LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 สมศรีและสมรักตกลงที่จะแต่งงานกัน แต่สมรักบอกสมศรีว่าค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งนั้นสมรักมีไม่พอที่จะสามารถจัดงานแต่งงานได้ สมศรีจึงเป็นฝ่ายเตรียมการแต่งงานและเสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานไปจำนวนสองแสนบาท ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยามาสมศรีต้องการให้สมรักนั้นไปจดทะเบียนกับตนเอง เพราะสมศรีต้องการเป็นภริยาที่ถูกต้องตามกฎหมายและกลัวว่าในอนาคตถ้าสมรักไปแต่งงานใหม่และไปจดทะเบียนสมรสก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ แต่สมรักก็ไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสกับสมศรี ทำให้สมศรีไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิตคู่กับสมรักต่อไป ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า สมศรีจะฟ้องร้องให้สมรักรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดในการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานไปจำนวนสองแสนบาทได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหวางการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมศรีได้เตรียมการแต่งงานและเสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานไปจำนวนสองแสนบาทนั้น เป็นการกระทำที่เกิดจากความสมัครใจของสมศรีเอง มิได้เกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของสมรักที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของสมศรีแต่อย่างใด ดังนั้นจะถือว่าสมรักได้กระทำละเมิดต่อสมศรีไม่ได้ สมรักจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับสมศรี (เทียบฎีกาที่ 45/2532)

ดังนั้นสมศรีจะฟ้องร้องให้สมรักรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดในการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่งงานไปจำนวนสองแสนบาทไม่ได้

สรุป สมศรีจะฟ้องร้องให้สมรักรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดในกรณีดังกล่าวไม่ได้

 

 

ข้อ 2. นางสาวน้อย อายุ 17 ปี บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายต้อย แอบหยิบกุญแจรถยนต์ที่นายต้อยนำไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงิน ซึ่งไม่ได้ใส่กุญแจ แล้วขับรถยนต์ของนายต้อยไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ระหว่างเดินทางนั้น นางสาวน้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากขับแข่งกันมากับรถยนต์อีกคันหนึ่งซึ่งมีนายจ้อยอายุ 17 ปี บุตรชอบด้วยกฎหมายของนายอ้อย โดยนายจ้อยได้ไปงัดโต๊ะที่นายอ้อยเก็บกุญแจรถยนต์ไว้อย่างดีหนีบิดาออกมาเที่ยวเช่นกัน ทั้งนางสาวน้อยและนายจ้อยขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันนั้นขับพุ่งชนรถยนต์ของนางแจ๋วที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ได้รับความเสียหาย จงวินิจฉัยว่า ใครจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋วบ้าง อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถใบการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ บุคคลใดบ้างจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋ว แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนางสาวน้อย การที่นางสาวน้อยอายุ 17 ปี บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายต้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากขับแข่งกันมากับรถยนต์อีกคันหนึ่งซึ่งมีนายจ้อยเป็นคนขับและไม่ได้ระมัดระวังเป็นเหตุให้นางสาวน้อยขับพุ่งชนรถยนต์ของนางแจ๋วที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ได้รับความเสียหายนั้น

ถือว่าการกระทำของนางสาวน้อยเป็นการกระทำละเมิดต่อนางสาวแจ๋วตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายต่อทรัพย์สินและการกระทำของนางสาวน้อยมีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางสาวน้อยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน และแม้ว่านางสาวน้อยจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังคงต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนั้นตามมาตรา 429

และเมื่อปรากฏว่าการทำละเมิดของนางสาวน้อยซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ (ผู้เยาว์) ต่อนางแจ๋วนั้น ได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของนายต้อยซึ่งนายต้อยก็ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นกล่าวคือได้นำกุญแจรถยนต์เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินโดยไม่ได้ใส่กุญแจทำให้นางสาวน้อยแอบหยิบกุญแจรถยนต์และขับรถยนต์ของนายต้อยไปเที่ยวได้ ดังนั้นนายต้อยซึ่งเป็นผู้รันดูแลจึงต้องรับผิดร่วมกับนางสาวน้อยในผลแห่งละเมิดนั้นตามมาตรา 430

กรณีของนายจ้อย การที่นายจ้อยอายุ 17 ปี บุตรชอบด้วยกฎหมายของนายอ้อยได้งัดโต๊ะที่นายอ้อยเก็บกญแจรถยนต์ไว้อย่างดีหนีบิดาออกมาเที่ยวและได้ขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากขับแข่งกันมากับรถยนต์ที่นางสาวน้อยขับและไม่ได้ระมัดระวัง เป็นเหตุให้ขับพุ่งชนรถยนต์ของนางแจ๋วที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ได้รับความเสียหายนั้น ถือว่าการกระทำของนายจ้อยเป็นการกระทำละเมิดต่อนางแจ้วตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายต่อทรัพย์สิน และการกระทำของนายจ้อยมีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ดังนั้นนายจ้อยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน และแม้ว่านายจ้อยจะเป็นผู้ไร้ความสามารถ (ผู้เยาว์) ก็ยังคงต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนั้นตามมาตรา 429

ส่วนนายอ้อยซึ่งเป็นบิดาเมื่อได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแล้วจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดกับนายจ้อยตามมาตรา 429

สรุป บุคคลที่จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋วได้แก่ นางสาวน้อย นายจ้อยและนายต้อยซึ่งต้องร่วมรับผิดกับนางสาวน้อย ส่วนนายอ้อยไม่ต้องร่วมรับผิดกับนายจ้อย ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 3. นายแช่มเป็นเจ้าของลิงซึ่งได้ฝากไว้กับนายแล่มเพื่อนบ้าน วันเกิดเหตุนายแล่มยุให้ลิงวิ่งไปบนหลังคารถยนต์ของนางแจ่มทำให้หลังคารถเป็นรอยเสียหาย ต่อมานายแล่มได้ขว้างลูกบอลเล่นในบ้านของตน ลิงของนายแช่มจึงวิ่งเข้าไปแย่งลูกบอล ทำให้ลูกบอลกระเด็นเข้าไปถูกกระจกบ้านของนางสวยแตกเสียหาย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแช่มและนายแล่มจะต้องรับผิดต่อนางแจ่มและนางสวยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้ คือ

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแช่มและนายแล่มจะต้องรับผิดต่อนางแจ่มและนางสวยหรือไม่แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางแจ่ม การที่นายแล่มได้ยุให้ลิงวิ่งไปบนหลังคารถยนต์ของนางแจ่มทำให้หลังคารถเป็นรอยเสียหายนั้น การกระทำของนายแล่มถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายแล่ม จึงถือว่านายแล่มได้กระทำละเมิดต่อนางแจ่มตามมาตรา 420 นายแล่มจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ่ม

ส่วนนายแช่มแม้เป็นเจ้าของลิงแต่ไม่ได้กระทำละเมิดต่อนางแจ่ม จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางแจ่ม

  1. กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางสวย การที่นายแล่มได้ขว้างลูกบอลเล่นในบ้านของตนและลิงของนายแช่มที่นายแช่มได้ฝากไว้กับนายแล่มได้วิ่งเข้าไปแย่งลูกบอลทำให้ลูกบอลกระเด็นเข้าไปถูกกระจกบ้านของนางสวยแตกเสียหายนั้น นายแล่มมิได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่นางสวยแต่อย่างใด จึงไม่ถือว่านายแล่มได้กระทำละเมิดต่อนางสวยตามมาตรา 420

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ลิงได้วิ่งเข้าไปแย่งลูกบอลทำให้ลูกบอลกระเด็นเข้าไปถูกกระจกบ้านของนางสวยแตกเสียหายนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นางสวยได้รับความเสียหายอันเกิดจากสัตว์ซึ่งตามมาตรา 433 วรรคแรกกำหนดให้เจ้าของสัตว์หรือผู้รับเลี้ยงสัตว์ต้องรับผิด เมื่อปรากฏว่าสัตว์ดังกล่าวได้ก่อความเสียหายในขณะที่อยู่ในความดูแลของนายแล่มซึ่งเป็นผู้รับเลี้ยงสัตว์นั้น นายแล่มจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสวย ส่วนนายแช่มเจ้าของสัตว์ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด

สรุป นายแล่มจะต้องรับผิดต่อนางแจ่มและนางสวย ส่วนนายแช่มไม่ต้องรับผิดตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 4. นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกับนางตั๊กแตน มีบุตรด้วยกันสองคนเป็นฝาแฝดชื่อนางสาวแพงและนางสาวแจงอายุ 21 ปี แต่นางสาวแจงนั้นพิการทางสมองมาตั้งแต่เกิดไม่สามารถดูแลตนเองได้ ตอนที่นางสาวแพงและนางสาวแจงอายุ 15 ปี นายเอกชัยและนางตั๊กแตนหย่าขาดจากกัน นายมนต์สิทธิ์สงสารจึงได้จดทะเบียนรับนางสาวแพงและนางสาวแจงไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย วันเกิดเหตุนายบันเทิงได้ขับรถบรรทุกเครื่องดนตรีจากกรุงเทพฯ ไปที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อส่งเครื่องดนตรีเสร็จแล้วระหว่างเดินทางกลับ นายบันเทิงได้ขับรถด้วยความเร่งรีบเกรงว่าจะกลับไปรับลูกสาวที่กรุงเทพฯ ไม่ทัน ทำให้นายบันเทิงขับรถไปชนนายเอกชัยและนายมนต์สิทธิที่เดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกันถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยว่า ใครบ้างที่เป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายบันเทิงได้

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบันเทิงได้ขับรถบรรทุกด้วยความเร่งรีบทำให้ไปชนนายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์ถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของนายบันเทิงเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิต และการกระทำของนายบันเทิงสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือความตายของนายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์ นายบันเทิงจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

สำหรับประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือใครบ้างที่เป็นผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากนายบันเทิงนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก ผู้มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจากกระทำละเมิดจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย และเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1629

กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น

ได้แก่ สามีภริยาที่ซชอบด้วยกฎหมาย บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งผู้รับบุตรบุญธรรม และบุตรบุญธรรมด้วย แต่ในกรณีของบุตรนั้นจะต้องเป็นบุตรผู้เยาว์ หรือบุตรที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้เท่านั้น

  1. ในกรณีความตายของนายเอกชัย ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนใบกรณีค่าปลงศพคือนางสาวแพงและนางสาวแจงซึ่งเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) ส่วนผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะคือนางสาวแจง ซึ่งเป็นบุตรที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ ส่วนนางสาวแพงซึ่งมิใช่บุตรผู้เยาว์จะเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีขาดไร้อุปการะไม่ได้
  2. ในกรณีความตายของนายมนต์สิทธิ์ ผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพคือ นางสาวแพงและนางสาวแจงซึ่งเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627 ส่วนผู้มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าขาดไร้อุปการะคือนางสาวแจงซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมที่ทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้

ส่วนนางสาวแพงแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่มิใช่บุตรที่ทุพพลภาพจนหาเลี้ยงตนเองไม่ได้ จึงเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ไม่ได้

สรุป

บุคคลที่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพในกรณีความตายของนายเอกชัย คือนางสาวแพงและนางสาวแจง ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น นางสาวแจงเป็นผู้มิสิทธิเรียกได้ บุคคลที่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพในกรณีความตายของนายมนต์สิทธิ์ คือนางสาวแพงและนางสาวแจง ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น นางสาวแจงเป็นผู้มีสิทธิเรียกได้

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโหดได้ฉุดกระชากนางสาวแสนสวยออกจากรถยนต์ เพื่อจะทำการข่มขืน ทำให้นางสาวแสนสวยหกล้มศีรษะกระแทกพื้นถึงแก่ความตายทันที นายโหดไม่ทราบว่านางสาวแสนสวยได้ตายไปแล้วได้ทำการข่มขืนจนสำเร็จความไคร่ของตน จากนั้นยังได้พูดจาดูหมิ่นนางสาวแสนสวยอีกด้วยว่า “เสียตัวมาแล้วก็ไม่บอก อีบ้าเอ๊ย” ซึ่งการกระทำของนายโหดเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 22 และ 23 ที่เพิ่งบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2558 ที่ผ่านมา ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การกระทำของนายโหดที่ข่มขืนนั้นเป็นการทำละเมิดต่อร่างกายของนางสาวแสนสวยหรือไม่ เพราะเหตุใด และหากว่าอัยการได้สั่งฟ้องนายโหดแล้วในคดีอาญามารดาของนางสาวแสนสวยจะเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 446 ได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคแรก “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ”

มาตรา 446 “ในกรณิทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว

อนึ่ง หญิงที่ต้องเสียหายเพราะผู้ใดทำผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรมแก่ตนก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องทำนองเดียวกันนี้”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย มีดังนี้คือ

ประเด็นที่ 1 การกระทำของนายโหดที่ข่มขืนนั้นเป็นการทำละเมิดต่อร่างกายของนางสาวแสนสวยการที่นายโหดได้ฉุดกระชากนางสาวแสนสวยออกจากรถยนต์เพื่อจะทำการข่มขืน ทำให้นางสาวแสนสวยหกล้มศีรษะกระแทกพื้นถึงแก่ความตายทันทีนั้น การกระทำของนายโหดถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายต่อชีวิต และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายโหดจึงถือว่านายโหดได้กระทำละเมิดต่อนางสาวแสนสวยตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน

แต่การที่นางสาวแสนสวยได้ถึงแก่ความตายแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่านางสาวแสนสวยไม่มีสภาพบุคคลกล่าวคือสภาพบุคคลของนางสาวแสนสวยได้สิ้นสุดลงแล้วตามมาตรา 15 วรรคแรก ดังนั้น แม้นายโหดจะไม่ทราบว่านางสาวแสนสวยได้ตายไปแล้ว และได้ทำการข่มขืนจนสำเร็จความใคร่นั้น จึงไม่ถือว่านายโหดได้ทำละเมิดต่อร่างกายของนางสาวแสนสวย แต่เป็นการกระทำชำเราต่อศพ ซึ่งการกระทำของนายโหดที่ได้ทำการกระทำชำเราศพและได้พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามศพโดยการพูดว่า “เสียตัวมาแล้วก็ไม่บอก อีบ้าเอ๊ย” นั้น ตาม พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 22 และ 23 ซึ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2558 นั้น ถือว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศและชื่อเสิยง

ประเด็นที่ 2 มารดาของนางสาวแสนสวยจะเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ.มาตรา 446 ได้หรือไม่

การเรียกค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 นั้น ผู้ที่สามารถเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว จะต้องเป็นผู้ต้องเสียหายที่ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยหรือเสรีภาพหรือหญิงที่ต้องเสียหายเพราะมีผู้กระทำผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรมแก่ตน และจะเรียกร้องได้ก็แต่เฉพาะกรณีที่ผู้ต้องเสียหายนั้นไม่ถึงแก่ความตาย ในกรณีที่มีการกระทำละเมิดทำให้เขาถึงแก่ความตายนั้น จะเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีนี้ไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ เมื่อการกระทำของนายโหด เป็นการละเมิดทำให้นางสาวแสนสวยถึงแก่ความตายทันที ดังนั้น มารดาของนางสาวแสนสวยจึงเรียกค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ไม่ได้

