LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างบ้านในที่ดินของจันทร์ สัญญาจ้างระบุว่าอังคารจะต้องเริ่มลงมือทำงานจ้าง ณ สถานที่ก่อสร้างภายในวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยที่สัญญาจ้างมิได้ระบุถึงเรื่องส่งมอบพื้นที่ไว้ปรากฏว่าอังคารได้บอกกล่าวไปยังจันทร์ว่าอังคารได้เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ในการก่อสร้างบ้านไว้พร้อมที่จะเข้าทำการก่อสร้างภายในวันที่ 20 มกราคม 2559 แล้ว แต่จันทร์ปฏิเสธไม่ส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารจนล่วงพ้นกำหนดเวลาก่อสร้างตามสัญญา ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุ

อันจะอ้างกฎหมายไต้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ”

มาตรา 208 วรรคสอง “แต่ถ้าเจ้าหนี้ได้แสดงแก่ลูกหนี้ว่า จะไม่รับชำระหนี้ก็ดี หรือเพื่อที่จะชำระหนี้จำเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ดี ลูกหนี้จะบอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการที่จะชำระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้ว ให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้นั้น เท่านี้ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าคำบอกกล่าวของลูกหนี้นั้นก็เสมอกับคำขอปฏิบัติการชำระหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องที่เจ้าหนี้ต้องกระทำการบางอย่างก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามมาตรา 208 วรรคสอง กล่าวคือ เมื่อจันทร์ว่าจ้างอังคารให้สร้างบ้านในที่ดินของจันทร์ แม้ในสัญญาจ้างจะมิได้ระบุถึงเรื่องส่งมอบพื้นที่ไว้ก็ตาม จันทร์ก็ต้องกระทำการส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคาร ซึ่งเป็นหน้าที่ของจันทร์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ต้องกระทำเพื่อที่จะรับชำระหนี้การก่อสร้างจากอังคารซึ่งเป็นลูกหนี้ตามมาตรา 208 วรรคสอง

และจากข้อเท็จจริง เมื่ออังคารลูกหนี้ได้บอกกล่าวไปยังจันทร์เจ้าหนี้แล้วว่า อังคารได้เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ในการก่อสร้างบ้านไว้พร้อมที่จะเข้าทำการก่อสร้างแล้ว แต่จันทร์เจ้าหนี้ปฏิเสธไม่ส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคาร จึงเป็นกรณีที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายไต้ จึงถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคสอง

สรุป จันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2. นายเก่งเป็นเจ้าของร้านขายส่งสินค้าในช่วงสงกรานต์ของทุกปีนายเก่งจะขายปืนฉีดน้ำแบบต่าง ๆแก่ลูกค้าขาประจำที่มาซื้อไปขายต่อ สร้างผลกำไรแก่นายเก่งไม่ต่ำกว่าปีละ 50,000 บาท แต่สินค้ามีข้อจำกัดคือไม่สามารถเก็บไว้ขายในปีต่อไปได้เพราะวัตถุดิบเสื่อมคุณภาพในเวลาอันรวดเร็ว นายเก่งสั่งซื้อจากโรงงานผลิตปืนฉีดน้ำของนายขอบเพียงแห่งเดียวมาตั้งแต่ปี 2550 สำหรับในปีนี้นายเก่งได้สั่งซื้อไปยังโรงงานของนายขอบตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2558 จำนวน 1,000 กระบอกเช่นทุกปี มีข้อตกลงว่านายขอบจะต้องนำสินค้ามาส่งที่ร้านของนายเก่งในวันที่ 1 เมษายน 2558 เพื่อจะได้จัดเตรียมการส่งมอบแก่ลูกค้าของนายเก่งที่สั่งซื้อไว้ล่วงหน้ารวม 5 ราย รายละ 200 กระบอก

โดยนายเก่งนัดให้มารับสินค้าตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนถึงวันที่ 6 เมษายน แต่นายขอบผลิตสินค้าไม่ทันเพราะปีนี้มีคำสั่งซื้อมากกว่าปกติ นายขอบนำสินค้าทั้ง 1,000 กระบอกมาส่งมอบแก่นายเก่งในวันที่ 15 เมษายน 2558 นายเก่งไม่ยอมรับสินค้าทั้งหมดไว้ และเป็นเหตุให้นายเก่งไม่มีสินค้าส่งมอบแก่ลูกค้าทั้งห้ารายของตน นายเก่งต้องจ่ายค่าเสียหายให้ไปรายละ 5,000 บาท ต่อมานายเก่งมาปรึกษานักศึกษาซึ่งเป็นทนายความ ให้นักศึกษาให้คำปรึกษาแก่นายเก่งว่าจะสามารถเรียกร้องอะไรจากนายขอบได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการขำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 216 “ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับขำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้”

มาตรา 222 “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น

เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษหากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว”

มาตรา 224 วรรคหนึ่ง “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายเก่งดังนี้ คือ

นิติสัมพันธ์ระหว่างนายเก่งกับนายขอบเป็นสัญญาซื้อขายสินค้าปีนฉีดน้ำที่มีคุณสมบัติข้อจำกัดเฉพาะตัว 1,000 กระบอก ซึ่งนายขอบจะต้องชำระหนี้คือต้องนำสินค้าดังกล่าวมาส่งมอบให้แก่นายเก่งตามวันที่กำหนดในปฏิทินตามมาตรา 204 วรรคสอง คือ วันที่ 1 เมษายน 2558 เมื่อนายขอบนำสินค้ามาส่งมอบให้แก่นายเก่งในวันที่ 15 เมษายน 2558 ซึ่งเป็นการส่งมอบเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกัน จึงถือว่านายขอบลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ และเป็นการผิดนัดชำระหนี้โดยมิพักต้องเตือนก่อน และการที่นายขอบนำสินค้ามาส่งมอบให้แก่นายเก่งในวันที่ 15 เมษายน 2558 นั้น ทำให้การชำระหนี้เป็นอันไร้ประโยชน์แก่นายเก่ง ดังนั้น นายเก่งจึงมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายขอบได้ตามมาตรา 216 และในกรณีที่ค่าสินไหมทดแทนที่เรียกเป็นจำนวนเงินค่าเสียหาย นายเก่งย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำนวนเงินค่าเสียหายนั้นด้วยตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

สำหรับค่าเสียหายนั้น นายเก่งสามารถเรียกค่าขาดกำไรจากการขาย 50,000 บาท เนื่องจากนายเก่งซื้อสินค้าจากนายขอบซึ่งเป็นผู้ผลิตก็เพื่อนำมาขายต่อให้แก่ลูกค้าของนายเก่ง ซึ่งนายเก่งย่อมประสงค์จะได้กำไรจากการขายนั้นเป็นธรรมดา ดังนั้น เมื่อนายขอบไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้นายเก่งนำไปขายต่อได้ ค่าเสียหายจำนวนนี้จึงเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการที่นายขอบไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 222 วรรคหนึ่ง

ส่วนค่าเสียหายที่นายเก่งต้องชดใช้แก่ลูกค้าทั้ง 5 รายของตนรวมเป็นเงิน 25,000 บาทนั้น แม้จะไม่ใช่ค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ แต่เนื่องจากนายขอบทราบจากการที่เคยค้าขายกับนายเก่งมาหลายปี โดยมีข้อตกลงกันว่านายขอบต้องนำสินค้ามาส่งในวันที่กำหนดเพื่อลูกค้าจะได้มารับไปขายต่อ พฤติการณ์แสดงว่านายขอบคาดเห็นได้อยู่แล้วว่าหากนายเก่งไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าของนายเก่งนำไปขายต่อได้ นายเก่งย่อมต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าของบายเก่ง ดังนั้น ค่าเสียหายจำนวนนี้จึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่นายขอบได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้ว นายเก่งจึงสามารถเรียกร้องให้นายขอบรับผิดได้ตามมาตรา 222 วรรคสอง

สำหรับอัตราดอกเบี้ยในต้นเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าว เนื่องจากไม่มีการตกลงกันไว้เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัด นายเก่งจึงสามารถเรียกได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

สรุป เมื่อนายเก่งมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายเก่งตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. วันทนีย์ขายบ้านหลังเก่าพร้อมที่ดินให้โฉมฉายในราคาห้าล้านห้าแสนบาท ผู้ซื้อขอให้โอนกรรมสิทธิ์และนำไปจำนองธนาคารประกันเงินกู้เพื่อนำมาชำระให้ผู้ขาย โดยชำระแล้วห้าล้านบาท ที่ค้างอยู่ห้าแสนบาท ขอทำสัญญากู้ไว้แทน และออกเช็คล่วงหน้าประกอบสัญญาไว้ห้าใบ ใบละหนึ่งแสนบาทเช็คถึงกำหนดเดือนละใบไม่มีดอกเบี้ยซึ่งผู้ขายยินยอมเมื่อเช็คถึงกำหนดเดือนที่ 1 – 2 ผู้ขายเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ วันทนีย์มาปรึกษาท่านจากข้อเท็จจริงดังกล่าวตนอาจจะบังคับหรือรักษาสิทธิ์ได้อย่างไรบ้าง ให้แนะนำโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง”

มาตรา 229 “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพระเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจำนำจำนอง”

มาตรา 349 วรรคหนึ่ง “เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่วันทนีย์ว่า วันทนีย์อาจจะบังคับหรือรักษาสิทธิของตนได้ดังนี้คือ

ประการแรก วันทนีย์อาจจะรักษาสิทธิของตนโดยการรับช่วงสิทธิตามมาตรา 226 วรรคหนึ่งในฐานะเจ้าหนี้สามัญ โดยการเข้าชำระหนี้ให้กับธนาคารผู้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนตนเพราะมีบุริมสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง และเมื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารผู้รับจำนองแล้ว วันทนีย์ก็เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนองแทนธนาคารตามมาตรา 229 (1)

ประการที่ 2 การที่โฉมฉายเป็นหนี้ค่าซื้อขายบ้านพร้อมที่ดินกับวันทนีย์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท แล้วโฉมฉายขอทำสัญญากู้ไว้แทนและออกเช็คล่วงหน้าประกอบสัญญากู้ไว้ 5 ใบ ใบละ 100,000 บาทนั้น

ถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนี้ คือการเปลี่ยนมูลหนี้จากหนี้ตามสัญญาซื้อขายเป็นหนี้ตามสัญญากู้ ส่งผลให้หนี้ตามสัญญาซื้อขายจำนวน 500,000 บาทระงับไป และเกิดความผูกพันตามหนี้ใหม่คือหนี้ตามสัญญากู้จำนวน 500,000 บาท (ตามนัยมาตรา 349 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้น เมื่อเช็คจำนวน 2 ใบ เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท ที่ออกประกอบสัญญากู้เบิกเงินกับธนาคารไม่ได้ วันทนีย์ย่อมสามารถดำเนินการบังคับหรือรักษาสิทธิของตนได้ โดยการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการเรื่องเช็คได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่วันทนีย์ในการที่จะบังคับหรือรักษาสิทธิของตนตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. นายกอล์ฟและนายกัสเป็นลูกหนี้ร่วมในเงินค้าสินค้าเชื่อนางสาวแนทตี้จำนวน 500,000 บาทต่อมาเมื่อหนี้รายดังกล่าวถึงกำหนดชำระ นายกอล์ฟและนายกัสยังหาเงินสดมาชำระหนี้ให้แก่นางสาวแนทตี้ไม่ได้ นายกอล์ฟแต่เพียงผู้เดียวจึงได้อาสาไปเจรจากับนางสาวแนทตี้ขอลดจำนวนยอดหนี้ลงและขอทำสัญญากู้เงินมอบให้นางสาวแนทตี้เก็บไว้แทนเป็นเงินจำนวน 300,000 บาทเพื่อเป็นหลักฐาน ซึ่งนางสาวแนทตี้ได้ตกลงตามข้อเสนอของนายกอล์ฟ เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระนายกอล์ฟได้นำเงินจำนวน 300,000 บาท ไปชำระให้แก่นางสาวแนทตี้ตามสัญญาดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(ก) นางสาวแนทตี้จะเรียกให้นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชำระหนี้ค่าสินค้าเชื่อที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 200,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) เมื่อนายกอล์ฟชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท ให้แก่นางสาวแนทตี้แล้วจะสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยจากนายกัสได้หรือไม่ เพียงใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 229 ‘‘การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น”

มาตรา 292 วรรคหนึ่ง “การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ ด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย”

มาตรา 296 “ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่น ๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใดเจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป”

มาตรา 349 วรรคหนึ่ง “เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายกอล์ฟลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวได้อาสาไปเจรจากับนางสาวแนทตี้ขอลดยอดหนี้ค่าสินค้าเชื่อจำนวน 500,000 บาทลง และขอทำสัญญากู้เงินมอบให้นางสาวแนทตี้เก็บไว้แทนเป็นจำนวนเงิน

300.000 บาท ซึ่งนางสาวแนทตี้ได้ตกลงตามข้อเสนอของนายกอล์ฟนั้น ถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนี้ ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนมูลหนี้จากหนี้ตามสัญญาซื้อสินค้าเชื่อเป็นหนี้ตามสัญญากู้ ส่งผลให้หนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจำนวน 500,000 บาทระงับไป และเกิดความผูกพันตามหนี้ใหม่คือ

หนี้ตามสัญญากู้จำนวน 300,000 บาท (ตามนัยมาตรา 349 วรรคหนึ่ง) และการกระทำของนายกอล์ฟนั้นถือได้ว่าเป็นการกระทำแทนการชำระหนี้ตามนัยของมาตรา 292 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การกระทำของนายกอล์ฟจึงเป็นประโยชน์แก่นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย กล่าวคือ ทำให้นายกัสหลุดพ้นจากการชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อจำนวน 500,000 บาทไปด้วย เนื่องจากหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อได้ระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อนายกอล์ฟได้นำเงินจำนวน 300,000 บาท ไปชำระไห้แก่นางสาวแนทตี้ตามสัญญาเงินกู้ ทำให้หนี้ดังกล่าวระงับสิ้นไป นางสาวแนทตี้จะเรียกไห้นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเชื่อที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 200,000 บาทไม่ได้ ตามมาตรา 349 ประกอบมาตรา 292 วรรคหนึ่ง

(ข) เมื่อนายกอล์ฟชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท ให้แก่นางสาวแนทตี้ตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่ (สัญญากู้) แล้ว เมื่อถือว่าการแปลงหนี้ใหม่คือการกระทำแทนการชำระหนี้และถือว่ามีผลเช่นเดียวกันกับการชำระหนี้

ดังนั้น นายกอล์ฟลูกหนี้ร่วมผู้ชำระหนี้ตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่ ย่อมสามารถรับช่วงสิทธิของนางสาวแนทตี้เจ้าหนี้ตามมาตรา 229 (3) ในอันที่จะไล่เบี้ยเอาจากนายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งได้เป็นจำนวนเงิน 150,000 บาท ตามนัยมาตรา 296 ซึ่งได้วางหลักในเรื่องของส่วนแบ่งความรับผิดของลูกหนี้ร่วมไว้ว่า ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นลูกหนี้ร่วมต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน

สรุป

(ก) นางสาวแนทตี้จะเรียกให้นายกัสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชำระหนี้ค่าสินค้าเชื่อที่ยังขาดอยู่อีกจำนวน 200,000 บาท ไม่ได้

(ข) เมื่อนายกอล์ฟชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท ให้แก่นางสาวแนทตี้แล้ว นายกอล์ฟสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยจากนายกัสได้เป็นจำนวน 150,000 บาท

 

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์เป็นลูกหนี้อังคารเป็นเจ้าหนี้ในหนี้เงินกู้ยืมสามแสนบาทกำหนดชำระคืนในวันที่20มกราคม2558 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จันทร์ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่อังคาร จำนวนสามแสนบาทโดยขอชำระด้วยเช็ค ดังนี้อังคารจะปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของอังคาร จะทำให้อังคารตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 208 วรรคแรก “การชำระหนี้จะให้สำเร็จเป็นผลอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”

มาตรา 320 “อันจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วน หรือให้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้นั้น ท่านว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่ ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 207 กรณีที่จะถือว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น จะต้องประกอบด้วย หลักเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ

  1. ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว และ
  2. เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เป็นหนี้เงินกู้ยืมอังคารจำนวน 300,000 บาท และเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ จันทร์ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่อังคารจำนวน 300,000 บาท โดยขอชำระด้วยเช็คนั้น ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นผิดไปจากที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตามมาตรา 208 วรรคแรก เจ้าหนี้จึงมีสิทธิปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ได้ และลูกหนี้จะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ไม่ได้ตามมาตรา 320

ดังนั้น เมื่อจันทร์ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบ และอังคารเจ้าหนี้ปฏิเสธไม่รับชำระหนี้โดยมีมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ตามมาตรา 208 วรรคแรก และมาตรา 320 การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของอังคาร จึงไม่ทำให้อังคารตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207

สรุป การปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ของอังคาร ไม่ทำให้อังคารตกเป็นผู้ผิดนัด

 

 

ข้อ 2. นายเอกเช่าชุดกอล์ฟจากนายชา 1 เดือน เมื่อครบกำหนดส่งคืนในวันที่ 20 สิงหาคม 2558 นายเอกไม่ส่งมอบชุดกอล์ฟคืนนายชา วันที่ 20 กันยายน 2558 นายเอกทำชุดกอล์ฟดังกล่าวหาย วันที่ 20 ตุลาคม 2558 นายชายื่นฟ้องนายเอกต่อศาลมีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้บังคับนายเอกคืนชุดกอล์ฟหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 20,000 บาทแทน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21สิงหาคม 2558 ถ้านักศึกษาเป็นศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงนี้ว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 198 “ถ้าการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดนั้นตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขตเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการขำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 217 “ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้น ถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

มาตรา 225 “ถ้าลูกหนี้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อราคาวัตถุอันได้เสื่อมเสียไประหว่างผิดนัดก็ดี หรือวัตถุอันไม่อาจส่งมอบได้เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกิดขึ้นระหว่างผิดนัดก็ดีท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยในจำนวนที่จะต้องใช้เป็นค่าสินไหมทดแทนคิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคานั้นก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์และคำขอท้ายฟ้องของนายชาที่ขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนชุดกอล์ฟหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 20,000 บาทแทนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2558 นั้นเป็นกรณีที่ให้นายเอกต้องส่งมอบชุดกอล์ฟคืนก่อน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนพร้อมดอกเบี้ย จึงไม่ใช่เรื่องการกระทำเพื่อชำระหนี้ที่มีหลายอย่างแต่ต้องกระทำเพียงอย่างเดียว ซึ่งลูกหนี้มีสิทธิที่จะเลือกตามมาตรา 198 แต่ข้อเท็จจริงเป็นกรณีที่นายเอกไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบชุดกอล์ฟคืนตามกำหนด จึงถือว่านายเอกลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลยตามมาตรา 204 วรรคสอง และการที่นายเอกได้ทำชุดกอล์ฟหายไปทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในระหว่างที่นายเอกผิดนัด ดังนั้น นายเอกจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 217

ส่วนกรณีการใช้ราคาแทนพร้อมดอกเบี้ยนั้น เนื่องจากวัตถุแห่งหนี้แต่เริ่มแรกเป็นทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นหนี้เงินที่เกิดขึ้นภายหลังเนื่องจากการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัด ดังนั้นการใช้ราคาแทนในกรณีนี้จึงเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อวัตถุที่ไม่อาจส่งมอบได้เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกิดขึ้นในระหว่างผิดนัดตามมาตรา 225 นายชาจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินราคาชุดกอล์ฟได้โดยคิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคา ซึ่งมิใช่วันที่ 21 สิงหาคม 2558 อันเป็นวันเริ่มต้นการผิดนัดส่งมอบชุดกอล์ฟตามมาตรา 204 วรรคสอง แต่เป็นวันที่ 20 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่ชุดกอล์ฟหายไป และสามารถคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายเอกคืนชุดกอล์ฟ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 20,000 บาทแทนพร้อมตอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2558 จนกว่าจะชำระเสร็จ

 

 

ข้อ 3. นายดอกไม้ได้หลงรักนางชมพู จึงได้ยกรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงชิ้นเดียวให้กับนางชมพู หลังจากนั้นอีก 1 เดือนต่อมา แม่ฃองนายดอกไม้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน นายดอกไม้จึงไปกู้ยืมเงินนางส้มจำนวน100,000 บาท ซึ่งนายดอกไม้ก็ทราบดีว่าตนไม่มีเงินและทรัพย์สินอื่นใดที่จะลามารถชำระหนี้ให้กับนางส้มได้ ต่อมานางล้มได้ทราบเรื่องที่นายดอกไม้ได้ยกรถยนต์ให้กับนางชมพู นางส้มจึงมาปรึกษาท่านว่านางส้มจะสามารถฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลได้หรือไม่ เพราะเหตุใด พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 วรรคแรก “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึง่เป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วยแต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล ซึ่งเจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ตามมาตรา 237 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ กล่าวคือ เป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำหลังจากที่ลูกหนี้ได้เป็นหนี้เจ้าหนี้แล้ว และเป็นนิติกรรมซึ่งเมื่อลูกหนี้ได้ทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

ตามอุทาหรณ์ การที่นายดอกไม้ได้ยกรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวของตนให้กับนางชมพูนั้น เป็นนิติกรรมที่นายดอกไม้ได้กระทำก่อนที่จะก่อหนี้กับนางส้ม คือก่อนที่จะไปกู้ยืมเงินจากนางส้มจำนวน 100,000 บาท ดังนั้น แม้นายดอกไม้จะทราบดีว่าตนไม่มีเงินและทรัพย์สินอื่นใดที่จะชำระหนี้ให้กันนางส้มได้ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นนิติกรรมที่นายดอกไม้ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบตามมาตรา 237 วรรคแรก เพราะในขณะนั้นยังไม่มีเจ้าหนี้ ดังนั้น นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล นางส้มจึงไม่สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้

สรุป นางส้มจะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ดังกล่าวไม่ได้ เพราะไม่ใช่นิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล

 

 

ข้อ 4. นายแสบและนายเปรี้ยวร่วมกันทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายรวยไปจำนวน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2547 โดยมิได้กำหนดระยะเวลาชำระคืนไว้ ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2548 นายรวยทวงถามให้นายแสบและนายเปรี้ยวชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าว ปรากฏว่านายแสบแต่เพียงผู้เดียวได้นำเงินไปชำระให้แก่นายรวยจำนวน 1,000,000 บาทในวันที่ 14มีนาคม 2549 หลังจากนั้นทั้งนายแสบและนายเปรี้ยวไม่ชำระเงินให้นายรวยอีก จนกระทั่งในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 นายรวยจึงยื่นฟ้องให้นายแสบและนายเปรี้ยวร่วมกันชำระเงินกู้ยืมที่ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 1,000,000 บาท

นายแสบให้การต่อสู้ว่าคดีที่นายรวยฟ้องขาดอายุความแล้ว อีกทั้งตนได้ชำระหนี้ส่วนของตนจำนวน 1,000,000 บาท ให้แก่นายรวยแล้ว นายรวยไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายแสบชำระหนี้ได้อีก ส่วนนายเปรี้ยวให้การต่อสู้ประเด็นเดียวว่า คดีที่นายรวยฟ้องขาดอายุความแล้ว ด้งนี้ให้วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายแสบและนายเปรี้ยวฟ้งขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 203 วรรคนรก “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเซิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง”

มาตรา 295 “ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้แห่งนั้นเอง

ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าวการผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกับไปกับหนี้สิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสบและนายเปรี้ยวได้ร่วมกันทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายรวยไปจำนวน 2,000,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราดม 2547 โดยมิได้กำหนดระยะเวลาชำระคืนไว้นั้น นายรวยผู้ให้กู้ยืมย่อมมิสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลันตามมาตรา 203 วรรคแรก อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันกู้ยืมตามมาตรา 193/12 และเมื่อการกู้ยืมเงินนั้นกฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปีตามมาตรา 193/30 และจะครบอายุความ 10 ปีในวันที่ 10 มกราคม 2557

การที่นายแสบแต่เพียงผู้เดียวได้นำเงินไปชำระให้แก่นายรวยจำนวน 1,000,000 บาท ในวันที่14 มีนาคม 2549 นั้น ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 และระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา 193/15 วรรคแรก และให้นับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามมาตรา 193/15 วรรคสอง

กรณีนี้อายุความจึงขยายออกไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2559 ดังนั้นการที่นายรวยได้ยื่นฟ้องให้นายแสบและนายเปรี้ยวให้ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 1,000,000 บาท ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 นั้น ข้อต่อสู้ของนายแสบที่ว่าคดีที่นายรวยฟ้องตนนั้นขาดอายุความแล้วจึงฟังไม่ขึ้น และนอกจากนั้นการที่นายแสบได้ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ส่วนของตนจำนวน 1,000,000 บาทให้แก่นายรวยแล้ว นายรวยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายแสบชำระหนี้ได้อีกก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เนื่องจากโดยผลของการเป็นลูกหนี้ร่วมนั้น ลูกหนี้ร่วมทุกคนยังคงต้องผูกพันร่วมกันรับผิดต่อเจ้าหนี้จนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง (ครบจำนวน 2,000,000 บาท) ตามมาตรา 291

ส่วนกรณีของนายเปรี้ยวนั้น การที่อายุความสะดุดหยุดลงนั้นมีผลเป็นคุณเป็นโทษเฉพาะตัวนายแสบเท่านั้น ไม่ส่งผลไปถึงนายเปรี้ยวลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งแต่อย่างใดตามมาตรา 295 ดังนั้น การที่นายรวยยื่นฟ้องนายเปรี้ยวให้ร่วมชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ยังคงค้างอยู่อีกจำนวน 1,000,000บาท ในวันที่ 15พฤษภาคม 2558จึงล่วงเลยกำหนดอายุความ 10 ปีแล้ว ข้อต่อสู้ของนายเปรี้ยวในประเด็นที่ว่า คดีที่นายรวยฟ้องขาดอายุความแล้วจึงฟังขึ้น

สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสบทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อต่อสู้ของนายเปรี้ยวฟังขึ้น

LAW 2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์จ้างอังคารปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยมีข้อตกลงกันว่า จันทร์จะต้องจัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินประมาณ 50 ครอบครัว ออกไปจากที่ดินให้หมดภายในกำหนดวันที่ 20 มกราคม 2558 และอังคารจะทำการก่อสร้างบ้านตามสัญญาทันที ปรากฏว่าจันทร์ละเลยไม่จัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินออกไปจากที่ดิน จนสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2558 ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใดหากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์จ้างอังคารปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยมีข้อตกลงกันว่าจันทร์จะต้องจัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินประมาณ 50 ครอบครัว ออกไปจากที่ดินให้หมดภายในกำหนดวันที่ 20 มกราคม 2558 และอังคารจะทำการก่อสร้างบ้านตามสัญญาทันทีนั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยมีการตกลงกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการไว้เป็นที่แน่นอน ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าเจ้าหนี้คือจันทร์ละเลยไม่จัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยในที่ดินออกไปจากที่ดิน จนสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2558 จันทร์เจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นตามมาตรา 209

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 2. จันทร์มีหนี้ที่จะต้องโอนโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์ให้แก่อังคารตามสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ต่อมาปรากฏว่าโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นถูกเพลิงไหม้หมด จันทร์จึงโอนให้แก่อังคารไม่ได้ แต่เนื่องจากจันทร์ได้เอาประกันภัยโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์นั้นไว้กับบริษัทประกันภัย ในกรณีดังกล่าวนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ถ้าอังคารประสงค์จะเข้าเรียกร้องเอาสินไหมทดแทนนั้นเสียเองจากบริษัทประกันภัย จะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคสอง “ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน”

มาตรา 228 วรรคแรก “ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น เป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”

วินิจฉัย

“ช่วงทรัพย์” หมายถึง การเปลี่ยนตัวทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้โดยผลของกฎหมาย เป็นการเอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะอย่างเดียวกัน (มาตรา 226 วรรคสอง) และถ้าในกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้สูญหายหรือถูกทำลาย และเป็นผลให้ลูกหนี้ได้ทรัพย์อื่นหรือค่าสินไหมทดแทนมา ก็ให้เอาทรัพย์หรือค่าสินไหมทดแทนนั้นเข้าแทนที่ทรัพย์ที่สูญหายหรือถูกทำลาย ซึ่งจะมีผลทำให้เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้(มาตรา 228 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องช่วงทรัพย์ เมื่อการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย กล่าวคือจันทร์ลูกหนี้ไม่สามารถที่จะโอนโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์ให้แก่อังคารเพราะทรัพย์ดังกล่าวได้ถูกเพลิงไหม้หมด แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจันทร์มีสิทธิที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากจันทร์ได้เอาประกันภัยโรงภาพยนตร์พร้อมอุปกรณ์นั้นไว้กับบริษัทประกันภัย ดังนั้น อังคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจันทร์ย่อมสามารถเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนนั้นจากบริษัทประกันภัยได้ตามมาตรา 228 วรรคแรก

สรุป อังคารสามารถเข้าเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนนั้นจากบริษัทประกันภัยได้

 

 

ข้อ 3. ทรัพย์สินของหนึ่งมีเพียงเฉพาะแต่ที่ดิน 1 แปลงหากว่า

ก. หนึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้สอง ต่อมาหนึ่งกลับนำที่ดินนั้นไปจำนองประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสาม กรณีหนึ่ง กับ

ข. หนึ่งจำนองที่ดินประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสอง และต่อมากลับนำที่ดินนั้นไปทำสัญญาจะขายให้สามอีกกรณีหนึ่ง สองจะขอเพิกถอนสัญญาในแต่ละกรณีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 213 วรรคแรก “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับขำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดซช่องให้ทำเช่นนั้นได้…”

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายบอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนซึ่งนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก แต่ถ้านิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงนั้นไม่ได้ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบแต่อย่างใด กล่าวคือ แม้ลูกหนี้จะได้ทำนิติกรรมนั้นลูกหนี้ก็ยังมีทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ยังสามารถที่จะบังคับชำระหนี้ได้ ดังนี้ เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

ก. การที่หนึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินของหนึ่งซึ่งมีอยู่เพียงแปลงเดียวให้แก่สอง แต่ต่อมาหนึ่งกลับนำที่ดินแปลงนั้นไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสามนั้น การที่หนึ่งเอาที่ดินไปจำนองกับสามถือว่าเป็นนิติกรรมฉ้อฉล เพราะเป็นนิติกรรมที่หนึ่งได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางทำให้สองเจ้าหนี้เสียเปรียบ

ดังนั้น สองเจ้าหนี้สามารถขอเพิกถอนสัญญาจำนองดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก

ข. การที่หนึ่ง จำนองที่ดินประกันหนี้เงินกู้ไว้กับสองและต่อมากลับนำที่ดินนั้นไปทำสัญญาจะขายให้กับสามนั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยอยูที่ว่า การกระทำของหนึ่งลูกหนี้ที่ได้เอาที่ดินไปทำสัญญาจะขายให้กับสามนั้น จะทำให้สองเจ้าหนี้เสียเปรียบหรือไม่ กรณีนี้เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา 213 วรรคแรก และมาตรา 214 ที่ว่า ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ และภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงนั้น

หมายถึง การที่เจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งหมดนั้น กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าเป็นเรื่องของสัญญาจำนองแล้วก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 733 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 214 กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินที่จำนองไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะโอนไปกี่ทอด จำนองก็ย่อมจะติดไปด้วยเสมอ ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้รับจำนองย่อมสามารถที่จะบังคับจำนองเอากับทรัพย์สินที่จำนองได้เสมอเช่นเดียวกัน

ดังนั้น กรณีดังกล่าวแม้หนึ่งจะได้เอาที่ดินที่ติดจำนองไปทำสัญญาจะขายให้กับสาม จึงไม่ถือว่าเป็นทางที่ทำให้สองเจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะแม้ที่ดินนั้นจะโอนไปเป็นของสาม สองเจ้าหนี้ก็ยังสามารถบังคับจำนองเอากับที่ดินที่ติดจำนองนั้นได้ สองจึงไม่สามารถขอเพิกถอนสัญญาจะขายนั้นได้

สรุป

ก. สองเจ้าหนี้ขอเพิกถอนสัญญาจำนองได้

ข. สองเจ้าหนี้ขอเพิกถอนสัญญาจะขายไม่ได้

 

 

ข้อ 4. ก. ประมูลได้งานก่อสร้างถนนจากกรมทางหลวงในวงเงินสามร้อยล้านบาท และนำสัญญาที่ทำกับกรมทางหลวงเสนอต่อธนาคาร ขอกู้เงินมาดำเนินการ โดยโอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงให้กับธนาคารผู้ให้กู้ และได้บอกกล่าวให้กรมทางหลวงทราบแล้ว แต่ ก. ผิดสัญญา ก. ไปรับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงแต่ละงวดด้วยตนเอง แล้วนำไปชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารซึ่งรับชำระไว้แล้วก็ไม่ได้ดำเนินการใด เช่น แจ้งให้กรมทางหลวงทราบให้ระงับการจ่ายเงินแก่ ก. เป็นต้น งานก่อสร้างแล้วเสร็จ กรมทางหลวงชำระค่าจ้างให้ ก. ครบถ้วนแล้ว แต่ ก. ยังมีหนี้เงินกู้ดังกล่าวค้างชำระธนาคารอยู่อีกยี่สิบล้านบาท ธนาคารจะเรียกบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงฐานผิดสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 222 วรรคแรก “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่ เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น”

มาตรา 223 “ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรวิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้แม้ทั้งที่ความผิดของฝ่ายผู้ที่เสียหายจะมีแต่เพียงละเลยไม่เตือนลูกหนี้ให้รู้สึกถึงอันตรายแห่งการเสียหายอันเป็นอย่างร้ายแรงผิดปกติ ซึ่งลูกหนี้ไม่รู้หรือไม่อาจจะรู้ได้หรือเพียงแต่ละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย อนึ่งบทบัญญัติแห่งมาตรา 220 นั้นท่านให้นำมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม”

มาตรา 306 วรรคแรก “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอก ได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้นำสัญญาที่ทำกับกรมทางหลวงเสนอต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินมาดำเนินการก่อสร้างถนน โดยโอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงให้กับธนาคารผู้ให้กู้ และได้บอกกล่าวให้กรมทางหลวงทราบแล้วนั้น ถือเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง เมื่อได้ทำเป็นหนังสือและได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้แล้ว การโอนจึงมีผลสมบูรณ์และใช้

ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ได้ตามมาตรา 306 วรรคแรก กล่าวคือ ธนาคารในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนั้น สามารถเรียกให้กรมทางหลวงลูกหนี้ชำระเงินค่าก่อสร้างถนนให้แก่ตนได้ และตามข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่ายังมีหนี้เงินกู้ค้างชำระธนาคารอยู่อีก 20 ล้านบาทนั้น โดยหลักแล้วธนาคารย่อมสามารถที่จะเรียกบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงได้ตามมาตรา 222 วรรคแรก ประกอบมาตรา 306 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ก. ผิดสัญญากับธนาคารผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง โดย ก. ไปรับค่าก่อสร้างจากกรมทางหลวงแต่ละงวดด้วยตนเองแล้วนำไปชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารซึ่งรับชำระไว้แล้วก็ไม่ได้ดำเนินการใด เช่น ไม่ได้แจ้งให้กรมทางหลวงทราบเพื่อให้ระงับการจ่ายเงินแก่ ก. นั้น ถือว่าธนาคารผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในฐานะ เจ้าหนี้ และเป็นฝ่ายผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้ว ยอมให้ ก. ผู้โอนไปรับเงินแทนโดยไม่มีอำนาจและปล่อยปละละเลยไม่บอกกล่าวเตือนให้กรมทางหลวงลูกหนี้ได้ทราบ ดังนั้นจึงถือว่าธนาคารเจ้าหนี้มีส่วนผิดไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ธนาคารจึงบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงอีกไม่ได้ตามมาตรา 223

สรุป ธนาคารจะเรียกบังคับชำระหนี้และค่าสินไหมทดแทนจากกรมทางหลวงฐานผิดสัญญาไม่ได้

LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์กู้เงินอังคารไปสองแสนบาท กำหนดชำระคืนให้ในวันที่ 20 มกราคม 2558 เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ปรากฏว่าจันทร์ได้ชำระหนี้ให้แก่อังคารจำนวนสองแสนบาทโดยวิธีทางธนาณัติ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การชำระหนี้ของจันทร์เป็นการปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 208 วรรคแรก “การชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบตามมาตรา 208 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้เกิดผลตรงตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับเจ้าหนี้ โดยลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะสามารถชำระหนี้ได้ และจะต้องเป็นการชำระหนี้โดยตรง กล่าวคือ จะต้องเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้ในลักษณะที่จะให้เกิดสำเร็จผลตามวัตถุประสงค์ของหนี้โดยตรง เช่น ลูกหนี้ตกลงจะชำระหนี้เป็นเงินสด ดังนี้ลูกหนี้จะนำทรัพย์สินอื่นมาชำระแทน หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเจ้าหนี้ในธนาคารไม่ได้ เพราะจะถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น อันเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตามมาตรา 203 วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์กู้เงินอังคารไปสองแสนบาท ถือว่าจันทร์เป็นลูกหนี้อังคารในหนี้เงินกู้สองแสนบาท จันทร์จึงต้องชำระหนี้ให้แก่อังคารด้วยเงินโดยตรงจึงจะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ

ดังนั้น การที่จันทร์ชำระหนี้ให้แก่อังคารจำนวนสองแสนบาทโดยวิธีทางธนาณัติ ย่อมถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 208 วรรคแรก

สรุป การชำระหนี้ของจันทร์เป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบ

 

 

ข้อ 2. นายสอนทำสัญญาขายที่ดินแปลงหนึ่งของตนให้แก่นายชัย ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนโอนในวันที่15 เมษายน 2557 แต่เนื่องจากบนที่ดินแปลงนี้มีบุคคลอื่นเข้ามาปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ 10 ครอบครัวนายสอนกับนายชัยจึงตกลงกันว่า นายสอนจะต้องดำเนินการให้ครอบครัวเหล่านั้นย้ายออกไปจากที่ดินภายในวันที่ 31 มีนาคม 2557 นายสอนได้ให้ครอบครัวเหล่านั้นทั้งหมดย้ายออกไปตามกำหนดแล้ว โดยได้จ่ายค่าขนย้ายและรื้อถอนให้รวม 100,000 บาท แต่เงินจำนวนนี้ นายสอนต้องกู้มาจากธนาคาร เสียดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี ครั้นวันที่ 15 เมษายน 2557 นายชัยกลับผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้ เพราะเห็นว่าราคาแพงเกินไป นายสอนจึงมาปรึกษานักศึกษาว่าจะฟ้องนายชัยต่อศาลเพื่อเรียกค่าเสียหาย 100,000 บาท ที่เสียไปเป็นค่าขนย้ายและรื้อถอนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 8 ต่อปี กับเรียกค่าเสียทายที่นายชัยผิดสัญญาไม่ยอมรับโอนที่ดินด้วยอีก 50,000 บาท

นักศึกษาจะให้คำปรึกษาว่า นายสอนเรียกค่าเสียหายกับดอกเบี้ยได้หรือไม่ อย่างไร

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 222 “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย เช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น

เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษหากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเนี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

ในเรื่องของการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนไว้ 2 ประการด้วยกัน คือ

  1. ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติจากการไม่ชำระหนี้ กรณีนี้ลูกหนี้ต้องรับผิดเสมอ(มาตรา 222 วรรคแรก)
  2. ความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ กรณีนี้ลูกหนี้ต้องรับผิดต่อเมื่อได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้ว (มาตรา 222 วรรคสอง)

ส่วนดอกเบี้ยอันเกิดแต่หนี้เงินนั้น มาตรา 224 วรรคแรก กำหนดว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เจ้าหนี้ย่อมจะเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี แม้ในสัญญาจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม แต่ถ้าเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยให้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหนี้ก็เรียกได้ตามนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. ค่าเสียหาย 100,000 บาท ที่นายสอนเสียไปเปีนค่าขนย้ายและรื้อถอนนั้น นายสอนสามารถเรียกเอาจากนายชัยได้เพราะเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ คือการที่นายชัยผิดสัญญาไม่ยอมรับโอนที่ดินตามที่ได้ตกลงซื้อจากนายสอนตามมาตรา 222 วรรคแรก

ส่วนดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีนั้น ไม่ใช่ค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ แต่ถือว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสอนได้แจ้งให้นายชัยทราบถึงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปีที่นายสอนต้องเสียให้แก่ธนาคารเนื่องจากการกู้เงิน จึงถือไม่ได้ว่านายชัยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว นายสอนจึงเรียกให้นายชัยรับผิดชำระดอกเบี้ยใบอัตราดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 222 วรรคสอง (ฎีกาที่ 1336/2545)

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าเสียหาย 100,000 บาทนั้นถือว่าเป็นหนี้เงิน ดังนั้น นายสอนจึงยังสามารถเรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่นายชัยผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก

  1. ค่าเสียหายที่นายชัยผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนรับโอนที่ดินจำนวน 50,000 บาทนั้นถือเป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ นายสอนสามารถเรียกเอาจากนายชัยได้ตามมาตรา 222 วรรคแรก และนอกจากนั้นเมื่อเป็นหนี้เงิน นายสอนจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้อีกในอัตราร้อยละ 7 5 ต่อปีในระหว่างที่นายชัยผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคแรก (ฎีกาที่ 12523/2547)

สรุป นายสอนสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องเสียไปเป็นค่าขนย้ายและรื้อถอนจำนวน100,000 บาท และค่าเสียหายเนื่องจากนายชัยผิดสัญญาจำนวน 50,000 บาท ได้รวมทั้งสามารถเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำนวนเงินดังกล่าวในระหว่างผิดนัดได้อีกร้อยละ 7.5 ต่อปี

 

 

ข้อ 3. แดงมีหนี้สินมากมายซึ่งแดงก็ทราบดีว่าตนเองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ที่ตนมีอยู่ได้ ดำเป็นหลานซึ่งอยู่อาศัยกับแดง ดำเกรงว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าหนี้มายึดบ้านทำให้ตนไม่มีที่อยู่ ดำจึงขอให้แดงไปจดทะเบียนให้ตนเองมีสิทธิอาศัยไปตลอดโดยไม่มีค่าตอบแทน ส่วนเขียวเพื่อนของดำทราบว่าแดงมีหนี้สินมากมายจึงมาขอซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่มีค่าในบ้านไปในราคาถูกกว่าปกติ และนำไปขายให้ร้านขายของเก่าของฟ้า โดยที่ฟ้าไม่ได้ทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ

ต่อมาเหลืองเจ้าหนี้รายหนึ่งของแดง ได้สืบทราบเรื่องดังกล่าว ทนายของเหลืองจึงแนะนำให้เหลือฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉล

ดังนี้ อยากทราบว่าเหลืองจะสามารถฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิอาศัย และในกรณีซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 วรรคแรก “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย

แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้”

มาตรา 238 “การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่ง ความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

  1. การที่แดงได้จดทะเบียนให้ดำซึ่งเป็นหลานได้สิทธิอาศัยตลอดไปโดยไม่มีค่าตอบแทนนั้น เป็นการทำนิติกรรมโดยแดงลูกหนี้ทราบอยู่แล้วว่าตนเองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้และเป็นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งดำก็ทราบเช่นกัน อีกทั้งเป็นการทำให้โดยเสน่หา ดังนั้นเหลืองเจ้าหนี้จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิอาศัยได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก
  2. การที่แดงได้ทำนิติกรรมโดยการขายเฟอร์นิเจอร์ให้แก่เขียวในราคาถูกนั้น เป็นนิติกรรมที่แดงลูกหนี้ได้ทำลงทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ และเขียวซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกก็ได้รู้ถึงข้อความจริง อันเป็นทางทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ดังนั้นเหลืองเจ้าหนี้จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขียวได้นำเฟอร์นิเจอร์ไปขายให้แก่ฟ้า และฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้นได้รับซื้อเฟอร์นิเจอร์มาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้สิทธิมาก่อนที่จะมีการฟ้องคดีเพิกถอนการฉ้อฉล

ดังนั้น เหลืองแม้จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ระหว่างแดงกับเขียวได้ แต่ก็ไม่อาจเรียกเฟอร์นิเจอร์คืนจากฟ้าได้

สรุป. เหลืองสามารถฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิอาศัย และในกรณีการซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ได้ แต่จะเรียกเฟอร์นิเจอร์คืนไม่ได้

 

 

ข้อ 4. ในวันที่ 7 มกราคม 2556 นายหนึ่งและนายสองได้ร่วมกันทำสัญญาจะซื้อที่ดินมีโฉนดที่ดิน 1 แปลง ราคา 2 ล้านบาท จากนายเข้ม โดยในวันทำสัญญานายหนึ่งและนายสองได้วางเงินมัดจำให้แก่นายเข้มจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย ราคาส่วนที่เหลือจะชำระให้แก่นายเข้มภายหลังจากที่นายเข้มได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดวันนัดจดทะเบียน นายสองแต่เพียงผู้เดียวได้เดินทางมายังสำนักงานที่ดินเพื่อขอรับโอนที่ดินและชำระราคาที่ดินค้างชำระให้แก่นายเข้ม นายเข้มจึงปฏิเสธไม่ยอมโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายสอง

ต่อมานายสองจึงนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลขอให้บังคับให้นายเข้มปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและรับราคาที่ค้างชำระจากนายสอง นายเข้มยื่นคำให้การต่อสู้ว่านายเข้มมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากในวันนัดจดทะเบียนโอนที่ดิน นายหนึ่งผู้จะซื้ออีกคนหนึ่งมิได้มาร่วมรับโอนที่ดินพร้อมกับนายสอง นายเข้มจึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่นายสองได้

อีกทั้งนายสองผู้เดียวไม่มีอำนาจฟ้องนายเข้มต่อศาล แต่จะต้องได้รับมอบอำนาจจากนายหนึ่งคู่สัญญาอีกคนหนึ่งด้วย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ทั้ง 2 ข้อ ของนายเข้มฟังขึ้นหรีอไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 298 “ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงได้ไซร้ แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือ เจ้าหนี้ร่วมกัน) ก็ดี

ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คบใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ แม้ทั้งที่เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสองได้ร่วมกันทำสัญญาจะซื้อที่ดินจากนายเข้มย่อมถือว่านายหนึ่งและนายสองอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ร่วม ซึ่งตามมาตรา 298 นายหนึ่งและนายสองต่างมีสิทธิที่จะเรียกร้องการชำระหนี้ (การจดทะเบียนโอนที่ดิน) จากนายเข้มลูกหนี้ได้ โดยทำนองแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงได้ กล่าวคือ นายหนึ่งและนายสองเจ้าหนี้ร่วมไม่ต้องร่วมกันใช้สิทธิเพราะเป็นการใช้สิทธิของตนเอง และโดยไม่ต้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพื่อประโยขน์แก่เจ้าหนี้คนอื่น ดังนั้นนายสองเพียงคนเดียวจึงมีสิทธิเรียกให้นายเข้มโอนที่ดินให้แก่ตนได้โดยไม่ต้องโอนให้ผู้จะซื้อทุกคน และจากข้อเท็จจริงเมื่อนายสองแต่ผู้เดียวจะมาขอรับโอนที่ดินและชำระราคาที่ค้างแก่นายเข้มโดยที่นายหนึ่งไม่ได้มาร่วมรับโอนด้วยนั้น นายเข้มจะปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นายสองไม่ได้ (เทียบเดียงฎีกาที่ 6846/2539)

และนอกจากนั้นโดยหลักของการเป็นเจ้าหนี้ร่วม เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งแต่ผู้เดียวย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องได้รับการมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ร่วมคนอื่น ดังนั้นเมื่อนายสองได้นำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอให้บังคับให้นายเข้มปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าว นายเข้มจะต่อสู้ว่านายสองแต่ผู้เดียวไม่มีอำนาจฟ้องนายเข้มต่อศาลเพราะไม่ได้รับมอบอำนาจจากนายหนึ่งคู่สัญญาอีกคนหนึ่งนั้นไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของนายเข้มทั้ง 2 ข้อ ฟังไม่ขึ้น

 

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารเป็นลูกหนี้ ในหนี้เงินกู้ห้าแสนบาท เมื่อถึงกำหนดชำระคืนในวันที่20 มกราคม 2557 อังคารได้ชำระหนี้ให้แก่จันทร์จำนวนห้าแสนบาท โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจันทร์ ซึ่งจันทร์เองก็ยอมรับว่าอังคารได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของจันทร์จริง ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของอังคารเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 208 วรรคแรก “การชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง ”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการขำระหนี้โดยชอบตามมาตรา 208 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ให้เกิดผลตรงตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับเจ้าหนี้ โดยลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะสามารถชำระหนี้ได้ และจะต้องเป็นการชำระหนี้โดยตรง กล่าวคือ จะต้องเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้ในลักษณะที่จะให้เกิดสำเร็จผลตามวัตถุประสงค์ของหนี้โดยตรง เช่น ลูกหนี้ตกลงจะชำระหนี้เป็นเงินสด ดังนี้ลูกหนี้จะนำทรัพย์สินอื่นมาชำระแทน หรือจะโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของเจ้าหนี้ในธนาคารไม่ได้

เพราะจะถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น อันเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตามมาตรา 208 วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์ การที่อังคารเป็นลูกหนี้จันทร์ในหนี้เงินกู้ห้าแสนบาทนั้น อังคารจึงต้องชำระหนี้ให้แก่จันทร์ด้วยเงินโดยตรงจึงจะถือว่าเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ ดังนั้น การที่อังคารชำระหนี้ให้แก่จันทร์โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจันทร์ และแม้จันทร์เองจะยอมรับว่าอังคารได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของจันทร์จริงก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น จึงเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 208 วรรคแรก

สรุป การชำระหนี้ของอังคารเป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยมิชอบ

 

 

ข้อ 2. ก. ว่าจ้าง ข. รับเหมาก่อสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยใช้วัสดุก่อสร้างตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดในราคาสิบล้านบาท โดยมีข้อสัญญาตกลงกันว่า ผู้รับจ้างจะต้องนำหนังสือค้ำประกันผลงานในวงเงินร้อยละสิบของมูลค่างานทั้งหมด มีกำหนดเวลาสองปีนับตั้งแต่ผู้รับจ้างส่งมอบงานและรับเงินงวดสุดท้ายแล้วมามอบให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างจะคืนหนังสือค้ำประกันดังกล่าวให้ต่อเมื่อผู้รับจ้างพ้นข้อผูกพันตามสัญญาที่ว่า ถ้ามีความชำรุดบกพร่องเสียหายแก่งานที่จ้างนี้ภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับมอบงาน

ผู้รับจ้างต้องทำการแก้ไขให้เรียบร้อยภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งจากผู้ว่าจ้างผู้ว่าจ้างมีสิทธิจ้างผู้อื่นให้มาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้างได้

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้

ก. มูลหนี้เกิดจากสิ่งใด

ข. อะไรเป็นวัตถุแห่งหนี้

ค. ถ้ามีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นจะบังคับได้อย่างไร ใครมีสิทธิเลือกชำระหนี้

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 194 “ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่ง การชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้”

มาตรา 198 “ถ้าการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดนั้นตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 213 “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการ อันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้ หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก. การที่ ก. ว่าจ้าง ข. รับเหมาก่อสร้างบ้านในที่ดินของตนโดยใช้วัสดุก่อสร้างตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนดในราคา 10 ล้านบาทนั้น ถือว่าหนี้ระหว่าง ก. ผู้ว่าจ้างและ ข. ผู้รับจ้างเป็นหนี้ที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นจากสัญญา โดย ก. เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ ข. ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตามมาตรา 194

ข. เมื่อหนี้ที่เกิดขึ้นดังกล่าว เป็นเรื่องที่ผู้รับจ้างตกลงรับเหมาก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้ว่าจ้าง ดังนั้น วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาคือการกระทำ คือ เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนี่งตามที่ระบุไว้ในสัญญานั่นเอง และในกรณีที่ในสัญญามีข้อตกลงกับว่า ถ้ามีความชำรุดบกพร่องเสียหายแก่งานที่จ้างนี้ภายใน 2 ปี นับแต่วับที่ได้รับมอบงาบ ผู้รับจ้างต้องทำการแก้ไขให้เรียบร้อยภายในระยะเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งจากผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิจ้างผู้อื่นให้มาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้างได้นั้น จะเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่การกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง กล่าวคือ ผู้รับจ้างจะทำการซ่อมแซมเองหรือจะให้ผู้ว่าจ้างให้คนอื่นมาทำการซ่อมแซมแทนนั่นเอง (มาตรา 198)

ค. ในกรณีที่มีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น และเป็นกรณีที่การกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง ดังนั้นสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ (ผู้รับจ้าง) คือ ลูกหนี้มีสิทธิเลือกที่จะกระทำการแก้ไขความชำรุดบกพร่องภายในกำหนด หรือจะเลือกให้ผู้ว่าจ้างจ้างให้ผู้อื่นมาทำการแก้ไขซ่อมแซมก็ได้ (มาตรา 918)

และในส่วนของผู้ว่าจ้างนั้น เมื่อมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น ผู้ว่าจ้างสามารถบังคับได้โดยตรงคือเรียกให้ผู้รับจ้างกระทำการแก้ไขซ่อมแซม (มาตรา 213 วรรคแรก) แต่ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ เช่น ผู้รับจ้างไม่ยอมทำการแก้ไขซ่อมแซม ดังนี้เมื่อวัตถุแห่งหนี้เป็นการกระทำ ผู้ว่าจ้างจะให้บุคคลอื่นมาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้างและให้ผู้รับจ้างออกค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ (มาตรา 213 วรรคสอง) และไม่ตัดสิทธิของผู้ว่าจ้างที่จะเรียกค่าเสียหายในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น (มาตรา 213 วรรคท้าย)

สรุป

ก. มูลหนี้เกิดจากสัญญา

ข. วัตถุแห่งหนี้คือการกระทำและการกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง

ค. เมื่อมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้น สิทธิเลือกชำระหนี้ตกอยู่แก่ฝ่ายผู้รับจ้าง ส่วนผู้ว่าจ้างมีสิทธิบังคับผู้รับจ้างได้ตามมาตรา 213 ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

 

 

ข้อ 3. นายเอกเป็นเจ้าของร้านขายส่งบัตรอวยพรชนิดต่าง ๆ นายเอกสั่งซื้อ ส.ค.ส. แบบระบุปี พ.ศ. 2558จากโรงพิมพ์ของนายกิจ 2,000 ชุด ตกลงกันว่า นายกิจจะต้องนำ ส.ค.ส. มาส่งที่ร้านของนายเอก ในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 เพื่อขายต่อให้ร้านค้าปลีกที่นายเอกได้นัดส่งมอบไว้ในวันเดียวกัน แต่ว่านายกิจกลับนำ ส.ค.ส. มาส่งในวันที่ 15 มกราคม 2558 นายเอกจึงไม่รับ ส.ค.ส. ทั้งหมดไว้ เพราะพ้นช่วงเทศกาลมาแล้วไม่สามารถขายต่อได้ การกระทำของนายเอกเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายเอกจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมายจากนายกิจได้อย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 216 ‘‘ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้”

มาตรา 222 วรรคแรก “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกสั่งซื้อ ส.ค.ส. แบบระบุปี พ.ศ. 2558 จากโรงพิมพ์ของนายกิจและตกลงกันว่า นายกิจจะต้องนำ ส.ค.ส มาส่งให้แก่นายเอกในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 นั้น ถือว่าหนี้ที่เกิดจากมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายระหว่างนายเอกกับนายกิจเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน ซึ่งนายกิจจะต้องส่งมอบหรือชำระหนี้ให้แก่นายเอกในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 แต่เมื่อถึงกำหนดนายกิจลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ จึงถือว่านายกิจลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลยตามมาตรา 204 วรรคสอง

การที่นายกิจได้นำ ส.ค.ส มาส่งมอบให้แก่นายเอกในวันที่ 15 มกราคม 2558 ซึ่งพ้นระยะเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้ที่เป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้คือนายเอก นายเอกย่อมมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้ และสามารถเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายกิจได้ตามมาตรา 216 และมาตรา 222 วรรคแรก

โดยค่าเสียหายที่เรียกเป็นเงินนั้น นายเอกสามารถเรียกดอกเบี้ยได้อีกในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปีตามมาตรา 224 วรรคแรก

สรุป การที่นายเอกบอกปัดไม่รับ ส.ค.ส. ทั้งหมดไว้ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและนายเอกสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ และถ้าค่าเสียหายที่เรียกเป็นเงินนายเอกก็สามารถเรียกดอกเบี้ยได้อีกในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

 

 

ข้อ 4. นายเอก นายโท และนายตรี ได้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายแดงไปจำนวน 3,000,000 บาท โดยมีกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้ในวันที่ 12 มีนาคม 2557 นอกจากนี้ในการกู้ยืมเงินดังกล่าวนั้น นายเอก นายโท และนายตรี ได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่านายเอกจะไม่รับผิดอย่างใดเลยในหนี้จำนวนนี้ ต่อมานายแดงได้ไปซื้อแหวนเพชร 1 วง ราคา 1,000,000 บาทจากร้านของนายตรี โดยนายแดงและนายตรีตกลงกันว่าให้นายแดงชำระค่าแหวนเพชรเป็นเงิน 1,000,000 บาทให้แก่นายตรีภายในวันที่ 12 มีนาคม 2557 เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระในวันที่ 12 มีนาคม 2557 นายแดงได้เรียกร้องให้นายตรีแต่เพียงคนเดียวชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน นายตรีจึงแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายแดงระหว่างหนี้ที่นายแดงค้างชำระค่าแหวนเพชรต่อนายตรีจำนวน 1,000,000 บาทกับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว

แต่นายแดงต้องการได้เงินสดเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในการดำเนินกิจการของตน จึงปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้จากนายตรี ในวันเดียวกันนั้นเอง นายแดงได้มาเรียกให้นายเอกชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาท แต่นายเอกปฏิเสธไม่ชำระหนี้ให้แก่นายแดง โดยอ้างว่าหนี้ทั้งหมดระงับไปแล้วด้วยการหักกลบลบหนี้ระหว่างนายตรีและนายแดง และตนก็ไม่ต้องรับผิดใดๆ ในหนี้จำนวนนี้ตามที่ได้ตกลงไว้กับนายโทและนายตรีด้วย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายเอกเพียงคนเดียวขำระหนี้เงินกู้ให้แก่ตนได้หรีอไม่ เป็นจำนวนเท่าใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้

สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวดือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 292 วรรคแรก ‘‘การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ ด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย”

มาตรา 341 “ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอก นายโท และนายตรี ได้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายแดงจำนวน 3,000,000 บาทนั้น ถือได้ว่านายเอก นายโท และนายตรีเป็นลูกหนี้ร่วม ดังนั้น นายแดงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้จนสิ้นเชิงได้ตามมาตรา 291

และเมื่อนายแดงใช้สิทธิเรียกให้นายเอกชำระหนี้ นายเอกจะยกเอาข้อตกลงระหว่างนายเอก นายโท และนายตรีที่ได้ทำข้อตกลงไว้ว่านายเอกไม่ต้องรับผิดอย่างใด ๆ เลยในหนี้จำนวนนี้มาต่อสู้นายแดงเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะข้อตกลงดังกล่าวนั้น เป็นเพียงข้อตกลงภายในระหว่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น จะยกขึ้นมาเพื่อต่อสู้เจ้าหนี้ไม่ได้

ดังนั้น นายเอกจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่นายแดง

ส่วนประเด็นที่ว่า นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายเอกชำระหนี้ได้เป็นจำนวนเท่าใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเบื้องต้นนายแดงได้เรียกร้องให้นายตรีแต่เพียงคนเดียวชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน และนายตรีได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายแดงระหว่างหนี้ที่นายแดงค้างชำระค่าแหวนเพชรต่อนายตรีจำนวน 1,000,000 บาทกับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว ซึ่งการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 341 นั้นเพียงแต่ลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ก็เกิดผลตามกฎหมายแล้วโดยมิจำต้องได้รับความยินยอมจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะการหักกลบลบหนี้เป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน

โดยมูลหนี้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน (หนี้เงิน) และหนี้ทั้งสองรายนั้นได้ถึงกำหนดชำระแล้ว ดังนั้นเมื่อครบองค์ประกอบดังกล่าวแล้ว และลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมส่งผลให้หนี้ระงับไปเพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายคือ 1,000,000 บาท และกรณีดังกล่าวนี้ แม้นายแดงจะปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้จากนายตรีก็ไม่ทำให้การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนายตรีต้องเสียไปและนอกจากนั้น การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนายตรีต่อนายแดง ย่อมส่งผลเป็นคุณแก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่น ๆ ด้วยตามมาตรา 292 วรรคแรก กล่าวคือ ทำให้นายเอก นายโท และนายตรียังคงมีหน้าที่ ที่จะต้องร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายแดงเป็นจำนวนเพียง 2,000,000 บาทนั้นเอง

สรุป นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายเอกเพียงคนเดียวชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ตนได้เป็นจำนวนเงิน2,000,000 บาท

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. บริษัทจำเลยได้รับใบอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุตสาหกรรมจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 โดยกฎกระทรวงฉบับที่ 6 ที่ออกตามความใน พ.ร.บ. น้ำบาดาลฯ กำหนดให้ผู้ใช้น้ำบาดาลมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้น้ำปีละ 4 งวด โดยแต่ละงวดต้องชำระภายใน 30 วันนับแต่วันเริ่มงวดถัดไปในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 3.50 บาท ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดจะต้องชำระค่าน้ำในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท ให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้ โดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ขชัดเจน

ก. เป็นสิทธิเรียกร้องมีกำหนดเวลาหรือไม่มีกำหนดเวลา

ข. สิทธิเรียกร้องถึงกำหนดและอายุความเริ่มนับเมื่อใด

ค. ถ้าจำเลยผิดนัด จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัดอีกหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใด ให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น”

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไรไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมีพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหนาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่บริษัทจำเลยได้รับใบอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุตสาหกรรมจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลโจทก์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 โดยกฎกระทรวงฉบับที่ 6 ที่ออกตามความในพ.ร.บ.น้ำบาดาลฯ กำหนดให้ผู้ใช้น้ำบาดาลมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้น้ำปีละ 4งวด โดยแต่ละงวดต้องชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันเริมงวดถัดไปนั้น วินิจฉัยได้ดังนี้

ก. สิทธิเรียกร้องของโจทก์ถือว่าเป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดเวลาโดยสามารถคำนวณได้ตามวันแห่งปฏิทิน ทั้งนี้เพราะได้มีการกำหนดเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นไว้แล้ว กล่าวคือจำเลยจะต้องชำระค่าใช้น้ำภายใน 30 วัน นับแต่วันเริมงวดถัดไป (ตามมาตรา 203 วรรคสอง)

ตัวอย่างเช่น การใช้น้ำงวดแรกของปีจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม และงวดถัดไปจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ดังนั้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะต้องชำระค่าใช้น้ำของงวดแรกคือภายในวันที่ 30 เมษายน (ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันเริ่มงวดถัดไป)

ข. สิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมถึงกำหนดและสามารถบังคับให้จำเลยชำระหนี้ได้คือนับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดของการชำระค่าใช้น้ำแต่ละงวดนั้นเอง (มาตรา 203 วรรคสองประกอบมาตรา 193/3 วรรคสอง) และอายุความก็จะเริ่มนับตั้งแต่ในวันที่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ถึงกำหนดเช่นเดียวกัน เพราะตามมาตรา 193/12 ได้บัญญัติว่า “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป …”

ตัวอย่างเช่น ตามตัวอย่างในข้อ ก. เมื่อจำเลยจะต้องชำระค่าใช้น้ำงวดแรกในช่วงเวลา ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 เมษายน ดังนี้ถ้าจำเลยไม่ชำระค่าใช้น้ำภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ย่อมถือว่าจำเลย (ลูกหนี้) ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือน (มาตรา 204 วรรคสอง) สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้ จึงเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป และกรณีนี้อายุความก็จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป เช่นเดียวกัน

ค. ถ้าจำเลยผิดนัด จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปี (มาตรา 224 วรรคแรก)

สรุป

ก. เป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดเวลา

ข. สิทธิเรียกร้องถึงกำหนดและอายุความเริ่มนับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดของการชำระค่าใช้น้ำแต่ละงวด

ค. ถ้าจำเลยผิดนัด จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อบี

 

 

ข้อ 2. ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างบ้านโดยใช้วัสดุของผู้รับจ้างในที่ดินของผู้ว่าจ้างซึ่งตกลงค่าจ้างเหมาในราคาสิบล้านบาทนั้น ผู้รับจ้างจะต้องทำหนังสือค้ำประกันงานในวงเงินร้อยละสิบห้าของมูลค่างานทั้งหมด มีกำหนดระยะเวลาสองปีมามอบให้แก่ผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างจะคืนให้เมื่อผู้รับจ้างพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญาโดยมีข้อตกลงว่า ถ้ามีเหตุชำรุดเสียหายเกิดแก่งานจ้างเหมานี้ภายในกำหนดสองปี นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบงาน ผู้รับจ้างจะต้องทำการแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายในเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ถ้าไม่เริ่มทำการแก้ไขซ่อมแซมภายใน 15 วันนับแต่ได้รับหนังสือจากผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิให้คนอื่นมาทำการงานนั้นแทนผู้รับจ้างก็ได้ ให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้โดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ก. วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญานี้คืออะไร

ข. สิทธิที่เลือกชำระหนี้เป็นของใคร

ค. ผู้ว่าจ้างจะบังคับได้อย่างไรบ้างถ้ามีเหตุชำรุดเสียหายเกิดแก่งานที่จ้าง

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 198 “ถ้าการอันมีกำหนดพึงกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง แต่จะต้องกระทำเพียงการใดการหนึ่งแต่อย่างเดียวไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกทำการอย่างใดนั้นตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 199 วรรคแรก “การเลือกนั้น ท่านให้ทำด้วยแสดงเจตนาแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 200 วรรคแรก “ถ้าจะต้องเลือกภายในระยะเวลาอันมีกำหนด และฝ่ายที่มีสิทธิจะเลือกมิได้เลือกภายในระยะเวลานั้นไซร้ ท่านว่าสิทธิที่จะเลือกนั้นย่อมตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 213 “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่ง บทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้ หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ก. เมื่อมูลหนี้ที่เกิดขึ้นตามสัญญา เป็นเรื่องที่ผู้รับจ้างตกลงรับเหมาก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้ว่าจ้าง ดังนั้น วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาคือการกระทำ คือเป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ระบุไว้ในสัญญานั่นเอง

ข. กรณีที่ในสัญญามีข้อตกลงว่า ถ้ามีเหตุชำรุดเสียหายเกิดแก่งานจ้างเหมานี้ ผู้รับจ้างจะต้องทำการแก้ไขซ่อมแซมให้เรียบร้อยภายในเวลาที่ผู้วาจ้างกำหนด ถ้าผู้รับจ้างไม่เริ่มทำการซ่อมแซมภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือจากผู้ว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิให้คนอื่นมาทำการงานนั้นแทนผู้รับจ้างก็ได้นั้น จะเห็นได้ว่า เป็นกรณีที่การกระทำเพื่อชำระหนี้นั้นมีหลายอย่าง (ผู้รับจ้างจะทำการซ่อมแซมเองหรือจะให้ผู้ว่าจ้างให้คนอื่นมาทำการซ่อมแซมแทน) ดังนั้นสิทธิที่จะเลือกว่าจะกระทำอย่างใดย่อมตกอยู่แก่ฝ่ายลูกหนี้คือผู้รับจ้าง (มาตรา 193)

โดยลูกหนี้จะต้องทำโดยการแสดงเจตนาไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคือผู้ว่าจ้าง (มาตรา 199 วรรคแรก) แต่ถ้าลูกหนี้ไม่เลือกภายในระยะเวลาที่กำหนด สิทธิที่จะเลือกย่อมตกไปอยู่แก่อีกฝ่ายหนึ่ง (มาตรา 200 วรรคแรก)

ค. ในกรณีที่มีเหตุชำรุดเสียหายเกิดแก่งานที่จ้าง ผู้ว่าจ้างสามารถบังคับได้โดยตรงคือเรียกให้ผู้รับจ้างกระทำการแก้ไขซ่อมแซม (มาตรา 213 วรรคแรก) แต่ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้ เช่น ผู้รับจ้างไม่ยอมทำการแก้ไขซ่อมแซม ดังนี้เมื่อวัตถุแห่งหนี้เป็นการกระทำผู้ว่าจ้างจะให้บุคคลอื่นมาทำการแก้ไขซ่อมแซมแทนผู้รับจ้าง และให้ผู้รับจ้างออกค่าใช้จ่ายให้ก็ได้ (มาตรา 213 วรรคสอง) และไม่ตัดสิทธิของผู้ว่าจ้างที่จะเรียกค่าเสียหายในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น (มาตรา 213 วรรคท้าย)

สรุป

ก. วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาคือกกรกระทำ

ข. สิทธิที่จะเลือกชำระหนี้เป็นของผู้รับจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้

