะนิยมใช้การวิจัยแบบสำรวจมากที่สุด ซึ่งส่วนมาก มักนิยมใช้เครื่องมือวิจัยสื่อสารมวลชนที่สำคัญ ได้แก่ แบบสอบถาม” (Questionnaires) โดยเฉพาะการสอบถามทางไปรษณีย์ เพราะมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด หรือประหยัดมากกว่าวิธีอื่น แต่ก็ได้คำตอบกลับมาต่ำโดยเฉลยประมาณ 40% ของแบบสอบถามทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องมี วิธีการล่อใจให้ร่วมมือตอบแบบสอบถามหลาย ๆ วิธี เช่น การให้รางวัลผู้ตอบ การจับสลากชิงโชค ได้ของชำร่วย หรือการให้สิทธิบางอย่าง ฯลฯ

9.         คำว่า Helix ทางการวิจัยสื่อสารมวลชนนั้น มีความหมายถึงเรื่องใด

(1)       การวิจัยเป็นการหาความรู้ใหม่            (2) การวิจัยเป็นระบบหมุนเวียน

(3) การวัดผลโดยวิธีจัดลำดับที่           (4) การเก็บตัวอย่างแบบมีระบบ

ตอบ 2 หน้า 1727 ธรรมชาติของการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้นเป็นระบบหมุนเวียน (Circular /Helix /Spiral) อย่างต่อเนื่องเป็นวงจรเรื่อยไป เพราะโลกของการวิจัย (Research Universe) คือ สำรวจวิเคราะห์สิ่งหนึ่งแล้วสรุปผลการวิจัยที่เกิดขึ้นมา ก็ย่อมมีสิ่งหนึ่งเกิดปัญหาวิจัยขึ้นใหม่ ต่อไปอีก ดังนั้นการวิจัยจึงสร้างเรื่องหรือปัญหาที่ต้องวิจัยต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น (Research Begets Research)

10.       ผู้ที่เชื่อว่าระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ และมองว่าวิทยาศาสตร์เป็นการลงทุน ที่ไม่รู้จักจบสิ้นนั้น ได้แก่ใครต่อไปนี้

(1)       Verstehen         (2) Paul Leedy   (3) Karl Popper (4) Kuhn

ตอบ 3 หน้า 27 Karl Popper เชื่อว่า การแสวงหารูปแบบหรือระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ (Elusive) โดยเขามองภาพวิทยาศาสตร์ว่าเป็นการลงทุนที่ไม่รู้จักจบสิ้น และพัวพันกับความรู้ที่มีเป้าหมาย

11.       พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอวิธีการแสวงหาความรู้รูปแบบใด ดังต่อไปนี้

(1)       Authority 

(2) Intuition       

(3) Rationalism 

(4) Mysticalism

ตอบ 2 หน้า 24, (คำบรรยาย) การได้ความรู้แบบ Intuition คือ ความรู้ที่ได้จากการรู้แจ้งขึ้นเองอย่าง พระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นจากการเก็บรวบรวมสะสมความรู้นั้นไว้อย่างมีระบบและมีเหตุมีผล ที่เป็นจริงเกิดขึ้นในสมองของพระองค์ แล้วเกิดระบบความคิดฉับพลันที่ลงตัวมองเห็นทาง แก้ปัญหาขึ้นทันที (Sudden Insight) อย่างที่พุทธมามกะเรียกว่า ตรัสรู้ (Insight) ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าได้แสดงวิธีดำเนินการค้นหาความจริงตามลำดับขึ้นตอน ได้แก่ 1. ตั้งปัญหา2. หาเหตุปัญหา 3. ทดลอง 4. รู้วิธีแก้ 5. พบแนวทางแก้ปัญหา

12.       การได้ความรู้แบบ Rationalism ได้มาโดยผ่านกระบวนการใดต่อไปนี้

(1)       Induction          

(2) Deduction   

(3) Insight 

(4) Logic

ตอบ 2 หน้า 23 การได้ความรู้แบบ Rationalism ได้มาโดยผ่านกระบวบการอนุมาน (Deduction) คือ การสืบสาวหาเหตุผลทางตรรกวิทยาจากข้อสันนิษฐานและความรู้เก่า ๆ ที่มีปรากฏอยู่ก่อนแล้ว ในโลกรอบตัวเรา โดยใช้เหตุและผลที่มีอยู่จากประสบการณ์ความรู้ของตน อ้างเหตุซึ่งเป็นผล ที่น่าจะยอมรับขึ้นอย่างน้อย 2 เหตุผล แล้วสรุปผลจากสิ่งที่อ้างนั้น เช่น มนุษย์เกิดมาแล้ว —> ต้องเจ็บป่วยทุกคน —–ในที่สุดก็ต้องตาย ——-จึงสรุปได้ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย

13.       ใครแนะว่านักวิทยาศาสตร์ทางสังคมนั้นควรจะยอมรับว่าผู้คนทั้งหลายอยู่ในฐานะที่เป็นวัตถุมนุษย์ (Human Subjects) ดังต่อไปนี้

(1)       Leedy        

(2) Solomon      

(3) Verstehen    

(4) Kuhn

ตอบ 3 หน้า 25 Verstehen ชาวเยอรมัน แนะว่า นักวิทยาศาสตร์ทางสังคมควรจะยอมรับว่าตัวเอง และผู้คนทั้งหลายอยู่ในฐานะที่เป็นวัตถุมนุษย์ (Human Subjects) ผู้ซึ่งเป็นคล้ายสสารอย่างหนึ่ง ที่จะนำมาศึกษาวิจัยได้ โดยเมื่อเกิดความรู้ความเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจมนุษย์แล้ว สิ่งนี้จะ เป็นตัวแยกความแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์สังคมออกจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้ในที่สุด

14.       ตัวแปร (Variables) ในการวิจัยนั้น คืออะไร

(1)       สิ่งแปรเปลี่ยนที่วัดไม่ได้ แต่เกิดค่าใหม่ขึ้นมา 2 ค่าตามธรรมชาติ

(2)       สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปแต่วัดได้ และเกิดค่าใหม่อย่างน้อย 2 ค่า

(3)       ตัวที่แปรไปจากค่าเดิม และสามารถสัมพันธ์กับค่าคงที่ 2 ชนิด

(4)       ตัวที่แปรเปลี่ยน และทำให้ค่าเดิมมีค่าเฉพาะ 2 ค่าในตัวของมันเอง

ตอบ 2 หน้า 83 – 84392 ตัวแปร (Variables) คือ ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วเกิดค่าใหม่ขึ้นอย่างน้อย 2 ค่าหรือมากกวา 2 ค่าขึ้นไป ซึ่งสามารถจะถูกนำมาวัดได้ หรือนำมาจัดการค้นหาความสัมพันธ์ได้ เช่น ความสูง น้ำหนัก อายุ เป็นต้น

15.       ระบบการจัดจำแนกที่เอื้อต่อการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่เรื่องใด

(1) Proposal       (2) Proposition (3) Taxonomies (4) Theories

ตอบ 3 หน้า 71 Persons & Shills ได้ให้แนวคิดที่จะเข้าสู่ทฤษฎีไว้ 4 ระดับ ซึ่งในระดับที่ 2 คือ Taxonomies เป็นขั้นของระบบการจัดจำแนกที่เอื้อต่อการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มต่าง ๆ ที่ได้รับมาเป็นหมวดหมู่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหน้าที่ 2 ประการ คือ

1.         ช่วยระบุเอกลักษณ์ของสิ่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติ และช่วยบ่งบอกหรืออธิบายสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร

2.         ช่วยวางรากฐานทางการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาต่อไปในอนาคตด้วย

16.       คำจำกัดความในการวิจัยที่อยู่ในขั้นการปฏิบัติการนั้น เรียกว่าคำจำกัดความประเภทใด

(1) Conceptual Definition          (2) Ostensive Definition

(3) Conceptual Operation         (4) Operation Definition

ตอบ 4 หน้า 69 – 70, (คำบรรยาย) Operation Definition หมายถึง คำจำกัดความเชิงปฏิบัติที่อยู่ ระหว่างขั้นทฤษฎีมโนทัศน์และขั้นการสังเกตทดลอง จึงเป็นคำจำกัดความในการวิจัยที่ใช้ในขั้น ของการปฏิบัติการ ซึ่งสามารถนำผลมาใช้ปฏิบัติได้จริง หรืออธิบายในลักษณะที่วัดได้หรือสังเกตได้ โดยจะบอกว่าอะไรที่จะต้องทำ เพื่อจะได้สังเกตตัวอย่างที่มองเห็นได้ตามมโนทัศน์นั้น และเพื่อ จะได้ใช้ประโยชน์ในการสังเกตทดลอง โดยไม่ได้เชื่อตามทฤษฎีเสียทั้งหมด

17.       Concept หรือมโนทัศน์นั้น มีความหมายถูกต้องที่สุดในเรื่องใดต่อไปนี้

(1) นามธรรมที่เป็นความคิดรวบยอดของมนุษย์          (2) นามธรรมที่สามารถค้นหาความจริงได้