สรุป การกระทำของนายโหดที่ข่มขืนนั้นไม่เป็นการทำละเมิดต่อร่างกายของนางสาวแสนสวยและมารดาของนางสาวแสนสวยจะเรียกค่าเสียหายอับมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ไม่ได้

 

 

ข้อ 2. นายเอและนายบีเป็นเพื่อนกัน คืนหนึ่งขณะที่ทั้งสองนอนหลับ นายเอบังเอิญนอนละเมอรุนแรงเตะนายบีตกเตียงหัวกระแทกพื้นต้องเย็บห้าเข็ม นายเอรู้สึกผิดมากจึงพยายามหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาพยาบาลให้นายบีด้วยการขายยาเสพติด วันหนึ่งขณะที่นายเอกำลังขายยาเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจขาวเห็นเหตุการณ์พอดีจึงเข้าทำการจับกุมนายเอ แต่เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจขาวไม่ชอบหน้านายเอตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก และรู้ว่านายเอกลัวผีมากจึงทำการใส่กุญแจมือแต่ไม่ยอมพานายเอไปยังสถานีตำรวจในทันที กลับนำไปมัดไว้กับต้นไทรใหญ่ในป่าช้าที่วัดใกล้ ๆ เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เพื่อให้นายเอหลาบจำ เป็นเหตุให้นายเอหวาดกลัวมากถึงขั้นเสียสติเพ้อคล้ายจะเป็นบ้า ต้องทำการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จึงหายขาด จงวินิจฉัยว่าบุคคลใดจะต้องรับผิดในทางละเมิดบ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 421 “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลนเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอ การกระทำที่จะเป็นการละเมิดตามมาตรา 420 นั้น หลักเกณฑ์ประการแรกคือจะต้องมี “การกระทำ” ซึ่งการกระทำนั้น หมายถึง การเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกหรืออยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเอบังเอิญนอนละเมอรุนแรงเตะนายบีตกเตียงหัวกระแทกพื้นต้องเย็บห้าเข็มนั้น การกระทำของนายเอเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่รู้สำนึกหรืออยู่ภายใต้บังคับของจิตใจของนายเอแต่อย่างใด จึงไม่ถือว่านายเอมีการกระทำ และเมื่อไม่ถือว่าเป็นการกระทำของนายเอ ดังนั้น จึงไม่ถือว่านายเอได้กระทำละเมิดต่อนายบี นายเอจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายบี

กรณีของเจ้าพนักงานตำรวจขาว ตามมาตรา 421 เป็นบทบัญญัติว่าด้วย “การใช้สิทธิเกินส่วน”

คือเป็นการใช้สิทธิเกินไปกว่าสิทธิที่ตนมีอยู่ ซึ่งหมายถึง การกระทำที่บุคคลผู้กระทำมีสิทธิที่จะกระทำได้ตามกฎหมายแต่ได้ใช้สิทธินั้นเกินส่วนที่ตนมีไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิโดยจงใจแกล้งผู้อื่น การใช้สิทธิเกินส่วนโดยไม่สุจริต หรือการใช้สิทธิโดยก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น ย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นก็จะต้องรับผิดการที่เจ้าพนักงานตำรวจขาวได้เข้าจับกุมนายเอนั้น

ถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจขาวมีอำนาจและสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำได้ แต่ตามข้อเท็จจริงการที่เจ้าพนักงานตำรวจขาวไม่ชอบหน้านายเอตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก และรู้ว่านายเอกลัวผีมาก จึงทำการใส่กุญแจมือแล้วนำไปมัดไว้กับต้นไทรใหญ่ในป่าช้าที่วัดเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เป็นเหตุให้นายเอหวาดกลัวมากถึงขั้นเสียสติเพ้อคล้ายจะเป็นบ้า ต้องทำการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์จึงหายขาดนั้น

การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจขาวถือว่าเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน คือเป็นการใช้สิทธิโดยจงใจแกล้งผู้อื่น จึงเป็นการใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำนั้นทำให้นายเอได้รับความเสียหายแก่อนามัยและเสรีภาพ การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจขาว จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อนายเอ จึงต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายเอตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 421

สรุป นายเอไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายบี แต่เจ้าพนักงานตำรวจขาวต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนายเอ

 

 

ข้อ 3. นางสาวน้อยอายุ 17 ปี บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายต้อยและนางแต๋ว แอบหยิบกุญแจรถยนต์ที่นายต้อยนำไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงิน ซึ่งไม่ได้ใส่กุญแจ แล้วขับรถยนต์ของนายต้อยไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ระหว่างเดินทางนั้น นางสาวน้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากขับแข่งกันมากับรถยนต์อีกคันหนึ่งซึ่งมีนายจ้อย อายุ 17 ปี บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายอ้อย โดยนายจ้อยได้ไปงัดโต๊ะที่นายอ้อยเก็บกุญแจรถยนต์ไว้อย่างดีหนีบิดาออกมาเที่ยวเช่นกัน ทั้งนางสาวน้อยและนายจ้อยขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันนั้นขับพุ่งซนรถยนต์ของนางแจ๋วที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ได้รับความเสียหาย จงวินิจฉัยว่า ใครจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋ว อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 301 “ล้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน”

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกับทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกับรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย

ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ได้แก่

ประเด็นที่ 1 นางสาวน้อยและนายจ้อยได้ทำละเมิดหรือร่วมกันทำละเมิดต่อนางแจ๋วหรือไม่การที่นางสาวน้อยและนายจ้อยซึ่งมีอายุ 17 ปีทั้งสองคน ได้ขับรถด้วยความเร็วสูงเนื่องจากได้ขับแข่งกันและไม่ได้ระมัดระวังเป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันนั้นขับพุ่งชนรถยนต์ของนางแจ๋วที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ได้รับความเสียหายนั้น การกระทำของนางสาวน้อยและนายจ้อยถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อนางแจ๋วตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน และการกระทำของทั้งสองมีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น ดังนั้น นางสาวน้อยและนายจ้อยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางแจ๋ว และแม้ว่านางสาวน้อยและนายจ้อยจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังคงต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดตาม

มาตรา 429

ส่วนกรณีที่จะถือว่านางสาวน้อยและนายจ้อยได้ร่วมกันทำละเมิดต่อนางแจ๋วหรือไม่นั้น กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ร่วมกันทำละเมิด” ตามบทบัญญัติมาตรา 432 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำได้ร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทั้งสองมิได้มีเจตนาร่วมกันในการกระทำ หรือได้ร่วมมือร่วมใจกันกระทำการดังกล่าว จึงไม่อาจถือได้ว่าทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อนางแจ๋วตามมาตรา 432 ดังนั้น ทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 301

ประเด็นที่ 2 นายต้อยและนางแต๋วซึ่งเป็นบิดามารดาของนาวสาวน้อย และนายอ้อยซึ่งเป็นบิดาของนายจ้อย จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋วหรือไม่ อย่างไร

กรณีของนายต้อยและนางแต๋ว ซึ่งเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวน้อยผู้เยาว์นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าทั้งสองมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการเก็บล็อกกุญแจรถยนต์ กล่าวคือนำกุญแจรถยนต์ไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินโดยไม่ได้ใส่กุญแจทำให้นางสาวน้อยแอบหยิบกุญแจรถยนต์ไปได้

ดังนั้น ทั้งสองจึงต้องรับผิดในทางละเมิดร่วมกับนางสาวน้อยตามมาตรา 429 คือจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋ว

ส่วนกรณีของนายอ้อย ซึ่งเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายจ้อย แต่ถือว่าเป็นบุคคลซึ่งรับดูแลนายจ้อยผู้เยาว์นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายอ้อยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรโดยการเก็บรถยนต์ไว้อย่างดีแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับนายจ้อยซึ่งได้กระทำในทางละเมิดต่อนางแจ๋วตามมาตรา 430

สรุป นางสาวน้อย นายจ้อย นายต้อย และนางแต๋ว ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋ว ส่วนนายอ้อยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ๋ว

 

 

ข้อ 4. นาย ก. และนาง ข. อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง หลังจากนาง ข. คลอดเด็กชายแดงแล้ว นาง ข. ถึงแก่ความตาย เมื่อนาง ข. ตาย นาย ก. ได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดง นาย ก. ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุลของนาย ก. นาย ก. ส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ วันเกิดเหตุจำเลยซับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหนทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตาย

การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและกระทำของจำเลยสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือ ความตายของนาย ก. จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย คือ เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่าตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย ซึ่งกรณีที่บุตรเรียกเอาค่าปลงศพของบิดานั้น บุตรดังกล่าวจะต้องเป็นผู้สืบสันดานของบิดาตามกฎหมายด้วย (ป.พ.พ. มาตรา 1629 (1)) กล่าวคือ จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา หรือเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. และนาง ข. อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งคือ เด็กชายแดงนั้น ดังนี้ถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายของนาย ก. แต่เมื่อนาย ก. ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุล และส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ ย่อมถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤติการณ์แล้ว จึงส่งผลให้เด็กชายแดงเป็นผู้สิบสันดานและเป็นทายาทของนาย ก. ผู้ตาย (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 และมาตรา 1629 (1)) ดังนั้น เมื่อจำเลยกระทำละเมิดโดยการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตาย เด็กชายแดงจึงเรียกร้องค่าปลงศพจากจำเลยได้ตามมาตรา 443วรรคแรก

ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น บทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้ที่มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เมื่อปรากฏว่านาย ก. มิได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กขชายแดงผู้เยาว์ นาย ก. (ผู้ตาย) จึงไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดงซึ่งเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1564 ดังนั้น เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้าย จากจำเลยผู้กระทำละเมิดไม่ได้

สรุป เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพจากจำเลยได้ แต่จะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยไม่ได้

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายพงศ์เป็นเพื่อนกับนายสุขุมซึ่งมีอายุเท่ากันคือ 16 ปี และทั้งสองคนเป็นลูกจ้างของบริษัทปั๊มน้ำมันอิสุสุ โดยที่นางโฉมซึ่งเป็นมารดาของนายพงศ์และอยู่ต่างจังหวัดได้เช่าห้องชั้นสองของนางฉัตรให้นายพงศ์อยู่อาศัย วันเกิดเหตุ นายพงศ์ได้ชวนให้นายสุขุมพร้อมกับนายชาญมาทานอาหารที่ห้องของตน นายพงศ์ได้ขว้างกระป๋องน้ำอัดลมออกมาจากห้อง หล่นใส่ศีรษะของนายเอ ขณะที่นายสุขุมได้ออกมายืนที่ระเบียงบ้านและทำโทรศัพท์หล่นจากมือตกใส่รถยนต์ของนายบี ส่วนนายชาญต้องการหยอกล้อเด็กหญิงซีจึงได้ขว้างถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งไปที่เด็กหญิงซี

หากข้อเท็จจริงเหล่านี้ นายเอ นายบี และเด็กหญิงซีไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ทำให้ตนเสียหาย และไม่มีใครยอมรับผิดชอบในความเสียหายนั้น ให้ท่านวินิจฉัยว่าใครเป็นผู้ต้องรับผิดในเหตุละเมิดนี้

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

มาตรา 436 “บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพงศ์ได้ขว้างกระป๋องน้ำอัดลมออกมาจากห้องหล่นใส่ศีรษะของนายเอ นายสุขุมได้ทำโทรศัพท์หล่นจากมือตกใส่รถยนต์ของนายบี และนายชาญได้ขว้างถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งไปที่เด็กหญิงซีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายเอ นายบี และเด็กหญิงซีไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ทำให้ตนเสียหาย และไม่มีใครยอมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น กรณีดังกล่าวจะถือว่าการกระทำของนายพงศ์ นายสุขุม และนายชาญ เป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 ไม่ได้

เมื่อการกระทำของนายพงศ์และนายสุขุมไม่เป็นการละเมิดตามมาตรา 420 ดังนั้น นางโฉมมารดาของนายพงศ์จึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 429 เพราะตามมาตรา 429 ได้กำหนดให้มารดาของผู้เยาว์ต้องรับผิดร่วมกับผู้เยาว์ก็เฉพาะในกรณีที่ผู้เยาว์ได้ไปทำละเมิดต่อบุคคลอื่นและผู้เยาว์ต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนั้น

ส่วนบริษัทปั๊มน้ำมันอิสุสุซึ่งเป็นนายจ้างของนายพงศ์และนายสุขุมนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่านายพงศ์และนายสุขุมซึ่งเป็นลูกจ้างได้ไปทำละเมิดและต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดในทางการที่จ้างหรือในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของนายจ้าง ดังนั้นนายจ้างคือบริษัทปั๊มน้ำมันอีสุสุจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 425 และมาตรา 430

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่นายเอ นายบี และเด็กหญิงซีนั้น ไม่ได้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำละเมิดตามมาตรา 420 ดังนั้นจึงต้องถือว่าความเสียหายดังกล่าวเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะของตกจากโรงเรือนตามมาตรา 436 ซึ่งตามมาตรา 436นั้น ได้กำหนดให้ “บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน” ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากของตกจากโรงเรือนหรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร และตามข้อเท็จจริง เมื่อนางโฉมเป็นผู้เช่าห้องหลังดังกล่าวของนางฉัตร ย่อมถือว่านางโฉมเป็นบุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน

ดังนั้น นางโฉมจึงต้องรับผิดในเหตุละเมิดดังกล่าว ส่วนนางฉัตรไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด

สรุป นางโฉมเป็นบุคคลที่จะต้องรับผิดในเหตุละเมิดดังกล่าว

 

 

ข้อ 2. นายเอกเจ้าของกิจการโรงงานผลิตลูกชิ้น มีนายโทเป็นลูกจ้างประจำทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถส่งลูกชิ้นให้ลูกค้า วันหนึ่งนายโทต้องนำลูกชิ้นไปส่งที่สระบุรี ระหว่างทางขับไปส่ง ขณะนายโทจอดรถบรรทุกพักข้างทางริมเขา มีช้างป่าตกมันวิ่งเข้ามาจะทำร้ายนายโทด้วยอาการดุร้าย นายโทเห็นดังนั้นจึงวิ่งคว้าเอารังผึ้งที่นายเม้งเลี้ยงไว้โยนใส่ช้างป่าตัวดังกล่าวทำให้ช้างป่าวิ่งหนีเตลิดไป เนื่องจากโดนผึ้งรุมต่อย นายโทและนายตรีเด็กยกของจึงปลอดภัยจากช้างตัวนั้น