ค. ถ้ามีเหตุชำรุดเสียหายเกิดแก่งานที่จ้าง ผู้ว่าจ้างสามารถบังคับให้ผู้รับจ้างทำการแก้ไขซ่อมแซมได้ หรือถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่อง ผู้ว่าจ้างจะไห้บุคคลอื่นทำการแทนโดยให้ผู้รับจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้

 

 

ข้อ 3. ก. เช่าที่ดินริมถนนของ ข. เนื้อที่ 2 ไร่ วางกล้าปาล์มน้ำมันเพื่อจำหน่าย ค. จำหน่ายกล้าปาล์มน้ำมันเช่นกันในที่ดินของตน ซึ่งติดกับที่ดินแปลงของ ข. ที่ ก. เข่า แต่ ค ได้วางถุงกล้าปาล์มรุกเข้ามาในที่ดินที่ ก. เช่า ประมาณ 200 ตารางวา ทำให้ ก. ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่านั้นไม่ได้ ก. เรียกให้ ข. จัดการในเรื่องนี้ ข. ก็เพิกเฉย ให้แนะนำ ก. ว่า จะต้องดำเนินการแก้ไขในเรื่องดังกล่าานี้ได้อย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 213 วรรคแรกและวรรคสี่ “ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

อนึ่ง บทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้ หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่”

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย

มาตรา 233     “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. เช่าที่ดินของ ข. เนื้อที่ 2 ไร่ เพื่อวางกล้าปาล์มน้ำมันเพื่อจำหน่ายแต่ถูก ค วางถุงกล้าปาล์มน้ำมันรุกเข้ามาในที่ดินที่ ก. เช่าประมาณ 200 ตารางวาทำให้ ก. ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่าไม่ได้นั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่าที่ดินที่ ก. เช่าจาก ข. นั้นได้ถูกรอนสิทธิโดยมีผู้บุกรุก ดังนั้น ข. ผู้ให้เช่าจะต้องรับผิดชอบ โดยการขับไล่ผู้บุกรุกโดยละเมิด คือ ค. ออกไป เพื่อให้ ก ผู้เช่าสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่านั้นได้ทั้ง  2 ไร่

แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อ ก. ในฐานะเจ้าหนี้ได้เรียกให้ ข. ลูกหนี้ จัดการขับไล่ ค ผู้บุกรุกแต่ ข. เพิกเฉย เท่ากับเป็นกรณีที่ลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนตามนาตรา 213 วรรคแรก และเมื่อการเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของ ข ป(ไม่เรียกร้องให้ ค. ออกไปจากที่ดินที่บุกรุก) ทำให้ ก. เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ ดังนั้น ก. เจ้าหนี้จึงสามารถใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทน ข. ลูกหนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของตนเพื่อฟ้องขับไล่ ค. ผู้บุกรุกโดยละเมิดออกไปได้ตามมาตรา 233 ประกอบมาตรา 214 รวมทั้งอาจเรียกค่าเสียหายได้ตามมาตรา 213 วรรคสี่

สรุป

ก. ผู้เช่าย่อมสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของ ข. ผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่ ค. ผู้บุกรุกได้

 

 

ข้อ 4. แดงกู้เงินขาวสองแสนบาท โดยจำนองที่ดินของตนประกันหนี้เงินกู้รายนี้กับขาวไว้ ต่อมาแดงกลับนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปทำสัญญาจะขายให้เหลือง โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีทรัพย์อื่นที่จะพอชำระหนี้ ขาวจะมาขอเพิกถอนสัญญาจะขายได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตน จากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย

แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนซึ่งนิติกรรมที่ลูกหน้ได้กระทำลง ทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ตามมาตรา 237 วรรคแรก แต่ถ้านิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงนั้น ไม่ได้ทำไห้เจ้าหนี้เสียเปรียบแต่อย่างใดกล่าวคือ แม้ลูกหนี้จะได้ทำนิติกรรมนั้นลูกหนี้ก็ยังมีทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ยังสามารถที่จะบังคับชำระหนี้ได้ ดังนี้ เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นไม่ใด้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงกู้เงินขาวโดยจดทะเบียนจำนองที่ดินของตนประกันหนี้เงินกู้ไว้แต่แดงกลับนำที่ดินที่ติดจำนองดังกล่าวไปทำสัญญาจะขายให้เหลืองนั้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยอยู่ที่ว่า การกระทำของแดงลูกหนี้ดังกล่าวนั้นทำให้ขาวเจ้าหนี้เสียเปรียบหรือไม่ กรณีนี้เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา 214 ที่ว่าภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงนั้น

หมายถึง การที่เจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งหมดบนั้น กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า ถ้าเป็นเรื่องของสัญญาจำนองแล้วก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 733 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 214 กล่าวคือ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินที่จำนองไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะโอนไปกี่ทอด จำนองก็ย่อมจะติดไปด้วยเสมอ ซึ่งจะมีผลหาให้ผู้รับจำนองย่อมสามารถที่จะบังคับจำนองเอากับทรัพย์สินที่จำนองได้เสมอเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้เอาที่ดินที่ติดจำนองไปทำสัญญาจะขายให้เหลืองจึงไม่ถือว่าเป็นทางทำให้ขาวเจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะแม้ที่ดินนั้นจะโอนไปเป็นของเหลือง ขาวเจ้าหนี้ก็ยังสามารถบังคับจำนองเอากับที่ดินที่ติดจำนองนั้นได้ ดังนั้นขาวจึงไม่สามารถขอเพิกถอนสัญญาจะขายได้

สรุป ขาวจะมาขอเพิกถอนสัญญาจะขายไม่ได้

LAW 2002 กฎหมายแพ่งแสะพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งแสะพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์จ้างอังคารสร้างบ้านหนึ่งหลังตามแบบแปลนที่ตกลงกัน โดยมีข้อตกลงกันว่าจันทร์จะต้องขออนุญาตการก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร โดยจะต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตภายในกำหนดวันที่ 20 สิงหาคม 2556 และอังคารจะทำการสร้างบ้านตามสัญญาทันทีเมื่อจันทร์ได้รับใบอนุญาต ปรากฏว่า จันทร์ละเลยไม่ไปขออนุญาตจนสิ้นสุดวันที่ 20 สิงหาคม 2556

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าจันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใดหากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์จ้างอังคารสร้างบ้านหนึ่งหลังตามแบบแปลนที่ตกลงกัน โดยมีข้อตกลงกันว่าจันทร์จะต้องขออนุญาตการก่อสร้างจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร โดยจะต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาตภายในกำหนดวันที่ 20 สิงหาคม 2556 และอังคารจะทำการสร้างบ้านตามสัญญาทันที

เมื่อจันทร์ได้รับใบอนุญาตนั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน โดยมีการตกลงกันกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องทำการ (ขออนุญาต) เพื่อรับชำระหนี้ไว้เป็นการแน่นอน

ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า เจ้าหนี้คือ จันทร์ ละเลยไม่ขออนุญาตตามกำหนดเวลาดังกล่าว จันทร์เจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้น

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลที่ได้อธิบายข้างต้น

 

 

ข้อ 2. นายแก้วเป็นเจ้าของกิจการห้างสรรพสินค้า ในช่วงระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม ถึงวันที่ 5 มกราคมของทุกปี จะเป็นช่วงที่ห้างของนายแก้วสั่งสินค้าจำพวก ส.ค.ส. แนบต่าง ๆ มาจำหน่ายแก่ลูกค้า และสามารถสร้างผลกำไรจากการขาย ส.ค.ส. แก่นายแก้วเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อปี

โดยสั่งซื้อจากโรงงานของนายเขตเพียงแห่งเดียวมาตั้งแต่ปี 2545 เป็นประจำทุกปี ในปีแรกที่ซื้อขายกันนั้นทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่านายเขตต้องนำสินค้ามาส่งแก่นายแก้ว ในวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีเพื่อเตรียมวางแสดงสินค้าในห้างสรรพสินค้าในวันรุ่งขึ้น และได้ปฏิบัติต่อกันตามนั้นมาเป็นปกติทุกปี โดยไม่เคยตกลงกันในเรื่องวันส่งสินค้าอีกเลย สำหรับในปี 2556 นายแก้วได้ส่งคำสั่งซื้อ ส.ค.ส.แบบมีเลข พ.ศ. กำกับไปยังโรงงานของนายเขต จำนวน 2,000 ชุด เช่นทุกปี แต่ในปี 2556 นายเขตกลับนำสินค้ามาส่งในวันที่ 14 มกราคม 2557 นายแก้วจึงไม่ยอมรับสินค้าทั้งหมดไว้จำหน่าย

เพราะนายแก้วเห็นว่านายเขตผิดนัด ทั้ง ส.ค.ส. ที่นำมาส่งก็ไม่สามารถจำหน่ายได้แล้ว เนื่องจากล่วงพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ต่อมา นายแก้วยื่นฟ้องนายเขตเรียกค่าเสียหาย 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าว นายเขตต่อสู้ว่า นายแก้วไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำนวนนั้น เพราะเป็นแต่เพียงผลกำไรที่คาดว่าจะได้จากการขาย ส.ค.ส. เท่านั้นนอกจากนั้น นายแก้วก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ด้วย เพราะไม่เคยตกลงกันในเรื่องดอกเบี้ยและอัตราดอกเบี้ย

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้ออ้างและข้อต่อสู้ของทั้งสองคนฟังขึ้นหรือไม่ อย่างไร

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 วรรคแรก “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 216 “ถ้าโดยเหตุผิดนัด การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้”

มาตรา 222 วรรคแรก “การเรียกเอาค่าเสียหายนั้น ได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติ ย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้นั้น”

มาตรา 224 วรรคแรก “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นิติสัมพันธ์ระหว่างนายแก้วกับนายเขตเป็นสัญญาซื้อขาย ซึ่งนายเขตต้องส่งมอบสินค้าที่ซื้อให้นายแก้ว โดยแม้ในปี 2556 จะไม่ได้มีภารตกลงกันว่านายเขตจะต้องส่งมอบสินค้าในวันใด

แต่จากพฤติการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันมาในเรื่องนี้กว่า 10 ปี สามารถอนุมานได้ตามมาตรา 203 วรรคแรกว่านายเขตต้องชำระหนี้ตามวันที่กำหนดในปฏิทิน คือวันที่ 10 ธันวาคม 2556 ตามมาตรา 204 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายเขตส่งมอบสินค้าเมื่อพ้นกำหนดตามที่ตกลงกัน จึงเป็นการผิดนัดชำระหนี้โดยมิพักต้องเตือนก่อน

และการที่นายเขตนำสินค้ามาส่งในวันที่ 14 มกราคม 2557 นั้น ทำให้การชำระหนี้เป็นอันไร้ประโยชน์แก่นายแก้ว เนื่องจาก ส.ค.ส. ได้ระบุ พ.ศ.ไว้ด้วย จึงไม่สามารถใช้ขายในปีถัดไปได้นายแก้วจึงมีสิทธิที่จะบอกปิดไม่รับชำระหนี้ได้ และมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากนายเขตได้ด้วยตามมาตรา 216

สำหรับค่าเสียหายที่นายแก้วเรียก 50,000 บาทนั้น เป็นค่าเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นได้จากการไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 222 วรรคแรก เพราะการไม่ส่งมอบสินค้าย่อมทำให้ไม่มีสินค้าจะขาย จึงไม่ได้รับกำไรที่ควรได้ตามธรรมดาจากการซื้อสินค้ามาขายต่อ ดังนั้น นายเขตจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวให้แก่นายแก้ว แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวนั้น นายแก้วสามารถเรียกได้เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคแรก จะเรียกถึงร้อยละ 15 ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า นายแก้วกับนายเขตได้ตกลงกันตามมาตรา 224 วรรคแรกตอนท้ายว่าให้คิดดอกเบี้ยได้ถึงร้อยละ 15

สรุป ข้ออ้างและข้อต่อสู้ของนายแก้วฟ้งขึ้น แต่นายแก้วสามารถเรียกดอกเบี้ยได้เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนข้ออ้างและข้อต่อสู้ของนายเขตนั้นฟ้งไม่ขึ้น แสะนายเขตจะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่นายแก้วในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

 

 

ข้อ. 3. บริษัท เอาท์ จำกัด ในประเทศฝรั่งเศส ได้ส่งสินค้ามาขายให้บริษัท กาย จำกัด ในประเทศไทยตามที่บริษัท กาย จำกัด สั่งซื้อ คิดเป็นราคารวม 10,000,000 ฟรังส์ฝรั่งเศส กำหนดชำระราคาด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีของบริษัท เอาท์ จำกัด ในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาระหว่างที่กำหนดเวลาชำระค่าสินค้ายังไม่ถึงกำหนดประเทศฝรั่งเศสได้ประกาศยกเลิกเงินสกุลฟรังส์ของตน และใช้เงินสกุลยูโรแทน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว บริษัท กาย จำกัด ผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าตามที่ตกลงกัน

บริษัท เอาท์ จำกัด จึงมายื่นฟ้องเรียกค่าสินค้าในศาลไทย บริษัท กาย จำกัด ต่อสู้คดีว่าไม่มีสกุลเงินฟรังส์ฝรั่งเศสอยู่ในสารบบ สกุลเงินของโลกแล้ว จึงถือได้ว่าการชำระหนี้เงินค่าสินค้าเป็นพ้นวิสัยโดยไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน บริษัท กาย จำกัด จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าอีกต่อไป และบริษัท เอาท์ จำกัด ต้องฟ้องร้องรัฐบาลฝรั่งเศสที่เป็นผู้ประกาศยกเลิกสกุลเงินฟรังส์

ข้อต่อสู้ของบริษัท กาย จำกัด รับฟังได้หรือ’ไม่ เพราะเหตุใด และหากจะต้องชำระหนี้แก่บริษัท เอาท์ จำกัดหากบริษัท กาย จำกัด จะใช้เงินบาทในการชำระหนี้ได้หรือไม่ อย่างไรจึงจะเป็นตามหลักการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม’ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 196 “ถ้าหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินตราต่างประเทศ ท่านว่าจะส่งใช้เป็นเงินไทยก็ได้การเปลี่ยนเงินนี้ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และเวลาที่ใช้เงิน”

มาตรา 197 “ถ้าหนี้เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ อันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้องส่งเงินใช้หนี้นั้นไซร้ การส่งใช้เงินท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น”

มาตรา 219 วรรคแรก “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท เอาท์ จำกัด ในประเทศฝรั่งเศส ได้ส่งสินค้ามาขายให้บริษัทกาย จำกัด ในประเทศไทยตามที่บริษัท กาย จำกัด สั่งซื้อ โดยคิดราคาเป็นสกุลเงินฟรังส์ฝรั่งเศสนั้น แม้ต่อมาจะปรากฎว่าประเทศฝรั่งเศสได้ประกาศยกเลิกเงินสกุลฟรังส์ของตน และใช้เงินสกุลยูโรแทนก็ตาม ก็ไม่ใช่เรื่องการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยตามมาตรา 219 วรรคแรก อันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้แต่อย่างใด

เนื่องจากหนี้ที่ต้องปฏิบัติการชำระหนี้เป็นหนี้เงิน มิใช่หนี้ให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งแต่กรณีดังกล่าวถือเป็นกรณีที่สกุลเงินตราถูกยกเลิกตามมาตรา 197 ซึ่งบัญญัติให้ถือเสมือนว่าคู่สัญญามิได้ตกลงให้ใช้เงินตราชนิดที่ถูกยกเลิกไปแล้วนั้น ดังนั้น เมื่อมีการใช้เงินสกุลยูโรแทนแล้ว บริษัท กาย จำกัด จึงต้องชำระหนี้ค่าสินค้าแก่บริษัท เอาท์ จำกัด ด้วยเงินสกุลยูโรซึ่งเป็นเงินสกุลที่ใช้แทนเงินฟรังส์ฝรั่งเศสที่มีมูลค่าเท่ากับเงินสกุลฟรังส์ฝรั่งเศส

และกรณีนี้บริษัท กาย จำกัด สามารถชำระหนี้เป็นเงินบาทได้ตามมาตรา 196 วรรคแรก ส่วนการเปลี่ยนเงินนั้นให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และเวลาที่ใช้เงินตามมาตรา 196 วรรคสอง

สรุป ข้อต่อสู้ของบริษัท กาย จำกัด รับฟังไม่ได้ และบริษัท กาย จำกัด สามารถใช้เงินบาทในการชำระหนี้ได้

 

 

ข้อ 4. นางแตงกวาและนายแตงไทยร่วมกันทำสัญญาจะซื้อที่ดิน 1 แปลง ราคา 1 ล้านบาท จากนายชบา โดยในวันทำสัญญานางแตงกวาและนายแตงไทยได้ชำระเงินมัดจำให้แก่นายชบาจำนวน 5 แสนบาท ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย ราคาซื้อขายส่วนที่เหลืออีกจำนวน 5 แสนบาท จะชำระให้แก่นายชบา ในวันที่ได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว

ต่อมา เมื่อถึงกำหนดวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ปรากฏว่า นายแตงไทยแต่ผู้เดียวมาขอรับโอนที่ดินและชำระราคาที่ค้างให้แก่นายชบา โดยนางแตงกวาไม่ได้มาร่วมรับโอนด้วย ดังนี้ นายชบาจะมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่นายแตงไทยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 298 “ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงได้ไซร้ แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือ เจ้าหนี้ร่วมกัน) ก็ดี ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก ความข้อนี้ไห้ใช้บังคับได้ แม้ทั้งที่เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การเป็นเจ้าหนี้ร่วมตามมาตรา 298 นั้น ย่อมมีผลทางกฎหมาย คือ เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงแก่ตนเองคนเดียวได้ แม้เจ้าหนี้ร่วมคนอื่นจะมิได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ด้วยหรือแม้เจ้าหนี้ร่วมคนอื่นจะได้ยื่นฟ้องคดีเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไว้แล้วก็ตาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางแตงกวาและนายแตงไทยร่วมกันทำสัญญาจะซื้อที่ดินจากนายชบานั้นย่อมส่งผลให้นางแตงกวาและนายแตงไทยอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ร่วม ซึ่งตามนัยมาตรา 298 นางแตงกวาและนายแตงไทยมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้จากนายชบาลูกหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงได้ นายชบาจึงมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินและรับชำระราคาที่ค้างจากนายแตงไทย

การที่นายแตงไทยแต่ผู้เดียวมาขอรับโอนที่ดิน และชำระราคาที่ค้างแก่นายชบา โดยที่นางแตงกวาไม่ได้มาร่วมรับโอนด้วย จึงไม่เป็นเหตุขัดข้องที่นายชบาจะปฏิเสธไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่นายแตงไทย (เทียบเคียง ฎีกาที่ 6846/2539)

สรุป นายชบาจะปฏิเสธไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่นายแตงไทยไม่ได้ ตามเหตุผลที่ได้อธิบายข้างต้น

 

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1 นายส้มว่าจ้างนายเงาะให้ก่อสร้างห้องน้ำที่บ้านของนายส้มและตกลงให้สร้างห้องน้ำให้เสร็จในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 หลังจากที่ได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านนายส้ม ดังนั้น สำนักงานเขตจึงมีคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ทำให้นายเงาะ ไม่สามารถเข้าไปสร้างห้องน้ำได้ ต่อมาหลังจากนั้น นายส้มได้ซ่อมแซมบ้านจนเสร็จ นายส้มได้ทำหนังสือแจ้งแก่นายเงาะให้มาดำเนินการสร้างห้องน้ำหลายครั้ง แต่นายเงาะก็เพิกเฉย ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 วรรคแรก “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 204 วรรคแรก “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือน

ลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว”

มาตรา 205 “ตราบใดการชำระหนี้ยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้

ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายส้มได้ว่าจ้างนายเงาะให้ก่อสร้างห้องน้ำที่บ้านของนายส้มและ

ตกลงให้สร้างให้เสร็จในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 นั้น เมื่อต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านของนายส้มและหลังเกิดเหตุ สำนักงานเขตได้มีคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น ทำให้นายเงาะไม่สามารถเข้าไปสร้างห้องน้ำได้ กรณีเช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่การชำระหนี้ยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 205 ดังนั้นกรณีนี้ นายเงาะลูกหนี้จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด

การที่หนี้มีกำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 นั้น เวลากำหนดชำระหนี้นั้นได้

ขยายออกไปโดยผลของกฎหมาย ดังนั้น หนี้ระหว่างนายส้มกับนายเงาะจึงเป็นหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามมาตรา 203 วรรคแรก และการที่นายส้มได้ทำหนังสือแจ้งแก่นายเงาะหลายครั้งให้มาดำเนินการสร้างห้องน้ำ หลังจากที่นายล้มได้ซ่อมแซมบ้านเสร็จ ถือได้ว่าเป็นการเตือนให้นายเงาะลูกหนี้ชำระหนีแล้ว เมื่อนายเงาะยังเพิกเฉยจึงถือว่านายเงาะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 204 วรรคแรก (เทียบเคียงฎีกาที่ 4521 – 4522/2553)

สรุป. นายเงาะลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดในกรณีที่นายส้มได้ทำหนังสือแจ้งให้นายเงาะมาดำเนินการสร้างห้องน้ำหลังจากที่นายส้มได้ซ่อมแซมบ้านเสร็จแต่นายเงาะยังเพิกเฉย จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเจ้าหนี้ได้เตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคแรก

 

 

ข้อ 2 จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารห้าแสนบาท ต่อมาอังคารทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากพุธ โดยชำระราคาครบถ้วนแล้ว และถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันแล้ว แต่อังคารเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินมาเป็นของตน โดยอังคารไม่มีทรัพย์สินอื่น ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า จันทร์จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคาร (ลูกหนี้) ในกรณีตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธได้อย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ดามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 233 “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

วินิจฉัย

การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามมาตรา 233 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์

ดังต่อไปนี้

  1. ลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง
  2. ปรากฏว่าการขัดขืนหรือเพิกเฉยของลูกหนี้นั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ และ
  3. การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้นั้นต้องปรากฏว่าไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคาร และต่อมาอังคารทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากพุธ โดยชำระราคาครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันแล้ว อังคารกลับเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินนาเป็นของตน อีกทั้งอังคารก็ไม่มีทรัพย์สินอื่น ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าอังคารซึ่งเป็นลูกหนี้เพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้จันทร์ผู้เป็นเจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ และกรณีดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้ ดังนั้น จันทร์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคาร ซึ่งเป็นลูกหนีได้

โดยจันทร์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของอังคารตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธ โดยการฟ้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่อังคารได้ตามมาตรา 233

สรุป จันทร์สามารถใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคาร (ลูกหนี้) ได้ โดยการใช้สิทธิเรียกร้องของอังคารตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่อังคารมีอยู่ฟ้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่อังคารได้

 

 

ข้อ 3. นวยเมฆตกลงจ้างนายสามารถและนางสาวสดใสนักร้องชื่อดังให้มาแสดงการร้องเพลงคู่ (ชาย-หญิง) ในงานวันเกิดอายุครบรอบ 60 ปี ของนายเมฆ ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ตุลาคม 2556 โดยมีข้อตกลงว่า นายเมฆจะจ่ายค่าจ้างให้แก่นายสามารถและนางสาวสดใสหลังการแสดงเสร็จสิ้นลง ปรากฏว่า ในวันที่ 6 ตุลาคม 2556 นายสามารถล้มป่วยกะทันหัน แพทย์วินิจฉัยว่า นายสามารถเป็นโรคเส้นเสียงอักเสบขั้นรุนแรง ไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิต เมื่อถึงกำหนดวันแสดง ทั้งนายสามารถและนางสาวสดใสจึงไม่มาทำการแสดงตามสัญญาจ้าง ทำให้นายเมฆเสียหน้าต่อบรรดาแขกผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

ดังนี้ นายสามารถและนางสาวสดใสจะต้องร่วมกันรับผิดต่อนายเมฆหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น

ถ้าภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ไซร้ ท่านให้ถือเสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยฉะนั้น”

มาตรา 295 “ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั่นเอง

ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าวการผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน”

มาตรา 301 “ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆตกลงจ้างนายสามารถและนางสาวสดใสให้มาแสดงการร้องเพลงคู่ (ชาย-หญิง) เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งชำระมิได้โดยวัตถุประสงค์หรือเจตนาของคู่สัญญา

เนื่องจากเป็นหนี้กระทำการตามสัญญาที่ต้องทำเป็นคู่ ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 301 ได้วางหลักให้บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน ดังนั้น นายสามารถและนางสาวสดใสจึงอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมของนายเมฆ

ต่อมาการที่นายสามารถเป็นโรคเส้นเสียงอักเสบขั้นรุนแรง ไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิตเป็นกรณ์ที่ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้น ซึ่งตามมาตรา 219 วรรคสอง ให้ถือเสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยอันส่งผลให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ ดังนั้น

นายสามารถจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายเมฆตามมาตรา 219 วรรคแรก

และแม้ว่าการชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น จะเป็นเหตุส่วนตัวกล่าวคือ เป็นข้อความจริงที่ท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น ตามนัยมาตรา 295 วรรคสองก็ตาม แต่เมื่อหนี้ที่นายสามารถและนางสาวสดใสต้องชำระแก่นายเมฆ เป็นหนี้อันจะแบ่งชำระมิได้ จึงเป็นกรณีที่ขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง ส่งผลให้เหตุส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับนายสามารถส่งผลไปยังนางสาวสดใสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย นางสาวสดใสจึงสามารถอ้างเหตุที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเกิดขึ้นกับนายสามารถ เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดต่อนายเมฆได้เช่นเดียวกัน ตามนัยมาตรา 295 วรรคแรก

สรุป จากเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น นายสามารถและนางสาวสดใสจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อนายเมฆ

 

 

ข้อ 4. นายนวลซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเจ้าหนี้เงินทกู้นายอินซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 100,000 บาทโดยมีนายพวงเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินทกู้นี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมานายนวลได้สั่งซื้อสินค้าจากนายอาจซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในราคา 100,000 บาท เมื่อหนี้ทั้งสองจำนวนถึงกำหนดชำระแล้ว

นายนวลกับนายอาจได้พบกันและตกลงกันว่านายนวลจะโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ที่นายนวลเป็นเจ้าหนี้นายอิน จำนวน 100,000 บาท ให้แก่นายอาจ เพื่อเป็นการชำระค่าสินค้า จำนวน 100,000 บาท ที่นายนวลเป็นหนี้นายอาจอยู่ ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยนายนวลคนเดียวลงชื่อในสัญญาดังกล่าว แต่ในสัญญาดังกล่าวมิได้กล่าวถึงการค้ำประกันของนายพวง จากนั้น นายนวลได้มีจดหมายบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปให้นายอินทราบแล้ว

ต่อมา นายอินไม่ยอมชำระเงินจำนวน 100,000 บาท และนายพวงก็ปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้ตามที่ค้ำประกันแก่นายอาจ นายอาจจึงฟ้องคดีต่อศาลเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวจากนายอินและนายพวง นายอินต่อสู้ว่า การโอนดังกล่าวไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องแต่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ และถึงแม้จะเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องก็เป็นโมฆะเพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อนายอาจผู้รับโอนด้วย ส่วนนายพวงต่อสู้ว่า การค้ำประกับระงับไปแล้วเพราะมีการแปลงหนี้ใหม่ โดยนายพวงมิได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นใหม่ จึงไม่ต้องรับผิดต่อนายอาจ

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ดังกล่าวของนายอินกับนายพวงฟังขึ้นหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 305 วรรคแรก “เมื่อโอนสิทธิเรียกร้องไป สิทธิจำนองหรือจำนำที่มีอยู่เกี่ยวพันกับสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี สิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันที่ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี ย่อมตกไปได้แก่ผู้รับโอนด้วย”

มาตรา 306 วรรคแรก “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น

ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ”

มาตรา 349 วรรคแรกและวรรคสาม “เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่

ถ้าแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยโอนสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 352 “คู่กรณีในการแปลงหนี้ใหม่อาจโอนสิทธิจำนำ หรือจำนองที่ได้ให้ไว้เป็นประกันหนี้เดิมนั้นไปเป็นประกันหนี้รายใหม่ได้เพียงเท่าที่เป็นประกันวัตถุแห่งหนี้เดิม แต่หลักประกันเช่นว่านี้ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้ให้ไว้ไซร้ ท่านว่าจำต้องได้รับความยินยอมของบุคคลภายบอกนั้นด้วยจึงโอนได้”

มาตรา 698 “อันผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใดๆ”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เป็นกรณีที่นายนวลกับนายอาจมีเจตนาจะทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องกัน มิใช่การทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ตามมาตรา 349 วรรคสาม และการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น มาตรา 306 วรรคแรก บัญญัติเพียงว่า จะต้องทำเป็นหนังสือจึงจะสมบูรณ์ และการโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายบอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น

โดยได้ทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ หาได้บัญญัติว่า การโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและลงลายมีอชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนไม่ ดังนั้น การโอนสิทธิเรียกร้องที่ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนแต่ฝ่ายเดียวก็เป็นการโอนที่สมบูรณ์ การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้จึงใช้บังคับได้ และมีผลผูกพันนายอินในอันที่จะต้องชำระหนี้แก่นายอาจ

ส่วนนายพวงนั้นเมื่อปรากฎว่าการทำสัญญาระหว่างนายนวลกับนายอาจเป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง การค้ำประกับของนายพวงต่อนายอินจึงตกได้แก่นายอาจด้วยตามมาตรา 305 วรรคแรก และการค้ำประกันไม่ได้ระงับเพราะไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ตามมาตรา 349 วรรคแรกมาตรา 352 และมาตรา 698ดังนั้นข้อต่อสู้ของ

นายอินและนายพวงจึงฟังไม่ขึ้น นายอินและนายพวงจึงต้องชำระหนี้แก่นายอาจ (เทียบเคียงฎีกาที่ 6816/2537)

สรุป ข้อต่อสู้ดังกล่าวของนายอินและนายพวงฟังไม่ขึ้น

THA1002 ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1002 ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ

1. พระภิกษุเจ้าฟ้าวชิรญาณพบศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ ณ เมืองใด

(1) สวรรคโลก

(2) ศรีสัชชนาลัย

(3) สระหลวง

(4) สุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 44, (ศิลาจารึก หน้า 5 – 6), (คำบรรยาย) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ (หรือรัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมา) ในขณะที่ ยังทรงผนวชเน้นพระภิกษุเจ้าฟ้าวชิรญาณ (ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์) ได้เสด็จประพาสเมืองเหนือ เพื่อนมัสการเจดียสถานต่าง ๆ และได้ทรงพบศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่นศิลารูปสี่เหลี่ยมมียอดแหลมมน พร้อมกับพระแท่นมนังคศิลาบาตรที่เนินปราสาทเก่าเมืองสุโขทัยเมื่อปี พ.ศ. 2376 จึงโปรดให้ชะลอมาไว้ที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ด้านเหนือชั้นบน ซึ่งเป็นห้องแสดงศิลปะสมัยสุโขทัย

2. จารึกหลักที่ 1 นี้เข้าใจว่าจารึกในรัชสมัยกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (2) พ่อขุนบานเมือง

(3) พ่อขุนรามคำแหง (4) ไม่สามารถระบุให้ชัดเจนได้

ตอบ 3 (ศิลาจารึก หน้า 6) ศาสตราจารย์ยอร์ฃ เซเดส์ ผู้เชี่ยวชาญต้านศิลาจารึกชาวฝรั่งเศส

ได้สันนิษฐานไว้ว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงคงจะจารึกขึ้นในปีที่ฉลองพระแท่นมนังคศิลาบาตรซึ่งตรงกับมหาศักราช 1214 (หรือตรงกับ พ.ศ. 1835ใน รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง) เพราะมีข้อความกล่าวถึงพระแท่นมนังคศิลาบาตรในด้านที่ 3 นอกจากนี้หนังสือประชุมจารึกสยาม ภาคที่ 1 จารึกกรุงสุโขทัย ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2467 ยังได้ อธิบายว่า “ผู้แต่งศิลาจารึกนี้เห็นจะเป็นพ่อขุนรามคำแหงทรงแต่งเอง ถ้ามิฉะนั้นก็คงตรัสสั่ง ให้แต่งขึ้นแลจารึกไว้

3. ค่านิยมทางสังคมที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่เด่นชัดมากที่สุดได้แก่ข้อใด

(1) ให้เกียรติพ่อค้า (2) ยกย่องสถาบันครอบครัว

(3) ยกย่องเชิดชูผู้มีทรัพย์สมบัติ (4) ยกย่องและเคร่งครัดศาสนา

ตอบ 4 (ศิลาจารึก หน้า 23 – 24) ค่านิยมทางสังคมและลักษณะนิสัยของคนไทยที่ปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่เด่นชัดมากที่สุด ได้แก่ การยกย่องและเคร่งครัดศาสนา เนื่องจากคนไทยในสมัยสุโขทัยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก มักชอบให้ทานแก่คนทั่วไป และถวายทานกับพระสงฆ์ ดังข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน… ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน…’’

4. ข้อใดเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นวรรณคดี

(1) พูดสั้นกินความมาก (2) มิสัมผัสหลายตอนพรรณนาความละเอียดลออ

(3) ภาษาง่าย ประโยคสั้น (4) เรียบเรียงอย่างประณีตไพเราะอย่างยิ่ง

ตอบ 3 หน้า 44 – 45 ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นวรรณกรรมที่ต้องการ จะบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน ไม่ได้ตั้งใจแต่งให้เป็นเรื่องบันเทิง แต่มีเนื้อหาและศิลปะ การแต่งที่ดี มีการเรียบเรียงถ้อยคำ ทำให้มีลักษณะเป็นวรรณคดีประยุกต์ได้ กล่าวคือ

1. ใช้ประโยคสั้นและภาษาที่ง่ายไม่ซับซ้อนทำให้อ่านง่ายและเข้าใจได้สะดวก

2. ข้อความบางตอนมีลักษณะเป็นกลอน มีเสียงสัมผัสกระทบกระทั่ง ไพเราะ มีกวีโวหารลึกซึ้ง

3. ใช้ประโยคที่สมดุล มีจำนวนคำเท่ากัน มีความหมายเข้าคู่กัน และมีน้ำหนักเสียงก้ำกึ่งกัน

5. รูปศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีลักษณะเช่นไร

(1) กลมรี

(2) ยาวรี

(3) สี่เหลี่ยมยอดแหลมมน

(4) รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. คำว่า “กระพัดลยาง” ที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีความหมายว่าอย่างไร

(1) ขอสับช้าง (2) สายรัดสัปคับ (3) กูบช้าง (4) สัปคับ

ตอบ 2 (ศิลาจารึก หน้า 30, 41, 59) คำว่า ‘‘กระพัดลยาง” หมายถึง สายรัดสัปคับผูกช้างไม่ให้เคลื่อนที่ โดยคำว่า “กระพัด” แปลว่า ผูกหรือสายสำหรับผูกสัปคับ สายที่รัดสัปคับ ซึ่งเหนี่ยวไว้กับโคนหางของช้าง ส่วนคำว่า “ลยาง” แปลว่า สัปคับ (แหย่งช้าง หรือทีนั่งบนหลังช้าง)