(3) รูปธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้จากสิ่งของต่าง ๆ (4) รูปธรรมที่เป็นความคิดสรุปของมนุษย์ ตอบ 1 หน้า 67 – 68328367 มโนทัศน์ (Concept) หมายถึง ความคิดรวบยอดของมนุษย์ที่มีต่อ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นความคิดนามธรรมที่ได้จากประสบการณ์ความรู้ของตนเอง โดยจะเป็น ตัวเอื้ออำนวยต่อหน้าที่ที่สำคัญ 4 ประการ คือ

1.         การสื่อความหมายและความคิด

2.         การสร้างหรือกำหนดขอบเขตของการสังเกตปรากฏการณ์ทางด้านการทดลองค้นคว้าวิจัย

3.         ความสะดวกในการจัดจำแนกและการอ้างอิงเรื่องทั่ว ๆ ไป

4.         การสร้างกรอบแนวคิดหรือขอบข่ายทางด้านทฤษฎี

18.       ผู้ที่คิดว่าจะต้องมีทฤษฎีเกิดขึ้นก่อนแล้ววิจัยนั้น ได้แก่ใครต่อไปนี้

(1) Verstehen    (2) Karl Popper (3) Reiss    (4) Comb

ตอบ 2 หน้า 72 Karl Popper ได้พัฒนาแนวความคิดทฤษฎีแล้ววิจัยไว้อย่างเป็นระบบ กล่าวคือ เขาเริ่มร้างทฤษฎีหรือ Models ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ดำเนินงานจนได้กฎแห่งความสัมพันธ์ หรือบทพิสูจน์ แล้วจึงวางแผนการวิจัยเพื่อทดสอบพิสูจน์หรือวิเคราะห์ และหาผลสรุปว่า จะยอมรับหรือปฏิเสธบทพิสูจน์นั้นภายหลัง

19.       แบบจำลองหรือที่เรียกว่า Model ช่วยสนับสนุนการวิจัยเรื่องใด

(1)       มองภาพแห่งความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น  (2) จัดคนช่วยวิจัยในการค้นหาข้อมูล

(3) จัดวิธีการทำงานวิจัยทางสื่อสารมวลชน    (4) มองเห็นรูปแบบการวิจัยสื่อสารมวลชน

ตอบ 1 หน้า 7277 – 78330 Model คือ แบบจำลองหรือตัวแทนของความจริงที่มองเห็นได้ ซึ่งจะช่วยผู้วิจัยให้สามารถจัดหรือมองภาพแห่งความเป็นจริงได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วย สนับสนุนจุดมุ่งหมายของการจัดระเบียบวิธี และช่วยจัดลำดับการทำงานในสภาพความเป็นจริง ของเราเอง ดังนั้น Model จึงเป็นการลอกเลียบแบบอย่างหรือการจัดทำตัวแทนแม่แบบของความเป็นจริง

20.       ผลการวิจัยทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นเสมอนั้น ได้แก่สิ่งใดต่อไปนี้

(1)       ข้อบกพร่องใหม่           (2) ปัญหาใหม่

(3) ระเบียบวิธีใหม่      (4) หลักฐาน ข้อสนเทศใหม่

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

21.       ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) คืออะไร

(1)       ตัวแปรที่เกิดจากค่าที่เปลี่ยนไปอย่างน้อย 2 ค่า

2) ตัวแปรที่เป็นผลเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของตัวแปรตาม

(3)       ตัวแปรธรรมชาติที่สัมพันธ์กันทำให้เกิดผลเป็นตัวแปรอีกตัวหนึ่ง

(4)       ตัวแปรตามธรรมชาติที่เปลี่ยนค่าใหม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ นั้น

ตอบ 3 หน้า 84120 – 121374 ตัวแปรอิสระ (Independent Variables : IV) หรือตัวแปรทำนาย คือ ตัวแปรที่นักวิจัยกำหนดให้เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรอื่น โดยเมื่อตัวแปรอิสระ เปลี่ยนแปลงไปตามระบบที่ผู้วิจัยประสงค์ ก็จะทำให้ตัวแปรอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้น ในบางครั้งจึงเรียกว่า ตัวแปรเหตุหรือตัวแปรธรรมชาติที่เมื่อสัมพันธ์กันแล้วจะทำให้เกิดผล เป็นตัวแปรใหม่ตามมาอีกตัวหนึ่ง หรือตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นก่อนตัวแปรตามเสมอ

22.       นักวิจัยสื่อสารมวลชนชื่อ Reiss ทำวิจัยด้านใดต่อไปนี้

(1)       อิทธิพลของผู้มีอำนาจยังฝังใจอยู่ในการตอบคำถาม

(2)       ความเชื่อฟังคล้อยตามของสื่อมวลชนในการตอบคำถาม

(3)       ความถูกต้องของการตัดสินใจจากสื่อในการตอบคำถาม

(4)       ความถูกต้องของข้อมูลที่เสนอโดยสื่อในการตอบคำถาม

ตอบ 1 หน้า 99104 ผู้วิจัยที่ได้ศึกษาเรื่องศีลธรรมและจรรยาบรรณในการทำวิจัย โดยเน้นถึงอิทธิพล ต่าง ๆที่คุกคามผู้ถูกวิจัยการหลอกลวงและอันตรายต่าง ๆได้แก่กลุ่มนักวิจัย Milgram ซึ่งได้ศึกษาเรื่องการเชื่อผู้มีอำนาจ ส่วน Reiss ได้ศึกษาเรื่องอิทธิพลของผู้มีอำนาจที่ยังคงฝังใจ อยู่ในการตอบคำถามของผู้ถูกวิจัย เช่น พฤติกรรมของตำรวจ ผู้มีอิทธิพล และนักเลงอันธพาล

23.       หน่วยของการวิเคราะห์ (Units of Analysis) ทางการวิจัยสื่อสารมวลชน คืออะไรต่อไปนี้

(1)       หน่วยต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยศึกษานำมาเปรียบเทียบร่วมกันนั้น

(2)       หน่วยทั้งหมดที่พิสูจน์ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด

(3)       สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการตัวแทนหรือสุ่มตัวอย่างมาศึกษานั้น

(4)       ผู้ที่ถูกนำมาศึกษาหรือได้ตอบแบบสอบถามแต่ละคนนั้น

ตอบ 4 หน้า 8388331 หน่วยของการวิเคราะห์ (Units of Analysis) คือ หน่วยข้อมูลที่ได้มาแล้ว ควรสนองตอบต่อมโนทัศน์ การวัดผล และการสังเกตค้นคว้าของเราได้ ดังนั้นหน่วยของการวิเคราะห์จึงเป็นเกือบทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่าง ๆ บุคคล หรือเหตุการณ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ที่จะทำการศึกษาวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น เช่น ในการวิจัย แบบสำรวจ ผู้ที่ถูกนำมาศึกษาหรือได้ตอบแบบสอบถามแต่ละคนก็คือ หน่วยของการวิเคราะห์ นั่นเอง โดยผู้ที่ตอบแบบสอบถาม 1 คน จะนับเป็น 1 หน่วย

24.       บทคัดย่อของการวิจัย (Abstract) จะหาไม่พบในบรรณานุกรมและพจนานุกรม แต่จะพบในวิทยานิพนธ์ เพราะบทคัดย่อจะมีลักษณะเป็นการเขียนอย่างไร

(1)       การคัดย่อเนื้อหาหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ค้นคว้ามาทำวิจัย

(2)       การย่อความผลวิจัยที่อยู่ในสาขาสื่อมวลชนนั้น

(3)       การคัดย่อจากวรรณกรรมต่าง ๆ จากผลการวิจัย

(4)       การเขียนสรุปรายงานของการทำงานวิจัยนั้น

ตอบ 4 หน้า 318793332 บทคัดย่อของการวิจัย (Abstract) จะหาไม่พบในบรรณานุกรม ปทานุกรม พจนานุกรม รวมทั้งในภาคผนวกหรือในดัชนีต่าง ๆ แต่จะพบในวิทยานิพนธ์ ซึ่งสามารถค้นหา ได้ที่ห้องสมุดหรือค้นได้จาก Internet ทั้งนี้เพราะบทคัดย่อเป็นการเขียนสรุปรายงานสั้น ๆ ของการทำงานวิจัยนั้น

25.       ความสัมพันธ์ของตัวแปรในทางบวก (Positive) ได้แก่เรื่องใดต่อไปนี้

(1) อายุมากขึ้นหัวใจเต้นเร็วขึ้น           (2) อายุมากขึ้นการเต้นของหัวใจช้าลง

(3) อายุมากขึ้นน้ำหนักลดลง  (4) อายุมากขึ้นกระดูกจะหดตัวลงมาก

ตอบ 1 หน้า 8591332 ความสัมพันธ์ของตัวแปร แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่

1.         ทางบวก (Positive) คือ ความสัมพันธ์ที่ตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่มหรือลดตัวแปรอีกตัวก็จะเปลี่ยนไปใบทางเพิ่มหรือลดตามกัน เช่น อายุมากขึ้นหัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น

2.         ทางลบ (Negative) คือ ความสัมพันธ์ที่ตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่ม แต่ค่าของ ตัวแปรอีกตัวที่สัมพันธ์กันนั้นจะเปลี่ยนไปในทางลด หรือในทางกลับกันตัวแปรเดิมลดลง แต่ตัวแปรตามเพิ่มขึ้น เช่น อายุมากขึ้นการเต้นของหัวใจช้าลง น้ำหนักลดลง และกระดูก จะหดตัวลงมาก