ต่อมาเมื่อนายโทส่งลูกชิ้นปลาแก่ลูกค้าสำเร็จ ในขณะขับรถขากลับ นายโทได้ขับออกนอกเส้นทางปกติเพื่อแวะไปซื้อสินค้าส่วนตัวที่ตลาด ปรากฏว่านายโทขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนายโชคได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า นายเอกและนายโทจะต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายเม้งและนายโชคหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 450 วรรคสอง “ถ้าบุคคลทำบุบสลาย หรือทำลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรายอันมีแก่เอกชนโดยฉุกเฉน ผู้นั้นจะต้องใช้คืนทรัพย์นั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่มีช้างป่าตกมันวิ่งเข้ามาจะทำร้ายนายโทด้วยอาการดุร้าย และนายโทได้คว้าเอารังผึ้งที่นายเม้งเลี้ยงไว้โยนใส่ช้างป่าตัวดังกล่าว ทำให้ช้างป่าวิงหนีเตลิดไปเนื่องจากโดนผึ้งรุมต่อยนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายโทได้ทำบุบสลายหรือทำลายทรัพย์คือรังผึ้งของนายเม้งเพื่อจะบำบัดปัดป้องภยันตรายอันมีแก่บุคคลโดยฉุกเฉินตามมาตรา 450 วรรคสอง ดังนั้น นายโทจึงได้รับการนิรโทษกรรม คือได้รับการยกเว้นที่จะไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้น แต่นายโทจะต้องใช้คืนรังผึ้งให้แก่นายเม้ง

ส่วนกรณีที่นายโทได้ขับรถชนนายโชคได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหายแก่ร่างกาย ดังนั้น นายโทจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโชคตามมาตรา 420 และเมื่อการกระทำของนายโทถือว่าได้ทำละเมิดในขณะที่อยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง ซึ่งแม้นายโทจะได้ทำละเมิดในขณะขับรถขากลับและได้ขับออกนอกเส้นทางปกติเพื่อแวะไปซื้อสินค้าส่วนตัวที่ตลาดก็ตาม นายเอกผู้เป็นนายจ้างก็ต้องร่วมรับผิดกับนายโทลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งนายโทได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วยตามมาตรา 425

สรุป นายโทไม่ต้องรับผิดทางละเมิดต่อนายเม้ง แต่จะต้องใช้คืนรังผึ้งแก่นายเม้งนายเอกและนายโทต้องรับผิดทางละเมิด โดยการใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายโชค

 

 

ข้อ 3. นาย ก. และนาง ข. อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง หลังจาก นาง ข. คลอดเด็กชายแดงแล้ว นาง ข. ถึงแก่ความตาย เมื่อนาง ข. ตาย นาย ก. ได้นำเด็กชายแดงไปอุปการะเลี้ยงดูจนกระทั่งเด็กชายแดงอายุ 13 ปี เด็กชายแดงชอบออกไปเที่ยวนอกบ้านในเวลากลางคืนทุกคืน โดยที่นาย ก. ไม่เคยห้ามปราม ไม่เคยตักเตือน ไม่เคยว่ากล่าวสั่งสอน คืนเกิดเหตุเด็กชายแดงไปเที่ยวนอกบ้านเกิดไม่พอใจนายขาว เด็กชายแดงใช้มีดแทงนายขาวได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ นายขาวจะฟ้องใครให้รับผิดในทางละเมิดได้บ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อบุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายขาวจะฟ้องใครให้รับผิดในทางละเมิดได้บ้างหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของเด็กชายแดง การที่เด็กชายแดงใช้มีดแทงนายขาวได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายต่อร่างกายโดยจงใจตามมาตรา 420 และแม้เด็กชายแดงจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนั้นตามมาตรา 429

กรณีของนาย ก. การที่นาย ก. และนาง ข. อยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทำให้นาย ก. มีฐานะเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายแดง ดังนั้น นาย ก. จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับเด็กขายแดงในผลที่เด็กชายแดงได้ทำละเมิดต่อนายขาวตามมาตรา 429 เพราะตามมาตรา 429 นั้น บิดาที่จะต้องร่วมรับผิดกับการทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถที่เป็นผู้เยาว์ จะต้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นาย ก. ได้นำเด็กชายแดงไปอุปการะเลี้ยงดูนั้น ถือว่านาย ก. ได้ดูแลเด็กชายแดงตามความเป็นจริง ดังนั้น เมื่อเด็กชายแดงได้ไปทำละเมิดต่อนายขาวในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของ นาย ก. นาย ก. ในฐานะบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลเด็กชายแดงผู้เยาว์จึงต้องร่วมรับผิดกับเด็กชายแดงในผลของการทำละเมิดนั้นตามมาตรา 430

สรุป นายขาวสามารถฟ้องเด็กชายแดงให้รับผิดฐานละเมิดได้ตามมาตรา 420 และมาตรา 429นายขาวฟ้องนาย ก. ให้ร่วมรับผิดกับเด็กชายแดงได้ตามมาตรา 430

 

 

ข้อ 4. หลักเกณฑ์ในการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่ได้รับนิรโทษกรรม มีอะไรบ้าง จงอธิบาย โดยใช้หลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ 1 ตัวอย่าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 449 “บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่…”

อธิบาย

หลักเกณฑ์ในการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรกนั้น เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่ากฎหมายบัญญัติแต่เพียงว่า “กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย” แต่ไม่ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า กรณีอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจึงต้องอาศัยเทียบเคียงกับการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 บัญญัติว่า “ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย…”

ดังนั้นเมื่อพิจารณาจาก ป.พ.พ. มาตรา 449 วรรคแรก ประกอบกับ ป.อาญา มาตรา 68หลักเกณฑ์ในการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะได้รับนิรโทษกรรม จึงต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

  1. มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย

“ภยันตราย” หมายความถึง ภัยที่เป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงทรัพย์สิน ฯลฯ ซึ่งเป็นสิทธิของบุคคล

“ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย” ในทีนี้หมายถึง ผู้ก่อภยันตรายนั้นไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำได้ จะเป็นการละเมิดต่อกฎหมายอาญา เช่น บุกรุก ลักทรัพย์ ฆ่า ฯลฯ หรือละเมิดต่อกฎหมายแพ่ง เช่น ทำให้เขาเสียหายต่อทรัพย์สิน ชีวิตหรือสิทธิใดก็ได้ และจะเป็นจงใจกระทำละเมิดต่อกฎหมายหรือประมาทเลินเล่อก็ได้

การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้น จะต้องเป็นการกระทำของบุคคล ส่วนสัตว์หรือสิ่งของไม่อาจกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายได้ อย่างไรก็ตาม บุคคลอาจใช้สัตว์เป็นเครื่องมือในการละเมิดกฎหมายก็ได้

  1. เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หมายความว่า ภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าผู้กระทำไม่ทำการป้องกันก่อน ก็ย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นกับตนเองหรือผู้อื่น
  2. ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้นการที่จำต้องกระทำนั้น ก็เพื่อให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงตนหรือผู้อื่นซึ่งหากไม่ทำเช่นนั้นตนหรือผู้อื่นจะถูกละเมิดสิทธิ และอาจได้รับความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นได้
  3. ผู้กระทำได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ คือ ได้กระทำไปพอสมควรแก่กรณีที่จำต้องกระทำเพื่อมิให้ภัยหรือภยันตรายนั้นเกิดขึ้น

ตัวอย่าง นายเอกกับนายโทเป็นศัตรูกัน วันเกิดเหตุขณะที่นายเอกขับรถยนต์ไปตามถนน

เห็นนายโทเดินมา นายเอกขับรถเพื่อที่จะชนนายโท นายโทเห็นจวนตัวจะหลบก็หลบไม่ทัน นายโทจึงใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ของนายเอกแตก 2 เส้น คิดเป็นเงิน 5,000 บาท ดังนี้ ถือว่าการกระทำของนายโทเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายโทจำต้องกระทำการเพื่อฟ้องกับสิทธิของตนเองให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและนายโทได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ

นายโทจึงสามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมเพื่อไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ยางรถยนต์แตก 2 เส้นคิดเป็นเงิน 5,000 บาทได้ตามมาตรา 449 วรรคแรก

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ฝ้ายก่อสร้างรั้วอิฐบล็อกติดกับผนังตึกแถวด้านหลังของไหมพรม ทำให้ปิดกั้นทางลมและแสงสว่างที่จะผ่านเข้าออกทางด้านหลังตึกแถวของไหมพรม ไหมพรมจึงได้ฟ้องร้องให้ฝ้ายรื้อถอนรั้วออกและเรียกค่าเสียหาย ฝ้ายต่อสู้ว่าตนสร้างรั้วในที่ดินของตนจึงไม่ผิด และขณะเดียวกันก็ต่อสู้ว่าสาเหตุที่ตนปิดสร้างรั้วเช่นนั้นก็เพราะเหตุว่าไหมพรมเองได้สร้างความรำคาญให้แก่ฝ้ายด้วยการทิ้งขยะและปล่อยน้ำทิ้งลงในเขตที่ของฝ้ายมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าฝ้ายได้บอกกล่าวให้หยุดแล้วไหมพรมก็ไม่รับฟัง ฝ้ายจึงมีความจำเป็นต้องสร้างรั้วขึ้นดังกล่าว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของฝ้ายฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 421 “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 421 เป็นบทบัญญัติว่าด้วย “การใช้สิทธิเกินส่วน’’ คือเป็นการใช้สิทธิเกินไปกว่าสิทธิที่ตนมีอยู่ ซึ่งหมายถึง การกระทำที่บุคคลผู้กระทำมีสิทธิที่จะกระทำได้ตามกฎหมาย แต่ได้ใช้สิทธินั้นเกินส่วนที่ตนมีไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิโดยจงใจแกล้งผู้อื่น การใช้สิทธิเกินส่วนโดยไม่สุจริต หรือการใช้สิทธิโดยก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น ย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิอับมิชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นบุคคลนั้นก็จะต้องรับผิด

ตามอุทาหรณ์ การที่ฝ้ายก่อสร้างรั้วอิฐบล็อกติดกับผนังตึกแถวด้านหลังของไหมพรม ทำให้ปิดกั้นทางลมและแสงสว่างที่จะผ่านเข้าออกทางด้านหลังตึกแถวของไหมพรม ไหมพรมจึงได้ฟ้องร้องให้ฝ้ายรื้อถอนรั้วออกและเรียกค่าเสียหาย แต่ฝ้ายต่อสู้ว่า ตนสร้างรั้วในที่ดินของตนจึงไม่ผิด และขณะเดียวกันก็ต่อสู้ว่าสาเหตุที่ตนปิดสร้างรั้วเช่นนั้นก็เพราะเหตุว่าไหมพรมเองได้สร้างความรำคาญให้แก่ฝ้ายด้วยการทิ้งขยะ และปล่อยน้ำทิ้งลงในเขตที่ของฝ้ายมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าฝ้ายได้บอกกล่าวให้หยุดแล้ว ไหมพรมก็ไม่รับฟัง ฝ้ายจึงจำเป็นต้องสร้างรั้วขึ้นดังกล่าวนั้น กรณีเช่นนี้ถ้าหากฝ้ายเห็นว่าไหมพรมได้สร้างความรำคาญให้ฝ้าย ฝ้ายย่อมมีสิทธิที่จะใช้สิทธิทางศาลเรียกร้องให้ไหมพรมขจัดความเดือดร้อนรำคาญได้ แต่ไม่มีสิทธิที่จะสร้างรั้วอิฐปิดกั้นทางลมและแสงสว่าง แม้ว่าจะเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม ดังนั้น การกระทำของฝ้ายจึงเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งฝ้ายจะต้องรับผิดตามมาตรา 421 ข้อต่อสู้ดังกล่าวของฝ้ายจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้อต่อสู้ของฝ้ายฟังไม่ขึ้น ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 2. เด็กหญิงกุ้งอายุ 14 ปี อยู่ในความดูแลของยายแจ่ม เพราะนางปลามารดาของเด็กหญิงกุ้งต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ จึงนำบุตรมาฝากให้ยายเลี้ยง วันเกิดเหตุเด็กชายหมึกอายุ 14 ปี บุตรของนางแช่มได้ทำร้ายเด็กหญิงกุ้งได้รับบาดเจ็บสาหัส ยายแจ่มเข้าไปช่วยก็ถูกผลักหกล้มได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า เด็กชายหมึกและนางแช่มต้องร่วมกันรับผิดต่อเด็กหญิงกุ้งและยายแจ่มหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เด็กชายหมึกอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ทำร้ายเด็กหญิงกุ้งได้รับบาดเจ็บสาหัส และเมื่อยายแจ่มเข้าไปช่วยก็ถูกผลักหกล้มได้รับบาดเจ็บเช่นกันนั้น การกระทำของเด็กชายหมึกเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้เด็กหญิงกุ้งและยายแจ่มได้รับความเสียหายต่อร่างกาย และผลที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์กับการกระทำของเด็กชายหมึก ดังนั้น จึงถือว่าเด็กชายหมึกได้กระทำละเมิดต่อเด็กหญิงกุ้งและยายแจ่มตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน และแม้ว่าเด็กชายหมึกจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังคงต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดตามมาตรา 429

และเมื่อเด็กชายหมึกต้องรับผิด นางแช่มซึ่งเป็นมารดาก็ต้องร่วมกันรับผิดกับเด็กชายหมึกด้วยตามมาตรา 429 เว้นแต่จะพิสูจน์ไต้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กผู้เยาว์แล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ไม่ปรากฏว่านางแช่มได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลเด็กชายหมึกผู้เยาว์แต่อย่างใด

ดังนั้น นางแช่มจึงต้องร่วมกับเด็กชายหมึกรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อเด็กหญิงกุ้งและยายแจ่มตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 429

สรุป เด็กชายหมึกและนางแช่มต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อเด็กหญิงกุ้งและยายแจ่ม

 

 

ข้อ 3. นายเอื้อเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งมีนิสัยดุร้าย มักกัดคนในบ้านเป็นประจำ นายเอื้อจึงไล่สุนัขออกจากบ้านไม่เลี้ยงอีกต่อไป สุนัขดังกล่าวเมื่อถูกไล่ออกจากบ้านก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านของนายเอื้อ และคุ้ยหาเศษอาหารจากบริเวณที่ทิ้งขยะประจำซอย วันเกิดเหตุนายเข็มเดินผ่านริมรั้วบ้านของนายเอื้อ ปรากฏว่าสุนัขดังกล่าววิ่งเข้ามากัดขานายเข็มเป็นแผลลึกต้องเย็บ 10 เข็ม

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านายเข็มจะเรียกร้องให้นายเอื้อรับผิดทางละเมิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณ์ตามอุทาหรณ์ นายเข็มจะเรียกร้องให้นายเอื้อรับผิดทางละเมิดได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายเอื้อไล่สุนัขออกจากบ้าน และต่อมาสุนัขตัวดังกล่าวได้วิง่เข้ามากัดขานายเข็มเป็นแผลลึกจนต้องเย็บ 10 เข็มนั้น

กรณีนี้นายเอื้อไม่ต้องรับผิดต่อนายเข็มตามมาตรา 433 อันว่าด้วยความเสียหายที่เกิดจากสัตว์ เพราะเมื่อนายเอื้อไล่สุนัขออกจากบ้านไม่เลี้ยงดูอีกต่อไปนั้น สุนัขตัวดังกล่าวจึงเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของ นายเอื้อจึงมิใช่เจ้าของหรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาสุนัขดังกล่าว อันจะต้องรับผิดตามมาตรา 433 แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเอื้อไล่สุนัขออกจากบ้านโดยที่ตนเองรู้อยู่ว่าสุนัขดังกล่าวมีนิสัยดุร้ายกัดคนเป็นประจำ และนายเอื้อย่อมคาดหมายได้โดยวิญญูชนทั่วไปว่าสุนัขอาจเป็นอันตรายต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้นการกระทำของนายเอื้อถือเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกาย และการกระทำของนายเอื้อสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น คือ การบาดเจ็บของนายเข็ม ดังนั้นการกระทำของนายเอื้อจึงเป็นการละเมิดตามมาตรา 420 นายเอื้อจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเข็ม