7. ภาษาใดใช้มากที่สุดในจารึกพ่อขุนรามคำแหง

(1) ภาษาไทยแท้

(2) ภาษาบาลี

(3) ภาษาลาว

(4) ภาษาเขมร

ตอบ 1 หน้า 44 ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นับเป็นเอกสารภาษาไทยที่ใช้ คำไทยแห้มากที่สุดฉบับหนึ่ง ถ้าจะประมวลคำที่ใช้ในจารึกจะมีประมาณ 1,500 คำ เมื่อตัดคำซ้ำออกจะเหลือประมาณ 405 คำ ในจำนวนนี้เป็นคำไทยแท้ราว 319 คำ เป็นคำที่มีรากศัพท์ มาจากเขมร 13 คำ ชื่อเฉพาะ 11 คำ มีมูลรากมาจากภาษาบาลีและอื่น ๆ อีกประมาณ 62 คำ

8. สำนวนภาษาที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า “สวนดูแท้แล” มีความหมายว่าอย่างไร

(1) ส่วนที่อุดมสมบูรณ์ (2) สอบสวนดูแล้ว (3) ทำสิ่งใดเฉพาะตัว (4) ดูแลสวนอย่างดียิ่ง

ตอบ 2 (ศิลาจารึก หน้า 19, 39, 52) คำวา “สวนดูแท้แล” หมายถึง สอบสวนดูแน่แล้ว สอบถามดู แน่แล้ว ไต่สวบ สอบสวน

9. ชาวต่างชาติท่านใดอ่านศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงแล้วเผยแพร่สู่นานาชาติ

(1) หมอบรัดเลย์ (2) ศ.ศิลป์ พีระศรี (3) ศ.ยอร์ช เซเตส์ (4) ยอร์ข เอช.เอาห์

ตอบ 3 (ศิลาจารึก หน้า 6-7) ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลาจารึกชาวฝรั่งเศส นับเป็นผู้มีพระคุณต่อวงการศิลาจารึกของไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีส่วนสำคัญในการอ่านและ ตรวจแปลศิลาจารึกต่าง ๆ ให้ถูกต้องบริบูรณ์ และแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส เพื่ออำนวยประโยชน์ แกนักปราชญ์ทั้งหลายที่สนใจ รวมทั้งเพื่อเผยแพรความสำคัญของศิลาจารึกและชื่อเสียงของ ประเทศไทยไปยังนานาประเทศ

10. ข้อความใดหมายถึง การตัดสินคดีความอย่างเที่ยงธรรม

(1) บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน (2) จึงแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ

(3) เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีน (4) ผิดแผกแสกว้างกัน

ตอบ 2 (ศิลาจารึก หน้า 19, 39, 51 – 52) ข้อความที่ว่า “จึงแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ” หมายถึง ตัดสินคดีความอย่างเที่ยงธรรม หรือตัดสินความแก่เขาทั้งสองด้วยความยุติธรรม (ส่วนข้อความที่ว่า “บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน” หมายถึงไม่เข้ากับผู้ร้ายลักทรัพย์ ไม่เห็นแก่ผู้รับของโจร “เห็นข้าว ท่านบ่ใคร่พีน” หมายถึง เมื่อใครเอาข้าวของมาให้ก็ไม่ยินดี, “ผิดแผกแสกว้างกัน” หมายถึง ผิดใจแตกแยกเป็นความกัน)

11. ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่แต่งสมัยเดียวกันวรรณคดีเรื่องใด

(1) ลิลิตโองการแช่งน้ำ (2) ลิลิตตะเลงพ่าย

(3) ลิลิตนารายณ์สิบปาง (4) ลิลิตเพชรมงกุฎ

ตอบ 1 หน้า 50. 64. (ลิลิตพระลอ หน้าคำนำ) วรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งแต่สมัย

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) – สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 1893 – 2072) มีอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ลิลิตโองการแช่งน้ำ 2. ลิลิตยวนพ่าย 3. มหาชาติคำหลวง 4. ลิลิตพระลอ

12. ข้อใดกล่าวถึงลิลิตพระลอได้ถูกต้อง

(1) น่าจะมีเค้าเรื่องจริงจากนิยายล้านช้าง (2) เป็นวรรณคดีทีแต่งสมัยอยุธยาตอนต้น

(3) ผู้แต่งคือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (4) จบลงด้วยความโกรธแค้นของพระเจ้าย่า

ตอบ 2 หน้า 59, (ลิลิตพระลอ หน้าคำนำ) ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล กล่าวว่า ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เพราะเป็นเรื่องสำนวนเก่ารุ่นราวคราวเดียวกับมหาชาติคำหลวง โคลงคำสรวลศรีปราชญ์ ลิลิตยวนพ่าย และทวาทศมาส นอกจากนี้ยังมีเนื้อเรื่องเป็นนิทานปรัมปราของไทยโบราณ ทางภาคเหนือ (ล้านนาไทย คือ มณฑลพายัพ) ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนิทานพื้นเมืองท้องถิ่น ของชาวจังหวัดแพร่ น่าน และเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง

13. “รอนลาวกาวตาวตัดหัว ตัวกลิ้งกลาดดาษดวน ฝ่ายข้างยวนแพ้พ่าย… ฝ่ายข้างไทยไชเยศร์ คืนยัง ประเทศพิศาล” ข้อความนี้กล่าวถึงสงครามในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง

(2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(4) สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ตอบ 2 หน้า 61, (ลิลิตพระลอ หน้า 1) ข้อความเริ่มเรื่องในลิลิตพระลอข้างต้น เป็นร่ายนำเรื่องที่ กล่าวถึงสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับล้านนาไทย ซึ่งผลปรากฏว่าฝ่ายล้านนาไทยเป็นฝ่ายแพ้ เมื่อสอบสวนกับพงศาวดารจึงได้ความว่า สงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับล้านนาไทยเกิดขึ้น ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งตรงกับเรื่องลิลิตยวนพ่าย

14. จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์

ยอยศพระลอคน หนึ่งแท้

พี่เลี้ยงอาจเอาตน ตายก่อน พระนา

ในโลกนี้สุดแล้ เลิศล้ำคุงสวรรค์ฯ

“มหาราชเจ้า นิพนธ์” สันนิษฐานว่าคือพระมหากษัตริย์องค์ใด

(1) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (2) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

(3) สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (4) สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ

ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (ลิลิตพระลอ หน้า 150) ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้สันนิษฐานว่า เรื่องลิลิตพระลอน่าจะเขียนขึ้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดยมหาราชเจ้า ผู้นิพนธ์เรื่อง ลิลิตพระลอ คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติในระหว่าง ปี พ.ศ. 2034 – 2072 ส่วนพระเยาวราชผู้คัดเขียนลิขิต คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หรือสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ผู้เป็นพระราชโอรส

15. จากโจทย์ข้อ 14. “พี่เลี้ยง” หมายถึงใคร

(1) พระเพื่อนพระแพง (2) นางรื่นนางโรย (3) นายแก้วนายขวัญ (4) ท้าวพิไชยพิษณุกร

ตอบ 3 (ลิลิตพระสอ หน้า 135, 150) โคลงท้ายเรื่องลิลิตพระลอข้างต้น ได้กล่าวถึงพี่เลี้ยงของ พระลอ คือ นายแก้วนายขวัญ ซึ่งถูกทหารของพระเจ้าย่ายิงธนูเข้าใส่จนสิ้นชีวิตไปก่อน พระลอ ผู้เป็นเจ้านาย

16. นางลักษณวดีคือใคร

(1) มเหสีของพระลอ (2) มเหสีของท้าวพิไชยพิษณุกร

(3) พระราชมารดาของพระลอ (4) พระราชมารดาของพระเพื่อนพระแพง

ตอบ 1 (ลิลิตพระสอ หน้า 2 – 4), (คำบรรยาย) เนื้อเรื่องตอนต้นของเรื่องลิลิตพระลอได้กล่าวถึงเมือง 2 เมือง ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน คือ เมืองสรวงและเมืองสรอง โดยมีตัวละครที่สำคัญดังนี้

1. เมืองสรวงมีกษัตริย์ชื่อว่า ท้าวแมนสรวง มีพระมเหสี คือ พระนางนาฎบุญเหลือ และ มีพระราชโอรสองค์หนึ่งชื่อ พระลอ ซึ่งต่อมาได้สมรสกับนางลักษณวดี ผู้เป็นอัครมเหสี

2. เมืองสรองมีกษัตริย์ชื่อว่า ท้าวพิมพิสาครราช ซึ่งเป็นพระสวามีของพระเจ้าย่า ผู้มีฐานะเป็น นางสนม โดยมีพระโอรสที่เกิดจากพระมเหสี คือ ท้าวพิไชยพิษณุกร ซึ่งต่อมาได้สมรสกับ เจ้าดาราวดี จนมีพระราชธิดา 2 พระองค์ คือ พระเพื่อนกับพระแพง

17. “พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง” หมายถึงใคร

(1) พระเพื่อน (2) พระแพง (3) พระลอ (4) พระนางนาฎบุญเหลือ

ตอบ 3 (ลิ.ลิตพระสอ หน้า 5 – 6), (คำบรรยาย) พระลอ จัดเป็นตัวละครที่มีอุดมคติด้านความงามเลิศ และมีขัตติยมานะสมเป็นกษัตริย์ โดยพระองค์ทรงมีรูปโฉมงดงาม ดังบทชมความงาม ในโคลงและร่ายที่ยอเกียรติพระลอว่า “…พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารมีฯ… พิศดูคางสระสม พิศศอกลมกลกลึง สองไหล่พึงใจกาม อกงามเงื่อนไกรสร พระกรกลงวงคช…”

18. พระสวามีของพระเจ้าย่าคือใคร

(1) ท้าวพิไชยพิษณุกร (2) ท้าวแมนสรวง

(3) ท้าวพิมพิสาครราช (4) ไม่ปรากฏนามในเรื่อง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

19. “พิศดูคางสระสม พิศศอกลมกลกลึง สองไหล่พึงใจกาม อกงามเงื่อนไกรสร พระกรกลงวงคช”

ข้อความนี้เป็นบทชมความงามของใคร

(1) พระเพื่อนพระแพง

(2) พระลอ

(3) พระนางนาฎบุญเหลือ

(4) ท้าวพิไชยพิษณุกร

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

20. เรื่องลิลิตพระลอมีคุณค่าด้านใดมากที่สุด

(1) ให้ข้อคิดและคติเตือนใจ

(2) ให้ความไพเราะและอารมณ์สะเทือนใจ

(3) ให้ทราบประวัติศาสตร์และการศึกสงคราม

(4) ให้ทราบการเมืองการปกครองสมัยอยุธยา

ตอบ 2 หน้า 57, 62 – 64, 198 เรื่องลิลิตพระลอมีคุณค่าในด้านการให้ความไพเราะและอารมณ์ สะเทือนใจมากที่สุด ทำให้ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่ไพเราะจับใจคนทั่วไป เพราะประกอบด้วย เนื้อเรื่องอันกินใจ มีศิลปะการเรียบเรียงถ้อยคำทีประณีตไพเราะ มีบทบรรยายพรรณนาถึง ความงามและความรู้สึกลึกซึ้งของอารมณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความรัก จึงเข้าถึงอารมณ์และ จิตใจของผู้อ่านให้บังเกิดความซาบซึ้ง และตระหนักในอารมณ์เหล่านั้นอย่างแท้จริง

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 21. – 30.

(1) สารคดี (2) ร้อยกรอง (3) บทละคร (4) สารบันเทิง

21. สาวิตรี

ตอบ 3 หน้า 145, 192 บทละครร้องเรื่องสาวิตรี เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ซึ่งใช้เล่น ละครร้อง คือ ละครที่ใช้ร้องเพลงในการแสดงตลอดเรื่อง ไม่มีการพูด

22. พระราชพิธีสิบสองเดือน

ตอบ 1 หน้า 143 – 144, (คำบรรยาย) พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 โดยมีลักษณะการแต่งเป็นความเรียงร้อยแก้วประเภทสารคดี และมีเนื้อหาเป็นการอธิบาย พระราชพิธีต่าง ๆ ที่ทำเป็นประจำในแต่ละเดือน ซึ้งต่อมาได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า “เป็นยอดของความเรียงอธิบาย”

23. หลวงจำเนียรเดินทาง

ตอบ 3 หน้า 157, 191 บทละครพูดเรื่องหลวงจำเนียรเดินทาง เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงดัดแปลงมาจากบทละครฝรั่งเศสจากต้นฉบับของเออเยน ลาบีช โดยมักใช้เล่นละครพูด คือ ละครที่ตัวละครแสดงด้วยวิธีพูดล้วน ๆ ไม่มีดนตรี หรือการขับร้องใด ๆ ประสม

24. โคลงโลกนิติ

ตอบ 2 หน้า 138, 140 – 141, 162 งานพระนิพนธ์ประเภทร้อยกรองในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร กวีในสมัยรัชกาลที่ 3 มีดังนี้

1. โลกนิติคำโคลง หรือโคลงโลกนิติ ซึ่งเป็นงานที่สำคัญทีสุด และมีการรวบรวมชำระเมื่อ พ.ศ. 2374

2. โคลงนิราศเสด็จไปทัพเวียงจันทน์ (แต่เป็นนิราศที่แต่งไม่จบ)

3. ฉันท์ดุษฎีสังเวย ซึ่งมีอยู่หลายเรื่อง

25. กองทัพธรรม

ตอบ 4 หน้า 177 สารบันเทิง หมายถึง หนังสือประเภทบันเทิงคดี (เรื่องที่แต่งขึ้น) แต่มีเนื้อหา หนักไปทางสาระ และแม้จะมีความจริงปนอยู่ด้วย ก็ยังไม่นับเป็นสารคดีโดยแท้ทีเดียว เช่น เรื่องอานนท์พุทธอนุชา ของวศิน อินทสระ, เรื่องกองทัพธรรม หรือเชิงผาหิมพานต์ ของสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นต้น

26. มหาเวสสันดรชาดก

ตอบ 2 หน้า 142, 162 งานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 มีดังนี้ 1. บทละครเรื่องรามเกียรติ์บางตอน

2. ร้อยกรองประเภทร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก 5 กัณฑ์

3. ร้อยแก้วประเภทประกาศและพระบรมราชาธิบายต่าง ๆ

27. พม่าเสียเมือง

ตอบ 1 หน้า 175 สารคดีประเภทวิชาการตามสาขาวิชาต่าง ๆ ซึ่งไม่ถึงขั้นเป็นตำรับตำรา แต่เป็นจำพวกหนังสืออ่านประกอบเพื่อความรู้เพิ่มเติม เช่น พม่าเสียเมือง ชอง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

28. รามเกียรติ์

ตอบ 3 หน้า 99 ละครรำคงรุ่งเรืองขึ้นมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยมีบทละครที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง และสมัยที่แต่งว่าเป็นสมัยอยุธยาตอนใดเหลือมา 15 เรื่อง ขาดหายไม่ครบฉบับบริบูรณ์สักเรื่องเดียวได้แก่

1.รามเกียรติ์ 2.การเกษ 3. คาวี 4.ไชยทัต 5.พิกุลทอง

6. พิมพ์สวรรค์ 7. พิณสุริวงค์ 8. นางมโนห์รา 9. โม่งป่า 10. มณีพิไชย 11.สังข์ศิลป์ไชย 12.สุวรรณศิลป์ 13.สุวรรณหงส์ 14.สังข์ทอง 15.โสวัต

29. อานนท์พุทธอนุชา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

30. เชิงผาหิมพานต์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

31. ข้อใดเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ

(1) เพลงชาน้อง ร้องเรือ

(2) จดหมายเหตุลาลูแบร์

(3) ตำนานพระนางจามเทวีวงศ์

(4) นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย

ตอบ 1 หน้า 40 – 41 วรรณกรรมมุขปาฐะ คือ วรรณกรรมที่ถ่ายทอดด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร บางครั้งอาจเรียกว่า “วรรณกรรมปาก หรือวรรณคดีปาก” ซึ่งเป็น วรรณกรรมอีกประเภทหนึ่งที่สูญหายไปมาก แต่ก็แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยของคนไทยได้ เป็นอย่างดี ได้แก่ เพลงพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น เพลงชาน้อง ร้องเรือ เป็นต้น

32. ข้อใดไม่เป็นวรรณคดี

(1) สังข์ทองตอนทิ้งพวงมาลัย (2) วิวาห์พระสมุทร (3) เกิดวังปารุสก์ (4) ละครมืด

ตอบ 3 หน้า 3- 4, 177, 189 – 192, (คำบรรยาย) พระราชกฤษฎีกาวรรณคดีสโมสร พ.ศ. 2457 มาตรา 7 กำหนดว่า หนังสือที่เป็นวรรณคดีได้มีอยู่ 5 ชนิด คือ 1. บทกวีนิพนธ์ (บทร้อยกรอง ที่กวีเป็นผู้แต่งขึ้น) เช่น ลิลิตพระลอ เสภาเรื่องขุนข้างขุนแผน อิเหนา ฯลฯ 2. บทละครไทย ที่เป็นบทละครรำ ได้แก่ บทละครมืดหรือละครดึกดำบรรพ์ เช่น สังข์ทองตอนทิ้งพวงมาลัย ฯลฯ 3. นิทาน นวนิยาย และเรื่องสั้น 4. บทละครปัจจุบันตามแบบตะวันตก เช่น เรื่องวิวาห์พระสมุทร พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 รวมทั้งบทภาพยนตร์ต่าง ๆ ฯลฯ 5. คำอธิบายในรูปของบทความต่าง ๆ เช่น บทวิจารณ์ บทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ หรือเป็นหนังสือขนาดเล็ก (Pamphlet) ฯลฯ (ส่วนอัตชีวประวัติเรื่องเกิดวังปารุสก์ พระนิพนธ์ในพระองศ์เจ้าจุลจักรพงษ์ จัดเป็นวรรณกรรมที่ทรงแต่งเล่าเรื่องตนเอง)

33. ข้อไดไม่ถูกต้อง

(1) วรรณคดีไทยมีร้อยแก้วมากกว่าร้อยกรอง

(2) วรรณคดีไทยส่วนใหญ่น่าเสนอพุทธปรัชญา

(3) วรรณคดีในอดีตของไทยแต่งเพื่ออารมณ์มากกว่าเพื่อปัญญา

(4) วรรณคดีไทยให้ความสำคัญกับศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อหา

ตอบ 1 หน้า 193 – 200 ลักษณะของวรรณคดีไทยในอดีตก่อนรับอิทธิพลตะวันตก (ตั้งแต่สมัย สุโขทัย – สมัยรัชกาลที่ 3) มีดังนี้

1. วรรณคดีร้อยกรองมีจำนวนมากกว่าร้อยแก้ว

2. เนื้อเรื่องอยู่ในวงแคบ และเน้นใช้จินตนาการไกลตัว เช่น เรื่องยักษ์ เทวดา ฯลฯ

3. ให้ความสำคัญกับศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อหา 4. มีธรรมเนียมนิยมในการบรรยาย

5. เป็นวรรณคดีเพื่ออารมณ์มากกว่าเป็นวรรณคดีเพื่อปัญญา

6. ส่วนใหญ่นำเสนอพุทธปรัชญาแบบพื้น ๆ ง่าย ๆ

7. กวีมักแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ฯลฯ

34. ข้อใดไม่ใช่ธรรมเนียมนิยมในการแต่งของวรรณคดีไทย

(1) มักมีบทอัศจรรย์แทรกอยู่เสมอ (2) มักจบท้ายด้วยบทประณามพจน์เสมอ

(3) มักมีบทชมความงามของบ้านเมือง (4) มักมีบทสรรเสริญพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 195 – 200 ธรรมเนียมนิยมในการแต่งของวรรณคดีไทยในอดีต มีดังนี้

1. มีโครงสร้างที่มีแบบแผน คือ ขึ้นต้นด้วยบทไหว้หรือประณามบท (ประณามพจน์)

และจบเรื่องด้วยการบอกชื่อผู้แต่งและสาเหตุที่แต่งขึ้น 2. มักเป็นร้อยกรองขนาดยาว

3. มีบทพรรณบาธรรมชาติ หรือบทชมความงามของบ้านเมือง 4. มีบทรักระหว่างเพศ หรือ บทอัศจรรย์แทรกอยู่เสมอ 5. มีบทสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ ฯลฯ

35. ลักษณะ “เข้าแบบ” หมายถึงอย่างไร

(1) มีโครงสร้างของเรื่องที่ชัดเจน (2) แต่งวรรณคดีได้อย่างวิจิตรบรรจง

(3) มีธรรมเนียมการแต่งตามบูรพาจารย์ (4.) แสดงความสามารถเชิงกวีอย่างเติมที่

ตอบ 3 หน้า 195 – 196 การแต่งวรรณคดีในลักษณะ “เข้าแบบ” หรือบางครั้งอาจเรียกว่า

“เหยียบความ” หมายถึง การแต่งที่เหมือนกันหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยจะนิยม ให้มีธรรมเนียมการแต่งตามบูรพาจารย์ แต่ถ้ากวีต้องการแสดงฝีมือหรือผีปากที่แท้จริงแล้ว จะใช้วิธีพรรณนาเรื่องเดียวกันให้มีกระบวนความแปลกและแตกต่างกันออกไปบ้าง

36. ถ้าเปรียบการแต่งวรรณคดีเหมือนการร้อยมาลัย เนื้อเรื่องจะเปรียบได้กับอะไร

(1) ดอกไม้ (2) เข็มร้อยมาลัย (3) ด้ายหรือเส้นไหม (4) ริบบิ้นตกแต่งมาลัย

ตอบ 3 หน้า 196 วรรณคดีร้อยกรองของไทยในอดีตมีลักษณะเป็นมัณฑนศิลป์ คือ ศิลปะในเชิง ตกแต่งประดับประดา หรือการประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำ โดยกวีเปรียบเทียบถ้อยคำว่า ประดุจดอกไม้งาม ในขณะที่เนื้อเรื่องเปรียบประดุจด้ายหรือเส้นไหม ซึ่งร้อยเอาดอกไม้นั้น เป็นพวงมาลัยดอกไม้ที่ประดิษฐ์แล้วอย่างวิจิตรบรรจง ควรแก่การสวมไว้เหนือเศียร

37. “ไว้ปากไว้วากย์วาที ไว้วงศ์กวี ไว้เกียรติและไว้นามกร” ข้อความนี้ กวีแต่งวรรณคดีขึ้นเพื่ออะไร

(1) เพื่อฝากวรรณคดีให้อยู่คู่โลก

(2) เพื่อแสดงฝีมือเชิงกวีให้ประจักษ์

(3) เพื่อเน้นเกียรติยศของวงศ์ตระกูล

(4) เพื่อให้ผู้อ่านชื่นชมต่อไปภายหน้า

ตอบ 2 หน้า 147. 196 – 197 คำประพันธ์ข้างต้นมาจากวรรณคดีเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ ของนายชิต บุรทัต กวีในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งท่านได้แสดงจุดมุ่งหมายในการแต่งไว้ว่า เพื่อแสดงฝีมือ เชิงกวีให้ประจักษ์ไว้ในวงวรรณคดี และเพื่อเป็นเกียรติยศชื่อเสียง

38. ข้อความในข้อ 37. ข้างต้นนี้ น่าจะมาจากวรรณคดีเรื่องใด

(1) กากีคำกลอน (2) พระอภัยมณี (3) นิราศนรินทร์ (4) สามัคคีเภทคำฉันท์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39. ข้อใดไมใช่กวีโวหาร

(1) การเปรียบอุปมาอุปไมย (2) การใช้คำซ้ำหลายครั้ง (3) การใช้สัญลักษณ์ (4) การพูดเกินจริง

ตอบ 2 หน้า 199 กวีโวหาร ได้แก่ ภาพพจน์ซึ่งเป็นภาษาของอารมณ์ โดยกวีโวหารของวรรณคดีไทย ในอดีตมักจะกล่าวถึง 1. การเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย 2. การพูดเกินจริง 3. การพูดน้อย กินความกว้าง 4. การใช้สัญลักษณ์ 5. การพูดอย่างหนึ่ง โดยมีเจตนาอีกอย่างหนึ่ง

40. ข้อใดไม่ใช่คุณค่าของวรรณคดี

(1) ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน (2) ให้ความรู้เรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ

(3) ให้เกิดความรู้ในการเอาตัวรอด (4) ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) คุณคำของวรรณคดี มีดังนี้ 1. ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน

2. ให้ได้รับความรู้เรื่องวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ 3. ให้ได้รับความรู้ความคิด จากธรรมดาธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งแทนด้วยตัวละครในเรื่อง เช่น ความรู้เท่าทันคน ความรู้ ในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ฯลฯ 4. ให้คติหรือแง่คิดทางศีลธรรม ฯลฯ

41. ข้อใดไม่ใช่เนื้อหาของวรรณคดีไทยในอดีต

(1) บทประกอบพิธีกรรม (2) บทสดุดีพระมหากษัตริย์

(3) บันทึกทางประวัติคาสตร์ (4) ปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตและความตาย

ตอบ 4 หน้า 194 เนื้อหาของวรรณคดีไทยในอดีตจะจำกัดอยู่ในวงแคบ ดังนี้ 1. ศาสนาและคำสอน 2. เรื่องเล่า เช่น นิทาน บทพากย์โขน หนัง บทละครรำ 3. บทพรรณนา เช่น นิราศ 4 บทเพลง เช่น บทมโหรี 5. บทสดุดี ยอเกียรติพระมหากษัตริย์ 6. บทเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม เช่น บทกล่อมช้าง โองการแช่งน้ำ 7. บันทึกทางประวัติศาสตร์ พงศาวดาร และ จดหมายเหตุ 8. แบบเรียน 9. กฎหมาย (กฎมณเฑียรบาล) 10. ตำราบางเรื่อง

42. วรรณคดีเรื่องใดไม่มีบทไหว้ครู

(1) กำสรวลศรีปราชญ์ (2) สมุทรโฆษคำฉันท์ (3) อนิรุทธคำฉันท์ (4) นิราศเมืองเพชรบุรี

ตอบ 4 หน้า 135. (THA 3201 (TH 331) หน้า 113 – 114), (คำบรรยาย) พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีผลงานวรรณกรรมประเภทนิราศคำกลอนอยู่ 8 เรื่อง ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินเรื่องทันที โดย ไม่มีบทไหว้ครู ได้แก่ 1. นิราศเมืองแกลง 2. นิราศพระบาท 3. นิราศภูเขาทอง 4. นิราศสุพรรณ 5. นิราศวัดเจ้าฟ้า 6. นิราศอิเหนา 7. นิราศพระประธม 8. นิราศเมืองเพชรบุรี

43. วรรณคดีเรื่องใดไม่ไม่รากฎชื่อผู้แต่ง

(1) ลิลิตโองการแช่งน้ำ

(2) ลิลิตยวนพ่าย

(3) ลิลิตตะเลงพ่าย

(4) ลิลิตนิทราชาคริต

ตอบ 2 หน้า 54 – 56 ลิลิตยวนพ่ายมีลักษณะดังนี้

1. แต่งเป็นลิลิต มีร่ายนำ (ร่ายดั้น) 60 วรรค และมีร่ายในระหว่างเรื่อง (ร่ายสุภาพ) อีก 10 วรรค รวมกับโคลงดั้นบาทกุญชรอีก 291 โคลง 2. กล่าวถึงการศึกสงครามระหว่างไทย (อยุธยา) ที่รบชนะเชียงใหม่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

3. เป็นลิลิตยอ/เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

4. ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและเวลาที่แต่งเอาไว้

44. ข้อไดมีความหมายตรงกับคำว่านิราศมากที่สุด

(1) บทพรรณนาเมื่อคนรักจากไป (2) บทพรรณนาเมื่อต้องพลัดพรากสมมุติ

(3) บทพรรณนาเมื่อต้องเดินทางท่องเที่ยว (4) บทพรรณนาเมื่อต้องจากสถานที่และหญิงที่รัก

ตอบ 4 หน้า 129 นิราศ หมายถึง บทประพันธ์พรรณนาความเมื่อต้องจากสถานที่และหญิงที่รักไป ซึ่งอาจเป็นบทพรรณนาความเมื่อผู้แต่งจากไปจริงก็มี ที่เป็นนิราศสมมุติแต่งคร่ำครวญถึงนางที่รักโดยไม่จากไปไหนก็มี และที่เอาเค้าเรื่องวรรณคดีมาแต่งเป็นบทคร่ำครวญของตัวละคร ที่จากกันก็มี

45. ข้อใดมีลักษณะของการพรรณนาความ

(1) โอ้แม่ฝรั่งข้างรั้ว แม่จะสุกคาขั้วคอยใคร อีกสักกี่เดือนกี่ปี แม่ถึงจะมีน้ำใจ

(2) ฝ่ายฟ้อนละครใน หริรักษจักรี โรงริมคีรีมี กลลับบ่แลชาย

(3) ลับแลเร่งแลลับ นกหว้าจับไปว่าวอน ชายใดได้ดวงสมร วานนกหว้าว่าขอคืน

(4) เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตรลบ ละอองอบรสรื่นชนนาสา สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์

ตอบ 4 หน้า 2, (ดูคำอธิบายข้อ 42. และ 44. ประกอบ) คำประพันธ์ในตัวเลือกข้อ 4 มาจากวรรณคดี เรื่องนิราศภูเขาทอง ของพระสุนทรโวหาร (ภู่) ซึ่งแสดงลักษณะของบทพรรณนาความตามแบบนิราศคำกลอนได้เป็นอย่างดี

46. จากข้อ 45. ตัวเลือกใด มีกวีโวหารในลักษณะของการเล่นคำอย่างชัดเจน

(1) ข้อ 1 (2) ข้อ 2 (3) ข้อ 3 (4) ข้อ 4

ตอบ 3 หน้า 104 – 105, 166, 171 การเล่นคำ เป็นกลวิธีที่ให้ความไพเราะด้านเสียงอีกวิธีหนึ่ง

ซึ่งการซ้ำคำซ้ำความและเล่นอักษรล้วนช่วยให้เกิดเสียงเสนาะและให้ความรู้สึกในด้านความหมาย เช่น คำประพันธ์ในตัวเลือกข้อ 3 มาจากวรรณคดีเรื่องกาพย์นิราศพระบาท หรือกาพย์ห่อโคลง ประพาสธารโศก ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรฯ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ซึ่งมีการเล่นคำด้วยการกล่าวซ้ำคำว่า “ลับ/แล/นกหว้า” ทำให้มีเสียงไพเราะ และยังได้ผลในการเน้นหรือย้ำความนั้นให้ชัดเจน ตระหนักยิ่งขึ้น เป็นการสร้างเอกภาพเน้นความนั้น

47. ข้อใดแสดงลักษณะของกวีที่แต่งวรรณคดีไทยในอดีตได้ชัดเจนที่สุด

(1) แสดงการเลียนแบบกวีในอดีตทั้งหมด

(2) แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนของกวีอยู่เสมอ

(3) แสดงการแข่งขันความสามารถเชิงกวีตลอดเวลา

(4) แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

48. การเกลากลอน หมายถึงอย่างไร

(1) การแต่งด้วยคำกลอน (2) การแก้ไขให้ไพเราะขึ้น

(3) การวิพากษ์วิจารณ์คำประพันธ์ (4) การแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทใดก็ได้

ตอบ 1 หน้า 161, (ลิลิตพระลอ หน้า 2) การเกลากลอน หมายถึง การแต่งด้วยคำกลอน ซึ่งใน ปัจจุบันเรียกว่าแต่งเป็นร้อยกรอง คือ วรรณกรรมประเภทที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง หรือมีการกำหนดคณะ ทั้งนี้คำว่า “เกลากลอน” มีปรากฏในลิลิตพระลอ ดังโคลงที่ว่า “…เกลากลอนกล่าวกลการ กลกล่อมใจนา ถวายบำเรอท้าวไท้ ธิราชผู้มีบุญฯ”

49. ข้อใดเป็นวรรณศิลป์

(1) แสดงภาษาสุภาพไพเราะ

(2) แสดงเนื้อหาจรรโลงใจ

(3) แสดงภาพพจน์เปรียบเทียบ

(4) แสดงปรัชญาแง่คิดเรื่องชีวิต

ตอบ 3 หน้า 5, 7 – 33, 167 วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะแห่งการเรียบเรียงถ้อยคำ อันประกอบไปด้วย ความรู้สึกสะเทือนใจและจินตนาการ และสร้างขึ้นเป็นรูปมีเรื่องราวเป็นรายละเอียดจนได้รับการยกย่อง โดยองค์ประกอบของวรรณศิลป์ ได้แก่

1. อารมณ์สะเทือนใจ

2. ความนึกคิดและ จินตนาการ เช่น การแสดงภาพพจน์โดยใช้โวหารเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย การใช้สัญลักษณ์ ฯลฯ

3. การแสดงออก

4. ท่วงทำนองแต่งหรือสไตล์

5. เทคนิคหรือกลวิธี

6. องค์ประกอบ

50. ข้อใดแสดงลักษณะโดดเด่นของคำประพันธ์บทนี้

“เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น” มากที่สุด

(1) เสียงสัมผัสสระสั้นยาวจัดวางอย่างไพเราะ (2) มีจังหวะและเสียงของคำสอดคล้องกับเนื้อหา

(3) มีการใช้คำที่เหมาะสมกับอารมณ์ของกวี (4) เสียงสัมผัสพยัญชนะสอดคล้องกับสัมผัสสระ

ตอบ 2 หน้า 33, 164 คำประพันธ์ข้างต้นมาจากวรรณคดีเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ ของนายชิต บุรทัต ตอนพระเจ้าอชาตคัตรูกริ้ววัสสการพราหมณ์ที่ทัดทานมิให้พระองค์ยกทัพไปลิจฉวี โดยผู้แต่ง ได้ใช้อิทีสังฉันท์ที่มีครุลหุสลับกันอย่างกระชั้น ทำให้มีลีลาจังหวะและเสียงของคำสอดคล้อง กับเนื้อหา คือ มีเสียงหนักเบากระชั้นกระชากเหมาะแก่การแสดงอารมณ์โกรธ

51. เหตุผลข้อใดที่นักวรรณคดีไทยตั้งต้นยุคสมัยวรรณคดีไทยเพียงสมัยสุโขทัยเท่านั้น

(1) ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กรณีสมัยพระเจ้าปราสาททอง

(2) ก่อนสมัยสุโขทัยคนไทยยังอยู่ในระยะตั้งตัว

(3) อุปกรณ์การเขียนยังไม่ถาวรนัก

(4) ทั้ง 3 เหตุผลรวมกัน

ตอบ 4 หน้า 39 – 40 สาเหตุที่นักวรรณคดีไทยตั้งต้นยุคสมัยวรรณคดีไทยเพียงแค่สมัยสุโขทัยเท่านั้น มีดังนี้