26.       ข้อความต่อไปนี้ข้อใดถูกต้องที่สุดในการทำงานวิจัยทางการสื่อสารมวลชน

(1) ตัวแปรต่อเนื่องจะเกิดก่อนตัวแปรอิสระเสมอ        (2) ตัวแปรคงที่เพิ่มก่อนตัวแปรอิสระเสมอ

(3) ตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นหลังตัวแปรตามเสมอ         (4) ตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นก่อนตัวแปรตามเสมอ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

27.       การไม่เปิดเผยชื่อของผู้ถูกวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น เรียกว่าอะไร

(1) Un-opening (2) Privacy          (3) Anonymity  (4) Confidentiality

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

28.       การออกแบบวิจัยวิธีดั้งเดิม (Classical Design) นั้น กลุ่มเปรียบเทียบกันเรียกว่าอะไร

(1) กลุ่มทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง         (2) กลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง

(3) กลุ่มทดลองกับกลุ่มตัวแทน           (4) กลุ่มตัวแทนกับกลุ่มควบคุม

ตอบ 2 หน้า 115120 ในการออกแบบวิจัยวิธีดั้งเดิม (The Classic Experimental Design) นั้น การปฏิบัติการวิจัยจะเริ่มแบ่งผู้ถูกวิจัยออกเป็น 2 กลุ่มเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน คือ

1.         กลุ่มควบคุม (Control Group : CG) 2. กลุ่มทดลอง (Experiment Group : EG)

29.       การออกแบบวิจัย (Research Design) มีความหมายถึงเรื่องใดต่อไปนี้

(1) การตั้งสมมุติฐานจากการรวบรวมข้อมูลมาได้นั้น (2) การจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการวิจัย (3) การวางแผนการทำงานของการวิจัย      (4) การวางเป้าหมายของการดำเนินการวิจัย

ตอบ 3 หน้า 115120 การออกแบบวิจัย (Research Design) คือ การสร้างแผนงานเพื่อการ- เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การตีความข้อมูล ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยสามารถวินิจฉัยข้อมูล ที่เป็นจริง และให้คำจำกัดความต่อการสรุปความเห็นนั้นจนเป็นที่ทราบกับโดยทั่วไปได้ ดังนั้นการออกแบบวิจัยสื่อสารมวลชนจึงเป็นงานวางแผนการทำงานวิจัยสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ต้นจบสรุปและรายงานการวิจัย

30.       โดยปกติการออกแบบวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น มีวิธีใดดีที่สุดต่อไปนี้

(1) Classical Design   (2) Semi-experimental Design

(3) Quasi-experimental Design          (4) Combined Design

ตอบ 4 หน้า 136138 การออกแบบวิจัยทางการสื่อสารมวลชนจะไม่มีวิธีใดที่เหมาะสมที่สุดวิธีเดียว เสมอไป เพราะการวิจัยทุกวิธีจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นผู้วิจัยจึงใช้การออกแบบวิธีร่วมกัน (Combined Design) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดตามหลักสากล เพราะได้ผสมผสานเนื้อหาของ การออกแบบวิจัยอย่างน้อย 2 วิธีในการศึกษาเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อถือได้ และเกิดความถูกต้องมากที่สุด

31.       สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเก็บข้อมูลมาใช้ได้อย่างถูกต้องในการวิจัยนั้น ได้แก่อะไรต่อไปนี้

(1)       ตัวแปรที่นำมาประกอบการเลือกเฟ้นในการสุ่มตัวอย่าง

(2)       ตัวอย่างที่สุ่มมาได้อย่างถูกวิธีในการสุ่มตัวอย่าง

(3)       ความสมบูรณ์ทางวุฒิภาวะของหน่วยของการวิเคราะห์

(4)       ความมีประวิตอย่างชัดเจนและสามารถพิสูจน์ได้

ตอบ 3 หน้า 117 สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเก็บข้อมูลที่นำมาใช้ได้ (Internal Validity) อย่างถูกต้อง ในการวิจัย มีดังนี้ 1. ประวัติศาสตร์  2. ความสมบูรณ์ทางวุฒิภาวะของหน่วยของการวิเคราะห์ 3. ความสูญหายจากการทดลอง 4. การใช้เครื่องมือวัดค่าต่าง ๆ 5.การทดสอบก่อนการทดลอง   6. การถดถอยทางสถิติ  7. การปฏิบัติการภายในกับการเลือกเฟ้น

32.       การออกแบบวิจัยการสื่อสารมวลชนโดยแบ่งผู้ถูกวิจัยเป็น 4 กลุ่มนั้น เรียกว่าแบบใด

(1) Posttest Only Control Group Design 

(2) Solomon Four Group

(3) Classical Design

(4) Factorial Design

ตอบ 2 หน้า 119 Solomon Four Group จะแบ่งผู้ถูกวิจัยออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ แบ่งเป็นกลุ่มคล้ายกับแบบดั้งเดิม คือ มีกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลอง แต่จะเพิ่มเข้ามาอีก 2 กลุ่ม ซึ่งก็จะแบ่งเป็น กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองเช่นกัน โดยผู้ถูกวิจัยที่เพิ่มขึ้น 2 กลุ่มหลังนั้นไม่ต้องมีการทดสอบก่อน (Pretest) และผู้วิจัยจะวัดผลของความรู้สึกต่อการทดสอบด้วย จากนั้นก็จะทำการทดสอบหลัง (Posttest) ทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อนำผลของข้อมูลมาวิเคราะห์

33.       เครื่องมือที่ใช้วัดค่าการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น ต้องมีค่าอะไรจึงจะดีที่สุดต่อไปนี้

(1) ค่าความเชื่อ (Belief)    (2) ค่าความเชื่อได้ (Reliability)

(3) ค่าความจริง (Facts)     (4) ค่าความเป็นไปได้ (Probability)

ตอบ 2 หน้า 159164 – 166386 ค่าความเชื่อได้ (Reliability) คือ ค่าความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง ไว้ใจได้จากการวัดของเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงสูง หมายถึง เมื่อนำเครื่องมือนี้ไปวัดครั้งใด ที่ไหน ต่างสถานที่ และวัดในเวลาเดียวกันนั้นจะได้ค่าคงที่เท่าเดิม หรือได้ค่าเหมือนเดิมเสมอ

34.       การออกแบบวิจัยซึ่งไม่มีการทดสอบกลุ่มควบคุมก่อนนั้น ได้แก่วิธีใดต่อไปนี้

(1) Factorial Design  (2) Posttest Only Control Group Design

(3) Time-series Design       (4) Control-series Design

ตอบ 2 หน้า 119 The Posttest Only Control Group Design จะไม่มีการทดสอบก่อนศึกษา (Pretest) ในหมู่ของผู้ถูกวิจัยหรือสิ่งที่นำมาวิจัยทั้งหมด แต่จะเพ่งเล็งและให้ความมั่นใจ กับข้อสันนิษฐานที่ตั้งขึ้นไว้โดยการลุ่มว่าการทดลองจะเป็นไปได้ แล้วจะทดสอบหลังศึกษา (Posttest) เฉพาะกลุ่มที่ควบคุมไว้ เพื่อดูความมีนัยสำคัญระหว่างความสัมพันธ์ของกลุ่มต่อไป

35.       การวัดผลที่ได้ค่า A>B>C>D นั้น เป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal       (2) Ordinal         (3) Interval         (4) Ratio

ตอบ 2 หน้า 161 – 162 Ordinal Measure เป็นการวัดสิ่งต่าง ๆ เพื่อหาขนาด จำนวน และตำแหน่ง ของสิ่งที่จะทำการวัด แล้วจัดลำดับตำแหน่งที่ (Rank Order) ดังนั้นจึงเป็นการวัดที่ละเอียดกว่า แบบ Nominal เพราะจะบอกให้รู้ว่าตำแหน่งใดอยู่สูงกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากันในจำนวนตัวแปร ที่ถูกวัดนั้น เช่น A > B, A < B, A = B, A > B > c > D เป็นต้น

37.       การวัดผลที่ได้ค่า A + B : C + D = 25 นั้น เป็นการวัดระดับใด

(1)       Nominal  (2) Ordinal         (3) Interval         (4) Ratio

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

38.       การวัดผลที่ได้ค่า A = 5, B = 8 และ C = 10 นั้น เราเรียกว่าเป็นการวัดระดับใด

(1)       Nominal  (2) Ordinal         (3) Interval         (4) Ratio

ตอบ1 หน้า 161 Nominal Measure เป็นการวัดสิ่งต่าง ๆ อย่างหยาบที่สุด เนื่องจากเป็นเพียง การกำหนดตัวเลขให้กับวัตถุสิ่งของหรือเป็นข้อมูลแทนวัตถุเท่านั้น ซึ่งตัวเลขที่เป็นข้อมูลนี้ จะไม่มีความหมายอะไรในตัว และจะนำมาใช้คำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อหาความสัมพันธ์ อะไรไม่ได้ เช่น A = 5, B = 8, C = 10 เป็นต้น