สรุป นายเข็มสามารถเรียกร้องให้นายเอื้อรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา 420

 

 

ข้อ 4. นายรวดเร็วและนายว่องไวท้าแข่งรถกันบนถนนสายมิตรภาพ ทั้งสองขับรถด้วยความเร็วสูงนายรวดเร็วเร่งความเร็วแซงรถของนายว่องไวที่ขับอยู่ข้างหน้าเข้าไปในช่องทางเดินรถฝั่งตรงข้ามแต่ไม่พ้น จึงชนกับรถยนต์รับส่งนักเรียนซึ่งวิ่งมาตามปกติในช่องทางดังกล่าว เป็นเหตุให้เด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอลอายุ 14 ปี ซึ่งนั่งมาในรถรับส่งนักเรียนถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเมฆเป็นบิดาของเด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอล โดยเด็กหญิงน้ำค้างเกิดจากนางฝนซึ่งเป็นภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับนายเมฆ และนางฝนเสียชีวิตไปแล้ว นายเมฆได้อุปการะและส่งเสียเลี้ยงดูเด็กหญิงน้ำค้างมาตลอด ส่วนเด็กชายบอลเป็นบุตรที่เกิดจากนางฟ้าภริยาคนแรกที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และนายเมฆได้ยกเด็กชายบอลให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายหมอก โดยนายหมอกได้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมไว้ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายเมฆจะเรียกร้องให้นายรวดเร็วและนายว่องไวชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 301 “ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกับชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน”

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย

ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น”

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย คือ

ประเด็นที่ 1 นายรวดเร็วและนายว่องไวได้ทำละเมิดหรือร่วมกันทำละเมิดต่อเด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอลหรือไม่

กรณีนายรวดเร็ว การที่นายรวดเร็วและนายว่องไวท้าแข่งรถกันบนถนน และทั้งสองขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อนายรวดเร็วเร่งความเร็วแซงรถของนายว่องไวที่ขับอยู่ข้างหน้าเข้าไปในช่องทางเดินรถฝั่งตรงข้ามแต่ไม่พ้น จึงชนกับรถยนต์รับส่งนักเรียนและเป็นเหตุให้เด็กหญิงน้ำค้าง และเด็กชายบอลอายุ 14 ปี ซึ่งนั่งมาในรถรับส่งนักเรียนถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของนายรวดเร็วถือว่าเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิต และการกระทำของนายรวดเร็วมีความสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น คือความตายของเด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอล ดังนั้น นายรวดเร็วจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

กรณีนายว่องไว จะถือว่าได้ร่วมกันทำละเมิดกับนายรวดเร็วหรือไม่นั้น เห็นว่า กรณีที่จะถือว่าเป็นการ “ร่วมกันทำละเมิด” ตามบทบัญญัติมาตรา 432 บั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทั้งสองมิได้มีเจตนาร่วมกันในการกระทำ หรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำจึงไม่อาจถือได้ว่าทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อเด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอลตามมาตรา 432

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอลถึงแก่ความตายนั้นมีความสัมพันธ์กับการกระทำของนายว่องไว กล่าวคือ ถ้านายว่องไวไม่ได้ท้าแข่งรถกันบนถนนกับนายรวดเร็วแล้ว นายรวดเร็วก็จะไม่ขับรถด้วยความเร็วสูงจนทำให้ชนกับรถยนต์รับส่งนักเรียนและเป็นเหตุให้เด็กหญิงน้ำค้างและเด็กชายบอลซึ่งนั่งมาในรถรับส่งนักเรียบถึงแก่ความตาย ดังนั้นจึงถือว่านายว่องไวได้กระทำโดยละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายต่อชีวิต จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่นเดียวกับนายรวดเร็ว โดยจะต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 301 และ

มาตรา 291

ประเด็นที่ 2 นายเมฆจะเรียกร้องให้นายรวดเร็วและนายว่องไวชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. กรณีค่าปลงศพ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย ซึ่งกรณีที่บิดาจะเรียกเอาค่าปลงศพของบุตรบั้น บิดาจะต้องเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรผู้ตายด้วย ดังนั้นกรณีของเด็กหญิงน้ำค้างเมื่อปรากฏว่าเด็กหญิงน้ำค้างได้เกิดกับนายเมฆและนางฝนซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้นายเมฆจะได้อุปการะและส่งเสียเลี้ยงดูเด็กหญิงน้ำค้างมาตลอดก็ไม่ถือว่านายเมฆเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงน้ำค้าง นายเมฆจึงมิใช่ทายาทของผู้ตาย ดังนั้นจึงเรียกค่าปลงศพกรณีที่เด็กหญิงน้ำค้างถึงแก่ความตายไม่ได้

ส่วนกรณีของเด็กชายบอลซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากนางฟ้าภริยาคนแรกของนายเมฆที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้นายเมฆจะได้ยกเด็กชายบอลให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายหมอกแล้วก็ตาม แต่ตามกฎหมายถือว่า บุตรนั้นย่อมไม่สูญสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมา (มาตรา 1598/28) ดังนั้นจึงถือว่านายเมฆเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายบอล และเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (2) นายเมฆจึงสามารถเรียกค่าปลงศพกรณีที่เด็กชายบอลถึงแก่ความตายได้

  1. กรณีค่าขาดไร้อุปการะ ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว

ดังนั้นเมื่อนายเมฆมิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงน้ำค้าง เด็กหญิงน้ำค้างจึงไม่มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูนายเมฆตามมาตรา 1563 ดังนั้น นายเมฆจึงไม่สามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443วรรคท้าย กรณีที่เด็กหญิงน้ำค้างถึงแก่ความตายได้

ส่วนกรณีของเด็กชายบอล เมื่อปรากฏว่านายเมฆเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายบอล เด็กชายบอลจึงมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูนายเมฆตามมาตรา 1563 ดังนั้น นายเมฆจึงสามารถเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้าย กรณีที่เด็กชายบอลถึงแก่ความตายได้

สรุป นายเมฆสามารถเรียกร้องให้นายรวดเร็วและนายว่องไวชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะได้เฉพาะกรณีที่เด็กชายบอลถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่ไม่สามารถเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะกรณีที่เด็กหญิงน้ำค้างถึงแก่ความตายได้

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุเทพเป็นเจ้าของเสือเชื่องตัวหนึ่ง ได้สั่งให้นายแทนบุตรชายวัย 15 ขวบ เลี้ยงไว้ในบ้านของตนโดยนายแทนได้ปล่อยให้เสือเดินไปมาในบ้านได้เพราะเห็นว่าเป็นเสือเชื่อง วันเกิดเหตุ นายเฉลิมได้เอาไม้ไปแหย่เสือและไล่ตีให้เสือวิ่ง ทำให้เสือตกใจวิ่งออกมานอกรั้วบ้านของนายสุเทพ และเหยียบย่ำแปลงผักของนายสุทินได้รับความเสียหาย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายสุทินจะเรียกร้องให้ใครรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณอย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอับมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้ คือ

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ นายสุทินจะเรียกร้องให้ใครรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้บ้างหรือไม่นั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายสุทินในครั้งนี้เกิดจากการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา 420 หรือเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433

จากข้อเท็จจริง การที่นายสุเทพซึ่งเป็นเจ้าของเสือได้สั่งให้นายแทนบุตรขายเลี้ยงเสือไว้ในบ้านของตน โดยนายแทนได้ปล่อยให้เสือเดินไปมาในบ้านได้เพราะเห็นว่าเป็นเสือเชื่อง และวันเกิดเหตุนายเฉลิมได้เอาไม้ไปแหย่เสือและไล่ตีให้เสือวิ่ง ทำให้เสือตกใจวิ่งออกมานอกรั้วบ้านของนายสุเทพ และเหยียบย่ำแปลงผักของนายสุทินได้รับความเสียหายนั้น จะเห็นได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนายสุทินในครั้งนี้มิได้เกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของนายสุเทพ นายแทน และนายเฉลิม อันถือว่าเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แต่อย่างใด ดังนั้นนายสุทินจะเรียกร้องให้นายสุเทพ นายแทน และนายเฉลิมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดตามมาตรา 420 ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เสือได้วิ่งออกไปเหยียบย่ำแปลงผักของนายสุทิน ทำให้นายสุทินได้รับความเสียหายนั้น ถือได้ว่าเป็นความเลียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 ซึ่งตามมาตรา 433 วรรคแรกได้กำหนดให้เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของในขณะที่สัตว์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดขึ้นจากสัตว์นั้น ดังนั้น กรณีดังกล่าวนายสุทินจึงสามารถเรียกร้องให้นายสุเทพซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์และเป็นผู้รับเลี้ยงสัตว์ (คือเสือ) รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายได้

และนายสุเทพจะต่อสู้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ก็ไม่ได้ เพราะเสือเป็นสัตว์ใหญ่และดุร้าย ดังนั้นการเลี้ยงเสือโดยปล่อยให้เสือเดินไปมาในบ้านได้โดยไม่ได้เลี้ยงไว้ในกรงที่แข็งแรง จึงถือว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ แต่นายสุทินจะเรียกร้องให้นายแทนและนายเฉลิมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะนายแทนและนายเฉลิมไม่ได้เป็นเจ้าของสัตว์ หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ เพียงแต่เมื่อนายสุเทพต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้แก่นายสุทินแล้ว นายสุเทพย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่นายเฉลิมซึ่งเป็นผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิดได้ตามมาตรา 433 วรรคสอง

สรุป นายสุทินสามารถเรียกร้องให้นายสุเทพรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้ แต่จะเรียกให้นายแทนและนายเฉลิมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

 

ข้อ 2. จำเลยไปเที่ยวชายทะเล ขณะเดินเล่นริมชายหาดเห็นนายขาวซึ่งกำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลเป็นตะคริวกำลังจะจมน้ำ นายขาวตะโกนให้จำเลยช่วย จำเลยไม่ยอมช่วยทั้ง ๆ ที่จำเลยว่ายน้ำเป็น ปรากฏว่านายชาวจมน้ำถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

การกระทำอันเป็นการละเมิดนั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ดังนี้

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. มีความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ

ดังนั้นในเบื้องต้น จึงจำต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ทำละเมิดมี “การกระทำ” หรือไม่ หากบุคคลไม่มี “การกระทำ” ก็ไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สำหรับการกระทำนั้น หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับหรือทำโดยรู้สำนึก นอกจากนี้การกระทำยังหมายความรวมถึงการงดเว้นการเคลื่อนไหวอันพึงต้องทำเพื่อบ้องกันมิให้ผลเกิดขึ้นด้วย ในส่วนของการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่ เห็นว่าการที่นายขาวซึ่งกำลังว่ายน้ำในทะเลเป็นตะคริวกำลังจะจมน้ำตาย และจำเลยสามารถช่วยได้แต่ไม่ยอมช่วย ปรากฏว่านายขาวจมน้ำตาย เช่นนี้ไม่ถือว่าจำเลยทำละเมิดต่อนายขาวโดยงดเว้น ทั้งนี้เนื่องจากการงดเว้นของจำเลยไม่ถือเป็นการกระทำ เพราะถึงแม้จำเลยจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก แต่การที่จำเลยต้องช่วยนายขาวหรือไม่นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย หน้าที่ตามระเบียบหรือคำสั่งในการปฏิบัติงานหน้าที่ตามสัญญา หรือหน้าที่ตามความสัมพันธ์ที่ก่อขี้นก่อนแล้ว เป็นเพียงหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นในฐานะเป็นพลเมืองดีเท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องทำเพื่อป้องกันผล คือ ความตายของนายขาว

เมื่อไม่ถือว่าเป็นการกระทำ จึงไม่เป็นละเมิดตามความในมาตรา 420 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิด

สรุป จำเลยไม่ต้องรับผิดในทางละเมิด

 

 

ข้อ 3. นางสาวขวัญตาบุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายเขียว แอบหยิบกุญแจรถยนต์ที่นายเขียวให้นางแจ่มภริยานำไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินซึ่งไม่ได้ใส่กุญแจ แล้วขับรถยนต์ของนายเขียวพานายต้นบุตรของนางส้มไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งจนถึงเวลา 2 นาฬิกาของวันใหม่ ทั้งนางสาวขวัญตาและนายต้นเมาสุราเดินทางกลับด้วยกัน โดยนางสาวขวัญตาเป็นคนขับ แต่นางสาวขวัญตาขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้ขับไปชนรถยนต์ของนายเอกได้รับความเสียหาย นางสาวขวัญตาขับรถหนีต่อไปได้อีกระยะหนึ่งแล้วรู้สึกกลัวไม่กล้าขับต่อไปอีก นายต้นจึงอาสาช่วยขับแทน แต่ด้วยความรีบร้อนประกอบกับมีอาการมึนเมาสุรา จึงขับไปชนท้ายรถยนต์ของนายโทที่จอดรอสัญญาณไฟอยู่ได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุนายเขียวและนางส้มไม่ยอมมาเจรจาเรื่องค่าเสียหาย หากปรากฏว่าขณะเกิดเหตุนางสาวขวัญตาและนายต้นยังเป็นผู้เยาว์และอยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดาและไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นางสาวขวัญตา นายเขียว นายต้น และนางส้มจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายเอกและนายโท อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 429 “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”

มาตรา 430 “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิดรวมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางสาวขวัญตา นายเขียว นายต้น และนางส้ม จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายเอกและนายโท หรือไม่ อย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอก การที่นางสาวขวัญตาได้ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้ขับไปชนรถยนต์ของนายเอกได้รับความเสียหายนั้น ถือว่า เป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา 420 และแม้นางสาวขวัญตาจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนั้นตามมาตรา 429

สำหรับนายเขียวซึ่งเป็นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวขวัญตา ถือว่าเป็นบุคคลซึ่งรับดูแลนางสาวขวัญตาผู้เยาว์ และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายเขียวมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการเก็บล็อกกุญแจรถยนต์ ดังนั้น นายเขียวจึงต้องรับผิดในทางละเมิดร่วมกับนางสาวขวัญตาด้วยตามมาตรา 430 คือจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายเอก

กรณีของนายโท การที่นายต้นได้ขับรถด้วยความรีบร้อนประกอบกับมีอาการมึนเมาสุราไปชนท้ายรถยนต์ของนายโทได้รับความเสียหายนั้น ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา 420 และแม้นายต้นจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนได้ทำละเมิดนั้นตามมาตรา 429

สำหรับนางส้มซึ่งเป็นมารดาของนายต้น ย่อมต้องรับผิดร่วมกับนายต้นในผลของการทำละเมิดนั้นด้วยตามมาตรา 429 เว้นแต่นางส้มจะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

สรุป นางสาวขวัญตาและนายเขียว จะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเอก ส่วนนายต้นและนางส้มจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายโท

 

 

ข้อ 4. ในกรณีการเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443ใครบ้างที่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะ จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายพร้อมตัวอย่างประกอบกรณีละหนึ่งตัวอย่าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