1. ในสมัยก่อนสุโขทัยคนไทยยังอยู่ในระยะตั้งตัว จึงทำให้ไม่มีเวลาสร้างหรือเก็บรักษาวรรณกรรม

2. อุปกรณ์การเขียนยังไม่ถาวรนัก เช่น กระดาษ และมีศัตรูตามธรรมชาติช่วยทำลายหนังสือ

3. การศึกสงครามทำให้ชาติไทยต้องสูญเสียวรรณกรรมไปมาก

4. ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กรณีสมัยพระเจ้าปราสาททอง ทำให้ประชาชนเอาหนังสือไปทิ้งน้ำ

5. การศึกษายังอยู่ในวงแคบ คนที่รู้หนังสือมีน้อย

52. การแบ่งวรรณคดีไทยใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์

(1) เมืองหลวง (2) ราชวงศ์ (3) แบ่งตามยุค (4) ไม่กำหนดตายตัว

ตอบ 1 หน้า 41 – 43 การแบ่งสมัยวรรณคดีไทยมีอยู่หลายแบบ แต่ลงรอยกันโดยถือเอาเมืองหลวง หรือนครหลวงเป็นจุดศูนย์กลาง เรียกว่า แบ่งตามนครหลวง หรือแบ่งตามสมัยประวัติศาสตร์ ซึ่งมีอยู่ 4 สมัย ดังนี้ 1. สมัยกรุงสุโขทัย 2. สมัยกรุงศรีอยุธยา 3. สมัยกรุงธนบุรี 4. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรุงเทพฯ

53. ตำราเรียนกระบวนวิชา THA 1002 กำหนดให้นักศึกษาเรียนวรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยกี่เรื่อง

(1)4 เรื่อง (2) 5 เรื่อง (3) 6 เรื่อง (4) 7 เรื่อง

ตอบ 2 หน้า 43, 49, 64 ตำราเรียนกระบวนวิชา THA 1002 (TH 102) กำหนดให้นักศึกษา เรียนวรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยจำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

1. ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (ร้อยแก้ว)

2. ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง (ร้อยแก้ว)

3. สุภาษิตพระร่วง หรือบัญญัติพระร่วง (ร้อยกรอง)

4. ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา (ร้อยแก้ว)

5. นางนพมาศหรือเรวดีนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (ร้อยแก้ว)

54. วรรณคดีสมัยสุโขทัยเรืองใดแต่งเป็นร้อยกรอง

(1) ไตรภูมิพระร่วง (2) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

(3) นางนพมาศ (4) สุภาษิตพระร่วง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 53. ประกอบ

55. วรรณคดีสมัยสุโขทัยเรื่องใดอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกของไทย

(1) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

(2) ไตรภูมิพระร่วง

(3) ศิลาจารีกวัดป่ามะม่วง

(4) นางนพมาศ

ตอบ 2 หน้า 46 – 48. (คำบรรยาย) ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา เป็นงานพระราชนิพนธ์ของพญาลิไทยที่จัดเป็นวรรณคดีศาสนา และมีลักษณะเป็นงานค้นคว้า รวบรวมความรู้จากคัมภีร์ ต่าง ๆ ในพุทธศาสนาถึง 30 คัมภีร์ จึงนับได้ว่าเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกของไทย โดยมีสารัตถะ สำคัญอยู่ที่แนวความคิดและความเชื่อถือของคนโบราณที่ใช้จินตนาการสร้างนรกและสวรรค์ขึ้น เพื่อช่วยควบคุมความประพฤติให้คนละชั่วและจูงใจให้ทำความดี จึงถือเป็นคู่มือสำคัญในการ สอนศีลธรรม และสกัดกั้นความประพฤติผิดของบุคคลในสังคมตลอดมาเป็นเวลานาน

56. ข้อใดกล่าวถึงสุภาษิตพระร่วงไม่ถูกต้อง

(1) เป็นภาษิตไทยแท้

(2) แสดงค่านิยมของคนไทยในอดีต

(3) เข้าใจว่าแต่งหลังสมัยสุโขทัยมาก

(4) ใช้คำยากและรูปประโยคต่างจากจารึกพ่อขุนราม

ตอบ 4 หน้า 45 – 46, (คำบรรยาย) สุภาษิตพระร่วง หรือบัญญัติพระร่วง มีลักษณะดังนี้

1. เขียนเป็นทำนองสั่งสอน (Didactic Poetry) เกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม กับบุคคลและสถานที่ 2. แต่งเป็นร้อยกรองทั้งเรื่อง 3. เข้าใจว่าแต่งหลังสมัยสุโขทัยมาก 4. รูปประโยคคล้ายหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นคำง่าย ข้อความไม่ซับซ้อน

5. เป็นภาษิตไทยแท้ 158 บท 6. มีคุณค่าแสดงถึงอุดมคติและค่านิยมของสังคมไทยในอดีต ฯลฯ

57. ไตรภูมิพระร่วงมีสารัตถะตรงกับข้อใด

(1) ให้ละชั่วทำความดี (2) อ้างนรกให้คนกลัว (3) เอาสวรรค์มาล่อ (4) เชื่อถือไม่ได้

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

58. วรรณคดีเรื่องใดที่ถือว่าเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมและประเพณีของไทย

(1) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง 12) สุภาษิตพระร่วง

(3) ไตรภูมิพระร่วง (4) นางนพมาศ

ตอบ 4 หน้า 48 – 49, (คำบรรยาย) นางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีเนื้อเรื่องตอนต้นกล่าวถึงมนุษยชาติ และกล่าวถึงกำเนิดนางนพมาศ การถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน พิธีต่าง ๆ ที่ทำกันอยู่เป็นประเพณีในกรุงสุโขทัยตลอดเวลา 9 เดือน และกล่าวถึงวัตรปฏิบัติอันควรประพฤติ ของข้าราชการฝ่ายในทั้งโดยตรงและโดยวิธีใช้นิทานเปรียบเทียบเชิงสอน ดังนั้นจึงถือเป็น วรรณคดีต้นแบบที่เป็นแบบแผนทางวัฒนธรรมและประเพณีให้กับสังคมไทยในสมัยต่อมา

59. วรรณคดีเรื่องใดที่แต่งเป็นทำนองสั่งสอนที่เรียกว่า “Didactic Poetry”

(1) ศิลาจารีกวัดป่ามะม่วง (2) สุภาษิตพระร่วง

(3) ไตรภูมิพระร่วง (4) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

60. ข้อไดกล่าวถึงลิลิตโองการแช่งน้ำไม่ถูกต้อง

(1) เลิกใช้เมื่อปี พ.ศ. 2475

(2) เป็นวรรณคดีประเภทลิลิตเรื่องแรกของไทย

(3) ใช้ในพิธีแช่งน้ำที่ไทยรับมาจากอินเดียโดยตรง

(4) เนื้อความสาปแช่งผู้ทรยศและให้ศีลให้พรผู้จงรักภักดี

ตอบ 3 หน้า 50-51, (คำบรรยาย) ลิลิตโองการแช่งน้ำ มีลักษณะดังนี้

1. เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)

2. เป็นวรรณคดีประเภทลิลิตเรื่องแรกของไทย

3. มีวัตถุประสงค์การแต่งเพื่อประโยชน์ทางการเมืองการปกครอง

4. ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพิธีแช่งน้ำที่ไทยรับมาจากขอมโดยตรง และเลิกใช้ไปเมื่อปี พ.ศ. 2475

5. เนื้อเรื่องขึ้นต้นด้วยคำว่า “โอม” เป็นการกราบไหว้เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู คือ “ตรีมูรติ” หมายถึง พระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม ดังตัวอย่างตอน ไหว้พระนารายณ์ที่ว่า “โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น…”

6. เนื้อความตอนท้ายเป็นการสาปแช่งผู้ทรยศและให้ศีลให้พรผู้จงรักภักดี ฯลฯ

61. คำว่า “โอม” มีความหมายตามข้อใด

(1) พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม

(2) สวรรค์ มนุษย์ นรก

(3) พระอินทร์ พระพรหม พระนารายณ์

(4) พระนารายณ์ พระศิวะ พระอิศวร

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

62. ลิลิตโองการแช่งน้ำนักวรรณคดีเชื่อว่าแต่งขึ้นมาสมัยใด

(1) พระเจ้าทรงธรรม

(2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1

(4) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

63. ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์ของการแต่งลิลิตโองการแช่งน้ำ

(1) การเมืองการปกครอง

(2) เครื่องมือสอนศีลธรรม

(3) ความเชื่อที่มนุษย์มีต่อไสยศาสตร์

(4) พิธีสงฆ์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

64. ข้อความต่อไปนี้ “โอมสิทธิสรวงศรแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุธมาขี่” เป็นคำกล่าวบูชาเทพเจ้าองค์ใด

(1) พระอิศวร (2) พระพรหม (3) พระนารายณ์ (4) พระยม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

65. ข้อใดกล่าวถึงมหาชาติคำหลวงไม่ถูกต้อง

(1) แต่งเป็นร่ายยาว

(2) ใช้สำหรับสวดเข้าทำนองหลวง

(3) แต่งในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(4) เนื้อเรื่องกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์

ตอบ 1 หน้า 56 – 57, (คำบรรยาย) มหาชาติคำหลวง เป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในรัชสมัยของ

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นประมุขในการแต่ง โดยมีการประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิตและพระเถระผู้ใหญ่ร่วมกันแต่งเพื่อใช้สำหรับสวด (ไมใช่เทศน์) เข้าทำนองหลวง ให้อุบาสกและอุบาสิกาฟัง แต่งด้วยคำประพันธ์หลายชนิดปนกัน จึงจัดเป็นบทร้อยกรองที่มี ลักษณะครบทั้งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ และร่าย ส่วนเนื้อหานั้นจะเป็นเรื่องราวของการบำเพ็ญทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมีในพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ หรือที่ เรียกว่า “มหาชาติ” (ชาติที่ยิ่งใหญ่ คือ การเป็นพระเวสสันดร)

66. ข้อใดกล่าวถึงลิลิตยวนพ่ายผิดจากความเป็นจริง

(1) ลักษณะคำประพันธ์เป็นร่ายสุภาพกับโคลงสี่สุภาพ (2) ยอพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) เรื่องการรบระหว่างอยุธยากับเชียงใหม่ (4.) ผู้แต่งและเวลาที่แต่งไม่ชัดเจน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

67. วรรณคดีสโมสรยกย่องวรรณคดีเรื่องใดว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทลิลิต

(1) ลิลิตโองการแช่งน้ำ

(2) ลิลิตยวนพ่าย

(3) ลิลิตพระลอ

(4) ลิลิตตะเลงพ่าย

ตอบ 3 หน้า 55, 57 – 58, 65, 134 วรรณคดีสโมสรได้ตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2459 ยกย่องว่า ลิลิตพระลอ ถือเป็นยอดในกระบวนกลอนลิลิตทั้งหลาย ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ประทาน อธิบายเหตุที่ยกย่องลิลิตพระลอว่ายอดเยี่ยมเป็นใจความโดยสรุปว่า ลิลิตพระลอดีโดย สำนวนโวหารการแต่ง และยังได้เปรียบลิลิตยวนพ่ายและลิลิตตะเลงพ่ายในด้านเนื้อเรื่อง เพราะลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีเพื่อความบันเทิงใจเรื่องแรกที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งผู้แต่งจะพรรณนาให้จับใจอย่างไรก็ได้ ไม่เหมือนกับลิลิตยวนพ่ายและลิลิตตะเลงพ่ายที่เป็น เรื่องพงศาวดารและเป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ จะแต่งให้หรูหราออกไปนอกเรื่องไม่ได้

68. วรรณคดีเรื่องใดไม่ใช่วรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ

(1) ลิลิตยวนพ่าย (2) ลิลิตตะเลงพ่าย (3) ลิลิตพระลอ (4)ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

69. วรรณคดีเพื่อความบันเทิงใจเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยใด

(1) สุโขทัย (2)อยุธยาตอนต้น (3) อยุธยาตอนกลาง (4) อยุธยาตอนปลาย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

70. วรรณคดีเรื่องใดเกิดขึ้นสมัยพระเจ้าทรงธรรม

(1) โคลงนิราศนครสวรรค์ (2) ปุณโณวาทคำฉันท์

(3) มหาชาติคำหลวง (4) กาพย์มหาชาติ

ตอบ 4 หน้า 66 – 67, (คำบรรยาย) ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมมีวรรณคดีที่ปรากฏหลักฐานว่าเกิดขึ้น ในสมัยของพระองค์อยู่เพียงเรื่องเดียว คือ กาพย์มหาชาติ ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราขานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์อธิบายไว้ในการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ค. 2459 ว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจว่าประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมระหว่าง พ.ค. 2145 – 2170 ด้วยมีเนื้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่าในแผ่นดินนั้นได้แต่งมหาชาติคำหลวงอีกครั้งหนึ่ง…’’

71. คำประพันธ์ประเภทใดได้รับความนิยมอย่างยิ่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(1) โคลงสี่สุภาพ (2) ฉันท์ (3) ร่ายยาว (4) กาพย์ห่อโคลง

ตอบ 1 หน้า 59, 68 – 69, 92 – 93 ความเจริญด้านร้อยกรองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือ กวีมักจะนิยมแต่งฉันท์และโคลงสี่สุภาพมากกว่าลักษณะการแต่งอย่างอื่นโดยเฉพาะโคลงสี่สุภาพ จะนิยมแต่งกันอย่างแพร่หลายและเจริญเด่นที่สุด จนแม้แต่สตรีซึ่งถือกันว่ามีการศึกษาน้อย และ ไม่มีความสามารถในการแต่งหนังสือ หรือนายประตูพระราชวังก็สามารถแต่งโคลงกันได้เป็นอย่างดี

72. เรื่องใดเป็นบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(1) โคลงตรีพิธประดับ

(2) เสือโคคำฉันท์

(3) สมุทรโฆษคำฉันท์ตอนต้น

(4) โคลงท้าวทศรถสอนพระราม

ตอบ 4 หน้า 69, 71 – 72 งานพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มี 4 เรื่อง คือ

1. สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนกลาง)

2. โคลงสุภาษิต 3 เรื่อง คือ โคลงท้าวทศรถสอนพระราม โคลงพาลีสอนน้อง และโคลงราชสวัสดิ์

3. เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา 4. โคลงเบ็ดเตล็ด

73. วรรณคดีเรื่องใดมีประวัติการแต่งที่ยาวนานที่สุดในการแต่งวรรณคดีของไทย

(1) สมุทรโฆษคำฉันท์

(2) เสือโคคำฉันท์

(3) รามเกียรติ์

(4) อนิรุทธคำฉันท์

ตอบ 1 หน้า 76 – 77 สมุทรโฆษคำฉันท์เป็นวรรณคดีที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของวรรณคดีประเภทคำฉันท์ นอกจากนี้ยังมีประวัติที่พิสดาร ดังนี้

1. มีกวีสำคัญต่างสมัยแต่งต่อกันถึง 3 คน นับเป็น 3 สำนวน และนับเวลาเริ่มต้นจนแต่งจบ ได้ประมาณ 2 ศตวรรษ จึงนับเป็นวรรณคดีไทยที่มีประวัติการแต่งยาวนานมากที่สุด

2. มีวัตถุประสงค์การแต่งเพื่อใช้เป็นบทพากย์หนังใหญ่ จึงมีการดำเนินเรื่องตามแบบ การเล่นหนังใหญ่ในสมัยนั้น

74. พระโหราธิบดีแต่งจินดามณีโดยมีวัตถุประสงค์ตามข้อใด

(1) เพื่อสดุดียอพระเกียรติ (2) เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม

(3) เพื่อใช้สอนความประพฤติของปวงชน (4) เพื่อใช้เป็นตำราและสารคดี

ตอบ 4 หน้า 70, 79, 92 วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลางมีเนื้อเรื่องแบ่งตามวัตถุประสงค์การแต่งดังนี้

1. เพื่อเล่าเรื่องทำนองนิทาน (ทางศาสนา) เช่น เสือโคคำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันท์ ฯลฯ

2. เพื่อสอนใจสอนความประพฤติ เช่น โคลงพาลีสอนน้อง ฯลฯ

3. เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ เช่น ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง ฯลฯ

4. เพื่อสดุดียอพระเกียรติ เช่นโคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์ ฯลฯ

5. เพื่อใช้เป็นนิราศคร่ำครวญแสดงความรู้สึกของกวี เช่น โคลงทวาทศมาส ฯลฯ

6. เพื่อใช้เป็นสารคดีและตำรา เช่น พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ และแบบเรียนจินดามณี ของพระโหราธิบดี ฯลฯ

75. เรื่องใดเป็นวรรณคดีทีแต่งขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ

(1) จินดามณี (2) ฉันท์กล่อมช้าง (3) โคลงทวาทศมาศ (4) โคลงพาลีสอนน้อง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76. กาพย์เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยใด

(1) สมัยอยุธยาตอนต้น (2) สมัยอยุธยาตอนกลาง

(3) สมัยอยุธยาตอนปลาย (4) สมัยอยุธยาตอนต้นและตอนกลาง

ตอบ 3 หน้า 95, 110 – 111 วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย สรุปได้ดังนี้

1. จำนวนกวีและวรรณคดีน้อยกว่าสมัยอยุธยาตอนกลาง แต่มีกวีสตรีและพระภิกษุซึ่งมีฝีปากดีเยี่ยม

2. ลักษณะการแต่งมีครบทุกอย่าง โดยเฉพาะกาพย์และกลอนเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด

3. การละครเจริญทั้งบทและวิธีแสดง

4. เนื้อเรื่องขยายออกโดยรับเอาเรื่องอิเหนาจากชวามา

5. ต้นฉบับขาดสูญไม่ครบตลอดเรื่องเป็นส่วนมาก ฯลฯ

77. กวีสมัยอยุธยาตอนปลายท่านใดที่มีผลงานไม่มาก แต่ได้รับการยกย่องว่ามีโวหารเชิงเปรียบเทียบอย่างยอดเยี่ยม

(1) เจ้าฟ้าอภัย (2) เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรฯ

(3) พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (4) พระมหานาควัดท่าทราย

ตอบ 4 หน้า 108 – 109 พระมหานาควัดท่าทราย เป็นกวีสมัยอยุธยาตอนปลายที่เป็นบรรพชิต

โดยผลงานของท่านมีไม่มากนัก ได้แก่ 1. บุณโณวาทคำฉันท์ เป็นฉันท์ที่ได้รับคำยกย่องเป็น อันมากจากผู้อ่าน เพราะได้พรรณนาความเกี่ยวกับประวัติและงานฉลองสมโภชพระพุทธบาท ที่สระบุรี 2. โคลงนิราศพระพุทธบาท ซึ่งได้รับการยกย่องว่าดีเยี่ยมเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะ โวหารเชิงเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย

78. วรรณคดีเรื่องใดที่กล่าวถึงการมาตรัสรู้ของพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล

(1) ปุณโณวาทคำฉันท์ (2) มหาชาติคำหลวง

(3) นันโทปนันทสูตรคำหลวง (4) พระมาลัยคำหลวง

ตอบ 4 หน้า 103 – 104, (คำบรรยาย) พระมาลัยคำหลวง เป็นงานพระนิพนธ์ทางด้านศาสนาของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรฯ โดยได้เค้าเรื่องมาจากคัมภีร์มาเลยสูตร ซึ่งเนื้อเรื่องจะกล่าวถึงพระอินทร์ และพระธรรมเทศนา (คำสอน) ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ คือ พระศรีอาริย์ (พระศรีอาริยเมตไตรย)ที่ลงมาตรัสรู้สั่งสอนประชาชนในอนาคตกาล จึงนับเป็นเรื่องที่ถูกใจคนไทย เพราะแม้จะเป็น คติข้างมหายาน แต่นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสั่งสอนให้คนอยู่ใบศีลธรรมอันดี ละเว้นความชั่วด้วยความเชื่อว่าจะได้ประโยชน์สุขภายหน้า

79. เจ้าฟ้ากุณฑล เจ้าฟ้ามงกุฎ สร้างสรรค์วรรณคดีเรื่องใดไว้

(1) กาพย์ห่อโคลง

(2)ดาหลัง อิเหนา

(3) กลบทศิริวิบุลภิติ

(4) โคลงชลอพระพุทธไสยาสน์

ตอบ 2 หน้า 107 – 108, 111, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งตรงกับรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงเป็นผู้นิพนธ์บทละครรำเรื่องอิเหนาเป็นครั้งแรก โดยรับเอาเค้าเรื่อง จากชวามานิพนธ์ขึ้นพระองค์ละเรื่อง กล่าวคือ เจ้าฟ้ากุณฑลทรงนิพนธ์เรื่องอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) และเจ้าฟ้ามงกุฎทรงนิพนธ์เรื่องอิเหนาเล็ก (อิเหนา)

80. ข้อใดกล่าวถึงหลวงศรีปรีชา (เซ่ง) ไม่ถูกต้อง

(1) เป็นต้นแบบแนวทางแต่งของสุนทรภู่ (2) นิยมแต่งกลอนที่ยากสลับซับช้อน

(3) คิริวิบุลกิติแต่งเป็นกลอนกลบท 86 ชนิด (4) นิยมแต่งเป็นกลอนกลบท

ตอบ1 หน้า 109 หลวงศรีปรีชา (เซ่ง) เป็นกวีในสมัยอยุธยาตอนปลายที่แต่งเรื่องศิริวิบุลกิติ

เป็นกลอนกลบททั้งสิ้น 86 ชนิด ไม่มีกลอนธรรมดาเลย ซึ่งวิธีการแต่งกลอนกลบทเป็นเรื่องยาว ตลอดทั้งเรื่องนี้ถือเป็นวิธีที่ยากและซับช้อน เพราะมีการเพิ่มข้อบังคับในการแต่งให้มากขึ้น กว่าการแต่งกลอนธรรมดา ทำให้แต่งยากขึ้น และเป็นทางแสดงฝีมือของผู้แต่งได้มากขึ้น

81. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวรรณคดีในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

(1) เริ่มฟื้นฟูให้แต่งวรรณคดีขึ้นใหม่ (2) ดำรงลักษณะวรรณคดีเก่าให้คงอยู่

(3) รวบรวมวรรณคดีเก่าไว้อีกครา (4) ทุกเรื่องแต่งขึ้นอย่างดีมีศิลปะ

ตอบ 4 หน้า 112 – 116, (THA 3201 (TH 331) หน้า 22, 34) ลักษณะของวรรณคดีในสมัย

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีดังนี้ 1. ช่วงระยะเวลาการแต่งวรรณคดีมีระยะสั้นเพียง 15 ปี

2. มีวรรณคดีประมาณ 5 เรื่อง แต่งเป็นร้อยกรองทุกฉบับ

3. พระมหากษัตรีย์ทรงต้องการเก็บรวบรวมวรรณคดีเก่าไว้อีกวาระหนึ่ง

4. บทร้อยกรองสมัยนี้มิใช่เรื่องที่มีศิลปะการแต่งที่ดีเด่นนัก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าได้เริ่มฟื้นฟู การแต่งวรรณคดีขึ้นใหม่ และดำรงลักษณะวรรณคดีเก่าให้คงอยู่ ฯลฯ

82. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ มีนัยยะในเรื่องใด

(1) ความรักแท้ (2) ความยุติธรรม (3) ความซื่อสัตย์ (4) ความแม่นยำทางกฎหมาย

ตอบ 2 หน้า 112- 114 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชนิพนธ์บทละครรำเรื่องรามเกียรติ์ ไว้ 4 ตอน (แต่ทั้ง 4 ตอนนี้เป็นตอนท้ายของเรื่องรามเกียรติ์) คือ

1. ตอนพระมงกุฎ

2. ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินทร์ (นางวานรินทร์เป็นนางฟ้าถูกสาป ต้องคอยบอกทางให้ หนุมานไปฆ่าวิรุณจำบัง จึงจะพ้นคำสาป)

3. ตอนท้าวมาลีวราชว่าความด้วยความเที่ยงตรง ให้โจทก์จำเลย (เหมาะที่จะเป็นคติธรรมด้านความยุติธรรมและสำหรับผู้พิพากษามากที่สุด)

4. ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรดและปลุกเสกหอกกบิลพัสดุ

83. บทละครในข้อ 82. เป็นผลงานของใคร

(1) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (2) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ

(3) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (4) เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

84. วรรณคดีเรื่องใดเป็นส่วนหนึ่งของนิทานเวตาล

(1) ลิลิตเพชรมงกุฎ (2) ลิลิตตะเลงพ่าย (3) ลิลิตศรีวิชัยชาดก (4) ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง

ตอบ 1 หน้า 114 – 115 ลิลิตเพชรมงกุฎ ของหลวงสรวิชิต (เจ้าพระยาพระคลัง หน) ซึ่งเป็นกวี

ในสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะการแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพและร่ายสุภาพ โดยเนื้อเรื่องกล่าวถึงนิทานที่เวตาลเล่าถวายท้าววิกรมาทิตย์

85. วรรณคดีในข้อ 84. เป็นผลงานของใคร

(1) สุนทรภู่

(2) หลวงสรวิชิต

(3) นายสวนมหาดเล็ก

(4) พระมหามนตรี (ทรัพย์)

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

86. “คนไทยรบพม่าไป แต่งรามเกียรติ์ไป” เป็นคำกล่าวในรัชสมัยใด

(1) พระเจ้ากรุงธนบุรี

(2) รัชกาลที่ 1

(3) รัชกาลที่ 2

(4) รัชกาลที่ 3

ตอบ1 หน้า 112 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกู้อิสรภาพได้สำเร็จในปีที่เสียกรุงแก่พม่าเมื่อ

ปี พ.ศ. 2310 การวรรณคดีของเรากลับตั้งตัวได้ใหม่ ประกอบกับความสนพระทัยของพระองค์ จึงได้มีการเริ่มแต่งหนังสือขึ้นใหม่ในระหว่างการฟื้นตัวและกู้เอกราช จนอาจารย์เจือ สตะเวทิน ได้กล่าวว่า “คนไทยรบพม่าไป แต่งรามเกียรติ์ไป’’

87. ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีจุดมุ่งหมายใดในการแต่งรามเกียรติ์

(1) เพื่อใช้เล่นละคร (2) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ

(3) เพื่อรวบรวมเรื่องให้สมบูรณ์ (4) เพื่อแสดงความสามารถของกวี

ตอบ 3 หน้า 119 – 120 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ (รัชกาลที่ 1) ทรงมีพระเจตนาที่จะ

รวบรวมเรื่องรามเกียรติ์อันเป็นเรื่องขนาดยาวเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมดเพื่อให้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ มากกว่าที่จะใช้เป็นบทละคร ฝีพระโอษฐ์อยู่ในขั้นปานกลาง โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ผู้มี ความสามารถในการแต่งแบ่งกันแต่งเป็นตอนๆ ไป ทรงพระราชนิพนธ์เองบ้างและทรงแก้ไข ทักท้วงข้อความของผู้อื่น จึงได้รับถวายพระเกียรติยศว่าเป็นผู้ทรงพระราชนิพนธ์

88. วรรณคดีประเภทใดได้รับความนิยมมากในสมัยรัชกาลที่ 2

(1) บทเสภา (2) บทละคร (3) บทเห่เรือ (4) บทกลอนมโหรี

ตอบ 2 หน้า 128, 132 รัชกาลที่ 2 ทรงมีความสนพระทัยในวรรณคดีประเภทการละครเป็นอย่างยิ่งโดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครไว้หลายเรื่อง ทั้งที่เป็นเรื่องทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ และที่ปรับปรุงของเก่า ทำให้ในระหว่างรัชกาลของพระองค์ วรรณคดีไทยโดยเฉพาะด้านบท ละครรำเจริญเฟื่องฟูมาก และได้รับความนิยมมากกว่าประเภทอื่น

89. ความเคลื่อนไหวใดไม่ได้เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3

(1) เกิดกวีหญิง (2) เกิดวรรณกรรมลื่อสารมวลชน

(3) เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัย (4) เกิดวรรณคดีที่ใช้ฉากต่างประเทศ

ตอบ 4 หน้า 137 – 142, 148 – 149 ความเคลื่อนไหวทางวรรณคดีในสมัยรัชกาลที่ 3 มีดังนี้

1. จารึกวัดโพธิ์ ซึ่งถือเป็นสถานที่ให้วิชาความรู้แก่ผู้สนใจได้ศึกษาเรียนรู้ตามอัธยาศัยด้วยตนเอง เป็นทำนองมหาวิทยาลัยเปิดในปัจจุบัน

2. การเกิดวรรณกรรมสื่อสารมวลชนขึ้นเป็นครั้งแรก โดยบาทหลวงชาวอเมริกันชื่อหมอบรัดเลย์ ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย คือ บางกอกรีคอร์เดอร์ เมื่อ พ.ศ. 2387 แต่ออกได้ ไม่นานก็เลิกไป

3. มีกวีสตรีเกิดขึ้น ได้แก่ คุณพุ่ม (มีฉายาว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง”) และคุณสุวรรณ ฯลฯ (ส่วนวรรณคดีที่ใช้ฉากต่างประเทศในการบรรยายเรื่องเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4)

90. วรรณกรรมเรื่องใดมีที่มาแตกต่างจากเรื่องอื่น

(1) สามก๊ก (2) ไซฮั่น (3) ราชาธิราช (4) ระเด่นลันได

ตอบ 4 หน้า 119, 124 – 125, 128, 140, 184 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เริ่มมีวรรณคดีร้อยแก้ว เพื่อความบันเทิงขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการแปลพงศาวดารต่างประเทศ 3 เรื่อง ได้แก่

1. สามก๊ก เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลจากพงศาวดารจีน

2. ราชาธิราช เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลจากพงศาวดารมอญ

3. ไซฮั่น กรมพระราชวังหลังทรงอำนวยการแปลจากพงศาวดารจีน

(ส่วนเรื่องระเด่นลันได ของพระมหามนตรี (ทรัพย์) เป็นบทประพันธ์ล้อเลียนวรรณคดีเก่า)

91. วรรณคดีประเภทใดตรงกับคำกล่าวนี้ “เขียนเป็นร้อยกรองเกี้ยวกันระหว่างชายหญิง”

(1) นิราศ

(2) เสภา

(3) เพลงยาว

(4) บทดอกสร้อย

ตอบ 3 หน้า 107, 128 – 129 เพลงยาว เป็นบทประพันธ์ร้อยกรองเกี้ยวกันระหว่างหญิงชายถือเป็นนิพนธ์ศิลป์ที่เป็นสื่อของความรัก มีบทฝากรัก ชมโฉม ตัดพ้อ พรรณนาความอาลัย หรือแสดงความหมดหวัง โดยมีลักษณะการแต่งเป็นกลอนแปด (บางทีเรียกกลอนเพลงยาว)ขึ้นต้นด้วยวรรครับ คือ ขึ้นต้นด้วยวรรคทางขวามือ

92. พระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่งวรรณคดีในลักษณะใด

(1) ล้อเลียนวรรณคดีเก่า (2) แสดงความตลกขบขัน

(3) สอบศาสนาและศีลธรรม (4) แสดงภูมิหลังทางวรรณกรรม

ตอบ 1 หน้า 140, (THA 3201 (TH 331) หน้า 156) พระมหามนตรี (ทรัพย์) เป็นกรีสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีชื่อเสียงมากเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว และนับเป็นผู้ที่ก้าวหน้าเกินยุคสมัยในด้านการแต่งกลอนทำนอง เสียดสี (Satire) คือ เพลงยาวแคะได้พระยามหาเทพ (ทองปาน) และบทประพันธ์ล้อเลียน วรรณคดีเก่า (Parody) คือ เรื่องระเด่นลันได ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อล้อเลียนวรรณคดีเรื่องอิเหนา โดย นอกจากกระบวนกลอนจะดีอย่างยิ่งแล้ว ยังได้แสดงอารมณ์ขันและบทล้อเลียนอันแยบยลอีกด้วย

93. วรรณคดีในข้อ 92. คือเรื่องใด

(1) พระมะเหลเถไถ (2) พระอภัยมณี (3) ลิลิตพระลอ (4) ระเด่นลันได

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. วรรณคดีเรื่องใดที่ผู้แต่งถูกกล่าวว่าเป็นผู้เสียจริต

(1) ระเด่นลันได (2) พระมะเหลเถไถ (3) กากีคำกลอน (4) สาวิตรี

ตอบ 2 หน้า 140, (THA 3201 (TH 331) หน้า 158 – 161) คุณสุวรรณ เป็นกวีสตรีในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่ ต่อมาท่านได้เสียจริตแต่เขียนกลอนที่อ่านในเชิงขบขันกันทั่วบ้านทั่วเมือง คือ บทประพันธ์ล้อเลียนวรรณคดีเก่า (Parody) เรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง และพระมะเหลเถไถ ซึ่งเข้าใจ ว่าแต่งในสมัยรัชกาลที่ 4 นอกจากนี้ยังมีกลอนเพลงยาวทำนองเสียดสี (Satire) คือ เพลงยาว จดหมายเหตุเรื่องกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพประชวร และกลอนเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 95-98

(1) Vendetta (2) Madame Butterfly (3) The Apple Tree (4) The Necklace

95. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องความพยาบาท

ตอบ 1 หน้า 144, 151, 156,(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดนวนิยายแปลเรื่องแรกของไทย คือ เรื่องความพยาบาท ของแม่วัน (พระยาสุรินทรราชา) ซึ่งเป็นเรื่องแปลมาจากเรื่อง Vendetta ของ Marie Corelli นักเขียนสตรีชาวอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2443 และต่อมาเรื่องความพยาบาท ก็ได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือประเภทนิตยสารชื่อ “ลักวิทยา” โดยมีพระราชวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้า- รัชนีแจ่มจำรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) เป็นผู้ดำเนินการ

96. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องสร้อยคอที่หาย

ตอบ 4 หน้า 146, 151, 158, (คำบรรยาย) เรื่องสั้นแปลเรื่องแรกของไทย คือ เรื่องสร้อยคอที่หาย เป็นผลงานที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ (ประเสริฐอักษร) กวีในสมัย รัชกาลที่ 6 ทรงได้เค้าโครงเรื่องและดัดแปลงมาจากต้นฉบับเรื่อง The Necklace ของนักประพันธ์ ชาวฝรั่งเศสชื่อ Guy de Maupassant

97. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องพยอมไพร

ตอบ 3 หน้า 155, 159 เรื่องพยอมไพร เป็นผลงานที่แม่อนงค์ (มาลัย ชูพินิจ) ดัดแปลง (Adaptation) มาจากเรื่อง The Apple Tree ของ Galsworthy

98. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องสาวเครือฟ้า

ตอบ 2 หน้า 146, 157 – 158, 192, (คำบรรยาย) บทละครร้องสลับพูดเรื่องสาวเครือฟ้า

ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นเรื่องดัดแปลงจากโอเปร่าเรื่อง Madame Butterfly ซึ่งเป็นนวนิยายของ John Luther Long อุปรากรของ Giacomo Puccini โดยมักใช้เล่นละครร้องสลับพูด คือ การแสดงที่ใช้วิธีการร้องเพลงเป็นส่วนใหญ่ แต่พูดได้บ้าง (พูดทบทวนเรื่องที่ร้องไปแล้ว เพื่อให้ฟังเรื่องได้ชัดเจนขึ้น ถ้าอ่านบทที่ไม่มีคำพูดประกอบเลย ก็จะเข้าใจเรื่องได้ตลอด) ซึ่งในปัจจุบันได้นำมาแสดงเป็นละครเวทีใช้ชื่อว่า “มิสไชง่อน”

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 99. – 102.