39.       The Paralleled-forms เป็นวิธีประเมินค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือโดยวิธีใดต่อไปนี้

(1)       ใช้แบบทดสอบ 2 ชุด ยากง่ายใกล้เคียงกัน ทดสอบกับผู้ถูกวิจัยพร้อมกัน

(2)       ใช้แบบทดสอบ 2 ชุด ยากง่ายต่างกัน ทดสอบกับผู้ถูกวิจัยพร้อมกัน

(3)       ใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ทดสอบที่ละกลุ่มสองครั้งพร้อมกัน

(4)       ใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ทดสอบกับผู้ถูกวิจัยทุกกลุ่มพร้อมกัน

ตอบ 1 หน้า 165, (คำบรรยาย) The Paralleled-forms เป็นวิธีประเมินค่าความเชื่อได้ หรือใช้วัด ค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือ โดยใช้ข้อทดสอบ 2 ชุดที่ต่างฟอร์มกันมาทดสอบกับผู้ถูกวิจัยพร้อมกัน แล้วนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบ ทั้งนี้ข้อทดสอบนั้นจะต้องมีมาตรฐานการออกแบบ ความยากง่ายใกล้เคียงกัน เพื่อจะสามารถวิเคราะห์ค่าความเชื่อได้ (Reliability) ออกมา

40.       ตัวแปรที่สามารถวัดได้ในระดับ Ordinal จะสามารถวัดได้ในระดับใด

(1) Normative   (2) Internal        (3) Ratio    (4) Nominal

ตอบ 4 หน้า 161163169343 การกระทำการวัดในระดับสูงกับตัวแปรใด ๆ ก็ตาม จะสามารถ กระทำได้กับการวัดในระดับที่ต่ำลงไปได้ทั้งหมด หรือผลของการวัดในระดับต่ำนั้นมาจากการวัด ในระดับที่สูงกว่าขึ้นไปนั่นเอง เช่น ตัวแปรที่สามารถวัดได้ในระดับ Ordinal ก็สามารถวัดได้ ใบระดับ Nominal ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำลงไปได้ด้วย เป็นต้น (ระดับการวัดจากต่ำไปสูง คือ Nominal, Ordinal, Interval และ Ratio)

41.       การทดสอบแบบ Test-retest ทำให้เกิดสิ่งใดต่อไปนี้

(1) ค่าความเป็นไปได้  

(2) การมีประสิทธิผล

(3) ค่าความจริง           

(4) ค่าความเชื่อได้

ตอบ 4 หน้า 165 The Test-retest เป็นวิธีวัด 2 ครั้งในเวลาต่างกันโดยใช้ข้อทดสอบเดียวกัน ซึ่งถ้าผลของครั้งหลังเป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกก็จะเกิด ค่าความเชื่อได้” (Reliability) ในการวัดนั้น

42.       การสุ่มตัวอย่างที่ใช้วิธีสุ่มจากพื้นที่ทั้งหมดลงมาเป็นพื้นที่ย่อย ๆ เพื่อหาตัวแทนจากพื้นที่ทั้งหมดนั้น เป็นวิธีใด

(1) แบบง่าย (Simple Random Sampling) 

(2) แบบมีระบบ (Systematic Sampling)

(3) แบบสัดส่วน (Stratified Sampling)      

(4) แบบอาศัยพื้นที่ (Cluster Sampling)

ตอบ4 หน้า 179 – 180367 การสุ่มแบบอาศัยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Cluster Sampling)เป็นการสุ่มตัวอย่างจากประชากรกลุ่มใหญ่ครั้งแรก (Primary Sampling Units : PSU’s)ในพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งปกติก็จะเป็นตำบล เขต หรือเมืองใหญ่ ๆ แล้วแยกเขตการสุ่มลงมาเป็น พื้นที่ย่อย ๆ จนได้ตัวแทนหรือประชากรที่ต้องการในพื้นที่ทั้งหมดที่กำหนดไว้ในการวิจัยนั้น

43.       การสุ่มตัวอย่างโดยหาค่าที่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสุ่มนั้น ได้แก่การสุ่มแบบใด (ใช้ตัวเลือกข้อ 42.)

ตอบ 2 หน้า 179 – 180390 การสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างในลักษณะ Random โดยการเลือกสุ่มจากค่าคงที่หรือจำนวนคงที่ (จำนวนที่กำหนดไว้ คือ ค่าที่ K) ของประชากรผู้ถูกวิจัย เช่น สมมุติแบ่งประชากรเป็นขนาดกลุ่ม 4,000 คน ผู้วิจัยจะเลือกเฉพาะ คนที่ สมมุติ K = 10 นับคือ ทุก ๆ 10 คน จะมีผู้ถูกเลือก 1 คน ดังนั้นในกลุ่มตัวอย่างนี้ จะมีผู้ถูกเลือกได้ 400 คน เป็นต้น

44.       การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยการจับฉลาก (Lottery) เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบใด (ใช้ตัวเลือกข้อ 42.)

ตอบ 1 หน้า 179, (คำบรรยาย) การสุ่มแบบง่าย ๆ (Simple Random Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่าง ที่รวมถึงประชากรทั้งหมดที่เป็นเป้าหมายการสุ่ม แล้วเลือกสุ่มโดยวิธีใช้ตารางตัวเลขเบ็ดเสร็จ หรือตารางเลขสุ่ม (Random Number Table) หรืออาจใช้วิธีจับฉลาก (Lottery) เลือกตัวอย่าง ออกจากกลุ่มประชากร เพื่อให้ได้จำนวนครบตามที่ผู้วิจัยตั้งเป้าหมายไว้ จึงเป็นวิธีที่ง่ายและ สะดวกในความรู้สึก แต่ก็ไม่สะดวกต่อการนำมาใช้กับประชากรกสุ่มใหญ่มาก

45.       การสุ่มตัวอย่างโดยใช้สัดส่วนของกลุ่มเป็นแนวทางการดึงตัวแทนของกลุ่มนั้น เป็นการสุ่มแบบใด (ใช้ตัวเลือกข้อ 42.)

ตอบ 3 หน้า 179 – 180389 การสุ่มแบบเชิงชั้นหรือแบบลัดส่วน (Stratified Sampling)เป็นการสุ่มตัวอย่างที่เลือกตามสัดส่วนหรือชั้นของกลุ่มประชากร หลังจากที่ประชากรได้ถูก แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ เป็นชั้นของประชากร หรือแบ่งเป็นพวก ๆ แล้ว ซึ่งบางครั้งอาจใช้วิธีสุ่ม เอาจากแต่ละกลุ่มตามอัตราส่วนที่ต้องการ (Proportionate) หรือสุ่มเอาจากกลุ่มที่ต้องการ จำนวนเพิ่มขึ้นในการวิจัยที่ต้องการวิเคราะห์ละเอียดขึ้นไปอีก (Disproportionate)

46.       ค่าที่วัดได้จากตัวอย่าง (Sample) เรียกว่าอะไร

(1) Sampling      (2) Parameter   (3) Statistic        (4) Random

ตอบ 3 หน้า 180 – 181 การทำงานวิจัยทางการสื่อสารมวลชนจะมีค่าที่วัดและคำนวณได้ ดังนี้

1.         ค่าที่วัดและคำนวณได้จากข้อมูลของ Sample (กลุ่มตัวอย่าง) เรียกว่า Statistic

2.         ค่าที่วัดและคำนวณได้จากข้อมูลของ Population (ประชากรทั้งหมด) เรียกว่า Parameter

47.       การวัดเพื่อค้นหาว่าเครื่องมือนั้นมีความถูกต้องใช้ได้หรือไม่นั้น ได้แก่การวัดค่าอะไร

(1) Statistic         (2) Parameter   (3) Reliability    (4) Validity

ตอบ 4 หน้า 159166391 ค่าความถูกต้องใช้ได้ (Validity) คือ ค่าความถูกต้องเที่ยงตรงของเครื่องมือวิจัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของการวัดที่แท้จริงว่าอะไรที่ต้องการวัด เช่น ถ้าจะวัดน้ำหนักทอง ก็ต้องใช้เครื่องชั่งทองมาวัดจึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาตาชั่งหมูมาชั่งทองจะใช้ไม่ได้ เพราะว่าได้ค่าที่ไม่ถูกต้องนั้นเอง

48.       อะไรเป็นเหตุผลสำคัญในบางสภาพที่จำเป็นต้องสุ่มตัวอย่างแบบ Non-probability ต่อไปนี้

(1) ความรวดเร็วและความมีโอกาส     (2) ความรวดเร็วและเวลาจำกัด

(3) ความบังเอิญและการควบคุม        (4) ความสะดวกและประหยัด

ตอบ 4 หน้า 178 – 179184345 การสุ่มที่เป็นไปไม่ได้ (Non-probability) เป็นการสุ่มตัวอย่าง ชนิดที่ผู้วิจัยไม่สามารถเดาโอกาสของกรณีแต่ละอย่างที่ถูกเลือกมาเป็นตัวอย่างได้ถูกต้อง จึงมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าการสุ่มที่เป็นไปได้ (Probability) แต่บางครั้งก็มีเหตุผลที่สำคัญ ในบางสภาพ คือ ความสะดวกสบายและสภาพเศรษฐกิจบางอย่าง (เช่น ความประหยัด ฯลฯ) ที่จำเป็นต้องใช้การสุ่มแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

49.       การตั้งคำถามหาข้อมูลเรื่องอายุ เพศ ศาสนานั้น เป็นการตั้งคำถามชนิดค้นหาเรื่องใด

(1) ค้นหาข้อมูลทั่วไป   (2) ค้นหาความจริง

(3) ถามหาความคิดเห็น           (4) ถามหาข้อมูลด้านทัศนคติ

ตอบ 2 หน้า 225227, (คำบรรยาย) การออกแบบสอบถามให้ครอบคลุมปัญหาวิจัยต้องตั้งคำถาม ใน 3 ลักษณะ ดังนี้

1.         Factual Questions เป็นคำถามที่มุ่งค้นหาความจริง (Facts) ได้แก่ อายุ เพศ การศึกษา ศาสนา ฯลฯ เช่น ท่านนับถือศาสนาใด ?