อธิบาย

ในการเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 เกี่ยวกับค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะนั้นบุคคลที่จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ดังนี้ คือ

ก. ค่าปลงศพ

คำว่า “ค่าปลงศพ” หมายถึง ค่าใช้จ่ายทุกชนิดในการจัดการศพของผู้ตาย เช่น ค่าโลงศพ ค่าฉีดยากันเน่า ค่าฌาปนกิจศพ ค่าเครื่องดื่มที่ใช้ในงานศพ เงินถวายปัจจัยให้พระที่มาสวดในงานศพ เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จะมีสิทธิเรียกค่าปลงศพ ได้แก่ ทายาทของผู้ตาย ซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเท่านั้น (ฎีกาที่ 477/2514)

ดังนั้นถ้ามิใช่ทายาทของผู้ตาย หรือเป็นทายาทของผู้ตายแต่เป็นทายาทที่ไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย ก็จะไม่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพแต่อย่างใด

ทายาทซึ่งมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายนั้น อาจเป็นทายาทโดยธรรม หรือทายาทโดยพินัยกรรมซึ่งเรียกว่า “ผู้รับพินัยกรรม” ก็ได้

สำหรับทายาทโดยธรรม ซึ่งมิสิทธิรับมรดกของผู้ตาย และมีสิทธิเรียกค่าปลงศพได้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  1. ทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติ ซึ่งมีอยู่ 6 ลำดับ ได้แก่

(1)       ผู้สืบสันดาน ซึ่งหมายถึงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย และให้หมายความรวมถึงบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว และบุตรบุญธรรมด้วย

(2)       บิดามารดา หมายความถึงเฉพาะบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกเท่านั้น

(3)       พี่น้องรวมบิดามารดาเดียวกัน

(4)       พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

(5)       ปู ย่า ตา ยาย

(6)       ลุง ป้า น้า อา

  1. ทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรส ซึ่งหมายความถึงคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย คือที่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกันแล้วเท่านั้น

ตัวอย่าง นาย ก. และนาง ข. อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรหนึ่งคนคือ ด.ช.แดง ซึ่งนาย ก. ได้อุปการะเลี้ยงดูและให้ ด.ช.แดงใช้นามสกุลของนาย ก. ดังนี้ถ้าต่อมานาย ก. ได้ถูกนายดำขับรถชนจนถึงแก่ความตาย ด.ช.แดงซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมถือว่าเป็นทายาทของนาย ก. และมีสิทธิรับมรดกของนาย ก. จึงมีสิทธิเรียกค่าปลงศพจากนายดำได้ ส่วนนาง ข. เมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนาย ก. จึงไม่ใช่ทายาทของนาย ก. และไม่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพจากนายดำ

ข. ค่าขาดไร้อุปการะ

คำว่า “ค่าขาดไร้อุปการะ” หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ทำละเมิดให้แก่บุคคลซึ่งผู้ตายมีหน้าที่ต้องอุปการะไว้ตามกฎหมายครอบครัว โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าในทางข้อเท็จจริงจะได้มีการอุปการะกันหรือไม่ และไม่จำต้องพิจารณาว่าผู้ตายจะมีรายได้หรือไม่ เพียงแต่การเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้ายนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ คือ

  1. ผู้ถูกทำละเมิดจะต้องได้ถึงแก่ความตายเท่านั้น
  2. ผู้ถูกทำละเมิดมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลตามกฎหมายครอบครัว
  3. ความตายทำให้บุคคลนั้นต้องขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู

ดังนั้นจากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ผู้ที่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะ ได้แก่

  1. สามีภริยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย คือ สามีภริยาที่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกันแล้ว
  2. บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย
  3. บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมที่ทั้งบุตรบุญธรรม เฉพาะที่เป็นบุตรผู้เยาว์ หรือทุพพลภาพหาเลี้ยงตนเองไม่ได้เท่านั้น
  4. ผู้รับบุตรบุญธรรม

ตัวอย่าง นาย ก. และนาง ข. อยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรหนึ่งคนคือ ด.ช.แดง ซึ่งนาย ก. ได้อุปการะเลี้ยงดูและให้ ด.ช.แดงใช้นามสกุลของนาย ก. ดังนี้ถ้าต่อมานายดำได้ขับรถโดยประมาทชน ด.ช. แดงถึงแก่ความตาย นาง ข. ซึ่งเป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของ ด.ช.แดงย่อมมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายดำได้ (และสามารถเรียกค่าปลงศพได้ด้วย) ส่วนนาย ก. ซึ่งเป็นบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะ (รวมทั้งค่าปลงศพ) จากนายดำได้ ทั้งนี้เพราะ ด.ช.แดงผู้ที่ถูกทำละเมิดจนถึงแก่ความตายนั้นมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูเฉพาะนาง ข. ซึ่งเป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูนาย ก. ซึ่งเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง

 

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงฝากครรภ์กับแพทย์หญิงนุ่นซึ่งเป็นสูติแพทย์ ซึ่งได้ตรวจและยืนยันว่าแดงมีภูมิคุ้มกันจากหัดเยอรมันสามารถตั้งครรภ์ได้ เมื่อถึงวันใกล้คลอด แดงได้ไปนอนที่คลินิกของแพทย์หญิงนุ่น และนกซึ่งเมินวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) ได้ฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณสันหลังแก่แดง เพื่อลดความเจ็บปวดในการคลอดบุตร แล้วทิ้งแดงให้อยู่คนเดียวโดยปราศจากผู้ดูแลเพื่อไปวางยาสลบคนไข้รายอื่นต่อมาอีกครึ่งชั่วโมง แพทย์หญิงนุ่นได้เจาะถุงน้ำคร่ำแดง แล้วทิ้งแดงให้อยู่คนเดียวโดยปราศจากผู้ดูแลเช่นกัน ต่อมาอีกครึ่งชั่วโมง แดงเกิดอาการปวดหัวหายใจไม่ออก จนกระทั่งอยู่ในภาวะวิกฤติแต่ไม่มีการช่วยชีวิตตามวิชาการแพทย์อย่างทันท่วงที จนเป็นเหตุให้แดงถึงแก่ความตาย แต่สามารถช่วยให้บุตรในครรภ์คลอดออกมามีชีวิตรอดได้ ดังนี้ให้วินิจฉัยในกรณีต่อไปนี้

(ก) แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นก ร่วมกันทำละเมิดอันจะต้องร่วมกับรับผิดในความเสียหายต่อชีวิตแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) บอสซึ่งเมินนายจ้างของแดง จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกอันเนื่องมาจากความตายของแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 432 “ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแกบุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกับรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย…”

มาตรา 445 “ในกรณีทำให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก่รางกาย หรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกได้ทิ้งแดงให้อยู่คนเดียวโดยปราศจากผู้ดูแล ทำให้เมื่อแดงเกิดอาการปวดหัวหายใจไม่ออก จนกระทั่งอยู่ในภาวะวิกฤติ แต่ไม่มีการช่วยชีวิตตามวิชาการแพทย์อย่างทันท่วงที จนเป็นเหตุให้แดงถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกเป็นละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึงทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและการกระทำของทั้งสองสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือความตายของแดง ทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมา คือ แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกันทำละเมิดอันจะต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายต่อชีวิตแดงหรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่จะถือว่าเป็นการร่วมกันทำละเมิดตามบทบัญญัติมาตรา 432 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ร่วมกระทำได้ร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่แดงได้ถึงแก่ความตายนั้นเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นก ซึ่งทั้งสองไม่มีเจตนาร่วมกันในการกระทำหรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำอันจะเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา 432 ดังนั้น แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกจึงมิความผิดฐานต่างคนต่างกระทำละเมิดต่อแดงโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา 420

(ข) โดยหลักแล้วบอสซึ่งเป็นนายจ้างของแดง สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกอันเนื่องมาจากความตายของแดงในค่าความเสียหายจากการขาดแรงงานในอุตสาหกรรมได้ตามมาตรา 445 แต่เนื่องจากเมื่อแดงซึ่งเป็นลูกจ้างได้ถูกทำละเมิดแล้วตายทันที สัญญาจ้างระหว่างแดงกับบอสจึงสิ้นสุดลง บอสจึงไม่อยู่ในฐานะขาดแรงงาน จึงไม่อาจเรียกร้องค่าขาดแรงงานตามมาตรา 445

สรุป

(ก) แพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกไม่ได้ร่วมกันทำละเมิดอันจะต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายต่อชีวิตแดง

(ข) บอสซึ่งเป็นนายจ้างของแดง จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแพทย์หญิงนุ่นและวิสัญญีแพทย์นกอันเนื่องมาจากความตายของแดงไม่ได้

 

 

ข้อ 2. นายเอ เดินมาพบนายแดงซึ่งเป็นคู่อริ จึงสั่งให้สุนัขของนายเอกัดนายแดง นายแดงได้รับบาดเจ็บและร้องขอความช่วยเหลือ เป็นเหตุให้นายโชคซึ่งขี่รถจักรยานยนต์อยู่บริเวณดังกล่าวเลี้ยวรถจักรยานยนต์เข้ามาดูเหตุการณ์ ปรากฏว่าถนนเทศบาลมีการซ่อมแซมท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ โดยเปิดฝาท่อทิ้งไว้แต่ไม่มีป้ายเตือนหรือป้ายสัญญาณไฟแต่อย่างใด นายโชคมองไม่เห็นท่อระบายน้ำดังกล่าวจึงขี่รถจักรยานยนต์พลัดตกลงไป ขณะที่นายโชคกำลังจะจมน้ำ นายแมนนักกีฬาว่ายน้ำตัวแทนจังหวัด เดินผ่านท่อระบายน้ำเห็นนายโชคขอความช่วยเหลือ แต่ไม่เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใดต่อมาปรากฎว่านายแดงบาดเจ็บต้องเย็บสิบเข็มเนื่องจากสุนัขกัด และนายโชคจมน้ำในท่อระบายน้ำถึงแก่ความตาย

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า นายแดงและทายาทของนายโชคจะเรียกร้องให้นายเอ เทศบาล และนายแมน รับผิดในทางละเมิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้”

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นละเมิดตามมาตรา 420 ประกอบด้วย

  1. บุคคลกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
  2. ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย
  3. เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
  4. ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแดงและทายาทของนายโชคจะเรียกร้องให้นายเอ เทศบาล และนายแมนรับผิดในทางละเมิดได้หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีของนายเอ

การที่นายเอสั่งให้สุนัขของตนกัดนายแดงจนได้รับบาดเจ็บต้องเย็บสิบเข็มนั้น การกระทำของนายเอถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเอ จึงถือว่านายเอได้กระทำละเมิดต่อนายแดงตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดง ไม่ใช่กรณีต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายอันเกิดจากสัตว์ตามมาตรา 433 เพราะความรับผิดตามมาตรา 433 ต้องเป็นความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นจากสัตว์นั้นเอง มิใช่ความเสียหายจากสัตว์โดยมีมนุษย์เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นหรือมนุษย์บังคับดูแลอยู่ในขณะนั้น

แต่นายเอไม่ต้องรับผิดต่อทายาทของนายโชคในกรณีที่นายโชคจมน้ำท่อระบายน้ำถึงแก่ความตาย เพราะการที่นายโชคถึงแก่ความตายไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของนายเอ และเป็นผลที่ไกลกว่าเหตุ

  1. กรณีของเทศบาล

การที่เทศบาลได้ทำการซ่อมแซมท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ โดยเปิดฝาท่อทิ้งไว้แต่ไม่มีป้ายเตือนหรือป้ายสัญญาณไฟแต่อย่างใด ทำให้นายโชคมองไม่เห็นท่อระบายน้ำดังกล่าวจึงขี่รถจักรยานยนต์พลัดตกลงไปและจมน้ำจนถึงแก่ความตายนั้น การกระทำของเทศบาลถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของเทศบาล จึงถือว่าเทศบาลได้กระทำละเมิดต่อนายโชคตามมาตรา 420 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ทายาทของนายโชค

  1. กรณีของนายแมน

การที่นายแมนไม่เข้าช่วยเหลือนายโชค ไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อนายโชคตามมาตรา 420 เพราะการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่ การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ และกรณีตามอุทาหรณ์นั้น นายแมนไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องช่วยเหลือแต่อย่างใด จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดโดยการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ตามมาตรา 420

ดังนั้น นายแมนจึงไม่ต้องรับผิดต่อทายาทของนายโชค (ส่วนจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เป็นอีกส่วนหนึ่ง)

สรุป นายแดงสามารถเรียกร้องให้นายเอรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา 420 แต่จะเรียกร้องให้เทศบาลรับผิดไม่ได้

ทายาทของนายโชคสามารถเรียกร้องให้เทศบาลรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา 420 แต่จะเรียกร้องให้นายแมนรับผิดไม่ได้

 

 

ข้อ 3. จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงได้ความว่า บิดามารดาของนาย ก. ถึงแก่ความตายไปหมดแล้ว นาย ก. เหลือญาติที่มีอยู่เพียงคนเดียวคือป้าของนาย ก. ก่อนที่นาย ก. จะถูกทำละเมิดถึงแก่ความตาย นาย ก. ได้อุปการะเลี้ยงดูป้าเนื่องจากป้าอายุมากแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ดังนี้ ป้าของนาย ก. จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพจากจำเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสีทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย ก. ถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยเป็นละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและกระทำของจำเลยสัมพันธ์กับผลของการกระทำ คือ ความตายของนาย ก. จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย คือ ป้าของนาย ก. จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพจากจำเลยได้หรือไม่ สำหรับกรณีค่าขาดไร้อุปการะนั้นตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคท้าย ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิด จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น(สามีกับภริยาหรือบิดามารดากับบุตร) เมื่อนาย ก.(ผู้ตาย) ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูป้าของนาย ก. ตามกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้นป้าของนาย ก. จึงไม่มิสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้ายจากจำเลยผู้ทำละเมิด

ส่วนกรณีค่าปลงศพนั้น ตามบทบัญญัติมาตรา 443 วรรคแรก ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย ดังนั้น ป้าของนาย ก. ซึ่งถือว่าเป็นทายาทตามมาตรา 1629(6) จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพจากจำเลยผู้ทำละเมิดได้

สรุป ป้าของนาย ก. จะฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะไม่ได้ แต่สามารถฟ้องเรียกค่าปลงศพได้

 

 

ข้อ.4 นายพงษใช้ไม้หน้าสามไล่ตีนายพัฒน์แต่ปรากฏว่านายพัฒน์หลนได้ทันจึงพลาดไปถูกนายแช่มได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิต นายเสกซึ่งเป็นเพื่อนรักของนายแช่มจึงโกรธแค้นและได้ยุให้สุนัขดุของตนที่เลี้ยงไว้กัดนายพงษ์ นายพงษ์คว้ากีตาร์ของนายแอ๊ดฟาดไปที่หัวสุนัขทำให้กีตาร์หักกระเด็นไปถูกนางลำยองแขนหัก ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายพงษ์ต้องรับผิดต่อนายแช่ม(บาดเจ็บสาหัส) นายแอ๊ด (กีตาร์เสียหาย) และนางลำยอง (แขนหัก) หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 449 “บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรก จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้

