LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางจั๊กจั่นส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บเพื่อนสนิทที่จังหวัดเชียงราย ราคา 100,000 บาท โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับในวันที่ 1 กันยายน 2555 ต่อมาอีก 2 วันนางจั๊กจั่นเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากขายแหวนเพชรดังกล่าว เพราะต้องการเก็บไว้ไห้ลูกสาว นางจั๊กจั่นจึงได้ส่งจดหมายบอกถอนการแสดงเจตนาเดิมที่ตนทำไว้ โดยการส่งไปรษณีย์ชนิดด่วนพิเศษแบบ EMS

แต่ในวันเดียวกันนั้นเองนางจั๊กจั่นได้ถูกรถชนถึงแก่ความตาย ระหว่างเดินทางกลับบ้าน และลูกสาวของนางจั๊กจั่นก็ได้โทรศัพท์ไปเชิญนางจุ๊บจิ๊บให้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของมารดาในวันนั้นด้วย ต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2555 เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงได้นำจดหมายทั้งสองฉบับของนางจั๊กจั่นไปส่งยังบ้านของนางจุ๊บจิ๊บ แต่ไม่มีคนอยู่บ้าน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงหย่อนจดหมายด่วน EMS ไว้ในกล่องไปรษณีย์ที่รั้วบ้าน ส่วนจดหมายแบบลงทะเบียนฯ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้นำกลับมาส่งใหม่อีกสองครั้งก็ยังไม่มีผู้มาลงลายมือชื่อตอบรับ ทางการไปรษณีย์จึงส่งจดหมายฉบับดังกล่าวกลับคืนมายังบ้านของนางจั๊กจั่นผู้ส่ง

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรตามจดหมายลงทะเบียนจะสิ้นผลผูกพันลูกสาวของนางจั๊กจั่นหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคแรก “การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา แต่ถ้าได้บอกถอนไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้นก่อนหรือพร้อมกันกับที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา การแสดงเจตนานั้นตกเป็นอันไร้ผล”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจั๊กจั่นส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บเพื่อนสนิทที่จังหวัดเชียงรายนั้น ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แต่หลังจากส่งจดหมายไปได้ 2 วัน นางจักจั่นเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากขายแหวนเพชรดังกล่าว จึงได้ส่งจดหมายบอกถอนการแสดงเจตนาเดิมที่ตนทำไว้ โดยการส่งไปรษณีย์ชนิดด่วนพิเศษแบบ EMS แต่ในวันนั้นเองนางจั๊กจันได้ถูกรถชนถึงแก่ความตายและลูกสาวของนางจั๊กจั่นก็ได้โทรศัพท์ไปเชิญนางจุ๊บจิ๊บให้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของมารดาในวันนั้นด้วย

ทำให้เมื่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำจดหมายทั้งสองฉบับของนางจั๊กจั่นไปส่งยังบ้านของนางจุ๊บจิ๊บจึงไม่มีคนรับเพราะไม่มีคนอยู่บ้าน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงหย่อนจดหมายด่วน EMS ไว้ในกล่องไปรษณีย์ที่รั้วบ้าน ส่วนจดหมายแบบลงทะเบียนฯ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้นำกลับมาส่งใหม่อีกสองครั้งแต่ก็ยังไม่มีผู้มาลงลายมือชื่อตอบรับ ทางการไปรษณีย์จึงส่งจดหมายฉบับดังกล่าวกลับคืนมายังบ้านของนางจั๊กจั่นผู้ส่ง

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ดังกล่าว ถือว่าการแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรตามจดหมายลงทะเบียนย่อมสิ้นผลผูกพันลูกสาวของนางจั๊กจั่น ทั้งนี้เพราะการบอกถอนการแสดงเจตนาขายแหวนเพชรดังกล่าวได้ไปถึงพร้อมกันกับจดหมายแสดงเจตนาขายแหวนเพชร จึงทำให้การแสดงเจตนาขายแหวนเพชรดังกล่าวตกเป็นอันไร้ผลตามมาตรา 169 วรรคแรก

สรุป

การแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรตามจดหมายลงทะเบียนจะสิ้นผลผูกพันลูกสาวของนางจั๊กจั่น

หมายเหตุ กรณีตามอุทาหรณ์ดังกล่าวไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 169 วรรคสอง และมาตรา 360 เนื่องจากเป็นกรณีของการบอกถอนการแสดงเจตนาและทำให้คำเสนอขายแหวนเพชรของนางจั๊กจั่นได้ตกเป็นอันไร้ผลไปแล้ว

 

ข้อ 2. แดงหลอกลวงดำให้ลงชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่ดินไว้กับขาว เมื่อนายดำรู้ว่าตนเองถูกหลอกลวงจึงมาปรึกษากับท่านว่าจะมีวิธีการทางกฎหมายอย่างไรได้บ้างในการขอยกเลิกนิติกรรมดังกล่าว โดยที่ดำก็ไม่ทราบว่าขาวมีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ด้วยหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคแรก “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ”

มาตรา 160 “การบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลตามมาตรา 159 ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต”

มาตรา 175 “โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้

(3) บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่”

มาตรา 176 วรรคแรก “โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก …”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงหลอกลวงดำให้ลงชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่ดินไว้กับขาวนั้น ถือว่าเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะถูกกลฉ้อฉลของแดง ดังนั้นนิติกรรมดังกล่าวคือสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่ดินย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 159 วรรคแรก ซึ่งโดยหลักแล้วนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะย่อมสามารถบอกล้างได้ และเมื่อบอกล้างแล้วโมฆียะกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆะ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่ดำได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมเพราะถูกแดงใช้กลฉ้อฉลนั้น ดำไม่ทราบว่าขาวมีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ดังนั้นเมื่อดำมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่ดำดังนี้ คือ

กรณีแรก ถ้าหากขาวมีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ ดำย่อมสามารถใช้สิทธิบอกล้างนิติกรรมดังกล่าวได้ตามมาตรา 175(3) เพราะดำเป็นบุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล และเมื่อดำใช้สิทธิบอกล้างแล้ว นิติกรรมดังกล่าวก็จะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 176 วรรคแรก

กรณีที่สอง ถ้าหากขาวไม่มีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ ดำจะใช้สิทธิบอกล้างนิติกรรมดังกล่าวตามมาตรา 175(3) ไม่ได้เพราะถ้าหากดำบอกล้างขาวย่อมสามารถกล่าวอ้างมาตรา 160 ขึ้นต่อสู้ดำได้ว่าการบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลของดำนั้น จะนำมาใช้บังคับกับขาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้กระทำการโดยสุจริตไม่ได้ (เทียบเคียงฎีกาที่ 1063/2549)

สรุป

เมื่อดำมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ดำดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

 

ข้อ 3. นาย ก. ประกอบการค้าหูปลาฉลาม ทำหูปลาฉลามส่งขายตามภัตตาคารเป็นปกติธุระ นาย ก. ส่งหูปลาฉลามให้แก่ภัตตาคารของนาย ข. โดยตกลงชำระเงินวันที่ 1 ธันวาคม 2543 เมื่อถึงกำหนดนาย ข. ไม่ชำระ นาย ก. จึงฟ้องคดีต่อศาล ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2546 ให้ภัตตาคารของนาย ข. ชำระเงินราคาหูปลาฉลามให้แก่นาย ก. นาย ก. ได้ติดตามทวงถามให้นาย ข. ชำระหนี้ตลอด จนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 นาย ก. บอกแก่นาย ข. ว่าจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลอีกครั้ง

นาย ข. อ้างว่านาย ก. ไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ เพราะขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2548

ดังนี้ ข้ออ้างของนาย ข. ฟ้งขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ มาตรา 193/34 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(1) ผู้ประกอบการค้า… เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ…

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้”

มาตรา 193/17 วรรคแรก “ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามมาตรา 193/14(2) หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำฟ้อง หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้องให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ”

มาตรา 193/32 “สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด หรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้มีกำหนดอายุความสิบปี ทั้งนี้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนดอายุความเท่าใด”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 193/14(2) ประกอบกับมาตรา 193/17 วรรคแรกนั้น การที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ จะถือว่าเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ต่อเมื่อปรากฏว่าเจ้าหนี้ชนะคดี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าหนี้ได้รับผลสำเร็จตามที่ตนได้ใช้สิทธิเรียกร้องนั่นเอง เพราะถ้าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดี แต่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำฟ้อง (เจ้าหนี้แพ้คดี) หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้องแล้วจะไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. เจ้าหนี้ฟ้องเป็นคดีเพื่อให้นาย ข. ลูกหนี้ชำระหนี้นั้น ในวันที่นาย ก. ฟ้องคดีอายุความยังไม่สะดุดหยุดลง (อายุความสะดุดหยุดอยู่) แต่เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นาย ก. ชนะคดี กล่าวคือ ศาลมีคำพิพากษาให้นาย ข. ชำระเงินราคาหูปลาฉลามให้แก่นาย ก. ในวันที่ 15 มกราคม 2546