2.         Opinion Questions เป็นคำถามที่มุ่งค้นหาความคิดเห็น (Opinion) เช่น คุณคิดอย่างไร (What do you think ?)

3.         Attitude Questions เป็นคำถามหาข้อมูลด้านทัศนคติ (Attitude) ความเชื่อ ความคิด และความรู้สึก เช่น คุณรู้สึกอย่างไร (How do you feel ?)

50.       การตั้งคำถามโดยใช้วัดค่าจากคำคุณศัพท์ที่ตรงข้ามกันโดยแบ่งเป็น 7 ช่องนั้น เรียกว่าอะไร

(1) Rating Scale (2) Card Sort     (3) Matching (4) Semantic Differential

ตอบ 4 หน้า 229 The Semantic Differential เป็นการออกแบบคำถามที่ผู้ตอบจะต้องตอบคำถาม เพื่อประเมินค่าของวัตถุหรือสิ่งของบนคำคุณศัพท์ที่ให้ไว้ คือ ใช้คำคุณศัพท์ที่มีความหมาย ตรงข้ามกันตีค่าของคำถาม โดยในแบบคำตอบจะตีตารางเป็นสเกลไว้ 7 ระดับ (หรือแบ่งเป็น 7 ช่อง) เรียกว่า Seven-point Scale

51.       การตั้งคำถาม What do you think ? เป็นการตั้งคำถามเพื่อค้นหาคำตอบเรื่องใด

(1) Facts     

(2) Opinion        

(3) Knowledge  

(4) Attitude

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

52.       คำถามปลายเปิด (Open-ended Questions) มีลักษณะดีอย่างไร

(1) สร้างคำถามได้ง่าย            

(2) ยืดหยุ่นได้มาก

(3) ผู้ตอบต้องตอบในกรอบ     

(4) วิเคราะห์คำตอบง่าย

ตอบ 2 หน้า 228256351 คำถามแบบปลายเปิด (Open-ended Questions) มีลักษณะดีดังนี้ 

1. สร้างคำถามไต้ด้วยตัวผู้วิจัยเอง      

2. ยืดหยุ่นได้มาก ค้นหาปัญหาได้ง่าย  

3.ผู้ตอบตอบตามกรอบความคิดเห็นของตนเองได้     

4.คำตอบที่ได้จะละเอียดและมีเหตุผลใช้ได้ จึงวิเคราะห์คำตอบด้วยการสังเกตได้ดี        

5.วิเคราะห์คำตอบได้ทุกเวลา เพราะข้อมูลไม่ล้าสมัย ฯลฯ

53.       การตั้งคำถามโดยใช้ช่องว่างเลือกตอบ 5 ระดับ โดยแบ่งเป็น 5 ช่องให้ตอบนั้น เรียกว่าอะไร

(1) Semantic Differential  

(2) Rating Scale

(3) Card Sort      

(4) Matching

ตอบ 2 หน้า 228 – 229 Rating Scale คือ การถามความเห็นขอองผู้ตอบว่าอยู่ในขั้นความรู้สึกต่อสิ่งที่ถามในระดับใดระดับหนึ่ง โดยจะตั้งคำถามแบบใช้ระบบคำตอบ 5 ระดับ และแบ่งช่องว่าง ให้เลือกตอบเป็น 5 ช่อง เช่น1. เห็นด้วยอย่างมาก       2. เห็นด้วย       3. ไม่มีความเห็น      4. ไม่เห็นด้วย       5. ไม่เห็นด้วยอย่างมาก

54.       การตั้งคำถามเพื่อหาข้อมูลทางด้านความเชื่อนั้น เป็นคำถามชนิดใด

(1) Facts     (2) Opinion        (3) Knowledge  (4) Attitude

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

55.       การวิจัยแบบสำรวจนั้นใช้วิธีสำรวจข้อมูลโดยวิธีต่าง ๆ อยากทราบว่าวิธีใดมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด หรือ ประหยัดมากกว่า ดังต่อไปนี้

(1) ทางไปรษณีย์         (2) ทางโทรศัพท์          (3) สัมภาษณ์ส่วนตัว   (4) สัมภาษณ์เป็นกลุ่ม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

56.       สมุดรหัส (Codebook) มีประโยชน์อย่างไร

(1)       ทำให้เติมตัวแปรลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย

(2)       ทำให้เติมจำนวนข้อความลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น

(3)       ทำให้สะดวกในการป้อนข้อมูลลงเครื่องคอมพิวเตอร์

(4)       ทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งเพิ่มเติมข้อมูลได้มากขึ้น

ตอบ 3 หน้า 353 ประโยชน์ของสมุดรหัส (Codebook) มีดังนี้    1 ทำให้ติดตามผู้ตอบที่ส่ง

แบบสอบถามกลับคืนมาโดยกรอกข้อความไม่สมบูรณ์ให้ตอบใหม่ได้เพราะมีรหัสที่อยู่ 2. สะดวกต่อการตรวจสอบการส่งกลับคืนแบบสอบถาม 2 ชุดที่คู่กัน  3. สะดวกต่อการป้อนข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์  4. ทำให้ทราบตัวแปรหรือข้อมูลที่หายไป  5.ช่วยในการจัดแยก การสังเกต และการอธิบาย ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระบบสถิติ

57.       คำถามปลายปิด (Close-ended Questions) มีประโยชน์ยกเว้นข้อใด

(1) วิเคราะห์ได้ทุกเวลา           (2) วิเคราะห์ได้ตรงจุด

(3) สร้างคำถามได้ง่าย            (4) สร้างตัวเลือกได้ง่าย

ตอบ 1 หน้า 227 – 228256351 คำถามแบบปลายปิด (Close-ended Questions) มีประโยชน์ดังนี้   1. สร้างคำถามและตอบคำถามได้ง่าย ตรงจุดตรงประเด็น   2. สามารถวิเคราะห์ได้ตรงจุด       3. สร้างตัวเลือกและค้นหาได้ง่าย   4.มีลักษณะหรือรูปแบบสำหรับคำตอบที่บันทึกไว้แน่นอน ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ)

58.       ประชากร (Population) ที่ไม่ต้องสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ข้อใดต่อไปนี้

(1) นักศึกษารามคำแหงทั้งประเทศ     (2) นักเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ

(3) ผู้จัดการบริษัททั่วภูมิภาค  (4) ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ

ตอบ4  หน้า 177182 ในการทำวิจัยทั่ว ๆ ไปโดยเฉพาะการวิจัยแบบสำรวจนั้น ถือว่าการสุ่มตัวอย่างมีความจำเป็นมาก เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะนำประชากร (Population) ทั้งหมดมาศึกษาได้ ยกเว้นในกรณีที่ขนาดของประชากรที่จะศึกษามีลักษณะเฉพาะเจาะจงและมีจำนวนน้อยที่สามารถ ตรวจสอบได้แน่นอน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสุ่มตัวอย่างเพื่อหาตัวแทนประชากรอีก เช่น จำนวนผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศจำนวนอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ เป็นต้น

59.       อุปกรณ์ที่เรียกว่าเป็น Input ได้แก่อะไรต่อไปนี้     

(1) ลำโพง (Loudspeaker)

(2)       แฟกซ์ (Facsimile)         (3) เม้าส์ (Mouse) (4) เครื่องพิมพ์ (Printer)

ตอบ 3 หน้า 275 Input และ Output หรือเรียกสั้น ๆ ว่า I/O จะมีหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าไปในเครื่องและสร้างผลลัพธ์ออกมาหลายรูปแบบ ซึ่งจะประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้

1.         อุปกรณ์ที่เป็น Input ได้แก่ Keyboard, Mouse, Scanner, Microphone, TV Camera, Digital Camera, Modem ฯลฯ

2.         อุปกรณ์ที่เป็น Output ได้แก่ Monitor, Printer, Loudspeaker, Fax/Facsimile, Screen, Digital Projector ฯลฯ

60.       การทำงานวิจัยนั้น อุปกรณ์ที่เรียกว่าเป็น Output ได้แก่อะไรต่อไปนี้      

(1) แป้น,พิมพ์ (Keyboard)

(2)       โมเด็ม (Modem) (3) เครื่องพิมพ์ (Printer)   (4) เม้าส์ (Mouse)