  1. จะต้องเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น
  2. ภยันตรายนั้นจะต้องเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
  3. เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
  4. ผู้กระทำได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพงษใช้ไม้หน้าสามไล่ตีนายพัฒน์ แต่ปรากฏว่านายพัฒน์หลบได้ทัน จึงพลาดไปถูกนายแช่มได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิตนั้น แม้ข้อเท็จจริงนายพงษ์จะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนายแช่มก็ตาม แต่การกระทำของนายพงษ์ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้นายแช่มได้รับความเสียหายต่อร่างกาย และการกระทำของนายพงษ์สัมพันธ์กับผลของการกระทำ นายพงษ์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายพัฒน์ ฐานกระทำละเมิดตามมาตรา 420

ส่วนกรณีที่นายเสกได้ยุสุนัขคุของตนที่เลี้ยงไว้กัดนายพงษ์ ถือว่านายพงษ์ถูกนายเสกประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายด้วยการใช้สุนัขเป็นเครื่องมือในการทำละเมิด ดังนั้น การที่นายพงษ์คว้ากีตาร์ของนายแอ๊ดฟาดไปที่หัวสุนัขทำให้กีตาร์หักกระเด็นไปถูกนางลำยองแขนหักนั้น การกระทำซองนายพงษ์ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนอันชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ นายพงษ์จึงได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรก คือไม่ต้องรับผิดต่อนายแอ๊ดกรณีกีตาร์เสียหาย และไม่ต้องรันผิดต่อนางลำยองกรณีที่นางลำยองแขนหักแต่อย่างใด (กรณีนี้นายแอ๊ดและนางลำยองอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายเสก ผู้เป็นต้นเหตุให้นายพงษ์ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ตามมาตรา 449 วรรคสอง)

สรุป นายพงษ์ต้องรับผิดต่อนายแช่มตามมาตรา 420 แต่ไม่ต้องรับผิดต่อนายแอ๊ดและนางลำยองเพราะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคแรก

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้าน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ธนาคารส่งสำเนาใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตไปถึงจำเลย ระบุกำหนดชำระหนี้โดยหักบัญชีตัดยอดภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน และผู้ใช้บัตรจะต้องชำระภายในหนึ่งเดือน เมื่อจำเลย

ใช้บัตรเบิกเงินสดครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2559ให้ท่านตอบคำถามต่อไปนี้ โดยใช้หลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจนเกี่ยวกับมูลหนี้ วัตถุแห่งหนี้ กำหนดเวลาชำระหนี้ ผิดนัดและอายุความเริ่มนับ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใด ให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น”

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. การที่ธนาคาร (เจ้าหนี้) ส่งสำเนาใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตไปถึงจำเลย และให้จำเลยต้องชำระหนี้ภายในกำหนด 1 เดือนนั้น ถือว่าหนี้ระหว่างธนาคารและจำเลยเป็นหนี้ที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นจากสัญญา และมีวัตถุแห่งหนี้คือ การส่งมอบทรัพย์สิน
  2. หนี้ระหว่างธนาคารและจำเลย (ผู้ใช้บัตรเครดิต) เป็นหนี้ที่มิได้กำหนดเวลาในการชำระหนี้ลงไว้ ดังนั้นหนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้วโดยพลัน ซึ่งธนาคาร (เจ้าหนี้) ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันเช่นกันตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยได้ใช้บัตรเบิกเงินสดครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 ธันวาคม 2559 ธนาคารตัดยอดบัญชีภายในวันที่ 25 ของทุกเดือน และผู้ใช้บัตรต้องชำระภายใน 1 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 25 มกราคม 2560 ดังนั้น วันครบกำหนดในการชำระหนี้ตามบัตรคือวันที่ 25 มกราคม 2560 (มาตรา 193 วรรคสอง) ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวย่อมถือว่า จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนแก่ลูกหนี้แล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง

  1. ถ้าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด สิทธิเรียกร้องของธนาคารเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2560 และอายุความจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2560 เป็นต้นไป ตามมาตรา 193/12 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า

“อายุความให้เริ่มนับตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…” (ซึ่งหนี้บัตรเครดิตนั้นจะมีอายุความ 2 ปี)

สรุป หนี้ดังกล่าวมีมูลหนี้เกิดจากสัญญา วัตถุแห่งหนี้คือการส่งมอบทรัพย์สิน กำหนดเวลาชำระหนี้คือวันที่ 25 มกราคม 2560 ถ้าจำเลยไม่ชำระภายในกำหนดจะถือว่าจำเลยผิดนัดและอายุความจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2560 เป็นต้นไป

 

ข้อ 2. เพิ่มเป็นเจ้าหนี้หนึ่งอยู่สองล้านบาท ต่อมาหนึ่งได้รับมรดกเป็นที่ดิน น.ส.3 มายี่สิบไร่ แล้วหนึ่งยกมรดกที่ดินดังกล่าวให้สองและสามโดยเสน่หาทั้งที่รู้ว่าตนมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ สองและสามแยกที่ดินส่วนของตนคนละสิบไร่ สองนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองสี่ ส่วนสามนำที่ดินส่วนของตนไปขายให้ห้า ทั้งสี่และห้าสุจริต เพิ่มมาปรึกษาท่านว่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะต้องดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้ให้ท่านแนะนำ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน”

มาตรา 238 “การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน

อนึ่งความที่กล่าวม’ในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าสิทธินั้นได้มาโดยเสน่หา ”

มาตรา 239 “การเพิกถอนนั้นย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เพิ่มเป็นเจ้าหนี้หนึ่งอยู่ 2 ล้านบาท และต่อมาหนึ่งได้รับมรดกเป็นที่ดิน น.ส.3 จำนวน 20 ไร่ แล้วหนึ่งได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่สองและสามโดยเสน่หาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตนมีทรัพย์สิน

ไม่พอชำระหนี้นั้น ถือว่าเป็นการฉ้อฉลเพราะทำให้เพิ่มเจ้าหนี้เสียเปรียบ ซึ่งกรณีนี้เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียว ก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น เพิ่มเจ้าหนี้จึงมีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างหนึ่งกับสองและสามได้ตามมาตรา 237 วรรคหนึ่ง

และเมื่อเพิ่มได้ร้องขอให้มีการเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 แล้ว การเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวจะมีผลต่อสี่และห้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การที่สองได้นำที่ดินในส่วนของตนจำนวน 10 ไร่ไปจำนองแก่สี่นั้น เมื่อมีการเพิกถอนการฉ้อฉลแล้ว ที่ดินนั้นย่อมกลับมาเป็นของหนึ่ง และเจ้าหนี้ทุกคนย่อมได้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินแปลงดังกล่าว (มาตรา 239) เพิ่มจึงสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อที่ดินแปลงดังกล่าวติดภาระจำนองกับสี่ แม้เพิ่มจะสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้ (ตามมาตรา 214) แต่เพิ่มก็จะบังคับชำระหนี้ได้ตามสิทธิของตนคือในฐานะเจ้าหนี้สามัญเท่านั้น

  1. การที่สามได้นำที่ดินส่วนของตนจำนวน 10 ไร่ไปขายให้แก่ห้านั้น เมื่อปรากฏว่าห้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวไว้โดยสุจริตก่อนมีการฟ้องคดีขอเพิกถอนการฉ้อฉล ดังนั้นเมื่อ

มีการเพิกถอนการฉ้อฉลนิติกรรมการให้โดยเสน่หาของหนึ่งและสาม การเพิกถอนดังกล่าวจึงไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของห้า เพิ่มจึงไม่อาจบังคับเอากับที่ดินของห้าได้ตามมาตรา 238

สรุป เพิ่มสามารถเพิกถอนการฉ้อฉลนิติกรรมการให้โดยเสน่หาได้ แต่เพิ่มสามารถบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินของสี่ได้ตามสิทธิของตนเท่านั้น จะบังคับเอาจากที่ดินของห้าไม่ได้

 

ข้อ 3. จันทร์เป็นเจ้าหนี้และอังคารเป็นลูกหนี้ในหนี้เงิน 100,000 บาท โดยมีพุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าว ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ อังคาร (ลูกหนี้) ผิดนัด จันทร์จึงเรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ พุธนำเงิน 100,000 บาท ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แต่ปรากฏว่าจันทร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ พุธจึงนำเงิน 100,000 บาทนั้นไปวางที่

สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่จันทร์ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า พฤหัสยังต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าวนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด”

มาตรา 292 วรรคหนึ่ง “การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ ด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย ”

มาตรา 331 “ถ้าเจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ก็ดีหรือไม่สามารถจะรับชำระหนี้ได้ก็ดีหากบุคคลผู้ชำระหนี้วางทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว ก็ย่อมจะเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ได้

ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่บุคคลผู้ชำระหนี้ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิ หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอน โดยมิใช่ความผิดของตน”

มาตรา 682 วรรคสอง “ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุธและพฤหัสเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้ที่อังคารเป็นลูกหนี้จันทร์จำนวน 100,000 บาทนั้น ย่อมถือว่าพุธและพฤหัสต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 682 วรรคสอง และเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ อังคารซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดและจันทร์เจ้าหนี้เรียกให้พุธผู้ค้ำประกันชำระหนี้ การที่พุธนำเงิน 100,000 บาท ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แต่จันทร์บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้นั้น ย่อมถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ดังนั้น พุธจึงมีสิทธินำเงิน 100,000 บาทนั้นไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่จันทร์เจ้าหนี้ได้และทำให้พุธเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้นั้นตามมาตรา 331

และเมื่พุธได้กระทำการวางทรัพย์ตามมาตรา 331 แล้ว การกระทำของพุธย่อมเป็นประโยชน์แก่พฤหัสซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง ดังนั้นพฤหัสจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้รายดังกล่าวต่อจันทร์

สรุป พฤหัสไม่ต้องรับผิดต่อจันทร์ในหนี้รายดังกล่าว

 

ข้อ 4. จันทร์และอังคารเป็นหนี้ร่วมของพุธในหนี้เงินสองแสบบาท ต่อมาอังคารตาย และพุธได้เป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของอังคาร โดยพินัยกรรม ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า จันทร์จะเรียกร้องให้พุทธชำระหนี้สองแสนบาทดังกล่าวนั้นได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 299 วรรคสอง “ถ้าสิทธิเรียกร้องและหนี้สินนั้นเป็นอันเกลื่อนกลืนกันไปในเจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง สิทธิของเจ้าหนี้คนอื่น ๆ อันมีต่อลูกหนี้ก็ย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 300 “ในระหว่างเจ้าหนี้ร่วมกันนั้น ท่านว่าต่างคนชอบที่จะได้รับชำระหนี้เป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 353 “ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์และอังคารเป็นเจ้าหนี้ร่วมของพุธในหนี้เงิน 2 แสนบาทและต่อมาอังคารเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งตาย และพุธได้รับมรดกทั้งหมดของอังคารโดยพินัยกรรมนั้น เมื่อสิทธิเรียก

ให้ชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาท กับหน้าที่ในการชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาท ได้ตกมาอยู่กับพุธเพียงคนเดียว

จึงเป็นกรณีที่ถือว่าหนี้เกลื่อนกลืนกันตามมาตรา 353 ดังนั้นหนี้จึงเป็นอันระงับสิ้นไป จันทร์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้พุธชำระหนี้ได้ เพราะถือว่าหนี้ระหว่างจันทร์กับพุธย่อมเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยตามมาตรา 299 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จันทร์จะเรียกร้องให้พุธชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาทไม่ได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิของจันทร์ในอันที่จะไล่เบี้ยเอาจากพุธได้ในจำนวนเงิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 300 เนื่องจากในระหว่างเจ้าหนี้ร่วมกันนั้นต่างคนชอบที่จะได้รับชำระหนี้เป็นส่วนเท่า ๆ กัน

สรุป จันทร์จะเรียกร้องให้พุธชำระหนี้จำนวน 2 แสนบาทไม่ได้ แต่ไม่ตัดสิทธิของจันทร์ที่จะเรียกเอาจากพุธตามส่วนของตนจำนวน 1 แสนบาท ตามมาตรา 299 วรรคสอง และมาตรา 300

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ขายม้าให้อังคารหนึ่งตัว กำหนดส่งมอบม้าวันที่ 20 มกราคม 2559 ก่อนถึงกำหนดส่งมอบ 10 วัน อังคารได้แจ้งไปยังจันทร์ว่า ตามกำหนดส่งมอบม้านั้น อังคารไม่สามารถรับมอบม้าได้ เนื่องจากยังสร้างคอกม้าไม่เสร็จ ปรากฏว่าจันทร์ได้บอกกล่าวไปยังอังคารว่า จันทร์ได้เตรียมการที่จะส่งมอบม้าไว้พร้อมแล้ว แต่อังคารก็ยังปฏิเสธไม่ยอมรับมอบม้า ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ”

มาตรา 208 วรรคสอง “แต่ถ้าเจ้าหนี้ได้แสดงแก่ลูกหนี้ว่า จะไม่รับชำระหนี้ก็ดี หรือเพื่อที่จะชำระหนี้จำเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนก็ดี ลูกหนี้จะบอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการที่จะชำระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้ว ให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้นั้น เท่านี้ก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว

ในกรณีเช่นนี้ ท่านว่าคำบอกกล่าวของลูกหนี้นั้นก็เสมอกับคำขอปฏิบัติการชำระหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ขายม้าให้แก่อังคารหนึ่งตัว กำหนดส่งมอบม้าวันที่ 20 มกราคม 2559 แต่ก่อนถึงกำหนดส่งมอบม้า 10 วัน อังคารได้แจ้งไปยังจันทร์ว่า ตามกำหนดส่งมอบม้านั้น อังคารไม่สามารถรับมอบม้าได้เนื่องจากยังสร้างคอกม้าไม่เสร็จนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าหนี้ (อังคาร) ได้แสดงแก่ลูกหนี้ (จันทร์)ว่าจะไม่รับชำระหนี้ตามมาตรา 208 วรรคสอง ดังนั้น จันทร์ (ลูกหนี้) จึงมิต้องเสนอขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยตรงอย่างกรณีทั่วไป เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแล้ว เพียงแต่ในกรณีนี้กฎหมายได้กำหนดให้เพียงลูกหนี้บอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ว่า ได้เตรียมการที่จะชำระหนี้ไว้พร้อมเสร็จแล้วก็เป็นการเพียงพอแล้ว

และจากข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่า จันทร์ (ลูกหนี้) ได้บอกกล่าวไปยังอังคาร (เจ้าหนี้) ว่าจันทร์ได้เตรียมการที่จะส่งมอบม้าไว้พร้อมแล้ว แต่อังคารก็ยังปฏิเสธไม่ยอมรับมอบม้า จึงถือเป็นกรณีที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงถือว่าอังคาร (เจ้าหนี้) ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 208 วรรคสอง

สรุป อังคารเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

 

ข้อ 2 ก. ยืมควาย ข. ไถนาสองวัน แต่ไถนาไม่เสร็จ ขณะที่ ก. ให้ควายไถนาในวันที่สามหลังจากยืม ค.ขับรถมาตามถนนเกิดหลับใน รถพุ่งลงท้องนาชนควายคอหักตาย ข. จะเรียกให้ใครรับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวได้บ้าง เพราะเหตุใด และจะแบ่งความรับผิดชอบกันอย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้นั้นมิได้กำหนดลงไว้หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