ดังนี้ถือว่าอายุความได้สะดุดหยุดลงในวันที่ 15 มกราคม 2546 ตามมาตรา 193/14(2) ประกอบกับมาตรา 193/17 วรรคแรก และจะมีการกำหนดอายุความใหม่ 10 ปี ตามมาตรา 193/32 ทั้งนี้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 193/34 ก็ตาม โดยอายุความที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับรวมทั้งระยะเวลาพิจารณาคดีด้วยซึ่งอายุความตามสิทธิเรียกร้องที่เกิดโดยคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวจะครบ 10 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2556 ดังนั้น การที่ นาย ก. จะนำสิทธิเรียกร้องเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลอีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 แต่นาย ข. อ้างว่าสิทธิเรียกร้อง ของนาย ก. ได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2548 นั้น ข้ออ้างของนาย ข. ย่อมฟังไม่ขึ้น (เทียบเคียงฎีกาที่ 724/2509)

สรุป

ข้ออ้างของนาย ข. ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายสมศักดิ์ทำสัญญาซื้อที่ดินจากนางสมศรีในราคา 1,000,000 บาท ในวันทำสัญญานายสมศักดิ์ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 200,000 บาท และมอบทองคำจำนวน 5 บาท (มูลค่าประมาณ 100,000 บาท) ให้นางสมศรีอีกทั้งตกลงจะชำระเงินส่วนที่เหลือในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ครั้นเมื่อถึงกำหนดวันนัดจดทะเบียนโอนนายสมศักดิ์ไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้นางสมศรีได้

ให้วินิจฉัยว่า นางสมศรีมีสิทธิริบเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท ทองคำจำนวน 5 บาท ที่นางสมศรีรับไว้ได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 377 “เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่งมัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย”

มาตรา 378 “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว มัดจำตามมาตรา 377 จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ไห้ไว้ในวันทำสัญญาและมัดจำนั้นอาจเป็นเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นซึ่งมีค่าในตัวเองก็ได้ เมื่อทองคำและเช็คเป็นทรัพย์สิน และเป็นสิ่งมีค่าในตัวเอง จึงสามารถส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมศักดิ์ทำสัญญาซื้อที่ดินจากนางสมศรี และในวันทำสัญญา นายสมศักดิ์ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 200,000 บาท และมอบทองคำจำนวน 5 บาท (มูลค่าประมาณ 100,000 บาท) ให้แก่นางสมศรี โดยตกลงว่าจะชำระเงินส่วนที่เหลือในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ เงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท และทองคำจำนวน 5 บาท ซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดิน จึงเป็นมัดจำตามมาตรา 377

เมื่อนายสมศักดิ์ผิดสัญญาไม่นำเงินส่วนที่เหลือมาชำระหนี้ให้แก่นางสมศรี นางสมศรีจึงมีสิทธิริบเงินตามเช็ค จำนวน 200,000 บาท และทองคำจำนวน 5 บาท ที่นางสมศรีรับไว้เป็นมัดจำได้ตามมาตรา 378(2)

สรุป

นางสมศรีมีสิทธิริบเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท และทองคำจำนวน 5 บาท ที่นางสมศรีรับไว้ได้

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนคืออะไร นิติวิธีเชิงสร้างสรรค์ต้องสร้างอย่างไร จงอธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

“นิติวิธีทางกฎหมายมหาชน” คือ ความคิดหรือกระบวนการวิธีคิดของนักกฎหมายมหาชนว่ามีหลักการคิดที่กระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน (เอกชน)ให้เกิดดุลยภาพกัน โดยที่รัฐมีอำนาจเหนือกว่าเอกชน นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจึงมีความมุ่งหมายเพื่อให้สามารถวิเคราะห์หรือสามารถมองปัญหาในเรื่องกฎหมายมหาชนได้อย่างมีเหตุผล สอดคล้องกับระบบกฎหมายมหาชน ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงจุดอันเป็นแก่นสาระของกฎหมายมหาชน และสามารถใช้กฎหมายมหาชนได้อย่างเป็นระบบ

นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนโดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ นิติวิธีหลัก และนิติวิธีประกอบ ซึ่งนิติวิธีหลัก คือ การคิดวิเคราะห์ในแนวทางของกฎหมายมหาชน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ นิติวิธีเชิงปฏิเสธ และนิติวิธีเชิงสร้างสรรค์

  1. นิติวิธีเชิงปฏิเสธ หมายถึง การปฏิเสธไม่นำเอาหลักกฎหมายเอกชนมาใช้ในการแก้ไข

ปัญหาทางกฎหมายมหาชน เพราะกฎหมายมหาชนมีวิธีพิจารณาคดีเฉพาะของตนเอง จึงมีขั้นตอนที่แตกต่างจากการพิจารณาคดีเอกชน โดยเฉพาะระบบการพิจารณาของศาลยุติธรรมกับศาลปกครองจะไม่เหมือนกัน เนื่องจากศาลยุติธรรมใช้การพิจารณาคดีตามระบบกล่าวหา แต่ศาลปกครองใช้การพิจารณาคดีแบบไต่สวน ซึ่งเหตุที่หลักกฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายเอกชนมีความแตกต่างกันนั้น เนื่องมาจากจุดมุ่งหมายของกฎหมายคู่กรณีที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน อำนาจพิเศษของฝ่ายปกครอง ผลทางกฎหมาย และการบังคับตามสิทธิและหน้าที่

  1. นิติวิธีเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การสร้างหลักกฎหมายมหาชนจากการประสานประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อรัฐปฏิเสธที่จะไม่นำเอาหลักกฎหมายเอกชนมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชนแล้ว รัฐจึงจำเป็นต้องสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาเพื่อเป็นหลักในการประสานประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อให้เกิดดุลยภาพ โดยการประสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ตามหลักปรัชญาของกฎหมายมหาชน

หลักประโยชน์สาธารณะ คือ การตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของผู้ที่ดำเนินการนั้นเอง ดังนั้น ประโยชน์สาธารณะก็คือ ความต้องการของคนแต่ละคนที่ตรงกัน และมีจำนวนมากจนเป็นคนหมู่มาก หรือเป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นเอง ซึ่งความต้องการของคนส่วนใหญ่นั้นถือเป็นประโยชน์สาธารณะ และมีความแตกต่างกับประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละคน

องค์กรที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้แก่ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

1)         องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร ในส่วนของรัฐบาลนั้นต้องมีการกำหนดนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจัดทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ นอกจากนั้นประโยชน์สาธารณะเป็นสิ่งที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดำเนินการ ถ้าเป็นกิจกรรมที่รัฐสภาได้ตราเป็นกฎหมายออกมาแล้ว หากฝ่ายปกครองไม่ดำเนินการย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะว่าเหตุที่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจ ก็เพราะฝ่ายปกครองมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ฝ่ายปกครองจึงต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ภาระหน้าที่นั้นบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

2)         องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา ทำหน้าที่ออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งก็เพื่อประโยชน์สาธารณะ

3)         องค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำหน้าที่ในอำนาจหน้าที่ของแต่ละศาลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย

ปรัชญาของกฎหมายมหาชน คือ การสร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน (เอกชน) ซึ่งเป็นเรื่องที่นักกฎหมายมหาชนทุกคนจะต้องระลึกอยู่เสมอไม่ว่านักกฎหมายมหาชนผู้นั้นจะอยู่ในฐานะใดหรืออยู่ในอาชีพใด กฎหมายมหาชนที่ดีหรือที่ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องเป็นกฎหมายมหาชนที่มีการประสานทั้งสองอย่างนี้ให้ดำเนินไปด้วยกันได้โดยไม่ให้ข้างใดข้างหนึ่งมีความสำคัญกว่าอีกข้างหนึ่งมากจนเกินไป

เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดความเสียหายติดตามมา กล่าวคือ ถ้าให้ความสำคัญกับประโยชน์สาธารณะมากเกินไปแม้ว่าจะเพื่อความมีประสิทธิภาพในการปกครอง หรือเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการของฝ่ายปกครองก็ตาม แต่ผลที่จะเกิดตามมา คือจะทำให้กฎหมายมหาชนกลายเป็นกฎหมายเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองที่ทำให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นและสภาพของ “นิติรัฐ” ก็จะลดลง สิทธิเสรีภาพของเอกชนก็จะถูกควบคุมจนหมดไปได้ในที่สุด

แต่ถ้าให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพซองเอกชนมากเกินไป การบริหารงานของรัฐหรือการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะก็จะเกิดการติดขัด หรือดำเนินไปได้อย่างยากลำบาก หรือต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อสิทธิเสรีภาพของเอกชนมีมากเกินก็จะทำให้ฐานะของรัฐหรือฝ่ายปกครองเท่ากันกับฐานะของเอกชน ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักของการประสานประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของเอกชนข้างต้น จะบรรลุผลสำเร็จที่ประสงค์ได้ก็ด้วย คุณสมบัติ ความรู้ ความตระหนักในความสำคัญ และทัศนะของนักกฎหมายมหาชนที่จะใช้สิ่งที่กล่าวมานี้ ในการตีความเพื่อสร้างกฎหมายมหาชนขึ้นมาบนพื้นฐานของดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของเอกชน

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไรพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ฃองประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาคคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้

อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการรางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

ซึ่งในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญรวมทั้งการใช้อำนาจทางปกครองในการออกกฎ ออกคำสั่งทางปกครอง หรือการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่นและการทำสัญญาทางปกครองขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ก็เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมของประเทศ ซึ่งรวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นในการใช้อำนาจต่าง ๆ หรือการกระทำต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย เพราะถ้าไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการใด ๆ ได้

และนอกจากนั้น ในการใช้อำนาจต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะต้องได้ใช้อำนาจโดยถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักความสุจริต หลักประโยซน์สาธารณะ หลักความยุติธรรม และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกกฎ เช่น ระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือออกคำสั่งทางปกครอง หรือกระทำการทางปกครองในรูปแบบอื่น หรือการทำสัญญาทางปกครองในการบริหารมหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์ฃองมหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยนั้นก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน ซึ่งในที่นี้คือ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นกฎหมายปกครองได้บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย และจะต้องใช้อำนาจและหน้าที่นั้นโดยถูกต้องตามหลักการต่าง ๆ ของกฎหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้นด้วย เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือเป็นการใช้อำนาจโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ หรือได้ใช้อำนาจและหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนแล้ว ย่อมอาจก่อให้เกิดข้อพิพาท เรียกว่า ข้อพิพาททางปกครองขึ้นมาได้ และเมื่อเกิดข้อพิพาททางปกครองหรือคดีปกครองขึ้นมาแล้ว ก็สามารถนำข้อพิพาทนั้นไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชน จะมีความสัมพันธ์และมีความสำคัญต่อข้าพเจ้า ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. จงอธิบายหลักกฎหมายมหาชนที่กล่าวถึงเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองมาโดยละเอียด พร้อมยกตัวอย่างประกอบและเปรียบเทียบกับหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนา

ธงคำตอบ

เมื่อพิจารณาจากความหมาย ลักษณะ และขอบเขตของกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนแล้วจะเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน จะมีความแตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งแยกออกเป็นหัวข้อที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้

  1. ความแตกต่างทางด้านองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ (ทฤษฏีตัวการ)

กฎหมายมหาชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ ได้แก่ รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

กฎหมายเอกชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ ได้แก่ เอกชนที่เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

  1. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (ทฤษฎีผลประโยชน์) กฎหมายมหาชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะและการ ให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มีความมุ่งหมายถึงผลกำไรเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สิน แต่มุ่งหวังถึงความพึงพอใจและการตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ

กฎหมายเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละบุคคล โดยมีความมุ่งหมายถึงผลกำไรเป็นตัวเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ในลักษณะอื่นใดเพื่อประโยชน์ฃองปัจเจกบุคคลเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นกรณีที่เป็นเอกชนบางประเภทที่อาจดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังเช่น มูลนิธิ หรือสมาคมการกุศล เป็นต้น

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการใช้บังคับอำนาจที่มีอยู่เหนือนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกับปัจเจกบุคคล โดยวิธีการที่เป็น “การกระทำฝ่ายเดียว” และปรากฏออกมาในรูปแบบ “คำสั่ง”

กล่าวคือ เป็นการกระทำที่ฝ่ายหนึ่ง (รัฐและผู้ปกครอง) สามารถกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือปัจเจกบุคคล) กระทำตาม โดยฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องกระทำตามอาจไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยก็ตาม

กฎหมายเอกชน มีลักษณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาหลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพในการทำสัญญา โดยคู่กรณีต้องมีความสมัครใจ (เจตนาเสนอสนองตรงกันสัญญาจึงจะเกิด) และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่มีอำนาจเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะทำการบังคับอีกฝ่ายหนึ่งโดยปราศจากความยินยอมมิได้

  1. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการนำนิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนำแนวความคิดวิเคราะห์การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชน โดยการสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้บังคับ (โดยปฏิเสธการนำแนวความคิดวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายเอกชนมาใช้บังคับโดยตรง)

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการนำนิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนำความคิดวิเคราะห์

การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายเอกชนที่มุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันเอง และมุ่งเน้นถึงการรักษาผลประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

  1. ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงการประสานและสร้างความสมดุลระหว่างผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของส่วนรวมกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลหรือเอกชน ที่มุ่งถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามที่กฎหมายให้อำนาจหรือกำหนดไว้

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

  1. ความแตกต่างทางด้านเขตอำนาจศาล

กฎหมายมหาชน หากเป็นข้อพิพาทระหวางรัฐกับรัฐ หรือข้อพิพาทระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายมหาชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเฉพาะหรือศาลพิเศษในทางมหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น

กฎหมายเอกชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างปัจเจกบุคคล หรือเอกชนต่อปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายเอกชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ดังเช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลภาษี เป็นต้น

จากหัวข้อความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายเอกชนนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันต่างมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละฝ่าย ดังนั้น กฎหมายเอกชนจึงตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามกฎหมาย และต้องใช้ความสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายในการเข้าผูกนิติสัมพันธ์ต่อกัน เสรีภาพในการแสดงเจตนาหรือความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญแห่งกฎหมายแพ่ง ซึ่งตรงจุดนี้เองที่กฎหมายเอกชนจะแตกต่างกับกฎหมายมหาชนอย่างชัดเจน

เพราะกฎหมายมหาชนนั้น คู่กรณีฝ่ายหนึ่งอันได้แก่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น ดังนั้น กฎหมายมหาชนจึงมีหลักอยู่บนความไม่เสมอภาค กล่าวคือ รัฐหรือหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าเอกชน และทำให้เกิดหลักกฎหมายในเรื่องเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองขึ้นมา ซึ่งเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองนั้นอาจสามารถแสดงออกได้หลายทาง เช่น

  1. กิจกรรมที่ฝ่ายปกครองดำเนินการ ได้แก่ การบริการสาธารณะ การรักษาความสงบเรียบร้อยทางการปกครอง
  2. วิธีการที่ใช้ในการทำกิจกรรม ได้แก่ การออกกฎ การออกคำสั่งทางปกครอง การทำสัญญาทางปกครอง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่นที่เรียกว่าปฏิบัติการทางปกครอง ซึ่งการแสดงออกของฝ่ายปกครองดังกล่าวนั้น ฝ่ายปกครองสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองโดยเฉพาะ

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1นายหนึ่งเป็นเจ้าของสุนัขดุอยู่หนึ่งตัว วันเกิดเหตุ นายหนึ่งพาสุนัขเข้าไปในบ้านของนายสองเพื่อให้สุนัขขโมยรองเท้าของนายสอง เมื่อนายสองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้ใช้ไม้ตีสุนัข ทำให้สุนัขได้รับนาดเจ็บ และสุนัขได้รับความเจ็บปวดจึงวิ่งเตลิดไปกัดเด็กชายสามที่เดินผ่านหน้าบ้านมาพอดี ทำให้เด็กชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัส

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ใครจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 449 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นายหนึ่งพาสุนัขเข้าไปในบ้านของนายสองเพื่อให้สุนัขขโมยรองเท้าของนายสองนั้น ถือว่านายหนึ่งได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อนายสองตามมาตรา 420 แล้ว เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ ดังนั้นนายหนึ่งต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสอง แต่นายหนึ่งไม่ต้องรับผิดต่อนายสองตามมาตรา 433เพราะมิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์

ประเด็นที่ 2 การที่นายสองได้ใช้ไม้ตีสุนัขทำให้สุนัขได้รับบาดเจ็บนั้น แม้การกระทำของนายสองจะเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินก็ตาม แต่เมื่อนายสองได้กระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของนายสองจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายสองจึงสามารถอ้างได้ว่าตนได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคหนึ่ง นายสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 การที่สุนัขของนายหนึ่งไปกัดเด็กชายสามจนทำให้เด็กชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 เพราะมิได้เกิดขึ้นจากการกระทำโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อของนายหนึ่งหรือนายสอง ดังนั้น นายหนึ่งซึ่งเปีนเจ้าของสัตว์ที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เด็กชายสาม

สรุป

นายหนึ่งต้องรับผิดต่อนายสองฐานกระทำละเมิดตามมาตรา 420

นายสองไม่ต้องรับผิดต่อนายหนึ่งเพราะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449

นายหนึ่งต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเด็กชายสามตามมาตรา 433

 

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงตามข้อ 1. ปรากฏว่า

(ก) เด็กชายสามถูกพาส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นเด็กชายสามทนพิษบาดแผลไม่ไหว เด็กชายสามถึงแก่ความตาย และหากว่าเด็กชายสามเป็นบุตรของนางสี่เป็นบุตรบุญธรรมของนายห้า และเป็นลูกจ้างของนายหก ให้วินิจฉัยถึงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนของนางสี่ นายห้า และนายหก

(ข) สุนัขของนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการ นายหนึ่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาเป็นเงินได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถบระกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 445 “ในกรณีทำให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก’ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”

มาตรา 446 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็’ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญา หรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว ”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ข้อ 1. แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่เด็กขายสามได้ถึงแก่ความตายภายหลังจากเกิดเหตุได้ 5 วัน โดยไม่ได้ถึงแก่

ความตายในทันทีนั้น สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน (โดยผู้เสิยหายทางอ้อม) จะมิขึ้นตามมาดรา 443 ได้แก่ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ (มาตรา 443 วรรคหนึ่ง) ค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย (มาตรา 443 วรรคสอง) และค่าขาดไร้อุปการะ (มาตรา 443 วรรคสาม)

รวมทั้งมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน คือค่าขาดแรงงานในครัวเรือนและในอุตสาหกรรมตามมาตรา 445 ด้วย

ส่วนนางสี่ นายห้า และนายหก จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวได้หรือไม่แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนางสี่ เมื่อนางสี่เป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมของเด็กชายสาม นางสี่จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 ได้ทั้งหมด ได้แก่ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ ค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ และค่าขาดไร้อุปการะ แต่นางสี่ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 คือค่าขาดแรงงานในครัวเรือน เพราะเมื่อเด็กชายสามไปเป็นบุตรบุญธรรมของนายห้าแล้ว อำนาจการปกครองบุตรจึงตกไปอยู่กับนายห้าผู้รับบุตรบุญธรรม ซึ่งจะทำให้นายห้าสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ได้

กรณีนายห้า เมื่อเด็กชายสามเป็นบุตรบุญธรรมของนายห้า เด็กชายสามจึงอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของนายห้า และถือวานายห้าเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรบุญธรรม ซึ่งตามกฎหมายครอบครัวบุตรบุญธรรมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรม ดังนั้น นายห้าจึงมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสาม และค่าขาดแรงงานในครัวเรือนตามมาตรา 445 ได้ แต่นายห้าไม่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ และค่ารักษาพยาบาลก่อนตายตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เพราะนายห้าไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเด็กชายสาม

กรณีนายหก เมื่อนายหกมิใช่บิดาหรือทายาทของเด็กชายสาม เป็นเพียงนายจ้างของเด็กชายสามเท่านั้น ดังนั้น นายหกจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 และจะเรียกค่าขาดแรงงานในอุตสาหกรรมตามมาตรา 445 ก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อเด็กชายสามได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว สัญญาจ้างย่อมระงับสิ้นไป สิทธิของนายจ้างในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 จึงหมดไปด้วย

(ข) การที่สุนัขของนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการนั้น นายหนึ่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาเป็นเงินได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ เพราะการเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรานี้ ใช้เฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนและทำให้คนได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยหรือเสียเสรีภาพเท่านั้น ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสัตว์

สรุป

(ก) นางสี่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 ได้ทั้งหมด แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 ไม่ได้ นายห้ามีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้เฉพาะตามมาตรา 443 วรรคสามและมาตรา 445, นายหกไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ได้เลย

(ข) นายหนึ่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้

 

 

ข้อ 3. นายน้อยไปเที่ยวพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งกับครอบครัว ได้พบเจอกับนายหน่อ คู่อริที่กำลังเดินเล่นอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเสือโคร่งซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด โดยล่ามเชือกไว้ที่ต้นคอ เมื่อนายหน่อหันมาเห็นนายน้อยจึงออกคำสั่งให้เสือโคร่งวิ่งเข้าตะปบนายน้อยทันที นายน้อยพลิกตัวหลบ ทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ขณะนายน้อยกำลังเดินกลับมาที่ห้องเพื่อรักษาแผล ก็โดนยุงลายหลายตัวในรีสอร์ทกัดจนเป็นไข้เลือดออก นายน้อยจึงฟ้องนายหน่อและเจ้าของรีสอร์ทให้ต้องรับผิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้วินิจฉัยว่า นายหน่อและเจ้าของรีสอร์ทต้องรับผิดต้อนายน้อยหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหน่อออกคำสั่งให้เสือโคร่งสัตว์เลี้ยงตัวโปรดวิ่งเข้าตะปบนายน้อยทำให้นายน้อยได้รับบาดเจ็บนั้น ความเสียหายที่นายน้อยได้รับมิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของนายหน่อตามมาตรา 420 กล่าวคือ การที่นายหน่อเป็นคนออกคำสั่งให้เสือโคร่งวิ่งเข้าไปทำร้ายนายน้อยนั้น ถือว่านายหน่อได้กระทำโดยจงใจต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ ดังนั้น นายหน่อจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายน้อย

ส่วนกรณีที่นายน้อยโดนยุงลายหลายตัวในรีสอร์ทกัดจนเป็นไข้เลือดออกนั้น ก็มิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 เพราะแม้ยุงลายจะอยู่ในรีสอร์ท แต่เจ้าของรีสอร์ทก็ไม่ได้เป็นเจ้าของยุงลาย หรือเป็นผู้รับเลี้ยงรับรักษายุงลายแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อยุงลายเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ นายน้อยผู้เสียหายจึงเรียกให้เจ้าของรีสอร์ทรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

สรุป นายหน่อต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อนายน้อยตามมาตรา 420 ส่วนเจ้าของรีสอร์ทไม่ต้องรับผิดต่อนายน้อย

 

 

ข้อ 4. นางสาวแสงจันทร์อยู่ด้วยกันฉันสามีภริยากับนายแสงอาทิตย์ ต่อมานางสาวแสงจันทร์ตายระหว่างคลอดบุตรสาวชื่อว่า ด.ญ.แสงเดือน ซึ่งเกิดมาสมองพิการมาแต่กำเนิด นายแสงอาทิตย์จึงทั้งรักและเอ็นดู ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้ใช้นามสกุล ต่อมานายแสงอาทิตย์ได้ถูกนายมืดทำร้ายจนถึงแก่ความตายเนื่องจากความบาดหมางในที่ทำงาน ส่งผลให้ ด.ญ.แสงเดือนขาดคนอุปการะ และเกิดอาการทุกข์ระทมเสียใจเป็นอย่างมาก ถึงกับกรีดร้องจนสลบไปหลายครั้ง

ให้วินิจฉัยว่า ด.ญ.แสงเดือนจะเรียกให้นายมืดจ่ายค่าขาดไร้อุปการะ และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแท่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 วรรคสาม “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 446 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกับไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมืดทำร้ายนายแสงอาทิตย์จนนายแสงอาทิตย์ถึงแก่ความตายนั้นการกระทำของนายมืดถือเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิต ดังนั้น นายมืดจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วน ด.ญ.แสงเดือนจะเรียกให้นายมืดจ่ายค่าขาดไร้อุปการะ และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินได้หรือไม่นั้น

แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การเรียกค่าขาดไร้อุปการะ ในการฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่เป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ด.ญ.แสงเดือนเป็นบุตรที่เกิดกับนางสาวแสงจันทร์ซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับนายแสงอาทิตย์ และแม้ว่านายแสงอาทิตย์จะให้การอุปการะและให้ ด.ญ.แสงเดือนใช้นามสกุลของตน ก็เพียงแต่ทำให้ ด.ญ.แสงเดือนเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองโดยพฤตินัยเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ ด.ญ.แสงเดือนเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายแสงอาทิตย์แต่อย่างใด

นายแสงอาทิตย์ (ผู้ตาย) จึงมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู ด.ญ.แสงเดือน แม้จะปรากฏว่า ด.ญ.แสงเดือนจะเกิดมาสมองพิการเลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็ตาม ดังนั้น ด.ญ.แสงเดือนจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายมืดตามมาตรา 443 วรรคสาม

  1. การเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา 446วรรคหนึ่งนั้น จะเรียกได้ก็ต่อเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแก่ร่างกาย อนามัยของผู้ถูกทำละเมิดหรือเสียเสรีภาพเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแสงอาทิตย์ถึงแก่ความตาย จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ ด.ญ.แสงเดือนในอันที่จะฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน

สรุป ด.ญ.แสงเดือนจะเรียกให้นายมืดจ่ายค่าขาดไร้อุปการะและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินไม่ได้

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้อย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายสันติไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 และในวันนั้นเองได้เกิดคลื่นยักษ์ถล่นเกาะสมุยทำให้มีคนตายบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายสันติด้วย นางสดใสภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสันติมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นนักกฎหมายว่าจะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เนื่องจากหลังจากวันนั้นแล้วไม่มีใครได้ข่าวหรือพบนายสันติอีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า นางสดใสจะมีสิทธิไปใช้สิทธิทางศาลได้หรือไม่ เมื่อไหร่ และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสันติได้ไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 และในวันนั้นเองได้เกิดคลื่นยักษ์ถล่มเกาะสมุย ทำให้มีคนตายบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมากรวมทั้งนายสันติด้วยนั้น ย่อมถือว่านายสันติไต้ตกอยู่ในเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต และเมื่อหลังจากวันนั้นแล้วไม่มีใครได้ข่าวหรือพบนายสันติอีกเลย จึงถือว่านายสันติได้สูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

ดังนั้น ถ้าผู้มีส่วนได้เสียจะใช้สิทธิในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญ จะใช้สิทธิได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป และเมื่อปรากฏว่าเหตุอันตรายแก่ชีวิตคือการเกิดคลื่นยักษ์นั้นได้ผ่านพ้นไปในวันที่ 30 กันยายน 2559 ดังนั้น วันครบกำหนด 2 ปีดังกล่าว คือ วันที่ 30 กันยายน 2561 ผู้มีส่วนได้เสียจึงสามารถเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

และตามกฎหมายนั้น บุคคลที่จะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสดใสเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสันติ ดังนั้น นางสดใสจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้

สรุป

นางสดใสมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้ และจะเริ่มไปใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

ข้อ 3. นายไก่อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ กำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินในธนาคารซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของตนให้แก่มูลนิธิแมวไร้บ้าน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่มารดาแต่อย่างใด ต่อมาแพทย์ลงความเห็นว่านายไก่เจ็บป่วยทางจิตเป็นโรคจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งนางไข่เป็นผู้พิทักษ์ นายไก่ได้ไปยืมเงินนายเป็ดเพื่อนรักจำนวนหนึ่งร้อยบาทโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หลังจากนั้นนายไก่ก็เจ็บป่วยมากขึ้น แพทย์ลงความเห็นว่าวิกลจริต นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในราคา 1 ล้านบาทในขณะคุ้มดี และนายเป็ดรู้ว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ต่อมาศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถและศาลตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่อนุญาตให้นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดมาอีก 1 คันในราคา 2 ล้านบาท

1) พินัยกรรม

2) ยืมเงินนายเป็ด 100 บาท

3) ซื้อรถยนต์จากนายเป็ดคันแรก 1 ล้านบาท และ

4) ซื้อรถยนต์คันที่สองจากนายเป็ด 2 ล้านบาท

มีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอยางหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

1)      ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหาการที่นายไก่ซึ่งมีอายุครบ 15ปีบริบูรณ์ ได้ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับโดยกำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินในธนาคารซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของตนให้แก่มูลนิธิแมวไร้บ้านนั้น แม้ว่าการทำพินัยกรรมดังกล่าวจะไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่มารดาแต่อย่างใด แต่ก็มิได้เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย เพราะเป็นการทำพินัยกรรมในขณะที่นายไก่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์

2)      โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มีฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถได้ไปยืมเงินจากนายเป็ดจำนวน 100 บาท โดยที่นางไข่ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใดนั้น การยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

3)      โดยหลักของฆาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นคนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในราคา 1 ล้านบาทนั้น เมื่อนายไก่ได้ไปทำนิติกรรมซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในขณะที่คุ้มดีคือไม่มีอาการวิกลจริต ดังนั้นแม้นายเป็ดจะได้รู้ว่านายไก่เป็นคนวิกลจริตก็ตาม นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

4)      ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นคนวิกลจริตและศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดอีก 1 คันในราคา 2 ล้านบาทนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมซื้อรถยนต์คันที่ 2 นี้จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวก็มีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

การทำนิติกรรมของนายไก่มีผลในทางกฎหมาย ดังนี้

1)      การทำพินัยกรรมมีผลสมบูรณ์

2)      การยืมเงินจากนายเป็ด 100 บาท มีผลเป็นโมฆียะ

3)      การซื้อรถยนต์คันแรกมีผลสมบูรณ์

4)      การซื้อรถยนต์คันที่ 2 มีผลเป็นโมฆียะ

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. กฎหมายตามเนื้อความและกฎหมายตามแบบพิธีคืออะไร อธิบาย

ธงคำตอบ

“กฎหมายตามเนื้อความ” คือ กฎหมายที่มีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับโดยรัฏฐาธิปัตย์ เพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของประชาชน ซึ่งถ้าผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ

กฎหมายตามเนื้อความจะต้องมีลักษณะที่สำคัญดังนี้คือ

  1. ต้องเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งหมายถึงผู้มีอำนาจสูงสุดในการตรากฎหมาย
  2. ต้องเป็นกฎหมายที่มีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ หรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือมีผลบังคับได้กับบุคคลทั่วไปในรัฐ
  3. ต้องเป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ (บุคคล) ซึ่งอาจเป็นข้อบังคับกำหนดให้บุคคลต้องกระทำการ หรืองดเว้นกระทำการก็ได้
  4. ต้องเป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่มีผลใช้บังคับได้ตลอดไป จนกว่าจะมีการยกเลิก
  5. ต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่มีสภาพบังคับ กล่าวคือ ถ้าบุคคลใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามย่อมมีความผิดและจะถูกลงโทษ ซึ่งสภาพบงคับนั้นอาจเป็นสภาพบังคับทางอาญา (โทษ) ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน หรือสภาพบังคับทางแพ่ง เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย เป็นต้น

“กฎหมายตามแบบพิธี” คือ กฎหมายที่ผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายแต่อาจไม่มีลักษณะครบองค์ประกอบที่จะเป็นกฎหมายตามเนื้อความหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือกฎหมายที่ออกมาโดยวิธีบัญญัติกฎหมาย

ทั้งนี้โดยมิได้คำนึงว่ากฎหมายนั้นจะเข้าลักษณะเป็นกฎหมายตามเนื้อความหรือไม่ เช่น เป็นกฎหมายที่ออกมาโดยไม่มีบทบัญญัติกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งถ้าหากมีการฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ เป็นต้น

ซึ่งกฎหมายตามแบบพิธีนี้มักจะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน การตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น

 