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61.       เมื่อส่งข้อมูลให้กับผู้อื่นโดยระบบ Internet นั้น ผู้รับและผู้ส่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ตัวใด

(1) Scanner        

(2) Modem        

(3) Monitor       

(4) Loudspeaker

ตอบ 2 หน้า 267378, (คำบรรยาย) Modem เป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถจะแปลงสัญญาณจาก คอมพิวเตอร์มาเป็นสัญญาณที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารผ่านทางสายโทรศัพท์ได้ และสัญญาณ จากสายโทรศัพท์ก็จะแปลงมาเป็นสัญญาณที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน จึงทำให้ สามารถส่งข้อมูลข่าวสารผ่านดาวเทียมไปทั่วโลกได้รวดเร็วมาก เช่น ระบบ Internet เป็นต้น

62.       การสุ่มตัวอย่างแบบใช้ตารางเลขสุ่ม (Random Number Table) ได้แก่การสุ่มวิธีใด

(1) Stratified Sampling      

(2) Cluster Sampling

(3)       Systematic Sampling        

(4) Simple Random Sampling

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

63.       การสร้างคำถามวิธี Ranking นั้น ผู้วิจัยจะกำหนดให้ผู้ตอบคำถามเลือกอย่างไร

(1) จัดขนาดของเรื่องจากมากไปหาน้อย         (2) จัดลำดับความสำคัญของคำตอบ

(3)       จัดคำถามให้มีความคิดอย่างต่อเนื่อง  (4) จัดให้เกิดระดับความคิดอย่างต่อเนื่อง

ตอบ 2 หน้า 230 การสร้างคำถามแบบ Ranking จะกำหนดให้ผู้ตอบคำถามจัดลำดับตัวเลือก ที่ต้องการตอบด้วยตนเอง คือ จัดลำดับความสำคัญของคำตอบให้ชัดเจนตามความพอใจ ลงในกรอบหรือบริเวณที่จัดไว้ให้ในแบบสอบถามนั้น

64.       ผู้ใช้ Terminal สามารถส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ โดยผ่านทางระบบอะไรต่อไปนี้

(1) เครื่องโทรเลข         (2)โทรศัพท์

(3) มอนิเตอร์ (Monitor)  (4) พริ้นเตอร์ (Printer)

ตอบ2  หน้า 283355 หน้าที่ของ Modem (Modulator – Demodulator : ตัวกล้ำ-แยกสัญญาณ) คือ ผู้ใช้ Terminal สามารถติดต่อ (Call up) หรือส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ได้ โดยผ่านทางระบบโทรศัพท์ (ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ)

65.       การสำรวจโดยวิธีสัมภาษณ์ส่วนตัว มีข้อเสียอย่างไร

(1) มีความลำเอียงมาก           (2) ปกปิดชื่อผู้ตอบได้ง่าย

(3) ค่าใช้จ่ายลดลงมาก           (4) ไม่สามารถหาคำตอบเพิ่มเติมได้

ตอบ 1 หน้า 194 – 195 ข้อเสียของการสำรวจโดยวิธีสัมภาษณ์ส่วนตัว มีดังนี้ 1. มีค่าใช้จ่ายสูง2 .มีความเป็นไปได้ที่จะมีความลำเอียงในการสัมภาษณ์         3. ขาดความเป็น Anonymity ของผู้ถูกสัมภาษณ์ คือ ไม่สามารถที่จะปกปิดชื่อของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้

66.       การสัมภาษณ์ผู้ถูกวิจัยนั้น นักวิจัยควรใช้วิธี Probing หมายถึงวิธีการใด

(1) ขณะพูดคุยให้มองหน้าผู้ตอบเสมอ           (2) ขณะพูดคุยนึกถึงคำถาม How และ When

(3) ขณะสัมภาษณ์ให้คิดหาคำถามต่อไป        (4) ขณะสัมภาษณ์นึกถึงคำถาม What และ Where

ตอบ 2 หน้า 195 – 196 หลักการสัมภาษณ์ประการหนึ่ง คือ ควรใช้วิธี Probing ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญ ที่สุดในการถาม กล่าวคือ ระหว่างการสัมภาษณ์หรือพูดคุยจะต้องไม่ลืมประเด็นคำถาม How และ When เพื่อที่จะล้วงเอาข้อมูลที่ผู้ตอบเผลอตอบออกมาโดยเต็มใจอยากจะบอกเพิ่มเติมอีก (Further Information) และตอบได้อย่างชัดเจน (Clarification)

67.       การสำรวจข้อมูลทางโทรศัพท์ มีข้อดีอย่างไร

(1)       ทำให้มองปัญหาการสำรวจได้รวดเร็วมากขึ้น

(2)       ทำให้ติดตามผลของข้อมูลที่ขาดหายได้รวดเร็วดี

(3)       ได้ผลสรุปที่ถูกต้องและวิเคราะห์ได้รวดเร็วทันที

(4)       ได้คำตอบทันทีและได้รับข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ได้รวดเร็ว

ตอบ 4 หน้า 196 ข้อดีของการสำรวจข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ มีดังนี้

1.         เป็นวิธีทีประหยัดและราคาถูกกว่าการสัมภาษณ์ส่วนตัวมาก

2.         มีข้อดีที่สุดในเรื่องของการได้คำตอบทันทีและได้รับข้อมูลเพื่อวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

3.         มีอัตราการตอบรับสูงและยังได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูงกว่าการสำรวจทางไปรษณีย์มาก

4.         ได้ประชากรที่มีความแตกต่างหรือหลากหลาย ฯลฯ

68.       ผู้มีจรรยาบรรณทางการวิจัยนั้นต้องมีการทำ Confidentiality หมายความว่าอะไร

(1)       ความเชื่อมั่นในการค้นหาข้อมูลที่เป็นจริงได้

(2)       การเชื่อข้อมูลที่เป็นเรื่องเฉพาะส่วนตัวของผู้ถูกวิจัย

(3)       ปกปิดชื่อ ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้ถูกวิจัย

(4)       ไม่เปิดเผยข้อมูลหรือปิดข้อมูลส่วนตัวของผู้ถูกวิจัย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

69.       ข้อสอบแบบ Multiple Choice Questions เป็นข้อสอบแบบใดต่อไปนี้

(1) ข้อสอบลักษณะแบบคำถามเปิด   (2) คำถามมีหลายรูปแบบ

(3) คำถามมีตัวเลือกตอบหลายข้อ      (4) ข้อสอบเป็นลักษณะเติมคำในตัวข้อสอบ

ตอบ 3 หน้า 232 – 233, (คำบรรยาย) Multiple Choice Questions คือ แบบสอบถามชนิดที่คำถาม มีตัวเลือกตอบมาก ซึ่งเป็นลักษณะของคำถามแบบปลายปิด (Close-ended Questions)ที่ให้ผู้ตอบเลือกตอบข้อที่ถูกต้อง โดยให้วงกลมหรือกากบาทลงในข้อที่เลือกของแบบคำถามปรนัย ดังที่นักศึกษาเคยเห็นมาแล้ว

70.       การให้รหัสข้อมูล (Coding) ในการทำงานวิจัยสื่อสารมวลชน มีจุดหมายอะไร

(1)       เพื่อทำให้รหัสต่าง ๆ ตีความหมายออกมาเป็นคำอธิบายได้

(2)       เพื่อแปลข้อมูลให้อยู่ในรูปที่จะดำเนินการผ่านคอมพิวเตอร์ได้

(3)       เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลออกมาถูกต้องตามสมมุติฐาน

(4)       เพื่อให้ข้อมูลสามารถปิดเป็นความลับได้

ตอบ 2 หน้า 264280354 เป้าหมายสำคัญของการให้รหัสข้อมูล (Coding) คือ จัดทำการดำเนินงาน ข้อมูลให้ง่ายขึ้นโดยแบ่งหรือจำแนกออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่สะดวกต่อการจัดการ เพื่อที่จะแปลข้อมูลให้อยู่ในรูปที่สามารถดำเนินการผ่านคอมพิวเตอร์ได้นั่นเอง

71.       การทำวิจัยนั้น ระบบ CPU เป็นส่วนใดของเครื่องคอมพิวเตอร์

(1) หน่วยความจำและเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์      

(2) หน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์

(3) หน่วยคำนวณจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไป        

(4) เป็นหน่วยแสดงผลรวมข้อมูลของคอมพิวเตอร์

ตอบ 2 หน้า 266366 Central Processing Unit (CPU) คือ หน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบคอมพิวเตอร์ที่จะควบคุมกระบวนการข้อมูลและการปฏิบัติการ ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมตลอดทั้งหน้าที่บริหารจัดการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดด้วย

72.       กรรมวิธีข้อมูลของการใช้คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Interactive มีวิธีอย่างไร

(1) ผู้วิจัยสามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้    

(2) สามารถรวบรวมข้อมูลเป็นกลุ่มได้

(3) คอมพิวเตอร์สามารถส่งข้อมูลระยะไกลได้            

(4) คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลได้รวดเร็ว

ตอบ 1 หน้า 263267 การประมวลผลแบบโต้ตอบ (Interactive Processing) เป็นวิธีคำนวณ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สะดวกมากที่สุดและเร็วที่สุด กล่าวคือ ผู้ใช้เครื่องจะใส่ขุดคำสั่ง (Commands) ไว้ในคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์สามารถจะสื่อสารกับผู้ใช้เครื่องได้ จึงเป็นกรรมวิธีข้อมูลที่ผู้ทำวิจัยจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้ให้มากที่สุด