(1) เรื่องแปล (2) เรื่องดัดแปลง (3) เรื่องแต่งใหม่ (4) เรื่องจริง

99. จดหมายจางวางหร่ำ เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 2 หน้า 17 – 18, 146, 156, 158 จดหมายจางวางหร่ำ เป็นผลงานของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจำรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ซึ่งเป็นเรื่องดัดแปลงแนวความคิด มาจากเรื่อง The Letters of a Self-made Merchant to His Son โดยมีเนื้อหาสาระ เป็นจดหมายจากบิดาถึงบุตร เพื่อตักเตือนสั่งสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของบุตรให้มีความขยัน หมั่นขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว รู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย

100. สนุกนิ์นึก เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 3 หน้า 144, 151,(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดเรื่องสั้นเรื่องแรกของไทยที่เป็นเรื่อง แต่งขึ้นใหม่ คือ เรื่องสนุกนิ์นึก ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2429 โดยมีตัวละครเอกในเรื่องเป็นพระและใช้ฉากจริงในวัดบวรนิเวศวิหาร ทำให้เกิด ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องสั้นเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง จนกระทั่งไม่สามารถตีพิมพ์ตอนจบได้

101. ลิลิตนิทราชาคริต เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 2 หน้า 143 – 144, 150, 155 ลิลิตนิทราชาคริต เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นนิทานของชาวอาหรับ แต่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์เป็นเรื่องดัดแปลงตามเค้าเรื่องในนิทานชุด Arabian Night ตอน The Sleeper Awaken จากต้นฉบับฝรั่งเศสของ Anthony Galland ทำให้เกิดเสภาอาบูหะซันและบทละครเรื่องอาบูหะซันขึ้นในเวลาต่อมา

102. เวนิสวาณิช เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 1 หน้า 150, 156 – 157 บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ที่เป็นเรื่องแปลและดัดแปลง มาจากต้นฉบับของวิลเลี่ยม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ได้แก่

1. เวนิสวาณิช ทรงแปลจาก The Merchant of Venice

2. ตามใจท่าน ทรงแปลจาก As You Like It

3. โรเมโอและจูเลียต ทรงแปลจาก Romeo and Juliet

4. พญาราชวังสัน เป็นเสภาที่ทรงดัดแปลงจาก Othello ฯลฯ

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 103. – 106.

(1) ละครพูด (2) ละครร้องสลับพูด

(3) ละครสังคีต (4) ละครแบบเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง

103. วิวาห์พระสมุทร มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 3 หน้า 192 ละครสังคีต คือ ละครที่มีบทพูดและบทร้องสำคัญเท่าเทียมกัน จะตัดบทพูดหรือ บทร้องออกไปไม่ได้ เพราะจะทำให้เสียการดำเนินเรื่อง เช่น บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 เรื่องวั่งตี่ และเรื่องวิวาห์พระสมุทร เป็นต้น

104. ราชาธิราช ตอนมังมหานรธา มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 4 หน้า 190 ละครแบบเจ้าพระยามหินทรคักดิ์ธำรง เป็นละครผู้หญิงที่หัดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีลักษณะเป็นละครแบบรวม คือ รวมแบบละครนอก ละครใน และงิ้วจีนปนกัน จึงเป็น ละครอีกแบบหนึ่งที่แปลกออกไป มีผู้นิยมดูมาก และมีบทละครที่ดัดแปลงมาจากพงศาวดารมอญ เช่น เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงนครอินทร์รบกับมังมหานรธา เป็นต้น

105. หลวงจำเนียรเดินทาง มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

106. สาวเครือฟ้า มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 98. ประกอบ

107. การใช้นามแฝงปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือใด

(1) ลักวิทยา

(2) ทวีปัญญา

(3) วชิรญาณ

(4) ถลกวิทยา

ตอบ 3 หน้า 143 ,149 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มมีการใช้นามแฝงอันเป็นแบบอย่างของประเทศตะวันตก ในการแต่งหนังสือ ซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในหนังสือวชิรญาณเมื่อ พ.ศ. 2427

108. หนังสือในข้อ 107. เกิดขึ้นในรัชสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 4 (2) รัชกาลที่ 5

(3) รัชกาลที่ 6 (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

109. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับจดหมายเหตุราชทูตไทยไปอังกฤษ

(1) ใช้ฉากประเทศยุโรป (2) เกิดการซื้อขายลิขสิทธิ์

(3) คำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว (4) บันทึกสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ .

ตอบ 2 หน้า 142, 149, (THA 3201 (TH 331) หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร) เป็นกวีในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่มีบทบาทเป็นนักการทูต โดยท่านมีผลงานสำคัญ 2 เรื่อง เป็นวรรณคดีไทยที่ใช้ฉากในประเทศยุโรปมาบรรยายเรื่องเป็นครั้งแรก ได้แก่

1. จดหมายเหตุราชทูตไทยไปอังกฤษ (ร้อยแก้ว) เป็นบันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ไทยส่งคณะทูต ไปอังกฤษในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าๆ เมื่อปี พ.ศ. 2400

2. นิราศลอนดอน (ร้อยกรอง) เป็นวรรณคดีที่มีการซื้อขายลิขสิทธิ์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2405

110. ข้อใดไม่ใช่พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

(1) ไกลบ้าน (2) ลิลิตนิทราชาคริต

(3) บทละครเรื่องเงาะป่า (4) กามนิต-วาสิฏฐี

ตอบ 4 หน้า 143 – 144, 147 งานพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5)มีดังนี้ 1.พระราชพิธีสิบสองเดือน 2.ไกลบ้าน 3.พระราชวิจารณ์ต่างๆ 4. ลิลิตนิทราชาคริต 5. บทละครเรื่องเงาะปา 6. กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด

(ส่วนเรื่องกามนิต-วาลิฏฐี เป็นผลงานของเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป)

111. ข้อใดคือลักษณะของละครแบบตะวันออก

(1) ถ่ายทอดชีวิตจริง (2) แสดงอารมณ์รุนแรง

(3) เป็นแบบอุดมคติมุ่งแต่เรื่องดีงาม (4) กล้าล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง

ตอบ 3 หน้า 186 ละครแบบตะวันออกจะมีลักษณะเป็นแบบอุดมคติ (Idealism) มุ่งแต่เรื่องดีงาม หรือเน้นความอภิรมย์หลีกหนีจากอารมณ์รุนแรงและเรื่องร้าย (Escape Literature) ซึ่งต่างจาก ละครแบบตะวันตกที่เป็นการถ่ายทอดเอาชีวิตจริงไปแสดงบนเวที การดูละครก็คือดูชีวิตของ ตนเอง บางครั้งอาจมีการแสดงอารมณ์รุนแรง กล้าล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง จึงเป็น ละครประเภทสมจริง (Realism)

112. จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สรุปได้ว่าผู้แต่งวรรณคดีไทยเน้นเรื่องใด เป็นสำคัญ

(1) ใช้วรรณคดีถ่ายทอดจินตนาการใกล้ตัว (2) ใช้วรรณคดีเป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศ

(3) ใช้วรรณคดีถ่ายทอดแนวคิดหริอปรัชญาชีวิต (4) ใช้วรรณคดีสร้างความบันเทิงและประเทืองปัญญา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สรุปได้ว่า ผู้แต่ง วรรณคดีไทยเน้นใช้วรรณคดีเพื่อสร้างความบันเทิงและประเทืองปัญญาเป็นสำคัญ โดยมุ่งให้ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินใจไปตามเนื้อเรื่อง ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ความคิด เพื่อประเทืองปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

113. คำกล่าวข้อใดถูกต้อง

(1) วรรณคดีร้อยกรองและร้อยแก้วพัฒนามาพร้อมกัน

(2) วรรณคดีร้อยกรองได้รับความนิยมมาก่อนร้อยแก้ว

(3) วรรณคดีเรื่องแรกของไทยเป็นคำประพันธ์ร้อยกรอง

(4) ปัจจุบันวรรณคดีร้อยกรองได้รับความนิยมมากกว่าร้อยแก้ว

ตอบ 2 หน้า 193, 201, (ศิลาจารึก หน้า 7), (คำบรรยาย) วรรณคดีร้อยกรองพัฒนาขึ้นและได้รับ ความนิยมมาก่อนร้อยแก้ว ทั้ง ๆ ที่วรรณคดีเรื่องแรกของไทย คือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง จะแต่งเป็นวรรณคดีร้อยแก้วก็ตาม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงปัจจุบัน ความนิยมในการเขียนร้อยกรองค่อย ๆ ลดลง ส่วนร้อยแก้วกลับเจริญขึ้น อย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมมากกว่าร้อยกรองจนถึงปัจจุบัน

114. ข้อใดไมใช่ลักษณะของร้อยกรองในอดีต

(1) เนื้อเรื่องอยู่ใบวงแคบ (2) ใช้จินตนาการใกล้ตัว

(3) มีธรรมเนียมในการบรรยาย (4) เป็นพุทธปรัชญาพื้น ๆ ง่าย ๆ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

115. ข้อไดไมใช่ลักษณะของร้อยแก้วในปัจจุบัน

(1) เนื้อเรื่องขยายไปในวงกว้าง (2) มีรูปแบบการแต่งที่หลากหลาย

(3) มีเทคนิคในการแต่งมากขึ้นกว่าเดิม (4) นักเขียนมุ่งผลิตงานโดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทน

ตอบ 4 หน้า 202 – 204 ลักษณะของร้อยแก้วในปัจจุบันภายหลังได้รับอิทธิพลตะวันตกแล้ว มีดังนี้ 1. มีรูปแบบการแต่งที่หลากหลาย

2. เนื้อเรื่องขยายไปในวงกว้าง

3. แนวนิยมและปรัชญาการแต่งเบนแบบตะวันตก

4. มีเทคนิคในการแต่งมากขึ้นกว่าเดิม 5. มีความก้าวหน้าด้านสื่อมวลชน 6. มีแนวการเขียนแบบวิจารณ์ 7. นักเขียนมุ่งผลิตงาบโดยคำนึงถึงคำตอบแทน 8. มีการรวมกลุ่มนักเขียน

116. วรรณกรรมเรื่องใดได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี 2556

(1) คนแคระ (2) หัวใจห้องที่ห้า

(3) แม่น้ำรำลึก (4) แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) คณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้หนังสือประเภทกวีนิพนธ์เรื่อง “หัวใจห้องที่ห้า” ของอังคาร จันทาทิพย์ ได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2556

117. ใครเป็นผู้แต่งวรรณกรรมในข้อ 116.

(1) อังคาร จันทาทิพย์ (2) วิภาส ศรีทอง

(3) จเด็จ กำจรเดช (4) เรวัตร พันธุพิพัฒน์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 116. ประกอบ

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 118. – 120.

(1) นวนิยาย (2) เรื่องสั้น (3) กวีนิพนธ์ (4) สารคดี

118. วรรณกรรมในข้อ 117. เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 116. ประกอบ

119. ในปี 2557 เรื่องที่ได้รางวัลซีไรต์เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือซีไรต์ (The S.E.A. Write Award) ของประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 โดยแต่ละปีที่ผ่านมาจะประกาศ รับพิจารณาวรรณกรรมวนเวียนอยู่เพียง 3 ประเภท คือ นวนิยาย เรื่องสั้น และบทกวีนิพนธ์ ซึ่งหากในปี พ.ศ. 2556 วรรณกรรมประเภทกวีนิพนธ์ได้รับรางวัลซีไรต์ ดังนั้นในปีถัดไป วรรณกรรมที่ได้รับรางวัลซีไรต์ก็จะเป็นวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น (พ.ศ. 2557) และ นวนิยาย (พ.ศ. 2558) ตามลำดับ

120. ในปี 2558 เรื่องที่ได้รางวัลซีไรต์เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 119. ประกอบ

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ตัวเลือกใดไม่ใช่ความเห็นว่าทำไมมนุษย์จึงต้องมาอยู่รวมกันเป็นสังคม

(1) มนุษย์ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้น

(2) มนุษย์ต้องอาศัยความร่วมมือและแบ่งงานกันทำ

(3) แต่ละบุคคลมีความสามารถควบคุมธรรมชาติได้

(4) แต่ละบุคคลมีความสามารถจำกัดเฉพาะตัว

(5) การถ่ายทอดวัฒนธรรมต้องทำต่อเนื่องกันไปไม่ขาดระยะ

ตอบ 3 ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ได้แก่

1.มนุษย์มีระยะแห่งการเป็นทารกนานและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต จึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงดูในขณะที่เป็นทารก

2.มนุษย์มีความสามารถด้านสมอง สามารถคิดค้นและควบคุมธรรมชาติได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและแบ่งงานกันทำกับคนอื่น ๆ ในสังคม เพราะการควบคุมธรรมชาตินั้นบุคคลคนเดียวไม่สามารถที่จะกระทำได้ และแต่ละบุคคลก็มีความสามารถจำกัดเฉพาะตัว

3.มนุษย์สามารถสร้างและถ่ายทอดวัฒนธรรม ซึ่งการถ่ายทอดวัฒนธรรมเป็นกระบวนการที่จะต้องกระทำต่อเนื่องกันไปไม่ขาดระยะ ทำให้มีความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมาอยู่ร่วมกันตลอดไป

2. ผู้ใดทำให้สังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม

(1) ค้องท์ (Comte) และบาร์นส์ (Barnes)

(2) บาร์นส์ (Barnes) และสเปนเซอร์ (Spencer)

(3) สเปนเซอร์ (Spencer) และค้องท์ (Comte)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski) และมาร์กซ์ (Marx)

(5) เวเบอร์ (Weber) และเดอร์ไคม์ (Durkherm)

ตอบ 3 สเปนเซอร์ (Spencer) และค้องท์ (Comte) เป็นผู้ที่ทำให้ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมหรือสังคมวิทยากลายเป็น “วิทยาศาสตร์ทางสังคม” ขึ้นมา โดยพยายามใช้วิธีการศึกษาทุกขั้นตอนเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษามนุษย์และสังคมมนุษย์

3. การศึกษาสังคมในระยะเริ่มแรกเป็นแบบใด

(1) สามัญสำนึก (2) ตั้งและทดสอบสมมติฐาน

(3) วิเคราะห์เชิงเหตุผล (4) อธิบายด้วยทฤษฎี (5) สรุปตามข้อเท็จจริง

ตอบ 1 ในระยะเริ่มแรกของการศึกษาสังคมนั้น ความรู้ที่ได้รับมักจะออกมาในรูปของสามัญสำนึก(Common Sense) คือ เป็นข้อสรุปที่เกิดจากความรู้สำนึกคิดของแต่ละคนว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งทำให้การตั้งกฏเกณฑ์และทฤษฎีของการศึกษาในสังคมในสมัยนั้นยังไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นศาสตร์ (Science)

4. นักวิชาการท่านใดเปรียบสังคมเหมือนร่างกายมนุษย์ อวัยวะทุกส่วนจะแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่ได้รับมอบหมาย

(1) อริสโตเติล (Aristotle) และดาร์วิน (Darwin)

(2) ค้องท์ (Comte) และบาร์นส (Barnes)

(3) เดอร์ไคม์ (DurKheim) และเวเบอร์ (Weber)

(4) มาร์กซ์ (Marx) และลีซ (Leach)

(5) เรดคลิฟฟ์-บราวน์ (Radcliffe-Brown) และมาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 5 เรดคลิฟฟ์-บราวน์ (Radcliffe-Brown) และมาลินอฟสกี้ (Malinowski) เป็นนักวิชาการที่

ได้ศึกษาสังคมโดยเน้นการศึกษาด้านโครงสร้างและหน้าที่ ด้วยการเปรียบเทียบว่าสังคมเป็น

เสมือนร่างกายมนุษย์ โดย “โครงสร้าง” ทางด้านร่างกายเมื่อประกอบกันแล้วก็จะเป็นร่างกาย

มนุษย์ที่สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนจะมี “หน้าที่” และจะแสดงกิริยาอาการหรือพฤติกรรมที่ได้รับ

มอบหมาย สังคมก็เป็นเช่นเดียวกัน โดยมีการแบ่งระบบความสัมพันธ์ของคนออกเป็นส่วนต่าง

ๆ และแต่ละส่วนก็จะมีหน้าที่แสดงไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดไว้

5. ตัวเลือกใดไม่ใช่ผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์

(1) ทำให้มนุษย์สามารถแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวได้

(2) ทราบแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายที่สังคมกำหนดขึ้น

(3) เข้าใจโครงสร้างและรูปแบบของสังคม

(4) เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพเพราะต้องสัมพันธ์กับสังคม

(5) เข้าใจสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน

ตอบ 1 ผลที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ มีดังนี้

1.เข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคมตนเองและสังคมอื่น ๆ ซึ่งทำให้ทราบถึงแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกเกณฑ์ที่สังคมได้กำหนดขึ้น

2.สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อสมาชิกร่วมสังคมและสมาชิกร่วมโลก เข้าใจสถานภาพและบทบาทของตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ก็เนื่องจากมนุษย์จะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

3.เข้าใจสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน และปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษ

4.เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพ เพราะทุกฝ่ายต่างจะต้องใช้วิชาชีพนั้น ๆ กับคนในสังคมทั้งสิ้น

6. ตัวเลือกใดไม่ใช่สาระของสังคมวิทยา

(1) ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม (2) ศึกษาสังคมมนุษย์ทั้งสังคม

(3) ศึกษาสังคมทั้งในส่วนย่อยของสังคมและส่วนใหญ่ (4) ศึกษาว่าสังคมประเภทใดสามารถคงอยู่ได้นาน

(5) ศึกษาสถาบันต่าง ๆ ตั้งแต่สถาบันครอบครัว จนถึงสถาบันการเมืองแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ

ตอบ 5 สาระของสังคมวิทยา มีดังนี้

1.ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม เช่น ระหว่างบิดามารดากับบุตร พี่กับน้อง ฯลฯ

2.ศึกษาสังคมมนุษย์ทั้งสังคมโดยพยายามศึกษาสังคมทั้งในส่วนย่อยของสังคมและส่วนใหญ่คือ ศึกษาภาวะหรือโครงสร้างภายในของสังคม และลักษณะภายในของสังคมต่าง ๆ เช่นศึกษาว่าสังคมประเภทใดสามารถคงอยู่ได้นาน

3.ศึกษาสถาบันต่าง ๆ ตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันเศรษฐกิจจนถึงสถาบันการเมืองระดับรัฐ

7. สังคมวิทยาเกิดขึ้นมาเพราะสาเหตุใด

(1) ความสนใจสภาพแวดล้อมของชนบทที่เปลี่ยนไป เพราะการปฏิวัติทางการเกษตร

(2) คนสังคมยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีมากเกินไป ทำให้สังคมภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีปัญหา

(3)ชาวไร่ชาวนาขยายพื้นที่เกษตรกรรมมากขึ้นภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

(4)ชาวชนบทมีสิทธิเสรีภาพในความเป็นอยู่มากเกินไป สังคมจึงเกิดปัญหา

(5)เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโครงสร้างของสังคม

ตอบ 5 สังคมวิทยาเกิดขึ้นเพื่อสนองตอบต่อวิกฤตการณ์และปัญหาของประเทศยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่19 โดยมีองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดวิชาสังคมวิทยาก็คือ ผลสะท้อนของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมตะวันตกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดความหวังและความตื่นตระหนกในเรื่องชีวิตอนาคต ดังนั้นสังคมวิทยาจึงเกิดขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโครงสร้างของสังคม

8. ฉายาของสังคมวิทยาว่า “ราชินีแห่งศาสตร์” มีความหมายอย่างไร

(1) ศาสตร์ที่มีทฤษฎีมากกว่าศาสตร์ชนิดอื่น (2) ศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์

(3) ศาสตร์ที่มีวิธีการศึกษาหลากหลาย (4) ศาสตร์ที่แตกแขนงออกไปหลายสาขา

(5) ศาสตร์ที่มีผู้นิยมศึกษามาก

ตอบ 4 ออกัส ค้องท์ (Comte) เป็นผู้ให้ฉายาสังคมวิทยาว่าเป็น “ราชินีแห่งศาสตร์” ทั้งนี้เนื่องจากสังคมวิทยาเป็นศาสตร์ที่แตกแขนงออกไปเป็นหลายสาขา ซึ่งเปรียบเสมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีบุตรธิดามาก และยังหมายถึงการมีความสำคัญแทรกอยู่ในบรรดาวิทยาการต่าง ๆ

9. ความสัมพันธ์กันทางสังคมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามตัวเลือกใด

(1) สถานภาพ และค่านิยม (2) บทบาท และโครงสร้างสังคม

(3) สถานภาพ และบทบาท (4) โครงสร้างสังคม และค่านิยม

(5) โครงสร้างสังคม และการปะทะสังสรรค์ทางสังคม

ตอบ 3 ความสัมพันธ์กันทางสังคม (Social Relations) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. สถานภาพ (Status) 2. บทบาท (Role)

10. ตัวเลือกใดไม่ใช่รูปแบบของกระบวนการทางสังคมตามแนวคิดของปาร์ค และเบอร์เกรส (Park andBurgress)

(1) การร่วมมือกันปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์

(2) การดิ้นรนสู่เป้าหมายเดียวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

(3) กระบวนการที่บุคคลตกลงยินยอมปรับตัวให้เข้ากัน

(4) ทัศนคติหรือความเห็นของบุคคล 2 ฝ่าย ไม่ตรงกัน

(5) กระบวนการเปลี่ยนแปลงตามวัยของบุคคลในสังคม

ตอบ 5 Park และ Burgress แบ่งกระบวนการทางสังคมออกเป็น 5 รูปแบบ ดังนี้

1.การร่วมมือ เป็นกระบวนการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปปฏิบัติตามหรือร่วมมือกันปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์

2.การแข่งขัน เป็นการดิ้นรนสู่เป้าหมายเดียวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

3.การสมานลักษณ์ เป็นกระบวนการที่บุคคลตกลงยินยอมที่จะปรับตัวให้เข้ากัน

4.การกลืนกลายหรือการปรับปรน เป็นกระบวนการผสมกลืนกลนของบุคคลแต่ละกลุ่มในเรื่องทัศนคติ ความเชื่อ วัฒนธรรม ฯลฯ

5.การขัดกัน เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อทัศนคติหรือความเห็นของบุคคล 2 ฝ่าย ไม่ตรงกัน

11. ตัวเลือกใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการอบรมให้รู้ระเบียบสังคม

(1) ปลูกฝังระเบียบวินัย (2) ปลูกฝังความมุ่งหวัง (3) ให้รู้จักบทบาททางสังคม

(4) ให้เกิดทักษะความรู้ความชำนาญที่จะร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น

(5) ให้รู้จักใช้ไหวพริบหลบหลีกปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม

ตอบ 5 จุดมุ่งหมายของการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคม ได้แก่ การปลูกฝังระเบียบวินัยปลูกฝังความมุ่งหวัง สอนให้คนรู้จักบทบาททางสังคมและทัศนคติต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อให้เกิดทักษะหรือความรู้ความชำนาญที่จะร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น

12. การอธิบายโดยวิธีอุปนัย (Inductive Method) หมายถึงตัวเลือกใด

(1) เลือกประชากรส่วนหนึ่งมาศึกษาแล้วสรุปว่าประชากรทั้งหมดมีลักษณะอย่างไร

(2) ศึกษาประชากรทั้งหมดแล้วสรุปว่าประชากรส่วนย่อยมีลักษณะอย่างไร

(3) ศึกษาประชากรทั้งหมดแล้วสรุปว่าประชากรทั้งหมดมีลักษณะอย่างไร

(4) ศึกษาประชากรส่วนหนึ่งแล้วสรุปว่าประชากรส่วนนั้นมีลักษณะอย่างไร

(5) เลือกประชากรส่วนหนึ่งมาศึกษาแล้วนำไปเปรียบเทียบกับลักษณะของประชากรส่วนใหญ่หรือทั้งหมด

ตอบ 1 หลักตรรกวิทยาที่สำคัญ มีดังนี้

1. วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่มาหาส่วนน้อย

2. วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปได้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไรก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่ โดยจะเลือกจำนวนประชากรจำนวนหนึ่งมาศึกษาแล้วสรุปว่าจำนวนประชากรทั้งหมดมีลักษณะอย่างเดียวกับตัวอย่างที่ศึกษา

13. การลงแขกช่วยกันทำนา คือวัฒนธรรมตามตัวเลือกใด

(1) ขนบธรรมเนียมประเพณี

(2) สิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

(3) สิ่งที่ดีงามได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว

(4) มาจากรากศัพท์ “วัฒน” หรือ “พัฒนะ” ซึ่งแปลว่าเจริญ

(5) ความประพฤติล้าหลังนำไปสู่ความเสื่อม

ตอบ 1 ความหมายของ “วัฒนธรรม” แบ่งออกเป็น 3 ความหมายใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ

1.วัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม หมายถึง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว

2.วัฒนธรรม คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น การหมั้น การสมรส การขึ้นบ้านใหม่การบวชนาค การลงแขกช่วยกันทำนา การแห่นางแมวขอฝน ฯลฯ

3.วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ ถือว่ามีความหมายกว้างขวางที่สุด เพราะมีขอบเขตเกินกว่าการเป็นสิ่งดีงามหรือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี

14. ตัวเลือกใดไม่ใช่วัฒนธรรมอันเป็นผลจากการเรียนรู้

(1) การใช้ศัพท์สแลงที่นิยมพูดกัน (2) การแปรงฟัน

(3) การใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด (4) การสัมผัสมือแสดงการทักทาย

(5) การกะพริบตาเพื่อไล่เหงื่อที่ไหลเข้าตา

ตอบ 5 วัฒนธรรมเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ได้แก่ การใส่ผมปลอม การจงใจกะพริบตาการจงใจทำตาหลิ่ว การแปรงฟัน การเข้าคิว การไปดูภาพยนตร์ การใช้ศัพท์สแลง การใช้โทรศัพท์ การสัมผัสมือแสดงการทักทาว ฯลฯ ส่วนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกาย

15. ตัวเลือกใดไม่ใช่วัฒนธรรมที่มีการส่งต่อหรือได้รับถ่ายทอด

(1) การบังคับให้เลิกกินหมากในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

(2) การแต่งกายตามแบบนักร้องนักแสดง

(3) การอบรมให้รู้จักประเพณีการไหว้

(4) การที่สุนัขหรือแมวได้รับการฝึกให้ถ่ายในพื้นที่ที่กำหนด

(5) การใช้คำภาษาอังกฤษแทนคำภาษาไทย

ตอบ 4 วัฒนธรรมที่มีการส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดนั้น อาจเป็นโดยเจตนาคือโดยจงใจ เช่น การอบรมให้รู้จักประเพณีการไหว้ การบังคับให้คนไทยใส่หมวกและให้เลิกกินหมากในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ฯลฯ หรือไม่จงใจก็ได้ เช่น การนิยมทรงผมหรือการแต่งตัวแบบดารา การใช้คำภาษาอังกฤษแทนคำภาษาไทย ฯลฯ (โดยวัฒนธรรมไม่มีในสังคมที่ต่ำกว่ามนุษย์)

16. พัฒนาการ (Development) หมายถึงตัวเลือกใด

(1) การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อสังคมและศาสนาอย่างมาก

(2) การเปลี่ยนแปลงที่มีการวางแผนหรือจงใจให้มีการเปลี่ยนแปลง

(3) การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

(4) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นไปได้โดยธรรมชาติ

(5) การรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ตอบ 2 ศัพท์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม มีดังนี้

1.วิวัฒนาการ (Evolution) คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นไปโดยธรรมชาติและกิจวัตร

2.พัฒนาการ (Development) คือ การเปลี่ยนแปลงที่มีการวางแผนหรือจงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

3.การปฏิรูป (Reform) คือ การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบมากของสังคมและศาสนา

4.การปฏิวัติ (Revolution) คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

17. วัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ ตรงกับคำกล่าวใด

(1) ท่านไม่อาจกระโดดลงไปในแม่น้ำเดิมได้ 2 ครั้ง

(2) น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา

(3) งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

(4) น้ำขึ้นให้รีบตัก

(5) น้ำมีสภาพที่ไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ

ตอบ 1 ข้อความที่แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจและมีมานานแล้วคือ You can’t jump into the same river twice แปลว่า “ท่านไม่อาจกระโดดลงไปในแม่น้ำสายเก่าได้ 2 ครั้ง” กล่าวคือ วัฒนธรรมเปรียบเสมือนกับแม่น้ำซึ่งไม่อยู่คงที่ และตัวผู้กระโดดเองก็เปลี่ยนแปลงจากเดิมแม้จะห่างกันเพียง 1 นาที

18. ตัวเลือกใดเป็นอนุวัฒนธรรมท้องถิ่น (Regional Subculture)

(1) ชาวนามีวิถีการดำรงชีวิตต่างจากชาวประมง

(2) คนวรรณะศูทรในแคว้นปัญจาบมีขนบปฏิบัติต่างจากคนวรรณะอื่น

(3) ชาวเหนือมีการผูกข้อมือหรือทำบายศรีสู่ขวัญ

(4) ชาวชนบทในเอมริกาใช้เครื่องทุ่นแรงแทนแรงงานคนหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

(5) คนเชื้อสายมอญจัดงานสงกรานต์ต่างจากคนท้องถิ่นอื่น

ตอบ 3 อนุวัฒนธรรมท้องถิ่น (Regional Subculture) เป็นอนุวัฒนธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมองในแง่ภูมิศาสตร์ กล่าวคือ สภาพทางภูมิศาสตร์มีส่วนทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา สำเนียงพูดการแต่งกาย อาหาร ลักษณะเคหสถาน การประกอบอาชีพ อุปนิสัยใจคอแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคเหนือมีการผูกข้อมือหรือทำบายศรีสู่ขวัญ ภาคอีสานมีการเล่นบ้องไฟภาคกลางนิยมเพลงเรือ ฯลฯ

19. ตัวเลือกใดแสดงถึงความเฉื่อยทางวัฒนธรรมด้านวัตถุกับวัตถุ

(1) ถนนสร้างได้ช้ากว่าปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น

(2) เครื่องจักรสำหรับลักลอบตัดไม้พัฒนาเร็วกว่ากฎหมาย

(3) โจรผู้ร้ายพัฒนากรรมวิธีโจรกรรมได้ไวกว่าการปราบปราม

(4) ความเจริญทำให้มีระบบโรงงาน ส่งผลให้คนทำงานนอกบ้านมากขึ้น

(5) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พัฒนาช้ากว่าการผลิตอาวุธสงคราม

ตอบ 1 ความเฉื่อยทางวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1.อัตราการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมด้านวัตถุกับวัตถุ เช่น รถยนต์มีเพิ่มมากขึ้นในอัตราที่สูงกว่าเนื้อที่ถนน กระสุนปืนสามารถผลิตได้เร็วกว่าตัวปืน ฯลฯ

2.อัตราการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมด้านวัตถุกับอวัตถุ เช่น เครื่องจักรตัดไม้ทันสมัยยิ่งขึ้นแต่กฎหมายควบคุมการทำลายป่าเกิดขึ้นช้าโจรกรรมวิธีใหม่ ๆ แต่วิธีการปราบปรามยังล้าหลังตามไม่ค่อยทัน ฯลฯ

20. ข้อใดเป็นลักษณะของกลุ่มคน

(1) เป็นจำนวนรวม (2) มีแบบแผนบางอย่างร่วมกัน

(3) มีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน (4) มีการติดต่อกันตามสภาพและบทบาท

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ลักษณะของ “กลุ่ม” เป็นสังกัปที่นักสังคมวิทยาให้ความหมายไว้แตกต่างกัน เช่น

1.คนจำนวนหนึ่งมาอยู่รวมกัน หรือกำลังรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ“จำนวนรวม”

2.คนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ “จำนวนพวก”

3.คนจำนวนหนึ่งซึ่งมีแบบแผนบางอย่างร่วมกัน มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน และมีการติดต่อสัมพันธ์กันตามสภาพและบทบาท

4.กลุ่มสังคมหรือกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน ฯลฯ

21. ข้อใดเป็นตัวอย่างของกลุ่มทุติยภูมิ

(1) ครอบครัว

(2) กลุ่มเพื่อนเล่น

(3) เพื่อนบ้านละแวกเดียว

(4) ชมรมอนุรักษ์นกเงือก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคมที่ห่างเหินและระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ การติดต่อมุ่งให้ได้ประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัวโดยกลุ่มทุติยภูมิแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1.กลุ่มสมาคมหรือองค์การ เช่น สมาคมศิษย์เก่า ชมรมอนุรักษ์นกเงือก ฯลฯ

2. กลุ่มชาติพันธุ์ 3. กลุ่มชนชั้น

22. นักวิชาการท่านใดบัญญัติศัพท์คำว่า “กลุ่มปฐมภูมิ” (Primary Group)

(1) คูลีย์ (Cooley)

(2) ค้องท์ (Comte)

(3) เดอร์ไคม์ (Durkheim)

(4) มาร์กซ์ (Marx)

(5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 1 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) เป็นกลุ่มคนที่มีขนาดเล็ก และมีการติดต่อกันทางสังคมใกล้ชิดสนิทสนม กระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดหมายร่วมกัน และมักจะใช้ความรู้สึกทางสังคมใกล้ชิดสนิทสนม กระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดหมายร่วมกัน และมักจะใช้ความรู้สึกอารมณ์ มากกว่าเหตุผล ตัวอย่างของกลุ่ม เช่น ครอบครัว เพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน ฯลฯ โดยผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Primary Group ก็คือ คูลีย์ (Cooley) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน

23. ข้อใดเปรียบได้กับกลุ่ม “Gemeischaft”

(1) กลุ่มปฐมภูมิ (2) กลุ่มชนชั้น (3) กลุ่มชาติพันธุ์

(4) สมาคมศิษย์เก่า (5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 ผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Gemeinschaft และ Gesellschaft คือ ทอนนีย์ (Tonnies) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน โดยได้ให้ความหมายไว้อย่างหยาบ ๆ ว่า Gemeinschaft คือ ชุมชน(Community) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มปฐมภูมิ เช่น กลุ่มคนในชนบท หรือชุมชนใน