ถ้าได้กำหนดเวลาไว้ แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่ แต่ฝ่าย ลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้”

มาตรา 204 “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้วลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว”

มาตรา 217 “ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบใบการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ความเสียหายนั้น ถึงแม้ว่าตนจะได้ชำระหนี้ทันเวลากำหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง”

มาตรา 226 “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆ ด้วยอำนาจกฎหมาย”

มาตรา 228 วรรคหนึ่ง “ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น เป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้ยืมควาย ข. ไถนาเป็นเวลา 2 วันนั้น เป็นสัญญายืมใช้และเป็นสัญญาที่มีกำหนดเวลาตามมาตรา 203 วรรคสอง เมื่อครบกำหนด ก. ไถนาไม่เสร็จ จึงใช้ควายไถนาโดยไม่ส่งมอบควายคืนให้แก่ ข. ดังนี้ถือว่า ก. ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้มิต้องเตือนตามมาตรา 204 วรรคสอง

การที่ ค. ได้ขับรถชนควายคอหักตายในระหว่างที่ ก. ผิดนัดนั้น ย่อมถือว่าการชำระหนี้ (การส่งมอบควายคืบให้ ข.) กลายเป็นพ้นวิสัยและเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ ก. ลูกหนี้ผิดนัด ก. ลูกหนี้จึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวตามมาตรา 217 ดังนั้น ข. สามารถเรียกให้ ก. รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวได้

หรือ ข. อาจจะเรียกให้ ค. รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวเพราะถือว่า ค. ได้ทำละเมิดต่อ ข. ตามมาตรา 420 ก็ได้

ส่วนการแบ่งความรับผิดชอบของ ก. และ ค. นั้น ให้ใช้หลักการรับช่วงสิทธิและช่วงทรัพย์มาพิจารณา กล่าวคือ ถ้า ก. ชำระค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ไม่สามารถส่งมอบควายคืนให้แก่ ข. เพราะเหตุการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยให้แก่ ข. เจ้าหนี้ ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวถือเป็นเรื่องของ “ช่วงทรัพย์” ตามมาตรา226 วรรคสอง และมาตรา 228 วรรคหนึ่ง และเมื่อ ก. ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ ข. แล้ว ก. ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเข้า “รับช่วงสิทธิ” ของ ข. ในการไปเรียกเอาจาก ค. ได้ ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง และมาตรา 227

สรุป ข. สามารถเรียกให้ ก. และ ค. รับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวได้ ส่วนการแบ่งความรับผิดชอบของ ก. และ ค. นั้น ให้ใช้หลักการรับช่วงสิทธิและช่วงทรัพย์ ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 3. นายพงซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 1 ไร่ จากนายสินเมื่อปี 2555 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2558 นายพงทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวแก่นายเรนในราคา 1,000,000 บาท เพื่อสร้างโรงงานและคลังสินค้า กำหนดจดทะเบียนโอนกรมสิทธิ์วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 แต่วันที่ 20 มกราคม 2558 กรุงเทพมหานครส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ดินแปลงนี้เพื่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์รวมเนื้อที่ 300 ตารางวา โดยแจ้งว่านายสินได้ยกให้เป็นถนนสาธารณะแล้ว ตั้งแต่ปี 2553 แต่ในทะเบียนที่ดินไม่ได้บันทึกการยกให้ไว้นายพงจึงไม่เคยทราบมาก่อน กระทั่งได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงนี้แก่นายเรน นายเรนไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้ตามความประสงค์ จึงบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากนายพง ให้วินิจฉัยว่านายพงต้องรับผิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพงทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่นายพงได้ซื้อมาจากนายสินให้แก่นายเรนโดยกำหนดจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 แต่พอวันที่ 20มกราคม 2558 กรุงเทพมหานครได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อสร้างถนนสาธารณประโยชน์รวมเนื้อที่ 300 ตารางวา โดยแจ้งว่านายสินได้ยกให้เป็นถนนสาธารณะแล้วตั้งแต่ปี 2553 ทำให้นายเรนไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้ตามความประสงค์ จึงบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากนายพงนั้น

กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แม้นายพงจะไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่นายเรนได้อันเป็นการผิดสัญญาจะซื้อขายก็ตาม แต่สาเหตุนั้นเกิดจากการที่นายสินเจ้าของที่ดินคนเดิมได้ยกที่ดินบางส่วนให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยนายพงไม่เคยรู้เรื่องนี้ ทั้งไม่มีการบันทึกไว้ในทะเบียนที่ดินด้วย

ดังนั้น การที่นายพงไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่นายเรนได้ตามสัญญา จึงเป็นกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่ง

ซึ่งได้เกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และเป็นเหตุให้นายพงลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง นายพงจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้และไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเรน

สรุป นายพงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเรน

 

 

ข้อ 4. ในวันที่ 14 มีนาคม 2557 นายเอ นายบี และนายซีใด้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายรวยไปจำนวน 3,000,000 บาท โดยมิได้มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ลงไว้ นอกจากนี้ในการกู้ยืมเงินดังกล่าวนั้น นายเอ นายบี และนายซีได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่า นายเอจะไม่รับผิดอย่างใดเลยในหนี้จำนวนนี้ สองเดือนต่อมานายรวยได้ไปทำสัญญาซื้อรถยนต์ 1 คัน ราคา 1,000,000 บาท โชว์รูมขายรถยนต์ของนายซี โดยมีข้อตกลงกันว่านายรวยจะชำระค่ารถยนต์เป็นเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายซี ภายในวันที่ 14 มีนาคม 2559 ภายหลังจากนั้นนายซีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต โดยมีนางสาวซูซีเป็นทายาทแต่เพียงผู้เดียวของนายซี ต่อมาในวันที่ 14 มีนาคม 2559 นายรวยได้ทวงถาม ให้นางสาวซูซี่ในฐานะทายาทของนายซีลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน

นางสาวซูซี่จึงแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายรวย ระหว่างหนี้ที่นายรวยค้างชำระค่ารถยนต์ต่อนายซี จำนวน 1,000,030 บาท กับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว แต่นายรวยต้องการได้เงินสดเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการของตน อีกทั้งเห็นว่านางสาวซูซี่ไม่มีสิทธิแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้แทน นายซีจึงปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้จากนางสาวซูซี่ ในวันเดียวกันนั้นเอง นายรวยได้มาเรียกให้นายเอชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน แต่นายเอปฏิเสธไม่ชำระหนี้ให้แก่นายรวย โดยอ้างว่าหนี้ทั้งหมดระงับไปแล้วด้วยการหักกลบลบหนี้ระหว่างนางสาวซูซี่และนายรวยและตนก็ไม่ต้องรับผิดใด ๆ ในหนี้จำนวนนี้ตามที่ได้ตกลงไว้กับนายบีและนายซีด้วย

ด้งนี้ให้วินิจฉัยว่า นายเอต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยหรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 203 วรรคหนึ่ง “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 292 “การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆด้วย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใด ๆ อันพึงกระทำแทนชำระหนี้ วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้ และหักกลบลบหนี้ด้วย

ลูกหนี้ร่วมกับคนหนึ่งมีสิทธิเรียกร้องอย่างไร ลูกหนี้คนอื่น ๆ จะเอาสิทธิอันนั้นไปใช้หักกลบลบหนี้หาได้ไม่”

มาตรา 341 “ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดจะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอ นายบี และนายซีได้ทำหนังสือสัญญาเป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินจากนายรวยไปจำนวน 3,000,000 บาทนั้น ตามมาตรา 291 ลูกหนี้ร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงและเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งรับผิดโดยสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก

และแม้ว่านายเอ นายบี และนายซีลูกหนี้ร่วมจะได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเองไว้ว่านายเอจะไม่รับผิดอย่างใดเลยในหนี้จำนวนนี้ก็ตามแต่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงภายในระหว่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับเจ้าหนี้ได้ ดังนั้นนายเอจึงยังคงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยเจ้าหนี้

ส่วนประเด็นที่ว่านายเอจะต้องรับผิดชำระหนี้ไห้แก่นายรวยเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในเบื้องต้นนายรวยได้เรียกร้องให้นางสาวซูซี่ทายาทของนายซีแต่เพียงผู้เดียวชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวน 3,000,000 บาทให้แก่ตน นางสาวซูซี่จึงได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้กับนายรวย ระหว่างหนี้ที่นายรวยค้างชำระค่ารถยนต์ต่อนายซีจำนวน 1,000,000 บาท กับหนี้เงินกู้รายดังกล่าว นางสาวซูซี่ในฐานะทายาทของนายซีย่อมสามารถทำได้ เพราะการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 341 นั้น

เป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน โดยมูลหนี้มีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน (หนี้เงิน) และหนี้ทั้งสองรายนั้นได้ถึงกำหนดชำระแล้ว และจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อหนี้เงินกู้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ลงไว้ ย่อมถือว่าหนี้เงินกู้ได้ถึงกำหนดชำระโดยพลัน (ตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ง) อีกทั้ง การที่นางสาวซูซี่ได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้กับนายรวยนั้น ก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 292 วรรคสอง เพราะมิได้เอาสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ร่วมกับคนอื่น ๆ มาใช้ในการหักกลบลบหนี้แต่อย่างใด

ดังนั้นแม้นายรวยจะปฏิเสธไม่ยอมรับการหักกลบลบหนี้ของนางสาวซูซี่ ก็หามีผลทำให้การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนางสาวซูซี่เสียไปไม่

เมื่อนางสาวซูซี่ได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับนายรวย ย่อมลส่งผลให้หนี้ระงับไปเพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสองฝ่ายคือจำนวน 1,000,000 บาท และการแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ของนางสาวซูซี่ต่อนายรวยยังส่งผลเป็นคุณแก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่น ๆ ด้วยตามมาตรา 292 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ จะส่งผลให้นายเอและนายบียังคงมีหน้าที่ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยเป็นจำนวน 2,000,000 บาท ดังนั้น นายเอจึงยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่นายรวยเป็นจำนวน 2,000,000 บาท

สรุป นายเอยังคงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ให้แก่นายรวยเป็นจำนวน 2,000,000 บาท

LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของจันทร์ ขณะทำสัญญามีคนอื่นอยู่ในที่ดินหลายครัวเรือนจึงทำสัญญาตกลงกันว่า จันทร์จะต้องขับไล่หรือจัดการให้คนที่อยูในที่ดินออกไปให้หมดภายในวันที่ 20 มกราคม 2560 เพื่ออังคารจะได้เข้าทำการก่อสร้างทันที ปรากฏว่าสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2560 จันทร์ไม่ได้ขับไล่ใครเลย ยังคงมีคนอื่นอยู่ในที่ดินเหมือนเดิมดังนี้ให้วินิจฉัยว่า จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใด หากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของจันทร์ โดยมีการทำสัญญาตกลงกันว่า จันทร์จะต้องขับไล่หรือจัดการให้คนที่อยู่ในที่ดินออกไปให้หมดภายในวันที่ 20 มกราคม 2560 เพื่ออังคารจะได้เข้าทำการก่อสร้างทันทีนั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยมีการตกลงกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการไว้เป็นที่แน่นอน เมื่อปรากฏว่าสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2560 จันทร์ไม่ได้ขับไล่ใครเลย ยังคงมีคนอื่นอยู่ในที่ดินเหมือนเดิม ถือว่าจันทร์เจ้าหนี้มิได้กระทำการตามข้อตกลงภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ดังนั้น จึงถือว่าจันทร์เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นตามมาตรา 209 โดยที่อังคารลูกหนี้ไม่ต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้แต่ประการใด

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 นางทัศนีย์มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายสุทธิได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กชายสุทธิให้แก่นายสิน กำหนดวันจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินในวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ถ้าผิดสัญญายินยอมให้นายสินปรับ 200,000 บาท ขณะตกลงซื้อขายกันนายสินซึ่งมีอาชีพทนายความทราบว่าที่ดินที่ตนจะซื้อเป็นของบุตรผู้เยาว์ของนางทัศนีย์ จึงได้ตกลงกันว่า ทำสัญญาแล้วนางทัศนีย์จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขออนุญาตขายที่ดิน ต่อมาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 นางทัศนีย์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าวให้นายสินศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขาย คดีถึงที่สุด นางทัศนีย์จึงไม่ได้โอนขายที่ดินให้นายสินตามสัญญา นายสินเป็นโจทก์ฟ้องนางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิต่อศาลชั้นต้นกรณีผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน เรียกเบี้ยปรับ 200,000 บาท

ให้วินิจฉัยว่า นางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับแก่นายสินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางทัศนีย์มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายสุทธิ ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดของเด็กชายสุทธิให้แก่นายสินในวันที่ 20 มกราคม 2559 และได้กำหนดวันจดทะเบียนและชำระราคาที่ดินกันในวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะที่ตกลงซื้อขายที่ดินกัน นายสินซึ่งมีอาชีพทนายความทราบอยู่แล้วว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของเด็กชายสุทธิบุตรผู้เยาว์ขอนางทัศนีย์ ซึ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์จะต้องมีคำสั่งศาลอนุญาตให้ขายได้เสียก่อนจึงจะสามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้นายสินได้ และเมื่อข้อเท็จจริงตามปัญหาก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่นางทัศนีย์นำเข้าไต่สวนในคดีดังกล่าวนั้นว่า นางทัศนีย์จงใจจะให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตเพื่อหลีกเลี่ยงการโอนขายที่ดินให้แก่นายสินแต่อย่างใด การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์ จึงเป็นไปตามดุลพินิจของศาล ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และเป็นพฤติการณ์ที่นางทัศนีย์และเด็กขายสุทธิไม่ต้องรับผิดชอบ

ดังนั้น นางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง และไม่ถือว่านางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินต่อนายสินซึ่งจะต้องรับผิดซชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายสินแต่อย่างใด

สรุป นางทัศนีย์และเด็กชายสุทธิไม่ได้ผิดสัญญา จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่นายสิน

 

ข้อ 3. ก. ทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้ ข. ในราคาหนึ่งล้านบาท แต่ต่อมา ก. กลับนำที่ดินดังกล่าวไปจำนอง ค. ประกันหนี้เงินกู้ห้าแสนบาท ครบกำหนด ก. มิได้ชำระหนี้และทำการไถ่ถอนจำนองให้ท่านแนะนำ ข. ว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ข. อาจจะรักษาสิทธิของตนได้อย่างไรบ้าง ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ”

มาตรา 229 “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพระเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจำนำจำนอง”

มาตรา 233 “ล้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้ ข. ในราคาหนึ่งล้านบาท ต่อมา ก. กลับนำที่ดินดังกล่าวไปจำนอง ค. ประกันหนี้เงินกู้ห้าแสนบาท และเมื่อครบกำหนด ก. มิได้ชำระหนี้และทำการไถ่ถอนจำนองนั้น ข.ในฐานะเจ้าหนี้สามัญอาจสามารถรักษาสิทธิของตนได้โดยจะต้องดำเนินการดังนี้คือ

ประการแรก ข. อาจรักษาสิทธิของตนได้โดยการรับช่วงสิทธิตามกฎหมายตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ในฐานะเจ้าหนี้สามัญ โดยการเข้าชำระหนี้ให้แก่ ค. ผู้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนตนเพราะมีบุริมสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง และเมื่อ ข. ได้ชำระหนี้ไห้แก่ ค. ผู้รับจำนองแล้ว ข. ก็เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนองแทน ค. ตามมาตรา 229 (1.)