73.       การส่งแบบสอบถามให้ผู้ถูกวิจัยเพื่อกรอกคำตอบนั้น ต้องมีเรื่องใดต่อไปนี้

(1)       วิธีที่ผู้ตอบจะไต้รับรางวัลการตอบคำถามเมื่อส่งแบบสอบถามกลับ

(2)       หนังสือนำเพื่อบอกเหตุสำคัญที่ส่งแบบสอบถามมาและแนะนำวิธีการตอบ

(3)       บอกวิธีการส่ง หรือแนบตัวอย่างที่จะส่งไปทางไปรษณีย์

(4)       ส่งคำแนะนำวิธีการตอบแบบสอบถามที่เหมาะสมกับผู้ตอบ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

74.       กรรมวิธีข้อมูล (Data Processing) เป็นขั้นวิจัยการสื่อสารมวลชนระหว่างขั้นตอนใด

(1) ระหว่างการรวบรวมข้อมูลกับการวิเคราะห์            (2) ขั้นดำเนินตามแผนกับขั้นวิเคราะห์ข้อมูล

(3) ขั้นตีความข้อมูลกับขั้นตอนวางแผนการทำงาน (4) ระหว่างหาข้อมูลและรวบรวมข้อมูล

ตอบ 1 หน้า 264280354 กรรมวิธีข้อมูล (Data Processing) คือ กระบวบการที่เชื่อมต่อกัน ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล โดยขั้นแรกในกระบวบการข้อมูล คือ การพัฒนาระบบในการให้รหัสข้อมูล (Coding Data) ซึ่งจะเกี่ยวกับการจัดแยกและการสังเกต เพื่อจุดประสงค์ของการอธิบายและการวิเคราะห์ทางสถิติ

75.       โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น นิยมใช้โปรแกรมใดต่อไปนี้

(1) โปรแกรม Page Maker       (2) โปรแกรม BMDP

(3) โปรแกรม PowerPoint        (4) โปรแกรม SPSS

ตอบ 4 หน้า 253277 โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะมีชื่อใหม่ ๆ มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะใช้ทำงานใด และต้องการผลทางสถิติใด เช่น โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ในวงการวิจัยทางสังคมศาสตร์และสื่อสารมวลชน ได้แก่ โปรแกรม SPSS ส่วนในทางธุรกิจ ก็มีโปรแกรม BMDP ในทางการพิมพ์ก็มี Page Maker หรือการใช้สถิติเพื่อการวิจัยทั่วไป ก็มีโปรแกรม stat View ซึ่งจะพัฒนาไปเร็วมาก เป็นต้น

77.       การทำรหัสข้อมูลนั้น หากเป็นคำถามแบบปิดควรจะ Code โดยวิธีใด

(1) แบบ Deductive เข้ารหัสก่อน            (2) แบบ Inductive เข้ารหัสหลัง

(3) แบบ Deductive เข้ารหัสหลัง            (4) แบบ Inductive เข้ารหัสก่อน

ตอบ 1 หน้า 265268 การทำรหัสข้อมูล (Coding) ไว้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จะขึ้นอยู่กับรูปแบบของ คำถาม กล่าวคือ หากคำถามเป็นแบบปลายปิดควรจะ Code ด้วยวิธี Deductive คือ เข้ารหัสข้อมูลก่อนการเก็บรวบรวม แต่ถ้าคำถามเป็นแบบปลายเปิดควรจะ Code ด้วยวิธี Inductive คือ เข้ารหัสข้อมูลหลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลมาแล้ว

78.       ค่าเฉลี่ย Mode ของคะแนนชุด 3581051012610310 และ 16 ได้แก่ค่าใด

(1) เท่ากับ 6    (2) เท่ากับ 8    (3) เท่ากับ 10  (4) เท่ากับ 16

ตอบ 3 หน้า 248 ค่าฐานนิยม (Mode) คือ ค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่มีความถี่มากที่สุดในจำนวนข้อมูล ทั้งหมด ดังนั้นจากโจทย์ข้างต้นจึงหาค่าเฉลี่ย Mode = 10 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ซ้ำกันหรือมีความถี่ มากที่สุด

79.       การทดสอบสมมุติฐานทางสถิตินั้น มักจะทดสอบสมมุติฐานใดต่อไปนี้

(1) Alternative Hypothesis        (2) Null Hypothesis

(3) Research Hypothesis   (4) Research Assumption

ตอบ 2 หน้า 289, (คำบรรยาย) ในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนจะนิยมใช้วิธีการทางสถิติอ้างอิง เพื่อทดสอบสมมุติฐาน เช่น T-Test, F-Test, Chi-square Test ฯลฯ โดยมักจะทดสอบ สมมุติฐานทางสถิติ คือ Null Hypothesis (HQ) ซึ่งเป็นสมมุติฐานที่มีข้อความตรงข้ามกับสมมุติฐานที่ควรจะเป็น คือ Alternative Hypothesis (Hi) และต้องเป็นข้อความที่ระบุว่า ไม่มีความส้มพันธ์ใด ๆ ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่จะถูกค้นพบได้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้

80.       การป้อนข้อมูลวิจัยทางการสื่อสารมวลชน โดยปกติคอลัมน์ใน Card Image ของคอมพิวเตอร์จะมีอยู่กี่คอลัมน์

(1) มี 60 คอลัมน์         (2) มี 70 คอลัมน์         (3) มี 80 คอลัมน์         (4) มี 90 คอลัมน์

ตอบ 3 หน้า 263266268 ระบบคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำของระบบ โดยปัจจุบันจะเก็บไว้ในรูปรหัสที่เรียกว่า Card Image ซึ่งปกติแต่ละบรรทัดของข้อมูล จะประกอบด้วยคอลัมน์ 80 คอลัมน์ หรือน้อยกว่าเล็กน้อย

81.       การใช้สถิติทดสอบสมมุติฐานในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น นิยมใช้วิธีใดต่อไปนี้

(1) Ink-Test         

(2)       RU-Test    

(3) Pretest-Posttest 

(4)         Chi-square Test

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

82.       ระดับความมีนัยสำคัญ (α) ในการทำการวิจัยทางการสื่อสารมวลชน นิยมใช้ที่ระดับใด

(1) ระดับ .001            

(2)       ระดับ .01        

(3) ระดับ .03   

(4)       ระดับ .05

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

84.       ค่าเฉลี่ย Median ของคะแนนชุด 36810161718 และ 22 มีค่าเท่าไร

(1) เท่ากับ 6    

(2)       เท่ากับ 9          

(3) เท่ากับ 11  

(4)       เท่ากับ 13

ตอบ. 4 หน้า 248, (คำบรรยาย) ค่ามัธยฐาน (Median) คือ ค่าเฉลี่ยที่ได้จากข้อมูลที่อยู่ตรงกลาง เมื่อเรียงลำดับข้อมูลจากค่าน้อยไปสู่ข้อมูลที่มีค่ามาก แต่ถ้าในกรณีที่ตรงกลางมี 2 ข้อมูล ให้นำข้อมูลทั้งสองมาบวกกันแล้วหารด้วย 2

85.       ค่าของคะแนน .05 นั้น คือค่าใดที่หวังได้ดังต่อไปนี้

(1) หวังได้เท่ากับ 85% (2) หวังได้เท่ากับ 95% (3) หวังได้เท่ากับ 90% (4) หวังได้เท่ากับ 15% ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

86.       ปัญหาวิจัย วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ที่มีการต่อสู้รุนแรงจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว จงตั้งสมมุติฐาน Null Hypothesis ต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง

(1) วัยรุ่นที่ไม่นิยมชมภาพยนตร์ต่อสู้รุนแรงมีปัญหาเรื่องความก้าวร้าว

(2) วัยรุ่นที่ไม่นิยมชมภาพยนตร์ต่อสู้รุนแรงจะไม่มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าว

(3) วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ต่อสู้รุนแรงจะไม่มีปัญหาก้าวร้าว

(4) วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ที่มีการต่อสู้รุนแรงจะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว 

ตอบ. 4 หน้า 289, (ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ) จากปัญหาวิจัย หรือสมมุติฐานที่ควรจะเป็น เราสามารถตั้งสมมุติฐานที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีความสัมพันธ์กับระหว่าง วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ที่มีการต่อสู้รุนแรง” กับ พฤติกรรมก้าวร้าว” ซึ่งเป็นตัวแปรที่สัมพันธ์กันได้ดังนี้ คือ วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ ที่มีการต่อสู้รุนแรงจะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว

87.       การวัดค่าระดับ Interval จะอยู่ในรูปใดต่อไปนี้

(1) A = 25     (2) A >B      (3) A + B = c + D    (4) 2A = 5B

ตอบ 3 หน้า 162 Interval Measure เป็นการวัดสิ่งต่าง ๆ เพื่อหาจำนวน ขนาด และช่วงที่เท่ากัน หรือระยะห่าง (Interval) ระหว่างหน่วยที่ติดกัน ซึ่งจะสามารถกำหนดหรือตัดสินใจได้ว่า หน่วยใด ช่วงใดมากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากัน เช่น A-B>C-D, A-B<C-D, A-B = C-D,A + B = C + D,A + B>C + D เป็นต้น