ข้อ 2. นายแดงหนุ่มโสด อาศัยอยู่กับบิดามารดาที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2550 นายแดงได้บอกบิดามารดาของตนเองว่าจะขับขี่รถมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์ไปเที่ยวทั่วประเทศไทย จนถึงวันนี้ (28 พฤษภาคม 2560) ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวว่านายแดงเป็นตายร้ายดีอย่างไร อยากทราบว่าผู้ใดสามารถร้องขอต่อศาลสั่งให้นายแดงเป็นคนสาปสูญ และสามารถร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่เมื่อใด อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงหนุ่มโสดอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่กรุงเทพมหานครฯ ได้บอกกับบิดามารดาของตนเองว่าจะขับขี่รถมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์ไปเที่ยวทั่วประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2550 และหลังจากนั้นไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวว่านายแดงเป็นตายร้ายดีอย่างไรเลยนั้น กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่านายแดงได้หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่านายแดงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในกรณีธรรมดา เนื่องจากนายแดงไม่ได้สูญหายไปเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งตามมาตรา 61 วรรคสอง แต่อย่างใด ส่วนผู้ใดที่สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อนสั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญ และสามารถร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่เมื่อใดนั้นแยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 ผู้ที่สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญ ได้แก่

(1) ผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีสิทธิหรือได้รับสิทธิต่างๆขึ้นเนื่องจากศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ ซึ่งในที่นี้ก็คือ บิดามารดาของนายแดงนั่นเอง

(2) พนักงานอัยการ

2 เมื่อการสูญหายของนายแดงเป็นกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ผู้มีส่วนได้เสียคือบิดามารดาของนายแดงหรือพนักงานอัยการสามารถร้องขอให้ศาลสั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญได้ เมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่นายแดงได้หายไป คือนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่บิดามารดาของนายแดงได้รับข่าวคราวของนายแดงเป็นครั้งหลังสุด ซึ่งในกรณีนี้จะครบกำหนด 5 ปีในวันที่ 1 มีนาคม 2555 ดังนั้นจึงสามารถร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป

สรุป

บิดามารดาของนายแดงและพนักงานอัยการเป็นผู้ที่สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญได้ และสามารถร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3. โดยปกติผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆที่ผู้เยาว์ได้กระทำลงโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นย่อมเป็นโมฆียะ มีกรณีใดบ้างที่ผู้เยาว์สามารถกระทำได้โดยลำพังโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ให้นักศึกษาอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบทุกกรณี

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา22 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆได้ทั้งสิ้นหากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”

มาตรา 23 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร”

ฆาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า นิติกรรมที่ผู้เยาว์อาจทำได้โดยลำพังตนเองโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทบโดยชอบธรรม ได้แก่

  1. นิติกรรมที่เป็นคุณประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว หมายถึง นิติกรรมที่เมื่อผู้เยาว์ได้ทำแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว หรือเป็นนิติกรรมที่เมื่อผู้เยาว์ได้ทำแล้วจะไม่ก่อให้เกิดหน้าที่และเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้เยาว์นั้นเอง (ตามมาตรา 22) ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือ

(1)  นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปแต่เพียงสิทธิอันใดอันหนึ่ง เช่น ปู่ยกที่ดินให้แก่ผู้เยาว์โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ผู้เยาว์ย่อมสามารถจดทะเบียนรับโอนที่ดินนั้นได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแต่อย่างใด

(2)  นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง หรือทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากภาระหน้าที่ที่มีอยู่นั่นเอง เช่น การที่ผู้เยาว์รับเอาการปลดหนี้ที่เจ้าหนี้ของผู้เยาว์ได้ปลดหนี้ให้แก่ผู้เยาว์ เป็นต้น

  1. นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว (ตามมาตรา 23) ซึ่งหมายถึง นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำด้วยตนเองจะให้ผู้อื่นทำแทนให้ไม่ได้นั้นเอง เช่น การที่ผู้เยาว์จดทะเบียนรับรองบุตร หรือการเพิกถอนการสมรส เป็นต้น
  2. นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ และเป็นการสมแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์ (ตามมาตรา 24) เช่น การที่ผู้เยาว์ซื้ออาหารรับประทาน หรือซื้อตำราเรียน เป็นต้น
  3. พินัยกรรมซึ่งผู้เยาว์ได้ทำในขณะที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว (ตามมาตรา 25)

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีบทบัญญัติว่าด้วยการตีความกฎหมายและการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

“การตีความกฎหมาย” หมายถึง การค้นหาความหมายที่แท้จริงของกฎหมาย หรือการหยั่งทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร

เหตุที่ต้องมีการตีความกฎหมายก็เพราะว่า ถ้อยคำของตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้นั้น มีความหมายไม่ชัดเจนแน่นอน คือมีถ้อยคำคลุมเครือ กำกวม หรือมีความหมายได้หลายทาง จึงมีความจำเป็นต้องมีการตีความเพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

  1. การตีความตามตัวอักษร ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดามารดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ
  2. การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

ส่วน “การตีความกฎหมายอาญา” นั้น เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษ ดังนั้นจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ จะต้องตีความเฉพาะการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้นจึงจะเป็นความผิด หากการกระทำไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ศาลก็จะต้องยกฟ้อง ตามหลักที่ว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ”

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายแดนและนายโดม เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยโรงเรียนมัธยม นัดกันไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดตราด ขณะโดยสารเรือจะข้ามไปเกาะช้างเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 เกิดพายุทำให้เรือล่มมีนักท่องเที่ยวตายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายแดนและนายโดมด้วย ต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม2559 เวลา 20.00 น. นายโดมได้โทรศัพท์มาบอกนางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนว่าได้พบศพนายแดนแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวหรือพบเห็นนายโดมอีกเลย อยากทราบว่า นางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนและนางดวงดาวภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายแดนและนายโดมเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และเมื่อใดจึงไปใช้สิทธิทางศาลได้

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนและนางดวงดาวภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายแดนและนายโดมเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายโดม

การที่นายแดนและนายโดม ได้นัดกันไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดตราด ขณะโดยสารเรือจะข้ามไปเกาะช้างเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ได้เกิดพายุทำให้เรือล่ม มีนักท่องเที่ยวตายและสูญหายไปจำนวนมาก

รวมทั้งนายแดนและนายโดมด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 นั้นเอง นายโดมได้โทรศัพท์มาบอกนางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนว่าได้พบศพนายแดนแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวหรือพบเห็นนายโดมอีกเลย กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่านายโดมได้สูญหายไปเนื่องจากเรืออับปาง ซึ่งเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) แต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่นายโดมได้หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จึงถือว่าเป็นกรณีของการสูญหายธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนางดวงดาวเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จึงถือว่านางดวงดาวเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิที่จะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายโดมเป็นคนสาบสูญได้ และสามารถไปร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2559 กล่าวคือจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

ดังนั้นนางดวงดาวจะไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

กรณีของนายแดน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการพบศพนายแดนแล้ว ย่อมถือว่านายแดนได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้นางดาราจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดน แต่นางดาราก็ไม่สามารถที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดนเป็นคนสาบสูญได้เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 61

สรุป

นางดวงดาวสามารถไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายโดมเป็นคนสาบสูญได้โดยสามารถไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป แต่นางดาราไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดนเป็นคนสาบสูญได้ เพราะนายแดนได้เสียชีวิตแล้ว

 

ข้อ 3. จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบายว่านิติกรรมที่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1)     นายหนึ่งอายุย่างเข้าสิบห้าปีทำพินัยกรรมกำหนดไว้ว่าเมื่อตนถึงแก่ความตาย ขอยกเงินส่วนตัวที่ฝากไว้ในธนาคารฯ ให้แก่มูลนิธิแมวจรจัดจำนวน 1 ล้านบาท พินัยกรรมที่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2)     นายสองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมควายไปไถนา 4 ตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์

(3)     นายสามคนไร้ความสามารถได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านบาท

(4)     นายห้าคนวิกลจริตไปซื้อจักรยานเสือภูเขาจากนายแดงในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายแดงไม่ทราบว่านายห้าวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคูกรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

(1)     ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปียังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมขึ้นโดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายขอยกเงินส่วนตัวที่ฝากไว้ในธนาคารฯ ให้แก่มูลนิธิแมวจรจัดจำนวน 1 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

(2)     โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายสองคนเสมือนไร้ความสามารถ ได้ให้เพื่อนยืมควายไปไถนา 4 ตัวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น เมื่อการให้ยืมควายดังกล่าว ถือเป็นกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) และเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3)

ดังนั้นเมื่อนายสองให้เพื่อนยืมควาย 4 ตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ นิติกรรมการให้เพื่อนยืมควาย 4 ตัวดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะ

(3)     ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ (นิติกรรมที่เกี่ยวกับคนไร้ความสามารถต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน)

ตามปัญหา การที่นายสามคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านนาทนั้น แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายสามจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4)     โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อจักรยานเสือภูเขาจากนายแดงในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายแดงไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อจักรยานเสือภูเขาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

1) การทำพินัยกรรมของนายหนึ่งตกเป็นโมฆะ

2) การที่นายสองให้เพื่อนยืมควาย 4 ตัว เป็นโมฆียะ

3) การที่นายสามไปซื้อรถยนต์จากนายดำเป็นโมฆียะ

4) การซื้อจักรยานเสือภูเขาระหว่างนายห้าและนายแดงมีผลสมบูรณ์

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้อย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายแสดและนางสดเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดตรังเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ขณะที่แวะเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งได้ถูกน้ำป่าไหลหลากพัดพาหายไปทั้งคู่ ต่อมาในวันที่ 31 ตุลาคม 2554 นายแสดได้โทรศัพท์มาบอกนายสุดผู้เป็นบุตรชายว่าพบศพแม่แล้ว และต่อมานายสุดก็ไม่ได้ข่าวจากนายแสดอีกเลย อยากทราบว่านายสุดจะไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแสดและนางสดเป็นผู้สาบสูญได้หรือไม่ และหากได้ จะไปใช้สิทธิได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาดรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไร้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพี่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายสุดจะไปร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งให้นายแสดและนางสดเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนายแสด

การที่นายแสดและนางสดซึ่งเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และขณะที่แวะเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งได้ถูกน้ำป่าไหลหลากพัดพาหายไปทั้งคู่นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 31 ตุลาคม 2554 นายแสดได้โทรศัพท์มาบอกนายสุดผู้เป็นบุตรชายว่าพบศพแม่แล้ว และต่อมานายสุดก็ไม่ได้ข่าวจากนายแสดอีกเลยนั้น กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่านายแสดได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61วรรคสอง (3) แต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่นายแสดได้หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จึงถือว่าเป็นกรณีของการสาบสูญธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนายสุดเป็นบุตรชายของนายแสด จึงถือว่านายสุดเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และมีสิทธิที่จะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายแสดเป็นคนสาบสูญได้ และสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่นายสุดได้รับโทรศัพท์จากนายแสด กล่าวคือจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ดังนั้นนายสุดจะไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการพบศพนางสดแล้วย่อมถือว่านางสดได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้นายสุดจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสด นายสุดก็ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นางสดเป็นคนสาบสูญได้ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 61

สรุป

นายสุดสามารถไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแสดเป็นคนสาบสูญได้โดยสามารถเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป แต่นายสุดไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นางสดเป็นคนสาบสูญได้

 

ข้อ 3. บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1)     หนึ่งทำพินัยกรรมกำหนดไว้ว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดส่วนตัวของตนที่ฝากไว้ในธนาคารให้แก่มูลนิธิคนปัญญาอ่อน 1 ล้านบาท ในขณะที่หนึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปี

(2)     สองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว ไปแสดงโชว์ให้นักเรียนดู โดยผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด

(3)     สามคนไร้ความสามารถ ได้รับอนุญาตจากนางแดงผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านบาท

(4)     นายห้าคนวิกลจริต ไปซื้อรถจักรยานเสือภูเขาจากนายหกในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายหกไม่ทราบว่าวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

(1)     ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมไต้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปียังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมขึ้น โดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดของตนในธนาคารให้แก่มูลนิธิคนปัญญาอ่อนจำนวน 1 ล้านบาทนั้น

ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

(2)     โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์

อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่สองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว ไปแสดงโชว์ให้นักเรียนดูนั้น เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น (เพราะลูกควายไม่ใช่สัตว์พาหนะ) จึงไม่ใช่กรณีที่คนเสมือไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3) ดังนั้นแม้สองจะให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว โดยลำพัง กล่าวคือโดยผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด สัญญาการให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

(3)     ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่สามคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านบาทนั้น แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของสามจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางแดงผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4)     โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมบั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อจักรยานเสือภูเขาจากนายหกในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายหกไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อจักรยานเสือภูเขาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

1) การทำพินัยกรรมของหนึ่งตกเป็นโมฆะ

2) การที่สองให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว มีผลสมบูรณ์

3) การที่สามไปซื้อรถยนต์จากนายดำเป็นโมฆียะ

4) การซื้อจักรยานเสือภูเขาระหว่างนายห้าและนายหกมีผลสมบูรณ์

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. กฎหมายต้องมีคุณลักษณะเช่นไร และกฎหมายตามเนื้อความ และกฎหมายตามแบบพิธีหมายความว่า อย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กรทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่ นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สำหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง

สำหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้

  1. กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศในการตรากฎหมาย
  2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้วย่อมมีผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ อย่างเสมอภาค ไม่จำกัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น

  1. กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดยบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยายเมื่อกฎหมายเก่าขัดกับกฎหมายใหม่
  2. กฎหมายนั้นประชาชนจำต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทำการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษ
  3. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและในทางแพ่ง

–           สภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่

  1. ประหารชีวิต
  2. จำคุก
  3. กักขัง
  4. ปรับ
  5. ริบทรัพย์สิน

–           สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย

ซึ่งกฎหมายที่มีลักษณะครบองค์ประกอบทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวข้างต้นนั้น จัดเป็นกฎหมายประเภทที่เรียกกันว่า “กฎหมายตามเนื้อความ”

ส่วนกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง แม้จะผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายตามปกติ แต่ก็มีลักษณะไม่ครบองค์ประกอบที่เป็นกฎหมายตามเนื้อความ เช่น ไม่มีบทบัญญัติกำหนดความประพฤติของมนุษย์ซึ่งหากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ กฎหมายจำพวกนี้มักจะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ เรียกว่า “กฎหมายตามแบบพิธี”

 

ข้อ 2. การทำนิติกรรมของบุคคลดังต่อไปนี้ มีผลอย่างไรในทางกฎหมาย อธิบาย

(1) ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ

(2) คนไร้ความสามารถ ทำพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ

(3) คนเสมือนไร้ความสามารถ ทำพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการทำพินัยกรรมของผู้หย่อนความสามารถไว้ดังนี้

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1704 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกอ้างว่าเป็นคนวิกลจริต แต่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้น จะเป็นอันเสียเปล่าก็แต่เมื่อพิสูจน์ได้ว่าในเวลาที่ทำพินัยกรรมนั้น ผู้ทำจริตวิกลอยู่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไรนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 25 ประกอบมาตรา 1703

(2) คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1704 วรรคหนึ่ง

(3) คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ทั้งนี้เพราะกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรมนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผลเป็นโมฆะ หรือโมฆียะแต่อย่างใด อีกทั้งการทำพินัยกรรมของคนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ก็มิใช่การกระทำที่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติ มาตรา 34 แต่อย่างใด

สรุป

(1) ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ทำพินัยกรรม มีผลสมบูรณ์

(2) คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม มีผลเป็นโมฆะ

(3) คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม มีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 3. บุคคลย่อมถึงแก่ความตาย หรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายในกรณีใดบ้าง อธิบายโดยละเอียดพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ตามกฎหมาย บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายมีได้ 2 กรณี ได้แก่ การตายตามธรรมดา และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

  1. การตายตามธรรมดา หมายถึง การที่บุคคลหมดลมหายใจ และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น การที่บุคคลเจ็บป่วยถึงแก่ความตาย หรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย เป็นต้น เพียงแต่ปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย ก็ถือได้ว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายและให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลง
  2. การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญตามมาตรา 61 ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1) การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคแรก ซึ่งจะต้องประกอบด้วย

(1)       บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็น หรือนับแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไปหรือนับแต่วันที่ได้ทราบข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

(2)       ผู้มิส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ “ผู้มีส่วนได้เสีย” หมายถึง บุคคลที่จะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น เนื่องจากคำสั่งศาล เช่น สามีภริยา บิดามารดา ลูก หลาน ฯลฯ ของบุคคลที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

(3)       ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของนาย ก. อีกเลย ดังนี้ถ้าครบ 5 ปีนับแต่วันที่นาย ก. ได้หายไป พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้เสีย อาจร้องขอต่อศาลให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญได้ และหากศาลมีคำสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญแล้ว ย่อมถือว่า นาย ก. ได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของนาย ก. สิ้นสุดลง

2) การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 3 ประการ เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา เพียงแต่ตามมาตรา 61 วรรคสอง ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยให้นับตั้งแต่

(1)       วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบ หรือสงครามดังกล่าว เช่น นายแดงรับราชการทหารถูกส่งไปรบที่ชายแดน และสูญหายไปในการรบติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี หรือ

(2)       วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

เช่น นายแดงเดินทางท่องเที่ยวทางเรือ และเรือถูกพายุพัดจนอับปาง ทำให้นายแดงสูญหายไป เป็นต้น หรือ

(3)       วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ(1)และข้อ (2)ได้ ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุและอับปางลง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนาย ก. ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย ก. เลย ดังนี้ถ้า นาง ข. ภริยาของนาย ก. จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก.เป็นคนสาบสูญ นาง ข. สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เรืออับปาง โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 5 ปีแต่อย่างใด

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายกนกและนายสรยุทธ์เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมได้ชวนกันไปเยี่ยมนายธีระที่จังหวัดนครนายก ต่อมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อนรักทั้งสามคนได้ชวนกันไปเล่นน้ำตก และในขณะที่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานนั้นได้เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดพาคนทั้งสามไปกับกระแสน้ำเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปนายธีระปลอดภัยดี มีคนพบศพนายกนก แต่ไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายสรยุทธ์อีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า นางสายใจภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกนก และนางแก้วใจภริยาของนายสรยุทธ์จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่เพราะเหตุใด และเมื่อไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคแรก “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)       นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)       นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)       นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่บีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสรยุทธ์ได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น ถือเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านางแก้วใจเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสรยุทธ์ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อเป็นการสูญทายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ 2 ปี นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายสรยุทธ์ได้สูญหายไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 จึงครบกำหนด 2 ปีในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 ดังนั้น นางแก้วใจจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

ส่วนกรณีของนางสายใจภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกนกนั้น ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้สามีของตนเป็นคบสาบสูญได้ เพราะเมื่อมีการพบศพนายกนกย่อมถือว่านายกนกได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคแรก

สรุป

นางแก้วใจมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้โดยจะเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ส่วนนางสายใจไม่มีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญ

 

ข้อ 3. บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมตามโจทย์ จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะอะไร

(1) หนึ่ง อายุ 15 ปีบริบูรณ์ ลูกชายมหาเศรษฐี ถอนเงินส่วนตัว 5 ล้านบาท ไปซื้อรถยนต์ 1 คันจากนายสอง

(2) สามคนเสมือนไร้ความสามารถ ให้เพื่อนยืมเงินเป็นจำนวน 200 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางสี่ผู้พิทักษ์

(3) ห้าคนไร้ความสามารถ ได้รับอนุญาตจากนางหกผู้อนุบาลให้ไปซื้อแหวนเพชรจากนางเจ็ดในราคา 1 ล้านบาท

(4) นายแปดคนวิกลจริตไปซื้อนาฬิกาโบราณจากนายเก้าคนขายของเก่าในขณะกำลังวิกลจริตแต่นายเก้าไม่ทราบว่านายแปดวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1)       โดยหลัก ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง เป็นต้น

ตามปัญหา การที่หนึ่งอายุ 15 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ถอนเงินส่วนตัว 5 ล้านบาท ไปซื้อรถยนต์จากนายสองนั้น ไม่ถือว่าเป็นการทำนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ตามมาตรา 24 หรือเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว หรือเป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการที่หนึ่งได้ไปซื้อรถยนต์จากนายสองดังกล่าวนั้น ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมการซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 21

(2) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่สามคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเงินเป็นจำนวน 200 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางสี่ผู้พิทักษ์นั้น การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

(3) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น(ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน) ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเนินโมฆียะ

ตามปัญหา การที่ห้าคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อแหวนเพชรจากนางเจ็ดนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของห้าจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางหกผู้อนุบาลก็ตามนิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายแปดคนวิกลจริตได้ไปซื้อนาฬิกาโบราณจากนายเก้าในขณะที่กำลังวิกลจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเก้าไม่ทราบว่านายแปดเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายนาฬิกาโบราณระหว่างนายแปดและนายเก้าจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างหนึ่งกับนายสองเป็นโมฆียะ

(2) การให้เพื่อนยืมเงินของสามเป็นโมฆียะ

(3) สัญญาซื้อขายแหวนเพชรระหว่างห้ากับนางเจ็ดเป็นโมฆียะ

(4) สัญญาซื้อขายนาฬิกาโบราณระหว่างนายแปดกับนายเก้ามีผลสมบูรณ์

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายตี๋เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองปักกิ่งประเทศจีน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ในขณะที่เครื่องบินเข้าใกล้ทะเลจีนใต้ ปรากฏถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงตกและไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายตี๋อีกเลย นางสาวหมวยเล็กภริยาที่อยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายตี๋และนางหมวยใหญ่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายต่างไปร้องขอต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นบุคคลสาบสูญ

ให้นักศึกษาให้คำแนะนำว่าใครเป็นผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นบุคคลสาบสูญและจะเริ่มไปใช้สิทธิดังกล่าวได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)       นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)       นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)       นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตี๋เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองปักกิ่ง ประเทศจีนโดยเครื่องบิน และในขณะที่เครื่องบินเข้าใกล้ทะเลจีนใต้ ปรากฏว่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงตกและไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายตี๋อีกเลยนั้น ถือว่านายตี๋ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครรู้แน่ว่านายตี๋ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) เพราะหายไปเนื่องจากยานพาหนะที่บุคคลดังกล่าวเดินทางถูกทำลาย ดังนั้นนระยะเวลาที่ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะสามารถร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญจึงต้องนับระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ยานพาหนะที่นายตี๋ใช้เดินทางคือเครื่องบินนั้นนถูกทำลาย และเมื่อเครื่องบินถูกยิงตกในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ระยะเวลาที่ครบกำหนด 2 ปี คือวันที่ 11 พฤศจิกายน 2560 ดังนั้นถ้าผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ จึงสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

สำหรับผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวหมวยเล็กเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายตี๋ ส่วนนางหมวยใหญ่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตี๋ กรณีนี้ จึงถือว่าเฉพาะนางหมวยใหญ่เท่านั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับกรณีที่ศาลจะมีคำสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ ดังนั้น นางหมวยใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ โดยนางหมวยใหญ่สามารถที่จะไปใช้สิทธิทางศาลได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

สรุป

นางหมวยใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ โดยเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3. นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปี ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ กำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดของตนในธนาคารให้แก่มูลนิธิสุนัขป่วยไร้เจ้าของจำนวน 1 ล้านบาท ต่อมาเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ นางไข่มารดาร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถเพราะจิตฟั่นเพืเอน ศาลสั่งให้ตามขอและตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์ หลังจากนั้นนายไก่ยืมเงินนางบัวสาวใช้ไป 500 บาท เพื่อไปซื้ออาหารรับประทาน อาการป่วยทางจิตของนายไก่รุนแรงขึ้นถึงขั้นวิกลจริต ต่อมาไปซื้อรถยนต์จากนายดำ 1 คันในราคา 2 ล้านบาท ในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายดำไม่ทราบว่าวิกลจริต นางไข่มารดาจึงไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และศาลได้ตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่เห็นว่าลูกชายชอบขับรถยนต์มากจึงอนุญาตให้ไปซื้อรถสปอร์ตอีก 1 คัน จากนายแดงในราคา 5 ล้านบาท

การทำพินัยกรรม การยืมเงิน การซื้อรถยนต์จากนายดำ และจากนายแดง ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

1)         ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปียังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ โดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดของตนในธนาคารให้แก่มูลนิธิสุนัขป่วยไร้เจ้าของ จำนวน 1 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

2)         โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถได้ยืมเงินนางบัวสาวใช้ไป 500 บาท โดยที่นางไข่ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใดนั้น การยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

3)         โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำ 1 คันในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายดำไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อรถยนต์จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

4)         ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยไปซื้อรถสปอร์ตจากนายแดงในราคา 5 ล้านบาทนั้น แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

1) การทำพินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

2) การยืมเงินมีผลเป็นโมฆียะ

3) การซื้อรถยนต์จากนายดำมีผลสมบูรณ์

4) การซื้อรถยนต์จากนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ

WordPress Ads
error: Content is protected !!