ประการที่สอง ถ้าการที่ ก. ไม่ชำระหนี้และไม่ทำการไถ่ถอนจำนองนั้น เป็นกรณีที่ ก. ลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้ ข. เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ ดังนี้ ข. เจ้าหนี้ย่อมสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของ ก. ไถ่ถอนจำนองได้ตามมาตรา 233

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ ข. ว่า ข. อาจรักษาสิทธิของตนได้โดยการดำเนินการดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. นายหนึ่งและนายสองทำสัญญาร่วมกันกู้ยืมเงินจากนางสาวมาย จำนวน 200,000 บาท กำหนดส่งคืนที่บ้านของนางสาวมายในวันที่ 10 มกราคม 2560 เมื่อถึงกำหนดนัด นายหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท มาคืนนางสาวมายที่บ้าน แต่ปรากฏว่านางสาวมายไปเที่ยวต่างประเทศนายหนึ่งจึงไม่สามารถคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นางสาวมายและได้นำเงินจำนวนดังกล่าวกลับมาเก็บไว้ที่บ้านของตน ต่อมาในวันที่ 14 มกราคม 2560 เกิดไฟไหม้บ้านของนายหนึ่งทั้งหลัง ไม่มีทรัพย์สินใดๆ เหลือเลย โดยไฟลุกไหม้มาจากบ้านข้างเคียงซึ่งไม่ใช่ความผิดของนายหนึ่งแต่อย่างใด

ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม 2560 ภายหลังจากที่นางสาวมายกลับมาจากต่างประเทศได้ทราบข่าวว่าบ้านของนายหนึ่งไฟไหม้ นางสาวมายจึงได้ทวงถามมายังนายสองให้ชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมด จำนวน 200,000 บาท ให้แก่ตนพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11มกราคม 2560 นายสองปฏิเสธไม่ยอมชำระอ้างว่า นายหนึ่งได้ไปชำระหนี้ให้แก่นางสาวมายแล้ว แต่นางสาวมายไปต่างประเทศไม่อยู่รับชำระหนี้ตามข้อตกลง ส่งผลให้นายหนึ่งและนายสองหลุดพ้นจากการชำระหนี้ อีกทั้งขณะนี้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยแล้วโดยมิใช่ความผิดของลูกหนี้แต่อย่างใด

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นางสาวมายจะเรียกให้นายสองชำระหนี้ให้แก่ตนได้หรือไม่ เพียงใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 205 “ตราบใดการชำระหนี้ยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ ”

มาตรา 207 “ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด ”

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

มาตรา 221 “หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่ ”

มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง ”

มาตรา 294 “การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ ด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสองทำสัญญาร่วมกันกู้ยืมเงินจากนางสาวมายจำนวน 200,000บาท โดยกำหนดส่งคืนที่บ้านของนางสาวมายในวันที่ 10มกราคม 2560นั้นนายหนึ่งและนายสองย่อมมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมโดยข้อสัญญา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ นายหนึ่งลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท มาคืนนางสาวมายที่บ้าน แต่ปรากฏว่านางสาวมายไปเที่ยวต่างประเทศถือได้ว่าเป็นกรณีที่นางสาวมายเจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้

ดังนั้นจึงถือว่านางสาวมายเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207 และการที่เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดต่อนายหนึ่งลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ ด้วย ตามมาตรา 294

ดังนั้นกรณีดังกล่าวย่อมถือว่านางสาวมายเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดต่อนายสองลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย

แต่อย่างไรก็ดี การที่เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น มิได้ทำให้หนี้นั้นระงับแต่อย่างใด ลูกหนี้ยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ แต่การผิดนัดของเจ้าหนี้ดังกล่าวทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้น ถือเป็นพฤติการณ์ที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ลูกหนี้จึงสามารถหยิบยกพฤติการณ์ดังกล่าวขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าตนยังไม่ได้ผิดนัดได้ตามมาตรา 205 และเมื่อกรณีนี้เป็นหนี้เงิน ดังนั้น เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ตนผิดนัดไม่ได้ตามมาตรา 221 และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าไฟได้ไหม้บ้านของนายหนึ่งลูกหนี้ร่วมและทำให้เงิน 200,000 บาทที่เตรียมไว้ชำระหนี้ไหม้ไปด้วยนั้น ก็มิได้ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย อันจะทำให้ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด เนื่องจากเงินมิใช่ทรัพย์เฉพาะสิ่งแต่เป็นทรัพย์ทั่วไป ที่สามารถเอาเงินจำนวนเท่า ๆ กันเข้าชำระหนี้แทนกันได้

เมื่อลูกหนี้ยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ดังนั้น นางสาวมายจึงมีสิทธิเรียกให้นายสองชำระหนี้จำนวน 200,000 บาท ให้แก่ตนได้ตามนัยของมาตรา 291 ที่ว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้จนสิ้นเชิงก็ได้ แต่ในส่วนดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนั้น นางสาวมายจะสามารถเรียกได้นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2560 คือนับตั้งแต่วันที่นางสาวมายได้ทวงถามให้นายสองชำระหนี้เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านั้นเป็นวันที่อยู่ในระหว่างเวลาที่เจ้าหนี้ผิดนัด ดังนั้นเจ้าหนี้จึงไม่สามารถคิดดอกเบี้ยได้

สรุป นางสาวมายเรียกให้นายสองชำระหนี้จำนวน 200,000 บาทได้ แต่ในส่วนดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จะเรียกได้นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2560 เป็นต้นไปเท่านั้น

LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแฟงและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารสิบชั้นในที่ดินของตน โดยมีข้อตกลงกับว่าจันทร์จะจัดการไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินออกไปให้หมดแล้ว จันทร์จะกระทำการส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา และอังคารจะทำการสร้างอาคารสิบชั้นทันที เมื่อครบกำหนด 6 เดือนตามสัญญาปรากฏว่าจันทร์ไม่ได้ไล่ผู้อาศัยในที่ดินจึงไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารได้ตามสัญญา แต่อังคารก็ไม่ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อจันทร์แต่ประการใด ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 209 “ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 209 มีหลักว่า ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นการแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการใด หากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ว่าจ้างอังคารสร้างอาคารสิบชั้นในที่ดินของตน โดยมีข้อตกลงกันว่า จันทร์จะต้องจัดการไล่ผู้ที่อาศัยอยูในที่ดินออกไปให้หมด และส่งมอบพื้นที่ให้แก่อังคารภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วับทำสัญญานั้น ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยมีการตกลงกำหนดเวลาที่เจ้าหนี้จะต้องกระทำการไว้เป็นที่แน่นอน

ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าจันทร์เจ้าหนี้ไม่ได้ไล่ผู้อาศัยในที่ดินจึงไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้แก่อังคารได้ตามสัญญา จันทร์เจ้าหนี้ย่อมเป็นผู้ผิดนัดทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลานั้นตามมาตรา 209 โดยที่อังคารลูกหนี้หาจำต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้แต่ประการใดไม่

สรุป จันทร์ตกเป็นผู้ผิดนัด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. พุธยืมรถยนต์ของพฤหัสไปใช้ เมื่อถึงกำหนดส่งรถยนต์คืน พุธผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์คืน ต่อมาอีกสองวันปรากฏว่าศุกร์ละเมิดขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่พุธยืมมาพังยับเยินทั้งคันจนใช้การไม่ได้ รถยนต์คันนี้ราคา 500,000 บาท พฤหัสจึงได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้ศุกร์ผู้ละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่พฤหัสในฐานะเป็นช่วงทรัพย์แทนรถยนต์ที่พังหมดทั้งคันแล้ว แต่ศุกร์มีเงินชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้พฤหัสเพียง 200,000 บาทเท่านั้น พฤหัสจึงเรียกร้องให้พุธชำระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเพราะการไม่ชำระหนี้จำนวน 300,000 บาทที่เหลือนั้น พุธจึงชำระเงินจำนวน 300,000 บาทให้แก่พฤหัส ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า พุธจะเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 300,000 บาทนั้น คืนจากศุกร์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 226 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ”

มาตรา 227 “เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้น ๆด้วยอำนาจกฎหมาย”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การรับช่วงสิทธิ คือ การที่สิทธิเรียกร้องเปลี่ยนมือจากเจ้าหนี้คนเดิมไปยังเจ้าหนี้คนใหม่โดยผลของกฎหมาย ทำให้เจ้าหนี้คนใหม่เข้ามามีสิทธิแทนเจ้าหนี้คนเดิม ซึ่งตามมาตรา 227 ได้วางหลักเกณฑ์ของการรับช่วงสิทธิไว้ดังนี้

  1. ผู้ที่จะเข้ารับช่วงสิทธิมีได้เฉพาะลูกหนี้เท่านั้น
  2. ต้องมีหนี้ที่มีลูกหนี้จะต้องชำระก่อน
  3. ระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้มีการชำระหนี้กัน ส่งผลให้มีการเข้ารับช่วงสิทธิกัน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่พุธผิดนัดไม่ส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่พฤหัส และปรากฏว่าศุกร์ได้กระทำละเมิดขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่พุธยืมมาพังยับเยินทั้งคันจนใช้การไม่ได้นั้น กรณีเช่นนี้พุธย่อมต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพฤหัส เนื่องจากพุธไม่ส่งมอบรถยนต์ภายในกำหนด

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า พุธได้ชำระเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของรถยนต์จำนวน300.000 บาท ให้แก่พฤหัสแล้ว ดังนั้น พุธย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของพฤหัสเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 300.000 บาท นั้น คืนจากศุกร์ผู้กระทำละเมิดได้ตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง และมาตรา 227

สรุป พุธสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนจำนวน 300,000 บาท คืนจากศุกร์ได้

 

ข้อ 3. หนึ่งทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินของสองในราคาสี่ล้านห้าแสนบาท ในวัทำสัญญาหนึ่งได้วางมัดจำไว้ห้าแสนบาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งได้กำหนดไว้ในอีกหกเดือนข้างหน้า ก่อนกำหนดโอนเกิดไฟไหม้ลามทุ่ง ไหม้บ้านเสียหายทั้งหลัง แต่สองมีประกันวินาศภัยในตัวบ้าน บริษัทผู้รับประกันได้ชำระค่าสินไหมทดแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้มาสองล้านบาท

ให้ท่านแนะนำหนึ่งว่าถ้าหนึ่งอยากได้ที่ดินเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีราคากรณีหนึ่งหรือในอีกกรณีหนึ่งวัตถุประสงค์เพื่อต้องการบ้านอยู่อาศัย เมื่อไม่มีบ้านจะขอเลิกสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 8 “คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดีเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น”

มาตรา 195 “เมื่อทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท และถ้าตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือตามเจตนาของคู่กรณีไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรัพย์นั้นจะพึงเป็นชนิดอย่างไรไซร้ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลางถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำเพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่งนั้นทุกประการแล้วก็ดี หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบแล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี ท่านว่าทรัพย์นั้นจึงเป็นวัตถุแห่งหนี้จำเดิมแต่เวลานั้นไป”

มาตรา 219 วรรคหนึ่ง “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น”

มาตรา 226วรรคสอง “ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่ง

ในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน”

มาตรา 228 วรรคหนึ่ง “ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น เป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”

มาตรา 370 วรรคหนึ่ง “ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง และทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้”

มาตรา 372 วรรคหนึ่ง “นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในสองมาตราก่อน ถ้าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าลูกหนี้หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินของสองในราคาสี่ล้านห้าแสนบาทนั้น ย่อมถือว่าสองได้กำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบโดยความยินยอมของหนึ่งแล้ว บ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจึงถือเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งตามมาตรา 195 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าก่อนกำหนดโอนได้เกิดไฟไหม้บ้านเสียหายทั้งหลังซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 ดังนั้น จึงมีผลทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้เนื่องจากการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบการสูญหายหรือเสียหายนั้นจึงตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 370 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น ถ้าหนึ่งอยากได้ที่ดินเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีราคา หนึ่งก็ต้องเรียกให้สองโอนที่ดินพร้อมทั้งให้สองส่งมอบค่าสินไหมทดแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้ในฐานะเป็นช่วงทรัพย์ตามมาตรา 226 วรรคสองประกอบมาตรา 228 วรรคหนึ่ง โดยหนึ่งจะต้องชำระราคาส่วนที่เหลืออีกสี่ล้านบาทให้แก่สองด้วย แต่ถ้าหนึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการบ้านอยู่อาศัย ดังนี้เมื่อไม่มีบ้านหนึ่งจึงสามารถขอเลิกสัญญาและเรียกเงินมัดจำคืนจากสองได้ ตามมาตรา 372

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่หนึ่ง ตามเหตุผลและหลักกฎหมายที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. ทรัพย์สินของ ก. มีเฉพาะที่ดินที่ได้ทำสัญญาจะขายให้ ข. ไว้ในราคาสามล้านบาท ก่อนกำหนดโอน ก. กลับนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนอง ค. เพื่อประกันหนี้เงินกู้หนึ่งล้านห้าแสนบาท สัญญากู้ถึงกำหนดแล้ว แต่ ก. กลับไม่ใส่ใจที่จะไถ่ถอนจำนองแต่อย่างใด ให้ท่านแนะนำ ข. ว่า จะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อจะรักษาสิทธิของ ข. ให้ดีที่สุด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 214 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย”

มาตรา 229 “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1)       บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพระเขามีบุริมสิทธิหรือมีสิทธิจำนำจำนอง”

มาตรา 233 “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้น แต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิ

ในทรัพย์สิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข. จะต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อจะรักษาสิทธิของ ข. ให้ดีที่สุดนั้น เห็นว่า ข. อาจจะรักษาสิทธิของตนได้ 3 กรณี คือ

(1)       ใช้สิทธิเรียกร้องของ ก. ไถ่ถอนจำนองตามมาตรา 233 เพราะถือเป็นกรณีที่ ก. ลูกหนี้เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตนเป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือ ข. ต้องเสียประโยชน์ ข. จึงสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของ ก. ไถ่ถอนจำนองเองได้

(2) ขอเพิกถอนนิติกรรมฉ้อฉลตามมาตรา 237 เพราะการที่ ก. ลูกหนี้ ได้นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนองกับ ค. เพื่อประกันหนี้เงินกู้หนึ่งล้านห้าแสนบาทนั้น ย่อมถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ข. เจ้าหนี้จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้

(3) รับช่วงสิทธิของ ก. ในฐานะที่ ข. เป็นเจ้าหนี้สามัญ โดยเข้าชำระหนี้ให้แก่ ค. เจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนอง และรับช่วงสิทธิเข้าเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิผู้รับจำนองแทน ค. โดยทั้ง 3 กรณีนี้ ข้าพเจ้าจะแนะนำ ข. ว่าวิธีที่ 3 น่าจะดีทีสุด

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่ ข. ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!