88.       การวัดอุณหภูมิแบบใดที่มีค่า Absolute Zero Point ดังต่อไปนี้

(1) Celsius (2) Fahrenheit  (3) Kelvin  (4) Rohmer

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

89.       ค่าความเชื่อได้ (Reliability) ของแบบสอบถามหลายชุดมีค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ควรเลือกชุดใดนำมาเป็นเครื่องมือในการวิจัย

(1) ชุดที่มีค่า r = .03  (2) ชุดที่มีค่า r = .96  (3)       ชุดที่มีค่า r = .04       (4) ชุดที่มีค่า X = .69

ตอบ 2 หน้า 166, (ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ) การหาค่าความเชื่อได้ (Reliability : r)ทางสถิตินั้น ถ้าค่าของ เข้าใกล้ 1 ก็น่าจะมีความเชื่อได้สูงสุด หรืออย่างน้อย .96 ก็เชื่อมั่นได้ ทั้งนี้ค่าความเชื่อได้ทางสถิติของเครื่องมือวิจัยสื่อสารมวลชนที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ X = .75 ขึ้นไป

90.       นักศึกษาได้ศึกษางานวิจัยของ Paul Leedy ถามว่าเขาเป็นนักวิจัยสาขาใด

(1) สื่อสารมวลชน        (2) มนุษยศาสตร์         (3)       สังคมศาสตร์   (4)       วิทยาศาสตร์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

91.       การสุ่มตัวอย่างแบบ Systematic จากประขากร 4,000 คน เลือกสุ่มตัวอย่างมา 400 คนนั้น อยากทราบว่า ค่าที่ เท่ากับเท่าไร

(1) มีค่าเท่ากับ 5         

(2) มีค่าเท่ากับ 10       

(3) มีค่าเท่ากับ 15       

(4)มีค่าเท่ากับ 20

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

92.       คำถามของผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นนักวิจัยทางการสื่อสารมวลชนได้นั้น น่าจะมีคำกล่าวที่สันนิษฐาน ตามข้อใดต่อไปนี้

(1)       ท่านจะไปชมภาพยนตร์ที่ไหนผมอยากไปด้วย

(2)       เขาว่ารายการโทรทัศน์เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย

(3)       ฉันว่าเขาค้นหาข้อมูลจากนิตยสารมามากพอแล้ว

(4)       ฉับประหลาดใจว่าทำไมพิธีกรคนนี้จึงเป็นเช่นนั้นได้

ตอบ 4 หน้า 14 ทุกคนที่จะทำการวิจัยนั้นจะต้องเกิดข้อสงสัยในชีวิตประจำวัน หรือเกิดปัญหาขึ้นในใจตนเองทั้งสิ้น เช่น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อะไรเป็นสาเหตุ ฯลฯ ซึ่งคำถามในลักษณะ ทำไม” (Why) นี้ จะทำให้เราคุ้นเคยกับแนวทางที่จะนำไปสู่การวิจัยต่อไปได้ จึงเรียกว่า ปัญหาวิจัยก็คือ คำถามของผู้วิจัยนั่นเอง

93.       การใช้สถิติวิเคราะห์ Chi-square Test นั้น เป็นสถิติอะไรต่อไปนี้

(1) สถิติวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)        (2) สถิติตีความ (Interpretative Statistics)

(3) สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics)      (4) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics)

ตอบ 3 หน้า 248320 – 321, (คำบรรยาย) สถิติวิเคราะห์จะประกอบด้วยขอบเขต 2 ประการ คือ

1.         สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) เป็นการอธิบายลักษณะข้อมูล เช่น ค่าเฉลี่ยทางสถิต Mean Median Mode, รูปร่างการกระจายของคะแนน ฯลฯ

2.         สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) เป็นการที่ผู้วิจัยสุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์โดยการใช้ T-Test, F-Test, Chi-square Test, ANOVA ฯลฯ และสรุปผลเกี่ยวกับประชากรทั้งหมด

94.       การวิจัยทางการสื่อสารมวลชนโดยทั่วไปนั้น พบว่าการวิจัยเป็นเรื่องใดต่อไปนี้

(1) เป็นกระบวนการทางสังคม            (2) เป็นระบบหมุนเวียน

(3) เป็นการค้นหาตัวแปร         (4) เป็นการทบทวนความรู้

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

95.       การหาค่าเฉลี่ยทางสถิติ เช่น ค่า Mean, Median, Mode นั้น เรียกว่าสถิติอะไร

(1) สถิติวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)        (2) สถิติตีความ (Interpretative Statistics)

(3) สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics)      (4) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics)

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

96.       ผู้ที่ได้ศึกษาเรื่อง การเชื่อผู้มีอำนาจนั้น ได้แก่ใครต่อไปนี้

(1) Milgram        (2) Karl Popper

(3) Verstehen    (4) Paul Leedy

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

97.       หากพบปัญหาว่า ไฟดับ จงตั้งสมมุติฐานจากข้อมูลที่ว่า ไฟลัดวงจรเมื่อเดือนก่อน หลอดไฟอายุ 200 ชั่วโมงแล้ว สายไฟอายุพร้อมกับบ้าน 25 ปี เมื่อวานใช้ไฟมาก ฯลฯ ข้อใดถูกต้องที่สุดต่อไปนี้

(1) ไฟช้อตอีกกระมัง   (2) สะพานไฟขาดหรือไม่

(3) หลอดไฟขาดหรือเปล่า       (4) หลอดไฟขาด

ตอบ 4 หน้า 16 การตั้งสมมุติฐานจะต้องเขียนเป็นประโยคบอกเล่า ส่วนการตั้งปัญหาย่อยจะเขียน เป็นประโยคคำถาม โดยในการทำวิจัยนั้นจะเลือกตั้งเป็นคำถามย่อยหรือตั้งเป็นสมมุติฐานก็ได้ เพื่อเป็นแนวทางค้นหาคำตอบ หรือเป็นแนวทางพิสูจน์ ทดสอบสมมุติฐาน แล้วจึงสรุปผล การวิจัยดังที่ได้วางแผนไว้แล้ว (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการตั้งปัญหาย่อย)

98.       การวัดค่าความร้อน 25° Celsius อธิบายได้ว่าขณะนี้ร้อนกี่องคา Kelvin

(1) ร้อน 298°K         (2) ร้อน 205°K

(3) ร้อน 303°K         (4) ร้อน 308°K

ตอบ 1 หน้า 162 – 163245, (ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ) ในสเกลของ Kelvin จุดที่เป็นศูนย์ โดยสมบูรณ์เด็ดขาดจริง ๆ (Arbitrary Zero Point) คือ ระดับ 273°ดังนั้นหากเรา กลับการวัดแบบ Celsius เป็นการวัดแบบ Kelvin ซึ่งเป็นคาความร้อนที่สมบูรณ์จริง ก็จะ วัดค่าความร้อนที่ 25°ได้ร้อนจริง ๆ ที่ 273° + 25° = 298°K

99.       จรรยาบรรณของนักวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติ ได้แก่ข้อใดต่อไปนี้

(1)       นักวิจัยไม่จำเป็นต้องมีพี้นความรู้ในเรื่องที่ทำวิจัยนั้น

(2)       นักวิจัยต้องเคารพสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย

(3)       นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อวิธีการทางวิทยาคาสตร์

(4)       นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ

ตอบ 4 หน้า 102 – 103 จรรยาบรรณนักวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติมี 9 ประการ ดังนี้

1.         นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ

2.         นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำวิจัยตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุน การวิจัยและต่อหน่วยงาน

3.         นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย

4.         นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย

5.         นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย

6.         นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย

7.         นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ

8.         นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น

9.         นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ

100.    ถ้าค่าไค-สแควร์ (Chi-square Test) ที่คำนวณได้ มีค่ามากกว่าค่าไค-สแควร์ที่อ่านได้จากตาราง (Critical Value) จะต้องสรุปผลการทดสอบสมมุติฐานอย่างไรต่อไปนี้

(1) ปฏิเสธ Null Hypothesis (Ho)   (2) ปฏิเสธ Alternative Hypothesis (H1)

(3) ยอมรับ Null Hypothesis (Ho)    (4) ยอมรับ Statistical Hypothesis

ตอบ 1 หน้า 317 – 318358404, (คำบรรยาย) การทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ Chi-square Test, T-Test, Z-Test และ F-Test ถ้าค่าที่คำนวณได้ (Obtained Value) มีค่ามากกว่า หรือเท่ากับ ค่าที่อ่านได้จากตาราง (Critical Value) นักวิจัยจะต้องสรุปผลการทดสอบสมมุติฐานว่าปฏิเสธ Null Hypothesis (Ho) แต่ถ้าค่าที่คำนวณได้มีค่าน้อยกว่าค่าที่อ่านได้จากตาราง จะต้องสรุปผลการทดสอบสมมุติฐานว่า ยอมรับ Null Hypothesis (Ho)

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!