24. ระยะห่างทางสังคมเป็นเกณฑ์วัดอะไร

(1) การวัดระดับความใกล้ชิด (2) การยอมรับ (3) อคติที่มีต่อกลุ่มอื่น

(4) การวัดกลุ่มเรา-กลุ่มเขา (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นศัพท์ทางจิตวิทยาสังคม เป็นการวัดระดับของ

ความใกล้ชิด หรือการยอมรับ หรืออคติที่เรารู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และสามารถนำมาใช้วัดความ

เป็นกลุ่มเรา-กลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี

25. สถาบันทางสังคมที่เก่าแก่ที่สุดคือข้อใด

(1) ครอบครัว

(2) ศาสนา

(3) การศึกษา

(4) การเมือง (5) เศรษฐกิจ

ตอบ 1 ในทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบันอยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ

1.เป็นสถาบันทางสังคม หมายถึง มีรูปแบบที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรมตามหน้าที่อย่างที่สังคมกำหนด และมีโครงสร้างทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดค่านิยม

2.เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม มีมาพร้อมกับมนุษย์ และคงอยู่กับมนุษย์ตลอดเวลา

3.เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

26. การศึกษา “เพศศึกษา” และ “เพศสัมพันธ์” จัดเป็นการศึกษาครอบครัวแบบใด

(1) สุขศาสตร์ (2) จิตวิทยา (3) สังคมวิทยา (4) มานุษยวิทยา (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 แนวการศึกษาครอบครัว แบ่งออกเป็น 2 แนว คือ

1.แนวสังคมศาสตร์ เป็นหลักวิชาที่ต้องศึกษาเน้นหนักถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางสังคมในด้านมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และจิตวิทยา

2.แนวสุขศาสตร์ เป็นการศึกษาเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งมุ่งเน้นที่ตนเองเป็นหลักโดยจะให้ความสนใจในเรื่องการศึกษาเพศศึกษา (Sex Education) เพศสัมพันธ์ (SexRelation)

27. ครอบครัวประเภทใดให้สิทธิ์อำนาจแก่ผู้อาวุโส

(1) ครอบครัวเดียว (2) ครอบครัวขยาย (3) ครอบครัวประกอบร่วม

(4) ครอบครัวพหุคู่ครอง (5) ครอบครัวภาวะจำยอม

ตอบ 2 ครอบครัวขยาย มีลักษณะสำคัญดังนี้

1.เป็นครอบครัวร่วม ซึ่งประกอบด้วยครอบครัวหน่วยกลางตั้งแต่ 2 ครอบครัวขึ้นไป หรือเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกช่วงวัย

2.อำนาจสิทธิ์ขาดภายในครอบครัวขึ้นอยู่กับระบบอาวุโสสูงสุดจะได้รับการยกย่องจากสมาชิกครอบครัว

3.ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกจะกระจายมากกว่าครอบครัวหน่วยกลางซึ่งส่วนใหญ่มักปรากฏในสังคมเกษตรกรรมหรือสังคมดั้งเดิม อันเป็นสังคมล้าหลัง

28. หน้าที่ของครอบครัวคือข้อใด

(1) สร้างสมาชิกใหม่ให้สังคม (2) หล่อหลอมสมาชิกให้เป็นสมาชิกที่ดีทางสังคม

(3) ปลูกฝังบุคลิกภาพ (4) ทำหน้าที่แทนสถาบันอื่น ๆ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้าที่ของครอบครัว มีดังนี้

1.ช่วยสร้างสมาชิกใหม่ให้กับสังคม

2.เป็นแหล่งหล่อหลอมให้สมาชิกของครอบครัวสามารถดำรงตนเป็นสมาชิกที่ดีและอยู่ในสังคมได้

3.ช่วยเสริมสร้างและปลูกผังบุคลิกภาพให้กับสมาชิกในครอบครัว

4.ช่วยทำหน้าที่แทนสถาบันทางสังคมอื่น

29. ข้อใดคือการสิ้นสภาพครอบครัว

(1) ตาย (2) หย่า (3) การมีภรรยาน้อย

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 การสิ้นสภาพครอบครัว มี 2 ประการ คือ

1.การสิ้นโดยธรรมชาติ เป็นการสิ้นสภาพครอบครัวในรูปของความตาย

2.การสิ้นโดยกติกาทางสังคม (การสิ้นตามกฎหมาย) แบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ การหย่า และศาลสั่ง (สั่งให้การสมรสสิ้นสุดลง)

30. ศาสนาประกอบด้วยลักษณะตามตัวเลือกใด

(1) มีศาสดาผู้ก่อตั้ง (2) มีคำสอน (3) มีหลักความเชื่อ

(4) มีพิธีกรรม (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ศาสนาต้องประกอบด้วยลักษณะทั้งหมดหรือส่วนมาก ดังต่อไปนี้

1. มีศาสดาผู้ก่อตั้ง 2. มีคำสอนเกี่ยวกับหลักศีลธรรมจรรยา 3. มีหลักความเชื่อถือ อันเป็นที่หมาย 4. มีพิธีกรรม 5. มีสถาบันทางศาสนา

31. ศาสนาจุลภาค หมายถึงข้อใด

(1) ศาสนาหลัก

(2) ศาสนาสถาบัน

(3) การผูกพันอยู่กับสภาวะเหนือธรรมชาติ

(4) ความเชื่อที่มีรูปแบบมั่นคง

(5) ความเชื่อจากข้อกำหนดของสังคม

ตอบ 3 ศาสนาโดยการยอมรับ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

1.ศาสนามหัพภาค หมายถึง ศาสนาหลักหรือศาสนาสถาบัน ซึ่งเป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้น

จากข้อกำหนดของสังคม และมีรูปแบบความเชื่อที่มั่งคง มักเป็นศาสนาของโลกหรือเป็นที่

ยอมรับกันทั่วโลก เช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ

2.ศาสนาจุลภาค หมายถึง ศาสนาย่อยหรือศาสนาธรรมชาติ ซึ่งเป็นระบบความเชื่อที่ผูกพันอยู่

กับสภาวะเหนือธรรมชาติ โดยจะยอมรับนับถือกันเฉพาะคนบางกลุ่มบางเหล่าเท่านั้น เช่น

การนับถือผีบรรพบุรุษ การนับถือวิญญาณ การนับถือไสยศาสตร์ เครื่องราง ฯลฯ

32. ท่านใดกล่าวถึงความสำคัญของศาสนาว่า “มีประโยชน์ในด้านปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก”

(1) ฟรอยด์ (Freud)

(2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) เวเบอร์ (Weber)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

(5) วอร์เนอร์ (Warner)

ตอบ 1 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1.ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2.มาร์กซ์ (Marx) ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3.มาลินนอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอนหรือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ศาสนาหรือพิธีกรรม

33. ข้อใดไม่ใช่ความเชื่อประเภทอเทวนิยม

(1) อาศัยเหตุผล

(2) เน้นความเป็นจริง

(3) พิสูจน์ได้ตามหลักเหตุผล

(4) ผูกพันกับเทพเจ้า

(5) เกิดจากสติปัญญาของมนุษย์

ตอบ 4 อเทวนิยม เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความจริงเป็นสำคัญโดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้าหรือไม่ผูกพันอยู่กับสภาวะเหนือธรรมชาติ เน้นหลักคำสอนทางศาสนาที่มีอยู่ตามความเป็นจริงเป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นระบบความเชื่อที่เกิดจากความก้าวหน้าด้านสติปัญญาของมนุษย์

34. พุทธศาสนามีคำสอนให้รู้จักใช้วิญญาณ ไม่เชื่อใครง่าย ๆ ใช้หลักเหตุผลคือข้อใด

(1) กาลามสูต (2) กาลามสูตร (3) กาลลามสูต (4) กาลลามสูตร (5) พระไตรปิฎก

ตอบ 2 พระพุทธศาสนามีคำสอนปรากฏใน “กาลามสูตร” ซึ่งสอนให้รู้จักการใช้วิจารณญาณโดยการไม่เชื่อใครง่าย ๆ แต่ให้ใช้หลักเหตุผล และเชื่อโดยไตร่ตรองด้วยสติปัญญา โดยมีหลัก 10 ข้อเช่น 1. อย่าเชื่อโดยได้รับฟังกันมา 2. อย่าเชื่อโดยเห็นว่าเป็นของเก่า 3. อย่าเชื่อโดยเป็นข่าวลือ 4. อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา เป็นต้น

35. ใครเป็นคนกล่าวว่า “การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม”

(1) ค้องท์ (Comte) (2) อริสโตเติล (Aristotle) (3) เบคอน (Bacon)

(4) เพลโต (Plato) (5) ซอคคราติส (Socrates)

ตอบ 2 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน เช่น

1.พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2.อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรมแห่งอาณาจักร

3.ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4.รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ ธิติ สุขุมสัญญา และปัญญา

36. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับการเมือง

(1) การวิจัยเพื่อทำให้เกิดการพัฒนาในโรงงาน

(2) ประเทศสหรัฐอเมริกาปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาเพื่อเน้นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(3) สังคมอุตสาหกรรมต้องการผู้ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี

(4) เทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการในสถานประกอบการ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 กรณีตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับการเมือง ได้แก่

1.ประเทศเยอรมันในยุคฮิตเลอร์ ได้มีการสังหารหมู่คนเชื้อสายยิวเป็นจำนวนมากซึ่งทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถหลบหนีออกจากประเทศไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา เช่น ไอน์สไตน์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ

2.ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผลอันเนื่องมาจากสหภาพโซเวียตสามารถส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกได้เป็นชาติแรกทำให้รัฐบาลอเมริกันรู้สึกเสียเกียรติภูมิในวงการเมืองระหว่างประเทศ ฯลฯ

37. ข้อใดแสดงถึงประเภทความรู้ของ “ปรัชญาการอุดมศึกษา” เพื่อความเลอเลิศทางปัญญา

(1) วิชาการ (2) วิชาชีพ (3) วิชาชื่นชอบ

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 ปรัชญาการอุดมศึกษา แบ่งออกเป็น 2 แนว ดังนี้

1.ปรัชญาการอุดมศึกษาแนวที่หนึ่ง ให้ความสำคัญกับวิชาการและวิชาชื่นชอบเป็นอันดับแรกโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเลิศเลอทางปัญญาหรือความเป็นเลิศทางวิชาการ

2.ปรัชญาการอุดมศึกษาแนวที่สอง เน้นวิชาชีพและวิชาชูชาติหรือวิชาช่วยชุมชน โดยมีลักษณะในเชิงเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิ์คติ เพื่อนำความรู้มาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์

38. ข้อใดคือมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาในปัจจุบัน

(1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

(3) มหาวิทยาลัยมหิดล (4) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(5) มหาวิทยาลัยทักษิณ

ตอบ 4 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาของไทยซึ่งได้เปิดสอนครั้งแรกในปีพ.ศ. 2514 โดยมีลักษณะของการเป็นมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาคือ เปิดกว้างในแง่จำนวน เปิดกว้างในแง่อายุ และเปิกกว้างในแง่ความหลากหลายของประสบการณ์

39. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ “การศึกษาควรเป็นการสัมผัสกับความจริง”

(1) การศึกษาเพื่อการพัฒนา (2) การศึกษาเพื่อสร้างนักวิชาการ

(3) การศึกษาควรสนใจหาความรู้ทุกเรื่อง (4) การศึกษาควรเรียนรู้จากทฤษฎี

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ชูมัคเกอร์ (Schumacher) เห็นด้วยกับแนวคิด “การศึกษาเพื่อการพัฒนา”โดยเขากล่าวว่าประเด็นหลักของการศึกษาควรเป็นการเกี่ยวพันหรือการสัมผัสกับความเป็นจริง

40. สำนักงานใหญ่ของ “มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ” ตั้งอยู่ที่เมืองใด

(1) นิวยอร์ก (2) โตเกียว (3) ลอนดอน (4) ปารีส (5) โรม

ตอบ 2 มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (United University: UNU) มีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มให้มีสถาบันแห่งนี้ขึ้นคือ นายอูถั่น (U Thant) อดีตเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นชาวพม่า

41. การเปลี่ยนแปลงทางประชากรในแต่ละสังคมเกิดจากอะไร

(1) การเกิด

(2) การตาย

(3) การย้ายถิ่น

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่

1. การเกิดหรือการเจริญพันธุ์ 2. การตาย 3. การอพยพหรือย้ายถิ่น

42. การเพิ่มของประชากรโลกก่อนปี ค.ศ. 1950 เกิดขึ้น ณ ภูมิภาคใด

(1) เอเชีย

(2) ยุโรป

(3) ลาตินอเมริกา

(4) แอฟริกา

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 การเพิ่มของประชากรโลกก่อนปี ค.ศ. 1950 มีอัตราการเพิ่มอย่างสูงในบริเวณภูมิภาคยุโรป และบริเวณที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่เท่านั้น แต่หลังจากปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างสูงของประชากรโลกได้มาเกิดขึ้นในบริเวณภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา

43. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ “การกระจายตัวของประชากรโลก” ในอนาคต

(1) ประเทศที่พัฒนามีจำนวนประชากรมากกว่าประเทศกำลังพัฒนา

(2) ประชากรที่อยู่ในเมืองมีจำนวนประชากรมากกว่าชนบท

(3) เมืองในประเทศกำลังพัฒนาจะกลายเป็นเมืองขนาดยักษ์ที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่น

(4) เมืองไนประเทศที่พัฒนาแล้วจะกลายเป็นเมืองขนาดยักษ์ที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่น

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 แนวโน้มการกระจายตัวของประชากรโลกในอนาคตนั้นพบว่า “ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะมีจำนวนประชากรมากกว่าชนบท” โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการอพยพจากชนบทเข้าสู่เมือง ทำให้เกิดปัญหาการเติบโตของเมืองต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่เมืองขนาดยักษ์ (Gigantism) ซึ่งในปัจจุบันก็กำลังกลายเป็นปัญหาร่วมระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา

44. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเพิ่มประชากรในประเทศไทย

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรไทยมีอัตราเพิ่มสูง

(2) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรไทยมีอัตราเพิ่มสูง

(3) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรไทยมีอัตราการตายลดลง

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 การเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศไทยนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับการเพิ่มขึ้นของประชากรในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา โดยจะเพิ่มช้าในตอนแรกแล้วค่อย ๆ เร็วขึ้นในตอนหลังโดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสาเหตุที่ไทยมีอัตราเพิ่มของประชากรเร็วก็เนื่องมาจากอัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็วและอัตราการเกิดยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการขยายงานด้านสาธารณสุขทำให้คนมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

45. ประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร

(1) เกิดสูง ตายสูง (2) เกิดสูง ตายต่ำ (3) เกิดต่ำ ตายสูง

(4) เกิดต่ำ ตายต่ำ (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 การเปลี่ยนแปลงทางประชากรประกอบด้วยขั้นหรือระดับความผันแปรได้ 4 – 5 ขั้น คือ

1.ขั้นที่อัตราการเกิดสูงและอัตราการตายสูง ซึ่งประชากรสูง ซึ่งประชากรต่อสู้เพื่อการมีชีวิตรอดในสมัยก่อนประวัติศาสตร์

2.ขั้นที่อัตราการเกิดสูงและอัตราการตายลดลง ซึ่งปรากฏในยุโรปราวศตวรรษที่ 17 – 18

3.ขั้นที่อัตราการเกิดเริ่มลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าอัตราการตาย ปรากฏเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาในตอนปลายศตวรรษที่ 19

4.ขั้นที่ทั้งอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ในระดับต่ำเท่าเทียมกัน พบได้ในสังคมส่วนใหญ่ของยุโรปและประเทศที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสูง

5.ขั้นที่อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด พบในเยอรมันตะวันตก

46. สังคมลักษณะใดที่มีการจัดระดับช่วงชั้นอย่างซับซ้อน

(1) สังคมชนเผ่าเร่ร่อน (2) สังคมเพาะปลูก (3) สังคมอุตสาหกรรม

(4) สังคมชนบท (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 การจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม เป็นระบบซึ่งใช้เพื่อแบ่งแยกระดับความแตกต่างของแต่ละบุคคลตลอดจนการเปลี่ยนแปลงระดับของคนในแต่ละสังคมและแต่ละกลุ่ม ยิ่งสังคมเจริญมากขึ้นหรือความแตกต่างของคนมีมากขึ้นแล้ว จะเป็นผลทำให้มีการจัดลำดับช่วงชั้นซับซ้อนตามด้วย

47. ข้อใดเป็นระบบช่วงชั้น ซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว

(1) ชนชั้น (2) ฐานันดร (3) วรรณะ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพซึ่งจำกัดบุคคลที่จะให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด โดยระบบวรรณะเป็นระบบช่วงชั้นซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว

48. วิธีการใดที่ใช้ศึกษาการจำลำดับช่วงชั้นของคนในสังคมโดยดูจากชื่อเสียง

(1) การประเมินค่าบุคคลโดยบุคคลอื่น (2) การวิเคราะห์บทบาทที่บุคคลแสดงอยู่

(3) การสุ่มตัวอย่าง (4) การประเมินตนเองว่าอยู่ในชนชั้นใด

(5) การศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่การงานของบุคคล

ตอบ 1 หลักเกณฑ์ที่ใช้ศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นของคนในสังคมมี 3 วิธี คือ

1.การศึกษาแบบวัตถุวิสัย ซึ่งศึกษาโดยการวิเคราะห์ปัจจัยเกี่ยวกับรายได้ อาชีพ อำนาจตำแหน่ง และทรัพย์สมบัติ

2.การศึกษาแบบอัตวิสัย ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้สึกของบุคคลที่คิดว่าตนเองอยู่ในชนชั้นใดของสังคม

3.การศึกษาโดยดูจากชื่อเสียง ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินค่าบุคคลโดยบุคคลอื่น

49. “บุคคลที่เกิดในตระกูลเก่าแก่ มั่งคั่ง ผู้ดีเก่า” ในทัศนะของวอร์เนอร์ (Warner) จัดอยู่ในชนชั้นใด

(1) ชนชั้นสูงระดับสูง (2) ชนชั้นสูงระดับกลาง (3) ชนชั้นสูงระดับต่ำ

(4) ชนชั้นกลางระดับสูง (5) ชนชั้นกลางระดับต่ำ

ตอบ 1 วอร์เนอร์ (Warner) ได้แบ่งระดับชั้นทางสังคมออกเป็น 6 ชนชั้น ดังนี้

1.ชนชั้นสูงระดับสูง ได้แก่ พวกปัญญาชนที่มีตระกูลเก่าแก่ มีความมั่งคั่ง ผู้ดีเก่า

2.ชนชั้นสูงระดับต่ำ ได้แก่ พวกเศรษฐีใหม่ กิริยามารยาทยังไม่สุภาพ มีการศึกษาไม่สูงนัก

3.ชนชั้นกลางระดับสูง ได้แก่ ครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในอาชีพปานกลาง

4.ชนชั้นกลางระดับต่ำ ได้แก่ พวกเสมียน พนักงาน คนงานมีฝีมือ

5.ชนชั้นต่ำระดับสูง ได้แก่ คนงานกรรมกรที่ไม่ค่อยมีฝีมือ ให้ความเชื่อถือได้

6.ชนชั้นต่ำระดับต่ำ ได้แก่ คนงานกรรมกรที่ไม่มีฝีมือ

50. ข้อใดเป็น “การจราจรภาพทางสังคม” แบบแนวดิ่ง

(1) กรรมกรที่ไร้ฝีมือเปลี่ยนเป็นกรรมกรที่มีฝีมือ

(2) ช่างไม้เปลี่ยนเป็นช่างปูน

(3) พนักงานขายเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นพนักงานขายเครื่องสำอาง

(4) ชาวนาเปลี่ยนเป็นชาวไร่

(5) พนักงานดูแลความปลอดภัยทำหน้าที่ดูแลตึกสูง 8 ชั้น

ตอบ 1 การจราจรภาพทางแนวดิ่งหรือแนวตั้ง อาจเป็นไปได้ 2 ทาง คือ

1.การจราจรภาพในทางที่ต่ำลง เช่น บุคคลซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปเป็นบุคคลธรรมดาไม่มีตำแหน่งใด ๆ การเป็นอาจารย์เปลี่ยนมาเป็นคนขายของ ฯลฯ

2.การจราจรภาพในทางที่สูงขึ้น เช่น สามัญชนไปแต่งงานกับกษัตริย์ก็จะเปลี่ยนสถานภาพในทางที่สูงขึ้น กรรมกรที่ไร้ฝีมือเปลี่ยนเป็นกรรมกรที่มีฝีมือ ฯลฯ

51. “บุคคล กลุ่มสังคม พยายามควบคุมพฤติกรรมตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น ด้วยวิธีการสื่อความหมายต่าง ๆ โดยแต่ละแบบมีเจตนาซ่อนเร้นเหตุผล เพื่อทำให้ผู้รับข่าวสารจักได้เกิดความเชื่อถือในเรื่องนั้น ๆ” เป็นหลักการของกลไกอะไร

(1) วัฒนธรรม

(2) กลอุบาย

(3) แลกเปลี่ยน

(4) กฎระเบียบ

(5) บังคับ

ตอบ 2 กลไกกลอุบาย เป็นหลักการซึ่งใช้โดยบุคคลหรือกลุ่มเพื่อพยายามที่จะควบคุมพฤติกรรมตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นด้วยวิธีการสื่อความหมายต่าง ๆ โดยแต่ละแบบนั้นการสื่อข้อความจะมีเจตนาที่พยายามซ่อนเร้นเหตุผลที่แท้จริง เพื่อทำให้ผู้รับข่าวสารเกิดความเชื่อถือในเรื่องนั้น ๆ

52. กลไกอะไรจัดเป็นกลไกกลอุบายแบบใช้ถ้อยคำภาษา (Verbal Manipulation)

(1) การโฆษณาชวนเชื่อ (2) เรื่องตลกขบขัน การใช้ภาษาเฉพาะ

(3) การพูดโกหก การให้สมญา (4) ข้อ 2 และ 3 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 การควบคุมทางสังคมด้วยกลไกกลอุบาย มี 2 วิธี คือ

1.กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา (Verbal Manipulation) ได้แก่ การโฆษณาชวนเชื่อเรื่องตลกขบขัน การพูดปดมดเท็จ การให้สมญา (เช่น เฒ่าหัวงู ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง) และการใช้ภาษาเฉพาะ

2.กลอุบายที่ไม่ใช่ถ้อยคำภาษา (Nonverbal Manipulation) ได้แก่ การจัดฉากและการแสดง การปิดบังข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ การหนีปัญหาและการเกณฑ์เอาเป็นพวก

53. “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ…” จัดเป็นผลมาจากกลไกอะไร

(1) การรวมตัวอย่างถาวร (Permanent Unification)

(2) การรวมตัวชั่วคราว (Temporary Unification)

(3) การรวมเป็นบางส่วน (Partial Unification)

(4) แลกเปลี่ยน (Exchange)

(5) กลอุบาย (Manipulative)

ตอบ 1 การรวมตัวอย่างถาวร (Permanent Unification) เป็นกลไกที่จะนำมาใช้เมื่อบุคคลกลุ่มหรือสังคมต่าง ๆ ได้ตัดสินใจมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุก ๆ เรื่อง ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการรวมกันจะเป็นการรวมพลังที่ก่อให้เกิดความมั่นคง และจะมีสิ่งสูญเสียเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีสิ่งสูญเสียเลย ดังจะเห็นได้จากเนื้อเพลงชาติไทยที่ว่า “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ…”

54. วิธีการควบคุมสังคมให้มีระเบียบตามแนวคิดของนักสังคมวิทยาคืออะไร

(1) การให้รางวัลโดยตรง (2) การให้รางวัลด้วยสัญลักษณ์

(3) การลงโทษด้วยสัญลักษณ์ (4) การลงโทษทางร่างกายโดยตรง

(5) การให้รางวัล (Rewards) และการลงโทษ (Punishments)

ตอบ 5 การให้รางวัล (Rewards) และการลงโทษ (Punishments) เป็นวิธีการควบคุมสังคมให้มีระเบียบและจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่สังคมยอมรับซึ่งนักสังคมวิทยาเน้นว่าในทางปฏิบัติไม่มีระบบการควบคุมใดมีประสิทธิภาพเท่ากับการบังคับใช้ (Sanctions) ซึ่งก็คือการให้รางวัลและการลงโทษนั่นเอง

55. “บรรทัดฐาน สถานภาพและบทบาท การบังคับใช้ กลุ่ม ความแตกต่างและช่วงชั้นทางสังคม”จัดเป็นกลยุทธ์ในการควบคุมสังคมแบบใด

(1) กลไกทางวัฒนธรรม (Cultural Strategies)

(2) กลไกแลกเปลี่ยน (Exchange Strategies)

(3) กลไกกฎระเบียบ (Procedural Strategies)

(4) กลไกกลอุบาย (Manipulative Strategies)

(5) กลไกบังคับ (Coercive Strategies)

ตอบ 1 กลไกทางวัฒนธรรม (Cultural Strategies) ที่ใช้ในการควบคุมทางสังคมประกอบด้วย

1.บรรทัดฐาน 2. การบังคับใช้ 3. สถานภาพและบทบาท 4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. ความแตกต่างทางสังคมและชั้นทางสังคม

56. ผู้ใดเห็นว่ารัฐ (State) สำคัญกว่าสังคม (Society)

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) โบแดง (Bodin) (3) เฮเกล (Hegel)

(4) ข้อ 2 และ 3 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 โบแดง (Bodin) และเฮเกล (Hegel) เป็นผู้ที่เห็นตรงกันข้ามว่า “รัฐมีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่ารัฐ” ส่วนมาร์กซ์ (Marx) เป็นผู้ที่เห็นตรงกันข้ามว่า “สังคมมีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่ารัฐ”

57. แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่าการจัดระเบียบบริหารงานแบบราชการ (Bureaucracy) มีลักษณะอย่างไร

(1)ยึดถือมาตรฐานความเป็นกลางหรือยึดระบบคุณธรรม (Merit System)

(2)ยึดความเสมอภาคที่ว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน ; All men are created equal”

(3)ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันสังคมและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยระยะแรก

(4)ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่า การจัดระเบียบบริหารงานแบบราชการ(Bureaucracy) จะมีลักษณะทั้งความประสานและความขัดแย้งเกิดขึ้นในตัวยึดมาตรฐานความเป็นกลางหรือระบบคุณธรรม (Merit System) และยึดความเสมอภาคที่ว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน” (All men are created equal) ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันสังคม และมีผลต่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ แต่ถ้าใช้ระบบราชการเกินขอบเขตก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อประชาธิปไตย เพราะรัฐจะกลายเป็นผู้มีอำนาจมากเกินไป เช่นเดียวกับระบบสังคมนิยม ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคลและทำลายเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมาก

58. แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่า “การจัดระเบียบบริหารงานแบบราชการ ; Bureaucracy”ในเชิงที่เป็นโทษต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย คืออะไร

(1) หากนำสิ่งดังกล่าวมาใช้เกินขอบเขตจะทำให้รัฐมีอำนาจมาก

(2) เมื่อรัฐมีอำนาจมากจักนำสังคมไปสู่ระบบสังคมนิยม

(3) รัฐมีอำนาจมากเป็นภัยคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคล การดังกล่าวเป็นการทำลายเสถียรภาพทางการเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

59. ปัจจัยอะไรสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย

(1) ระดับการศึกษา (2) ฐานะทางเศรษฐกิจ (3) การมีลักษณะเป็นเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ปัจจัยที่สนับสนุนหรือเอื้อต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ได้แก่

1. ระดับการศึกษาของประชาชน 2. การพัฒนาทางเศรษฐกิจ 3. บุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย

4. เสถียรภาพของสถาบันทางการเมือง 5. พัฒนาทางการปกครองและการบริหาร

60. การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีเสถียรภาพ ตามแนวความคิดของทอคเกอวิลล์ (Alexis de

Tocqueville) เห็นว่าควรจะมีสิ่งใด

(1) สหจิต (Consensus)

(2) ความขัดแย้ง (Conflict)

(3) กฎเหล็กแห่งคณาธิไตย (Iron Law of Oligarchy)

(4) สหจิต (Consensus) และความขัดแย้ง (Conflict)

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) มองว่า การเมืองแบบประชาธิปไตยจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อมีดุลยภาพระหว่างความเข้าใจกันได้หรือสหจิต (Consensus) และความขัดแย้ง (Conflict) ดังนั้นเพื่อก่อให้เกิดดุลยภาพดังกล่าวเขาจึงต้องการสนับสนุนให้มีระบบการเมืองแบบกลุ่มหลากหลายขึ้นในสังคม คือ ให้มีอิสระและมีความแตกต่างในการปกครองท้องถิ่น ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจไปรวมอยู่ที่รัฐซึ่งเป็นศูนย์กลางแต่เพียงแห่งเดียว

61. ลักษณะพฤติกรรมฝูงชนที่ “ไม่มีโครงสร้าง” หมายถึงในฝูงชนไม่มีสิ่งใดที่ได้กำหนดไว้ก่อน

(1) บรรทัดฐาน

(2) สถานภาพและบทบาท

(3) การให้รางวัลและการลงโทษ

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 พฤติกรรมฝูงชน มีลักษณะที่สำคัญดังนี้

1.เกิดขึ้นแบบทันทีทันใดและดำรงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น

2.ไม่มีโครงสร้าง หมายถึง ไม่มีการกำหนดสถานภาพ บทบาท และความสัมพันธ์ของสมาชิก

3.สมาชิกที่เข้าร่วมมีจำนวนไม่แน่นอน

4. ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมควบคุม

5. ไม่มีตัวตน

6. ไม่มีการเจาะจงตัวบุคคล

7. อยู่ในสภาวะที่ชักจูงได้ง่าย

8. มีการระบาดทางอารมณ์

62. ลักษณะของพฤติกรรมฝูงชนคืออะไร

(1) ไม่มีโครงสร้าง

(2) จำนวนสมาชิกไม่แน่นอน

(3) ไม่มีบรรทัดฐาน ชักจูงง่ายและมีการระบาดทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

63. ฝูงชนวุ่นวาย (Mob) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การลงประชาทัณฑ์ (Lynching Mob) (2) การจลาจล (Riot)

(3) ออร์จี (Orgy) (4) ความแตกตื่น (Panic)

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ประเภทของฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือฝูงชนวุ่นวาย (Mob) ซึ่งแบ่งออกตามจุดประสงค์และความรุนแรง ได้แก่

1.Lynching Mob เช่น การรุมประชาทัณฑ์ การจับผู้ที่คิดว่ากระทำผิดแขวนคอ

2.การจลาจล (Riot) เช่น การจลาจลด้านเชื้อชาติ ศาสนา และความยุติธรรม

3.Orgy เช่น การมั่วสุมทางเพศ การคลั่ง เต้นรำ กินเหล้า

4.ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม น้ำท่วม

64. วิธีการควบคุมพฤติกรรมฝูงขนที่ไม่นิยมนำมาใช้เพราะอาจลุกลามจนยากที่จะควบคุมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ให้สติสมาชิกที่เข้าร่วมฝูงชน เพื่อมีปัญญาไม่เกิดอารมณ์คล้อยตาม

(2) การเกณฑ์ผู้นำมาเป็นพวก

(3) ใช้กำลังบังคับ

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 การควบคุมพฤติกรรมฝูงชนที่จัดเป็นการควบคุมจากภายนอก ได้แก่

1. โดยสภาพดินฟ้าอากาศ 2. โดยการเข้าแทรกแซงเพื่อแยกฝูงชนให้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ

3. โดยการใช้กำลังบังคับ ซึ่งเป็นวิธีที่รุนแรงจึงไม่นิยมนำมาใช้เพราะอาจลุกลามไปสู่เรื่องอื่นๆได้

65. ประโยชน์ของพฤติกรรมฝูงชนคืออะไร

(1) ผ่อนคลายพิธีการที่ตึงเครียดลง เช่น ฝูงชนชุมนุม ดูกีฬา ฟังเพลง

(2) ใช้สภาวการณ์ฝูงสนับสนุนอาชีพหรือความสำคัญของตนเองในรูปของ “หน้าม้า”

(3) เปลี่ยนกลุ่มเขาหรือกลุ่มวงนอกให้เป็นกลุ่มเราหรือกลุ่มวงใน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ประโยชน์ของพฤติกรรมฝูงชน ได้แก่

1.เป็นการผ่อนคลายพิธีการที่ตึงเครียดลง เพราะบรรยากาศเป็นกันเอง เช่น ฝูงชนงานเลี้ยงงาน เต้นรำ การแข่งขันกีฬา

2.อาศัยสภาวการณ์ของฝูงชนที่สนับสนุนอาชีพหรือความสำคัญของตนเอง โดยนักแสดงหรือนักพูดบางคนจะลงทุนจ้าง “หน้าม้า” มาเป็นผู้นำในการปรบมือโห่ร้อง

3.เป็นการสร้างความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลขึ้น จากการเป็นกลุ่มเขาหรือกลุ่มวงนอก(Out-Group) มาเป็นกลุ่มเราหรือกลุ่มวงใน (In-Group)

66. “พฤติกรรมของกลุ่มในลักษณะที่บุคคลทั้งหลายในกลุ่มนั้น กระทำด้วยแรงจูงใจ ความรู้สึกและทัศนคติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนว่ากลุ่มนั้นคือ คนคนเดียว” เป็นความหมายของอะไร

(1) จำนวนรวม (Aggregation)

(2) จำแนกพวก (Collective Behavior)

(3) กลุ่มสังคม (Social Group)

(4) พฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behavior)

(5) กลุ่มอ้างอิง (Reference Group)

ตอบ 4 พฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behavior) เป็นพฤติกรรมการแสดงออกของฝูงชนในลักษณะที่บุคคลทั้งหลายภายในกลุ่มนั้น กระทำด้วยแรงจูงใจ ความรู้สึก และทัศนคติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนว่ากลุ่มนั้นคือ คนคนเดียว ดังนั้น สภาพแห่งการเป็นพฤติกรรมรวมหมู่จึงมีผลทางจิตวิทยาสังคม ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันว่าทุก ๆ คนจะมีอารมณ์ ความหวังและวัตถุประสงค์เดียวกันในการกระทำใด ๆ

67. ข้อใดคือการแก้ปัญหาสังคมแบบย่อย (Piecemeal)

(1) การแก้ปัญหาความยากจนโดยแจกอาหาร

(2) การแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยการแจกถุงยังชีพ

(3) การแก้ปัญหาไฟไหม้โดยสร้างที่พักชั่วคราว

(4) การแก้ปัญหาโรคระบาดโดยแจกยา

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม อาจแบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1.การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลนและช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ อาหาร ยารักษาโรค และการสร้างที่พักชั่วคราวฯลฯ

2.การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผนมาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบและปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

68. ปัจจัยใดที่ทำให้เกิดปัญหาความยากจนในภูมิภาคเอเชีย

(1) การว่างงาน

(2) สภาพของดินฟ้าอากาศ

(3) คนร่ำรวยมีโอกาสเพิ่มพูนรวยได้มากกว่าคนยากจน

(4) ความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์และโชคลาง

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาความยากจนในประเทศกำลังพัฒนา มีดังนี้

1. สภาพของดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ได้ผลิตผลต่ำ

2. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและสังคม เช่น มีความเชื่อถือทางด้านไสยศาสตร์ และโชคลางของขลังมากเกินไป

4.การพัฒนาเศรษฐกิจยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะคนร่ำรวยมีโอกาสเพิ่มพูนรายได้ของตนมากกว่าคนยากจน

5.ขาดดุลการค้ามาก 5. การว่างงาน 6. การกระจายรายได้ยังใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

69. เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาลหมอชาวกรีก ฮิปโปเครตีส ค้นพบน้ำยาสกัดจากฝิ่นสามารถใช้รักษาโรคใด

(1) หอบหืด (2) หัวใจ (3) ทางเดินอาหาร

(4) ขจัดความเจ็บปวด (5) หวัด

ตอบ 4 เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล มีหมอชาวกรีกชื่อ ฮิปโปเครตีส ได้ค้นพบน้ำยาชนิดที่สกัดจากฝิ่นสามารถใช้รักษาโรคได้ โดยชาวอียิปต์และชาวจีนใช้ยานี้เพื่อรักษาและขจัดความเจ็บปวด ดังนั้นแต่เดิมมนุษย์เราจึงรู้จักแต่ส่วนดีของยาเสพติด

70. สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เสนอวิธีการใดในการแก้ปัญหาสังคม

(1) จ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเป็นที่ปรึกษา

(2) ส่งนักวิชาการไทยไปศึกษาต่างประเทศให้มากขึ้น

(3) พัฒนาแบบไทย ๆ ไม่ลอกเลียนต่างชาติ

(4) เปิดการค้าเสรีกับต่างประเทศให้มากขึ้น

(5) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น

ตอบ 3 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เห็นว่า ความยากจนทำให้เกิดปัญหาสังคม และในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง ควรพัฒนาในแบบไทย ๆ ไม่ควรลอกเลียนต่างชาติมากเกินไป

71. ข้อใดคือโรคประสาทนิวราสธิเนีย (Neurasthenia)

(1) กลัววัตถุสิ่งของและทุกสิ่งทุกอย่าง

(2) วิตกกังวลกลัวว่าจะได้พบในสิ่งที่ตัวเกลียด

(3) ย้ำคิดย้ำทำ

(4) คิดว่าตนเองเจ็บป่วย

(5) มึนศีรษะ หงุดหงิด คิดว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ไม่น่าอยู่

ตอบ 5 โรคประสาท สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 ประเภท คือ

1. โรคประสาทหวาดกังวล มักวิตกกังวลกลัวว่าจะได้พบในสิ่งที่ตัวเกลียด

2. โรคประสาทตื่นกลัว มักกลัววัตถุสิ่งของและทุกสิ่งทุกอย่าง

3. โรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ

4. โรคประสาทเศร้า

5. โรคประสาทนิวราสธิเนีย (Neurastyenia) มักมึนศีรษะ หงุดหงิด นอนไม่หลับ และคิดว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ไม่น่าอยู่

6. โรคประสาทดีเปอร์ซันนัลไลเซชั่น (Depersonalization) มักรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวไม่น่าอยู่

7.โรคประสาทสุขภาพ มักคิดว่าตนเองเจ็บป่วย

8.โรคประสาทฮีสทีเรีย (Hysteria) มักทำงานอย่างใจลอย อ่อนเพลี ไม่มีแรง เพราะขาดแรงจูงใจและแรงกระตุ้น

72. ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการทำแท้งคืออะไร

(1) การจัดการเรียนแบบสหศึกษา

(2) การเปิดสอนเพศศึกษาในระดับมัธยมศึกษา

(3) พ่อแม่ปล่อยปละละเลยทำแต่งานไม่มีเวลาให้ลูก

(4) คลินิกเถื่อนมีมาก

(5) ยาเสพติด

ตอบ 5 ยาเสพติดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการทำแท้งขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อเสพเข้าไปแล้ว พอยาออกฤทธิ์จะรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็สวยงามไปหมด โลกนี้น่าอยู่ จนลืมความทุกข์ยากทรมานและลืมปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังประสบอยู่

73. เกณฑ์ใดที่นิยมนำมาจำแนกชนกลุ่มน้อย

(1) ความทันสมัย (2) ชาติพันธุ์ (3) ระดับการศึกษา

(4) ฐานะทางการเมือง (5) รายได้

ตอบ 2 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1.ความแตกต่างด้านเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ (Race) ซึ่งแสดงออกมาเป็นลักษณะ ทางกายภาพเช่น รูปร่าง สีผิว สีผม ฯลฯ

2.ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนาขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลฯ

3.ความแตกต่างด้านกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดย พันธุกรรม แต่เนื่องจากเป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณาจากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ)

74. ข้อใดคือชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของชนกลุ่มน้อย

(1) กลุ่มด้วยอิทธิพล (2) กลุ่มมวลชน (3) คนชายขอบ

(4) ชนต่างวัฒนธรรม (5) กลุ่มถูกลิดรอนผลประโยชน์

ตอบ 4 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวนนักวิชาการบางท่านจึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นกลุ่มที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย

75. สังคมแบบทวิวัฒนธรรมที่ชัดเจนที่สุดได้แก่ข้อใด

(1) ไทย (2) จีน (3) สวิตเซอร์แลนด์ (4) สหรัฐอเมริกา (5) แคนาดา

ตอบ 5 สังคมลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดจากการมีชนต่างวัฒนธรรมในสังคมนั้น ๆ มีดังนี้

1.สังคมหลากหลายหรือพหุสังคม (Plural Society) คือ สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายศาสนา และหลายวัฒนธรรม อาศัยรวมอยู่ปะปนกัน จึงเกิดมีบริเวณวัฒนธรรมและอนุวัฒนธรรมที่แตกต่างกันขึ้นมา เช่น สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

2.สังคมแบบทวิวัฒนธรรม (Cultural Dualism) คือ สังคมที่มีประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจาก 2 เชื้อชาติ หรือ 2 วัฒนธรรม เช่น แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น

76. ชนกลุ่มน้อยในข้อใดขนานนามตนเองว่า “ชิคาโน”

(1) อเมริกันนิโกร (2) อเมริกันเชื้อสายยิว (3) อเมริกาเชื้อสายเม็กซิกัน

(4) อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น (5) อเมริกันเชื้อสายโปรตุเกส

ตอบ 3 ภายในหมู่ชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ อาจเกิดความรู้สึกและมีการแสดงพฤติกรรมออกมาใน2 รูปแบบ คือ

1. อคติของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อชนกลุ่มน้อย ด้วยการขนานนามกลุ่มอื่นในทางที่ไม่ดี เช่น คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก คนอินเดียถูกเรียกว่าแขก คนม้งถูกเรียกว่าแม้ว คนข่าถูกเรียกว่าผีตองเหลือง ฯลฯ

2.อคติของชนกลุ่มน้อยทีมีต่อชนกลุ่มใหญ่ ด้วยการเรียกกลุ่มของตนในทางที่ดี เช่นคนนิโกรเรียกกลุ่มของตนเองว่าอาฟโรอเมริกา คนอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกันเรียกตนเองว่าชิคาโนฯลฯ

77. ข้อใดคือความหมายของพหุสังคม (Plural Society)

(1) สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติหลายภาษา (2) สังคมที่มีคนหลายศาสนาและวัฒนธรรม

(3) สังคมที่มีอนุวัฒนธรรมแตกต่างกัน (4) สังคมที่มีบริเวณวัฒนธรรมแตกต่างกัน

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 75. ประกอบ

78. นโยบายใดเหมาะสมแก่การแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้

(1) การแยกพวก (2) การกีดกันให้อยู่แยก (3) การผสมผสานชาติพันธุ์

(4) การรวมพวก (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 นโยบายรวมพวก (Integration) หมายถึง การที่รัฐบาลยอมให้ชนต่างวัฒนธรรมยึดถือและปฏิบัติตามวัฒนธรรมรูปแบบเดิมของตนได้ และในขณะเดียวกันทั้งชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ก็ยังมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างดีในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ชนกลุ่มน้อยเกิดความรู้สึกผูกพันว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ต้องให้ความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี เช่น นโยบายแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้

79. ทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตก

(1) วิวัฒนาการ (2) โครงสร้าง – การหน้าที่ (3) วัฏจักร

(4) การขัดแย้ง (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตกโดยเชื่อว่า สังคมก้าวหน้าขึ้นจากสภาพที่อยู่กันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนและขยายตัวไปเรื่อย ๆจนกระทั่งมีความซับซ้อนสูงขึ้น ซึ่งการมีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นนั้นถือว่าเป็นความก้าวหน้า

80. แนวคิดเชิงวัฏจักรกล่าวถึงการกำเนิดของอารยธรรมว่าเกี่ยวกับความสามารถใน “การสนองตอบที่ประสบความสำเร็จต่อการท้าทายต่าง ๆ” เป็นแนวคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ทอยนบี (Toynbee) (3) สเปนเซอร์ (Spencer)

(4) เมอร์ตัน (Merton) (5) โซโรคิน (Sorokin)

ตอบ 2 ทอยนบี (Toynbee) กล่าวว่า การกำเนิดของอารยธรรมนั้นเกี่ยวกับความสามารถใน“การสนองตอบที่ประสบความสำเร็จต่อการท้าทายต่าง ๆ” กล่าวคือ อารยธรรมจะเติบโตหรือพัฒนาขึ้น หลังจากมีการสนองที่ประสบความสำเร็จต่อ ๆ กันเป็นช่วง ๆ ซึ่งการตอบสนองที่ได้ผลนี้ถือเป็นผลงานของกลุ่มน้อยหรือคนส่วนน้อยที่มีนฤมิตกรรม

81. ความเชื่อที่ว่าของที่เกิดขึ้นมาภายหลังย่อมดีกว่าของที่มีอยู่เดิมเป็นผลมาจากทฤษฎีใด

(1) การขัดแย้ง

(2) โครงสร้างและการหน้าที่

(3) วัฏจักร

(4) วิวัฒนาการ

(5) การขึ้นและลง

ตอบ 4 ทฤษฎีวิวัฒนาการทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า ของที่เกิดขึ้นมาภายหลังย่อมดีกว่าของที่มีอยู่เดิมเข้าทำนองว่าของ “ใหม่” ดีกว่าของ “เก่า” ดังจะเห็นได้จากการโฆษณาสินค้าทุกวันนี้มักหนักไปในทางที่ว่าเป็นของรุ่นใหม่หรือรุ่นล่าสุดโดยยึดข้อสมมติฐานว่าย่อมดีกว่ารุ่นเก่า

82. ทฤษฎีใดที่ไม่สนใจเรื่องความเป็นมาและการคาดการณ์ความเป็นไปในอนาตตแต่สนใจการทำหน้าที่ หรือการให้ประโยชน์ต่าง ๆ

(1)การขัดแย้ง (2) โครงสร้างและการหน้าที่ (3) วัฏจักร

(4) วิวัฒนาการ (5) ความทันสมัย

ตอบ 2 ทฤษฎีการหน้าที่หรือทฤษฎีโครงสร้างและการหน้าที่ จะเน้นในเรื่องบทบาทของแต่ละสังคมและการทำหน้าที่หรือการให้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยไม่สนใจที่จะตั้งคำถามว่าสังคมจะผ่านกระบวนการในรูปใด ไม่สนใจเรื่องความเป็นมาและการคาดการณ์ความเป็นไปในอนาคต

83. อ็อกเบิร์น (Ogburn) ย้ำว่านวัตกรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยใด

(1) ความสามารถทางสมอง (2) ความจำเป็น (3) ความรู้ที่มีอยู่

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 อ็อกเบิร์น (Ogburn) ได้ย้ำว่า นวัตกรรมขึ้นอยู่กับความสามารถทางสมอง ความต้องการ(หรือความจำเป็น) และความรู้เดิมที่มีอยู่ ดังนั้นเมื่อเป็นความต้องการของสังคมจึงได้มีการค้นคว้าศึกษาโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่พร้อมทั้งความสามารถทางปัญญาที่จะใช้ศึกษาค้นคว้า

84. “สภาพสังคมที่สลับซับซ้อนถือว่าเป็นความก้าวหน้า” เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของทฤษฎีใด

(1) วัฏจักร (2) วิวัฒนาการ (3) โครงสร้าง – การหน้าที่

(4) การขัดแย้ง (5) การขึ้นและลง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

85. ใครเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลก

(1) ค้องท์ (Comte) (2) สเปนเซอร์ (Spencer) (3) เจฟเฟอสัน (Jefferson)

(4) เลอเปล (Le Play) (5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Play)นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบทและองค์การต่าง ๆในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บ และการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

86. ตัวเลือกใดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาข้อแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท

(1) ประชากร (2) นิเวศน์ (3) สังคมและวัฒนธรรม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หลักเกณฑ์ในการพิจารณาข้อแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท มีดังนี้

1.ด้านประชากร ได้แก่ ขนาดและความหนาแน่น ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรสและระดับรายได้

2.ด้านนิเวศน์ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม การแบ่งพื้นที่ทำประโยชน์ สิ่งแวดล้อมในการทำงานการพึ่งพาระหว่างหน่วยของสังคม และอาชีพ

3.ด้านสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ สิ่งแวดล้อมด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี การเคลื่อนย้าย ฯลฯ

87. ข้อใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) แต่ละหมู่บ้านมักอยู่โดดเดี่ยว (2) มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(3) ประกอบอาชีพด้านการเกษตร (4) ผลิตเพื่อบริโภค

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีดังนี้

1.ความโดดเดี่ยว (Isolation)

2.ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity)

3.การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment)

4.การเศรษฐกิจ (ผลิต) เพื่อการบริโภค (Subsistence Economy)

88. การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านเกษตรกรรม (2) แบบไม่มีการวางแผน (3) หมู่บ้านป่าไม้

(4) หมู่บ้านสหกรณ์ (5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปจะเป็นแบบไม่มีการวางแผนโดยมีการตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งจะตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่ม ที่ดอน เนิน ชายป่า ชายเขา เส้นทางคมนาคม และส่วนใหญ่จะตั้งตามริมฝั่งน้ำ (ส่วนการตั้งถิ่นฐานชนิดที่มีการวางแผนนั้นนับว่ามีน้อยมาก คงมีแต่เฉพาะหมู่บ้านสหกรณ์ นิคมสร้างตนเองและหมู่บ้านป่าไม้ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาเท่านั้น)

89. ข้อใดเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทที่เกิดจากภายในสังคมชนบท

(1) การผสมผสานทางวัฒนธรรม (2) การเลียนแบบ (3) การพัฒนา

(4) การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (5) การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่

ตอบ 5 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในสังคมชนบทเกิดจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1.สาเหตุจากภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ฯลฯ

2.สาเหตุจากภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ การพัฒนา ฯลฯ

90. สังคมวิทยานคร ตรงกับคำศัพท์ใดในภาษาอังกฤษ

(1) Rural Sociology (2) Urban Sociology (3) Gender Sociology

(4) Climate Sociology (5) Paleo Sociology

ตอบ 2 สังคมวิทยานคร (Urban Sociology) บางครั้งจะเรียกว่า สังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง เป็นการศึกษาทางสังคมโดยเน้นหนักถึงการศึกษาชีวิตของมนุษย์ในเมืองและกระบวนการการกลายเป็นเมือง ซึ่งมักจะศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology)

91. ตัวอย่างใดที่มีลักษณะเป็นเอกนคร (Primate City)

(1) มะนิลา

(2) จาการ์ตา

(3) พนมเปญ

(4) กรุงเทพฯ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 เอกนคร (Primate City) เป็นลักษณะของเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่มากใหญ่กว่าเมืองในขนาดรอง ๆ ลงไปอย่างมากเหลือเกิน โดยที่ความเจริญของเมืองไม่ได้มาจากสาเหตุของการขยายตัวทางอุตสาหกรรม แต่มาจากการเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตัวอย่างของเมืองที่มีลักษณะเป็นเอกนคร เช่น กรุงเทพมหานครมะนิลา จาการ์ตา พนมเปญ โคลัมโบ ฯลฯ

92. “บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ซึ่งประชากรอาศัยอยู่เบาบางกว่าเขตเมืองมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า” เรียกว่าอะไร

(1) เขตเมือง (2) เขตชานเมือง (3) เขตชนบท

(4) เขตเอกบุรี (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แบ่งออกได้เป็น 3 เขตใหญ่ ๆ ดังนี้

1.เขตเมือง (Urban Area) ได้แก่ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของสถานธุรกิจการค้าและบริการต่าง ๆ เช่น ถนนเจริญกรุง เยาวราช บางลำพู ฯลฯ

2.เขตชานเมือง (Suburban Area) ได้แก่ บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ซึ่งมีประชากรอาศัยกันอยู่อย่างเบาบางกว่าในเมือง และมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า

3.เขตชนบท (Rural Area) ได้แก่ เขตที่ถัดจากชานเมืองออกไป ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีวิถีชีวิตเช่นเดียวกับชาวชนบท

93. ทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่ ทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีรูปดาว (2) ทฤษฎีรูปวงกลม (3) ทฤษฎีรูปพาย

(4) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (5) ทฤษฎีเงา

ตอบ 1 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1903 โดยอาร์.เอ็ม.เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า เมืองจะขยายตัวออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

94. เวอเนอร์ สอมบารท์ (Werner Sombart) มีทัศนะเกี่ยวกับเมืองอย่างไร

(1) เมืองคือสถานที่ธนาคารและร้านค้าตั้งอยู่

(2) เมืองเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญที่ทุกอย่างเกิดขึ้น

(3) ชาวเมืองส่วนใหญ่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานในเมือง

(4) ธรรมชาติของเมืองจะต้องเป็นกาฝากของชนบท

(5) ถนนทุกสายมุ่งสู่เมือง

ตอบ 4 ในทัศนะเกี่ยวกับเมืองที่ว่า “ธรรมชาติของเมืองจะต้องเป็นกาฝากของชนบท” นั้นเวอเนอร์ สอมบารท์ (Werner Sombart) กล่าวว่า เมืองคือที่รวมของมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรกรรมและแรงงานจากชนบทเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ความต้องการอาหารทุกวันทำให้เมืองต้องขึ้นอยู่กับเขตชนบท จึงมักจะมีคำโบราณว่า “ชนบทคือชีวิต ส่วนเมืองนั้นคือกาฝาก”

95. ความรู้ทางนิเวศวิทยามีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแล้ว หรือเรียกสาขาวิชานี้ว่าอะไร

(1) ชีววิทยา (2) ชีววิทยาสิ่งแวดล้อม (3) โบราณคดีศึกษา

(4) มานุษยวิทยาโบราณ (5) โบราณคดี

ตอบ 2 ความรู้ทางด้านนิเวศวิทยานั้นมีมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแล้ว ซึ่งเห็นได้จากข้อเขียนของนักปรัชญากรีกในสมัยก่อน แต่นิเวศวิทยาได้ถูกพิจารณาให้เป็นศาสตร์โดยอิสระเมื่อต้นศตวรรษนี้เอง โดยปกติวิชานี้ถือเป็นสาขาหนึ่งของชีววิทยา หรือบางครั้งเรียกว่า “ชีววิทยาทางสิ่งแวดล้อม”

96. “ป่า ภูเขา ทะเลทราย” เป็นตัวอย่างระบบนิเวศน์ประเภทใด

(1) Rural Ecosystems

(2) Urban Ecosystems

(3) Productive Ecosystems

(4) Managed Natural Ecosystems

(5) Mature Natural Ecosystems

ตอบ 5 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริงไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และดัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงเพื่อให้ได้ผลิตผลต่าง ๆ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆเช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่

97. พื้นที่ดินของโลก 58.4 ล้านตารางไมล์ นั้น มีพื้นที่เหมาะสมในการเพาะปลูกหรือการกสิกรรมได้ในสัดส่วนเท่าใด

(1) 1 ต่อ 5 (2) 1 ต่อ 4 (3) 1 ต่อ 3

(4) 2 ต่อ 3 (5) 3 ต่อ 5

ตอบ 3 พื้นที่ดินของโลกมีทั้งหมด 58.4 ล้านตารางไมล์ ประกอบด้วยพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือการกสิกรรม 30% (คิดเป็นสัดส่วน 1 ต่อ 3 ของพื้นที่ทั้งหมด), เป็นภูเขา 20%, เป็นทะเลทรายที่ราบสูง 20%, อยู่ใต้น้ำแข็งหรือหิมะ 20% และเป็นที่ดินประเภทอื่น ๆ อีก 10%

98. ข้อใดจัดเป็นมลพิษ (Pollutant)

(1) ตะกั่ว

(2) ปรอท

(3) กัมมันตรังสี

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 มลพิษ (Pollutant) อาจเป็นสารประกอบทางเคมีชนิดเดียว เช่น ตะกั่ว ปรอท ฯลฯ หรือสารประกอบทางเคมีหลายชนิด เช่น ดีดีที คาร์บอนมอนอกไซด์ ฯลฯ หรือการรวมตัวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นของวัตถุต่าง ๆ เช่น ตะกอนหรือของเสียจากท่อน้ำทิ้ง เสียง กัมมันตรังสี ความร้อน ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นมลพิษทั้งสิ้น

99. น้ำทะเลมีปริมาณร้อยละเท่าใดของน้ำที่มีอยู่บนโลกทั้งหมด

(1) 97 (2) 60 (3) 25 (4) 14 (5) 3

ตอบ 1 ปริมาณร้อยละของน้ำที่มีอยู่บนโลก แบ่งเป็น น้ำทะเล 97% และน้ำจืด 3%

100. คำว่า “Anthropology” มีความหมายตามรากศัพท์ว่าอะไร

(1) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของมนุษย์

(2) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตพวกไพรเมท

(3) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของมนุษย์

(4) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์

(5) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์

ตอบ 5 มนุษย์วิทยา (Anthropology) หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ โดยคำว่าAnthropology นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Anthropos แปลว่า มนุษย์และ Logia แปลว่า ความรู้ที่จัดไว้เป็นระเบียบแบบแผนแล้วหรือเป็นศาสตร์

101. ข้อใดไม่ใช่สาขาของวิชามนุษย์วิทยาวัฒนธรรม

(1) มานุษยวิทยาสังคม

(2) มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์

(3) ชาติพันธุ์วิทยา

(4) ชาติพันธุ์วรรณนา

(5) โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์

ตอบ 5 วิชามานุษยวิทยา แบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ คือ

1. มานุษยวิทยากายภาพ

2. มานุษยวิทยาวัฒนธรรม ซึ่งแบ่งแยกย่อยออกเป็น โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยาสังคม ชาติพันธุ์วิทยา และชาติพันธุ์วรรณนา

102. มานุษยวิทยากายภาพศึกษาสิ่งมีชีวิตเริ่มจากสัตว์จำพวกใด

(1) ปลาวาฬ (2) ช้าง (3) กุ้ง (4) ไพรเมท (5) ไซโตซีน

ตอบ 4 มานุษยวิทยากายภาพ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์ในแง่สรีรวิทยา โดยมุ่งเน้นการศึกษาสัตว์ตระกูล Homo Sapiens ชนิดต่าง ๆ ในด้านโครงสร้างของอวัยวะทางร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งได้พยายามค้นคว้าศึกษาวิวัฒนาการจากจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่า ไพรเมท(Primate) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนกระทั่งถึงการมีลักษณะที่เป็นรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน

103. มนุษย์จำพวกใดมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด

(1) นีแอนเดอร์ธัล (2) โครมันยอง (3) มนุษย์ปักกิ่ง

(4) ออสตราโลพิเธซัน (5) มนุษย์ชวา

ตอบ 2 มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon Man) มีชีวิตอยู่ราว 40,000 ปีมานี้เอง และเชื่อกันว่ามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้นจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนของมนุษย์ปัจจุบัน โดยมนุษย์เหล่านี้จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ เช่น Swanscombe Man, Kanam Man และ Kanjera Man เป็นต้น

104. ใครคือผู้ให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการ

(1) ไทเลอร์ (Tilor) (2) เมนเดล (Mendel) (3) ลินเน่ (Linne)

(4) ดาร์วิน (Darwin) (5) ปาสเตอร์ (Pasteur)

ตอบ 4 ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Darwin) เป็นผู้ให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการ และได้รับยกย่องว่าเป็น“บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการ” ซึ่งเขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ On the Origin of Species by Means of Natural Selection โดยได้กล่าวถึงหลักฐานการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและแนวความคิดเกี่ยวกับการเลือกสรรตามธรรมชาติ

105. ในระยะแรกเริ่ม (ปลายศตวรรษที่ 19) นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมเน้นศึกษาและวิเคราะห์วิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมใด

(1) สังคมอุตสาหกรรม (2) สังคมดั้งเดิม (3) สังคมเมือง

(4) สังคมเกษตรกรรม (5) สังคมชนบท

ตอบ 2 ในระยะแรกเริ่ม (ปลายศตวรรษที่ 19) นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมได้เน้นศึกษาและวิเคราะห์ขนบธรรมเนียมประเพณี ลักษณะชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมดั้งเดิม (Primitive Societies)

106. ข้อใดคือชนชั้นในลาตินอเมริกา

(1) ชนชั้นสูง (2) ชนชั้นกลาง (3) ชนชั้นต่ำ

(4) ข้อ 1 และ 3 (5) ข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 ในลาตินอเมริกามีชนชั้นอยู่ 3 ชนชั้น คือ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นต่ำ โดยชนชั้นต่ำจะรับการขนานนามตามคำสเปนว่า Pueblo และคำโปรตุเกสว่า Povo ซึ่งชนชั้นที่คนทั่วไปรังเกียจ คือ คนนิโกรและคนอินเดีย

107. ปัญหาสังคมในลาตินอเมริกาเกี่ยวข้องกับปัจจัยใดน้อยที่สุด

(1) ชนชั้น (2) เชื้อชาติ (3) การศึกษาอาชีพ

(4) รายได้ (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 สังคมในลาตินอเมริกานั้นไม่มีปัญหาเชื้อชาติ แต่มักมีปัญหาในเรื่องการแบ่งชนชั้นการศึกษาอาชีพ รายได้ และกิริยามารยาท ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องระวังในการยึดถือปฏิบัติ

108. คนเอเชียเชื้อชาติใดที่ได้ชื่อว่ามีความผูกพันกับชาติของตนเองมากที่สุด

(1) ญี่ปุ่น (2) อินโดนีเซีย (3) กัมพูชา

(4) อินเดีย (5) เกาหลี

ตอบ 1 คนเอเชียส่วนใหญ่นั้นจะไม่ค่อยมีความผูกพันและไม่ค่อยภาคภูมิใจกับชาติของตนเท่าที่ควรและมักจะไม่ค่อยนิยมใช้ของที่ผลิตในประเทศ แต่ชอบใช้ของใช้ที่มาจากต่างประเทศ ยกเว้นเพียงชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่ได้ชื่อว่ามีความผูกพันกับชาติของตนเองมากที่สุด

109. ข้อใดคือลักษณะภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) ของวัฒนธรรมเอเชีย

(1) ความกลมกลืนกับธรรมชาติ (2) นิยมหาความสุขทางใจ

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ (4) นิยมใช้สันติวิธี

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ลักษณะภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) ของวัฒนธรรมเอเชีย คือ นิยมใช้สันติวิธี ทำอะไรมักจะอะลุ่มอล่วยกัน มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ นิยมหาความสุขทางด้านจิตใจ ทำบุญให้ทานเพื่อความสบายในบั้นปลายของชีวิตทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโสและถือความสำคัญของกลุ่ม

110. ศาสนาใดมีผู้นับถือมากที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง

(1) พุทธ (2) คริสต์ (3) อิสลาม (4) ฮินดู (5) ซิกซ์

ตอบ 3 ศาสนาที่ประชาชนในตะวันออกกลางนับถือศรัทธามากที่สุด คือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งชาวตะวันออกกลาง ได้แก่ จอร์แดน เลบานอน อิสราเอล ซีเรีย อิรัก อิหร่าน คูเวต บาเรนซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ โอมาน เยเมน สหรัฐอาหรับอีมิเรต ฯลฯ

111. ชนชาติใดที่มี “ภาพพิมพ์” เป็นคน “ตระหนี่”

(1) อิสราเอล

(2) อิหร่าน

(3) อินเดีย

(4) จีน

(5) ไต้หวัน

ตอบ 1 ภาพพิมพ์หรือภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) ของชนชาติใด ชนชาติหนึ่งมักมีแนวโน้มที่จะถูกมองไปในทางลบ เช่น คนแขก (อินเดีย) ถูกมองว่าขี้โกงหรือชอบเอาเปรียบ, คนยิวหรืออิสราเอลถูกมองว่าเป็นคนตระหนี่, คนอังกฤษถูกมองว่าหัวเก่าเก็บตัวและเย่อหยิ่ง, คนยุโรปมองคนอเมริกันว่าฝึกมารยาทมาน้อยและไร้รสนิยมด้านศิลปะ หรือความสวยงาม, คนอังกฤษมองพวกลาติน (สเปน อิตาลี อเมริกาใต้) ว่าเชื่อถือไม่ได้ และเจ้าอารมณ์ ฯลฯ

112. ข้อใดคือความหมายของ “ลักษณะอุปนิสัยประจำชาติ”

(1) ลักษณะทางบุคลิกภาพที่ค่อนข้างมีอยู่ประจำ

(2) ลักษณะพิเศษอันทำให้แต่ชาติแตกต่างกัน

(3) ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ลักษณะประจำชาติหรืออุปนิสัยประจำชาติ มีความหมายต่าง ๆ กัน ดังนี้

1.ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนส่วนใหญ่ในสังคม หรือลักษณะที่เด่นพิเศษ อันทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

2.ลักษณะบุคลิกภาพที่ค่อนข้างจะมีอยู่เป็นประจำ

3.โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพ ซึ่งวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเป็นลักษณะของสมาชิกของสังคมเดียวกัน

113. วัฒนธรรมมีอิทธิพลในการหล่อหลอมบุคลิกภาพโดยผ่านกระบวนการใด

(1) สังคมประกฤติ (Socialization)

(2) การเลียนแบบ (Imitation)

(3) การยึดติด (Attachment)

(4) การสร้างความนิยมชมชอบ (Popularity)

(5) การป้องกันตนเอง (Self-Defense)

ตอบ 1 ในเรื่องวัฒนธรรมและบุคลิกภาพนั้น คนในแต่ละสังคมได้สร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นมาและวัฒนธรรมนี้ได้มีอิทธิพลในการหล่อหลอมบุคลิกภาพหรือมีอิทธิพลเหนือบุคลิกภาพของบุคคลทั่วไปในสังคมทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านกระบวนการสังคมกรณ์หรือสังคมประกฤติ (Socialization)

114. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) ได้ศึกษาอุปนิสัยของชนชาติใดในเอเชีย

(1) จีน (2) ญี่ปุ่น (3) อินเดีย (4) ปากีสถาน (5) ศรีลังกา

ตอบ 2 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) นักมานุษยวิทยาทางวัฒนธรรมชาวอเมริกัน ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอุปนิสัยประจำชาติของคนญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมา ชื่อว่า “ดอกเบญจมาศและดาบ (ซามูไร)” โดยเขาเห็นว่า บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่นนั้นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่แข็งแกร่งภายใน

115. ตามทัศนะของเอมบรี (Embree) เห็นว่าอุปนิสัยประจำชาติของคนไทยเป็นอย่างไร

(1) ขาดเมตตา (2) ขาดความสามัคคี (3) ขาดวินัย

(4) รู้จักประสานประโยชน์ (5) ชาตินิยม

ตอบ 3 จอห์น เอมบลี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย

116. ข้อใดเป็นค่านิยมของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะของสังคมเกษตรกรรม

(1) การถือฐานานุรูป (2) การถือประโยชน์ของตนเอง (3) การถืออำนาจ

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ตามทัศนะของ ดร. อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมในสังคมเกษตร ได้แก่

1. ความเฉื่อย 2. การถือฐานานุรูป 3. การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

4. การถือประโยชน์ตนเอง 5. การถืออำนาจซึ่งจะตรงกันข้ามกับค่านิยมในสังคมอุตสาหกรรม ได้แก่

(1). ความฉับพลัน (2). การถือความสามารถ (3). การถือหลักเกณฑ์

(4). การถือประโยชน์ส่วนรวม (5). การถือเสรีภาพ

117. ประเทศใดถือเป็นแม่แบบในการจัดการสังคมสงเคราะห์

(1) สหรัฐอเมริกา (2) อังกฤษ (3) ฝรั่งเศส (4) อิตาลี (5) กรีก

ตอบ 2 ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบในการจัดการสังคมสงเคราะห์โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุกของส่วนร่วมเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น ในปี ค.ศ. 1601 สมัยพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ได้ทรงออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law เป็นต้น

118. ข้อใดคือวิธีการของสังคมสงเคราะห์ที่จัดเป็นการให้บริการโดยอ้อม (Indirect Service)

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 3 วิธีการของสังคมสงเคราะห์ มี 5 วิธีการ ได้แก่

1. การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (Social Case Work)

2. การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work)

3. การจัดระเบียบชุมชน (Community Organization)

4. การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ (Social Research)

5. การบริหารงานสวัสดิการสังคม (Social Welfare Administration)

โดย 3 วิธีแรกจัดเป็นการให้บริการโดยตรง (Direct Service)

ส่วน 2 วิธีการหลังจัดเป็นการให้บริการทางอ้อม (Indirect Service)

119. ความรู้ใดบ้างที่นำมาใช้ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์

(1) หลักความจริงและทฤษฎี (2) ความรู้ทางสังคมศาสตร์

(3) ความรู้ทางสังคมวิทยา (4) ความรู้ทางจิตวิทยา (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ความรู้ที่นำมาใช้ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์นั้น ได้แก่

1.หลักความจริงและทฤษฎีในงานสังคมสงเคราะห์

2. ความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น ความรู้ทางสังคมวิทยา จิตวิทยา จิตวิทยาสังคมเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ

120. สาระใดของ “สิทธิมนุษยชน” ที่พิจารณาได้ว่าเกี่ยวข้องกับการสังคมสงเคราะห์

(1) การคุ้มครองป้องกันเด็กทุกคนในสังคมไทย

(2) การช่วยเหลือเด็กในทุกครอบครัวในสังคม

(3) การช่วยเหลือผู้หญิงที่มีบุตรยากโดยใช้การแพทย์ที่ทันสมัย

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 สาระสำคัญของ “สิทธิมนุษยชน” ที่เกี่ยวข้องกับการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่

1.ให้มีการคุ้มครองป้องกันต่อเด็กทุกคนในสังคม

2.ให้มีการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่เด็กทุกครอบครัวในสังคม

3.ให้มีการสงเคราะห์ช่วยเหลือสำหรับผู้เป็นมารดาทั้งก่อนและหลังคลอด ฯลฯ

WordPress Ads
error: Content is protected !!